ID
stringlengths 9
13
| Domain
stringclasses 4
values | Instruction
stringlengths 9
3.44k
| Input
stringlengths 19
125k
⌀ | Output
stringlengths 11
31.6k
| Tags
stringlengths 7
676
⌀ | Task_type
stringclasses 7
values | License
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
Finance_1721 | Finance | เขียนบทสนทนา ถาม-ตอบ ระหว่างนักลงทุน 2 คน เกี่ยวกับ 6 ข้อคิด จากหนังสือ Thinking, Fast and Slow ที่นำไปปรับใช้กับการลงทุนได้ | null | บทสนทนา ถาม-ตอบ ระหว่างนักลงทุน 2 คน คือ เชิดกับสิน เกี่ยวกับ 6 ข้อคิด จากหนังสือ Thinking, Fast and Slow ที่นำไปปรับใช้กับการลงทุนได้
เชิด : สิน นายได้อ่านหนังสือ Thinking, Fast and Slow ไปหรือยัง
สิน : อ่านแล้ว ได้ข้อคิดเยอะเลย
เชิด : เราก็อ่านจบแล้วเหมือนกัน เอางี้ มาไล่ข้อคิดทีละข้อกันเลย
สิน : หนังสือเล่มนี้ได้ข้อคิดตั้ง 6 ข้อ เลย
เชิด : อ๋อเหรอ งั้นเรามาผลัดกันตอบนะ
สิน : ข้อแรก อย่าเผลอยึดผลลัพธ์
เชิด : ข้อสอง อย่าซื้อขายระยะสั้น ถ้าใจไม่ถึง
สิน : ข้อสาม บัญชีในใจมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
เชิด : ข้อสี่ อะไรที่ไปสูงมาก หรือตกต่ำมาก สุดท้ายก็จะกลับคืนสู่จุดสามัญ
สิน : ข้อห้า ทำไมบางคนขายหุ้นดี ทนถือหุ้นแย่
เชิด : และข้อสุดท้าย พูดพร้อมกันนะ
สิน/เชิด : “ต้นทุนจม” ตัวฉุดไม่ให้เราก้าวหน้า!!!
บทเรียนจากบทสนทนานี้
ข้อคิด จากหนังสือ Thinking, Fast and Slow ที่นำไปปรับใช้กับการลงทุนได้
1. อย่าเผลอยึดผลลัพธ์
Outcome Bias คือชื่อเรียกของความลำเอียงประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อเราตัดสินใจโดยอ้างอิงจากผลลัพธ์ล้วน ๆ ไม่ได้ดูลึกลงไปว่าอะไรทำให้เกิดผลลัพธ์นั้น ๆ
เช่น หากขาดทุนจากการลงทุน อาจจะมองว่ากลยุทธ์การลงทุนที่ผ่านมานั้นผันผวน เสี่ยงสูงเกินไป หรือสินทรัพย์ที่ลงทุนนั้นเป็นสินทรัพย์ที่ “แย่” ในขณะเดียวกันหากได้กำไร ก็จะมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดี เหมาะกับตัวเอง มองว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนไปนั้น “ดีเยี่ยม”
ความลำเอียงนี้จะส่งผลกับการตัดสินใจต่อ ๆ ไป หากเคยขาดทุน ก็จะระมัดระวังมากขึ้น (จนเผลอมองข้ามโอกาสดี ๆ อื่น ๆ) และหากเคยกำไร ก็จะยิ่งบู๊มากขึ้น (จนไม่ทันระวังตัวก็มี) ซึ่งถามว่าการตัดสินใจมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับผลตอบแทนไหม ก็ต้องตอบว่ามีบางส่วน แต่สิ่งที่คาดคะเนไม่ได้เลยคือปัจจัยอื่น ๆ ที่จะมาพร้อมกับโชค
ทางที่ดีคือ ควรมองหลาย ๆ ปัจจัย ไม่ใช่แค่ตัวเลขเงินที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างเดียว แล้วยึดว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปตลอด แต่ควรดูว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ช่วยส่งให้การลงทุนที่ผ่านมานั้นดี/แย่ บางทีอาจจะเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้เลย
2. อย่าซื้อขายระยะสั้น ถ้าใจไม่ถึง
เวลาตัดสินใจมักจะมองเป็นอย่าง ๆ ไป หรือที่เรียกว่า Narrow Framing เพราะมันง่ายกว่า แต่ถ้ามองอีกแบบ มองแบบภาพรวม (Broad Framing) ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ต่างกันออกไป
การพนันด้วยการทอยเหรียญเพียงครั้งเดียว แล้วเสี่ยงดวงเอาครึ่งต่อครึ่งว่าจะเสียเงินหรือได้เงิน ฟัง ๆ แล้วอาจจะดูไม่น่าสนใจ ฟังดูเสี่ยงเกินไป โดยเฉพาะสำหรับคนที่กลัวความเสี่ยง แม้ว่าจะเป็นจำนวนเท่า ๆ กัน แต่การเสียนั้นจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าเป็นสองเท่า เมื่อเทียบกับความรู้สึกดีใจจากการได้ในจำนวนเท่า ๆ กันเสียอีก (ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Loss Aversion)
ถ้าเป็นการพนันหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็คงจะชนะบ้างแพ้บ้าง จะดูน่าสนใจขึ้นทันทีหากมองภาพรวม โอกาสการสูญเสียถูกลดทอนน้ำหนักลงไป ส่วนโอกาสการชนะก็ถูกเน้นย้ำมากขึ้น
จุดนี้มีการเปรียบเทียบกับการลงทุน หนังสือบอกว่าคนที่มองการลงทุนเป็นภาพรวม เป็น “พอร์ตโฟลิโอ” ระยะยาวจะสามารถบริหารการลงทุน (และสภาพจิตใจ) ได้ดีกว่าคนที่มองว่าการลงทุนคือการซื้อ ๆ ขาย ๆ ระยะสั้นในแต่ละครั้ง ตรงกับวลีที่ว่าเวลาคือเพื่อนของนักลงทุน
3. “บัญชีในใจ” มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
โดยปกติแล้ว “เงิน” ก็คือ “เงิน” เงินทุกบาททุกสตางค์ล้วนมีค่าเท่ากัน และสามารถใช้แทนกันได้หมด แต่ปรากฏการณ์ Mental Accounting ไม่ทำให้คิดแบบนั้น
มองในแง่ดี Mental Accounting ช่วยให้แบ่งเงินออกตามวัตถุประสงค์การใช้งานได้ เช่น เงินก้อนนี้สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เงินก้อนนี้เป็นเงินลงทุนระยะยาว เงินก้อนนี้ไว้สำหรับไปเที่ยว ฯลฯ ซึ่งนี่ก็คือลักษณะของ Narrow Framing ช่วยให้บริหารจัดการเงินได้ดีขึ้น
ผลเสียของ Mental Accounting มีไหม ต้องบอกว่ามีเหมือนกัน เพราะบางครั้งมันอาจจะส่งผลให้ตัดสินใจ “ใช้เงินเยอะ” ในส่วนที่เป็นเงินโบนัส หรือเงินจากการถูกหวย ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันก็คือเงินเหมือนกัน เหมือนกับเงินเดือนที่ขวนขวายหามา หรือเงินทุนที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเพื่อซื้อหุ้น นั่นก็เพราะพอเป็นเงินที่หามาได้จากความพยายาม อาจจะไม่กล้าใช้มันเท่าไร แต่พอเป็นเงินลาภลอย ก็จะกล้าใช้มากขึ้น ทั้งที่จริง ๆ สามารถนำลาภลอยไปเก็บออม ไปลงทุนต่อก็ได้
4. อะไรที่ไปสูงมาก หรือตกต่ำมาก สุดท้ายก็จะกลับคืนสู่จุดสามัญ
Regression to The Mean คือแนวคิดที่ว่าอะไรที่สุดโต่งมาก ๆ สุดท้ายก็จะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าสู่จุดค่าเฉลี่ยของมันเอง เด็กที่เคยสอบได้คะแนนสูงมาก ๆ ในครั้งแรก มักจะทำได้ไม่ดีเท่าเดิมในครั้งที่สอง เพราะครั้งแรกเขาอาจจะโชคดีมาก ๆ และโอกาสที่จะโชคดีเท่าเดิมนั้นก็ไม่เยอะ (ในเชิงจิตใจ เด็กอาจจะกดดันในครั้งที่สอง ทำให้ทำข้อสอบได้ไม่ดีเท่าครั้งแรก) ในขณะที่เด็กซึ่งทำผลสอบได้ไม่ดีในครั้งแรก ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งต่อไปจะไม่ดีเช่นกัน เสร็จจากครั้งนั้นเขาอาจจะไปติวมากขึ้น ทำให้รอบต่อไปผลสอบดีขึ้นได้
ในฝั่งของการลงทุน อาจจะได้เห็นผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ที่เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง บางปีก็ขึ้นสูงมาก บางปีก็ตกต่ำมาก แต่แน่นอนว่าไม่มีสินทรัพย์ไหนเลยที่จะขึ้นไปตลอด หรือลงไปตลอด สุดท้ายทุก ๆ สินทรัพย์ย่อมกลับมาสู่จุดค่าเฉลี่ยระยะยาว
นี่ก็ส่งผลต่อระยะเวลาการลงทุนด้วยเช่นกัน หากลงทุนสั้น ๆ ซื้อขายไว ๆ ก็จะพบกับความเสี่ยงที่มากกว่า เพราะอาจจะเจอปีที่ “โชคดีเป็นพิเศษ” หรือ “โชคร้ายเป็นพิเศษ” ก็ได้ แต่ถ้าเลงทุนยาว ๆ ไป ความเสี่ยงหรือ “โชค” ระยะสั้นจะไม่มีผลมากนัก ผลตอบแทนก็จะได้เป็นค่าเฉลี่ยระยะยาวไป
5. ทำไมบางคนขายหุ้นดี ทนถือหุ้นแย่
Disposition Effect เป็นปรากฏการณ์ที่ใช้อธิบายว่าทำไมนักลงทุนบางคนถึงขายหุ้นที่กำไรดี ๆ ไป แต่ยังทนขาดทุนกับหุ้นแย่ ๆ
เหตุผลคือการขายหุ้นดี ๆ ที่กำไรแล้ว จะทำให้เขารู้สึกว่า “ทำแต้ม” ได้ ในขณะที่การขายหุ้นแย่ ๆ แบบขาดทุนจะทำให้เขารู้สึกว่า “เสียแต้ม”
สมมติว่า ต้องการขายหุ้นสักตัว มีตัวเลือกระหว่างหุ้นดีอย่างหุ้น A ที่กำไรแล้ว กับหุ้น B ที่เป็นหุ้นแย่แถมกำลังขาดทุนอยู่ หากขายหุ้น A จะทำกำไรได้ 5,000 บาท ส่วนหุ้น B นั้น มูลค่าทั้งหมดที่ถือตอนนี้อยู่ที่ 5,000 บาท น้อยกว่าตอนที่ซื้อมันมา
หากโดน Disposition Effect ครอบงำ ก็จะเลือกขายหุ้น A เพราะมันทำให้รู้สึกว่าตัวเองได้กำไร ทั้งที่จริง ๆ แล้วหากขายหุ้น B เราก็ได้ 5,000 บาทเหมือนกัน แต่จะรู้สึกแย่กว่าเพราะว่าขายหุ้น B แบบขาดทุน
6. “ต้นทุนจม” ตัวฉุดไม่ให้ก้าวหน้า
Sunk-Cost Fallacy เป็นปรากฏการณ์ที่อธิบายถึงการจมปลักอยู่กับสถานการณ์ที่แย่ไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่มีตัวเลือกอื่น ๆ ที่ดีกว่าอยู่
ตัวอย่างในด้านการเงินการลงทุนก็เช่น สมมติทุ่มเงินซื้อหุ้นไปแล้ว แต่หุ้นดันตกหนักมาก ขณะเดียวกันก็เห็นว่ามีหุ้นอีกตัวหนึ่งที่เป็นขาขึ้น ทำกำไรได้ดี จะขายหุ้นที่ขาดทุนอยู่ทิ้งแล้วไปซื้อหุ้นอีกตัวที่มีแนวโน้มดีกว่าหรือไม่
หากโดนกับดักของ Sunk-Cost Fallacy จะไม่กล้า เพราะมองว่าได้เสียเงินไปกับหุ้นแย่ตัวนี้แล้ว ถ้าขายไปมันจะกลายเป็น Sure Loss ทนถือ ๆ ไปหน่อย ทั้งที่ความจริงไม่ควรนำต้นทุนที่เสียไปแล้ว มากำหนดการตัดสินใจ อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ควรผ่านไป แล้วมองไปข้างหน้าดีกว่าว่ามีโอกาสอะไรให้คว้าบ้าง
ถ้าหยุดใช้ระบบ 2 เข้ามาไตร่ตรอง ก็จะเข้าใจว่าเงินที่ได้มันเท่ากัน ทีนี้ก็ต้องไปดูที่หุ้นรายตัวแล้วละว่าตัวไหนมีแนวโน้มไปได้ดีต่อ และตัวไหนที่ควรขายทิ้ง ก็จะช่วยให้ไม่ต้องเผลอขายหมู หรือติดดอย
อีกวิธีที่จะช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์นี้ได้คือ การจัดพอร์ตให้มีหลาย ๆ สินทรัพย์ นั่นเพราะในช่วงเวลา ณ ขณะหนึ่ง ไม่มีทางที่ทุกสินทรัพย์จะพร้อมใจกันทำผลงานได้ดีสุด ๆ หรือแย่สุด ๆ จะต้องมีสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งที่ดี หรือ ไม่ดี ปะปนกันไป การจัดพอร์ตให้ครอบคลุมทุก ๆ สินทรัพย์ จะช่วยพยุงการลงทุนระยะยาวของเราไปได้อย่างมั่นคงมากขึ้น | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1723 | Finance | Blockchain คืออะไร | a. บล็อกเชนเป็นเครือข่ายสำหรับการเก็บข้อมูลแบบกระจายอำนาจ หรือ Decentralized
b. การโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าหมายมาที่เครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว
c. ส่งไปต่อท้ายข้อมูลชุดก่อนโดยเรียงต่อกันไปเรื่อย ๆ เหมือนกับโซ่
d. การแชร์ข้อมูลภายในองค์กร หรือแม้แต่การป้องกันภัยทางไซเบอร์ | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ a. เพราะว่า
ในขณะที่กระแสคริปโทเคอร์เรนซีกำลังเป็นที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ก็มีอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือ Blockchain (บล็อกเชน) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเบื้องหลังความสำเร็จของคริปโทเคอร์เรนซีนั่นเอง
ทำไมผู้ประกอบการควรพิจารณาหันมาประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain เข้ากับธุรกิจ Blockchain คืออะไร?
- บล็อกเชนเป็นเครือข่ายสำหรับการเก็บข้อมูลแบบกระจายอำนาจ หรือ Decentralized หมายความว่าข้อมูลทุกอย่างจะไม่ถูกเก็บอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว แต่คอมพิวเตอร์ทั้งเครือข่ายจะเก็บข้อมูลชุดเดียวกัน และมีการตรวจสอบอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ข้อมูลในทุกเครื่องตรงกัน ที่มาของคำว่าบล็อกเชน คือทุกครั้งที่มีข้อมูลชุดใหม่เกิดขึ้น ข้อมูลก็จะถูกรวบรวมเป็นบล็อก (Block) จากนั้นเครือข่ายจะตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และส่งไปต่อท้ายข้อมูลชุดก่อนโดยเรียงต่อกันไปเรื่อย ๆ เหมือนกับโซ่ (Chain) ข้อมูลที่ขึ้นไปอยู่บนบล็อกเชนจะไม่สามารถถูกแก้ไขได้ บล็อกเชนจึงโดดเด่นในเรื่องของความโปร่งใส ความปลอดภัย และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ เหตุผลที่ผู้ประกอบการควรประยุกต์ใช้ Blockchain บล็อกเชนคือเทคโนโลยีเบื้องหลัง Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีสกุลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Ethereum, Litecoin, หรือ Dogecoin เป็นต้น
ประโยชน์ของบล็อกเชนไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในเรื่องของการเงินเท่านั้น บล็อกเชนสามารถช่วยในเรื่องของความโปร่งใสและความปลอดภัยอย่างที่กล่าวเอาไว้ อีกทั้งความสามารถในการเขียน Smart Contract บนบล็อกเชน ยังเปิดโอกาสให้เกิดการสร้าง Application ต่าง ๆ ขึ้นบนบล็อกเชนได้อีกด้วย โดยเหตุผลหลัก ๆ 3 ข้อที่ผู้ประกอบการควรหันมาประยุกต์ใช้บล็อกเชนเข้ากับธุรกิจ มีดังต่อไปนี้
1. เพิ่มความโปร่งใส พื้นฐานของบล็อกเชนที่เป็น Public Ledger หรือสมุดบัญชีสาธารณะ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่อยู่บนบล็อกเชนเพื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้ โดยเฉพาะเรื่องของการเงินที่ต้องการความโปร่งใสเป็นพิเศษ การนำบล็อกเชนมาใช้จึงสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี
2. เสริมประสิทธิภาพและความรวดเร็ว การนำบล็อกเชนและ Smart contract มาใช้ ทำให้สามารถตัดคนกลางออกจากการทำงานในหลาย ๆ ขั้นตอนได้ ยกตัวอย่าง เช่น การโอนเงินข้ามประเทศ จากเดิมที่ต้องดำเนินการผ่านธนาคาร ก็สามารถโอนเงินให้กับผู้รับโดยตรงได้เลย โดยอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีและยังสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอย่างค่าธรรมเนียมลงไปได้ด้วย
3. ยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ ข้อมูลที่อยู่บนบล็อกเชนจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้ หากไม่ได้รับการยินยอมอย่างน้อย 51% จากทั้งเครือข่าย นอกจากนี้ การโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าหมายมาที่เครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวก็ไม่สามารถทำอะไรเครือข่ายบล็อกเชนได้เช่นกัน เพราะว่าข้อมูลบนบล็อกเชนจะถูกเก็บโดยเครื่องพิวเตอร์ทั้งเครือข่าย ตัวอย่างองค์กรที่ใช้ Blockchain ปัจจุบัน องค์กรระดับโลกหลายองค์กรได้มีการประยุกต์ใช้บล็อกเชนเข้ากับธุรกิจของตนเองเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1725 | Finance | จางหยิน ราชินีแห่งขยะ ผู้ก่อตั้งบริษัท Nine Dragon Paper Holdings คือใคร | null | คุณจางหยิน (Zhang Yin) เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Nine Dragon Paper Holdings บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องด้วยมูลค่าบริษัท ณ ปัจจุบันสูงกว่า 1,7 ล้านล้านบาท โดย Nine Dragon Paper Holdings เป็นบริษัทที่นำเศษกระดาษหรือกระดาษที่ใช้แล้ว มารีไซเคิลเป็น cardboard หรือก็คือ กระดาษแข็ง ที่นำมาประกอบเป็นกล่องกระดาษสำหรับใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ใส่ของเล่น หรือใส่สินค้าอื่น ๆ ทั่วไป ณ ปัจจุบัน Nine Dragon Paper ถือเป็นบริษัทกระดาษที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
สำหรับคุณจางหยิน จากการจัดอันดับในปี ค.ศ. 2018 เธอเป็นผู้หญิงที่รวยที่สุดอันดับ 4 ของประเทศจีน ด้วยทรัพย์สินกว่า 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ หนึ่งแสนล้านบาท
อะไรที่ทำให้เธอเห็นโอกาสจากธุรกิจ “ขยะ” เหล่านี้ และทำไมบริษัทถึงมีมูลค่าหลักล้านล้านบาท ?
จุดเริ่มต้นของเรื่องราว เกิดขึ้นหลังจากที่คุณจางหยินได้เริ่มทำงานเป็นพนักงานบัญชีของบริษัทผลิตกระดาษแห่งหนึ่งในเมืองเสิ่นเจิ้น โดยในช่วงทศวรรษ 1980 เสิ่นเจิ้นถือเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน และถือเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าจีนแห่งหนึ่ง
ที่เมืองเสิ่นเจิ้น และบริษัทที่คุณจางหยินทำงานอยู่ ทำให้เธอเริ่มเห็นโอกาสในการรีไซเคิลกระดาษเป็นบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งออก หลังจากทำงานเป็นพนักงานบัญชีสักพัก ในปี ค.ศ. 1985 คุณจางหยินเองได้เริ่มหันมาเปิดธุรกิจค้าเศษกระดาษที่ฮ่องกงเอง ด้วยเงินเก็บเพียง 1 แสนบาทเท่านั้น ด้วยภาวะเศรษฐกิจประเทศจีน ณ ขณะนั้น ที่กำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ทั้งการส่งออก และการบริโภคภายในประเทศ ไม่ว่าสินค้าใด ๆ ก็ตาม ต่างต้องการบรรจุภัณฑ์ หรือลังกระดาษมาบรรจุสินค้า ทำให้เศษกระดาษหรือกระดาษที่ใข้แล้ว ซึ่งจะนำไปรีไซเคิลเป็นลังกระดาษต่อไปมีความต้องการสูงมาก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ประเทศจีนกำลังอยู่ภาวะขาดแคลนกระดาษอย่างมาก และไม่มีต้นไม้เหลือพอให้ตัดมาทำกระดาษอีกแล้วครับในปี ค.ศ. 1990 คุณจางหยิน ก็เลยย้ายธุรกิจของตัวเองไปอยู่ที่เมืองลอสแองเจลิส และก่อตั้งบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า “America Chung Nam” ขึ้นมาร่วมกับสามีของเธอ โมเดลธุรกิจนั้นเรียบง่ายมาก เธอกับสามีจะตระเวนไปยังแหล่งของเสีย หรือแหล่งที่มีกระดาษที่ถูกใช้แล้วแถวแคลิฟอร์เนีย เพื่อขอซื้อเศษกระดาษ เธอจะซื้อกระดาษที่ใช้แล้วในละแวกนั้นด้วยราคาไม่ถึง 100 เหรียญต่อตัน ซึ่งถ้าผลิตกระดาษใหม่จากต้นไม้ อาจมีต้นทุนถึงสูงถึง 500 เหรียญสหรัฐในขณะนั้น
เมื่อคุณจางหยินตระเวนซื้อเศษกระดาษมาแล้ว ก็จะดำเนินการซื้อพื้นที่ตู้คอนเทนเนอร์โล่งๆ ที่จะต้องส่งกลับจีนอยู่แล้ว ในตู้คอนเทนเนอร์ที่จะส่งกลับจีน (ซึ่งปกติว่างเปล่า) จึงเต็มไปด้วยเศษกระดาษ ที่จะถูกนำกลับมาขายที่ประเทศจีน โดยในปี 2001 America Chung Nam ของเธอ นับว่าเป็นบริษัทที่ส่งออกกระดาษอันดับหนึ่งของสหรัฐ
การดำเนินธุรกิจของคุณจางหยินยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากที่เธอดำเนินธุรกิจส่งเศษกระดาษกลับมาขายที่จีนแล้ว ตัวคุณจางหยินเอง ก็กลับมาที่ฮ่องกงในปีค.ศ. 1995 เพื่อก่อตั้งบริษัท Nine Dragon Paper ร่วมกับสามีและน้องชาย เพื่อดำเนินธุรกิจที่ไม่ใช่แค่ขายเศษกระดาษ แต่นำเศษกระดาษเหล่านั้นมารีไซเคิลเป็นบรรจุภัณฑ์ หรือลังกระดาษเพื่อใส่สินค้า
โดยปกติแล้วการจะรีไซเคิลเศษกระดาษเป็นกระดาษแข็ง จะต้องใช้น้ำจนวนมาก จากข้อมูลบนเว็บไซต์ Recycle Paper UK ระบุว่า ปกติแล้วกระบวนการรีไซเคิลกระดาษ จะใช้น้ำอยู่ที่ประมาณ 23,400 ลิตร ต่อกระดาษหนึ่งตัน คุณจางหยินเองก็ตระหนักถึงปัญหานี้ เมื่อบริษัทเริ่มมีกำไรจากการแปรรูปและค้าเศษกระดาษ ก็จะนำกำไรเหล่านั้นมาลงทุนใน R&D (Research and Development) เพื่อพัฒนาเทคนิคการแปรรูปกระดาษที่ใช้น้ำน้อยกว่าเดิมมาก ทำให้ลดปริมาณการใช้น้ำลงได้มาก นอกจากนี้ เวลาบริษัทไปตั้งโรงงานที่ไหน ก็มักจะตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ หรืออยู่ใกล้บริเวณเมืองที่ไม่ขาดแคลนน้ำ
จากในปี ค.ศ. 1995 ที่เริ่มก่อตั้ง Nine Dragon Paper Holdings พอถึง ปี ค.ศ. 2006 บริษัทได้ทำการ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ด้วยมูลค่ากว่าหนึ่งหมื่นห้าพันล้านบาท จาก ค.ศ. 2006 จนถึงปัจจุบัน Nine Dragon Paper ถือเป็นบริษัทผลิตกระดาษแข็ง ลังกระดาษ และบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ด้วยมูลค่าบริษัทกว่า 1.7 ล้านล้านบาท โดยบริษัทได้ส่งบรรจุภัณฑ์ หรือลังกระดาษแข็ง ออกไปขายแทบจะทั่วโลก บริษัทดัง ๆ ที่ใช้บริการก็เช่น Nike, Coca-Cola, Sony, และ TCL เป็นต้น
บนเว็บไซต์ของ Nine Dragon Paper ได้มีการระบุวิสัยทัศน์ไว้ว่า “บริษัทมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการรีไซเคิลกระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทใช้แต่เศษกระดาษหรือกระดาษที่ใช้แล้ว นำมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์เท่านั้น”
การใช้แต่กระดาษที่ใช้แล้วมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์ ก็เพื่อที่จะยึดมั่นต่อลูกค้าว่า ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทุกอย่าง ล้วนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การดำเนินธุรกิจของคุณจางหยิน และบริษัท Nine Dragon Paper อาจเรียกได้ว่าเป็นการดำเนินธุรกิจแบบ Win-Win เพราะลูกค้าเองก็ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะที่บริษัทเองก็มีรายได้จากผลิตภัณฑ์เหล่านั้น
เรื่องราวของคุณจางหยิน ผู้ก่อตั้งบริษัท Nine Dragon Paper และร่ำรวยระดับแสนล้านบาทจากธุรกิจที่หลายคนอาจมองข้าม อย่างการรีไซเคิลกระดาษ อาจเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาได้ว่า จริง ๆ แล้วธุรกิจที่ทำเงินได้เป็นแสนล้าน หรือล้านล้านบาท ก็สามารถเป็นธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ | ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1730 | Finance | ประกันที่สามารถซื้อแล้วนำมาลดหย่อนภาษีได้ มี 3 ประเภท ได้แก่อะไรบ้าง | null | ประกันที่สามารถซื้อแล้วนำมาลดหย่อนภาษีได้ มี 3 ประเภท ได้แก่
1. ประกันชีวิต ให้ความคุ้มครองชีวิตแก่ผู้ที่ทำประกันชีวิตเอาไว้ โดยหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น บริษัทประกันก็จะจ่ายเงินตามทุนประกัน ให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญา ซึ่งก็จะเป็นผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการจากไปของผู้ที่ทำประกันชีวิตเอาไว้ทางใดทางหนึ่ง เช่น บุคคลในครอบครัว
ประกันชีวิตที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป จะได้แก่
1. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ: เบี้ยประกันถูก ทุนประกันสูง แต่ไม่มีเงินคืนระหว่างทาง
2. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์: ให้เงินคืนระหว่างทาง แต่ให้ทุนประกันต่ำ และมักคุ้มครองในระยะเวลาสั้น
3. ประกันชีวิตแบบ Unit-Linked: ให้ทุนประกันสูง เบี้ยประกันถูกใกล้เคียงแบบตลอดชีพ มีความยืดหยุ่นสูง ปรับเปลี่ยนแผนการจ่ายเบี้ยประกันได้ แต่ไม่สามารถการันตีผลตอบแทน เพราะเป็นการควบการลงทุนในกองทุนรวม
4. ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term): จะเป็นแบบที่เบี้ยประกันต่ำ ความคุ้มครองสูง แต่จะไม่มีเงินคืนและไม่มีมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ เป็นการจ่ายเบี้ยประกันแลกกับความคุ้มครองชีวิตล้วน ๆ
เกณฑ์การลดหย่อนภาษี ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนกรณีที่มีคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ ก็สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตของคู่สมรสมาลดหย่อนภาษีได้อีก ไม่เกิน 10,000 บาท ประกันชีวิตที่นำมาลดหย่อนภาษีได้ จะต้องให้ความคุ้มครองชีวิตอย่างน้อย 10 ปีเป็นต้นไป และถ้าเป็นแบบที่มีการจ่ายเงินคืนระหว่างทางก็จะต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันสะสมในแต่ละช่วงเวลา ในส่วนของ Unit-Linked จะนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้ เฉพาะส่วนที่เป็นค่าธรรมเนียมความคุ้มครองเท่านั้น ส่วนที่เป็นเงินในกองทุนรวม ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
2. ประกันสุขภาพ ให้ความคุ้มครองสุขภาพ ทั้งกรณีเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่าง ๆ และด้วยอุบัติเหตุ
ประกันสุขภาพที่ได้รับความนิยมหลัก ๆ ก็จะได้แก่
1. ประกันสุขภาพแบบคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล
2. ประกันชดเชยรายได้รายวัน กรณีนอนโรงพยาบาล
3. ประกันโรคร้ายแรงแบบให้เงินชดเชยเป็นเงินก้อน
เกณฑ์การลดหย่อนภาษี ประกันสุขภาพแบบชดเชยรายได้รายวัน กรณีนอนโรงพยาบาล จะเป็นแบบเดียวในนี้ที่ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ประกันโควิดที่หลายคนน่าจะได้ซื้อกันไว้ ก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไข สำหรับใครที่ซื้อประกันสุขภาพประเภท UDR ที่ย่อมาจาก Unit Deducting Rider ซึ่งเป็นประกันสุขภาพประเภทที่ซื้อพ่วงกับประกันชีวิตแบบ Unit-Linked ได้เท่านั้น ก็จะนำมาลดหย่อนภาษีได้ เฉพาะส่วนที่เป็นค่าธรรมเนียมเพื่อความคุ้มครองสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท เพิ่มขึ้นมาจากก่อนหน้านี้ที่ลดหย่อนได้ 15,000 เท่านั้น และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้ว จะนำมาลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับใครที่คุณพ่อคุณแม่ ที่มีเงินได้ทั้งปีไม่เกิน 30,000 บาท ก็สามารถซื้อประกันสุขภาพให้คุณพ่อคุณแม่ แล้วนำมาลดหย่อนภาษีได้รวมกันไม่เกิน 15,000 บาท โดยไม่ต้องพิจารณาอายุของคุณพ่อคุณแม่ และถ้ามีพี่น้อง ก็สามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพพ่อแม่มาหารแบ่งกันเพื่อยื่นลดหย่อนภาษีของแต่ละคนได้
3. ประกันบำนาญ ให้ความคุ้มครองในรูปแบบการการันตีรายได้หลังเกษียณเป็นหลัก ประกันลักษณะนี้จะมีลักษณะกำหนดให้จ่ายเบี้ยประกันต่อเนื่องไปจนกว่าจะเริ่มรับเงินบำนาญ คือเมื่ออายุครบ 55 ปีเป็นอย่างน้อย แล้วจะการันตีเงินเกษียณเป็นงวดรายปีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบสัญญา
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประกันบำนาญ
1. เป็นการล็อกผลตอบแทนแบบการันตีในระยะยาว ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่ผลตอบแทนสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำมีแนวโน้มลดลงเรื่อย
2. ประกันบำนาญก็อาจไม่เหมาะกับการวางแผนความคุ้มครองชีวิต เพราะถึงมีความคุ้มครองชีวิตด้วย แต่ก็ให้ความคุ้มครองน้อยมากเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันที่ได้จ่าย รวมถึงทุนประกันแต่ละปีก็ไม่แน่นอน คือจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงที่จ่ายเบี้ยประกัน และลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเริ่มรับเงินบำนาญแล้ว
เกณฑ์การลดหย่อนภาษี ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ และไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อรวมกับสิทธิลดหย่อนภาษีเพื่อการเกษียณอื่นๆ เช่น Provident fund, กบข. และ RMF ก็จะนำมาลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท ถ้าส่วนประกันชีวิตและประกันสุขภาพยังไม่ครบ 100,000 ก็สามารถนำเบี้ยประกันบำนาญส่วนที่เกินโควต้า 15% หรือ 200,000 มาโปะในช่องประกันชีวิตและสุขภาพได้ | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1734 | Finance | Arkk Disruptive Innovation Fund คืออะไร | null | Arkk Disruptive Innovation Fund เป็นกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นในปี 2564 ในประเทศไทย มี 2 กองทุนรวมที่ได้นำ Arkk Disruptive Innovation Fund มาให้คนไทยได้ลงทุน ซึ่งนั่นก็คือ TMB-ES-GINNO และ TNEXTGEN
TMB-ES-GINNO เป็นกองทุนรวมที่นำเงินของนักลงทุน ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่บริหารโดย Nikko AM Disruptive Innovation Fund กองทุนนี้บริหารโดย Nikko Assetment Management ซึ่งได้รับคำแนะนำโดย Arkk Investment Manageme Team
ส่วน TNEXTGEN เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนผ่านกอง The ARK Next Generation Internet ETF กองทุนหลักถูกบริหารและจัดการโดย Arkk Investment Management
TMB-ES-GINNO และ TNEXTGEN จะเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีสินค้าและบริการที่เน้นเทคโนโลยีในการตอบโจทย์ต่อ mega trend อย่างไรก็ตาม 2 กองทุนนี้มีความแตกต่างกันเล็กน้อย TMB-ES-GINNO จะมีการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านพันธุกรรม (Gene sequencing)
เมื่อดูสถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 2019 TNEXTGEN (Arkk Next Generation) ทำผลตอบได้ค่อนข้างโดดเด่นกว่า TMB-ES-GINNO (Nikko Am Disruptive Innovation Fund) ทั้งในแง่ของผลตอบและความเสี่ยง แม้ว่าผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนที่บริหารโดย Arkk Investment Management จะดูโดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนี SET Index และ Nasdaq แต่ในแง่ของความเสี่ยงกองทุนทั้ง 2 กองมีความผันผวนค่อนข้างมากและมีโอกาสปรับตัวลงจากจุดสูงสุดได้มากกว่า SET Index และ Nasdaq ดังนั้น กองทุนของ Arkk ETF เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างมาก | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1736 | Finance | ช่วยสรุปบทความ Bitcoin ทะลุ 1.4 ล้านบาท หลัง Tesla ร่วมทัพ! | เมื่อช่วงหัวค่ำของวันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ราคา Bitcoin ได้ปรับขึ้นทะลุจุดสูงสุดเดิมที่ 1,280,000 บาท และเมื่อช่วงเช้าวันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ราคาได้ปรับขึ้นต่อเนื่องและทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 1,400,000 บาท บนกระดานเทรดสกุลเงินดิจิทัลของไทยอย่าง Bitkub หรือประมาณ 46,794 ดอลลาร์ฯ บนกระดานเทรดต่างประเทศ
Tesla ร่วมทัพถือ Bitcoin!
การปรับตัวทะลุจุดสูงสุดเดิมของ Bitcoin ครั้งนี้ มาจากการเข้าซื้อของ Tesla บริษัทเทคโนโลยีชื่อดังระดับโลก ซึ่งมีบุคคลที่ทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างนาย Elon Musk ผู้เป็น CEO ของ Tesla โดยทาง Tesla ได้เข้าซื้อ Bitcoin เป็นมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท!
ทาง Tesla ได้ให้เหตุผลของการเข้าซื้อครั้งนี้ว่า “เพื่อความยืดหยุ่นทางการเงินและเพื่อเป็นการเก็งกำไรให้กับบริษัทฯ” นอกจากนี้ Tesla ยังระบุด้วยว่า “จะมีการพัฒนาระบบรับชำระเงินด้วย Bitcoin เพื่อซื้อสินค้าและบริการของ Tesla ผ่านกระดานเทรดต่าง ๆ ” ซึ่งจะทำให้ Tesla กลายเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์บริษัทแรกของโลกที่รับชำระเงินด้วยคริปโทเคอร์เรนซี
ก่อนหน้านี้ นาย Elon Musk ก็เคยส่งสัญญาณสนับสนุน Bitcoin โดยการเปลี่ยนสถานะบนบัญชีทวิตเตอร์ของเขาเป็นสัญลักษณ์ของ Bitcoin และกล่าวให้การสนับสนุน Bitcoin ผ่านทางนิตยสาร Forbes โดยระบุว่า Bitcoin เป็นสิ่งที่ดี และกำลังจะได้รับการสนับสนุนเป็นวงกว้างจากสังคมในอีกไม่นาน
ราคา Bitcoin ขึ้นเพราะบริษัทยักษ์ใหญ่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ราคา Bitcoin ปรับสูงขึ้นโดยมีแรงหนุนมาจากข่าวการเข้าซื้อของบริษัทระดับโลก โดยก่อนหน้านี้ราคา Bitcoin ก็เคยปรับสูงขึ้นจากการเข้าซื้อของ Microstrategy บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ที่เข้าซื้อ Bitcoin เพื่อถือครองเป็นทรัพย์สินสำรองรวมกันแล้วมากกว่า 70,470 เหรียญ หากลองคิดมูลค่าเป็นเงินบาทไทยคร่าว ๆ จะอยู่ที่ประมาณ 9.2 หมื่นล้านบาท หรือ 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจาก Tesla กับ Microstrategy แล้วยังมีบริษัทหรือองค์กรที่ตัดสินใจเข้าซื้อ Bitcoin เป็นทรัพย์สินสำรองอีกมากมาย ไม่ว่าจะ Grayscale บริษัทการเงินรายใหญ่ในสหรัฐฯ ที่มี Bitcoin ในความครอบครองสูงถึง 64,000 เหรียญ หรือแม้แต่สถาบันด้านการศึกษาอย่าง Harvard University ที่ถือครอง Bitcoin รวมกันเป็นมูลค่าสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ | ราคา Bitcoin ทะลุจุดสูงสุดที่ 1,280,000 บาทในวันจันทร์ 8 กุมภาพันธ์ 2564 และเพิ่มขึ้นไปถึง 1,400,000 บาทในวันอังคาร 9 กุมภาพันธ์ 2564 บน Bitkub ด้วยปริมาณการซื้อขายมากขึ้น เป็นผลมาจากการซื้อ Bitcoin มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย Tesla ที่มี CEO Elon Musk เป็นบุคคลที่มีผลกระทบทั่วโลก โดย Tesla ได้แถลงว่าจะพัฒนาระบบรับชำระเงินด้วย Bitcoin เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อรถและบริการของ Tesla ผ่าน Bitcoin ทำให้ Tesla เป็นบริษัทรถยนต์แรกที่รับ Bitcoin เป็นเงินชำระ นอกจากนี้ Elon Musk ยังแสดงการสนับสนุน Bitcoin อย่างต่อเนื่องทั้งในทวิตเตอร์และสื่อมวลชนอื่น ๆ และท่านได้กล่าวถึงคุณค่าทางการเงินและการกำไรที่ Bitcoin สามารถนำเข้ามาให้กับ Tesla ในระยะยาว
ราคา Bitcoin ปรับสูงขึ้นเนื่องจากการเข้าซื้อของบริษัทระดับโลกอย่าง Tesla ซึ่งซื้อ Bitcoin มูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และได้กล่าวว่าจะพัฒนาระบบรับชำระเงินด้วย Bitcoin เพื่อซื้อสินค้าและบริการของ Tesla นอกจากนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทระดับโลกมีส่วนร่วมในการเพิ่มมูลค่า Bitcoin โดย Microstrategy ได้เข้าซื้อ Bitcoin เพื่อถือครองมากกว่า 70,470 เหรียญ มูลค่าประมาณ 9.2 หมื่นล้านบาท และ Grayscale มี Bitcoin ในความครอบครองถึง 64,000 เหรียญ นอกจากนี้ Harvard University ยังถือ Bitcoin มูลค่าสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ Bitcoin ได้รับการยกย่องในฐานะทรัพย์สินสำรองจากหลายหน่วยงานและองค์กรทั่วโลก | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1739 | Finance | จงสรุปบทความ บิตคอยน์’ เป็นการลงทุนไหม? ในมุม ‘เรย์ ดาลิโอ’ | ถ้าจะมีผู้ที่สามารถให้ความเห็นเกี่ยวกับบิตคอยน์ได้อย่างมีความน่าเชื่อถือที่สุดในยุคนี้ ผมว่าหนึ่งในนั้นคือ เรย์ ดาลิโอ บทความนี้จะขอนำเสนอมุมมองดังกล่าวผ่านความเห็นจาก เรย์ ดาลิโอ แบบคำต่อคำ ก่อนอื่นเขาออกตัวว่าเขาเองไม่ได้เป็นผู้ชำนาญด้านเงินสกุลคริปโตเคอร์เรนซี่ การที่เขาเองมาเขียนบทความให้ความเห็นเกี่ยวกับบิตคอยน์แบบเต็มตัวเป็นครั้งแรก ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการนำคำพูดบางประโยคของเขาที่ให้ความเห็นเพื่อตอบคำถามที่พิธีกรถามในงานต่าง ๆ แล้วมีการไปตีความให้สอดคล้องกับบริบทของผู้ที่ต้องการสื่อสารเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ดาลิโอ ได้แบ่งบทความนี้ ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก เป็นความเห็นของเขาเองแบบที่เขียนเอง และ ส่วนที่สอง คือ บทวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ให้ทีมงานของเขาช่วยเพิ่มตัวเลขและสถิติต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนบทความในส่วนแรก ผมขอพูดถึงความคิดเห็นของดาลิโอก่อน โดยดาลิโอชมบิตคอยน์ว่า ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการเงิน ทว่าเขาเองก็มองว่าด้วยทั้งปัจจัยทางเทคนิค การเมือง และธนาคารกลาง ทำให้เขามองว่าบิตคอยน์ยังไม่ใช่การลงทุน ทว่าเป็นเพียงการซื้อ ‘ออปชั่น’ เผื่อว่าจะได้กำไรก้อนโต โดยเขาได้แบ่งจุดเด่นและจุดด้อยของบิตคอยน์ไว้เป็นอย่างละ 3 ประการ โดยขอเริ่มจาก จุดเด่น ก่อน ดังนี้ 1. ดาลิโอ เปรียบเทียบ บิตคอยน์ เหมือนกับนวัตกรรมทางการเงินอย่าง Medicis เมื่อปี 1350 ที่สามารถเป็นเสมือนผลิตภัณฑ์สินเชื่อรูปแบบใหม่ที่สามารถตีตลาดการเงินในยุคนั้น จนสามารถทำให้นักลงทุนทำกำไรจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าว 2. ในแง่ของการตลาด ดาลิโอให้ความเห็นว่าบิตคอยน์สามารถหาตลาดซึ่งต้องการมีความเป็นส่วนตัวและไม่ได้มีขนาดใหญ่มากเพื่อมาแข่งกับทองคำได้สำเร็จ โดยตลาดดังกล่าวถือเป็น untapped demand มาอย่างยาวนาน 3. ดาลิโอได้ชมบิตคอยน์ว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ได้ก้าวข้ามผ่านการเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็งกำไรระยะสั้นแบบสมบูรณ์ มาเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงมากทว่าก็สามารถใช้เก็บมูลค่าได้ไว้ในอนาคตแม้จะอยู่ในระดับที่ไม่มากนัก ส่วนจุดด้อยของบิตคอยน์ ที่ดาลิได้กล่าวไว้ มี 3 ประการเช่นกัน ดังนี้ 1. แม้บิตคอยน์จะมีจุดเด่นเมื่อเทียบกันเงินสกุลเงินสกุลคริปโตประเภทอื่น ๆ ที่มีอุปทานของเหรียญอยู่จำกัด ทว่าดาลิโอมองว่าจุดเด่นดังกล่าว ไม่น่าจะเพียงพอที่จะสกัดไม่ให้เงินสกุลคริปโตใหม่ ๆ ในอนาคต ที่จะมาตีตลาดบิตคอยน์ให้หล่นจากเบอร์ 1 ในบรรดาสกุลเงินคริปโตได้ โดยยกตัวอย่างมือถือแบล็กเบอร์รี ที่การจำกัดจำนวนเครื่องหรือบริษัทเดียวที่ผลิตได้ ยังไม่เพียงพอต่อการอยู่เป็นเจ้าตลาดอย่างยั่งยืน 2. แม้บิตคอยน์จะมีเทคโนโลยีที่โฆษณาตนเองว่าไม่สามารถจะโดนเจาะระบบหรือแฮ็กได้ ทว่าดาลิโอมองว่า สิ่งนี้ก็อาจไม่เป็นจริงตลอดไปในอนาคต โดยได้อ้างอิงถึงหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐที่ยังถูกมือดีเจาะระบบได้เมื่อเร็ว ๆ นี้ รวมถึงการเป็นผู้เล่นแบบ Cyber Defense หรือคอยเป็นผู้รับหรือป้องกันไม่ให้ตนเองถูกเจาะระบบ ถือว่าเสียเปรียบต่อการเป็น Cyber Offense หรือผู้ที่จ้องเจาะระบบคอมพิวเตอร์หน่วยงานอื่น ๆ 3. การที่ตลาดบิตคอยน์มีอุปทานที่ถือว่ามีปริมาณคงที่ ราคาของบิตคอยน์ จึงถูกกำหนดโดยระดับอุปสงค์ ซึ่งดาลิโอมองว่าหากเขาเองเป็นรัฐบาลหรือธนาคารกลาง เมื่อเห็นว่าบิตคอยน์กำลังทำหน้าที่ถือเป็นคู่แข่งของเงินสกุล (fiat money) ของตนเอง เขาเองคงจะต้องลดระดับอุปสงค์ของบิตคอยน์ ด้วยการหาทางขัดขวางหรือจำกัดไม่ให้ประชาชนสามารถใช้บิตคอยน์ได้ตามต้องการ ผ่านการออกกฎเกณฑ์หรือระเบียบทางการเงิน หรือการหาเหตุผลทางสังคมหรือเทคโนโลยีในการสกัดไม่ให้ประชาชนต้องการใช้ หรือสะสมบิตคอยน์เพื่อหวังทำกำไรให้กับตนเอง นอกจากนี้ ในส่วนที่ทีมงานของดาลิโอวิเคราะห์ไว้ ได้มองบิตคอยน์ในลักษณะที่เป็นเหมือนการซื้อออปชั่นเพื่อหวังกำไรคำโต ๆ ทว่าก็ต้องทำใจหากจะต้องเสียเงินไปกับการซื้อพรีเมี่ยมของออปชั่นแบบทั้งจำนวน หากเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามคาด หากพิจารณาจากสถิติระยะเวลาการถือครองหรือการเทรดระหว่างกัน พบว่ามีเพียงราวหนึ่งในห้าที่ถือบิตคอยน์ยาวนานเกิน 5 ปี รวมถึงมีค่าเฉลี่ยปริมาณการเทรดต่อวันเมื่อเทียบปริมาณคงค้าง ก็พบว่าอยู่ที่ระหว่างร้อยละ 20-50 ในขณะที่ทองคำเทรดกันไม่ถึงร้อยละ 1 อีกทั้งความผันผวนของราคาบิตคอยน์อยู่ที่ร้อยละ 20-28 ส่วนความผันผวนของหุ้นสหรัฐและทองคำไม่ถึงร้อยละ 5 อย่างไรก็ดี แม้นักลงทุนสถาบันบางแห่งจะประกาศว่าสนใจจะถือบิตคอยน์เพิ่มขึ้น ทว่าด้วยโครงสร้างตลาดรวมถึงสภาพคล่องของบิตคอยน์ ก็ยังถือเป็นการยากมาก ๆ จนอาจจะพูดได้ว่าแทบเป็นไปได้ที่บิตคอยน์จะกลายเป็นหนึ่งในชั้นสินทรัพย์สำหรับการลงทุนในเร็ววันนี้ ผมมองว่าดาลิโอเขียนบทความนี้ได้อย่างเป็นกลางค่อนข้างมาก ทว่ามีอยู่สองจุดซึ่งผมมองดาลิโออาจจะตั้งใจไม่เน้น คือความโปร่งใสของผู้ถือครองรายใหญ่ในโลกของบิตคอยน์ รวมถึงการสร้างเรื่องราวของบิตคอยน์ให้กลายเป็นดราม่าแห่งโลกการลงทุนผ่านการเขียนตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมถึงบทความ White Paper ในบิตคอยน์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกับการสร้างเหตุการณ์ที่บ้านกกกอดในบ้านเราให้โด่งดัง ผ่านการปั่นกระแสเรื่องราวลุง ๆ ป้า ๆ ในหมู่บ้านดังกล่าวอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแต่ว่าสำหรับบิตคอยน์นั้น มีความโลภและเม็ดเงินผสมเข้ามาเพื่อให้ติดตลาดได้ง่ายในยุคโควิด จนทำให้กลายเป็นเรื่องราวของการลงทุนแห่งยุคมิลเลนเนี่ยมได้ตามแบบช่องทีวีข่าวในบ้านเราได้เคยทำไว้ | บทความนี้จะขอนำเสนอมุมมองดังกล่าวผ่านความเห็นจาก เรย์ ดาลิโอ โดย บทความนี้ ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก เป็นความเห็นของเขาเองแบบที่เขียนเอง และ ส่วนที่สอง คือ บทวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ให้ทีมงานของเขาช่วยเพิ่มตัวเลขและสถิติต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนบทความในส่วนแรก
ดาลิโอชมบิตคอยน์ว่า บิตคอยน์ยังไม่ใช่การลงทุน ทว่าเป็นเพียงการซื้อ ‘ออปชั่น’ เผื่อว่าจะได้กำไรก้อนโต โดยเขาได้แบ่งจุดเด่นและจุดด้อยของบิตคอยน์ไว้เป็นอย่างละ 3 ประการ
1. ดาลิโอ เปรียบเทียบ บิตคอยน์ เหมือนกับนวัตกรรมทางการเงินอย่าง Medicis
2. ในแง่ของการตลาด ดาลิโอให้ความเห็นว่าบิตคอยน์สามารถหาตลาดซึ่งต้องการมีความเป็นส่วนตัวและไม่ได้มีขนาดใหญ่มากเพื่อมาแข่งกับทองคำได้สำเร็จ
3. ดาลิโอได้ชมบิตคอยน์ว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ได้ก้าวข้ามผ่านการเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็งกำไรระยะสั้นแบบสมบูรณ์
ส่วนจุดด้อยของบิตคอยน์ ที่ดาลิได้กล่าวไว้ มี 3 ประการเช่นกัน ดังนี้
1. แม้บิตคอยน์จะมีจุดเด่นเมื่อเทียบกันเงินสกุลเงินสกุลคริปโตประเภทอื่น ๆ ที่มีอุปทานของเหรียญอยู่จำกัด ทว่าดาลิโอมองว่าจุดเด่นดังกล่าว ไม่น่าจะเพียงพอที่จะสกัดไม่ให้เงินสกุลคริปโตใหม่ ๆ ในอนาคต ที่จะมาตีตลาดบิตคอยน์ให้หล่นจากเบอร์ 1 ในบรรดาสกุลเงินคริปโตได้
2. แม้บิตคอยน์จะมีเทคโนโลยีที่โฆษณาตนเองว่าไม่สามารถจะโดนเจาะระบบหรือแฮ็กได้ ทว่าดาลิโอมองว่า สิ่งนี้ก็อาจไม่เป็นจริงตลอดไปในอนาคต
3. การที่ตลาดบิตคอยน์มีอุปทานที่ถือว่ามีปริมาณคงที่ ราคาของบิตคอยน์ จึงถูกกำหนดโดยระดับอุปสงค์ ซึ่งดาลิโอมองว่าหากเขาเองเป็นรัฐบาลหรือธนาคารกลาง
หากพิจารณาจากสถิติระยะเวลาการถือครองหรือการเทรดระหว่างกัน พบว่ามีเพียงราวหนึ่งในห้าที่ถือบิตคอยน์ยาวนานเกิน 5 ปี
มีอยู่สองจุดซึ่งผมมองดาลิโออาจจะตั้งใจไม่เน้น คือความโปร่งใสของผู้ถือครองรายใหญ่ในโลกของบิตคอยน์ รวมถึงการสร้างเรื่องราวของบิตคอยน์ให้กลายเป็นดราม่าแห่งโลกการลงทุนผ่านการเขียนตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ
สำหรับบิตคอยน์นั้น มีความโลภและเม็ดเงินผสมเข้ามาเพื่อให้ติดตลาดได้ง่ายในยุคโควิด จนทำให้กลายเป็นเรื่องราวของการลงทุนแห่งยุคมิลเลนเนี่ยมได้ | เทคโนโลยีทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1744 | Finance | ใครไม่เหมาะกับการซื้อกองทุน K-USA-A(D) และ K-USA-A(A) | A. กบ ต้องการลงทุนระยะยาวประมาณ 7 ปี
B. ก้อย ต้องการผลตอบแทนสูงแลกกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น
C. กิ่ง ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน และรักษาเงินต้นให้อยู่ครบ
D. ไก่ ต้องการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นอเมริกา | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ C. เนื่องจาก K-USA-A กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นอเมริกาหรือ กองทุนเปิดเค ยูเอสเอจัดการโดย บลจ. กสิกรไทย มีให้เลือก 2 คลาส ได้แก่
- K-USA-A(D) เป็นชนิดจ่ายปันผล (Dividend) เริ่มเปิดกองมาตั้งแต่วันที่ 7 ก.ย. 55
- K-USA-A(A) เป็นชนิดสะสมมูลค่า (Accumulation) เปิดกองตามมาทีหลังเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 62
ทั้ง 2 กองเป็น กองทุนประเภท Feeder Fund หรือกองทุนที่ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศอีกต่อหนึ่ง มีนโยบายการลงทุนเหมือนกันทุกประการ ต่างกันแค่ชื่อกับชนิดหน่วยลงทุน เหมาะสำ
หรับผู้ลงทุนที่มีคุณสมบัติดังนี้
1. นักลงทุนที่อยากกระจายการลงทุนไปยังหุ้นอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่ง มีบุคลากรคุณภาพ เติบโตไว และพิสูจน์มาแล้วว่าเป็นประเทศที่เอาอยู่ในทุกสถานการณ์
2. กองทุนนี้เป็นกองทุนตราสารทุน ความเสี่ยงระดับ 6 มีความผันผวนค่อนข้างสูง เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
3. ควรลงทุนตามสัดส่วนที่เรารับความเสี่ยงได้ ไม่ลงทุนมากเกินกำลัง
4. กองทุนนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่เน้นการได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน หรือรักษาเงินต้นให้อยู่ครบ
5. เหมาะกับการลงทุนระยะยาว โดยผู้ลงทุนควรมีเงินเย็นลงทุนในระยะยาวได้ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1745 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของกองทุน B-INNOTECH | null | B-INNOTECH คือกองทุนรวมประเภทอุตสาหกรรม ที่สามารถลงทุนได้ในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก เป็นกองทุนเปิดที่เน้นเจาะหุ้นเฉพาะกลุ่ม และมีความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับ 7 โดย B-INNOTECH มีชื่อกองทุนเป็นภาษาไทยว่า กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี จะมีการลงทุนตามกองทุน Fidelity Funds – Global Technology Fund Y-Acc-USD ซึ่งเป็นกองทุนแม่ของกองทุนรวมนี้ ส่วนใหญ่กองทุน B-INNOTECH จะถือหุ้นที่เป็นหุ้นจากบริษัทเทคโนโลยี
บทเรียนจากย่อหน้านี้
B-INNOTECH ชื่อเต็มคือ กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี เป็นกองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (เจาะหุ้นเฉพาะกลุ่ม มีความเสี่ยงกองทุนระดับ 7) ลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก โดยกอง B-INNOTECH ลงทุนตามกองแม่ (Feeder Fund) คือ Fidelity Funds – Global Technology Fund Y-Acc-USD
กองนี้ถือหุ้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเป็นส่วนใหญ่ หลายบริษัททุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น Apple ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านล้านเหรียญเป็นบริษัทแรกของสหรัฐฯ และตอนนี้ก็ยังอยู่ในตำแหน่งต้นๆ ของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เรียกได้ว่าโตวันโตคืน, Samsung Electronics บริษัทที่ทุกคนรู้ว่าผลิตมือถือ แต่รายได้จากการขายมือถือมีสัดส่วนไม่ถึงครึ่ง รายได้ส่วนใหญ่มาจาก Semiconductor ต่างหาก, Alphabet ทุกวันนี้เว็บไซต์ที่คนเข้าเยอะสุดทุกวัน 2 อันดับแรกคือ Google และ Youtube ซึ่งทั้งสองเว็บเป็นของ Alphabet ทั้งหมด และตัวอย่างบริษัทอื่นๆ ที่เราอาจจะไม่คุ้นชื่อ เช่น NXP, Analog Devices หรือแม้แต่บริษัทที่รู้จักคุ้นหูกันเป็นดีอย่าง Intel บริษัทเหล่านี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับ Semiconductor และการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งอุปกรณ์ไอทีที่ใช้อยู่ทุกวันล้วนต้องอาศัยชิ้นส่วนเหล่านี้ทั้งนั้น
ซึ่งสามารถเป็นเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกได้ง่ายๆ เพียงแค่มีกองทุน B-INNOTECH อยู่ในพอร์ต ซึ่งกองทุน B-INNOTECH จะไปลงทุนในกอง Fidelity Funds – Global Technology Fund Y-Acc-USD อีกที ซึ่งกองนี้จะไปคัดเลือกและซื้อหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพมาสะสมไว้ | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1748 | Finance | Dogecoin คืออะไร | เหรียญน้องหมา Dogecoin ทำไมถึงขึ้นกว่า 400% !?
