ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
894
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
36
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Finance_4153
Finance
อุตสาหกรรมการเงินของสหรัฐ ยังคงเป็นตัวเลือกการลงทุนที่แข็งแกร่ง เนื่องจากอะไร
ยูโอบีเผยกลยุทธ์การลงทุน ช่วยลูกค้ารับมือกับความผันผวนของตลาดในปี 2566 ​ ยูโอบี ประเทศไทย จัดงานสัมมนาการลงทุนประจำปีเพื่อเผยกลยุทธ์และข้อมูลด้านการลงทุน เชิงลึกประจำปี 2566 ให้แก่ลูกค้า ซึ่งกลยุทธ์ที่ทางธนาคารแนะนำ ได้แก่ การลงทุนในธุรกิจการเงินของสหรัฐฯ แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของ ชนชั้นกลางในเอเชียส่งผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคทั่วโลก และโครงสร้างของ Global Healthcare เช่น เทคโนโลยีด้านสุขภาพในระยะยาว งานสัมมนายังกล่าวถึงการที่เศรษฐกินในภูมิภาคเอเชียเริ่มที่จะไม่ต้องพึ่งพาประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการลงทุน ยุทธชัย เตยะราชกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ Head of Personal Financial Services ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า "ในปี 2565 เราประสบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั่วโลก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ตลาดจะต้องปรับฐาน และในปี 2566 นี้ เราคาดว่าความผันผวนจะยังคงดำเนินต่อไป ธนาคารยูโอบี มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือลูกค้าของเราให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ ด้วยการให้ข้อมูลและกลยุทธ์การลงทุนเพื่อประกอบการตัดสินใจในอนาคตทางการเงินอย่างชาญฉลาด" อุตสาหกรรมการเงินของสหรัฐยังคงเป็นทางเลือกในการลงทุนที่แข็งแกร่งแม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายระยะสั้น อุตสาหกรรมการเงินของสหรัฐยังคงเป็นตัวเลือกการลงทุนที่แข็งแกร่ง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้กลุ่มธนาคารได้เปรียบในส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิและรายได้โดยรวมของธนาคาร แม้ว่าจะมีโอกาสเติบโตในระยะยาว แต่ธนาคารยังคงเป็นธุรกิจหลักที่มีความท้าทาย เนื่องจากธนาคารดิจิทัลค่อยๆ เข้ามามีบทบาทในการแข่งขันกับสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม สำหรับความท้าทายในระยะสั้น ได้แก่ การตั้งสำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย และค่าธรรมเนียมจากการซื้อขายกองทุนที่ลดลงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ การตั้งสำรองหนี้สูญก็จะถูกลดลงเช่นกัน ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนสำหรับหุ้นกลุ่มธนาคารในปี 2566 เศรษฐกิจอาเซียนยังคงเติบโตและสามารถพึ่งพาตัวเองได้ดี แม้จะเห็นสัญญาณชะลอตัวจากประเทศที่พัฒนาแล้ว แม้ว่าเศรษฐกิจในอาเซียน อาจได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่เศรษฐกิจในอาเชียนมีโอกาสเติบโตจากการขยายตัวของชนชั้นกลางในเอเชีย ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการใช้จ่ายของผู้บริโภคทั่วโลก ทำให้อาเซียนมีการพึ่งพาประเทศในตลาดพัฒนาแล้วน้อยลง ระดับมูลค่าหุ้นในอาเซียนมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ทั้งนี้การเปิดเศรษฐกิจสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้วยังคงสร้างความท้าทายให้กับบริษัทที่ต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออก อุตสาหกรรมด้านสุขภาพทั่วโลกยังคงเป็นโอกาสแก่นักลงทุน ขณะที่เราเข้าสู่ปีที่สี่ของการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ภาคส่วนการดูแลสุขภาพทั่วโลกยังคงสร้างโอกาสสำหรับนักลงทุน อุตสาหกรรมด้านสุขภาพยังคงส่งผลดีต่อวงจรเศรษฐกิจ และเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ถูกมองว่ามีพื้นฐานแข็งแกร่งมากที่สุด นอกจากนี้ ปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่ช่วยให้คำปรึกษาทางการแพทย์ทางไกลด้วยต้นทุนที่ลดลง เป็นสิ่งที่หนุนการเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ในระยะยาว ยุทธชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “นักลงทุนต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ และกระจายพอร์ตการลงทุนให้หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนของธนาคารยูโอบี สามารถให้คำแนะนำด้วยความใส่ใจในทุกเรื่องที่สำคัญสำหรับนักลงทุน ก่อนการตัดสินใจลงทุนใดๆ นักลงทุนควรตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าพวกเขามีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนและได้พิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแล้ว”
อุตสาหกรรมการเงินของสหรัฐ ยังคงเป็นตัวเลือกการลงทุนที่แข็งแกร่ง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้กลุ่มธนาคารได้เปรียบในส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิและรายได้โดยรวมของธนาคาร แม้ว่าจะมีโอกาสเติบโตในระยะยาว แต่ธนาคารยังคงเป็นธุรกิจหลักที่มีความท้าทาย เนื่องจากธนาคารดิจิทัลค่อยๆ เข้ามามีบทบาทในการแข่งขันกับสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม สำหรับความท้าทายในระยะสั้น ได้แก่ การตั้งสำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย และค่าธรรมเนียมจากการซื้อขายกองทุนที่ลดลงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ การตั้งสำรองหนี้สูญก็จะถูกลดลงเช่นกัน ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนสำหรับหุ้นกลุ่มธนาคารในปี 2566
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Legal_5462
Legal
ถนนในหมู่บ้านจัดสรรต้องกว้างแค่ไหน?
การออกแบบโครงการหมู่บ้านจัดสรร นอกจากตัวบ้านและพื้นที่ส่วนกลางแล้ว ถนนที่ใช้สัญจรภายในหมู่บ้านก็เป็นสิ่งสำคัญ และมีกฎหมายถนนในหมู่บ้านรองรับและกำหนดว่าควรมีขนาดเท่าไหร่ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างสะดวกและปลอดภัย กฎหมายถนนในหมู่บ้าน มีอะไรบ้าง กฎหมายถนนในหมู่บ้านแต่ละโครงการจะมีขนาดไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่ขนาดโครงการว่ามีจำนวนบ้านกี่หลัง เป็นโครงการเล็กที่ผู้อาศัยไม่หนาแน่น กับโครงการขนาดใหญ่ ก็จะมีขนาดถนนในหมู่บ้านต่างกันดังต่อไปนี้ กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าต้องมีขนาดถนนไม่ต่ำกว่า 9 เมตร ซึ่งต้องมีความกว้างของผิวจราจร หรือบริเวณถนนที่รถยนต์วิ่งได้จริง ๆ อย่างน้อย 6 เมตร กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าต้องมีขนาดถนนไม่ต่ำกว่า 12 เมตร มีความกว้างของผิวจราจรขั้นต่ำ 8 เมตร กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าต้องมีขนาดถนนไม่ต่ำกว่า 16 เมตร และผิวจราจรต้องกว้างไม่ต่ำกว่า 12 เมตร กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าต้องมีขนาดถนนไม่ต่ำกว่า 18 เมตร โดยต้องมีผิวจราจรให้รถวิ่งกว้างอย่างน้อย 13 เมตร มีเกาะกลางถนนคั่นซึ่งต้องกว้างไม่น้อยกว่า 1 เมตร และทางเท้า 2 ข้างทาง กว้างข้างละ 2 เมตร ซื้อบ้านจัดสรรติดรั้วโครงการดีไหม ลองมาดู 5 ข้อต้องคิดก่อนซื้อบ้านจัดสรรติดรั้วโครงการ ได้ที่นี่ ซื้อบ้านจัดสรรติดรั้วโครงการดีไหม ลองมาดู 5 ข้อต้องคิดก่อนซื้อบ้านจัดสรรติดรั้วโครงการ ได้ที่นี่ ลองมาดู 5 ข้อต้องคิดก่อนซื้อบ้านจัดสรรติดรั้วโครงการ ได้ที่นี่ กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าถนนแต่ละสายต้องมีความยาวจากทางแยกหนึ่งถึงอีกทางแยกหนึ่งไม่เกิน 300 เมตร และไม่ควรให้เป็นแนวตรงยาวเกินกว่า 600 เมตร ถนนที่เป็นถนนปลายตัน ต้องจัดให้มีที่กลับรถทุกระยะ 100 เมตร และที่ปลายตันที่กลับรถต้องมีมาตรฐานแบบใดแบบหนึ่ง กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าถนนสายหลักของหมู่บ้านที่ต้องรับปริมาณการจราจรมาก ต้องมีความลาดชัน และทางเลี้ยวของผิวการจราจรที่สะดวกต่อการขับขี่ยวดยานอย่างปลอดภัย โดยความลาดชันของผิวจราจรทุกจุดต้องไม่เกิน 7 ส่วนต่อทางราบ 100 ส่วน โดยมีทางเลี้ยวหรือทางบรรจบต้องไม่เป็นมุมแหลมเล็กกว่า 60 องศา และในกรณีทางเลี้ยวที่ห่างกันน้อยกว่า 37 เมตร ต้องเป็นมุมป้านไม่ต่ำกว่า 120 องศา กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าจะต้องปาดมุมถนนให้กว้างขึ้นอีกไม่ต่ำกว่าด้านละ 1 เมตร ถ้าปากทางถนนดังกล่าวเป็นมุมเล็กกว่า 90 องศา จะต้องปาดมุมให้กว้างขึ้นอีกตามความเหมาะสม กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าจะต้องทำเป็นสะพาน ถ้าลำรางสาธารณะ ประโยชน์กว้างต่ำกว่า 3 เมตร จะจัดทำเป็นสะพานหรือสะพานท่อ หรือใช้ท่อลอดโดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 100 เซนติเมตร และหลังท่อลึ
กฎหมายกำหนดขนาดถนนในหมู่บ้านจัดสรรไว้ดังนี้: จำนวนบ้านน้อยกว่า 100 หลัง: ถนนต้องกว้างไม่ต่ำกว่า 9 เมตร ผิวจราจรกว้างอย่างน้อย 6 เมตร จำนวนบ้าน 100-299 หลัง: ถนนต้องกว้างไม่ต่ำกว่า 12 เมตร ผิวจราจรกว้างอย่างน้อย 8 เมตร จำนวนบ้าน 300-499 หลัง: ถนนต้องกว้างไม่ต่ำกว่า 16 เมตร ผิวจราจรกว้างอย่างน้อย 12 เมตร จำนวนบ้าน 500 หลังขึ้นไป: ถนนต้องกว้างไม่ต่ำกว่า 18 เมตร ผิวจราจรกว้างอย่างน้อย 13 เมตร มีเกาะกลางถนน 1 เมตร และทางเท้าข้างละ 2 เมตร กฎหมายยังกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้ - ถนนแต่ละสายต้องยาวไม่เกิน 300 เมตร และไม่เป็นแนวตรงยาวเกิน 600 เมตร - ถนนปลายตันต้องมีที่กลับรถทุก 100 เมตร - ถนนสายหลักต้องมีความลาดชันและทางเลี้ยวที่ปลอดภัย - ความลาดชันต้องไม่เกิน 7% - มุมเลี้ยวต้องไม่น้อยกว่า 60 องศา - กรณีทางเลี้ยวห่างกันน้อยกว่า 37 เมตร มุมเลี้ยวต้องไม่น้อยกว่า 120 องศา - ปากทางถนนที่มุมแหลม (น้อยกว่า 90 องศา) ต้องปาดมุมกว้างขึ้นด้านละ 1 เมตร - ลำรางสาธารณะที่กว้างไม่เกิน 3 เมตร - ต้องทำเป็นสะพาน สะพานท่อ หรือท่อลอด - ท่อลอดต้องมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 100 ซม. - ท่อลึกลงจากผิวจราจรไม่ต่ำกว่า 80 ซม. - ที่กลับรถต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ตัวอย่าง: หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งมีบ้าน 250 หลัง ถนนในหมู่บ้านต้องกว้างไม่ต่ำกว่า 16 เมตร ผิวจราจรกว้างอย่างน้อย 12 เมตร เหตุผลที่กฎหมายกำหนดขนาดถนน: เพื่อความปลอดภัยในการจราจร: ถนนที่กว้างพอจะรองรับจำนวนรถที่วิ่งสัญจรได้อย่างปลอดภัย เพื่อความสะดวกในการสัญจร: ถนนที่กว้างพอจะช่วยให้รถสัญจรไปมาได้อย่างสะดวก เพื่อสิ่งแวดล้อม: ถนนที่กว้างพอจะมีพื้นที่สำหรับปลูกต้นไม้ เพื่อความสวยงาม: ถนนที่กว้างพอจะช่วยให้หมู่บ้านดูสวยงาม สรุป: กฎหมายกำหนดขนาดถนนในหมู่บ้านจัดสรรเพื่อความปลอดภัย สะดวก สิ่งแวดล้อม และความสวยงาม ผู้ซื้อบ้านจัดสรรควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับขนาดถนนในหมู่บ้านก่อนตัดสินใจซื้อ
กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร อาคารชุด-จัดสรรที่ดินและถมดิน,กฎหมายอสังหาริมทรัพย์
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43642
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาล เป็นตัวอย่างที่ดีของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายนี้ช่วยให้ผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น ร้านค้ามีลูกค้ามากขึ้น เศรษฐกิจในชุมชนคึกคัก
null
10,000 บาท: เงินดิจิทัล เปลี่ยนชะตาเศรษฐกิจไทย? ตัวละคร: นลิน: พนักงานออฟฟิศวัย 28 ปี เงินเดือน 20,000 บาท อาศัยอยู่ชานเมืองกรุงเทพฯ ลุงชัย: พ่อค้าขายของชำวัย 55 ปี อาศัยอยู่ในชุมชน ป้าแก้ว: แม่ค้าขายส้มตำวัย 40 ปี อาศัยอยู่ในชุมชน เนื้อเรื่อง: นลิน สาวออฟฟิศเงินเดือน 20,000 บาท กำลังตื่นเต้นกับนโยบายใหม่ของรัฐบาล "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" เธอหวังว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น ซื้อของใช้ที่จำเป็น และเก็บออมได้มากขึ้น นลินรีบไปเปิดบัญชีกระเป๋าเงินดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชั่นของธนาคารกรุงไทย เมื่อลงทะเบียนเสร็จ เงิน 10,000 บาทก็โอนเข้าบัญชีทันที เธอรีบวางแผนว่าจะใช้เงินนี้ยังไง "เอาเงิน 5,000 บาท ไปซื้อมือถือใหม่ เครื่องเก่าเริ่มช้าแล้ว อีก 3,000 บาท เก็บไว้เผื่อฉุกเฉิน ที่เหลือเอาไปซื้อของใช้จำเป็นในบ้าน" นลินคิด เช้าวันต่อมา: นลินรีบไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อมือถือใหม่ พนักงานขายแนะนำรุ่นใหม่ล่าสุด ราคา 12,000 บาท นลินรู้สึกลังเล เงิน 10,000 บาทของเธอคงไม่พอซื้อ "ลองดูรุ่นอื่นก่อนไหมครับ มีรุ่นที่ราคาถูกกว่า" พนักงานขายแนะนำ นลินตัดสินใจซื้อรุ่นที่ราคา 8,000 บาท เงินที่เหลือเธอเอาไปซื้อของใช้จำเป็นในซุปเปอร์มาร์เก็ต ในชุมชน: ลุงชัย พ่อค้าขายของชำ รู้สึกดีใจกับนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท เขาคิดว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้เขาซื้อสินค้ามาขายได้มากขึ้น "เอาเงินไปซื้อของมาสต็อกร้านให้เต็ม เผื่อลูกค้ามาซื้อเยอะๆ" ลุงชัยคิด ลุงชัยไปที่ตลาดสดเพื่อซื้อของมาขาย เขาซื้อผักผลไม้ เนื้อสัตว์ ข้าวสาร ของใช้จำเป็นต่างๆ "เงินดิจิทัลดีจริงนะ ซื้อของสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องพกเงินสดเยอะๆ" ลุงชัยพูดคุยกับป้าแก้ว แม่ค้าขายส้มตำ ป้าแก้วก็รู้สึกดีใจกับนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท เธอคิดว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น "เอาเงินไปซื้อวัตถุดิบมาทำส้มตำให้เยอะๆ เผื่อลูกค้ามาทานเยอะๆ" ป้าแก้วคิด ป้าแก้วไปที่ตลาดสดเพื่อซื้อมะละกอ มะเขือเทศ มะนาว น้ำปลา ของใช้จำเป็นต่างๆ ผลลัพธ์: นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาล ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น ร้านค้ามีลูกค้ามากขึ้น เศรษฐกิจในชุมชนคึกคัก
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_44243
Finance
กลุ่มเซ็นทรัล ร่วมกับ JD.com และ JD Finance ประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนมูลค่ากว่ากี่ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเปิดตัว 2 ธุรกิจร่วมในประเทศไทยในด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทค
กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ร่วมกับ JD.com (NASDAQ:JD) บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และ JD Finance ผู้นำด้านฟินเทคของประเทศจีน ได้ประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนมูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเปิดตัว 2 ธุรกิจร่วมในประเทศไทยในด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทค ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ เงินทุนครึ่งหนึ่งจะมาจากกลุ่มเซ็นทรัล และส่วนที่เหลือจะมาจาก JD.com และ JD Finance รวมถึง Provident Capital (โพรวิเดนท์ แคปปิตอล) ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านกลยุทธ์ของ JD.com ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย ในการเปิดตัวธุรกิจด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทคในครั้งนี้ กลุ่มเซ็นทรัลจะนำความแข็งแกร่งในด้านธุรกิจค้าปลีก ที่มีเครือข่ายร้านค้า (physical stores network) ที่สมบูรณ์ที่สุด พร้อมรองรับการให้บริการแบบออมนิแชแนล (Omnichannel) และการชำระเงินที่สะดวกขึ้นด้วยทางเลือกที่หลากหลาย รวมถึงใช้แบรนด์และความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า และความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับวงการค้าปลีกจากฐานลูกค้า The 1 card มาพลิกโฉมธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า รวมไปถึงพัฒนาการเติบโตของกลุ่มเซ็นทรัลในด้านออมนิแชแนลผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหม่นี้ ด้าน JD.com จะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ และด้านโลจิสติกส์ มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในครั้งนี้ ส่วนความร่วมมือด้านบริการฟินเทคนั้นจะต่อยอดจากความรู้เชิงลึกด้านเทคโนโลยีทางการเงินของ JD Finance รวมไปถึงประสบการณ์การพัฒนาบริการฟินเทคที่ง่ายต่อการใช้งานในตลาดใหม่ (Developing Markets), การใช้ AI (Artificial Intelligence), เทคโนโลยีคลาวด์ และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ทันสมัย กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ร่วมกับ JD.com (NASDAQ:JD) บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และ JD Finance ผู้นำด้านฟินเทคของประเทศจีน ได้ประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนมูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเปิดตัว 2 ธุรกิจร่วมในประเทศไทยในด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทค กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ร่วมกับ JD.com (NASDAQ:JD) บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และ JD Finance ผู้นำด้านฟินเทคของประเทศจีน ได้ประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนมูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเปิดตัว 2 ธุรกิจร่วมในประเทศไทยในด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทค ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ เงินทุนครึ่งหนึ่งจะมาจากกลุ่มเซ็นทรัล และส่วนที่เหลือจะมาจาก JD.com และ JD Finance รวมถึง Provident Capital (โพรวิเดนท์ แคปปิตอล) ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านกลยุทธ์ของ JD.com ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ เงินทุนครึ่งหนึ่งจะมาจากกลุ่มเซ็นทรัล และส่วนที่เหลือจะมาจาก JD.com และ JD Finance รวมถึง Provident Capital (โพรวิเดนท์ แคปปิตอล) ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านกลยุทธ์ของ JD.com ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย ในการเปิดตัวธุรกิจด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทคในครั้งนี้ กลุ่มเซ็นทรัลจะนำความแข็งแกร่งในด้านธุรกิจค้าปลีก ที่มีเครือข่ายร้านค้า (physical stores network) ที่สมบูรณ์ที่สุด พร้อมรองรับการให้บริการแบบออมนิแชแนล (Omnichannel) และการชำระเงินที่สะดวกขึ้นด้วยทางเลือกที่หลากหลาย รวมถึงใช้แบรนด์และความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า และความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับวงการค้าปลีกจากฐานลูกค้า The 1 card มาพลิกโฉมธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า รวมไปถึงพัฒนาการเติบโตของกลุ่มเซ็นทรัลในด้านออมนิแชแนลผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหม่นี้ ในการเปิดตัวธุรกิจด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทคในครั้งนี้ กลุ่มเซ็นทรัลจะนำความแข็งแกร่งในด้านธุรกิจค้าปลีก ที่มีเครือข่ายร้านค้า (physical stores network) ที่สมบูรณ์ที่สุด พร้อมรองรับการให้บริการแบบออมนิแชแนล (Omnichannel) และการชำระเงินที่สะดวกขึ้นด้วยทางเลือกที่หลากหลาย รวมถึงใช้แบรนด์และความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า และความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับวงการค้าปลีกจากฐานลูกค้า The 1 card มาพลิกโฉมธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า รวมไปถึงพัฒนาการเติบโตของกลุ่มเซ็นทรัลในด้านออมนิแชแนลผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหม่นี้ ด้าน JD.com จะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ และด้านโลจิสติกส์ มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในครั้งนี้ ส่วนความร่วมมือด้านบริการฟินเทคนั้นจะต่อยอดจากความรู้เชิงลึกด้านเทคโนโลยีทางการเงินของ JD Finance รวมไปถึงประสบการณ์การพัฒนาบริการฟินเทคที่ง่ายต่อการใช้งานในตลาดใหม่ (Developing Markets), การใช้ AI (Artificial Intelligence), เทคโนโลยีคลาวด์ และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ทันสมัย ด้าน JD.com จะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ และด้านโลจิสติกส์ มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในครั้งนี้ ส่วนความร่วมมือด้านบริการฟินเทคนั้นจะต่อยอดจากความรู้เชิงลึกด้านเทคโนโลยีทางการเงินของ JD Finance รวมไปถึงประสบการณ์การพัฒนาบริการฟินเทคที่ง่ายต่อการใช้งานในตลาดใหม่ (Developing Markets), การใช้ AI (Artificial Intelligence), เทคโนโลยีคลาวด์ และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ทันสมัย
กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ร่วมกับบริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และ JD Finance ผู้นำด้านฟินเทคของประเทศจีน ได้ประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนมูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเปิดตัว 2 ธุรกิจร่วมในประเทศไทยในด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทค ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ เงินทุนครึ่งหนึ่งจะมาจากกลุ่มเซ็นทรัล และส่วนที่เหลือจะมาจากเจดีดอทคอม และ JD Finance รวมถึง Provident Capital (โพรวิเดนท์ แคปปิตอล) ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านกลยุทธ์ของเจดีดอทคอมในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_13507
Medical
"กลุ่มอาการความรู้สึกหลอนว่าแขนขายังคงอยู่" อะไรเป็นสาเหตุหลักของกลุ่มอาการนี้
(a) สมองส่วนซีรีบรัมมีการจดจำรูปลักษณ์ของแขนขาที่สูญเสียไป (b) เส้นประสาทส่วนปลายของอวัยวะที่สูญเสียไปส่งกระแสไฟฟ้าไปยังสมอง (c) ผู้ป่วยมีความเครียดและมีปัญหาทางสุขภาพจิต (d) ทั้งหมดข้างต้น
ข้อที่ถูกต้องคือ (d) ทั้งหมดข้างต้น เพราะว่า เหตุผล: กลุ่มอาการความรู้สึกหลอนว่าแขนขายังคงอยู่ เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก: สมองส่วนซีรีบรัมมีการจดจำรูปลักษณ์ของแขนขาที่สูญเสียไป สมองยังจดจำข้อมูลเกี่ยวกับอวัยวะที่สูญเสียไป ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าอวัยวะนั้นยังคงอยู่ เส้นประสาทส่วนปลายของอวัยวะที่สูญเสียไปส่งกระแสไฟฟ้าไปยังสมอง กระแสไฟฟ้าจากเส้นประสาทส่วนปลายที่เหลืออยู่ ส่งสัญญาณไปยังสมอง ทำให้สมองเข้าใจว่าอวัยวะนั้นยังคงอยู่ ผู้ป่วยมีความเครียดและมีปัญหาทางสุขภาพจิต ปัจจัยทางจิตวิทยา เช่น ความเครียด ภาวะซึมเศร้า worsen อาการของกลุ่มอาการนี้ การละเลยปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง ignoring any one factor อาจนำไปสู่การวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง หากละเลยสมอง ignoring the brain แพทย์อาจมองข้ามสาเหตุทางกายภาพของอาการ หากละเลยเส้นประสาท ignoring the nerves แพทย์อาจมองข้ามสาเหตุทางระบบประสาท หากละเลยปัจจัยทางจิตวิทยา ignoring psychological factors แพทย์อาจมองข้ามสาเหตุทางจิตใจ สรุป: การวินิจฉัยกลุ่มอาการความรู้สึกหลอนว่าแขนขายังคงอยู่ requires a comprehensive assessment of all three factors * **สมองส่วนซีรีบรัม** * **เส้นประสาทส่วนปลาย** * **ปัจจัยทางจิตวิทยา** ตัวเลือกอื่น ๆ: (a) สมองส่วนซีรีบรัมมีการจดจำรูปลักษณ์ของแขนขาที่สูญเสียไป แม้จะสำคัญ แต่ปัจจัยนี้เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ (b) เส้นประสาทส่วนปลายของอวัยวะที่สูญเสียไปส่งกระแสไฟฟ้าไปยังสมอง แม้จะสำคัญ แต่ปัจจัยนี้เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ (c) ผู้ป่วยมีความเครียดและมีปัญหาทางสุขภาพจิต แม้จะสำคัญ แต่ปัจจัยนี้เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_3461
Finance
BTSGIF คืออะไร
null
BTSGIF เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ที่ก่อตั้งโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด ภายใต้การสนับสนุนจาก บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จากัด (มหาชน) (ชื่อย่อ คือ BTS ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาก่อนหน้าแล้ว) กองทุนจำาเงินที่ได้จากการเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกไปลงทุนใน “รายได้ค่าโดยสารสุทธิในอนาคตที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานรถไฟฟ้าหลัก 2 สาย (หมอชิต – อ่อนนุช และ สะพานตากสิน – สนามกีฬาแห่งชาติ) มีระยะทางรวมทั้งสิ้น 23.5 กม.” ซึ่งดำเนินงานภายใต้สัญญาสัมปทานจาก กทม. โดยบริษัทขนส่งมวลชนกรุงเทพ จากัด (มหาชน) (“BTSC”) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BTS และมีอายุสัมปทานเหลืออีกประมาณ 17 ปี (ถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2572) รายได้ค่าโดยสารสุทธิ คือ เงินรายได้ค่าโดยสาร หักด้วย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง และรายจ่ายฝ่ายทุน (Capital Expenditure) ซึ่งการเพิ่ม หรือลดลงของรายได้ค่าโดยสารสุทธิในอนาคตอันนี้ จะมีผลกระทบต่อผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในกองทุนกองนี้ BTSGIF เกี่ยวข้องอย่างไรกับ BTS BTSGIF จะซื้อรายได้ค่าโดยสารสุทธิจาก BTSC (บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ) BTS ถือหุ้นใน BTSC อยู่ 97.5% จะเป็นถือหน่วยลงทุนใน BTSGIF ต่อไปอีกจานวน 1/3 ของหน่วยลงทุนทั้งหมด ตามที่กฎหมายหลักทรัพย์อนุญาต โดย BTSC (หรือบริษัทอื่นในเครือ BTS) ยังจะลงทุนในโครงการขนส่งมวลชนใหม่ๆ และเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านระบบขนส่งมวลชนทางราง และเป็นผู้ถือสัญญาสัมปทานต่อไป นอกจากนี้ BTS ยังมีธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจโฆษณา (VGI) ธุรกิจโรงแรมและบริการ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจขนส่งมวลชนของส่วนต่อขยาย (และสัญญาเดินรถและซ่อมบำรุง 30 ปี) ซึ่งธุรกิจเหล่านี้จะไม่รวมอยู่ในทรัพย์สินที่กองทุนจะเข้าลงทุนของ BTSGIF
ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11557
Medical
ในบางกรณี แพทย์อาจประยุกต์ใช้ยากาบาเพนตินอยด์ (Gabapentinoid) มารักษาอาการโรคต่อไปนี้คือ
ก. 1. โรคนอนไม่หลับ 2. โรคไมเกรน 3. อาการหวาดกลัวทางสังคม 4. โรคตื่นตระหนก 5. โรคธาลัสซีเมีย 6. โรคอารมณ์สองขั้ว 7. โรคพิษสุราเรื้อรัง ข. 1. โรคนอนไม่หลับ 2. โรคไมเกรน 3. อาการหวาดกลัวทางสังคม 4. โรคตื่นตระหนก 5. อาการคลุ้มคลั่ง 6. โรคอารมณ์สองขั้ว 7. โรคพิษสุราเรื้อรัง ค. 1. โรคนอนไม่หลับ 2. โรคไมเกรน 3. อาการหวาดกลัวทางสังคม 4. โรคตื่นตระหนก 5. โรคไข้หวัดใหญ่ 6. โรคอารมณ์สองขั้ว 7. โรคพิษสุราเรื้อรัง ง. 1. โรคนอนไม่หลับ 2. โรคไมเกรน 3. อาการหวาดกลัวทางสังคม 4. โรคตื่นตระหนก 5. อาการคลุ้มคลั่ง 6. โรคไต 7. โรคพิษสุราเรื้อรัง
ข้อที่ถูกต้องคือ ข. เนื่องจาก ยากาบาเพนตินอยด์(Gabapentinoid) เป็นกลุ่มยาที่มีโครงสร้างคล้ายกับสารสื่อประสาทของมนุษย์ที่มีชื่อเรียกว่า “กรดแกมมา-อะมิโนบิวทีริก (Gamma-aminobutyric acid ย่อว่า GABA)” กรดชนิดนี้จะทำหน้าที่ปิดคำสั่งกระแสประสาทระหว่างเซลล์ประสาทในสมอง การมีปริมาณกรดแกมมา-อะมิโนบิวทีริกในสมองต่ำเกินไป จะทำให้การปิดกั้นกระแสประสาททำได้ไม่ดีจนเกิดความสัมพันธ์ต่อสภาพอารมณ์และจิตใจจนกระทั่งเป็นเหตุให้มี อาการวิตกกังวล รู้สึกกลัว นอนไม่หลับ เกิดอาการชัก หรือมีอาการปวดอย่างเรื้อรัง การแก้ไขเหตุการณ์ดังกล่าวแพทย์ จะสั่งจ่ายยาในกลุ่ม กาบาเพนตินอยด์ ให้กับผู้ป่วยเพื่อช่วยบรรเทาอาการให้กลับมาเป็นปกติ กลุ่มยากาบาเพนตินอยด์มีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ทางคลินิกดังนี้ เช่น - รักษาโรคลมชัก - บำบัดภาวะปวดเรื้อรังที่รอยโรคเมื่ออาการโรคหายไปเช่นในโรค งูสวัด - รักษาอาการปวด กล้ามเนื้อ เอ็น และเนื้อเยื่ออ่อน - รักษาอาการวิตกกังวล - รักษากลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข อนึ่ง ในบางกรณี แพทย์อาจประยุกต์ใช้ยากาบาเพนตินอยด์ มารักษาอาการโรคต่อไปนี้คือ - โรคนอนไม่หลับ - โรคไมเกรน - อาการหวาดกลัวทางสังคม - โรคตื่นตระหนก - อาการคลุ้มคลั่ง - โรคอารมณ์สองขั้ว และ - โรคพิษสุราเรื้อรัง
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry,เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_42577
Finance
หุ้นกลุ่มกลางน้ำของกลุ่มเทคโนโลยี แบ่งคร่าวๆ ตามลักษณะธุรกิจได้อย่างไรบ้าง
หลายท่านอาจสงสัยว่า นี่จะวิกฤตหรือยัง และกำลัง งงงวย กับข่าวต่างๆ ที่ออกมาว่า ตลาดหุ้นตก เพราะผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลขึ้นไปสูงไวเกินที่ตลาดคาด และตลาดหุ้นเทคฯ “แพง” และ Trump tweet อะไรบ้าๆ ออกมา จึงเข้า Risk off Mode … ข่าวหรือความเห็นเหล่านั้น มันไม่ผิด แต่มันเป็น “ไก่กับไข่” เพราะแบบนั้นจึงแบบนี้ ไม่ได้บอกเราถึงสาเหตุที่แท้จริง สิ่งที่เป็นสัญญาณ เตือนเรามาตลอดในรอบนี้ มันไม่ใช่ yield curve .. อันนั้นตลาดรู้กันอยู่แล้ว และหุ้นไม่ได้ตกเพียงเพราะมันจะ inverted (เรื่องนี้หลายท่านยังเข้าใจไม่ถูก) และไม่ใช่ yield ขึ้นเร็วกว่าที่คาด เพราะที่วิ่งแรงๆ ปีนี้ มาจากความเชื่อว่าน้ำมันจะกลับมาแพง ส่งผลต่อ yield ค่อนข้างชัด …. สิ่งที่เป็นสัญญาณ ที่ดีมากคือ “ราคาสินทรัพย์” ของ Supply chain กลุ่มเทคโนโลยี ที่ระส่ำมาสักระยะแล้ว จนวันนี้ระเบิดออกมา เกิดอะไรขึ้นกับ Supply chain ของกลุ่มเทคโนโลยี? หุ้น Supply chain ของกลุ่มเทคโนโลยีตั้งแต่กลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำบางตัวได้ปรับตัวลงสวนทางกับดัชนีตั้งแต่ต้นปี จนมาวันนี้เทกระจาดพร้อมกันทั้งโลกไปเลย กลุ่มต้นน้ำหรือกลุ่มวัตถุดิบ เช่น แร่ลิเธียมและโคบอลต์ ทองแดง ได้ปรับตัวลงในไปแล้ว 20-40% หุ้นกลุ่มกลางน้ำในยุคนี้ แกนหลักของมันก็คือกลุ่ม Semiconductors นั่นเองครับ เพราะถูกใช้ในทุกอย่าง หุ้นกลุ่มกลางน้ำของกลุ่มเทคโนโลยีแบ่งคร่าวๆ ตามลักษณะธุรกิจได้ดังนี้ Fluid management (กลุ่มวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตชิพ): Ichor Holdings Equipment (กลุ่มอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตชิพ): Applied Materials Integrated device manufacturer (กลุ่มผู้ออกแบบ, ผลิต และขายผลิตภัณฑ์): Intel Corporation และ Western Digital Fabless (กลุ่มผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ ไม่ได้ผลิตเอง): Apple, AMD และ NVIDIA Foundry (กลุ่มรับผลิตอย่างเดียว ไม่ได้ออกแบบ): TSMC และ SMIC Testing and assembly (กลุ่มตรวจสอบและประกอบผลิตภัณฑ์): Amkor Technology และ Teradyne ตามภาพประกอบที่ 1 จะสังเกตได้ว่า 1) หุ้นกลางน้ำของกลุ่มเทคโนโลยีได้ปรับตัวลงเรื่อยๆ หลังทำระดับสูงสุดในช่วงเดือนมีนาคมทั้ง Ichor, Applied Materials, Amkor และ Western Digital ในขณะที่ Nasdaq ไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ 2) กลุ่มผู้ผลิตและผู้ขายสินค้าในช่วงปลายน้ำด้วย เช่น Intel ก็อ่อนตัวลงมาแม้ Nasdaq จะยังคงทำจุดสูงสุดใหม่ 3) ขณะที่กลุ่มปลายน้ำ เช่น กลุ่ม FAANG (ภาพประกอบที่ 2) ก็ยังเหลือเพียง Apple เท่านั้นที่ยังแกว่งอยู่ในช่วงระดับราคาสูงสุดในขณะที่เพื่อนๆ เริ่มปรับลงมาบ้างแล้ว ถ้าเรามองธุรกิจเทคโนโลยีทั้งกลุ่มเป็นก้อนเดียวกัน หากกลุ่มต้นน้ำ, กลางน้ำ และปลายน้ำ (บางตัว) ได้ออกอาการอ่อนแรง (มาก) ไปบางส่วนแล้ว จะเป็นการแสดงถึงอุปสงค์ (Demand) ของตลาดที่โตไม่ทันราคาของหุ้นหรือไม่ ซึ่ง Demand ที่มีปัญหาในตอนนี้หลักๆ จะเป็น Smartphone และเทคโนโลยีที่เก่าลง โดยเฉพาะในกลุ่ม storage เนื่องจากฝั่ง supply ปรับตัวตามไม่ทัน (โดยเฉพาะบ้านเรา) เท่านี้น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่นักลงทุนอย่างเราจะต้องเฝ้าระวังการปรับตัวของกลุ่มหุ้นที่ร้อนแรงแห่งปีนี้อย่างใกล้ชิด พูดง่ายๆ คือหากความต้องการจากผู้บริโภคของเทคปลายน้ำอย่างเช่น Tesla, Apple, Facebook, ยังมีการเติบโตอยู่ ก็ไม่ควรที่ supply chain จะมีอาการราวกับว่ายอดขายจะหายแบบโหดร้ายเช่นนี้ แต่ตอนนี้ทั้งฝั่งอเมริกาและจีน เรียกว่าตึงตัวสุดๆ ที่จะมีสมาชิกเพิ่ม ลองนึกดูว่า Facebook และ Tencent จะมีสมาชิกเพิ่ม จะต้องทำอย่างไร นอกจากเปิดตลาดจีนและตลาดโลก แลกหมัดกัน พูดถึงเรื่องนี้ก็จะมาถึงอนาคตที่มืดบอดลงของเทคอเมริกา เป็น Tech War กับ EU ซึ่งแน่นอนว่าเป็นข่าวร้ายกับทางอเมริกา ไว้มาเล่าต่อนะครับ ที่มาบทความ:
หุ้นกลุ่มกลางน้ำของกลุ่มเทคโนโลยี แบ่งคร่าวๆ ตามลักษณะธุรกิจได้ดังนี้ - Fluid management (กลุ่มวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตชิพ): Ichor Holdings - Equipment (กลุ่มอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตชิพ): Applied Materials - Integrated device manufacturer (กลุ่มผู้ออกแบบ, ผลิต และขายผลิตภัณฑ์): Intel Corporation และ Western Digital - Fabless (กลุ่มผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ ไม่ได้ผลิตเอง): Apple, AMD และ NVIDIA - Foundry (กลุ่มรับผลิตอย่างเดียว ไม่ได้ออกแบบ): TSMC และ SMIC - Testing and assembly (กลุ่มตรวจสอบและประกอบผลิตภัณฑ์): Amkor Technology และ Teradyne
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_24347
Medical
อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งปอด?
null
1. ระยะของโรค: ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือระยะของโรคเมื่อได้รับการวินิจฉัย ระยะเริ่มต้น: มะเร็งยังอยู่ในปอด ไม่ได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น โอกาสรอดชีวิต 5 ปี อยู่ที่ 50-60% ระยะกลาง: มะเร็งลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองข้างเคียง โอกาสรอดชีวิต 5 ปี อยู่ที่ 30-40% ระยะลุกลาม: มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น โอกาสรอดชีวิต 5 ปี น้อยกว่า 10% 2. ชนิดของมะเร็งปอด: มะเร็งปอดมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีความไวต่อการรักษาแตกต่างกัน มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก: มักโตเร็ว ตอบสนองต่อเคมีบำบัดได้ดี แต่มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่สูง มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก: โตช้า ตอบสนองต่อเคมีบำบัดได้น้อยกว่า แต่มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ต่ำ 3. สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย: ผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรง มีโอกาสรอดชีวิตหลังการรักษามากกว่าผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 4. การรักษา: การรักษาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับระยะของโรค ชนิดของมะเร็งปอด และสุขภาพของผู้ป่วย การผ่าตัด: เป็นวิธีรักษาหลักสำหรับมะเร็งปอดระยะเริ่มต้น เคมีบำบัด: ใช้ยาฆ่าเซลล์มะเร็ง เหมาะสำหรับมะเร็งปอดทุกระยะ รังสีรักษา: ใช้รังสีฆ่าเซลล์มะเร็ง เหมาะสำหรับมะเร็งปอดระยะเริ่มต้น หรือมะเร็งปอดที่ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองข้างเคียง การรักษาแบบมุ่งเป้า: ใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เหมาะสำหรับมะเร็งปอดที่มีการกลายพันธุ์ของยีน 5. ผลข้างเคียงจากการรักษา: ผลข้างเคียงจากการรักษา เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย 6. การติดตามผล: การติดตามผลหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อตรวจหาสัญญาanการกลับมาเป็นใหม่ของมะเร็ง
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_27132
Medical
อาการปวดคอที่เกิดจากภาวะข้อเสื่อม / ข้ออักเสบ มีสาเหตุมาจากอะไร?
ปวดคอ อาการปวดคอเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน เนื่องจากกิจกรรมของคนเราต้องทำในท่านั่ง ทำให้คอต้องทำหน้าที่รับน้ำหนักจากศีรษะตลอดทั้งวัน รวมทั้งคอยังเป็นอวัยวะที่สามารถเคลื่อนไหวได้หลายทิศทาง ทั้งก้ม เงย เอียง และหมุน ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้พบปัญหาปวดคอได้ 50% สาเหตุ ลักษณะท่าทางที่ไม่ถูกต้อง นั่งทำงานด้วยโต๊ะและเก้าอี้ที่ไม่ได้รัดับสัมพันธ์กับสรีระร่างกาย เอียงคอคุยโทรศัพท์เป็นเวลานาน ทำงาน / เล่นคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน นอนคว่ำหน้าเป็นประจำ หรือเงยคอทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน เป็นต้น ภาวะข้อเสื่อม / ข้ออักเสบ อาการข้อเสื่อมเป็นภาวะที่พบได้เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกและข้อต่อจะมีหินปูนมากพอหรือมีโรคข้อบางชนิด เช่น รูมาตอยด์ ก็อาจทำให้ปวดคอได้เช่นกัน ภาวะเครียดทางจิตใจ อาจมีสาเหตุจากหน้าที่การงาน ปัญหาเศรษฐกิจ ครอบครัว การพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น ซึ่งสาเหตุดังกล่าวทำให้กล้ามเนื้อคอหดเกร็งนานผิดปกติ มีอาการปวดคอและศีรษะแถวท้ายทอยได้ อุบัติเหตุบริเวณคอ ภาวะดังกล่าวทำให้คอต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เอ็นหรือกล้ามเนื้อต้องถูกยืดอย่างมากจนเกิดอาการฉีกขาด เกิดอาการปวดและกล้ามเนื้อหดเกร็งจนเคลื่อนไหวไม่ถนัด หรือถ้าเกิดอุบัติเหตุรุนแรงอาจมีกระดูกคอหักหรือเคลื่อนที่ได้ สาเหตุอื่นๆ เช่น มีกระดูกคอผิดปกติแต่กำเนิด สายตาผิดปกติ เป็นต้น อาการ ปวดตึงหรือตื้อบริเวณคอ อาจร้าวมาที่บ่า สะบักหรือแขน ในบางรายอาจมีอาการอ่อนแรงร่วมกับอาการชา เคลื่อนไหวคอได้น้อยลง การรักษา เมื่อมีอาการปวดคอควรหยุดพัก ประคบคอด้วยความร้อนหรือความเย็นประมาณ 10-20 นาที หรือใช้เครื่องพยุงคอหรือผ้าขนหนูม้วนที่หนาและยาวพอที่จะรับน้ำหนัก พันรอบคอไว้เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวและลดแรงกดจากน้ำหนักของศีรษะ อาจรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอลหรือแอสไพริน เป็นต้น ถ้าหากว่ารับประทานยา 5-7 วัน แล้วอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ การป้องกันการปวดคอ จัดท่าในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม เช่น ไม่นอนคว่ำเป็นประจำ ระวังและหลีกเลี่ยงอิริยาบถและท่าทางที่ต้องการก้มและเงยคอบ่อย ท่านอน ไม่ควรหนุนหมอนที่แข็งหรือนุ่มเกินไป ควรใช้หมอนหรองที่ใต้ต้นคอให้ใบหน้าขนานกับเตียงพอดี ท่าทางการทำงาน จัดโต๊ะทำงานและเก้าอี้ให้ได้ระดับสัมพันธ์กับสรีระร่างกาย โดยให้หลังพิงพนักเก้าอี้ กรณีใช้คอมพิวเตอร์ให้ปรับจอภาพให้อยู่ในระดับสายตา แขนแนบลำตัวและควรวางบนที่วางแขน และระดับเข่าต่ำกว่าระดับสะโพกเล็กน้อย และควรปรับเปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ เน้นให้แนวกระดูกสันหลังให้อยู่ในแนวตรงตลอด การบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น การบริหารกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น อาจทำภายหลังจากประคบอุ่น เนื่องจากความร้อนจะช่วยให้เนื้อเยื่อต่างๆ มีความยืดหยุ่นดีขึ้นและบรรเทาอาการปวดด้วย
อาการปวดคอที่เกิดจากภาวะข้อเสื่อม / ข้ออักเสบ มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ดังนี้: 1. การเสื่อมสภาพของกระดูกและข้อต่อ: เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกและข้อต่อในร่างกายจะมีการสึกหรอตามกาลเวลา โดยเฉพาะบริเวณคอที่มีการใช้งานหนัก กระดูกอ่อนที่หุ้มปลายกระดูก (กระดูกอ่อน) จะสึกหรอบางลง ทำให้กระดูกเสียดสีกัน ส่งผลให้เกิดการอักเสบและปวด 2. โรคข้ออักเสบ: โรคข้ออักเสบหลายชนิดสามารถส่งผลต่อข้อต่อบริเวณคอ เช่น โรครูมาตอยด์ โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน โรคเก๊าท์ โรคเหล่านี้ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุข้อต่อ ส่งผลให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน และการเคลื่อนไหวข้อจำกัด 3. พันธุกรรม: บุคคลที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคข้อเสื่อมหรือโรคข้ออักเสบ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเหล่านี้มากขึ้น 4. การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บที่คอ เช่น อุบัติเหตุ แรงกระแทก หรือการเคลื่อนไหวที่ผิดท่าทาง อาจทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่อและเอ็นรอบๆ คอ ส่งผลให้เกิดอาการปวด 5. อาชีพ: อาชีพที่ต้องก้ม เงย เอียง หรือหมุนคอซ้ำๆ เป็นเวลานาน เช่น ช่างตัดผม ช่างทำผม พนักงานออฟฟิศ นักกีฬา มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการปวดคอจากภาวะข้อเสื่อม / ข้ออักเสบมากกว่าบุคคลทั่วไป อาการ อาการปวดคอที่เกิดจากภาวะข้อเสื่อม / ข้ออักเสบ มักมีลักษณะดังนี้: ปวดตื้อหรือปวดเสียดบริเวณคอ อาจร้าวไปที่บ่า สะบัก หรือแขน อาการปวดมักจะ worse ในตอนเช้า หรือหลังจากนั่งนิ่งๆ เป็นเวลานาน รู้สึกตึงหรือฝืดขณะเคลื่อนไหวคอ มีเสียงดังกร๊อกกรากในข้อต่อคอ กล้ามเนื้อคอหดเกร็ง อาการปวดอาจรุนแรงจนนอนไม่หลับ การรักษา การรักษาอาการปวดคอที่เกิดจากภาวะข้อเสื่อม / ข้ออักเสบ มุ่งเน้นไปที่การลดอาการปวดและการอักเสบ ดังนี้: ยาแก้ปวด: ยาแก้ปวดที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ เช่น พาราเซตามอล หรือแอสไพริน อาจช่วยบรรเทาอาการปวดได้ ยาต้านการอักเสบ: ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน หรือเนโปรเฟน อาจช่วยลดอาการอักเสบและปวดได้ การประคบร้อนหรือเย็น: การประคบร้อนช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึง และการประคบเย็นช่วยลดอาการอักเสบ การกายภาพบำบัด: การกายภาพบำบัดช่วยยืดกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอ การฉีดยาสเตียรอยด์: ในกรณีที่มีอาการปวดรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดอาการอักเสบ การผ่าตัด: การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่นๆ
ออร์โธปิดิกส์ (ออร์โธปิดิกส์) - Orthopedics,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_15190
Medical
อะไรคือปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหนักทางอากาศไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดที่ปลอดภัยจากน้ำท่วม
null
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหนักทางอากาศไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดที่ปลอดภัยจากน้ำท่วม เป็นการตัดสินใจที่สำคัญและมีความเสี่ยงสูง ซึ่งต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้ 1. สภาพของผู้ป่วย: ความรุนแรงของโรค: ผู้ป่วยที่มีอาการป่วยหนัก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจล้มเหลว มีความเสี่ยงสูงต่ออันตรายจากแรงกดอากาศที่เปลี่ยนแปลง และการสั่นสะเทือนระหว่างการบิน ความมั่นคงของสัญญาณชีพ: ผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือเครื่องมือทางการแพทย์อื่นๆ จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และต้องมั่นใจว่าเครื่องมือเหล่านี้จะทำงานได้อย่างถูกต้อง ตลอดระยะเวลาการบิน ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ: ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือมีแผลติดเชื้อ มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเพิ่มเติม จากสภาพแวดล้อมในเครื่องบิน ความสามารถในการเคลื่อนที่: ผู้ป่วยที่ไม่สามารถนั่งหรือเคลื่อนที่ได้ จำเป็นต้องได้รับการดูแลพิเศษ และต้องมั่นใจว่าจะไม่เกิดอันตรายจากการเคลื่อนย้าย 2. สภาพอากาศ: สภาพอากาศที่ปลอดภัย: การบินควรดำเนินการในสภาพอากาศที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงสภาพอากาศเลวร้าย เช่น พายุฝนฟ้าคะนอง หรือความแปรปรวนของแรงกดอากาศ ระยะทางการบิน: ระยะทางการบินที่ยาวนาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการป่วยหนัก สนามบินปลายทาง: สนามบินปลายทางควรมีความพร้อมรองรับ และมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญรอรับผู้ป่วย 3. ทีมแพทย์และอุปกรณ์: ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: จำเป็นต้องมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่ผ่านการฝึกอบรมการดูแลผู้ป่วยหนักทางอากาศ และสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาการบิน อุปกรณ์ทางการแพทย์: จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ครบครัน และพร้อมใช้งานสำหรับกรณีฉุกเฉิน ระบบสื่อสาร: จำเป็นต้องมีระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เพื่อติดต่อกับทีมแพทย์บนพื้นดิน และรายงานสภาพของผู้ป่วย 4. อนุญาตจากแพทย์: แพทย์ผู้รับผิดชอบผู้ป่วย เป็นผู้ตัดสินใจว่าผู้ป่วยเหมาะสมที่จะเคลื่อนย้ายทางอากาศหรือไม่ แพทย์ต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพของผู้ป่วย ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และแผนการดูแลผู้ป่วยแก่ทีมแพทย์ผู้ดูแลบนเครื่องบิน 5. การประสานงาน: จำเป็นต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิด ระหว่างทีมแพทย์บนพื้นดิน ทีมแพทย์บนเครื่องบิน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเป็นไปอย่างราบรื่น และปลอดภัย 6. กฎหมายและข้อบังคับ: จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ
เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (emergency)
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_27596
Medical
จงสรุปเรื่อง ภาวะหมดไฟของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ให้ทีค่ะ
ภาวะหมดไฟของผู้ดูแลผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุ คือ บุคคลอันเป็นที่รักของทุกครอบครัว ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน ผู้สูงอายุของแต่ละบ้านก็ยังคงเป็นสมาชิกคนสำคัญที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ โดยเฉพาะผู้ใกล้ชิด หรือบุตรหลานซึ่งเป็นด่านแรกในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุ ในสังคมไทยผู้ดูแลผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัว ️ ดังนั้นเมื่อต้องกลายมาเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Caregiver) ควรต้องเตรียมตัวให้พร้อม และฝึกการคลายเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นอาจเกิดภาวะหมดไฟได้ ผู้ดูแล (Caregiver) มีประเภทใดบ้าง Caregiver หรือ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ จะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ Caregiver ที่ผ่านการอบรมอย่างเป็นทางการ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ Caregiver ที่ไม่ได้ผ่านการอบรม อาจจะเป็นญาติ หรือคนใกล้ชิดที่อาสาเข้ามาดูแลผู้สูงอายุ หรืออาจจะเป็น Caregiver ที่ทางญาติจ้างมา แต่ว่าอาจจะยังไม่ได้ผ่านการอบรมอย่างเป็นทางการ ปัญหาต่างๆ ของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ปัญหาด้านสุขภาพกาย เช่น ผู้สูงอายุมีน้ำหนักตัวมาก แต่ผู้ดูแลมีน้ำหนักตัวน้อย หากต้องมีการยก การเคลื่อนย้ายตลอดเวลา Caregiver ก็จะมีปัญหา เช่น ปวดหลัง และอาจจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดูแลคนไข้ ปัญหาด้านสุขภาพใจ เช่น การทำงานที่เครียด ต้องอยู่กับคนไข้ตลอด 24 ชั่วโมง เวลาเห็นผู้สูงอายุเจ็บป่วยแล้วก็จะส่งผลต่อความเครียด และอาจจะมีปัญหาด้านสุขภาวะในการนอนด้วย เพราะต้องลุกตื่นขึ้นมาดูคนไข้ไม่เป็นเวลา ที่นอนอาจจะไม่ได้สุขสบายเหมือนนอนที่บ้าน ถ้าพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อความเครียด มีปัญหาการนอนไม่หลับ ถ้าผู้ดูแลสุขภาพไม่ดี ทั้งสุขภาพกายและใจก็จะทำให้สุขภาพกายและใจของผู้สูงอายุแย่ลงไปด้วย ภาวะหมดไฟของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ปัญหาด้านอารมณ์ของผู้ดูแล หรือเรียกเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า "ภาวะหมดไฟ" เนื่องจากว่าภาวะนี้เกิดจากความเครียดสะสม ลองจินตนาการว่าเราดูแลผู้สูงอายุคนหนึ่งที่มีโรคประจำตัวและต้องดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน หากผู้สูงอายุมีอาการแย่ลงทั้งๆ ที่เราทำเต็มที่แล้ว บางครั้งก็จะส่งผลกระทบทางด้านอารมณ์ขอผู้ดูแลพอสมควร ทำให้คนเหล่านี้เกิดภาวะหมดไฟ คือจะมีอาการเหมือนซึมเศร้า รู้สึกว่าเบื่อหน่ายกับงานที่ทำ และจะส่งผลเสียทางตรงกับคนไข้ด้วย วิธีการสังเกตภาวะหมดไฟ อันดับแรก คือต้องรู้ตัวก่อนว่าเราอยู่ในภาวะนั้นหรือยัง ลองสังเกตดูว่า สิ่งที่ทำอยู่หรือที่เคยอยากทำ กลับเป็นไม่ชอบเลยรู้สึกหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย สมาธิเริ่มไม่ดี นี่ก็เป็นสัญญาณของการเริ่มมีภาวะหมดไฟแล้ว หรือการเริ่มมีปัญหาเรื่องการกิน การนอน บางคนกินได้น้อยลงหรือบางคนกินมากขึ้นผิดปกติ บางคนก็นอนได้น้อยลงหรือนอนมากขึ้นผิดปกติ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าเริ่มมีภาวะหมดไฟแล้ว หากรู้สึกหมดไฟให้รีบปรึกษาแพทย์ สำหรับผู้ดูแล ถ้าเริ่มสังเกตว่าตัวเองมีปัญหา ไม่ว่าปัญหาสุขภาพกายหรือสุขภาพใจก็ตาม สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่คลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลนครธน ซึ่งนอกจากการดูแลผู้ป่วยสูงอายุแล้ว ในบางกรณีผู้ดูแลก็ต้องมาเข้าร่วมการรักษาด้วย เนื่องจากมีภาวะการเจ็บป่วยทางกายและทางใจซ่อนอยู่ ซึ่งการรักษาพร้อมกันทั้งผู้สูงอายุและผู้ดูแล อาจจะส่งผลดีต่อการรักษา ส่งกำลังใจให้ผู้ดูแลผู้สูงอายุทุกคน ขอให้กำลังใจคนที่ทำหน้าที่ผู้ดูแลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะหลายคนที่เป็นญาติใกล้ชิดของผู้สูงอายุ ท่านเป็นกำลังสำคัญในการดูแลคนไข้ และเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้คนไข้ดีขึ้น ถ้าร่างกายเราฟ้องตัวเองว่าไม่ไหวแล้ว ทั้งทางกายหรือจิตใจ ขอให้ผู้ดูแลบอกต่อญาติคนอื่น เพื่อหยุดพัก การหยุดพักไม่ใช่ว่าจะไม่ทำตามหน้าที่หรือบกพร่องต่อหน้าที่แต่อย่างใด แต่เป็นการซ่อมจิตใจตัวเองเพื่อให้เราเตรียมพร้อม จะได้กลับมาดูแลคนไข้ใหม่ให้เต็มที่ การที่เรามีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดีและแข็งแรงก็จะส่งผลทางตรงต่อผู้ป่วย ถ้าเรามีสุขภาพร่างกายและจิตใจดีเมื่อไหร่ สุขภาพของคนไข้ก็จะดีตามอย่างแน่นอน
ผู้สูงอายุคือบุคคลอันเป็นที่รักของทุกครอบครัว ในสังคมไทยผู้ดูแลผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัว เป็นผู้ใกล้ชิดหรือบุตรหลานและจะเป็นด่านแรกในการรับมือในการดูแลผู้สูงอายุ เราควรต้องเตรียมตัวให้พร้อม และฝึกการคลายเครียด เพื่อที่จะไม่เจอภาวะการหมดไฟได้ 1.ผู้ดูแล -แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ผู้ที่ผ่านการอบรมอย่างเป็นทางการ และ ผู้ที่ไม่ได้ผ่านการอบรม ซึ่งเป็นญาติ ลูกหลาน 2.ปัญหาของการดูแลผู้สูงอายุ -ปัญหาด้านสุขภาพกาย เช่น ผู้สูงอายุมีน้ำหนักตัวมาก มีปัญหาในการเคลื่อนย้าย ปัญหาด้านสุขภาพใจ เช่นการที่ต้องอยู่ด้วยตลอด 24 ชม. อาจจะมีปัญหาด้านสุขภาวะในการนอนด้วย เพราะต้องลุกตื่นขึ้นมาดูคนไข้ไม่เป็นเวลา 3.ภาวะหมดไฟของผู้ดูแลผู้สูงอายุ -เกิดจากความเครียดสะสม หากผู้สูงอายุมีอาการแย่ลงทั้งๆ ที่เราทำเต็มที่แล้ว บางครั้งก็จะส่งผลกระทบทางด้านอารมณ์ขอผู้ดูแลพอสมควร ทำให้คนเหล่านี้เกิดภาวะหมดไฟ คือจะมีอาการเหมือนซึมเศร้า รู้สึกว่าเบื่อหน่ายกับงานที่ทำ 4.วิธีสังเกตุภาวะหมดไฟ -ลองสังเกตดูว่า สิ่งที่ทำอยู่หรือที่เคยอยากทำ กลับเป็นไม่ชอบเลยรู้สึกหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย สมาธิเริ่มไม่ดี นี่ก็เป็นสัญญาณของการเริ่มมีภาวะหมดไฟ เริ่มมีปัญหาเรื่องการกิน การนอน 5.หากรู้สึกหมดไฟให้รีบปรึกษาแพทย์ -ในบางกรณีผู้ดูแลก็ต้องมาเข้าร่วมการรักษาด้วย เนื่องจากมีภาวะการเจ็บป่วยทางกายและทางใจซ่อนอยู่ ซึ่งการรักษาพร้อมกันทั้งผู้สูงอายุและผู้ดูแล อาจจะส่งผลดีต่อการรักษา การหยุดพักไม่ใช่ว่าจะไม่ทำตามหน้าที่หรือบกพร่องต่อหน้าที่แต่อย่างใด แต่เป็นการซ่อมจิตใจตัวเองเพื่อให้เราเตรียมพร้อม จะได้กลับมาดูแลคนไข้ใหม่ให้เต็มที่ การที่เรามีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดีและแข็งแรงก็จะส่งผลทางตรงต่อผู้ป่วย เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Summarization
cc-by-nc-4.0
Legal_5501
Legal
จากการสำรวจความคิดเห็นโดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จากกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ในองค์กรชั้นนำ 29 แห่ง จำนวน 65 คน ในหัวข้อ “ความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ช่วงระหว่างวันที่ 13-20 มีนาคม 2558 นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละเท่าไร เห็นว่าการยกเว้นภาษีสำหรับที่มีที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทยังไม่เหมาะสม
โพลล์ชี้นักเศรษฐศาสตร์เห็นด้วยกับการเก็บภาษีที่ดิน ​ โพลล์เผยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวคิดจัดเก็บภาษีที่ดิน โดยสนอให้เริ่มจัดเก็บจากบ้านที่มีราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป แต่ยังไม่เชื่อว่าภาษีดังกล่าวจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้จริง จากการสำรวจความคิดเห็นโดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จากกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ในองค์กรชั้นนำ 29 แห่ง จำนวน 65 คน ในหัวข้อ “ความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ช่วงระหว่างวันที่ 13-20 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา พบว่านักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 58.5 เห็นด้วยกับแนวคิดการจัดเก็บภาษีฯ ดังกล่าว เนื่องจากเชื่อว่าเป็นเครื่องมือที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้บ้าง ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์อีกร้อยละ 20.0 ไม่เห็นด้วยกับการจัดเก็บภาษีดังกล่าว โดยมองว่าควรเน้นเก็บภาษีเฉพาะกับผู้มีที่ดินจำนวนมากและไม่ได้ใช้ประโยชน์ รวมไปถึงผู้มีบ้านราคาแพงๆ สำหรับการยกเว้นภาษีนั้น นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 55.4 เห็นว่าการยกเว้นภาษีสำหรับที่มีที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทนั้นยังไม่เหมาะสม ควรยกเว้นในระดับที่สูงกว่านี้ เช่น ไม่เกิน 3 ล้านบาท แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์ถึงร้อยละ 33.8 ที่เห็นว่าการยกเว้นดังกล่าวเหมาะสมแล้ว ในส่วนของอัตราภาษีที่อยู่อาศัยที่จัดเก็บ นักเศรษฐศาสตร์กว่าร้อยละ 55 เห็นว่าการจัดเก็บในอัตรา 0.1% ของราคาประเมินนั้นเหมาะสมแล้ว แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 17 ที่เห็นว่าควรใช้อัตราการจัดเก็บแบบก้าวหน้า สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินเกษตรกรรมในอัตรา 0.05% ของราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 41.5 ไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าเป็นอัตราที่สูงเกินไป เพราะเกษตรกรมีรายได้ไม่แน่นอนและได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่ลดลง ดังนั้น การเรียกเก็บภาษีจะเป็นการสร้างต้นทุนและภาระให้กับเกษตรกร แต่ควรมีมาตรการกับนายทุนหรือผู้ที่ไม่ใช่เกษตรกรตัวจริง ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 56.9 มองว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่ได้ช่วยลดการซื้อขายที่ดินเพื่อเก็งกำไร, ร้อยละ 50.8 เห็นว่าภาษีดังกล่าวไม่ช่วยสร้างความเป็นธรรมหรือลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้อย่างมีนัยสำคัญ และร้อยละ 32.3 เห็นว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่คนในท้องถิ่นจ่ายเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นไม่มีส่วนทำให้การเมืองท้องถิ่นมีการพัฒนาดีขึ้นกว่าเดิม คำนวณสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทั้งวงเงินกู้ การผ่อนชำระรายเดือนและสินเชื่อรีไฟแนนซ์ได้ที่นี่ อ่านบทความอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เทคนิคเลือกดอกเบี้ยบ้านให้ดีต่อใจ เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ araya@ddproperty.com “หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการซื้อบ้าน คู่มือซื้อขาย สามารถเป็นตัวช่วยตอบได้ทุกคำถาม พร้อมบอกรายละเอียดการคำนวณสินเชื่อบ้านให้คุณตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น”
จากการสำรวจความคิดเห็นโดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จากกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ในองค์กรชั้นนำ 29 แห่ง จำนวน 65 คน ในหัวข้อ “ความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ช่วงระหว่างวันที่ 13-20 มีนาคม 2558 พบว่านักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 58.5 เห็นด้วยกับแนวคิดการจัดเก็บภาษีฯ ดังกล่าว เนื่องจากเชื่อว่าเป็นเครื่องมือที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้บ้าง ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์อีกร้อยละ 20.0 ไม่เห็นด้วยกับการจัดเก็บภาษีดังกล่าว โดยมองว่าควรเน้นเก็บภาษีเฉพาะกับผู้มีที่ดินจำนวนมากและไม่ได้ใช้ประโยชน์ รวมไปถึงผู้มีบ้านราคาแพงๆ สำหรับการยกเว้นภาษีนั้น นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 55.4 เห็นว่าการยกเว้นภาษีสำหรับที่มีที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทนั้นยังไม่เหมาะสม ควรยกเว้นในระดับที่สูงกว่านี้ เช่น ไม่เกิน 3 ล้านบาท แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์ถึงร้อยละ 33.8 ที่เห็นว่าการยกเว้นดังกล่าวเหมาะสมแล้ว ในส่วนของอัตราภาษีที่อยู่อาศัยที่จัดเก็บ นักเศรษฐศาสตร์กว่าร้อยละ 55 เห็นว่าการจัดเก็บในอัตรา 0.1% ของราคาประเมินนั้นเหมาะสมแล้ว แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 17 ที่เห็นว่าควรใช้อัตราการจัดเก็บแบบก้าวหน้า สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินเกษตรกรรมในอัตรา 0.05% ของราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 41.5 ไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าเป็นอัตราที่สูงเกินไป เพราะเกษตรกรมีรายได้ไม่แน่นอนและได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่ลดลง ดังนั้น การเรียกเก็บภาษีจะเป็นการสร้างต้นทุนและภาระให้กับเกษตรกร แต่ควรมีมาตรการกับนายทุนหรือผู้ที่ไม่ใช่เกษตรกรตัวจริง
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายที่ดิน,กฎหมายอสังหาริมทรัพย์,กฎหมายภาษี,ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_22902
Medical
ข้อใดถือเป็นการเล่นที่เด็กตกอยู่ในภาวะผู้รับ (passive) แต่ฝ่ายเดียว
a. การที่เด็กนั่งดูทีวี เล่นวิดิโอเกมส์ หรือเล่นเกมส์จากมือถือ b. การออกไปวิ่งไล่จับผีเสื้อ หรือ แมลงปอ c. การออกไปช่วยพ่อแม่ปลูกต้นไม้ d. การสร้างหรือประดิษฐ์เครื่องบินจำลองด้วยตัวเอง
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ a. เนื่องจาก สมองของเด็กนั้น จะได้รับการฝึกจากการเล่นที่ถูกต้อง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการเล่นจะช่วยสร้างจุดประสานประสาท (synapse) ซึ่งเชื่อมเซลล์สมอง ทำให้สับสวิตซ์ได้เร็วและสื่อดี ของเล่นของเด็กสมัยนี้คือ โทรทัศน์และวิดีโอเกม เด็กจ้องแต่จอสี่เหลี่ยม ไม่ค่อยออกไปเล่นนอกบ้าน แม้ในยามที่อากาศสดชื่น ของเล่นของเด็กสมัยนี้เป็นการเล่นข้างเดียว จนไม่น่าเรียกว่า การเล่น เด็กตกอยู่ในภาวะผู้รับ (passive) แต่ฝ่ายเดียว จึงไม่เกิดจินตนาการสร้างสรรค์หรือความคิดใหม่ ๆ แล้วสมองจะพัฒนาได้อย่างไรกัน เด็กที่โตขึ้นมากับการเล่นในลักษณะ “ถูกกระทำ” (passive) เช่นนี้ อนาคตจะเป็นอย่างไร เมื่อเขาเข้าโรงเรียนย่อมมีการสอบ หากข้อสอบที่ออกมาสามารถตอบได้ด้วยคำตอบสำเร็จรูปจากการท่องจำ เขาก็ทำได้แต่เมื่อใดที่ข้อสอบมีการพลิกแพลงเพียงเล็กน้อย เขาก็จนปัญญา เพราะไม่รู้จักวิธีการคิดด้วยตนเองเลย คนประเภทนี้เมื่อเติบโตขึ้นและออกมาสู่สังคมของผู้ใหญ่ ย่อมคิดทำอะไรด้วยตนเองไม่ได้เช่นกัน
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_144
Finance
จงแต่งเรื่องสั้น "ESG กองทุนรักษ์โลก"
null
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งคุณมาลี เจ้าของหมู่บ้านแห่งนี้เป็นคนที่ชอบลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ เธอรู้สึกเบื่อจึงได้เข้าไปถามคุณมารตีซึ่งเป็นผู้ลงทุนในกองทุนรักษ์โลก มาลี : มารตี ฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษาหนะ มารตี : ได้สิ มีอะไรเหรอ มาลี : ฉันเริ่มเบื่อกับการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แล้ว เธอมีกองทุนอะไรใหม่ๆ อยากนำเสนอให้ฉันไหม มารตี : เธอลงมาลงทุนกับกองทุนรักษ์โลกดูสิ มาลี : แล้วมันดีกว่ากองทุนอื่นๆ ยังไงเหรอ มารตี : กองทุนรักษ์โลกให้ผลตอบแทนดีกว่ากองทุนอื่นๆ ถ้าให้คุณประโยชน์กับบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผ่านกำลังขับเคลื่อน 4 ด้าน คือ ภาครัฐ การพัฒนาด้านเทคโนโลยี ผู้บริโภค และนักลงทุนไงล่ะ มาลี : โห มันดีขนาดนี้เลยเหรอ งั้นฉันขอให้เธอช่วยอีกแรงในการลงทุนในกองทุนนี้ด้วยนะ ฉันเริ่มสนใจแล้วแหละ มารตี : ยินดีไม่มีปัญหาจ้า กองทุนรักษ์โลก ESG: Environmental Social and Governance มี Theme ลงทุน 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. Solution Provider เป็นผู้ผลิตสินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือส่งเสริมการประหยัดพลังงานหรือใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ลดการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 2. Transition Candidate หรือกลุ่มผู้บริโภคที่ช่วยส่งเสริมการใช้สินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือส่งเสริมการประหยัดพลังงาน คนกลุ่มนี้เป็นปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานทดแทน หรือใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต้องมาจากทุกภาคส่วนร่วมกัน ไม่ได้เกิดจากคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ผลตอบแทนที่แตกต่างกันระหว่างบริษัทที่ใส่ใจกับไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นั้น จะชัดเจนเมื่อมีการให้คุณประโยชน์กับบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และให้(บทลง)โทษกับบริษัทที่ยังไม่ใส่ใจ จะทำให้เห็นความแตกต่างกันมากขึ้น และมากจากกำลังขับเคลื่อน 4 ด้าน นั่นคือ 1) ภาครัฐ (Government) จะออกนโยบายส่งเสริมให้บริษัทใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผ่านการยกเว้นภาษี หรือเสียภาษีในอัตราที่ถูกกว่า ซึ่งจากการประชุม COP26 ที่มีประเทศร่วมพันธสัญญากว่า 200 ประเทศ รวมถึงประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จีน ตกลงร่วมกันเรื่องการใช้พลังงานสะอาด และลดการปล่อยและเพิ่มการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เรียกกันว่า Net Zero 2) การพัฒนาด้านเทคโนโลยี (Technology) จะทำให้เกิดการประหยัดพลังงาน หรือการใช้อย่างมีประสิทธิภาพและต้นทุนถูกลงได้ 3) ผู้บริโภค (Consumer) หากใส่ใจ Theme รักษ์โลก และเน้นบริโภคสินค้าและบริการจากบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม จะเป็นแรงผลักดันที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ 4) นักลงทุน (Investor) ที่จะเน้นลงทุนในบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเลือกที่จะไม่ลงทุนในบริษัทที่ไม่มี หรือมีความใส่ใจแต่ไม่มากพอ ทำให้ราคาหุ้นหรือผลประกอบการดีขึ้น ซึ่งการประสานกันของ 4 กำลังขับเคลื่อนจะเป็นตัวทำให้เกิดความแตกต่าง ระหว่าง บริษัทที่ทำ กับ ไม่ทำ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Legal_6156
Legal
ช่วยสรุปให้หน่อยว่า "สามีภริยาไม่ได้จดทะเบียนสมรสมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกฝ่ายที่เสียชีวิตหรือไม่"
สามีหรือภริยาที่อยู่กินด้วยกันไม่ได้จดทะเบียนสมรส หากมีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันตามกฎหมายถือว่าเป็นเจ้าของรวมของสามีภริยานั้น สามีหรือภริยานั้นจึงถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์ดังกล่าว หากฝ่ายใดเสียชีวิตลงอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกของอีกฝ่ายได้ แต่ถ้าระหว่างอยู่กินกัน ไม่มีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน ก็ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2510/2545 ผู้ร้องมิใช่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย แต่ผู้ตายได้ที่ดินมาหลังจากอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับผู้ร้องและไม่ปรากฏว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการให้โดยเสน่หา ที่ดินจึงเป็นทรัพย์สินที่ผู้ตายและผู้ร้องเป็นเจ้าของร่วมกัน ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5603/2534 การที่ผู้คัดค้านอ้างว่าผู้คัดค้านเป็นภริยาของเจ้ามรดกโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่อยู่กินด้วยกันและมีทรัพย์สินร่วมด้วยบางรายการ ถือว่าผู้คัดค้านเป็นผู้มีส่วนได้เสียชอบที่จะยื่นคำคัดค้านการที่ผู้ร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกได้ หากพินัยกรรมทำขึ้นขณะผู้ตายล้มป่วยหนักสติสัมปชัญญะไม่สมประกอบ ดังคำคัดค้านผู้ร้องย่อมไม่มีอำนาจร้องต่อศาลขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมได้ จึงจำต้องวินิจฉัยถึงความสมบูรณ์ของพินัยกรรม เมื่อพินัยกรรมสมบูรณ์ตามกฎหมาย การที่ผู้คัดค้านไม่ได้รับมรดกตามพินัยกรรมเลย และตามพินัยกรรมเจ้ามรดกมีเจตนาที่จะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือเสมือนไร้ความสามารถและไม่เป็นบุคคลล้มละลาย จึงสมควรเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย. (วรรคแรกและวรรคสอง วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12734/2558 แม้ที่ดินและหุ้นจะได้มาในระหว่างโจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ตาย แต่เมื่อโจทก์กับผู้ตายไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ที่ดินและหุ้นดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส อันจะถือเป็นสินสมรส ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1474 (1) แม้ศาลจะมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายก็ฟังข้อเท็จจริงเพียงว่า เมื่อโจทก์เป็นภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย โจทก์อาจมีสิทธิเป็นเจ้าของร่วมกันในทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกับผู้ตายจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะขอตั้งผู้จัดการมรดกได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงในเรื่องการมีส่วนได้เสียเพียงเพื่อวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและควรตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่เท่านั้น แต่ไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าที่ดินและหุ้นที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งในคดีนี้เป็นทรัพย์สินที่โจทก์ร่วมทำมาหาได้กับผู้ตายหรือไม่ คำพิพากษาคดีดังกล่าวจึงไม่ผูกพันคู่ความให้ต้องรับฟังว่าที่ดินและหุ้นที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งในคดีนี้เป็นทรัพย์สินที่โจทก์ทำมาหาได้ร่วมกับผู้ตายและโจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกึ่งหนึ่ง แต่หากไม่มีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันเลยก็ไม่มีสิทธิ์ร้องจีดการมรดก เพราะไม่ถือว่ามีส่วนได้เสีย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3707/2537 ผู้ร้องทั้งสองเป็นบิดามารดาของผู้ตาย ส่วนผู้คัดค้านที่ 1เป็นบุตรของผู้ตายกับผู้คัดค้านที่ 2 ผู้ตายกับผู้คัดค้านที่ 2อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและได้ร้างกันในเวลาต่อมาโดยตาย กับผู้คัดค้านที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินร่วมกันจากนั้นผู้ตายถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลได้รับเงินรางวัลและผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง, ส.,ล., จ. และตั้งให้ผู้ร้องทั้งสองหรือคนใดคนหนึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ดังนี้ ผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินร่วมกันกับผู้ตาย ไม่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย จึงไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในอันที่จะร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้
สามีภริยาที่อยู่กินด้วยกันไม่ได้จดทะเบียนสมรส หากมีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันตามกฎหมายถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2510/2545 ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5603/2534 ในกรณีที่ฝ่ายใดเสียชีวิต ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ให้ หากอยู่กินด้วยกันและมีทรัพย์สินร่วมด้วยบางรายการ ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย สามารถมีสิทธิ์จะยื่นคำคัดค้านการที่มีผู้ร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกได้ แต่ในกรณีที่ดินและหุ้นได้มาในระหว่างโจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ตาย แต่เมื่อโจทก์กับผู้ตายไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ที่ดินและหุ้นดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12734/2558 เป็นการรับฟังข้อเท็จจริง เพื่อวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและควรตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการวินิจฉัยว่าที่ดินและหุ้นที่โจทก์ฟ้องเป็นสินทรัพย์ที่ทำร่วมกันมาหรือไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3707/2537 อยู่กินกันมา ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และได้หย่าร้างกันในเวลาต่อมา ไม่มีทรัพย์สินร่วมกัน จากนั้นผู้ตายมีทรัพย์สินเพิ่ม ถ้าไม่ได้ระบุในพินัยกรรม อีกฝ่ายจะมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายมรดก,คำพิพากษาศาลฎีกา
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_43941
Finance
บริษัทบ้านปู เพาเวอร์ มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อตอบสนองต่อเมกะเทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อม ข้อใดคือเหตุผลทางการเงินที่สนับสนุนการลงทุนดังกล่าวมากที่สุด?