เมื่อไม่นานมานี้ ราคาเหรียญน้องหมาชิบะ Dogecoin (DOGE) ได้ปรับสูงขึ้นกว่า 400% จากประมาณ 0.5 บาท ขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ประมาณ 2 บาทภายในวันเดียว บนกระดานเทรดคริปโทเคอร์เรนซีของไทยอย่าง Bitkub อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของการปรับขึ้นครั้งนี้กันแน่? Dogecoin คืออะไร? ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักเหรียญ Dogecoin กันก่อน โดยเจ้าเหรียญ Dogecoin มีที่มาจากมีม (Meme) Doge ที่ล้อเลียนคำว่า Dog บนโลกอินเทอร์เน็ต ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ Knowyourmeme มีมนี้เกิดขึ้นมาในปี 2013 และได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนถูกยกย่องให้เป็น “Meme of the year” ของปีนั้นเลยทีเดียว สำหรับเหรียญ Dogecoin ถูกสร้างขึ้นโดยนาย Billy Markus วิศวกรซอฟต์แวร์ของ IBM และนาย Jackson Palmer วิศวกรซอฟต์แวร์ของ Adobe โดยมีแนวคิดที่จะสร้างสกุลเงินดิจิทัลที่ “รวดเร็ว เป็นมิตร สนุก และปราศจากค่าธรรมเนียมธนาคาร” แรกเริ่มนั้น นาย Jackson แค่กล่าวติดตลกเกี่ยวกับ Dogecoin บนอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ก่อนที่นาย Billy จะติดต่อเข้ามา ทั้งคู่เลยตัดสินสร้าง Dogecoin ขึ้นมาจริง ๆ เสียอย่างนั้น Dogecoin ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2013 โดยมีเทคโนโลยีพื้นฐานเหมือนกับ Litecoin และ Luckycoin ที่ใช้ระบบ Proof-of-work เหมือนกัน ส่งผลให้ Dogecoin ไม่มีฟีเจอร์สำคัญอะไรที่แตกต่างไปจากสกุลเงินดิจิทัลสกุลอื่น ๆ ในช่วงนั้น จุดเปลี่ยนสำคัญของ Dogecoin ด้วยความที่เป็นเหรียญที่ดูเป็นมิตร ทำให้ Dogecoin มีชุมชนที่ให้สนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมากพอสมควร ส่งผลให้เกิดการนำ Dogecoin มาใช้กันจริง ๆ โดยหลัก ๆ จะใช้ในการ “ให้ทิป” บนโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง Reddit หรือ Twitch แก่ผู้ที่ทำคอนเทนต์หรือแสดงความคิดเห็นออกมาได้น่าสนใจ คล้าย ๆ กับการกด Like บน Facebook หมายความว่ามูลค่าของ Dogecoin ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง แต่มาจากเครือข่ายการใช้งานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง และในช่วงต้นปี 2018 นั่นเอง Dogecoin ได้กลายเป็นที่สนใจของบรรดาสื่อมวลชนต่างประเทศ เนื่องจากมูลค่าตลาดรวมของ Dogecoin ได้ขึ้นแตะระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับ Dogecoin ออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ จึงส่งผลให้มีนักลงทุนหน้าใหม่ ๆ ไหลเข้ามากันอย่างล้นหลาม ปัจจุบัน Dogecoin กลายเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดรวมกันสูงที่สุดอันดับที่ 7 ของโลก โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามข้อมูลจาก Coinmarketcap สาเหตุที่แท้จริงของการขึ้นครั้งล่าสุด? หากติดตามข่าวตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้ ก็น่าจะเห็นกรณีของหุ้น Gamestop ที่ถูกเข้าซื้อโดยนักลงทุนรายย่อยจนราคาขึ้นกว่า 1,700% ภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ เกิดจากการที่ผู้ใช้ในกลุ่ม Wall Street Bets (WSB) ของเว็บบอร์ด Reddit ที่มีสมาชิกในกลุ่มถึง 3 ล้านคน พยายามปลุกกระแสต่อต้านนายทุนในตลาด Wall Street ที่พากันตั้งสถานะ Short Selling ในหุ้น Gamestop มาโดยตลอด (การ Short Selling อธิบายง่าย ๆ ได้ว่าเป็นการคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะตก เพื่อรอทำกำไรเมื่อราคาตกลงมาจริงๆ) กลุ่ม WSB ต้องการที่จะ “สั่งสอน” พวกนายทุนเหล่านี้ จึงปลุกกระแสให้คนในกลุ่ม WSB และทั้งเว็บบอร์ด Reddit พากันไปซื้อหุ้นของ Gamestop เพื่อหนุนให้ราคาหุ้นสูงขึ้นมา ส่งผลให้เหล่านายทุนขาดทุนกันไปอย่างยับเยิน ใช่แล้ว สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาของ Dogecoin พุ่งสูงขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ นี้มาจากการที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์นามว่า WSB Chairman ที่มีผู้ติดตามเกือบ 7 แสนคน เป็นผู้เริ่มปลุกกระแส โดยทวีตข้อความสั้น ๆ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า “Doge เคยขึ้นไปถึง 1 ดอลลาร์หรือเปล่านะ?” จากนั้นไม่นานก็เริ่มเกิดความเคลื่อนไหวภายในกลุ่ม WSB ไม่ว่าจะเป็นในเว็บบอร์ด Reddit หรือแม้กระทั่งในกลุ่ม Telegram ไม่ใช่แค่ WSB Chairman เท่านั้น แต่บุคคลที่ทั้งโลกกำลังจับตามองอย่างนาย Elon Musk CEO ของ Tesla ก็มีการทวีตข้อความถึง Dogecoin เมื่อไม่นานมานี้ด้วยเช่นกัน โดยเป็นการทวีตรูปปกนิตยสารที่เป็นรูปสุนัขเท่านั้น แต่ก็เป็นการช่วยหนุนกระแสเข้าซื้อ Dogecoin ให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Elon Musk กล่าวถึง Dogecoin โดยในเดือน ธ.ค. ปีที่ผ่านมา Elon Musk ได้ทวีตข้อความสั้น ๆ ว่า “ขอคำเดียว: Doge” แต่ก็ทำให้ราคา Dogecoin ในช่วงนั้นปรับขึ้นไปถึง 20% และหากย้อนกลับไปอีกในเดือน ก.ค. นาย Elon Musk ก็ได้ทวีตรูปเกี่ยวกับ Dogecoin และครั้งนั้นก็ทำให้ราคา Dogecoin พุ่งขึ้นไปถึง 14% เลยทีเดียว ในขณะที่เขียนบทความนี้ ราคาของเหรียญ Dogecoin ได้พุ่งสูงขึ้นถึง 443% จากระดับ 0.5 บาท ทำระดับสูงสุดที่ 2.0589 บาท บนกระดานเทรด Bitkub ขณะที่ยอดแฮชแท็ก #Dogecoin บนโลกอินเทอร์เน็ตก็พุ่งสูงขึ้นถึง 1800% กลายเป็น Altcoin เหรียญแรกที่มีคนกล่าวถึงมากกว่า Bitcoin ในระยะเวลา 24 ชม. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าจดจำของวงการคริปโทเคอร์เรนซี การที่มูลค่าของสินทรัพย์จะสามารถปรับขึ้นได้อย่างรุนแรงในระยะเวลาสั้น ๆ จากการเข้าซื้อจากนักลงทุนรายย่อย แสดงให้เห็นถึงพลังของโซเชียลเน็ตเวิร์คและคนตัวเล็ก ๆ ที่มารวมตัวกัน ทำให้สามารถสั่นคลอนได้แม้กระทั่งตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Wall Street รวมถึงตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งเป็นตลาดที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ อ้างอิง: Cointelegraph, Commodity.com, CNN, Coinmarketcap Bitkub.com | เหรียญ Dogecoin มีที่มาจากมีม (Meme) Doge ที่ล้อเลียนคำว่า Dog บนโลกอินเทอร์เน็ต ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ Knowyourmeme มีมนี้เกิดขึ้นมาในปี 2013 และได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนถูกยกย่องให้เป็น “Meme of the year” ของปี 2013 เลย
สำหรับเหรียญ Dogecoin ถูกสร้างขึ้นโดยนาย Billy Markus วิศวกรซอฟต์แวร์ของ IBM และนาย Jackson Palmer วิศวกรซอฟต์แวร์ของ Adobe โดยมีแนวคิดที่จะสร้างสกุลเงินดิจิทัลที่ “รวดเร็ว เป็นมิตร สนุก และปราศจากค่าธรรมเนียมธนาคาร” แรกเริ่มนั้น นาย Jackson แค่กล่าวติดตลกเกี่ยวกับ Dogecoin บนอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ก่อนที่นาย Billy จะติดต่อเข้ามา ทั้งคู่เลยตัดสินสร้าง Dogecoin ขึ้นมาจริง ๆ เสียอย่างนั้น
Dogecoin ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2013 โดยมีเทคโนโลยีพื้นฐานเหมือนกับ Litecoin และ Luckycoin ที่ใช้ระบบ Proof-of-work เหมือนกัน ส่งผลให้ Dogecoin ไม่มีฟีเจอร์สำคัญอะไรที่แตกต่างไปจากสกุลเงินดิจิทัลสกุลอื่น ๆ ในช่วงนั้น
ด้วยความที่เป็นเหรียญที่ดูเป็นมิตร ทำให้ Dogecoin มีชุมชนที่ให้สนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมากพอสมควร ส่งผลให้เกิดการนำ Dogecoin มาใช้กันจริง ๆ โดยหลัก ๆ จะใช้ในการ “ให้ทิป” บนโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง Reddit หรือ Twitch แก่ผู้ที่ทำคอนเทนต์หรือแสดงความคิดเห็นออกมาได้น่าสนใจ คล้าย ๆ กับการกด Like บน Facebook หมายความว่ามูลค่าของ Dogecoin ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง แต่มาจากเครือข่ายการใช้งานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง
และในช่วงต้นปี 2018 นั่นเอง Dogecoin ได้กลายเป็นที่สนใจของบรรดาสื่อมวลชนต่างประเทศ เนื่องจากมูลค่าตลาดรวมของ Dogecoin ได้ขึ้นแตะระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับ Dogecoin ออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ จึงส่งผลให้มีนักลงทุนหน้าใหม่ ๆ ไหลเข้ามากันอย่างล้นหลาม | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1751 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สมมติฐานและเงื่อนไขที่กำหนดใน Fix % VS Volatility | null | สำหรับ Fix % VS Volatility มีสมมติฐานและเงื่อนไขที่จะต้องกำหนด 4 อย่างด้วยกัน ได้แก่ เงินลงทุนซึ่งต้องเริ่มต้น 1 ล้านบาท ช่วงเวลาที่ทดสอบ จะใช้วันที่ 1 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ดังนั้น การทดสอบจะใช้เวลา 5 ปี ต่อมาเป็นกลยุทธ์การซื้อขาย ใช้แบบ Donchian Channel และเงื่อนไขสุดท้ายก็คือ สินทรัพย์ที่ใช้ทดสอบ โดยใช้สกุลเงิน Cryptocurrency ทั้งหมด 6 ชนิด
บทเรียนจากย่อหน้านี้
Fix % VS Volatility สมมติฐานและเงื่อนไขที่กำหนดคือ
- เงินลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท
- ช่วงเวลาที่ทดสอบ 1/1/2015-31/10/2020
- กลยุทธ์การซื้อขาย Donchian Channel
- สินทรัพย์ที่ทดสอบ Cryptocurrency 6 ชนิด
จะสังเกตเห็นว่าการกำหนดน้ำหนักการลงทุนแบบ Fix % เอาไว้ที่ 20 % ต่อหนึ่งตัว พูดง่ายๆ คือในพอร์ตจะลงทุนเต็มที่ได้เพียง 5 เหรียญเท่านั้น ซึ่งการกำหนดแบบนี้จะง่ายต่อการทำความเข้าใจ ง่ายต่อการใช้จริง เพราะไม่ต้องคำนวณอะไรมากมาย แต่ข้อเสียคือ ไม่ได้นำความผันผวนหรือความเสี่ยงของแต่ละเหรียญเข้ามาคำนวณเลย จะทราบดีว่าช่วงเวลาเดียวกันแต่สินทรัพย์แต่ละตัวก็มีความผันผวนไม่เท่ากัน ฉะนั้นไม่ Make Sense เลยที่จะซื้อเหรียญที่ผันผวนสูงเท่ากับเหรียญที่ผันผวนต่ำๆ | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1752 | Finance | จงบอกหุ้น 5 อันดับแรก ที่กองทุน 1AMSET50-RA ลงทุน | null | กองทุน 1AMSET50-RA ลงทุนในหุ้น 91.98% ในสินทรัพย์และหนี้สินอื่น 8.02% โดยหุ้น 5 อันดับแรกที่กองทุนนี้ถือ คือ
1. PTT
2. AOT
3. INTUCH
4. IVL
5. ADVANC
กองทุน 1AMSET50-RA มีชื่อ SET50 แอบแฝงอยู่ แต่จะแตกต่างจากกองทุน SET50 อื่นๆ เนื่องจากเป็นกองทุน Active ที่ถือหุ้นทั้งหมดประมาณ 25-30 บริษัท เพื่อให้ผลตอบแทนมีโอกาสชนะตลาดได้ โดยจะกระจายการลงทุนในหุ้นใหญ่เป็นหลักประมาณ 65% และอีก 35% เป็นการไปลงทุนในบริษัทนอก SET50 โดยจะมีการเลือกลงทุนในอุตสาหกรรม (Sector) ตามแนวโน้มเศรษฐกิจ (Top-Down Approach)
ผลตอบแทนของกองทุน 1AMSET50-RA ถือว่าทำได้ดี ชนะค่าเฉลี่ยในกลุ่ม ส่วนในฝั่งของ Standard Deviation หรือ ค่าความเสี่ยง ยิ่งต่ำยิ่งดี จะเห็นว่ามีค่าที่ใกล้เคียงกับในกลุ่ม นั่นหมายถึงในความเสี่ยงที่เท่ากัน กองทุนนี้สามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่า ซึ่งถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ
กองทุน 1AMSET50-RA มีค่าธรรมเนียมขาเข้าอยู่ที่ 0.27% ถ้าเทียบกับในกอง Active ด้วยกันถือว่าถูกมาก เพราะกองทุนหุ้นส่วนใหญ่จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ประมาณ 1% ทว่าถ้าเทียบกับกอง Passive ใน SET50 ก็จะสูงกว่า (ไม่มาก) แต่มีโอกาสที่จะทำผลตอบแทนได้ดีกว่า เนื่องจากผู้จัดการมีการคัดเลือกหุ้นให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด มูลค่าสำหรับการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดๆ ไปเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1756 | Finance | การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF นั้น เหมาะกับทุกคนหรือไม่ จงอธิบาย | null | การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF นั้น เหมาะกับผู้ที่มีรายได้และต้องการออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น การเกษียณอายุ หรือเพื่อการศึกษาบุตร
ข้อดี:
สิทธิประโยชน์ทางภาษี: ผู้ลงทุนสามารถนำเงินที่ลงทุนในกองทุน SSF และ RMF ไปหักลดหย่อนภาษีได้
โอกาสรับผลตอบแทน: มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินออมทรัพย์
วินัยในการออม: การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF เป็นการส่งเสริมวินัยในการออมเงิน
ข้อเสีย:
ความเสี่ยง: กองทุน SSF และ RMF ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าเงินลงทุน หรืออาจขาดทุน
สภาพคล่อง: เงินลงทุนในกองทุน SSF และ RMF มีสภาพคล่องต่ำ ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินออกมาใช้ได้ก่อนครบกำหนด
**ดังนั้น การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF นั้น เหมาะกับผู้ที่มีรายได้และต้องการออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะยาว **
ผู้ลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน:
เป้าหมายการลงทุน: เป้าหมายการลงทุนของผู้ลงทุนคืออะไร
ระยะเวลาการลงทุน: ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้นานแค่ไหน
ความเสี่ยงที่รับได้: ผู้ลงทุนรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน
สภาพคล่อง: ผู้ลงทุนต้องการใช้เงินลงทุนก่อนครบกำหนดหรือไม่
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุน SSF และ RMF อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกอื่น ๆ สำหรับการออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น
ประกันชีวิต: ประกันชีวิตบางประเภทมีเงินออมครบกำหนด
กองทุนรวม: กองทุนรวมมีหลากหลายประเภท ผู้ลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยง
การออมเงินแบบออมทรัพย์พิเศษ: เงินฝากออมทรัพย์พิเศษมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป
ผู้ลงทุนควรเลือกวิธีออมเงินที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ความเสี่ยง และสภาพคล่องของตนเอง | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1759 | Finance | การลงทุนใน Bitcoin โดยไม่มีวินัยและความสม่ำเสมอ ส่งผลต่อผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนหรือไม่ | null | ใช่ การลงทุนใน Bitcoin โดยไม่มีวินัยและความสม่ำเสมอ ส่งผลต่อผลตอบแทนของพอร์ตลงทุน เหตุผล:
Bitcoin มีความผันผวนสูง: ราคา Bitcoin มีการขึ้นลงรุนแรงในระยะสั้น การลงทุนโดยไม่มีวินัย เช่น ซื้อตอนราคาสูง ขายตอนราคาต่ำ อาจทำให้สูญเสียเงินทุน
การพลาดโอกาส: Bitcoin มีผลตอบแทนรายปีที่สูง แต่มีบางเดือนที่ให้ผลตอบแทนติดลบ การลงทุนโดยไม่มีความสม่ำเสมอ เช่น พลาดโอกาสลงทุนในเดือนที่มีผลตอบแทนสูง อาจทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตลดลง
อารมณ์: การลงทุนโดยไม่มีวินัย อาจทำให้ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ เช่น ซื้อตอน FOMO ขายตอน Panic ส่งผลต่อผลตอบแทนของพอร์ต
ตัวอย่าง:
จากข้อมูลของ FINNOMENA Podcast Ep.7 พบว่า:
Bitcoin มีผลตอบแทนรายปีที่สูง แต่มีบางเดือนที่ให้ผลตอบแทนติดลบ
การตัดเดือนที่มีผลตอบแทนดีที่สุด 1 เดือน ออกไป ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตลดลง
การตัดเดือนที่มีผลตอบแทนดีที่สุด 2 เดือน ออกไป ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตลดลง significantly
สรุป:
การลงทุนใน Bitcoin โดยไม่มีวินัยและความสม่ำเสมอ อาจทำให้พลาดโอกาส สูญเสียเงินทุน และผลตอบแทนของพอร์ตลดลง
คำแนะนำ:
ลงทุนใน Bitcoin ตามกลยุทธ์ที่ชัดเจน
กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ
ใจเย็น มีวินัย และควบคุมอารมณ์
หมายเหตุ:
ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ | ความรู้ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1762 | Finance | GDP คืออะไร | 1. การนำเข้า (รับสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย)
2. เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจในการศึกษาเปรียบเทียบถึงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยใช้ข้อมูลจากการศึกษาเปรียบเทียบในการวางแผนและกำหนดนโยบายต่าง ๆ สำหรับพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ
3. การลงทุนของภาคเอกชน ในการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ถนนทางเดิน รถไฟฟ้า
4. การใช้จ่ายของรัฐบาล หรือ การลงทุนภาครัฐ ตามนโยบายต่างๆ | ข้อที่ถูกต้องคือ 2. เพราะว่า ดูเศรษฐกิจโลกแบบง่ายๆ เริ่มจากอะไร
รู้จัก GDP หากพูดถึงภาพรวมเศรษฐกิจในภาพรวม มักจะดูที่ GDP กัน คงจะได้ยินคำนี้กันบ่อยๆ แต่ GDP คืออะไร สำคัญยังไง เราจะเล่าให้ฟัง หากพูดถึงภาพรวมเศรษฐกิจในภาพรวม มักจะดูที่ GDP กัน คงจะได้ยินคำนี้กันบ่อยๆ แต่ GDP คืออะไร สำคัญยังไง เราจะเล่าให้ฟัง GDP คือ อะไร?
GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product หรือแปลเป็นไทยว่าผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ แปลจากไทยเป็นไทยอีกที คือ การที่นับรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศเท่านั้น ไม่ว่าจะสัญชาติใดก็ตาม โดย GDP ประเทศไทย จะนับการคำนวณเฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นในไทยเท่านั้น แต่ถ้าเป็นคนไทย แล้วมีรายได้ที่ต่างประเทศ ไม่นับ อันนั้นเรียก GNP : Gross National Product ที่จะนับเฉพาะรายได้จากคนไทยเท่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใดในโลกนี้ก็ตาม
แล้ว GDP เอาไว้ทำอะไร ?
GDP เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจในการศึกษาเปรียบเทียบถึงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยใช้ข้อมูลจากการศึกษาเปรียบเทียบในการวางแผนและกำหนดนโยบายต่าง ๆ สำหรับพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ
การคำนวณ GDP มีกี่วิธี ?
การคำนวณ GDP จะมี 3 วิธีด้วยกัน ได้แก่
- ด้านรายได้: เป็นการคำนวณ GDP โดยการรวมรายได้ประเภทต่าง ๆ ที่บุคคลได้รับในฐานะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตในรอบระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
- ด้านรายจ่าย: เป็นการคำนวณ GDP โดยการนำรายจ่ายของครัวเรือนในการซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายรวมกันในระยะเวลา 1 ปี
- ด้านผลผลิต: เป็นการคำนวณ GDP โดยการรวมมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจจะเป็นตัววัด
มูลค่าของสินค้าและบริการ GDP ด้านรายจ่ายประกอบด้วยอะไรบ้าง?
C = Consumption คือ การบริโภคของภาคเอกชนและประชาชน เป็นการจับจ่ายใช้สอยทั่วไป เช่น ค่าอาหาร สาธาณูปโภค เป็นต้น
I = Investment คือ การลงทุนของภาคเอกชน ในการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ถนนทางเดิน รถไฟฟ้า ฯลฯ
G = Government Spending คือ การใช้จ่ายของรัฐบาล หรือ การลงทุนภาครัฐ ตามนโยบายต่างๆ
X = Export คือ การส่งออก (ขายสินค้าให้กับต่างประเทศ)
M = Import คือ การนำเข้า (รับสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย)
มีสมการด้วยนะ GDP = C+I+G+(X-M) ทำไมต้องเขียนว่า X-M? การเขียนแบบนี้หมายถึง Net Export เป็นการดูมูลค่าการส่งออกสุทธิ เปรียบเหมือนการส่งออกคือรายได้ การนำเข้าคือรายจ่าย | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1767 | Finance | การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉินหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
กองทุนรวมตราสารหนี้ ลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรองค์กร เอกสารสิทธิ์การเงิน ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อค้ำประกัน ฯลฯ
-ตราสารหนี้ มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเช่นกัน
-กองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี หมายถึง กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี ซึ่งหมายความว่า เงินลงทุนจะถูกผูกไว้กับตราสารหนี้เหล่านี้เป็นเวลา 3 ปี
-เงินทุนสำรองฉุกเฉิน ควรเป็นเงินที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอขายตราสารหนี้
การขายตราสารหนี้ก่อนครบกำหนด อาจทำให้ได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่คาดไว้ หรืออาจขาดทุนได้ หากต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉิน ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น เงินฝากออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว
นาย A ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉินไว้ใช้ยามจำเป็น นาย A ลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี
3 ปีต่อมา นาย A ประสบอุบัติเหตุ ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉินเพื่อรักษาพยาบาล นาย A ต้องการขายกองทุนรวมตราสารหนี้ เพื่อนำเงินมาใช้ แต่เนื่องจากตลาดตราสารหนี้กำลังผันผวน ราคาตราสารหนี้ตกลง นาย A ขายกองทุนรวมตราสารหนี้ ขาดทุน นาย A ไม่ได้เงินทุนสำรองฉุกเฉิน ไปใช้ยามจำเป็น
สรุป:
การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี ไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉิน เนื่องจากเงินลงทุนจะถูกผูกไว้กับตราสารหนี้เป็นเวลา 3 ปี และอาจขายตราสารหนี้ก่อนครบกำหนดได้ยาก
ทางเลือก:
-เงินฝากออมทรัพย์: ให้ผลตอบแทนต่ำ แต่มีความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง
-กองทุนรวมตลาดเงิน: ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ แต่มีความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง
-กองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุสั้น: ให้ผลตอบแทนมากกว่ากองทุนรวมตลาดเงิน แต่มีความเสี่ยงมากกว่า สภาพคล่องปานกลาง
นักลงทุนควรเลือกสินทรัพย์สำหรับเงินทุนสำรองฉุกเฉินให้เหมาะสมกับความต้องการและความเสี่ยงที่รับได้ | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1772 | Finance | จงสรุปบทความเรื่อง เกาะกระแส “ไดโนเศร้า” หาหุ้นเทค 10 เด้ง !! ให้หน่อยค่ะ | เกาะกระแส “ไดโนเศร้า” หาหุ้นเทค 10 เด้ง !!
ไดโนเศร้า เพจที่มีผู้ติดตามเกิน 4 แสนคนภายใน 17 วัน !! นี่คือตัวอย่างกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ และเราสามารถนำมาเป็นตัวอย่างในการหาหุ้น Tech ลงทุนได้ ไดโนเศร้า ใช้วิธีการเปรียบเทียบโดยแบ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ ไดโนเศร้า กับบริษัท Tech ประสบความสำเร็จ 1. บริษัทที่ดีต้องหา Pain Point ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายให้เจอ ไดโนเศร้า: เพจเลือกเขียนถึงการแอบรัก/อกหักที่คนทั่วไปเคยเจอมากับตัวทั้งนั้น ทำให้เนื้อหาเข้าถึงใจผู้อ่าน จึงขยายจำนวนผู้ติดตามมหาศาลภายในเวลารวดเร็ว บริษัท Tech: หุ้นชื่อดังในกลุ่ม E-Commerce เริ่มต้นทำธุรกิจด้วยการหา Pain Point ลูกค้าแล้วแก้มัน เช่น Amazon รู้ว่าสินค้าหลายอย่างผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางมาซื้อ จึงเสนอระบบขายของออนไลน์ที่ตอบโจทย์สุด ๆ หรือ Grab ที่สร้าง Platform การขนส่งอย่างมีมาตรฐานแก้ปัญหาการเอาเปรียบของแท็กซี่ 2. เน้นขยายฐานผู้ใช้งานก่อน กำไรไว้ทีหลัง ไดโนเศร้า: เขียนโพสต์ความรักในมุมต่าง ๆ ที่คนทั่วไปเคยเจอ แล้วอาศัยพลังของ Network ให้คนกด Like หรือ Share ขยายยอดผู้ติดตามอย่างรวดเร็ว โดยยังไม่สนใจเรื่องโฆษณาจะเข้าหรือไม่ บริษัท Tech: Pinterest และ Snap เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ทั้งสองบริษัทกำลังเน้นขยายฐานผู้ใช้งานผ่านการเสนอลูกเล่นหรือระบบใหม่ ๆ ซึ่งหลังประกาศงบไตรมาส 3 ทั้งคู่ก็ยืนยันมี User เพิ่มขึ้นมาก (ส่วนหนึ่งได้ประโยชน์จากโควิด) แต่บริษัทก็ไม่รีบฉวยโอกาสยิงโฆษณาแหลกในช่วงนี้เนื่องจากจะเป็นการทำลายความสนุกของผู้ใช้งาน จึงกลายเป็นว่าทั้งคู่ยังคงขาดทุนอยู่ (แต่ถ้ามองอนาคตก็น่าจะคุ้ม) 3. ต้องยึดหัวหาดให้แน่น ไดโนเศร้า: ปัจจุบันมีเพจสร้างขึ้นล้อเลียนเต็มไปหมด เช่น ไดโนสู้, ไดโนเสี้ยม ซึ่งทั้งหมดมีกลุ่มผู้ติดตามคล้าย ๆ กัน ดังนั้นถ้าไดโนเศร้าอยากให้เพจดังต่อไป ต้องครองใจผู้ติดตามให้แน่น ไม่ปล่อยให้เพจอื่นมาแย่ง Engagement ได้ ! ไดโนสู้ ไดโนเสี้ยม บริษัท Tech: เป็นธรรมดาที่หุ้นซึ่งเติบโตไวจะต้องมีคู่แข่งเข้ามาแย่งตลาด ดังนั้นหุ้นที่ดีต้องสามารถยึดหัวหาดของธุรกิจได้ โดยเมื่อไปดูหุ้นระดับโลกอย่าง Amazon, Facebook, Microsoft, Alibaba, Tencent ทั้งหมดผ่านการต่อสู้กับคู่แข่งจำนวนมากและยังสามารถเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม จึงสร้างผลตอบแทนมหาศาลให้ผู้ถือหุ้น เห็นแนวทางเพจ “ไดโนเศร้า” แล้วนึกถึงเรื่องกลยุทธ์หุ้นเทคที่สามารถเข้าใจได้แบบง่าย ๆ เลยอยากแชร์ให้อ่านครับ สรุปสั้น ๆ บริษัท Tech ที่จะโตไวได้ต้อง แก้ Pain Point > เน้นขยายผู้ใช้งาน กำไรไว้ทีหลัง > สร้างคูเมืองให้ดี ถ้าชอบเพจไดโนเศร้าในหมวดความรักก็อย่าลืม BottomLiner ในหมวดลงทุนด้วยนะ แอดมินแนท BottomLiner ที่มาบทความ: | ไดโนเศร้า เพจที่มีผู้ติดตามเกิน 4 แสนคนภายใน 17 วัน คือตัวอย่างกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ และสามารถนำมาเป็นตัวอย่างในการหาหุ้น Tech ลงทุนได้ โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบโดยแบ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ไดโนเศร้า กับบริษัท Tech ประสบความสำเร็จ ดังนี้
1. บริษัทที่ดีต้องหา Pain Point ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายให้เจอ เพจไดโนเศร้า: เลือกเขียนถึงการแอบรัก/อกหักที่คนทั่วไปเคยเจอมากับตัว ทำให้เนื้อหาเข้าถึงใจผู้อ่าน จึงขยายจำนวนผู้ติดตามมหาศาลภายในเวลารวดเร็ว ส่วนบริษัท Tech หุ้นชื่อดังที่อยู่ในกลุ่ม E-Commerce เริ่มต้นทำธุรกิจด้วยการหา Pain Point ลูกค้าแล้วแก้มัน
2. เน้นขยายฐานผู้ใช้งานก่อน กำไรไว้ทีหลัง เพจไดโนเศร้า เขียนโพสต์ความรักในมุมต่าง ๆ ที่คนทั่วไปเคยเจอ แล้วอาศัยพลังของ Network ให้คนกด Like หรือ Share ขยายยอดผู้ติดตามอย่างรวดเร็ว โดยยังไม่สนใจเรื่องโฆษณาจะเข้าหรือไม่ ส่วนบริษัท Tech ให้ตัวอย่าง Pinterest และ Snap เพราะเป็นบริษัทกำลังเน้นขยายฐานผู้ใช้งานผ่านการเสนอลูกเล่นหรือระบบใหม่ ๆ ซึ่งมี User เพิ่มขึ้นมาก (ส่วนหนึ่งได้ประโยชน์จากโควิด) แต่บริษัทไม่รีบฉวยโอกาสยิงโฆษณาแหลก เนื่องจากจะเป็นการทำลายความสนุกของผู้ใช้งาน จึงกลายเป็นว่าทั้งคู่ยังคงขาดทุนอยู่
3. ต้องยึดหัวหาดให้แน่น เพจไดโนเศร้า มีเพจสร้างขึ้นล้อเลียนเต็มไปหมด เช่น ไดโนสู้, ไดโนเสี้ยม ซึ่งทั้งหมดมีกลุ่มผู้ติดตามคล้าย ๆ กัน ดังนั้น ถ้าไดโนเศร้าอยากให้เพจดังต่อไป ต้องครองใจผู้ติดตามให้แน่น ไม่ปล่อยให้เพจอื่นมาแย่ง Engagement ได้ ส่วนบริษัท Tech เป็นธรรมดาที่หุ้นซึ่งเติบโตไวจะต้องมีคู่แข่งเข้ามาแย่งตลาด ดังนั้น หุ้นที่ดีต้องสามารถยึดหัวหาดของธุรกิจได้ เมื่อไปดูหุ้นระดับโลกอย่าง Amazon, Facebook, Microsoft, Alibaba, Tencent ทั้งหมดผ่านการต่อสู้กับคู่แข่งจำนวนมากและยังสามารถเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม จึงสร้างผลตอบแทนมหาศาลให้ผู้ถือหุ้น | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1773 | Finance | การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Clean Energy (พลังงานสะอาด) ภายใต้การบริหารของ Joe Biden มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Technology (เทคโนโลยี) หรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
1. นโยบายของ Biden สนับสนุน Clean Energy:
Biden สนับสนุนนโยบายแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง
มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม
สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
นโยบายเหล่านี้จะส่งผลดีต่อธุรกิจในกลุ่ม Clean Energy
2. Technology เผชิญความเสี่ยงจากนโยบาย Biden:
Biden มีนโยบายขึ้นภาษี
นโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
บริษัทเหล่านี้มีกำไรสูงและจ่ายภาษีน้อย
การขึ้นภาษีจะทำให้กำไรของบริษัทเหล่านี้ลดลง
3. Clean Energy มีความเสี่ยงด้าน Regulatory Risk น้อยกว่า:
ธุรกิจ Clean Energy ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
มีโอกาสได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ
มีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงด้าน Regulatory Risk
4. Technology เผชิญความเสี่ยงด้าน Regulatory Risk สูง:
ธุรกิจเทคโนโลยีอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง
หน่วยงานกำกับดูแลเหล่านี้มีแนวโน้มออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมธุรกิจเทคโนโลยี
กฎหมายใหม่เหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจเทคโนโลยี
5. Clean Energy มีความผันผวนของราคาหุ้น (Volatility) น้อยกว่า:
ธุรกิจ Clean Energy มีความมั่นคง
รายได้ของธุรกิจ Clean Energy ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
ราคาหุ้นของธุรกิจ Clean Energy จึงมีความผันผวนน้อย
6. Technology มีความผันผวนของราคาหุ้น (Volatility) สูง:
ธุรกิจเทคโนโลยีมีการแข่งขันสูง
เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ราคาหุ้นของธุรกิจเทคโนโลยีมีความผันผวนสูง
สรุป:
การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Clean Energy ภายใต้การบริหารของ Joe Biden มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Technology
ข้อควรระวัง:
การลงทุนมีความเสี่ยง
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1774 | Finance | ผู้ที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto เปิดตัว Bitcoin ผ่าน White Paper เมื่อวันที่เท่าไหร่ | null | ผู้ที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto เปิดตัว Bitcoin ผ่าน White Paper เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2008 โดยระบุว่า Bitcoin คือ สกุลเงินดิจิทัลแบบ Peer-to-Peer หรือ การเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายด้วยกันเองแบบไม่มีตัวกลาง โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain
Blockchain ก็คือ เทคโนโลยีที่ใช้เก็บข้อมูลธุรกรรมแบบไม่มีตัวกลาง โดยทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะเก็บชุดข้อมูลที่เหมือนกัน ข้อมูลในเครือข่ายจะถูกเก็บชุด ๆ หรือเรียกว่าเป็น Block ที่ไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ ส่วนการสร้างข้อมูลชุดใหม่ขึ้นบนเครือข่ายจะถูกตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากทั้งเครือข่ายผ่านระบบที่เรียกว่า Proof-of-Work หมายความว่ายิ่งเป็นเครือข่าย Blockchain ที่ใหญ่แค่ไหน ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น
ข้อมูลธุรกรรมชุดแรกของ Bitcoin (Block 0 หรือ Genesis Block) ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2009 โดยมีรางวัลในการสร้าง Block ที่ 50 Bitcoin ถือเป็นวันที่เครือข่าย Bitcoin ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ และพลิกโฉมประวัติศาสตร์การเงินของโลกมานับตั้งแต่นั้น
การที่ Bitcoin มีเทคโนโลยีหลังบ้านที่เรียกว่า Blockchain ในการเก็บข้อมูลธุรกรรม ทำให้ Bitcoin คือ สกุลเงินดิจิทัลตัวแรกของโลกที่เป็น “Decentralized” แตกต่างกับสกุลเงินที่ใช้กันในปัจจุบันหรือที่เรียกว่า Fiat Currency ที่เป็นแบบ “Centralized” มูลค่าของ Bitcoin จึงขึ้นอยู่กับปริมาณอุปสงค์-อุปทานของตลาดอย่างแท้จริง นอกจากนี้ เครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ยังถูกสร้างขึ้นมาให้มีจำนวนจำกัดอยู่ที่ 21 ล้าน Bitcoin ด้วยความมั่นคงของเครือข่าย การใช้งานที่กว้างขวาง และจำนวนที่จำกัด Bitcoin จึงได้รับการยอมรับว่าเป็น Digital Gold สำหรับระบบการเงินในยุคใหม่ และด้วยคุณสมบัตินี้เอง ทำให้บรรดาสถาบันการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือ Federal Reserve รวมถึงบริษัทเอกชนต่าง ๆ เช่น MicroStrategy, Square และ Skybridge พากันถือ Bitcoin เป็นทรัพย์สินสำรอง ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาดของ Bitcoin ได้ขึ้นแตะระดับ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 18 ล้านล้านบาท) | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1777 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ วิธีการขายหุ้นของ Mark Minervini จากหนังสือ Think & Trade Like a Champion | null | วิธีการขายหุ้นของ Mark Minervini จากหนังสือ Think & Trade Like a Champion จะมีหลักการดังนี้ หุ้นนำตลาดจะจบรอบหลังจากที่ราคาได้เร่งตัวอย่างรุนแรง เนื่องจากกองทุนอยากจะให้มีแรงซื้อในตลาดมากที่สุด เพื่อให้คนมาซื้อหุ้น เมื่อมีแรงขายของกองทุนมากกว่าแรงซื้อของรายย่อย หุ้นจะถล่มลงมา เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องเอามาขายบ้าง เพราะอาจเกิด Climax Top หรือสัญญาณที่หุ้นวิ่งขึ้นแรงกว่าเดิมจากการที่หุ้นนำตลาดขึ้นมาอย่างแข็งแรงในหลาย ๆ เดือน
บทเรียนจากย่อหน้านี้
วิธีการขายหุ้นของ Mark Minervini จากหนังสือ Think & Trade Like a Champion
หุ้นนำตลาดมักจะจบรอบหลังจากราคาเร่งตัวขึ้นอย่างรุนแรง เพราะสถาบันหรือกองทุนต้องการให้เกิดแรงซื้อมากที่สุด เพื่อให้มีคนมารับซื้อหุ้นจำนวนมหาศาลต่อจากพวกเขา อาจจะเหมือนหุ้นบางตัวที่ขึ้นแรงในไม่กี่วัน แท่งเขียวยาว บวกวันละร้อยบาท คือ ตอนที่เขาออกของนั่นเอง และเมื่อแรงขายจำนวนมากของกองทุนมากกว่าแรงซื้อของรายย่อย หุ้นตัวนั้นก็ถล่มลงมา ถ้ารอให้เห็นการถล่มก่อนก็อาจจะไม่ทันการณ์ ดังนั้นคือ ควรจะขายออกมาบ้าง ถ้าเห็นหุ้นนำตลาดที่ขึ้นมาอย่างแข็งแรงหลายเดือน เริ่มวิ่งขึ้นอย่างรุนแรงกว่าเดิม เพราะนั่นคือ สัญญาณของ Climax Top
ในกรณีของหุ้น RBF Checklist ในการขายแบบ Climax Top
- ราคาวิ่งจากฐานเดิมเยอะ จะมีการสร้างฐานราคา มากกว่า 4-5 ฐาน ก็ควรจะระวัง
- PE Expend ขึ้นมาจากเดิมสูงมาก ถ้าสูงกว่าการเติบโตในอนาคตจะต้องระวัง
- การเติบโตของ EPS เริ่มจะลดลง แนวโน้ม Q ต่อไปลดลงจากเดิม ถ้าลดลงมากจะต้องระวังให้จงมาก
- มีการเร่งราคาขึ้นแบบอย่างรุนแรง เป็นลักษณะของ Climax Top
ในกรณีของ DELTA จุดที่ทำ Climax Top ชัดเจนมาก ราคาเร่งขึ้นแบบรวดเร็ว PE สูงขึ้นผิดปกติ มากกว่า % การเติบโตของกำไร นี่เป็นจุดที่จะต้องขาย ห้ามซื้อ ก็ซื้อเหมือนไปรับของแพงจากคนอื่นมา | ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1783 | Finance | กลยุทธ์ "Take Profit" เหมาะกับสินทรัพย์ประเภทใด? | null | กลยุทธ์ "Take Profit" เหมาะกับสินทรัพย์ประเภท "ดัชนีหุ้น" มากกว่า "สินทรัพย์ดิจิทัล"
เหตุผล
ดัชนีหุ้น: มีการเคลื่อนไหวของราคาที่ค่อนข้างผันผวน แต่มีแนวโน้มที่จะ "กลับสู่ค่าเฉลี่ย" (Mean Reversion) ในระยะยาว
สินทรัพย์ดิจิทัล: มีการเคลื่อนไหวของราคาที่ "เป็นเทรนด์" (Trend) ชัดเจน หมายความว่าราคาจะขึ้นหรือลงแรง และอาจไม่กลับมาที่ราคาเดิม
ผลลัพธ์
ดัชนีหุ้น: กลยุทธ์ "Take Profit" ที่ 20% ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับการ "Let Profit Run" และมีความเสี่ยงที่ไม่แตกต่างกันมาก
สินทรัพย์ดิจิทัล: กลยุทธ์ "Take Profit" ทุกระดับ ให้ผลตอบแทน "น้อยกว่า" การ "Let Profit Run" อย่างมาก
ข้อควรระวัง
กลยุทธ์ "Take Profit" ไม่ได้**"รับประกัน"** ผลตอบแทนที่ดีเสมอไป
กลยุทธ์นี้เหมาะกับนักลงทุนที่มี "วินัย" และสามารถ "ควบคุมอารมณ์" ได้
คำแนะนำ
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ต้องการลงทุนอย่างละเอียด
พิจารณากลยุทธ์ "Take Profit" ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง
ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดและความเสี่ยงที่รับได้
สรุป
กลยุทธ์ "Take Profit" เหมาะกับ "ดัชนีหุ้น" มากกว่า "สินทรัพย์ดิจิทัล" นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณากลยุทธ์อื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1785 | Finance | SET Index จะเป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของอะไร | null | SET Index จะเป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ทั้งหมด (Composite Index) และจะมี SET50 Index คำนวณ โดยใช้หุ้นสามัญจดทะเบียนที่ผ่านการคัดเลือก 50 อันดับแรก และ SET100 Index คำนวณโดยใช้หุ้นสามัญจดทะเบียนที่ผ่านการคัดเลือก 100 อันดับแรก โดยคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
หุ้นที่อยู่ใน SET 50 เป็นหุ้นที่มี market cap ขนาดใหญ่ทั้งหมด ซึ่งหุ้นมีน้ำหนักกับ SET Index ค่อนข้างมาก ดังนั้น การที่ SET Index ตกติดลบทุกวัน ก็ไม่ได้หมายถึงหุ้นตัวอื่น ๆ จะโดนไปด้วย ในปี 2020 มีกรณีศึกษา หุ้นที่วิ่งสวนตลาด หรือ วิ่งคนละทางกับ SET Index หุ้นตัวแรกเป็นหุ้นขนาดกลาง Asian ผลตอบแทนตั้งแต่ในปี 2019 ประมาณเดือน ต.ค 2019 วิ่งสวนผลตอบแทนของ SET index ในช่วงปี 2020 มาก เพราะผลประกอบการของ Asian Q1 โตแบบปีต่อปี ถึงประมาณ 75% และโตแบบราย 3 เดือนต่อ 3 เดือน โตประมาณ 500% และโตต่อเนื่องไป Q2 และ Q3 หุ้นตัวที่สอง เป็นหุ้นขนาดใหญ่ Delta ผลตอบแทนตั้งแต่ในปี 2019 ประมาณเดือน ต.ค 2019 วิ่งสวนผลตอบแทนของ SET index ในช่วงปี 2020 มาก เพราะแม้ผลประกอบการของ Delta Q1 โตแบบปีต่อปี ติดลบประมาณ – 21% แต่ โตแบบราย 3 เดือนต่อ 3 เดือน โตประมาณ 120% และโตต่อเนื่องแบบปีต่อปีใน Q2 และ Q3 ระดับบวก 100% กว่าขึ้นไป ดังนั้น อย่าให้ SET Index ลวงตาหลอกว่า ตลาดแย่แล้ว ไม่ดีไปหมด เพราะหุ้นผู้นำที่เติบโตเหนือตลาดยังมี | ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1786 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ทฤษฎีตลาดสมบูรณ์ (Efficient Market Theory) | null | ทฤษฎีตลาดสมบูรณ์ (Efficient Market Theory) เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการที่ทุกคนในตลาดสามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างเท่าเทียมกัน เพราะทุกคนมีความสามารถ มีจุดมุ่งหมาย และมีความมุ่งมั่นในการลงทุน จากความเท่าเทียมกัน ข้อมูลจึงออกมาในตลาดผ่านราคาที่ไร้ข้อบกพร่องในทุก ๆ สินทรัพย์ และมีการซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสมเหตุสมผลได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ราคาเป็นไปอย่างเท่าเทียม เป็นเหตุให้ราคาหุ้นในตลาดสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้อย่างสมบูรณ์ ความผิดพลาดของผู้คนก็ไม่มีโอกาสเกิด
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ทฤษฎีตลาดสมบูรณ์ (Efficient Market Theory)
ทุก ๆ คนในตลาดเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเท่าเทียมกัน ทุกคนมีความสามารถ มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน มีความมุ่งมั่นและทำงานอย่างหนักกับการลงทุน รวมถึงวิธีการวิเคราะห์ของทุก ๆ คนนั้นเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไป และเนื่องด้วยการที่ทุก ๆ คนใช้ความพยายามอย่างเท่าเทียมกัน ข้อมูลจึงสะท้อนออกไปในตลาดผ่านราคาอย่างไร้ข้อบกพร่องในทุก ๆ สินทรัพย์ และผู้คนในตลาดจะทำการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่มีมูลค่าที่สมเหตุสมผลตลอดเวลา จึงทำให้ราคาของสินทรัพย์ต่าง ๆ สะท้อนออกมาอย่างเท่าเทียม ดังนั้น ราคาหุ้นในตลาดจึงสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้น ๆ อย่างสมบูรณ์ จึงทำให้ไม่มีโอกาสผ่านความผิดพลาดของผู้คน สินทรัพย์ทุก ๆ ชนิดจึงให้ผลตอบแทนอย่างสมเหตุสมผลโดยตลอดและไล่ไปตามความเสี่ยง (พันธบัตรไปยังหุ้น หุ้นไปยังตราสารหนี้เกรดต่ำและอื่น ๆ)
แต่ถึงอย่างนั้นหากทฤษฎีที่ว่ามีอยู่จริง คงไม่ได้เห็นผลตอบแทนพันธบัตรในระดับที่สูงกว่าหุ้น คงไม่ได้เห็นพันธบัตรระยะสั้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรระยะยาว และที่สำคัญคงไม่ได้เห็นนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett หรือนักเก็งกำไรระดับโลกอย่าง George Soros กันเป็นแน่ เพราะว่านักลงทุนและนักเก็งกำไรเหล่านั้นต่างก็หาโอกาสจากความไม่สมเหตุสมผลของคน ไม่ว่าจะเป็น bargain หรือข้อต่อรองที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จากการคิดมูลค่าทรัพย์สินของบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่าราคาที่สะท้อนออกไปในมุมมองของนักลงทุน หรือจะเป็นความไม่สมเหตุสมผลและความร้อนแรงที่เกินเหตุ หรือความสุดโต่งของอะไรบางอย่างที่ทำให้นักเก็งกำไร เล็งเห็นโอกาสและสร้างผลตอบแทนอันน่าทึ่งมานัดต่อนัด และ Michael Burry เองก็อาจจะเป็นคนที่มองเห็นโอกาสส่วนนั้น | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1787 | Finance | 4 ขั้นตอนง่าย ๆ ใน การอ่านงบการเงิน | null | 1. เริ่มที่กำไรสุทธิ
อาจจะสวนทางกับคำแนะนำของคนอื่น แต่ผมอยากให้เปิดดูก่อนเลยว่า หุ้นที่เราสนใจกำไรเท่าไหร่ เพิ่มขึ้นหรือลดลงแค่ไหน ที่บอกแบบนี้เพราะว่า กำไรเป็นสิ่งที่ตลาดคาดหวัง เป็นสิ่งที่ทุกคนถามกันตลอด เราก็ควรต้องเปิดดูก่อน ซึ่งเราสามารถดูได้จากหลายที่เลยทั้งตาม Line ของโบรกเกอร์ต่าง ๆ FINNOMENAหรือ Jitta ก็มี แต่ขอให้ดูแบบนี้
• ดู YoY เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว แต่ให้ระวังอย่างนึงคือช่วงนี้เป็นงบปี เราจะไม่เห็นงบ Q4 บางครั้งการที่กำไรเพิ่มขึ้นเยอะ ๆ อาจจะมาจาก 9 เดือนแรกก็ได้ อย่าเพิ่งรีบดีใจเพราะตัวเลขอาจหลอกตาเราได้
• ดู QoQ เปรียบเทียบกับไตรมาสที่แล้ว เพื่อให้เห็นพัฒนาการ แต่ให้ระวังว่าบางธุรกิจมี seasonal เช่น โรงพยาบาล Q3 โรงแรมและท่องเที่ยว Q4 กับ Q1 พัดลม เครื่องดื่ม Q2
• เห็นกำไรโตเป็น 100% อย่าเพิ่งรีบดีใจเยอะ ให้ยิ้มที่มุมปากนิดเดียวพอ เพราะบางทีอาจมีกำไรพิเศษ ต้องตามไปดูต่อว่าใช่มั้ย
2. ดูคำอธิบายงบการเงิน
เข้าไปที่ www.set.or.th พิมพ์ชื่อหุ้นที่สนใจ กดเลือกที่ “ข่าว” แล้วคลิกไปที่ข่าวที่เขียนว่า “สรุปผลการดำเนินงาน” หน้านี้ก็จะมีกำไรขาดทุนให้ดูเหมือนกัน แต่สิ่งที่อยากให้ดูมากกว่า คือข้อความที่เขียนว่า “รายงานของผู้ตรวจสอบบัญชี” ซึ่งจะมีด้วยกัน 5 แบบดังนี้
• ไม่มีเงื่อนไข
• ไม่มีเงื่อนไขแต่ให้ข้อสังเกต
• มีเงื่อนไข
• ไม่แสดงความเห็น หรือ ไม่แสดงความเชื่อมั่น
• งบการเงินไม่ถูกต้อง
ถ้าเจอแบบแรกก็สบายใจ เปิดอ่านได้ตามสะดวก ไม่น่ากังวล แต่ถ้าเจอแบบอื่น ๆ โดยเฉพาะ 2 แบบหลัง อาจมีอะไรไม่ชอบมาพากล อาจมีคดีความ หรือมีอะไรผิดปกติซ่อนอยู่ในงบ ให้ระวัง
3. คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการหรือเรียกว่า MD&A
เป็นคำอธิบายของบริษัทที่จะมาบอกเราว่า กำไรที่เราเห็นเพิ่มขึ้นหรือลดลง มาจากสาเหตุอะไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทว่าจะอธิบายละเอียดมากน้อยแค่ไหน มีหลายบริษัทที่ดีเขียนอธิบายที่มาที่ไป รายได้แยกเป็นกลุ่ม ต้นทุน ค่าใช้จ่ายตามรายการ ภาพรวมอุตสาหกรรม แนวโน้ม ฯลฯ แต่ก็มีอีกหลายบริษัทที่เขียนแบบเสียไม่ได้ เช่น รายได้โต xx% ต้นทุนเพิ่ม xx% ทำให้กำไรเพิ่ม xx% คือ อ่านแล้วไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่
4. Zip File งบการเงิน
บางครั้งใน MD&A ไม่ได้บอกรายละเอียด ให้เรามาที่หน้า “ข่าว” อีกครั้ง เปิดตรงที่เขียนว่า “งบการเงิน” ที่เป็น zip file คลิ๊กเข้าไปจะเจอะ 3 ไฟล์สำคัญ คือ
• Auditor’s Report คือ รายงานผู้สอบบัญชี ที่เราเคยคุยกันไปในข้อ 2 ข้อสังเกตง่าย ๆ คือ ถ้าเปิดมาแล้วสั้น ๆ 1-2 หน้าคือดี แต่ถ้าเปิดมาแล้วยาวเหยียด 5-10 หน้า อันตรายแล้วแบบนี้
• Financial Statements เป็น excel มีทั้งงบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด วิธีอ่านงบดุลก็คล้าย ๆ กับที่บอกไว้ในข้อ 3 ส่วน Cash Flow ให้ดูเงินสดเข้าออกแต่ละประเภทอย่างไร (เรื่องนี้ยาว เดี๋ยวไว้มีโอกาสหยิบมาเขียนอีกทีครับ)
• Notes เป็นหมายเหตุประกอบงบ คือ ถ้าเราเปิด excel บางบรรทัดจะมีตัวเลขกำกับไว้ ก็ให้เรามาเปิดใน Notes ดูจะเห็นรายละเอียดที่มากขึ้น | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1788 | Finance | จงบอกกลยุทธ์การวิจัยจากการนำแนวคิดการลงทุนแบบ Fundamental Analysis และ Technical Analysis ด้วยรูปแบบของ Quantitative ที่วัดและประเมินผลได้โดยไม่ Bias | null | - Technical – Momentum Based กลยุทธ์ตามแนวโน้ม สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นจะต้องรู้จักการดูกราฟ เพราะเป็นสิ่งที่ง่าย ใช้เวลาน้อย สามารถปรับใช้ได้กับทุกสินทรัพย์ทั่วโลก แต่จากการลองผิดลองถูก มันสามารถปรับใช้ได้กับทุกสินทรัพย์ก็จริง แต่ต้องปรับจูนพอสมควร เพราะการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือการเอา Data ของราคามาทำการคำนวณและเข้าสูตรทางคณิตศาสตร์มากมายจนได้เส้น ๆ ขีด ๆ แบบที่ทุกคนเห็น แต่มันเป็นเพียงเครื่องมือในการช่วยวิเคราะห์เท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมดของการลงทุน
- ทดสอบกลยุทธ์การลงทุนแบบ Momentum Based สามารถใช้ได้จริงหรือไม่ในระยะยาว จึงหยิบกลยุทธ์ง่าย ๆ ที่มีชื่อว่า 52 Week High หรือ การซื้อตามแนวโน้มเมื่อราคาทะลุแนวต้านใหญ่ในรอบ 1 ปีโดยประมาณ และใช้ Indicator ใส่เข้าไปนิดหน่อย ซึ่งกำหนดเงินเริ่มต้นไว้ 1 ล้านบาท จำนวนหุ้นสูงสุดที่ซื้ออยู่ที่ไม่เกิน 20 ตัว หรือ 5 % ต่อ 1 ตัว ช่วงเวลาที่ทบสอบคือตั้งแต่ปี 1/2000 – 11/2020 สินทรัพย์ที่เลือกมาทดสอบคือหุ้นไทยทั้งหมด
- ทดสอบกลยุทธ์การลงทุนแบบ Value Based เลือกหยิบ F-Score formula ของ Mr.Joseph D. Piotroski เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคัดหุ้น โดยมีเกณฑ์ถึง 9 เกณฑ์ตามแนวทางการเลือกหุ้นแบบ Value Investing โดยมีการให้คะแนนถ้าผ่านเกณฑ์และให้ 0 ถ้าไม่ผ่าน สุดท้ายก็เอามาทำเป็น Score
- Hybrid Investment ส่วนผสมที่ลงตัวของโลกการลงทุน หยิบปัจจัยทั้งของ TA และ FA เข้ามาไว้ด้วยกัน คือ เอาทั้ง Data Price และ Data งบการเงินเข้ามาประกอบกันและทดสอบในเชิง Quantitative
- Bitcoin ก็มี Model ที่คาดการณ์ราคาในอนาคตเหมือนกัน แม้ BTC จะไม่มีปัจจัยพื้นฐานเช่น งบการเงินมาให้วิเคราะห์ แต่เนื่องจากมีเรื่องเกี่ยวกับ Demand Supply ของเหรียญที่ออกมาหมุนเวียนในตลาดจากการขุด จึงมีคนทำ Model เพื่อคาดการณ์ราคาในอนาคต ซึ่งมีความแม่นยำในอดีตสูงงมาก แต่ในอนาคตไม่อาจตอบได้ โมเดลนี้มีชื่อว่า Stock to Flow Model | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1790 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ หมวดหมู่หุ้นกับค่า P/E | null | การแบ่งหมวดหมู่หุ้นตามลักษณะของค่า P/E สามารถแบ่งได้ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ หุ้นมูลค่า เป็นหุ้นที่มีทรัพย์สินในราคาตลาดที่ต่ำกว่าความเป็นจริง หลายคนคิดว่ามีค่า P/E ที่ไม่สูง แต่ความเป็นจริงแล้ว หุ้นมูลค่ามีค่า EPS growth ที่ไม่สูงนัก ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือ หุ้นเติบโต เป็นหุ้นที่คาดหวังในการเติบโต มีค่า PE สูง ราคาก็สูง ค่า EPS Growth ที่คาดหวังก็สูงตามด้วย
บทเรียนจากย่อหน้านี้
หมวดหมู่หุ้นกับค่า P/E
โดยทั่วไปแล้วหลัก ๆ อาจจะแบ่งหุ้นตามลักษณะ P/E ได้เป็น 2 กลุ่ม
1) หุ้นมูลค่า (Value Stocks)
หุ้นที่มีทรัพย์สิน หรือหลังจากคิดมูลค่าเนื้อแท้ของบริษัทแล้ว ราคาในตลาดต่ำกว่าความเป็นจริง หรือหุ้นที่ดูมูลค่าได้นั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นหุ้นเหล่านี้ราคาก็ไม่ได้สะท้อนตาม value จริง ๆ เสมอไป อาจจะมีช่วงที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงหรือสูงกว่าความเป็นจริงจากความไม่สมเหตุสมผลของคนนั่นเอง ตลาดมักจะมองว่ากลุ่ม value มี P/E ที่ไม่สูงจะมีค่า P/E ที่ไม่สูงมากอาจจะ 10x 20x ว่ากันไป … แต่จริงๆแล้วก็คือมี EPS growth ที่ไม่สูงนัก
2) หุ้นเติบโต (Growth Stocks) เป็นหุ้นที่เล่นล้อไปกับอนาคต ราคาแพง PE สูง เนื่องจากคาดหวังการเติบโต คาดหวัง EPS Growth ที่สูง หรือราคาอาจให้ความหวังไปกับสตอรี่และนวัตกรรมต่าง ๆ ในอนาคต ดังนั้นจึงเห็นค่า PE สูง ๆ ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหรือกลุ่ม Healthcare ที่มีโปรเจคเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคตต่าง ๆ โดยอาจจะสูงถึงหลัก 100x หรือ 1,000x ก็มีมาแล้ว (เนื่องจากฐานต่ำ หรือมองว่าเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก มูลค่าตลาดมหาศาลรออยู่) ต้องคำนึงไว้อย่างนึงด้วยว่า หุ้นเติบโตเป็นหุ้นที่เล่นไปกับอนาคตผ่านความคาดหวังที่ค่อนข้างสูงซึ่งอาจมีความไม่แน่นอนได้ เช่น บริษัทอาจวางแผนพัฒนา product ขึ้นมาซึ่งคาดการณ์ว่าจะเสร็จในปี 20XX แต่เลื่อนกำหนดการณ์ออกไป ส่งผลให้นักลงทุนผิดหวังและราคาอาจจะปรับตัวลงมารุนแรงจากค่า P/E ที่สูงกว่า | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1792 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เหตุผลหลักที่ราคา Bitcoin สามารถปรับขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2020 | null | เหตุผลหลักที่ราคา Bitcoin สามารถปรับขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2020 คือ ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่มันก็ส่งผลให้เกิดความกังวลในเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้สกุลเงินดอลลาร์สูญเสียมูลค่า แถมยังส่งผลกระทบต่ระบบเศรษฐกิจของประเทศอื่น ๆ ที่ใช้มาตราการแบบเดียวกับสหรัฐอเมริกา
บทเรียนจากย่อหน้านี้
เหตุผลหลักที่ราคา Bitcoin สามารถปรับขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2020 มาจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Federal Reserve เช่นการปรับลดดอกเบี้ย หรือพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจจากวิกฤติ COVID-19 แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่อาจทำให้สกุลเงินดอลลาร์สูญเสียมูลค่าไปได้ และไม่ใช่แค่สหรัฐฯ เท่านั้น หลาย ๆ ภาคเศรษฐกิจทั่วโลกก็มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการที่บรรดาสถาบันทางการเงินรายใหญ่ ๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจใน Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีต่าง ๆ เพื่อถือเป็นทรัพย์สินสำรอง เช่นสถาบัน Greyscale ที่เข้าถือ Bitcoin มากกว่า 500,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 8.3 พันล้านดอลลาร์ แต่ข่าวที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการคริปโตมากที่สุด ก็คือข่าวที่ Paypal ประกาศเตรียมเปิดให้บริการชำระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซีภายในปี 2021 นี้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ Paypal เกือบ 300 ล้านรายสามารถเข้าถึงคริปโตได้นั่นเอง | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1799 | Finance | นักลงทุนรายย่อยควรลงทุนในกองทุน Quant หรือไม่? | null | ขึ้นอยู่กับ เหตุผล:
ข้อดีของกองทุน Quant:
1. ผลตอบแทนที่โดดเด่น:
กองทุน Quant หลายกองสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดได้ในอดีต ตัวอย่างเช่น กองทุน Renaissance Technologies ของ Jim Simons เคยสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (CAGR) มากกว่า 30% เป็นเวลายาวนาน
2. ความเสี่ยงที่ต่ำ:
กองทุน Quant บางกองมีกลยุทธ์ที่ควบคุมความเสี่ยงได้ดี ทำให้มี Max Drawdown (การลดลงสูงสุดของเงินทุน) ที่ต่ำ
3. การกระจายความเสี่ยง:
กองทุน Quant หลายกองลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้
4. ความสะดวก:
กองทุน Quant เป็นการลงทุนแบบ Passive นักลงทุนไม่จำเป็นต้องติดตามตลาดหรือเลือกหุ้นเอง
ข้อเสียของกองทุน Quant:
1. ค่าธรรมเนียมที่สูง:
กองทุน Quant หลายกองมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่ากองทุนรวมแบบ Active
2. ความซับซ้อน:
กลยุทธ์การลงทุนของกองทุน Quant นั้นซับซ้อน นักลงทุนอาจจะเข้าใจได้ยาก
3. ผลตอบแทนในอดีตไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ผลตอบแทนในอนาคต:
ผลตอบแทนในอดีตของกองทุน Quant ไม่ได้เป็นประกันว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต
4. ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง:
กองทุน Quant บางกองอาจลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ ทำให้ยากต่อการขาย
ปัจจัยที่นักลงทุนรายย่อยควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุน Quant:
1. เป้าหมายการลงทุน:
นักลงทุนควรมีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน และพิจารณาว่ากองทุน Quant นั้นเหมาะสมกับเป้าหมายของตนหรือไม่
2. ระดับความเสี่ยงที่รับได้:
นักลงทุนควรประเมินระดับความเสี่ยงที่ตนรับได้ และเลือกกองทุน Quant ที่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ตนสามารถรับได้
3. ระยะเวลาการลงทุน:
นักลงทุนควรลงทุนในกองทุน Quant ในระยะยาว เนื่องจากผลตอบแทนในอดีตของกองทุน Quant นั้นไม่ได้เป็นประกันว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต
4. ค่าธรรมเนียม:
นักลงทุนควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของกองทุน Quant ต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน
5. ความเข้าใจกลยุทธ์:
นักลงทุนควรศึกษาและเข้าใจกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน Quant ก่อนตัดสินใจลงทุน
สรุป:
กองทุน Quant นั้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด และควบคุมความเสี่ยงได้ อย่างไรก็ดี นักลงทุนรายย่อยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1800 | Finance | Margin of Safety คืออะไร | null | Margin of Safety คือ ส่วนเผื่อความปลอดภัย ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับการลงทุนได้ในการหา Bargain หรือข้อต่อรองที่จะหาได้ในเวลาที่ตลาด ราคาพังครืนร่วงลงมาแรง ๆ จนทำให้หุ้นบางตัวหรือแม้แต่ตราสารหนี้มี “มูลค่านำราคา” และอาจทำให้หุ้นตัวนั้น ๆ นำพาราคากลับไปสู่มูลค่าที่แท้จริงได้ในเวลาถัดไป ซึ่งในส่วนของตราสารหนี้ อาจจะหาตราสารหนี้ที่มีเครดิตที่ดีมีศักยภาพจ่ายหนี้ได้สูง ในจังหวะที่ราคาร่วงลงมาจนตำ่กว่าราคาตั้งต้น (ราคา par) และยิ่งราคาต่ำกว่าราคาตั้งต้นเท่าไรส่วนเผื่อความปลอดภัยที่ว่าก็จะมากขึ้นเท่านั้น และในส่วนของหุ้นอาจจะหาหุ้นที่มีมูลค่า “ถูก” จากมูลค่าสินทรัพย์หรือจากศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทหรือที่ชอบใช้กันในรูปแบบของ PE และ PBV
มุมมองของภาพรวมตลาดที่หากดูในเรื่องส่วนของ Margin of Safety แล้ว อาจจะค่อนข้างอันตราย ซึ่งโดยปกติแล้วในเชิงของตลาดผลตอบแทนของหุ้นก็ควรอยู่ในระดับที่สูงกว่าตราสารหนี้หรือพันธบัตร ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า และยิ่งส่วนต่างนี้สูงมากเท่าไรก็หมายความว่าส่วนเผื่อความปลอดภัยก็จะยิ่งมากขึ้นไปเท่านั้น สิ่งที่เชื่อและเข้าใจก็คือ เหล่านักลงทุนเน้นคุณค่าหรือนักลงทุน VI จะใส่ใจกับเรื่องดังกล่าวมากเป็นพิเศษ จนทำให้เขาเข้าซื้อในจุดที่ได้เปรียบและถึงแม้นักลงทุนเหล่านั้นจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เขาก็จะมีส่วนเผื่อความปลอดภัยและขาดทุนได้ยากกว่านักลงทุนแนวเก็งกำไร | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1803 | Finance | รายละเอียดของมาตรการช้อปดีมีคืน มีอะไรบ้าง | null | รายละเอียดของมาตรการช้อปดีมีคืน
- สินค้าและบริการที่เมื่อซื้อแล้วสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามโครงการนี้จะได้แก่ 1. สินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จด VAT 2. สินค้า OTOP และ 3. หนังสือ
- สำหรับสินค้ากลุ่มแรก (สินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จด VAT) ต้องขอใบกำกับภาษีเต็มรูปด้วย ส่วนวิธีการที่จะทำให้รู้ว่าร้านค้าไหนจด VAT หรือไม่จด VAT ง่าย ๆ เลยเพียงแค่ถามว่าร้านสามารถออกใบกำกับภาษีให้ได้หรือไม่
- ส่วนสินค้ากลุ่มที่ 2 (สินค้า OTOP) และ 3 (หนังสือ) สามารถซื้อแล้วนำมาลดหย่อนภาษีได้ถึงแม้ร้านค้าจะไม่ได้จด VAT แต่ต้องขอใบเสร็จที่มีการลงรายละเอียดสำคัญ เช่น ชื่อและเลขบัตรประจำตัวประชาชน ชื่อสินค้าหรือบริการที่ซื้อ ราคาสินค้า และวันที่ของใบเสร็จก็ต้องลงเป็นวันที่ในช่วงระหว่างวันที่ 23 ตุลาคมถึง 31 ธันวาคม 2563
- ผู้มีเงินได้ สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการเท่าที่ได้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ/ร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าดังกล่าว ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท
- สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2563
- ระยะเวลาโครงการ: 23 ตุลาคม 2563 – 31 ธันวาคม 2563
- หากใช้สิทธิ์ในโครงการนี้แล้ว จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ของอีก 2 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ นั่นคือ 1) โครงการคนละครึ่ง และ 2) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
สินค้า/บริการที่ไม่ร่วมโครงการช้อปดีมีคืน ได้แก่
- สุรา เบียร์ และไวน์
- ยาสูบ
- น้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ
- รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ
- หนังสือพิมพ์ & นิตยสาร
- บริการหนังสือพิมพ์ & นิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
- บริการจัดนำเที่ยว
- ที่พักในโรงแรม | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1806 | Finance | ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ แก้ว 3 ประการ ในการวางแผนการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่ง | 1. การลงทุนอย่างถูกต้องและชาญฉลาดที่จะสร้างผลตอบแทนทบต้นที่สูงต่อเนื่องยาวนาน
2. การกระจายความเสี่ยง
3. การลงทุนด้วยระยะเวลาที่ยาวนานที่สุด
4. การหาเงินมาลงทุนซึ่งก็มักจะมาจากการทำงานและเก็บออมมาลงทุน | ข้อที่ถูกต้องคือ 2. เพราะว่า เพราะการกระจายความเสี่ยง เป็นแนวทางลดความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในการลงทุน อย่าถือหุ้นน้อยตัวเกินไปและหุ้นตัวใหญ่ที่สุดที่ถือก็จะต้องไม่ใหญ่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต เช่น กรณีที่ถือว่าค่อนข้างสุดโต่งคือ ตัวเดียวเกิน 50% ของพอร์ต นอกจากการกระจายโดยตัวหุ้นแล้ว การกระจายตลาด เช่น ถือหุ้นต่างประเทศด้วยก็อาจจะเป็นสิ่งที่จำเป็นในยุคนี้ที่แม้แต่ประเทศก็เป็นความเสี่ยงที่เรียกว่า “Country Risk” และก็เช่นเดียวกัน การถือแต่หุ้นก็เป็นเรื่องที่อันตรายแม้ว่าจะเป็นการลงทุนระยะยาวมากที่บอกว่าหุ้นมีความเสี่ยงน้อยถ้าถือเป็นสิบ ๆ ปีขึ้นไปเป็นต้น ดังนั้น การถือทรัพย์สินอื่นเช่น พันธบัตรหรืออสังหาริมทรัพย์ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ควรทำ
ส่วนแก้ว 3 ประการ ในการวางแผนการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่ง ประกอบไปด้วย แก้วดวงแรกคือ การหาเงินมาลงทุนซึ่งก็มักจะมาจากการทำงานและเก็บออมมาลงทุน แก้วดวงที่ 2 ก็คือ การลงทุนอย่างถูกต้องและชาญฉลาดที่จะสร้างผลตอบแทนทบต้นที่สูงต่อเนื่องยาวนาน และแก้วดวงสุดท้ายก็คือ การลงทุนด้วยระยะเวลาที่ยาวนานที่สุด ทั้งสามเรื่องนั้น ถ้าทำได้ดี คือแก้วทุกดวงต่างก็สุกสว่าง คือมีเงินมาลงทุนเพิ่มมากขึ้น ได้รับผลตอบแทนการลงทุนสูง และลงทุนต่อเนื่องยาวนานไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าหากว่าแก้วทุกดวงต่างก็ “ริบหรี่” อนาคตทางการเงินก็ไม่สดใส | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1809 | Finance | ข้อใดเป็นใจความที่สำคัญในการจัดพอร์ตความสนใจสำหรับคนที่มีความรู้ มีประสบการณ์การลงทุน | A. โฟกัสที่การลงทุนแบบเข้มข้น
B. โฟกัสที่การหาเงินให้มาก
C. โฟกัสในการออมเงินให้มาก
D. ทำทุกอย่างตามกันหมด เหมือนกันหมด | คำตอบได้แก่ A. เพราะว่า การจัดพอร์ตความสนใจของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน บางคนอาจมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมาก ก็ต้อง focus ที่การหาเงินให้มากเข้าไว้ เพราะแค่ค่าใช้จ่ายก็ไม่เพียงพอต่อการออมแล้ว หรือคนที่มีค่าใช้จ่ายน้อย ก็อาจต้อง focus ในการออมเงินให้มากเข้าไว้ เพื่อใช้เป็นฐานทุนในการลงทุน
สำหรับคนที่มีความรู้ มีประสบการณ์การลงทุน มีชั่วโมงบิน ศึกษาอย่างจริงจัง ลึกซึ้ง การ focus ไปยังการลงทุน ควรเป็นหลักใหญ่ใจความที่สำคัญ เพราะความได้เปรียบของเราในด้านการศึกษาหาความรู้ที่เข้มข้นกว่าคนอื่น
และแน่นอนที่สุดว่า การจัดพอร์ตความสนใจนั้น dynamic หมายความว่า มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ หากจัดพอร์ตความสนใจแล้ว พบว่า ผลลัพธ์ไม่ได้ดี หมายความว่า มันต้องมีอะไรผิดพลาดบางอย่าง ซึ่งเมื่อทบทวนแบบไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป จะมองเห็นความผิดพลาดนั้น และหันมาจัดแจงความสนใจเสียใหม่ เพื่อรอดูผลลัพธ์ใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นนั่นเอง | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1812 | Finance | เขียนย่อหย้าเกี่ยวกับ การกระจายการลงทุนให้อัตโนมัติ | null | การกระจายการลงทุนให้อัตโนมัติ จะมีวิธีก็คือ ถ้าอยากลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี แล้วอยากลงทุน SET50 ทั้งดัชนี จะทำอย่างไร ความเป็นจริงเราสามารถลงทุนในตลาดหุ้นก็ได้แต่จะเหนื่อย เพราะฉะนั้น วิธีที่ง่ายกว่าคือ การกระจายการลงทุนในกองทุนรวม สมมติว่าสนใจการลงทุนในดัชนี เพรามันโตตามเศรษฐกิจได้ในระยะยาว และสนใจ SET50 ด้วย ก็ไม่ซื้อหุ้นในตลาดหุ้นทีละตัว แค่ซื้อเฉพาะหน่วยลงทุน ก็สามารถครอบครองหุ้นในดัชนีนั้นได้แล้ว
บทเรียนจากย่อหน้านี้
กระจายการลงทุนให้อัตโนมัติ
สมมติอยากลงทุนหุ้นเทคโนโลยี จะเลือกลงตัวไหนดี แต่ละตัวลงในสัดส่วนเท่าไร สมมติอยากลงทุน SET50 ทั้งดัชนี ต้องทำยังไง ต้องไปไล่ซื้อเองทุกตัวเลยรึเปล่า
จริงๆ ลงทุนในตลาดหุ้นก็สามารถทำเองได้ (อาจจะเหนื่อยหน่อย) แต่เรื่องกระจายการลงทุนเป็นเรื่องที่กองทุนรวมทำได้ง่ายกว่ามาก เช่น ถ้าสนใจการลงทุนในดัชนี เพราะมองว่าดัชนียังไงก็โตตามเศรษฐกิจในระยะยาว ดัชนีที่ไม่โตคือประเทศที่เจ๊ง ถ้าสนใจ SET50 ก็ไม่ต้องไปนั่งซื้อในตลาดหุ้นทีละตัว แค่ซื้อหน่วยลงทุนจากกองทุนที่ลงใน SET50 ก็เหมือนได้ครอบครองหุ้นในดัชนีนั้นแล้ว
หรือถ้าสนใจลงทุนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ถ้ามองว่าช่วงนี้หุ้นเทคโนโลยีเติบโตดี ก็แค่ซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี ก็จะได้ลงทุนในหุ้นเด่นในกลุ่มทันที ทีนี้ก็ไม่ต้องมานั่งเสี่ยงดวงว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น เพราะเหมาหมด ถึงจะมีตัวขาดทุนบ้าง แต่ถ้ามีตัวขึ้นแรงๆ ก็จะสามารถชดเชยและดันให้ผลตอบแทนของกองนั้นเป็นบวกได้ (หลักการคล้ายๆ ลงทุนในดัชนี) | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1815 | Finance | นักลงทุนควรขายหุ้นทั้งหมดเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวนหรือไม่? | null | ไม่ เพราะ การขายหุ้นทั้งหมดเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวนอาจส่งผลเสียต่อผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว ตลาดหุ้นมีความผันผวนอยู่เสมอ การพยายามจับจังหวะตลาดนั้นยากและอาจทำได้ไม่ดีเท่าการลงทุนระยะยาว การขายหุ้นทั้งหมดอาจทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรเมื่อตลาดหุ้นกลับมา
คำอธิบายเพิ่มเติม: ตลาดหุ้นมีความผันผวนอยู่เสมอ หมายความว่า ราคาหุ้นมีขึ้นมีลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะในระยะสั้น ความผันผวนนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ข่าวเศรษฐกิจ สถานการณ์การเมือง ภัยธรรมชาติ ฯลฯ
การพยายามจับจังหวะตลาด หมายถึง การพยายามขายหุ้นเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวน และซื้อหุ้นกลับเมื่อตลาดหุ้นกลับมา เป็นกลยุทธ์ที่ยากและอาจทำได้ไม่ดีเท่าการลงทุนระยะยาว เพราะว่า
การคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลงนั้นยากมาก แม้จะคาดการณ์ได้ถูกต้อง แต่การจับจังหวะซื้อขายให้ตรงกับจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดของตลาดนั้นยากยิ่ง การซื้อขายหุ้นบ่อยครั้งอาจทำให้เสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายและภาษีมากขึ้น
การลงทุนระยะยาว หมายถึง การลงทุนในหุ้นเป็นระยะเวลาหลายปี โดยไม่คำนึงถึงความผันผวนของตลาดหุ้นในระยะสั้น กลยุทธ์นี้มีหลักการว่า ในระยะยาว ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้น
ตัวอย่าง:
สมมติว่านักลงทุนคนหนึ่งลงทุนในดัชนี S&P 500 ในปี 2000 และขายหุ้นทั้งหมดเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวนในปี 2008 นักลงทุนคนนี้จะพลาดโอกาสในการทำกำไรเมื่อตลาดหุ้นกลับมาในปี 2009 และ 2010 ผลตอบแทนการลงทุนของนักลงทุนคนนี้จะน้อยกว่านักลงทุนที่ลงทุนระยะยาว ในทางตรงกันข้าม สมมติว่านักลงทุนอีกคนหนึ่งลงทุนในดัชนี S&P 500 ในปี 2000 และถือหุ้นไว้จนถึงปี 2020 นักลงทุนคนนี้จะได้รับผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี แม้จะผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจหลายครั้งก็ตาม
ข้อควรระวัง:
- การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงอยู่เสมอ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
- นักลงทุนควรเลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้
- นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม
สรุป:
- นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการขายหุ้นทั้งหมดเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวน
- การลงทุนระยะยาวเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในหุ้น
- นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน | ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1820 | Finance | จงบอก 7 ความคิดต้องห้ามถ้าอยากรวย ในรูปแบบของการเปรียบเทียบคำพูดระหว่างพ่อจนกับพ่อรวย | null | 1. พ่อจนบอกว่า “ฉันซื้อมันไม่ได้หรอก” พ่อรวยบอกว่า “ฉันจะซื้อมันได้อย่างไร”
ประโยคของพ่อจนเป็นเพียงประโยคบอกเล่าที่ชวนให้ท้อถอยเสียเหลือเกิน แค่พูดคำนี้สมองก็ไม่ทำงานต่อแล้ว ส่วนประโยคของพ่อรวยเป็นคำถามที่กระตุ้นสมองให้คิดหาวิธีสร้างเงินเพื่อมาซื้อสิ่งนั้น ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าควรจะซื้อทุกอย่างที่ปรารถนา แต่ประเด็นอยู่ที่การฝึกสมองให้คิดหาคำตอบเรื่อยๆ ต่างหาก ว่าจะหาทางสร้างเงินอย่างไร
2. พ่อจนบอกว่า “ฉันทำงานเพื่อเงิน” พ่อรวยบอกว่า “เงินทำงานให้ฉัน”
ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนธรรมดาอย่างหนึ่ง คือ วิธีที่พวกเขาได้รับเงิน คนธรรมดาส่วนใหญ่ทำงานแลกเวลาหาเงินกันไป แม้จะการันตีว่าได้เงินแน่นอนแต่ถ้ามัวแต่ทำงานแบบนี้อย่างเดียวโดยไม่หาทางให้เงินงอกเงยทางอื่นเลย ก็อาจจะทำให้เงินไม่พอในอนาคต และมีความเสี่ยงหากเกิดกรณีตกงานอีก ในขณะที่คนรวยนั้นส่วนใหญ่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ทำงานแบบมีค่าคอมมิชชั่น หรือเลือกลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ
3. พ่อจนบอกว่า “เรื่องเงินทอง อย่าไปเสี่ยง” พ่อรวยบอกว่า “จงเรียนรู้วิธีบริหารความเสี่ยง”
มีหลายคนที่กลัวความเสี่ยง จึงเก็บเงินไว้กับตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าจริง ๆ ว่าความเสี่ยงนั้นสามารถบริหารจัดการกันได้ คนรวยส่วนใหญ่ลงเล่นเกมการเงินเพื่อเอาชนะ ซึ่งต้องมีความกล้าได้กล้าเสียระดับหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็สามารถรับความไม่แน่ไม่นอนได้ นั่นหมายความว่า พวกเขาไม่ได้แค่หลับหูหลับตาก้าวเข้าไปสู้รบแบบไม่รู้เรื่องอะไร แบบนั้นอันตราย พวกเขาต้องกล้าที่จะรับความเสี่ยงแบบชาญฉลาด ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์และความรู้ระดับหนึ่ง ดังนั้น เพื่อที่จะให้ได้ประสบการณ์และความรู้มากขึ้น ก็ต้องลองผิดลองถูกและเรียนรู้ทุกครั้งเมื่อสำเร็จหรือล้มเหลว เพื่อช่วยสร้างความแข็งแกร่งและเข้าใจความเสี่ยงมากขึ้น
4. พ่อจนบอกว่า “บ้านของฉันคือสินทรัพย์” พ่อรวยบอกว่า “บ้านของฉันคือหนี้สิน”
ความแตกต่างระหว่างสินทรัพย์และหนี้สิน คือ สินทรัพย์คือสิ่งที่จะยังทำเงินได้ ส่วนหนี้สินจะดึงเงินออกจากตนเอง จุดสำคัญคือต้องเข้าใจว่าสินทรัพย์และหนี้สินต่างกันอย่างไร
5. พ่อจนบอกว่า “เรียนให้หนักเข้าไว้ จะได้ทำงานในบริษัทดีๆ” พ่อรวยบอกว่า “เรียนให้หนักเข้าไว้ จะได้สามารถเป็นเจ้าของบริษัทดีๆ ได้”
เหล่าคนรวยมักไม่กลัวที่จะคิดการใหญ่ ตั้งความหวังไว้สูงๆ และคาดหวังว่าจะทำเงินได้เยอะๆ ในขณะที่คนธรรมดาทั่วไปคาดหวังว่าจะต้องลำบาก และไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้สูงมาก
6. พ่อจนบอกว่า “ฉันไม่มีวันรวยหรอก” พ่อรวยบอกว่า “ฉันเป็นคนรวย”
แม้ว่าพ่อรวยจะเจอภาวะล้มละลาย ก็ยังเรียกตัวเองว่า “คนรวย” โดยเสริมว่า ความแตกต่างระหว่างการล้มละลายกับความจนคือ การล้มละลายมันแค่ชั่วคราว แต่ความจนคือตลอดไป
7. พ่อจนบอกว่า “ฉันไม่สนใจเรื่องเงินหรอก” พ่อรวยบอกว่า “เงินคืออำนาจ”
ส่วนใหญ่มักถูกสอนให้เรียนดีๆ หางานดีๆ และพอใจในชีวิตที่มีอยู่ จะว่าเป็นความคิดที่ดีมันก็ดี มันทำให้ไม่โลภอยากได้อะไรเกินตัวเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจจะปิดกั้นศักยภาพบางอย่างที่อาจจะเติบโตได้อีก ในทางตรงกันข้าม คนรวยจะคิดถึงเรื่องเงินแบบเป็นขั้นเป็นตอน และมองเงินว่าเป็นเครื่องมือที่มีอำนาจซึ่งสามารถนำมาซึ่งตัวเลือกและโอกาสต่างๆ ได้ พูดง่ายๆ คือ ไม่ว่าเงินจะถูกมองไม่ดีอย่างไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีเงินเยอะๆ ก็ถือเป็นแต้มต่อให้ชีวิตจริงๆ | ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1821 | Finance | คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นลงทุนในกองทุนรวม มีอะไรบ้าง | null | 1. ศึกษาหาความรู้:
- เรียนรู้พื้นฐานการลงทุน ประเภทของกองทุนรวม ความเสี่ยง ผลตอบแทน
- ศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมที่สนใจ เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน นโยบายการลงทุน
- ศึกษากลยุทธ์การลงทุน
2. เริ่มต้นลงทุน:
- ลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
- กระจายความเสี่ยง ลงทุนในกองทุนรวมหลายประเภท
- ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องกังวลกับภาวะตลาด
3. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
- ปรึกษานักวางแผนการเงิน ที่ปรึกษาการลงทุน
- เลือกใช้บริการ robo-advisor
4. อดทนรอคอย:
- เข้าใจธรรมชาติของตลาดหุ้น มีทั้งขาขึ้นและขาลง
- อดทนรอคอย ผลตอบแทนที่ดีจะมาในระยะยาว
เพิ่มเติม:
เริ่มต้น: ลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้
ตั้งเป้าหมาย: ระบุเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลา เงินทุน
ควบคุมอารมณ์: ลงทุนอย่างมีสติ ไม่ใช้อารมณ์
ทบทวนพอร์ต: ตรวจสอบผลการลงทุน ปรับพอร์ตตามความเหมาะสม
ตัวอย่าง:
ศึกษา: เข้าคอร์สเรียนการลงทุน อ่านหนังสือ บทความ เว็บไซต์ เกี่ยวกับการลงทุน
เริ่มต้น: ลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้
ปรึกษา: ปรึกษานักวางแผนการเงิน ที่ปรึกษาการลงทุน
อดทน: อดทนรอคอย ผลตอบแทนที่ดีจะมาในระยะยาว
สรุป: การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้ เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย กระจายความเสี่ยง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และอดทนรอคอย | กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1823 | Finance | กลยุทธ์การลงทุนของ Jack Ma เน้นไปที่การเก็งกำไรระยะสั้นหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
กลยุทธ์การลงทุนของ Jack Ma เน้นไปที่การลงทุนระยะยาว
เขาให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวมากกว่าผลกำไรระยะสั้น
เขาลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แม้ว่าธุรกิจเหล่านั้นจะยังไม่盈亏平衡ก็ตาม
คำอธิบายเพิ่มเติม:
Jack Ma เริ่มต้นธุรกิจ Alibaba ด้วยเงินลงทุนเพียง $20,000
เขาเชื่อว่า Alibaba มีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นธุรกิจขนาดใหญ่
ในที่สุด Alibaba ก็กลายเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน
ปัจจุบัน Alibaba มีมูลค่าตลาดมากกว่า $200 พันล้าน
ตัวอย่าง:
ในปี 1999 Jack Ma ลงทุนในธุรกิจ Taobao ซึ่งเป็นเว็บไซต์ประมูลออนไลน์
ในช่วงแรก Taobao ไม่ได้盈亏平衡 แต่ Jack Ma ยังคงลงทุนในธุรกิจต่อไป
เขาเชื่อว่า Taobao มีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นธุรกิจขนาดใหญ่
ในที่สุด Taobao ก็กลายเป็นเว็บไซต์ประมูลออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน
ข้อควรระวัง:
การลงทุนระยะยาวมีความเสี่ยงอยู่เสมอ
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
นักลงทุนควรเลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้
นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม
สรุป:
กลยุทธ์การลงทุนของ Jack Ma เน้นไปที่การลงทุนระยะยาว
เขาให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวมากกว่าผลกำไรระยะสั้น
เขาลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แม้ว่าธุรกิจเหล่านั้นจะยังไม่盈亏平衡ก็ตาม
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1824 | Finance | การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ผ่านแพลตฟอร์ม Zipmex เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
1. ความเสี่ยงสูง:
คริปโทเคอร์เรนซีเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง (High Volatility)
ราคาสามารถขึ้นลงได้อย่างรุนแรงในระยะเวลาสั้น ๆ
นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด
2. ความรู้ความเข้าใจ:
การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain)
กลยุทธ์การลงทุน
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
3. กฎระเบียบ:
กฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซียังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
กฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ
นักลงทุนอาจเผชิญความเสี่ยงด้านกฎหมาย
4. ค่าธรรมเนียม:
แพลตฟอร์ม Zipmex มีค่าธรรมเนียมในการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี
นักลงทุนควรศึกษาเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมก่อนตัดสินใจลงทุน
5. ความปลอดภัย:
แพลตฟอร์ม Zipmex เป็นเป้าหมายของแฮ็กเกอร์
นักลงทุนควรศึกษาและเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ปลอดภัย
ประเภทของนักลงทุนที่เหมาะสม:
นักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง (High Risk Tolerance)
เข้าใจเทคโนโลยีบล็อกเชน
กลยุทธ์การลงทุน
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
การบริหารความเสี่ยง
ศึกษาและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกฎระเบียบ
เข้าใจค่าธรรมเนียม
เลือกใช้แพลตฟอร์มที่ปลอดภัย
ประเภทของนักลงทุนที่ไม่เหมาะสม:
นักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ (Low Risk Tolerance)
ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน
กลยุทธ์การลงทุน
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
การบริหารความเสี่ยง
ไม่ศึกษาและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกฎระเบียบ
ไม่เข้าใจค่าธรรมเนียม
ไม่เลือกใช้แพลตฟอร์มที่ปลอดภัย
สรุป:
การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีผ่านแพลตฟอร์ม Zipmex ไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภท
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล ความเสี่ยง กฎระเบียบ ค่าธรรมเนียม และความปลอดภัยก่อนตัดสินใจลงทุน | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1825 | Finance | จงสรุปบทความ เตรียมแผนเกษียณอย่างไร? กับทศวรรษที่กำลังจากหายไปของประเทศไทย | หลายคนคงเคยได้ยิน “3 ทศวรรษที่หายไป ของญี่ปุ่น” ประเทศไทยกำลังจะเป็นแบบนั้น ประเทศที่ครั้งหนึ่งตลาดหุ้นมีดัชนีอยู่ 39,916 จุด ในปีที่ 1989 ปัจจุบันปี 2020 อยู่ที่ประมาณ 23,000 จุดที่ไม่เคยทะลุจุดเดิมอีกเลย ประเทศที่เคยใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกได้สูญเสียตำแหน่งนี้ไปให้กับจีนแล้ว ดูจากรูปข้างล่าง คุณเคยคิดไหม…ประเทศจะเกิดทศวรรษที่กำลังจากหายไป ถ้าคุณไม่เคยคิด วันนี้ผมมีข่าวร้ายมาบอก “ประเทศไทยกำลังจะเจอทศวรรษที่กำลังจากหายไป” ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ผมขอสรุปงานวิจัยเรื่อง “ทศวรรษถัดไปของไทย ธุรกิจโตอย่างไรเมื่อคนไทยกว่า 40% เข้าสู่วัยเกษียณ” จากบทวิจัยของ เกียรตินาคินภัทร จากรูปที่ 1: จำนวนประชากรสูงวัยจะมีสัดส่วนมากขึ้นมาก ในขณะที่ประชากรในวัยที่กำลังทำงานและมีกำลังใช้จ่าย จะมีสัดส่วนลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากรูปที่ 2: GDP มีแนวโน้มลดต่ำลง เนื่องจากสาเหตุหนึ่งคือ โครงสร้างประชากรวัยทำงานลดลง ขาดกำลังซื้อการบริโภค จะส่งต่อไปยังการเก็บภาษีภาครัฐบาลเพื่อนำลงทุนต่อในระบบลดน้อยลง จากรูปที่ 3 บ่งบอกชัดเจนว่า ปัจจุบัน รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนไทยนั้น อยู่ระดับแค่ต่ำ แต่สัดส่วนของคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป กลับอยู่ระดับเดียวกับ Singapore ที่อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง แต่ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะมีสัดส่วนของคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมากขึ้นกว่าเดิม แต่รายได้กลับอยู่ในระดับเดิม รูปที่ 6 ธุรกิจดั้งเดิมที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เช่น รถยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม และเสื้อผ้า จะไม่สามารถขยายตัวได้ดีเหมือนเก่า ธุรกิจที่ยังสามารถขยายตัวได้ดี เช่น อุตสาหกรรมยา สุขภาพ โรงพยาบาล หรือด้านบริการ โดยสรุปจากบทวิจัยคือ การบริโภคจะเริ่มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
ตลาดสินค้าในประเทศไม่เติบโตได้มากเหมือนในอดีต
การขาดแคลนแรงงานจะซ้ำเติมให้ไทยดึงดูดการลงทุนได้น้อยลง
ธุรกิจดั้งเดิมที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เช่น รถยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม และเสื้อผ้า จะไม่สามารถขยายตัวได้ดีเหมือนเก่า
ธุรกิจที่ยังสามารถขยายตัวได้ดีตามแนวโน้มสังคมสูงวัย เช่น อุตสาหกรรมยา สุขภาพ โรงพยาบาล ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย และบริการอื่น ๆ
ภาวะสังคมสูงวัยมีส่วนสร้างแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ
เงินบาทแข็งค่า ยังสร้างความท้าทายและข้อจำกัดต่อนโยบายการเงินและนโยบายการคลังในระยะต่อไป คำถามใหญ่ที่คุณจะถามตัวเอง คือ จะเตรียมแผนเกษียณอย่างไรกับทศวรรษที่กำลังจากหายไปของประเทศไทย วันนี้ ผมขอฝากข้อคิด 3 ข้อที่อยากให้ทุกท่านเตรียมการรับมือทศวรรษที่กำลังจากหายไปของประเทศไทย 1. แผนการลงทุนเพื่อเกษียณ ถ้าคุณลงทุนเฉพาะ กองทุน LTF และ RMF หุ้นไทย คุณจะเจอขาดทุนเกือบ -20% จากต้นปี สิ่งที่คุณควรจะดูคือ พอร์ตการลงทุนเพื่อเกษียณตอนนี้สัดส่วนเป็นอย่างไร กุญแจที่สำคัญคือ พอร์ตการลงทุนจะต้องมีการกระจายหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก พอร์ตการลงทุนจะต้องมีการกระจายหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก ยิ่งถ้าคุณใกล้วัยเกษียณ การจัดพอร์ตเพื่อถอนเงินเกษียณจะทวีความสำคัญมาก เพราะหมดเวลาที่วัยหลังเกษียณจะลงทุนในตราสารหนี้อย่างเดียว การจัดพอร์ตเพื่อถอนเงินเกษียณจะทวีความสำคัญมาก ซึ่งก่อนจะจัดพอร์ตลงทุนคุณจะได้ทำ Gap Analysis ของการเกษียณให้ได้ก่อน เพื่อจะวางแผนได้อย่างถูกต้อง Gap Analysis 2. แผนการจัดการค่ารักษาพยาบาล เป็นที่ประจักษ์มาหลายปีแล้วว่า ค่ารักษาพยาบาลจะปรับตัวมากขึ้น โดยเฉพาะโรคร้ายแรงที่สูงมาก ดังนั้นคุณควรจะทบทวนแผนการจัดการค่ารักษาพยาบาลก่อนเกษียณและหลังเกษียณ แผนการจัดการค่ารักษาพยาบาล แผนแรก คุณควรจะมีแผนค่าใช้จ่ายครบตามรูป 3 เหลี่ยม คือ ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป
ทุพพลภาพ
โรคร้ายแรงระยะต่าง ๆ ทบทวนของเก่าและเพิ่มเติมตามความเหมาะสม โอนความเสี่ยงไปให้ประกันสุขภาพจะช่วยให้คุณบริหารค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญ อย่าลืม Heath Care Fund กองทุนค่ารักษาพยาบาล เพื่อนำมาจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณ และเป็นค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกที่อาจจะใช้ประกันสุขภาพไม่ได้ 3. การสร้างมรดกเพิ่มให้ลูกหลาน มรดกมี 2 ระดับ ระดับที่ 1 คือระดับพื้นฐาน เช่นภาระการศึกษาของบุตร หนี้สิน
ระดับที่ 2 คือระดับความปรารถนา เช่น ต้องการจะให้ทายาทมีแต้มต่อ ไม่ได้เริ่มต้นนับ 0 มีเงินตั้งต้น ดังนั้น คุณจะต้องมีแผนสร้างมรดกเพิ่มให้ลูกหลานอย่างต่อความมั่งคั่งที่ยั่งยืน สร้างคุณค่ายามเราจากไป แผนสร้างมรดกเพิ่ม ทั้ง 3 ข้อแนะนำนี้ คุณลองกลับไปทบทวนแผนแต่ละแผนที่คุณมี ทศวรรษที่กำลังจากหายไปของประเทศไทยกำลังจะมาถึงแล้ว | ทศวรรษถัดไปของไทย ธุรกิจโตอย่างไร เมื่อคนไทยกว่า 40% เข้าสู่วัยเกษียณ โดยสรุปจากบทวิจัยคือ
- การบริโภคจะเริ่มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
- ตลาดสินค้าในประเทศไม่เติบโตได้มากเหมือนในอดีต การขาดแคลนแรงงานจะซ้ำเติมให้ไทยดึงดูดการลงทุนได้น้อยลง
- ธุรกิจดั้งเดิมที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เช่น รถยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม และเสื้อผ้า จะไม่สามารถขยายตัวได้ดีเหมือนเก่า
- ธุรกิจที่ยังสามารถขยายตัวได้ดีตามแนวโน้มสังคมสูงวัย เช่น อุตสาหกรรมยา สุขภาพ โรงพยาบาล ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย และบริการอื่น ๆ
- ภาวะสังคมสูงวัยมีส่วนสร้างแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ
- เงินบาทแข็งค่า ยังสร้างความท้าทายและข้อจำกัดต่อนโยบายการเงินและนโยบายการคลังในระยะต่อไป
คำถามใหญ่ที่คุณจะถามตัวเอง คือ จะเตรียมแผนเกษียณอย่างไรกับทศวรรษที่กำลังจากหายไปของประเทศไทย
ข้อคิด 3 ประการ ได้แก่
1. แผนการลงทุนเพื่อเกษียณ ถ้าคุณลงทุนเฉพาะ กองทุน LTF และ RMF หุ้นไทย คุณจะเจอขาดทุนเกือบ -20% จากต้นปี สิ่งที่คุณควรจะดูคือ พอร์ตการลงทุนเพื่อเกษียณตอนนี้สัดส่วนเป็นอย่างไร กุญแจที่สำคัญคือ พอร์ตการลงทุนจะต้องมีการกระจายหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก
2. แผนการจัดการค่ารักษาพยาบาล เป็นที่ประจักษ์มาหลายปีแล้วว่า ค่ารักษาพยาบาลจะปรับตัวมากขึ้น โดยเฉพาะโรคร้ายแรงที่สูงมาก ดังนั้นคุณควรจะทบทวนแผนการจัดการค่ารักษาพยาบาลก่อนเกษียณและหลังเกษียณ
3. การสร้างมรดกเพิ่มให้ลูกหลาน มรดกมี 2 ระดับ
ระดับที่ 1 คือระดับพื้นฐาน เช่นภาระการศึกษาของบุตร หนี้สิน
ระดับที่ 2 คือระดับความปรารถนา เช่น ต้องการจะให้ทายาทมีแต้มต่อ ไม่ได้เริ่มต้นนับ 0 มีเงินตั้งต้น
ดังนั้น คุณจะต้องมีแผนสร้างมรดกเพิ่มให้ลูกหลานอย่างต่อความมั่งคั่งที่ยั่งยืน สร้างคุณค่ายามเราจากไป | ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1826 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การตัดสินใจเลือกลงทุนกับ FINNOMENA ของคุณพล ตัณฑเสถียร | null | การตัดสินใจเลือกลงทุนกับ FINNOMENA ของคุณพล ตัณฑเสถียร เกิดจากการพูดคุยกับทีมงาน และได้เห็นว่ามีการให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และทราบมาว่า FINNOMENA มีการทำ Core Portfolio ให้มีคนดูแลพอร์ต ทำให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาวอย่างยั่งยืน และมีความหลากหลายในทางเลือกกองทุน จึงตัดสินมาลงทุนกับ FINNOMENA คุณพลคิดว่า FINNOMENA สามารถแก้ไขปัญหาการลงทุนจากความหลากหลายกองทุน มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่สะดวก สามารถเข้ากับความเสี่ยงที่รับได้ และมีการอัปเดตพอร์ตแบบวันต่อวัน ทำให้รู้ความเคลื่อนที่ของการลงทุนผ่านมือถือและเว็บไซต์ ได้อย่างสะดวก และ FINNOMENA มีความแตกต่างจากการลงทุนที่อื่น เพราะมีแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย สามารถดูผลตอบแทนได้ง่าย มีทางเลือกในการเลือกกองทุนที่หลากหลาย และคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
บทเรียนจากย่อหน้านี้
เพราะอะไรคุณพลถึงตัดสินใจเลือกลงทุนกับ FINNOMENA?