1. โอกาสในการเติบโตของตลาด: ตลาดพลังงานหมุนเวียนมีอัตราการเติบโตสูง คาดการณ์ว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต การลงทุนในธุรกิจนี้จึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง 2. ภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร: การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ดึงดูดนักลงทุนและลูกค้า 3. ความเสี่ยงทางการเงินที่ลดลง: พลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งพลังงานที่ยั่งยืน ไม่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีราคาผันผวน การลงทุนในธุรกิจนี้จึงช่วยลดความเสี่ยงด้านราคาวัตถุดิบ 4. นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ: หลายประเทศมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การรับซื้อไฟฟ้าในราคาสูง การลงทุนในธุรกิจนี้จึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนพิเศษจากภาครัฐ
คำตอบได้แก่ 1. เนื่องจาก ย้ำถึงเมกะเทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ผู้บริโภคและองค์กรหันมาใช้พลังงานที่สะอาดมากขึ้น บ้านปู เพาเวอร์ ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน แสดงถึงความมั่นใจในศักยภาพของตลาด ตัวเลือกอื่นๆ แม้จะเป็นเหตุผลสนับสนุนการลงทุน แต่ไม่ได้รับการเน้นย้ำในบทความเท่ากับโอกาสในการเติบโตของตลาด ตัวเลือกอื่นๆ: ความเสี่ยงทางการเงินที่ลดลง: แม้ว่าพลังงานหมุนเวียนจะช่วยลดความเสี่ยงด้านราคาวัตถุดิบ แต่บทความไม่ได้เน้นย้ำถึงประเด็นนี้มากนัก ภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร: การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนสร้างภาพลักษณ์ที่ดี แต่บทความไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากเท่าโอกาสทางการเงิน นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ: นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่บทความไม่ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนโยบายเหล่านี้มากนัก สรุป: การลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของบ้านปู เพาเวอร์ มีแรงจูงใจหลักมาจากโอกาสในการเติบโตของตลาดพลังงานหมุนเวียนที่มีศักยภาพสูง การลงทุนนี้ช่วยให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้า เพิ่มรายได้ และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_40269
Finance
ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนแบบนี้ กลยุทธ์การลงทุนแบบ Core&Satellite เหมาะสมกับนักลงทุนทุกรูปแบบหรือไม่? อธิบาย reasoning เบื้องหลัง พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ
null
กลยุทธ์การลงทุนแบบ Core&Satellite นั้น เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มั่นคง เติบโตอย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงโดยรวม โดยกลยุทธ์นี้แบ่งพอร์ตการลงทุนออกเป็น 2 ส่วนหลัก: 1. Core: เป็นส่วนหลักของพอร์ต เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ เหมาะกับการลงทุนระยะยาว มุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ตัวอย่างสินทรัพย์ในส่วน Core ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ กองทุนรวมตราสารหนี้ ทองคำ 2. Satellite: เป็นส่วนเสริมของพอร์ต เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง เหมาะกับการลงทุนระยะสั้น มุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด ตัวอย่างสินทรัพย์ในส่วน Satellite ได้แก่ หุ้น กองทุนรวมหุ้น Cryptocurrency ข้อดีของกลยุทธ์ Core&Satellite: กระจายความเสี่ยง: ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต เพราะมีการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท สร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ: ส่วน Core ช่วยสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ช่วยให้พอร์ตมีเสถียรภาพ โอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูง: ส่วน Satellite ช่วยสร้างโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ Core&Satellite อาจไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกรูปแบบ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจเลือกใช้กลยุทธ์นี้: เป้าหมายการลงทุน: นักลงทุนควรมีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ระยะเวลาในการลงทุน และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ความรู้และประสบการณ์: กลยุทธ์ Core&Satellite จำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการลงทุน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน เวลา: กลยุทธ์นี้ต้องการเวลาในการติดตามผล ปรับสัดส่วนการลงทุน และ rebalance พอร์ต ตัวอย่าง: นักลงทุนที่มีอายุ 30 ปี ต้องการลงทุนเพื่อเกษียณอายุ มีระยะเวลาลงทุน 30 ปี รับความเสี่ยงได้ปานกลาง สามารถเลือกใช้กลยุทธ์ Core&Satellite โดยจัดสัดส่วนการลงทุนดังนี้: Core: 70% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ กองทุนรวมตราสารหนี้ Satellite: 30% ลงทุนในหุ้น กองทุนรวมหุ้น นักลงทุนควรติดตามผลการลงทุน ปรับสัดส่วนการลงทุน และ rebalance พอร์ตเป็นประจำ เช่น ทุกปีหรือทุกไตรมาส สรุป: กลยุทธ์ Core&Satellite เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มั่นคง เติบโตอย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงโดยรวม อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ก่อนตัดสินใจเลือกใช้กลยุทธ์นี้
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_40443
Finance
การรวมหนี้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้กับลูกค้าเสมอหรือไม่?
null
ไม่เสมอไป เหตุผล อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อใหม่: แม้ว่าการรวมหนี้จะช่วยให้ลูกค้ามีหนี้เพียงแหล่งเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อใหม่จะต่ำกว่าสินเชื่อเดิมเสมอไป ลูกค้าควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินต่างๆ ก่อนตัดสินใจ หากอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อใหม่สูงกว่าสินเชื่อเดิม การรวมหนี้จะทำให้ภาระดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น ค่าธรรมเนียม: การรวมหนี้มักมีค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการสมัคร ค่าธรรมเนียมการประเมินหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้า ลูกค้าควรคำนวณค่าธรรมเนียมทั้งหมดให้ดีก่อนตัดสินใจ เพื่อดูว่าการรวมหนี้คุ้มค่าหรือไม่ ระยะเวลาการผ่อนชำระ: การรวมหนี้มักทำให้ระยะเวลาการผ่อนชำระยาวนานขึ้น แม้ว่าลูกค้าจะจ่ายดอกเบี้ยต่องวดน้อยลง แต่ลูกค้าจะจ่ายดอกเบี้ยรวมทั้งหมดมากกว่าสินเชื่อเดิม ลูกค้าควรพิจารณาว่าสามารถผ่อนชำระหนี้ระยะยาวได้หรือไม่ ตัวอย่าง นาย A มีหนี้บัตรเครดิต 2 ใบ มียอดคงเหลือรวมกัน 100,000 บาท นาย A จ่ายดอกเบี้ยบัตรเครดิตเฉลี่ย 18% ต่อปี นาย A ต้องการรวมหนี้กับธนาคาร ธนาคารเสนอสินเชื่อรวมหนี้ให้กับนาย A วงเงิน 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระ 5 ปี คำนวณดอกเบี้ยที่นาย A ต้องจ่าย: - สินเชื่อเดิม: ดอกเบี้ยที่นาย A ต้องจ่ายต่อปี = (100,000 บาท x 18%) = 18,000 บาท ดอกเบี้ยที่นาย A ต้องจ่ายรวม 5 ปี = (18,000 บาท/ปี x 5 ปี) = 90,000 บาท - สินเชื่อใหม่: ดอกเบี้ยที่นาย A ต้องจ่ายต่อปี = (100,000 บาท x 15%) = 15,000 บาท ดอกเบี้ยที่นาย A ต้องจ่ายรวม 5 ปี = (15,000 บาท/ปี x 5 ปี) = 75,000 บาท สรุป: นาย A ประหยัดดอกเบี้ย 15,000 บาท (90,000 - 75,000) การรวมหนี้ช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้กับนาย A อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างนี้เป็นเพียงตัวอย่าง ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสินเชื่อแต่ละประเภท ลูกค้าควรศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบเงื่อนไขต่างๆ ก่อนตัดสินใจ ข้อควรระวัง การรวมหนี้ไม่ใช่ทางออกสำหรับทุกคน ลูกค้าควรพิจารณาสถานะทางการเงินของตัวเองอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ ลูกค้าควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการจัดการหนี้ที่ดีที่สุด
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Legal_5522
Legal
สัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ที่มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 มีส่วนใดบ้างที่เอื้อต่อประโยชน์ของผู้เช่ามากขึ้น
สัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ กับ 17 สิ่งที่ผู้เช่าควรรู้ ​ สัญญาเช่าบ้าน หรือสัญญาเช่า เป็นกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 กฏหมายฉบับนี้จะมีผลอย่างไรต่อผู้เช่าบ้าง มาไล่เรียงกันดูไปพร้อม ๆ กันครับ รวมกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ ซื้อ-ขาย-เช่า ที่คุณควรรู้ ย้อนอดีตกฎหมายเช่า เอื้อผู้ให้เช่ามากเกินไป ผมขอย้อนอดีตกันสักนิดนะครับ แต่เดิมการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นการให้เช่ารายย่อย หรือรายใหญ่ชนิดที่เป็นการประกอบธุรกิจ เช่น อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 4 มาตรา 537 ถึงมาตรา 571 โดยมีพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจที่ว่า “คู่สัญญาต่างมีอิสระ และมีฐานะเท่าเทียมกันในการเข้าทำสัญญา” แต่เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้มานานแล้ว ไม่ทันต่อสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ผู้ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ มีความได้เปรียบผู้บริโภคหรือผู้เช่าในหลายด้าน บรรดาผู้มีอำนาจออกกฎหมายจึงเห็นว่าธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์พิเศษเข้าควบคุม เพื่อลดความได้เปรียบของผู้ประกอบธุรกิจ และสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคมากขึ้น จึงได้ออก “ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2561” หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นสัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ที่เราจะมาทำความเข้าใจกันครับ รวมประกาศบ้านเช่า บ้านให้เช่า ในกรุงเทพ หลักใหญ่ใจความของสัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ประกาศฉบับนี้คือ สร้างความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค โดยจะใช้บังคับกับเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งหมายความถึงผู้ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย โดยมีสถานที่ที่จัดแบ่งให้เช่าตั้งแต่ 5 หน่วยขึ้นไป รวมถึงห้องพัก บ้าน อาคารชุด อพาร์ทเม้นท์ ไม่ว่าจะอยู่ในอาคารเดียวกันหรือหลายอาคารรวมกัน แต่ไม่รวมถึงหอพักและโรงแรม สรุปประเด็นที่ผู้เช่าควรรู้ กันถูกเอาเปรียบ สัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ฉบับใหม่นี้มีหลายส่วนที่เอื้อต่อประโยชน์ของผู้เช่ามากขึ้น ผมขอสรุปเนื้อหาให้ดังนี้ รวมประกาศให้เช่า บ้านเดี่ยว คอนโด อพาร์ทเมนท์ ตึกแถว-อาคารพาณิชย์ มีปัญหาแจ้ง สคบ. ผู้ให้เช่าเตรียมรับโทษจำ-ปรับ หน่วยงานที่มีหน้าที่สอดส่องดูแลการปฏิบัติตามสัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ฉบับนี้ก็คือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ สคบ. ซึ่งผู้เช่าที่ได้รับความเดือดร้อนจากผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ ฉบับนี้สามารถร้องเรียนผ่านหมายเลข 1166 ได้ หรือร้องทุกข์ออนไลน์ โดย สคบ. จะตรวจสอบข้อร้องเรียน หากเป็นจริงก็จะดำเนินการเปรียบเทียบปรับผู้ประกอบธุรกิจ และยังสามารถดำเนินการฟ้องคดีแพ่งแทนผู้บริโภคได้ด้วย หรือผู้บริโภคสามารถฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายหรือบังคับให้เป็นไปตามสัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ฉบับนี้ต่อศาลโดยตรงอีกช่องทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ทางอาญา หากผู้ให้เช่ามีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศฉบับนี้ อาจได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ฉบับนี้ หากพิจารณาเผิน ๆ แล้วก็จะพบว่าคุ้มครองสิทธิของผู้เช่า และน่าจะทำให้ผู้เช่าได้รับประโยชน์อย่างมาก แต่ด้วยกลไกเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในประเทศไทยเช่นทุกวันนี้ ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าสุดท้ายผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับภาระเพิ่มขึ้นจากการปฎิบัติตามประกาศก็จะต้องผลักภาระดังกล่าวมาให้ผู้บริโภครับไว้ในรูปแบบของการขึ้นค่าเช่า ซึ่งทำให้ผลสุดท้ายผู้บริโภคยังคงไม่ได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นอยู่ดี หนังสือสัญญาเช่าบ้าน-คอนโด ทำได้ไม่ใช่เรื่องยาก เรื่องข้างต้นเขียนโดย ปกรณ์ อุ่นหิรัญสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอว์ แอนด์ เอควิตี้ จำกัด หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ pakorn@lawandequity.co สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า
สัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ที่มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 มีหลายส่วนที่เอื้อต่อประโยชน์ของผู้เช่ามากขึ้น ดังนี้ 1. สัญญาเช่าต้องใช้ภาษาไทยไม่เล็กกว่า 2 มิลลิเมตร ตัวอักษรไม่เกิน 11 ตัวอักษรใน 1 นิ้ว 2. ต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับที่อยู่ของผู้ให้เช่า ค่าเช่า ที่ตั้งและรายละเอียดของทรัพย์ที่ให้เช่า ค่าเช่า เงินประกัน ค่าสาธารณูปโภค โดยให้แสดงวิธีและระยะเวลาชำระด้วย 3. ผู้ให้เช่าต้องส่งใบแจ้งหนี้ล่วงหน้าให้แก่ผู้เช่าไม่น้อยกว่า 7 วัน 4. ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันทันทีเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุด 5. ผู้เช่าสามารถเลิกสัญญาโดยทำเป็นหนังสือล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่ต้องไม่ค้างค่าเช่า และมีเหตุจำเป็น 6. เหตุผิดสัญญาที่ทำให้ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาได้จะต้องระบุด้วยตัวอักษรที่เด่นชัดกว่าข้อความอื่น และก่อนเลิกสัญญา ผู้ให้เช่าต้องแจ้งผู้เช่าเป็นหนังสือให้ปฏิบัติตามสัญญาล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน 7. ผู้ให้เช่าต้องมอบสัญญาให้ผู้เช่าเก็บไว้ 1 ฉบับ 8. ห้ามยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของผู้ให้เช่าไว้ในสัญญาเช่า 9. ห้ามเรียกเก็บค่าเช่าล่วงหน้าเกิน 1 เดือน 10. ห้ามเรียกเก็บเงินประกันเกิน 1 เดือน 11. ห้ามกำหนดให้ผู้ให้เช่ามีสิทธิเปลี่ยนแปลงค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค ฯลฯ ก่อนสัญญาเช่าสิ้นสุด 12. ห้ามให้สิทธิผู้ให้เช่าเข้าตรวจสอบทรัพย์ที่เช่าโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า 13. ห้ามผู้ให้เช่าเรียกเก็บค่าสาธารณูปโภคเกินกว่าอัตราที่ผู้ให้บริการเรียกเก็บ 14. ห้ามผู้ให้เช่าปิดกั้นไม่ให้ผู้เช่าเข้าใช้ประโยชน์ในทรัพย์หรือเข้าไปในสถานที่เช่าเพื่อยึดหรือขนย้ายทรัพย์สินของผู้เช่า 15. ห้ามกำหนดให้สิทธิผู้ให้เช่าเรียกค่าต่อสัญญาเช่าจากผู้เช่ารายเดิม 16. ห้ามกำหนดให้สิทธิผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาโดยผู้เช่าไม่ได้ผิดสัญญาหรือเงื่อนไขสำคัญ 17. ห้ามกำหนดให้ผู้เช่ารับผิดในความเสียหายในทรัพย์จากการใช้งานตามปกติหรือจากเหตุสุดวิสัย
กฎหมายเช่าทรัพย์
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11314
Medical
แบ่งภาวะแทรกซ้อนจากเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบมี 2 ระยะ หรือ 3 ระยะ
null
แบ่งภาวะแทรกซ้อน ผลข้างเคียง จากเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบได้เป็น 2 ระยะได้แก่ ก. ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดในระยะสั้น คือ ภาวะแทรกซ้อนที่พบเกิดต่อเนื่องกับอาการต่างๆ เช่น 1. มีการลุกลามกระจายของเชื้อโรคเข้าไปในท่อนำไข่และในท้องน้อยอุ้งเชิงกราน ทำให้เกิดการอักเสบของท่อนำไข่และภายในอุ้งเชิงกราน การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน 2. ทำให้เกิดก้อนฝีหนองที่รังไข่และที่ท่อนำไข่ Tubo-ovarian abscess 3. หากอาการรุนแรงมากขึ้นอีกสามารถทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด 4. เกิดภาวะช็อกและอาจเสียชีวิตได้ ข. ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดในระยะยาว คือภาวะแทรกซ้อนที่เกิดในระยะยาวหลังการรักษาผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งอาจพบมีอาการเป็นๆหายๆได้ตลอดไป 1. ทำให้เกิดพังผืดในโพรงมดลูก ทำให้เลือดประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา 2. ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากเนื่องจากเกิดมีพังผืดไปยึดหรือไปปิดกั้นท่อนำไข่ 3. ทำให้เกิดพังผืดในบริเวณอุ้งเชิงกราน 4. ทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง 5. มีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกท้องนอกมดลูก เนื่องจากการมีพังผืดในบริเวณอุ้งเชิงกรานและบริเวณท่อนำไข่ ทำให้กระบวนการจับไข่เข้าท่อนำไข่และการเคลื่อนไหวของท่อนำไข่ไม่ดี 6. เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง การพยากรณ์โรคของภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบขึ้นกับหลายปัจจัยเช่น ความรุนแรงของอาการ ชนิดของเชื้อโรค สาเหตุปัจจัยเสี่ยง การพบแพทย์มาโรงพยาบาลได้เร็วหรือช้า สุขภาพเดิมของตัวผู้ป่วยเอง อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปถ้ามาพบแพทย์มาโรงพยาบาลได้เร็ว ก่อนมีอาการรุนแรง โรคมักรักษาได้หาย โดยอาการจะเริ่มดีขึ้นหลังการรักษาประมาณ 3 - 4 วัน แต่ถ้าพบแพทย์มาโรงพยาบาลล่าช้าหรือเมื่อมีอาการรุนแรงแล้ว การรักษามักยุ่งยากซับซ้อน และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ ภาวะแทรกซ้อน ซึ่งทำให้มีโอกาส ตายได้
สูติศาสตร์ (สูติศาสตร์) - Obstetrics
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_13876
Medical
มะเร็งระยะศูนย์คืออะไร
1. เป็นระยะของโรคมะเร็งของเนื้อเยื่อบุผิว ซึ่งเป็นมะเร็งในกลุ่มคาร์ซิโนมา 2. ก้อนเนื้อ/ แผลมะเร็งมีขนาดเล็ก ยังไม่ลุกลาม 3. ก้อน/ แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/ อวัยวะข้างเคียง และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เนื้อเยื่อ/ อวัยวะที่เป็นมะเร็ง 4. ก้อน/ แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามภายในเนื้อเยื่อ/ อวัยวะ
ข้อที่ถูกต้องคือ 1. เพราะว่า : มะเร็งระยะศูนย์ เป็นระยะของโรคมะเร็งของเนื้อเยื่อบุผิว ซึ่งเป็นมะเร็งในกลุ่มคาร์ซิโนมา Carcinoma ทั้งนี้เพราะผู้ป่วยส่วนหนึ่งของมะเร็งคาร์ซิโนมา โรคมะเร็งจะเริ่มจากมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่มีการอักเสบเรื้อรังจากการติดเชื้อต่างๆ เช่น การติดเชื้อไว รัส เป็นต้น ไปเป็นเซลล์ที่มีลักษณะเป็นเซลล์มะเร็ง เช่น มีการแบ่งตัวผิดปกติ แต่ยังไม่มีการรุกราน Invasive ออกนอกเนื้อเยื่อบุผิว ดังนั้นจึงยังไม่ใช่โรคมะเร็งอย่างแท้จริง เพราะโรคมะ เร็งที่แท้จริง จะต้องมีการรุกรานเข้าเนื้อเยื่อข้างเคียง เข้าต่อมน้ำเหลือง และหรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆได้ ซึ่งแพทย์เรียก เนื้อเยื่อที่เซลล์กลายเป็นเซลล์มะเร็ง แต่ยังไม่มีการรุกรานไม่ใช่มะเร็งที่แท้จริงนี้ว่า โรคระยะก่อนเป็นมะเร็ง Pre invasive carcinoma หรือ Carcinoma in situ ย่อว่า ซีไอเอสCIS ดังนั้น ในการจัดระยะโรคมะเร็ง จึงจัดเนื้อเยื่อก่อนการเป็นมะเร็งนี้เป็น โรคระยะศูนย์ Stage 0 โรคระยะ 0 พบได้ในมะเร็งคาร์ซิโนมาของทุกอวัยวะทั่วร่างกาย โอกาสเกิดเท่ากันทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย มักเป็นโรคมะเร็งของผู้ใหญ่ หรือในผู้สูงอายุ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_14067
Medical
เด็กที่เป็นโรคลมชักชนิดเหม่อ จำเป็นต้องหยุดเล่นกีฬาทุกประเภทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: โรคลมชักชนิดเหม่อ มีอาการเป็นการเหม่อลอยชั่วขณะ โดยปกติแล้ว อาการจะไม่รุนแรงและไม่ส่งผลต่อการทรงตัว เด็กที่เป็นโรคลมชักชนิดเหม่อ ยังสามารถเล่นกีฬาได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เช่น กีฬาผาดโผน เช่น มอเตอร์ครอส บันจี้จัมพ์ กีฬาที่เล่นบนพื้นผิวที่ลื่น เช่น สเก็ตน้ำแข็ง กีฬาที่ใช้ความเร็วสูง เช่น แข่งรถจักรยาน กีฬาที่มีอุปกรณ์อันตราย เช่น ฟันดาบ มวย เด็กที่เป็นโรคลมชักชนิดเหม่อ ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ใหญ่ ควรแจ้งให้โค้ชหรือครูฝึกสอนทราบเกี่ยวกับอาการของโรค เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเด็กได้อย่างทันท่วงที กรณีเด็กมีอาการชักระหว่างเล่นกีฬา ควรหยุดเล่นกีฬาทันที พาเด็กไปพักในที่ปลอดภัย สังเกตอาการ และแจ้งให้ผู้ปกครองหรือแพทย์ทราบ ข้อควรระวัง: เด็กที่เป็นโรคลมชักชนิดเหม่อ ไม่ควรเล่นกีฬาคนเดียว ควรมีผู้ใหญ่คอยดูแลอยู่เสมอ เด็กควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หมวกกันน็อค สนับเข่า สนับข้อศอก เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ สรุป: เด็กที่เป็นโรคลมชักชนิดเหม่อ ยังสามารถเล่นกีฬาได้ แต่ควรเลือกเล่นกีฬาที่เหมาะสม และมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุต่ำ ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ใหญ่ และแจ้งให้โค้ชหรือครูฝึกสอนทราบเกี่ยวกับอาการของโรค เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเด็กได้อย่างทันท่วงที
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_20461
Medical
ผู้สูงอายุควรได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะขาดวิตามินบี 12 มากกว่าวัยอื่น สาเหตุหลักมาจากการดูดซึมวิตามินบี 12 ที่ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น กระเพาะอาหารของผู้สูงอายุผลิตกรดในกระเพาะอาหารน้อยลง ซึ่งกรดนี้จำเป็นสำหรับการดูดซึมวิตามินบี 12 ผู้สูงอายุบางรายอาจทานยาบางชนิดที่ส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินบี 12 ผู้สูงอายุบางรายทานเนื้อสัตว์น้อยลง ซึ่งเป็นแหล่งของวิตามินบี 12 วิตามินบี 12 มีความสำคัญต่อสุขภาพ - ช่วยให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ - ช่วยให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดง - ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง - ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ - ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ การได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมสามารถช่วยทำให้ดีขึ้นสุขภาพของผู้สูงอายุ - ช่วยให้รู้สึกอ่อนเพลียน้อยลง - ช่วยให้มีพลังงานมากขึ้น - ช่วยให้ความจำดีขึ้น - ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น - ช่วยลดความเสี่ยงของการหกล้ม หลักฐาน: งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมมีสุขภาพที่ดีกว่าผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับ งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมมีโอกาสน้อยลงที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจ งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่าผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมมีโอกาสน้อยลงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ ข้อควรระวัง: ผู้สูงอายุควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวิตามินบี 12 เพิ่มเติม แพทย์จะตรวจสอบว่าผู้สูงอายุมีความจำเป็นต้องได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมหรือไม่ แพทย์จะแนะนำปริมาณวิตามินบี 12 ที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ สรุป: ผู้สูงอายุควรได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมเพื่อช่วยให้มีสุขภาพที่ดี
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_1000
Finance
สิ่งที่ไปกระตุ้นในช่วงแรกแก่นักลงทุนที่ถือครอง stETH ให้แห่เทขาย คืออะไร
1. เหรียญของแพลตฟอร์ม Celsius 2. กลไก Mint & Burn 3. แพลตฟอร์ม FTX 4. กองทุน Almeda
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 4. เพราะว่า สิ่งที่ไปกระตุ้นในช่วงแรกแก่นักลงทุนที่ถือครอง stETH ให้แห่เทขาย คือกองทุน Almeda (กองทุนของศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์คริปโตฯ FTX ) ได้เทขาย stETH /ETH เป็นจำนวนประมาณ 50,000 เหรียญบนแพลตฟอร์ม Curve ในราคาขาดทุน ส่งผลต่อมุมมองของนักลงทุนที่มองว่า Smart Money อาจเห็นอะไรบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่าจึงเป็นเหตุให้ขายออกมาก่อน ถือเป็นการจุดชนวนให้นักลงทุนเริ่มเทขาย stETH ตามออกมาเป็นจำนวนมากในระยะเวลาสั้น จนทำให้ราคา stETH เกิดหลุดมูลค่าอ้างอิงกับ ETH อย่างมีนัยสำคัญขึ้น หลังจากกระแสการขาย stETH ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ก็ส่งผลต่อราคา stETH บนแพลตฟอร์ม DeFi ที่รองรับการใช้งานเหรียญ โดยเฉพาะกับแพลตฟอร์ม Celsius ที่เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการฝากและกู้ยืมคริปโตฯ รูปแบบ Centralized Finance (CeFi) ที่ให้ผลตอบแทนสูงเกือบ 20 % ต่อปี จึงทำให้มีนักลงทุนเป็นจำนวนมากเข้ามาฝากเพื่อให้ Celsius นำเอาเหรียญต่าง ๆ เป็นไปสร้างผลตอบแทน ซึ่งเหรียญ stETH ก็เป็นหนึ่งในนั้น
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1009
Finance
ในช่วงปีวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยตกลงไปแรงมาก เหลือเพียงกี่จุด
ก. 373 จุด ข. 832 จุด ค. 1,281 จุด ง. 215 จุด
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ก. เพราะว่า ในช่วงปีวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 นั้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยตกลงไปแรงมากถึง 53% จาก 832 จุด เหลือเพียง 373 จุด ซึ่งนักลงทุนต่างก็รู้สึกเสมือนว่าเศรษฐกิจและตลาดหุ้นได้ “ตาย” และถูก “เผา” ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังมีนักลงทุนที่ “กล้าหาญ” ซึ่งมีจำนวนน้อยมากบางคนคิดว่ามันเป็น “โอกาสสุดยอด” ใน “วิกฤติ” ที่จะต้องเข้าไปช้อนซื้อหุ้นซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขารู้ว่ามีความเสี่ยงรออยู่ แต่โอกาสที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้นเหนือกว่ามาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขาคิดว่า “ถ้าอยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ” ประวัติศาสตร์ที่ตามมาบอกว่าพวกเขา “คิดผิด” อย่างน้อยก็ในระยะสั้นอีกเกือบ 1 ปี หลังจากนั้น เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลังจากสิ้นปี 2540 ตกลงไปอีกมากและเหลือแค่ 215 จุด เมื่อสิ้นเดือนสิงหาคม 2541 เป็นการตกลงอีกถึง 42% ใน 8 เดือน “วิกฤติ” กลายเป็น “หายนะ” ซ้ำ ว่าที่จริงดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2539 ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ 1 ปี ก็ตกลงมาแรงเป็น “วิกฤติ” อยู่แล้ว คือ ดัชนีลดลงจาก 1,281 จุดเหลือเพียง 832 จุด หรือลดลงถึง 35% เพียงแต่เหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นตกลงมานั้นยังไม่ชัด เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในปี 2539 GDP ของไทยยังโตถึง 5% แต่ “ไส้ใน” ของเศรษฐกิจไทยกำลัง “เน่า” เกิดการขาดดุลการค้าและดุลการชำระเงินอย่างหนัก สินค้าส่งออกไม่สามารถแข่งขันได้เพราะค่าเงินบาทที่แข็งกว่าความเป็นจริง เหตุการณ์ในช่วงปีต้มยำกุ้งนั้น ต่อมาถูกเรียกโดยนักลงทุนไทยว่าเป็นปี “เผาหลอก” คนคิดว่า “งาน” หรือพิธีส่งศพจบแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าการ “เผาจริง” กำลังจะเริ่ม และมันจะรุนแรงกว่า ดังนั้น คนที่คิดว่าการเข้าไป “ช้อนซื้อหุ้น” หรือเข้าไปเก็บหุ้นที่ตกระเนระนาดและไม่มีใครต้องการนั้น จะเป็นกลยุทธ์ที่ดีหรือเป็นโอกาสมหาศาล
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1027
Finance
ตั้งแต่ต้นปี 2565 ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงตามสิ่งใด
เริ่มยุคทองหุ้นซุปเปอร์สต็อกเวียดนาม? ​ วิวัฒนาการการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมในช่วงประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านก็คือ ช่วงที่ 1 หรือช่วงแรก เป็นการรีบลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดหุ้นไทยไปสู่เวียดนามที่ผมเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจสดใสและกำลังกลายเป็น “ดาราดวงใหม่” ของโลก แต่เพราะไม่รู้จักหุ้นรายตัวเลยและก็ไม่รู้ว่ามีกองทุนอิงดัชนีหรือไม่ ผมจึงใช้วิธีคัดกรองหุ้นด้วยหลักการแบบ “VI” เลือกหุ้นทุกตัวที่มีค่า P/E ไม่เกิน 10 เท่า P/B ไม่เกิน 1 เท่า ปันผลไม่ต่ำกว่าปีละ 5% และมีขนาดของหุ้นทั้งบริษัทหรือ Market Cap. ไม่ต่ำกว่าประมาณ 400-500 ล้านบาท ซึ่งทำให้ได้หุ้นมาร้อยกว่าตัวและหุ้นแต่ละตัวก็มีขนาดไม่เกิน 4-5 ล้านบาท เป็น “เบี้ยหัวแตก” ที่ส่วนใหญ่แล้วผมไม่รู้เลยว่าบริษัทชื่ออะไรและทำอะไรจนถึงวันนี้ ต่อมาเมื่อเริ่มมีความรู้มากขึ้น ผมก็เริ่มเลือกหุ้นเป็นรายตัวโดยอาศัยคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ และบางส่วนก็เลือกหุ้นแนว Defensive เช่นเขื่อนและโรงไฟฟ้า รวมถึงกิจการสาธารณูปโภคเช่น ทางด่วนและผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปาและน้ำอุตสาหกรรมที่ผมคิดว่ามีความปลอดภัยและให้ผลตอบแทนสูงพอสมควรอานิสงค์จากการที่รัฐบาลให้ผลตอบแทนตาม ต้นทุนเงินทุนหรือ IRR ที่สูงกว่าของไทยมาก ขนาดของการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็มีขนาดใหญ่ขึ้นพอสมควรแต่จำนวนหุ้นที่ลงทุนก็ยังค่อนข้างมากคือน่าจะประมาณ 30 ตัว ต่อมาเมื่อเริ่มมีความรู้มากขึ้น ผมก็เริ่มเลือกหุ้นเป็นรายตัวโดยอาศัยคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ และบางส่วนก็เลือกหุ้นแนว Defensive เช่นเขื่อนและโรงไฟฟ้า รวมถึงกิจการสาธารณูปโภคเช่น ทางด่วนและผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปาและน้ำอุตสาหกรรมที่ผมคิดว่ามีความปลอดภัยและให้ผลตอบแทนสูงพอสมควรอานิสงค์จากการที่รัฐบาลให้ผลตอบแทนตาม ต้นทุนเงินทุนหรือ IRR ที่สูงกว่าของไทยมาก ขนาดของการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็มีขนาดใหญ่ขึ้นพอสมควรแต่จำนวนหุ้นที่ลงทุนก็ยังค่อนข้างมากคือน่าจะประมาณ 30 ตัว รอบที่สามนั้น น่าจะเรียกว่าเป็นการเริ่มลงทุนในหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ของเวียดนามที่เป็นหุ้นที่ผมชอบและลงทุนเป็นหลักในตลาดหุ้นไทยมานานเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว แต่เนื่องจากหุ้นที่ผมเห็นว่าจะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในเวียดนามในอดีตหลายปีก่อนหน้านั้น มักจะเป็นหุ้นที่ต่างชาติสนใจและเข้าไปซื้อหุ้นจนติดเพดานการลงทุนเช่น ถือหุ้นถึง 30% หรือ 50% ของบริษัทไปแล้ว ทำให้ไม่มีหุ้นซื้อขายในกระดาน ชาวต่างชาติรายใหม่ที่จะซื้อก็ต้องไปซื้อเป็นบิ๊กล็อตต่อจากคนที่ถืออยู่ และต้องจ่ายราคาที่มี Foreign Premium บางที 3-40% จากราคาตลาดซึ่งทำให้ผม “ไม่ยอมซื้อ” อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง หุ้นซุปเปอร์สต็อกเหล่านั้นบางตัวก็เริ่มมีพรีเมี่ยมลดลงเหลือเพียง 7-10% ผมจึงเริ่มลงทุนในหุ้นซุปเปอร็สต็อกมากขึ้นแต่ก็ยังไม่มีนัยสำคัญจนกระทั่งมีการจัดตั้ง “กองทุนซุปเปอร์สต็อก” ในตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นคือ “ETF ไดมอนด์” ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนท้องถิ่นของเวียดนามที่ชาวต่างชาติลงทุนได้อย่างไม่จำกัดและไม่มีพรีเมียม ดังนั้น ผมจึงเข้าไปลงทุนจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ รอบที่สามนั้น น่าจะเรียกว่าเป็นการเริ่มลงทุนในหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ของเวียดนามที่เป็นหุ้นที่ผมชอบและลงทุนเป็นหลักในตลาดหุ้นไทยมานานเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว แต่เนื่องจากหุ้นที่ผมเห็นว่าจะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในเวียดนามในอดีตหลายปีก่อนหน้านั้น มักจะเป็นหุ้นที่ต่างชาติสนใจและเข้าไปซื้อหุ้นจนติดเพดานการลงทุนเช่น ถือหุ้นถึง 30% หรือ 50% ของบริษัทไปแล้ว ทำให้ไม่มีหุ้นซื้อขายในกระดาน ชาวต่างชาติรายใหม่ที่จะซื้อก็ต้องไปซื้อเป็นบิ๊กล็อตต่อจากคนที่ถืออยู่ และต้องจ่ายราคาที่มี Foreign Premium บางที 3-40% จากราคาตลาดซึ่งทำให้ผม “ไม่ยอมซื้อ” อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง หุ้นซุปเปอร์สต็อกเหล่านั้นบางตัวก็เริ่มมีพรีเมี่ยมลดลงเหลือเพียง 7-10% ผมจึงเริ่มลงทุนในหุ้นซุปเปอร็สต็อกมากขึ้นแต่ก็ยังไม่มีนัยสำคัญจนกระทั่งมีการจัดตั้ง “กองทุนซุปเปอร์สต็อก” ในตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นคือ “ETF ไดมอนด์” ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนท้องถิ่นของเวียดนามที่ชาวต่างชาติลงทุนได้อย่างไม่จำกัดและไม่มีพรีเมียม ดังนั้น ผมจึงเข้าไปลงทุนจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ การลงทุนรอบที่ 4 และยังต่อเนื่องถึงปัจจุบันก็คือการลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกเป็นหลักและเป็นการลงทุนในหุ้นรายตัว หุ้นที่เลือกจะเป็นหุ้นที่ผมคิดว่ามีคุณสมบัติครบที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่จะเติบโตต่อเนื่องระยะยาว นั่นก็คือ อยู่ในเมกะเทรนด์ เป็นผู้ที่จะชนะและเหนือกว่าคู่แข่งมาก มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และราคาไม่แพง ซึ่งหุ้นเกือบทุกตัวที่ผมเลือกนั้น ก็อยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกับหุ้นที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในประเทศไทยที่ผมลงทุนมานานเกือบ 20 ปี ผมยังต้องจ่ายพรีเมียมหุ้นอยู่ที่ประมาณ 7% แต่บางตัวก็สามารถซื้อได้โดยไม่มีพรีเมียม และเหตุผลที่ผมเลิกซื้อ ETF ไดมอนด์นั้นเป็นเพราะ หุ้นในกองทุนนั้นมีหุ้นอื่นโดยเฉพาะหุ้นแบงก์ที่ผมไม่คิดว่าเป็นซุปเปอร์สต็อกจำนวนมากรวมอยู่ด้วย ถึงวันนี้ พอร์ตหุ้นเวียดนามของผมประกอบไปด้วยหุ้นหลัก ๆ ที่เป็นซุปเปอร์สต็อกที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 6-7 ตัวรวมไดมอนด์ ทั้งหมดรวมกันน่าจะประมาณ 60% ของพอร์ต และหุ้น Defensive ซึ่งก็อาจจะมีโอกาสเติบโตระยะยาวแบบช้า ๆ ได้ น่าจะซัก 15% รวมเป็น 75% ในขณะที่หุ้นขนาดเล็กอีกร้อยกว่าตัวนั้นน่าจะมีสัดส่วนเหลือเพียง 25% การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมนั้น ฃไม่ใช่ “ตลาดหุ้นทางเลือก” อีกต่อไป มันเป็นตลาดหลักอีกแห่งหนึ่ง ปีที่แล้วทั้งปี เป็นปีที่ตลาดเวียดนามเติบโตขึ้นมากอานิสงส์ จากการเก็งกำไรของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่แห่กันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น คนเป็นล้าน ๆ ต่างเข้ามาซื้อ-ขายหุ้น จำนวนมากใช้มาร์จินเต็มเพดาน พวกเขาเข้ามาซื้อ- ขายหุ้นโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ และหุ้นแนวโภคภัณฑ์ที่เป็นวัฎจักรรวมถึงหุ้นแบงก์กันอย่างหนักทำให้ดัชนีตลาดบวกเพิ่มขึ้นถึง 35% แต่หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมถืออยู่ประมาณ 6-7 ตัว ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงประมาณ 12.5% อย่างไรก็ตาม พอร์ตหุ้นโดยรวมของผมซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นตัวเล็ก ๆ นับเป็นร้อยตัวมีการปรับตัวขึ้นมากจนทำให้พอร์ตเวียดนามของผมปีที่แล้วโตขึ้นถึง 75% กลายเป็นปีทองของพอร์ตหุ้นเวียดนาม ตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามก็ปรับตัวลงตาม “เทรนด์ของโลก” ที่ดูเหมือนว่ากำลังประสบปัญหาร้ายแรงหลายอย่าง ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมาถึง 14% ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมเลือกกลับปรับตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 13% อานิสงส์น่าจะมาจากการที่ผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมาค่อนข้างดีและภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังคงดีอยู่และน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ และที่ผมคิดว่าสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ราคาหุ้นที่ไม่แพง ค่า P/E จากกำไรปกติของหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 21 เท่า ในขณะที่ค่า P/E ถ้าคิดไปถึงตอนสิ้นปีน่าจะลดลงไปเหลือเพียง 16-17 เท่า เท่านั้น ความรู้สึกลึก ๆ ของผมก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามนั้นอาจจะกำลังมีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับกรณีของตลาดหุ้นไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยคนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเร็วมากที่มาพร้อมกับการบริโภคมหาศาล ซึ่งส่งผลให้บริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่กลายเป็นซุปเปอร์สต็อกเติบโตขึ้นเท่า ๆ กัน ในอีกด้านหนึ่ง ก็ก่อให้เกิดเงินออมที่พร้อมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น จากคนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งและเพื่อการเกษียณ และการลงทุนแบบอิงกับปัจจัยพื้นฐานหรือแบบ VI ก็กลายเป็นทางเลือก ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้หุ้นแบบซุปเปอร์สต็อกเติบโตต่อเนื่องไปยาวนานแบบที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในอดีต การลงทุนรอบที่ 4 และยังต่อเนื่องถึงปัจจุบันก็คือการลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกเป็นหลักและเป็นการลงทุนในหุ้นรายตัว หุ้นที่เลือกจะเป็นหุ้นที่ผมคิดว่ามีคุณสมบัติครบที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่จะเติบโตต่อเนื่องระยะยาว นั่นก็คือ อยู่ในเมกะเทรนด์ เป็นผู้ที่จะชนะและเหนือกว่าคู่แข่งมาก มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และราคาไม่แพง ซึ่งหุ้นเกือบทุกตัวที่ผมเลือกนั้น ก็อยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกับหุ้นที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในประเทศไทยที่ผมลงทุนมานานเกือบ 20 ปี ผมยังต้องจ่ายพรีเมียมหุ้นอยู่ที่ประมาณ 7% แต่บางตัวก็สามารถซื้อได้โดยไม่มีพรีเมียม และเหตุผลที่ผมเลิกซื้อ ETF ไดมอนด์นั้นเป็นเพราะ หุ้นในกองทุนนั้นมีหุ้นอื่นโดยเฉพาะหุ้นแบงก์ที่ผมไม่คิดว่าเป็นซุปเปอร์สต็อกจำนวนมากรวมอยู่ด้วย ถึงวันนี้ พอร์ตหุ้นเวียดนามของผมประกอบไปด้วยหุ้นหลัก ๆ ที่เป็นซุปเปอร์สต็อกที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 6-7 ตัวรวมไดมอนด์ ทั้งหมดรวมกันน่าจะประมาณ 60% ของพอร์ต และหุ้น Defensive ซึ่งก็อาจจะมีโอกาสเติบโตระยะยาวแบบช้า ๆ ได้ น่าจะซัก 15% รวมเป็น 75% ในขณะที่หุ้นขนาดเล็กอีกร้อยกว่าตัวนั้นน่าจะมีสัดส่วนเหลือเพียง 25% การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมนั้น ฃไม่ใช่ “ตลาดหุ้นทางเลือก” อีกต่อไป มันเป็นตลาดหลักอีกแห่งหนึ่ง ปีที่แล้วทั้งปี เป็นปีที่ตลาดเวียดนามเติบโตขึ้นมากอานิสงส์ จากการเก็งกำไรของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่แห่กันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น คนเป็นล้าน ๆ ต่างเข้ามาซื้อ-ขายหุ้น จำนวนมากใช้มาร์จินเต็มเพดาน พวกเขาเข้ามาซื้อ- ขายหุ้นโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ และหุ้นแนวโภคภัณฑ์ที่เป็นวัฎจักรรวมถึงหุ้นแบงก์กันอย่างหนักทำให้ดัชนีตลาดบวกเพิ่มขึ้นถึง 35% แต่หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมถืออยู่ประมาณ 6-7 ตัว ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงประมาณ 12.5% อย่างไรก็ตาม พอร์ตหุ้นโดยรวมของผมซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นตัวเล็ก ๆ นับเป็นร้อยตัวมีการปรับตัวขึ้นมากจนทำให้พอร์ตเวียดนามของผมปีที่แล้วโตขึ้นถึง 75% กลายเป็นปีทองของพอร์ตหุ้นเวียดนาม ตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามก็ปรับตัวลงตาม “เทรนด์ของโลก” ที่ดูเหมือนว่ากำลังประสบปัญหาร้ายแรงหลายอย่าง ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมาถึง 14% ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมเลือกกลับปรับตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 13% อานิสงส์น่าจะมาจากการที่ผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมาค่อนข้างดีและภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังคงดีอยู่และน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ และที่ผมคิดว่าสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ราคาหุ้นที่ไม่แพง ค่า P/E จากกำไรปกติของหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 21 เท่า ในขณะที่ค่า P/E ถ้าคิดไปถึงตอนสิ้นปีน่าจะลดลงไปเหลือเพียง 16-17 เท่า เท่านั้น ความรู้สึกลึก ๆ ของผมก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามนั้นอาจจะกำลังมีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับกรณีของตลาดหุ้นไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยคนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเร็วมากที่มาพร้อมกับการบริโภคมหาศาล ซึ่งส่งผลให้บริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่กลายเป็นซุปเปอร์สต็อกเติบโตขึ้นเท่า ๆ กัน ในอีกด้านหนึ่ง ก็ก่อให้เกิดเงินออมที่พร้อมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น จากคนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งและเพื่อการเกษียณ และการลงทุนแบบอิงกับปัจจัยพื้นฐานหรือแบบ VI ก็กลายเป็นทางเลือก ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้หุ้นแบบซุปเปอร์สต็อกเติบโตต่อเนื่องไปยาวนานแบบที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในอดีต ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร . ที่มาบทความ:
ตั้งแต่ต้นปี 2565 ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามก็ปรับตัวลงตามเทรนด์ของโลก ที่ดูเหมือนว่ากำลังประสบปัญหาร้ายแรงหลายอย่าง ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมาถึง 14% ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่เลือกกลับปรับตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 13% อานิสงส์น่าจะมาจากการที่ผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2565 ที่ผ่านมาค่อนข้างดีและภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังคงดีอยู่และน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ และที่คิดว่าสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ราคาหุ้นที่ไม่แพง ค่า P/E จากกำไรปกติของหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 21 เท่า ในขณะที่ค่า P/E ถ้าคิดไปถึงตอนสิ้นปี 2565 น่าจะลดลงไปเหลือเพียง 16-17 เท่า เท่านั้น ความรู้สึกลึก ๆ ก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามนั้นอาจจะกำลังมีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับกรณีของตลาดหุ้นไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยคนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเร็วมากที่มาพร้อมกับการบริโภคมหาศาล ซึ่งส่งผลให้บริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่กลายเป็นซุปเปอร์สต็อกเติบโตขึ้นเท่า ๆ กัน ในอีกด้านหนึ่ง ก็ก่อให้เกิดเงินออมที่พร้อมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น จากคนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งและเพื่อการเกษียณ และการลงทุนแบบอิงกับปัจจัยพื้นฐานหรือแบบ VI ก็กลายเป็นทางเลือก ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้หุ้นแบบซุปเปอร์สต็อกเติบโตต่อเนื่องไปยาวนานแบบที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในอดีต
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_103
Finance
สรุปบทความเกี่ยวกับ วางแผนการเงินแบบ “RICH”
เรามีแผนที่จะโอบอุ้มโอกาสแน่นอน แต่โลกก็ไม่สวยงามเสมอไป คนส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมตัวที่จะเจอกับปัญหาแน่นอน ดังนั้นเมื่อเราเจอปัญหาหรืออุปสรรคเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนไม่ชอบ แต่รู้ไหมว่า อุปสรรคนั้นคือประตูแห่งโอกาส ถ้าเราเข้าใจ อุปสรรคก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาอีกต่อไป การวางแผนการเงินจึงเป็นพิมพ์เขียวที่เราจะวาดฝันสิ่งที่เราต้องการ และประเมินความเสี่ยงในหลายๆด้านที่จะเกิดขึ้น เชื่อไหมว่า ปัญหา และอุปสรรคเกิดขึ้นได้กับทุกคน คนที่ประสบผลสำเร็จนั้นมีวิธีการที่จะรับมือกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง วางแผนการเงินอย่างไรให้พร้อมรับกับทุกสถานะการณ์ Trick คำ4คำง่ายๆที่ทำให้เราจำพื้นฐานของการวางแผนทางการเงินได้อย่างสบายๆ แล้วเราจะ RICH ไปด้วยกัน R ( Rource of Revenue ) เห็นด้วยไหมว่า คนเราจะมีเงินได้ ต้องมีแหล่งของรายได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะเป็นเหมือนหัวเชื้อให้เรามีเงินได้ คือเราต้องมีแหล่งของรายได้ แล้วแหล่งรายได้ของเรามีความมั่นคงมากน้อยขนาดไหม งานบางงานมีรายได้ไม่มาก แต่ความมั่นคงสูง งานบางงานได้รายได้สูง แต่ความเสถียรของรายได้มีไม่มาก รวมถึงช่องทางของรายได้มีช่องทางเดียว หรือรายได้เรานั้นมีหลายช่องทาง คนในปัจจุบันจำนวนไม่น้อยเลยที่มีแหล่งของรายได้มากกว่า หนึ่งช่องทาง เช่น มีงานประจำอยู่ แล้วเปิดร้านในช่องทาง onlineขายของ บางคนมีงานอดิเรกที่สร้างรายได้ไปด้วยในตัวก็มีมากมาย รับสอนพิเศษ หรือรับงานเป็นที่ปรึกษาโดยเอาความรู้ความสามารถที่มีเพิ่มช่องทางของรายได้มากขึ้น I ( Interested on Investment) สนใจและให้ความสำคัญกับการลงทุน เชื่อไหมว่าถ้าเราเอาเงินที่เราหาได้มาฝังตุ่ม นอกจากเงินไม่งอกเงยแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากการถูกปลวกกิน แล้วสิ่งที่เราต้องเจอแน่ๆคือเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้เงินที่มีอยู่ด้อยค่าลงไป ดังนั้นอย่ากลัวเรื่องการลงทุน หลายคนอาจจะเคยเจ็บตัวจากการลงทุนที่ผิดพลาด นั้นอาจจะเป็นเพราะเรายังไม่มีความรู้เรื่องการลงทุน ที่สำคัญ ลงทุนเกินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ จากการเห็นผลตอบแทนที่มากเป็นตัวเร้าให้เรากระโดดรีบเข้าไปลงทุน การลงทุนที่ดี ต้องเข้าใจเรื่องการจัด Port Allocation และลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้จริงๆ ไม่ไปตามกระแส ไม่ไปตามผลตอบแทนที่สูงเกินจริง C ( Calculate Expense ) อย่าลืมว่าเมื่อเรามีรายได้ เราก็มีรายจ่ายเช่นกัน การจัดสรรรายจ่ายให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นรายจ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่ากินอยู่ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าผ่อนชำระต่างๆไม่ควรเกินความสามรถที่จ่ายได้ด้วย เช่นค่าผ่อนบ้านผ่อนรถ หนี้สินต่างๆ ไม่ควรเกิน 40%ของรายได้ ไม่งั้นจะอึดอัดมาก ควรซื้อของที่จำเป็น อย่าหลวมตัวไปซื้อของที่ไม่จำเป็น ด้วยเงินที่ยังไม่มี เพื่ออวดคนที่เราไม่ชอบ เด็ดขาด รายจ่ายที่สำคัญอีกอันที่ควรจะกำหนดไว้ล่วงหน้าเลยคือรายจ่ายเพื่อการออม คนส่วนใหญ่มักจะจ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่างหมดแล้ว เงินที่เหลือถึงจะออม เราลองกลับข้างดูสักนิดว่าการออมเป็นเรื่องสำคัญดังนั้น เก็บเงินออมก่อน รวยกว่า H ( Habit )สร้างนิสัยการมีวินัยการออมและการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าเราขาดวินัยของการทำให้เป็นนิสัย ทุกอย่างที่เราวางแผนไว้ รับรองว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน เช่น การจดบันทึก รายรับ รายจ่าย ,มีรายได้มาต้องจัดเข้ากระเป๋าของการออมก่อนค่อยใช้ เป็นต้น เห็นด้วยไหมว่า เราจะ “ RICH “ นั้นไม่ยากเกินไป ลองเอาไปใช้ดู ยังมีอีกสิ่งที่ต้องพึงระวังไว้ด้วย คือเรื่องบริหารความเสี่ยงต่างๆที่ไม่คาดฝัน ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะทำให้เกิดความสูญเสีย เสียหายมาก ถ้าโอนย้ายความเสี่ยงเหล่านี้ได้ก็ควรจะจัดการ เพื่อไม่ให้แผนการเงินที่เราวางไว้เกิดผลกระทบ หรือไม่ตรงกับเป้าหมายที่ได้วางไว้
การวางแผนการเงินถือเป็นพิมพ์เขียวที่ช่วยให้เราสามารถวาดฝันและประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น มี Trick ให้จำง่ายๆ คือ R ( Rource of Revenue ) คือการมีแหล่งรายได้เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน I (Interested on Investment) การสนใจและให้ความสำคัญกับการลงทุน C ( Calculate Expense ) การจัดสรรรายจ่ายให้เหมาะสม H ( Habit )สร้างนิสัยการมีวินัยการออมและการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด สิ่งที่ต้องพึงระวังไว้ด้วย คือเรื่องบริหารความเสี่ยงต่างๆที่ไม่คาดฝัน ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะทำให้เกิดความสูญเสีย เสียหายมาก
5.ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_104
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ​ข้อดีของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ
null
​ข้อดีของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ มีอยู่ 2 ข้อ ข้อแรก คือ การส่งต่อทรัพย์สินให้คนในครอบครัวหลังตนเองเสียชีวิต แม้ประกันชีวิตแบบนี้จะมีจำนวนความคุ้มครองชีวิตที่ใกล้เคียงกับค่าเบี้ยประกันที่ชำระไป แต่ก็สามารถระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ได้ชัดเจน เปรียบเสมือนการเขียนพินัยกรรม เพื่อยกเงินผลประโยชน์ให้กับคนในครอบครัว โดยสามารถระบุสัดส่วนของจำนวนเงินเอาประกันที่ผู้รับผลประโยชน์แต่ละคนจะได้รับ โดยมีบริษัทประกันชีวิตเข้ามาดำเนินการจ่ายเงินเอาประกันตามเจตนาที่แจ้งไว้ หลังจากที่ผู้เอาประกันได้จากโลกนี้ไป ส่วนข้อดีอีกข้อหนึ่ง คือ การเพิ่มผลตอบแทนให้กับเงินที่สะสมไว้ ซึ่งประกันชีวิตแบบนี้นอกจากจะมีประกันจ่ายสั้น ขยันคืน 15/6 การันตี ที่มีอัตราผลตอบแทนเมื่อถือประกันจนครบสัญญาหรือ IRR ที่แน่นอนอยู่ที่ 1.65% ต่อปีแล้ว ยังมีประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนหรือ IRR การันตีขั้นต่ำ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากเงินปันผลที่ได้รับเมื่อครบสัญญา โดยอ้างอิงจากผลการดำเนินงานของดัชนีอ้างอิงด้วย บทเรียนจากย่อหน้านี้ ​ข้อดีของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ หลักๆ มีอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ (1) ส่งต่อทรัพย์สินให้คนในครอบครัวหลังตนเองเสียชีวิต แม้ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ มักมีจำนวนความคุ้มครองชีวิตที่น้อยหรือใกล้เคียงกับค่าเบี้ยประกันที่ได้ชำระไป แต่ก็สามารถระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ได้ชัดเจน เปรียบเสมือนการเขียนพินัยกรรมเพื่อยกเงินผลประโยชน์ให้กับคนในครอบครัวโดยสามารถระบุสัดส่วนของจำนวนเงินเอาประกันที่ผู้รับผลประโยชน์แต่ละคนจะได้รับ โดยมีบริษัทประกันชีวิตเป็นบุคคลที่สามที่จะเข้ามาดำเนินการจ่ายเงินเอาประกันตามเจตนาที่แจ้งไว้ หลังจากที่ผู้เอาประกันได้จากโลกนี้ไป (2) เพิ่มผลตอบแทนให้กับเงินที่สะสมไว้ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ นอกจาก “ประกันจ่ายสั้น ขยันคืน 15/6 การันตี” ที่มีอัตราผลตอบแทนเมื่อถือประกันจนครบสัญญาหรือ IRR ที่แน่นอนอยู่ที่ 1.65% ต่อปีแล้ว ยังมีประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนหรือ IRR การันตีขั้นต่ำ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากเงินปันผลที่ได้รับเมื่อครบสัญญา โดยอ้างอิงจากผลการดำเนินงานของดัชนีอ้างอิงด้วย อีกทั้งเบี้ยประกันชีวิตยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไขสรรพากรได้ด้วย
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_1041
Finance
ข้อใดไม่ใช่ความแตกต่างของทองไทยและทองโลก
ก. ทองคำที่ซื้อขายกันในตลาดโลกจะมีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.99% ข. มีการนำเข้าทองคำมาในประเทศไทย จึงมีการเพิ่มโลหะอื่นอย่างทองแดง นาค เงิน เข้ามาด้วย ค. ราคาทองโลกจะมีที่มาจากราคาซื้อขายทองคำ 99.99% ผ่านตลาด Gold Spot ง. หากนำทอง 96.5% ไปขายต่อในตลาดต่างประเทศ อาจจะขายได้ยากหรือขายได้ในราคาที่น้อยลง
คำตอบได้แก่ ค. เนื่องจาก เพราะราคาทองโลกจะมีที่มาจากราคาซื้อขายทองคำ 99.99% ผ่านตลาด Gold Spot กล่าวถึงประเด็นของราคาทองคำ ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นความแตกต่างของทองไทยและทองโลก ดังนี้ - ความเป็นจริงแล้ว ความบริสุทธิ์ของทองคำที่ซื้อขายกันในไทย กับที่อยู่ในตลาดโลกก็แตกต่างกันจริง ๆ - โดยทั่วไป ทองคำที่ซื้อขายกันในตลาดโลกจะมีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.99% อย่างที่ใครอาจเรียกกันว่าทอง 24K นั่นคือ ทองคำที่มีความบริสุทธิ์มาก ๆ ใน 10,000 ส่วน อาจมีสิ่งแปลกปลอมได้ไม่เกิน 1 ส่วนเท่านั้น - ทองคำบริสุทธิ์มาก ๆ นี้ จะมีความอ่อนตัวสูง นำมาขึ้นรูปเป็นเครื่องประดับอย่างสร้อยคอ สร้อยข้อมือ หรือแหวนได้ยาก - เมื่อมีการนำเข้ามาในประเทศไทย จึงมีการเพิ่มโลหะอื่นอย่างทองแดง นาค เงิน เข้ามาด้วย เพื่อให้เกิดความแข็งแรงทนทาน ขึ้นรูปง่ายขึ้น ทำลวดลายต่าง ๆ ง่ายขึ้น เป็นที่มาที่ทำให้มาตรฐานความบริสุทธิ์ของทองที่นิยมซื้อขายกันในประเทศไทย จะอยู่ที่ 96.5% นั่นเอง - หากนำทอง 96.5% นี้ไปขายต่อในตลาดต่างประเทศก็อาจจะขายได้ยากหรือขายได้ในราคาที่น้อยลง
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1048
Finance
Bitcoin ได้ถูกสร้างขึ้นในปีใด
1. ปี 2008 2. ปี 2010 3. ปี 2007 4. ปี 2009
คำตอบได้แก่ 4. เพราะว่า ส่วน Bitcoin (BTC) เป็น Cryptocurrency สกุลหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นสกุลแรกที่ยังคงได้รับความนิยมสูงสุดและมีมูลค่าตลาดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งเป็นปีที่ Bitcoin ได้ถูกสร้างขึ้น เป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลที่ทั้งปลอดภัยและไร้ตัวกลาง ข้อมูลบน Blockchain จะถูกจัดเก็บในรูปแบบของ Block ที่เชื่อมต่อกันเป็นห่วงโซ่ ( Chain) ตามลำดับก่อนหลัง ทำให้ทุกคนที่เข้าถึงฐานข้อมูลเดียวกันนี้รับรู้ได้ร่วมกันว่าใครเป็นเจ้าของข้อมูล หรือข้อมูลนั้นถูกส่งต่อหรือถูกแก้ไขไปยังไงบ้าง ทำให้การปลอมแปลงข้อมูลใน Blockchain เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก ๆ จนถึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ความปลอดภัยและไร้ตัวกลางนี้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในหลายกิจกรรมที่ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือ อย่างการผลิตเงินที่เดิมต้องอาศัยเครดิตของภาครัฐเท่านั้น แต่ด้วยประโยชน์ของ Blockchain ก็ทำให้การผลิตเงินดิจิทัลแบบไร้ตัวกลางอย่าง Cryptocurrency ได้ถือกำเนิดขึ้นและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง จึงหมายถึงเหรียญดิจิทัลที่ถูกบันทึกข้อมูลธุรกรรมผ่าน Blockchain ปัจจุบันมี Cryptocurrency ที่ถูกผลิตขึ้นแล้วมากกว่า 8,000 สกุลเงิน ส่วน เป็น Cryptocurrency สกุลหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นสกุลแรกที่ยังคงได้รับความนิยมสูงสุดและมีมูลค่าตลาดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งเป็นปีที่ Bitcoin ได้ถูกสร้างขึ้น ประเภทของ Cryptocurrencies เราสามารถแบ่งประเภทของ Crypto ได้เป็น 2 ประเภทกว้าง ๆ นั่นคือ Coin และ Token
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1050
Finance
สกุลเงินดิจิทัล USDC สร้างขึ้นในปีใด
ก. ปี 2016 ข. ปี 2019 ค. ปี 2018 ง. ปี 2017
คำตอบที่ถูกต้องคือ ค.เพราะว่า USDC คือสกุลเงินดิจิทัลแบบ Stablecoin ที่ออกมาในปี 2018 โดย Exchange ชื่อดังอย่าง Coinbase และ Circle Internet Financial โดย USDC เป็น ERC-20 ที่อยู่บน Ethereum Blockchain ใช้อ้างอิงมูลค่าของโทเคนกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราส่วน 1:1 ทุก ๆ USDC ที่ถูกผลิตออกมา จะมี 1 ดอลลาร์ที่ถูกเก็บเอาไว้ในบัญชี ซึ่งมีการตรวจสอบเป็นประจำว่ามีการเก็บเงินสำรองไว้จริง ๆ USDC เป็นหนึ่งในโทเคนดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีมูลค่าตลาดประมาณ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นอันดับสองในตลาดโทเคน เป็นรองแค่ USDT เท่านั้น สิ่งที่น่าสนใจก็คือ USDC ยังมีมูลค่าอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ณ วันที่ 13 พฤษภาคม ปี 2022 ท่ามกลางความผันผวนไม่แน่นอนของเหรียญ Stablecoin อื่นที่หลุด Peg ไปในช่วงเวลาดังกล่าว คิดเป็นอันดับสองในตลาดโทเคน
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1054
Finance
จงบอกค่าใช้จ่ายสำหรับมนุษย์ปุถุชน ผู้ซึ่งไม่ได้เกิดมาบนกองทอง
null
เมื่อลองมานั่งกางค่าใช้จ่ายกันดู ก็จะพบค่าใช้จ่ายในหัวข้อหลักๆ อยู่ 4 ประเด็น 1. ค่าอาหาร 2. ค่าสาธารณูปโภค และค่าโทรศัพท์รายเดือน 3. ค่าเดินทาง 4. ค่าใช้จ่ายจิปาถะ (ท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง) ซึ่งค่าใช้จ่ายที่สามารถลดได้ทันที โดยไม่ต้องคิดมาก ได้แก่ ค่าใช้จ่ายจิปาถะ นั่นเอง มหาเศรษฐีหุ้นอย่าง วอร์เรน บัฟเฟต เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้ามัวแต่สะสมของที่ไม่จำเป็น ซักวันจะต้องขายสิ่งที่มันจำเป็น” เป็นคำพูดที่ตรงมากๆ ตัวอย่างเช่น หากหนุ่มวัยเริ่มทำงานคนหนึ่งอยากได้นาฬิกาเรือนละเป็นแสนซักเรือน ในขณะที่เงินเดือนแค่สองหมื่นต้นๆ รู้ว่าไม่มีเงินเหลือ เลยไปกู้มาซื้อ แล้วยอมโดนจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูง คำถามคือ วัตถุประสงค์ของนาฬิกา คืออะไร? นาฬิกาเรือนแสน กับเรือนหลักพัน ก็บอกเวลาได้เหมือนกัน ยิ่งเมื่อเทียบกับความสามารถในการหารายได้แล้ว ยิ่งไม่ควรกู้เงินมาซื้อด้วยซ้ำ หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริงกับใครซักคน คงรู้สึกว่า เดือดร้อนแน่ๆ ในอนาคต หากจิตใจยังไม่ยอมปล่อยตัวเองออกจากนาฬิกาเรือนแสนบนข้อมือนั้นไปได้ ปัญหาแท้จริงแล้ว เกิดจาก การไม่รู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นในใจ จึงไม่สามารถใช้สติมากำกับว่า สิ่งไหนควรซื้อสิ่งไหนไม่ควรซื้อ เห็นไหมว่า โชคดีที่เกิดมาในยุคที่ยังมีพุทธศาสนาอยู่ สอนให้รู้กายรู้ใจ ไม่ใช้จ่ายเกินตัวได้
5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1055
Finance
สำหรับนักลงทุนระยะยาวนั้น ภาวะตลาดลงถือเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อของถูก โดยการทดสอบย้อนหลังได้ชี้ให้เห็นว่าอย่างไร
a. การรายงานผลตอบแทนหุ้น ตัวเลขสีแดงและตัวเลขติดลบอาจสื่อถึงสถานการณ์อันแสนเลวร้าย b. ความผันผวนแท้จริงแล้วไม่ใช่ความเสี่ยงแต่เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวและสร้างโอกาสให้กับคนมานักต่อนักจากการที่สินทรัพย์ลดราคา c. Beta ถือว่าเป็นความเสี่ยง และระยะยาวถือว่าไม่มีใครเอาชนะตลาดได้ d. การซื้อหุ้นถูกเพียงแค่จากอัตราส่วนทางการเงินก็ช่วยให้สร้างผลตอบแทนที่ดีเหนือตลาดได้แล้ว
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ d. เนื่องจาก สำหรับนักลงทุนระยะยาวนั้น ภาวะตลาดลงถือเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อของถูก โดยการทดสอบย้อนหลังได้ชี้ให้เห็นว่า การซื้อหุ้นถูกเพียงแค่จากอัตราส่วนทางการเงินก็ช่วยให้สร้างผลตอบแทนที่ดีเหนือตลาดได้แล้ว ดังนั้น ราคาที่ลงโหด ๆ แท้จริงอาจเป็นเพื่อนของตนเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องเลือกสินทรัพย์ให้ถูกต้องด้วย ไม่ใช่ลงทุนถัว ๆ ในสินทรัพย์ที่เป็นวัฏจักร เช่น น้ำมัน กองทุนหุ้น Commodity ต่าง ๆ หรือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังไม่ค่อยชัดเจน (ลงได้ถ้าเชื่อมั่นและศึกษามาดีแล้ว แต่ถ้ายังไม่มั่นใจขนาดนั้น ก็อย่าลืมกระจายให้ดี) และท้ายที่สุด ดังที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ประมาณนี้ว่า “ถ้าซื้อแบงค์ดอลลาร์ในราคา 60 เซนต์ ย่อมมีความเสี่ยงมากกว่าการซื้อแบงค์ดอลลาร์ที่ราคา 40 เซนต์ แล้วจะซื้ออันแรกไปทำไมในเมื่ออันหลังให้ผลตอบแทนสูงกว่า”
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1071
Finance
กองทุน Grayscale ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด
A. ปี 2011 B. ปี 2010 C. ปี 2012 D. ปี 2013
คำตอบคือ D. เนื่องจาก Grayscale Investment หรือที่รู้จักกันในนาม “Grayscale” เป็นผู้จัดการกองทุนที่มุ่งเน้นการออกผลิตภัณฑ์ที่มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2013 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ โดยผลิตภัณฑ์แรกที่ออกมา ได้แก่ กองทุน Grayscale Bitcoin Trust ในปี 2013 และหากอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ Kevinrooke ณ วันที่ 27 เมษายน 2022 ถือเป็นนักลงทุนที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุด จึงอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนในตลาดคริปโตฯ มักจับตาดูการเคลื่อนไหวกองทุนของ Grayscale ผลิตภัณฑ์ของ Grayscale มีอะไรบ้าง? หลังจากมีการกองทุนแรกในปี 2013 ทาง Grayscale ได้มีการออกผลิตภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลออกมาอีกจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนกองทุนทั้งสิ้น 17 กองทุน สามารถแบ่งผลิตภัณฑ์ของ Grayscale ตามลักษณะของนโยบายการลงทุนของกองทุนได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่อิงกับสินทรัพย์ชนิดเดียว หรือ Single Asset Products
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1080
Finance
กองทุน TISCOEQF มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไปเท่าไหร่
ก. 2000 ข. 1000 ค. 3000 ง. 4000
คำตอบคือ ข. เนื่องจาก TISCOEQF นโยบายกองทุน: กระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงทั้งในแง่ของมูลค่าและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ และมีนโยบายลงทุนประมาณร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในหุ้นจดทะเบียนที่มีอัตราการซื้อขายหมุนเวียนค่อนข้างสูง โดยกองทุน TISCOEQF จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD) 15-25% มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท ข้อมูลการปันผล อัตราเงินปันผล: 28.80% วันที่ปันผลล่าสุด: 14/9/2021 จำนวนเงินปันผลล่าสุด: 0.72 บาท
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1082
Finance
กองทุน B-BHARATA ลงทุนในกองทุนหลัก.f