หลังจากการที่ได้พูดคุยกับทีมงานของ FINNOMENA จึงเห็นถึงความเด่นชัดในการให้ข้อมูลที่มั่นใจได้ว่าเชื่อถือได้ อีกทั้งรู้ว่า FINNOMENA มีการทำ Core Portfolio ที่มั่นใจได้ว่ามีคนดูแลพอร์ตเหล่านี้ ทำให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาวอย่างยั่งยืน และทางเลือกกองทุนที่มีความหลากหลาย จึงตัดสินใจลงทุนกับ FINNOMENA
คุณพลคิดว่า FINNOMENA สามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาการลงทุนในจุดไหนได้บ้าง?
หลัก ๆ คือ การมีหลากหลายกองทุนจากหลายที่ให้เลือก มันตอบโจทย์มาก และมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ทำให้สะดวกในการเลือกซื้อก็เป็นส่วนสำคัญ อีกทั้งสามารถเข้ากับความเสี่ยงที่รับได้ด้วย ตลอดจนการอัปเดตพอร์ตวันต่อวันที่ทำให้รู้ถึงความเคลื่อนที่ของการลงทุนแบบง่าย ๆ บนมือถือและเว็บไซต์
คุณพลมองว่า FINNOMENA แตกต่างจากการลงทุนที่อื่นอย่างไร?
ความแตกต่างที่สัมผัสได้คือ มีแอปพลิเคชันที่ค่อนข้างใช้ง่าย สามารถดูเรื่องของผลตอบแทนได้ง่ายกว่ารูปแบบเดิม ส่วนต่อมาคือทางเลือกในการเลือกกองทุนที่หลากหลายกว่าที่อื่น และแม้ FINNOMENA จะมี Core Portfolio แต่ FINNOMENA ก็คำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ทำให้มีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เข้ากับตนเอง | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1828 | Finance | จงสรุปบทความ Xpeng (เสี่ยวเผิง) คู่เเข่ง Tesla สัญชาติจีน IPO ที่ 1,500 ล้านดอลลาร์ | รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (EV) เป็นอีกหนึ่งการโดยสารที่ใช้พลังงานสะอาด/พลังงานทางเลือก เเบ่งได้เป็น
HEV รถยนต์ไฟฟ้าเเบบไฮบริดจ์:ใช้พลังงานได้ทั้งเชื้อเพลิงเเละเเบตเตอรี่
BEV: ใช้ไฟฟ้าจากเเบตเตอรี่วิ่ง 100%
FCEV: ใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงไฮโดรเจน
PHEV: ใช้ได้ทั้งพลังงานจากเขื้อเพลิงเเละเเบตเตอรี่ เเต่มีปลั๊กเสียบชาร์จเเบตได้จากภายนอก EV
มีมูลค่าตลาดในปี 2019 อยู่ที่ 162,340 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 22.6% ยอดขายรถทั่วโลกอยู่ที่ 24.56 ล้านคัน
ส่วนเเบ่งการตลาดรถไฟฟ้าสูงสุดในปี 2019 คือ
อันดับ 1 คือ Tesla ที่มีส่วนเเบ่งการตลาดอยู่ที่ 20% รถรุ่น Model 3 ขายได้กว่า 3 เเสนคัน
อันดับ 2 คือ BAIC ที่มีส่วนเเบ่งการตลาดอยู่ที่ 10% มียอดจำหน่ายรถ EU-Series ที่ 111,047 คัน
อันดับ 3 คือ BYD ที่มีส่วนเเบ่งการตลาดอยู่ที่ 9%
จะเห็นว่า Market Share อันดับ 2 เเละ 3 มาจากบริษัทจีน เเละ จีนมีอัตราการเติบโตในตลาดรถ EV สูง เเละส่วนเเบ่งการตลาดเพิ่มจาก 4.5% เป็น 4.7% ในปี 2019 อีกด้วย Xpeng Motors (อ่านว่า เสี่ยวเผิง มาจากชื้อผู้ก่อตั้ง เหอเสี่ยวเผิง) เป็นบริษัทออกแบบ ผลิตเเละจำหน่ายรถ Smart EV ในจีน เน้นลูกค้าระดับกลางเเละระดับสูงในตลาดรถยนต์ส่วนบุคคล โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามารวมกับรถไฟฟ้า สถิติที่น่าสนใจคือ ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อรถ EV ของ Xpeng เลือกที่จะเอาระบบขับขี่อัตโนมัติพร้อมรถยนต์ด้วย โดย 90% ของลูกค้าที่ซื้อรถ SUV รุ่น G3 เเละ 50% ของลูกค้าที่ซื้อรถ Sedan รุ่น P7 เลือกเพิ่มระบบขับขี่อัตโนมัติเข้ามาในรถตัวเองด้วย
ปี 2019 มีรายได้ 328 ล้านดอลลาร์ ปี 2020 มีรายได้นับรวมตั้งเเต่ต้นปีถึงเดือนมิถุนายนต์ที่ 141 ล้านดอลลาร์ ปี 2018 มียอดขายรถ 371 คัน ปี 2019 มียอดขายรถ 16,608 คัน ปี 2020 มียอดขายรถ นับถึงเดือนกรกฏาคม 6,972 คัน ข้อมูลจาก: carsalebase สามารถดูยอดขายรถรายเดือนได้เเละมีข้อมูลย้อนหลังของรถทุกยี่ห้อ เเม้ยอดขายรถจะตกลงจากปีก่อนเพราะโควิด เเต่ Xpeng ไม่ได้ขายรถอย่างเดียว ขายชิ้นส่วน EV ด้วยจึงยังพอมีรายได้บ้าง ปัจจุบันกำลังพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติระดับสูงในชื่อ XPILOT 3.0 นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบ OS ที่ใช้ในรถยนต์ของตัวเอง ให้สามารถพัฒนาเเละติดตั้ง Application ในรถยนต์ได้ ระบบนำทาง การสั่งการด้วยเสียง เเละกุญเเจดิจิตอล การที่ Xpeng สามารถพัฒนาระบบได้อย่างรวดเร็วเพราะ China Money Power ซื้อผู้บริหาร เเละ Developers จากทั้ง Apple, Qualcomm, Tesla จนเกิดการฟ้องร้องว่าขโมยความลับทางการค้า ส่วนดีไซน์รถ SUV คล้ายๆ Tesla เหมือนกัน Xpeng ได้ IPO ไปที่ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมาในราคา 15 ดอลลาร์ต่อหุ้น ก่อนปิดวันด้วยราคา 21.22 ดอลลาร์ต่อหุ้น +41% ในวันเดียว | รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (EV) เป็นอีกหนึ่งการโดยสารที่ใช้พลังงานสะอาด/พลังงานทางเลือก เเบ่งได้เป็น HEV BEV FCEV PHEV
EV มีมูลค่าตลาดในปี 2019 อยู่ที่ 162,340 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 22.6% ยอดขายรถทั่วโลกอยู่ที่ 24.56 ล้านคัน
ส่วนเเบ่งการตลาดรถไฟฟ้าสูงสุดในปี 2019 คือ
อันดับ 1 คือ Tesla ที่มีส่วนเเบ่งการตลาดอยู่ที่ 20% รถรุ่น Model 3 ขายได้กว่า 3 เเสนคัน
อันดับ 2 คือ BAIC ที่มีส่วนเเบ่งการตลาดอยู่ที่ 10% มียอดจำหน่ายรถ EU-Series ที่ 111,047 คัน
อันดับ 3 คือ BYD ที่มีส่วนเเบ่งการตลาดอยู่ที่ 9%
Xpeng Motors (เป็นบริษัทออกแบบ ผลิตเเละจำหน่ายรถ Smart EV ในจีน เน้นลูกค้าระดับกลางเเละระดับสูงในตลาดรถยนต์ส่วนบุคคล
ปี 2019 มีรายได้ 328 ล้านดอลลาร์
ปี 2020 มีรายได้นับรวมตั้งเเต่ต้นปีถึงเดือนมิถุนายนต์ที่ 141 ล้านดอลลาร์
ปี 2018 มียอดขายรถ 371 คัน
ปี 2019 มียอดขายรถ 16,608 คัน
ปี 2020 มียอดขายรถ นับถึงเดือนกรกฏาคม 6,972 คัน
ปัจจุบันกำลังพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติระดับสูงในชื่อ XPILOT 3.0 นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบ OS ที่ใช้ในรถยนต์ของตัวเอง ให้สามารถพัฒนาเเละติดตั้ง Application ในรถยนต์ได้ ระบบนำทาง การสั่งการด้วยเสียง เเละกุญเเจดิจิตอล
Xpeng ได้ IPO ไปที่ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมาในราคา 15 ดอลลาร์ต่อหุ้น ก่อนปิดวันด้วยราคา 21.22 ดอลลาร์ต่อหุ้น +41% ในวันเดียว | ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การวิเคราะห์ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1829 | Finance | ในฐานะนักลงทุนรายย่อย ควรเริ่มต้นวางแผนการเงินอย่างไร? | null | 1. กำหนดเป้าหมายทางการเงิน:
เป้าหมายระยะสั้น: เช่น เก็บเงินดาวน์บ้าน ซื้อรถ ท่องเที่ยว
เป้าหมายระยะยาว: เช่น เกษียณอายุอย่างสบาย ส่งลูกเรียนต่อ สร้างมรดก
2. ประเมินสถานะการเงินปัจจุบัน:
รายรับ: เงินเดือน รายได้จากธุรกิจ รายได้อื่นๆ
รายจ่าย: ค่าใช้จ่ายประจำ ค่าใช้จ่ายแปรปรวน หนี้สิน
สินทรัพย์: เงินสด เงินฝาก ลงทุน
3. จัดทำงบประมาณ:
วางแผนการใช้จ่าย: ควบคุมค่าใช้จ่าย จดบันทึกรายรับ-รายจ่าย
เก็บออม: แยกเงินออมสำหรับเป้าหมายต่างๆ
ชำระหนี้สิน: จัดลำดับความสำคัญ วางแผนการชำระหนี้
4. ศึกษาความรู้ด้านการเงิน:
เรียนรู้ประเภทของสินทรัพย์: หุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์
เข้าใจความเสี่ยง: ศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนแต่ละประเภท
กลยุทธ์การลงทุน: เรียนรู้กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยง
5. เริ่มต้นลงทุน:
ลงทุนในสินทรัพย์ที่กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท
ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ: ลงทุนเป็นประจำ เช่น ทุกเดือน
ระยะยาว: อดทน ลงทุนระยะยาว ไม่หวั่นไหวกับตลาดระยะสั้น
6. ปรับแผนตามสถานการณ์:
ทบทวนแผนการเงินเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
ปรับแผนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เช่น รายได้ รายจ่าย เป้าหมาย
7. หาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ:
ปรึกษาผู้วางแผนการเงิน หากต้องการคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจง
ศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น หนังสือ บทความ เว็บไซต์
การวางแผนการเงินไม่ใช่เรื่องยาก นักลงทุนรายย่อยสามารถเริ่มต้นได้ด้วยตัวเอง เพียงศึกษาข้อมูล จัดระเบียบการเงิน และลงทุนอย่างสม่ำเสมอ การวางแผนที่ดีจะช่วยให้นักลงทุนบรรลุเป้าหมายทางการเงิน สร้างความมั่นคง และความสุขในชีวิต | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1833 | Finance | จงบอก 3 ข้อ แนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง รวดเร็ว ของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนจาก SCGP ณ ปี 2562 | null | 1) ตลาดบรรจุภัณฑ์สำหรับอีคอมเมิร์ซกำลังเติบโตอย่างร้อนแรง คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าอีคอมเมิร์ซยังสามารถเติบโตได้อีกมาก และหากว่ากันถึงตลาดบรรจุภัณฑ์สำหรับอีคอมเมิร์ซที่ SCGP กำลังดำเนินธุรกิจอยู่นั้นก็ถือได้ว่ามีอัตราเติบโตที่น่าทึ่งเช่นกัน จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ธุรกิจแห่งอนาคตที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์
2) ยอดการใช้งานบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ กำลังเติบโต นอกจากการเติบโตในตลาดใหญ่อย่างอีคอมเมิร์ซแล้ว ยอดการใช้งานสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มประเทศที่ SCGP ทำธุรกิจด้วย ก็มีการเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่ต่อเนื่องไม่ขาดสาย โดยการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในปี 2562-2567 นั้นอยู่ที่ 5.87% และในช่วง COVID-19 ทำให้ผู้คนอยู่บ้านและใช้บริการอีคอมเมิร์ซ ซื้อของออนไลน์กันมากขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่เคยทดลองใช้บริการได้เรียนรู้ และคุ้นชินกับการจับจ่ายออนไลน์ จึงอาจทำให้อีคอมเมิร์ซเติบโตมากกว่าที่เคยเป็น
3) ยอดผู้ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกและกระดาษเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในส่วนของการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกและกระดาษ บรรจุภัณฑ์กระดาษถือเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของ SCGP ยอดการใช้ต่อหัวในไทยนั้นอยู่ที่ 50 กิโลกรัมต่อคนต่อปี แซงหน้าจีนที่ 35 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ในส่วนของบรรจุภัณฑ์พลาสติกเองศักยภาพการเติบโตของ GDP ที่ 5.1% ณ ปี 2562 รวมกับปริมาณประชากรในอาเซียนที่ 650 ล้านคนแล้ว ก็ถือได้ว่ากลุ่มคนในภูมิภาคอาเซียนขนาดใหญ่กำลังมีการเติบโตทางฐานรายได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการจับจ่ายใช้สอย และนำไปสู่การบริโภคสินค้า ที่จะส่งผลบวกสอดคล้องไปกับกลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเหมือนชิ้นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในสินค้าต่าง ๆ | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1834 | Finance | จงสรุปบทความ รู้จัก Snowflake บริษัทที่ปู่ Buffett ต้องซื้อ IPO | Berkshire Hathaway ของปู่บัฟเฟต เสนอซื้อ IPO ของบริษัท Cloud Computing ชื่อ Snowflake กว่า 4 ล้านหุ้น จำนวน 250 ล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับ Saleforce Venture ที่เสนอซื้อหุ้น Snowflake ด้วย เเล้ว Snowflake ทำอะไร ทำไมกองทุนใหญ่ 2 กองถึงสนใจซื้อ ในยุคดิจิทัลที่เกิด Data มหาศาล ที่เรียกว่า Data is The New Oil แต่ผู้คนยังขาดความสามารถในการจัดการกับ Data และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ จึงต้องใช้ Solution ต่าง ๆ เข้ามาช่วยในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การเก็บข้อมูล ไปจนถึงการนำไปแสดงผลเป็นกราฟที่สวยงาม หรือการนำข้อมูลไปให้ AI ใช้งาน หากพูดภาษาชาวบ้าน Solution หลัก ๆ มี 3 อย่างคือ 1. จัดการฐานข้อมูลให้เป็นระบบระเบียบ ใช้งานต่อได้ 2. นำข้อมูลไปแสดงผล มีการ Monitor ดูข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้น 3. นำข้อมูลไปประมวลผลใน AI ช่วยตัดสินใจ ช่วยนู่นนี่นั่นโน่น Snowflake ดีอย่างไร? SNOW เป็นบริษัทที่เน้นจัดการฐานข้อมูล โดยมีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดเกิน 100% เสียอีก Fiscal Year End January ปี 2019 มีรายได้ 96 ล้านดอลลาร์ ปี 2020 มีรายได้ 264 ล้านดอลลาร์ ในการสร้าง Data Pipeline ของธุรกิจทั่ว ๆ ไปนั้น ปัญหาจะอยู่ที่การเก็บข้อมูลครับ ตั้งแต่เตรียมข้อมูล จัดการข้อมูลให้เรียบร้อย ไหนจะแปลงให้เข้ากับ Data Warehouse ของบริษัทได้ เพื่อนำไปต่อยอดวิเคราะห์หรือแสดงผลต่อไป แบ่งเป็น 3 Layer: Storage, Computing, Cloud Service Snowflake ชูจุดแข็งที่ Data Warehouse เข้ามาช่วยลดโหลดงานของ Data Engineer สร้าง Single Source of Truth ให้แก่บริษัท และรวมข้อมูลเข้าสู่จุดศูนย์กลาง ทำให้แต่ละหน่วยงาน นำข้อมูลไปใช้ต่อได้ ต่อได้อย่างง่ายดาย และยังใช้ภาษา SQL ในการจัดการ เนื่องจาก SQL เป็นภาษาสากลอยู่แล้ว สำหรับการจัดการ Database ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มมาก ในขณะที่บริการด้าน Datalake สำหรับ Unstructured data ก็มีนะ คู่แข่ง? โดยปกติแล้วเราจะเห็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Data มีมากมายหลายตัว โดยมีความเข้าใจผิดสำคัญคือ UX/UI ต่างกันรึเปล่า? จริง ๆ แล้ว แต่ละบริษัทมีจุดแข็งที่ต่างกัน โดยมีฐานลูกค้าเป็นคนละกลุ่มอุตสาหกรรม หรือกลุ่มผู้ใช้งาน Snowflake จะเน้นไปที่การจัดการ Data เพื่อให้พร้อมไปใช้งานเสียมากกว่า เรียกได้ว่าเป็นแกนกลางของการจัดการ Data เลยก็ว่าได้ คู่แข่งสำคัญจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก Big 3 Cloud Titan: AWS Azure GCP นั่นเอง (แอดเห็นแล้วยังอยากย้ายไปใช้บ้างเลย) หรืออย่าง Alteryx ที่มาช่วยเรื่อง Data Pipeline Snowflake เป็นหนึ่งในบริษัท Cloud Computing and Data Analytic ที่เพิ่ง IPO เเละได้รับความสนใจอย่างมากเพราะ Business Model ที่ไม่เหมือนบริษัท Cloud อื่น ๆ | SNOW เป็นบริษัทที่เน้นจัดการฐานข้อมูล โดยมีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดเกิน 100%
Fiscal Year End January
ปี 2019 มีรายได้ 96 ล้านดอลลาร์
ปี 2020 มีรายได้ 264 ล้านดอลลาร์
Snowflake ชูจุดแข็งที่ Data Warehouse เข้ามาช่วยลดโหลดงานของ Data Engineer สร้าง Single Source of Truth ให้แก่บริษัท และรวมข้อมูลเข้าสู่จุดศูนย์กลาง ทำให้แต่ละหน่วยงาน นำข้อมูลไปใช้ต่อได้ ต่อได้อย่างง่ายดาย คู่แข่งสำคัญจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก Big 3 Cloud Titan: AWS Azure GCP
Snowflake เป็นหนึ่งในบริษัท Cloud Computing and Data Analytic ที่เพิ่ง IPO เเละได้รับความสนใจอย่างมากเพราะ Business Model ที่ไม่เหมือนบริษัท Cloud อื่น ๆ | ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1835 | Finance | เปรียบเทียบระหว่างกองทุนสุดยอดหุ้นเติบโต KFHTECH-A และ ONE-UGG-RA | null | สรุปจุดเด่น KFHTECH-A
- เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
- ลงทุนผ่าน BlackRock บริษัทจัดการสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
- มีการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นเทคโนโลยีในจีนที่แข็งแกร่งอย่าง Alibaba และ Tencent
- เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบและเชื่อมั่นว่าจีนจะก้าวมาเป็นมหาอำนาจในอนาคตได้ เพราะกองทุนกระจายการลงทุนในจีนเป็นสัดส่วนที่มากกว่าปกติ
สรุปจุดเด่น ONE-UGG-RA
- เลือกหุ้นได้แบบไร้ขีดจำกัดทั่วโลก ทำให้ไม่พลาดโอกาสจากหุ้นเติบโตในประเทศต่าง ๆ
- เลือกหุ้นผ่านผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ที่มีความเข้าใจธุรกิจอย่างดีเยี่ยม
- เน้นลงทุนใน “หุ้นเด้ง” หรือ “หุ้นเติบโตหลายเท่า” ที่สร้างผลตอบแทนได้สูง
- ผลการดำเนินงานย้อนหลังโดดเด่นเหนือดัชนีชี้วัดหุ้นโลก (MSCI AC World Index) เป็นอย่างมาก
ข้อแตกต่างสำคัญระหว่าง ONE-UGG-RA กับ KFHTECH-A ก็คือ ตัวกองทุน ONE-UGG-RA ไม่ได้จำกัดตัวเองแค่ในหุ้นหมวดเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ตัวกองทุนสามารถเฟ้นหาหุ้นเติบโตได้ทั่วโลกและทุกภูมิภาค เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ซึ่งก็จะแตกต่างกับตัวกองทุน KFHTECH-A ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นหลัก
แต่ถึงอย่างนั้นหากนำผลงานของกองทุนเทคโนโลยี มาเทียบกับกองทุนหุ้นโลกก็คงจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก ดังนั้นเอาเป็นว่าหากใครที่ชอบและสนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก็ให้เป็นหน้าที่ของกองทุน KFHTECH-A ส่วนใครที่ชอบการเฟ้นหาหุ้นเติบโตทั่วโลกและเชื่อมั่นในฝีมือผู้จัดการกองทุนและทีมงานก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกองทุน ONE-UGG-RA | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1836 | Finance | จงสรุปบทความเรื่อง "ปัญหาที่จะเกิดขึ้น ถ้ารวมเงินทุกอย่างไว้ในพอร์ตเดียว" ให้หน่อยค่ะ | ลองจินตนาการดูว่าถ้าคุณเอา “เงินใช้จ่ายประจำวัน” กับ “เงินออม” ใส่รวมในบัญชีเดียวกัน วันหนึ่งคุณจะเผลอหยิบส่วนของเงินออมไปใช้หรือเปล่า? ลองจินตนาการดูว่าถ้าคุณเอา “เงินใช้จ่ายประจำวัน” กับ “เงินออม” ใส่รวมในบัญชีเดียวกัน วันหนึ่งคุณจะเผลอหยิบส่วนของเงินออมไปใช้หรือเปล่า? ถ้าคำตอบคือใช่ แสดงว่าคุณควรจะแยกบัญชีอย่างเร่งด่วน! รวมถึงบัญชีลงทุนของคุณด้วย การรวมเงินทุกอย่างไว้ในที่เดียวทำให้เราสับสนและยากต่อการจัดการ ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องของเงินออมเท่านั้น ในเรื่องของการลงทุนก็เช่นกัน ถ้าไม่ได้มีการแบ่งสัดส่วนให้ชัดเจนก็อาจทำให้เกิดปัญหาเช่นกัน การรวมเงินทุกอย่างไว้ในที่เดียวทำให้เราสับสนและยากต่อการจัดการ ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องของเงินออมเท่านั้น ในเรื่องของการลงทุนก็เช่นกัน ถ้าไม่ได้มีการแบ่งสัดส่วนให้ชัดเจนก็อาจทำให้เกิดปัญหาเช่นกัน การรวมทุกอย่างไว้ในพอร์ตเดียว อาจทำให้คุณไม่สำเร็จในการลงทุน การไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน คือ การที่เรามีเงินสะสมไม่พอใช้ในเวลาที่ต้องการ การไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน คือ การที่เรามีเงินสะสมไม่พอใช้ในเวลาที่ต้องการ ปัจจัยที่ทำให้การลงทุนของเราไม่สำเร็จ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่เราลงทุนผิดที่ ทำให้ไม่ได้ผลตอบแทนที่ต้องการ กรณีนี้จะควบคุมยากหน่อย เพราะบางทีก็ไม่ได้เกี่ยวกับว่าความรู้เราไม่มากพอ แต่ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดช่วงนั้นไม่เอื้ออำนวย ปัจจัยที่ทำให้การลงทุนของเราไม่สำเร็จ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่เราลงทุนผิดที่ ทำให้ไม่ได้ผลตอบแทนที่ต้องการ กรณีนี้จะควบคุมยากหน่อย เพราะบางทีก็ไม่ได้เกี่ยวกับว่าความรู้เราไม่มากพอ แต่ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดช่วงนั้นไม่เอื้ออำนวย อีกปัจจัยหนึ่ง คือ การที่เราผิดวินัยในการลงทุนของตัวเอง เช่น เราเผลอถอนเงินลงทุนในพอร์ตที่ตั้งใจจะลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาวออกมาใช้ก่อน หรือเราลืมติดตามว่าเงินสะสมเราพอใช้หรือยัง เพราะแยกไม่ออกว่าเงินส่วนไหนใช้ทำอะไร จนทำให้พอถึงเวลาที่จำเป็นต้องใช้เงิน เรากลับเพิ่งรู้ตัวว่ามีเงินไม่พอใช้ อีกปัจจัยหนึ่ง คือ การที่เราผิดวินัยในการลงทุนของตัวเอง เช่น เราเผลอถอนเงินลงทุนในพอร์ตที่ตั้งใจจะลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาวออกมาใช้ก่อน หรือเราลืมติดตามว่าเงินสะสมเราพอใช้หรือยัง เพราะแยกไม่ออกว่าเงินส่วนไหนใช้ทำอะไร จนทำให้พอถึงเวลาที่จำเป็นต้องใช้เงิน เรากลับเพิ่งรู้ตัวว่ามีเงินไม่พอใช้ ปัจจัยหลังนี่แหละ คืออันตรายที่จะเกิดจากการรวมเงินทุกอย่างไว้ในแผนการลงทุนเดียว ซึ่งอาจจะทำให้เราบริหารจัดการเงินลงทุนของเราผิดพลาดได้ ปัจจัยแรกเรื่องตลาดเราควบคุมไม่ได้ แต่ปัจจัยหลังเรื่องวินัยในการลงทุน สามารถแก้ได้ด้วยการแบ่งแผนการลงทุนตามเป้าหมาย ปัจจัยหลังนี่แหละ คืออันตรายที่จะเกิดจากการรวมเงินทุกอย่างไว้ในแผนการลงทุนเดียว ซึ่งอาจจะทำให้เราบริหารจัดการเงินลงทุนของเราผิดพลาดได้ ปัจจัยแรกเรื่องตลาดเราควบคุมไม่ได้ แต่ปัจจัยหลังเรื่องวินัยในการลงทุน สามารถแก้ได้ด้วยการแบ่งแผนการลงทุนตามเป้าหมาย การแบ่งแผนการลงทุนมีข้อดีอย่างไร 1. เป็นการแบ่งเงินตามวัตถุประสงค์ แต่ละคนมีหลากหลายเป้าหมายในชีวิต และเกือบทุกเป้าหมายก็จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากน้อยไม่เท่ากัน และความด่วนก็ไม่เท่ากันด้วย เช่นเป้าหมายในการซื้อบ้านก็ต้องใช้เงินไวหน่อย ส่วนเป้าหมายในการเก็บเงินส่งลูกเรียนสูงๆ ก็อาจจะไม่ต้องรีบใช้ในตอนนี้ แต่ละคนมีหลากหลายเป้าหมายในชีวิต และเกือบทุกเป้าหมายก็จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากน้อยไม่เท่ากัน และความด่วนก็ไม่เท่ากันด้วย เช่นเป้าหมายในการซื้อบ้านก็ต้องใช้เงินไวหน่อย ส่วนเป้าหมายในการเก็บเงินส่งลูกเรียนสูงๆ ก็อาจจะไม่ต้องรีบใช้ในตอนนี้ ถ้าเราไม่แบ่งเงินลงทุนให้ชัดเจนว่าเงินส่วนไหนใช้ทำอะไร จับมากองรวมกันในที่เดียว รับรองว่ามึนแน่นอน ถ้าเราไม่แบ่งเงินลงทุนให้ชัดเจนว่าเงินส่วนไหนใช้ทำอะไร จับมากองรวมกันในที่เดียว รับรองว่ามึนแน่นอน ตัวอย่างการตั้งเป้าหมายทางการเงิน ตัวอย่างการตั้งเป้าหมายทางการเงิน การสร้างแผนการลงทุนแบ่งตามแต่ละวัตถุประสงค์ จะเป็นเหมือนการ “แปะป้าย” ไว้ว่าเงินส่วนนี้เราตั้งใจจะเอาไปทำอะไรในอนาคต เพื่อที่เราจะได้บริหารเงินส่วนนั้นได้อย่างถูกต้อง (บริหารทั้งเรื่องความเสี่ยงในการลงทุนและปริมาณเงินในการลงทุน) ยกตัวอย่างการแบ่งแผนตามวัตถุประสงค์เช่น แผนสำหรับเก็บเงินเกษียณ แผนเก็บเงินซื้อรถซื้อบ้าน แผนเก็บเงินส่งลูกเรียน แผนลงทุนเก็งกำไรระยะสั้น แผนออมเงินฉุกเฉิน ฯลฯ การสร้างแผนการลงทุนแบ่งตามแต่ละวัตถุประสงค์ จะเป็นเหมือนการ “แปะป้าย” ไว้ว่าเงินส่วนนี้เราตั้งใจจะเอาไปทำอะไรในอนาคต เพื่อที่เราจะได้บริหารเงินส่วนนั้นได้อย่างถูกต้อง (บริหารทั้งเรื่องความเสี่ยงในการลงทุนและปริมาณเงินในการลงทุน) ยกตัวอย่างการแบ่งแผนตามวัตถุประสงค์เช่น แผนสำหรับเก็บเงินเกษียณ แผนเก็บเงินซื้อรถซื้อบ้าน แผนเก็บเงินส่งลูกเรียน แผนลงทุนเก็งกำไรระยะสั้น แผนออมเงินฉุกเฉิน ฯลฯ ถ้าเกิดว่าแผนนี้แปะป้ายว่าเป็นแผนการลงทุนระยะยาว แผนนี้อาจจะเสี่ยงได้มากขึ้นหน่อย และถ้ามีความผันผวนในระยะสั้นเราก็ไม่ควรเสียวินัย ให้ทำตามแผนที่วางเอาไว้ต่อ หรือถ้าแผนนี้แปะป้ายว่าเป็นการลงทุนระยะสั้น แสดงว่าต้องบริหารแบบรัดกุมมากขึ้น เน้นการลงทุนเป็นไม้ๆ ไม่ลงทีเดียวหมด และอาจมีการ Cut Loss หากว่าลงทุนผิดทาง หรือถ้าเป็นแผนที่แปะป้ายว่าเป็นเงินสำรองฉุกเฉินหรือเงินเก็บให้ลูก ก็ไม่ควรเผลอถอนออกมาใช้เลย เป็นต้น ถ้าเกิดว่าแผนนี้แปะป้ายว่าเป็นแผนการลงทุนระยะยาว แผนนี้อาจจะเสี่ยงได้มากขึ้นหน่อย และถ้ามีความผันผวนในระยะสั้นเราก็ไม่ควรเสียวินัย ให้ทำตามแผนที่วางเอาไว้ต่อ หรือถ้าแผนนี้แปะป้ายว่าเป็นการลงทุนระยะสั้น แสดงว่าต้องบริหารแบบรัดกุมมากขึ้น เน้นการลงทุนเป็นไม้ๆ ไม่ลงทีเดียวหมด และอาจมีการ Cut Loss หากว่าลงทุนผิดทาง หรือถ้าเป็นแผนที่แปะป้ายว่าเป็นเงินสำรองฉุกเฉินหรือเงินเก็บให้ลูก ก็ไม่ควรเผลอถอนออกมาใช้เลย เป็นต้น 2. ติดตามพอร์ตได้ง่ายขึ้น พอเรารู้แล้วว่าแต่ละพอร์ตลงทุนเพื่อวัตถุประสงค์อะไร เราก็จะสามารถประมาณได้ว่าพอร์ตนั้นควรมีมูลค่าเท่าไรในวันที่จำเป็นต้องใช้เงิน ยกตัวอย่างเช่น เราอยากเกษียณตอนอายุ 60 และต้องการมีเงินเกษียณประมาณ 10 ล้านบาท ตอนที่อายุ 50 เราก็ควรมีเงินในพอร์ตใกล้ถึง 10 ล้านบาทแล้ว พอเรารู้แล้วว่าแต่ละพอร์ตลงทุนเพื่อวัตถุประสงค์อะไร เราก็จะสามารถประมาณได้ว่าพอร์ตนั้นควรมีมูลค่าเท่าไรในวันที่จำเป็นต้องใช้เงิน ยกตัวอย่างเช่น เราอยากเกษียณตอนอายุ 60 และต้องการมีเงินเกษียณประมาณ 10 ล้านบาท ตอนที่อายุ 50 เราก็ควรมีเงินในพอร์ตใกล้ถึง 10 ล้านบาทแล้ว การแยกพอร์ตจะทำให้เรารู้ล่วงหน้าว่าเงินเราพอใช้หรือกำลังจะไม่พอใช้ และถ้าไม่พอใช้ควรแก้ไขอย่างไร ควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนหรือเปล่า หรือถ้าอาศัยแค่ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่น่าจะพอแล้ว ก็ต้องหารายได้เพิ่มอีกทางเพื่อให้เรายังคงบรรลุเป้าหมายในเวลาที่กำหนด การติดตามแยกเป็นแต่ละพอร์ตแบบนี้จะช่วยให้เราสามารถแก้เกมและปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ทันท่วงที มีเงินใช้ทันเวลาตามแผนพอดี การแยกพอร์ตจะทำให้เรารู้ล่วงหน้าว่าเงินเราพอใช้หรือกำลังจะไม่พอใช้ และถ้าไม่พอใช้ควรแก้ไขอย่างไร ควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนหรือเปล่า หรือถ้าอาศัยแค่ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่น่าจะพอแล้ว ก็ต้องหารายได้เพิ่มอีกทางเพื่อให้เรายังคงบรรลุเป้าหมายในเวลาที่กำหนด การติดตามแยกเป็นแต่ละพอร์ตแบบนี้จะช่วยให้เราสามารถแก้เกมและปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ทันท่วงที มีเงินใช้ทันเวลาตามแผนพอดี 3. เป็นโอกาสในการฝึกออกแบบพอร์ตด้วยตนเอง กรณีนี้สำหรับนักลงทุนที่รู้เรื่องการลงทุนและอยากลองเลือกกองทุนเข้าพอร์ตด้วยตนเองเอง การแยกออกมาเป็นอีกแผนสำหรับทดสอบแผนการลงทุนโดยเฉพาะจะทำให้เราเห็น Performance ของพอร์ตที่เราออกแบบชัดเจนขึ้น และสามารถกันเงินส่วนที่จะเอามาทดลองแยกกับเงินส่วนที่ลงทุนพอร์ตระยะยาว เพื่อที่จะได้ไม่เผลอนำเงินส่วนใหญ่มาเสี่ยง กรณีนี้สำหรับนักลงทุนที่รู้เรื่องการลงทุนและอยากลองเลือกกองทุนเข้าพอร์ตด้วยตนเองเอง การแยกออกมาเป็นอีกแผนสำหรับทดสอบแผนการลงทุนโดยเฉพาะจะทำให้เราเห็น Performance ของพอร์ตที่เราออกแบบชัดเจนขึ้น และสามารถกันเงินส่วนที่จะเอามาทดลองแยกกับเงินส่วนที่ลงทุนพอร์ตระยะยาว เพื่อที่จะได้ไม่เผลอนำเงินส่วนใหญ่มาเสี่ยง นักลงทุนที่ลงทุนในแผนของ FINNOMENA มาซักพัก และอยากลองเลือกกองทุนเองดูบ้าง ก็สามารถสร้างแผน DIY แยกมาเป็นอีกพอร์ตได้ ถือว่าเป็นการลองฝึกการลงทุนด้วยตัวเอง บริหารพอร์ตในสไตล์ของตัวเอง นักลงทุนที่ลงทุนในแผนของ FINNOMENA มาซักพัก และอยากลองเลือกกองทุนเองดูบ้าง ก็สามารถสร้างแผน DIY แยกมาเป็นอีกพอร์ตได้ ถือว่าเป็นการลองฝึกการลงทุนด้วยตัวเอง บริหารพอร์ตในสไตล์ของตัวเอง นักลงทุนที่ลงทุนตามแผน Model Port ของ FINNOMENA ถ้าต้องการเลือกกองทุนเอง หรือต้องการซื้อกองทุน IPO การแยกพอร์ต จะช่วยให้ไม่สับสน และแบ่งแยกวัตถุประสงค์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การลงกองทุนเองในแผนเดิม บน FINNOMENA Model Port จะทำให้สัดส่วนการลงทุนไม่ตรงตามคำแนะนำ วิธีสร้างแผนเพิ่ม สำหรับใครที่มีหลายเป้าหมายการลงทุนและยังรวมเงินทุกอย่างไว้ในแผนเดียวอยู่ อยากแนะนำให้เริ่มสร้างแผนเพิ่มและจัดสรรเงินลงทุนแยกกันตามวัตถุประสงค์ดู พอร์ตจะได้มีความชัดเจนและบริหารง่ายขึ้น สำหรับใครที่มีหลายเป้าหมายการลงทุนและยังรวมเงินทุกอย่างไว้ในแผนเดียวอยู่ อยากแนะนำให้เริ่มสร้างแผนเพิ่มและจัดสรรเงินลงทุนแยกกันตามวัตถุประสงค์ดู พอร์ตจะได้มีความชัดเจนและบริหารง่ายขึ้น สำหรับนักลงทุนที่ไม่เคยลงทุนกับ FINNOMENA มาก่อน การสร้างแผนการลงทุนมากกว่า 1 แผนต้องมีการลงทุนในแผนแรกให้เรียบร้อยก่อนถึงจะสร้างแผนเพิ่มได้ ส่วนนักลงทุนที่เคยลงทุนกับ FINNOMENA อยู่แล้ว สามารถสร้างแผนเพิ่มได้ตามขั้นตอนนี้ สำหรับนักลงทุนที่ไม่เคยลงทุนกับ FINNOMENA มาก่อน การสร้างแผนการลงทุนมากกว่า 1 แผนต้องมีการลงทุนในแผนแรกให้เรียบร้อยก่อนถึงจะสร้างแผนเพิ่มได้ ส่วนนักลงทุนที่เคยลงทุนกับ FINNOMENA อยู่แล้ว สามารถสร้างแผนเพิ่มได้ตามขั้นตอนนี้ นักลงทุนสามารถสร้างแผนเพิ่มได้ทั้งบนแอปพลิเคชั่นและเว็บไซต์โดยเข้าไปที่หน้า พอร์ต (Port) ซึ่งปัจจุบัน FINNOMENA มีแผนการลงทุนให้เลือกทั้งหมด 28 แผน (รวมพอร์ต DIY) ซึ่งแต่ละแผนก็จะออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน แล้วแผนไหนเหมาะกับเป้าหมายไหนของคุณ? สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดแต่ละแผนได้ที่ นักลงทุนสามารถสร้างแผนเพิ่มได้ทั้งบนแอปพลิเคชั่นและเว็บไซต์โดยเข้าไปที่หน้า พอร์ต (Port) ซึ่งปัจจุบัน FINNOMENA มีแผนการลงทุนให้เลือกทั้งหมด 28 แผน (รวมพอร์ต DIY) ซึ่งแต่ละแผนก็จะออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน แล้วแผนไหนเหมาะกับเป้าหมายไหนของคุณ? สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดแต่ละแผนได้ที่ เรื่องเงินถ้าบริหารดีๆ ทุกคนก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ไม่มีคำว่าฟลุคแน่นอนครับ | ถ้าเอาเงินใช้จ่ายประจำวันกับเงินออมใส่รวมในบัญชีเดียวกัน จะเผลอหยิบเงินออมไปใช้หรือเปล่า? ถ้าคำตอบคือใช่ แสดงว่าควรแยกบัญชีอย่างเร่งด่วน ถ้าไม่ได้แบ่งสัดส่วนให้ชัดเจน ก็อาจทำให้เกิดปัญหา การรวมเงินทุกอย่างไว้ในที่เดียวกัน ทำให้สับสนและยากต่อการจัดการ อาจทำให้การลงทุนไม่สำเร็จ
การไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน คือ การที่มีเงินสะสมไม่พอใช้ในเวลาที่ต้องการ ปัจจัยส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการลงทุนผิดที่ ทำให้ไม่ได้ผลตอบแทนที่ต้องการ เพราะบางทีก็ไม่ได้เกี่ยวกับว่าความรู้ไม่มากพอ แต่ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดช่วงนั้นไม่เอื้ออำนวย อีกหนึ่งปัจจัยคือ การผิดวินัยในการลงทุนของตัวเอง เป็นอันตรายที่จะเกิดจากการรวมเงินทุกอย่างไว้ในแผนการลงทุนเดียว ทำให้เราบริหารจัดการเงินลงทุนผิดพลาด ปัจจัยเรื่องตลาดควบคุมไม่ได้ แต่ปัจจัยเรื่องวินัยการลงทุน สามารถแก้ได้ด้วยการแบ่งแผนการลงทุนตามเป้าหมาย
การแบ่งแผนการลงทุนมีข้อดีอย่างไร
1. เป็นการแบ่งเงินตามวัตถุประสงค์ แต่ละคนมีเป้าหมายในชีวิตที่หลากหลาย และเกือบทุกเป้าหมายจำเป็นต้องใช้เงินและความด่วนก็ไม่เท่ากันด้วย ถ้าเราไม่แบ่งเงินลงทุนให้ชัดเจนแล้วจับมากองรวมกันในที่เดียว รับรองว่ามึนแน่นอน การสร้างแผนการลงทุนที่แบ่งตามวัตถุประสงค์ เป็นเหมือนการแปะป้ายไว้ว่าเงินส่วนนี้เราจะเอาไปทำอะไรในอนาคต เพื่อที่จะได้บริหารเงินส่วนนั้นได้อย่างถูกต้อง
2. ติดตามพอร์ตได้ง่ายขึ้น ถ้ารู้แล้วว่าแต่ละพอร์ตลงทุนมีวัตถุประสงค์อะไร ก็จะสามารถประมาณได้ว่า พอร์ตนั้นควรมีมูลค่าเท่าไรในวันที่จำเป็นต้องใช้เงิน การแยกพอร์ตทำให้รู้ล่วงหน้าว่าเงินพอใช้หรือไม่พอใช้ และถ้าไม่พอใช้ควรแก้ไขอย่างไร ควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนหรือเปล่า หรือถ้าอาศัยแค่ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่น่าจะพอ ก็ต้องหารายได้เพิ่มเพื่อยังคงบรรลุเป้าหมายในเวลาที่กำหนด การติดตามแยกเป็นแต่ละพอร์ตจะช่วยให้เราสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ทันท่วงที มีเงินใช้ทันเวลาตามแผน
3. เป็นโอกาสในการฝึกออกแบบพอร์ตด้วยตนเอง สำหรับนักลงทุนที่รู้เรื่องการลงทุนและอยากลองเลือกกองทุนเข้าพอร์ตด้วยตนเอง เป็นอีกแผนสำหรับทดสอบแผนการลงทุน ทำให้เราเห็น Performance ของพอร์ตที่ออกแบบชัดเจนขึ้น และสามารถกันเงินที่จะเอามาทดลองแยกกับเงินที่ลงทุนพอร์ตระยะยาว เพื่อที่จะไม่เผลอนำเงินส่วนใหญ่มาเสี่ยง เป็นการลองฝึกการลงทุนด้วยตัวเอง บริหารพอร์ตในสไตล์ของตัวเอง | การจัดการการเงินส่วนบุคคล | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1839 | Finance | การพัฒนา Decentralized Finance (DeFi) จะส่งผลดีต่อระบบการเงินแบบดั้งเดิม (Traditional Finance) หรือไม่? | null | มีแนวโน้มที่จะส่งผลดี เหตุผล:
1. DeFi เพิ่มทางเลือกและโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงิน:
DeFi ช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง เช่น ธนาคาร
ผู้ใช้สามารถฝาก กู้ยืม แลกเปลี่ยน และลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ โดยตรงผ่านแอปพลิเคชั่น DeFi
สิ่งนี้ช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้ที่อาจไม่มีบัญชีธนาคารหรือถูกจำกัดการเข้าถึงบริการทางการเงินแบบดั้งเดิม
2. DeFi เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน:
DeFi ทำงานบนระบบบล็อกเชน ซึ่งช่วยให้ธุรกรรมมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และปลอดภัย
ธุรกรรม DeFi ไม่จำเป็นต้องผ่านตัวกลาง จึงช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรม
ผู้ใช้สามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากการฝากเงินและลงทุนใน DeFi
3. DeFi ส่งเสริมนวัตกรรมในระบบการเงิน:
DeFi กระตุ้นให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชั่นและบริการทางการเงินใหม่ ๆ บนบล็อกเชน
สิ่งนี้ช่วยเพิ่มการแข่งขันในระบบการเงินและนำไปสู่บริการที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้
ตัวอย่างนวัตกรรม DeFi เช่น การให้กู้ยืมแบบไร้หลักประกัน การแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (DEX) และการระดมทุนแบบ Initial DEX Offering (IDO)
4. DeFi ช่วยให้ระบบการเงินมีความยืดหยุ่นและทนทานต่อแรงกระแทก:
DeFi กระจายอำนาจและควบคุมระบบการเงินออกจากตัวกลาง
สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยงจาก systemic risk
DeFi ช่วยให้ระบบการเงินสามารถทำงานต่อไปได้แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินแบบดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม DeFi ยังมีข้อจำกัดบางประการ:
ความซับซ้อนทางเทคนิค: ผู้ใช้ DeFi จำเป็นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและ Smart Contract
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: DeFi ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น การถูกโจมตีทางไซเบอร์
กฎระเบียบ: กฎระเบียบเกี่ยวกับ DeFi ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ
โดยสรุป:
DeFi มีศักยภาพที่จะส่งผลดีต่อระบบการเงินแบบดั้งเดิม
DeFi เพิ่มทางเลือก โอกาส ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมให้กับระบบการเงิน
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดบางประการที่ต้องได้รับการแก้ไข
การพัฒนา DeFi อย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมีการ
พัฒนาเทคโนโลยีให้ใช้งานง่ายขึ้น
เพิ่มมาตรการความปลอดภัย
กำหนดกฎระเบียบที่ชัดเจน
เมื่อข้อจำกัดเหล่านี้ได้รับการแก้ไข DeFi จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบการเงินในอนาคต | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1840 | Finance | กรณี Electronic Waste หรือ ขยะอิเล็คทรอนิกส์ เป็นผลมาจากอะไร | 1. โอกาสในสังคม
2. จากอาหารที่กินเหลือในระดับครัวเรือน
3. จากอาหารที่เหลือจากการจำหน่ายตามห้างร้าน
4. จากการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
5. ความไม่เท่าเทียมกันของคนในสังคม | คำตอบที่ถูกต้องคือ 4. เนื่องจาก เพราะกรณี Electronic Waste หรือ ขยะอิเล็คทรอนิกส์ เป็นผลมาจากการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งเป็นขยะที่ก่อให้เกิดสารพิษที่เป็นโลหะหนัก ได้แก่ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม นอกจากนี้ยังมีสารหนู กำมะถัน จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
ส่วนกรณี Food Waste มาจากอาหารที่กินเหลือในระดับครัวเรือน เศษอาหารและวัตถุดิบเหลือใช้จากกระบวนการผลิตอุตสาหกรรมอาหาร หรือแม้แต่อาหารที่เหลือจากการจำหน่ายตามห้างร้าน ตัวอย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ละปีจะมีคนอเมริกันทิ้งอาหารประมาณ 40 ล้านตัน หากจัดสรรอย่างดี สามารถนำไปเลี้ยงผู้คนที่ขาดแลคนอาหารได้ถึง 1 พันล้านคน
และการที่นโยบายรัฐฯ สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่กลับทิ้งคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่โตมากขึ้นในชุมชนเมือง ปัญหาที่ตามมาก็คือ ความไม่เท่าเทียมกันของคนในสังคม (Inequality) ทั้งในแง่ฐานะทางสังคม ความมั่งคั่งทางการเงิน หรือ รวมไปถึง โอกาสในสังคม | ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1845 | Finance | เขียนนิยายเรื่อง "รุ่งอรุณหลังพัง: ทางออกในวิกฤติเศรษฐกิจ" ให้หน่อย | null | ชื่อเรื่อง: "รุ่งอรุณหลังพัง: ย้อนรอยวิกฤติเศรษฐกิจ"
เมื่อเวลาผ่านไป ย้อนกลับไปในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจ มีวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษย์ในทุกๆ มุมมอง มันไม่เพียงแต่เป็นประสบการณ์ทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับมิติที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับการทำงานของระบบเศรษฐกิจและความผันผวนของมัน
ในปี 2000 ของ "เมืองฮาร์ดทอป" ชุมชนเล็กๆ บนภูเขา กำลังพยายามที่จะเอาชีวิตต่อไป แต่การลงทุนที่ไม่ระมัดระวังและการเล่นเกมในตลาดทุนที่เสี่ยงกาจได้นำพาสู่วิกฤติทางเศรษฐกิจที่ทำให้เมืองต้องต่อสู้กับความขาดแคลนและความเปลี่ยนแปลงที่ขัดแย้งกันของความคิดเห็น
ทุกคนในเมืองเริ่มรับรู้ถึงผลกระทบที่ตามมาจากวิกฤติทางเศรษฐกิจ การสูญเสียงาน การลดลงของรายได้ และความไม่มั่นคงในอนาคต ซึ่งส่งผลให้เกิดความเครียดและความกังวลในชุมชน แต่ก็มีแสงหวาดในมืด การร่วมมือและความเข้าใจในชุมชนเพื่อสร้างความเข้มแข็งในเวลาที่ยากลำบาก มนุษย์หันมาหาวิธีในการช่วยเหลือกัน ด้วยการแบ่งปันทรัพยากรและการสร้างชุมชนที่แข็งแรงขึ้น
เมื่อความไม่มั่นคงจากวิกฤติเศรษฐกิจได้รับการปรับปรุง ชุมชนเริ่มก้าวข้ามไปข้างหน้า ด้วยการสร้างแผนการเรียนรู้เพื่อป้องกันการเกิดวิกฤติในอนาคต และการพัฒนาศักยภาพในการจัดการเงินทุน เมื่อสภาพเศรษฐกิจของเมืองฮาร์ดทอปเริ่มฟื้นตัวขึ้น มันไม่ได้แค่เป็นการกู้คืนสภาพทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการฟื้นฟูความมั่นคงในชุมชน และสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจไม่ใช่แค่ความเสียหายและความเจ็บปวด แต่ยังเป็นโอกาสในการเรียนรู้และการเติบโต ความทุ่มเทในการฟื้นฟูชุมชนจะช่วยให้มนุษย์เติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างมีสติสำคัญในอนาคตที่ยั่งยืนได้
เรื่องนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมและการรับมือกับวิกฤติทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ การเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทำความเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้เราเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง เตือนใจให้ระมัดระวังและระมัดระวังในการจัดการเงินและการลงทุน เพื่อป้องกันการเผชิญหน้ากับวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เป็นไปไม่ได้ และให้มีการวางแผนและก้าวข้ามไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในทุกสถานการณ์ | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1847 | Finance | Satoshi Nakamoto สร้างสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin มีจำนวนเหรียญทั้งหมดกี่ล้าน | 1. 15 ล้าน
2. 21 ล้าน
3. 20 ล้าน
4. 30 ล้าน | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 2. เพราะว่า
หลังจากในปี 2008 ที่ Satoshi Nakamoto สร้างสกุลเงินดิจิทัลที่มีชื่อว่า Bitcoin ขึ้นมาโดยมีจำนวนเหรียญทั้งหมด 21 ล้าน Bitcoin สาเหตุหนึ่งก็เพื่อต้องการสร้างความน่าเชื่อถือในเรื่องของเงินเฟ้อในอนาคต พอเมื่อเวลาผ่านไปความต้องการ Bitcoin ที่เพิ่มมากขึ้นจากหลายเหตุผลในขณะที่จำนวนเหรียญมีอย่างจำกัด ราคา Bitcoin จึงเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
ในฐานะของนักลงทุนที่มีความสนใจในสินทรัพย์ชนิดใหม่นี้ การพิจารณาและคำนึงถึงการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลจึงมีความสำคัญไม่แพ้กันครับ เนื่องจาก Bitcoin เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มี Value มาก การเก็บรักษา การโอน Value ที่มีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งนั้นสำคัญมาก เพราะเราไม่สามารถนำไปฝากธนาคารและโอนให้กันผ่าน App เหมือนเงินสดที่เราทำกันอยู่ทุกวัน สินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องมีที่เก็บรักษาที่แตกต่างออกไป ซึ่งมีวิธีการเก็บในหลายรูปแบบ บทความนี้ของ Zipmex จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกระเป๋าเงินดิจิทัลหรือที่เรียกกันว่า Wallet ครับ
Digital Wallet คืออะไร ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป รูปแบบของเงิน หรือตัวกลางที่ใช้แลกเปลี่ยนก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Bitcoin นั้น เราไม่สามารถใช้วิธีการเก็บเช่นเดียวกับเงินสกุลใด ๆ ก็ตามในอดีต แต่คุณจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Wallet พูดง่าย ๆ คือกระเป๋าเงินดิจิทัลนั่นแหละครับ ซึ่งอาจจะมาในรูปแบบของ App ในโทรศัพท์ เก็บไว้ที่คอมพิวเตอร์ เก็บไว้ใน Hardware Wallet หรือแม้กระทั่งเก็บไว้ในกระดาษ…โดยที่ Wallet นี้จะมีการเข้ารหัสเอาไว้ Private Key คือสิ่งที่คุณจะต้องรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ส่วน Public Key หรือ Address คือสิ่งที่คุณจะต้องแจ้งกับผู้อื่นในการจะทำธุรกรรมใด ๆ เปลี่ยนเหมือนเลขที่บัญชีธนาคารของตัวคุณเองนั่นแหละครับ ประเภทของกระเป๋าเงินดิจิทัล เราสามารถที่จะเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Bitcoin ได้อย่างปลอดภัยในหลากหลายรูปแบบ คุณอาจจะเปิดบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล แล้วเลือกที่จะเก็บ Bitcoin ไว้ใน Exchange หรืออาจอีกรูปแบบที่นิยมคือการใช้ Hardware Wallet เช่น Trezor , Ledger หรือใช้ Paper Wallet ก็ได้ คือการเขียนรหัสเอาไว้ในกระดาษแล้วพกติดตัวตลอดเวลาก็สามารถทำได้ครับ
Mobile Wallet Mobile Wallet เป็นหนึ่งในกระเป๋าเงินดิจิทัลที่เข้าถึงได้ง่ายกับทุกคนอยู่แล้ว เพราะปฎิเสธไม่ได้เลยว่าแทบทุกคนในเวลานี้มี Smart Phone กันหมด โดยคุณสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ที่ใช้เก็บ Bitcoin ซึ่งตัว Private Key นั้นจะถูกเก็บไว้บนมือถือในรูปแบบของการเข้ารหัส เรื่องความปลอดภัยก็ขึ้นอยู่กับว่ามือถือของเรานั้นมีความปลอดภัยมากแค่ไหน ข้อดี เข้าถึงได้ง่าย
การใช้โหมด Near-Field คือคุณสามารถทำธุรกรรมโดยไม่ต้องใช้รหัสสาธารณะของคุณ
สะดวกในการที่จะต้องทำธุรกรรมอยู่ทุกวัน ข้อจำกัด มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาด้านความปลอดภัยและถูกแฮ็ก
หากคุณทำโทรศัพท์มือถือหายกระเป๋าเงินของคุณอาจถูกขโมยได้ Desktop Wallet หากคุณต้องการใช้ Desktop เพื่อทำธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลคุณสามารถดาวน์โหลดกระเป๋าเงินบนคอมพิวเตอร์ของคุณ จากนั้นคุณสามารถจัดเก็บ Private Key ของคุณในฮาร์ดไดรฟ์ ซึ่งหลายคนมองว่าปลอดภัยกว่า Wallet ออนไลน์และมีโอกาสน้อยกว่าที่จะถูกแฮ็ก ข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดจะถูกเก็บอยู่ในฮาร์ดไดรฟ์ซึ่งคุณเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้
-ข้อดี ปลอดภัยกว่า Mobile Wallet และ Paper Walletเหมาะสำหรับการเก็บเหรียญในปริมาณน้อย
-ข้อจำกัด ไม่สะดวกในการพกพา Hardware Wallet
Hardware Wallet เป็นหนึ่งในกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้ Private Key ของคุณจะถูกเก็บไว้ใน Hardware Wallet และมันสามารถเก็บ Bitcoin จำนวนเท่าไหร่ก็ได้ กระเป๋าเงินชนิดนี้สามารถนำไปใช้ได้โดยตรงและไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากกระเป๋าเงินประเภทอื่น ๆ Hardware Wallet โดยส่วนใหญ่จะมีหน้าจอแสดงผลข้อมูลต่าง ๆ เช่น จำนวนเหรียญที่มี ทำให้สะดวกในการใช้งานและดูเก๋ไก๋เวลาพกพาไปใช้งานตามที่ต่าง ๆ อีกด้วยครับ
ข้อดี เป็นรูปแบบที่ปลอดภัยที่สุดของ Wallet ในตอนนี้ | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1848 | Finance | ทำไมถึงควรมีทองคำไว้ในพอร์ต | null | นอกจากข้อดีของทองคำที่เห็นได้ชัดอย่างการ “เก็งกำไร” แล้ว การมีทองคำถือว่าเป็นการ “กระจายความเสี่ยง” การมีทองคำในสัดส่วนที่พอดีในพอร์ต จะช่วยลดความผันผวนให้พอร์ตได้ ปกติราคาทองจะมีความสัมพันธ์ในลักษณะไปทางเดียวกัน (Correlation) กับตลาดหุ้นค่อนข้างน้อย หรือบางครั้งจะขึ้นสวนทางกับตลาดหุ้นด้วยซ้ำไป ดังนั้น การที่มีทองคำไว้ในพอร์ต จะช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตที่มีหุ้นได้ ทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตเสถียรมากขึ้น ผันผวนน้อยลง ตอบโจทย์การจัดพอร์ตลงทุนในระยะยาว
สาเหตุที่ทองคำมักไม่ได้เคลื่อนที่ไปตามตลาดหุ้น เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวเองอยู่แล้ว ทองคำอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นทองคำ ไม่ว่าช่วงเวลาไหนทองก็ยังเป็นโลหะมีค่าที่คนต้องการ ทำให้ทองถูกเรียกว่าเป็น สินทรัพย์หลบภัย (Safe Haven) สรุปข้อดีของทองคำ คือ ใช้ปกป้องความเสี่ยงในพอร์ต และเพิ่มโอกาสในการเก็งกำไร ในช่วงที่ตลาดอื่นเป็นขาลงได้
ข้อควรระวังในการลงทุนในทองคำ
- ทองคำไม่ได้เป็นสินทรัพย์อ้างอิงกับการเติบโตเหมือนหุ้น ราคาเกิดจากอุปสงค์อุปทานล้วนๆ เพราะฉะนั้นจะผันผวนสูง
- ถ้าวันหนึ่งคนไม่ให้ค่าทองแล้ว ทองอาจจะกลายเป็นแค่หินธรรมดา (แต่คงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะทองใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ใช้เป็นเครื่องประดับ ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็ยังมี)
- ค่าเงินดอลลาร์ใช้ซื้อขายทองคำโดยตรง เพราะฉะนั้นการขึ้นลงของค่าเงินดอลลาร์จะมีผลกับราคาทองคำค่อนข้างมาก การคาดการณ์ทิศทางทองคำต้องดูค่าเงินดอลลาร์ด้วย
- ทองคำถือเป็นสินทรัพย์เสี่ยง (กองทุนทองมีความเสี่ยงระดับ 8) ต้องศึกษาให้ดีก่อนลงทุน | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1853 | Finance | นักลงทุนควรพิจารณาอะไรบ้างก่อนตัดสินใจลงทุนใน BCH | null | 1. ปัจจัยพื้นฐานของ BCH
เทคโนโลยี:
ความเร็วในการทำธุรกรรม: BCH ใช้ระบบ Storm ช่วยให้ยืนยันธุรกรรมได้รวดเร็ว
Smart Contract: BCH ใช้ Cashscript ภาษาโปรแกรมที่ได้รับความนิยม
โครงสร้างพื้นฐาน: ทีมพัฒนา BCH กำลังพัฒนา Graphene Version 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
การใช้งาน:
BCH ได้รับความนิยมในบางประเทศ
การใช้งาน BCH ยังไม่แพร่หลายเท่า Bitcoin
การยอมรับ:
ร้านค้าที่รับ BCH ยังมีจำนวนจำกัด
กระดานเทรดคริปโตเคอร์เรนซีส่วนใหญ่รองรับ BCH
2. ปัจจัยทางการเงิน
ราคา:
ราคา BCH มีความผันผวนสูง
ราคา BCH เคยแตะจุดสูงสุดที่ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ปริมาณการซื้อขาย:
ปริมาณการซื้อขาย BCH น้อยกว่า Bitcoin
สภาพคล่องของ BCH ต่ำกว่า Bitcoin
ผลตอบแทนจากการลงทุน:
ผลตอบแทนจากการลงทุนใน BCH สูงกว่า Bitcoin ในบางช่วง
BCHมีความเสี่ยงสูงกว่า Bitcoin
3. กลยุทธ์การลงทุน
กระจายความเสี่ยง:
ไม่ควรลงทุนใน BCH ทั้งหมด
ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย
ลงทุนระยะยาว:
BCH เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง
ควรลงทุนระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยง
ติดตามข่าวสาร:
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ BCH และเทคโนโลยีบล็อกเชน
วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางการเงิน
4. สรุป
BCH เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีศักยภาพ แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1857 | Finance | การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงในอดีต
จะส่งผลให้ได้ผลตอบแทนสูงในอนาคต
หรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
1. ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ผลตอบแทนในอนาคต:
ผลตอบแทนของสินทรัพย์ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ มากมาย เช่น สภาพเศรษฐกิจ สภาพคล่องของตลาด นโยบายการเงิน และความเสี่ยงของสินทรัพย์
ปัจจัยเหล่านี้เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์ในอดีตอาจไม่ใช่ตัวบ่งชี้ผลตอบแทนในอนาคต
2. ตัวอย่าง:
หุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 14.5% ต่อปี ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2553 - 2562)
แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2558 - 2562) หุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 4.8% ต่อปี
แสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนของสินทรัพย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างมากในช่วงเวลาที่ต่างกัน
3. ความเสี่ยง:
การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงในอดีต มักมีความเสี่ยงสูง
สินทรัพย์เหล่านี้มีความผันผวนสูง ราคาอาจร่วงลงอย่างรวดเร็ว
นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนได้
4. กลยุทธ์การลงทุน:
นักลงทุนควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ
ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ใดเพียงอย่างเดียว
ควรเลือกสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุน
5. สรุป:
การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงในอดีต ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าจะได้ผลตอบแทนสูงในอนาคต
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
เพิ่มเติม:
นักลงทุนควรศึกษาโมเดลการคาดการณ์ผลตอบแทน เช่น Capital Asset Pricing Model (CAPM)
โมเดลเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนประมาณการผลตอบแทนที่คาดหวังจากสินทรัพย์
นักลงทุนควรใช้โมเดลเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจลงทุน
คำแนะนำ:
นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน
ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินสามารถช่วยนักลงทุนเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุน
คำเตือน:
การลงทุนมีความเสี่ยง
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1860 | Finance | จงเปรียบเทียบการลงทุนคริปโต ระหว่าง ซื้อถือยาว กับ เก็งกำไรระยะสั้น | null | กลยุทธ์ Buy and Hold
สมมุติฐาน เงินลงทุนตั้งต้น 1 ล้านบาท
สินทรัพย์ดิจิทัลที่หยิบมาทดสอบ คือ Bitcoin
ช่วงเวลาที่ทำการทดสอบ 1/1/2020 – 1/08/2020
จากเงิน 1 ล้านบาทที่ลงทุนซื้อ BTC ขยับขึ้นมาเป็น 42.5 ล้านบาทภายใน 5 ปีกับ 8 เดือน คิดเป็นผลตอบแทนทั้งสิ้น 4153 % หรือเป็นต่อปี 96 % ซึ่งจากตัวเลขนี้ทุกคนคงโอเคมาก ๆ กับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เพราะไม่ว่าจะหาสินทรัพย์เสี่ยงจากไหนก็ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนเท่านี้ได้ แต่ช้าก่อน มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะชี้ให้ทุกคนดูคือสิ่งที่เรียกว่า Max drawdown % หรือช่วงที่พอร์ตลดต่ำลงมากที่สุด จากกลยุทธ์ซื้อแล้วถือยาวใน Bitcoin นั้นมีค่า Max drawdown % ถึง 83 % นั่นหมายความว่ามีบางช่วงเวลาที่พอร์ตติดลบไปกว่า 83 % ก็คือช่วงสิ้นปี 2018 นั่นเอง เอาจริง ๆ แล้วไม่มีใครยอมรับผลขาดทุนที่ลึกแบบนี้ได้หรอก เครียดกัดเล็บมือฉีกกันพอดี!! ดังนั้นสายของนักลงทุนแบบ Quantitative Investor จึงมีการเปรียบผลตอบแทนกับความเสี่ยงแบบง่าย ๆ ชื่อว่า Mar Ratio โดยผลตอบแทนต่อปี มาหารด้วย Max DD % จะมีค่าอยู่ที่ 1.16 ซึ่งเป็นค่าที่กลาง ๆ ยังไม่น่าสนใจเท่าไหร่เพราะผลตอบแทนต่อความเสี่ยงใกล้เคียงกัน ส่วนตัวเลขด้านล่างนั้นคือผลตอบแทนรายเดือนของแต่ละเดือนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจจากตัวนี้บอกเราได้ว่าผลตอบแทนของ Bitcoin ในช่วงเดือน Jan Mar Sep โดยเฉลี่ยติดลบ เดือน Jan ติดลบเฉลี่ย -6.49 % ,Mar -11.82 % ,Sep -4.49 % นั่นอาจทำให้เราอาจจะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าใน 3 เดือนนี้มีอะไรพิเศษรึเปล่า จะได้หลีกเลี่ยงลงทุนในช่วงนี้ เป็นต้น
กลยุทธ์จับจังหวะซื้อขายโดยใช้ Technical Analysis
สมมุติฐาน เงินลงทุนตั้งต้น 1 ล้านบาท
สินทรัพย์ดิจิทัลที่หยิบมาทดสอบ คือ Bitcoin
ช่วงเวลาที่ทำการทดสอบ 1/1/2020 – 1/08/2020
ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย 0.2 %
จากเงินทุน 1 ล้านบาทขยับเพิ่มขึ้นมาเป็น 30 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนทั้งสิ้น 2900 % หรือเป็นผลตอบแทนต่อปีที่ 84.11 % หากมองแค่นี้ก็ถือได้ว่าพอร์ตนี้โตช้ากว่ากลยุทธ์ Buy and Hold ถึง 12 ล้านบาท แต่มองแค่ผลตอบแทนโดยที่ไม่คำนึงถึงความเสี่ยงไม่ได้ ด้วยความที่กลยุทธ์นี้มีการซื้อขายที่ชัดเจนทำให้ในหลาย ๆ ครั้งสามารถป้องกันพอร์ตจากความเสียหายได้ทันท่วงที ทำให้มีค่า Max drawdown % อยู่ที่ 39 % ต่างกับกลยุทธ์แรกถึงครึ่งหนึ่ง Mar Ratio จึงมีค่าที่สูงขึ้นเป็น 2.16 แปลว่าผลตอบแทนต่อความเสี่ยงดีขึ้นกว่าเดิม และกลยุทธ์ง่าย ๆ แบบนี้ให้ความแม่นยำในการซื้อขายถึง 62.5 % หรือก็คือ หากเทรด 100 ครั้ง จะได้กำไรประมาณ 62 ครั้ง และจากข้อมูลในรูปประกอบปีที่ได้ผลตอบแทนเยอะที่สุดคือปี 2017 คือบวกไปกว่า 596.51 % ปีที่ขาดทุนมีเพียงปีเดียวคือ 2018 ขาดทุนไป 15.61 % | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1862 | Finance | การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะสั้นหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
กองทุนรวมตราสารหนี้: ลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรองค์กร ตั๋วแลกเงิน ฯลฯ ซึ่งโดยทั่วไปให้ผลตอบแทน ค่อนข้าง มั่นคง แต่ ไม่สูงมาก
ผลตอบแทนระยะสั้น: หมายถึง ผลตอบแทนที่คาดหวังภายใน 1-3 ปี
ตราสารหนี้: โดยทั่วไปมีอายุการลงทุน มากกว่า 3 ปี
ความผันผวน: ตราสารหนี้อาจมีความผันผวน น้อย กว่าหุ้น แต่ มากกว่า เงินฝากออมทรัพย์
สภาพคล่อง: ตราสารหนี้บางประเภท สามารถ ขายก่อนครบกำหนดได้ แต่ อาจ ได้ราคาไม่เต็มจำนวน
ข้อสรุป:
การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ เหมาะกับนักลงทุนที่ ต้องการผลตอบแทนระยะยาว (มากกว่า 3 ปี)
ไม่เหมาะ กับนักลงทุนที่ ต้องการผลตอบแทนระยะสั้น (1-3 ปี)
นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะสั้น ควรพิจารณากองทุนรวมประเภทอื่น เช่น กองทุนรวมตราสารทุน
ตัวอย่าง:
นายสมชาย ต้องการเงินทุนสำรองไว้ใช้ยามเกษียณอายุ อีก 10 ปีข้างหน้า เหมาะกับการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้
นางสาวสมหญิง ต้องการเงินทุนสำรองไว้ซื้อบ้าน อีก 3 ปีข้างหน้า ไม่เหมาะกับการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้
หมายเหตุ:
ผลตอบแทนของกองทุนรวมตราสารหนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของตราสารหนี้ นโยบายการลงทุนของกองทุน สภาพเศรษฐกิจ ฯลฯ
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลกองทุนรวมตราสารหนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1864 | Finance | จงสรุปบทความเรื่อง ก้าวสู่ยุค “Megatrends Allocation” ให้หน่อยค่ะ | ก้าวสู่ยุค “Megatrends Allocation”
คุณยังจัดพอร์ตลงทุนแบบ “Asset Allocation” อยู่หรือเปล่า ? นี่เป็นแนวคิด “พื้นฐาน” สำหรับการลงทุนที่ดี แต่ดูเหมือนว่า การกระจายการลงทุนแบบ “ดั้งเดิม” นี้ อาจไม่มีประสิทธิภาพในการลงทุนเพียงพอ หรือ อธิบายง่าย ๆ ว่า อาจจะไม่ได้สร้างผลตอบแทนดีอย่างที่คาดหวังสำหรับทุกสถานการณ์ … ถึงเวลาแล้ว ที่คุณจะต้องทำความรู้จักกับการจัดพอร์ตลงทุนแบบ “Megatrends Allocation” ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ที่เกิดการระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง -7.13% (อ้างอิงจากดัชนี MSCI All Country World Index) สอดคล้องกับการประเมินทิศทางเศรษฐกิจปี 2020 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) ซึ่งระบุว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) โลกอาจติดลบถึง -4.9% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว นั่นก็เป็นเพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ถูกจำกัดอย่างมาก ทั้งในด้านการค้าขายสินค้าและบริการระหว่างประเทศที่ถูกระงับ การเดินทางเพื่อธุรกิจหรือเพื่อท่องเที่ยวที่ต้องปิดทำการ จนส่งผลกระทบไปยังกลุ่ม “ธนาคารพาณิชย์” เนื่องจากลูกหนี้เกิดความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้น รวมถึง “กลุ่มพลังงาน” ที่ความต้องการใช้เชื้อเพลิงเพื่อการผลิตหรือการเดินทางลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในอดีตธุรกิจ “ธนาคารพาณิชย์” และ “กลุ่มพลังงาน” ถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก แต่ก็ยังมีจุดอ่อนคือการพึ่งพาวงจรเศรษฐกิจมากเกินไป ดังนั้นเมื่อธุรกิจขนาดใหญ่เหล่านี้ได้รับผลกระทบ ผู้ลงทุนในกองทุนรวม ที่พยายามจัดพอร์ตการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ก็อาจได้รับความเสี่ยงเช่นกัน Asset Allocation VS Megatrends Allocation การเลือกกองทุนที่อ้างอิงดัชนี (Index fund) เพียงอย่างเดียวนั้น มีจุดที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจว่า ในหลายประเทศนั้น มักจะมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มธุรกิจ ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่ว่า แม้จะมีการกระจายความเสี่ยงด้วยการ จัดพอร์ตลงทุนแบบ “Asset Allocation” ไปกี่ประเทศ ก็อาจประสบผลขาดทุนจากการลงทุนไม่มากก็น้อย ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนัก อย่างไรก็ตาม กลับมีธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จาก Megatrends เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หรือสังคมผู้สูงอายุที่ยังคงมีบทบาท และได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดด โดยเมื่อประเมินจากผลตอบแทนครึ่งปีแรกของหุ้นกลุ่มนี้ พบว่าสวนทางกับกลุ่มธุรกิจข้างต้นที่กล่าวมา เพราะสามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหายามที่เจอสถานการณ์โรคระบาดนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น 1) กลุ่มธุรกิจ E-Commerce ที่ช่วยลดการเดินทางไปยังร้านค้า ทำให้ร้านค้ายังคงมีรายได้ในการทำธุรกิจ ซึ่งราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้น +36.82% 2) ธุรกิจ Digital Healthcare โดยการนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมต่าง ๆ มาสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาวัคซีน COVID-19 ให้ผลตอบแทน +77% รวมไปถึง 3) ธุรกิจพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีอย่าง Cloud Computing ก็เพิ่มขึ้น +36.08% ซึ่งได้ประโยชน์จากการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การใช้ชีวิต การเรียน หรือการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ของประชาชนทั่วไปหรือระดับองค์กร อันที่จริงแล้วกลุ่มธุรกิจเหล่านี้เติบโตอย่างรวดเร็วก่อนหน้าสถานการณ์ COVID-19 อยู่แล้ว เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับ Megatrends เช่น ธุรกิจ E-Commerce ที่สามารถนำเสนอและขายสินค้าหรือบริการอย่างรวดเร็วและประหยัดต้นทุนในการทำธุรกิจ ธุรกิจ Digital Healthcare สามารถวิจัยและพัฒนายารักษาโรคที่ซับซ้อนหรือโรคร้ายแรงมักเกิดกับผู้สูงอายุ และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี Cloud Computing ที่สามารถพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านอุตสาหกรรมการผลิต ด้านธุรกิจงานบริการ หรือแม้กระทั่งด้านการศึกษาที่ช่วยให้สามารถพัฒนารูปแบบการศึกษาใหม่ ๆ แก่วัยเรียนและสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่ล้ำค่าและพัฒนาประเทศได้ในอนาคต ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ตอบโจทย์แนวโน้มในอนาคตอย่าง Megatrends ผนวกกับได้อานิสงส์จากสถานการณ์โรคระบาดยิ่งเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจนี้มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เจาะลึกปัญหา… “กระจายความเสี่ยงหลายประเทศทำไมยังขาดทุน?” ในช่วงที่ผ่านมา การจัด Portfolio แบบ “Asset Allocation” ที่มีเป้าหมายการลงทุนระยะยาว มักไม่ได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจ Megatrends เท่าที่ควร เนื่องจากมองว่ากองทุนที่เกี่ยวข้องกับ Megatrends นั้น มักเป็นลักษณะ Thematic Fund หรือ Sector Fund ซึ่งมีการลงทุนแบบกระจุกตัว อาจต้องคอยติดตามข่าวสารของอุตสาหกรรมนี้เป็นพิเศษ และจำเป็นต้องมีการปรับสัดส่วนการลงทุนบ่อยครั้ง ทำให้พิจารณาไปว่าธุรกิจแบบ Megatrends ไม่สามารถลงทุนระยะยาวได้ … แต่ทั้งหมดนี้อาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน !!! นั่นก็เป็นเพราะ ในความเป็นจริงแล้ว Megatrends เกิดจากลักษณะพื้นฐานของสังคม หรือคุณลักษณะของประชากร ที่เราไม่สามารถหลีกหนีของจากวัฏจักรนั้นได้ และจะคงอยู่ไปอีก 20 – 30 ปี ซึ่งนั่นหมายความว่าธุรกิจที่ตอบโจทย์ด้าน Megatrends นั้น จะมีศักยภาพเติบโตได้อีกหลาย 10 ปี จึงสามารถลงทุนระยะยาวได้โดยไม่จำเป็นต้องปรับพอร์ตบ่อยครั้ง ในขณะที่การจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Asset Allocation ดั้งเดิม กลับมีจุดอ่อนสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะมีลักษณะการกระจายการลงทุนรายประเทศเป็นหลัก ซึ่งสุดท้ายหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหรือหดตัวอย่างรุนแรงก็จะทำให้พอร์ตการลงทุนเสียหายได้ ดังนั้น หากเราปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นจัดพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับ “ยุคสมัยใหม่” ที่ใช้การเลือกธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จาก Megatrends โดยมีผู้จัดการกองทุนคอยคัดสรรบริษัทที่ทำธุรกิจเติบโตควบคู่ไปกับเทรนด์ต่างๆ ย่อมช่วยให้ผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในอนาคตเป็นที่น่าพอใจ ขณะเดียวกันไม่จำเป็นต้องปรับสัดส่วนบ่อยครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับวงจรเศรษฐกิจอีกด้วย TISCO Advisory ที่มา : | ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ที่เกิดการระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง -7.13% (อ้างอิงจากดัชนี MSCI All Country World Index) สอดคล้องกับการประเมินทิศทางเศรษฐกิจปี 2020 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) ซึ่งระบุว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) โลกอาจติดลบถึง -4.9% เมื่อเทียบกับปี 2019 เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ถูกจำกัดอย่างมาก ทั้งในด้านการค้าขายสินค้าและบริการระหว่างประเทศที่ถูกระงับ การเดินทางเพื่อธุรกิจหรือเพื่อท่องเที่ยวที่ต้องปิดทำการ จนส่งผลกระทบไปยังกลุ่ม “ธนาคารพาณิชย์” เนื่องจากลูกหนี้เกิดความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้น รวมถึง “กลุ่มพลังงาน” ที่ความต้องการใช้เชื้อเพลิงเพื่อการผลิตหรือการเดินทางลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
การเลือกกองทุนที่อ้างอิงดัชนี (Index fund) เพียงอย่างเดียวนั้น มีจุดที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจว่า ในหลายประเทศนั้น มักจะมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มธุรกิจ ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่ว่า แม้จะมีการกระจายความเสี่ยงด้วยการจัดพอร์ตลงทุนแบบ “Asset Allocation” ไปกี่ประเทศ ก็อาจประสบผลขาดทุนจากการลงทุนไม่มากก็น้อย ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนัก อย่างไรก็ตาม กลับมีธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จาก Megatrends เช่น กลุ่มธุรกิจ E-Commerce ธุรกิจ Digital Healthcare และ Cloud Computing เมื่อประเมินจากผลตอบแทนครึ่งปีแรกของปี 2563 ของหุ้นกลุ่มนี้ พบว่าสวนทางกับกลุ่มธุรกิจข้างต้นที่กล่าวมา เพราะสามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหายามที่เจอสถานการณ์โรคระบาดนี้ได้ แถมเติบโตอย่างรวดเร็วก่อนหน้าสถานการณ์ COVID-19 อยู่แล้ว เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับ Megatrends | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1865 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงกลยุทธ์ที่ใช้ในการจัดพอร์ตแบบ Global Multi-Assets โดยใช้ RMF เพื่อเกษียณสุข ได้ถูกต้อง | 1. จะใช้เป็นกองทุนแบบ RMF บางส่วน
2. เลือก Best-in-Class ของกองทุนในแต่ละกลุ่มสินทรัพย์
3. สัดส่วนการจัดพอร์ตเป็นแบบเสี่ยงต่ำ
4. เน้นน้ำหนักในการลงทุนหุ้นไทยมากกว่าหุ้นต่างประเทศ | ข้อที่ถูกต้องคือ 2. เพราะว่า เพราะการเลือก Best-in-Class ของกองทุนในแต่ละกลุ่มสินทรัพย์ กล่าวถึงกลยุทธ์ที่ใช้ในการจัดพอร์ตแบบ Global Multi-Assets โดยใช้ RMF เพื่อเกษียณสุข ได้ถูกต้อง ส่วนข้ออื่น ๆ กล่าวไม่ถูกต้อง
เกษียณสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา การวางแผนเกษียณไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีกระบวนการและความซ้บซ้อน หนึ่งในแผนของการจัดการการเกษียณคือแบบบำเหน็จ หรือ เงินก้อนหลังเกษียณ และหนึ่งในสินค้าทางการเงินสร้างบำเหน็จเพื่อสร้างแผนเกษียณ คือ RMF
การจัดพอร์ตแบบ Global Multi-Assets โดยใช้ RMF เพื่อเกษียณสุข จะใช้กลยุทธ์ดังต่อไปนี้
- กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์และทั่วโลก
- เน้นน้ำหนักในการลงทุนหุ้นต่างประเทศมากกว่าหุ้นไทย เนื่องจากมองว่าหุ้นต่างประเทศจะมีการเติบโตมากกว่า
- สัดส่วนการจัดพอร์ตเป็นแบบเสี่ยงสูง ดังนั้นเหมาะกับการวางแผนเกษียณที่มีระยะเวลามากกว่า 10 ปี จนถึงอายุเกษียณ
- จะใช้เป็นกองทุนแบบ RMF ทั้งหมด เนื่องจากสามารถปรับเปลี่ยน Switch ระหว่าง กองทุน RMF ด้วยกันได้
- เลือก Best-in-Class ของกองทุนในแต่ละกลุ่มสินทรัพย์
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุน โดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพก่อนตัดสินใจลงทุน
ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน และจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับภายในกำหนดเวลา มิฉะนั้นจะต้องชำระเงินเพิ่ม และ/หรือเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากร
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1866 | Finance | EOS คืออะไร | null | EOS เป็นหนึ่งในโครงการการระดมทุนที่ยอดเยี่ยมผ่าน ICO ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2017 และระดมทุนเรียบร้อยในวันที่ 1 มิถุนายน 2018 ซึ่งใช้ระยะเวลากว่าหนึ่งปี และได้รับเงินระดมทุนไปกว่า 1,000 ล้าน USD ถือว่าเป็นหนึ่งใน ICO ที่ระดมทุนนานที่สุด และประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ EOS ถูกขนานนามว่าเป็นเหรียญที่ออกมาเพื่อฆ่า Ethereum โดยแท้ เนื่องจากมีคุณสมบัติทั้งหมดที่ Ethereum มีแต่ดันเหนือกว่ามากในเรื่องความเร็วในการประมวลผล EOS บอกว่าสามารถประมวลธุรกรรมได้ถึง 1 ล้านธุรกรรมต่อหนึ่งวินาที หากเรื่องนี้เป็นความจริง ไม่ใช่แค่ Ethereum แล้วที่ต้องหนาว ๆ ร้อน ๆ แต่ระบบการประมวลผลจาก Centralised ทั้งหลายก็สู้ไม่ได้เหมือนกัน
ด้วยความเร็วที่สูงเช่นนี้ของ EOS จึงได้เพิ่มการพัฒนา DApps ซึ่งย่อมาจาก Decentralized แอปพลิเคชัน เนื่องจาก EOS มีคุณสมบัติทั้งหมดที่ Ethereum blockchain นำเสนอทุกอย่างตั้งแต่ Smart Contracts ไปจนถึง DApps
โครงการอื่น ๆ เช่น BitShares และ Graphene ที่ให้ความเร็วการทำธุรกรรมที่สูงมาก อย่างไรก็ตามพวกเขายังขาดคุณสมบัติของ Smart Contracts ที่มีใน Ethereum blockchain แต่ EOS นั้นเปรียบเหมือนกับการรวมสิ่งที่ดีที่สุดของทั้ง BitShares และ Ethereum ไว้ในที่เดียวกัน ทำให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานในปัจจุบันรวมถึงในอนาคตเป็นอย่างมาก | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1868 | Finance | อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล | null | กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล มีดังนี้:
1. กระจายความเสี่ยง:
ลงทุนใน Bitcoin เพียงบางส่วน: ไม่ควรลงทุนใน Bitcoin ทั้งหมด แนะนำให้ลงทุนในสัดส่วนที่รับความเสี่ยงได้
ลงทุนใน Altcoin: ลงทุนใน Altcoin ที่มีความน่าเชื่อถือ มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี
ลงทุนในสินทรัพย์อื่น: กระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น ทองคำ หุ้น พันธบัตร
2. ลงทุน DCA:
ลงทุนเป็นประจำ: ลงทุนใน Bitcoin เป็นประจำทุกเดือน regardless of price
ลดความเสี่ยง: กลยุทธ์ DCA ช่วยลดความเสี่ยงจากการซื้อ Bitcoin ในราคาสูง
ลงทุนระยะยาว: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว
3. ใช้กลยุทธ์ Stop-Loss:
จำกัดความเสี่ยง: กำหนดจุด Stop-Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง
ป้องกันการสูญเสีย: ขาย Bitcoin เมื่อราคา跌至จุด Stop-Loss
กลยุทธ์ที่หลากหลาย: มีกลยุทธ์ Stop-Loss หลายแบบ เลือกให้เหมาะกับสไตล์การลงทุน
4. ศึกษาข้อมูล:
ศึกษา Bitcoin: ศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยี เบื้องหลัง
ศึกษาปัจจัยพื้นฐาน: ศึกษาปัจจัยพื้นฐานของ Bitcoin
ติดตามข่าวสาร: ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ Bitcoin
5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
รับคำแนะนำ: รับคำแนะนำเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุน
เรียนรู้จากประสบการณ์: เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น
ตัวอย่าง:
นักลงทุนที่มีเงินลงทุน 100,000 บาท อาจจะลงทุนใน Bitcoin 50,000 บาท และ Altcoin 50,000 บาท
นักลงทุนสามารถลงทุนใน Bitcoin เป็นประจำทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท
นักลงทุนสามารถกำหนดจุด Stop-Loss ไว้ที่ 10%
ข้อควรระวัง:
ความเสี่ยง: การลงทุนใน Bitcoin มีความเสี่ยงสูง
ความผันผวน: ราคา Bitcoin มีความผันผวนสูง
กลยุทธ์: กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมอาจจะเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์
สรุป:
นักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ สามารถลงทุนใน Bitcoin ได้ แต่ต้องเลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม กระจายความเสี่ยง ศึกษาข้อมูล และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1872 | Finance | การลงทุนใน Litecoin นั้นปลอดภัยกว่าการลงทุนใน Bitcoin หรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
1. ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา:
ทั้ง Litecoin และ Bitcoin ต่างเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนของราคาสูง
ราคาของทั้งสองสกุลเงินดิจิทัลนี้สามารถขึ้นหรือลงได้อย่างรวดเร็ว
ในช่วงที่ผ่านมา ราคาของ Litecoin นั้นมีความผันผวนมากกว่า Bitcoin
สาเหตุหลักมาจาก Litecoin มีมูลค่าตลาด (Market Cap) ที่เล็กกว่า Bitcoin มาก
ทำให้ราคาของ Litecoin นั้นสามารถถูก操纵ได้ง่ายกว่า
2. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ:
ทั้ง Litecoin และ Bitcoin ต่างเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังไม่มีกฎระเบียบรองรับที่ชัดเจน
ทำให้มีความเสี่ยงที่รัฐบาลต่างๆ จะออกกฎระเบียบที่เข้มงวด
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาของทั้งสองสกุลเงินดิจิทัล
3. ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี:
ทั้ง Litecoin และ Bitcoin ต่างใช้เทคโนโลยี Blockchain
เทคโนโลยี Blockchain นั้นยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
อาจเกิดช่องโหว่ที่ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถขโมยเงินดิจิทัล
4. ความเสี่ยงด้านการขุด:
Litecoin นั้นใช้ระบบ Proof-of-Work (PoW) ในการขุด
การขุด PoW นั้นใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก
ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขุด Litecoin นั้นสูง
ในอนาคตอาจมีการพัฒนาระบบการขุดใหม่
ซึ่งอาจทำให้การขุด Litecoin นั้นไม่คุ้มทุน
5. ความเสี่ยงด้านการยอมรับ:
Bitcoin นั้นเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
มีร้านค้าและผู้ให้บริการจำนวนมากที่ยอมรับ Bitcoin
Litecoin นั้นยังมีการยอมรับที่น้อยกว่า Bitcoin
สรุป:
การลงทุนใน Litecoin นั้นมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนใน Bitcoin
Litecoin นั้นมีความผันผวนของราคาสูงกว่า
มีมูลค่าตลาดที่เล็กกว่า
ยังไม่มีกฎระเบียบรองรับที่ชัดเจน
และมีความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี
ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1876 | Finance | กองทุนใดเน้นลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย | ก. MATECH-A
ข. TMBAGLF
ค. PRINCIPAL APDI
ง. KFHEALTH-A | ข้อที่ถูกต้องคือ ข. เพราะกองทุน TMBAGLF เป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (Emerging Market) โดยมีเป้าหมายสำคัญในการเอาชนะดัชนีอย่าง MSCI Emerging Markets Asia (ดัชนีผลตอบแทนรวมกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย)
TMBAGLF ลงทุนในสัดส่วนอย่างน้อย 2 ใน 3 ขึ้นไปในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย โดยอาจลงทุนโดยตรงในหุ้นจีน B-shares และ H-shares และอาจมีการลงทุนโดยใช้ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ในหุ้นจีน A-shares ในสัดส่วนที่น้อยกว่า 30% ของสินทรัพย์ทั้งหมด และอื่นๆ เน้นในภาคส่วน Information technology, Consumer discretionary และ Financials ของประเทศจีน อินเดีย เกาหลีใต้ ใต้หวัน และฮ่องกง | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1877 | Finance | อะไรคือโอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนลงทุนในธุรกิจ Food Tech | null | โอกาส
-ธุรกิจ Food Tech มีศักยภาพการเติบโตสูงอายุ และการเข้าถึงเทคโนโลยีที่มากขึ้น
-นำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารปลอดภัย อาหารสะดวกทาน
-สามารถขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ
-สามารถใช้ข้อมูลวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า พัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจ
-สามารถใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน
ความเสี่ยง
-มีการแข่งขันสูง
-เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ธุรกิจต้องปรับตัวให้ทัน
-ธุรกิจ Food Tech อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวด
-ผู้บริโภคอาจยังไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ
-อาหารบางประเภทอาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน:
-ศึกษาข้อมูลธุรกิจ Food Tech เทรนด์ และนวัตกรรมใหม่ ๆ
-วิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงของธุรกิจ
-พิจารณาความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ
-เลือกธุรกิจที่มีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน
-กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในธุรกิจ Food Tech หลายประเภท | ตลาดการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การวิเคราะห์ทางการเงิน,การเงินดิจิทัล,เทคโนโลยีทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1878 | Finance | คำถามที่ 1: Blockchain มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบอย่างไรต่ออุตสาหกรรมการเงิน
คำถามที่ 2: บริษัทใดบ้างที่เริ่มนำ Blockchain มาใช้ในอุตสาหกรรมการเงิน
คำถามที่ 3: ข้อดีและข้อเสียของการใช้ Blockchain ในอุตสาหกรรมการเงินมีอะไรบ้าง
คำถามที่ 4: อนาคตของ Blockchain ในอุตสาหกรรมการเงินเป็นอย่างไร | null | คำตอบที่ 1
Blockchain มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเงินในหลายด้าน ดังนี้
- ลดต้นทุนการทำธุรกรรม
Blockchain ช่วยลดความจำเป็นในการมีตัวกลางในการดำเนินการธุรกรรมต่างๆ เช่น ธนาคารหรือตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการทำธุรกรรมลดลง
- เพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรม
Blockchain ช่วยให้ธุรกรรมมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากข้อมูลธุรกรรมจะถูกบันทึกไว้ในระบบกระจายและไม่สามารถแก้ไขได้
- เพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนข้อมูล
Blockchain ช่วยให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ในอุตสาหกรรมการเงินเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผลกระทบเหล่านี้อาจส่งผลให้อุตสาหกรรมการเงินเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่น ธนาคารอาจต้องลดขนาดหรือเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงาน ในขณะที่บริษัท Fintech ใหม่ๆ อาจเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
คำตอบที่ 2
บริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมการเงินเริ่มนำ Blockchain มาใช้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น
- ธนาคาร หลายธนาคารทั่วโลกเริ่มนำ Blockchain มาใช้ในบริการต่างๆ เช่น การโอนเงินข้ามประเทศ การชำระเงิน และการทำธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ
- บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์เริ่มนำ Blockchain มาใช้ในบริการต่างๆ เช่น การซื้อขายหลักทรัพย์ การออกตราสารหนี้ และการทำธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ
- บริษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยเริ่มนำ Blockchain มาใช้ในบริการต่างๆ เช่น การออกกรมธรรม์ประกันภัย การเคลมประกัน และการทำธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ
ตัวอย่างของบริษัทที่เริ่มนำ Blockchain มาใช้ในอุตสาหกรรมการเงิน ได้แก่
- ธนาคารกรุงเทพ ได้นำ Blockchain มาใช้ในบริการโอนเงินข้ามประเทศ
- ธนาคารกสิกรไทย ได้นำ Blockchain มาใช้ในบริการชำระค่าสินค้าและบริการ
-บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย ได้นำ Blockchain มาใช้ในบริการซื้อขายหลักทรัพย์
-บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ ได้นำ Blockchain มาใช้ในบริการออกตราสารหนี้
-บริษัทประกันภัยกรุงเทพ ได้นำ Blockchain มาใช้ในบริการออกกรมธรรม์ประกันภัย
คำตอบที่ 3
ข้อดีของการใช้ Blockchain ในอุตสาหกรรมการเงิน ได้แก่
1. ลดต้นทุนการทำธุรกรรม
2. เพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรม
3. เพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนข้อมูล
ข้อเสียของการใช้ Blockchain ในอุตสาหกรรมการเงิน ได้แก่
1. มีความซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
2. ยังไม่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่างแพร่หลาย
คำตอบที่ 4
Blockchain มีแนวโน้มที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการเงินมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากข้อดีต่างๆ ของ Blockchain เช่น การลดต้นทุน เพิ่มความปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมการเงิน
อย่างไรก็ตาม การนำ Blockchain มาใช้ในอุตสาหกรรมการเงินยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ความซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งอาจทำให้บริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางไม่พร้อมที่จะนำ Blockchain มาใช้ นอกจากนี้ Blockchain ยังยังไม่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่างแพร่หลาย ซึ่งอาจส่งผลต่อการนำ Blockchain มาใช้ในเชิงพาณิชย์
โดยรวมแล้ว อนาคตของ Blockchain ในอุตสาหกรรมการเงินยังคงมีความไม่แน่นอน แต่แนวโน้มในระยะยาวคาดว่า Blockchain จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในอุตสาหกรรมการเงิน | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1880 | Finance | ช่วยสรุปบทความ หลัก 5 ข้อจากหนังสือ Trading in the Zone ที่นำมาใช้กับการเทรดกองทุนได้ | ความจริงพื้นฐาน 5 ข้อในการเทรด
ถ้าเราปรับจูน Mindset ของเราให้เป็นไปตามนี้ได้ เราจะมีสภาพจิตใจที่พร้อมเทรดในตลาด และสามารถสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอได้ ท่ามกลางตลาดที่ไม่มีความไม่แน่นอนอะไรเลย
1. อะไรก็เกิดขึ้นได้ในตลาด
ข้อแรกเราควรตระหนักไว้อยู่เสมอว่าในตลาดจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ มันจะขึ้นหรือจะลงยังไงก็ได้ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่กำลังเล่นอยู่ในตลาด (ซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาล) จะผลักตลาดไปทางไหน
นั่นหมายความว่า ถ้าเรากำลังมั่นใจในกลยุทธ์ของเรา ว่าวิเคราะห์แบบนี้ ตลาดต้องไปทางนั้นแน่นอน มันไม่มีทางไปสวนทางกับเราได้ เรากำลังมีทัศนคติที่จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองภายหลังครับ เพราะจริงๆ แล้วไม่มีใครคาดเดาตลาดได้ถูกทุกครั้ง มันมีตัวแปรมากเกินไปในการจะวิเคราะห์ได้ถูกต้องทุกครั้ง อย่างนักลงทุนที่เก่งๆ เค้าก็ไม่ได้ถูกเสมอไป มีถูกบ้างมีผิดบ้าง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเค้าไม่เก่งหรือไม่ความรู้ไม่พอ แต่มันเป็นธรรมชาติของตลาดอยู่แล้วที่เป็นแบบนี้
แล้วเราจะสร้างผลตอบแทนได้ยังไง ในเมื่อไม่มีใครคาดเดาตลาดได้ ต้องไปดูทัศนคติในข้อต่อไปครับ
2. เราไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ในการสร้างกำไร
ต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว การคาดการณ์ตลาดให้ถูกแบบ 100% เป็นไปไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเราไม่จำเป็นต้องรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นในการที่จะทำกำไรได้
ในการออกแบบกลยุทธ์การเทรด มี 2 ตัวแปรที่พูดถึงกันบ่อยๆ คือ Win Rate และ Reward:Risk Ratio (RRR) ตัวแปรแรก Win Rate คือกลยุทธ์เรามีโอกาสถูกทางกี่เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ 100 ครั้งทายถูกกี่ครั้ง ตัวแปรอีกตัว Reward:Risk Ratio คือ อัตราส่วนระหว่างเงินที่เราจะได้ตอนถูกทางกับเทียบกับเงินที่เราจะเสียตอนผิดทาง
ตามทฤษฎี กลยุทธ์ที่จะสร้างกำไรได้อย่างสม่ำเสมอมีอยู่ 3 แบบ แบบแรกถ้ากลยุทธ์เราเวลาผิดเสียเงินเยอะ แต่เวลาถูกได้นิดเดียว (RRR ต่ำ) กลยุทธ์เราต้องทายถูกบ่อยๆถึงจะได้กำไร (Win Rate สูง) แบบที่สองถ้ากลยุทธ์เราทายผิดบ่อย (Win Rate ต่ำ) เวลาทายถูกทีนึงต้องได้ให้เยอะ แล้วเวลาทายผิดต้องเสียให้น้อย (RRR สูง) ถึงจะได้กำไร ส่วนแบบที่สามซึ่งเป็นแบบที่ดีที่สุด คือสูงทั้ง RRR และ Win Rate ถ้าใครออกแบบกลยุทธ์ตามแบบที่ 3 ได้รับรองรวยเละเทะ
พอเราเปลี่ยนเกมการเทรดให้เป็นเกมของความน่าจะเป็น เราก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าครั้งนี้เราจะทายถูกหรือทายผิด ถ้าเราสร้างกลยุทธ์ที่มีความน่าจะเป็นที่จะสร้างกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ แล้วเล่นไปตามกลยุทธ์นั้นอย่างมีวินัย ระยะยาวยังไงเราก็ได้กำไรแน่นอน
3. มันมีการสุ่มของลำดับการแพ้ชนะในกลยุทธ์การลงทุนใดๆ ก็ตาม
สำหรับข้อนี้ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆคือ ถ้าเราโยนเหรียญทายหัวก้อย โยนไปแล้วทั้งหมด 5 ครั้ง ปรากฏว่าออกหัวทั้งหมด ถามว่าโยนครั้งถัดไปโอกาสที่จะออกก้อยเยอะกว่าออกหัวหรือไม่? มันดูเหมือนว่ามันออกหัวไป 5 ครั้งแล้ว ครั้งต่อไปควรจะออกก้อยบ้างใช่มั้ยครับ แต่ความจริงคือโยนครั้งถัดไปโอกาสออกหัวก้อยก็ 50/50 อยู่ดี
ในการลงทุนก็เช่นกัน อย่าให้การขาดทุนติดๆกันหรือได้กำไรติดๆกันมาทำให้เราเสียวินัยในการลงทุน เพราะกลยุทธ์การลงทุนที่ดีต้องดูที่ระยะยาวได้กำไรรึเปล่า ไม่ได้ดูแค่ว่ามีการได้กำไรติดๆกันหรือไม่
4. กลยุทธ์การลงทุนเป็นแค่ความน่าจะเป็นที่บอกว่าสิ่งหนึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง
จากความเห็นส่วนตัว ข้อนี้ผมมองว่าสำคัญที่สุดในบรรดา Mindset ครับ สังเกตนักลงทุนระดับโลกไม่มีใครการันตี 100% ว่าลงทุนไปแล้วจะได้กำไร สิ่งที่นักลงทุนที่เก่งๆทำคือ วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆอย่างถี่ถ้วนตามความถนัดของตัวเอง และวางแผนอย่างรัดกุมว่าถ้าเกิดผิดทางแล้วต้องแก้เกมยังไง
เนื่องจากอะไรก็เกิดขึ้นได้ในตลาด ไม่มีกลยุทธ์ไหนที่จะมี Win Rate 100% ทุกกลยุทธ์การลงทุนจะมี Win Rate อยู่ค่าหนึ่งอยู่เสมอ (ซึ่งไม่สามารถคำนวณออกมาได้จริงๆ เป็นเพียงการคำนวณทางสถิติ) เป็นค่าความน่าจะเป็นที่บอกว่ามีโอกาสที่เราจะถูกมากกว่าโอกาสที่จะผิดมากน้อยแค่ไหน
ถ้าอย่างนั้นการศึกษาหาความรู้เรื่องการลงทุนก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ เพราะมีความรู้มากแค่ไหนก็มีโอกาสผิดอยู่ดี? ถ้ามองจาก Mindset ในข้อนี้ การศึกษาเรื่องการลงทุนต่อให้ลึกซึ้งแค่ไหนก็มีโอกาสพลาดอยู่ดี แต่ยิ่งเรามีความรู้มากแค่ไหน ความน่าจะเป็นที่เราจะคาดการณ์ทิศทางตลาดได้อย่างถูกต้องก็จะมากตามไปด้วย ซึ่งก็หมายถึงโอกาสสร้างผลกำไรที่มากขึ้นนั่นเอง ความรู้ = เพิ่มโอกาสที่จะชนะในตลาด
5. สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดขณะนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ซ้ำกับในอดีต
ความจริงพื้นฐานข้อสุดท้ายในหนังสือ Trading in the Zone บอกว่า ประวัติศาสตร์ไม่มีทางซ้ำรอยกันได้จริงๆ ถ้าจะให้การเคลื่อนไหวของตลาดซ้ำรอยเดิมจริงๆ เราต้องเชิญให้นักลงทุนในอดีตทุกคนมารวมตัวกันและตอบสนองแบบเดียวกับที่เคยทำในอดีตทุกประการ เราถึงจะได้ตลาดที่ซ้ำรอยอดีต ซึ่งนั่นเป็นไปไม่ได้
ในเมื่อตลาดแต่ละขณะเป็นสิ่งที่เฉพาะตัว ไม่ซ้ำในอดีต ทำให้เราไม่สามารถเดาตลาดได้ 100% เพราะทุกอย่างเป็นข้อมูลใหม่ สิ่งที่เราทำได้คือ การนำความรู้และข้อมูลในอดีตมาออกแบบกลยุทธ์ที่มีโอกาสชนะสูง ซึ่งจะทำให้เราทำกำไรได้ในเกมของความน่าจะเป็น | ความจริงพื้นฐาน 5 ข้อในการเทรด
1. ในตลาดทุกสถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้ ควรรับรู้ว่าไม่มีใครทำนายตลาดได้อย่างแน่นอน เพราะมีตัวแปรมากมายที่ผลักพลาดไป ถึงแม้เราจะมั่นใจในกลยุทธ์ของเรา ตลาดก็อาจไปทางอื่นได้ เพราะธรรมชาติของตลาดคือความเปลี่ยนแปลงทุกขณะ การวิเคราะห์ตลาดมีความเสี่ยงและไม่มีใครทำนายได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง
2.การทำกำไรในตลาดไม่ได้คงที่และการทำนายตลาดให้แม่นยำไม่เป็นไปได้ ไม่จำเป็นต้องรู้ล่วงหน้าว่าตลาดจะเป็นอย่างไร เพราะเราสามารถสร้างกำไรได้โดยการออกแบบกลยุทธ์เทรดที่มี Win Rate และ Reward:Risk Ratio ที่เหมาะสม ความน่าจะเป็นที่จะทำกำไรมีได้ในทั้งระยะสั้นและระยะยาว การสร้างกำไรไม่ขึ้นอยู่กับการทายถูกเท่านั้น แต่เกิดจากการปรับกลยุทธ์และการเทรดอย่างมีวินัยในระยะยาว
3.การลงทุนเป็นการสุ่มลำดับการแพ้ชนะ ตัวอย่างเช่นการโยนเหรียญทายหัวก้อย 5 ครั้งแล้วออกหัวทั้งหมด ไม่มีผลต่อโอกาสในการออกก้อยครั้งถัดไป เราต้องระมัดระวังไม่ให้การขาดทุนหรือได้กำไรติดกันมากๆ ทำให้สูญเสียวินัยในการลงทุน
4.การลงทุนมีความน่าจะเป็นที่บอกถึงโอกาสที่เกิดเหตุการณ์ใดๆ มีความสำคัญใน Mindset ของนักลงทุน เราต้องรับรู้ว่าไม่มีกลยุทธ์ไหนที่มี Win Rate 100% ทุกกลยุทธ์มีโอกาสการสำเร็จและการล้มเหลว ทำให้เราต้องวางแผนและปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน
การศึกษาเรื่องการลงทุนมีความสำคัญ แม้ความรู้จะไม่ได้รับประโยชน์เพียงอย่างเดียว แต่มีความรู้มากเท่าไหร่ ก็จะมีโอกาสคาดการณ์ตลาดได้ถูกต้องมากขึ้น ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ของโอกาสในการสร้างผลกำไรในตลาด
5.สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดปัจจุบันไม่ซ้ำกับอดีต ตลาดเป็นเรื่องเฉพาะตัวในแต่ละขณะ ทำให้เราไม่สามารถทำนายได้ทั้งหมด การออกแบบกลยุทธ์ในอดีตอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในเกมของความน่าจะเป็น | ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1881 | Finance | อะไรบ้างที่เป็นสัญญาณในการบ่งบอกการล่มสลายของธุรกิจครอบครัว | null | 1) ขาดความชัดเจนในการทำงานร่วมกัน
การทำงานร่วมกันไม่ง่าย ยิ่งเป็นญาติพี่น้องก็ยิ่งยาก ดังนั้นการขาดความชัดเจนความชัดเจนในกฎกติกาย่อมนำมาซึ่งปัญหา เช่น
ขาดการจัดการโครงสร้างของธุรกิจและหุ้น ถ้าไม่ชัดเจนว่าใครถือหุ้นเท่าไร ใครมีหน้าที่ทำให้ในธุรกิจ
ขาดการจัดการเรื่องเอกสารทางกฏหมาย แม้ว่าจะมีการกำหนดชัดเจนใครถือหุ้นเท่าไร แต่ถ้าขาดข้อบังคับตามกฏหมายก็ไม่มีประโยชน์ เช่น ข้อบังคับของบริษัทสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับการจัดการหุ้นหรือ แม้แต่พินัยกรรมก็ต้องชัดเจน เช่น หุ้นที่สามีถือจะตกเป็นของภรรยา(คนนอกครอบครัว) หรือไม่ถ้าสามีเสียชีวิต
ขาดการจัดการเมื่อนำคนให้ครอบครัวมาทำงานในธุรกิจ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนในครอบครัวนำลูกมาทำงานในธุรกิจได้โดยไม่มีการคัดเลือก ธุรกิจครอบครัวอาจจะพังด้วยเรื่องเล็กๆ แบบนี้ ดังนั้นจะต้องระบบการคัดเลือกเข้าทำงานเช่นเดียวกับพนักงานและลูกจ้างคนอื่นๆ
ยิ่งความชัดเจนในการทำงานร่วมกันน้อยเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้นเท่านั้น
2) ขาดกลไกจัดการเกี่ยวกับผลประโยชน์
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกชายคนโตได้รับหุ้นมากกว่า ลูกคนอื่นๆ หรือ กลุ่มเขยและสะใภ้ที่เป็นสมาชิกในครอบครัว ไม่มีหุ้นแต่เข้ามาช่วยเงินในกิจการโดยได้แค่ผลตอบแทน แต่ไม่ได้เงินปันผล สิ่งสำคัญคือ จะจัดสรรผลประโยชน์ให้เป็นไปอย่างเที่ยงธรรมได้อย่างไร เที่ยงธรรมไม่ได้หมายถึงเท่ากันแต่ต้องเหมาะสมและยุติธรรม และต้องจัดการสื่อสารระหว่างสมาชิกให้เข้าใจได้มากน้อยเพียงใด
3) ขาดการสื่อสารที่ดี
จากการวิจัยพบว่า ความเสื่อมถอยของธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่เกิดจาก การสื่อสารระหว่างเจ้าของรุ่นส่งมอบกับสมาชิกรุ่นที่รับมอบ และโดยเฉพาะการสื่อสารกันระหว่างสมาชิกต่างรุ่นกันก็จะทำให้มีปัญหาได้ โดยเฉพาะวัฒนธรรมของไทยจะมีเรื่องของอาวุโส ซึ่งทำให้มักจะมีปัญหาเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ถ้าธุรกิจครอบครัว ใดมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร โอกาสการมีปัญหาเรื่องการทำธุรกิจครอบครัวมาก
4) ขาดการวางแผนสืบทอดธุรกิจ
ปัญหาของธุรกิจครอบครัวของไทยคือ รุ่นที่ 1 ก่อตั้งธุรกิจมักจะทำงานคนเดียวจนถึงแก่ความตาย โดยไม่ยอมปล่อยให้รุ่นลูกเข้ามาร่วมตัดสินใจในกิจการ การขาดซึ่งกระบวนการบ่มเพาะคนรุ่นใหม่และการคัดเลือกผู้ทำหน้าสืบทอดธุรกิจ จะนำมาซึ่งปัญหาในอนาคต
5) ขาดกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจ
ในสมัยก่อน ธุรกิจมีวงจรชีวิตที่ยาวนานกว่า อัตราการเติบโตของไทยยังอยู่ที่สูง แต่โลกเข้าสู่ยุค internet ยุค digital ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป เกิดสิ่งที่เรียกกว่า Business Disruption หรือ การทำลายล้างของธุรกิจ สมัยก่อนพ่อค้าของกลางจำเป็น แต่เดี๋ยวนี้มีช่องทาง Online ตัดพ่อค้าคนกลางไม่จำเป็นออก มีหลากหลายธุรกิจครอบครัวที่โดน Business Disruption เช่น ธุรกิจการเดินรถ ธุรกิจการรับจ้างทำของต่อ หรือ ธุรกิจสิ่งทอ
ดังนั้นธุรกิจครอบครัวจะไปต่อได้ก็จะต้องมีกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจที่ดีมีแผนการระยะยาว และแค่กลยุทธ์อย่างเดียวไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดจริงได้ก็ต้องได้รับความร่วมมือกันภายในครอบครัว | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1883 | Finance | การออก Central Bank Digital Currency (CBDC) โดยธนาคารกลาง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงินในประเทศไทยหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
ลดต้นทุนการทำธุรกรรม: CBDC นั้นสามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงิน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมลง significantly.
เพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม: CBDC นั้นสามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอการเคลียร์เงินผ่านระบบ ACH หรือ SWIFT ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม
เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน: CBDC นั้นสามารถเข้าถึงได้โดยทุกคน โดยไม่ต้องมีบัญชีธนาคาร ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินสำหรับผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคาร
ส่งเสริมการรวมกลุ่มทางการเงิน (Financial Inclusion): CBDC นั้นสามารถช่วยส่งเสริมการรวมกลุ่มทางการเงิน โดยช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น
เพิ่มความโปร่งใส: CBDC นั้นสามารถติดตามการทำธุรกรรมได้ง่ายกว่าเงินสด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดการฟอกเงิน
เพิ่มประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจ: CBDC นั้นสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจโดยช่วยให้การชำระเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างประเทศที่ออก CBDC:
บาฮามาส: ออก Sand Dollar
จีน: ออก Digital Yuan
ไนจีเรีย: ออก eNaira
สวีเดน: ออก e-Krona
ข้อควรระวัง:
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: CBDC นั้นอาจถูกแฮ็กเกอร์ขโมยได้
ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: CBDC นั้นอาจถูกควบคุมโดยรัฐบาลอย่างเข้มงวด
ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ: CBDC นั้นอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ
สรุป:
การออก CBDC นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังศึกษาและพัฒนา CBDC อยู่ โดย ธปท. ได้เปิดเผยผลการศึกษา "The Way Forward for Retail Central Bank Digital Currency in Thailand" ซึ่งสรุปว่า CBDC นั้นมีศักยภาพที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงินในประเทศไทย
หมายเหตุ:
ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
และควรพิจารณาความเสี่ยงทั้งหมดก่อนตัดสินใจลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1890 | Finance | กลยุทธ์ Arbitrage ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร เมื่อเทียบกับการลงทุนแบบเก็งกำไร | null | ข้อดี
1.ความเสี่ยงต่ำ:
ในทางทฤษฎี การ Arbitrage เป็นการแสวงหากำไรโดยปราศจากความเสี่ยง เพราะเราซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำจากตลาดหนึ่ง นำไปขายในตลาดที่ราคาสูงกว่า หักค่าธรรมเนียมแล้ว จะได้กำไร
2.โอกาสทำกำไรได้บ่อย:
ช่องว่างของราคา (Price Gap) เกิดขึ้นได้บ่อยในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล นักลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์ Arbitrage หาโอกาสทำกำไรได้บ่อย
3.ใช้เวลาทำธุรกรรมสั้น:
การ Arbitrage ใช้เวลาทำธุรกรรมสั้น เพียงไม่กี่นาที นักลงทุนสามารถหมุนเงินได้เร็ว เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับ: กลยุทธ์ Arbitrage เข้าใจง่าย เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับ
ข้อเสีย
1.กำไรต่อครั้งน้อย:
กำไรจากการ Arbitrage ต่อครั้งมักจะน้อย ประมาณ 1% หรือต่ำกว่า
2.ต้องใช้ความรวดเร็ว:
ช่องว่างของราคา (Price Gap) เกิดขึ้นและหายไปเร็ว นักลงทุนต้องมีความรวดเร็วในการตัดสินใจและทำธุรกรรม
3.มีค่าธรรมเนียม:
การทำธุรกรรมในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีค่าธรรมเนียม นักลงทุนต้องคำนวณให้ดีว่า กำไรที่ได้หักค่าธรรมเนียมแล้ว จะคุ้มค่าหรือไม่
4.ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา:
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง ราคามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เกิดความผิดพลาดและขาดทุนได้
5.ต้องมีความรู้และประสบการณ์:
การ Arbitrage ที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับตลาด ความเสี่ยง และกลยุทธ์ต่างๆ
กลยุทธ์ Arbitrage เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ โอกาสทำกำไรได้บ่อย เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับ แต่กำไรต่อครั้งมักจะน้อย จำเป็นต้องใช้ความรวดเร็ว และมีความรู้เกี่ยวกับตลาด
การลงทุนแบบเก็งกำไร มีโอกาสทำกำไรต่อครั้งสูง แต่มีความเสี่ยงสูง เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1893 | Finance | Heikin-Ashi คืออะไร | null | Heikin-Ashi (ไฮ-เค็น-อะ-ชิ) มาจากภาษาญี่ปุ่น แปลรวมกันว่า ‘average bar’ หรือ ‘แท่งเทียนเฉลี่ย’ ไม่ใช่กราฟแท่งเทียนธรรมดา แต่เป็นกราฟที่ถูกปรับด้วยสูตรคำนวณของ Heikin-Ashi เรียบร้อยแล้ว ถ้าเอามาเปรียบเทียบกับกราฟแท่งเทียนแบบปกติก็จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
สิ่งที่ Heikin-Ashi เข้ามาช่วยก็คือ การทำให้กราฟ ‘Smooth’ ขึ้น คำว่า Smooth ในที่นี้คือ การตัดทอน Noise ที่เป็นความผันผวนระยะสั้นต่างๆ โดยการนำราคา open-high-low-close ของแท่งเทียนแบบปกติมาคำนวณใหม่แล้วพล็อตบนกราฟใหม่ ผลลัพธ์ที่ได้คือกราฟที่ดูง่ายขึ้น
ข้อดีของการ Simplify กราฟแบบนี้ ข้อแรกคือเห็นเทรนด์ชัดเจนขึ้น Heikin-Ashi ไม่สนใจการขึ้นลงเล็กๆ ระหว่างวัน หรือแท่งเทียนไม่กี่แท่งที่ขึ้นสวนทางเทรนด์หลัก มันจะเปลี่ยนให้กลายเป็นแท่งสีเขียวไม่ก็สีแดงเหมือนกันหมดเลย ซึ่งก็โยงไปเกี่ยวข้องกับข้อดีข้อที่สอง คือ ทำให้อยู่ในเทรนด์ได้นานขึ้นและไม่รีบขายเร็วเกินไป
ถ้าอ้างอิงจากจิตวิทยาการลงทุน ระหว่างที่ลงทุนจะมีความกลัวหลายแบบเกิดขึ้นในจิตใจ ทั้งกลัวเสียเงิน กลัวตกรถ และอีกความกลัวที่สำคัญก็คือ กลัวเสียเงินที่เกือบจะได้มาแล้ว ภาษาอังกฤษเรียกเป็นสำนวนว่า ‘leaving money on the table’ ความกลัวนี้แหละที่ทำให้นักลงทุนขายหมูมานักต่อนัก พอเริ่มเห็นกำไร ก็จะเริ่มอยากปิดออเดอร์แล้วเก็บเงินออกมา เพราะกลัวว่าจะเสียกำไรส่วนนั้นไป สุดท้ายพอปิดไปก็ต้องทนเจ็บใจเห็นกราฟพุ่งไปต่อ เป็นเรื่องที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกในตลาด Heikin-Ashi จะช่วยกำจัด Noise ที่ทำให้จิตใจหวั่นไหวออกไป เห็นเทรนด์ได้ชัดขึ้น อยู่ในเทรนด์นานขึ้น ทำกำไรได้มากขึ้น | ความรู้ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1895 | Finance | การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูงหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
ความผันผวนของราคา: สินทรัพย์ดิจิทัลมีราคาที่ผันผวนสูงมาก
ตัวอย่างเช่น ในปี 2564 ราคา Bitcoin เคยขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 68,000 ดอลลาร์สหรัฐ และตกลงมาอยู่ที่ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภายในเวลาเพียง 3 เดือน ความผันผวนนี้เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ข่าวสาร กฎระเบียบ เทคโนโลยี และอารมณ์ของนักลงทุน นักลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยง (Diversification) ลงทุนในหลาย ๆ เหรียญ และลงทุนในจำนวนเงินที่สามารถรับความเสี่ยงได้
ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลยังมีการพัฒนาอยู่ กฎระเบียบใหม่ ๆ สามารถส่งผลต่อราคาและการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ นักลงทุนควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ เคยเกิดเหตุการณ์แฮ็กเว็บไซต์แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล และนักลงทุนสูญเสียเงิน นักลงทุนควรเลือกเว็บไซต์แลกเปลี่ยนที่น่าเชื่อถือ และเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัย
ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี: สินทรัพย์ดิจิทัลใช้เทคโนโลยี Blockchain เทคโนโลยี Blockchain ยังมีความใหม่ และมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย นักลงทุนควรศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยี Blockchain และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
ความเสี่ยงด้านความรู้: การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจำเป็นต้องมีความรู้ นักลงทุนควรศึกษาเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล เทคโนโลยี Blockchain และกลยุทธ์การลงทุน การลงทุนโดยไม่มีความรู้ อาจนำไปสู่การสูญเสียเงิน
สรุป: การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน และลงทุนในจำนวนเงินที่สามารถรับความเสี่ยงได้ | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1896 | Finance | ช่วยสรุปบทความ 6 ข้อ ที่ควร…สอนลูกเรื่องเงิน : นิสัยรวย | นี่คือ 6 อย่างที่พ่อแม่สมัยใหม่อย่างเราควรปลูกฝังลูกรักของเราแต่เนิ่นๆ ตามไปดูกันว่ามีอะไรบ้างนะครับ
1. สอนเขา … เขาไม่สามารถได้ทุกอย่างที่เขาต้องการเสมอไป
การให้สิ่งใดก็ตาม ที่ลูกเราต้องการ มันคือการสปอยเด็ก อันนี้ใครๆก็รู้นะครับ แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ บางที การขัดใจลูก มันเป็นเรื่องลำบากเหลือเกิน (ก็เรารักลูกนี่นา) แต่ลองมองในมุมนี่สิ เราเกิดมาจนเป็นพ่อเป็นแม่คน เราได้ทุกอย่างที่ใจหวังหรือเปล่า? คำตอบคือ ไม่ใช่ … ดังนั้น การฝึกให้เขารู้จักรอคอย รู้จักผิดหวัง ได้อะไรยากขึ้นอีกหน่อย จะเป็นการทำให้เขา สามารถอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ดีขึ้นแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
2. สอนเขา … อยากได้อะไร จงอดทนและเก็บออมด้วยตัวเอง
การยังไม่ได้สิ่งที่เขาต้องการในวันนี้ คือสิ่งที่เขาเรียนรู้ข้อที่ 1 แต่สำคัญกว่าก็คือ การทำอย่างไร เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการในอนาคต นั้นก็คือ “การออม” การฝึกให้เขารู้จักออมในวัยที่สมควร เป็นการฝึกเรื่องเงินที่ดีที่สุดที่ใช้กันมาทุกยุคทุกสมัย เพราะเขาจะรู้ว่า เขาสามารถจ่ายกับสิ่งไหนที่เขาต้องการ หรือต้องเก็บเพิ่มอีกเท่าไหร่ กว่าจะได้ของที่ชิ้นใหญ่กว่าเดิม
3. สอนเขา … การขอ = ยืม = การเป็นหนี้ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ
ครอบครัวสมัยใหม่นั้น เวลาออกไปเที่ยว ไปทานข้าวนอกบ้าน ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยใช้เงินสดกันหรอกครับ รูดบัตรเครดิตเอา ง่ายกว่า แต่ถ้าเราไม่อธิบายลูกรักของเรา พอเขาเห็นบัตรเครดิต เขาจะคิดว่านั้นคือเงิน เช่นเดียวกับไอ้ที่อยู่ในกระปุกออมสิน อย่าทำให้เขาคิดอย่างนั้นครับ บอกเขาซะ ว่ามันคือหนี้ มันคือการยืมเงินในอนาคตมาใช้ ในบัตรนั้น มันไม่ได้มีเงินของคุณอยู่เลย … ทางที่ดีกว่านั้นคือ ไม่ต้องใช้บัตรเครดิตให้เขาเห็น หลีกเลี่ยงการตอบคำถามแบบฉลาดๆของเด็ก ที่อาจจะเกิดขึ้นว่า “ถ้ามันไม่มีเงินในนั้น … งั้นป๋า/ม๊า ใช้มันทำไม”
4. สอนเขา … เลือกเอาระหว่าง ทำงานให้หนัก หรือ มีความคิดสร้างสรรค์ เพราะสองอย่างนี้ จะทำเงินให้กับเขาในอนาคต
อีกเรื่องที่ต้องห้ามลืมสอนก็คือ คุณค่าของการทำงานอย่างหนัก และ การใช้ความคิดอย่างสร้างสรรค์ แล้วเด็กจะโยงได้เองว่า ถ้าจะมีความคิดสร้างสรรค์เยอะๆ ก็ต้องเรียนเก่งๆ ถ้าคุณเห็นแววว่าเขาอาจไม่ใช่อัจฉริยะขนาดนั้น ก็ต้องฝึกให้เขาหมั่นขยัน ลองให้เขาทำงานซักอย่างให้คุณ แล้วให้ค่าตอบแทนเขาดู ให้รู้จักกระบวนการของการได้เงิน (มากกว่าแค่ค่าขนม) นี่คือการเรียน เพื่อให้รู้ว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง เขาต้อง “ทำงานแลกเงิน” แต่อย่าให้งานและเงินที่มันง่ายจนเกินไป เช่น ฝึกเขาล้างจาน พับผ้าปูที่นอน อะไรแบบนี้นะครับ ไม่งั้น จะติดนิสัยเคยตัว เกี่ยงงานหนัก ยิ่งไปกันใหญ่!!