รีวิวกองทุนหุ้นอินเดีย ‘B-BHARATA’ พร้อมส่องการเติบโตของอินเดีย ​ วันนี้ เด็กการเงิน ขอพาทุกคนมารู้จักกับ กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ (B-BHARATA) ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งที่เด็กการเงินชื่นชอบ ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง คือตลาดหุ้นอินเดียมีโอกาสให้ค้นหา ปัจจัยภายในประเทศที่น่าสนใจ และกองทุนก็มีจุดแข็งที่ดี วันนี้เด็กการเงินมารีวิวกันเต็ม ๆ พร้อมส่องโอกาสในการลงทุนกับประเทศอินเดียกันเลย สิ่งที่จะได้จากบทความนี้ ปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงของอินเดีย รู้จักดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย องค์ประกอบ และดัชนีอะไรที่ใช้เป็นตัววัดตลาดหุ้นอินเดีย รีวิวกองทุน B-BHARATA จุดเด่นที่เด็กการเงินชอบในกองทุนนี้ 1. รู้จักประเทศอินเดีย และโอกาสในการเติบโต ประเทศอินเดียมีประชากรกว่า 1,500 ล้านคน ประชากรมีอายุโดยเฉลี่ยที่ 28-29 ปี (ข้อมูลจาก worldometer) อยู่ในวัยแรงงาน สร้างงาน สร้างรายได้ และมีพลังการบริโภคสูง คนอินเดียเป็นคนรุ่นใหม่มีความสามารถด้านไอที และสามารถใช้ไอทีเป็น จึงเกิดเป็น Unicorn Start-up ได้กว่า 30 เจ้าในปี 2021 อินเดียยังเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของโลก การส่งออกเติบโตจากเช่น น้ำมันสำเร็จรูป วัตถุดิบยา และข้าว คาดว่าอินเดียสามารถมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ของโลกได้ ตามหลังจีนและ USA ปัจจัยเสี่ยงของประเทศอินเดียคือ เงินเฟ้อ เนื่องจากประเทศอินเดียค่อนข้างอิสระกับเงินหมุนเวียนในระบบ ธนาคารกลางค่อนข้างผ่อนคลายกับนโยบายการเงิน ประเทศอินเดียมีการนำเข้าน้ำมันเป็นอันดับ 3 ของโลก และมีอัตราการใช้กว่า 80% ผลิตได้เพียง 20% มี trade deficit สูง เงินจึงอ่อนค่าได้ง่าย และมีอัตราเงินเฟ้อที่สูง อีกหนึ่งปัญหาที่พบเหมือนกันทั่วโลกคือ ประเทศกำลังพัฒนามักจะมีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูง ส่วนหนึ่งคือรัฐบาลต้องใช้เงินต่อสูกับ Covid-19 ทำให้ต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนในด้านสาธารณสุขมาก 2. รู้จักดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย องค์ประกอบ และดัชนีอะไรที่ใช้เป็นตัววัดตลาดหุ้นอินเดีย ตลาดหุ้นอินเดียจัดอยู่ใน Emerging Market Sensex และ Nifty 50 ต่างเป็นดัชนีหลักที่ตลาดหุ้น Bombayและ National Security Exchange (NSE) ตามลำดับ สัดส่วนและ sector distribution ของหุ้นที่เป็นองค์ประกอบจะมีความคล้ายกัน เช่น หุ้น Reliance ที่เปรียบได้กับ ปตท. บ้านเด็กการเงิน ดูทั้งพลังงานและปิโตรเคมี Infosys หุ้นไอทียักษ์ใหญ่ของอินเดีย หุ้นธนาคารและสินเชื่อ HDFC Bank, ICCI Bank และ Housing Dev Finance Corp เป็นต้น MSCI India คือ ตะกร้าดัชนีโดยบริษัท MSCI วัดผลงานของหุ้นขนาดใหญ่และกลาง มูลค่าประมาณ 85% ของหุ้นอินเดียทั้งหมด ปัจจุบันมี 107 หุ้น MSCI India มักจะถูกใช้เป็นตัว Benchmark ของกองทุนหุ้นอินเดีย เนื่องจากความครอบคลุมของมัน อย่างไรก็ตามทั้ง Sensex, Nifty 50 และ MSCI India มักจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน โดยมีกลุ่ม Financials, IT และ Energy กว่า 60% 3. รู้จักกองทุน B-BHARATA กองทุน B-BHARATA ลงทุนในกองทุนหลัก RAMS India – India Equities Portfolio Fund Class I บริหารแบบ Active ที่ระดับความเสี่ยง 6 สร้างพอร์ตแบบสมดุล ไม่ผันผวนเกินไป เลือกหุ้นจากมุมมอง Macro และ valuation เพื่อสร้าง Alpha เหนือ Benchmark MSCI India (USD) กองทุนหลักของ B-BHARATA มี Alpha และ Beta ดังนี้ 1 Yr/ 3 Yr Alpha +7.48%/+3.03% 1 Yr/ 3 Yr Beta 0.94/1.02 Beta ของกองทุนหลักอยู่ที่ ประมาณ 1 แต่สามารถสร้าง Alpha ได้ กองทุน B-BHARATA มีผลงานย้อนหลังดังนี้ 1 Yr Return 20.80% 3 Yr Return 16.79% 5 Yr Return N.A.% การจัดพอร์ตของ RAMS India – India Equities Portfolio ประกอบด้วยหุ้นขนาดกลางและใหญ่ กระจายตัว 40-50 ตัว ผู้จัดการกองทุนเป็นสาย Macro ที่เลือกหุ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสม และเลือกหุ้นจาก valuation เป็นหลัก อย่างไรก็ตามการเลือก sector weight ไม่ได้เลือกฉีกออกจาก Benchmark มากจนเกินไป (มีความแตกต่างสูงสุดอยู่ที่ 6%) และไม่ได้เป็นสาย Growth แบบกองทุนอินเดียอื่น ๆ ที่เน้น IT หรือ new economy มาก ด้วยเหตุผลนี้ แม้ตลาดหุ้นอินเดียจะมีการปรับฐานบ้าง B-BHARATA ก็ยังรักษา drawdown ได้ดี ต่างจากกองทุน India เน้น growth พอเวลาปรับฐาน จะติดลบรุนแรงกว่า Benchmark ได้ 4. จุดเด่นที่เด็กการเงินชอบในกองทุนนี้ กองทุนหลักบริหารโดยผู้จัดการกองทุนหุ้นอินเดีย Sulabh Jhajharia ที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปี เข้าใจหุ้นและตลาดหุ้นอินเดียเป็นอย่างดี จากที่เด็กการเงินได้อ่าน Fund Complementary ทำให้เข้าใจแนวคิดของผู้จัดการกองทุนท่านนี้ว่าเป็นมุมมองระยะกลาง-ยาว เป็นสายติดตาม Macroeconomic และมีการทำ valuation เพื่อประเมินหุ้นที่จะเติมเข้ามาในพอร์ตเพื่อหา alpha พอร์ตการลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนเอาชนะ Benchmark ได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยที่สามารถควบคุมความผันผวนให้ได้ใกล้เคียงตลาด ที่ Beta ประมาณ 1 B-BHARATA มีค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผล มีเรทติ้ง MorningStar ที่ 4 ดาว สำหรับกองทุนหลัก (ประเภท India Equity Large Cap) และ 5 ดาว สำหรับกองทุนไทย (ประเภท India Equity) ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565 ด้วยปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ เด็กการเงินจึงคิดว่า B-BHARATA เป็นกองทุนที่น่าสนใจ เพื่อหาผลตอบแทนจากการเติบโตของประเทศอินเดีย ซึ่งแนะนำว่าต้องใช้เวลาในการลงทุนที่ยาวหน่อย เพื่อให้ได้ผลตอบแทนผ่านช่วงเวลาที่ผันผวนไปได้ ความผันผวน (เมื่อเทียบจาก standard deviation) กองทุนอินเดียเมื่อเทียบกับหุ้นโลก ค่อนข้างที่จะผันผวนกว่า ดังนั้นผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรลงทุนหุ้นอินเดียลดหลั่นลงมา ไม่เกิน 10% ของพอร์ต เป็นต้น รีวิวด้วยความเห็นส่วนบุคคลโดยเด็กการเงิน และไม่ได้แนะนำการลงทุน เด็กการเงิน DekFinance ที่มาบทความ: คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” วันนี้ เด็กการเงิน ขอพาทุกคนมารู้จักกับ กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ (B-BHARATA) ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งที่เด็กการเงินชื่นชอบ ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง คือตลาดหุ้นอินเดียมีโอกาสให้ค้นหา ปัจจัยภายในประเทศที่น่าสนใจ และกองทุนก็มีจุดแข็งที่ดี วันนี้เด็กการเงินมารีวิวกันเต็ม ๆ พร้อมส่องโอกาสในการลงทุนกับประเทศอินเดียกันเลย วันนี้ เด็กการเงิน ขอพาทุกคนมารู้จักกับ กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ (B-BHARATA) ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งที่เด็กการเงินชื่นชอบ ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง คือตลาดหุ้นอินเดียมีโอกาสให้ค้นหา ปัจจัยภายในประเทศที่น่าสนใจ และกองทุนก็มีจุดแข็งที่ดี วันนี้เด็กการเงินมารีวิวกันเต็ม ๆ พร้อมส่องโอกาสในการลงทุนกับประเทศอินเดียกันเลย สิ่งที่จะได้จากบทความนี้ สิ่งที่จะได้จากบทความนี้ ปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงของอินเดีย รู้จักดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย องค์ประกอบ และดัชนีอะไรที่ใช้เป็นตัววัดตลาดหุ้นอินเดีย รีวิวกองทุน B-BHARATA จุดเด่นที่เด็กการเงินชอบในกองทุนนี้ ปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงของอินเดีย รู้จักดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย องค์ประกอบ และดัชนีอะไรที่ใช้เป็นตัววัดตลาดหุ้นอินเดีย รีวิวกองทุน B-BHARATA จุดเด่นที่เด็กการเงินชอบในกองทุนนี้ 1. รู้จักประเทศอินเดีย และโอกาสในการเติบโต ประเทศอินเดียมีประชากรกว่า 1,500 ล้านคน ประชากรมีอายุโดยเฉลี่ยที่ 28-29 ปี (ข้อมูลจาก worldometer) อยู่ในวัยแรงงาน สร้างงาน สร้างรายได้ และมีพลังการบริโภคสูง ประเทศอินเดียมีประชากรกว่า 1,500 ล้านคน ประชากรมีอายุโดยเฉลี่ยที่ 28-29 ปี (ข้อมูลจาก worldometer) อยู่ในวัยแรงงาน สร้างงาน สร้างรายได้ และมีพลังการบริโภคสูง คนอินเดียเป็นคนรุ่นใหม่มีความสามารถด้านไอที และสามารถใช้ไอทีเป็น จึงเกิดเป็น Unicorn Start-up ได้กว่า 30 เจ้าในปี 2021 คนอินเดียเป็นคนรุ่นใหม่มีความสามารถด้านไอที และสามารถใช้ไอทีเป็น จึงเกิดเป็น Unicorn Start-up ได้กว่า 30 เจ้าในปี 2021 อินเดียยังเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของโลก การส่งออกเติบโตจากเช่น น้ำมันสำเร็จรูป วัตถุดิบยา และข้าว คาดว่าอินเดียสามารถมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ของโลกได้ ตามหลังจีนและ USA อินเดียยังเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของโลก การส่งออกเติบโตจากเช่น น้ำมันสำเร็จรูป วัตถุดิบยา และข้าว คาดว่าอินเดียสามารถมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ของโลกได้ ตามหลังจีนและ USA ปัจจัยเสี่ยงของประเทศอินเดียคือ เงินเฟ้อ เนื่องจากประเทศอินเดียค่อนข้างอิสระกับเงินหมุนเวียนในระบบ ธนาคารกลางค่อนข้างผ่อนคลายกับนโยบายการเงิน ประเทศอินเดียมีการนำเข้าน้ำมันเป็นอันดับ 3 ของโลก และมีอัตราการใช้กว่า 80% ผลิตได้เพียง 20% มี trade deficit สูง เงินจึงอ่อนค่าได้ง่าย และมีอัตราเงินเฟ้อที่สูง ปัจจัยเสี่ยงของประเทศอินเดียคือ เงินเฟ้อ เนื่องจากประเทศอินเดียค่อนข้างอิสระกับเงินหมุนเวียนในระบบ ธนาคารกลางค่อนข้างผ่อนคลายกับนโยบายการเงิน ประเทศอินเดียมีการนำเข้าน้ำมันเป็นอันดับ 3 ของโลก และมีอัตราการใช้กว่า 80% ผลิตได้เพียง 20% มี trade deficit สูง เงินจึงอ่อนค่าได้ง่าย และมีอัตราเงินเฟ้อที่สูง อีกหนึ่งปัญหาที่พบเหมือนกันทั่วโลกคือ ประเทศกำลังพัฒนามักจะมีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูง ส่วนหนึ่งคือรัฐบาลต้องใช้เงินต่อสูกับ Covid-19 ทำให้ต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนในด้านสาธารณสุขมาก อีกหนึ่งปัญหาที่พบเหมือนกันทั่วโลกคือ ประเทศกำลังพัฒนามักจะมีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูง ส่วนหนึ่งคือรัฐบาลต้องใช้เงินต่อสูกับ Covid-19 ทำให้ต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนในด้านสาธารณสุขมาก 2. รู้จักดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย องค์ประกอบ และดัชนีอะไรที่ใช้เป็นตัววัดตลาดหุ้นอินเดีย ตลาดหุ้นอินเดียจัดอยู่ใน Emerging Market ตลาดหุ้นอินเดียจัดอยู่ใน Emerging Market Sensex และ Nifty 50 ต่างเป็นดัชนีหลักที่ตลาดหุ้น Bombayและ National Security Exchange (NSE) ตามลำดับ สัดส่วนและ sector distribution ของหุ้นที่เป็นองค์ประกอบจะมีความคล้ายกัน เช่น Sensex และ Nifty 50 ต่างเป็นดัชนีหลักที่ตลาดหุ้น Bombayและ National Security Exchange (NSE) ตามลำดับ สัดส่วนและ sector distribution ของหุ้นที่เป็นองค์ประกอบจะมีความคล้ายกัน เช่น หุ้น Reliance ที่เปรียบได้กับ ปตท. บ้านเด็กการเงิน ดูทั้งพลังงานและปิโตรเคมี Infosys หุ้นไอทียักษ์ใหญ่ของอินเดีย หุ้นธนาคารและสินเชื่อ HDFC Bank, ICCI Bank และ Housing Dev Finance Corp เป็นต้น หุ้น Reliance ที่เปรียบได้กับ ปตท. บ้านเด็กการเงิน ดูทั้งพลังงานและปิโตรเคมี Infosys หุ้นไอทียักษ์ใหญ่ของอินเดีย หุ้นธนาคารและสินเชื่อ HDFC Bank, ICCI Bank และ Housing Dev Finance Corp เป็นต้น MSCI India คือ ตะกร้าดัชนีโดยบริษัท MSCI วัดผลงานของหุ้นขนาดใหญ่และกลาง MSCI India คือ ตะกร้าดัชนีโดยบริษัท MSCI วัดผลงานของหุ้นขนาดใหญ่และกลาง มูลค่าประมาณ 85% ของหุ้นอินเดียทั้งหมด ปัจจุบันมี 107 หุ้น มูลค่าประมาณ 85% ของหุ้นอินเดียทั้งหมด ปัจจุบันมี 107 หุ้น MSCI India มักจะถูกใช้เป็นตัว Benchmark ของกองทุนหุ้นอินเดีย เนื่องจากความครอบคลุมของมัน MSCI India มักจะถูกใช้เป็นตัว Benchmark ของกองทุนหุ้นอินเดีย เนื่องจากความครอบคลุมของมัน อย่างไรก็ตามทั้ง Sensex, Nifty 50 และ MSCI India มักจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน โดยมีกลุ่ม Financials, IT และ Energy กว่า 60% อย่างไรก็ตามทั้ง Sensex, Nifty 50 และ MSCI India มักจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน โดยมีกลุ่ม Financials, IT และ Energy กว่า 60% 3. รู้จักกองทุน B-BHARATA กองทุน B-BHARATA ลงทุนในกองทุนหลัก RAMS India – India Equities Portfolio Fund Class I กองทุน B-BHARATA ลงทุนในกองทุนหลัก RAMS India – India Equities Portfolio Fund Class I บริหารแบบ Active ที่ระดับความเสี่ยง 6 สร้างพอร์ตแบบสมดุล ไม่ผันผวนเกินไป เลือกหุ้นจากมุมมอง Macro และ valuation เพื่อสร้าง Alpha เหนือ Benchmark MSCI India (USD) บริหารแบบ Active ที่ระดับความเสี่ยง 6 สร้างพอร์ตแบบสมดุล ไม่ผันผวนเกินไป เลือกหุ้นจากมุมมอง Macro และ valuation เพื่อสร้าง Alpha เหนือ Benchmark MSCI India (USD) กองทุนหลักของ B-BHARATA มี Alpha และ Beta ดังนี้ กองทุนหลักของ B-BHARATA มี Alpha และ Beta ดังนี้ 1 Yr/ 3 Yr Alpha +7.48%/+3.03% 1 Yr/ 3 Yr Beta 0.94/1.02 1 Yr/ 3 Yr Alpha +7.48%/+3.03% 1 Yr/ 3 Yr Beta 0.94/1.02 Beta ของกองทุนหลักอยู่ที่ ประมาณ 1 แต่สามารถสร้าง Alpha ได้ Beta ของกองทุนหลักอยู่ที่ ประมาณ 1 แต่สามารถสร้าง Alpha ได้ กองทุน B-BHARATA มีผลงานย้อนหลังดังนี้ กองทุน B-BHARATA มีผลงานย้อนหลังดังนี้ 1 Yr Return 20.80% 3 Yr Return 16.79% 5 Yr Return N.A.% 1 Yr Return 20.80% 3 Yr Return 16.79% 5 Yr Return N.A.% การจัดพอร์ตของ RAMS India – India Equities Portfolio ประกอบด้วยหุ้นขนาดกลางและใหญ่ กระจายตัว 40-50 ตัว ผู้จัดการกองทุนเป็นสาย Macro ที่เลือกหุ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสม และเลือกหุ้นจาก valuation เป็นหลัก การจัดพอร์ตของ RAMS India – India Equities Portfolio ประกอบด้วยหุ้นขนาดกลางและใหญ่ กระจายตัว 40-50 ตัว ผู้จัดการกองทุนเป็นสาย Macro ที่เลือกหุ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสม และเลือกหุ้นจาก valuation เป็นหลัก อย่างไรก็ตามการเลือก sector weight ไม่ได้เลือกฉีกออกจาก Benchmark มากจนเกินไป (มีความแตกต่างสูงสุดอยู่ที่ 6%) และไม่ได้เป็นสาย Growth แบบกองทุนอินเดียอื่น ๆ ที่เน้น IT หรือ new economy มาก ด้วยเหตุผลนี้ แม้ตลาดหุ้นอินเดียจะมีการปรับฐานบ้าง B-BHARATA ก็ยังรักษา drawdown ได้ดี ต่างจากกองทุน India เน้น growth พอเวลาปรับฐาน จะติดลบรุนแรงกว่า Benchmark ได้ อย่างไรก็ตามการเลือก sector weight ไม่ได้เลือกฉีกออกจาก Benchmark มากจนเกินไป (มีความแตกต่างสูงสุดอยู่ที่ 6%) และไม่ได้เป็นสาย Growth แบบกองทุนอินเดียอื่น ๆ ที่เน้น IT หรือ new economy มาก ด้วยเหตุผลนี้ แม้ตลาดหุ้นอินเดียจะมีการปรับฐานบ้าง B-BHARATA ก็ยังรักษา drawdown ได้ดี ต่างจากกองทุน India เน้น growth พอเวลาปรับฐาน จะติดลบรุนแรงกว่า Benchmark ได้ 4. จุดเด่นที่เด็กการเงินชอบในกองทุนนี้ กองทุนหลักบริหารโดยผู้จัดการกองทุนหุ้นอินเดีย Sulabh Jhajharia ที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปี เข้าใจหุ้นและตลาดหุ้นอินเดียเป็นอย่างดี จากที่เด็กการเงินได้อ่าน Fund Complementary ทำให้เข้าใจแนวคิดของผู้จัดการกองทุนท่านนี้ว่าเป็นมุมมองระยะกลาง-ยาว เป็นสายติดตาม Macroeconomic และมีการทำ valuation เพื่อประเมินหุ้นที่จะเติมเข้ามาในพอร์ตเพื่อหา alpha พอร์ตการลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนเอาชนะ Benchmark ได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยที่สามารถควบคุมความผันผวนให้ได้ใกล้เคียงตลาด ที่ Beta ประมาณ 1 B-BHARATA มีค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผล มีเรทติ้ง MorningStar ที่ 4 ดาว สำหรับกองทุนหลัก (ประเภท India Equity Large Cap) และ 5 ดาว สำหรับกองทุนไทย (ประเภท India Equity) ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565 กองทุนหลักบริหารโดยผู้จัดการกองทุนหุ้นอินเดีย Sulabh Jhajharia ที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปี เข้าใจหุ้นและตลาดหุ้นอินเดียเป็นอย่างดี จากที่เด็กการเงินได้อ่าน Fund Complementary ทำให้เข้าใจแนวคิดของผู้จัดการกองทุนท่านนี้ว่าเป็นมุมมองระยะกลาง-ยาว เป็นสายติดตาม Macroeconomic และมีการทำ valuation เพื่อประเมินหุ้นที่จะเติมเข้ามาในพอร์ตเพื่อหา alpha พอร์ตการลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนเอาชนะ Benchmark ได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยที่สามารถควบคุมความผันผวนให้ได้ใกล้เคียงตลาด ที่ Beta ประมาณ 1 B-BHARATA มีค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผล มีเรทติ้ง MorningStar ที่ 4 ดาว สำหรับกองทุนหลัก (ประเภท India Equity Large Cap) และ 5 ดาว สำหรับกองทุนไทย (ประเภท India Equity) ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565 ด้วยปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ เด็กการเงินจึงคิดว่า B-BHARATA เป็นกองทุนที่น่าสนใจ เพื่อหาผลตอบแทนจากการเติบโตของประเทศอินเดีย ซึ่งแนะนำว่าต้องใช้เวลาในการลงทุนที่ยาวหน่อย เพื่อให้ได้ผลตอบแทนผ่านช่วงเวลาที่ผันผวนไปได้ ความผันผวน (เมื่อเทียบจาก standard deviation) กองทุนอินเดียเมื่อเทียบกับหุ้นโลก ค่อนข้างที่จะผันผวนกว่า ดังนั้นผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรลงทุนหุ้นอินเดียลดหลั่นลงมา ไม่เกิน 10% ของพอร์ต เป็นต้น ด้วยปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ เด็กการเงินจึงคิดว่า B-BHARATA เป็นกองทุนที่น่าสนใจ เพื่อหาผลตอบแทนจากการเติบโตของประเทศอินเดีย ซึ่งแนะนำว่าต้องใช้เวลาในการลงทุนที่ยาวหน่อย เพื่อให้ได้ผลตอบแทนผ่านช่วงเวลาที่ผันผวนไปได้ ความผันผวน (เมื่อเทียบจาก standard deviation) กองทุนอินเดียเมื่อเทียบกับหุ้นโลก ค่อนข้างที่จะผันผวนกว่า ดังนั้นผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรลงทุนหุ้นอินเดียลดหลั่นลงมา ไม่เกิน 10% ของพอร์ต เป็นต้น รีวิวด้วยความเห็นส่วนบุคคลโดยเด็กการเงิน และไม่ได้แนะนำการลงทุน รีวิวด้วยความเห็นส่วนบุคคลโดยเด็กการเงิน และไม่ได้แนะนำการลงทุน เด็กการเงิน DekFinance เด็กการเงิน DekFinance ที่มาบทความ: ที่มาบทความ: คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
กองทุน B-BHARATA ลงทุนในกองทุนหลัก RAMS India – India Equities Portfolio Fund Class I บริหารแบบ Active ที่ระดับความเสี่ยง 6 สร้างพอร์ตแบบสมดุล ไม่ผันผวนเกินไป เลือกหุ้นจากมุมมอง Macro และ valuation เพื่อสร้าง Alpha เหนือ Benchmark MSCI India (USD) กองทุนหลักของ B-BHARATA มี Alpha และ Beta ดังนี้ - 1 Yr/ 3 Yr Alpha +7.48%/+3.03% - 1 Yr/ 3 Yr Beta 0.94/1.02 Beta ของกองทุนหลักอยู่ที่ประมาณ 1 แต่สามารถสร้าง Alpha ได้ กองทุน B-BHARATA มีผลงานย้อนหลังดังนี้ - 1 Yr Return 20.80% - 3 Yr Return 16.79% - 5 Yr Return N.A.% การจัดพอร์ตของ RAMS India – India Equities Portfolio ประกอบด้วยหุ้นขนาดกลางและใหญ่ กระจายตัว 40-50 ตัว ผู้จัดการกองทุนเป็นสาย Macro ที่เลือกหุ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสม และเลือกหุ้นจาก valuation เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม การเลือก sector weight ไม่ได้เลือกฉีกออกจาก Benchmark มากจนเกินไป (มีความแตกต่างสูงสุดอยู่ที่ 6%) และไม่ได้เป็นสาย Growth แบบกองทุนอินเดียอื่น ๆ ที่เน้น IT หรือ new economy มาก ด้วยเหตุผลนี้ แม้ตลาดหุ้นอินเดียจะมีการปรับฐานบ้าง B-BHARATA ก็ยังรักษา drawdown ได้ดี ต่างจากกองทุน India เน้น growth พอเวลาปรับฐาน จะติดลบรุนแรงกว่า Benchmark ได้
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1085
Finance
อเมริกาเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1890 ซึ่งมาจากอะไร
1. นวัตกรรมในการผลิต การเงิน และเทคโนโลยี 2. ความเชื่อมั่นต่อระบบการเงิน 3. สินเชื่อ 4. หุ้นกู้
คำตอบที่ถูกต้องคือ 1. เพราะว่า อเมริกาเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1890 ซึ่งมาจากนวัฒกรรมในการผลิต การเงิน และเทคโนโลยี มีผู้คนจากหลากหลายประเทศเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำงานเป็นจำนวนมากด้วยค่าแรงที่สูง หลังจากสงครามโลกทั้ง 1 และ 2 มา อเมริกาเติบโตได้ดีมาตลอดร่วม 80 ปีแล้ว แม้จะมีหดตัวบ้าง วิกฤตบ้าง ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น และอสังหาก็เติบโตมาคู่กับเศรษฐกิจของ US ที่ขยายตัวมาตลอด ช่วงที่อสังหาของ US เติบโตเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ มันแบกหนี้ก้อนใหญ่มาด้วย และใช้เวลาสะสมกว่าเกือบ 30 ปี (ช่วงเข้าสู่ดอกเบี้ยขาลงตั้งแต่ปี 1982) ก่อนจะเกิดวิกฤติ Subprime ขึ้นในปี 2008 เมื่อดอกเบี้ยลดลง การอนุมัติกู้เงินก็ง่ายขึ้น ค่าใช้จ่ายที่น้อยลง ส่งผลให้คนกู้เงินมาใช้อุปโภคบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงซื้อบ้านกันมากขึ้น ทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็น passive income หรือสินทรัพย์เก็งกำไร ตลอดหลายสิบปี เริ่มมีคนที่ประสบความสำเร็จ จากการซื้อบ้านมาขาย มาปล่อยเช่ามากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเวลาเกือบ 30 ปี ที่ราคาบ้านเพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลา ใครซื้อไว้ก็ได้กำไร ไม่มีใครคาดคิดด้วยซ้ำว่าราคาบ้านจะลดลงได้ เพราะอสังหาถูกมองว่าเป็น safe asset เมื่อดอกเบี้ยต่ำลงเรื่อย ๆ มันจึงดึงให้คนสนใจซื้ออสังหามากเป็นทวีคูณ บ้างซื้ออยู่อาศัยเอง บ้างซื้อสะสมหวังรวย บางคนมีได้ถึง 3-4 แห่ง ฝั่งบริษัทก่อสร้างต่าง ๆ เมื่อเห็นความต้องการของลูกค้าเพิ่มก็สร้างเพิ่มให้มากที่สุด ฝั่งสถาบันการเงินก็เห็นว่าบ้านเป็นสิ่งที่คนจะไม่ทิ้งไปแน่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะมันเป็นเหมือน Safe Zone และเป็นสิ่งที่ทุกคนไฝ่ฝันว่าจะมีขาขึ้นอันยาวนานได้วาดฝันกำไรอันสวยงามให้กับทุกฝ่าย
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1098
Finance
National Digital ID (NDID) Platform กลางของประเทศใด
1. ประเทศลาว 2. ประเทศกัมพูชา 3. ประเทศจีน 4. ประเทศไทย
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 4. เพราะว่า National Digital ID (NDID) Platform คือ Platform กลางของประเทศไทยในการเป็นโครงสร้างพื้นฐานของการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่อเชื่อมโยงหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเข้าด้วยกัน เป็นระบบกลางสำหรับบริหารจัดการ Digital ID เพื่อสนับสนุนกระบวนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เช่น 1. การตรวจพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (e-KYC) 2. การลงนามด้วยลายมือชื่อดิจิทัล (e-Signature) 3. การให้ความยินยอมในการเปิดเผยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Consent) เป็นการสร้างมาตรฐานและยกระดับการทำธุรกรรมต่าง ๆ ให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างระบบ Data Sharing โดยทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างไรก็ตามการ Data Sharing ดังกล่าวต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อนจึงจะสามารถเชื่อมต่อข้อมูลได้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_110
Finance
ช่วยสรุปบทความ 4 ข้อคิดดีดี พาผู้ประกอบการก้าวข้ามกับดักภาษี
​เรื่องภาษีควรถูกมองให้เป็นตัวช่วย มากกว่าเป็นภาระที่ต้องเลี่ยง ผู้ประกอบการที่เติบโตและมีกิจการที่ขยายตัวเพิ่มได้ ต่างก้าวผ่านความพยายามเลี่ยงภาษีไปเป็นความพยายามจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพแทน และภาษีเป็นเรื่องที่ต้องรู้ในฐานะเจ้าของกิจการมากกว่าเป็นเรื่องของบัญชีหรือที่ปรึกษาเท่านั้น ข้อคิดที่ 1 ความรู้ภาษี คือ กำไรของผู้ประกอบการ การรู้และเข้าใจภาษีอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ผู้ประกอบการเสียภาษีได้น้อยลงในวิธีที่ถูกต้องตามกฎหมาย หมายถึง หากผู้ประกอบการมีความรู้ก็สามารถช่วยเพิ่มกำไรให้กับกิจการได้อย่างตรงไปตรงมา การศึกษาความรู้เรื่องภาษีจึงเป็นสิ่งที่เจ้าของกิจการควรศึกษาไว้บ้าง ถึงแม้ธุรกิจจะจ้างนักบัญชีเป็นที่ปรึกษาก็ตาม เช่น ธุรกิจมีการประมาณการกำไร พิจารณาจากกำไรในอดีตและแนวโน้มการเติบโตหากกิจการคาดว่ากำไรเฉลี่ยต่อปีจะเกิน 750,000 บาทก็ควรเลือกประกอบธุรกิจในรูปบริษัท เนื่องจากอัตราภาษีอยู่ที่ 15% (กรณี เป็นกิจการ SMEs) ซึ่งจะประหยัดภาษีมากกว่ากรณีบุคคลธรรมดา ทำให้เหลือกำไรสุทธิมากกว่านั่นเอง ข้อคิดที่ 2 การเข้าใจภาษีจะช่วยให้ผู้ประกอบการคำนวณต้นทุนสินค้าได้อย่างถูกต้อง ​ภาษีเป็นส่วนนึงที่มีผลต่อราคาสินค้าค่อนข้างมาก นอกจากต้นทุนโดยตรงของสินค้ายังมีทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีเงินได้ ฯลฯ ขณะเดียวกันทางภาครัฐก็มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีมาตรการในการสนับสนุนธุรกิจ SMEs เช่น การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้น , การจ้างงานผู้สูงอายุ ที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ค่าจ้างไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท (กิจการจะสามารถหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า)ฯ ที่กล่าวมานี้ หากผู้ประกอบการมีความเข้าใจและสามารถคำนวณได้จะทราบกำไรที่แท้จริงของกิจการได้อย่างถูกต้องและสามารถวางแผนกลยุทธ์เพื่อบริหารทรัพยากร การกำหนดราคาสินค้าที่เหมาะสม รวมถึงการแบ่งปันการช่วยเหลือชุมชนและสังคม ผ่านความเข้าใจเรื่องภาษีได้ ข้อคิดที่ 3 ต้นทุนของการหนีหรือหลบเลี่ยงภาษี มักสูงกว่าภาษีที่ลดได้ ผู้ประกอบการหลายท่านอาจได้รับคำแนะนำถึงวิธีการที่สามารถทำให้เสียภาษีน้อยที่สุด จนหลายครั้งกลับมีต้นทุนในการหลบเลี่ยงภาษีหรือลดภาษีแพงว่าภาษีที่ลดได้เสียอีก เช่น ไปซื้อสินทรัพย์อย่างรถยนต์ให้ผู้ประกอบการใช้ส่วนตัวแต่ไม่มีอยู่ในระเบียบบริษัทในส่วนสวัสดิการ (เข้าข่ายรายจ่ายต้องห้าม) มีลักษณะเป็นรายจ่ายส่วนตัวที่ไม่ได้ใช้เพื่อธุรกิจแต่ลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายบริษัท หรือ หากระบุในสวัสดิการแต่บริษัทมีรถยนต์หลายคันที่ใช้งานในธุรกิจอยู่แล้วทำให้เม็ดเงินที่เสียไปไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ซึ่งหากเป็นกรณีที่เข้าข่ายรายจ่ายต้องห้ามนำมาลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายบริษัทและถูกตรวจสอบพบเข้าจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย จึงควรทำอย่างตรงไปตรงมาจะดีกว่า อีกตัวอย่างนึงผู้ประกอบการอาจได้รับคำแนะนำให้ไปซื้อใบเสร็จปลอมมาลดหย่อนภาษี แบบนี้ต้นทุนสูงมาก เพราะถ้าโดนจับเมื่อไหร่ เจอค่าปรับมหาศาล ทั้งเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และโทษอาจร้ายแรงกว่านี้ได้ แต่หากผู้ประกอบการมีความรู้เรื่องการจัดการการเงิน รวมถึงรายละเอียดบัญชีว่าธุรกิจมีรายได้ ต้นทุนและค่าใช้จ่ายเท่าไรบ้าง ก็จะได้ข้อมูลบัญชีที่ถูกต้องจะทำให้วางแผนช่วยจัดการเรื่องการเงินไปจนถึงจัดการเรื่องภาษีได้ ข้อคิดที่ 4 เป้าหมายของกิจการคือกำไรที่เติบโตและพัฒนาไปสู่การเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน ไม่ใช่การทำให้ภาษีต่ำสุด อย่างที่กล่าวไปตอนต้น ภาษีและการดำเนินธุรกิจเป็นของคู่กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับความสามารถในการบริหารกิจการที่จะทำให้กำไรเติบโตและธุรกิจมีความยั่งยืนเป็นอันดับแรก ส่วนด้านภาษีผู้ประกอบการควรศึกษาหาความรู้ควบคู่ไปด้วยประกอบกับปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือเพื่อวางแผนจัดการภาษี ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการเข้าใจที่มาที่ไปด้านการเงินของธุรกิจด้วย จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการเสียภาษีอากรไม่ถูกต้อง ทั้งยังลดขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ไม่จำเป็น และไม่ได้มาตรฐาน และการเสียภาษีอากรที่ถูกต้องยังจะช่วยทำให้ระบบการควบคุมภายในให้มีประสิทธิภาพ ไม่ต้องกังวลปัญหาทางภาษีอากรในภายหลัง
4 ข้อคิดดีดี พาผู้ประกอบการก้าวข้ามกับดักภาษี 1. ความรู้ภาษีมีผลต่อกำไรของผู้ประกอบการ การเข้าใจภาษีช่วยในการลดภาระภาษีตามกฎหมาย ควรศึกษาเพื่อช่วยวางแผนการเสียภาษีให้มีประสิทธิภาพ โดยการเลือกประกอบธุรกิจในรูปบริษัทสามารถประหยัดภาษีมากกว่ากรณีบุคคลธรรมดา 2. การเข้าใจภาษีช่วยให้ผู้ประกอบการคำนวณต้นทุนสินค้าได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากภาษีมีผลต่อราคาสินค้ามาก ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต และภาษีอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อกิจการ ภาครัฐยังมีมาตรการสนับสนุน SMEs เช่น การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้น และการจ้างงานผู้สูงอายุ ผู้ประกอบการที่เข้าใจภาษีสามารถวางแผนกลยุทธ์บริหารทรัพยากรและกำหนดราคาสินค้าได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการแบ่งปันช่วยเหลือชุมชนและสังคมผ่านการเข้าใจภาษีได้ 3. ต้นทุนของการหนีหรือหลบเลี่ยงภาษี มักสูงกว่าภาษีที่ลดได้ ผู้ประกอบการบางคนทำตามคำแนะนำเพื่อลดภาษี แต่มักพบว่าต้นทุนการหลบเลี่ยงภาษีสูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น การซื้อรถส่วนตัวและใช้เพื่อธุรกิจโดยไม่ลงทะเบียนในบัญชีบริษัท หรือการใช้ใบเสร็จปลอมลดหย่อนภาษีหากโดนจับได้ค่าปรับจะสูงมาก ผู้ประกอบการควรทำการบัญชีอย่างถูกต้อง เพื่อวางแผนการเงินและการจัดการภาษีให้มีประสิทธิภาพ 4. เป้าหมายของธุรกิจคือการเพิ่มกำไรและพัฒนาให้เป็นธุรกิจที่ยั่งยืน ไม่ใช่การมุ่งหวังภาษีต่ำสุด ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการบริหารกิจการเพื่อเพิ่มกำไรและความยั่งยืน การศึกษาและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภาษีจะช่วยลดความผิดพลาดและประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งยังเสริมความเข้าใจทางการเงินธุรกิจ ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพในระบบการควบคุมภายใน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาทางภาษีอากรในอนาคต
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.เครื่องมือทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,6.การบริหารสินทรัพย์,7.การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_1104
Finance
กองทุน Clean Energy, กองทุน Climate Change และ กองทุน ESG แตกต่างกันอย่างไรบ้าง
จัดกลุ่มกองทุน Clean Energy + Climate Change + ESG มีเยอะแค่ไหนก็ไม่งง กองทุนรักษ์โลก หรือกองทุนเพื่อโลกของเรามีออกมาให้เลือกกันมากมายเหลือเกิน (เป็นเรื่องที่ดี) จึงเกิดเป็นคำถามหลาย ๆ ครั้งว่ากองทุนแต่ละประเภทต่างกันอย่างไร? กองทุนรักษ์โลก หรือกองทุนเพื่อโลกของเรามีออกมาให้เลือกกันมากมายเหลือเกิน (เป็นเรื่องที่ดี) จึงเกิดเป็นคำถามหลาย ๆ ครั้งว่ากองทุนแต่ละประเภทต่างกันอย่างไร? วันนี้ เด็กการเงิน ขออาสามาจัดกลุ่มกองทุน Clean Energy, กองทุน Climate Change และ กองทุน ESG ให้เข้าใจว่ามันแตกต่างกันอย่างไร พร้อมแล้วไปลุยกันเลย วันนี้ เด็กการเงิน ขออาสามาจัดกลุ่มกองทุน Clean Energy, กองทุน Climate Change และ กองทุน ESG ให้เข้าใจว่ามันแตกต่างกันอย่างไร พร้อมแล้วไปลุยกันเลย 1. กองทุน Clean Energy หรือ Energy Transition ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ฟาร์ม แบตเตอรี่ ไฮโดรเจน เป็นต้น ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ฟาร์ม แบตเตอรี่ ไฮโดรเจน เป็นต้น อันนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมาสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่ทำเรื่องพลังงานทดแทน หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้พลังงานสะอาด บางกองจะมีผสม บริษัทที่ผลิตรถ EV หรือ Charger มาด้วย อันนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมาสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่ทำเรื่องพลังงานทดแทน หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้พลังงานสะอาด บางกองจะมีผสม บริษัทที่ผลิตรถ EV หรือ Charger มาด้วย 2. กองทุน Climate Change หรือ Environment Impact ลงทุนในหุ้นที่โดดเด่นเรื่องการลดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมหรือสินค้า และบริการ ได้ประโยชน์จากเรื่องสิ่งแวดล้อม กองทุนประเภทนี้ค่อนข้างคล้ายกับกองทุนประเภท ESG แต่เน้นในเรื่องของ E-environment โดยหุ้นที่คัดเลือกเข้ามานั้นจะต้องมี 1 ใน 2 คุณสมบัติต่อไปนี้คือ ลงทุนในหุ้นที่โดดเด่นเรื่องการลดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมหรือสินค้า และบริการ ได้ประโยชน์จากเรื่องสิ่งแวดล้อม กองทุนประเภทนี้ค่อนข้างคล้ายกับกองทุนประเภท ESG แต่เน้นในเรื่องของ E-environment โดยหุ้นที่คัดเลือกเข้ามานั้นจะต้องมี 1 ใน 2 คุณสมบัติต่อไปนี้คือ มีการสร้างสินค้าหรือบริการที่ได้ประโยชน์จากการลดการปลดปล่อย CO2 เช่น วัสดุทดแทน เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต Smart Building หรือ ทำให้สินค้าและบริการของตัวเองได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น เช่น ลดการใช้วัสดุอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นผู้ที่ปรับตัวได้ดีในยุคที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีการสร้างสินค้าหรือบริการที่ได้ประโยชน์จากการลดการปลดปล่อย CO2 เช่น วัสดุทดแทน เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต Smart Building หรือ ทำให้สินค้าและบริการของตัวเองได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น เช่น ลดการใช้วัสดุอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นผู้ที่ปรับตัวได้ดีในยุคที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3. กองทุน ESG (ย่อมาจาก Environment, Social และ Governance) ลงทุนในหุ้นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน หรือหลัก ESG สนับสนุนในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และกำกับดูแลกิจการที่ดี ลงทุนในหุ้นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน หรือหลัก ESG สนับสนุนในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และกำกับดูแลกิจการที่ดี บริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญต่อความยั่งยืน หรือกรอบ ESG มากขึ้น ซึ่งกำลังมีความสำคัญกับการเลือกหุ้นของนักลงทุนและผู้จัดการกองทุน ที่ต้องการเลือกหุ้นที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้ถือหุ้น ดังนั้นบริษัทที่สามารถดำเนินการในเรื่อง ESG ได้ดี ย่อมทำให้นักลงทุนเชื่อใจที่จะลงทุนด้วยในระยะยาวมากขึ้น บริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญต่อความยั่งยืน หรือกรอบ ESG มากขึ้น ซึ่งกำลังมีความสำคัญกับการเลือกหุ้นของนักลงทุนและผู้จัดการกองทุน ที่ต้องการเลือกหุ้นที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้ถือหุ้น ดังนั้นบริษัทที่สามารถดำเนินการในเรื่อง ESG ได้ดี ย่อมทำให้นักลงทุนเชื่อใจที่จะลงทุนด้วยในระยะยาวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ESG ในบางบริษัทถือว่าเป็น cost ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น บริษัทที่สามารถทำ ESG ได้ดีต้องเกิดจากผู้บริหารที่มีความสามารถ เอาใจใส่ให้ความสำคัญในเรื่อง ESG และการทำธุรกิจให้เติบโตควบคู่กันไปด้วย อย่างไรก็ตาม ESG ในบางบริษัทถือว่าเป็น cost ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น บริษัทที่สามารถทำ ESG ได้ดีต้องเกิดจากผู้บริหารที่มีความสามารถ เอาใจใส่ให้ความสำคัญในเรื่อง ESG และการทำธุรกิจให้เติบโตควบคู่กันไปด้วย ตรงนี้ผู้จัดการกองทุนที่คัดหุ้น ESG เก่งก็จะวิเคราะห์หลายมิติประกอบกัน ว่าหุ้นที่จะถูกเลือกมีคุณภาพจริงหรือไม่ ตรงนี้ผู้จัดการกองทุนที่คัดหุ้น ESG เก่งก็จะวิเคราะห์หลายมิติประกอบกัน ว่าหุ้นที่จะถูกเลือกมีคุณภาพจริงหรือไม่ กองทุนทั้งสามประเภทมี Catalyst ที่คล้ายคลึงกันก็คือ กองทุนทั้งสามประเภทมี Catalyst ที่คล้ายคลึงกันก็คือ การที่ประเทศทั่วโลกมาเน้นให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม รณรงค์ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อลดสภาวะโลกร้อน ประเทศในกลุ่มยุโรปเริ่มตั้งเป้า Carbon Neutrality (ปลดปล่อย CO2 เป็น 0) ในปี 2040 และตามมาด้วย USA และ Japan ในปี 2050 ยังมีหลายประเทศที่กำลังตั้งเป้าเช่นนี้ ซึ่งตัวแปรหลักตัวแปรหนึ่งก็คือการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล กับการเดินทางและอุตสาหกรรมในปริมาณที่มาก พลังงานทดแทนจึงมีความสำคัญมากขึ้นทดแทนเชื้อเพลิงดั้งเดิม การที่ประเทศทั่วโลกมาเน้นให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม รณรงค์ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อลดสภาวะโลกร้อน นอกจากพลังงานสะอาดแล้ว หลายประเทศหันมารณรงค์ลดมลภาวะจากการผลิตสินค้า โดยสินค้าจะต้องมีลักษณะหมุนเวียนกลับสู่สิ่งแวดล้อมได้ไวขึ้น หรือใช้คำว่า Renewable Material (วัสดุหมุนเวียน) เช่นนี้จะทำให้วงจรชีวิต (Life Cycle) ของผลิตภัณฑ์สั้นลง กลับสู่สิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น โดยสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะมีการรับรอง และผู้บริโภคที่เอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อมจะเลือกสินค้าที่เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น หรือผู้บริโภคจะเลือกสินค้าและบริการที่ได้รับการรับรองว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แม้จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นบ้าง เป็น customer value ที่เกิดขึ้นใหม่ในยุคนี้ นอกจากพลังงานสะอาดแล้ว หลายประเทศหันมารณรงค์ลดมลภาวะจากการผลิตสินค้า โดยสินค้าจะต้องมีลักษณะหมุนเวียนกลับสู่สิ่งแวดล้อมได้ไวขึ้น หรือใช้คำว่า Renewable Material (วัสดุหมุนเวียน) เช่นนี้จะทำให้วงจรชีวิต (Life Cycle) ของผลิตภัณฑ์สั้นลง กลับสู่สิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น โดยสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะมีการรับรอง และผู้บริโภคที่เอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อมจะเลือกสินค้าที่เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น หรือผู้บริโภคจะเลือกสินค้าและบริการที่ได้รับการรับรองว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แม้จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นบ้าง เป็น customer value ที่เกิดขึ้นใหม่ในยุคนี้ เมกะเทรนด์ Green เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าคนให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อย่างไรก็ตามหุ้นอาจจะมีการปรับตัวขึ้นลงแรงได้เนื่องจากนักลงทุนให้ความคาดหวังกับการเติบโตที่มาก ดังนั้นเราจึงแนะนำกองทุนประเภทต่าง ๆ ไว้แล้ว ว่าควรลงทุนเป็นส่วนเสริมของ Core (ลงทุนยาว ๆ หน่อย) หรือ Satellite (ใช้จังหวะการลงทุนเข้าช่วย) เมกะเทรนด์ Green เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าคนให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อย่างไรก็ตามหุ้นอาจจะมีการปรับตัวขึ้นลงแรงได้เนื่องจากนักลงทุนให้ความคาดหวังกับการเติบโตที่มาก ดังนั้นเราจึงแนะนำกองทุนประเภทต่าง ๆ ไว้แล้ว ว่าควรลงทุนเป็นส่วนเสริมของ Core (ลงทุนยาว ๆ หน่อย) หรือ Satellite (ใช้จังหวะการลงทุนเข้าช่วย) การสนับสนุนกองทุนประเภทนี้ก็มีส่วนช่วยให้บริษัทที่สร้างผลิตภัณฑ์รักษ์โลกออกมาให้มีออกมามากขึ้น ถือเป็นการสนับสนุนทางอ้อมนะ ให้เงินเติบโตไปกับโลกสีเขียวใบนี้ การสนับสนุนกองทุนประเภทนี้ก็มีส่วนช่วยให้บริษัทที่สร้างผลิตภัณฑ์รักษ์โลกออกมาให้มีออกมามากขึ้น ถือเป็นการสนับสนุนทางอ้อมนะ ให้เงินเติบโตไปกับโลกสีเขียวใบนี้ หวังว่าบทความนี้จะทำให้ใครหลายคนหายงงกับกองทุนรักษ์โลกประเภทต่าง ๆ หวังว่าบทความนี้จะทำให้ใครหลายคนหายงงกับกองทุนรักษ์โลกประเภทต่าง ๆ อย่างไรก็ตามนี่เป็นการจัดกลุ่มกองทุนเบื้องต้นโดยเด็กการเงินเท่านั้น หากมีคำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะ สามารถบอกเราได้ อย่างไรก็ตามนี่เป็นการจัดกลุ่มกองทุนเบื้องต้นโดยเด็กการเงินเท่านั้น หากมีคำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะ สามารถบอกเราได้ เด็กการเงิน DekFinance เด็กการเงิน DekFinance ที่มาบทความ: ที่มาบทความ: คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
1. กองทุน Clean Energy หรือ Energy Transition ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ฟาร์ม แบตเตอรี่ ไฮโดรเจน เป็นต้น อันนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมาสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่ทำเรื่องพลังงานทดแทน หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้พลังงานสะอาด บางกองจะมีผสม บริษัทที่ผลิตรถ EV หรือ Charger มาด้วย 2. กองทุน Climate Change หรือ Environment Impact ลงทุนในหุ้นที่โดดเด่นเรื่องการลดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมหรือสินค้า และบริการ ได้ประโยชน์จากเรื่องสิ่งแวดล้อม กองทุนประเภทนี้ค่อนข้างคล้ายกับกองทุนประเภท ESG แต่เน้นในเรื่องของ E-environment โดยหุ้นที่คัดเลือกเข้ามานั้นจะต้องมี 1 ใน 2 คุณสมบัติต่อไปนี้ คือ 2.1. มีการสร้างสินค้าหรือบริการที่ได้ประโยชน์จากการลดการปลดปล่อย CO2 เช่น วัสดุทดแทน เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต Smart Building หรือ 2.2. ทำให้สินค้าและบริการของตัวเองได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น เช่น ลดการใช้วัสดุอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นผู้ที่ปรับตัวได้ดีในยุคที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3. กองทุน ESG (ย่อมาจาก Environment, Social และ Governance) ลงทุนในหุ้นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน หรือหลัก ESG สนับสนุนในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และกำกับดูแลกิจการที่ดี บริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญต่อความยั่งยืน หรือกรอบ ESG มากขึ้น ซึ่งกำลังมีความสำคัญกับการเลือกหุ้นของนักลงทุนและผู้จัดการกองทุน ที่ต้องการเลือกหุ้นที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้ถือหุ้น ดังนั้น บริษัทที่สามารถดำเนินการในเรื่อง ESG ได้ดี ย่อมทำให้นักลงทุนเชื่อใจที่จะลงทุนด้วยในระยะยาวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ESG ในบางบริษัทถือว่าเป็น cost ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น บริษัทที่สามารถทำ ESG ได้ดีต้องเกิดจากผู้บริหารที่มีความสามารถ เอาใจใส่ให้ความสำคัญในเรื่อง ESG และการทำธุรกิจให้เติบโตควบคู่กันไปด้วย ตรงนี้ผู้จัดการกองทุนที่คัดหุ้น ESG เก่งก็จะวิเคราะห์หลายมิติประกอบกันว่าหุ้นที่จะถูกเลือกมีคุณภาพจริงหรือไม่
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1105
Finance
องค์ประกอบและการเติบโตระยะยาวยังเป็นเหตุผลหนุนยีลด์ต่ำอยู่ เพราะเหตุใด
A. ในทางทฤษฎี เงินออมและรายได้ คือ ปัจจัยหลักที่กำหนดระดับยีลด์ B. เหตุผลในการถือบอนด์ในระยะยาวเริ่มไม่ชัดเจน C. ยีลด์ คือ ราคาของการเปลี่ยนกำลังซื้อในอนาคตมาเป็นปัจจุบัน D. อายุของชาวโลกมาถึงจังหวะที่เงินใช้จ่ายยามเกษียรสูงกว่าเงินเก็บของนักลงทุนรายใหม่แล้ว
คำตอบที่ถูกต้องคือ C. เพราะว่า องค์ประกอบและการเติบโตระยะยาวยังเป็นเหตุผลหนุนยีลด์ต่ำอยู่ เพราะ “ยีลด์” คือราคาของการเปลี่ยนกำลังซื้อในอนาคตมาเป็นปัจจุบัน ถ้าเศรษฐกิจไม่ต้องลงทุนหรือไม่ต้องการบริโภคเพิ่มในช่วงนี้ ยีลด์ก็ไม่ควรสูง ทั้งการลงทุนและการบริโภคยังคงเป็นเทรนด์ขาลง เห็นได้จากบทวิเคราะห์ของ National Income and Product Accounts (NIPA) ของสหรัฐที่ประเมินว่าสัดส่วนอุตสาหกรรมที่ต้องมีเงินทุนในการขับเคลื่อนยังเป็นขาลง ในปี 2025 จะลดลงเหลือเพียง “ครึ่งเดียว” เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจช่วงปี 1945 ส่วนการเติบโตปัจจุบัน โลกก็พึ่งพาแต่กำลังซื้อของประเทศกำลังพัฒนาเป็นหลัก ถ้าไม่เห็นจีนกลับมาเติบโตสูง หรือมีประเทศอื่นต้องการเป็นผู้นำด้านการบริโภคใหม่ ยีลด์ก็สามารถคงอยู่ในระดับต่ำได้แน่
5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1117
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "ธีมการลงทุนของประเทศในเอเชียที่เงินเฟ้อไม่สูง" ให้หน่อยค่ะ
ประเทศเอเชียเงินเฟ้อไม่สูง : ดำเนินนโยบายผ่อนคลายได้ดี โตมีเสถียรภาพ ในจังหวะที่ตลาดปรับตัวลดลง ธีมการลงทุนในประเทศที่เงินเฟ้อไม่สูง ทำให้ธนาคารกลางยังสามารถดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายต่อไปได้ สวนทางกับบางประเทศที่ต้องเปลี่ยนนโยบายเป็นเข้มงวดเนื่องจากเงินเฟ้อที่สูงค้ำคอ และยังเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ นับเป็นธีมที่น่าสนใจเข้าลงทุน โดยคุณวรสินี เศรษฐบุตร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) มองว่า มี 3 ประเทศที่โดดเด่นอย่างมาก นั่นก็คือ 1.ประเทศจีน : ที่มีข่าวบวกรออยู่มาก เป็นผลมาจากการประชุมคณะกรรมการความมั่นคงทางการเงิน และการพัฒนาที่อยู่ภายใต้สภาแห่งรัฐของจีน (China’s State Council) เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทางการจีนได้ให้คำมั่นไว้หลายข้อในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน คือ การประกาศว่าจะรักษาเสถียรภาพของตลาดการเงิน ผ่านการกระตุ้นการสื่อสารและการประสานงานระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล ของจีนแผ่นดินใหญ่และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (HKSAR) สนับสนุนการจดทะเบียนหุ้นในต่างประเทศ โดยระบุว่ามีความคืบหน้าเชิงบวกในการเจรจาเกี่ยวกับบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ และเสริมว่าทั้งสองฝ่ายกำลัง เจรจาเพื่อกำหนดแผนความร่วมมือโดยละเอียด1 ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ นับว่าเป็นข่าวเชิงบวกอย่างมาก ทั้งในแง่จิตวิทยาการลงทุน และธุรกิจในประเทศจีน 2.ประเทศเวียดนาม : อีกหนึ่งในประเทศที่มีความโดดเด่นทางด้านเศรษฐกิจ โดยเห็นได้จากคาดการณ์ของ IMF ที่ระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามในปี 2565 จะขยายตัวได้ 6.6% และธนาคารกลางยังมีแนวโน้มที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี2 ไม่เพียงเท่านี้ เวียดนามยังมีความโดดเด่นในฐานะที่เป็นประเทศที่มีเงินฟ้อต่ำอีกด้วย โดยในเดือนมี.ค. มีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.41%3 ขณะเดียวกันเวียดนามยังมีโครงสร้างประชากรวัยแรงงานในสัดส่วนสูง โดยข้อมูลล่าสุดในปี 2020 มีค่าเฉลี่ยอยู่อายุที่ประมาณ 15-64 ปี คิดเป็น 68.94% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งนับเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้อย่างดี4 3.ญี่ปุ่น : จัดอยู่ในประเทศพัฒนาแล้วที่มีเงินเฟ้อไม่สูงนัก ทำให้ไม่ถูกกดดันให้ดำเนินนโยบายแบบเข้มงวด และตามสถิติมัก perform ได้ดีในช่วงที่สหรัฐฯ ใช้นโยบายดอกเบี้ยขาขึ้น5อีกด้วย นอกจากนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 2 สะท้อนได้จากข้อมูลการเดินทางของ Google’s Mobility Trends และข้อมูลการค้นหาร้านอาหารที่เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น และหากสถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รัฐบาลน่าจะนำมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวอย่าง Go to Travel กลับมาใช้ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ด้วย6
ธีมการลงทุนของประเทศในเอเชียที่เงินเฟ้อไม่สูง ทำให้ธนาคารกลางสามารถดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายต่อไป ซึ่งสวนทางกับบางประเทศที่เปลี่ยนนโยบายเนื่องจากเงินเฟ้อสูง โดยมี 3 ประเทศที่โดดเด่นคือ 1. ประเทศจีน มีข่าวเชิงบวกว่าจะรักษาเสถียรภาพตลาดการเงินผ่านการกระตุ้นการสื่อสารและประสานงานระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลและเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และสนับสนุนการจดทะเบียนหุ้นในต่างประเทศ 2. ประเทศเวียดนาม มีความโดดเด่นในการเป็นประเทศที่มีเงินฟ้อต่ำ มีโครงสร้างประชากรวัยแรงงานในสัดส่วนสูง และมีความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 6.6% 3. ประเทศญี่ปุ่น มีเงินเฟ้อไม่สูงนัก ไม่ถูกกดดันให้ดำเนินนโยบายแบบเข้มงวด และเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวในไตรมาส 2 จากการเพิ่มขึ้นของข้อมูลการเดินทางของ Google’s Mobility Trends และการค้นหาร้านอาหาร
5.กลยุทธ์การลงทุน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_1120
Finance
Zilliqa คืออะไร
null
Zilliqa (ซิลิก้า) คือ เครือข่าย Blockchain ที่สามารถใช้ Smart Contract เพื่อสร้าง Decentralised Application (dApp) รวมถึงรองรับ Non-fungible Token (NFT) ซึ่ง Zilliqa เป็นเครือข่ายแรกที่นำเทคโนโลยี Sharding หรือการแบ่งข้อมูลกันประมวลผลภายในบล็อกเชน ทำให้การประมวลผลสามารถเกิดขึ้นได้แบบคู่ขนาน (Parallel processing) จึงเป็นการเพิ่มความเร็วโดยรวมของเครือข่าย Zilliqa มีเหรียญประจำเครือข่ายก็คือ ZIL ทีใช้ร่วมกับแอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นบนเครือข่าย และยังสามารถนำ ZIL ไปล็อก (Stake) เพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับเครือข่าย และรับรางวัลจากการมีส่วนร่วมเป็นเหรียญ ZIL ได้อีกด้วย Zilliqa ถูกก่อตั้งในปี 2017 โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งคือ Amrit Kumar และ Xinshu Don สองนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore) โดยนอกจากจุดเด่นด้านการเป็นเครือข่ายแบบ Sharding แล้ว Ziliqa ยังถูกออกแบบให้สามารถประมวลผลธุรกรรมที่มีความซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถขยายขนาดเพื่อรองรับจำนวนธุรกรรมที่จะเพิ่มขึ้นได้ ในช่วงแรกที่เพิ่งก่อตั้ง ทาง Ziliqa มีการทำ ICO ผ่านการเสนอขายเหรียญ ZIL มาตรฐาน ERC-20 บน Ethereum ก่อนที่เครือข่ายหลักของ Zilliqa จะเปิดตัวในเดือนมกราคม ปี 2019 ผู้ถือเหรียญจึงสามารถโอนเหรียญ ZIL ไปยังเครือข่ายหลักได้
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_114
Finance
​หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่ออะไร
ทำเงินต่อกับ LTF อย่างไร? เมื่อครบกำหนดแต่ยังขาดทุน “ • เราย้ายเงินก้อนLTF ครบกำหนดทั้งหมด ไปซื้อ SSF และ RMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด และมีนโยบายลงทุนหุ้นไทย เราจะสามารถประหยัดภาษีได้สูงสุด 35% ของเงินลงทุนใหม่(กรณีผู้ซื้อมีรายได้ฐานภาษี 35%) โดยที่เราได้กำไรแบบไม่ต้องเสียอะไรเลย • หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่อดันให้กองทุน LTF ที่ถืออยู่ปรับขึ้นตาม แล้วจะได้ไปซื้อ SSF RMF ได้อย่างสบายใจ แต่ก็มีอีกวิธีที่ทำให้เราไม่รู้สึกถึงความต่างในการย้าย LTF นั่นคือการขาย LTF แล้วซื้อ SSFและ/หรือ RMF ภายในวันเดียวกันด้วยเงินก้อนอื่น เช่นผ่านบัตรเครดิต แถมได้ประโยชน์ทางภาษีแบบเต็มๆ • ขาดทุนอยู่ไม่กล้าย้าย แต่คำนวณปันผลเข้าไปแล้วหรือยัง หลายครั้งกองทุน LTF ที่เราถืออยู่ดูเหมือนติดลบเยอะ แต่จริงๆแล้วกองทุนเหล่านั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ราคา NAV ที่แสดงให้เราเห็น ยังไม่ได้รวมเงินปันผลที่ได้รับ “ “ • เราย้ายเงินก้อนLTF ครบกำหนดทั้งหมด ไปซื้อ SSF และ RMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด และมีนโยบายลงทุนหุ้นไทย เราจะสามารถประหยัดภาษีได้สูงสุด 35% ของเงินลงทุนใหม่(กรณีผู้ซื้อมีรายได้ฐานภาษี 35%) โดยที่เราได้กำไรแบบไม่ต้องเสียอะไรเลย • หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่อดันให้กองทุน LTF ที่ถืออยู่ปรับขึ้นตาม แล้วจะได้ไปซื้อ SSF RMF ได้อย่างสบายใจ แต่ก็มีอีกวิธีที่ทำให้เราไม่รู้สึกถึงความต่างในการย้าย LTF นั่นคือการขาย LTF แล้วซื้อ SSFและ/หรือ RMF ภายในวันเดียวกันด้วยเงินก้อนอื่น เช่นผ่านบัตรเครดิต แถมได้ประโยชน์ทางภาษีแบบเต็มๆ • ขาดทุนอยู่ไม่กล้าย้าย แต่คำนวณปันผลเข้าไปแล้วหรือยัง หลายครั้งกองทุน LTF ที่เราถืออยู่ดูเหมือนติดลบเยอะ แต่จริงๆแล้วกองทุนเหล่านั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ราคา NAV ที่แสดงให้เราเห็น ยังไม่ได้รวมเงินปันผลที่ได้รับ “ ปัจจุบันใครที่ซื้อ LTF ตั้งแต่ปี 2559 - 2560 ก็น่าจะเริ่มครบกำหนดกันไปแล้วตามเกณฑ์ต้องถือ LTF 7 ปีปฏิทิน แต่หลายคนก็ประสบปัญหา LTF ณ วันนี้ยังขาดทุนอยู่ จึงยังไม่อยากขายออก แต่อีกใจก็อยากที่จะเอาเงินก้อนนี้ไปใช้ประโยชน์ ต่อยอดให้มันงอกเงยแบบเห็นผลทันที ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง วันนี้เรามีวิธีที่แค่ขยับเงินก้อนLTF นิดหน่อย ก็เหมือนได้ผลตอบแทนก้อนใหญ่ทันตาเห็น ย้ายไป SSF และ RMF ประหยัดเงินทันทีสูงสุด 35% โดยหากเราขาย LTF ที่ยังขาดทุนอยู่ แล้วไปซื้อ SSF และ RMF ทั้งก้อน เราสามารถนำ SSF และ RMF ทั้งก้อนไปลดหย่อนภาษีได้ทันที ตัวอย่างเช่น เคยซื้อกองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล-C ชนิด LTF หรือ KDLTF-C(L)เมื่อปี 2560 ณ จุดที่แพงที่สุดที่ราคา NAV หน่วยละ 21.8908 บาท/หน่วย โดยซื้อ LTF เต็มสิทธิ์ 500,000 บาท ถือ LTF ครบ 7 ปีปฏิทิน โดยราคา NAV ของกองทุน LTF กองนี้ ณ วันที่ 21 ก.ค. 66 อยู่ที่ 15.7496บาท/หน่วย มูลค่าปัจจุบันเหลืออยู่ที่ประมาณ 359,731.02 บาท‬ ขาดทุนอยู่ 28.05% ถ้าเราย้ายเงินก้อนนี้ไปซื้อ SSF และ RMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งหมด เราจะสามารถประหยัดภาษีได้ 125,906 บาทหรือ คิดเป็น 35% ของเงินลงทุนใน SSF และRMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด (กรณีผู้ซื้อมีรายได้ฐานภาษี 35%) โดยที่เราได้กำไรแบบไม่ต้องเสียอะไรเลย แค่ย้ายเงินและรับเงื่อนไข SSF RMF ได้เท่านั้น ซึ่งการที่เราลงทุนแล้วเหมือนได้กำไรทันที 35% แบบนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน เงินลงทุนใน KDLTF-C(L) เมื่อ 7 ปี(ปฏิทิน)ที่แล้ว 500,000 บาท ฐานภาษีเมื่อ 7 ปี(ปฏิทิน)ที่แล้ว 35% LTF ทำให้ประหยัดภาษีได้ 175,000 บาท มูลค่ากองทุน KDLTF-C(L) ที่ถือยู่ในปัจจุบัน 359,731.02‬ บาท ขาดทุนอยู่ -28.05% ปันผลที่ได้รับตลอดการถือ KDLTF-C(L) 3.14 บาทต่อหน่วย ผลขาดทุนรวมปันผลที่ได้รับ จะขาดทุน -13.70% ย้ายไปซื้อ SSF และ RMF ทั้งก้อนตามเงื่อนไข 359,731.02 บาท ฐานภาษีปัจจุบัน 35% ประหยัดภาษีได้ 125,906 บาท กำไรทันที สูงสุด 35% ของเงินลงทุนก้อนใหม่ เคสนี้ รวมประหยัดภาษีทั้ง 2 รอบไปได้ 300,906 บาท ( กำไร 60% ของเงินลงทุน5แสนบาท ) นอกจากนี้ หากใครที่ยังชอบกองทุนเดิมแล้วอยากถือต่อ หรือทำใจไม่ได้ที่จะขายทิ้ง ก็ใช้วิธีลงทุนกองทุนเดิมต่อได้ เช่นถือ KSET50LTF,KMSLTF อยู่ แล้วอยากได้สิทธิลดหย่อนภาษีใหม่ ก็มีกองทุนคู่แฝดให้ย้ายไปได้เช่น KS50RMF, KMSRMF ที่เหมือนย้ายเงินจากกระเป๋าซ้าย ไปกระเป๋าขวา นโยบายการลงทุนเหมือนเดิม แต่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเข้ามาเพิ่มเติม กังวล LTF ติดลบอยู่ ไม่อยากย้าย หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยบ้านเราปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่อดันให้กองทุน LTF ที่ถืออยู่ปรับขึ้นตาม ซึ่งจำนวนไม่น้อยก็รอมาตั้งแต่ปี 2565 หรือประมาณ 1 ปี 7 เดือนแล้ว กองทุน LTF ก็ยังไม่คืนทุนเสียที เสียทั้งเวลารอ เสียทั้งโอกาสที่จะนำเงินไปใช้ประโยชน์อย่างที่เล่าไปข้างต้น ดังนั้นเราจึงจะชวนทุกคนมาตรวจสอบกองทุนที่ถืออยู่ว่าจริงๆแล้วขาดทุนอย่างที่ตาเห็นหรือเปล่า 1. คำนวณปันผลเข้าไปแล้วหรือยัง หลายครั้งกองทุน LTF ที่เราถืออยู่ดูเหมือนติดลบเยอะ แต่จริงๆแล้วกองทุนเหล่านั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ราคา NAV ที่แสดงให้เราเห็น ยังไม่ได้รวมเงินปันผลที่ได้รับ ตั้งแต่เราถือกองทุนนี้เข้าไปเลย ซึ่งหากเราคำนวณเงินปันผลเข้าไป จากติดลบมาก ก็จะเป็นติดลบน้อย หรืออาจจะกำไรขึ้นมาก็ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ซื้อกองทุน KDLTF ช่วงที่แพงที่สุดของปี 2560 ที่ราคาหน่วยละ 21.8909 บาทต่อหน่วย ถือมาครบ 7 ปีปฏิทิน โดยปัจจุบันราคา NAV อยู่ที่ 15.6038 ชัดเจนว่าขาดทุนแน่นอน แต่ราคา NAV ที่แสดงยังไม่รวมเงินปันผลที่เราได้รับตั้งแต่ถือกองทุนมาตลอด 7 ปีปฏิทิน ซึ่งหากดูข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ KAsset จะพบว่าเราได้รับปันผลมาแล้วทั้งสิ้น 3.14 บาทต่อหน่วย หากรวมเข้าไปในราคา NAV จะอยู่ที่ 18.8896บาทต่อหน่วย แม้ขาดทุนอยู่ 13.70% แต่ก็ขาดทุนน้อยกว่าเดิม มูลค่ากองทุน KDLTF-C(L) ที่ถือยู่ในปัจจุบัน 359,731.02‬ บาท ขาดทุนอยู่ -28.05% ปันผลที่ได้รับตลอดการถือ KDLTF-C(L) 3.14 บาทต่อหน่วย ผลขาดทุนรวมปันผลที่ได้รับ จะขาดทุน -13.70% 2. คำนวณสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับเข้าไปแล้วหรือยัง ซึ่งเป็นเงินที่เราได้ใช้สิทธิ์ไปแล้วในอดีต เมื่อนำกองทุน LTF ไปลดหย่อนภาษี หากเราซื้อ KDLTF เต็มสิทธิ์ที่ 500,000 บาท ฐานภาษีของเรา 35% ก็ประหยัดภาษีไปได้แล้วตอนยื่น คิดเป็น 35% ของเงินก้อน LTF 500,000 บาท ปัจจุบันเราขาดทุน NAV อยู่ 14.37% หักลบกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี กลายเป็นว่าเรากำไรอยู่ประมาณ 20% แล้ว เงินลงทุนใน KDLTF-C(L) เมื่อ 7 ปีที่แล้ว 500,000 บาท ฐานภาษีเมื่อ 7 ปีที่แล้ว 35% LTF ทำให้ประหยัดภาษีได้ 175,000 บาท ซึ่งหากเราลองตรวจสอบข้อมูลดูแล้วพบว่า จริงๆแล้วเรากำไรอยู่ หรือไม่ได้ขาดทุนหนัก ตามที่ตัวเลข NAV บังตา เชื่อว่าหลายคนก็จะตัดสินใจในการย้ายเงิน LTF ไปทำประโยชน์อื่นๆได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำไปซื้อกองทุน SSF RMF ก็อาจต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม เพราะ SSF ซื้อได้สูงสุดเพียง 200,000 บาท ส่วนที่เหลือต้องนำไปซื้อ RMF เพิ่มเติม แต่หากใครที่อายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป การลงทุนใน RMF อย่างเดียว ไม่ลงทุนใน SSF เลย ก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะจะขายคืน RMF ตามเงื่อนไขได้เร็วกว่า การถือ SSF 10 ปีที่ต้องนับแบบ วันชนวัน ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรอบนี้ เป็นโอกาสเข้าซื้อ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี จากระดับสูงสุด เกือบๆ 1,700 จุด และเคยปรับลงไปลึกถึงระดับ 1,460 จุด ต่ำสุดในรอบ 2 ปี จากปัจจัยทั้งเรื่องกำไรของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4 ออกมาน่าผิดหวัง ความระมัดระวังในการปล่อย Margin Loan ของบริษัทหลักทรัพย์ การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง ความไม่แน่นอนทางการเมือง จนต่างชาติเทขายหุ้นเกือบแสนล้านบาท ซึ่งทาง KAsset มองว่าหากสุดท้ายสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้าไทย ตามคาดการณ์รวมทั้งปี 28-30 ล้านคน ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังทันที โดย KAsset มองเป้า SET สิ้นปีไว้ที่ 1,650 ขณะที่ SET ปัจจุบันอยู่ที่ 1,500 กว่าจุด ดังนั้นจังหวะนี้ จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการซื้อหุ้นไทยราคาถูก การรอซื้อ SSF RMF กองทุนหุ้นไทยช่วงปลายปีซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะปรับตัวขึ้นไปแล้ว อาจไม่ใช่จังหวะที่ดีสำหรับปีนี้ โดยกองทุนที่ทาง KAsset แนะนำได้แก่ K-STAR-SSF และ KSTARRMF หรือหากใครต้องการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลกเพื่อกระจายความเสี่ยง ก็แนะนำ K-GINCOME-SSF และ KGINCOMERMF อายุเยอะแล้วไม่อยากเสี่ยง หลายคนอายุเยอะแล้ว ตัวเลขใกล้ๆ 50 ก็มีความรู้สึกว่าไม่อยากเสี่ยงแล้ว ขอแค่ได้เอาเงิน LTF ก้อนเดิมไปลดหย่อนภาษีได้ต่อก็เพียงพอ ดังนั้นทางเลือกการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ชนิด SSF หรือ RMF เช่น K-SF-SSFK-FIXEDPLUS-SSF KGBRMF KFIRMF KSFRMF ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยแนะนำให้พิจารณาเลือก SSF หรือ RMF จากระยะเวลาถือครองกองทุน หากระยะ 10 ที่ต้องถือ SSF เหมาะกับตัวเรามากกว่าให้เลือก SSF แต่ะหาก การต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี และลงจนถึงอายุ 55 ปี เหมาะกับตัวเรามากกว่า ก็ให้เลือก RMF ได้ แต่หากหลายคนมีความเป็นห่วงเรื่องของสุขภาพตัวเอง และห่วงคนข้างหลังที่ต้องดูแล การทำประกันชีวิต และสุขภาพก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการนำ LTF ครบกำหนดในปีที่ผ่านมา และปีถัดๆไป มาบริหารจัดการซื้อประกันให้กับตัวเอง แถมสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทกรณีประกันชีวิตและสุขภาพรวมกัน และ ประกันชีวิตแบบบำนาญลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท ซึ่งการทำประกันได้เร็วเท่าไหร่ นอกจากจะสามารถลดหย่อนภาษีได้แล้ว ยังเป็นผลดีต่อผู้ทำประกันเองอีกด้วย ปัจจุบันใครที่ซื้อ LTF ตั้งแต่ปี 2559 - 2560 ก็น่าจะเริ่มครบกำหนดกันไปแล้วตามเกณฑ์ต้องถือ LTF 7 ปีปฏิทิน แต่หลายคนก็ประสบปัญหา LTF ณ วันนี้ยังขาดทุนอยู่ จึงยังไม่อยากขายออก แต่อีกใจก็อยากที่จะเอาเงินก้อนนี้ไปใช้ประโยชน์ ต่อยอดให้มันงอกเงยแบบเห็นผลทันที ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง วันนี้เรามีวิธีที่แค่ขยับเงินก้อนLTF นิดหน่อย ก็เหมือนได้ผลตอบแทนก้อนใหญ่ทันตาเห็น ย้ายไป SSF และ RMF ประหยัดเงินทันทีสูงสุด 35% โดยหากเราขาย LTF ที่ยังขาดทุนอยู่ แล้วไปซื้อ SSF และ RMF ทั้งก้อน เราสามารถนำ SSF และ RMF ทั้งก้อนไปลดหย่อนภาษีได้ทันที ตัวอย่างเช่น เคยซื้อกองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล-C ชนิด LTF หรือ KDLTF-C(L)เมื่อปี 2560 ณ จุดที่แพงที่สุดที่ราคา NAV หน่วยละ 21.8908 บาท/หน่วย โดยซื้อ LTF เต็มสิทธิ์ 500,000 บาท ถือ LTF ครบ 7 ปีปฏิทิน โดยราคา NAV ของกองทุน LTF กองนี้ ณ วันที่ 21 ก.ค. 66 อยู่ที่ 15.7496บาท/หน่วย มูลค่าปัจจุบันเหลืออยู่ที่ประมาณ 359,731.02 บาท‬ ขาดทุนอยู่ 28.05% ถ้าเราย้ายเงินก้อนนี้ไปซื้อ SSF และ RMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งหมด เราจะสามารถประหยัดภาษีได้ 125,906 บาทหรือ คิดเป็น 35% ของเงินลงทุนใน SSF และRMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด (กรณีผู้ซื้อมีรายได้ฐานภาษี 35%) โดยที่เราได้กำไรแบบไม่ต้องเสียอะไรเลย แค่ย้ายเงินและรับเงื่อนไข SSF RMF ได้เท่านั้น ซึ่งการที่เราลงทุนแล้วเหมือนได้กำไรทันที 35% แบบนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน เงินลงทุนใน KDLTF-C(L) เมื่อ 7 ปี(ปฏิทิน)ที่แล้ว 500,000 บาท ฐานภาษีเมื่อ 7 ปี(ปฏิทิน)ที่แล้ว 35% LTF ทำให้ประหยัดภาษีได้ 175,000 บาท มูลค่ากองทุน KDLTF-C(L) ที่ถือยู่ในปัจจุบัน 359,731.02‬ บาท ขาดทุนอยู่ -28.05% ปันผลที่ได้รับตลอดการถือ KDLTF-C(L) 3.14 บาทต่อหน่วย ผลขาดทุนรวมปันผลที่ได้รับ จะขาดทุน -13.70% ย้ายไปซื้อ SSF และ RMF ทั้งก้อนตามเงื่อนไข 359,731.02 บาท ฐานภาษีปัจจุบัน 35% ประหยัดภาษีได้ 125,906 บาท กำไรทันที สูงสุด 35% ของเงินลงทุนก้อนใหม่ เคสนี้ รวมประหยัดภาษีทั้ง 2 รอบไปได้ 300,906 บาท ( กำไร 60% ของเงินลงทุน5แสนบาท ) นอกจากนี้ หากใครที่ยังชอบกองทุนเดิมแล้วอยากถือต่อ หรือทำใจไม่ได้ที่จะขายทิ้ง ก็ใช้วิธีลงทุนกองทุนเดิมต่อได้ เช่นถือ KSET50LTF,KMSLTF อยู่ แล้วอยากได้สิทธิลดหย่อนภาษีใหม่ ก็มีกองทุนคู่แฝดให้ย้ายไปได้เช่น KS50RMF, KMSRMF ที่เหมือนย้ายเงินจากกระเป๋าซ้าย ไปกระเป๋าขวา นโยบายการลงทุนเหมือนเดิม แต่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเข้ามาเพิ่มเติม กังวล LTF ติดลบอยู่ ไม่อยากย้าย หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยบ้านเราปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่อดันให้กองทุน LTF ที่ถืออยู่ปรับขึ้นตาม ซึ่งจำนวนไม่น้อยก็รอมาตั้งแต่ปี 2565 หรือประมาณ 1 ปี 7 เดือนแล้ว กองทุน LTF ก็ยังไม่คืนทุนเสียที เสียทั้งเวลารอ เสียทั้งโอกาสที่จะนำเงินไปใช้ประโยชน์อย่างที่เล่าไปข้างต้น ดังนั้นเราจึงจะชวนทุกคนมาตรวจสอบกองทุนที่ถืออยู่ว่าจริงๆแล้วขาดทุนอย่างที่ตาเห็นหรือเปล่า 1. คำนวณปันผลเข้าไปแล้วหรือยัง หลายครั้งกองทุน LTF ที่เราถืออยู่ดูเหมือนติดลบเยอะ แต่จริงๆแล้วกองทุนเหล่านั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ราคา NAV ที่แสดงให้เราเห็น ยังไม่ได้รวมเงินปันผลที่ได้รับ ตั้งแต่เราถือกองทุนนี้เข้าไปเลย ซึ่งหากเราคำนวณเงินปันผลเข้าไป จากติดลบมาก ก็จะเป็นติดลบน้อย หรืออาจจะกำไรขึ้นมาก็ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ซื้อกองทุน KDLTF ช่วงที่แพงที่สุดของปี 2560 ที่ราคาหน่วยละ 21.8909 บาทต่อหน่วย ถือมาครบ 7 ปีปฏิทิน โดยปัจจุบันราคา NAV อยู่ที่ 15.6038 ชัดเจนว่าขาดทุนแน่นอน แต่ราคา NAV ที่แสดงยังไม่รวมเงินปันผลที่เราได้รับตั้งแต่ถือกองทุนมาตลอด 7 ปีปฏิทิน ซึ่งหากดูข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ KAsset จะพบว่าเราได้รับปันผลมาแล้วทั้งสิ้น 3.14 บาทต่อหน่วย หากรวมเข้าไปในราคา NAV จะอยู่ที่ 18.8896บาทต่อหน่วย แม้ขาดทุนอยู่ 13.70% แต่ก็ขาดทุนน้อยกว่าเดิม มูลค่ากองทุน KDLTF-C(L) ที่ถือยู่ในปัจจุบัน 359,731.02‬ บาท ขาดทุนอยู่ -28.05% ปันผลที่ได้รับตลอดการถือ KDLTF-C(L) 3.14 บาทต่อหน่วย ผลขาดทุนรวมปันผลที่ได้รับ จะขาดทุน -13.70% 2. คำนวณสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับเข้าไปแล้วหรือยัง ซึ่งเป็นเงินที่เราได้ใช้สิทธิ์ไปแล้วในอดีต เมื่อนำกองทุน LTF ไปลดหย่อนภาษี หากเราซื้อ KDLTF เต็มสิทธิ์ที่ 500,000 บาท ฐานภาษีของเรา 35% ก็ประหยัดภาษีไปได้แล้วตอนยื่น คิดเป็น 35% ของเงินก้อน LTF 500,000 บาท ปัจจุบันเราขาดทุน NAV อยู่ 14.37% หักลบกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี กลายเป็นว่าเรากำไรอยู่ประมาณ 20% แล้ว เงินลงทุนใน KDLTF-C(L) เมื่อ 7 ปีที่แล้ว 500,000 บาท ฐานภาษีเมื่อ 7 ปีที่แล้ว 35% LTF ทำให้ประหยัดภาษีได้ 175,000 บาท ซึ่งหากเราลองตรวจสอบข้อมูลดูแล้วพบว่า จริงๆแล้วเรากำไรอยู่ หรือไม่ได้ขาดทุนหนัก ตามที่ตัวเลข NAV บังตา เชื่อว่าหลายคนก็จะตัดสินใจในการย้ายเงิน LTF ไปทำประโยชน์อื่นๆได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำไปซื้อกองทุน SSF RMF ก็อาจต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม เพราะ SSF ซื้อได้สูงสุดเพียง 200,000 บาท ส่วนที่เหลือต้องนำไปซื้อ RMF เพิ่มเติม แต่หากใครที่อายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป การลงทุนใน RMF อย่างเดียว ไม่ลงทุนใน SSF เลย ก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะจะขายคืน RMF ตามเงื่อนไขได้เร็วกว่า การถือ SSF 10 ปีที่ต้องนับแบบ วันชนวัน ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรอบนี้ เป็นโอกาสเข้าซื้อ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี จากระดับสูงสุด เกือบๆ 1,700 จุด และเคยปรับลงไปลึกถึงระดับ 1,460 จุด ต่ำสุดในรอบ 2 ปี จากปัจจัยทั้งเรื่องกำไรของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4 ออกมาน่าผิดหวัง ความระมัดระวังในการปล่อย Margin Loan ของบริษัทหลักทรัพย์ การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง ความไม่แน่นอนทางการเมือง จนต่างชาติเทขายหุ้นเกือบแสนล้านบาท ซึ่งทาง KAsset มองว่าหากสุดท้ายสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้าไทย ตามคาดการณ์รวมทั้งปี 28-30 ล้านคน ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังทันที โดย KAsset มองเป้า SET สิ้นปีไว้ที่ 1,650 ขณะที่ SET ปัจจุบันอยู่ที่ 1,500 กว่าจุด ดังนั้นจังหวะนี้ จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการซื้อหุ้นไทยราคาถูก การรอซื้อ SSF RMF กองทุนหุ้นไทยช่วงปลายปีซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะปรับตัวขึ้นไปแล้ว อาจไม่ใช่จังหวะที่ดีสำหรับปีนี้ โดยกองทุนที่ทาง KAsset แนะนำได้แก่ K-STAR-SSF และ KSTARRMF หรือหากใครต้องการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลกเพื่อกระจายความเสี่ยง ก็แนะนำ K-GINCOME-SSF และ KGINCOMERMF อายุเยอะแล้วไม่อยากเสี่ยง หลายคนอายุเยอะแล้ว ตัวเลขใกล้ๆ 50 ก็มีความรู้สึกว่าไม่อยากเสี่ยงแล้ว ขอแค่ได้เอาเงิน LTF ก้อนเดิมไปลดหย่อนภาษีได้ต่อก็เพียงพอ ดังนั้นทางเลือกการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ชนิด SSF หรือ RMF เช่น K-SF-SSFK-FIXEDPLUS-SSF KGBRMF KFIRMF KSFRMF ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยแนะนำให้พิจารณาเลือก SSF หรือ RMF จากระยะเวลาถือครองกองทุน หากระยะ 10 ที่ต้องถือ SSF เหมาะกับตัวเรามากกว่าให้เลือก SSF แต่ะหาก การต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี และลงจนถึงอายุ 55 ปี เหมาะกับตัวเรามากกว่า ก็ให้เลือก RMF ได้ แต่หากหลายคนมีความเป็นห่วงเรื่องของสุขภาพตัวเอง และห่วงคนข้างหลังที่ต้องดูแล การทำประกันชีวิต และสุขภาพก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการนำ LTF ครบกำหนดในปีที่ผ่านมา และปีถัดๆไป มาบริหารจัดการซื้อประกันให้กับตัวเอง แถมสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทกรณีประกันชีวิตและสุขภาพรวมกัน และ ประกันชีวิตแบบบำนาญลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท ซึ่งการทำประกันได้เร็วเท่าไหร่ นอกจากจะสามารถลดหย่อนภาษีได้แล้ว ยังเป็นผลดีต่อผู้ทำประกันเองอีกด้วย ปัจจุบันใครที่ซื้อ LTF ตั้งแต่ปี 2559 - 2560 ก็น่าจะเริ่มครบกำหนดกันไปแล้วตามเกณฑ์ต้องถือ LTF 7 ปีปฏิทิน แต่หลายคนก็ประสบปัญหา LTF ณ วันนี้ยังขาดทุนอยู่ จึงยังไม่อยากขายออก แต่อีกใจก็อยากที่จะเอาเงินก้อนนี้ไปใช้ประโยชน์ ต่อยอดให้มันงอกเงยแบบเห็นผลทันที ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง วันนี้เรามีวิธีที่แค่ขยับเงินก้อนLTF นิดหน่อย ก็เหมือนได้ผลตอบแทนก้อนใหญ่ทันตาเห็น ย้ายไป SSF และ RMF ประหยัดเงินทันทีสูงสุด 35% ย้ายไป SSF และ RMF ประหยัดเงินทันทีสูงสุด 35% โดยหากเราขาย LTF ที่ยังขาดทุนอยู่ แล้วไปซื้อ SSF และ RMF ทั้งก้อน เราสามารถนำ SSF และ RMF ทั้งก้อนไปลดหย่อนภาษีได้ทันที ตัวอย่างเช่น เคยซื้อกองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล-C ชนิด LTF หรือ KDLTF-C(L)เมื่อปี 2560 ณ จุดที่แพงที่สุดที่ราคา NAV หน่วยละ 21.8908 บาท/หน่วย โดยซื้อ LTF เต็มสิทธิ์ 500,000 บาท ถือ LTF ครบ 7 ปีปฏิทิน โดยราคา NAV ของกองทุน LTF กองนี้ ณ วันที่ 21 ก.ค. 66 อยู่ที่ 15.7496บาท/หน่วย มูลค่าปัจจุบันเหลืออยู่ที่ประมาณ 359,731.02 บาท‬ ขาดทุนอยู่ 28.05% ถ้าเราย้ายเงินก้อนนี้ไปซื้อ SSF และ RMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งหมด เราจะสามารถประหยัดภาษีได้ 125,906 บาทหรือ คิดเป็น 35% ของเงินลงทุนใน SSF และRMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด (กรณีผู้ซื้อมีรายได้ฐานภาษี 35%) โดยที่เราได้กำไรแบบไม่ต้องเสียอะไรเลย แค่ย้ายเงินและรับเงื่อนไข SSF RMF ได้เท่านั้น ซึ่งการที่เราลงทุนแล้วเหมือนได้กำไรทันที 35% แบบนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน นอกจากนี้ หากใครที่ยังชอบกองทุนเดิมแล้วอยากถือต่อ หรือทำใจไม่ได้ที่จะขายทิ้ง ก็ใช้วิธีลงทุนกองทุนเดิมต่อได้ เช่นถือ KSET50LTF,KMSLTF อยู่ แล้วอยากได้สิทธิลดหย่อนภาษีใหม่ ก็มีกองทุนคู่แฝดให้ย้ายไปได้เช่น KS50RMF, KMSRMF ที่เหมือนย้ายเงินจากกระเป๋าซ้าย ไปกระเป๋าขวา นโยบายการลงทุนเหมือนเดิม แต่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเข้ามาเพิ่มเติม กังวล LTF ติดลบอยู่ ไม่อยากย้าย กังวล LTF ติดลบอยู่ ไม่อยากย้าย หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยบ้านเราปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่อดันให้กองทุน LTF ที่ถืออยู่ปรับขึ้นตาม ซึ่งจำนวนไม่น้อยก็รอมาตั้งแต่ปี 2565 หรือประมาณ 1 ปี 7 เดือนแล้ว กองทุน LTF ก็ยังไม่คืนทุนเสียที เสียทั้งเวลารอ เสียทั้งโอกาสที่จะนำเงินไปใช้ประโยชน์อย่างที่เล่าไปข้างต้น ดังนั้นเราจึงจะชวนทุกคนมาตรวจสอบกองทุนที่ถืออยู่ว่าจริงๆแล้วขาดทุนอย่างที่ตาเห็นหรือเปล่า 1. คำนวณปันผลเข้าไปแล้วหรือยัง หลายครั้งกองทุน LTF ที่เราถืออยู่ดูเหมือนติดลบเยอะ แต่จริงๆแล้วกองทุนเหล่านั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ราคา NAV ที่แสดงให้เราเห็น ยังไม่ได้รวมเงินปันผลที่ได้รับ ตั้งแต่เราถือกองทุนนี้เข้าไปเลย ซึ่งหากเราคำนวณเงินปันผลเข้าไป จากติดลบมาก ก็จะเป็นติดลบน้อย หรืออาจจะกำไรขึ้นมาก็ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ซื้อกองทุน KDLTF ช่วงที่แพงที่สุดของปี 2560 ที่ราคาหน่วยละ 21.8909 บาทต่อหน่วย ถือมาครบ 7 ปีปฏิทิน โดยปัจจุบันราคา NAV อยู่ที่ 15.6038 ชัดเจนว่าขาดทุนแน่นอน แต่ราคา NAV ที่แสดงยังไม่รวมเงินปันผลที่เราได้รับตั้งแต่ถือกองทุนมาตลอด 7 ปีปฏิทิน ซึ่งหากดูข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ KAsset จะพบว่าเราได้รับปันผลมาแล้วทั้งสิ้น 3.14 บาทต่อหน่วย หากรวมเข้าไปในราคา NAV จะอยู่ที่ 18.8896บาทต่อหน่วย แม้ขาดทุนอยู่ 13.70% แต่ก็ขาดทุนน้อยกว่าเดิม 2. คำนวณสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับเข้าไปแล้วหรือยัง ซึ่งเป็นเงินที่เราได้ใช้สิทธิ์ไปแล้วในอดีต เมื่อนำกองทุน LTF ไปลดหย่อนภาษี หากเราซื้อ KDLTF เต็มสิทธิ์ที่ 500,000 บาท ฐานภาษีของเรา 35% ก็ประหยัดภาษีไปได้แล้วตอนยื่น คิดเป็น 35% ของเงินก้อน LTF 500,000 บาท ปัจจุบันเราขาดทุน NAV อยู่ 14.37% หักลบกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี กลายเป็นว่าเรากำไรอยู่ประมาณ 20% แล้ว ซึ่งหากเราลองตรวจสอบข้อมูลดูแล้วพบว่า จริงๆแล้วเรากำไรอยู่ หรือไม่ได้ขาดทุนหนัก ตามที่ตัวเลข NAV บังตา เชื่อว่าหลายคนก็จะตัดสินใจในการย้ายเงิน LTF ไปทำประโยชน์อื่นๆได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำไปซื้อกองทุน SSF RMF ก็อาจต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม เพราะ SSF ซื้อได้สูงสุดเพียง 200,000 บาท ส่วนที่เหลือต้องนำไปซื้อ RMF เพิ่มเติม แต่หากใครที่อายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป การลงทุนใน RMF อย่างเดียว ไม่ลงทุนใน SSF เลย ก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะจะขายคืน RMF ตามเงื่อนไขได้เร็วกว่า การถือ SSF 10 ปีที่ต้องนับแบบ วันชนวัน ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรอบนี้ เป็นโอกาสเข้าซื้อ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรอบนี้ เป็นโอกาสเข้าซื้อ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี จากระดับสูงสุด เกือบๆ 1,700 จุด และเคยปรับลงไปลึกถึงระดับ 1,460 จุด ต่ำสุดในรอบ 2 ปี จากปัจจัยทั้งเรื่องกำไรของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4 ออกมาน่าผิดหวัง ความระมัดระวังในการปล่อย Margin Loan ของบริษัทหลักทรัพย์ การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง ความไม่แน่นอนทางการเมือง จนต่างชาติเทขายหุ้นเกือบแสนล้านบาท ซึ่งทาง KAsset มองว่าหากสุดท้ายสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้าไทย ตามคาดการณ์รวมทั้งปี 28-30 ล้านคน ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังทันที โดย KAsset มองเป้า SET สิ้นปีไว้ที่ 1,650 ขณะที่ SET ปัจจุบันอยู่ที่ 1,500 กว่าจุด ดังนั้นจังหวะนี้ จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการซื้อหุ้นไทยราคาถูก การรอซื้อ SSF RMF กองทุนหุ้นไทยช่วงปลายปีซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะปรับตัวขึ้นไปแล้ว อาจไม่ใช่จังหวะที่ดีสำหรับปีนี้ โดยกองทุนที่ทาง KAsset แนะนำได้แก่ K-STAR-SSF และ KSTARRMF หรือหากใครต้องการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลกเพื่อกระจายความเสี่ยง ก็แนะนำ K-GINCOME-SSF และ KGINCOMERMF อายุเยอะแล้วไม่อยากเสี่ยง อายุเยอะแล้วไม่อยากเสี่ยง หลายคนอายุเยอะแล้ว ตัวเลขใกล้ๆ 50 ก็มีความรู้สึกว่าไม่อยากเสี่ยงแล้ว ขอแค่ได้เอาเงิน LTF ก้อนเดิมไปลดหย่อนภาษีได้ต่อก็เพียงพอ ดังนั้นทางเลือกการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ชนิด SSF หรือ RMF เช่น K-SF-SSFK-FIXEDPLUS-SSF KGBRMF KFIRMF KSFRMF ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยแนะนำให้พิจารณาเลือก SSF หรือ RMF จากระยะเวลาถือครองกองทุน หากระยะ 10 ที่ต้องถือ SSF เหมาะกับตัวเรามากกว่าให้เลือก SSF แต่ะหาก การต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี และลงจนถึงอายุ 55 ปี เหมาะกับตัวเรามากกว่า ก็ให้เลือก RMF ได้ แต่หากหลายคนมีความเป็นห่วงเรื่องของสุขภาพตัวเอง และห่วงคนข้างหลังที่ต้องดูแล การทำประกันชีวิต และสุขภาพก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการนำ LTF ครบกำหนดในปีที่ผ่านมา และปีถัดๆไป มาบริหารจัดการซื้อประกันให้กับตัวเอง แถมสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทกรณีประกันชีวิตและสุขภาพรวมกัน และ ประกันชีวิตแบบบำนาญลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท ซึ่งการทำประกันได้เร็วเท่าไหร่ นอกจากจะสามารถลดหย่อนภาษีได้แล้ว ยังเป็นผลดีต่อผู้ทำประกันเองอีกด้วย บทความโดย K WEALTH Trainer มนัสวี เด็ดอนันต์กุล AFPT K WEALTH Trainer มนัสวี เด็ดอนันต์กุล AFPT
​หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่อดันให้กองทุน LTF ที่ถืออยู่ปรับขึ้นตาม ซึ่งจำนวนไม่น้อยก็รอมาตั้งแต่ปี 2565 หรือประมาณ 1 ปี 7 เดือนแล้ว กองทุน LTF ก็ยังไม่คืนทุนเสียที เสียทั้งเวลารอ เสียทั้งโอกาสที่จะนำเงินไปใช้ประโยชน์ ดังนั้น จึงจะชวนทุกคนมาตรวจสอบกองทุนที่ถืออยู่ว่าจริงๆ แล้วขาดทุนอย่างที่ตาเห็นหรือเปล่า 1. คำนวณปันผลเข้าไปแล้วหรือยัง หลายครั้งกองทุน LTF ที่ถืออยู่ดูเหมือนติดลบเยอะ แต่จริงๆ แล้วกองทุนเหล่านั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ราคา NAV ที่แสดงให้เห็น ยังไม่ได้รวมเงินปันผลที่ได้รับ ตั้งแต่ถือกองทุนนี้เข้าไปเลย ซึ่งหากคำนวณเงินปันผลเข้าไป จากติดลบมาก ก็จะเป็นติดลบน้อย หรืออาจจะกำไรขึ้นมาก็ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ซื้อกองทุน KDLTF ช่วงที่แพงที่สุดของปี 2560 ที่ราคาหน่วยละ 21.8909 บาทต่อหน่วย ถือมาครบ 7 ปีปฏิทิน โดยราคา NAV อยู่ที่ 15.6038 ชัดเจนว่าขาดทุนแน่นอน แต่ราคา NAV ที่แสดงยังไม่รวมเงินปันผลที่ได้รับตั้งแต่ถือกองทุนมาตลอด 7 ปีปฏิทิน ซึ่งหากดูข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ KAsset จะพบว่าได้รับปันผลมาแล้วทั้งสิ้น 3.14 บาทต่อหน่วย หากรวมเข้าไปในราคา NAV จะอยู่ที่ 18.8896 บาทต่อหน่วย แม้ขาดทุนอยู่ 13.70% แต่ก็ขาดทุนน้อยกว่าเดิม - ​มูลค่ากองทุน KDLTF-C(L) ที่ถืออยู่ 359,731.02‬ บาท - ​ขาดทุนอยู่ ​-28.05% - ​ปันผลที่ได้รับตลอดการถือ KDLTF-C(L) ​3.14 บาทต่อหน่วย - ผลขาดทุนรวมปันผลที่ได้รับ จะขาดทุน ​-13.70%​ ​2. คำนวณสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับเข้าไปแล้วหรือยัง ซึ่งเป็นเงินที่ได้ใช้สิทธิ์ไปแล้วในอดีต เมื่อนำกองทุน LTF ไปลดหย่อนภาษี หากซื้อ KDLTF เต็มสิทธิ์ที่ 500,000 บาท ฐานภาษี 35% ก็ประหยัดภาษีไปได้แล้วตอนยื่น คิดเป็น 35% ของเงินก้อน LTF 500,000 บาท ปัจจุบันขาดทุน NAV อยู่ 14.37% หักลบกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี กลายเป็นว่ากำไรอยู่ประมาณ 20% แล้ว - ​เงินลงทุนใน KDLTF-C(L) เมื่อปี 2559 ​500,000 บาท - ​ฐานภาษีเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ​35% - ​LTF ทำให้ประหยัดภาษีได้ ​175,000 บาท ซึ่งหากลองตรวจสอบข้อมูลดูแล้วพบว่า จริงๆ แล้วกำไรอยู่ หรือไม่ได้ขาดทุนหนัก ตามที่ตัวเลข NAV บังตา เชื่อว่าหลายคนก็จะตัดสินใจในการย้ายเงิน LTF ไปทำประโยชน์อื่นๆ ได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำไปซื้อกองทุน SSF RMF​ ก็อาจต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม เพราะ SSF ซื้อได้สูงสุดเพียง 200,000 บาท ส่วนที่เหลือต้องนำไปซื้อ RMF เพิ่มเติม แต่หากใครที่อายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป การลงทุนใน RMF อย่างเดียว ไม่ลงทุนใน SSF เลย ก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะจะขายคืน RMF ตามเงื่อนไขได้เร็วกว่า การถือ SSF 10 ปีที่ต้องนับแบบวันชนวัน​
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1157
Finance
NFT คืออะไร
A. ค่าธรรมเนียมเครือข่าย B. โทเคนที่มีลักษณะเฉพาะ แต่ละโทเคนไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้ C. การซื้อขายที่ดินในโลกจริง D. สิทธิ์ความเป็นเจ้าของ
ข้อที่ถูกต้องคือ B. เพราะว่า NFT ย่อมาจาก Non-fungible token หมายถึง โทเคนที่มีลักษณะเฉพาะ แต่ละโทเคนไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้ ต่างจากบิตคอยน์ เงินดอลลาร์ หรือแม้แต่เงินบาท ที่เป็นสินทรัพย์แบบ Fungible ที่สามารถใช้แทนกันได้ ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว NFT จึงสามารถใช้เพื่อแทนสินทรัพย์ที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น • ผลงานศิลปะ • เพลง • ที่ดิน • อสังริมทรัพย์ • ของสะสม และสินทรัพย์อื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ได้จำกัดแค่ผลงานศิลปะเท่านั้น การซื้อขาย NFT ก็เปรียบเสมือนการซื้อขายกรรมสิทธิ์ของ NFT ชิ้นนั้น ๆ เมื่อผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ของ NFT มาแล้ว กรรมสิทธิ์ดังกล่าวก็จะสามารถตรวจสอบได้บนบล็อกเชน ไปจนถึงประวัติของ NFT ว่า 1. NFT ชิ้นนั้นใครเป็นคนสร้าง 2. เคยมีการซื้อขายมาก่อนแล้วหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส เพราะเป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนเทคโนโลยีบล็อกเชนนั่นเอง
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_12
Finance
5 ธีมการลงทุนระยะยาว ธีมไหนน่าสนใจที่สุดสำหรับนักลงทุนรายย่อย และทำไม?
null
ธีมการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่สุดคือ ธีม Ageing & Lifestyle เหตุผล: ประชากรสูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น: จำนวนประชากรโลกที่มีอายุมากกว่า 60 ปี จะเพิ่มเป็น 2.1 พันล้านคน ในปี ค.ศ. 2050 ประชากรกลุ่มนี้มีการใช้จ่ายและลงทุนเพื่อปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดี (wellness) ส่งผลให้เกิดโอกาสลงทุนกับบริษัทที่มีธุรกิจสืบเนื่องจากอายุขัยที่ยาวขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Ageing & Lifestyle มีความหลากหลาย: ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจการขายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือเวชศาสตร์ชะลอวัย ไปถึงธุรกิจที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจสันทนาการ ธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างยั่งยืน: แนวโน้มการสูงอายุของประชากรโลกเป็น megatrend ที่ยากจะเปลี่ยนแปลง ธุรกิจเหล่านี้จึงมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับจำนวนประชากรสูงอายุ เหมาะกับนักลงทุนรายย่อย: ธุรกิจเหล่านี้มีจำนวนมากและกระจายอยู่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม นักลงทุนรายย่อยสามารถเลือกลงทุนในธุรกิจที่ตนมีความสนใจหรือเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องมีเงินลงทุนจำนวนมาก ตัวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Ageing & Lifestyle: ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและเวชศาสตร์ชะลอวัย: L'Oreal, Estee Lauder, Unilever, Nestle ธุรกิจที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ: Senior Living Group, Origin Property, Ananda Development ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ: Bangkok Dusit Medical Services (BDMS), Bumrungrad Hospital, Thonburi Healthcare Group ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม: Nestle, Unilever, CP Foods, Thai Union ธุรกิจสันทนาการ: Major Cineplex, Minor International, Tourism Authority of Thailand อย่างไรก็ตาม นักลงทุนรายย่อยควรศึกษาข้อมูลของธุรกิจอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ปัจจัยที่ควรพิจารณา: ผลประกอบการของธุรกิจ กลยุทธ์ทางธุรกิจ ทีมผู้บริหาร ความเสี่ยง โอกาสในการเติบโต การลงทุนในธีม Ageing & Lifestyle เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนรายย่อย ที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืน
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1214
Finance
ราคาแก๊สโซฮอล์ 91 จากวันที่ 5 มกราคม 2565 มาถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นอย่างไร
ราคาแก๊สโซฮอล์ 91 จากวันที่ 5 มกราคม 2565 มาถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นจาก 31.48/ลิตร สู่ระดับ 34.78/ต่อลิตร คิดเป็นการเพิ่มขึ้นประมาณ 10% คิดแล้วก็ใจหายจะไปเที่ยวต่างจังหวัด ถึงกับต้องคิดหนักเลยช่วงนี้ และที่สำคัญปีนี้เราอาจได้เห็นแก๊สโซฮอล์ 91 ขึ้นไปมากกว่านี้อีก มันเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยววันนี้อินเตอร์โกลด์จะมาเล่าให้ฟัง หากจะอธิบายกลไกการขึ้นหรือลงของราคาสินค้าก็หนีไม่พ้นเรื่อง Demand (ความต้องการสินค้า) และ Supply (กำลังการผลิตสินค้า) ของน้ำมันโลก ปัญหาตอนนี้ก็คือ Demand อยู่ในระดับสูง เนื่องจากมาตรการการเงินและการคลังของรัฐบาลทั่วโลก ทำให้ปริมาณเงินตราในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นมาก เมื่อมีเงินเยอะ ประชาชนก็จะเอาเงินออกมาใช้กันเยอะ (ประชาชนในประเทศที่พิมพ์เงินได้) และเมื่อพอเริ่มกลับมาเปิดเมืองเงินในมือมันก็เลยออกมาใช้จ่ายกันอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน Supply ถูกกำหนดโดยธุรกิจน้ำมันต่าง ๆ ทั่วโลก ในช่วงโควิด 2 ปี ที่ผ่านมาได้ล้มหายปิดกิจการกันไปไม่น้อย มาวันนี้ที่ราคาน้ำมันสูง โดยทั่วไปผู้ผลิตก็ต้องอยากเข้ามาขุดน้ำมันกันอยู่แล้ว เพราะกำไรมันสูง แต่ด้วยความที่ทุกวันนี้ทั่วโลกกำลังผลักดัน Green energy หรือพลังงานสะอาด นำโดยสหรัฐฯ ยุโรป และจีน แน่นอนว่าเมื่อรัฐบาลพยายามผลักดันพลังงานสะอาด นโยบายต่าง ๆ จากรัฐ จึงลดความน่าสนใจในธุรกิจน้ำมันลงไป ถึงแม้ว่ากำไรของธุรกิจน้ำมันจะสูงขึ้นก็ตาม และหากมองในแง่ว่าอนาคต เราจะใช้พลังงานสะอาดกันจริง ๆ แน่นอนว่าน้ำมันจะต้องราคาแพงมาก ๆ เพื่อให้คนหันมาใช้ไฟฟ้ากันมากขึ้น อีกสาเหตุหนึ่งคือความร้อนแรงทางการเมืองระหว่างรัสเซียกับยูเครน เมื่อราคาน้ำมันอาจถึง 40 บาท ภายในปีนี้ จะเห็นว่ารัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 3 ของโลก และสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 1 ของโลก การที่ 2 ประเทศนี้มี ท่าทีว่าอาจจะเกิดสงคราม ไม่ว่าสงครามจะเกิดหรือไม่ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ ๆ คือการค้าอาวุธ ซึ่งทั้งรัสเซียและสหรัฐฯก็ได้ประโยชน์ทั้งคู่ อีกอย่างคือหากการสงครามขึ้นเพียงเล็กน้อย ราคาน้ำมันโลกจะพุ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าจะเกิดสงครามหรือไม่ ก็คือรัสเซียและสหรัฐฯ เมื่อเค้ารู้ล่วงหน้าได้ นั่นหมายความว่าเค้าสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินในการเก็งกำไรราคาน้ำมันได้อีก ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียนี้ ก่อเกิดผลประโยชน์ทางอ้อมให้ประเทศมหาอำนาจไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งมีโอกาสผลักดันให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นได้อีกเรื่อย ๆ
ราคาแก๊สโซฮอล์ 91 จากวันที่ 5 มกราคม 2565 มาถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นจาก 31.48/ลิตร สู่ระดับ 34.78/ต่อลิตร คิดเป็นการเพิ่มขึ้นประมาณ 10% คิดแล้วก็ใจหายจะไปเที่ยวต่างจังหวัด ถึงกับต้องคิดหนักเลยช่วงนี้ และที่สำคัญปีนี้เราอาจได้เห็นแก๊สโซฮอล์ 91 ขึ้นไปมากกว่านี้อีก
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1221
Finance
กองทุน UHERO มีหุ้นหลักที่ลงทุนอะไรบ้าง
null
หุ้นหลักที่ลงทุนกับกองทุน UHERO - Nvidia (สัดส่วน 8.91%): บริษัทผู้ส่งออกการ์ดจอมากสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เกี่ยวเนื่องกับการเติบโตของเกมเมอร์โดยตรง เพราะ ต้องใช้อุปกรณ์อย่างคอมพิวเตอร์และมือถือ อีกทั้งยังเป็นผู้สร้างซอฟต์แวร์สำหรับพัฒนาระบบรถยนต์ไร้คนขับอีกด้วย - Electronic Arts (สัดส่วน 6.64%): หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตเกมชั้นนำ เช่น The Sims Battlefield Need for Speed และอื่น ๆ อีกทั้งยังมีแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์จัดจำหน่ายด้วยตนเองอย่าง Origin ซึ่งใครที่คุ้นเคย Steam ก็น่าจะเข้าใจเป็นอย่างดี - NetEase (สัดส่วน 6.38%): ผู้พัฒนาเกมออนไลน์ทั้งในรูปแบบ PC และมือถือสัญชาติจีน อีกทั้งยังเป็นพารฺ์ทเนอร์คู่หูร่วมกันกับ Blizzard อีกหนึ่งค่ายผลิตเกมชื่อดังระดับโลก - Blizzard (สัดส่วน 6.25%): ผู้พัฒนาเกมชื่อดังที่เคยสร้างปรากฎการณ์ระดับโลกมาแล้ว เช่น เกม Warcraft รวมถึงยังมีเกมฮอตฮิตในยุคหลังอย่าง Hearthstone และ Overwatch - Nintendo (สัดส่วน 6.04%): บริษัทผลิตเกมรวมถึงเครื่องเกมคอนโซลชื่อดังที่ใครหลายคนน่าจะเติบโตมาพร้อม ๆ กัน มีเครื่องเล่นเกมคอนโซลที่เคยเป็นกระแสอย่าง Nintendo Wii เครื่องเล่นเกม Super ของวัยเก๋า รวมไปถึง Nintendo Switch ในยุคล่าสุด อีกทั้งยังมีเกมในตำนานอย่าง Mario Kerby และ The Legen of Zelda ที่ใครหลายคนคงติดกันอย่างงอมแงม
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1225
Finance
ตั้งแต่เกิดโรคระบาดโควิด-19 การเก็งกำไรในตลาดสินทรัพย์ที่ซื้อขายเปลี่ยนมือคล่อง เช่น เหรียญคริปโตและหุ้นดูเหมือนว่าจะรุนแรงอย่างที่โลกไม่เคยพบเจอมาก่อน สาเหตุนั้นน่าจะเป็นเพราะปัจจัยสำคัญอะไรบ้าง
อวสานของการเก็งกำไร ​ สองปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เกิดโรคระบาดโควิด-19 การ “เก็งกำไร” ในตลาดสินทรัพย์ที่ซื้อขายเปลี่ยนมือคล่องเช่น เหรียญคริปโตและหุ้นดูเหมือนว่าจะรุนแรงอย่างที่โลกไม่เคยพบเจอมาก่อน สาเหตุนั้นน่าจะเป็นเพราะปัจจัยสำคัญหลายอย่างดังต่อไปนี้คือ ข้อแรก มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบมหาศาลเพิ่มจากที่มีมากอยู่แล้วอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นั่นคือ มีการทำ QE ที่ต่อเนื่องมายาวนานตั้งแต่วิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ที่ยังค้างอยู่และมีการ “แจกเงิน” มหาศาลให้กับประชาชนโดยรัฐบาลเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปิดเมืองในช่วงโควิด ข้อสอง เทคโนโลยีโดยเฉพาะทางด้านดิจิทัลถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาของคนที่ต้องกักตัวอยู่กับบ้านเป็นเวลานานมีการเติบโตขึ้นมหาศาล ทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องมีรายได้และกำไรเติบโตเร็วขึ้นมาก และมีการคาดการณ์ว่าเมื่อคนใช้แล้วก็จะใช้ต่อไปเหมือนเดิมหลังจากโรคสงบลงแล้ว และ ข้อสามก็คือ การลงทุนในหลักทรัพย์ทางการเงิน โดยเฉพาะที่เป็นดิจิทัลและหุ้นนั้น ง่ายและมีต้นทุนต่ำลงมาก “ใกล้ศูนย์” พูดง่าย ๆ คนธรรมดาที่มีเงินเพียงหมื่นหรือสองหมื่นบาทก็สามารถลงทุนในเหรียญคริปโตและหุ้นทุกตัวได้โดยค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายต่ำมากผ่านระบบการซื้อขายที่เป็นดิจิทัลเช่นแพลทฟอร์มต่าง ๆ และผ่านเครื่องมือทางการเงิน เช่น ออปชั่นของหุ้นเป็นต้น นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น “รายย่อยรุ่นใหม่” ที่เข้ามาลงทุนในเหรียญคริปโตและตลาดหุ้นนั้นมีจำนวนมากมายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และด้วย Demand หรือความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นมากมายอย่าง “กระทันหัน” ในขณะที่ Supply ของสินทรัพย์ที่มีคุณภาพมีจำกัด ผลก็คือ ราคาของหลักทรัพย์ทั้งหลายรวมถึงคริปโตต่างก็วิ่งขึ้นกันทั่วหน้า สถานการณ์ของหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะที่ได้ประโยชน์จากโควิดหรือ “มีข่าวดี” หรือมี “Story” จำนวนมากถูก “กวาดซื้อ” จนเหมือนถูก “Corner” หรือ “ต้อนเข้ามุม” ซึ่งทำให้ราคา “ทะลุโลก” ขึ้นไปเป็นสิบเท่าหรือมากกว่านั้นในเวลาอันสั้นแค่หนึ่งหรือสองปีหรือแค่ไม่กี่เดือน สิ่งเหล่านี้ดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาเพิ่มและทำให้หุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลโดยทั่วไปปรับตัวขึ้นไปอีกเป็น “วงจร” ต่อเนื่องกันจนทำให้ตลาดหุ้นและคริปโตเฟื่องฟูขึ้นจนอาจจะกลายเป็น “ฟองสบู่” ทั้ง ๆ ที่โลกต้องประสบกับภัยโควิด-19 ที่ร้ายแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง แต่ “งานเลี้ยงนั้นต้องมีวันเลิกรา” ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงสิ้นเดือนมกราคมดูเหมือนว่าตลาดจะมีอาการและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะทำลายการ “เก็งกำไร” ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นหลัก ๆ ของโลกโดยเฉพาะที่เป็นตลาดที่ราคาหรือดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงมากต่างก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ดัชนีดาวโจนส์ในวันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2565 ปรับตัวลดลงถึง 5.1% นับจากวันสิ้นปี 2564 ดัชนี S&P500 ลดลงจากสิ้นปี 7.6% ดัชนีแนสแดคซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นไฮเทคนั้นปรับตัวลดลงถึง 13% ในเวลาแค่ 1 เดือน ส่วนราคาของบิทคอยน์นั้นลดลงถึงประมาณ 20% ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนในตลาดหุ้นไทยนั้น ค่าที่ว่าหุ้นเก็งกำไรนั้น ส่วนมากเป็นกับหุ้นตัวเล็ก-กลาง ดังนั้น การขึ้นหรือลงของหุ้นที่เป็นหุ้นเก็งกำไรจึงอาจจะไม่ค่อยมีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมมากนัก เห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากนักในปีก่อนอยู่ที่เพียง 14% และเมื่อเทียบกับเมื่อ 2 ปีก่อนแล้วก็ปรับตัวขึ้นแค่ประมาณ 5% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโควิด-19 และการเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้นไม่ได้มีผลกับหุ้นตัวใหญ่หรือหุ้นทั้งตลาด แต่มีผลกับ “หุ้นเก็งกำไร” ตัวเล็กหรือตัวกลางที่อาจจะเป็น “หุ้นเก็งกำไร” เห็นได้จากดัชนี MAI ที่ปรับตัวขึ้นถึง 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้ว การตกลงแรงของราคาหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น คนอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องปกติของการ “เก็งกำไร” ที่จะมีขึ้นมีลงรุนแรงเป็นครั้งคราว แต่คราวนี้ผมคิดว่าเราจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมันเกิดขึ้นเนื่องจากธนาคารกลางหรือ FED ของสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณชัดเจนว่าภายในเดือนมีนาคมจะเริ่มปรับดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้นและอาจจะต้องขึ้นเร็วกว่าที่คาดเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่กำลังปรับตัวขึ้นแรงที่สุดในช่วงประมาณ 40 ปีที่ผ่านมาที่ประมาณ 7% นอกจากนั้น หลังจากการปรับอัตราดอกเบี้ยแล้ว FED ก็จะลดและดูดเงินออกจากระบบโดยลดการทำ QE ลง ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่ได้บอกว่าอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นถึงจุดไหนหรือ QE จะลดต่อเนื่องไปถึงขนาดไหน แต่ดูเหมือนว่าสหรัฐเห็นว่าความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นหมดไปแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ และผลจากการทำแบบนั้นอาจจะทำให้ “การเก็งกำไร” ที่ดำเนินมายาวนานหมดไป เพราะถ้ามองว่าตลาดหุ้นมีผลงานการลงทุนที่ดีต่อเนื่องมายาวนานเป็นกว่า 10 ปีและสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตนั้นส่วนสำคัญมาจากการที่อัตราดอกเบี้ยลดลงต่อเนื่องมายาวนานจนเหลือเกือบศูนย์เปอร์เซ็นต์ ความน่ากลัวก็คือ ถ้าอัตราดอกเบี้ยกำลัง “เปลี่ยนทิศ” เป็นขาขึ้นต่อเนื่องยาวนานหลายปีจนกลับไปอยู่ที่อัตราดอกเบี้ย “ปกติ” ซัก 4-5% ต่อปี อะไรจะเกิดขึ้น? ผมเองคิดว่า FED อาจจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3-4 ปีที่จะทยอยปรับดอกเบี้ยขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งในช่วงเวลาที่ดอกเบี้ยขึ้นไปแบบนั้นก็อาจจะเป็นการยากที่ตลาดหุ้นจะดีขึ้นไปมาก ๆ จริงอยู่ ถ้าเศรษฐกิจดีและกำไรของบริษัทจดทะเบียนโตขึ้นเร็ว ดัชนีหุ้นก็อาจจะไม่ถึงกับเลวร้ายหรือมีปัญหา แต่หุ้นจะไปต่อได้ก็หมายความว่าราคาของหุ้นนั้นต้อง “ไม่แพง” ซึ่งจะทำให้ราคาสามารถขึ้นไปตาม “พื้นฐาน” ของบริษัท แต่ถ้าหุ้นโดยรวมมีราคาแพงหรือแพงมากอย่างที่เป็นอยู่ โอกาสก็เป็นไปได้ว่าหุ้นอาจจะไม่ไปไหน เพียงแต่ค่า PE จะลดลงและกลายเป็นหุ้นที่ “ไม่แพง” อีกต่อไป เนื่องจาก “การเก็งกำไรที่หายไป” เหรียญคริปโตที่มีราคาปรับตัวขึ้นไปสูงมากนั้นผมคิดว่าไม่ได้มาจาก “พื้นฐาน” โดยเฉพาะของบิทคอยน์ที่ว่าจะกลายเป็น “เงินของโลก” ที่คนทั้งโลกจะใช้ในการซื้อ-ขายสินค้าหรือเก็บเป็นเงินสำรอง เพราะดูไปแล้วมันมีคุณสมบัติที่ไม่ดีพอที่จะทำอย่างนั้น อย่างมากที่จะเป็นก็คือ “ทองเสมือน” ที่ไม่รู้ว่าราคาที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไร อย่างไรก็ตาม ในยามที่มีการเก็งกำไรสูงมากในช่วงโควิด-19 มันก็กลายเป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรสุดยอด เหตุผลก็เพราะว่าบิทคอยน์มีจำนวนจำกัดและไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ การเข้ามาซื้อของผู้คนจำนวนมหาศาลเพราะเชื่อสตอรี่ที่ว่ามันจะกลายเป็นเงินของโลกทำให้เกิดสถานการณ์ที่บิทคอยน์ถูก “Corner” ซึ่งทำให้ราคาขึ้นไปสูงสุดยอดอย่างรวดเร็ว แต่ถึงวันนี้ รัฐบาลจำนวนมากและเป็นส่วนใหญ่ของโลกต่างก็ยังไม่รับรองหรือสนับสนุนบิทคอยน์ ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ หลายประเทศรวมถึงไทยเริ่ม “แบน” บิทคอยน์ในระดับใดระดับหนึ่ง เช่น ไม่อนุญาตให้ใช้ในการซื้อ-ขายสินค้าหรือไม่ให้ลงทุนเลยก็มี นั่นส่งผลให้สตอรี่ของบิทคอยน์อ่อนลงไปเรื่อย คนที่อาจจะเคยเชื่อว่าบิทคอยน์คือ“อนาคต” ของเงินดิจิทัลเริ่มหวั่นไหวก็เริ่มขาย ราคาที่ลงก็ส่งผลให้คนที่ไม่มั่นใจมากพอเริ่มขายต่อ การตกลงมาอย่างหนักก็ชักจูงให้คนขายเพิ่มขึ้น จริงอยู่ ในอดีตบิทคอยน์ก็เคยลงมาอย่างหนักพอ ๆ กันแต่มันก็ปรับตัวขึ้นมาใหม่ แต่คราวนี้ก็อาจจะไม่แน่ เพราะ “แรงต้าน” จากรัฐบาลทั่วโลกมากขึ้นทุกทีซึ่งรวมถึงจีนและอินเดียที่มีประชากรมหาศาล ดังนั้น อนาคตบิทคอยน์จะไปต่อได้อย่างไร? แม้แต่ประเทศที่รับรองบิทคอยน์อย่างแข็งขันเช่น เอลซานวาดอร์ เองนั้นก็กำลังโดนเตือนจาก IMF ให้เลิกทำเพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น เมื่อถึงวันที่การเก็งกำไรระดับโลกในหุ้นและเหรียญดิจิทัลต่าง ๆ ลดลงอย่างแรง บิทคอยน์ก็อาจจะมีโอกาสตกลงไปมากจนถึงจุดก่อนเกิดโควิด-19 ที่ต่ำกว่า 10,000 เหรียญสหรัฐได้ง่าย ๆ มุมมองของผมสำหรับนักลงทุนไทยก็คือ ในช่วงนี้มีโอกาสที่จะใกล้ถึงวัน “อวสานของการเก็งกำไร” ที่หลักทรัพย์เช่นหุ้นหรือสินทรัพย์ดิจิทัลต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรหรือโดยคุณสมบัติเป็นหุ้นหรือเหรียญที่ “เก็งกำไร” กล่าวคือมีพื้นฐานต่ำกว่าราคามาก เช่น มีค่า PE หรือ Market Cap.สูงผิดปกติมาก หรือบางตัวแทบจะไม่มีพื้นฐานเลย อาจจะถูกขายจนราคาตกลงไปมากมายเกินครึ่งหรืออาจจะถึง 80-90% ได้ง่าย ๆ ทางที่ดีก็ควรจะหลีกเลี่ยงที่จะถือหรือเข้าไปเล่น “เก็งกำไร” ในหุ้นหรือสินทรัพย์เหล่านั้น อย่าไปเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนโลกหรือมันจะเติบโตและทำกำไรจากเทรนด์ในอนาคต เพราะโอกาสที่จะเกิดนั้นน้อยมาก หรือถ้าตัวไหนเกิดทำได้จริง ๆ บางทีราคาของมันในช่วงนี้ก็ได้ปรับขึ้นมาเหมาะสมกับความสำเร็จนั้นอยู่แล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เห็นเหตุผลที่จะลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์เก็งกำไรเหล่านั้น ถ้าอยากที่จะ “ร่วมขบวน” ไปกับเทคโนโลยีของโลกใหม่ รอก่อนก็น่าจะได้ มุมมองของผมสำหรับนักลงทุนไทยก็คือ ในช่วงนี้มีโอกาสที่จะใกล้ถึงวัน “ อวสานของการเก็งกำไร ” ที่หลักทรัพย์เช่นหุ้นหรือสินทรัพย์ดิจิทัลต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรหรือโดยคุณสมบัติเป็นหุ้นหรือเหรียญที่ “ เก็งกำไร ” กล่าวคือมีพื้นฐานต่ำกว่าราคามาก เช่น มีค่า PE หรือ Market Cap. สูงผิดปกติมาก หรือบางตัวแทบจะไม่มีพื้นฐานเลย อาจจะถูกขายจนราคาตกลงไปมากมายเกินครึ่งหรืออาจจะถึง 80-90 % ได้ง่าย ๆ ทางที่ดีก็ควรจะหลีกเลี่ยงที่จะถือหรือเข้าไปเล่น “ เก็งกำไร ” ในหุ้นหรือสินทรัพย์เหล่านั้น อย่าไปเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนโลกหรือมันจะเติบโตและทำกำไรจากเทรนด์ในอนาคต เพราะโอกาสที่จะเกิดนั้นน้อยมาก หรือถ้าตัวไหนเกิดทำได้จริง ๆ บางทีราคาของมันในช่วงนี้ก็ได้ปรับขึ้นมาเหมาะสมกับความสำเร็จนั้นอยู่แล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เห็นเหตุผลที่จะลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์เก็งกำไรเหล่านั้น ถ้าอยากที่จะ “ ร่วมขบวน ” ไปกับเทคโนโลยีของโลกใหม่ รอก่อนก็น่าจะได้ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร . ที่มาบทความ:
ตั้งแต่เกิดโรคระบาดโควิด-19 การเก็งกำไรในตลาดสินทรัพย์ที่ซื้อขายเปลี่ยนมือคล่อง เช่น เหรียญคริปโตและหุ้นดูเหมือนว่าจะรุนแรงอย่างที่โลกไม่เคยพบเจอมาก่อน สาเหตุนั้นน่าจะเป็นเพราะปัจจัยสำคัญหลายอย่างดังต่อไปนี้ คือ ข้อแรก มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบมหาศาลเพิ่มจากที่มีมากอยู่แล้วอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นั่นคือ มีการทำ QE ที่ต่อเนื่องมายาวนานตั้งแต่วิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ที่ยังค้างอยู่และมีการแจกเงินมหาศาลให้กับประชาชนโดยรัฐบาลเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปิดเมืองในช่วงโควิด ข้อสอง เทคโนโลยีโดยเฉพาะทางด้านดิจิทัลถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาของคนที่ต้องกักตัวอยู่กับบ้านเป็นเวลานานมีการเติบโตขึ้นมหาศาล ทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องมีรายได้และกำไรเติบโตเร็วขึ้นมาก และมีการคาดการณ์ว่าเมื่อคนใช้แล้วก็จะใช้ต่อไปเหมือนเดิมหลังจากโรคสงบลงแล้ว ข้อสาม คือ การลงทุนในหลักทรัพย์ทางการเงิน โดยเฉพาะที่เป็นดิจิทัลและหุ้นนั้น ง่ายและมีต้นทุนต่ำลงมากใกล้ศูนย์ พูดง่าย ๆ คนธรรมดาที่มีเงินเพียงหมื่นหรือสองหมื่นบาทก็สามารถลงทุนในเหรียญคริปโตและหุ้นทุกตัวได้โดยค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายต่ำมากผ่านระบบการซื้อขายที่เป็นดิจิทัลเช่นแพลทฟอร์มต่าง ๆ และผ่านเครื่องมือทางการเงิน เช่น ออปชั่นของหุ้นเป็นต้น
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1234
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "ข้อจำกัดของธุรกิจสาธารณูปโภค" ให้หน่อยค่ะ
ข้อจำกัดของธุรกิจสาธารณูปโภคก็คือ มันเป็นธุรกิจที่มักจะถูกควบคุมอย่างใกล้ชิดจากรัฐโดยเฉพาะในด้านของการกำหนดราคาขายที่ไม่สามารถทำกำไร “เกินกว่าปกติ” ได้ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มีข้อดีที่ว่ารัฐมักจะ “การันตีผลตอบแทน” ที่จะได้รับในระดับหนึ่งที่เหมาะสมกับการลงทุนหรือต้นทุนของคนที่นำเงินมาลงทุน ตัวอย่างเช่น ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน สามารถขายบริการได้ตามเป้าหมายบวกลบไม่เกิน 20% คนที่ลงทุนก็จะได้ผลตอบแทน 12-15% ต่อปีเป็นเวลา 25 ปี เป็นต้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่กิจการสาธารณูปโภคในตลาดหลักทรัพย์ทำหลาย ๆ ปีมาแล้ว และก็ยังจะทำต่อไปโดยที่เงื่อนไขก็คงต้องเปลี่ยนไปบ้างโดยเฉพาะในเรื่องของผลตอบแทนหรือที่ในวงการสัมปทานเรียกว่า IRR ของโครงการอาจจะต้องลดลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงมากของเวียดนาม
ข้อจำกัดของธุรกิจสาธารณูปโภค คือ การถูกรัฐบาลควบคุมอย่างใกล้ชิดในเรื่องการกำหนดราคาขายที่ไม่สามารถทำกำไรเกินกว่าปกติ แต่มีข้อดีคือ รัฐบาลการันตีผลตอบแทนที่เหมาะสมกับต้นทุนของคนที่นำเงินมาลงทุน
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,10.กฎหมายการเงิน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_1236
Finance
Passive Income คือการให้เงินได้ทำงานสร้างเป็นกระแสเงินสดกลับมาให้นักลงทุน ซึ่งส่วนมากนักลงทุนก็จะนึกถึงหุ้นปันผลหรือกองทุนปันผล ใช่หรือไม่
null
ใช่ Passive Income คือการให้เงินได้ทำงานสร้างเป็นกระแสเงินสดกลับมาให้นักลงทุน ซึ่งส่วนมากนักลงทุนก็จะนึกถึงหุ้นปันผลหรือกองทุนปันผลนั่นเอง ข้อดีของการลงทุนแบบได้ปันผล - กองทุนปันผลเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการ Cash flow ไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน - ถ้าหากตลาดเป็นขาลง การได้รับปันผลมาเก็บไว้ก่อน ก็จะช่วยให้มูลค่าเงินรวมของเราขาดทุนน้อยลง ข้อเสียของการลงทุนแบบได้ปันผล - ต้องเสียภาษีเงินปันผล 10% - เสียโอกาสจากการได้ทบต้น หากตลาดเป็นขาขึ้น โดยจะเห็นว่า NAV ของกองทุนปันผลอาจจะไม่ค่อยไปไหน หากเทียบกับกองสะสมมูลค่า เพราะกองทุนปันผล ได้มีการจ่ายเงินออกมาตลอดทางนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ถ้าหากวัตถุประสงค์ของเราคือต้องการ Cash flow อย่างต่อเนื่องแล้ว เราก็ต้องพิจารณาเลือกกองทุนปันผลที่มี Dividend Yield สูง มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ทั้งนี้การลงทุนแบบปันผล หากลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย ก็จะเห็นว่าเราได้รับปันผลที่น้อยเช่นกัน แต่สำหรับใครที่ต้องการได้ Passive Income เเบบเป็นเงินก้อนมาใช้จ่ายจริงจังในชีวิตประจำวัน ก็ต้องใช้เงินต้นที่ค่อนข้างมากหน่อย สำหรับใครที่วางแผนว่าช่วงเกษียณอยากมี Passive Income ก็สามารถทำได้ โดยในช่วงที่อายุน้อย ก็ลงทุนในกองทุนสะสมมูลค่า เพื่อให้เงินลงทุนเราได้มีโอกาสทบต้น สร้างเงินก้อนใหญ่ เพื่อนำไปใช้ลงทุนในตอนเกษียณเพื่อรับปันผลอีกทีก็ได้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_1245
Finance
ถ้าหุ้นมี ROE ไม่น้อยกว่ากี่% จะถือว่าเป็นหุ้นที่สร้างกำไรได้สูงโดยไม่ต้องใช้ส่วนของผู้ถือหุ้นเยอะ
a. 12% b. 13% c. 15% d. 18%
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ c. เพราะว่า นักลงทุนทุกคนคงอยากจะหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีกันใช่ไหมครับ หุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุนควรจะเป็นหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีและผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการพิจารณาประกอบการลงทุนคือ ROE (Return on Equity) ROE คืออะไร? • ROE คือ Net Profit (กำไรสุทธิ) หารด้วย Equity (ส่วนของผู้ถือหุ้น) เมื่อคำนวณออกมาแล้วจะได้เป็นอัตราส่วนทางการเงิน ซึ่งถ้าหุ้นนั้น ๆ มี ROE ไม่น้อยกว่า 15% จะถือว่าเป็นหุ้นที่สร้างกำไรได้สูงโดยไม่ต้องใช้ส่วนของผู้ถือหุ้นเยอะ
6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1247
Finance
นักลงทุนสาย The Expert มีลักษณะอย่างไร
null
นักลงทุนสาย The Expert ซึ่งพบได้ในนักลงทุนรุ่นเก๋ามีประสบการณ์ในตลาดมาอย่างโชกโชน บ้างก็เป็นผู้บริหารระดับสูง บ้างก็มาถึงช่วงชีวิตที่กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจเป็นหลักเป็นแหล่ง เริ่มพอใจกับชีวิต มีรายได้ที่ตอบโจทย์ตามวัยแล้ว หรือบางคนก็อาจจะมีภาระที่ต้องดูแล เช่น ลูก หนี้สินต่าง ๆ ค่างวดบ้านหรือรถยุโรปสุดหรูที่กำลังผ่อนอยู่ นักลงทุนกลุ่มนี้อาจจะเคยติดดอยหุ้นวัฏจักรหรือหุ้นร้อนแรงเมื่อปี 40 โดนผู้บริหารหรือโบรกเกอร์ปั่นให้ซื้อหุ้นของบริษัทตอนที่ตลาดกำลังร้อนแรงสุด ๆ และหุ้นก็ไม่เคยมาเหยียบ ณ จุด ๆ นั้นอีกเลย นักลงทุนประเภทนี้เริ่มมีความรู้ในระดับที่น่านับถือ คุยการลงทุนเชิงลึกเริ่มเป็นล่ำเป็นสัน รู้ว่าตลาดไม่ได้ง่ายและอาจจะไม่ได้ยากถ้าตั้งใจศึกษาพัฒนาระดับจิตใจและความรู้ให้แกร่งเพียงพอ แต่บางตนอาจพอใจกับชีวิตเรียบร้อยแล้วและเลือกที่จะศึกษาต่อไปเรื่อย ๆ นักลงทุนประเภท Expert เป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์และมีความเข้าใจทางด้านการลงทุนและความไม่แน่นอนของตลาดมาเรียบร้อยแล้ว บางคนอาจจะเริ่มคิดว่าการลงทุนระยะยาวแบบไม่ต้องไปยุ่งหรือให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลน่าจะตอบโจทย์และช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน นักลงทุนประเภทนี้อาจเริ่มสร้างผลตอบแทนที่ดีพอสมควรจากการลงทุนในระยะยาว แต่บางคนอาจจะคิดว่ามันน่าจะดีกว่านี้ได้อีกและอาจเริ่มหาตัวช่วยที่มีศักยภาพในการสร้างการเติบโตของผลตอบแทน สิ่งที่จะมาช่วยได้คือ ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวมากความสามารถ มีกลยุทธ์ทางเลือกในรูปแบบที่หลากหลายน่าสนใจให้เลือกสรรได้อย่างตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่งจะช่วยให้พอร์ตเติบโตได้มากกว่าเดิมยิ่ง ๆ ขึ้นไป
5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_125
Finance
หลังสัญญาณดอกเบี้ยขาลงในปี2566 นักลงทุนควรเลือกลงทุนแบบใด
เงินฝากที่มีแนวโน้มไม่สูงไปมากกว่านี้ หรือแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจลดลงในอนาคต ตราสารหนี้จะได้ประโยชน์จากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้น และนักวิเคราะห์หลายแห่งให้ความเห็นตรงกันว่า เป็นการดีที่จะลงทุนในตราสารหนี้ โดยเฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งมีหลายแบบ เช่น กองทุนตราสารหนี้ K-CASH, K-SF-A, K-CBOND-A, K-PLAN1 ของ K-bank เลือกให้เหมาะกับระยะเวลาที่สามารถลงทุนได้ และถือให้ครบตามระยะเวลาที่แนะนำของแต่ละกองทุนเพื่อลดความผันผวน ตราสารหนี้ คือ ตราสารทางการเงินชนิดหนึ่งที่รัฐบาลหรือบริษัทเอกชนออกขายให้กำบนักลงทุน โดยที่ผู้ซื้อจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบ "ดอกเบี้ย" กลับคืนมาตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และจะได้รับ"เงินต้น" คืนเมื่อครบกำหนดอายุตราสาร โดยการฝากเงินยังคงเป็นทางเลือกในการเก็บเงินสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ได้ดอกเบี้ยแน่นอน และเงินต้นไม่หาย ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าหลายธนาคารเริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ทั้งเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำ โดยปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 0.05%-0.30% ต่อปี หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 25 ม.ค. 66 ที่ผ่านมา ซึ่งคณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี มาอยู่ที่ 1.50% ต่อปี โดยกนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลง ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า กนง.มีแนวโน้มสูงที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเพียง 1 ครั้งที่ 0.25% ภายใน ไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งจะมีการประชุม กนง. ครั้งถัดไปในวันที่ 29 มี.ค. 66 และอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% ต่อปีไปตลอดทั้งปี 2566 ขณะที่เงินเฟ้อจะค่อยๆ ปรับลดลงสู่เป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 1%-3% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งจากสถานการณ์ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นและแนวโน้มดอกเบี้ยตลอดทั้งปี 2566 ส่งผลให้ หลังจากไตรมาสแรก ดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้มจะไม่สูงไปมากกว่านี้ เนื่องจากมีแนวโน้มสูงที่ กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเพียงแค่ 1 ครั้ง โดยหลังจากไตรมาสแรกไปจนถึงสิ้นปี 66 ดอกเบี้ยเงินฝากจะคงที่ ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารกสิกรไทย ณ 30 ม.ค. 66 ในส่วนของเงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ 0.25% ต่อปี ส่วนเงินฝากประจำ 3 เดือน – 36 เดือน อยู่ที่ 0.67%-1.60% ต่อปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการฝากและจำนวนเงินที่ฝาก สำหรับเงินฝากประจำทวีทรัพย์ 24 เดือนอยู่ที่ 1.90% ต่อปี • และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนม.ค. 66 อยู่ที่ 5.02% ส่วนอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปี 65 อยู่ที่ 6.08% ซึ่งยังสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 1%-3% ค่อนข้างมาก ดังนั้น ดอกเบี้ยเงินฝากจะโตไม่ทันเงินเฟ้อ ทำให้มูลค่าของเงินลดลง แต่จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คงที่และอาจลดลงในอนาคต ตราสารหนี้จะได้ประโยชน์จากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนตราสารหนี้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยตลาดตราสารหนี้ไทยปัจจุบันได้สะท้อนโอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับต่ำกว่า 2% ในปีนี้ และปรับขึ้นสู่ระดับ 2.20%-2.50% ในปีหน้า ทำให้ภาพรวมตลาดตราสารหนี้อยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ ซึ่งการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นจะได้ประโยชน์ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นจากตราสารที่ครบกำหนดจะนำไปลงทุนต่อที่ให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่หากรับความเสี่ยงได้มากขึ้นก็สามารถเข้าลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวได้ ซึ่งอาจมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้จากอัตราตอบแทนที่น่าดึงดูดใจและอัตราตอบแทนพันธบัตรที่ชะลอตัวลง กองทุนตราสารหนี้ในประเทศเป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ ระดับความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับ 1-4 โอกาสในการขาดทุนจึงน้อยมาก โดยกองทุนตราสารหนี้จะนำเงินของผู้ลงทุนไปลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ในประเทศ โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ที่มีความน่าเชื่อถือสูงมาก และหุ้นกู้ของภาคเอกชนที่มีความน่าเชื่อถือในระดับที่สามารถลงทุนได้ โอกาสในการผิดนัดชำระหนี้จึงน้อยมาก ทำให้ผู้ลงทุนมีความสบายใจมากขึ้นในการนำเงินมาลงทุน ซึ่งกองทุนตราสารหนี้สามารถแบ่งออกเป็น 1. กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 2. กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง และ3. กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ขึ้นอยู่กับอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่กองทุนนำเงินไปลงทุน ซึ่งความสั้นยาวของกองทุนตราสารหนี้จะส่งผลทั้งด้านความเสี่ยง ความผันผวน และผลตอบแทนของกองทุน โดยกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี จะมีความเสี่ยงต่ำกว่า และผันผวนน้อยกว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะยาว แต่โอกาสได้รับผลตอบแทนก็ต่ำกว่าด้วยเช่นกัน การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นจะได้ประโยชน์ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นจากตราสารที่ครบกำหนดจะนำไปลงทุนต่อที่ให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่หากรับความเสี่ยงได้มากขึ้นก็สามารถเข้าลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวได้ ซึ่งอาจมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า สำหรับกองทุนตราสารหนี้ที่แนะนำในช่วงนี้ได้แก่ กองทุน K-CASH, K-SF-A, K-CBOND-A และ K-PLAN1 โดยมีแนวทางการลงทุนดังนี้ • ในการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น • กองทุน K-CASH แนะนำถือลงทุนมากกว่า 3 วัน • กองทุน K-SF-A แนะนำถือลงทุนมากกว่า 3 เดือน • กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง • กองทุน K-CBOND-A แนะนำถือลงทุนมากกว่า 1 ปี • กองทุน K-PLAN1 แนะนำถือลงทุนมากกว่า 1 ปี การลงทุนกองทุนตราสารหนี้ในปีนี้ถือเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการคว้าโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน หากเราเปิดใจ เริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ ศึกษาทำความเข้าใจ โดยแบ่งเงินบางส่วนมาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่เหมาะกับความเสี่ยงที่รับได้ ระยะเวลาที่สามารถลงทุนได้ และถือได้ครบตามระยะเวลาที่แนะนำของแต่ละกองทุน เพียงเท่านี้เงินต้นที่มีก็สามารถงอกเงยได้มากขึ้นและโตเร็วขึ้นกว่าเดิม หลักสำคัญคือ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน
เลือกลงทุนกองทุนตราสารหนี้ เพราะ: 1. มีโอกาสได้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก : ซึ่งจากสถานการณ์ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นและแนวโน้มดอกเบี้ยตลอดทั้งปี 2566 ส่งผลให้ หลังจากไตรมาสแรก ดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้มจะไม่สูงไปมากกว่านี้ เนื่องจากมีแนวโน้มสูงที่ กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเพียงแค่ 1 ครั้ง โดยหลังจากไตรมาสแรกไปจนถึงสิ้นปี 66 ดอกเบี้ยเงินฝากจะคงที่ ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารกสิกรไทย ณ 30 ม.ค. 66 ในส่วนของเงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ 0.25% ต่อปี ส่วนเงินฝากประจำ 3 เดือน – 36 เดือน อยู่ที่ 0.67%-1.60% ต่อปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการฝากและจำนวนเงินที่ฝาก สำหรับเงินฝากประจำทวีทรัพย์ 24 เดือนอยู่ที่ 1.90% ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนม.ค. 66 อยู่ที่ 5.02% ส่วนอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปี 65 อยู่ที่ 6.08% ซึ่งยังสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 1%-3% ค่อนข้างมาก ดังนั้น ดอกเบี้ยเงินฝากจะโตไม่ทันเงินเฟ้อ ทำให้มูลค่าของเงินลดลง แต่จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คงที่และอาจลดลงในอนาคต ตราสารหนี้จะได้ประโยชน์จากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนตราสารหนี้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น 2. กองทุนตราสารหนี้ในประเทศเป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ : - ระดับความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับ 1-4 โอกาสในการขาดทุนจึงน้อยมาก - โดยกองทุนตราสารหนี้จะนำเงินของผู้ลงทุนไปลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ในประเทศ โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ที่มีความน่าเชื่อถือสูงมาก และหุ้นกู้ของภาคเอกชนที่มีความน่าเชื่อถือในระดับที่สามารถลงทุนได้ โอกาสในการผิดนัดชำระหนี้จึงน้อยมาก ทำให้ผู้ลงทุนมีความสบายใจมากขึ้นในการนำเงินมาลงทุน ซึ่งกองทุนตราสารหนี้สามารถแบ่งออกเป็น : 1. กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 2. กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง และ 3. กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ขึ้นอยู่กับอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่กองทุนนำเงินไปลงทุน ซึ่งความสั้นยาวของกองทุนตราสารหนี้จะส่งผลทั้งด้านความเสี่ยง ความผันผวน และผลตอบแทนของกองทุน โดยกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี จะมีความเสี่ยงต่ำกว่า และผันผวนน้อยกว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะยาว แต่โอกาสได้รับผลตอบแทนก็ต่ำกว่าด้วยเช่นกัน
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.เครื่องมือทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1257
Finance
หลักในการพิจารณากองทุนรวมมีคุณลักษณะ 4 ประการ ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ขอเริ่มจากเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินกองทุนแบบ Rule of Thumb กันก่อนว่าเป็นอย่างไร ดังนี้ โดยทั่วไป มักจะถือไว้ประมาณ 3 ปีหรือนานกว่านั้น ถ้าคุณลงทุนแบบนี้ควรดูตัวเลือกการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับต้นๆ ในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาหรือนานกว่านั้น เพราะมักจะมีโอกาสทำกำไรใน 3 ปีถัดไป ซึ่งดีกว่ากองทุนรวมที่มีผลตอบแทนต่ำกว่า ดังนั้นทางออกของปัญหาว่าจะเลือกลงทุนกองทุนไหนดีนั้นแทบจะหมดไปหากลงทุนยาวหน่อย โดยเลือกลงทุนกองทุนรวมที่มีผลตอบแทนดีๆ ในช่วงระยะเวลาเท่ากับหรือนานกว่าช่วงเวลาที่คุณวางแผนจะถือ นอกจากนี้ แนะนำให้พิจารณากองทุนรวมที่มีคุณลักษณะ 4 ประการ คือ ประการหนึ่ง อย่าเลือกกองทุนตัวที่มีผลประกอบการในปีใดปีหนึ่งหรือมากกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกองทุนรวมในกลุ่มเดียวกันมากจนเกินไป เนื่องจากจากอดีตที่ผ่านมา แทบจะไม่มีกองทุนใดที่สามารถชนะตลาดแบบทิ้งขาดมากๆ มากกว่า 1 ปี หากประเมินในช่วงระยะเวลาทั้งหมด 5 ปี ประการที่สอง อย่าเลือกกองทุนรวมที่อยู่ในโซนที่โหล่รั้งท้ายคือในช่วงอันดับร้อยละ 10 จากข้างล่าง เช่นหากมีกองทุน 50 กอง อย่าเลือกกองที่เคยได้อันดับ 46-50 ประการที่สาม อย่าเลือกกองทุนที่ครองแชมป์ติดต่อกัน 2-3 ปี เพราะเสี่ยงว่าจะซื้อของแพง ประการที่สี่ ให้เลือกกองทุนรวมที่ติดอันดับครึ่งแรกของตารางตลอด 5 ปี หรือถ้าดีกว่านั้น ได้ติดอันดับหนึ่งในสี่ของตารางตลอด 5 ปี
ประการหนึ่ง อย่าเลือกกองทุนตัวที่มีผลประกอบการในปีใดปีหนึ่งหรือมากกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกองทุนรวมในกลุ่มเดียวกันมากจนเกินไป เนื่องจากจากอดีตที่ผ่านมา แทบจะไม่มีกองทุนใดที่สามารถชนะตลาดแบบทิ้งขาดมากๆ มากกว่า 1 ปี หากประเมินในช่วงระยะเวลาทั้งหมด 5 ปี ประการที่สอง อย่าเลือกกองทุนรวมที่อยู่ในโซนที่โหล่รั้งท้ายคือในช่วงอันดับร้อยละ 10 จากข้างล่าง เช่นหากมีกองทุน 50 กอง อย่าเลือกกองที่เคยได้อันดับ 46-50 ประการที่สาม อย่าเลือกกองทุนที่ครองแชมป์ติดต่อกัน 2-3 ปี เพราะเสี่ยงว่าจะซื้อของแพง ประการที่สี่ ให้เลือกกองทุนรวมที่ติดอันดับครึ่งแรกของตารางตลอด 5 ปี หรือถ้าดีกว่านั้น ได้ติดอันดับหนึ่งในสี่ของตารางตลอด 5 ปี
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1259
Finance
หุ้น Tongcheng-Elong จดทะเบียนในตลาดใด
1. ตลาดฮ่องกง 2. ตลาดญี่ปุ่น 3. ตลาดจีน 4. ตลาดไทย
คำตอบคือ 1. เพราะว่า เราจะขอเล่าถึงหุ้นไซซ์เล็กขนาดเพียง $5bn ที่ชื่อ “Tongcheng-Elong” จดทะเบียนในตลาดฮ่องกงรหัส 0780 Tongcheng-Elong เกิดจากการรวมตัวของแอปจองตั๋วการเดินทาง (เครื่องบิน, รถไฟ) มารวมกับแอปจองโรงแรม โดยเน้นการเติบโตไปกับแอพ WeChat ที่แนะนำผู้ใช้งานใหม่ให้ ซึ่ง Tencent ก็เข้ามาถือหุ้น 21% ตามสูตรขอแลกหุ้นกับช่วยเพิ่มผู้ใช้งานใหม่ที่ใช้กับ Meituan, JD, Pinduoduo จนดังเป็นพลุแตก ช่วงปี 2019 ก่อนเกิดการระบาด แอป Tongcheng-Elong มียอดผู้ใช้งานเกิน 200 ล้านคนไปแล้ว แม้จะสะดุดไปช่วงปีที่แล้วแต่ล่าสุดด้วย demand ความอยากเที่ยวของคนจีนก็ดันให้ทั้งจำนวนผู้ใช้งานและรายได้ของ Tongcheng-Elong ฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่แล้วต่อเนื่องถึงปัจจุบัน และแอปกำลังอยู่ในจุดที่ดีมากเพราะเน้นระบบจองการท่องเที่ยวในประเทศมาตั้งแต่แรก เรื่องที่จะดันการเติบโตให้แอปอีกทางก็เป็นเรื่องรัฐบาลจีนกำลังเร่งลดความเหลื่อมล้ำรายได้คนเมืองใหญ่กับเมืองเล็ก ซึ่งเป็นประโยชน์กับ Tongcheng-Elong เพราะผู้ใช้งานส่วนใหญ่อยู่ในเมืองรองและเมืองเล็ก (ไม่ใช่ first-tier cities) และอีกเรื่องคือการออกกฎหมายลดการผูกขาด Big Tech จะช่วยให้แอพขนาดกลางและเล็กมีช่องว่างการให้เติบโตได้
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_126
Finance
จงเสนอไอเดีย เช็กลิสต์อะไรบ้าง ถ้ากองทุน LTF ของเรากำลังครบกำหนดในปีนี้ แล้วเราควรขายหรือถือต่อดี
null
เช็กลิสต์ผ่านคำถาม 3 ข้อสำคัญนี้ 1. เช็กผลตอบแทนและเงินปันผลของกองทุน ถ้าผลตอบแทนยังดีในระยะยาว แนะนำให้ถือ LTF ต่อ เพื่อรับผลตอบแทนเหมือนเดิมได้ แต่ถ้าผลตอบแทนต่ำกว่าที่คาดไว้ สามารถทยอยแบ่งขาย LTF บางส่วน แล้วนำเงินมาพักในกองทุนความเสี่ยงต่ำ อย่างกองทุนตราสารหนี้แทนได้ “อย่าลืม : ในแง่ของผลตอบแทน เราควรนับรวม เงินปันผล ด้วย เพราะถ้ากองทุนที่เราลงทุนยังติดลบอยู่ แต่กองทุนนั้นจ่ายเงินปันผลให้เราอย่างสม่ำเสมอ รวมๆแล้ว เราอาจจะไม่ได้ขาดทุนอย่างที่คิดก็ได้” 2. เรารีบใช้เงิน หรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินไหม ถ้าเป็นเงินเย็น สามารถถือ LTF ต่อ เพื่อรอจังหวะขายทำกำไรในอนาคต หรือถือเพื่อรอรับปันผล หากกองทุนที่เราลงทุน มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เราจะได้มีเงินใช้ระหว่างลงทุนด้วย 3. เป้าหมายการลงทุนคืออะไร หรือ แผนการเงินของเราเป็นอย่างไร ถ้าเป้าหมายหลักของเราคือ การสะสมเงินก้อน ไว้ใช้จ่ายในอนาคต เราก็สามารถลงทุน LTF ต่อไปได้ แต่ถ้าเป้าหมายของเราคือ ต้องการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ก็สามารถแบ่งขาย LTF บางส่วน แล้วไปถือ SSF หรือ RMF ให้เต็มสิทธิ์แทนได้ ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายนโยบายตามความเสี่ยงที่รับได้ อย่างเช่น กองทุน K-SF-SSF และ RMF กองทุนความเสี่ยงต่ำ ที่มีนโยบายลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐ และเอกชน โอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก หรือ กองทุน K-GINCOME-SSF และ RMF ที่มีความเสี่ยง ปานกลาง กระจายการลงทุนในหุ้น และตราสารหนี้ทั่วโลก และ K-GINCOME-SSF ยังมีนโยบายจ่ายปันผล ปีละ ไม่เกิน 4 ครั้ง หรือใครรับความเสี่ยงได้สูง และอยากเติบโตไปกับหุ้นจีนระยะยาว ก็ลงทุนผ่านกองทุน K-CHINA-SSF และ RMF ได้เช่นกัน 3 คำถามสำคัญนี้ น่าจะทำให้เราตอบตัวเองได้ว่า เราจะจัดการกับ LTF ที่มีอยู่อย่างไรดี
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1282
Finance
ข้อใดไม่ใช่ 5 ธนาคารกลางหลักของโลก ตามขนาดของเศรษฐกิจ ปี 2564
ก. ธนาคารกลางสหรัฐ ข. ธนาคารกลางญี่ปุ่น ค. ธนาคารกลางยุโรป ง. ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย
คำตอบที่ถูกต้องคือ ง. เพราะว่า วันนี้ โลกแห่งธนาคารกลาง กำลังถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว นั่นคือ ขั้วที่ยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไปหรือมากขึ้นอีก กับ ขั้วที่ได้เปลี่ยนหรือเตรียมจะเปลี่ยนเข้าสู่โหมดการทำให้นโยบายการเงินตึงตัว บทความนี้ จะลองมาไล่เลียงกันใน 5 ธนาคารกลางหลักของโลก ตามขนาดของเศรษฐกิจ ดังนี้ 1. ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ซึ่งในขณะนี้ ได้เปลี่ยนเข้าสู่โหมดการทำให้นโยบายการเงินตึงตัวมากขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในการประชุมเฟดครั้งล่าสุดเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา เจย์ พาวเวล ประธานเฟด ได้ประกาศเพิ่มความเร็วในการลด QE ให้เร็วขึ้น มาสิ้นสุดการซื้อพันธบัตรในเดือนมีนาคม ปี 2022 รวมถึง Dot plot หรือความเห็นของสมาชิกเฟดต่ออัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจในอนาคต ปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่ของผู้ว่าเฟดในรัฐต่างๆประเมินว่าการขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 ในปีหน้า โดยที่ยังมองว่าเงินเฟ้อที่ขึ้นมาจากการที่อุปทานเกิดติดขัด (Supply Disruption) ซึ่งจะจบลงได้เองในที่สุด โดยมองอัตราเงินเฟ้อรวมในปีนี้ เพิ่มจากร้อยละ 4.2 เป็นร้อยละ 5.3 และ อัตราเงินเฟ้อรวมที่ไม่รวมอาหารและพลังงานในปีนี้ เพิ่มจากร้อยละ 3.7 เป็นร้อยละ 4.4 ส่วนในปีหน้า มองไว้ที่ร้อยละ 2.6 และ 2.7 ตามลำดับ 2. ธนาคารกลางยุโรป หรืออีซีบี ซึ่งอยู่ในขั้วที่ยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินต่อไปหรือมากขึ้นอีกนั้น คริสติน ลาการ์ด ประธานอีซีบี มองว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในฟากของยุโรปนั้น มีความแตกต่างจากฝั่งสหรัฐ โดยอีซีบีมองว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยุโรปมีลักษณะที่เป็นแบบที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว โดยคาดว่าจะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงกลางปีหน้า ดังนั้นอีซีบีจึงประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของยุโรปจะยังคงอยู่ในระดับต่ำไปอย่างน้อยจนถึงต้นปี 2023 เป็นอย่างเร็วสุด รวมถึงมีความเป็นไปได้ว่าจะยังคงนโยบายการเงินที่ใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ QE ต่อไปอีกในปีหน้า อย่างไรก็ดี จากการที่เฟดซึ่งเป็นธนาคารกลางที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกได้เปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้นแล้วนั้น จึงจำเป็นที่การสื่อสารในส่วนของนโยบายการเงินของตนเองต้องทำในรูปแบบที่ไม่แสดงถึงความแตกต่างกับโทนของเฟดให้มากเกินไป ซึ่งตรงนี้ ถือเป็นความท้าทายที่คริสติน ลาการ์ด ต้องยืนอยู่ที่จุดกึ่งกลางของแนวทางทั้งสองประการให้พอดี ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไรนัก 3. ธนาคารกลางญี่ปุ่น จากการที่ ฟูมิโอ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีท่านใหม่ของญี่ปุ่น มีนโยบายเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ อันประกอบด้วย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังและการเงิน ซึ่งจะยังคงอัตราภาษีการบริโภคและนโยบายเงินเฟ้อเป้าหมายที่ร้อยละ 2 เอาไว้ รวมถึงขยายขอบเขตของนโยบายอะเบโนมิคส์ให้หมายรวมถึงการช่วยเหลือบริษัทขนาดเล็กและการเพิ่มระดับค่าจ้างนั้น นั่นมีนัยยะว่าได้ไฟเขียวให้ ฮารูอิโกะ คูโรดา ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ดำเนินนโยบายการเงินแบบที่ผ่อนคลายให้เต็มที่ ซึ่งจากการที่ญี่ปุ่นเองไม่มีปัญหาอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นเหมือนประเทศอื่น ๆ จึงทำให้คูโรดาสามารถใส่เกียร์กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อได้ แบบไม่มีอะไรจะกังวลมากนักในช่วงระยะสั้น 4. ธนาคารกลางอังกฤษ ต้องถือว่าเป็นแบงก์ชาติเดียว ในตอนนี้ ที่มีความกดดันจากปัจจัย 2 ประการที่มีความขัดแย้งกัน โดยในทางหนึ่ง เศรษฐกิจอังกฤษ ล่าสุด ตัวเลขจีดีพีเดือนตุลาคม ออกมาเติบโตเพียงร้อยละ 1 โดยขนาดเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 0.5 โดยขนาดจีดีพีสหรัฐได้สูงกว่าช่วงก่อนโควิดไปตั้งแต่กลางปีแล้ว ในขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อ CPI อังกฤษ เดือนพฤศจิกายน ออกมาเติบโต 5.1% เทียบกับปีที่แล้ว (Core CPI ซึ่งไม่รวมอาหารและพลังงานออกมาเติบโต 4%) ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบ 10 ปี ตรงนี้ จึงทำให้ธนาคารกลางอังกฤษ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะเปลี่ยนมาขั้วที่ทำให้นโยบายการเงินตึงตัวขึ้น หรือขึ้นดอกเบี้ยนโยบายซึ่งตอนนี้อยู่ที่ร้อยละ 0.1 ในช่วงเวลาใดในระยะเวลาอันใกล้นี้ ถึงจะมีความเหมาะสมที่สุด 5. ธนาคารกลางอินเดีย อยู่ในสถานการณ์ที่มีความกึ่งกลางระหว่าง 2 ขั้ว ว่าจะไปทางไหนต่อดี โดยมีโอกาสที่จะเปลี่ยนมาขั้วที่ทำให้นโยบายการเงินตึงตัวขึ้น ในระยะเวลาต่อไปมากกว่า โดยโจทย์ของธนาคารกลางอินเดีย คือ ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบระหว่างร้อยละ 2-6 ให้ได้ โดยที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หากพิจารณาจากคาดการณ์เงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางอินเดีย จะพบว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วงอีก 1 ปีข้างหน้า จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6 ดังรูป ในขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ จะอยู่ที่เกือบร้อยละ 7 โดยมองว่าอาจจะขึ้นไปได้มากกว่านี้ได้เล็กน้อยนั้น อาจจะมีความเป็นไปได้ว่าธนาคารกลางอินเดียอาจจะขยับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 4 ในช่วงปลายไตรมาสแรกจนถึงกลางปีหน้า
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1291
Finance
จากการสำรวจของ บลจ. อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) สำหรับมุมมองการลงทุนปี 2022 ข้อใดไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในปี 2022
a. คาดการณ์ว่าในปีหน้า ผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ จะออกมาดี แต่ต้องระมัดระวังเรื่องปัจจัยแทรกแซง เช่น ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ b. ตอนนี้อาจเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบจากโอไมครอน แต่เบื้องต้นมองว่าผลกระทบไม่มาก เห็นได้จากการที่สถาบันการเงินส่วนใหญ่ยังไม่ปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP c. การดำรงตำแหน่งประธาน Fed สมัยที่ 2 ของเจอโรม พาวเวลล์ เป็นมุมมองเชิงลบต่อตลาด d. เงินเฟ้อคือความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง และอาจไม่ใช่แค่เรื่องชั่วคราว
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ c. เนื่องจาก ใกล้สิ้นปี 2564 บลจ. อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) พาสำรวจมุมมองการลงทุนปี 2022 ด้วย 3 ธีมการลงทุนในต่างแดนที่สร้างผลตอบแทนโดดเด่นเหนือดัชนี Benchmark พร้อมแนะนำกองทุน SSF เพื่อให้นักลงทุนได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ไปพร้อมกับโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ ประเด็นสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในปี 2022 • เงินเฟ้อคือความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง และอาจไม่ใช่แค่เรื่องชั่วคราว • การดำรงตำแหน่งประธาน Fed สมัยที่ 2 ของเจอโรม พาวเวลล์ เป็นมุมมองเชิงบวกต่อตลาด • คาดการณ์ว่าในปีหน้า ผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ จะออกมาดี แต่ต้องระมัดระวังเรื่องปัจจัยแทรกแซง เช่น ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ • ตอนนี้อาจเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบจากโอไมครอน แต่เบื้องต้นมองว่าผลกระทบไม่มาก เห็นได้จากการที่สถาบันการเงินส่วนใหญ่ยังไม่ปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP คำแนะนำสำหรับนักลงทุน • การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมีความผันผวนเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น ดังนั้น นักลงทุนต้องคัดสรร (Selective) สินทรัพย์ที่จะลงทุนมากขึ้น • นักลงทุนควรเลือกธีมการลงทุนให้ชัดเจน เพื่อตอบโจทย์วัตถุประสงค์ในการลงทุน • การกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ (Asset Allocation) เป็นเรื่องสำคัญ
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_130
Finance
จงเสนอไอเดียการทำกำไรของสินทรัพย์ทั่วไปเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ดิจิทัล
null
ทั้งนี้เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนจึงจับคู่เทียบวิธีเหล่านั้นดังนี้ 1) เทรด Cryptocurrency VS เทรดหุ้น การเทรดคริปโทเคอร์เรนซี กับ การเทรดหุ้น ถือเป็นการลงทุนในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยที่การเทรดคริปโทฯ เป็นการนำเงินไปแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin Ethereum แล้วทำการซื้อขายกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง บนบัญชีที่บันทึกด้วยเทคโนโลยี บล็อกเชน ราคาของเหรียญขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อขายในตลาด โดยใช้โอกาสจากความผันผวนของราคา ยิ่งเหรียญมีความต้องการมาก ราคาของเหรียญนั้นก็จะดีดตัวสูงขึ้น ก่อนจะลงทุนเทรดเหรียญควรอ่านและศึกษาข้อมูลของเหรียญนั้นๆ จาก White Paper ซึ่งเป็นเอกสารที่ผู้สร้างเหรียญระบุข้อมูลที่เกี่ยวกับเหรียญทั้งหมดไว้ จะได้นำข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจได้​ ส่วนการเทรดหุ้น เป็นการซื้อขายหุ้นโดยนำเงินของนักลงทุนไปร่วมลงทุนกับบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งนักลงทุนจะเป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วนตามจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ สามารถเทรดหุ้นได้ตามเวลาที่กำหนด ผลตอบแทนจะมาจากกำไรส่วนต่างของราคาหุ้นที่นักลงทุนซื้อมากับราคาที่ขายไป และเงินปันผล หากหุ้นของบริษัทที่ซื้อมีนโยบายจ่ายเงินปันผล และก่อนที่จะเทรดหุ้นหรือซื้อขายหุ้นก็ควรดูให้เหมาะกับลักษณะนิสัยพื้นฐานของตัวเราเองด้วย เช่น หากนักลงทุนเลือกซื้อหุ้นโดยพิจารณาปัจจัยพื้นฐานจากผลการดำเนินงานบริษัท ควรอ่านและศึกษา งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด เพื่อประกอบการตัดสินใจแล้วรอจังหวะเข้าซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม หากนักลงทุนชอบในการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ควรดูกราฟย้อนหลัง เพื่อหาสัญญาณในการเข้าซื้อ และจุดขายทำกำไร 2) การฟาร์มเหรียญ VS การฝากเงินเข้าบัญชี จะเป็นรูปแบบการลงทุนในลักษณะของการฝากเหรียญหรือเงินเข้าบัญชี โดย การฟาร์มเหรียญ หรือ Yield Farming เป็นวิธีการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งใน Cryptocurrency ผลตอบแทนหรือกำไรจะได้มาในรูปแบบของค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย หรือเหรียญ Token บนแพลตฟอร์ม DeFi ที่นักลงทุนนำสินทรัพย์ดิจิทัลของตัวเองไปฝากไว้นั่นเอง ซึ่งรูปแบบของผลตอบแทนจะคล้ายกับการฝากเงินเข้าบัญชี ไม่ว่าจะเป็นบัญชีกระแสรายวัน ฝากประจำ ออมทรัพย์ ฯลฯ ที่จะได้มาในรูปแบบของดอกเบี้ย แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือการฟาร์มเหรียญจะถูกควบคุมด้วยระบบ Automated Market Maker (AMM) ที่จะช่วยดูแลสภาพคล่องจับคู่ซื้อขายสินทรัพย์เพื่อการลงทุนชนิดต่างๆบนโลกดิจิทัล หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้สูงและต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอการฟาร์มเหรียญมีโอกาสตอบโจทย์ดังกล่าวได้ หรือหากนักลงทุนไม่ชอบเสี่ยงหรือรับความเสี่ยงได้น้อยแนะนำเป็นฝากเงินเข้าบัญชีซึ่งปัจจุบันก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น K-eSavings ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี 3) NFT + Coral VS ขายภาพออนไลน์ มาพูดถึงวิธีหาเงินหรือสร้างรายได้จากผลงานศิลปะกันบ้าง วิธีแรกคือ NFT (Non-Fungible Token) เป็นเหรียญดิจิทัลรูปแบบหนึ่งที่ทำขึ้นมาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ของสิ่งที่ถูกแปลงไปอยู่ในรูปแบบของดิจิทัล มีลักษณะเฉพาะตัวไม่มีอะไรมาทดแทนได้ เช่น ผลงานศิลปะ รูปภาพ เพลง หนัง ไอเทมเกม หรือที่ดินจำลอง ฯลฯ โดยทั่วไป NFT มีการซื้อขายกัน 2 แบบ คือการตั้งราคาแบบตายตัว กับการประมูลราคา โดยทำการซื้อหรือขายกับบนแพลตฟอร์ม เช่น Opensea, Sorare, Decentraland เป็นต้น ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ ส่วนแพลตฟอร์มในไทย คือ Coral เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายชิ้นงาน NFT จาก KASIKORN X สามารถใช้สกุลเงินทั่วไปทำการซื้อได้ เช่น เงินบาทไทยหรือ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ รวมไปถึงสามารถ โอนจ่ายผ่าน Mobile Banking ได้อีกด้วย สะดวกทั้งฝั่งคนซื้อและคนขาย ในขณะที่แพลตฟอร์มอื่นต้องแลกเหรียญสกุลคริปโทฯ เพื่อนำมาซื้องานศิลปะ ซึ่งก่อให้เกิดความยุ่งยาก แนวทางการบริหารจัดการรายได้ พอมีรายได้เข้ามาถึงเกณฑ์ที่กำหนดสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือเรื่องของการเสียภาษี จากตัวอย่างด้านบนสำหรับรายได้จากการเทรดคริปโทเคอร์เรนซีหากเป็นกำไรจากการจำหน่าย โอน แลกเปลี่ยนเหรียญ ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(4)ฌ หากขุดเหรียญจะไม่นับเป็นเงินได้ แต่ถ้ามีการเอาเหรียญที่ขุดไปจำหน่าย โอน แลกเปลี่ยน จะถือเป็นเงินได้ 40(8) ส่วนการเทรดหุ้นในประเทศไทย กำไรจากการขายหุ้นยังได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขคือมีการซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น แต่ถ้ามีการขายหุ้นหรือโอนไปนอกตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาที่อยู่ในประเทศไทยมากกว่าหรือเท่ากับ 180 วันในปีภาษีนั้น จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามอัตราภาษีก้าวหน้า และต้องนำเงินได้ไปรวมคำนวณตอนสิ้นปีด้วย แต่หากกำไรจากการเทรดหุ้นเข้ารูปแบบบริษัท(นิติบุคคล) จะไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษี จะต้องนำไปรวมเป็นรายได้เพื่อคำนวณภาษีเงินได้ และหากหุ้นที่ทำการซื้อขายนั้นมีการจ่ายเงินปันผลจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% สำหรับรายได้จากการฟาร์มเหรียญ ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(8) ส่วนการการฝากเงินเข้าบัญชี ให้นับดอกเบี้ยรับรวมไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าเกินจะเข้าข่ายเสียภาษี และจะโดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% (เฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเงินต้น) เป็นต้น ส่วนรายได้จาก NFT ซึ่งถือว่ามีรายได้จากการขาย ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(4)ฌ และการขายภาพออนไลน์ ภาพหรือผลงานนั้นจะเป็นของที่มีลิขสิทธ์ จึงถือเป็นเงินได้ 40(3) ดังนั้นหากเรากำลังมองหาอาชีพหรือวิธีในการหาเงินต้องไม่ลืมคิดถึงการเสียภาษีเงินได้ให้ถูกต้องด้วย จะได้ไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1301
Finance
หลังจากองค์การอนามัยโลก WHO ออกมาเตือนเกี่ยวกับ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ที่แพร่ระบาดในแอฟริกาใต้เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ในหลายจุดอย่างมากจนน่าวิตก โดยจัดให้อยู่ในสถานการณ์ที่น่ากังวล พร้อมทั้งระบชื่อสายพันธุ์ใหม่ว่า โอไมครอน (Omicron) ส่งผลให้ S&P500 Index เป็นอย่างไร
A. ร่วงรุนแรงในช่วง 26-30 พ.ย. 64 กว่า -5% B. ร่วงรุนแรงในช่วง 26-30 พ.ย. 64 กว่า -3% C. ร่วงรุนแรงในช่วง 26-30 พ.ย. 64 กว่า -2% D. ร่วงรุนแรงในช่วง 26-30 พ.ย. 64 กว่า -4%
คำตอบที่ถูกต้องคือ B. เนื่องจาก พลันที่องค์การอนามัยโลก WHO ออกมาเตือนเกี่ยวกับ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ที่แพร่ระบาดในแอฟริกาใต้เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ในหลายจุดอย่างมากจนน่าวิตก โดยจัดให้อยู่ในสถานการณ์ที่น่ากังวล พร้อมทั้งระบชื่อสายพันธุ์ใหม่ว่า โอไมครอน (Omicron) สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกก็พังทลายลงทันที S&P500 Index ร่วงรุนแรงในช่วง 26-30 พ.ย. 64 กว่า -3% เช่นเดียวกับ SET Index ลงจัดหนักในช่วงเวลาเดียวกันกว่า -4.8% ทำไมการเจอไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ถึงต้องทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกสะเทือนกันได้ขนาดนี้ การหาคำตอบคงต้องย้อนความกลับไปถึงที่มาของ ไวรัสสายพันธุ์นี้ แรกเริ่มมีชื่อในทางวิทยาศาสตร์ว่า B.1.1.529 ก่อนที่ WHO จะตั้งชื่อเรียกให้ตามลำดับตัวอักษรกรีกว่าโอไมครอน เป็นไวรัสกลายพันธุ์ชนิดที่ 5 ที่องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่ากังวล ต่อจากสายพันธุ์อัลฟา เบตา แกมมา และเดลตา ความน่ากลัวมันอยู่ตรงที่มีการกลายพันธุ์ของยีนรวมทั้งสิ้นถึง 50 ตำแหน่ง ซึ่งถือว่าผิดปกติอย่างยิ่งและทำให้มันมีความแตกต่างจากเชื้อโควิดกลายพันธุ์อื่น ๆ ที่เคยพบมาเป็นอย่างมาก และการกลายพันธุ์แบบเหนือความคาดหมายนี้ จัดเป็นการกลายพันธุ์ของโปรตีนบนส่วนหนามของไวรัสถึง 32 ตำแหน่ง ซึ่งส่วนดังกล่าวมีความสำคัญยิ่ง ในการเป็นกุญแจที่ไวรัสใช้ไขประตูเข้าสู่เซลล์ร่างกายมนุษย์ โดยเป็นที่แน่ชัดว่าการติดเชื้อของ Omicron มีอัตราที่เร็วกว่าสายพันธุ์เดลตามาก อย่างไรก็ตามยังคงต้องรอการตรวจสอบจากห้องปฏิบัติการอีกนานหลายสัปดาห์ จึงจะสามารถบอกได้ว่ายีนเหล่านั้นมีผลทำให้เชื้อโควิดดังกล่าวมีฤทธิ์ร้ายแรง เหนือกว่าเชื้อกลายพันธุ์ชนิดอื่น ๆ ที่เคยพบมาก่อนหรือไม่ เช่นเดียวกับประสิทธิภาพของวัคซีนต่าง ๆ ในการป้องกันสายพันธุ์นี้ ยังเป็นสิ่งที่ต้องรอผลการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ เท่ากับเรารู้ว่าสายพันธุ์โอไมครอนติดง่ายติดไวกว่าสายพันธุ์เดลตา แต่เรายังไม่รู้ว่า Omicron จะส่งผล 1. ไวรัสจะก่อให้เกิดโรคที่รุนแรงมากเพียงใด 2. ไวรัสสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันได้หรือไม่ 3. ผู้ที่ฉีดวัคซีนไป เมื่อติดสายพันธุ์นี้จะมีอาการป่วยอย่างไร เมื่อไม่รู้ก็คือความไม่แน่นอน ความเสี่ยงที่แต่ละประเทศจะหันมาใช้นโยบายที่เข้มงวด เช่น ล็อกดาวน์ จำกัดการเดินทางหรือปิดประเทศก็มีมากขึ้น ความไม่แน่นอนแบบนี้คือสิ่งที่ตลาดไม่ชอบ เมื่อไม่ชอบก็ขอขายไว้ก่อน สภาวะ Risk Off จึงเกิดขึ้น
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1316
Finance
ข้อใดปัจจัยเป็นที่ทำให้มีการคาดกันว่า แบงก์ชาติอังกฤษน่าจะมีแรงกดดันให้จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก่อนประเทศพัฒนาแล้ว
a. วิกฤตซับไพร์ม b. ความผันผวนต่อทั้งอัตราเงินเฟ้อและจีดีพีในระยะสั้น c. ระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาคึกคักอย่างรวดเร็วและรุนแรง เนื่องจากการหยุดการบริโภคสินค้าและบริการในช่วงโควิด d. อัตราเงินเฟ้อเป้าหมาย
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ c. เนื่องจาก ปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้มีการคาดกันว่า แบงก์ชาติอังกฤษน่าจะมีแรงกดดันให้จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก่อนประเทศพัฒนาแล้ว มีดังนี้ 1. แม้จะเป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นกันในทุกเศรษฐกิจ ที่เมื่อเริ่มมีการเปิดเมืองหลังจากสถานการณ์โควิดลดความรุนแรงลง ระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาคึกคักอย่างรวดเร็วและรุนแรง เนื่องจากการหยุดการบริโภคสินค้าและบริการในช่วงโควิด ทำให้มีแรงการจับจ่ายใช้สอยชดเชยในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งมาจากผลของฐานของระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงโควิดที่ต่ำอีกด้วย อย่างไรก็ดี ในกรณีของเศรษฐกิจอังกฤษ ยังมาจากแรงบวกเพิ่มเติมอีก 2 แรง อันประกอบด้วย - ขนาดของแพ็คเกจการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและ QE จากแบงก์ชาติอังกฤษถือว่าสูงเกือบจะที่สุดในโลก ด้วยขนาดร้อยละ 19 ต่อจีดีพี ส่งผลให้เศรษฐกิจอังกฤษกลับมาเติบโตอีกครั้งได้อย่างรวดเร็วมาก - ด้วยขนาดของเงินออมของประชาชนและบริษัทต่าง ๆ ในอังกฤษที่สะสมมาจากช่วงกักตัวระหว่างสถานการณ์โควิด ประมาณ 2 แสนล้านปอนด์ และ 1 แสนล้านปอนด์ ตามลำดับ ส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการของชาวอังกฤษในช่วงหลังโควิดเป็นอย่างมาก 2. ระดับราคาของสินค้าและบริการของเศรษฐกิจอังกฤษที่เพิ่มขึ้น เริ่มจะกระจายตัวไปยังหมวดสินค้าและบริการต่างๆ ที่หลากหลายขึ้น ซึ่งจากเดิมที่กระจุกอยู่ที่หมวดพลังงาน อาหาร และยานยนต์ ก็เริ่มที่จะกระจายไปยังหมวดสินค้าและบริการทั่วไปมากขึ้น นอกจากนี้ ระดับอัตราเงินเฟ้อคาดหวังของอังกฤษถือว่าได้ขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุด นับตั้งแต่เริ่มมีการใช้มาตรการอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายในปี 1992 3. การที่เศรษฐกิจอังกฤษในช่วงหลังโควิดสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เร็วกว่าวิกฤตในช่วงซับไพร์มค่อนข้างมาก จึงส่งผลให้ตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่าสุดที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้ ต่ำกว่าตัวเลขอัตราเงินเฟ้ออังกฤษเดือนตุลาคม 2021 ที่ออกมาค่อนข้างเยอะ
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_134
Finance
การเตรียมรับมือกับการเข้ามาของ Cryptocurrency ในชีวิตประจำวันมีความสำคัญอย่างไร และควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้การใช้จ่ายด้วย Cryptocurrency มีความเสี่ยงน้อยที่สุด?
1. เก็บรายได้ทั้งหมดในรูปแบบ Cryptocurrency 2. ใช้ Cryptocurrency ชำระค่าสินค้าอย่างเดียว 3. แบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายและเงินเก็บใน Cryptocurrency ให้เหมาะสม 4. ลงทุนใน Cryptocurrency อย่างเดียว
คำตอบได้แก่ 3. เพราะว่า การเตรียมรับมือกับการเข้ามาของ Cryptocurrency ในชีวิตประจำวัน ควรทำโดยการแบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายและเงินเก็บใน Cryptocurrency ให้เหมาะสม เนื่องจากมูลค่าของ Cryptocurrency มีความผันผวนสูง การแบ่งสัดส่วนนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและการสูญเสียมูลค่าของเงินอย่างกะทันหัน ตัวอย่างเช่น การมีเงินใน Crypto Wallet เพียงพอกับการชำระค่าสินค้าในชีวิตประจำวันเท่านั้น ไม่ควรเก็บเงินหรือรายได้ทั้งหมดในรูปแบบ Cryptocurrency เพราะอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียมูลค่าอย่างมากในช่วงเวลาสั้นๆ นอกจากนี้ การใช้ Cryptocurrency เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการควรเลือกใช้ในสถานการณ์ที่มีความได้เปรียบ เช่น การโอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยลดค่าธรรมเนียมการโอนเงินและการแปลงสกุลเงิน ทั้งนี้ ควรมีการติดตามข่าวสารและปรับการใช้งานให้เหมาะสมกับสถานการณ์เสมอ เพื่อให้การใช้ Cryptocurrency เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย.
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1352
Finance
บิทคับซึ่งเป็นแพลทฟอร์มหรือตลาดหรือโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะเงินดิจิทัล เช่น บิทคอยน์ นั้น จริง ๆ ก็คือธุรกิจที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายแนวเดียวกับโบรกเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์ จุดเด่นคืออะไร
บิทคับ : ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ​ การประกาศเข้าซื้อหุ้นบิทคับออนไลน์จำนวน 51% ด้วยเงิน 17,850 ล้านบาท ของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCBX เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เคยประกาศปรับโครงสร้างจากการเป็นธนาคารให้เป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินเมื่อเร็ว ๆ นี้ เหตุผลเพราะว่านั่นเป็นเครื่องแสดงว่ากลุ่ม SCBX “เอาจริง” กับการมุ่งหน้าไปสู่ “โลกใหม่” ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วซึ่งในที่สุดอาจจะ Disrupt หรือทำลายธนาคาร “แบบเก่า” ได้ นั่นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกประเด็นหนึ่งก็คือ การที่บิทคับออนไลน์ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มซื้อขายเหรียญดิจิทัลและสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นได้กลายเป็น “ยูนิคอร์น” ตัวใหม่ เพราะมูลค่าของบริษัทจะเท่ากับ 35,000 ล้านบาทหรือมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่จะวิเคราะห์หรือวิจารณ์ดีลนี้ ผมอยากจะให้ทำความเข้าใจกับ “โลกใหม่” ที่โลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพย์สินต่าง ๆ ในโลกนี้กำลัง “ถูกทำให้เป็นดิจิทัล” อย่างรวดเร็วหรือก็คือการทำให้เป็น “โลกเสมือน” คู่ไปกับ “โลกจริง” อย่างที่มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก เพิ่งจะประกาศเป็นวิสัยทัศน์ของเฟซบุคว่าจะนำบริษัทเข้าสู่โลกของ “Metaverse” หรือ “อาณาจักรของโลกเสมือน” พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Meta” แต่ผมเองคงไม่ไปไกลถึงขนาดว่าโลกจะเป็นอย่างไรในอนาคต แต่จะพูดเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องเพียงบางส่วนนั่นก็คือเรื่องของ “สินทรัพย์ดิจิทัล” และตลาดที่ซื้อขายสินทรัพย์เหล่านั้นซึ่งหนึ่งในตลาดนั้นก็คือบริษัทบิทคับออนไลน์ที่ SCBX ประกาศซื้อ เริ่มตั้งแต่เทคโนโลยี “Block Chain” เกิดขึ้นในโลก ทุกอย่างที่เกี่ยวกับ “ทรัพย์สินจริง” ที่สามารถจับต้องได้ของโลกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เฉพาะอย่างยิ่งมันถูกแปลงให้กลายเป็น “ทรัพย์สินดิจิทัล” หรือ “ทรัพย์สินเสมือน” ที่สามารถกำหนดตัวตนชัดเจน ไม่มีใครสามารถปลอมแปลงได้ มันถูกเก็บรักษาไว้ได้โดยไม่มีการเสื่อมเสียและแทบไม่มีค่าใช้จ่ายในคอมพิวเตอร์หรือใน “คลาวด์” สามารถซื้อขายและโอนได้โดยที่ไม่ต้องมีตัวกลาง ไม่ต้องมีการจดทะเบียนอะไรกับใครทั้งนั้น มันเป็น “ทรัพย์สินในฝันที่มีค่า” โดยเฉพาะใน “โลกใหม่” ว่าที่จริงตอนนี้ก็เริ่มทำกันมากขึ้นเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น เราสามารถเอาคอนโดทั้งหลังแปลงเป็น “เหรียญดิจิทัล” แล้วเอาไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลได้ เอารูปวาดของศิลปินไปทำเป็นดิจิทัลและสามารถจะขายได้ และเมื่อ 2-3 วันนี้เองก็มีข่าวว่าบริษัทไนกี้เอายี่ห้อรองเท้าของตนเองไป “จดทะเบียน” ไว้ในเมตาเวอร์สแล้ว เพราะอาจจะเกรงว่าในอนาคตถ้าคนเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนมาก ๆ และพวกเขาจำเป็นที่จะต้องมีรองเท้าใส่ ไนกี้จะได้ขาย “รองเท้าไนกี้เสมือน” ได้เป็นกอบเป็นกำ นอกจากนั้น เฟซบุคหรือเมตาเองก็ประกาศขาย “ที่ดินเสมือน” กันแล้วแม้ว่าโดยส่วนตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเราจะต้องมีที่ดินถ้าในโลกเสมือนนั้นเราไม่ได้มีตัวตนจริงและเราก็อาจจะไม่จำเป็นต้องประกาศว่าที่ดินนั้นมียี่ห้ออะไรหรืออยู่ที่ไหนเพื่อที่จะอวดกับคนอื่น เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่แน่ว่าวันหนึ่งสินค้าแฟชั่นหรูเช่นแอร์เมสหรือแชนเนลก็อาจจะต้องเข้ามา “จดทะเบียน” ในโลกเสมือนเหมือนกันถ้าไม่อยาก “ตกรถ” ที่มุ่งไปสู่เมตาเวอร์สที่ใหญ่โตอาจจะพอ ๆ กับโลกจริงในอนาคต เทคโนโลยีบล็อกเชนเองยังสามารถ “สร้างทรัพย์สินดิจิทัล” ขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีของจริงเป็นฐาน และนั่นทำให้คนที่เชี่ยวชาญสามารถสร้างทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดในโลกจริงเช่น เงินหรือทองหรือที่ดินอย่างที่เฟซบุคทำขึ้นมา ว่าที่จริงมันก็เป็นเรื่องจำเป็นอยู่แล้วที่การค้าขายทรัพย์สินในโลกเสมือนจะต้องมีการจ่ายเงินรับเงิน ดังนั้น “เงินเสมือน” จึงถูกสร้างขึ้นเป็นจำนวนมาก เริ่มจากบิทคอยน์ที่เป็นผู้นำซึ่งในยุคแรกที่คนในโลกเสมือนยังมีน้อยมาก จึงไม่ค่อยมีคนยอมรับ เรื่องราวจึงเป็นว่าคนที่มีเงินบิทคอยน์หรือเป็นคนสร้างหรือผลิตมันขึ้นมาเอง ได้เอาไปแลกซื้อพิสซา 2 ถาดในราคา 10,000 บิทคอยน์ ซึ่งคิดแล้ว 1 บิทคอยน์ในโลกเสมือนเท่ากับประมาณ 10 สตางค์ของไทย แต่เมื่อเวลาผ่านไปแค่ 12 ปี จนถึงวันนี้ที่คนเชื่อว่าความต้องการบิทคอยน์จะสูงมากมหาศาลในโลกเสมือน จึงทำให้ 1 บิทคอยน์สามารถแลกเป็นเงินได้ถึง 2 ล้านบาท และคนที่ซื้อพิสซาถาดนั้นได้จ่ายเงินไปถึง 20,000 ล้านบาท การสร้างหรือผลิตเงินหรือ “พิมพ์เงิน” เองในโลกเสมือนนั้น กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเต็มไปหมด นอกจากเงินแล้วก็ยังมี “เหรียญ” สารพัดที่จะนำมาใช้หรือนำมาขายในตลาด เมื่อเร็ว ๆ นี้หนังเรื่อง “Squid Game” ซึ่งดังมากในเน็ตฟลิกก็ถูกนำมาทำเป็นเหรียญเพื่อล่อให้คนมาซื้อแล้วสุดท้ายก็ “ถูกเชิด” หนีโดยการปิดโปรแกรมทิ้งได้เงินไปประมาณ 100 ล้านบาท และนี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในแง่ของกฎหมายเองก็คงทำอะไรได้ยากเหมือนกัน เพราะนี่คือ “โลกเสมือน” ที่คนจำนวนมากเข้ามาด้วย “ความเชื่อ” และ “ความโลภ” โดยอาจจะยังไม่ตระหนักว่าอะไรคือ “กฎเกณฑ์” ที่ใช้บังคับการกระทำหรือข้อตกลงในโลกเสมือน มูลค่าที่ “แท้จริง” หรือ “ค่าที่ควรจะเป็น” ของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ในสายตาของ VI อย่างผมก็คือ ถ้ามันเป็นสินทรัพย์ที่แปลงหรืออิงอยู่กับทรัพย์สินจริง เช่น คอนโดหรือธุรกิจบางอย่างที่มีรายได้มีกำไรและจ่ายปันผลก็เป็นเรื่องง่าย นั่นคือเราก็ไปวิเคราะห์สิ่งที่มันเป็นตัวแทน แต่ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ถูกสร้างขึ้นมาในโลกเสมือน แม้ว่ามันจะสามารถนำมาใช้ในโลกจริงได้แต่โดยตัวมันเองไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือมีกำไรเช่น เงินดิจิทัล แบบนี้การประเมินมูลค่าก็ทำได้ยากมากถึงทำไม่ได้ ในกรณีแบบนี้ผมก็จะไม่สนใจเลย เพราะถ้าพยายามทำก็จะกลายเป็นการเก็งกำไรหรือการพนันที่โอกาสแพ้ชนะมีเท่ากันและราคามักขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านจิตวิทยามวลชนที่คาดการณ์ยากมาก และอะไรที่ไม่รู้ ผมก็มักจะหลีกเลี่ยง กลับมาที่บิทคับซึ่งก็คือแพลทฟอร์มหรือตลาดหรือโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะเงินดิจิทัลเช่นบิทคอยน์นั้น จริง ๆ ก็คือธุรกิจที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายแนวเดียวกับโบรกเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์ จุดเด่นก็คือ บริษัทเป็นผู้นำและแทบจะ Dominate หรือครอบงำการซื้อขายเงินดิจิทัลในประเทศไทยซึ่งเติบโตขึ้นเป็นจรวดในเวลาแค่ 1-2 ปี อานิสงค์จากการปรับตัวขึ้นลงแรงมากของบิทคอยน์ คนไทยรุ่นใหม่จำนวนอาจจะเป็นล้านคนต่างก็เข้ามาเล่นในสินทรัพย์นี้ ซึ่งส่งผลให้บิทคับมีปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ในช่วง 9 เดือนของปีนี้คิดเป็นเงินระดับ 1 ล้านล้านบาท มีรายได้ 3-4 พันล้านบาท และกำไรประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งต้องถือว่าเป็นผลประกอบการ “สุดยอด” และอาจจะคุ้มค่าเงินที่ SCBX จ่าย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการลงทุนก็มีมากพอ ๆ กัน ความเสี่ยงข้อแรกก็คือ ตลาดการซื้อขายเงินเหรียญปีต่อ ๆ ไปอาจจะไม่บูมและถ้า “ดับ” ตามราคาของบิทคอยน์หรือคอยน์อื่น ๆ รายได้ก็จะหายไปได้มาก ข้อที่สองซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีโอกาสเกิดค่อนข้างมากก็คือ “คู่แข่ง” ซึ่งก็มีอยู่หลายแห่งและอนาคตอาจจะรวมถึงรายที่มาจากต่างประเทศจะเข้ามาแข่งได้อย่างจริงจังมากขึ้นหลังจากบิทคับที่เป็นรายแรก ๆ เริ่มนำไปก่อน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ แบ้งค์ของไทยหลาย ๆ แห่งก็คงไม่เฉยรอให้ SCBX ทำอยู่ฝ่ายเดียวและอาจจะมาแย่งลูกค้าของตนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ดังนั้นพวกเขาอาจจะต้องรีบเข้ามาทำบ้างก่อนที่จะ “สายเกินไป” และเนื่องจากธุรกิจให้บริการแบบนี้มักจะไม่มี Barrier to Entry และมักไม่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนนั่นคือ ไม่มี Network Effect หรือ Exit Cost ที่จะดึงลูกค้ารายใหม่หรือป้องกันลูกค้ารายเดิมให้อยู่กับบริษัทกรณีที่คู่แข่งเสนอเงื่อนไขเช่น ราคาค่าบริการที่ต่ำกว่า ผลก็คือ ดีลนี้อาจจะไม่ได้คุ้มค่าในแง่การลงทุน อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า SCBX คงได้อย่างอื่นโดยเฉพาะชื่อเสียงที่จะดึงดูดให้ธุรกิจหรือคนในแวดวงดิจิทัลให้เข้ามาเป็นตัวเลือกแรกเวลาอยากทำดีล ซึ่งแค่นี้ก็อาจจะ “คุ้มแล้ว” สำหรับ SCBX ความเสี่ยงข้อแรกก็คือ ตลาดการซื้อขายเงินเหรียญปีต่อ ๆ ไปอาจจะไม่บูมและถ้า “ ดับ ” ตามราคาของบิทคอยน์หรือคอยน์อื่น ๆ รายได้ก็จะหายไปได้มาก ข้อที่สองซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีโอกาสเกิดค่อนข้างมากก็คือ “ คู่แข่ง ” ซึ่งก็มีอยู่หลายแห่งและอนาคตอาจจะรวมถึงรายที่มาจากต่างประเทศจะเข้ามาแข่งได้อย่างจริงจังมากขึ้นหลังจากบิทคับที่เป็นรายแรก ๆ เริ่มนำไปก่อน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ แบ้งค์ของไทยหลาย ๆ แห่งก็คงไม่เฉยรอให้ SCBX ทำอยู่ฝ่ายเดียวและอาจจะมาแย่งลูกค้าของตนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ดังนั้นพวกเขาอาจจะต้องรีบเข้ามาทำบ้างก่อนที่จะ “ สายเกินไป ” และเนื่องจากธุรกิจให้บริการแบบนี้มักจะไม่มี Barrier to Entry และมักไม่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนนั่นคือ ไม่มี Network Effect หรือ Exit Cost ที่จะดึงลูกค้ารายใหม่หรือป้องกันลูกค้ารายเดิมให้อยู่กับบริษัทกรณีที่คู่แข่งเสนอเงื่อนไขเช่น ราคาค่าบริการที่ต่ำกว่า ผลก็คือ ดีลนี้อาจจะไม่ได้คุ้มค่าในแง่การลงทุน อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า SCBX คงได้อย่างอื่นโดยเฉพาะชื่อเสียงที่จะดึงดูดให้ธุรกิจหรือคนในแวดวงดิจิทัลให้เข้ามาเป็นตัวเลือกแรกเวลาอยากทำดีล ซึ่งแค่นี้ก็อาจจะ “ คุ้มแล้ว ” สำหรับ SCBX ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร . ที่มาบทความ:
บิทคับซึ่งเป็นแพลทฟอร์มหรือตลาดหรือโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะเงินดิจิทัล เช่น บิทคอยน์ นั้น จริง ๆ ก็คือธุรกิจที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายแนวเดียวกับโบรกเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์ จุดเด่นก็คือ บริษัทเป็นผู้นำและแทบจะ Dominate หรือครอบงำการซื้อขายเงินดิจิทัลในประเทศไทยซึ่งเติบโตขึ้นเป็นจรวดในเวลาแค่ 1-2 ปี อานิสงค์จากการปรับตัวขึ้นลงแรงมากของบิทคอยน์ คนไทยรุ่นใหม่จำนวนอาจจะเป็นล้านคนต่างก็เข้ามาเล่นในสินทรัพย์นี้ ซึ่งส่งผลให้บิทคับมีปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ในช่วง 9 เดือนของปี 2564 คิดเป็นเงินระดับ 1 ล้านล้านบาท มีรายได้ 3-4 พันล้านบาท และกำไรประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งต้องถือว่าเป็นผลประกอบการ “สุดยอด” และอาจจะคุ้มค่าเงินที่ SCBX จ่าย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการลงทุนก็มีมากพอ ๆ กัน ความเสี่ยงข้อแรกก็คือ ตลาดการซื้อขายเงินเหรียญปีต่อ ๆ ไปอาจจะไม่บูมและถ้าดับตามราคาของบิทคอยน์หรือคอยน์อื่น ๆ รายได้ก็จะหายไปได้มาก ข้อที่สอง ซึ่งคิดว่าน่าจะมีโอกาสเกิดค่อนข้างมากก็คือ “คู่แข่ง” ซึ่งก็มีอยู่หลายแห่งและอนาคตอาจจะรวมถึงรายที่มาจากต่างประเทศจะเข้ามาแข่งได้อย่างจริงจังมากขึ้นหลังจากบิทคับที่เป็นรายแรก ๆ เริ่มนำไปก่อน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ แบ้งค์ของไทยหลาย ๆ แห่งก็คงไม่เฉยรอให้ SCBX ทำอยู่ฝ่ายเดียวและอาจจะมาแย่งลูกค้าของตนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ดังนั้นพวกเขาอาจจะต้องรีบเข้ามาทำบ้างก่อนที่จะ “สายเกินไป” และเนื่องจากธุรกิจให้บริการแบบนี้มักจะไม่มี Barrier to Entry และมักไม่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนนั่นคือ ไม่มี Network Effect หรือ Exit Cost ที่จะดึงลูกค้ารายใหม่หรือป้องกันลูกค้ารายเดิมให้อยู่กับบริษัทกรณีที่คู่แข่งเสนอเงื่อนไขเช่น ราคาค่าบริการที่ต่ำกว่า ผลก็คือ ดีลนี้อาจจะไม่ได้คุ้มค่าในแง่การลงทุน อย่างไรก็ตาม SCBX คงได้อย่างอื่นโดยเฉพาะชื่อเสียงที่จะดึงดูดให้ธุรกิจหรือคนในแวดวงดิจิทัลให้เข้ามาเป็นตัวเลือกแรกเวลาอยากทำดีล ซึ่งแค่นี้ก็อาจจะ “คุ้มแล้ว” สำหรับ SCBX
6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1359
Finance
กองทุน TSF-A มีนโยบายกองทุนอย่างไร
ลงทุนกองทุนเหล่านี้ 10,000 บาท ผ่านไป 10 ปี มีเงินเท่าไร? ​ บทความนี้ขอพาทุกคนไปดูว่า หากเราลงทุน 6 กองทุนเหล่านี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ด้วยเงิน 10,000 บาท ในวันนี้เราจะมีเงินเท่าไรกันบ้าง? ซึ่งแต่ละกองทุนที่เรานำมาในบทความนี้เป็นกองทุนที่คัดมาเน้น ๆ โดยเป็นกองทุนที่สามารถทำผลตอบแทนได้โดดเด่นเหนือค่าเฉลี่ยในกลุ่มทุกกองทุน บทความนี้ขอพาทุกคนไปดูว่า หากเราลงทุน 6 กองทุนเหล่านี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ด้วยเงิน 10,000 บาท ในวันนี้เราจะมีเงินเท่าไรกันบ้าง? ซึ่งแต่ละกองทุนที่เรานำมาในบทความนี้เป็นกองทุนที่คัดมาเน้น ๆ โดยเป็นกองทุนที่สามารถทำผลตอบแทนได้โดดเด่นเหนือค่าเฉลี่ยในกลุ่มทุกกองทุน อย่างไรก็ตาม ต้องขอเรียนแจ้งไว้ก่อนว่า คอนเทนต์นี้ไม่ได้มีเจตนาชี้ชวนให้ลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนทุก ๆ ท่านควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนกันด้วยนะ แต่ละกองทุน เราจึงแนบรายละเอียดนโยบายกองทุนให้ผู้อ่านได้ศึกษาประกอบในบทความนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องขอเรียนแจ้งไว้ก่อนว่า คอนเทนต์นี้ไม่ได้มีเจตนาชี้ชวนให้ลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนทุก ๆ ท่านควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนกันด้วยนะ แต่ละกองทุน เราจึงแนบรายละเอียดนโยบายกองทุนให้ผู้อ่านได้ศึกษาประกอบในบทความนี้แล้ว BCARE ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +323.16% ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +15.40% ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +323.16% ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +15.40% ลงทุนกองทุน BCARE 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 32,316 (กำไร) = 42,316 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 20/10/2021 ลงทุนกองทุน BCARE 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 32,316 (กำไร) = 42,316 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 20/10/2021 นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Wellington Global Health Care Equity Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน BCARE จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 ลงทุนในกองทุน Wellington Global Health Care Equity Fund Wellington Global Health Care Equity Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน BCARE จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนในหุ้นของบริษัทในอุตสาหกรรม Health Care ทั่วโลก กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนในหุ้นของบริษัทในอุตสาหกรรม Health Care ทั่วโลก กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) Top 10 Holdings ของ Wellington Global Health Care Equity Fund (ข้อมูล ณ 30 ก.ย. 2564) ที่มา: w.wellingtonfunds.com/en-gb/institutional/funds/global-health-care-equity-fund/ Top 10 Holdings ของ Wellington Global Health Care Equity Fund (ข้อมูล ณ 30 ก.ย. 2564) ที่มา: w.wellingtonfunds.com/en-gb/institutional/funds/global-health-care-equity-fund/ ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน BCARE (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ต.ค. 2564) ที่มา: ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน BCARE (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ต.ค. 2564) ที่มา: ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Healthcare, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Healthcare, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน BCARE: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.0700% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: ไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.2511% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.0700% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: ไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.2511% ข้อมูลจาก BCARE Fund Factsheet ณ วันที่ 13 ส.ค. 2564 ข้อมูลจาก BCARE Fund Factsheet ณ วันที่ 13 ส.ค. 2564 ซื้อกองทุน BCARE คลิก ซื้อกองทุน BCARE คลิก TSF-A ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +288.18% ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +14.63% ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +288.18% ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +14.63% ลงทุนกองทุน TSF-A 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 28,818 (กำไร) = 38,818 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 25/10/2021 ลงทุนกองทุน TSF-A 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 28,818 (กำไร) = 38,818 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 25/10/2021 นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และลงทุนในพันธบัตร ตั๋วเงินคลัง บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หลักทรัพย์หรือตราสารที่เสนอขายในต่างประเทศ ตราสารหนี้อื่น ๆ และ/หรือ เงินฝาก ตลอดจนหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ หลายอย่าง โดยกองทุน TSF-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนในหุ้นโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และลงทุนในพันธบัตร ตั๋วเงินคลัง บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หลักทรัพย์หรือตราสารที่เสนอขายในต่างประเทศ ตราสารหนี้อื่น ๆ และ/หรือ เงินฝาก ตลอดจนหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ หลายอย่าง โดยกองทุน TSF-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) Top 5 Holdings ของ TSF-A (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.ย. 2564) ที่มา: Top 5 Holdings ของ TSF-A (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.ย. 2564) ที่มา: ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน TSF-A (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ต.ค. 2564) ที่มา: ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน TSF-A (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ต.ค. 2564) ที่มา: ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD) 15-25% ต่อปี ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD) 15-25% ต่อปี ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน TSF-A: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.769459% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): 1.05% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.9080% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.769459% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): 1.05% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.9080% ข้อมูลจาก TSF-A Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ข้อมูลจาก TSF-A Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ซื้อกองทุน TSF-A คลิก ซื้อกองทุน TSF-A คลิก ASP-S&P500 ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +281.62% ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +14.28% ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +281.62% ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +14.28% ลงทุนกองทุน ASP-S&P500 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 28,162 (กำไร) = 38,162 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 ลงทุนกองทุน ASP-S&P500 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 28,162 (กำไร) = 38,162 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน SPDR S&P500 ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน ASP-S&P500 จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนในกองทุน SPDR S&P500 ETF SPDR S&P500 ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน ASP-S&P500 จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของ S&P500 Index เพื่อมุ่งหวังผลตอบแทนของกองทุนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่ ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี S&P500 Index กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของ S&P500 Index เพื่อมุ่งหวังผลตอบแทนของกองทุนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่ ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี S&P500 Index กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Index Tracking) มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Index Tracking) Top 10 Holdings ของ ASP-S&P500 (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564) ที่มา: Top 10 Holdings ของ ASP-S&P500 (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564) ที่มา: ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน ASP-S&P500 (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน ASP-S&P500 (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Information Technology, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Information Technology, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน ASP-S&P500: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.0700% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 0.25% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.47565% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.0700% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 0.25% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.47565% ข้อมูลจาก ASP-S&P500 Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ข้อมูลจาก ASP-S&P500 Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ซื้อกองทุน ASP-S&P500 คลิก ซื้อกองทุน ASP-S&P500 คลิก KT-FINANCE ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +221.17% ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +12.08% ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +221.17% ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +12.08% ลงทุนกองทุน KT-FINANCE 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 22,117 (กำไร) = 32,117 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 ลงทุนกองทุน KT-FINANCE 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 22,117 (กำไร) = 32,117 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (Class A) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน KT-FINANCE จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 ลงทุนในกองทุน Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (Class A) Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (Class A) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน KT-FINANCE จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นทุนทั่วโลกของบริษัทที่เกี่ยวของกับการให้บริการด้านการเงินแก่ผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นทุนทั่วโลกของบริษัทที่เกี่ยวของกับการให้บริการด้านการเงินแก่ผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) Top 10 Holdings ของ Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (Class A) (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2564) ที่มา: Top 10 Holdings ของ Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (Class A) (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2564) ที่มา: ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน KT-FINANCE (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน KT-FINANCE (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Financials, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ประมาณ 80-100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Financials, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ประมาณ 80-100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ) ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน KT-FINANCE: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.8025% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.0865% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.8025% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.0865% ข้อมูลจาก KT-FINANCE Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ข้อมูลจาก KT-FINANCE Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ซื้อกองทุน KT-FINANCE คลิก ซื้อกองทุน KT-FINANCE คลิก UOBSCI-N ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +207.19% ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +11.98% ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +207.19% ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +11.98% ลงทุนกองทุน UOBSCI-N 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 20,719 (กำไร) = 30,719 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 ลงทุนกองทุน UOBSCI-N 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 20,719 (กำไร) = 30,719 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน United China-India Dynamic Growth เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน UOBSCI-N จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนในกองทุน United China-India Dynamic Growth United China-India Dynamic Growth เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน UOBSCI-N จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศจีน และประเทศอินเดีย หรือบริษัทเอกชนที่มีที่มาของรายได้หรือกำไร หรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจในประเทศจีน และประเทศอินเดีย กองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศจีน และประเทศอินเดีย หรือบริษัทเอกชนที่มีที่มาของรายได้หรือกำไร หรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจในประเทศจีน และประเทศอินเดีย กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) Top 10 Holdings ของ United China-India Dynamic Growth Fund (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2564) ที่มา: Top 10 Holdings ของ United China-India Dynamic Growth Fund (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2564) ที่มา: ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน UOBSCI-N (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน UOBSCI-N (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศอินเดีย และหมวดอุตสาหกรรม Financials, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศอินเดีย และหมวดอุตสาหกรรม Financials, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน UOBSCI-N: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.6050% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.7986% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.6050% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.7986% ข้อมูลจาก UOBSCI-N Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ข้อมูลจาก UOBSCI-N Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ซื้อกองทุน UOBSCI-N คลิก ซื้อกองทุน UOBSCI-N คลิก GC ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +158.47% ▶︎ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +9.80% ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +158.47% ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +9.80% ลงทุนกองทุน GC 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 15,847 (กำไร) = 25,847 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 ลงทุนกองทุน GC 10,000 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้จะมีเงิน: 10,000 (เงินต้น) + 15,847 (กำไร) = 25,847 บาท – ข้อมูล ณ วันที่ 21/10/2021 นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน NN (L) Greater China Equity เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน GC จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนในกองทุน NN (L) Greater China Equity NN (L) Greater China Equity เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน GC จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ในหุ้น และ/หรือ หลักทรัพย์ที่โอนสิทธิได้ (Transferable securities) ซึ่งจดทะเบียนหรือทำการซื้อขายในประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Countries) ซึ่งได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง และไต้หวัน กองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ในหุ้น และ/หรือ หลักทรัพย์ที่โอนสิทธิได้ (Transferable securities) ซึ่งจดทะเบียนหรือทำการซื้อขายในประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Countries) ซึ่งได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง และไต้หวัน กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) Top 10 Holdings ของ NN (L) Greater China Equity (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 2564) ที่มา: NN (L) Greater China Equity Fund Factsheet Top 10 Holdings ของ NN (L) Greater China Equity (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 2564) ที่มา: NN (L) Greater China Equity Fund Factsheet ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน GC (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน GC (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ต.ค. 2564) ที่มา: ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในสาธารณรัฐประชาชนจีน และหมวดอุตสาหกรรม Information Technology และ Consumer Discretionary, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในสาธารณรัฐประชาชนจีน และหมวดอุตสาหกรรม Information Technology และ Consumer Discretionary, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน GC: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 2.1400% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 2.4063% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 2.1400% ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 2.4063% ข้อมูลจาก GC Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ข้อมูลจาก GC Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 ซื้อกองทุน GC คลิก ซื้อกองทุน GC คลิก — planet 46. — planet 46. — planet 46. อ้างอิง อ้างอิง คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
กองทุน TSF-A มีนโยบายกองทุน คือ ลงทุนในหุ้นโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และลงทุนในพันธบัตร ตั๋วเงินคลัง บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หลักทรัพย์หรือตราสารที่เสนอขายในต่างประเทศ ตราสารหนี้อื่น ๆ และ/หรือ เงินฝาก ตลอดจนหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ หลายอย่าง โดยกองทุน TSF-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD) 15-25% ต่อปี ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน TSF-A: - ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.769459% - ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): 1.05% - ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.9080% ผลตอบแทน - ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 10 ปี: +288.18% - ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี): +14.63% ข้อมูลจาก TSF-A Fund Factsheet ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1366
Finance
หุ้นใดเป็นหุ้นที่ดูน่าสนใจในสหรัฐในปี 2022 ระหว่าง Qorvo หรือ Teleperformance
null
Qorvo เพราะ Qorvo เป็นหุ้นที่ดูน่าสนใจในสหรัฐในปี 2022 ที่เป็นผู้ป้อนส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ไอโฟนของแอปเปิ้ล ส่วน Teleperformance เป็นหุ้นที่ดูน่าสนใจในยุโรปในปี 2022 ซึ่งทำธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ทั่วโลกของฝรั่งเศส ผลการทำโพลจากผู้ที่ทำงานด้านการให้บริการด้านเงิน จากบริษัทดาวน์โจนส์ ที่เพิ่งทำการสำรวจไว้เมื่อต้นเดือน ต.ค. 2021 เกี่ยวกับภาพรวมของตลาดในอเมริกา พบว่า มุมมองต่อตลาดหุ้นอเมริกาก่อนสิ้นปี 2021 สดใสน้อยลง ครึ่งหนึ่งของผู้กรอกแบบฟอร์มจากผลสำรวจ พบว่า ผู้ที่มองว่าตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้น ลดลงจากการสำรวจเมื่อตอนกลางปี 2021 ซึ่งกว่าสองในสามมองแบบนั้น ในขณะที่ร้อยละ 38 มองตลาดแบบกลาง ๆ เพิ่มจากร้อยละ 26 เมื่อ 6 เดือนก่อน ส่วนผู้ที่มองว่าตลาดจะแย่ลงเพิ่มเป็นร้อยละ 12 จากร้อยละ 7 โดยส่วนใหญ่ประเมินปัจจัยอัตราเงินเฟ้อและความเสี่ยงการติดเชื้อโควิดเดลต้าเป็นปัจจัยลบ หุ้นที่ดูน่าสนใจในสหรัฐ ได้แก่ Skyworks Solutions และ Qorvo ที่เป็นผู้ป้อนส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ไอโฟนของแอปเปิ้ล ส่วนหุ้นที่ดูน่าสนใจในยุโรป ได้แก่ หุ้น Legal & General Group ซึ่งเป็นบริษัทประกันของอังกฤษ และ หุ้น Teleperformance ซึ่งทำธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ทั่วโลกของฝรั่งเศส นอกจากนี้ ยังมี ishares Semiconductor ETF (SOXX) ซึ่งถือครองหุ้น 30 บริษัทที่ทำธุรกิจด้านการผลิตชิพคอมพิวเตอร์ รวมถึงออกแบบและให้บริการเกี่ยวกับชิพคอมพิวเตอร์
5.ความรู้ทางการเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_1381
Finance
คริปโทเคอร์เรนซีกลุ่มหลักๆ ที่สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับการเลือกลงทุนได้ มีอะไรบ้าง
null
คริปโทเคอร์เรนซีกลุ่มหลักๆ ที่สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับการเลือกลงทุนได้ มีดังนี้ 1. กลุ่มรักษามูลค่า (Store of Value) เช่น Bitcoin (BTC), Litecoin (LTC), Bitcoin Cash (BCH) จุดเด่นของเหรียญในกลุ่มนี้คือ จำนวนเหรียญที่มีจำกัด โดยเฉพาะ Bitcoin ที่มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญ ประกอบกับเครือข่ายของ Bitcoin ที่ได้รับการยอมรับว่าเครือข่ายที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยที่สุดเครือข่ายหนึ่ง ทำให้นับวัน Bitcoin เริ่มมีสถานะใกล้เคียงกับ “ทองคำ” เข้าไปใหญ่ แต่เป็นทองคำดิจิทัลที่สามารถซื้อสะสมได้ง่ายกว่าทองคำจริง ๆ เสียอีก มูลค่าของเหรียญในกลุ่มนี้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดและข่าวสารต่าง ๆ นอกจากนี้ Bitcoin ยังเป็นคริปโทเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในปัจจุบัน การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin จึงมักจะส่งผลให้เหรียญอื่น ๆ ให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับ Bitcoin 2. กลุ่มสัญญาอัจฉริยะ (Smart contract) เช่น Ethereum (ETH), Cardano (ADA), Polkadot (DOT), Kusama (KSM) ฯลฯ จุดเด่นของเหรียญกลุ่มนี้คือ การเป็นเครือข่ายบล็อกเชนที่สามารถใช้ Smart contract ได้ ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (Dapp) รวมถึง DeFi ขึ้นบนเครือข่ายเหล่านี้ มูลค่าเหรียญในกลุ่มนี้ หลัก ๆ มักจะมาจากความต้องการของตลาดเช่นเดียวกับคริปโทเคอร์เรนซีสกุลอื่น ๆ และในบางครั้งที่เหรียญเหล่านี้มีการอัปเกรด หรือมี DeFi ที่น่าสนใจเกิดขึ้นบนเครือข่าย มูลค่าก็อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน การติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่องจะมีประโยชน์มากสำหรับการลงทุนในเหรียญกลุ่มนี้ 3. กลุ่ม DeFi (Decentralized Finance) เช่น Uniswap (UNI), Maker (MKR), AAVE และอีกมากมาย เหรียญกลุ่ม DeFi มักจะถูกสร้างขึ้นบนเครือข่ายบล็อกเชนที่มี Smart contract อย่าง Ethereum ทำให้เหรียญในกลุ่มนี้ถูกจัดเป็นโทเคน (Token) ซึ่งแต่ละเหรียญก็จะมีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป และมักจะใช้ได้เฉพาะแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เช่น UNI จะใช้ได้กับ Uniswap หรือ AAVE ที่ใช่ร่วมกับแพลตฟอร์ม AAVE เป็นต้น มูลค่าของเหรียญในกลุ่มนี้ นอกจากจะมาจากความนิยมในตัว DeFi หรือแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องแล้ว บางครั้งมูลค่าเหรียญ DeFi ก็ผันผวนตามเครือข่ายที่เหรียญนั้นถูกสร้างขึ้นได้ด้วยเช่นกัน 4. กลุ่มส่งต่อมูลค่า (Value Transfer) เช่น Ripple (XRP), Stellar (XLM) เหรียญในกลุ่มนี้เป็นเหรียญของเครือข่ายที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับการส่งต่อมูลค่าผ่านอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมถูกโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน จุดที่แตกต่างกันระหว่าง XRP กับ XLM คือ XRP เป็นเหรียญของเครือข่าย RippleNet ที่สร้างโดยบริษัท Ripple ใช้เพื่อเชื่อมต่อระบบชำระเงินของแต่ละธนาคารเข้าด้วยกันเป็นหลัก สามารถให้เงินจากธนาคารหนึ่งไปอีกธนาคารหนึ่งที่อยู่ต่างประเทศได้อย่างรวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมถูก ขณะที่ XLM เกิดขึ้นจากองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร อย่าง Stellar Development Foundation โดย Stellar เป็นเครือข่ายที่มีพื้นฐานมาจาก RippleNet แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการโอนเงินที่รวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำ ไม่ใช่แค่ธนาคาร 5. กลุ่ม Oracle เช่น Chainlink (LINK), Band Protocol (BAND) Oracle ในวงการบล็อกเชน คือ ผู้คอยป้อนข้อมูลจากโลกแห่งความจริงเข้าสู่บล็อกเชน เพื่อให้ Dapp หรือ DeFi สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้งานต่อได้ ซึ่งข้อมูลที่ Oracle คอยป้อนให้บล็อกเชน มีตั้งแต่ ราคาเหรียญ ราคาสินทรัพย์ ไปจนถึงข้อมูลทั่วไปอย่าง สภาพอากาศ หรือผลการแข่งขัน Oracle นับเป็นอีกส่วนประกอบสำคัญที่วงการบล็อกเชนขาดไม่ได้ ขณะที่เหรียญในกลุ่ม Oracle ก็มักจะถูกใช้เพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการของ Oracle มูลค่าของเหรียญก็เลยมาจากความนิยมใน Oracle แต่ละตัวนั่นเอง 6. กลุ่ม Stablecoin เช่น USDT, USDC, DAI เหรียญในกลุ่มนี้มีมูลค่าที่ค่อนข้างคงที่ เพราะได้ทำการผูกมูลค่าเข้ากับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตรา 1:1 จึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบความผันผวนของมูลค่า หรือผู้ที่ต้องกระจายพอร์ตการลงทุน รวมถึงเหมาะสำหรับใช้แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ อย่างไรก็ตาม แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเหรียญที่มีมูลค่าคงที่ แต่เหรียญเหล่านี้ก็มีมูลค่าที่ใกล้เคียงกับเงินดอลลาร์ ดังนั้น ทิศทางเศรษฐกิจทั้งของไทยและสหรัฐอเมริกาต่างส่งผลต่อมูลค่าเหรียญเหล่านี้ได้ เหมือนกับการอ่อนค่า หรือแข็งค่าของเงินดอลลาร์เมื่อตอบรับกับข่าวเศรษฐกิจนั่นเอง 7. กลุ่มมีม (Meme) เช่น Dogecoin (DOGE) เหรียญในกลุ่มมีมอย่าง Dogecoin ส่วนใหญ่จะถูกสร้างขึ้นสนุก ๆ แต่เนื่องจากชื่อเสียงที่โด่งดังของ Dogecoin ทำให้เหรียญนี้สามารถใช้แทนการให้ทิปบนโซเชียล รวมถึงการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการจากร้านค้าที่รองรับได้ การลงทุนในเหรียญกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นการเก็งกำไรระยะสั้น ๆ จากความผันผวนของราคาที่สูงกว่าเหรียญกลุ่มอื่น ๆ หากสนใจการลงทุนในเหรียญกลุ่มนี้ ก็ต้องพอมีประสบการณ์ด้านการเทรดมาบ้าง เช่น รู้ว่าจังหวะไหนควรเข้าซื้อหรือเทขาย สามารถวิเคราะห์ทางเทคนิคได้ และที่สำคัญคือ การใช้เงินเย็น หรือเงินที่สามารถเสียได้โดยไม่กระทบการใช้ชีวิตในการลงทุนเท่านั้น
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_139
Finance
สิทธิตัวช่วยที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวจากสถานการณ์โควิด-19 มีอะไรบ้าง
null
สิทธิตัวช่วยที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวจากสถานการณ์โควิด-19 ได้แก่ 1. โครงการเราเที่ยวด้วยกัน : เป็นโครงการที่รัฐบาลออกมากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว โดยผู้ใช้สิทธิจะได้รับส่วนลดค่าที่พักเป็นเงินสนับสนุน 40% ของราคาที่พัก คูปองอาหาร 600 บาทต่อห้องต่อคืน ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว และเงินสนับสนุน 40% ของค่าตั๋วเครื่องบิน หากวางแผนที่จะไปเที่ยวก็ไม่ควรพลาดสิทธิประโยชน์เหล่านี้ คนที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน จะต้องลงทะเบียนก่อน ซึ่งเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1/2/65 และจะได้รับสิทธิเมื่อลงทะเบียนสำเร็จ ส่วนคนที่เคยลงทะเบียนโครงการเราเที่ยวด้วยกันในเฟส 1-3 แล้ว ไม่ต้องลงทะเบียนรับสิทธิใหม่ จะได้รับสิทธิในเฟส 4 ทันที ซึ่งสามารถใช้จ่ายในโรงแรม ร้านอาหาร หรือสถานที่ท่องเที่ยวได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศภายใน 31 พฤษภาคม 2565 ยกเว้นจังหวัดตามทะเบียนบ้านของผู้ใช้สิทธิ 2. โครงการคนละครึ่งเฟส 4 : เป็นโครงการที่รัฐบาลช่วยออกเงินให้ 50% ไม่เกินวันละ 150 บาท หรือสูงสุดไม่เกิน 1,200 บาท ใช้ได้ถึงวันที่ 30/4/65 ซึ่งมีประโยชน์กับคนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงเดือนเมษายน 2565 มากๆ เพราะสามารถนำไปเป็นส่วนลดในการซื้อของกิน ของใช้ได้ ฯลฯ ซึ่งจำนวนสิทธิสำหรับผู้สมัครได้ครบแล้ว ไม่สามารถสมัครเพิ่มได้ ดังนั้นใครที่สมัครทันก็อย่าลืมใช้ให้เป็นประโยชน์ 3. โปรโมชันจากบัตรเครดิต : แนะนำลองเช็กดูบัตรเครดิตหรือแอปพลิเคชันต่างๆ ที่มีอยู่ว่ามีโปรโมชันอะไรบ้างที่ใช้เป็นส่วนลดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายได้ เช่น ได้รับเงินคืน 100 บาท/บัตร หากเติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท. แล้วจ่ายเงินด้วยบัตร PTT Blue Credit Card หรือ จ่ายเงินค่าน้ำมันรถด้วยแอปพลิเคชัน Blue Connect ถือเป็นอีกสิทธิประโยชน์ที่ต้องบริหารใช้ร่วมกันไปในช่วงฤดูท่องเที่ยวปี 2565
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_14
Finance
การลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) มีข้อดีอย่างไรเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้หรือหุ้น?
null
การลงทุนใน REITs หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้หรือหุ้น ดังนี้ 1.อัตราเงินปันผลที่สูงกว่า: ในสถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ การลงทุนใน REITs มีความน่าสนใจเนื่องจากอัตราเงินปันผลที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ ตัวอย่างเช่น ในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และยุโรป อัตราเงินปันผลของ REITs อยู่ที่ระดับ 3.5 - 5.0% ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีที่อยู่ระหว่าง -0.3 - 2.1% การที่อัตราเงินปันผลของ REITs สูงกว่าเช่นนี้ ทำให้การลงทุนใน REITs เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น 2.ผลตอบแทนรวมที่น่าสนใจ: นอกจากเงินปันผลแล้ว REITs ยังมีผลตอบแทนรวมที่ใกล้เคียงกับการลงทุนในหุ้น ซึ่งหมายความว่าผู้ลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงด้านราคาและเงินปันผลที่จ่ายออกมา อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน REITs มีความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้น ทำให้อัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงอยู่ในระดับสูงกว่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ REITs เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของตน 3.การกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ: การลงทุนใน REITs สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้ดี เนื่องจาก REITs ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีตัวตนจริง เช่น อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม และอพาร์ตเมนต์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความคงทนและมักมีรายได้สม่ำเสมอจากการเช่า การมีอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนจึงช่วยลดความเสี่ยงที่มาจากการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความผันผวนสูง 4.การบริหารทรัพย์สินโดยมืออาชีพ: REITs มักมีทีมผู้จัดการสินทรัพย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารทรัพย์สิน ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินทรัพย์และเพิ่มรายได้จากการเช่า การมีมืออาชีพในการบริหารทรัพย์สินช่วยให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าการลงทุนใน REITs จะได้รับการดูแลและบริหารจัดการอย่างดี
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1402
Finance
เกม Big Time มีระบบ Time Machine – NFT ไอเทม ที่เปรียบเสมือนกับอะไร
ก. ห้องส่วนตัวที่สามารถตกแต่งตามความต้องการได้ ข. ทีมผจญภัย ค. ระบบ Class ของตัวละคร ง. ระบบอาวุธภายในเกม
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ก. เนื่องจาก Big Time คือ NFT เกมส์แนว MMORPG ที่ถูกพัฒนาโดย Big Time Studios โดยภายในตัวเกมนั้นจะได้สวมบทบาทเป็นเหมือนนักผจญภัยที่ต้องออกไปผจญภัยในช่วงเวลาต่าง ๆ โดยในแต่ละช่วงเวลานั้นก็จะพบเจอกับสิ่งมีชีวิตในช่วงเวลานั้น ๆ และยังรวมไปถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกด้วย รูปแบบการเล่น จะเป็นการจับทีมผจญภัยไปในช่วงเวลาต่าง ๆ ร่วมกันเคลียร์ภารกิจในช่วงเวลานั้น ๆ โดยจะได้รับไอเทมต่าง ๆ ระหว่างการเคลียร์ภารกิจไปด้วย ซึ่งไอเทมที่ได้รับมานั้นจะมาในรูปแบบของ NFT ที่สามารถนำมาซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ได้ (โมเดล Play-2-Earn ที่หลาย ๆ เกมเลือกใช้) หรือ จะเลือกเก็บมาใช้เองเพื่อทำให้ตัวละครเก่งขึ้นก็ได้เช่นกัน ตัวเกมยังมีระบบ Time Machine – NFT ไอเทม ที่เปรียบเสมือนกับห้องส่วนตัวที่สามารถตกแต่งตามความต้องการได้ จะใช้เป็นที่พักผ่อนจากการผจญภัย หรือจะจัดแสดงงานศิลปะ ให้กับผู้เล่นคนอื่นสามารถเข้ามาดูก็ทำได้เช่นกัน Class ภายในเกม Big Time นั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 คลาสด้วยกันคือ Time Warrior, Chronomanacer, Shadowblade และ Quantum Fixer ซึ่งผู้เล่นนั้นสามารถเลือกเล่นได้อย่างอิสระและสามารถสลับสับเปลี่ยนไปยังคลาสอื่น ๆ ได้เสมอ ไม่จำเป็นต้องเล่นคลาสเดียวไปตลอด
5.ความรู้ทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1411
Finance
ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ My DeFi Pet
A. NFT Game แนวจำลองการทำเหมืองเพชรที่ถูกพัฒนาขึ้นอยู่บน Cross-chain อย่าง Binance Smart Chain และ Kardia Chain B. NFT Game แนวจำลองการปลูกต้นไม้ที่ถูกพัฒนาขึ้นอยู่บน Cross-chain อย่าง Binance Smart Chain และ Kardia Chain C. NFT Game แนวจำลองการเลี้ยงสัตว์ที่ถูกพัฒนาขึ้นอยู่บน Cross-chain อย่าง Binance Smart Chain และ Kardia Chain D. NFT Game แนวจำลองการสร้างบ้านที่ถูกพัฒนาขึ้นอยู่บน Cross-chain อย่าง Binance Smart Chain และ Kardia Chain
คำตอบได้แก่ C. เนื่องจาก My DeFi Pet คือ NFT Game แนวจำลองการเลี้ยงสัตว์ที่ถูกพัฒนาขึ้นอยู่บน Cross-chain อย่าง Binance Smart Chain และ Kardia Chain ตัวเกมนั้นมาในรูปแบบของ Play-2-Earn หมายความว่านอกจากการที่เราจะเล่นเพื่อความสนุกเพียงอย่างเดียวแล้วเรายังจะสามารถสร้างรายได้จากการเล่นเกมขึ้นอีกด้วย จากการขายสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ภายในเกม ที่อาจจะมาจากการประมูล หรือจาก Event ต่าง ๆ ภายในเกม ระบบต่าง ๆ ภายในเกม ระบบหลัก ๆ ที่อยู่บนตัวเกมส์นั้นจะแบ่งออกเป็น 6 ส่วนด้วยกันคือ Collect, Breed, Evolve, Season and Event, Battle, Trading-Ranking & Social Features
5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1446
Finance
Peter Lynch เคยพูดถึงความสำคัญของการรู้จักชนิดของหุ้นไว้ในหนังสือ ‘One Up On Wall Street’ ว่า หุ้นโตเร็ว (Fast Growers) เป็นอย่างไร
Peter Lynch เคยพูดถึงความสำคัญของการรู้จักชนิดของหุ้นไว้ในหนังสือ ‘One Up On Wall Street’ ว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการลงทุนที่ควรเข้าใจมันเป็นสิ่งแรก ๆ ในการลงทุน ทำไมต้องแบ่งประเภทหุ้น? หุ้นแต่ละกลุ่มจะมีจุดเด่น ความคาดหวัง และความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ตามรูปแบบของธุรกิจ อายุกิจการ ขนาดของบริษัท ดังนั้นการรู้ประเภทของหุ้นที่เราเลือกลงทุน จะทำให้เราสามารถวางแผน กระจายความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น รวมถึงคาดหวังผลตอบแทนให้เป็นไปตามจริง ซึ่งการแบ่งประเภทของหุ้นนั้นมีหลากหลายวิธี หลายเกณฑ์มาก แต่วิธีแบ่งเป็น 6 ชนิดของ Peter Lynch เป็นหนึ่งวิธีที่ครอบคลุมและยังใช้ได้ดีในปัจจุบัน ไปดูกันครับว่าแต่ละชนิด มีลักษณะต่างกันอย่างไร หุ้นโตเร็ว (Fast Growers) กลุ่มนี้เหมือนเด็กที่เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลง เติบโตได้มากที่สุดในทุกช่วงอายุ บริษัทขนาดเล็ก-กลางมาแรง บางตัวยังไม่กำไร แต่ราคานำไปก่อนแล้วจากเรื่องราวที่บริษัทให้ ทำให้นักลงทุนคาดหวังไว้สูง หุ้นกลุ่มนี้กำไรเติบโตก้าวกระโดดได้มากกว่า 20% ต่อปี หรือในยุคเทคโนโลยีครองโลกบางครั้งอาจเห็นกำไรเติบโตหลักหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ติดต่อกันหลายปี เนื่องจากกินรวบและขยายตลาดอย่างรวดเร็วผ่านระบบ Software (แต่การเติบโตมาก ๆ จะไม่อยู่ตลอด เมื่อบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้น การเติบโตที่สูงระดับเท่าเมื่อตอนบริษัทยังเล็กดูจะเป็นเรื่องยาก) หุ้นโตเร็วอยู่ได้ทุกอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง กลุ่มนี้จะให้เงินปันผลน้อยหรือไม่ให้เลย เพราะบริษัทต้องการนำกำไรไปขยายธุรกิจต่อ ด้วยขนาดธุรกิจที่เล็กทำให้มีโอกาสเติบโตอีกมาก สามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้สูง ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงที่จะถูกเทขายเมื่อมีเหตุการณ์ผิดคาด หรือผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามที่ตลาดหวัง กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่ High Risk – High Return ความผันผวนสูง แต่ดูเหมือนรายย่อยจะชอบมากที่สุดในตอนนี้ หุ้นแข็งแกร่ง (Stalwarts) กลุ่มนี้จะเหมือนวัยรุ่น-วัยทำงานที่แข็งแรง การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เปลี่ยนจากหุ้นโตเร็วที่พอเติบโตไปได้สักพัก การเติบโตก็จะเริ่มช้าลง เพราะบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้นและกลายเป็นหุ้นแข็งแกร่ง (Stalwarts) ลักษณะเด่นของหุ้นกลุ่มนี้อยู่ที่การมีกลุ่มลูกค้าใช้งานซ้ำเรื่อย ๆ เห็นหุ้นนี้เราก็จะรู้ทันทีว่าขายอะไรเพราะเราสามารถพบเจอสินค้าและบริการของบริษัทกระจายตัวไปทั่ว กลุ่มนี้จึงมีความไม่หวือหวา ความผันผวนต่ำกว่าหุ้นโตเร็ว เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป สามารถทนต่อวิกฤตถดถอยได้ดี แต่ก็จะคาดหวังผลตอบแทนหลาย ๆ เด้งในระยะเวลาสั้น ๆ ได้ยาก ยกเว้นมีการพัฒนาใหม่ ๆ ที่ส่งผลต่อกำไรมาก ๆ (New S-Curve) จุดเด่นของกลุ่มนี้คือเงินสดในมือที่มาก ทำให้สามารถนำมาปันผลให้ผู้ถือหุ้นหรือใช้ซื้อกิจการอื่นได้ หากคุณไม่ชอบความหวือหวา รับความเสี่ยงได้ไม่มากในการซื้อหุ้น หุ้นกลุ่มนี้คือคำตอบของคุณ หุ้นโตช้า (Slow Growers) กลุ่มนี้จะเหมือนวัยชรา ที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและถดถอยลงเรื่อย ๆ หุ้นกลุ่มนี้คือหุ้นที่เคยเติบโตได้ดีและเคยแข็งแรงมาก่อน เมื่อเวลาผ่านไปมีอุตสาหกรรมอื่นเข้ามาแทนที่ อุตสาหกรรมเหล่านี้ก็จะเริ่มถดถอยลง (อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้) จุดเด่นของกลุ่มนี้คือมีปันผลที่มาก แต่ต้องระวังเลือกผิดตัวเจอ “กับดักปันผล” ที่ทำให้เราขาดทุนและไม่คุ้มกับปันผลที่ได้รับ ดังนั้นหากคุณไม่ได้ต้องการปันผลเพียงอย่างเดียวในการลงทุนให้ข้ามหุ้นกลุ่มนี้ไป! หุ้นฟื้นตัว (Turnarounds) กลุ่มนี้ยิ่งกว่าคนแก่ มันเหมือนคนใกล้ตายอยู่ในห้องฉุกเฉิน เป็นหุ้นที่ยิ่งกว่าโตช้า คือมันไม่โตเลยต่างหาก นักลงทุนต่างทอดทิ้งมัน และรอวันมันล้มหายไปจากตลาด ฟังดูแย่สุด ๆ แล้วมันมีอะไรที่น่าลงทุน ในบรรดาหุ้นทุกกลุ่ม กลุ่มนี้มีความเคลื่อนไหวสัมพันธ์กับตลาดน้อยที่สุด และมีความคาดหวังน้อยที่สุด สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของหุ้นกลุ่มนี้คือ ถ้าคุณเลือกถูกตัว ในกลุ่มหุ้นที่รอความตาย จะมีบางตัวที่รอดและกลับมาได้ และมันจะให้ผลตอบแทนมหาศาล (ยกตัวอย่างเช่นช่วงไวรัสระบาดช่วยดันให้หุ้น e-commerce ที่กำลังจะเจ๊งฟื้นขึ้นมาได้ เพราะผู้บริโภคไม่สามารถไปห้างได้เหมือนเดิม) แต่ถ้าเลือกผิดโอกาสขาดทุนก็สูงมาก ดังนั้นหากคุณไม่ได้รู้ลึกรู้จริงในบริษัทน้ัน หรือไม่ใช่เซียนพนัน คุณควรหลีกเลี่ยงกลุ่มนี้ หุ้นวัฏจักร (Cyclicals) คือหุ้นกลุ่มที่มียอดขายขึ้นและกำไรขึ้นลงเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นไปตามกลไกของ Demand และ Supply หุ้นวัฏจักรเป็นหุ้นที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุด เพราะหุ้นวัฏจักรหลัก ๆ เป็นหุ้นขนาดใหญ่เป็นที่รู้จักกันดี ทำให้หลาย ๆ ครั้ง คนเข้าใจผิดและรวมมันเข้ากับหุ้นแข็งแกร่ง การเข้าซื้อหุ้นวัฏจักรในจังหวะที่ผิดนั้นอาจจะทำให้คุณกระเป๋าฉีกได้เลยทีเดียว โดยทั่วไปมันสามารถขาดทุนได้มากกว่า 50% และในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอาจขาดทุนได้มากกว่า 80% สิ่งที่จำเป็นในการเข้าซื้อหุ้นวัฏจักรคือ ต้องรู้สัญญาณหรือตัวบ่งชี้บางอย่างที่สามารถบอกได้ว่าธุรกิจกำลังตกต่ำลงหรือดีขึ้นเพื่อซื้อมันต้องแต่เนิ่น ๆ หุ้นทรัพย์สินมาก (Asset Play) คือกลุ่มหุ้นที่มีทรัพย์สินบางอย่างซ่อนอยู่ และตลาดประเมินพลาดหรือยังไม่เห็นมัน ตัวอย่างทรัพย์สินเช่นเงินสด อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน เครื่องจักร ใบอนุญาต การจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ได้จำเป็นต้องมีความรู้จักในบริษัทนั้นเป็นอย่างดี และคุณต้องประเมินมูลค่าที่ซ่อนอยู่ด้วยตัวเอง เพราะตลาดยังไม่รับรู้ถึงมัน ทำให้นักวิเคราะห์และนักลงทุนไม่ได้ติดตามมัน
หุ้นโตเร็ว (Fast Growers) กลุ่มนี้เหมือนเด็กที่เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลง เติบโตได้มากที่สุดในทุกช่วงอายุ บริษัทขนาดเล็ก-กลางมาแรง บางตัวยังไม่กำไร แต่ราคานำไปก่อนแล้วจากเรื่องราวที่บริษัทให้ ทำให้นักลงทุนคาดหวังไว้สูง หุ้นกลุ่มนี้กำไรเติบโตก้าวกระโดดได้มากกว่า 20% ต่อปี หรือในยุคเทคโนโลยีครองโลกบางครั้งอาจเห็นกำไรเติบโตหลักหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ติดต่อกันหลายปี เนื่องจากกินรวบและขยายตลาดอย่างรวดเร็วผ่านระบบ Software (แต่การเติบโตมาก ๆ จะไม่อยู่ตลอด เมื่อบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้น การเติบโตที่สูงระดับเท่าเมื่อตอนบริษัทยังเล็กดูจะเป็นเรื่องยาก) หุ้นโตเร็วอยู่ได้ทุกอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง กลุ่มนี้จะให้เงินปันผลน้อยหรือไม่ให้เลย เพราะบริษัทต้องการนำกำไรไปขยายธุรกิจต่อ ด้วยขนาดธุรกิจที่เล็กทำให้มีโอกาสเติบโตอีกมาก สามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้สูง ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงที่จะถูกเทขายเมื่อมีเหตุการณ์ผิดคาด หรือผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามที่ตลาดหวัง กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่ High Risk – High Return ความผันผวนสูง แต่ดูเหมือนรายย่อยจะชอบมากที่สุดในตอนนี้
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1449
Finance
กองทุนใดอยู่ใน 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 28 ส.ค. – 3 ก.ย. 64
A. ONE-UGG-RA B. K-VIETNAM C. ASP-LEGACY-UI D. TMBGQG
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ C. เพราะว่า เพราะ ASP-LEGACY-UI – กองทุนเปิด แอสเซทพลัส เลกาซี่ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย อยู่ใน 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 28 ส.ค. – 3 ก.ย. 64 10 อันดับกองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 28 ส.ค. – 3 ก.ย. 64 1. ASP-LEGACY-UI – กองทุนเปิด แอสเซทพลัส เลกาซี่ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.18 ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +9.84% 2. BCAP-CTECH – กองทุนเปิดบีแคป ไชน่า เทคโนโลยี ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +5.55 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -23.78% 3. TMBINDAE – กองทุนเปิดทีเอ็มบี India Active Equity ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.88 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +34.51% อันดับที่ 4-10 : ASP-INDIA, KF-INDIA, ONE-INDIAOPP-IA, SCBCEH, B-BHARATA, KF-CHINA, ONE-INDIAOPP-ID หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2564
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1451
Finance
หากพิจารณาจากการประกาศนโยบายเกี่ยวกับการผ่อนคลายเชิงปริมาณครั้งสำคัญๆ 8 ครั้งที่ผ่านมา จะพบว่าอย่างไร
1. พันธบัตรสหรัฐและหน่วยงานภาครัฐ ตราสารที่มีสินเชื่อบ้านค้ำประกัน และอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ภาคเอกชน จะมีอัตราดอกเบี้ยลดลงในวันรุ่งขึ้น 2. การลดขนาดของ QE ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจ ได้แก่ ช่องทางทางการคลัง 3. อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐจะสูงขึ้น 4. เงินสดและสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ ไม่สามารถทดแทนกันโดยสมบูรณ์ได้
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 1. เพราะว่า หากพิจารณาจากการประกาศนโยบายเกี่ยวกับการผ่อนคลายเชิงปริมาณครั้งสำคัญๆ 8 ครั้งที่ผ่านมา จะพบว่า พันธบัตรสหรัฐและหน่วยงานภาครัฐ ตราสารที่มีสินเชื่อบ้านค้ำประกัน และอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ภาคเอกชน จะมีอัตราดอกเบี้ยลดลงในวันรุ่งขึ้น โดยที่ผลกระทบต่อพันธบัตรของหน่วยงานภาครัฐมีค่าสูงที่สุดต่อครั้ง ประมาณร้อยละ 0.2 โดยคาดว่าผลกระทบทางจิตวิทยา จากการประกาศการลดขนาด QE ก็น่าจะประมาณไว้อยู่ที่ราวร้อยละ 0.2 เมื่อธนาคารกลางสหรัฐค่อย ๆ ยกเลิกการผ่อนคลายเชิงปริมาณ จะเห็นได้ว่า อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรอายุ 10-15 ปี สูงขึ้นอีกอย่างน้อยประมาณร้อยละ 0.5 หากพิจารณาปฏิบัติการที่เฟดออกจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายหรือ Exit Strategy ในช่วงระยะเวลา 27 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า มีอยู่ด้วยกัน 2 ครั้ง คือ ปี 1994 ซึ่งเปลี่ยนโหมดจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมาเป็นแบบตึงตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งผลลัพธ์คือ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรทั้งระยะเวลา 1 ปีและ 10 ปี เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยอัตราดอกเบี้ยระยะเวลา 1 ปี เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 3.69 ภายในระยะเวลา 12 เดือน ในทางกลับกันในปี 2003-2007 นั้น เฟดเปลี่ยนโหมดดังกล่าวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยอัตราดอกเบี้ยระยะเวลา 1 ปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.97 ทว่าใช้เวลาถึงเกือบ 4 ปี นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะเวลา 10 ปี เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.01 แน่นอนว่า หากเฟดลดขนาดการซื้อพันธบัตรในปี 2021 อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐก็จะสูงขึ้น
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1463
Finance
ข้อใดกล่าวถึงเหตุผลว่าทำไมทุกวันนี้การออมอย่างเดียวไม่ตอบโจทย์ แต่ต้องเร่งลงทุนให้เร็วได้ถูกต้อง
ก. อายุเฉลี่ยคนสูงขึ้นทุกปี เงินที่ต้องใช้ก็มากขึ้นด้วย ข. สวัสดิการเกษียณที่พนักงานเอกชนจะได้รับจากภาครัฐหลัก ๆ เพียงพอ ค. ฝากเงินกินดอกเบี้ย โตทันใช้ ง. ทุกคนมีกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ก. เนื่องจาก เพราะกล่าวถึงเหตุผลว่าทำไมทุกวันนี้การออมอย่างเดียวไม่ตอบโจทย์ แต่ต้องเร่งลงทุนให้เร็วได้ถูกต้อง เหตุผลว่าทำไมทุกวันนี้การออมอย่างเดียวไม่ตอบโจทย์ แต่ต้องเร่งลงทุนให้เร็วได้ถูกต้อง ได้แก่ 1. อายุเฉลี่ยคนสูงขึ้นทุกปี เงินที่ต้องใช้ก็มากขึ้นด้วย ปัจจุบันคนทั่วโลกอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 73 ปี แต่คาดการณ์ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า อายุเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 78 ปี และเด็กเกิดใหม่ในวันนี้ จะมีอายุเฉลี่ยแตะ 100 ปี เมื่อช่วงชีวิตที่มีหลังเกษียณยาวนานขึ้น เงินที่จำเป็นต้องใช้ก็มากขึ้น แต่เวลาในการทำงานหาเงินเท่าเดิม แปลว่าต้องเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้เงินที่มีเติบโตได้ดีที่สุด 2. บำนาญรัฐน้อยเกินไป จะหวังพึ่งคงไม่พอ ถ้าไม่ได้เป็นข้าราชการที่มีบำเหน็จ–บำนาญให้ใช้สบาย ๆ เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เต็มที่ จะพบว่าสวัสดิการเกษียณที่พนักงานเอกชนจะได้รับจากภาครัฐหลัก ๆ มันช่างน้อยนิด เพราะมีแค่เงินประกันสังคม ที่แม้จะจ่ายสมทบสูงสุด ก็มีสิทธิ์ได้เงินบำนาญเดือนละ 7,500 บาทเท่านั้น บวกกับเบี้ยยังสูงชีพผู้สูงอายุ ที่เริ่มต้นที่ 600 จนถึง 1,000 บาท/เดือน 3. ไม่ใช่ทุกคนที่มีกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ (PVD) PVD คือ สวัสดิการของบริษัทที่ช่วยให้มนุษย์เงินเดือนมีเงินเก็บยามเกษียณ สามารถเปลี่ยนเงินออมทุกเดือนให้มีผลตอบแทนงอกเงยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว แต่รู้หรือไม่? บริษัทในไทยที่มี PVD ให้พนักงาน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 2.7% เท่านั้น หมายความว่าอีกกว่า 97% จะไม่มีเงินเกษียณรองรับตอนหยุดทำงานเลย 4. ฝากเงินกินดอกเบี้ย โตไม่ทันใช้แน่ ยุค 20-30 ปีก่อนที่ดอกเบี้ยสูงเกิน 10% ต่อปี แน่นอนว่าการออมเงินอย่างเดียว แล้วฝากแบงก์กินดอกเบี้ย ก็พอกินพอใช้แล้ว แต่ทุกวันที่ดอกเบี้ยเงินฝากแค่ 0.25% ต้องออมขนาดไหน ถึงจะมีเงินพอใช้แบบสบาย ๆ
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1476
Finance
ข้อใดเป็นปัจจัยลบต่อตราสารหนี้ สำหรับมุมมองด้านการลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงที่เหลือของปี 2564
1. กนง. เริ่มเสียงแตกในการลดดอกเบี้ย 2. สถานการณ์การล็อกดาวน์จาดโควิดยังมีความไม่แน่นอน 3. ไทยน่าจะขึ้นดอกเบี้ยช้ากว่าเฟด เนื่องจากสภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ทำได้ช้ากว่า 4. ส่งผลให้ Debt-to-GDP ของไทย ยืนเหนือระดับ 60%
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 4. เพราะว่า เพราะปัจจัยลบต่อตราสารหนี้ สำหรับมุมมองด้านการลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงที่เหลือของปี 2564 ได้แก่ - มาตรการกระตุ้นของ โจ ไบเดน ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และการฟื้นตัวจากโควิด-19 ที่รวดเร็วของสหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยง เพราะอาจทำให้เฟดถอนการอัดฉีดสภาพคล่องในระยะเวลาอันใกล้ อีกทั้งยังมีการ guide ในการประชุม ว่าอาจเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในปลายปี 2022-2023 ถึง 2 ครั้ง - ทางด้านปัจจัยกดดันภายในประเทศ หากภาครัฐมีการออกมาตรการเยียวยาเพิ่มเติม อาจต้องมีการออกพันธบัตรเพื่อกู้ยืมมากขึ้น และอาจส่งผลให้ Debt-to-GDP ของไทย ยืนเหนือระดับ 60% แต่หากแบงก์ชาติยังคงรักษาเสถียรภาพทางการเงินได้ ก็อาจไม่ได้เป็นเรื่องที่สร้างความกังวลมากนัก
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_149
Finance
Short Sale คืออะไร
A. การทำกำไรในช่วงที่เราคิดว่า หุ้นตัวนั้นจะปรับตัวลง โดยเราต้องยืมหุ้นจากบริษัทในเครือ B. การทำกำไรในช่วงที่เราคิดว่า หุ้นตัวนั้นจะปรับตัวเท่าราคาทุน โดยเราต้องยืมหุ้นจากบริษัทหลักทรัพย์มาเสียก่อน C. การทำกำไรในช่วงที่เราคิดว่า หุ้นตัวนั้นจะปรับตัวสูงขึ้น D. การทำกำไรในช่วงที่เราคิดว่า หุ้นตัวนั้นจะปรับตัวลง โดยเราต้องยืมหุ้นจากบริษัทหลักทรัพย์มาเสียก่อน
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ D. เนื่องจาก Short Sale Short Sale คืออะไร • Short Sale คือการทำกำไรในช่วงที่เราคิดว่า หุ้นตัวนั้นจะปรับตัวลง โดยเราต้องยืมหุ้นจากบริษัทหลักทรัพย์มาเสียก่อน เพื่อทำการขายออกมา จากนั้นค่อยซื้อหุ้นตัวนั้นกลับคืนมาในราคาที่ต่ำกว่า ยกตัวอย่าง เช่น ปัจจุบันหุ้น AB อยู่ที่ 180 บาท ถ้าเราคาดว่า หุ้น AB ราคาจะปรับตัวลง จึงไปยืมหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ แล้วทำการขายหุ้น AB ที่ราคา 180 บาท จากนั้นหุ้น AB ปรับตัวลงมาที่ 150 บาท แล้วเราซื้อหุ้นกลับคืนมา ก็จะได้กำไรหุ้นละ 30 บาท ในทางกลับกัน หากหุ้น AB ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเป็น 200 บาท เมื่อเราต้องซื้อหุ้นคืนให้กับบริษัทหลักทรัพย์ ก็จะขาดทุนหุ้นละ 20 บาท ซึ่งการคำนวณในส่วนนี้ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมและภาษีมูลค่าเพิ่มในการทำ Short Sale
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1496
Finance
จงสรุปบทความ Sharpe Ratio คืออะไร? ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงใช้กัน
ไม่ว่าคุณจะผ่านมา หรือเป็นสายเนิร์ดลงทุน บทความนี้มีคำตอบ หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า High Risk, High Return เสี่ยงมากได้มาก คำถามที่สำคัญคือ แล้วคุณวัดอย่างไรว่าเสี่ยง? และวัดอย่างไรว่าคุ้ม High Risk, High Return ? วันนี้เราพาทุกคนไปรู้จักกับ “Sharpe Ratio” 1 ใน Risk Adjusted Performance ผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงที่นิยมที่สุด ใช้วัดว่าด้วยผลตอบแทนที่เราได้มา แลกด้วยความเสี่ยงจากการลงทุนมากน้อยแค่ไหน (คุ้มแค่ไหนกับที่เสี่ยงไป) “Sharpe Ratio” 1 Risk Adjusted Performance ( ) Sharpe Ratio = (Rate of Return – Risk-Free Rate) / Standard Deviation ภาษาเนิร์ด ย่อ ๆ คือ “อัตราส่วนผลตอบแทนส่วนเกินต่อส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(ความผันผวน)” “ ( )” ภาษาคน คือ ตัวเลขที่บอกว่า มันคุ้มค่าไหมกับที่เสี่ยงไป แทนที่จะฝากเงินไว้เฉย ๆ Sharpe Ratio เลขยิ่งสูงยิ่งดี เลขต่ำคือไม่ดี แต่เวลาดูต้องเปรียบเทียบกับ สินทรัพย์อื่น ๆ หรือกองทุนอื่น ๆ ด้วย Sharpe Ratio หากตีความจากสูตร อัตราส่วนผลตอบแทนส่วนเกิน คือ Return – Risk free rate หรือ ผลตอบแทนจากการลงทุน ลบ อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง (ซึ่งก็คือการฝากเงิน หรือลงทุนในตั๋วเงินคงคลัง พันธบัตร) Return – Risk free rate ( ) ความหมายตรงนี้ก็คือ “ผลตอบแทนที่เราได้เพิ่มมาจากการฝากเงิน” นั่นเอง หลายคนอาจแปลกใจว่าทำไมต้องเทียบด้วย ตรงเลขนี้มีผลมาก ยกตัวอย่าง risk free 3% (ไว้ออกจากยุคดอกเบี้ยต่ำก่อนนะ) หากผลตอบแทน 10% คงไม่เดือดร้อนอะไร แต่หากคุณทำผลตอบแทนได้ 3% ก็จะไม่ต่างอะไรกับเอาเงินไปฝาก “ ” risk free 3% ( ) 10% 3% หรือหากได้ 5% ก็ได้ผลตอบแทนเพิ่มมาเพียง 2% แต่หากความผันผวนเป็น 20% (ซึ่งหมายถึงมีโอกาสที่จะขาดทุน 15% เลยก็ได้) 5% 2% 20% ( 15% ) ต้องเข้าใจหน่อยว่าสูตรต่าง ๆ เหล่านี้สมัยที่คิด ดอกเบี้ยไม่ต่ำขนาดนี้ เพราะฉะนั้นถ้าสัดส่วน Sharpe Ratio ยิ่งสูง แสดงว่าผลตอบแทนที่ได้นั้นก็ยิ่งคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความผันผวน (ผลตอบแทนสูงแต่ผันผวนต่ำ) Sharpe Ratio ( ) ยกตัวอย่าง กองทุน A มีผลตอบแทนที่ 50% ความผันผวนที่ 31% กองทุน B มีผลตอบแทนที่ 30% ความผันผวนที่ 16% A 50% 31% B 30% 16% ให้ Risk-Free Rate ที่ 1% ให้ ที่ หากลองคำนวณดูตามสูตรด้านบนจะได้ว่า กองทุน A จะมี Sharpe Ratio อยู่ที่ 1.58 เท่า กองทุน B จะมี Sharpe Ratio อยู่ที่ 1.81 เท่า กองทุน จะมี อยู่ที่ เท่า กองทุน จะมี อยู่ที่ เท่า ซึ่งจะเห็นได้ว่าแม้กองทุน A นั้นอาจจะทำผลตอบแทนได้สูงกว่ากองทุน B แต่เมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยงที่ได้รับแล้วกองทุน B นั้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระดับความเสี่ยงที่เท่ากันกับกองทุน A (Sharpe Ratio มากกว่า) A B B A (Sharpe Ratio ) เพราะฉะนั้นการเลือกลงทุนในกองทุน B นั้นจึงเหมาะสมกว่าหากเรามองอัตราผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงแล้ว B จะเห็นได้ว่าการนำ Sharpe Ratio มาใช้พิจารณาเลือกทางเลือกในการลงทุนนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่ง ทำให้เราสามารถหลุดพ้นจากกับดักของการมองเพียงแค่ผลตอบแทน จนลืมไปว่ามันอาจจะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่อาจจะไม่คุ้มค่าเอาซะเลย Sharpe Ratio อย่างไรก็ตาม Sharpe Ratio นั้นเหมาะสำหรับการใช้พิจารณาทางเลือกในการลงทุนของสินทรัพย์ที่มีลักษณะหรือนโยบายการลงทุนที่คล้ายกันเท่านั้น เพราะหากเรานำ Sharpe Ratio ไปเปรียบเทียบในสินทรัพย์ที่ต่างกันมากเช่นการลงทุนในหุ้นกับตราสารหนี้ ก็อาจจะไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไร Sharpe Ratio Sharpe Ratio เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นคนนำ Sharpe Ratio มาใช้พิจารณาการเลือกซื้อกองทุน Active ในกลุ่มประเภทที่นโยบายคล้ายกันเพื่อดูว่าผู้จัดการกองทุนกองไหนทำผลตอบแทนได้ดีกว่ากันรวมถึงเปรียบเทียบกับดัชนี Benchmark ได้ด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าผลตอบแทนที่ได้มานั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่ลงทุน
“Sharpe Ratio” 1 ใน Risk Adjusted Performance ผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงที่นิยมที่สุด ใช้วัดว่าด้วยผลตอบแทนที่เราได้มา ภาษาเนิร์ด ย่อ ๆ คือ “อัตราส่วนผลตอบแทนส่วนเกินต่อส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(ความผันผวน) ภาษาคน คือ ตัวเลขที่บอกว่า มันคุ้มค่าไหมกับที่เสี่ยงไป แทนที่จะฝากเงินไว้เฉย ๆ Sharpe Ratio เลขยิ่งสูงยิ่งดี เลขต่ำคือไม่ดี แต่เวลาดูต้องเปรียบเทียบกับ สินทรัพย์อื่น ๆ หรือกองทุนอื่น ๆ ด้วย หากตีความจากสูตร อัตราส่วนผลตอบแทนส่วนเกิน คือ Return – Risk free rate หรือ ผลตอบแทนจากการลงทุน ลบ อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง ความหมายตรงนี้ก็คือ “ผลตอบแทนที่เราได้เพิ่มมาจากการฝากเงิน” นั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าสัดส่วน Sharpe Ratio ยิ่งสูง แสดงว่าผลตอบแทนที่ได้นั้นก็ยิ่งคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความผันผวน การนำ Sharpe Ratio มาใช้พิจารณาเลือกทางเลือกในการลงทุนนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม Sharpe Ratio นั้นเหมาะสำหรับการใช้พิจารณาทางเลือกในการลงทุนของสินทรัพย์ที่มีลักษณะหรือนโยบายการลงทุนที่คล้ายกันเท่านั้น
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.เครื่องมือทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,7.การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_1499
Finance
แนวทางการลงทุนของกอง LTGG (กองแม่ของ ONE-UGG-RA) มีอะไรบ้าง
ONE-UGG-RA & K-CHANGE-A(A) มีแล้วซ้ำกันหรือไม่? ​ กองทุนหุ้น Growth จากค่าย Baillie Gifford มีซ้ำกันได้หรือไม่? กองทุนหุ้น Growth จากค่าย Baillie Gifford มีซ้ำกันได้หรือไม่? จุดเริ่มต้นของบทความนี้เกิดจากแอดได้รับคำถามเยอะมาก ๆ ว่าถ้ามีกองทุน ONE-UGG-RA อยู่แล้ว ควรจะมีกองทุน K-CHANGE-A(A) หรือไม่ ซ้ำกันรึเปล่า หรือถามในทางกลับกัน มีกองทุน K-CHANGE-A(A) แล้วถ้ามีกองทุน ONE-UGG-RA เพิ่มล่ะ จะซ้ำไหม จุดเริ่มต้นของบทความนี้เกิดจากแอดได้รับคำถามเยอะมาก ๆ ว่าถ้ามีกองทุน ONE-UGG-RA อยู่แล้ว ควรจะมีกองทุน K-CHANGE-A(A) หรือไม่ ซ้ำกันรึเปล่า หรือถามในทางกลับกัน มีกองทุน K-CHANGE-A(A) แล้วถ้ามีกองทุน ONE-UGG-RA เพิ่มล่ะ จะซ้ำไหม วันนี้ เด็กการเงิน ขอพาไปรีวิวทั้งสองกองนี้แบบเบื้องลึก และให้คำแนะนำในการลงทุนทั้งสองกองนี้ให้เต็มที่ไปเลย วันนี้ เด็กการเงิน ขอพาไปรีวิวทั้งสองกองนี้แบบเบื้องลึก และให้คำแนะนำในการลงทุนทั้งสองกองนี้ให้เต็มที่ไปเลย กองทุนหลักของ ONE-UGG-RA (Baillie Gifford Long Term Global Growth) ทำงานอย่างไร? ONE-UGG-RA ปรัชญาของการลงทุน Long Term Global Growth คืออะไร? กอง ONE-UGG เป็นอีกกองหนึ่งที่ลงทุนใน Master Fund จาก Baillie Gifford ชื่อ Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund (LTGG) โดยกองแม่นั้นบริหารงานโดย Baillie Gifford ซึ่งจะบริหารกองทุนที่เน้น Active และเป็นการเลือกจากตัวบริษัทเป็นหลัก (Pure bottom up) โดยจะมองถึงการลงทุนระยะยาวในบริษัทที่มีโอกาสเติบโตหลายเท่าตัวในอนาคต เรียกได้ว่าเป็น Growth stocks อีกทั้งยังมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยความที่แนวทางการบริหารเป็นการลงทุนระยะยาวทำให้จะไม่สนผลงานระยะสั้นเลย ภายใต้ความเชื่อที่ว่า “We are investors, not speculators” พวกเขาคือนักลงทุน ไม่ใช่นักเก็งกำไร กอง ONE-UGG เป็นอีกกองหนึ่งที่ลงทุนใน Master Fund จาก Baillie Gifford ชื่อ Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund (LTGG) โดยกองแม่นั้นบริหารงานโดย Baillie Gifford ซึ่งจะบริหารกองทุนที่เน้น Active และเป็นการเลือกจากตัวบริษัทเป็นหลัก (Pure bottom up) โดยจะมองถึงการลงทุนระยะยาวในบริษัทที่มีโอกาสเติบโตหลายเท่าตัวในอนาคต เรียกได้ว่าเป็น Growth stocks อีกทั้งยังมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยความที่แนวทางการบริหารเป็นการลงทุนระยะยาวทำให้จะไม่สนผลงานระยะสั้นเลย ภายใต้ความเชื่อที่ว่า พวกเขาคือนักลงทุน ไม่ใช่นักเก็งกำไร แนวทางการลงทุนของกอง LTGG (กองแม่ของ ONE-UGG-RA) ลงทุนระยะยาว (Long-term) เขาเชื่อว่าการลงทุนระยะยาวจะเห็นผลมากที่สุด เพราะเขาเชื่อว่าต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี เพื่อที่จะได้เห็นถึงความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัท และความสามารถในการบริหารที่ยอดเยี่ยมจากผู้บริหารบริษัทที่เขาลงทุน อีกทั้งทีมจัดการลงทุนเขาก็มองว่าการลงทุนระยะยาว จะช่วยขจัดอารมณ์และพฤติกรรมในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนที่อาจจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้ และผลตอบแทนที่กองทุนทำได้ 5 ปีที่ผ่านมา สะท้อนการลงทุนระยะยาว สำหรับหุ้นใดหุ้นหนึ่งที่มีระยะเวลาการลงทุนมากกว่า 10 ปีขึ้นไปมักได้ผลตอบแทนดี ลงทุนในหุ้นทั่วโลก (Global Equity) การเลือกลงทุนของทีมที่บริหาร LTGG นั้นไม่มีข้อจำกัดในการดู Benchmark อันใดอันหนึ่ง แต่เขาเลือกลงทุนหุ้นทั่วโลก เพราะเขาเชื่อว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัท ณ ปัจจุบัน แต่มันคือการมองอนาคตของบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตหลายเท่าตัวต่างหาก ลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโต (Growth) โดยจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพมีการสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างน้อย 2 เท่าตัวในระยะข้างหน้า โดยจะเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีนวัตกรรมหรือการเปลี่ยนแปลงที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตรองรับผู้บริโภคในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นด้าน Health Care ผลิตภัณฑ์ที่มาปฏิวัติเทคโนโลยี กลุ่มค้าปลีกออนไลน์ และอื่น ๆ ลงทุนระยะยาว (Long-term) เขาเชื่อว่าการลงทุนระยะยาวจะเห็นผลมากที่สุด เพราะเขาเชื่อว่าต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี เพื่อที่จะได้เห็นถึงความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัท และความสามารถในการบริหารที่ยอดเยี่ยมจากผู้บริหารบริษัทที่เขาลงทุน อีกทั้งทีมจัดการลงทุนเขาก็มองว่าการลงทุนระยะยาว จะช่วยขจัดอารมณ์และพฤติกรรมในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนที่อาจจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้ และผลตอบแทนที่กองทุนทำได้ 5 ปีที่ผ่านมา สะท้อนการลงทุนระยะยาว สำหรับหุ้นใดหุ้นหนึ่งที่มีระยะเวลาการลงทุนมากกว่า 10 ปีขึ้นไปมักได้ผลตอบแทนดี ลงทุนในหุ้นทั่วโลก (Global Equity) การเลือกลงทุนของทีมที่บริหาร LTGG นั้นไม่มีข้อจำกัดในการดู Benchmark อันใดอันหนึ่ง แต่เขาเลือกลงทุนหุ้นทั่วโลก เพราะเขาเชื่อว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัท ณ ปัจจุบัน แต่มันคือการมองอนาคตของบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตหลายเท่าตัวต่างหาก ลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโต (Growth) โดยจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพมีการสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างน้อย 2 เท่าตัวในระยะข้างหน้า โดยจะเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีนวัตกรรมหรือการเปลี่ยนแปลงที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตรองรับผู้บริโภคในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นด้าน Health Care ผลิตภัณฑ์ที่มาปฏิวัติเทคโนโลยี กลุ่มค้าปลีกออนไลน์ และอื่น ๆ แนวทางการเลือกหุ้นของ LTGG ทางทีมบริหารกองทุน LTGG จะใช้ 10 Questions framework ในการเลือกลงทุนหุ้นใดหุ้นหนึ่ง ซึ่งเขาใช้แนวทางนี้ในการเลือกลงทุน และติดตามการลงทุนรวมถึงพิจารณาถึงความเสี่ยงอีกด้วย เรียกได้ว่าสำคัญมาก ทางทีมบริหารกองทุน LTGG จะใช้ 10 Questions framework ในการเลือกลงทุนหุ้นใดหุ้นหนึ่ง ซึ่งเขาใช้แนวทางนี้ในการเลือกลงทุน และติดตามการลงทุนรวมถึงพิจารณาถึงความเสี่ยงอีกด้วย เรียกได้ว่าสำคัญมาก โดยเขาจะมองทั้งหมด 5 ด้าน คือ โดยเขาจะมองทั้งหมด 5 ด้าน คือ แนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอนาคต ความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ความมั่นคงทางการเงิน วิสัยทัศน์ขององค์กร ความเหมาะสมของราคาหุ้น แนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอนาคต ความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ความมั่นคงทางการเงิน วิสัยทัศน์ขององค์กร ความเหมาะสมของราคาหุ้น กลั่นกรองออกมาจาก 5 ด้านข้างบน จนได้ 10 คำถามดังนี้ กลั่นกรองออกมาจาก 5 ด้านข้างบน จนได้ 10 คำถามดังนี้ บริษัทมีแนวโน้มที่รายได้จะเพิ่มขึ้นสองเท่าในห้าปีข้างหน้าไหม สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทในอีกห้าปีข้างหน้า ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทคืออะไร วัฒนธรรมองค์กรมีความโดดเด่นหรือไม่ อย่างไร ทำไมลูกค้าจึงชอบบริษัท ผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่ แนวโน้มฐานะการเงิน ปรับตัวขึ้นหรือแย่ลง มีการจัดการเงินทุนอย่างไร มูลค่าหุ้นน่าสนใจหรือไม่ ทำไมตลาดถึงยังไม่สะท้อนถึงมูลค่าบริษัท บริษัทมีแนวโน้มที่รายได้จะเพิ่มขึ้นสองเท่าในห้าปีข้างหน้าไหม สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทในอีกห้าปีข้างหน้า ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทคืออะไร วัฒนธรรมองค์กรมีความโดดเด่นหรือไม่ อย่างไร ทำไมลูกค้าจึงชอบบริษัท ผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่ แนวโน้มฐานะการเงิน ปรับตัวขึ้นหรือแย่ลง มีการจัดการเงินทุนอย่างไร มูลค่าหุ้นน่าสนใจหรือไม่ ทำไมตลาดถึงยังไม่สะท้อนถึงมูลค่าบริษัท นอกจากการวิเคราะห์บริษัทด้วย 10 คำถามแล้ว เขายังมีการให้ Sponsor การวิจัยต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ Insight ของคนที่ทำงานจริง ๆ แต่ละด้าน เพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจลงทุน การลงทุนแต่ละครั้งบริษัทจะเน้นเป็นผู้ถือหุ้นระยะยาว โดยจะมีการสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารบริษัทนั้น ๆ อีกด้วย เพื่อให้มองภาพรวมของบริษัทได้ชัดขึ้น เมื่อไรที่ตัดสินใจเลือกลงทุนหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง จะถือสัดส่วนราว 1-2% จนไปจนถึง 10% สูงสุด หากมีความมั่นใจมาก ภาพรวมทั้งพอร์ตสามารถมีหุ้นได้ 30-60 ตัว นอกจากการวิเคราะห์บริษัทด้วย 10 คำถามแล้ว เขายังมีการให้ Sponsor การวิจัยต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ Insight ของคนที่ทำงานจริง ๆ แต่ละด้าน เพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจลงทุน การลงทุนแต่ละครั้งบริษัทจะเน้นเป็นผู้ถือหุ้นระยะยาว โดยจะมีการสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารบริษัทนั้น ๆ อีกด้วย เพื่อให้มองภาพรวมของบริษัทได้ชัดขึ้น เมื่อไรที่ตัดสินใจเลือกลงทุนหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง จะถือสัดส่วนราว 1-2% จนไปจนถึง 10% สูงสุด หากมีความมั่นใจมาก ภาพรวมทั้งพอร์ตสามารถมีหุ้นได้ 30-60 ตัว สิ่งที่ได้จากการลงทุนกองทุนนี้คือ Long term, Global, Growth คือสามคีย์เวิร์ดหลักของกองนี้ หากเป็น Growth investors ที่กำลังมองหาสิ่งเหล่านี้ นี่เป็นกองทุนที่ห้ามพลาดเลยทีเดียว โดยมีคำพูดหนึ่งที่เรารู้สึกชอบมากคือ “Long-term success requires risk taking and ambition, not caution and downside protection” สิ่งที่ได้จากการลงทุนกองทุนนี้คือ คือสามคีย์เวิร์ดหลักของกองนี้ หากเป็น Growth investors ที่กำลังมองหาสิ่งเหล่านี้ นี่เป็นกองทุนที่ห้ามพลาดเลยทีเดียว โดยมีคำพูดหนึ่งที่เรารู้สึกชอบมากคือ สรุป กองทุน ONE-UGG-RA มีปรัชญาและกระบวนการในการลงทุนที่ชัดเจน เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งมีความน่าสนใจอย่างมาก หากใครมองหากองทุนที่รวมบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกที่ล้วนมีศักยภาพการเติบโตแบบโดดเด่นเฉพาะตัวในระยะยาว เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และมีความสามารถในการแข่งขันที่เหนือคู่แข่ง บริหารงานโดยผู้จัดการกองที่มีชื่อเสียงระดับโลกจาก Baillie Gifford ผลงานพิสูจน์ให้เราเห็นเด่นชัดในช่วงปีที่ผ่านมา และปรัชญานี้เป็นที่รู้จักและจะคงอยู่ต่อไป กองทุน ONE-UGG-RA มีปรัชญาและกระบวนการในการลงทุนที่ชัดเจน เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งมีความน่าสนใจอย่างมาก หากใครมองหากองทุนที่รวมบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกที่ล้วนมีศักยภาพการเติบโตแบบโดดเด่นเฉพาะตัวในระยะยาว เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และมีความสามารถในการแข่งขันที่เหนือคู่แข่ง บริหารงานโดยผู้จัดการกองที่มีชื่อเสียงระดับโลกจาก Baillie Gifford ผลงานพิสูจน์ให้เราเห็นเด่นชัดในช่วงปีที่ผ่านมา และปรัชญานี้เป็นที่รู้จักและจะคงอยู่ต่อไป กองทุน ONE-UGG-RA มีรูปแบบ SSF และ RMF คือ ONE-UGG-SSF และ ONE-UGERMF บริหารโดย บลจ. วรรณ (ONE AM) กองทุน ONE-UGG-RA มีรูปแบบ SSF และ RMF คือ ONE-UGG-SSF และ ONE-UGERMF บริหารโดย บลจ. วรรณ (ONE AM) กองทุนหลักของ K-CHANGE-A(A) (Baillie Gifford Long Term Global Growth) ทำงานอย่างไร? เราสามารถหาบริษัทที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่าพร้อมกับสังคมได้ประโยชน์จากมันได้ไหม? เราสามารถหาบริษัทที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่าพร้อมกับสังคมได้ประโยชน์จากมันได้ไหม? ประโยคนี้จุดประกายผู้จัดการกองทุนอย่าง Kate Fox หนึ่งในหัวหน้าทีม Baillie Gifford Worldwide Positive Change Fund ซึ่งประกอบเป็นทีมขนาดเล็ก และมีประสบการณ์หลากหลายมารวมตัวกัน ตั้งเป้าเฟ้นหาหุ้นเติบโต มีความสามารถในการแข่งขันสูง สร้างธุรกิจ ผลิตภัณฑ์หรือการบริการ ที่ช่วยให้โลกของเราดีขึ้น หรือเป็นที่มาของคำว่า Positive Change ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย ประโยคนี้จุดประกายผู้จัดการกองทุนอย่าง Kate Fox หนึ่งในหัวหน้าทีม Baillie Gifford Worldwide Positive Change Fund ซึ่งประกอบเป็นทีมขนาดเล็ก และมีประสบการณ์หลากหลายมารวมตัวกัน ตั้งเป้าเฟ้นหาหุ้นเติบโต มีความสามารถในการแข่งขันสูง สร้างธุรกิจ ผลิตภัณฑ์หรือการบริการ ที่ช่วยให้โลกของเราดีขึ้น หรือเป็นที่มาของคำว่า Positive Change ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย ทำผลตอบแทนให้มากกว่า average global investment 2% (MSCI ACWI +2%) และ สร้างผลกระทบเชิงบวก ช่วยให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้น ทำผลตอบแทนให้มากกว่า average global investment 2% (MSCI ACWI +2%) และ สร้างผลกระทบเชิงบวก ช่วยให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้น โดยทีมได้เน้นการเข้าถึง 4 ความท้าทาย หรือ 4 Impact Theme ในเรื่องดังต่อไปนี้ โดยทีมได้เน้นการเข้าถึง 4 ความท้าทาย หรือ 4 Impact Theme ในเรื่องดังต่อไปนี้ ความเท่าเทียมกันทางสังคมและการศึกษา สิ่งแวดล้อมและทรัพยากร สุขภาพและคุณภาพชีวิต การเข้าถึงเทคโนโลยีด้วยความเท่าเทียม ได้ทุกระดับชั้น ความเท่าเทียมกันทางสังคมและการศึกษา สิ่งแวดล้อมและทรัพยากร สุขภาพและคุณภาพชีวิต การเข้าถึงเทคโนโลยีด้วยความเท่าเทียม ได้ทุกระดับชั้น การคัดเลือกหุ้นและจัดพอร์ตการลงทุน เริ่มจากทีมได้คัดเลือกหุ้นที่มี ทีม analyst เดียวกับทีม Long Term Global Growth ทีมนำหุ้นมาสกรีน และทำการวิเคราะห์หุ้นแบบ Bottom Up เพื่อเฟ้นหุ้นรายตัว รวบรวมไอเดียมาวิเคราะห์ต่อโดยผู้เชี่ยวชาญ การคัดเลือกหุ้นและจัดพอร์ตการลงทุน เริ่มจากทีมได้คัดเลือกหุ้นที่มี ทีม analyst เดียวกับทีม Long Term Global Growth ทีมนำหุ้นมาสกรีน และทำการวิเคราะห์หุ้นแบบ Bottom Up เพื่อเฟ้นหุ้นรายตัว รวบรวมไอเดียมาวิเคราะห์ต่อโดยผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นใช้ 6 framework ในการวิเคราะห์เชิงคุณภาพว่าหุ้นหรือบริษัทที่เลือกมานั้นมีพื้นฐานดี ตรงกับวัตถุประสงค์หรือไม่ จากนั้นใช้ 6 framework ในการวิเคราะห์เชิงคุณภาพว่าหุ้นหรือบริษัทที่เลือกมานั้นมีพื้นฐานดี ตรงกับวัตถุประสงค์หรือไม่ บริษัทนี้กำลังแก้ความท้าทายในเรื่องอะไร บริษัทนี้สามารถหาทางออกที่ยั่งยื่น หรือดีกว่าบริษัทอื่นอย่างไร หรือเป็นไม่เกิดความแตกต่างเลย มีทีมบริหารที่ตั้งใจและมุ่งมั่นหรือไม่ บริษัทมีการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไร มีโอกาสเยอะแค่ไหนที่บริษัทจะสร้างกำไรและคงความได้เปรียบอยู่ได้ ธุรกิจที่กำลังทำอยู่จะให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดหรือไม่ บริษัทนี้กำลังแก้ความท้าทายในเรื่องอะไร บริษัทนี้สามารถหาทางออกที่ยั่งยื่น หรือดีกว่าบริษัทอื่นอย่างไร หรือเป็นไม่เกิดความแตกต่างเลย มีทีมบริหารที่ตั้งใจและมุ่งมั่นหรือไม่ บริษัทมีการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไร มีโอกาสเยอะแค่ไหนที่บริษัทจะสร้างกำไรและคงความได้เปรียบอยู่ได้ ธุรกิจที่กำลังทำอยู่จะให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดหรือไม่ ต่อจากนั้น หุ้นที่ผ่านการกรองจะทำไปวิเคราะห์ Impact Analysis ในมุม Intent, Business Practice และ Product Impact ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ให้ scoring บริษัทที่ผ่านการกรองเข้ามาว่าสามารถตอบโจทย์ Positive Change ได้หรือไม่ ต่อจากนั้น หุ้นที่ผ่านการกรองจะทำไปวิเคราะห์ Impact Analysis ในมุม Intent, Business Practice และ Product Impact ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ให้ scoring บริษัทที่ผ่านการกรองเข้ามาว่าสามารถตอบโจทย์ Positive Change ได้หรือไม่ ทีม Positive Change จะรวบรวมข้อมูล และสรุปกับทีมงานว่าหุ้นตัวไหนควรอยู่ใน Port ออกมาเป็นพอร์ตกองทุน High Conviction ที่มีหุ้นเพียง 25-40 ตัว เพื่อให้แสดงผลงาน positive impact ได้อย่างชัดเจน ทีม Positive Change จะรวบรวมข้อมูล และสรุปกับทีมงานว่าหุ้นตัวไหนควรอยู่ใน Port ออกมาเป็นพอร์ตกองทุน High Conviction ที่มีหุ้นเพียง 25-40 ตัว เพื่อให้แสดงผลงาน positive impact ได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามการจัดกองทุนในลักษณะนี้ถือว่าไม่ได้มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีสักเท่าไหร่นัก แต่สำหรับ Thematic fund ต้องการสร้างผลตอบแทนเหนือตลาดให้ได้ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ Positive Change Strategy นี้เอง อย่างไรก็ตามการจัดกองทุนในลักษณะนี้ถือว่าไม่ได้มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีสักเท่าไหร่นัก แต่สำหรับ Thematic fund ต้องการสร้างผลตอบแทนเหนือตลาดให้ได้ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ Positive Change Strategy นี้เอง ผลลัพธ์ที่ได้จากการเฟ้นหุ้น คือพอร์ตที่กระจายไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม Health Care, IT, Consumer Discretionary และ Materials กว่าสิบประเทศทั่วโลก ผลลัพธ์ที่ได้จากการเฟ้นหุ้น คือพอร์ตที่กระจายไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม Health Care, IT, Consumer Discretionary และ Materials กว่าสิบประเทศทั่วโลก กองทุนนี้เป็นกองทุนหลักของ K-CHANGE-A(A) และรูปแบบกองทุนลดหย่อนภาษี K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE-RMF บริหารงานโดย บลจ.กสิกรไทย กองทุนนี้เป็นกองทุนหลักของ K-CHANGE-A(A) และรูปแบบกองทุนลดหย่อนภาษี K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE-RMF บริหารงานโดย บลจ.กสิกรไทย เปรียบเทียบสองกองทุน ปรัชญาและเป้าหมายในการลงทุน LTGG มีเป้าหมายที่จะลงทุนในหุ้นเติบโตที่มีศักยภาพทั่วโลก เน้นการเติบโตระยะยาวจากความสามารถของบริษัทที่ยอดเยี่ยม ติดตามการลงทุน จนเติบโตข้ามผ่านวัฏจักรเศรษฐกิจ มีเป้าหมายที่จะลงทุนในหุ้นเติบโตที่มีศักยภาพทั่วโลก เน้นการเติบโตระยะยาวจากความสามารถของบริษัทที่ยอดเยี่ยม ติดตามการลงทุน จนเติบโตข้ามผ่านวัฏจักรเศรษฐกิจ Positive Change เกิดจากความคิดที่ว่า ธุรกิจและการเปลี่ยนแปลงโลกให้ไปในทางที่ดีขึ้น ไปด้วยกันได้ และตั้งเป้าหมายว่าจะทำผลตอบแทนได้ที่ MSCI ACWI +2% ต่อเนื่อง 5 ปีขึ้นไป เกิดจากความคิดที่ว่า ธุรกิจและการเปลี่ยนแปลงโลกให้ไปในทางที่ดีขึ้น ไปด้วยกันได้ และตั้งเป้าหมายว่าจะทำผลตอบแทนได้ที่ MSCI ACWI +2% ต่อเนื่อง 5 ปีขึ้นไป ทีมบริหาร LTGG เน้นทีมขนาดเล็กที่ทำงานหนักในความสนใจและปรัชญาเดียวเดียวกัน เพื่อให้ได้กลุ่มหุ้นเติบโตที่ดีที่สุดจากทุกมุมโลก มี Decision Maker สองคนคือ Tom Slater และ Mark Urquhart เน้นทีมขนาดเล็กที่ทำงานหนักในความสนใจและปรัชญาเดียวเดียวกัน เพื่อให้ได้กลุ่มหุ้นเติบโตที่ดีที่สุดจากทุกมุมโลก มี Decision Maker สองคนคือ Tom Slater และ Mark Urquhart Positive Change เน้นทีมขนาดเล็กที่กระตือรือร้น มีประสบการณ์หลากหลายเพื่อค้นหาไอเดียใหม่ ๆ โดยมีผู้จัดการกองทุนรวม 4 คน ที่ออกสื่อบ่อย ๆ จะเป็น Kate Fox และ Lee Qian เน้นทีมขนาดเล็กที่กระตือรือร้น มีประสบการณ์หลากหลายเพื่อค้นหาไอเดียใหม่ ๆ โดยมีผู้จัดการกองทุนรวม 4 คน ที่ออกสื่อบ่อย ๆ จะเป็น Kate Fox และ Lee Qian การเลือกหุ้นและจัดพอร์ต ทั้งสองกองทุนเลือกหุ้นเติบโตจาก Baillie Gifford Investment Universe เดียวกัน ก่อนนำไปวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ทั้งคุณภาพและปริมาณ โดยแต่ละทีมมีวิธีการคัดหุ้นดังนี้ ทั้งสองกองทุนเลือกหุ้นเติบโตจาก Baillie Gifford Investment Universe เดียวกัน ก่อนนำไปวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ทั้งคุณภาพและปริมาณ โดยแต่ละทีมมีวิธีการคัดหุ้นดังนี้ ทีม LTGG จะทำการประมาณผ่าน 10 Questions Framework โดยจะมองทั้งหมด 5 ด้าน คือ จะทำการประมาณผ่าน 10 Questions Framework โดยจะมองทั้งหมด 5 ด้าน คือ แนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอนาคต ความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ความมั่นคงทางการเงิน วิสัยทัศน์ขององค์กร ความเหมาะสมของราคาหุ้น แนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอนาคต ความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ความมั่นคงทางการเงิน วิสัยทัศน์ขององค์กร ความเหมาะสมของราคาหุ้น หุ้นที่ผ่านการคัดเลือกจะดีพอที่จะอยู่ในพอร์ตของกองทุน Baillie Gifford Long Term Global Growth (One-UGG-RA) วิธีการเช่นนี้คือ Bottom Up เลือกหุ้นขึ้นมาประกอบเป็นพอร์ต ที่มีความเข้มข้น (High Conviction) เน้นการแสดงผล ของผลตอบแทนของกลุ่มหุ้นที่เลือกมาได้อย่างเต็มที่ หุ้นที่ผ่านการคัดเลือกจะดีพอที่จะอยู่ในพอร์ตของกองทุน Baillie Gifford Long Term Global Growth (One-UGG-RA) วิธีการเช่นนี้คือ Bottom Up เลือกหุ้นขึ้นมาประกอบเป็นพอร์ต ที่มีความเข้มข้น (High Conviction) เน้นการแสดงผล ของผลตอบแทนของกลุ่มหุ้นที่เลือกมาได้อย่างเต็มที่ ทีม Positive Change คัดเลือกหุ้นผ่าน 6 Frameworks ในการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ว่าหุ้นหรือบริษัทที่เลือกมานั้นมีพื้นฐานดี ตรงกับวัตถุประสงค์หรือไม่ คัดเลือกหุ้นผ่าน 6 Frameworks ในการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ว่าหุ้นหรือบริษัทที่เลือกมานั้นมีพื้นฐานดี ตรงกับวัตถุประสงค์หรือไม่ บริษัทนี้กำลังแก้ความท้าทายในเรื่องอะไร บริษัทนี้สามารถหาทางออกที่ยั่งยื่น หรือดีกว่าบริษัทอื่นอย่างไร หรือเป็นไม่เกิดความแตกต่างเลย มีทีมบริหารที่ตั้งใจและมุ่งมั่นหรือไม่ บริษัทมีการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไร มีโอกาสเยอะแค่ไหนที่บริษัทจะสร้างกำไรและคงความได้เปรียบอยู่ได้ ธุรกิจที่กำลังทำอยู่จะให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดหรือไม่ บริษัทนี้กำลังแก้ความท้าทายในเรื่องอะไร บริษัทนี้สามารถหาทางออกที่ยั่งยื่น หรือดีกว่าบริษัทอื่นอย่างไร หรือเป็นไม่เกิดความแตกต่างเลย มีทีมบริหารที่ตั้งใจและมุ่งมั่นหรือไม่ บริษัทมีการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไร มีโอกาสเยอะแค่ไหนที่บริษัทจะสร้างกำไรและคงความได้เปรียบอยู่ได้ ธุรกิจที่กำลังทำอยู่จะให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดหรือไม่ ต่อจากนั้น หุ้นที่ผ่านการกรองจะทำไปวิเคราะห์ Impact Analysis ในมุม Intent, Business Practice และ Product Impact ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ให้ scoring บริษัทที่ผ่านการกรองเข้ามาว่าสามารถตอบโจทย์ Positive Change ได้หรือไม่ ต่อจากนั้น หุ้นที่ผ่านการกรองจะทำไปวิเคราะห์ Impact Analysis ในมุม Intent, Business Practice และ Product Impact ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ให้ scoring บริษัทที่ผ่านการกรองเข้ามาว่าสามารถตอบโจทย์ Positive Change ได้หรือไม่ เป็นวิธีการ Bottom Up และจัดพอร์ทการลงทุนที่มีความเข้มข้นสูง (High Conviction) เช่นกัน เป็นวิธีการ Bottom Up และจัดพอร์ทการลงทุนที่มีความเข้มข้นสูง (High Conviction) เช่นกัน Geographical and Sector Analysis พอร์ตหุ้นของ LTGG จะกระจายออกจาก North America (53.12%) ไปยัง Emerging Market (28.01%) และ Europe Ex UK (17%) พอร์ตหุ้นของ จะกระจายออกจาก North America (53.12%) ไปยัง Emerging Market (28.01%) และ Europe Ex UK (17%) ส่วน Positive Change จะกระจายตัวใน North America (51.32%) ไปยัง Europe Ex UK (22.40%) และ Emerging Market (20.15%) ส่วน จะกระจายตัวใน North America (51.32%) ไปยัง Europe Ex UK (22.40%) และ Emerging Market (20.15%) หุ้นที่เลือกโดย LTGG จะตกอยู่ใน Consumer Discretionary (38.76%), IT (25.21%), Healthcare (16.35%) และ Comm Service (14.07%) โดยจะสังเกตได้ว่าสองกลุ่มแรกมีมากกว่า 50% แล้ว หุ้นที่เลือกโดย จะตกอยู่ใน Consumer Discretionary (38.76%), IT (25.21%), Healthcare (16.35%) และ Comm Service (14.07%) โดยจะสังเกตได้ว่าสองกลุ่มแรกมีมากกว่า 50% แล้ว หุ้นที่เลือกโดย Positive Change จะนำโดย Health Care ขนาดกลางเล็ก ถึง 35.33% (!!) และตามด้วย Consumer Discretionary (17.03%) และ IT (16.84%) หุ้นที่เลือกโดย จะนำโดย Health Care ขนาดกลางเล็ก ถึง 35.33% (!!) และตามด้วย Consumer Discretionary (17.03%) และ IT (16.84%) จะเห็นได้ว่าหุ้นที่แตกต่างกันจะอยู่ที่ Healthcare และ Consumer Discretionary จะเห็นได้ว่าหุ้นที่แตกต่างกันจะอยู่ที่ Healthcare และ Consumer Discretionary LTGG และ Positive Change มีจำนวนหุ้นอยู่ที่ 38 และ 34 หุ้น และมี Annual Turnover ที่ 24% และ 37% ตามลำดับ จะเห็นได้ว่า LTGG จะเปลี่ยนสัดส่วนพอร์ตน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด LTGG และ Positive Change มีจำนวนหุ้นอยู่ที่ 38 และ 34 หุ้น และมี Annual Turnover ที่ 24% และ 37% ตามลำดับ จะเห็นได้ว่า LTGG จะเปลี่ยนสัดส่วนพอร์ตน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด Holding Analysis เนื่องจากสองกองทุนมีวิธีการคัดเลือกหุ้นที่แตกต่างกัน แต่ถ้านำมาเปรียบเทียบกันก็จะพบมามีส่วนซ้ำซ้อนบ้าง ดังนี้ เนื่องจากสองกองทุนมีวิธีการคัดเลือกหุ้นที่แตกต่างกัน แต่ถ้านำมาเปรียบเทียบกันก็จะพบมามีส่วนซ้ำซ้อนบ้าง ดังนี้ สัดส่วนของ Positive Change ที่มีใน LTGG คือ 29.17% สัดส่วนของ LTGG ที่มีใน Positive Change คือ 41.69% นับว่าเป็นสัดส่วนที่มากทีเดียว สัดส่วนของ Positive Change ที่มีใน LTGG คือ 29.17% สัดส่วนของ LTGG ที่มีใน Positive Change คือ 41.69% นับว่าเป็นสัดส่วนที่มากทีเดียว อย่างไรก็ตาม กองทุนมีการ rebalance หุ้นเข้าออกได้ตลอดเวลา และนี่เป็นเพียงการศึกษาในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม กองทุนมีการ rebalance หุ้นเข้าออกได้ตลอดเวลา และนี่เป็นเพียงการศึกษาในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น คำแนะนำในการลงทุนจากเด็กการเงิน สรุปได้ว่าสองกองทุนนี้ มีความแตกต่างกันตั้งแต่ในเรื่องของการตั้ง Investment Philosophy, แนวคิดของทีมบริหาร, เป้าหมายของกองทุน และการเลือกหุ้นและจัด Portfolio อย่างไรก็ตามสองกองทุนนี้เหมือนกันคือการเลือกหุ้นจาก Baillie Gifford Investment Universe เดียวกัน ซึ่งมีการคัดเลือกหุ้น Growth ด้วยปัจจัยพื้นฐานและความสามารถในการเติบโตเบื้องต้นแล้ว จากนั้นแต่ละกองทุนจะคัดหุ้นเข้าพอร์ตด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ถึงแม้หน้าหุ้นในตอนสุดท้ายจะเหมือนกันบ้าง ในความเห็นของเรา สองกองทุนนี้แตกต่างกันและผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนกองทุนที่ชอบแยกจากกันได้ สรุปได้ว่าสองกองทุนนี้ มีความแตกต่างกันตั้งแต่ในเรื่องของการตั้ง Investment Philosophy, แนวคิดของทีมบริหาร, เป้าหมายของกองทุน และการเลือกหุ้นและจัด Portfolio อย่างไรก็ตามสองกองทุนนี้เหมือนกันคือการเลือกหุ้นจาก Baillie Gifford Investment Universe เดียวกัน ซึ่งมีการคัดเลือกหุ้น Growth ด้วยปัจจัยพื้นฐานและความสามารถในการเติบโตเบื้องต้นแล้ว จากนั้นแต่ละกองทุนจะคัดหุ้นเข้าพอร์ตด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ถึงแม้หน้าหุ้นในตอนสุดท้ายจะเหมือนกันบ้าง ในความเห็นของเรา สองกองทุนนี้แตกต่างกันและผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนกองทุนที่ชอบแยกจากกันได้ เมื่อพิจารณาจากความผันผวน และการกระจายตัวต่ำ (High conviction) แล้ว เราแนะนำให้มีกองทุนสไตล์หุ้น growth รวมกันไม่เกิน 40% ของพอร์ต เพื่อลดความผันผวนโดยรวมของพอร์ต (หรือรับความเสี่ยงได้มากกว่านี้ก็เพิ่มได้) เมื่อพิจารณาจากความผันผวน และการกระจายตัวต่ำ (High conviction) แล้ว เราแนะนำให้มีกองทุนสไตล์หุ้น growth รวมกันไม่เกิน 40% ของพอร์ต เพื่อลดความผันผวนโดยรวมของพอร์ต (หรือรับความเสี่ยงได้มากกว่านี้ก็เพิ่มได้) กลยุทธ์ที่แนะนำคือการ DCA เฉลี่ยต้นทุนในระยะยาว หรือ Buy and Hold คือราคาลงมาแรง ๆ ซื้อแล้วถือยาว สบายใจไป และแนะนำให้ติดตามการลงทุนอย่างน้อยไตรมาสละ 1 ครั้ง กลยุทธ์ที่แนะนำคือการ DCA เฉลี่ยต้นทุนในระยะยาว หรือ Buy and Hold คือราคาลงมาแรง ๆ ซื้อแล้วถือยาว สบายใจไป และแนะนำให้ติดตามการลงทุนอย่างน้อยไตรมาสละ 1 ครั้ง เด็กการเงิน DekFinance เด็กการเงิน DekFinance ที่มาบทความ: ที่มาบทความ: คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
แนวทางการลงทุนของกอง LTGG (กองแม่ของ ONE-UGG-RA) มีดังนี้ 1. ลงทุนระยะยาว (Long-term) เขาเชื่อว่าการลงทุนระยะยาวจะเห็นผลมากที่สุด เพราะเขาเชื่อว่าต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี เพื่อที่จะได้เห็นถึงความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัท และความสามารถในการบริหารที่ยอดเยี่ยมจากผู้บริหารบริษัทที่เขาลงทุน อีกทั้งทีมจัดการลงทุนเขาก็มองว่าการลงทุนระยะยาว จะช่วยขจัดอารมณ์และพฤติกรรมในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนที่อาจจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้ และผลตอบแทนที่กองทุนทำได้ 5 ปีที่ผ่านมา สะท้อนการลงทุนระยะยาว สำหรับหุ้นใดหุ้นหนึ่งที่มีระยะเวลาการลงทุนมากกว่า 10 ปีขึ้นไปมักได้ผลตอบแทนดี 2. ลงทุนในหุ้นทั่วโลก (Global Equity) การเลือกลงทุนของทีมที่บริหาร LTGG นั้นไม่มีข้อจำกัดในการดู Benchmark อันใดอันหนึ่ง แต่เขาเลือกลงทุนหุ้นทั่วโลก เพราะเขาเชื่อว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัท ณ ปัจจุบัน แต่มันคือการมองอนาคตของบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตหลายเท่าตัวต่างหาก 3. ลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโต (Growth) โดยจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพมีการสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างน้อย 2 เท่าตัวในระยะข้างหน้า โดยจะเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีนวัตกรรมหรือการเปลี่ยนแปลงที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตรองรับผู้บริโภคในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นด้าน Health Care ผลิตภัณฑ์ที่มาปฏิวัติเทคโนโลยี กลุ่มค้าปลีกออนไลน์ และอื่น ๆ
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1519
Finance
Decentralized แปลว่าอะไร
a. แบ่งแยกออกจากกัน b. เหรียญทางเลือก c. เงินที่ไม่ได้มีคุณค่าในตัวเอง d. สิ่งที่ใช้แทนสัญลักษณ์, ของที่ระลึก หรือ เหรียญพลาสติกหรือโลหะที่สมมุติมูลค่าขึ้นมาแทนเงิน e. การกระจาย หรือ แบ่งแยกอำนาจออกจากศูนย์กลาง
ข้อที่ถูกต้องคือ e. เพราะว่า Decentralized (ดี-เซ็น-ทรัล-ไลซ์) แปลความได้ว่า การกระจาย หรือ แบ่งแยกอำนาจออกจากศูนย์กลาง ซึ่งมีความหมายตรงกันข้ามกับ Centralized (เซ็น-ทรัล-ไลซ์) ซึ่งแปลว่าการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง “Decentralized” ได้กลายมาเป็นคำที่ได้ยินติดหูผู้คนในวงการคริปโตมากขึ้น นับตั้งแต่ Bitcoin ได้ก้าวเข้ามาเป็นแม่ทัพในการปฏิวัติระบบการเงินใหม่ โดยใช้ Decentralized เป็นหัวหอกสำคัญที่จะใช้ทำลายโล่ของระบบการเงินแบบเดิมที่เป็นแบบ Centralized โดยมีธนาคารเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของระบบเดิม โดยเดิมทีนั้นธนาคารจะเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการระบบการเงินหรือสามารถแม้กระทั้งตั้งราคาค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ตามต้องการ ในทางกลับกัน Blockchain Technology นั้นกลับใช้ระบบการกระจายอำนาจตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินโดยใช้พยานการตรวจสอบเป็นผู้ใช้งานในระบบเองช่วยกันดูแล ซึ่งทำให้มีต้นทุนที่ต่ำกว่ามากและเป็นการกำจัดตัวกลางของการทำธุรกรรมอย่างเช่น ธนาคาร ออกจากระบบเสียอีกด้วย
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1520
Finance
คอนเซปต์กองทุน LHSEMICON คืออะไร
สรุปกองทุน LHSEMICON: LIVE โอกาสการลงทุนใน Semiconductors แบบ 100% I Market Talk ​  ในทุก ๆ วันนี้ ทุก ๆ กิจกรรมที่เราทำตอนนี้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ล้วนมีเซมิคอนดักเตอร์เป็นส่วนประกอบ ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจซึ่งกองทุน LHSEMICON เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เห็นโอกาสในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่กำลังเติบโต เซมิคอนดักเตอร์ใกล้ตัวเราแค่ไหน ลงทุนได้เลยหรือไม่ แพงไปหรือเปล่า โอกาสเติบโตมากแค่ไหน ติดตามผ่านสรุป LIVE จาก LH Fund ได้เลยครับ เซมิคอนดักเตอร์คืออะไร เซมิคอนดักเตอร์ คือ ชิ้นส่วนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน สำหรับใช้ผลิตแผงวงจรไฟฟ้า ใช้ในโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องจักรอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นสารกึ่งตัวนำ มีคุณสมบัตินำไฟฟ้า อยู่ระหว่างตัวนำไฟฟ้าและตัวฉนวน มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ เซมิคอนดักเตอร์ใกล้ตัวแค่ไหน เติบโตได้หรือไม่ หากยกตัวอย่างง่าย ๆ ถึงผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่มีเซมิคอนดักเตอร์ประกอบอยู่ด้วย ก็จะมีผลิตภัณฑ์ เช่น หม้อหุงข้าว เครื่องปรับอากาศ ตู้ ATM เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราและใช้กันในชีวิตประจำวัน อีกทั้งเซมิคอนดักเตอร์ยังอยู่ในวงจรของการพัฒนาเทคโนโลยีข้างหน้า และสอดคล้องไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของโลก เซมิคอนดักเตอร์สามารถเติบโตล้อไปกับแนวคิดรักษ์โลกได้ เช่น ในกลุ่มโลจิสติกส์ ที่ต้องใช้เซมิคอนดักเตอร์มาพัฒนาระบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มีปัจจัยหนุนจากภาครัฐ เช่น มาตรการซีโร่คาร์บอนของ โจ ไบเดน หรือ ญี่ปุ่นที่มีมาตรการในการพัฒนาระบบรถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งต้องใช้เซมิคอนดักเตอร์ในการขับเคลื่อน ปัจจัยหนุนสตอรี่การขาดแคลนชิปในระยะสั้น-กลาง Intel เปิดเผยว่า การขาดแคลนชิปในตอนนี้จะรุนแรงกว่าที่คิด และใช้เวลาอีกหลายปีกว่าปัญหาจะจบลง อีกทั้งยังมีแรงหนุนจากแนวโน้ม Work From Home และการเรียนออนไลน์ ที่เน้นย้ำความต้องการของคอมพิวเตอร์ TSMC มีการคาดการณ์ว่า แนวโน้มการขาดแคลนชิปจะยังคงอยู่ไปถึงปี 2022 SIA เปิดเผยถึงกระบวนการว่าการผลิตชิป ดังนี้ การผลิตชิปนั้นนั้นต้องใช้ความซับซ้อนสูง ใช้เงินลงทุนมหาศาล การผลิตใช้กระบวนการผลิตที่ซับซ้อนถึง 1,400 ขั้นตอน การเพิ่มกำลังการผลิตแต่ละครั้งต้องใช้เวลาสูงถึง 12 สัปดาห์ กระบวนการผลิตต่อ 1 รอบ ใช้เวลาประมาณ 12 สัปดาห์ ระยะเวลาในการผลิตชิป ในรูปแบบสั่งทำตามความต้องการของลูกค้า อาจใช้เวลาถึง 20 หรือ 26 สัปดาห์ และต้องผ่านกระบวนการทดสอบและบรรจุ อีก 6 สัปดาห์ ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า เวลาที่ต้องใช้ทั้งหมดกว่ากระบวนการต่าง ๆ จะเสร็จสิ้นจะอยู่ที่ราว ๆ 26 สัปดาห์ จึงอาจมีผลให้ภาวะการขาดแคลนดำเนินต่อไปจากการผลิตที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก EEI เปิดเผยถึงสาเหตุที่ทำให้ชิปขาดตลาดดังนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อไลน์การผลิตของอุตสาหกรรมชิป ความต้องการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าสูงขึ้นจากแนวโน้ม Work From Home วิกฤติโควิด-19 ทำให้ออเดอร์การผลิตรถยนต์ค้างเต่อจากการปิดโรงงานอีกทั้งยังมี demand หลังการเปิดประเทศเป็นแรงหนุน แผ่นดินไหวและภัยแล้งในไต้หวันส่งผลให้ TSMC ไม่สามารถผลิตชิปได้ พร้อมแรงกดดันจากทางรัฐที่กดดันให้ใช้น้ำซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของการผลิตชิปน้อยลง ผลกระทบจาก Tradewar กับ Huawei ทำให้ Huawei ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ การขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตชิปอย่างทรายซึ่งเป็น Wafer (แผ่นเซมิคอนดักเตอร์แบบบาง) Substrate ในการผลิตชิป ถูกเทไปทางการผลิตขวดวัคซีนโควิด-19 การผลิตชิปนั้นนั้นต้องใช้ความซับซ้อนสูง ใช้เงินลงทุนมหาศาล การผลิตใช้กระบวนการผลิตที่ซับซ้อนถึง 1,400 ขั้นตอน การเพิ่มกำลังการผลิตแต่ละครั้งต้องใช้เวลาสูงถึง 12 สัปดาห์ กระบวนการผลิตต่อ 1 รอบ ใช้เวลาประมาณ 12 สัปดาห์ ระยะเวลาในการผลิตชิป ในรูปแบบสั่งทำตามความต้องการของลูกค้า อาจใช้เวลาถึง 20 หรือ 26 สัปดาห์ และต้องผ่านกระบวนการทดสอบและบรรจุ อีก 6 สัปดาห์ ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า เวลาที่ต้องใช้ทั้งหมดกว่ากระบวนการต่าง ๆ จะเสร็จสิ้นจะอยู่ที่ราว ๆ 26 สัปดาห์ จึงอาจมีผลให้ภาวะการขาดแคลนดำเนินต่อไปจากการผลิตที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อไลน์การผลิตของอุตสาหกรรมชิป ความต้องการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าสูงขึ้นจากแนวโน้ม Work From Home วิกฤติโควิด-19 ทำให้ออเดอร์การผลิตรถยนต์ค้างเต่อจากการปิดโรงงานอีกทั้งยังมี demand หลังการเปิดประเทศเป็นแรงหนุน แผ่นดินไหวและภัยแล้งในไต้หวันส่งผลให้ TSMC ไม่สามารถผลิตชิปได้ พร้อมแรงกดดันจากทางรัฐที่กดดันให้ใช้น้ำซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของการผลิตชิปน้อยลง ปัจจัยด้านคู่แข่ง ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์มีต้นทุนในการ set up ธุรกิจที่สูง ตัวอย่างเช่น การตั้งโรงงานขนาดใหญ่หนึ่งโรงใช้เงินทุนถึง 2 หมื่นล้านเหรียญ และต้องใช้เวลาในการสร้างอีก 1-3 ปี มีลูกค้าที่ทำธุรกิจที่มีการจดสิทธิบัตร เพราะฉะนั้น ด้วย Barrier to Entry ที่สูง การที่ผู้เล่นรายใหญ่จะเข้ามาแข่งขันในอุตสาหกรรมจึงเป็นไปได้ยากในระยะเวลาอีก 4-5 ปีข้างหน้า ปัจจัยกดดันอุตสาหกรรม หลายประเทศมหาอำนาจ มีแผนลงทุนสนับสนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ จึงอาจทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น และในระยะยาวการขาดแคลนอาจถูกปรับสมดุล ทางด้านของปัจจัยระยะกลาง หากคนกลับมาใช้ชีวิตดังเดิม คนอาจหยุดการบริโภคสินค้าลง และภาคการบริการอาจกลับมาสร้างสมดุล คอนเซปต์กองทุน LHSEMICON LHFUND เลือกกองทุนที่ลงทุนใน ETF เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัท ที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง โดยธรรมชาตินั้นกำไรของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ จะไปกระจุกกับ ผู้ออกแบบและผู้ผลิตเป็นส่วนใหญ่ และผูกขาดอยู่กับไม่กี่บริษัท เช่น บริษัทผู้ออกแบบอย่าง Apple, Nvidia และ Intel ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง ถึง 50% ต่อมาผู้ออกแบบจะส่งต่อแบบการผลิตมาให้กับผู้ผลิต เช่น Samsung และ TSMC ซึ่งยังมีกำไรขั้นต้นที่สูงอยู่ดังเดิม แต่ในส่วนของขั้นตอนสุดท้ายอย่างการประกอบที่มี บริษัท อย่างเช่น HANA, SVI, Delta จะเป็นส่วนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นน้อยที่สุด ดังนั้นเราจึงอาจสรุปได้ว่าในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ การลงทุนในผู้ผลิตและออกแบบ จะได้กำไรสูงที่สุด เพราะ อยู่ส่วนบนของห่วงโซ่ธุรกิจ (ธุรกิจต้นน้ำ) ซึ่งทางกองทุน LHSEMICON ได้คัดเลือกมาให้เรียบร้อยแล้ว กองทุน ETF ที่กองทุน LHSEMICON ลงทุน ทาง LHFUND เลือก ETF ที่ให้ผลตอบแทนเทียบความเสี่ยงที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นกองทุนของ BlackRock (SOXX) ชื่อ iShares Semiconductor ETF ซึ่งมีนโยบายลงทุนในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ล้วน ๆ ปัจจุบัน กองทุนมีค่า PE ของหุ้นที่ราว ๆ 22 เท่า ซึ่งถือได้ว่าไม่แพง หากเทียบกับดัชนี S&P 500 มี PE ราว ๆ 22 เท่า และหากพูดถึงเรื่องการเติบโตของกำไรในอีก 3 ปีข้างหน้า ที่มีตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่ 26.3% อาจจะสรุปได้ว่าถ้าตัวเลขที่คาดการณ์เกิดขึ้นจริง อีก 3 ปี กำไรอาจเติบโตเกือบเท่าตัว กองทุนดังกล่าว แนะนำให้มีติดพอร์ตไว้ในสัดส่วน 10%-15% ของพอร์ต เพราะเป็นหุ้นเติบโตสูง มีความผันผวน และไม่ควรเกินสัดส่วนดังกล่าว และกระจายการลงทุนให้เหมาะสม ผลตอบแทนย้อนหลังของ iShares Semiconductor ETF ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 70% ในขณะที่แนวโน้มราคาอยู่ในช่วงขาขึ้นชัดเจน โดยราคาระยะสั้นยังเป็นระยะสะสม และรอสตอรี่ผลักดัน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาในการสะสมที่ดี ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 33% ต่อปี ในขณะที่ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 37% ต่อปี ข้อมูลผลตอบแทนทำให้เราเห็นภาพรวมในการเติบโต EPS Growth ของกลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ยังเติบโตสองหลักถึง 20 กว่าเปอร์เซนต์ เทียบกับการเติบโตของหุ้นทั่วโลกที่ 10% ค่าความผันผวนที่ 25% ถือได้ว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงจนเกินไป หากเทียบกับกองทุนอื่น ๆ รีวิวตัวอย่างหุ้นในกองทุน iShares Semiconductor ETF Qualcomm เจ้าของโมเดมและชิ้นส่วนประมวลผลในอุปกรณ์มือถือระบบ 3G 4G และ 5G มีผู้ใช้ชื่อดังอย่าง Samsung มือถือเป็นอุปกรณ์ที่ต้องเปลี่ยนทุก 2 ถึง 3 ปี จึงอาจทำให้สร้างรายได้ ได้ต่อเนื่อง ปัจจุบันสัดส่วนการใช้มือถือ 5G ทั่วโลกอยู่ที่ 5% ซึ่งหมายถึงพื้นที่การเติบโตอีก 95% NVIDIA การคาดการณ์ CAGR 3 ปี อยู่ที่ราว ๆ 50% หรือ มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละราว ๆ 50% อีกนัยหนึ่ง บริษัทรถยนต์ชั้นนำ อาทิ Ford, Mercedes Benz กำลังวิ่งหาคนทำระบบรถยนต์ไร้คนขับ ซึ่ง NVIDIA เป็นตัวเลือกชั้นนำในการพัฒนาระบบดังกล่าว การพัฒนา Supercomputer หรือคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลได้ด้วยความเร็วสูง NVDIA ยังเป็นอันดับ 1 ของโลก มีตัวอย่างเป็นคอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลกทางด้าน AI อย่าง Perlmutter ที่เป็นของ NVDIA สรุปประเด็นหลักกองทุน LHSEMICON เป็นกองทุนที่ลงทุนในกองทุนต่างประเทศอย่าง BlackRock (SOXX) ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในเซมิคอนดักเตอร์ล้วน ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนแบบ Thematic มีสัดส่วนลงทุนในธุรกิจต้นน้ำ มีกำไรขั้นต้นที่สูง เป็นผู้นำตลาด มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจ คาดการณ์ EPS Growth ใน 3 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มเติบโตถึงสองหลัก และชี้ให้เห็นว่าระดับราคาในตอนนี้ยังไม่แพงเกินไป เซมิคอนดักเตอร์ กลายเป็นสิ่งที่แฝงอยู่ในข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันเป็นที่เรียบร้อย ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญและความมั่นคงทางกระแสเงินสด ผลตอบแทนย้อนหลังโดดเด่น โดยมีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 70%, 3 ปี อยู่ที่ 33% ต่อปี, 5 ปี อยู่ที่ 37% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนหุ้นโลกที่ 10% สำหรับนักลงทุนที่สนใจกองทุน LHSEMICON กองทุน LHSEMICON เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เห็นโอกาสในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่กำลังเติบโต หากต้องการลงทุน สามารถดาวน์โหลดหนังสือชี้ชวนข้อมูลสำคัญเพื่อศึกษาดูก่อนได้ โดยหากต้องการซื้อสามารถติดต่อได้ที่ บลจ. LHFund โทร 02 286 3484 หรือติดต่อเข้ามาที่ FINNOMENA โทร 02 026 5100 พิเศษ! นอกจากกองทุน LHSEMICON-A (คลาส A ชนิดสะสมมูลค่า) และ LHSEMICON-D (คลาส D ชนิดจ่ายปันผล) ทาง บลจ. LHFund ยังเปิดขายกอง LHSEMICON-E (คลาส E) ด้วย สำหรับนักลงทุนที่ติดต่อซื้อกองทุนเข้ามาโดยตรงโดยไม่ผ่านผู้แนะนำ โดยคลาส E จะละเว้นค่าธรรมเนียม Front-End ให้กับนักลงทุน เหมาะกับนักลงทุนอิสระที่เลือกลงทุนด้วยตนเองครับ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโดยตรงกับทาง LHFund โทร 02 286 3484 หรือ www.lhfund.co.th หรือ
กองทุน LHFUND เลือกกองทุนที่ลงทุนใน ETF เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัท ที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง โดยธรรมชาตินั้นกำไรของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ จะไปกระจุกกับ ผู้ออกแบบและผู้ผลิตเป็นส่วนใหญ่ และผูกขาดอยู่กับไม่กี่บริษัท เช่น บริษัทผู้ออกแบบอย่าง Apple, Nvidia และ Intel ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง ถึง 50% ต่อมาผู้ออกแบบจะส่งต่อแบบการผลิตมาให้กับผู้ผลิต เช่น Samsung และ TSMC ซึ่งยังมีกำไรขั้นต้นที่สูงอยู่ดังเดิม แต่ในส่วนของขั้นตอนสุดท้ายอย่างการประกอบที่มี บริษัท อย่างเช่น HANA, SVI, Delta จะเป็นส่วนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นน้อยที่สุด ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่าในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ การลงทุนในผู้ผลิตและออกแบบ จะได้กำไรสูงที่สุด เพราะอยู่ส่วนบนของห่วงโซ่ธุรกิจ (ธุรกิจต้นน้ำ) ซึ่งทางกองทุน LHSEMICON ได้คัดเลือกมาให้เรียบร้อยแล้ว กองทุน ETF ที่กองทุน LHSEMICON ลงทุน ทาง LHFUND เลือก ETF ที่ให้ผลตอบแทนเทียบความเสี่ยงที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นกองทุนของ BlackRock (SOXX) ชื่อ iShares Semiconductor ETF ซึ่งมีนโยบายลงทุนในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ล้วน ๆ ณ ปี 2021 กองทุนมีค่า PE ของหุ้นที่ราว ๆ 22 เท่า ซึ่งถือได้ว่าไม่แพง หากเทียบกับดัชนี S&P 500 มี PE ราว ๆ 22 เท่า และหากพูดถึงเรื่องการเติบโตของกำไรในอีก 3 ปีข้างหน้า ที่มีตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่ 26.3% อาจจะสรุปได้ว่าถ้าตัวเลขที่คาดการณ์เกิดขึ้นจริง อีก 3 ปี กำไรอาจเติบโตเกือบเท่าตัว กองทุนดังกล่าว แนะนำให้มีติดพอร์ตไว้ในสัดส่วน 10%-15% ของพอร์ต เพราะเป็นหุ้นเติบโตสูง มีความผันผวน และไม่ควรเกินสัดส่วนดังกล่าว และกระจายการลงทุนให้เหมาะสม
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1558
Finance
จงบอกขั้นตอนการยืนยันตัวตนผ่าน Counter Service เพื่อเปิดบัญชีกับ FINNOMENA
null
ขั้นตอนการยืนยันตัวตนผ่าน Counter Service เพื่อเปิดบัญชีกับ FINNOMENA สิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนยืนยันตัวตนผ่าน Counter Service เพื่อเปิดบัญชีกับ FINNOMENA มีเพียงแค่บัตรประชาชนใบเดียวก็สามารถเดินเข้า 7-Eleven ไปยืนยันตัวตนได้เลย โดยการยืนยันตัวตนผ่าน Counter Service เพื่อเปิดบัญชีกับ FINNOMENA มีขั้นตอนดังนี้ 1. เลือกช่องทางการยืนยันตัวตนผ่าน “เคาน์เตอร์เซอร์วิส” พร้อมอ่านและยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บริการ 2. กดปุ่ม “สร้าง QR Code” 3. ไปที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้าน 7-Eleven และแจ้งความต้องการยืนยันตัวตนเพื่อเปิดบัญชีกับ FINNOMENA กับพนักงาน 4. สแกน QR Code ที่ได้มาในขั้นตอนที่ 2 และยอมรับข้อตกลงหน้าเคาน์เตอร์ (หลังจากสแกน QR Code เสร็จ ต้องทำรายการต่อเนื่องให้สำเร็จภายใน 15 นาที) 5. เสียบบัตรประชาชนของท่านกับเครื่อง EDC ที่หน้าเคาน์เตอร์ 6. ถ่ายรูปเพื่อยืนยันตัวตน 7. ได้รับใบเสร็จจากเคาน์เตอร์เซอร์วิส และกลับมาทำรายการต่อที่แอปพลิเคชัน FINNOMENA โดยการใส่รหัส PIN เพื่อยืนยันตัวตน 8. แสดงหน้าจอ “ยืนยันตัวตนสำเร็จ ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส” กด “ตกลง” เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ผ่านทางช่องทาง Live Chat บนแอปพลิเคชัน FINNOMENA หรือ LINE “@FINNOMENAPORT” หรือโทร 02 026 5100
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1586
Finance
ช่วงเปิดตลาดหลักทรัพย์ใหม่ ๆ ตั้งแต่ปี 2518 โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีแรกนั้น น่าจะเป็นการลองระบบ การซื้อขายหุ้นซึ่งเป็นสิ่งใหม่ในระบบเศรษฐกิจของไทยที่เริ่มจำเป็นที่จะต้องมีแหล่งระดมทุนระยะยาวในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ คนที่รู้เรื่องและเข้ามาซื้อขายหุ้นหรือนักลงทุน คือใคร
ยุคสมัยของนักลงทุนไทย ​ ตั้งแต่ปี 2518 ที่มีการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาจนถึงวันนี้เป็นเวลา 46 ปี Profile หรือคุณสมบัติโดยทั่วไปของนักลงทุนไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ส่วนตัวผมเองนั้น แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มลงทุนอย่างจริงจังประมาณปี 2538-39 หรือ 26 ปีมาแล้วแต่ก็ได้เห็นและรับรู้ถึงความเป็นไปของนักลงทุนในตลาดหุ้นมาโดยตลอด ส่วนหนึ่งเพราะเริ่มเข้าทำงานในแวดวงการเงินที่เกี่ยวกับ “ตลาดทุน” ตั้งแต่ปี 2528 หรือ 36 ปีมาแล้ว หรือพูดได้ว่า ผมทำงานเกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์หลังจากที่ตลาดเปิดไปแล้วประมาณ 10 ปี งานที่ทำนั้นเริ่มตั้งแต่ในสายของ “วิชาการ” ต่อด้วย “การระดมทุน” ซึ่งก็คือ การทำ IPO ให้กับบริษัท และสุดท้ายก็คือ “การลงทุน” ด้วยเงินของสถาบัน ก่อนที่จะกลายเป็น “นักลงทุน” อย่างเต็มตัว สิ่งที่ผมเห็นและจะพูดถึงในวันนี้ก็คือการเปลี่ยนแปลงของนักลงทุนที่แทบจะเรียกว่า “สิ้นเชิง” ตาม “ยุคสมัย” ที่เปลี่ยนไปของตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดทุน ช่วงเปิดตลาดหลักทรัพย์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีแรกนั้นน่าจะเป็นการ “ลองระบบ” การซื้อขายหุ้นซึ่งเป็นสิ่งใหม่ในระบบเศรษฐกิจของไทยที่เริ่มจำเป็นที่จะต้องมีแหล่งระดมทุนระยะยาวในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ คนที่รู้เรื่องและเข้ามาซื้อขายหุ้นหรือ “นักลงทุน” ก็คือนักธุรกิจหรือคนที่มีประสบการณ์จากต่างประเทศจำนวนเพียงหยิบมือเดียว ปริมาณการซื้อขายน้อยมากและเนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเกิด “วิกฤติ” ทางการเมืองและอยู่ท่ามกลางสงครามเย็นระหว่างกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์และโลกเสรี อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงและดึงดูดคนที่สนใจในเรื่องของการเก็งกำไรและการพนันเข้ามาเล่นกันมาก ผมยังจำได้ว่าในขณะนั้นเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่กำลังเรียนปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจด้วยกันที่นิด้าที่มีพ่อเป็นนักการธนาคารคุยให้ฟังว่าตนเองเล่นหุ้นด้วยเงินหลักหมื่นบาทแต่ได้กำไรเดือนละเป็นพันบาทซึ่งในสมัยนั้นถือว่ามาก เพราะเงินเดือนทั้งเดือนของผมก็แค่ 3,000 บาท ผมเองรู้สึกทึ่งอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากกว่านั้นแม้ว่าตนเองกำลังเรียน MBA ผมคิดว่าการ “เล่นหุ้น” เป็นเรื่องของการ “เก็งกำไรหรือการพนัน” ที่ในชีวิตและครอบครัวผมจะไม่ยอมเกี่ยวข้องเลย “ยุคแรก” ของตลาดหุ้นไทยนั้น ผมคิดว่าดำเนินมาจนถึงปี 2540 ที่ตลาดหุ้นถล่มทลายเนื่องจากเกิดวิกฤติการลดค่าเงินบาทไทยหรือ “ต้มยำกุ้ง” นักลงทุนไทยในช่วงนั้นส่วนใหญ่แล้วก็คือ “นักเก็งกำไรหรือนักการพนัน” ที่ย้ายเงินจากการทำธุรกิจขนาดย่อมหรือจากสนามม้าหรือคาสิโนเข้ามาเล่นในตลาดหุ้น นี่คือนักเล่นหุ้น “ขาใหญ่” ในตลาดที่บางคนก็กลายเป็น “นักปั่นหุ้น” โดยการปล่อยข่าวดี ซื้อ-ขายหุ้นต่อเนื่องเพื่อสร้างราคาและปริมาณการซื้อขาย ในบางครั้งก็ทำถึงขนาดจะเทคโอเวอร์กิจการขนาดใหญ่ได้โดยอาศัยการกู้เงินซื้อหุ้นแบบมาร์จินจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ตนเองควบคุมอยู่ก็มี เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายหรือกลต. ที่จะห้ามหรือป้องกัน และนั่นก็คือ “เซียน” หรือที่ในยุคนั้นเรียกว่า “เสี่ย” ที่ทุกคนในตลาดหุ้นกล่าวขวัญถึงโดยเฉพาะว่าจะเข้าไปเล่นหุ้นตัวไหน นักลงทุนรายย่อยหรือนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่ในยุคแรกของตลาดหลักทรัพย์นั้น จำนวนไม่น้อยเป็นผู้หญิงอายุกลางคนที่ชอบเล่นการพนันในวงไพ่ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทยในยุคนั้น พวกเธอคงจะเริ่มเห็นว่าการเล่นหุ้นนั้นสนุกกว่าและได้กำไรมากกว่าแถมมีเครื่องดื่มและอาหารบริการฟรีตามห้องค้าของแต่ละโบรกเกอร์ที่ติดเครื่องปรับอากาศและอยู่ได้เกือบทั้งวันกับเพื่อนที่คุยกันได้ถูกคอเพราะนี่เป็นตลาดที่ไม่มีใครเป็นฝ่ายตรงข้าม ทุกคนได้กันหมดในบางวันและก็เสียกันหมดในอีกวันหนึ่ง ในส่วนของผู้ชายเองนั้น จำนวนมากก็มักจะมีอายุที่สูงกว่าคนทั่วไปและเป็นเจ้าของธุรกิจหรือร้านเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างและมีเวลาเข้ามาเล่นหุ้นในห้องค้า อย่าลืมว่าในสมัยนั้นระบบการซื้อขายหุ้นยังไม่สมบูรณ์และยังต้องสั่งซื้อขายตรงหน้าเค้าน์เตอร์หรือผ่านทางโทรศัพท์ การติดตามราคาหุ้นนาทีต่อนาทีจากห้องค้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเล่นหุ้นซึ่งแทบทั้งหมดเป็นแนว “เก็งกำไร” แทบจะไม่มีข้อมูลพื้นฐานอะไรเลยเพราะยังไม่มีการวิเคราะห์หุ้นเป็นเรื่องเป็นราว เมื่อเกิดวิกฤติปี 2540 ที่ทำให้ดัชนีตลาดตกลงมาเกือบ 90% จากจุดสูงสุด นักลงทุนซึ่งก็คือนักเก็งกำไรในตลาดหุ้นที่ไม่ได้ซื้อขายหุ้นอิงปัจจัยพื้นฐานแทบทั้งหมดต่างก็ “เจ๊ง” พร้อม ๆ กับธุรกิจและความมั่งคั่งส่วนตัว พวกเขา “สาปส่ง” ตลาดหุ้นและไม่กลับมาอีกเลย เหลือแต่เซียนบางคนที่เอาตัวรอดมาได้และปรับตัวเข้ากับ “ยุคใหม่ของการลงทุน” นั่นก็คือยุคแห่ง “Value Investment” ที่มองว่าการลงทุนในหุ้นก็เหมือนกับการทำธุรกิจ หุ้นที่ดีก็คือหุ้นที่สามารถทำกำไรได้ดี มีความสามารถในการแข่งขันสูง มีการเติบโต และที่สำคัญที่สุด ต้องมีราคาที่ถูกหรือไม่แพงเมื่อเทียบกับพื้นฐานของมัน ต้องมีส่วนเผื่อความปลอดภัยที่เรียกว่า Margin of Safety ซื้อแล้วก็มักจะถือไว้นาน ขายต่อเมื่อพื้นฐานเปลี่ยนแปลงและราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงแล้ว “ทศวรรษของ VI” เริ่มตั้งแต่ปี 2540 ต่อเนื่องมาประมาณ 10 ปีจนถึงปี 2551 หรือปี 2008 ที่เกิดวิกฤติ “ซับไพร์ม” ทำให้ดัชนีหุ้นตกลงมาเกือบครึ่งหนึ่ง นักลงทุนยุคที่สองหรือยุค VI นั้น เปลี่ยนแปลงไปมาก พวกเขามักเป็นคนที่อยู่ในวัยประมาณ 30 ถึง 40 ปี ขึ้นไปและเป็นคนกินเงินเดือนที่มีรายได้ดีและมีเงินเก็บบ้าง ที่สำคัญพวกเขาเป็นคนคิดถึงอนาคตที่จะเกษียณก่อนกำหนดและมีความมั่งคั่งสูง บางทีขนาดเศรษฐีจากการลงทุนในหุ้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ได้มีความเสี่ยงอย่างที่นักเล่นหุ้นในยุคก่อนกลัวกัน นักลงทุนยุคนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่มีการศึกษาที่ดี ทำงานวิชาชีพที่มีรายได้สูงเช่นวิศวกรรม การแพทย์ หรือเป็นผู้บริหารระดับกลางที่กำลังก้าวหน้า ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ชาย ที่สำคัญพวกเขาต่างก็ขวนขวายหาความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและบริษัทที่น่าสนใจ และนำมาแลกเปลี่ยนและวิเคราะห์ถึงความเหมาะสมของการลงทุนและตัดสินใจซื้อขาย ซึ่งนั่นทำให้ “หุ้น VI” ในตลาดมีราคาปรับตัวขึ้นมากส่งผลให้คนลงทุนมีกำไรงดงามซึ่งก็ดึงดูดให้คนเข้ามาลงทุนเพิ่มในแนวของ VI และทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นไปอีก หลังจากวิกฤติปี 2551 ที่ดัชนีตกลงมาเหลือเพียงประมาณ 400 จุดแล้ว ดัชนีก็ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องอานิสงส์จากการที่บริษัทจดทะเบียนต่างก็ฟื้นตัว ทำกำไรได้ดีและหุ้นมีราคาถูกมากโดยมีค่า PE เริ่มในช่วงปีแรกของการฟื้นตัวเพียง 7 เท่า นั่นส่งผลให้นักลงทุนแนว VI “รุ่นใหม่” ที่มีอายุน้อยลงเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก นอกจากนั้น การที่อัตราดอกเบี้ยตกต่ำลงมามากอานิสงค์จากการทำ QE หรือการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบของสหรัฐทำให้คนมีเงินรวมถึงลูกหลานของเศรษฐีจำนวนมาก แห่กันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ผลักดันให้หุ้นโดยเฉพาะที่มีคุณภาพที่ดีแนว VI ปรับตัวขึ้นมหาศาลจนมีค่า PE สูงถึง 30-40 เท่า นอกจากนั้น VI รุ่นใหม่เหล่านั้นยังมักจะใช้มาร์จินสูง ซื้อหุ้นน้อยตัว และเทรดหุ้นบ่อยเพื่อที่จะเพิ่มรอบของกำไรมากขึ้น ผลก็คือ พวกเขาทำผลตอบแทนได้มหาศาลในระยะเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่ปี และนี่คือยุคที่ผมอยากจะเรียกว่า “Speculative VI” พอถึงสิ้นปี 2560 ก็ดูเหมือนว่าหุ้นดี ๆ ที่มีราคาไม่แพงก็หมดไป และสำหรับผมก็เป็นจุด “สิ้นสุดยุคทองของ VI” นักลงทุนที่เข้ามาตั้งแต่ปี 2561 และเฉพาะอย่างยิ่งหลังเกิดโรคระบาดโควิด-19 นั้น น่าจะเป็นกลุ่มที่เข้าตลาดในช่วงอายุน้อยที่สุด พวกเขามักจะเป็นคน Gen Y อายุส่วนใหญ่อาจจะไม่ถึง 30-35 ปีและเป็นลูกของคนรุ่นเบบี้บูมที่มั่งคั่ง จำนวนคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นนั้นมีสูงมากกว่ายุคใด ๆ นอกจากนั้น ความคิดของคนยุคนี้ก็แตกต่างจากยุคเดิมมาก พวกเขาเกิดและเติบโตในยุคดิจิตอลที่ชอบอะไรที่เร็ว ต้องการเห็นผลทันใจ โควิดทำให้พวกเขาบางคนตกงาน บางคนก็หางานที่เหมาะสมทำไม่ได้ เกือบทั้งหมดไม่ได้สนใจงานประจำที่น่าเบื่อและไม่สนองตอบความคิดที่เป็นอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ที่จะประสบความสำเร็จ ดังนั้น เมื่อพวกเขาเข้าลงทุนในตลาด สิ่งที่ต้องการก็คือผลตอบแทนที่รวดเร็วไม่ว่าความเสี่ยงจะมากน้อยแค่ไหน และหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่จะตอบโจทย์นั้นได้ก็คือหุ้นที่มีสตอรี่ที่งดงามและการเติบโตที่สุดโต่ง ดังนั้น พวกเขาจึงสนใจแต่หุ้น Growth หรือหุ้นเติบโตเร็วที่มักจะมีราคาสูงเสียดฟ้า หรือเครื่องมือลงทุนอย่างเหรียญคริปโตที่ปรับตัวขึ้นเป็นหลาย ๆ สิบหรือร้อยเปอร์เซ็นต์ในเวลาไม่กี่เดือน และนี่ก็คือยุคของนักลงทุนแนว Growth ที่ครอบงำตลาดในช่วงนี้และยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร ในประวัติศาสตร์ระยะยาวของตลาดนั้น “หุ้น VI” ดูเหมือนว่าจะให้ผลตอบแทนแบบทบต้นดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ๆ อาจจะแค่ 5-10 ปี บ่อยครั้งหุ้นแนว Growth ก็ให้ผลตอบแทนดีกว่ามาก เช่นเดียวกัน ช่วงที่การเก็งกำไรร้อนแรงเป็นไฟหรือเป็นฟองสบู่ การเล่นหุ้นแบบ “เก็งกำไร” ซึ่งรวมถึงการเล่นบิตคอยน์ก็อาจจะทำให้คนรวยไปได้เลยในระยะเวลาแค่ “ข้ามคืน” ในประวัติศาสตร์ระยะยาวของตลาดนั้น VI” ดูเหมือนว่าจะให้ผลตอบแทนแบบทบต้นดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ๆ อาจจะแค่ 5-10 ปี บ่อยครั้งหุ้นแนว Growth ก็ให้ผลตอบแทนดีกว่ามาก เช่นเดียวกัน ช่วงที่การเก็งกำไรร้อนแรงเป็นไฟหรือเป็นฟองสบู่ การเล่นหุ้นแบบ ซึ่งรวมถึงการเล่นบิตคอยน์ก็อาจจะทำให้คนรวยไปได้เลยในระยะเวลาแค่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่มาบทความ:
ช่วงเปิดตลาดหลักทรัพย์ใหม่ ๆ ตั้งแต่ปี 2518 โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีแรกนั้น น่าจะเป็นการลองระบบ การซื้อขายหุ้นซึ่งเป็นสิ่งใหม่ในระบบเศรษฐกิจของไทยที่เริ่มจำเป็นที่จะต้องมีแหล่งระดมทุนระยะยาวในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ คนที่รู้เรื่องและเข้ามาซื้อขายหุ้นหรือนักลงทุน คือ นักธุรกิจหรือคนที่มีประสบการณ์จากต่างประเทศจำนวนเพียงหยิบมือเดียว ปริมาณการซื้อขายน้อยมากและเนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเกิดวิกฤติทางการเมืองและอยู่ท่ามกลางสงครามเย็นระหว่างกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์และโลกเสรี อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงและดึงดูดคนที่สนใจในเรื่องของการเก็งกำไรและการพนันเข้ามาเล่นกันมาก การเล่นหุ้นเป็นเรื่องของการเก็งกำไรหรือการพนันที่ในชีวิตและครอบครัวจะไม่ยอมเกี่ยวข้องเลย ยุคแรกของตลาดหุ้นไทยนั้น คิดว่าดำเนินมาจนถึงปี 2540 ที่ตลาดหุ้นถล่มทลายเนื่องจากเกิดวิกฤติการลดค่าเงินบาทไทยหรือต้มยำกุ้ง นักลงทุนไทยในช่วงนั้นส่วนใหญ่แล้วก็คือ “นักเก็งกำไรหรือนักการพนัน” ที่ย้ายเงินจากการทำธุรกิจขนาดย่อมหรือจากสนามม้าหรือคาสิโนเข้ามาเล่นในตลาดหุ้น นี่คือนักเล่นหุ้น “ขาใหญ่” ในตลาดที่บางคนก็กลายเป็น “นักปั่นหุ้น” โดยการปล่อยข่าวดี ซื้อ-ขายหุ้นต่อเนื่องเพื่อสร้างราคาและปริมาณการซื้อขาย ในบางครั้งก็ทำถึงขนาดจะเทคโอเวอร์กิจการขนาดใหญ่ได้โดยอาศัยการกู้เงินซื้อหุ้นแบบมาร์จินจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ตนเองควบคุมอยู่ก็มี เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายหรือกลต. ที่จะห้ามหรือป้องกัน และนั่นก็คือ “เซียน” หรือที่ในยุคนั้นเรียกว่า “เสี่ย” ที่ทุกคนในตลาดหุ้นกล่าวขวัญถึงโดยเฉพาะว่าจะเข้าไปเล่นหุ้นตัวไหน
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1596
Finance
ในมุมมองของ Gene Podkaminer ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับนโยบายทางการคลังจะเป็นหัวใจหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโต แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ
A. ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของวัฎจักรเศรษฐกิจเป็นอย่างดี มีมาตรการสนับสนุนต่อเนื่อง มีแนวโน้มเรื่อง COVID-19 ที่ค่อนข้างดี B. สหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าตลาดพัฒนาแล้วในที่อื่น ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย จากมาตรการทางการคลังจำนวนมาก C. อังกฤษที่การเปิดเมืองทำได้เร็วกว่าที่อื่น ๆ ในยุโรป แต่ยังมีความไม่แน่นอนในเรื่อง ข้อตกลงทางการค้าของ Brexit D. จีนเป็นประเทศที่ฟื้นตัวจาก COVID-19 ได้ยาก และอาจผ่อนลงหลังจากนี้จากแรงกดดันทางการเมือง
คำตอบที่ถูกต้องคือ D. เพราะว่า Gene Podkaminer: นโยบายทางการคลังจะเป็นหัวใจหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโต แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ เช่น 1. สหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าตลาดพัฒนาแล้วในที่อื่น ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย จากมาตรการทางการคลังจำนวนมาก 2. อังกฤษที่การเปิดเมืองทำได้เร็วกว่าที่อื่น ๆ ในยุโรป แต่ยังมีความไม่แน่นอนในเรื่อง ข้อตกลงทางการค้าของ Brexit 3. ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของวัฎจักรเศรษฐกิจเป็นอย่างดี มีมาตรการสนับสนุนต่อเนื่อง มีแนวโน้มเรื่อง COVID-19 ที่ค่อนข้างดี 4. จีนเป็นประเทศที่ฟื้นตัวจาก COVID-19 ได้อย่างรวดเร็ว แต่อาจผ่อนลงหลังจากนี้จากแรงกดดันทางการเมือง สรุปแล้ว แนวโน้มการเติบโตทั่วโลกจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องหลังวัคซีนเข้ามามีบทบาท และเราทุกคนต่างมองเห็นร่วมกันแล้วว่าในปีนี้การฟื้นตัวทั่วโลกจะเกิดขึ้น แต่ยังไม่มีประเทศใดที่ออกมาตรการกระตุ้นได้เทียบเท่าสหรัฐฯ ดังนั้นการประสานกันของนโยบายทางการคลังและวัคซีนเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินไปอย่างสอดคล้อง และมันอาจดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในอนาคต
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1599
Finance
สถานการณ์หนี้สาธารณะของไทยและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกเป็นอย่างไรบ้าง
null
สถานการณ์หนี้สาธารณะของไทย - ณ เดือน มิ.ย. 64 อยู่ที่ 8 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณ 54.28% เมื่อเทียบกับ GDP - ยังไม่รวมวงเงินกู้อีก 5 แสนล้านจาก พ.ร.ก. แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19 ที่อาจส่งผลให้หนี้สาธารณะแตะ 9 ล้านล้านบาท - ใกล้เคียงเพดานหนี้สาธารณะตามกรอบวินัยการคลังที่ 60% ของ GDP เข้าไปเต็มที สถานการณ์หนี้สาธารณะของประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก - กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว มี % ต่อ GDP เฉลี่ยอยู่ที่ 120% - ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียอยู่ที่ 69% หรือในกลุ่มประเทศอาเซียนก็เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 50% - สะท้อนให้เห็นว่าการกู้ยืม หรือการเป็นหนี้เพื่อบริหารประเทศไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร ถึงขั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยซ้ำ - ดังนั้น ข้อสำคัญไม่ใช่การก่อหนี้ แต่อยู่ที่เมื่อก่อหนี้แล้ว ได้นำไปบริหาร สร้างรายได้ สร้างผลผลิตที่คุ้มค่ากันหรือไม่ หากหนี้สาธารณะเพิ่มพูนขึ้น จะเกิดอะไรขึ้น? - เป็นภาระรับผิดชอบของประชาชนร่วมกัน อาจส่งผลในรูปแบบของความจำเป็นในการจัดเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น - เสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ และระบบบริหารเงินตราระหว่างประเทศลดลง ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระดับครัวเรือนในหลาย ๆ มิติต่อไป สมมติเศรษฐกิจอยู่ในช่วงร้อนแรง มีสภาพคล่องส่วนเกินเยอะเกินไปจนอาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ - แบงก์ชาติก็อาจจะดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินนี้ด้วยการออกพันธบัตร - ดอกเบี้ยพันธบัตรก็นับว่าเป็นหนี้สินของแบงก์ชาติที่จะต้องจ่ายให้กับผู้ถือพันธบัตร - แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนจะออกพันธบัตรมาได้ แบงก์ชาติเองก็จะต้องมีเงินสำรองระหว่างประเทศ หรือสินทรัพย์อื่น ๆ มาหนุนหลังเอาไว้ก่อนเช่นกัน - จึงเห็นได้ว่าการดำเนินงานของแบงก์ชาติไม่ใช่เพื่อการแสวงหากำไร - นอกจากนี้ทั้งสินทรัพย์และหนี้สินของแบงก์ชาติตามที่ว่ามา ก็ไม่ได้นับว่าเป็นสินทรัพย์และหนี้สินของรัฐบาล ไม่ใช่ภาระของการคลังของประเทศ ซึ่งเป็นไปตามแนวปฏิบัติที่ใช้กันเกือบทุกประเทศทั่วโลก
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1606
Finance
ข้อใดไม่ใช่ 3 STEP การลงทุน ที่ FINNOMENA มีความตั้งใจที่จะช่วยคุณอุดช่องโหว่ของปัญหาการลงทุน พร้อมช่วยเจาะลึกถึงเป้าหมายต่าง ๆ
ก. ช่วยคุณปรับพอร์ตลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในอดีต ข. ช่วยคุณติดตามข้อมูลการลงทุน อัปเดตทุกสถานการณ์ให้รู้อย่างเท่าทัน ค. ช่วยคุณออกแบบพอร์ตที่เหมาะสม พร้อมให้คำแนะนำการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญ ง. ช่วยคุณติดตามเป้าหมายการลงทุน ปรับพอร์ตลงทุนให้ทันสถานการณ์
คำตอบคือ ก. เพราะว่า FINNOMENA มีความตั้งใจที่จะช่วยคุณอุดช่องโหว่ของปัญหาการลงทุนเหล่านี้ เพื่อให้ทุกคนมุ่งสู่เป้าหมายการลงทุนได้อย่างมั่นใจ พร้อมช่วยเจาะลึกถึงเป้าหมายต่าง ๆ ในชีวิตได้ดียิ่งขึ้นด้วย 3 STEP การลงทุน ดังนี้ • STEP 1 ช่วยคุณออกแบบพอร์ตที่เหมาะสม พร้อมให้คำแนะนำการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้ลงทุนหลายคนประสบปัญหาเรื่องการกำหนดเป้าหมายการลงทุน คือลงทุนโดยที่ตนเองยังไม่รู้ว่าเป้าหมายการลงทุนของตนคืออะไร รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้แค่ไหน และไม่รู้ว่าจะเลือกจัดสัดส่วนสินทรัพย์การลงทุนอย่างไรให้เหมาะกับตนเอง ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจึงจะเข้ามาช่วยเจาะลึกถึงเป้าหมายและค้นหาแผนการลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะกับผู้ลงทุน การมีที่ปรึกษาการลงทุนคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดในช่วงเริ่มต้น จะทำให้สามารถออกแบบพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) ที่เหมาะสมกับผู้ลงทุนในแต่ละรายได้ โดยที่ปรึกษาการลงทุนของฟินโนมีนามีความเชี่ยวชาญและเชื่อถือได้ เพราะเบื้องต้นจะต้องได้รับใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุนตราสารซับซ้อนประเภท 2 (IC Complex 2 License) ที่รับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยที่ปรึกษาการลงทุนบางรายยังอาจมีใบอนุญาตเพิ่มเติม เช่น ผู้วางแผนการลงทุน (IP License) และยังต้องผ่านการอบรมพร้อมทั้งได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. ดังนั้น นอกจากความรู้และความเชี่ยวชาญเรื่องสินทรัพย์การลงทุนต่าง ๆ แล้ว ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวของฟินโนมีนา ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลที่พร้อมกว่าบุคคลทั่วไป จึงมั่นใจได้ว่าที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวของฟินโนมีนาจะสามารถเข้าใจถึงปัญหาและเป้าหมายที่แท้จริงของผู้ลงทุนอีกด้วย • STEP 2 ช่วยคุณติดตามข้อมูลการลงทุน อัปเดตทุกสถานการณ์ให้รู้อย่างเท่าทัน ข้อจำกัดของการลงทุนด้วยตัวเอง คือผู้ลงทุนอาจจะไม่มีเวลามากพอมาติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก หรือคอยอัปเดตพอร์ตของเราเท่าไรนัก ทำให้อาจจะพลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าไป การใช้บริการ FINNOMENA Personal Advisor จะทำให้หมดกังวลเรื่องนี้ เพราะที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจะเป็นผู้คอยติดตามสถานะการลงทุนให้ พร้อมอัปเดตข้อมูลข่าวสารให้ผู้ลงทุนรู้อย่างรวดเร็วด้วย • STEP 3 ช่วยคุณติดตามเป้าหมายการลงทุน ปรับพอร์ตลงทุนให้ทันสถานการณ์ หากพอร์ตของผู้ลงทุนต้องมีการ Rebalance หรือปรับสมดุลเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ก็จะมีการแจ้งให้เราทราบได้โดยทันที นอกจากนี้ FINNOMENA ยังมีพันธมิตรจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนถึง 19 บลจ. ทำให้สามารถทบทวนแผน ปรับสัดส่วนพอร์ตการลงทุน และสามารถคัดเลือกกองทุนรวมที่ดี ได้ตรงกับความต้องการของนักลงทุน ด้วยคำแนะนำที่เป็นกลาง เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ยั่งยืน
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1609
Finance
จงสรุปบทความ The Next of Something: เป็นจริงหรือลวงโลก
ในช่วงนี้ดูเหมือนเรื่องการลงทุนจะกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทุก ๆ ที่ ๆ ไปรวมถึงทุก ๆ ที่ที่ผมได้ดู ดูเหมือนจะไม่มีใครเอาท์ไปจากเรื่องลงทุน อีกสิ่งหนึ่งที่เซอร์ไพร์สมาก ๆ ก็คือ ตอนที่ผมเดินไปในมุม ๆ หนึ่งของร้านหนังสือที่ปกติแทบจะไม่เห็นคนเดินไป กลับมีคนเข้าออกมาหยิบหนังสือ รวมถึงใจดีขนาดหาหนังสือให้ผมด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ และก็รู้สึกปลาบปลื้มมาก ๆ เช่นเดียวกัน ในมือของเขาถือหนังสือ The Market Wizards ที่ทำการรวบรวมความคิดของเหล่าเทรดเดอร์ชั้นนำระดับโลก ในขณะที่ผมถือหนังสือเกี่ยวกับการตัดสินใจทางจิตวิทยาไปหมาด ๆ สิ่ง ๆ นี้เป็นภาพดี ๆ ที่ผมอยากเห็นมาก ๆ ในวงการลงทุน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ากระแสมันนำพาหรือคน ๆ นั้นติดตามจนถึงระดับเซียนอยู่แล้ว และหากว่ากันถึงเรื่องกระแสเรื่องของสิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นหรือ The Next of Something เป็นสิ่งที่ผู้คนสนใจเป็นอย่างมากในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินทรัพย์แห่งอนาคตหรือหุ้นที่เปิด IPO กันเป็นว่าเล่น ธุรกิจเป็นแบบปกติ PE 40 เท่า ผมเลยอยากเขียนบทความขึ้นมาสักบทความหนึ่ง ในมุมมองตรงกันข้ามให้ทุกคนฉุกคิดกันบ้าง The Next of Something : สินทรัพย์แห่งอนาคต อีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นสินทรัพย์แห่งอนาคต ผลตอบแทนยอดเยี่ยมร้อนแรงและเป็นธีมแห่งอนาคต เมื่อนึกถึงการลงทุนอาจจะมีคนนึกถึงเรื่องผลตอบแทนเป็นอันดับแรกและลืมประโยคที่ว่า “ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งที่การันตีถึงอนาคต” ใครหลาย ๆ คนอาจเริ่มคิดว่าการลงทุนบางแบบ เป็นการลงทุนในรูปแบบโบราณ เก่าคร่ำครึไม่ทันสมัย ผลตอบแทนแพ้เห็น ๆ แต่ผมขอหยิบยก Bias ที่อาจก่อให้เกิดขึ้นมาได้ผ่านเรื่องเล่าเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง การแข่งขันฟุตบอลชี้ชะตาของทั้งสองทีม ที่การเตะลูกโทษครั้งสุดท้ายจะเปลี่ยนจากแพ้เป็นชนะได้ในทันที แต่คน ๆ นั้นกลับทำพลาด ผลที่ได้ก็คือสื่อต่าง ๆ จะตีความว่า “ไอ้คนนี้มันพลาด มันเลยทำทีมแพ้ เพราะฉะนั้นมันผิด” แต่หากเรามารู้ทีหลังว่าจากสถิติ นักเตะคนนี้มักจะยิงมุมบนซ้ายถึง 70% แต่ในวันนั้นเขากลับยิงมุมซ้ายล่างซึ่งมีโอกาส 10% (ไม่รวมโอกาสมุมที่ยิงในจุดอื่น ๆ) และผู้รักษาประตูคนนั้นได้รู้ถึงข้อมูลดังกล่าวมาเป็นอย่างดี คุณคิดว่าเขาจะยังเป็นคนผิดอยู่หรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้ก็มี Term ที่เข้ามาอธิบายอย่าง Hindsight Bias ซึ่งอธิบายไว้ถึงอคติทางความคิด ที่เกิดขึ้นหลังจากเรารู้ผลลัพธ์แล้ว และมองว่าผลลัพธ์นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในหลาย ๆ ครั้ง เราอาจจะหลงลืมคิดถึงคุณภาพของการตัดสินใจ (Quality of Decisions) ที่เป็นตัวบ่งชี้การตัดสินใจที่แท้จริงต่างหาก และเราอาจจะคิดว่าคน ๆ นี้บอกเรื่องนี้ปุ๊บผลตอบแทนมาทันที แปลว่าถูก ซึ่งมันอาจไม่ใช่เลย คีย์หลักสำคัญอาจอยู่ที่ว่า “เขาตัดสินใจอย่างไร มากกว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่างหาก” หลายคนอาจจะลืมไป ว่าสินทรัพย์นี้มีอัตรา Turnover เข้าออกสั้น ๆ ที่ผันผวน 20%-50% (ในช่วงหลัง) หากเทียบกับทอง เราก็จะให้ได้ว่ามันเกิดจากการเก็งกำไรเข้าออกอย่างว่องไว ซึ่งเป็น Fact ที่เกิดขึ้น
he Market Wizards ที่ทำการรวบรวมความคิดของเหล่าเทรดเดอร์ชั้นนำระดับโลก เรื่องกระแสเรื่องของสิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นหรือ The Next of Something เป็นสิ่งที่ผู้คนสนใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินทรัพย์แห่งอนาคตหรือหุ้นที่เปิด IPO กันเป็นว่าเล่น ธุรกิจเป็นแบบปกติ PE 40 เท่า The Next of Something : สินทรัพย์แห่งอนาคต “ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งที่การันตีถึงอนาคต” ในหลาย ๆ ครั้ง เราอาจจะหลงลืมคิดถึงคุณภาพของการตัดสินใจ (Quality of Decisions) ที่เป็นตัวบ่งชี้การตัดสินใจที่แท้จริงต่างหากคีย์หลักสำคัญอาจอยู่ที่ว่า “เขาตัดสินใจอย่างไร มากกว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่างหาก” สินทรัพย์นี้มีอัตรา Turnover เข้าออกสั้น ๆ ที่ผันผวน 20%-50% (ในช่วงหลัง) หากเทียบกับทอง เราก็จะให้ได้ว่ามันเกิดจากการเก็งกำไรเข้าออกอย่างว่องไว ซึ่งเป็น Fact ที่เกิดขึ้น
5.กลยุทธ์การลงทุน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_161
Finance
จากแหล่งรายได้ของเหล่า Gamer จะมี 3 ลักษณะใหญ่ๆ คืออะไรบ้าง
null
จากแหล่งรายได้ของเหล่า Gamer จะมี 3 ลักษณะใหญ่ๆ คือ 1. เงินได้ที่มาจากสถานะนายจ้างลูกจ้าง เช่น เงินเดือนหากมีต้นสังกัด 2. รายได้จากรับจ้างทำของ เช่น รายได้จาก Live Stream หรือโฆษณาจาก Sponsor 3. รายได้จากการแข่งขัน หรือมักจะเรียกว่า “นักกีฬา E-Sport” ซึ่งเหล่า Gamer จะต้องนำรายได้ทั้งหมดมายื่นภาษี (มีสถานะโสด รายได้ทั้งปี เกิน 120,000 บาท) ถึงแม้รายได้จะไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ใช้กับไม่ใช้ตัวช่วยภาษี​​ นาย Z เป็น Gamer ที่ได้รับเงินเดือน เดือนละ 20,000 บาท (หักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท) และเงินรางวัลจากแข่งขันเกมในฐานะนักกีฬา E-Sport ทั้งปี จำนวน 1,000,000 บาท (หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 40%-60%) มีค่าลดหย่อนพื้นฐาน (ค่าลดหย่อนส่วนตัว และเงินสมทบจากประกันสังคม) จำนวน 69,000 บาท จะเหลือเงินได้สุทธิ 611,000 บาท (ฐานภาษีสูงสุด 15%) กรณีไม่ทำอะไรเลย เสียภาษี 44,150 บาท (คิดเป็น 3.56% ของเงินได้) กรณีมีตัวช่วยภาษี 300,000 บาท จะเสียภาษี 8,600 บาท (คิดเป็น 0.69% ของเงินได้ ลดลง 35,550 บาท) มองอีกมุม คือ ใช้ตัวช่วยภาษี 300,000 บาท มีเงินคืนภาษีจากตัวช่วย 35,550 (คิดเป็น 11.85% ของตัวช่วยภาษี) นาย Y เป็น Gamer ระดับ Top ของประเทศ ได้รับเงินเดือน 50,000 บาท (หักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท) และเงินรางวัลจากแข่งขันเกมในฐานะนักกีฬา E-Sport ทั้งปี จำนวน 3,000,000 บาท (หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 40%-60%) มีค่าลดหย่อนพื้นฐาน (ค่าลดหย่อนส่วนตัว และเงินสมทบจากประกันสังคม) จำนวน 69,000 บาท จะเหลือเงินได้สุทธิ 2,171,000 บาท (ฐานภาษีสูงสุด 30%) กรณีไม่ทำอะไรเลย เสียภาษี 416,300 บาท (คิดเป็น 11.56% ของเงินได้) กรณีมีตัวช่วยภาษี 300,000 บาท จะเสียภาษี 332,750 บาท (คิดเป็น 9.24% ของเงินได้ ลดลง 83,550 บาท) มองอีกมุม คือ ใช้ตัวช่วยภาษี 300,000 บาท มีเงินคืนภาษีจากตัวช่วย 83,550 (คิดเป็น 27.85% ของตัวช่วยภาษี) ​ ​ตัวช่วยภาษีมีอะไรบ้าง​​ จากตัวอย่างตัวช่วยภาษี 300,000 บาท ทั้งของนาย Y และนาย Z มีหลากหลายประเภท ตัวช่วยภาษี จะมักเรียกว่า “ค่าลดหย่อนภาษี​” โดยค่าลดหย่อนภาษีที่ความคุ้มค่าได้ประโยชน์ 2 ต่อ คือ 1. ค่าลดหย่อนภาษีประเภทการออมและการลงทุน ประโยชน์ต่อ 1 นำเงินค่าซื้อมาเป็นค่าลดหย่อนได้ ต่อ 2 เงินนั้นยังเป็นเงินออมอยู่กับตัวเอง เช่น กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ประกันชีวิตอายุ 10 ปีขึ้นไป ประกันชีวิตแบบบำนาญ เป็นต้น 2. ค่าลดหย่อนจากนโยบายภาครัฐ เช่น ดอกเบี้ยบ้าน ถือเป็นการที่รัฐช่วยจ่ายดอกเบี้ย 3. ค่าบริจาคต่างๆ เช่น วัด มูลนิธิ (หักลดหย่อนได้ 1 เท่า) ยังมีการบริจาคให้โรงเรียน โรงพยาบาล (หักลดหย่อนได้ 2 เท่า) นอกจากนี้ ยังมีตัวช่วยภาษีอื่นๆ อีก เช่น ค่าลดหย่อนคู่สมรส, เลี้ยงดูบิดามารดา, บุตร ก็ควรตรวจสอบเงื่อนไขก่อนการใช้สิทธิลดหย่อนด้วย ​
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1625
Finance
DeFi (Decentralized Finance) แปลว่า อะไร
ก. ระบบการเงินไร้ตัวกลาง ข. ระบบการเงินเชื่อมตัวกลาง ค. ระบบการเงินต่างตัวกลาง ง. ระบบการเงินผ่านตัวกลาง
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ก. เพราะว่า DeFi (Decentralized Finance) แปลว่า “ระบบการเงินไร้ตัวกลาง” ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นมหาสมุทรแห่งโลกการเงินแทนที่ระบบการเงินที่ใช้ตัวกลาง (CeFi หรือ Centralized Finance) ในปัจจุบัน ย้อนกลับไปที่คอนเซปท์เบื้องต้นของตลาดการเงิน นั่นคือเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้มีเงินออม (Saver) และผู้ต้องการเงินทุน (Borrower) โดยเงินตราที่ใช้เป็นสื่อกลางก็คือ Fiat Currencies เช่นเงินบาท เงินดอลลาร์ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง บนโลก DeFi นั้นก็ไม่ต่างกันคือการเป็นสือกลางที่เชื่อมระหว่าง Saver และ Borrower เพียงแต่ไม่ต้องมีสถาบันการเงินเป็นตัวกลางแต่มี Smart Contract Protocol หรือ “โค้ด” เป็นตัวกลางนั้นเอง การตัดตัวกลางนี้เองทำให้เกิดประโยชน์กับทั้งผู้ปล่อยกู้ที่ได้ดอกเบี้ยมากขึ้น และผู้กู้ที่จ่ายดอกเบี้ยถูกลง ในรอบปีที่ผ่านมาได้มี Defi Protocol เกิดขึ้นขนตัวมากทั้งบน Ethereum Blockchain (ERC-20) และ Binance Smart Chain (BSC-20) ซึ่งหลัก ๆ ก็คือโปรโตคอลที่ให้ผู้ต้องการเงินทุนบนบล็อคเชนสามารถกู้เงินได้ และให้ผู้มีเงินทุนสามารถปล่อยกู้หรือฟาร์มได้นั่นเอง เช่น Maker, Aave, Pancake Swap, Venus และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งการเติบโตของ DeFi นั้นวัดมูลค่าได้จาก TVL (Total Value Locked) หรือมูลค่าของคริปโตที่นักลงทุนนำไปฝาก นำไปฟาร์ม ก็คือการนำไปปล่อยกู้บน Defi Protocol ต่าง ๆ นั่นเอง
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_163
Finance
เรื่องต้องรู้ก่อนลงทุนในกองทุน REITs มีอะไรบ้าง
null
ก่อนที่จะลงทุนในกองทุน REITs มีอย่างน้อย 3 เรื่องที่ต้องรู้ ดังนี้ 1. ประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุน โดยทั่วไปอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุน REITs ลงทุนในไทย มี 4 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1. กลุ่ม Industrial หรือ โรงงาน โรงเก็บสินค้า 2. กลุ่ม Office หรือ อาคารสำนักงาน 3. กลุ่ม Retail หรือ ห้างสรรพสินค้า Community Mall และ 4. กลุ่ม Hospitality หรือ โรงแรม รีสอร์ท ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีลักษณะของธุรกิจและความมั่นคงในการชำระค่าเช่าได้แตกต่างกัน 2. กองทุน REITs เป็นแบบ Freehold หรือ Leasehold เนื่องจาก Freehold หรือ กองทุน REITs เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ดังนั้น เงินปันผลจ่าย จะเป็นผลตอบแทนจากค่าเช่าหรือรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ราคา NAV มีโอกาสขึ้นหรือลงก็ได้ ในขณะที่ Leasehold หรือ กองทุน REITs มีสิทธิในการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เงินปันผลจ่าย จะมีทั้งผลตอบแทนจากค่าเช่า และเงินต้นคืน โดย ณ วันที่สิ้นสุดสิทธิการเช่า ราคา NAV จะเข้าใกล้ 0 บาท ซึ่งจะทยอยรับผลตอบแทนและเงินต้นคืนระหว่างทางไปแล้ว 3. Dividend Yield ย้อนหลังประกอบ เนื่องจากในปี 2564 กองทุน REITs ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ที่ทำให้รายได้ค่าเช่าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนใหญ่ไม่ได้จ่ายเงินปันผลและราคา NAV ปรับลดต่ำลงเทียบกับราคาช่วงต้นปี 64 สำหรับในปี 2565 ให้ติดตามธีมการเปิดประเทศที่จะทำให้กลุ่มกองทุน REITs ที่มีโอกาสฟื้นตัวจากรายได้ที่มาจากการเปิดประเทศและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การพิจารณา Dividend Yield ย้อนหลัง ดูได้ 2 รูปแบบ คือ 1) ใช้อัตราจ่ายเงินปันผลเฉลี่ย 5 ปีขึ้นไป หรือ 2) ใช้อัตราจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี มีจำนวนปีที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ มากกว่า 5 ปีขึ้นไป เพื่อดูความสม่ำเสมอและอัตราที่จ่ายในการเลือกลงทุนกองทุน REITs ให้ชนะเงินเฟ้อ
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1651
Finance
ข้อใดเป็นหลักทรัพย์ ที่กองทุน MCANN จะลงทุน
a. GW Pharmaceuticals b. Village Farms c. The Global X Cannabis ETF d. Canopy Growth
คำตอบคือ c. เพราะว่า เพราะกองทุน MCANN จะลงทุนในหลักทรัพย์ ดังต่อไปนี้ - The Global X Cannabis ETF (POTX) ETF ที่มีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการแบบ Passive เน้นการเติบโตและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงในระยะยาว - Amplify Seymour Cannabis ETF (CNBS) ETF ที่ลงทุนในอุตสาหกรรมกัญชาทั่วโลกที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว หุ้นทั่วโลกของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ทางกัญชา (Cannabis) หรือกัญชง (Hemp) ที่ถูกกฎหมายเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับกองทุน โดยกองทุน MCANN จะเน้นลงทุนส่วนใหญ่ประมาณ 60-100% ใน The Global X Cannabis ETF (POTX) และส่วนที่เหลืออีกประมาณ 40-100% จะลงทุนใน Amplify Seymour Cannabis ETF (CNBS) และ/หรือ หุ้นกัญชา (Cannabis) ทั่วโลก โดยกองทุน MCANN ถือเป็นกองทุนแรกในประเทศไทยที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกัญชา
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1652
Finance
ถ้าอยากลงทุนใน ETF ทำอย่างไรได้บ้าง
อยากลงทุนใน ETF ต้องทำอย่างไร? ในกรณีที่เป็น ETF ของไทย เราสามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เหมือนหุ้น เพียงแค่เปิดบัญชีซื้อ-ขายหุ้นก็สามารถซื้อ ETF ในประเทศไทยได้ ในกรณีที่เป็น ETF ต่างประเทศ บางโบรกเกอร์หุ้นก็มีเปิดบริการให้ซื้อขาย ETF ต่างประเทศเช่นกัน แต่ข้อจำกัดก็คืออาจจะมีกำหนดขั้นต่ำการเปิดพอร์ตหรือการลงทุน ซึ่งจำนวนอาจจะค่อนข้างสูง และอาจจะเจอค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างแพงและยิบย่อย อีกวิธีการลงทุนใน ETF ต่างประเทศที่ง่ายและไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ คือการซื้อผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนในกองทุน ETF ต่างประเทศอีกที โดยกองทุนประเภทนี้จะมีผู้จัดการกองทุนฝั่งไทยช่วยดูแลด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินทรัพย์การลงทุนหรือการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน การซื้อกองทุนประเภทนี้จึงเปรียบเสมือนเราไปลงทุนในกองทุน ETF ต่างประเทศเช่นกัน อีกหนึ่งจุดเด่นคือขั้นต่ำการลงทุนในกองทุนรวมเหล่านี้นั้นไม่ได้ใช้จำนวนเงินเยอะ บางกองแค่หลักพันก็ลงทุนได้แล้ว ทำให้มีความสะดวกสบายมากกว่า ตัวอย่างกองทุนรวมที่ลงทุนใน ETF ต่างประเทศ กองทุน MCANN ลงทุนใน The Global X Cannabis ETF (POTX) และ Amplify Seymour Cannabis ETF (CNBS) กองทุน TMB-ES-AUTOMATION ลงทุนใน ARK Autonomous Technology & Robotics ETF (ARKQ) กองทุน ASP-POWER ลงทุนใน iShares Global Clean Energy ETF (ICLN), Global X Lithium & Battery Tech ETF (LIT) และ KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF กองทุน UCHI ลงทุนใน KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF และ Global X China Biotech ETF กองทุน MFTECH ลงทุนใน ARK FINTECH INNOVATION ETF (ARKF) กองทุน WE-CYBER ลงทุนใน ARK Next Generation Internet ETF (ARKW) กองทุน TGENOME ลงทุนใน ARK Genomic Revolution ETF (ARKG)
ในกรณีที่เป็น ETF ของไทย เราสามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เหมือนหุ้น เพียงแค่เปิดบัญชีซื้อ-ขายหุ้นก็สามารถซื้อ ETF ในประเทศไทยได้ ในกรณีที่เป็น ETF ต่างประเทศ บางโบรกเกอร์หุ้นก็มีเปิดบริการให้ซื้อขาย ETF ต่างประเทศเช่นกัน แต่ข้อจำกัดก็คืออาจจะมีกำหนดขั้นต่ำการเปิดพอร์ตหรือการลงทุน ซึ่งจำนวนอาจจะค่อนข้างสูง และอาจจะเจอค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างแพงและยิบย่อย อีกวิธีการลงทุนใน ETF ต่างประเทศที่ง่ายและไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ คือการซื้อผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนในกองทุน ETF ต่างประเทศอีกที โดยกองทุนประเภทนี้จะมีผู้จัดการกองทุนฝั่งไทยช่วยดูแลด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินทรัพย์การลงทุนหรือการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน การซื้อกองทุนประเภทนี้จึงเปรียบเสมือนเราไปลงทุนในกองทุน ETF ต่างประเทศเช่นกัน อีกหนึ่งจุดเด่นคือขั้นต่ำการลงทุนในกองทุนรวมเหล่านี้นั้นไม่ได้ใช้จำนวนเงินเยอะ บางกองแค่หลักพันก็ลงทุนได้แล้ว ทำให้มีความสะดวกสบายมากกว่า
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1659
Finance
ศัพท์ทางการเงิน มีอะไรบ้าง
null
ศัพท์ทางการเงิน ได้แก่ 2Y10Y Spread ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภท 10 ปี กับ 2 ปี ใช้คาดการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจ CDS IG US 5 Yrs ย่อมาจาก Credit Default Swap Investment Grade หมายถึง ราคาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงของสินทรัพย์ระดับ Investment Grade ระยะ 5 ปีของสหรัฐฯ ถ้าตัวเลขนี้สูงแสดงว่าตลาดช่วงนั้นเสี่ยง Circuit Breaker คำสั่งหยุดการซื้อขายชั่วคราวเมื่อตลาดหุ้นร่วงรุนแรงผิดปกติ เพื่อเว้นช่วงให้นักลงทุนได้ตรวจสอบข่าวสาร CSI300 ดัชนีที่ใช้วัดการเติบโตของหุ้น 300 ตัวแรกที่ซื้อขายใน Shanghai และ Shenzhen Stock Exchange Dow Jones ดัชนีที่คำนวณจากหุ้นทั้งหมด 30 ตัวที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจอเมริกาในภาพรวม Drawdown ตัวเลขการติดลบมากที่สุดเมื่อเทียบกับจุดสูงสุด DXY U.S. Dollar Index (USDX, DXY, DX) ดัชนีที่บ่งบอกความต้องการถือครองสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับอีก 6 สกุล คือ ยูโร, เยน, ปอนด์, ดอลลาร์แคนาดา, โครนสวีเดน และฟรังก์สวิส ETFGTOTL Total ETF Holdings of Gold บ่งบอกปริมาณการถือครองทองคำในตลาด ETF มีหน่วยเป็น Troy Ounce EU50 เรียกอีกชื่อว่า Stoxx50 คือ ดัชนีที่คำนวณจากหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวแรกในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป Fear & Greed Index ดัชนีที่ประเมินความโลภและความกลัวของนักลงทุนในตลาดโดยนำปัจจัย 7 อย่างมาคำนวณ Hard Currency กลุ่มสกุลเงินที่มีความเสถียรสูงและมีการซื้อขายเยอะ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ, ยูโร, เยน, ปอนด์ เป็นต้น Inverted Yield Curve ภาวะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้น “มากกว่า” พันธบัตรรัฐบาลอายุยาว เนื่องจากคนแห่ไปถือพันธบัตรระยะยาวจนราคาสูงขึ้น ทำให้ผลตอบแทนต่ำลง มักเป็นสัญญาณเตือนก่อนเศรษฐกิจถดถอย Investment Grade ตราสารหนี้ที่ได้รับ Rating ระดับ BBB ขึ้นไป ถือว่าเป็นตราสารหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือสูง MSCI ดัชนีที่ทำโดยบริษัท Morgan Stanley Capital International เพื่อเป็นมาตรฐานให้กับนักลงทุน แบ่งเป็นหลายประเภท สำหรับหุ้นก็จะแบ่งเป็นกลุ่ม เช่น กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา กลุ่มเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น เป็นต้น Nasdaq ดัชนีที่คำนวณจากมูลค่าหุ้นในตลาด Nasdaq ซึ่งปัจจุบันมีหุ้นซื้อขายอยู่มากกว่า 3,000 ตัว NIKKEI225 ดัชนีที่คำนวณจากหุ้นขนาดใหญ่ 225 ตัวที่ซื้อขายใน Tokyo Stock Exchange Repo ย่อมาจาก Repurchase Agreement เป็นการกู้ยืมระยะสั้นโดยผู้กู้นำหลักทรัพย์รัฐบาลที่มีไปขายเพื่อแลกกับเงินสด และทำการซื้อคืนภายหลังโดยจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มให้ เป็นวิธีเพิ่มสภาพคล่องวิธีหนึ่ง S&P500 เรียกอีกชื่อว่า US500 เป็นดัชนีที่คำนวณจากหุ้นใหญ่ในสหรัฐฯ 500 ตัวจาก NYSE และ Nasdaq Safe Haven กลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัยที่มักมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อตลาดผันผวน เช่น ทอง, พันธบัตร, เงินฟรังก์สวิส เป็นต้น SET ดัชนีที่ใช้วัดมูลค่าของหุ้นไทยทั้งหมดในตลาด SET50 / SET100 ดัชนีที่ใช้วัดมูลค่าหุ้นไทยที่ใหญ่ที่สุดในตลาด 50 และ 100 ตัวแรกตามลำดับ Short Sell กลยุทธ์ในการเก็งกำไรขาลง โดยการยืมหุ้นมาขายก่อน โดยคาดหวังว่าจะซื้อกลับไปคืนได้ในราคาที่ต่ำกว่า Stoxx600 ดัชนีที่วัดมูลค่าของหุ้นบริษัทเล็กกลางใหญ่จำนวน 600 ตัวในกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป Subprime วิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ เมื่อปี 2008 เกิดจากคนกู้เงินมาซื้ออสังหาริมทรัพย์มากเกินไป และเมื่อฟองสบู่แตก จึงทำให้เกิดการผิดชำระหนี้ปริมาณมหาศาลตามมา USD/JPY อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐกับเงินเยน มีหน่วยเป็น “เยน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ” USD/THB อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐกับเงินบาท มีหน่วยเป็น “บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ” Valley Time ระยะเวลาที่ดัชนีใช้ในการปรับตัวจากจุดสูงสุดลงไปที่จุดต่ำสุด VIX ย่อมาจาก Volatility Index ให้วัดความผันผวนของตลาด โดยคำนวณจากการซื้อขายอนุพันธ์ ปกติอนุพันธ์จะถูกใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง ดังนั้นถ้ามีการซื้อขายมาก แสดงว่าตลาดกำลังผันผวน Yield ผลตอบแทนสุทธิเมื่อเทียบกับเงินที่ลงทุนไป มักใช้พูดถึงผลตอบแทนของตราสารหนี้
5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1676
Finance
บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) (SISB TB) ตั้งแต่ปี 2001 -2020 โดยสรุปเป็นอย่างไร
คุณเคลวิน โคห์ (Kelvin Koh Yew Hock) เติบโตที่สิงคโปร์ เขาจะตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อช่วยแม่เปิดร้านอาหารก่อนจะเตรียมตัวไปโรงเรียน การเล่นกีฬาต่าง ๆ และคุณแม่ของคุณเคลวินนั้นสอนให้เขารู้จักความพากเพียร เป็นความพากเพียรนี้เองที่ทำให้เขาอยู่เมืองไทยและสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมา แม้ว่าตอนเขามาถึงเมืองไทย จะเป็นช่วงเวลาไม่นานก่อนการรัฐประหารก็ตาม คุณเคลวินบอกว่า ความพากเพียรคือส่วนหนึ่งของ DNA ของเขา คุณจะต้องรู้แน่ชัดว่าตัวเองต้องการอะไร ต้องทำอย่างไรถึงจะต่อยอดสิ่งนั้น ๆ ได้ และห้ามหยุดเรียนรู้เด็ดขาด บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) (SISB TB) ก่อตั้งขึ้นในปี 2001 แรกเริ่มบริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2018 และย้ายไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ณ วันที่ 23 เมษายน 2019 SISB คือเจ้าของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย โดยอ้างอิงหลักสูตรการเรียนการสอนจากสิงคโปร์ซึ่งเน้นความเชี่ยวชาญในด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มีการสอนแบบ 3 ภาษาคืออังกฤษ ไทย และจีน ตั้งแต่ก่อตั้งมา SISB ได้ขยายเป็น 5 สาขา มอบการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นก่อนเข้าอนุบาล ไปจนถึงเกรด 12 (ม.6) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2020 โรงเรียนมีจำนวนนักเรียนทั้งหมด 2,638 คน
บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) (SISB TB) ก่อตั้งขึ้นในปี 2001 แรกเริ่มบริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2018 และย้ายไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ณ วันที่ 23 เมษายน 2019 SISB คือเจ้าของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย โดยอ้างอิงหลักสูตรการเรียนการสอนจากสิงคโปร์ซึ่งเน้นความเชี่ยวชาญในด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มีการสอนแบบ 3 ภาษาคืออังกฤษ ไทย และจีน ตั้งแต่ก่อตั้งมา SISB ได้ขยายเป็น 5 สาขา มอบการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นก่อนเข้าอนุบาล ไปจนถึงเกรด 12 (ม.6) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2020 โรงเรียนมีจำนวนนักเรียนทั้งหมด 2,638 คน
6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_17
Finance
เรื่องที่ควรรู้สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในปี 2562 มีอะไรบ้าง
เรื่องที่ควรรู้สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในปี 62 เรื่องที่ควรรู้สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในปี 62* มองว่าภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกจะขยายตัวในระดับที่ลดลงจากปี 2561 กำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตในระดับที่น้อยกว่าช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการที่เศรษฐกิจและผลประกอบการโดยรวมยังคงมีการขยายตัวทำให้มีโอกาสน้อยที่ตลาดทุนโลกจะเข้าสู่ภาวะวิกฤต (Financial Crisis) สำหรับตลาดทุนปี 2562 ที่มีแนวโน้มเป็นภาวะ Sideway คือผันผวนในกรอบกว้างๆ จึงแนะนำให้มีการกระจายการลงทุนในระดับสูงสุดเพื่อลดความผันผวนของพอร์ทการลงทุนโดยรวมลงและช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระยะยาว โดยมีเรื่องที่น่าสนใจดังนี้ 1. Yield Play Theme กลับมาอีกครั้งเมื่อสหรัฐฯ ใกล้จบวงจรการขึ้นดอกเบี้ย การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED เริ่มมีสัญญาณผ่อนคลาย (Dovish) มากขึ้น โดยคาดว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 - 2 ครั้งในปี 2562 และจะเป็นการสิ้นสุดวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ 2. เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังโต แต่จะโตในอัตราที่ลดลง (Soft Landing) ในปี 2561 สหรัฐฯ มีนโยบายปรับลดการเก็บภาษีภาคเอกชน การเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และตลาดแรงงานที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวด้วยอัตราที่สูง แต่ในปี 2562 จะไม่มีนโยบายลดการเก็บภาษีดังกล่าว ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้น และสงครามการค้า อย่างไรก็ตามตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ จะขยายตัวในระดับที่น้อยกว่าเดิม 3. Harmful Political ประเด็นการเมืองยังสร้างความกังวลให้ตลาดทั่วโลก ภูมิภาคยุโรปยังคงมีปัจจัยเสี่ยงทั้งจากกรณี Brexit, การเติบโตทางเศรษฐกิจที่น้อย, การบังคับใช้ระเบียบทางการคลัง และการขยายตัวของแนวคิดชาตินิยมที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปในปีหน้า จึงยังคงไม่แนะลงทุน ในขณะที่ประเด็นสงครามการค้า แม้จะมีปัจจัยบวกในการเลื่อนเก็บภาษีสินค้านำเข้า 90 วัน แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่สหรัฐฯ และจีนจะหาข้อสรุปและยุติประเด็นดังกล่าวอย่างเด็ดขาด 4. Valuation ของตลาดหุ้น Asia ex Japan และตลาดหุ้นจีน กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ตลาดหุ้น Asia ex. Japan มีการปรับฐานมากพอสมควรแล้วในปี 2561 ทำให้ระดับ Valuation ถูกลงเมื่อเทียบกับในอดีต เมื่อประกอบกับอัตราการเติบโตของตลาดเกิดใหม่ที่มากกว่าตลาดพัฒนาแล้ว และความพยายามสร้่างเสถียรภาพทางการเงินด้วยการเปลี่ยนสัดส่วนเงินทุนสำรองไปยังทองคำ ส่งผลให้ตลาด Asia Ex. Japan มีความน่าสนใจ 5. Pre-election rally (ถ้ามี) เป็นจังหวะทำกำไรตลาดหุ้นไทย จากสถิติที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นไทยทำผลงานได้ดีในช่วงก่อนการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามด้วยระดับ Valuation ที่ค่อนข้างแพง และระดับ Earning Growth ของปี 2562 ที่ระดับต่ำกว่า 10% ทำให้มีมุมมองที่จะขายทำกำไรตลาดหุ้นไทยหากมี Pre-election Rally เกิดขึ้น 6. แรงกดดันเงินเฟ้อคลี่คลายหลังราคาน้ำมันปรับตัวลง มองว่าราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 50-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สร้างแรงกดดันต่ออัตรา เงินเฟ้อน้อยลง ซึ่งแรงกดดันเงินเฟ้อที่น้อยลงจะส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกไม่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัด เงินเฟ้อ และสามารถหันมาใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (Dovish) ได้มากขึ้น 7. ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าสูง ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งในปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเด็นสงครามการค้าส่งผลให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าก็เป็นตัวกระตุ้นให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเช่นกัน โดยในปี 2562 มองว่าประเด็น Trade War จะชะลอความรุนแรลงง ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย FED ที่จะขึ้นช้าลง มีโอกาสสูงที่จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่าในปี 2019 8. ความผันผวนปลุกทองคำให้น่าลงทุน (Overweight) ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2561 ราคาทองคำถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ แต่ในครึ่งปีหลังราคาทองเริ่มกลับมาสร้างฐานและขยับตัวสูงขึ้น เมื่อประกอบกับปริมาณการถือครองทองคำผ่านกองทุน ETF และ ธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้น ทำให้ทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน 9. Absolute Return Strategy (Overweight) กองทุนรวม Absolute Return ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนแบบไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดการลงทุนใดๆ จากสถานะ Long/Short เพื่อค้ากำไรส่วนต่าง เป็นอีกกลยุทธ์ที่แนะนำลงทุน เพื่อกระจายการลงทุนระดับสูงสุด 10. กองทุนอสังหาฯ และโครงสร้างพื้นฐาน (Overweight) ภาวะตลาดที่ยังมีความผันผวนสูงจากเหตุปัจจัยข้างต้น จึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนอสังหาฯ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และ REITs เนื่องจากความกังวลในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยลง จากโอกาสรับปันผลสม่ำเสมอในระดับที่ชนะเงินเฟ้อได้ (5-7%) _______________ * แหล่งที่มาของข้อมูล : เจษฎา สุขทิศ นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย ผู้ร่วมก่อตั้ง FINNOMENA กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร ฝ่ายสื่อสารองค์กร เรื่องที่ควรรู้สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในปี 62* มองว่าภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกจะขยายตัวในระดับที่ลดลงจากปี 2561 กำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตในระดับที่น้อยกว่าช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการที่เศรษฐกิจและผลประกอบการโดยรวมยังคงมีการขยายตัวทำให้มีโอกาสน้อยที่ตลาดทุนโลกจะเข้าสู่ภาวะวิกฤต (Financial Crisis) สำหรับตลาดทุนปี 2562 ที่มีแนวโน้มเป็นภาวะ Sideway คือผันผวนในกรอบกว้างๆ จึงแนะนำให้มีการกระจายการลงทุนในระดับสูงสุดเพื่อลดความผันผวนของพอร์ทการลงทุนโดยรวมลงและช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระยะยาว โดยมีเรื่องที่น่าสนใจดังนี้ 1. Yield Play Theme กลับมาอีกครั้งเมื่อสหรัฐฯ ใกล้จบวงจรการขึ้นดอกเบี้ย การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED เริ่มมีสัญญาณผ่อนคลาย (Dovish) มากขึ้น โดยคาดว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 - 2 ครั้งในปี 2562 และจะเป็นการสิ้นสุดวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ 2. เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังโต แต่จะโตในอัตราที่ลดลง (Soft Landing) ในปี 2561 สหรัฐฯ มีนโยบายปรับลดการเก็บภาษีภาคเอกชน การเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และตลาดแรงงานที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวด้วยอัตราที่สูง แต่ในปี 2562 จะไม่มีนโยบายลดการเก็บภาษีดังกล่าว ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้น และสงครามการค้า อย่างไรก็ตามตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ จะขยายตัวในระดับที่น้อยกว่าเดิม 3. Harmful Political ประเด็นการเมืองยังสร้างความกังวลให้ตลาดทั่วโลก ภูมิภาคยุโรปยังคงมีปัจจัยเสี่ยงทั้งจากกรณี Brexit, การเติบโตทางเศรษฐกิจที่น้อย, การบังคับใช้ระเบียบทางการคลัง และการขยายตัวของแนวคิดชาตินิยมที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปในปีหน้า จึงยังคงไม่แนะลงทุน ในขณะที่ประเด็นสงครามการค้า แม้จะมีปัจจัยบวกในการเลื่อนเก็บภาษีสินค้านำเข้า 90 วัน แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่สหรัฐฯ และจีนจะหาข้อสรุปและยุติประเด็นดังกล่าวอย่างเด็ดขาด 4. Valuation ของตลาดหุ้น Asia ex Japan และตลาดหุ้นจีน กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ตลาดหุ้น Asia ex. Japan มีการปรับฐานมากพอสมควรแล้วในปี 2561 ทำให้ระดับ Valuation ถูกลงเมื่อเทียบกับในอดีต เมื่อประกอบกับอัตราการเติบโตของตลาดเกิดใหม่ที่มากกว่าตลาดพัฒนาแล้ว และความพยายามสร้่างเสถียรภาพทางการเงินด้วยการเปลี่ยนสัดส่วนเงินทุนสำรองไปยังทองคำ ส่งผลให้ตลาด Asia Ex. Japan มีความน่าสนใจ 5. Pre-election rally (ถ้ามี) เป็นจังหวะทำกำไรตลาดหุ้นไทย จากสถิติที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นไทยทำผลงานได้ดีในช่วงก่อนการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามด้วยระดับ Valuation ที่ค่อนข้างแพง และระดับ Earning Growth ของปี 2562 ที่ระดับต่ำกว่า 10% ทำให้มีมุมมองที่จะขายทำกำไรตลาดหุ้นไทยหากมี Pre-election Rally เกิดขึ้น 6. แรงกดดันเงินเฟ้อคลี่คลายหลังราคาน้ำมันปรับตัวลง มองว่าราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 50-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สร้างแรงกดดันต่ออัตรา เงินเฟ้อน้อยลง ซึ่งแรงกดดันเงินเฟ้อที่น้อยลงจะส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกไม่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัด เงินเฟ้อ และสามารถหันมาใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (Dovish) ได้มากขึ้น 7. ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าสูง ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งในปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเด็นสงครามการค้าส่งผลให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าก็เป็นตัวกระตุ้นให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเช่นกัน โดยในปี 2562 มองว่าประเด็น Trade War จะชะลอความรุนแรลงง ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย FED ที่จะขึ้นช้าลง มีโอกาสสูงที่จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่าในปี 2019 8. ความผันผวนปลุกทองคำให้น่าลงทุน (Overweight) ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2561 ราคาทองคำถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ แต่ในครึ่งปีหลังราคาทองเริ่มกลับมาสร้างฐานและขยับตัวสูงขึ้น เมื่อประกอบกับปริมาณการถือครองทองคำผ่านกองทุน ETF และ ธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้น ทำให้ทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน 9. Absolute Return Strategy (Overweight) กองทุนรวม Absolute Return ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนแบบไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดการลงทุนใดๆ จากสถานะ Long/Short เพื่อค้ากำไรส่วนต่าง เป็นอีกกลยุทธ์ที่แนะนำลงทุน เพื่อกระจายการลงทุนระดับสูงสุด 10. กองทุนอสังหาฯ และโครงสร้างพื้นฐาน (Overweight) ภาวะตลาดที่ยังมีความผันผวนสูงจากเหตุปัจจัยข้างต้น จึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนอสังหาฯ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และ REITs เนื่องจากความกังวลในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยลง จากโอกาสรับปันผลสม่ำเสมอในระดับที่ชนะเงินเฟ้อได้ (5-7%) _______________ * แหล่งที่มาของข้อมูล : เจษฎา สุขทิศ นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย ผู้ร่วมก่อตั้ง FINNOMENA กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร ฝ่ายสื่อสารองค์กร
เรื่องที่ควรรู้สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในปี 2562 ได้แก่ 1. Yield Play Theme กลับมาอีกครั้งเมื่อสหรัฐฯ ใกล้จบวงจรการขึ้นดอกเบี้ย การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED เริ่มมีสัญญาณผ่อนคลาย (Dovish) มากขึ้น โดยคาดว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 - 2 ครั้งในปี 2562 และจะเป็นการสิ้นสุดวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ 2. เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังโต แต่จะโตในอัตราที่ลดลง (Soft Landing) ในปี 2561 สหรัฐฯ มีนโยบายปรับลดการเก็บภาษีภาคเอกชน การเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และตลาดแรงงานที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวด้วยอัตราที่สูง แต่ในปี 2562 จะไม่มีนโยบายลดการเก็บภาษีดังกล่าว ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้น และสงครามการค้า อย่างไรก็ตามตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ จะขยายตัวในระดับที่น้อยกว่าเดิม 3. Harmful Political ประเด็นการเมืองยังสร้างความกังวลให้ตลาดทั่วโลก ภูมิภาคยุโรปยังคงมีปัจจัยเสี่ยงทั้งจากกรณี Brexit, การเติบโตทางเศรษฐกิจที่น้อย, การบังคับใช้ระเบียบทางการคลัง และการขยายตัวของแนวคิดชาตินิยมที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปในปีหน้า จึงยังคงไม่แนะลงทุน ในขณะที่ประเด็นสงครามการค้า แม้จะมีปัจจัยบวกในการเลื่อนเก็บภาษีสินค้านำเข้า 90 วัน แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่สหรัฐฯ และจีนจะหาข้อสรุปและยุติประเด็นดังกล่าวอย่างเด็ดขาด 4. Valuation ของตลาดหุ้น Asia ex Japan และตลาดหุ้นจีน กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ตลาดหุ้น Asia ex. Japan มีการปรับฐานมากพอสมควรแล้วในปี 2561 ทำให้ระดับ Valuation ถูกลงเมื่อเทียบกับในอดีต เมื่อประกอบกับอัตราการเติบโตของตลาดเกิดใหม่ที่มากกว่าตลาดพัฒนาแล้ว และความพยายามสร้่างเสถียรภาพทางการเงินด้วยการเปลี่ยนสัดส่วนเงินทุนสำรองไปยังทองคำ ส่งผลให้ตลาด Asia Ex. Japan มีความน่าสนใจ 5. Pre-election rally (ถ้ามี) เป็นจังหวะทำกำไรตลาดหุ้นไทย จากสถิติที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นไทยทำผลงานได้ดีในช่วงก่อนการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามด้วยระดับ Valuation ที่ค่อนข้างแพง และระดับ Earning Growth ของปี 2562 ที่ระดับต่ำกว่า 10% ทำให้มีมุมมองที่จะขายทำกำไรตลาดหุ้นไทยหากมี Pre-election Rally เกิดขึ้น 6. แรงกดดันเงินเฟ้อคลี่คลายหลังราคาน้ำมันปรับตัวลง มองว่าราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 50-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อน้อยลง ซึ่งแรงกดดันเงินเฟ้อที่น้อยลงจะส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกไม่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และสามารถหันมาใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (Dovish) ได้มากขึ้น 7. ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าสูง ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งในปี 2018 ขณะที่ประเด็นสงครามการค้าส่งผลให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าก็เป็นตัวกระตุ้นให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเช่นกัน โดยในปี 2562 มองว่าประเด็น Trade War จะชะลอความรุนแรงลง ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย FED ที่จะขึ้นช้าลง มีโอกาสสูงที่จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่าในปี 2019 8. ความผันผวนปลุกทองคำให้น่าลงทุน (Overweight) ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2561 ราคาทองคำถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ แต่ในครึ่งปีหลังราคาทองเริ่มกลับมาสร้างฐานและขยับตัวสูงขึ้น เมื่อประกอบกับปริมาณการถือครองทองคำผ่านกองทุน ETF และ ธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้น ทำให้ทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน 9. Absolute Return Strategy (Overweight) กองทุนรวม Absolute Return ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนแบบไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดการลงทุนใดๆ จากสถานะ Long/Short เพื่อค้ากำไรส่วนต่าง เป็นอีกกลยุทธ์ที่แนะนำลงทุน เพื่อกระจายการลงทุนระดับสูงสุด 10. กองทุนอสังหาฯ และโครงสร้างพื้นฐาน (Overweight) ภาวะตลาดที่ยังมีความผันผวนสูงจากเหตุปัจจัยข้างต้น จึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนอสังหาฯ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และ REITs เนื่องจากความกังวลในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยลง จากโอกาสรับปันผลสม่ำเสมอในระดับที่ชนะเงินเฟ้อได้ (5-7%)
5.ความรู้ทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1711
Finance
กองทุน UCHI ลงทุนในหลักทรัพย์อะไรบ้าง
รีวิวกองทุน UCHI: การผนึกกำลังของเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีน ​ สำหรับช่วงนี้ที่กองทุน IPO ดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษในบทความนี้จึงเลือกหยิบยกอีกหนึ่งกองทุนที่อาจจะไม่ใช่ IPO ซะทีเดียวแต่เป็นกองทุนน้องใหม่แกะกล่องที่เพิ่ง IPO กันไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 15 – 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา กองทุนนั้นก็คือกองทุน UCHI จากบลจ. UOB นั่นเอง กองทุนนี้ลงทุนเกี่ยวกับอะไร มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้ สำหรับช่วงนี้ที่กองทุน IPO ดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษในบทความนี้จึงเลือกหยิบยกอีกหนึ่งกองทุนที่อาจจะไม่ใช่ IPO ซะทีเดียวแต่เป็นกองทุนน้องใหม่แกะกล่องที่เพิ่ง IPO กันไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 15 – 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา กองทุนนั้นก็คือกองทุน UCHI จากบลจ. UOB นั่นเอง กองทุนนี้ลงทุนเกี่ยวกับอะไร มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้ การระบาดของ COVID-19 ทำให้ตลาด Healthcare เป็นที่ต้องการ Mindray ผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจชั้นนำในประเทศจีน ผลิตเครื่องช่วยหายใจกว่า 3,000 เครื่องต่อเดือน ซึ่งบริษัทได้ขยายขอบเขตในการเข้าถึงไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วจากการขาดแคลนเครื่องช่วยหายใจเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 โดยได้ขยายตลาดเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ หลังจากได้รับอนุญาตจาก FDA Jiangsu Yuyue ได้รับอนุญาตจาก FDA ให้ขายเครื่องช่วยหายใจให้กับสหรัฐฯ ในวันที่ 1 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเป็นผู้จัดหาเครื่องวัดอุณหภูมิและยาพ่นแบบฝอยละอองรายใหญ่ WuXi Apptec and WuXi Biologics เป็นองค์กรที่รับทำวิจัยตามสัญญา (CROs) ซึ่งให้บริการ R&D ด้านเภสัชกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ ตลอดจนการบริการด้านการผลิตทั้งในและต่างประเทศ Mindray ผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจชั้นนำในประเทศจีน ผลิตเครื่องช่วยหายใจกว่า 3,000 เครื่องต่อเดือน ซึ่งบริษัทได้ขยายขอบเขตในการเข้าถึงไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วจากการขาดแคลนเครื่องช่วยหายใจเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 โดยได้ขยายตลาดเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ หลังจากได้รับอนุญาตจาก FDA Jiangsu Yuyue ได้รับอนุญาตจาก FDA ให้ขายเครื่องช่วยหายใจให้กับสหรัฐฯ ในวันที่ 1 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเป็นผู้จัดหาเครื่องวัดอุณหภูมิและ ยาพ่นแบบฝอยละอองรายใหญ่ WuXi Apptec and WuXi Biologics เป็นองค์กรที่รับทำวิจัยตามสัญญา (CROs) ซึ่งให้บริการ R&D ด้านเภสัชกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ ตลอดจนการบริการด้านการผลิตทั้งในและต่างประเทศ สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: อุตสาหกรรม Healthcare ของประเทศจีนน่าสนใจอย่างไร? ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่อุตสาหกรรม Healthcare มีการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในโลกด้วยอัตราการเติบโต 13% ในขณะที่สหรัฐฯ และญี่ปุ่น มีอัตราการเติบโตที่ 3% และ 2% ตามลำดับ ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่อุตสาหกรรม Healthcare มีการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในโลกด้วย อัตราการเติบโต 13% ในขณะที่สหรัฐฯ และญี่ปุ่น มีอัตราการเติบโตที่ 3% และ 2% ตามลำดับ 5 อันดับประเทศที่มีอัตราการเติบโตของตลาด Healthcare สูงสุด 5 อันดับประเทศที่มีอัตราการเติบโตของตลาด Healthcare สูงสุด ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก National Bureau of Statistics of China ณ วันที่ 31/12/2017) ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก National Bureau of Statistics of China ณ วันที่ 31/12/2017) อุตสาหกรรม Healthcare ของจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกด้วยมูลค่าการใช้จ่ายรวมในด้าน Healthcare กว่า 1.02 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2019 เพิ่มขึ้นประมาณ 87% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โอกาสในการเติบโตสำหรับอุตสาหกรรม Healthcare ยังมีอีกมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายในด้าน Healthcare ของจีนยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ $501 เทียบกับค่าเฉลี่ย 8 ประเทศที่มีรายจ่ายด้าน Healthcare สูงสุดที่ประมาณ $5,700 ต่อคน อุตสาหกรรม Healthcare ของจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกด้วยมูลค่าการใช้จ่ายรวมในด้าน Healthcare กว่า 1.02 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2019 เพิ่มขึ้นประมาณ 87% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โอกาสในการเติบโตสำหรับอุตสาหกรรม Healthcare ยังมีอีกมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายในด้าน Healthcare ของจีนยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ $501 เทียบกับค่าเฉลี่ย 8 ประเทศที่มีรายจ่ายด้าน Healthcare สูงสุดที่ประมาณ $5,700 ต่อคน อัตราการใช้จ่ายด้าน Healthcare ของ GDP ในสหรัฐฯ และจีน อัตราการใช้จ่ายด้าน Healthcare ของ GDP ในสหรัฐฯ และจีน ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก National Bureau of Statistics of China ณ วันที่ 31/12/2017) ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก National Bureau of Statistics of China ณ วันที่ 31/12/2017) โครงสร้างประชากรผู้สูงอายุของจีนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของประชากรชนชั้นกลาง และการขยายตัวของประชากรเมือง เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม Healthcare ในประเทศจีน โครงสร้างประชากรผู้สูงอายุของจีนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของประชากรชนชั้นกลาง และการขยายตัวของประชากรเมือง เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม Healthcare ในประเทศจีน อัตราประชากรในประเทศจีนที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป อัตราประชากรในประเทศจีนที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก World Bank ณ วันที่ 31/12/2019) ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก World Bank ณ วันที่ 31/12/2019) รัฐบาลจีนส่งเสริมอุตสาหกรรม Biotech อย่างเต็มกำลัง กรุงปักกิ่งได้ระบุให้เทคโนโลยีชีวภาพหรือ Biotech เป็นหนึ่งใน 10 ภาคส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ พร้อมมีแผนเปลี่ยนจีนให้เป็นโรงไฟฟ้าในอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าสูง กรุงปักกิ่งได้ระบุให้เทคโนโลยีชีวภาพหรือ Biotech เป็นหนึ่งใน 10 ภาคส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ พร้อมมีแผนเปลี่ยนจีนให้เป็นโรงไฟฟ้าในอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าสูง ออกใบอนุญาตสำหรับการจำหน่ายยาที่คิดค้นขึ้นมาใหม่และสารเคมีที่ใช้สำหรับการวินิจฉัยโรค เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลการดูแลสุขภาพ สรรหาผู้ที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีชีวภาพ สร้างสวนสาธารณะ Biotech ทั่วประเทศ ออกใบอนุญาตสำหรับการจำหน่ายยาที่คิดค้นขึ้นมาใหม่และสารเคมีที่ใช้สำหรับการวินิจฉัยโรค เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลการดูแลสุขภาพ สรรหาผู้ที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีชีวภาพ สร้างสวนสาธารณะ Biotech ทั่วประเทศ ผนึกกำลังเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีนไปพร้อมกับ UCHI กองทุน UCHI หรือกองทุน United China Healthcare Innovation Fund จากบลจ.ยูโอบี (UOB) มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านเฮลท์แคร์ (Healthcare) ของประเทศจีน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมด้านเฮลท์แคร์ (Healthcare Innovation) ของประเทศจีน เช่น การพัฒนาและค้นคว้าด้านเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ การบริหารสถานพยาบาล การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาจีนแผนโบราณ ระบบไอทีด้านการดูแลสุขภาพ เป็นต้น กองทุน UCHI หรือกองทุน United China Healthcare Innovation Fund จากบลจ.ยูโอบี (UOB) มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านเฮลท์แคร์ (Healthcare) ของประเทศจีน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมด้านเฮลท์แคร์ (Healthcare Innovation) ของประเทศจีน เช่น การพัฒนาและค้นคว้าด้านเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ การบริหารสถานพยาบาล การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาจีนแผนโบราณ ระบบไอทีด้านการดูแลสุขภาพ เป็นต้น อุตสาหกรรม Healthcare ของประเทศจีนที่มีความหลากหลาย อุตสาหกรรม Healthcare ของประเทศจีนที่มีความหลากหลาย ที่มา: KraneShares ที่มา: KraneShares กองทุน UCHI ลงทุนในหลักทรัพย์อะไรบ้าง? สำหรับหลักทรัพย์ที่กองทุน UCHI ลงทุนเป็นกองทุนหลัก (Master Fund) มีอยู่ 2 กองทุนด้วยกัน ได้แก่ สำหรับหลักทรัพย์ที่กองทุน UCHI ลงทุนเป็นกองทุนหลัก (Master Fund) มีอยู่ 2 กองทุนด้วยกัน ได้แก่ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF กองทุนจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 โดยดัชนีดังกล่าวเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเพื่อติดตามผลการดำเนินงานในตลาดตราสารทุนของบริษัทจีนที่มีธุรกิจในอุตสาหกรรม Healthcare หลักทรัพย์ในดัชนีประกอบด้วยหุ้นซึ่งจดทะเบียนในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา ตราสารที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกจะต้องได้รับการจัดประเภทภายใต้ มาตรฐานการจัดประเภทอุตสาหกรรมทั่วโลก (Global Industry Classification Standard) ให้อยู่ในอุตสาหกรรม Healthcare ผู้ออกที่รวมอยู่ในดัชนีอ้างอิงอาจรวมถึงบริษัทขนาดเล็ก ขนาด กลาง และขนาดใหญ่ กองทุนจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 โดยดัชนีดังกล่าวเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเพื่อติดตามผลการดำเนินงานในตลาดตราสารทุนของบริษัทจีนที่มีธุรกิจในอุตสาหกรรม Healthcare หลักทรัพย์ในดัชนีประกอบด้วยหุ้นซึ่งจดทะเบียนในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา ตราสารที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกจะต้องได้รับการจัดประเภทภายใต้ มาตรฐานการจัดประเภทอุตสาหกรรมทั่วโลก (Global Industry Classification Standard) ให้อยู่ในอุตสาหกรรม Healthcare ผู้ออกที่รวมอยู่ในดัชนีอ้างอิงอาจรวมถึงบริษัทขนาดเล็ก ขนาด กลาง และขนาดใหญ่ KURE Portfolio Characteristics (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) KURE Portfolio Characteristics (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) ที่มา: KraneShares ที่มา: KraneShares Top 10 Holdings ของ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) Top 10 Holdings ของ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) ที่มา: ที่มา: WuXi Biologics Cayman — บริษัทดำเนินธุรกิจหลักในการจัดหา วิจัย พัฒนา และการบริการด้านชีววิทยา นอกจากนี้บริษัทยังมีโรงงานผลิตวัคซีนเพื่อจำหน่ายทั่วโลก โดยดำเนินธุรกิจทั้งในจีนและต่างประเทศ เช่น อเมริกาเหนือ ยุโรป และประเทศอื่น ๆ Jiangsu Hengrui Medicine — บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายยาเม็ด ยาฉีด และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยา กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักประกอบด้วย ยาต้านมะเร็ง, ยา angiomyocardiac, ยาที่ใช้ในการผ่าตัด, ยาปฏิชีวนะ และอื่น ๆ โดย จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ Shenzhen Mindray Bio-Medical Electronics — ผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัย พัฒนา ผลิต รวมไปถึงการจำหน่าย นอกจากนี้บริษัทยังมีส่วนร่วมในการจัดหาโซลูชั่นแบบครบวงจรให้กับสถาบันทางการแพทย์อีกด้วย — บริษัทดำเนินธุรกิจหลักในการจัดหา วิจัย พัฒนา และการบริการด้านชีววิทยา นอกจากนี้บริษัทยังมีโรงงานผลิตวัคซีนเพื่อจำหน่ายทั่วโลก โดยดำเนินธุรกิจทั้งในจีนและต่างประเทศ เช่น อเมริกาเหนือ ยุโรป และประเทศอื่น ๆ — บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายยาเม็ด ยาฉีด และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยา กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักประกอบด้วย ยาต้านมะเร็ง, ยา angiomyocardiac, ยาที่ใช้ในการผ่าตัด, ยาปฏิชีวนะ และอื่น ๆ โดย จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ — ผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัย พัฒนา ผลิต รวมไปถึงการจำหน่าย นอกจากนี้บริษัทยังมีส่วนร่วมในการจัดหาโซลูชั่นแบบครบวงจรให้กับสถาบันทางการแพทย์อีกด้วย Global X China Biotech ETF Global X China Biotech ETF เป็นกองทุน ETF แบบ Passive ที่มีวัตถุประสงค์ให้ผลการดำเนินงานก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายสอดคล้องไปผลการดำเนินงานของ Solactive China Biotech Index NTR โดยดัชนีดังกล่าวกำหนด Universe การลงทุนต้องเป็นบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศจีนหรือฮ่องกงที่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด เป็นกองทุน ETF แบบ Passive ที่มีวัตถุประสงค์ให้ผลการดำเนินงานก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายสอดคล้องไปผลการดำเนินงานของ Solactive China Biotech Index NTR โดยดัชนีดังกล่าวกำหนด Universe การลงทุนต้องเป็นบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศจีนหรือฮ่องกงที่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด Industry Breakdown ของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 29/01/2021) Industry Breakdown ของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 29/01/2021) ที่มา: Global X China Biotech ETF Factsheet ที่มา: Global X China Biotech ETF Factsheet Top 10 Holdings ของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) Top 10 Holdings ของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) ที่มา: ที่มา: BeiGene — บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับชีวเภสัชภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนา การผลิตและการขายยาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในระดับโมเลกุลและภูมิคุ้มกันวิทยาสำหรับการรักษาโรคมะเร็ง WuXi AppTec — บริษัทผู้ผลิต จัดหา วิจัยและพัฒนายาที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ (R&D) พร้อมให้บริการเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทมีศูนย์การศึกษาขนาดเล็กในการวิจัย พัฒนา ผลิตยา ตลอดจนการให้บริการทดสอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ Shenzhen Kangtai Biological Products — บริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาการผลิตและจำหน่ายวัคซีน ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทได้แก่ ไวรัสตับอักเสบบีชนิดรีคอมบิแนนท์, วัคซีนรวมฮีโมฟิลัสอินฟลูเอนเซชนิดบี, วัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยดำเนินธุรกิจเฉพาะตลาดในประเทศเท่านั้น — บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับชีวเภสัชภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนา การผลิตและการขายยาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในระดับโมเลกุลและภูมิคุ้มกันวิทยาสำหรับการรักษาโรคมะเร็ง — บริษัทผู้ผลิต จัดหา วิจัยและพัฒนายาที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ (R&D) พร้อมให้บริการเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทมีศูนย์การศึกษาขนาดเล็กในการวิจัย พัฒนา ผลิตยา ตลอดจนการให้บริการทดสอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ — บริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาการผลิตและจำหน่ายวัคซีน ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทได้แก่ ไวรัสตับอักเสบบีชนิดรีคอมบิแนนท์, วัคซีนรวมฮีโมฟิลัสอินฟลูเอนเซชนิดบี, วัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยดำเนินธุรกิจเฉพาะตลาดในประเทศเท่านั้น ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ผลการดำเนินงานของ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020 และ วันที่ 31/01/2021) ผลการดำเนินงานของ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020 และ วันที่ 31/01/2021) ที่มา: ที่มา: ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) ผลการดำเนินงานของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) ที่มา: ที่มา: ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** อย่างที่บอกไปในช่วงต้นบทความว่า Master Fund ของกองทุน UCHI ทั้ง 2 กองทุนล้วนแล้วแต่มีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการกองทุนแบบ Passive นั่นคือมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนให้ผลการดำเนินงานสอดคล้องไปกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 Index และ ดัชนี Solactive China Biotech Index NTR ดังนั้นผลการดำเนินงานของ Master Fund จึงใกล้เคียงกับดัชนีเปรียบเทียบทั้ง 2 ดัชนี อย่างที่บอกไปในช่วงต้นบทความว่า Master Fund ของกองทุน UCHI ทั้ง 2 กองทุนล้วนแล้วแต่มีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการกองทุนแบบ Passive นั่นคือมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนให้ผลการดำเนินงานสอดคล้องไปกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 Index และ ดัชนี Solactive China Biotech Index NTR ดังนั้นผลการดำเนินงานของ Master Fund จึงใกล้เคียงกับดัชนีเปรียบเทียบทั้ง 2 ดัชนี ปัจจัยความเสี่ยงของกองทุน UCHI กองทุน UCHI จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 7 โดยมีปัจจัยความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ กองทุน UCHI จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 7 โดยมีปัจจัยความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD): >25% (สูง) ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรม Healthcare ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD): >25% (สูง) ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรม Healthcare ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรม Healthcare ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุน โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนจากฟินโนมีนาได้ที่ อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุน โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนจากฟินโนมีนาได้ที่ t/ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ของกองทุน UCHI ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.605% ค่าธรรมเนียมการขายและ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.8532% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.605% ค่าธรรมเนียมการขายและ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.8532% เงินลงทุนขั้นต่ำในการลงทุน UCHI มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: ไม่กำหนด มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: ไม่กำหนด มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: ไม่กำหนด มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: ไม่กำหนด สรุป 4 ข้อกองทุน UCHI มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้าน Healthcare ของประเทศจีน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมด้าน Healthcare ของประเทศจีน ให้น้ำหนักกับสัดส่วนการลงทุนไปที่ภาคอุตสาหกรรม Healthcare จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 7 โดยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาท ก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผนึกกำลังของเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีนพร้อมกับ UCHI ได้ มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้าน Healthcare ของประเทศจีน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมด้าน Healthcare ของประเทศจีน ให้น้ำหนักกับสัดส่วนการลงทุนไปที่ภาคอุตสาหกรรม Healthcare จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 7 โดยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาท ก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผนึกกำลังของเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีนพร้อมกับ UCHI ได้ กองทุน UCHI เหมาะกับใคร ? ผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำทางด้าน Healthcare ในประเทศจีน ผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังอุตสาหกรรม Healthcare ผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ผู้ที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงยาวได้ ผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำทางด้าน Healthcare ในประเทศจีน ผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังอุตสาหกรรม Healthcare ผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ผู้ที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงยาวได้ — planet 46. — planet 46. — planet 46. สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: อ้างอิง อ้างอิง คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
หลักทรัพย์ที่กองทุน UCHI ลงทุนเป็นกองทุนหลัก (Master Fund) มีอยู่ 2 กองทุนด้วยกัน ได้แก่ 1. KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF กองทุนจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 โดยดัชนีดังกล่าวเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเพื่อติดตามผลการดำเนินงานในตลาดตราสารทุนของบริษัทจีนที่มีธุรกิจในอุตสาหกรรม Healthcare หลักทรัพย์ในดัชนีประกอบด้วยหุ้นซึ่งจดทะเบียนในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา ตราสารที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกจะต้องได้รับการจัดประเภทภายใต้มาตรฐานการจัดประเภทอุตสาหกรรมทั่วโลก (Global Industry Classification Standard) ให้อยู่ในอุตสาหกรรม Healthcare ผู้ออกที่รวมอยู่ในดัชนีอ้างอิงอาจรวมถึงบริษัทขนาดเล็ก ขนาด กลาง และขนาดใหญ่ 2. Global X China Biotech ETF เป็นกองทุน ETF แบบ Passive ที่มีวัตถุประสงค์ให้ผลการดำเนินงานก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายสอดคล้องไปผลการดำเนินงานของ Solactive China Biotech Index NTR โดยดัชนีดังกล่าวกำหนด Universe การลงทุนต้องเป็นบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศจีนหรือฮ่องกงที่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1717
Finance
สิทธิลดหย่อนภาษีเพื่อการเกษียณ กลุ่ม “ร่วมด้วยช่วยออม” มีอะไรบ้าง
null
สิทธิลดหย่อนภาษีเพื่อการเกษียณ กลุ่ม “ร่วมด้วยช่วยออม” เมื่อออมแล้วจะมีคนสมทบเงินออมเพิ่มให้ด้วย - กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) เป็นระบบการออมเพื่อการเกษียณสำหรับพนักงานประจำในบริษัทเอกชน บังคับพนักงานออมเงินโดยการหักเงินสะสมออกจากเงินเดือนให้อัตโนมัติ เริ่มต้นที่ 3% ไปจนถึงสูงสุดที่ 15% ของเงินเดือน ออมเท่าไหร่ลดหย่อนได้เท่านั้น นายจ้างจะมีหน้าที่ต้องสมทบเงินออมให้ด้วยไม่น้อยกว่าที่ลูกจ้างได้สะสมเข้ามาด้วย - กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) สำหรับข้าราชการทุกคน เป็นระบบการบังคับออมลักษณะใกล้เคียงกันกับ Provident fund คือ ออมขั้นต่ำ 3% ของเงินเดือน สูงสุดออมเพิ่มได้ถึง 15% ต่อเดือน แต่ที่แตกต่างคือนายจ้าง (รัฐบาล) จะสมทบเงินออมให้ไม่เกิน 3% เท่านั้น มีการสมทบเงินในส่วน “เงินชดเชย” โดยข้าราชการจะได้รับเงินชดเชยก็ต่อเมื่อตอนเกษียณแล้วเลือกรับเงินบำนาญเท่านั้น - กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน สำหรับบุคลากรทางการศึกษา ในโรงเรียนเอกชน ลูกจ้างหักสะสมจากเงินเดือน 3% โรงเรียนในฐานะนายจ้างสมทบเงินให้อีก 3% รัฐช่วยสมทบให้อีก 6% - กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เป็นกองทุนเดียวที่ใช้ความสมัครใจ ไม่บังคับออม เป็นระบบการออมเพื่อการเกษียณที่ออกแบบมาเพื่อ Freelance และผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนโดยเฉพาะ ออมได้สูงสุด 13,200 บาทต่อปี นอกจากลดหย่อนภาษีได้ เมื่อออมแล้วก็จะมีรัฐบาลสมทบเงินให้ด้วย โดยจะกำหนดวงเงินสมทบตามช่วงอายุของผู้ออม เช่น ถ้าอายุระหว่าง 15 – 30 ปี รัฐจะสมทบเงินออมให้ 50% แต่จะไม่เกิน 600 บาท เป็นต้น ยิ่งอายุมากขึ้น รัฐก็จะสมทบให้มากขึ้นไปอีก ถ้าออมครบตามเงื่อนไข ก็จะได้รับบำนาญตลอดชีพด้วย สิ่งที่น่าสนใจสำหรับกลุ่ม “ร่วมด้วยช่วยออม” เป็นการออมเพื่อการเกษียณที่ได้ประโยชน์หลายเด้ง ได้วินัยการออม ได้เงินออมเพิ่มจากนายจ้างหรือภาครัฐ แล้วยังลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในแต่ละช่วงเวลา ผู้ออมจะได้รับเงินสมทบจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง เพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น อย่างเช่น พนักงานประจำที่ได้สะสมเงินใน Provident fund และกองทุนประกันสังคมอยู่แล้ว ก็จะไปออมเงินใน กอช. เพื่อให้ได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลด้วยอีกไม่ได้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1727
Finance
กองทุน TMBCOF มีความโดดเด่นหรือจุดเด่นอย่างไรที่ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ?
หัวข้อ เจาะลึกโอกาสลงทุนใน “ประเทศจีน” ผ่านกองทุน TMBCOF, KT-ASHARES-A, UCI I FUND OF FAME EP1 พลาดไม่ได้เด็ดขาดสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในประเทศจีน คลิปนี้คุณมาร์ช BuffettCode จะพาไปเจาะลึก 3 กองทุนจีนสุดฮอตอย่าง TMBCOF, KT-ASHARES-A และ UCI พร้อมพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ ถึงโอกาสการลงทุนในประเทศจีน! รับชมพร้อมกันวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 12:00 น.
กองทุน TMBCOF (TMB China Opportunity Fund) มีจุดเด่นและความโดดเด่นหลายประการที่ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในประเทศจีน ดังนี้ 1. การเข้าถึงโอกาสการเติบโตในเศรษฐกิจจีน - เศรษฐกิจจีนเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก กองทุน TMBCOF มีการลงทุนในบริษัทชั้นนำของจีนที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง 2. การจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ - กองทุนนี้มีทีมผู้จัดการการลงทุนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาดและการคัดเลือกหุ้นในประเทศจีน ทำให้สามารถเลือกหุ้นที่มีศักยภาพสูงและลดความเสี่ยงในการลงทุน 3. การกระจายการลงทุน - กองทุน TMBCOF มีการกระจายการลงทุนในหลากหลายภาคส่วนและอุตสาหกรรมในประเทศจีน ทำให้ลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นเพียงไม่กี่ตัวหรือในอุตสาหกรรมเดียว 4. ความยืดหยุ่นในการลงทุน - กองทุนนี้มีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตโฟลิโอตามสภาวะตลาดและแนวโน้มเศรษฐกิจ ทำให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างรวดเร็ว 5. โอกาสในการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม - ประเทศจีนเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมหลายด้าน กองทุน TMBCOF มีการลงทุนในบริษัทที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงในอนาคต 6. นโยบายการลงทุนที่เน้นความยั่งยืน - กองทุนนี้อาจมีนโยบายการลงทุนที่คำนึงถึงความยั่งยืนและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนหลายคนให้ความสำคัญในปัจจุบัน การลงทุนในกองทุน TMBCOF จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าถึงโอกาสการเติบโตในประเทศจีนผ่านการจัดการที่มีประสิทธิภาพและการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1732
Finance
ในการเลือกประกันสุขภาพ ถ้าเป็นโรคร้ายแรงหลายโรค จะเคลมพร้อมกันได้หรือไม่
a. ไม่ได้ หากเกิดโรคร้ายแรงขึ้น ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาทันที b. ได้ แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแบบประกันของแต่ละบริษัท c. ได้ แต่จะจ่ายเคลมให้อีกโรค ก็ต่อเมื่อเป็นระยะไม่รุนแรง d. ไม่ได้ จะจ่ายก็ต่อเมื่อโรคแรกกับโรคที่สองต้องมีระยะเวลาเท่ากัน
คำตอบคือ b. เนื่องจาก ถ้าเป็นโรคร้ายแรงหลายโรค จะเคลมพร้อมกันได้หรือเปล่า ? คำตอบคือ “ได้” แต่บริษัทรับประกันจะจ่ายให้แบบไหน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแบบประกัน ยกตัวอย่างเช่น ▪ บางที่จะจ่ายเคลมให้อีกโรค ก็ต่อเมื่อเป็นระยะรุนแรงมากเท่านั้น ▪ บางที่จะจ่ายก็ต่อเมื่อโรคแรกกับโรคที่สองต้องมีระยะเวลาห่างกัน เช่น มีการกำหนดเงื่อนไขว่า โรคแรก กับโรคที่สอง ต้องมีระยะห่างกันตั้งแต่ 90 วัน หรือ บางแห่งอาจกำหนดระยะเวลา 1 ปี เป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริง หากเกิดโรคร้ายแรงขึ้น ก็จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาทันที ไม่สามารถรอได้ ตามเงื่อนไขแบบนั้น ดังนั้นถ้าจะเลือกประกันที่คุ้มครองโรคร้ายแรง อย่าลืมดูเงื่อนไขเรื่องการเคลมโรคร้ายแรงครั้งที่ 2 3 4 ด้วยว่ามีเงื่อนไขที่ไม่ได้อ่านหรือไม่
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0