5. สอนเขา … เราไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้กับทุกสิ่งเสมอไป
สิ่งที่สำคัญที่สุด หลังจากสอนเขาเรื่องความสำคัญของการหาเงิน ออมเงิน ก็คือ การทำให้เขาเห็นว่า “เงินไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ต้องการมากที่สุด” ในโลกนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่ตัวเขาต้องการ และเงินไม่สามารถซื้อมันมาได้ อย่างน้อยๆ ก็คือ “เวลา” ที่จะใช้กับคนที่เขารัก และอีกอย่างที่เงินซื้อไม่ได้ก็คือ “ความรัก” หากเขาอยากได้จากคนอื่น เขาต้องลงทุนด้วยการให้ความรักกับคนอื่นไปก่อน
6. สอนเขา … เงินทองของนอกกาย มีอีกหลายคนต้องการมากกว่าเรา
ชี้ให้เขาเห็นคนที่ด้อยโอกาสกว่าในสังคม สอนให้เขาหยิบยื่นโอกาสแก่คนเหล่านั้น ให้เงินออมของเขาทำงานผ่านการกุศล หรือการบริจาค ทำบุญ ทำทาน เขาจะเห็นว่า การสร้างความสุขให้คนอื่นด้วยการสละเงิน บริจาคทรัพย์ ก็สามารถสร้างความสุขให้กับตัวเขาเองได้อีกทาง ไม่จำเป็นต้องนำเงินไปซื้อในสิ่งที่เขาต้องการเสมอไป เพื่อให้เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่เงิน | 6 อย่างที่พ่อแม่สมัยใหม่ควรปลูกฝังลูกแต่เนิ่นๆ
1.การสอนลูกคือการเปิดโอกาสให้เขาเรียนรู้ว่าไม่ทุกอย่างที่เขาต้องการเสมอไป การขัดใจลูกเป็นเรื่องที่ลำบาก แต่ถ้ามองในมุมนี้ เราจะเห็นว่าการประสานความรู้สึกของลูกในการรับความผิดหวังและรอคอย จะช่วยเขาเข้ากับโลกได้ดีขึ้น และเรียนรู้การจัดการกับความหวังที่ไม่เสมอไปตามที่ต้องการในชีวิตทุกวันได้
2.การสอนให้เข้าใจถึงการอดทนและเก็บออมเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อได้สิ่งที่ต้องการในอนาคต นั้นเป็นการเรียนรู้การออมเงินในวัยที่เหมาะสม การเรียนรู้ว่าจะจ่ายสิ่งที่ต้องการหรือเก็บเพิ่มเท่าไหร่
3.การสอนให้เข้าใจว่าการขอยืมเงินหรือใช้บัตรเครดิตคือการเป็นหนี้ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ โดยต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าบัตรเครดิตไม่ใช่เงินของเขาและการใช้มันคือการยืมเงินในอนาคต ลูกควรรู้จักใช้เงินในทางที่เป็นประโยชน์และลูกควรหลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตในที่ที่ไม่จำเป็นเพื่อป้องกันปัญหา
4.สอนให้เลือกระหว่างทำงานหนักหรือมีความคิดสร้างสรรค์ เพราะทั้งสองนี้สามารถทำเงินให้กับอนาคตได้ การให้เขาทำงานซักอย่างแล้วให้ค่าตอบแทนให้ลูกจักกระบวนการได้เงิน อย่าให้งานที่ง่ายเกินไปทำให้เกิดนิสัยเคยตัวและเกี่ยงงานหนัก
5.สอนให้เข้าใจว่าไม่ทุกรายการต้องใช้เงิน ส่งเสริมความสำคัญของคุณค่าที่เงินไม่สามารถซื้อได้ เช่น เวลาที่ใช้กับคนที่รัก และความรักที่ต้องลงทุนด้วยการให้ความรักก่อนเพื่อได้รับในตอนต่อไป
6.สอนให้เห็นว่ามีคนที่ต้องการมากกว่าเรา กระตุ้นให้เขาทำกุศลหรือบริจาคเงินเพื่อช่วยเหล่านั้น อธิบายถึงความสุขที่ได้จากการทำบุญและการสละเงินเพื่อความสุขของคนรอบตัว ชี้ให้เขาเห็นคุณค่าของการให้และความสุขที่มากกว่าการสะสมเงินไม่ให้เห็นแก่ตัว | เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์ | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1901 | Finance | การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้หรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
1. ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา:
กองทุนรวมตราสารทุนลงทุนในหุ้น ซึ่งมีราคาผันผวนมากกว่าตราสารหนี้
หุ้นมีราคาที่ขึ้นลงตามปัจจัยต่างๆ เช่น ผลประกอบการของบริษัท สภาพเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ ฯลฯ
ตราสารหนี้มีราคาที่ค่อนข้างคงที่ อัตราผลตอบแทนแน่นอน และความเสี่ยงต่ำ
2. ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง:
กองทุนรวมตราสารทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ แต่ราคาอาจผันผวน
กองทุนรวมตราสารหนี้บางประเภท อาจมีอายุยาว และอาจมีสภาพคล่องต่ำ
3. ความเสี่ยงจากเครดิต:
กองทุนรวมตราสารหนี้บางประเภท ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงจากเครดิต
ตราสารหนี้ที่มีเครดิตต่ำ มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูงกว่า
4. ระยะเวลาการลงทุน:
กองทุนรวมตราสารทุน เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว (มากกว่า 5 ปี)
กองทุนรวมตราสารหนี้ เหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้น (น้อยกว่า 5 ปี)
ตัวอย่าง:
กองทุนรวมตราสารทุน A ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ราคา NAV ของกองทุนมีโอกาสขึ้นลงสูงตามผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยี
กองทุนรวมตราสารหนี้ B ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย ราคา NAV ของกองทุนมีโอกาสผันผวนน้อย อัตราผลตอบแทนแน่นอน
สรุป:
การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่คาดหวังก่อนตัดสินใจลงทุน
หมายเหตุ:
ผลตอบแทนที่คาดหวังของกองทุนรวมตราสารทุน มักสูงกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้
นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนรวมหลายประเภท
นักลงทุนควรลงทุนตามเป้าหมายการเงิน ระยะเวลาการลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้
คำแนะนำ:
ศึกษาข้อมูลกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
อดทน รอคอยผลตอบแทนระยะยาว | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1903 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การคำนวณงบประมาณเบื้องต้นในการซื้อคอนโด | null | สำหรับการคำนวณงบประมาณในการซื้อคอนโดนั้น มีวิธีคำนวณเบื้องต้นโดยการเข้าไปที่ www.1213.or.th/th/tools/programs/Pages/loans.aspx โดยขั้นตอนการคำนวณจะเริ่มจากการกดไปที่เมนู “คุณจะกู้ได้เท่าไร” จากนั้นให้ดูช่อง “จำนวนเงินที่ต้องการชำระต่อเดือน” คำนวณงบประมาณจากสูตร 40% x เงินเดือนปัจจุบัน ต่อมาดูที่ช่อง “จำนวนปีของการกู้ยืม” แล้วใช้สูตร 60 – อายุปัจจุบัน ถ้าเป็นกรณีที่คำนวณออกมาแล้วได้ผลลัพธ์เกิน 30 ก็ให้เอาเลขนี้เป็นหลักไปเลย เนื่องจากมันเป็นจำนวนปีที่ธนาคารปล่อยกู้โดยส่วนใหญ่ ต่อมาก็มาดูที่ช่อง “อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่อปี” จะคำนวณแบบอัตราเดียวตลอดอายุสัญญา ลองใส่ตัวเลขสัก 5-6% แล้วกดปุ่มคำนวณ ก็จะได้งบประมาณการซื้อคอนโดในเบื้องต้น
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ควรซื้อคอนโดราคาเท่าไหร่ ? สามารถคำนวณเบื้องต้นได้จาก https://www.1213.or.th/th/tools/programs/Pages/loans.aspx
โดยกดไปที่
1. เมนู “คุณจะกู้ได้เท่าไร”
2. ในช่อง “จำนวนเงินที่ต้องการชำระต่อเดือน” ให้คำนวณจาก [40% x เงินเดือนปัจจุบัน] เช่น ปัจจุบันเงินเดือน 40,000 บาท ช่องนี้จะใส่ 16,000 บาท ที่ต้องไม่เกิน 40% ของรายได้ เพราะยังต้องเผื่อค่าส่วนกลาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
3. ในช่อง “จำนวนปีของการกู้ยืม” ให้เอา [60 – อายุปัจจุบัน] ถ้าคำนวณแล้วเกิน 30 ก็ให้ยึดที่ 30 เพราะส่วนใหญ่ธนาคารจะปล่อยกู้ 30 ปี เช่น เราอายุ 25 ปี คำนวณแล้วจะได้ 35 ปี ก็ใส่ตัวเลขช่องนี้ที่ 30 ปี
4. ในช่อง “อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่อปี” เป็นการคำนวณแบบอัตราเดียวตลอดอายุสัญญา ซึ่งการกู้เงินจริงๆ อัตราดอกเบี้ยแต่ละช่วงจะไม่เท่ากันเลย แต่สำหรับการใส่คร่าวๆ แบบเผื่อเหลือเผื่อขาด ลองคำนวณที่ 5-6% ก่อนได้
5. กดปุ่ม “คำนวณ”
กดคำนวณแล้วจะเจอกับจำนวนเงินที่จะกู้ได้ ตามเงื่อนไขที่เราใส่ไป ตัวเลขนี้แหละ คือ ตัวเลขงบประมาณเบื้องต้น | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1904 | Finance | บริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลกในปี 2019 คือบริษัทอะไร | A. Facebook
B. Tencent
C. NVIDIA
D. Electronic Arts
E. Nintendo | ข้อที่ถูกต้องคือ B. เพราะว่า ถ้า Facebook เป็นบริษัทที่ใหญ่มากๆ ในความคิดของคนทั่วไป บริษัทที่กำลังจะพูดถึงก็เป็นบริษัทที่ใหญ่ตีคู่กับบริษัทระดับ Facebook มาเรื่อยๆ บริษัทนี้คือ ‘Tencent’ ซึ่งจากการจัดอันดับ Market Cap (มูลค่าหุ้นคูณจำนวนหุ้น) ในปี 2019 Tencent เป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก ถ้าถามว่าบริษัทนี้ทำอะไร บริษัทนี้ทำเกม
ถึง Tencent จะเป็นเจ้าของ Wechat ที่มีผู้ใช้ชาวจีนเป็นจำนวนมาก แต่ธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับ Tencent กลับไม่ใช่แอปแชท แต่เป็นธุรกิจเกมออนไลน์ที่คิดเป็นราวๆ 50% ของรายได้ทั้งหมด เกมที่อยู่ภายใต้เครือ Tencent ยกตัวอย่างเช่น League of Legends, PlayerUnknown’s Battlegrounds และ ROV ที่โด่งดังมากๆในประเทศไทย (ที่จีนใช้ชื่อ Honour of Kings ส่วนภูมิภาคอื่นๆ ใช้ชื่อ Arena of Valor) จนทำให้นักกีฬา eSport มืออาชีพของไทยมีรายได้ทะลุหลักล้านบาทต่อปี รวมถึงการสร้างอาชีพให้กับนักแคสเกมมากมาย
นั่นเป็นเพียงแค่อิทธิพลที่เกิดจากเกมหนึ่งเกม ที่เจ้าของคือบริษัทที่ทำธุรกิจเกมจนกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก ในอนาคตการพัฒนาของอินเตอร์เน็ต เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือที่เข้าถึงทุกคน จะยิ่งทำให้อิทธิพลของอุตสาหกรรมเกมชัดขึ้นไปอีก ในฐานะนักลงทุน การดูแคลนอุตสาหกรรมที่โตเร็วขนาดนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย | ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1906 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Silk Road | null | Silk Road เป็นเว็บไซต์ค้าขายยาเสพติดที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ในศตวรรษที่ 20 โดยตัวเว็บไซต์มีแนวคิดคือ ไร้ตัวตน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเว็บไซต์ตลาดออนไลน์สำหรับที่ผู้ซื้อและผู้ขายไม่ต้องระบุตัวตน ซึ่งผู้พัฒนาเว็บไซต์นี้คือ รอส อัลบริท เขาต้องการสร้างเว็บไซต์ Dark E-Commerce ในรูปแบบ Dark Web เพื่อเข้าถึงผ่านทาง TOR ซึ่งเป็นเว็บเบราเซอร์ที่มีการปกปิด IP Address และซ่อนข้อมูลผู้ใช้งาน อีกทั้งมีการทำลายข้อมูลที่ผู้ใช้เคยค้นหาอีกด้วย ซึ่งปณิธานในการสร้างเว็บไซต์นี้ ก็เพื่อสร้างตลาดในอุดมคติที่ลูกค้าสามารถมาซื้อขายอย่างอิสระ โดยไม่ต้องกังวล
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ประวัติของ “เส้นทางสายไหม” ของยุคศตวรรษที่ 20 หลายคนน่าจะมีคำถามในใจว่า.. แต่เอ๊ะ! มันมีด้วยเหรอ? ต้องบอกว่านี่ถือว่าเป็นตลาดที่ถือเป็นยุคบุกเบิกของการใช้ Bitcoin เป็นตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างแพร่หลายระหว่างผู้ใช้ด้วยกัน
เว็บไซต์นั้นมีชื่อว่า Silk Road ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับค้าขายยาเสพติดชื่อดังระดับโลก ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปท์ Anonymous (ไร้ตัวตน) เพื่อสร้างตลาดออนไลน์สำหรับที่ผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องมีการระบุตัวตน
ด้วยแนวคิดที่ต้องการปกปิดตัวตนของผู้ใช้แบบไร้ร่องรอยที่จะสาวถึงได้และหลบหลีกจากสายตาของตำรวจ ทางผู้พัฒนา “นายรอส อัลบริท (Ross Ulbricht)” จากเท็กซัสจึงได้พัฒนาเว็บไซต์ Dark E-Commerce นี้ขึ้นมาในรูปแบบของ Dark Web ซึ่งจะสามารถเข้าถึงได้ผ่านทาง TOR ซึ่งเป็นเว็บเบราเซอร์เฉพาะ ที่มีคุณสมบัติในการปกปิด IP Address รวมไปถึงซ่อนข้อมูลของผู้ใช้งาน รวมไปถึงทำลายข้อมูลที่ผู้ใช้เคยค้นหาทั้งหมด
ที่น่าสนใจคือเบราเซอร์ตัวนี้ยังคงเปิดใช้งานได้อย่างปกติ ใครที่ค่อนข้างมีความกังวลกับความเป็นส่วนตัวของตนเองมาก ๆ ก็ลองศึกษาดูได้
นายรอสได้มีปณิธานอันตั้งมั่นใจการสร้างตลาดค้าขายออนไลน์ที่ผู้ใช้มีสถานะแทบจะล่องหน และตลาดในอุดมคติแห่งนี้ใคร ๆ ก็สามารถมาตั้งซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องกังวลทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องกฏหมาย ด้วยเหตุนี้เองเว็บไซต์ที่เป็นตำนานของ Bitcoin นี้ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 นั่นเอง | ความรู้ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1908 | Finance | ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นง่ายๆ แต่ได้กำไรเหมือนกัน | A. ข้อมูลต้องครบก็ซื้อหุ้นได้
B. ไม่ต้องประเมินมูลค่าด้วยการบวกและลบ
C. ลงทุนในหุ้นที่เข้าใจเป็นอย่างดี
D. เอากำไรมาอวด
E. ต้องลงรายละเอียดยิบย่อยเหมือนทำงานวิจัย | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ C. เนื่องจาก การลงทุนหุ้นง่ายๆ ได้กำไรเหมือนกัน
1) ลงทุนในหุ้นที่เราเข้าใจเป็นอย่างดี
ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก ของกินของใช้ อาจจะเป็นหุ้นที่สุดแสนจะธรรมดา ทำกิจการซื้อมาขายไป สามารถเข้าถึงกิจการได้ง่ายดาย เพียงแค่เดินไปร้านหน้าปากซอย หรือเข้าห้างก็เจอ ผิดกับหุ้นบางประเภทที่กิจการอาจอยู่ต่างประเทศ กิจการสลับซับช้อนอย่างปิโตรเคมี หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งถ้าไม่เข้าใจ แค่เห็นชื่อสินค้าก็ปวดหัวแล้ว อาจเลือกไม่ลงทุนก็ได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องบอกว่า ความยากง่ายของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้ที่ต่างกันออกไป บางคนบอกยาก บางคนบอกง่าย เพราะฉะนั้นเลือกหุ้นไหนก็ได้ที่เข้าใจได้ดีที่สุดเป็นพอ
2) ข้อมูลไม่ต้องครบก็ซื้อหุ้นได้
ข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นในการลงทุนก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ไม่สามารถหาข้อมูลได้ครบทั้งหมด และจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพียงแต่ต้องรู้ว่า ควรรู้ข้อมูลอะไรที่สำคัญ และจำเป็นต่อการวิเคราะห์หุ้นตัวนั้นมากกว่า เพื่อให้ได้เข้าใจธุรกิจ เข้าใจตัวเร่งในการเติบโต ความเสี่ยง และประเมินราคาที่เหมาะสมได้ บางครั้งถ้ารอเก็บข้อมูลให้ครบ หุ้นตัวที่สนใจอาจจะวิ่งไปก่อนโดยไม่รอแล้วก็ได้
3) ไม่ต้องลงรายละเอียดยิบย่อยเหมือนทำงานวิจัย
หลายคนคำนวณตัวเลขละเอียดยิบถึงขั้นทศนิยม 2-3 ตำแหน่ง เช็คสัดส่วนรายได้อื่นๆ ยิบย่อยของบริษัททั้งหมด ดีที่ละเอียด แต่ก็ต้องถามตัวเองว่า เสียเวลามากขึ้นโดยไม่จำเป็นหรือเปล่า เพราะการลงรายละเอียดมากเกินไปก็อาจไม่ได้ทำให้มูลค่าหุ้นที่คำนวณได้ต่างกันมากนัก อาจจะต่างกันแค่หลักทศนิยม หรือหลักหน่วย ซึ่งก็คงไม่มีผลทำให้เปลี่ยนมุมมองในการลงทุนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะฉะนั้นเอาเวลาไปโฟกัสจุดใหญ่ จุดหลักของกิจการดีกว่า หรือเอาเวลาที่เหลือไปหาข้อมูลบริษัทอื่นอาจจะได้ประโชน์มากกว่า
4) ประเมินมูลค่าแค่บวกลบคูณหารพอ
บางคนใส่ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ตัวแปรควบคุมต่างๆ มากมาย ใช้สูตรทางคณิตศาสตร์เชิงลึก เพื่อเอามาทำการประเมินมูลค่าหุ้น ซึ่งหลายครั้งอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ท่ายากขนาดนั้น แต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจมากกว่าว่าหุ้นแบบไหน ควรประเมินมูลค่าด้วยวิธีไหน และตลาดมีมุมมองอย่างไรกับหุ้นตัวนั้น บางทีอาจเป็นวิธีง่ายๆ แบบ P/E, P/BV ก็พอ
5) กำไรไม่ต้องอวดใคร แต่ขาดทุนต้องเข้าใจ
หลายคนชอบโพสต์ ชอบอวด เวลาทำกำไรได้ จริงๆ ก็เป็นเรื่องส่วนตัว อาจดีใจ เลยอยากบอกให้เพื่อนๆ รู้ แต่บ่อยครั้งเข้าอาจจะกลายเป็นความกดดันโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ว่า ทุกครั้งที่ลงทุนต้องกำไร พอขาดทุนก็ไม่กล้าบอกใคร กลัวเสียหน้า ตั้งหน้าตั้งตาลงทุนไป ไม่ต้องไปอวดใครเวลากำไร แค่ให้รู้ก็พอว่า ทำอย่างไรถึงได้กำไร แต่เวลาขาดทุนนี่สิ สำคัญกว่า ต้องเข้าใจด้วยว่า ไปทำท่าไหนมา ถึงได้ขาดทุนแบบนี้ จดไว้เพื่อคราวต่อไปจะได้ไม่พลาดอีก | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1911 | Finance | จงบอกข้อดีของกลยุทธ์ Hybrid แบบ Core-Satellite | null | หนึ่งในความท้าทายของนักลงทุน คือ การเอาชนะตลาดในระยะยาว และไม่พลาดทั้งโอกาสการลงทุนทั้ง หุ้นเติบโต และหุ้นเน้นคุณค่าขนาดใหญ่ กลยุทธ์ที่จะตอบโจทย์ความต้องการแบบนี้ คือ กลยุทธ์ “Hybrid แบบ Core-Satellite” ซึ่งกลยุทธ์นี้ จะใช้ ETF ประเภท Index เป็น Core หรือ แกนกลาง และ ETF แบบ Active เป็น Satellite โดยมีข้อดีของกลยุทธ์ ดังนี้
- ต้นทุนต่ำ เนื่องจาก ETF แบบ Index มีต้นทุนต่ำ ง่ายต่อการจัดการสำหรับ ETF แบบ Index ไม่ต้องเลือกผู้จัดการกองทุน ไม่ต้องเลือกหุ้น
- ลงทุนได้ระยะยาวกับ ETF แบบ Index จากผลสำรวจในระยะยาว ETF แบบ Active ผลงานไม่ต่อเนื่อง
- กระจายการลงทุน ETF แบบ Index จะกระจายการลงทุนกว้าง ในขณะที่กองทุน ETF อาจจะเจาะจงเลือกบ้างกลุ่มอุตสาหกรรม หรือ เลือกหุ้นเติบโตเฉพาะเจาะจง ซึ่งจะมีความเสี่ยงมากกว่า
- สร้างผลตอบแทนเหนือตลาด ด้วย ETF แบบ Active ซึ่งเป็นแสวงหากำไรในระยะสั้น-ปานกลาง
- Hybrid = ETF แบบ Active + ETF แบบ Passive
Core จะใช้ ETF แบบ Passive ที่เน้นลงทุนใน หุ้นขนาดใหญ่ ส่วน Satellite จะใช้ ETF แบบ Active ที่เน้นลงทุนในหุ้นเติบโต
ETF ประเภท Passive จะให้น้ำหนักเท่าตลาดซึ่งจะลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เป็น Value Stock แต่ ETF ประเภท Active จะพยายามชนะตลาดโดยไปลงทุนหุ้นเติบโตด้วย ดังนั้น พอร์ตลงทุนจะมีการผสมกันระหว่าง Passive กับ Active | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1913 | Finance | กองทุนรวม KF-GTECH เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวในหุ้นเทคโนโลยีหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
1. กองทุน KF-GTECH มุ่งเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี: นโยบายการลงทุนของกองทุน KF-GTECH เน้นลงทุนในหุ้นที่มีธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยี หรือบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องโดยตรงกับเทคโนโลยี ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี
2. ผลตอบแทนระยะยาวของกองทุน KF-GTECH ดี:
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของกองทุน KF-GTECH ตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2015 อยู่ที่ 14.42%
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของกองทุน KF-GTECH ในช่วง 1 ปี อยู่ที่ 21.4%
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของกองทุน KF-GTECH ในช่วง 3 ปี อยู่ที่ 9.01%
3. กองทุน KF-GTECH บริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์:
กองทุน KF-GTECH บริหารจัดการโดย บลจ.กรุงศรี ซึ่งมีทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจเทคโนโลยี
กองทุนแม่ของ KF-GTECH คือ T. Rowe Price Funds Sicav – Global Technology Equity Fund ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในอดีต
4. กองทุน KF-GTECH ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำ:
กองทุน KF-GTECH ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก เช่น Alibaba, Salesforce.com, Amazon, Netflix, Facebook, Visa, Intuit, Atlassian
หุ้นเหล่านี้มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีการเติบโตสูง และมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว
5. กองทุน KF-GTECH มีความเสี่ยงที่เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว:
กองทุน KF-GTECH ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่มีความผันผวนสูง
อย่างไรก็ดี นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวควรสามารถทนต่อความผันผวนระยะสั้นได้
ข้อควรระวัง:
กองทุน KF-GTECH ลงทุนในต่างประเทศ
นักลงทุนจึงต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
กองทุน KF-GTECH ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
นักลงทุนควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวม
สรุป:
กองทุน KF-GTECH เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวในหุ้นเทคโนโลยี
กองทุนมีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจนมีผลการดำเนินงานที่ดีในอดีตบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำมีความเสี่ยงที่เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1915 | Finance | ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับกองทุนรวม | ก. ผู้ลงทุนสามารถมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายการลงทุนได้
ข. เป็นกองทุนที่รวบรวมเงินจากผู้ลงทุนหลาย ๆ คน
ค. มีผู้จัดการกองทุนจากบริษัทจัดการมาช่วยบริหาร
ง. ผู้ลงทุนสามารถเป็นบุคคลธรรมดาเพียงคนเดียว
จ. เป็นกองทุนที่บริหารจัดการเงินของผู้ลงทุน | ข้อที่ถูกต้องคือ ข. เนื่องจาก เพราะกองทุนรวม คือ กองทุนที่รวบรวมเงินจากผู้ลงทุนหลาย ๆ คน โดยมีผู้จัดการกองทุนจาก บลจ. เจ้าของกองทุน ที่จะนำเงินดังกล่าวไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ภายใต้กรอบนโยบายของกองทุนนั้น ๆ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทน แล้วจึงนำมาคืนให้ผู้ลงทุนแต่ละคนตามสัดส่วนที่ลงทุน หรือก็คือ ตามจำนวนหน่วยลงทุนที่ถือครอง
ส่วนกองทุนส่วนบุคคล คือ กองทุนที่บริหารจัดการเงินของผู้ลงทุน โดยมีผู้จัดการกองทุนจากบริษัทจัดการมาช่วยบริหาร แต่เนื่องเพราะเป็นกองทุนส่วนบุคคล ผู้ลงทุนจึงสามารถมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย หรือรายละเอียดในการลงทุนได้ เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของตนมากที่สุด
หากลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคล ผู้ลงทุนจะสามารถร่วมกำหนดได้ว่านโยบายการลงทุนจะเป็นอย่างไร จะเรียกว่าเป็นการลงทุนแบบตามใจฉันก็ได้ มีความเป็นส่วนตัว ในขณะที่ถ้าเป็นกองทุนรวมนั้น หน้าที่นี้จะเป็นของผู้จัดการกองทุน ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ส่วนผู้ลงทุนนั้นทำเพียงเลือกกองทุนที่มีนโยบายสอดคล้องแนวทางของตนมากที่สุด
โดยกองทุนส่วนบุคคลนั้นผู้ลงทุนสามารถเป็นบุคคลธรรมดาเพียงคนเดียว เป็นนิติบุคคล (เช่น บริษัท มูลนิธิ สหกรณ์ออมทรัพย์ ฯลฯ) หรือจะเป็นคณะบุคคลตั้งแต่ 2-35 คนก็ได้ | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1916 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ต้นตอของปัญหาหนี้ | null | ปัญหาหนี้สินที่มีอยู่มากมาย มีสาเหตุที่จะสำคัญมาก ๆ เลย นั่นก็คือ การขาด Financial Literacy ทีนี้มาดูความหมายแบบแยกคำกันก่อน คำว่า Financial หมายถึง การเงิน ส่วนคำว่า Literacy หมายถึง ความสามารถในการอ่านและเขียน ดังนั้น Financial Literacy จึงหมายถึง ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเงิน เพราะฉะนั้น การขาด Financial Literacy ก็คือการขาดความรู้และความเข้าใจในด้านการเงินนั่นเอง ส่วนสาเหตุของปัญหานี้ ก็มาจากพฤติกรรมการใช้เงินของเรานี่แหละค่ะ ใช้เงินโดยไม่คิด เพราะไม่ได้ทำการศึกษาที่ดีพอหรือไม่มีความรู้เลย ปัญหาหนี้ก็เลยเกิด
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ต้นตอของปัญหาหนี้ คือ การขาด Financial Literacy
Financial แปลว่า การเงิน Literacy แปลว่า ความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ แปลรวมกัน Financial Literacy คือ การมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเงิน ตัวอย่างเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจากการขาด Financial Literacy ที่ดี เช่น ประเมินรายได้ของตัวเองต่ำเกินไป ทำให้ใช้จ่ายเกินตัว อยากได้อะไรก็ซื้อทันที หรือหาเงินมาได้แล้วไม่เก็บออม ไม่เผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องใช้เงินก็ลำบาก ต้องไปกู้เงินเพิ่ม เป็นหนี้อีก
จะเห็นว่าต้นตอของปัญหาหนี้จริงๆ มันเริ่มต้นมาจากพฤติกรรมการใช้เงินส่วนบุคคล แต่ถามว่าคนที่เป็นหนี้ผิดหรือไม่ที่บริหารเงินได้ไม่ดี ก็ไม่ได้ผิดทั้งหมด เพราะคนที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องเงินมาก่อน ไม่ได้เรียนรู้เรื่องเงินมาก่อน ก็ยากที่จะทำอะไรถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรก และการศึกษาไทยก็ไม่ได้สอนเรื่องนี้กันในโรงเรียนด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องเงินสำหรับคนไทย ถ้าไม่ไปเจอประสบการณ์จริงด้วยตัวเองแล้วเรียนรู้ ก็ต้องมีคนคอยช่วยเหลือแนะนำให้ไปในทางที่ถูกต้อง | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1918 | Finance | กรณีที่ถูกเลิกจ้าง แต่ยังมีเงินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย ควรทำอย่างไรกับ PVD | a. หักภาษีไว้ตามอัตราภาษีก้าวหน้า
b. ลูกจ้างสามารถเลือกที่จะคงเงินไว้ใน PVD ได้
c. ต้องดำเนินการยื่นภาษี
d. เสียภาษีตามเงื่อนไข | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ b. เนื่องจาก เพราะในกรณีที่ถูกเลิกจ้าง แต่ยังมีเงินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย ลูกจ้างสามารถเลือกที่จะคงเงินไว้ใน PVD ได้ โดย บลจ. จะมีค่าธรรมเนียมการคงเงินไว้ที่ 500บาท / ปี หรือจะทำการโอนย้ายไปยังกองทุน RMF for PVD ซึ่งค่าธรรมเนียมการโอนย้ายจะขึ้นอยู่กับ บลจ. แต่ละแห่งกำหนด
ส่วนข้ออื่น ๆ จะอยู่ในกรณีที่ถูกเลิกจ้าง และต้องการนำเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพออกมาใช้ โดยปกตินายจ้างจะเป็นผู้แจ้งและนำส่งรายงานกรณีที่มีสมาชิกสิ้นสุดสมาชิกภาพ เมื่อมีพนักงานสิ้นสุดอายุการทำงานและไม่มีความประสงค์ขอคงเงินหรือโอนย้ายไปในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่รับโอนเงินจาก PVD (RMF for PVD) และเงินที่สมาชิกจะได้รับจะเป็นไปตามเงื่อนไขในข้อบังคับกองทุนเฉพาะส่วนของบริษัท ผลที่จะตามมา เมื่อลูกจ้างนำเงิน PVD ออกมาใช้ ต้องเสียภาษีตามเงื่อนไข โดยในเบื้องต้น แต่ละ บลจ. จะทำการหักภาษีไว้ตามอัตราภาษีก้าวหน้า (เงิน PVD ก้อนใหญ่ ก็จะเสียภาษีเพิ่มขึ้นตามแต่ละลำดับขั้น) สมาชิกต้องดำเนินการยื่นภาษีอีกครั้ง เมื่อถึงคราวต้องยื่นภาษีประจำปีนั้น ซึ่งอาจจะได้คืนหรือเสียเพิ่ม ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล | ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1920 | Finance | ในภาวะตลาดขาลงแบบนี้ กลยุทธ์การลงทุนแบบ "เน้นคุณค่า" (Value Investing) ยังมีประสิทธิภาพอยู่หรือไม่ จงอธิบาย | null | กลยุทธ์การลงทุนแบบ "เน้นคุณค่า" (Value Investing) ยังคงมีประสิทธิภาพอยู่แม้จะอยู่ในภาวะตลาดขาลง แต่ต้องปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ดังนี้
1. มองหา "หุ้น Value" ที่แท้จริง:
หุ้นที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐาน (Undervalued)
มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ธุรกิจแข็งแกร่ง
มีโอกาสเติบโตในระยะยาว
ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย
2. เลือก "Sector" ที่ใช่:
เน้นหุ้นในกลุ่ม Defensive เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น
หุ้นที่มี Dividend Yield สูง
หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่ม Cyclical ที่มีความเสี่ยงสูง
3. ใจเย็นและอดทน:
การลงทุนแบบ Value Investing ต้องใช้เวลา
ไม่ควรใจร้อนซื้อหรือขายตามกระแสตลาด
รอคอยจังหวะ "ซื้อของถูก"
มองระยะยาว
4. กระจายความเสี่ยง:
ไม่ควรลงทุนในหุ้นตัวเดียว
กระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายตัว
ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น
5. ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด:
วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ
เข้าใจความเสี่ยง
ไม่ควรลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ
ตัวอย่างกลยุทธ์:
การลงทุนแบบ "Contrarian" : ซื้อหุ้นที่คนอื่นกำลังขาย
การลงทุนแบบ "Deep Value" : มองหาหุ้นที่มีราคาถูกมาก
การลงทุนแบบ "Dividend Investing" : เน้นหุ้นที่มี Dividend Yield สูง
ข้อควรระวัง:
ตลาดขาลงอาจยาวนาน
หุ้น Value อาจปรับตัวลงต่อ
ต้องอดทนรอคอย
สรุป:
กลยุทธ์การลงทุนแบบ "เน้นคุณค่า" ยังมีประสิทธิภาพอยู่แต่อาจต้องใช้เวลานานกว่าในภาวะตลาดขาลง นักลงทุนควรเลือกหุ้น Value ที่แท้จริง เลือก Sector ที่ใช่ ใจเย็น อดทน กระจายความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และระวังความเสี่ยง | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1921 | Finance | การขยายตัวของเศรษฐกิจ (Economic Growth) ส่งผลดีต่อตลาดการเงิน (Financial Market) เสมอไปหรือไม่? | null | ไม่เสมอไป เหตุผล:
เงินเฟ้อ (Inflation): การขยายตัวของเศรษฐกิจอาจนำไปสู่เงินเฟ้อ ซึ่งหมายถึงราคาสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้น เงินเฟ้อที่สูงเกินไปจะส่งผลเสียต่อตลาดการเงิน ดังนี้
- ลดกำลังซื้อของประชาชน: เงินเฟ้อจะทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อน้อยลง ส่งผลให้การบริโภคชะลอตัว
- เพิ่มภาระหนี้สิน: เงินเฟ้อจะทำให้มูลค่าหนี้สินที่ต้องชำระคืนในอนาคตมีค่าลดลง
- เพิ่มความเสี่ยง: เงินเฟ้อที่สูงจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการลงทุน
- อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate): ธนาคารกลางมักจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
- อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น: จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินเพิ่มสูงขึ้น
- ลดการลงทุน: ส่งผลให้ธุรกิจชะลอการลงทุน
- ลดการบริโภค: ส่งผลให้ประชาชนชะลอการบริโภค
- ความผันผวน (Volatility): การขยายตัวของเศรษฐกิจอาจนำไปสู่ความผันผวนในตลาดการเงิน
- นักลงทุน: นักลงทุนอาจวิตกกังวลกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
- การเทขาย: อาจเกิดการเทขายสินทรัพย์ในตลาด
- ความสูญเสีย: ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อนักลงทุน
- ฟองสบู่ (Bubble): การขยายตัวของเศรษฐกิจอาจนำไปสู่การเกิดฟองสบู่ในตลาดการเงิน
- ราคาสินทรัพย์: ราคาสินทรัพย์อาจปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินจริง
- การเก็งกำไร: นักลงทุนอาจเก็งกำไรในสินทรัพย์
- การล่มสลาย: ฟองสบู่เมื่อแตกจะส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ร่วงลงอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจก็ส่งผลดีต่อตลาดการเงินในบางแง่มุม ดังนี้
กำไรของบริษัท: กำไรของบริษัทมักจะเพิ่มสูงขึ้น
ความมั่นใจของนักลงทุน: นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น
การระดมทุน: ธุรกิจสามารถระดมทุนได้ง่ายขึ้น
สรุป: การขยายตัวของเศรษฐกิจส่งผลดีต่อตลาดการเงินในบางแง่มุม แต่ก็อาจส่งผลเสียได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ระดับเงินเฟ้อ นโยบายการเงิน และเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ
หมายเหตุ: คำตอบนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน | ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1924 | Finance | การลงทุนใน ETF ผ่าน Feeder Fund มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนใน ETF โดยตรงหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
การลงทุนใน Feeder Fund หมายถึง การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนใน ETF ต่างประเทศอีกที ซึ่งมีความซับซ้อนมากกว่าการลงทุนใน ETF โดยตรง Feeder Fund มีค่าธรรมเนียม 2 ชั้น ประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมของกองทุน Feeder Fund เอง และค่าธรรมเนียมของ ETF ที่กองทุน Feeder Fund ไปลงทุน การลงทุนใน Feeder Fund มีสภาพคล่องน้อยกว่าการลงทุนใน ETF โดยตรง เนื่องจากต้องรอ NAV ของกองทุน Feeder Fund
การลงทุนใน Feeder Fund มีความเสี่ยงจากค่าเงินบาท เนื่องจาก NAV ของกองทุน Feeder Fund จะเปลี่ยนแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยน
ตัวอย่าง:
สมมติว่า คุณต้องการลงทุนใน ETF QQQ ซึ่งติดตามดัชนี Nasdaq-100 คุณสามารถลงทุนใน ETF QQQ โดยตรงผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศ หรือ คุณสามารถลงทุนใน Feeder Fund ที่ลงทุนใน ETF QQQ
กรณีที่ 1: ลงทุนใน ETF QQQ โดยตรง
ค่าธรรมเนียม: 0.20% ต่อปี
สภาพคล่อง: สูง
ความเสี่ยงจากค่าเงินบาท: มี
กรณีที่ 2: ลงทุนใน Feeder Fund ที่ลงทุนใน ETF QQQ
ค่าธรรมเนียม: 1.00% ต่อปี (0.50% ของกองทุน Feeder Fund และ 0.50% ของ ETF QQQ)
สภาพคล่อง: ต่ำ
ความเสี่ยงจากค่าเงินบาท: มี
จะเห็นได้ว่า การลงทุนใน Feeder Fund มีค่าธรรมเนียม สภาพคล่อง และความเสี่ยงจากค่าเงินบาท มากกว่าการลงทุนใน ETF โดยตรง อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน Feeder Fund มีข้อดีบางประการ เช่น:
- เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ที่ต้องการเริ่มต้นลงทุนใน ETF ต่างประเทศ
- ไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีโบรกเกอร์ต่างประเทศ
- ลงทุนได้ตั้งแต่จำนวนเงินน้อย
สรุป:
การลงทุนใน ETF ผ่าน Feeder Fund ไม่ได้มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนใน ETF โดยตรง นักลงทุนควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียของทั้งสองวิธี ก่อนตัดสินใจลงทุน
คำอธิบายเพิ่มเติม:
การลงทุนใน ETF เป็นวิธีการลงทุนในต่างประเทศที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ ETF ที่ต้องการลงทุนให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1928 | Finance | 7 กองทุน ETF เทคโนโลยีแห่งอนาคต มีกองทุนอะไรบ้าง | null | 7 กองทุน ETF เทคโนโลยีแห่งอนาคต
1) First Trust Cloud Computing ETF (SKYY)
กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: Cloud Computing
ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.60%
มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $3.1 พันล้าน
ดัชนีที่ลงทุนตาม: ISE Cloud Computing Index
2) ALPS Clean Energy ETF (ACES)
กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: พลังงานสะอาด
ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.65%
มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $160.8 ล้าน
ดัชนีที่ลงทุนตาม: CIBC Atlas Clean Energy Index
3) KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF (KARS)
กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: รถยนต์ไฟฟ้า / ระบบการเคลื่อนที่
ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.70%
มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $17.5 ล้าน
ดัชนีที่ลงทุนตาม: Solactive Electric Vehicles and Future Mobility Index
4) ROBO Global Robotics & Automation Index ETF (ROBO)
กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: หุ่นยนต์ / ระบบอัตโนมัติ
ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.95%
มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $1 พันล้าน
ดัชนีที่ลงทุนตาม: Robo-Stox Global Robotics and Automation Index
5) ETFMG Video Game Tech ETF (GAMR)
กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: วิดีโอเกม
ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.75%
มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $81.2 ล้าน
ดัชนีที่ลงทุนตาม: EEFund Video Game Tech Index
6) Defiance Next Gen Connectivity ETF (FIVG)
กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: ระบบ 5G
ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.30%
มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $267.7 ล้าน
ดัชนีที่ลงทุนตาม: BlueStar 5G Communications Index
7) Amplify Online Retail ETF (IBUY)
กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: E-Commerce
ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.65%
มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $299 ล้าน
ดัชนีที่ลงทุนตาม: EQM Online Retail Index | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1934 | Finance | จงสรุปบทความเรื่อง ETFs รถไฟเหาะขบวนถัดไปที่จะแซงหน้ากองทุนรวม ให้หน่อยค่ะ | ETFs รถไฟเหาะขบวนถัดไปที่จะแซงหน้ากองทุนรวม
ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนที่ลงทุนในกองทุนรวมอาจจะประสบปัญหาอย่างการได้ราคาปิดของวันไม่ตรงใจ หากใครที่เคยเล่นหุ้น หรือโลดแล่นในตลาดฟิวเจอร์มาก่อน อาจจะกดไม่ถูกใจสิ่งนี้ และเมินหน้าหนีกองทุนรวมกันไปเฉย ๆ ผมอยากจะบอกว่าผมเข้าใจความรู้สึกของทุกคนครับ แต่อย่างไรก็ตามโอกาสในการลงทุนในกองทุนรวมราคาซื้อขาย real time ในตอนนี้อาจจะคลืบคลานใกล้เราเข้ามาแล้วก็เป็นได้ จะเป็นอย่างไรนั้น หลังจากนี้ Mr. Serotonin จะมาแชร์ประสบการณ์และเล่าให้ทุกคนฟังเอง สิ่งที่ผมมองเห็นได้จาก ETFs ในสายตาผู้ที่ลงทุนในขอบเขตอื่น ๆ มาก่อน 1) Products การลงทุนที่หลากหลาย ความกว้างขวางของสินทรัพย์ใน ETFs นั้น ผมเปิดเข้าไปเองยังถึงกับว้าวเลยครับ มันไม่ใช่แค่หุ้น ตราสารหนี้ หรือ การลงทุนใน REITs เพียงอย่างเดียว แต่มันมีลูกเล่นส่วนกลับอย่างการลงทุนสวนกระแสที่เราอาจจะใช้มาสำหรับจัดการความเสี่ยงได้มากขึ้น หรือง่าย ๆ คือการ Short หรือการใช้ตราสารอนุพันธ์ต่าง ๆ (Derivatives) ป้องกันความเสี่ยงนั่นเอง ความกว้างขวางของสินทรัพย์ใน ETFs นั้น ผมเปิดเข้าไปเองยังถึงกับว้าวเลยครับ มันไม่ใช่แค่หุ้น ตราสารหนี้ หรือ การลงทุนใน REITs เพียงอย่างเดียว แต่มันมีลูกเล่นส่วนกลับอย่างการลงทุนสวนกระแสที่เราอาจจะใช้มาสำหรับจัดการความเสี่ยงได้มากขึ้น หรือง่าย ๆ คือการ Short หรือการใช้ตราสารอนุพันธ์ต่าง ๆ (Derivatives) ป้องกันความเสี่ยงนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการถือดัชนีอย่าง VIX index (ดัชนีวัดความเสี่ยงหุ้น อาจใช้ป้องกันในช่วงตลาดหุ้นขาลงได้) หรือแม้แต่การถือฟังก์ส่วนกลับอย่าง Inverse bond (ลงทุนตราสารหนี้ขาลง) ก็ยังได้ ซึ่งผมเชื่อว่า products หรือขอบเขตการลงทุนที่กว้างขวางนี้ จะตอบโจทย์อย่างมากในอนาคต สำหรับผู้จัดการกองทุนยุคใหม่ ที่ Quant หรือระบบคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการลงทุนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถือดัชนีอย่าง VIX index (ดัชนีวัดความเสี่ยงหุ้น อาจใช้ป้องกันในช่วงตลาดหุ้นขาลงได้) หรือแม้แต่การถือฟังก์ส่วนกลับอย่าง Inverse bond (ลงทุนตราสารหนี้ขาลง) ก็ยังได้ ซึ่งผมเชื่อว่า products หรือขอบเขตการลงทุนที่กว้างขวางนี้ จะตอบโจทย์อย่างมากในอนาคต สำหรับผู้จัดการกองทุนยุคใหม่ ที่ Quant หรือระบบคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการลงทุนมากขึ้น ภาพแสดงตัวอย่างสินทรัพย์ที่หลากหลายของ ETFs ภาพแสดงตัวอย่างสินทรัพย์ที่หลากหลายของ ETFs ส่วนตัวผมเองผมเคยมีประสบการณ์ทดลองออกแบบ Quant มานิดหน่อยครับ (ยอมรับว่าน้อยมาก ๆ) แต่สิ่งที่ผมสังเกตุได้จากการออกแบบ Quant หรือระบบทำกำไรต่าง ๆ เลย คือเราต้องการลูกเล่นที่มากพอ ในการออกแบบครับ ส่วนตัวผมเองผมเคยมีประสบการณ์ทดลองออกแบบ Quant มานิดหน่อยครับ (ยอมรับว่าน้อยมาก ๆ) แต่สิ่งที่ผมสังเกตุได้จากการออกแบบ Quant หรือระบบทำกำไรต่าง ๆ เลย คือเราต้องการลูกเล่นที่มากพอ ในการออกแบบครับ ยกตัวอย่างเช่น เรามีพื้นเพมาจากการเป็นนักลงทุนสาย Fundamental มาก่อน เราอาจต้องการอัตราส่วนทางการเงินต่าง ๆ มาออกแบบระบบ แต่หากคุณลงทุนในลักษณะเทคนิคมาก่อน ผมเชื่อว่าพวกฟังก์ชันขาลงต่าง ๆ คงมีบทบาทในการออกแบบการลงทุนเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราอาจจะได้เห็นวงการกองทุนรวมเรามีการจัดการที่หลากหลายมากขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งผมเชื่อว่ากองทุนหลาย ๆ กอง ณ ตอนนี้เองก็อาจจะมีการพัฒนาในส่วนนี้กันอย่างลับ ๆ ยกตัวอย่างเช่น เรามีพื้นเพมาจากการเป็นนักลงทุนสาย Fundamental มาก่อน เราอาจต้องการอัตราส่วนทางการเงินต่าง ๆ มาออกแบบระบบ แต่หากคุณลงทุนในลักษณะเทคนิคมาก่อน ผมเชื่อว่าพวกฟังก์ชันขาลงต่าง ๆ คงมีบทบาทในการออกแบบการลงทุนเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราอาจจะได้เห็นวงการกองทุนรวมเรามีการจัดการที่หลากหลายมากขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งผมเชื่อว่ากองทุนหลาย ๆ กอง ณ ตอนนี้เองก็อาจจะมีการพัฒนาในส่วนนี้กันอย่างลับ ๆ สิ่งที่ผมจะสื่อก็คือผมเชื่อว่าผู้จัดการกองทุนหรือนักลงทุนยุคใหม่จะให้ความสนใจกับตัว ETFs มากขึ้นในอนาคตเนื่องด้วยขอบเขตทางเลือกจัดการที่หลากหลายเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด และตอบโจทย์กับแนวทางการลงทุนของตนที่ถนัดในการจัดการพอร์ตและกลยุทธ์ของตนเองมากขึ้น ทั้งนี้และทั้งนั้นความหลากหลายที่ว่าเป็น ETFs ในต่างประเทศนะครับ ถ้าเรามีกองทุนที่ไปลงทุนในอนาคต ก็จะเจ๋งมาก ๆ เลยทีเดียว (อาจจะเป็น FINNOMENA หรือเปล่านะ?) สิ่งที่ผมจะสื่อก็คือผมเชื่อว่าผู้จัดการกองทุนหรือนักลงทุนยุคใหม่จะให้ความสนใจกับตัว ETFs มากขึ้นในอนาคตเนื่องด้วยขอบเขตทางเลือกจัดการที่หลากหลายเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด และตอบโจทย์กับแนวทางการลงทุนของตนที่ถนัดในการจัดการพอร์ตและกลยุทธ์ของตนเองมากขึ้น ทั้งนี้และทั้งนั้นความหลากหลายที่ว่าเป็น ETFs ในต่างประเทศนะครับ ถ้าเรามีกองทุนที่ไปลงทุนในอนาคต ก็จะเจ๋งมาก ๆ เลยทีเดียว (อาจจะเป็น FINNOMENA หรือเปล่านะ?) 2) ราคาซื้อขายแบบ real-time (ตามจริง) หากคุณเคยลงทุนในหุ้นหรือฟิวเจอร์มาก่อนดังที่ผมเคยกล่าวไว้ข้างต้น ผมเชื่อว่านี่คงเป็นหนึ่งใน Pain point หลัก ๆ เลยในการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม นอกจากการส่งคำสั่งซื้อขายที่ต้องใช้เวลาดำเนินการ ราคาที่เราได้ก็ต้องเป็นราคาปิดของวัน ไม่ใช่ราคาที่เราอยากได้เช่นเดียวกัน หากคุณเคยลงทุนในหุ้นหรือฟิวเจอร์มาก่อนดังที่ผมเคยกล่าวไว้ข้างต้น ผมเชื่อว่านี่คงเป็นหนึ่งใน Pain point หลัก ๆ เลยในการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม นอกจากการส่งคำสั่งซื้อขายที่ต้องใช้เวลาดำเนินการ ราคาที่เราได้ก็ต้องเป็นราคาปิดของวัน ไม่ใช่ราคาที่เราอยากได้เช่นเดียวกัน แต่ผมเชื่อว่าการเข้ามาของ ETFs จะทำให้ทุกคนที่เคยลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ อย่างที่ผมบอกไว้เปิดใจกันมากขึ้นครับ และผมเข้าใจนักลงทุนทุกคนว่าการที่เราเลือกลงทุนในหุ้นแบบปกติ และไม่ได้ลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่เป็นเพราะ ความเชื่อมั่นจนเกินเหตุแต่อย่างได้ แต่ทุกคนย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่าการเข้ามาของ ETFs จะทำให้ทุกคนที่เคยลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ อย่างที่ผมบอกไว้เปิดใจกันมากขึ้นครับ และผมเข้าใจนักลงทุนทุกคนว่าการที่เราเลือกลงทุนในหุ้นแบบปกติ และไม่ได้ลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่เป็นเพราะ ความเชื่อมั่นจนเกินเหตุแต่อย่างได้ แต่ทุกคนย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองอยู่แล้ว ขอย้อนกลับไปเรื่อง Quant อีกสักนิด ผมเชื่อว่าราคาซื้อขายเองก็มีผลกับการออกแบบ Quant หรือระบบต่าง ๆ เพราะบางระบบ เราอาจจะเล่นกับค่า correlation (ความสัมพันธ์) ที่ต้องการเวลาซื้อขายตามจริง เพื่อให้ระบบนั้น ๆ ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นผมเชื่อว่า ETFs จะช่วยให้กองทุนรวมมีการจัดการสินทรัพย์ โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น ขอย้อนกลับไปเรื่อง Quant อีกสักนิด ผมเชื่อว่าราคาซื้อขายเองก็มีผลกับการออกแบบ Quant หรือระบบต่าง ๆ เพราะบางระบบ เราอาจจะเล่นกับค่า correlation (ความสัมพันธ์) ที่ต้องการเวลาซื้อขายตามจริง เพื่อให้ระบบนั้น ๆ ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นผมเชื่อว่า ETFs จะช่วยให้กองทุนรวมมีการจัดการสินทรัพย์ โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น ดังนั้นในอนาคตเราอาจได้เห็นระบบ Quant จากการ Backtest และทำงานผ่าน ETFs ก็เป็นได้ เนื่องด้วยราคาที่ค่อนข้างตรงตามความจริง ดังนั้นในอนาคตเราอาจได้เห็นระบบ Quant จากการ Backtest และทำงานผ่าน ETFs ก็เป็นได้ เนื่องด้วยราคาที่ค่อนข้างตรงตามความจริง 3) ผลตอบแทนและช่วงตลาดขาลงที่ควบคุมได้มากขึ้น ในข้อนี้เหตุผลหลักมาจาก ทางเลือกสินทรัพย์ที่หลากหลายที่กล่าวไว้ก่อนหน้า ผมเชื่อว่าหากนักลงทุนหรือผู้จัดการกองทุนทุกท่านจัดการและเลือกใช้อย่างเหมาะสม จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น รวมถึงช่วยลด การขาดทุนสูงสุด (Drawdown) ในช่วงที่ตลาดยํ่าแย่ได้ดีขึ้นเช่นกัน ในข้อนี้เหตุผลหลักมาจาก ทางเลือกสินทรัพย์ที่หลากหลายที่กล่าวไว้ก่อนหน้า ผมเชื่อว่าหากนักลงทุนหรือผู้จัดการกองทุนทุกท่านจัดการและเลือกใช้อย่างเหมาะสม จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น รวมถึงช่วยลด การขาดทุนสูงสุด (Drawdown) ในช่วงที่ตลาดยํ่าแย่ได้ดีขึ้นเช่นกัน สรุปส่งท้าย… สรุปโดยรวมแล้วผมเชื่อว่าการเข้ามาของ ETFs จะช่วยให้นักลงทุนและผู้จัดการกองทุนทุกท่านมีทางเลือกในการจัดการผลตอบแทนของตนมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในช่วงนั้น ๆ รวมถึงราคาที่ค่อนข้างตรงตามจริงซึ่งน่าจะช่วยให้นักลงทุนทุกท่านสบายใจมากขึ้น ส่วนไอเดียเรื่อง Quant ETFs นั้นเป็นไอเดียที่ผมคิดขึ้นมาเล่น ๆ และเป็นการแชร์ประสบการณ์ครับ หวังว่าจะช่วยเพิ่มแนวคิดใหม่ ๆ บวกกับอ่านกันได้สนุกมากขึ้นเนอะ ส่วนตัวผมเองก็ยังไม่เคยได้ลงทุนใน ETFs เหมือนกัน ไม่รู้ว่าสภาพคล่องการโยกย้ายเงินทุนจะสะดวกขนาดไหน สรุปโดยรวมแล้วผมเชื่อว่าการเข้ามาของ ETFs จะช่วยให้นักลงทุนและผู้จัดการกองทุนทุกท่านมีทางเลือกในการจัดการผลตอบแทนของตนมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในช่วงนั้น ๆ รวมถึงราคาที่ค่อนข้างตรงตามจริงซึ่งน่าจะช่วยให้นักลงทุนทุกท่านสบายใจมากขึ้น ส่วนไอเดียเรื่อง Quant ETFs นั้นเป็นไอเดียที่ผมคิดขึ้นมาเล่น ๆ และเป็นการแชร์ประสบการณ์ครับ หวังว่าจะช่วยเพิ่มแนวคิดใหม่ ๆ บวกกับอ่านกันได้สนุกมากขึ้นเนอะ ส่วนตัวผมเองก็ยังไม่เคยได้ลงทุนใน ETFs เหมือนกัน ไม่รู้ว่าสภาพคล่องการโยกย้ายเงินทุนจะสะดวกขนาดไหน ผมทำบทความนี้ขึ้นมาเพื่อแจกแจง Pain points ต่าง ๆ ที่ผมเชื่อว่านักลงทุนหลาย ๆ ท่านเองก็คงจะคิดเหมือนกัน อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าหากเราทุกคนจะก้าวไปข้างหน้า เราต้องเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ ครับและสิ่งใหม่ที่ว่าในวงการกองทุนรวมของไทยเราที่อาจจะมีในอนาคตนี้ก็คงจะเป็น “ETFs” นี่เอง ผมทำบทความนี้ขึ้นมาเพื่อแจกแจง Pain points ต่าง ๆ ที่ผมเชื่อว่านักลงทุนหลาย ๆ ท่านเองก็คงจะคิดเหมือนกัน อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าหากเราทุกคนจะก้าวไปข้างหน้า เราต้องเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ ครับและสิ่งใหม่ที่ว่าในวงการกองทุนรวมของไทยเราที่อาจจะมีในอนาคตนี้ก็คงจะเป็น “ETFs” นี่เอง อ่านแล้วสนใจกันไหมครับ? หากสนใจและไม่อยากพลาดโอกาสการลงทุนสุดลํ้านี้ในอนาคต (หากเกิดขึ้น) กดที่ลิ้งก์เพื่อติดตามอย่างใกล้ชิดกันได้เลย ซึ่งหากในอนาคต FINNOMENA เปิดการลงทุนใน ETFs (มีความเป็นไปได้) คุณจะได้ไม่พลาดยังไงล่ะ สำหรับวันนี้ผม Mr. Serotonin ขอลาไปก่อน… สำหรับวันนี้ผม Mr. Serotonin ขอลาไปก่อน… ขอให้ทุกคนโชคดีครับ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ References | สิ่งที่มองเห็นได้จาก ETFs ในสายตาผู้ที่ลงทุนในขอบเขตอื่น ๆ มาก่อน มีดังนี้
1) Products การลงทุนที่หลากหลาย ความกว้างขวางของสินทรัพย์ใน ETFs นั้น ไม่ใช่แค่หุ้น ตราสารหนี้ หรือ การลงทุนใน REITs เพียงอย่างเดียว แต่มีลูกเล่นส่วนกลับอย่างการลงทุนสวนกระแสที่อาจจะใช้มาสำหรับจัดการความเสี่ยงได้มากขึ้น หรือง่าย ๆ คือ การ Short หรือการใช้ตราสารอนุพันธ์ต่าง ๆ (Derivatives) ป้องกันความเสี่ยงนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการถือดัชนีอย่าง VIX index หรือแม้แต่การถือฟังก์ส่วนกลับอย่าง Inverse bond ก็ยังได้ ซึ่งเชื่อว่า products หรือขอบเขตการลงทุนที่กว้างขวางจะตอบโจทย์อย่างมากในอนาคต สำหรับผู้จัดการกองทุนยุคใหม่ ที่ Quant หรือระบบคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการลงทุนมากขึ้น
2) ราคาซื้อขายแบบ real-time (ตามจริง) หากเคยลงทุนในหุ้นหรือฟิวเจอร์มาก่อน นี่คงเป็นหนึ่งใน Pain point หลัก ๆ ในการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม นอกจากการส่งคำสั่งซื้อขายที่ต้องใช้เวลาดำเนินการ ราคาที่ได้ก็ต้องเป็นราคาปิดของวัน ไม่ใช่ราคาที่อยากได้ แต่เชื่อว่าการเข้ามาของ ETFs จะทำให้ทุกคนที่เคยลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เปิดใจกันมากขึ้น และเข้าใจนักลงทุนทุกคนว่าการที่เลือกลงทุนในหุ้นแบบปกติ และไม่ได้ลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่เป็นเพราะ วามเชื่อมั่นจนเกินเหตุแต่อย่างได้ แต่ทุกคนย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองอยู่แล้ว
3) ผลตอบแทนและช่วงตลาดขาลงที่ควบคุมได้มากขึ้น เหตุผลหลักมาจากทางเลือกสินทรัพย์ที่หลากหลาย หากนักลงทุนหรือผู้จัดการกองทุนจัดการและเลือกใช้อย่างเหมาะสม จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น รวมถึงช่วยลด การขาดทุนสูงสุด (Drawdown) ในช่วงที่ตลาดยํ่าแย่ได้ดีขึ้นเช่นกัน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1937 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ทำไมค่าธรรมเนียม ETF ถึงถูกกว่ากองทุนรวม | null | เหตุผลที่ค่าธรรมเนียมของกองทุน ETF จึงถูกกว่าค่าธรรมเนียมของกองทุนรวม เพราะว่ากองทุน ETF เป็นทุนแบบ Passive กองทุนจะอิงกับตัวดัชนี ไม่ต้องวิเคราะห์ หรือซื้อขายกองทุนมากเท่ากองทุนรวมที่เป็นกองทุนแบบ Active การซื้อขายโดยตรงโดยไม่ต้องผ่าน บลจ. จะเป็นการลดค่าธรรมเนียมของกองทุน ETF ด้วย ส่วนค่าธรรมเนียมที่ซื้อขาย ด้วยความที่เป็นกองทุนแบบ Passive ค่าธรรมเนียมจะถูกกว่ากองทุนรวมที่เป็นกองทุนแบบ Active
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ทำไมค่าธรรมเนียม ETF ถึงถูกกว่ากองทุนรวม?
ในฝั่งของค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ ของ ETF จะถูกกว่ากองทุนที่ส่วนใหญ่เป็น Active เพราะใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Passive อิงไปกับดัชนีเลย ไม่ได้มุ่งหวังจะเอาชนะดัชนี ผู้จัดการกองทุนจึงไม่ต้องทำการรีเสิร์ช วิเคราะห์ หรือซื้อขายกองทุนมากเท่ากองทุน Active
อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดค่าธรรมเนียม ETF คือการที่ผู้ซื้อ-ขายสามารถซื้อขายกันโดยตรงได้โดยไม่ต้องผ่าน บลจ. เหมือนกองทุนรวม ที่หากเราต้องการซื้อ-ขายกองทุน ทาง บลจ. ก็จะต้องคอยจัดการ ทางผู้จัดการกองทุนจะต้องเข้าไปซื้อ-ขายสินทรัพย์ ทำให้มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มขึ้น
ในฝั่งของค่าธรรมเนียมที่ซื้อขาย ก็จะเหมือนเวลาซื้อหุ้น ในประเทศไทยหากใช้บริการโบรกเกอร์ผ่านอินเตอร์เน็ตจะอยู่ที่ประมาณ 0.15% แต่บางเจ้าอาจจะมีขั้นต่ำวันละ 50 บาท ดังนั้นสามารถลองตรวจสอบดูก่อนว่าโบรกเกอร์เจ้านั้นมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำต่อวันหรือไม่ หากเป็นกองทุนรวม Active ค่าธรรมเนียมการซื้อขายจะอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 0.5%-1% ส่วนกองทุน Passive ก็จะต่ำกว่า บางเจ้าอาจจะไม่เก็บขาเข้า-ออกเลย หากลังเลระหว่าง ETF กับกองทุน Passive ก็อาจจะลองนำกองทุนดังกล่าวมาเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมกันดู โดยหาข้อมูลได้จากหนังสือชี้ชวนของกองทุน หรือจะเปรียบเทียบผ่าน https://www.finnomena.com/fund ก็ได้เช่นกัน | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1941 | Finance | กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA กับกองทุนรวมมีความเสี่ยงระดับใด และควรลงทุนในสัดส่วนเท่าใด? | null | กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) กับกองทุนรวมนั้นมีความเสี่ยงที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับประเภทของกองทุนรวมที่เลือก
1. กองทุนรวมตลาดเงิน (ความเสี่ยงต่ำ)
เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง ความผันผวนต่ำ
ตัวอย่าง: กองทุนรวมตลาดเงินในประเทศ กองทุนรวมตลาดเงินต่างประเทศ
กลยุทธ์ DCA กับกองทุนประเภทนี้ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
สัดส่วนการลงทุน: 30-50% ของพอร์ต
2. กองทุนรวมตราสารหนี้ (ความเสี่ยงปานกลาง)
เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดเงิน
ตัวอย่าง: กองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวมตราสารหนี้
กลยุทธ์ DCA กับกองทุนประเภทนี้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง
สัดส่วนการลงทุน: 30-50% ของพอร์ต
3. กองทุนรวมผสม (ความเสี่ยงปานกลาง-สูง)
เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง
ตัวอย่าง: กองทุนรวมผสม 50/50 (ตราสารหนี้ 50% หุ้น 50%)
กลยุทธ์ DCA กับกองทุนประเภทนี้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง
สัดส่วนการลงทุน: 20-40% ของพอร์ต
4. กองทุนรวมหุ้น (ความเสี่ยงสูง)
เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูง
ตัวอย่าง: กองทุนรวมตราสารทุน กองทุนรวมดัชนี
กลยุทธ์ DCA กับกองทุนประเภทนี้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง
สัดส่วนการลงทุน: 10-30% ของพอร์ต
5. กองทุนรวมสินทรัพย์ทางเลือก (ความเสี่ยงสูง)
เหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้ ความเข้าใจ
ตัวอย่าง: กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมทองคำ
กลยุทธ์ DCA กับกองทุนประเภทนี้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ ความเข้าใจ
สัดส่วนการลงทุน: 5-10% ของพอร์ต
ข้อควรระวัง:
กลยุทธ์ DCA ไม่ได้ช่วยรับประกันผลตอบแทน
ยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
ควรเลือกกองทุนรวมให้เหมาะสมกับความเสี่ยง
กระจายการลงทุนในกองทุนประเภทต่างๆ
ลงทุนระยะยาว
สรุป:
กลยุทธ์ DCA กับกองทุนรวมเป็นวิธีการลงทุนที่เรียบง่าย เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกรูปแบบ | ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1942 | Finance | คำถามที่ 1: เหตุใดแพทย์จึงต้องให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินเป็นพิเศษ
คำถามที่ 2: อะไรคือความผิดพลาดในการวางแผนการเงินที่แพทย์มักทำกัน
คำถามที่ 3: วงจรแผนการเงินของแพทย์แบ่งออกเป็นกี่ช่วงอายุ และแต่ละช่วงอายุควรให้ความสำคัญกับเรื่องใดบ้าง
คำถามที่ 4: อะไรคือสิ่งสำคัญที่แพทย์ควรพิจารณาในการวางแผนเกษียณ
คำถามที่ 5: อะไรคือสิ่งที่แพทย์ควรคำนึงถึงในการส่งต่อมรดกให้ทายาท
คำถามที่ 6: แพทย์ควรเริ่มวางแผนการเงินเมื่ออายุเท่าไหร่ | null | คำตอบที่ 1
แพทย์เป็นอาชีพที่มีรายได้สูง แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงเช่นกัน ประกอบกับมีภาระรับผิดชอบมากทั้งด้านการทำงานและครอบครัว ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องวางแผนการเงินอย่างรอบคอบเพื่อความมั่นคงในชีวิต
คำตอบที่ 2
ความผิดพลาดในการวางแผนการเงินที่แพทย์มักทำกัน ได้แก่
- ผิดพลาดในการวางแผนเกษียณ
- เน้นการลงทุนระยะสั้นมากเกินไป
- ไม่ได้บริหารพอร์ตลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
คำตอบที่ 3
วงจรแผนการเงินของแพทย์แบ่งออกเป็น 4 ช่วงอายุ ได้แก่
วัยเรียนและฝึกงาน (อายุไม่เกิน 30 ปี)
วัยสร้างครอบครัว (อายุระหว่าง 30-45 ปี)
วัยเก็บเกี่ยว (อายุระหว่าง 45-65 ปี)
วัยเกษียณ (อายุ 65 ปีขึ้นไป)
คำตอบที่ 4
สิ่งสำคัญที่แพทย์ควรพิจารณาในการวางแผนเกษียณ ได้แก่
ความต้องการในการเกษียณ
สุขภาพ
สินทรัพย์
คำตอบที่ 5
สิ่งที่แพทย์ควรคำนึงถึงในการส่งต่อมรดกให้ทายาท ได้แก่
เป้าหมายในการส่งต่อมรดก
สภาพคล่องของสินทรัพย์
ภาษี
คำตอบที่ 6
แพทย์ควรเริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ควรรอให้อายุมากแล้วค่อยเริ่ม เพราะยิ่งเริ่มเร็วเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น
โดยปกติ แพทย์จะเรียนนานกว่าอาชีพอื่น และอาจต้องทำงานหนักในช่วงเริ่มต้นอาชีพ จึงอาจไม่มีเวลาหรือความสนใจในการวางแผนการเงินมากนัก อย่างไรก็ตาม แพทย์ควรตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต
แพทย์ควรเริ่มวางแผนการเงินอย่างน้อยตั้งแต่อายุ 25 ปี โดยตั้งเป้าหมายทางการเงินของตนเอง เช่น ต้องการมีเงินเก็บไว้เท่าไหร่เมื่อเกษียณอายุ ต้องการมีเงินไว้สำหรับการศึกษาบุตร ต้องการมีเงินไว้สำหรับซื้อบ้านหรือรถ เป็นต้น จากนั้นจึงเริ่มออมเงินและลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
หากแพทย์เริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย แพทย์จะมีเวลาออมเงินและลงทุนมากขึ้น จึงมีโอกาสที่จะมีเงินเก็บไว้เพียงพอสำหรับอนาคตมากขึ้น นอกจากนี้ แพทย์ยังมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนและการบริหารการเงินมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต่อไปนี้เป็นข้อดีของการเริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่อายุยังน้อยสำหรับแพทย์
มีเวลาออมเงินและลงทุนมากขึ้น
มีเวลาเรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนและการบริหารการเงินมากขึ้น
มีเวลากระจายความเสี่ยงของการลงทุนมากขึ้น
มีเวลาปรับเปลี่ยนแผนการเงินได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น แพทย์จึงควรเริ่มต้นวางแผนการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อความมั่นคงทางการเงินในอนาคต | ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1945 | Finance | ในช่วงปี 2563-2573 เป็นโอกาสที่อาจจะกำเนิดเกิดขึ้นของ “เศรษฐีหุ้น” ยุคใหม่ จริงหรือไม่? | null | จริง เหตุผล:
การ Disruption เทคโนโลยีใหม่ ๆ disrupt ธุรกิจแบบเดิม ๆ เกิดธุรกิจใหม่ ๆ ที่เติบโตสูง การเข้าถึงข้อมูล นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การวิเคราะห์ กลยุทธ์การลงทุน ได้ง่ายขึ้น เครื่องมือการลงทุน มีเครื่องมือการลงทุนที่หลากหลาย ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้สะดวก ดอกเบี้ยต่ำ เงินฝากออมทรัพย์ให้ผลตอบแทนต่ำ กระตุ้นให้นักลงทุนหันมาลงทุนในหุ้น ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมตลาดทุน
ตัวอย่าง:
- ธุรกิจ E-commerce เติบโตอย่างรวดเร็ว
- ธุรกิจ Fintech เข้ามา disrupt ธุรกิจการเงินแบบดั้งเดิม
- ธุรกิจ Cloud Computing เติบโตสูง
อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ กลยุทธ์ และบริหารความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ข้อควรระวัง:
- การเก็งกำไร อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุน
- การลงทุนโดยไม่มีความรู้ อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุน
- การลงทุนในธุรกิจที่ไม่ยั่งยืน อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุน
สรุป:ในช่วงปี 2563-2573 เป็นโอกาสที่อาจจะกำเนิดเกิดขึ้นของ “เศรษฐีหุ้น” ยุคใหม่ แต่นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล วิเคราะห์กลยุทธ์ และบริหารความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1949 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ อนาคตของ Libra | null | Libra เงินดิจิทัลจาก Facebook มีโครงสร้าธุรกิจที่เปลี่ยนไป หลังจากมีสมาชิกในโครงการขอถอนตัวไป ทำให้เหลือเพียง 21 บริษัท จาก 28 บริษัท โดย Sherrod Brown และ Brian Schatz วุฒิสมาชิก มีการส่งหนังสือไปถึง Visa, Mastercard และ Stripe เพื่อทบทวนการมีส่วนร่วมในโปรเจค Libra อีกครั้ง ในส่วนของ Facebook จะยังคงพัฒนาโครงการนี้ต่อไปท่ามกลางข่าวด้านลบที่เกิดขึ้น โดยมีแพลนเปิดตัวโครงการในปี 2020 แต่จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อวงการเงินดิจิทัล เพราะแนวโน้มของ Libra จะเปลี่ยนจากการเป็นวิธีชำระเงินสำหรับทำธุรกรรมในประเทศที่พัฒนาแล้ว มาเป็นวิธีชำระเงินข้ามพรมแดนสำหรับการใช้งานจากผู้ใช้รายบุคคล
บทเรียนจากย่อหน้านี้
อนาคตของ Libra
หลังการพิจารณาของรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้สมาชิกโครงการ Libra จากเดิมมี 28 บริษัท และถอนตัวไปอีกรายเหลือเพียง 21 บริษัท โดยรายล่าสุดที่ถอนตัวคือ Booking Holding บริษัทแม่ของเว็บไซต์ Booking.com, Priceline, และ Kayak.com.
โดยบริษัท Mastercard, Visa, eBay, Stripe, Mercado Pago, และ Paypal มีการถอนตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว
หลังจากวุฒิสมาชิก Sherrod Brown และ Brian Schatz ได้ส่งหนังสือถึง Visa, Mastercard และ Stripe เพื่อโน้มน้าวให้ทบทวนการมีส่วนร่วมในโปรเจค Libra อีกครั้งจากปัจจัยเสี่ยงของ Libra เงินดิจิทัลของ Facebbook
Facebook ควรไปต่อหรือไม่?
แม้ว่าจะมีข่าวด้านลบถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ Facebook ก็ยังคงเดินหน้าพัฒนา Libra ต่อไป และตั้งใจเปิดตัวในปี 2020 อย่างไรก็ตามการเปิดตัวครั้งนี้อาจไม่สะเทือนวงการและไม่น่าจะดึงความสนใจจากผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างที่คาดการณ์
Facebook ยอมรับว่า Libra มีความเป็นไปได้น้อยที่จะกลายเป็นวิธีการชำระเงินสำหรับการทำธุรกรรมจริงทั่วโลกในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา และในภูมิภาค เช่น สหภาพยุโรป แต่มีแนวโน้มที่จะใช้เป็นวิธีการชำระเงินข้ามพรมแดนสำหรับการใช้งานจากผู้ใช้รายบุคคลมากกว่า
แม้ว่าจะมีสมาชิกถอนตัวไปแล้ว 7 ราย แต่อีก 21 สมาชิกที่เหลือก็ยังดำเนินกิจกรรมต่อไป โดยจัดประชุมสมาคมฯ อย่างเป็นทางการครั้งแรกที่กรุงเจนีวา, สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการปูทางสำหรับโครงการที่จะดำเนินต่อไปในปี 2020 โดยสมาคม Libra รวมตัวกันจัดตั้งสภาสมาคมฯ พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารขึ้นมา ประกอบด้วย David Marcus (อดีตผู้นำ Facebook Blockchain), Katie Hun (Andreeson Horowitz), Wences Cesares (Xapo), Patrick Ellis (PayU), และ Matthew Davie (Kiva). | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1950 | Finance | เรื่อง The Benefits of Staying Invested PIMCO ของ PIMCOพบว่านักลงทุนจะมีความกังวลต่อเรื่องใด | null | เรื่อง The Benefits of Staying Invested PIMCO ของ PIMCO พบว่านักลงทุนจะมีความกังวลต่อการตกของหุ้นก็จะเทขายกองทุนที่ถือไว้ออกมา และจะทำการเข้าซื้อคืนเมื่อตลาดพลิกกลับตัวเป็นขาขึ้น
ถ้าจัดพอร์ตการลงทุนแบบ 60% / 40% โดยนักลงทุนเริ่มลงทุน 100,000 ปรากฏว่า พอร์ตขึ้นไปแล้วถึง เกือบ 120,000 หลังจากตลาดหุ้นตกลงอย่างเร็วทำให้การลงทุนเหลือ 90,000 นักลงทุนเริ่มทนไม่ไหว ขายทิ้ง พอตลาดหุ้นกลับมา นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนใหม่ ณ ราคาที่ 90,000 ปรากฏว่า เมื่อเวลาผ่านไป เงินจะเพิ่มเป็น 93,320 เทียบกับ 111,694 ถ้าไม่ได้ขายทิ้ง ดังนั้น ถ้านักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้ ถ้ามีการกระจายพอร์ตการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ จัดพอร์ตตามเป้าหมายการลงทุน นักลงทุนก็ไม่จำเป็นต้องรีบตัดขาดทุน ให้มองเป็นพอร์ตการลงทุน แต่แน่นอนการไม่ตัดขาดทุนก็จะทำให้นักลงทุนจะประสบปัญหา drawdown มากกว่าไม่ขาย
ดู backtest ย้อนหลัง โดยใช้ 60/40 All world ETF โดยใช้ BNCH โดยประกอบด้วย ETF IEF 40%, EFA 30% and VTI 30% โดยทดสอบ เทียบกับ BNCH แบบ buy and hold กับ BNCH ที่ซื้อและขายตามเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน และ 200 วัน โดยจะซื้อ ตอนเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ตัดขึ้น กับเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน โดยจะขาย ตอนเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ตัดลง กับเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน จากการทดสอบจะเห็นได้ว่า ถ้าจัดพอร์ตการลงทุนตามที่เหมาะสมกับเป้าหมายแล้ว การลงทุนต่อเนื่องแม้ยามเกิดตลาดขาลง ผลตอบแทนแบบ buy and hold จะให้ผลตอบแทนดีกว่า แต่ว่าอาจจะมี max drawdown มากกว่า อย่างไรก็ตาม ก็สามารถปรับสัดส่วนของพอร์ตการลงทุนได้ตามสภาวะตลาด แต่ไม่ได้หมายถึง ขายทิ้งทั้งพอร์ตและกลับไปซื้อใหม่ การลงทุนเป็นเกมระยะยาว เป้าหมายการลงทุนต้องชัดเจน อดทนและรอคอยความสำเร็จ | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1952 | Finance | Hedge แปลว่าอะไร | null | Hedge แปลว่า การป้องกันความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น มีร้านค้าร้านหนึ่ง แล้วทำประกันน้ำท่วมไว้ ก็แสดงว่ากำลัง hedge หรือป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับร้านค้าอยู่ ในเรื่องกองทุน การ Hedge มักหมายถึง การป้องกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน เป็นหลัก
คอนเส็ปต์ของการ Hedge ไม่ใช่การที่ทำให้ได้กำไรมากขึ้น แต่เป็นการใช้เครื่องมือทางการเงินบางอย่างเพื่อลดผลกระทบ กรณีผลลัพธ์ไม่เป็นไปในทางที่ต้องการ นโยบายการ Hedge จะมีเฉพาะในกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศเท่านั้น โดยอ่านได้ในหนังสือชี้ชวนว่ากองทุนนั้นมีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินหรือไม่ แล้วถ้ามี เป็นการป้องกันความเสี่ยงบางส่วนหรือป้องกันทั้งหมด
การไปลงทุนในต่างประเทศ กองทุนต้องแลกเงินบาทเป็นสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ซึ่งเวลาแลกกลับมาเป็นเงินบาท ค่าเงินอาจจะผันผวน ซึ่งอาจจะกระทบต่อผลกำไรของกองทุนได้ ถ้าเงินบาทอ่อน กำไรจะมากขึ้น ถ้าเงินบาทแข็ง กำไรจะน้อยลง ดังนั้น การที่กองทุนมีการป้องกันความเสี่ยง จะทำให้ไม่ต้องกังวลว่าเงินบาทกำลังจะอ่อนหรือแข็ง แต่นั่นก็หมายความว่าถ้าเงินบาทเกิดอ่อนขึ้นมา ก็ต้องยอมเสียผลกำไรที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนไป
สำหรับหลักการเลือกว่าจะลงทุนในกองที่มีการ Hedge ค่าเงินหรือไม่มีนั้น ถ้าเกิดว่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงในอนาคต การเลือกกองทุนที่ Unhedge ค่าเงินจะช่วยให้ผลกำไรที่ได้มากขึ้น ส่วนถ้าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้น ก็ควรเลือกกองทุนที่ช่วย Hedge ทำการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินให้ตนเอง อย่างไรก็ตาม จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคนด้วย ถ้าเกิดกังวลกับการขึ้นๆ ลงๆ ของค่าเงิน การเลือกกองทุนที่ Hedge ค่าเงิน ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่สบายใจ ทำให้ลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1955 | Finance | จงบอกข้อดีข้อเสียของบิทคอยน์ว่าเป็นอย่างไร | null | หากมองในแง่ของข้อดี บิทคอยน์เป็นสกุลเงินดิจิทัลเพียงเหรียญเดียวที่ระบบได้รับการยอมรับว่า Decentralized มากที่สุด และมีโครงข่ายและผู้ใช้กระจายตัวไปทั่วโลก จะเห็นได้ว่าดังข้อที่ไม่ใช่เงินสกุลหลักของโลก… แต่เรียกว่าเงินสกุลหนึ่งที่ให้อิสรภาพกับผู้ถือมากที่สุดในโลกจะเหมาะกว่า ด้วยความผันผวนของราคา ณ ปัจจุบันคงยากถ้าจะเรียกว่าบิทคอยน์เป็นสกุลเงินหรือแม้แต่ในอนาคตที่จำนวนบิทคอยน์ถูกขุดขึันมาทั้งหมดด้วยคุณสมบัติและจำนวนของมัน “อาจ” มีความเป็นไปได้สูงมากที่มันจะกลายเป็นเหมือน “ไอค่อนหรือของสะสม” เพิ่มมูลค่าขึ้นไปมากกว่าจะนำมาใช้จ่ายเป็นเงินตราอยู่ดี
ข้อดีของบิทคอยน์ ได้แก่
1. ความไร้พรหมแดน: การทำธุรกรรมใดที่สามารถทำได้แบบข้ามโลกและไร้พรหมแดน
2. อิสระจากเวลา: ไม่ต้องกังวลว่าจะมีลิมิตการโอนได้เท่าไหร่ เปิดทำการเวลาใดเหมือนธนาคารในโลกแห่งความจริง (ยกเว้นหากท่านฝากเงินไว้ในกระดานซื้อขายสินทรัพย์และเค้าปิดปรับปรุงก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
3. ความเป็นส่วนตัว: ไร้การถูกติดตามและละเมิดความเป็นส่วนตัวทางด้านการเงินจากหน่วยงานต่าง ๆ ตัดปัญหาความผิดพลาดจากตัวกลาง ไม่ต้องกลัวว่าค่าเงินจะผันผวนหากเกิดวิกฤตในประเทศใดประเทศหนึ่ง เนื่องด้วยคนถือมีอยู่ทั่วโลก (แต่หากเกิดวิกฤตที่กระทบไปทั่วโลกก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
4. มูลค่าที่ไม่ขึ้นอยู่กับรัฐใดรัฐหนึ่ง: แต่ขึ้นอยู่กับผู้ใช้เหรียญบิทคอยน์ในชุมชน ที่ซื้อและให้มูลค่าราคามันเป็นมูลค่าที่เกิดจากส่วนรวมที่ซื้อขายมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเทศใดควบคุม จำนวนจำกัดที่แน่นอน 21 ล้านเหรียญ เหรียญไหนอยู่ที่ใครเท่าไหร่คนในชุมชมช่วยกันตรวจสอบได้หมด การเพิ่มจำนวนเหรียญโมเมมาให้เกินจำนวนนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้
อย่างไรก็ตามเหตุผลหลัก ๆ ที่ส่งให้บิทคอยน์ไม่สามารถเป็นเงินสกุลหลักของโลกได้ ได้แก่
1. ความผันผวนของราคาสูงเกินไป บิทคอยน์ถือว่าสอบตกในเรื่องความเสถียรของราคาอย่างร้ายแรง การที่ราคาต่อบิทจะพุ่งขึ้นและตกลงกว่า 20-30% ถือเป็นปกติของตลาดนี้
2. ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงบิทคอยน์ได้ เนื่องด้วยบิทคอยน์นั้นเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อให้ไร้ตัวกลางที่สุด หรือจะเรียกตรง ๆ ก็คือ “ระบบที่มีความตัวใครตัวมันมากที่สุด” ผู้ใช้ต้องอาศัยความเข้าใจและมีความรับผิดชอบเงินและคีย์ในมือแบบสูงลิ่ว ซึ่งที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับตลาดนี้ โดยเฉพาะกลุ่มวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุหลายท่านที่ขาดความเข้าใจในเทคโนโลยี และส่วนมากเป็นผู้ที่ถือทรัพย์สินในมูลค่าที่มีอัตราส่วนมากที่สุดในโลก
3. ความกลัวของผู้คนทำให้คนอีกจำนวนมากไม่ยอมรับมัน ใครหลาย ๆ คนในวงการอาจเคยเห็นประโยคเหล่านี้ผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง “น่าเชื่อถือยังไงหน่วยงานไหนก็ไม่รองรับ” “รัฐบาลไม่ให้การยอมรับจะเชื่อถือได้หรือ” “เงินอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรแบ็คอัพเลยไม่กล้าใช้” ประกอบกับความใหม่ของมันทำให้ร้านค้ามากมายยังขายความรู้ความเข้าใจและไม่ได้รองรับมัน ทำให้การใช้จ่ายทุกอย่างด้วยบิทคอยน์ยังห่างไกลคำว่าสะดวกสบายอยู่มาก แม้จะมีระบบรับ Swap ค่าเงินกับบิทคอยน์เกิดขึ้นมามากมายแต่ส่วนมากก็ติดที่ค่าธรรมเนียมที่แพงไปอยู่ดี
4. การต่อต้านของรัฐบาลต่าง ๆ ทั่วโลก ที่มีการแทนค่าว่าบิทคอยน์คือ “สินทรัพย์” ชนิดหนึ่งมิใช่เงินตรา เพราะหาก Bitcoin กลายเป็นเงินตราเมื่อไหร่ นั่นหมายถึงทุก ๆ Transaction ที่เกิดขึ้นนั้นคือการ “แลกเปลี่ยนเงิน” (Remittance) และการขาดอำนาจในการควบคุมมูลค่าของนั่นหมายถึงความมั่นคงของรัฐเลยทีเดียว
5. ภัยจากวาฬหรือนักลงทุนเจ้ามือ ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้บิทคอยน์จะเป็นอิสระจากการควบคุมกลไกราคาของภาครัฐใดรัฐหนึ่ง แต่การเคลื่อนไหวของวาฬในตลาดก็ส่งผลต่อราคาของมันอยู่ดี
| เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1959 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ผลลัพธ์ของคริปโตเคอเรนซี่ทั้งระยะสั้นและระยะยาว | null | ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ จะมีผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในระยะสั้นนั้น ตั้งแต่ช่วงปี 2015 จะมีแค่ 2 เหรียญที่สำคัญนั่นก็คือ Bitcoin และ Litecoin แต่จะมีเหรียญคริปโตเคอเรนซี่อีกมากมายที่จะนำมาเทรดบนกระดานหลังช่วงปี 2017 ส่วนผลลัพธ์ของคริปโตเคอเรนซี่ในระยะยาว จะมีผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้นธรรมดา 10 เท่าภายในระยะเวลาที่เท่ากัน และจะส่งผลให้ผลตอบแทนของคริปโตเคอเรนซี่ต่อเดือนนั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ผลลัพธ์ของคริปโตเคอเรนซี่ระยะสั้น
หลังจากปี 2017 มีเหรียญคริปโตเคอเรนซี่มากมายที่ถูกนำมาเทรดบนกระดาน แต่เหรียญดั้งเดิมที่ถูกนำมาตั้งซื้อขายแลกเปลี่ยนตั้งแต่ช่วงปี 2015 มีแค่ Bitcoin กับ Litecoin เท่านั้น เหรียญแต่ละเหรียญจึงมีผลตอบแทนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ยกตัวอย่างเช่น Tronix (TRX) มีผลตอบแทนสูงสุด 1049.3% ต่อเดือนเป็นเวลา 4 เดือนตั้งแต่เดือน สิงหาคมที่ TRX เข้ากระดานเทรดจนสิ้นปี 2017 ซึ่งนั้นทำให้ตลาดคริปโตเคอเรนซี่กลายเป็นที่น่าจับตามองยิ่งขึ้น เพราะคนทั่วไปต่างมองว่าโอกาสในการทำกำไรจากตลาดนี้ดูง่ายดาย
ผลลัพธ์ของคริปโตเคอเรนซี่ในระยะยาว
จากการสำรวจความเสี่ยงและผลตอบแทนของคริปโตเคอเรนซี่ระยะยาวนั้น หากเปรียบเทียบกับหุ้น ในระยะเวลา 3 ปี (หากนับตามปีที่เหรียญ Bitcoin และ Litecoin เข้ากระดานเทรดปี 2015-2017) จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนของการลงทุนในคริปโตนั้นสูงกว่าตลาดหุ้นธรรมดาถึง 10 เท่าในระยะเวลาที่เท่ากัน และมีผลตอบแทนต่อเดือนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
และหากจะพูดถึงผลตอบแทนระยะยาวนั้น เหรียญ BTC และ LTC นั้นมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงมากด้วยตัวแปรหลาย ๆ อย่าง แต่ขณะเดียวกันผลตอบแทนสูงมากหากเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นปกติ | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1961 | Finance | ในภาวะวิกฤติตลาดหุ้น นักลงทุนควรมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในระยะยาว? | null | ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เคยกล่าวว่า วิกฤติตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ และส่งผลกระทบต่อนักลงทุนทุกกลุ่ม กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในภาวะวิกฤตินั้น จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในระยะยาว ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1. เข้าใจความเสี่ยง:
- ตระหนักว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง" โดยเฉพาะความเสี่ยงจาก "วิกฤติตลาดหุ้น"
- วิกฤติตลาดหุ้นเกิดขึ้นทุก 10 ปี โดยประมาณ
- หุ้นบางกลุ่มมีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นสถาบันการเงิน, สินค้าโภคภัณฑ์, หุ้นขนาดเล็ก-กลางที่โตเร็ว
2. ลงทุนระยะยาว:
- เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี ผลประกอบการดี สินค้าหรือบริการจำเป็นต่อชีวิต
- หลีกเลี่ยงการเก็งกำไร
- รอคอยจังหวะซื้อหุ้นดีในราคาถูก
3. กระจายความเสี่ยง:
- ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท
- ลงทุนในหุ้นหลายกลุ่ม
- เลือกกองทุนรวมที่มีกลยุทธ์เหมาะสม
4. ศึกษาข้อมูล:
- ติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ ธุรกิจ
- วิเคราะห์งบการเงิน
- เรียนรู้กลยุทธ์การลงทุน
5. มีวินัย:
- ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
- ไม่ตื่นกลัวหรือโลภ
- อดทนรอคอยผลตอบแทน
6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
- หาคำแนะนำจากนักลงทุนมืออาชีพ
- เลือกผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์
ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน:
DCA (Dollar Cost Averaging): ลงทุนเงินจำนวนเท่ากันเป็นประจำทุกงวด โดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้น
VI (Value Investing): ลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
Growth Investing: ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
ข้อควรระวัง:
- หลีกเลี่ยงการ "ช้อนหุ้น" ที่ตกลงมาแรง โดยไม่พิจารณาพื้นฐาน
- ระวัง "หุ้นปั่น"
- ไม่ลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้
บทสรุป: กลยุทธ์การลงทุนที่ดีในภาวะวิกฤต จะช่วยให้นักลงทุนผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก และประสบความสำเร็จในระยะยาว สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความเสี่ยง ลงทุนอย่างมีสติ ศึกษาข้อมูล และมีวินัย
คำแนะนำเพิ่มเติม:
- ศึกษาและเรียนรู้กลยุทธ์การลงทุนเพิ่มเติม
- ฝึกฝนการวิเคราะห์หุ้น
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
- ลงทุนอย่างมีสติ ไม่ประมาท | เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1962 | Finance | อะไรคือความแตกต่างหลักระหว่างการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) กับการลงทุนแบบเทคนิคอล (Technical) | null | การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) และ การลงทุนแบบเทคนิคอล (Technical) เป็นสองแนวทางการลงทุนที่มีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยสรุปความแตกต่างหลัก ๆ มีดังนี้
1. ปัจจัยที่ใช้ในการวิเคราะห์:
VI: เน้นวิเคราะห์ ปัจจัยพื้นฐาน ของกิจการ เช่น งบการเงิน ผลประกอบการ โครงสร้างธุรกิจ กลยุทธ์ แผนงาน ทีมผู้บริหาร ฯลฯ โดยให้ความสำคัญกับ มูลค่าพื้นฐาน ของหุ้นว่าถูกกว่าราคาตลาดหรือไม่
Technical: เน้นวิเคราะห์ กราฟราคา และ ปริมาณการซื้อขาย โดยเชื่อว่าราคาหุ้นในอดีตสามารถบอกถึงแนวโน้มราคาในอนาคตได้
2. ระยะเวลาในการลงทุน:
VI: เน้นลงทุนระยะยาว มักถือหุ้นเป็นเวลาหลายปี
Technical: เน้นลงทุนระยะสั้น อาจจะถือหุ้นเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์
3. จิตวิทยาการลงทุน:
VI: เน้นการ "ซื้อถูก ถือยาว" ใจเย็น มองข้ามความผันผวนระยะสั้น
Technical: เน้นการ "ซื้อตามเทรนด์ ขายตามสัญญาณ" อาศัยจังหวะเข้าซื้อ-ขายที่รวดเร็ว
4. ผลตอบแทน:
VI: คาดหวังผลตอบแทนจาก การเติบโตของธุรกิจ ในระยะยาว
Technical: คาดหวังผลตอบแทนจาก ความผันผวนของราคาหุ้น ในระยะสั้น
5. ตัวอย่าง:
VI: Warren Buffett, Benjamin Graham
Technical: Jesse Livermore, William J. O'Neil
ข้อควรพิจารณา:
ไม่มีวิธีการลงทุนไหนที่ "ดีที่สุด" ขึ้นอยู่กับ จริต ความชอบ เป้าหมาย และ ระยะเวลา ของนักลงทุนแต่ละคน
การลงทุนแบบ VI ต้องการ ความอดทน ความรู้ และ ความเข้าใจ ในธุรกิจ
การลงทุนแบบ Technical ต้องการ ทักษะ ประสบการณ์ และ การติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด
สรุป:
การลงทุนทั้งแบบ VI และ Technical ต่างมีจุดเด่นและจุดด้อยของตัวเอง นักลงทุนควรศึกษาและเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด
คำแนะนำเพิ่มเติม:
ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนทั้งสองแบบ
ทดลองลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยก่อน
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
ลงทุนอย่างมีสติ ควบคุมความเสี่ยง | ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1965 | Finance | แอปพลิเคชั่นที่มีมูลค่าของระบบ DiFi สูงที่สุด 3 อันดับแรก ณ วันที่ 19 ก.พ. 2563 มีอะไรบ้าง | null | แอปพลิเคชั่นที่มีมูลค่าของระบบ DiFi สูงที่สุด 3 อันดับแรก ณ วันที่ 19 ก.พ. 2563 ได้แก่
1. MakerDAO กับแนวคิดการสร้าง Stablecoin
เดิมทีการสร้าง Stablecoin หรือการสร้างสกุลเงินที่สามารถ “คงมูลค่า” และใช้เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการนั้น ในอดีตมีเพียงรัฐบาลของแต่ละประเทศเท่านั้นที่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวการออกสกุลเงินต่างๆ ได้ โดยการใช้ทองคำ, พันธบัตร, เครดิตต่างๆ ค้ำประกัน แต่ในโลกของระบบ Decentralized ระบบจะแทนค่า 1 DAI = 1 ETH และแม้ราคาของ ETH จะไม่ค่อยคงที่ก็ไม่เป็นปัญหา ด้วยระบบ Smart Contract ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ
2. Compound ระบบการกู้ยืมเงินแบบ Decentralized
คล้ายกับระบบของ MakerDao แต่เป็นระบบกู้ยืมเงินที่ทางผู้ใช้สามารถนำเหรียญสกุลอะไรก็ได้ที่ทำงานอยู่บนบล็อคเชนของ ETH ไปค้ำประกันเพื่อแลกเหรียญดิจิทัลสกุลอื่นๆ ในระบบ และรายได้ของผู้ที่นำเหรียญมาปล่อยกู้จะเป็นดอกเบี้ยจะถูกคำนวนจาก Demand และ Supply ในระบบ
3. Synthetix กับการจำลองสินทรัพย์เข้าสู่โลกของดิจิทัล
ได้มีการสร้างระบบที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถนำสินทรัพย์ (เหรียญสกุลดิจิทัล) ของตนเองมาค้ำประกันเพื่อสร้าง “สินทรัพย์จำลองขึ้นมาในโลกดิจิทัล” แต่ต้องวางเงินค้ำประกันสูงถึง 750% ของมูลค่าสินทรัพย์ที่จะสร้าง (ค้ำโดยเหรียญ SNX) ถือว่าเป็นระบบที่น่าสนใจ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ค่อนข้างมาก เนื่องด้วยในปัจจุบันระบบสินทรัพย์จำลองนั้นยังไม่ถูกรองรับในแพลทฟอร์มอื่นๆ นอกจากของ Synthetix โดยตรง | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1970 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เงินสำรองฉุกเฉิน | null | เงินสำรองฉุกเฉิน เป็นเงินที่ควรจะมีไว้สำหรับใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน ซึ่งจำนวนเงินฉุกเฉินที่ควรมี จะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละอาชีพ ถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือน จะมี 3 เดือนของรายจ่ายต่อเดือน ถ้าเป็น Freelance จะมี 6 เดือนของรายจ่ายต่อเดือน หรือถ้าเป็นคนที่รายได้ไม่สม่ำเสมอ จะมี 12 เดือนของรายจ่ายต่อเดือน สำหรับเงินสำรองฉุกเฉิน จะสามารถเก็บได้ในสินทรัพย์สภาพคล่องสูง และสามารถนำออกมาใช้ได้เลย
บทเรียนของย่อหน้านี้
เงินสำรองฉุกเฉินควรมีเท่าไหร่?
ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของอาชีพ ถ้าเป็นอาชีพปกติ อย่างมนุษย์เงินเดือน แนะนำที่ 3 เดือนของรายจ่ายต่อเดือน เสี่ยงขึ้นมาหน่อย อย่าง Freelance แนะนำที่ 6 เดือนของรายจ่ายต่อเดือน เสี่ยงสุดๆ รายได้ไม่สม่ำเสมอเลย 12 เดือนของรายจ่ายต่อเดือน อุ่นใจที่สุด
รายจ่ายต่อเดือนรวมทั้งรายจ่ายผันแปรและรายจ่ายคงที่ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า แม้จะได้รับผลกระทบเรื่องรายได้ แต่ยังสามารถจ่ายค่าผ่อนรถ ค่าเช้าห้องได้อยู่สัก 3 เดือนขึ้นไป
เงินสำรองฉุกเฉินควรเก็บที่ไหน?
ควรเก็บไว้ในสินทรัพย์สภาพคล่องสูง จะใช้ก็สามารถนำออกมาได้เลย เช่น เงินฝากออมทรัพย์ แต่สำหรับใครที่กลัวว่าเอาเงินไว้ในนั้นเยอะๆ แล้วจะหมดไปกับค่า shopping แทน แบ่งบางส่วนเข้ากองทุนรวมตลาดเงินก็ได้ เสี่ยงขึ้นมานิดนึง แต่ยังถือว่าเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ | ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1972 | Finance | การเอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในช่วงที่ตลาดผันผวนมากๆ จะส่งผลอย่างไร ระหว่าง ทำให้ตัดสินใจพลาด หรือ ทำให้ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล | null | ทำให้ตัดสินใจพลาด เพราะการเอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในช่วงที่ตลาดผันผวนมากๆ จะทำให้ตัดสินใจพลาด ส่วนการทำให้ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล เป็นสิ่งสำคัญของจิตใจ
วิกฤตไวรัส Covid-19 ถือว่าเป็นวิกฤต 2 เด้ง เด้งแรกคือ เป็นวิกฤตโรคระบาดที่แพร่กระจายได้รวดเร็วระดับโลก มีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นมากมาย เด้งที่สองคือ วิกฤตโรคระบาดนี้ทำได้เกิดวิกฤตทางการเงินตามมาด้วย
ปกติโรคระบาดจะส่งผลต่อเศรษฐกิจอยู่แล้ว แต่เคสของปี 2563 มีหลายๆ เรื่องเข้ามายำรวมกันด้วย อย่างเรื่องสงครามน้ำมันเป็นต้น ทำให้ช่วงนี้กองทุนลงกันค่อนข้างหนัก อย่างที่ทุกคนทราบกัน ทีนี้ในช่วงที่ตลาดผันผวนมากๆ ควรบริหารสภาพจิตใจของตัวเองยังไง เพื่อที่จะผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้
จิตใจเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ ใช้คำว่า “บริหารสภาพจิตใจ” เพราะเป็นเรื่องที่ต้องดูแลสำรวจตัวเองอยู่ตลอด เหตุผลที่ต้องสังเกตใจตัวเอง เพราะ หนึ่ง เรื่องเงินเป็นเรื่องที่ sensitive กับจิตใจ เหตุผลที่สอง การลงทุนต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นต้องสบายใจที่จะลงทุนได้นานๆ เหตุผลที่สาม การเอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จะทำให้ตัดสินใจพลาด
วิธีการบริหารสภาพจิตใจขึ้นอยู่กับแต่ละคน ต้องหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง ได้แก่
- ใช้เงินเย็นในการลงทุน ถึงแม้ว่ากองทุนจะขึ้นจะลงก็ไม่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน คุณภาพชีวิตไม่เปลี่ยน ทำให้สามารถตัดสินใจได้โดยไม่เอาเรื่องคุณภาพชีวิตมาเกี่ยวข้อง
- ตามข่าวแต่พอดี ฟังมุมมองจากหลายๆ ด้าน การมีความรู้ที่มากขึ้น เป็นวิธีในการลดความเสี่ยงในการลงทุนวิธีหนึ่ง
- ไม่ต้องไปดูพอร์ตบ่อยเกินไป ยิ่งดูบ่อยยิ่งทำให้อยากเข้าไปยุ่ง และอาจทำให้ลงทุนได้ไม่นาน
- ทบทวนเป้าหมายระยะยาวของตัวเอง ว่ายังทำตามแผนอยู่หรือไม่ เช่น ถ้าลงทุนตามแผนที่มีการ DCA ทุกเดือน ก็ควรที่จะลงเพิ่มทุกเดือนเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุน ซึ่งเป็นตามแผนการลงทุนระยะยาว | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1977 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความสำคัญของการประกันภัยสำหรับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล | null | การประกันภัยสำหรับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล มีความสำคัญในการพิจารณาถึงความไม่แน่นอนและความผันผวนของระบบนิเวศของ Cryptocurrency เนื่องจาก Cryptocurrency มีส่วนประกอบที่เป็น Startups และศูนย์ซื้อขายที่ไม่เพียงพอต่อการทำให้อุตสาหกรรมประกันภัยเห็นโอกาสในการตลาดและมีส่วนร่วมอุตสาหกรรม เมื่อราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเสี่ยงต่อการเกิดมิจฉาชีพได้ ดังนั้น มิจฉาชีพที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency ถ้าเปรียบได้ก็เปรียบกับ Wild West เพราะการขาดกฎระเบียบและเป็นสิ่งที่ใหม่มากของประชาชนทั่วไป
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ความสำคัญของการประกันภัยสำหรับศูนย์ซื้อขายฯ
ปัจจุบันธุรกิจ Cryptocurrency ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วย Startups และศูนย์ซื้อขายฯ ไม่มากพอที่จะให้อุตสาหกรรมประกันภัยเห็นโอกาสทางการตลาดและเข้ามามีส่วนร่วมในการอุตสาหกรรมชนิดใหม่นี้ จากข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณชนแม้แต่ศูนย์ซื้อขายฯ สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนืออย่าง Coinbase ก็มีเพียง 2% ของเหรียญที่ได้รับการประกันกับ Lloyd’s of London เหรียญเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ Hot Wallet ส่วนที่เหลือจะถูกเก็บไว้ Cold Wallet และไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับสถานะการประกันของพวกเขาเลย
การประกัน Crypto มีความสำคัญก็ต่อเมื่อคุณพิจารณาถึงความไม่แน่นอนและความผันผวนของ ระบบนิเวศของ Cryptocurrency เมื่อราคามีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ Bitcoin และ Cryptocurrencies อื่น ๆ ได้ก่อให้เกิดมิจฉาชีพที่ต้องการจะขโมยเงินจำนวนมากในการซื้อกระเป๋าเงินออนไลน์และขโมยจากศูนย์ซื้อขายฯ ตลาด Cryptocurrency ได้รับการเปรียบเทียบกับ Wild West เนื่องจากขาดกฎระเบียบและยังเป็นอะไรที่ใหม่มากในสายตาของคนทั่วไป พวกเขาอนุญาตให้ทำธุรกรรมค่อนข้างรวดเร็ว ราคาถูกและมีผลประโยชน์มากมาย อย่างไรก็ตามก็มีข้อเสียเช่นกัน การขโมย Cryptocurrency เป็นความเสี่ยงอย่างมากที่ทุกคนยังกังวล | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |