ID
stringlengths 9
13
| Domain
stringclasses 4
values | Instruction
stringlengths 9
894
| Input
stringlengths 19
65.5k
⌀ | Output
stringlengths 36
31.6k
| Tags
stringlengths 10
772
⌀ | Task_type
stringclasses 7
values | License
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
Retail_55963 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการดำเนินธุรกิจ | null | ไฟเย็นในวิกฤต: กลยุทธ์เด็ดของเซ็น กรุ๊ป
ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร บนตึกสูงระฟ้าแห่งหนึ่ง บุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็น กรุ๊ป กำลังจ้องมองไปยังทิวทัศน์เมืองเบื้องล่าง เมืองที่เต็มไปด้วยสีสันและผู้คน แต่ทว่า ณ ขณะนี้ เมืองที่เคยคึกคักกลับเงียบเหงาลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนต่างหลบซ่อนตัวอยู่ภายในบ้าน
สาเหตุก็คือ โรคร้าย COVID-19 ที่กำลังระบาดไปทั่วโลก ผู้คนต่างหวาดกลัว ไม่กล้าออกจากบ้าน ร้านอาหารต่างๆ ต่างต้องปิดตัวลง
เซ็น กรุ๊ป หนึ่งในธุรกิจร้านอาหารชั้นนำของไทย ก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รายได้ของบริษัทหดหายลงอย่างมาก บุญยงรู้ดีว่า เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกอบกู้ธุรกิจของเขา
"เราต้องปรับตัว" บุญยงพูดกับตัวเอง "เราต้องหาทางใหม่เพื่อเอาชนะวิกฤตครั้งนี้"
บุญยงเริ่มต้นศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในช่วงวิกฤต เขาพบว่า ผู้คนเริ่มสั่งอาหารเดลิเวอรี่มากขึ้น เพราะไม่กล้าออกจากบ้าน
"นี่คือโอกาสของเรา" บุญยงคิด
บุญยงตัดสินใจปรับกลยุทธ์ของเซ็น กรุ๊ป มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจเดลิเวอรี่ เขาปรับปรุงระบบการสั่งอาหารออนไลน์ พัฒนาเมนูใหม่ที่เหมาะกับการเดลิเวอรี่ และขยายพื้นที่ครัวกลางเพื่อรองรับออเดอร์ที่เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ บุญยงยังจับมือกับพันธมิตรรายใหม่ เพื่อขยายฐานลูกค้า เขาร่วมมือกับกลุ่มบริษัท หาดทิพย์ จำกัด ขยายร้านอาหาร "เขียง" ไปยังภาคใต้
กลยุทธ์ใหม่ของบุญยงประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ยอดขายเดลิเวอรี่ของเซ็น กรุ๊ป พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ธุรกิจของเขาเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
"วิกฤตครั้งนี้ สอนให้เรารู้ว่า เราต้องไม่หยุดนิ่ง เราต้องปรับตัวและหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ" บุญยงกล่าว | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_55971 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ช่วยให้ธุรกิจปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ทัน | null | ไฟส่องทาง: บทเรียนจาก Day 1 ของ Amazon
ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร หญิงสาวชื่อ "พิม" กำลังเผชิญคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดเข้าใส่ธุรกิจร้านขายของชำของครอบครัว ร้าน "บ้านสบาย" กำลังถูกคุกคามจากยักษ์ใหญ่ในวงการค้าปลีกอย่าง "ช้อปสะดวก" ที่มีสินค้าหลากหลาย ราคาถูก และบริการจัดส่งรวดเร็ว พิมรู้สึกท้อแท้ หวาดกลัว อนาคตของร้านบ้านสบายดูมืดมน
วันหนึ่ง พิมได้อ่านบทความเกี่ยวกับปรัชญา "Day 1" ของ Amazon บทความนี้จุดประกายความคิดใหม่ให้กับเธอ พิมเริ่มเข้าใจว่า Amazon ประสบความสำเร็จได้อย่างไร เพราะพวกเขาไม่เคยหยุดนิ่ง คิดริเริ่ม มองหาโอกาสใหม่ ๆ อยู่เสมอ พิมตัดสินใจนำปรัชญา Day 1 มาปรับใช้กับร้านบ้านสบาย
การเปลี่ยนแปลงครั้งแรก คือ พิมเริ่ม "ใส่ใจลูกค้าอย่างจริงจัง" เธอลงพื้นที่พูดคุยกับลูกค้า สังเกตพฤติกรรม จดบันทึกความต้องการ พิมค้นพบว่า ลูกค้าต้องการสินค้าสดใหม่ สะดวก รวดเร็ว และราคาไม่แพง พิมปรับกลยุทธ์ใหม่ เน้นสินค้าสดใหม่ ปรับราคาให้แข่งขันได้ และเพิ่มบริการจัดส่งถึงบ้าน
การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สอง คือ พิม "ต่อต้านตัวกลาง" เธอตัดสินใจขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มของผู้อื่น พิมลงทุนเรียนรู้วิธีสร้างเว็บไซต์ ฝึกถ่ายรูปสินค้า เขียนคำโฆษณา และทำการตลาดออนไลน์
การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สาม คือ พิม "เปิดรับเทรนด์ใหม่ ๆ" เธอเริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ เช่น การใช้ระบบสต๊อกสินค้าออนไลน์ การใช้ระบบชำระเงินออนไลน์ และการใช้โซเชียลมีเดีย
การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สี่ คือ พิม "ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว" เธอไม่ลังเลที่จะลองทำสิ่งใหม่ ๆ เรียนรู้จากความผิดพลาด ปรับแก้ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ร้านบ้านสบายกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยอดขายเพิ่มขึ้น ลูกค้าพึงพอใจ พิมรู้สึกภูมิใจที่เธอสามารถต่อสู้กับยักษ์ใหญ่และรักษาธุรกิจของครอบครัวไว้ได้ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_55982 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง...."การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ" ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ร้านขายของชำเล็กๆ แห่งนี้ เปรียบเสมือนตัวแทนของธุรกิจขนาดเล็กที่สามารถปรับตัว นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม | null | กล่องรักษ์โลก: บททดสอบของร้านขายของชำ
ณ ร้านขายของชำเล็กๆ แห่งหนึ่ง ใจกลางเมืองที่คึกคัก "คุณป้าสมใจ" เจ้าของร้าน กำลังกุมขมับด้วยความกังวล กองกระดาษลังจากสินค้าที่ขายหมดท่วมท้นพื้นที่หลังร้าน ปัญหาขยะบรรจุภัณฑ์กลายเป็นภาระหนักอึ้ง
"ทำยังไงดีนะ" คุณป้าสมใจครุ่นคิด หาทางออก
"ป้าครับ ป้าลองใช้กล่องกระดาษรีไซเคิลแทนสิครับ" เด็กหนุ่มหน้าใสคนหนึ่งในร้านเอ่ยขึ้น เขาคือ "ต้น" นักศึกษามหาวิทยาลัยที่มักมาช่วยงานร้าน
"กล่องกระดาษรีไซเคิลเหรอ?" คุณป้าสมใจสงสัย "มันจะแข็งแรงทนทานพอเหรอ?"
"ปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตกล่องกระดาษรีไซเคิลพัฒนาไปไกลมากครับ กล่องมีความแข็งแรง ทนทาน กันน้ำ ไม่แพ้กล่องกระดาษทั่วไปเลย" ต้นอธิบาย
"จริงเหรอ?" คุณป้าสมใจเริ่มสนใจ "แล้วราคาล่ะ?"
"ราคาถูกกว่ากล่องกระดาษทั่วไปด้วยครับ ที่สำคัญ ยังช่วยลดโลกร้อน รักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย"
คุณป้าสมใจยิ้มกว้าง "งั้นลองดูก็ไม่เสียหาย เดี๋ยวป้าจะลองสั่งมาใช้ดู"
---
หลังจากลองใช้กล่องกระดาษรีไซเคิล ลูกค้าหลายคนเริ่มสังเกตและสอบถาม คุณป้าสมใจจึงอธิบายถึงข้อดีของกล่องรีไซเคิล ลูกค้าหลายคนรู้สึกประทับใจและเริ่มสนับสนุนแนวคิดรักษ์โลก
"ป้าครับ ผมชอบกล่องกระดาษแบบใหม่นะ รู้สึกดีที่ได้ช่วยลดขยะ"
"ใช่ค่ะ กล่องก็น่ารักดีด้วย แถมยังแข็งแรง ทนทาน ดีกว่ากล่องแบบเก่าอีก"
เสียงชื่นชมจากลูกค้าทำให้คุณป้าสมใจรู้สึกภูมิใจ
---
ร้านขายของชำเล็กๆ แห่งนี้ กลายเป็นตัวอย่างของการนำกล่องกระดาษรีไซเคิลมาใช้ในธุรกิจ Retail แสดงให้เห็นว่า แนวคิดรักษ์โลกไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริษัทใหญ่ๆ แต่ร้านค้าเล็กๆ ก็สามารถปรับตัวและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้
บทสรุป
กล่องกระดาษรีไซเคิล ไม่ได้เป็นแค่ "กล่อง" แต่เป็น "สัญลักษณ์" ของความรับผิดชอบต่อสังคม เป็น "ตัวแทน" ของการเปลี่ยนแปลง และเป็น "บททดสอบ" ของธุรกิจ Retail ในยุคใหม่ ที่ต้องปรับตัวและสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรและการรักษาสิ่งแวดล้อม | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_55993 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ธุรกิจค้าปลีก กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้เล่นต้องปรับตัว มองหาโอกาส และพร้อมที่จะดิสรัปต์ | null | เกมพลิกบัลลังก์ค้าปลีก
ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร บนตึกสูงระฟ้า ประกายไฟแห่งการต่อสู้อันดุเดือดกำลังปะทุขึ้น ท่ามกลางข่าวลือหนาหูว่า เทสโก้ โลตัส ห้างสรรพสินค้าเจ้าใหญ่ กำลังเตรียมตัวขายกิจการ ผู้เล่นรายใหญ่ในวงการค้าปลีก ต่างเตรียมทัพ ลับคม ขัดเกลา กลยุทธ์ หวังคว้าชัยชนะในเกมพลิกบัลลังก์ครั้งนี้
"ธันวา" ทายาทรุ่นที่ 3 ของกลุ่มเซ็นทรัล ชายหนุ่มไฟแรง ผู้เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ มองการไกล เขารู้ดีว่า การได้ครอบครองเทสโก้ โลตัส เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญ ที่จะปลดล็อกประตูสู่อาณาจักรค้าปลีกอันยิ่งใหญ่
"วุธ" ซีอีโอมากประสบการณ์ จากกลุ่มซีพี ชายผู้คร่ำหวอดในสนามธุรกิจ รู้ดีว่า เทสโก้ โลตัส คือชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ ที่จะเติมเต็มอาณาจักรของเขาให้สมบูรณ์แบบ
"ชานนท์" นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ผู้กุมบังเหียนกลุ่มทีซีซี มองเห็นโอกาสทอง ที่จะพลิกโฉมธุรกิจค้าปลีก ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย
ทั้งสามต่างเตรียมแผนประมูลอย่างรัดกุม ธันวา มุ่งเน้นกลยุทธ์ผสมผสานระหว่างออฟไลน์และออนไลน์ มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ วุธ ชูจุดแข็งด้านเครือข่ายธุรกิจ มุ่งขยายฐานลูกค้าไปยังต่างจังหวัด ชานนท์ เน้นกลยุทธ์ดิสรัปต์ นำเทคโนโลยีมาพลิกโฉมประสบการณ์การช้อปปิ้ง
เสียงกระซิบ จากแหล่งข่าววงใน บอกเล่าเรื่องราวการต่อรองราคาอันดุเดือด ธันวา ยื่นข้อเสนอสูงที่สุด มุ่งหวังปิดเกมให้เร็วที่สุด วุธ เดิมพันด้วยเครือข่ายธุรกิจ มุ่งคว้าชัยชนะด้วยความคุ้มค่า ชานนท์ เสนอราคาที่ท้าทาย พร้อมกลยุทธ์ล้ำสมัย ดึงดูดใจผู้ขาย
เกมพลิกบัลลังก์ คงต้องรอดูว่า ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะ ครอบครองเทสโก้ โลตัส
บทสรุป เกมธุรกิจ เปรียบเสมือนเกมพลิกบัลลังก์ ผู้เล่นแต่ละคน ต่างมีกลยุทธ์ มีจุดแข็ง มีจุดอ่อน ชัยชนะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทุนเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และความกล้าที่จะแหกกฎเดิม ๆ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56029 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....แพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Zilingo Asia Mall ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถแข่งขันในตลาดค้าปลีกได้ | null | เส้นด้ายแห่งโอกาส
ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร แสงไฟจากตึกสูงระฟ้าสาดส่องลงมาบนถนนสายธุรกิจ ช่างเป็นภาพที่คุ้นตาสำหรับ 'วรัญญา' หญิงสาวผู้ฝันใฝ่ที่จะสร้างอาณาจักรแฟชั่นของตัวเอง เธอเริ่มต้นจากร้านขายเสื้อผ้าขนาดกะทัดรัด ต่อสู้กับอุปสรรคมากมายในโลกค้าปลีก
วรัญญามีความมุ่งมั่นตั้งใจ แต่เธอก็รู้ดีว่าหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล เธอจำเป็นต้องหาเครื่องมือที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจให้เติบโต
วันหนึ่ง เพื่อนสนิทของวรัญญาแนะนำให้เธอรู้จักกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซน้องใหม่นามว่า "Zilingo Asia Mall" แพลตฟอร์มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยอย่างเธอโดยเฉพาะ วรัญญาตัดสินใจลองใช้งาน Zilingo Asia Mall ด้วยความหวัง
ในตอนแรก วรัญญากังวลว่าระบบออนไลน์จะยุ่งยากเกินไป แต่เธอกลับพบว่า Zilingo Asia Mall ใช้งานง่าย สะดวก มีระบบจัดการสินค้าคลัง คำสั่งซื้อ และการขนส่งอย่างครบวงจร ทีมงาน Zilingo Asia Mall คอยให้คำปรึกษาและสนับสนุนอย่างใกล้ชิด
วรัญญาเริ่มใช้ Zilingo Asia Mall โปรโมทร้านของเธอไปยังลูกค้าในวงกว้าง สินค้าของเธอเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ยอดขายพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ วรัญญาสามารถขยายธุรกิจของเธอจากร้านเล็กๆ สู่ร้านค้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ
วรัญญารู้สึกขอบคุณ Zilingo Asia Mall ที่ช่วยให้เธอสามารถบรรลุความฝัน เธอได้เรียนรู้ว่าโลกของธุรกิจค้าปลีกนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ Zilingo Asia Mall กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เธอสามารถแข่งขันในตลาดที่เต็มไปด้วยความท้าทาย | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56053 | Retail | ขอคำแนะนำหน่อย เกี่ยวกับข้อมูลและสถิติที่น่าสนใจของอิเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปีงบประมาณ 2562 | null | ตลอดปีงบประมาณ (ก.ย. – ส.ค.) IKEA เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีผู้มาเยี่ยมชมสโตร์กว่า 98 ล้านคน เปิดให้บริการอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเป็นครั้งแรก เริ่มโครงการก่อสร้างสโตร์และศูนย์การค้าในทำเลใหม่ จำหน่ายตู้หนังสือ BILLY/บิลลี่ ไปกว่า 113,000 ตู้ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ อีกมากมาย
อิเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็น 1 ใน 12 แฟรนไชส์ของอิเกีย โดยบริหารงานสโตร์อิเกียรวม 8 แห่งทั่วภูมิภาค ในจำนวนนั้นมี 2 สโตร์ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และศูนย์บริการสั่งซื้อและรับสินค้าอิเกีย 1 แห่งที่จังหวัดภูเก็ต รายได้จากยอดขายของสโตร์เหล่านี้ล้วนรวมอยู่ในผลประกอบการรวมของอิเกียที่ Inter IKEA Group รายงานเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยปีงบประมาณที่ผ่านมาของอิเกียเริ่มต้นเมื่อเดือนกันยายน ปี 2561 และสิ้นสุดในเดือนสิงหาคม ปี 2562
อิเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเจ้าของและบริหารงานสโตร์อิเกียใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เมื่อรวมยอดขายจากแต่ละสโตร์กับรายได้จากการปล่อยให้เช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าของเราซึ่งตั้งอยู่ติดกับสโตร์อิเกียแต่ละแห่งในภูมิภาค (รวมถึงศูนย์การค้าเมกาบางนา) ทำให้รายได้รวมของบริษัทขยับขึ้นไปอยู่ที่ 29,000 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 20 เปอร์เซ็นต์
-เปิดสโตร์อิเกียใหม่ 1 แห่ง ที่ Batu Kawan, Penang ทางตอนเหนือของมาเลเซีย
-อยู่ระหว่างการก่อสร้างสโตร์อิเกียใหม่ 2 แห่ง 1 แห่ง ที่ฟิลิปปินส์ และ 1 แห่ง ที่เม็กซิโก ซึ่งอยู่ในแฟรนไชส์ ของ อิเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน
-ต้อนรับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์กว่า 51.7 ล้านคน ซึ่งมากกว่าปีที่แล้ว 16% ด้วยเว็บไซต์รูปแบบใหม่และแรงบันดาลใจอีกมากมาย
-จำหน่ายหลอดไฟ LED ที่ช่วยประหยัดไฟ 850,000 ดวง ให้แก่ลูกค้าในประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาค
-จัดส่งสินค้าตามรายการสั่งซื้อทั้งหมด 353,000 รายการ ถึงบ้านของลูกค้าในทั้ง 3 ประเทศ มากกว่ายอดในปีที่แล้ว 38%
-ให้บริการประกอบเฟอร์นิเจอร์แก่ลูกค้ารวม 700,000 ชิ้น หรือนาทีละ 3 ชิ้น
-แผงโซลาร์เซลล์จำนวน 28,102 แผง บนดาดฟ้าของสโตร์ช่วยผลิตพลังงานหมุนเวียนและลดต้นทุน
-มีร้านค้าและร้านค้าขนาดเล็กรวม 1,448 ร้านในศูนย์การค้าทั้ง 3 แห่ง (รวมทั้งสโตร์อิเกีย)
-อยู่ระหว่างการก่อสร้างศูนย์การค้าใหม่ 1 แห่ง คือ Toppen ซึ่งตั้งอยู่ติดกับอิเกีย Tebrau ทางตอนใต้ของมาเลเซีย โดยจะเปิดให้บริการวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562
-ยอดขายของ IKEA for Business พุ่งขึ้น 42% โดยจำหน่ายสินค้าให้แก่ลูกค้าที่เลือกซื้อสินค้าอิเกียไปตกแต่งร้านอาหารไปจนถึงห้องชุดตัวอย่าง | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56069 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความฝันสามารถเกิดขึ้นได้จริง หากเรามีความมุ่งมั่นและทุ่มเท | null | กล่องแห่งความฝัน: บทเพลงแห่งการเติบโต
สายลมยามเช้าพัดโชยผ่านเส้นผมของ "ณิชา" หญิงสาวผู้เปี่ยมไปด้วยพลังไฟแห่งความฝัน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอมุ่งมองไปยังตึกสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า นั่นคือ "ศูนย์กระจายสินค้า Omnichannel แห่งใหม่" ของกลุ่มเซ็นทรัล รีเทล สถานที่ซึ่งเปรียบเสมือนกล่องเก็บความฝันอันยิ่งใหญ่ของเธอ
ณิชาเริ่มต้นเส้นทางสายนี้จากการเป็นพนักงานขายในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ด้วยความมุ่งมั่นและใฝ่ฝันอยากเติบโตในสายงานค้าปลีก เธอทุ่มเทเรียนรู้ทุกแง่มุมของธุรกิจ ดูดซับกลยุทธ์ Omnichannel ของเซ็นทรัล รีเทล เข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง
เมื่อศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่เปิดตัว ณิชาได้รับโอกาสทองในการเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน เธอตื่นเต้นกับเทคโนโลยีล้ำสมัย ระบบจัดการคลังสินค้าอัตโนมัติ และระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ
การทำงานในศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โลกใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย ณิชาเรียนรู้เกี่ยวกับระบบการจัดการสินค้า การควบคุมสต๊อก การจัดส่งสินค้าแบบ Omnichannel
เธอมองเห็นภาพรวมของธุรกิจค้าปลีก เข้าใจถึงความสำคัญของโลจิสติกส์ที่มีต่อประสบการณ์ของลูกค้า
ยิ่งเธอทุ่มเททำงานมากเท่าไหร่ ความฝันของเธอก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ณิชาใฝ่ฝันอยากเป็นผู้บริหารหญิงที่ขับเคลื่อนกลยุทธ์ Omnichannel ของเซ็นทรัล รีเทล
เธอมุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี ด้านการตลาด และการวิเคราะห์ข้อมูล
ในเวลาว่าง ณิชาชอบอ่านบทความเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีก ศึกษา案例จากบริษัทชั้นนำทั่วโลก
เธอมองหาแรงบันดาลใจจากผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ หวังสักวันหนึ่งเธอจะสามารถสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับพวกเขา
บทเพลงแห่งการเติบโต ของณิชา ยังคงบรรเลงต่อไป เสียงเพลงนั้นดังก้องกังวาน สะท้อนถึงความฝัน ความมุ่งมั่น และความทุ่มเท
กล่องแห่งความฝัน "ศูนย์กระจายสินค้า Omnichannel" แห่งนี้ จะเป็นเวทีให้เธอได้แสดงศักยภาพและเฉิดฉายบนเส้นทางสายค้าปลีก | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56111 | Retail | THE GREATEST GRAND SALE ผนึกกำลังกลุ่มธุรกิจในเครือมีธุรกิจอะไรบ้าง ? | กลุ่มเซ็นทรัล ผนึกกำลัง 13 ธุรกิจในเครือ นำโดยบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น พร้อมด้วยพันธมิตรธุรกิจ ร้านค้า พาร์ทเนอร์ ได้แก่ บัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน, บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท มาสเตอร์การ์ด (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ยู เอ สปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด ทุ่มงบกว่า500 ล้านบาท เปิดแคมเปญเขย่าวงการ “เดอะ เกรทเทส แกรนด์ เซล 2019: SHOPPING ADDICTS เพราะชีวิตติดช้อป” ตอกย้ำการเป็นเบอร์หนึ่งสำหรับการช้อปปิ้งสินค้าลดราคาช่วงกลางปี ผลักดันเป็นงานเซลระดับประเทศเทียบชั้นฮ่องกง และสิงคโปร์ ชูจุดแข็งของพลังธุรกิจกลุ่มเซ็นทรัล ด้วยกลยุทธ์ Powerful Central Group Synergy ลดกระหน่ำครบที่สุดทุกมิติ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต และช้อปปิ้งออนไลน์ 24 ชั่วโมง ผ่านทางเซ็นทรัลออนไลน์ และ JD Central สมกับเป็นตัวจริงทุกการช้อป ลดสูงสุด 70% กว่า 10,000 แบรนด์ ทุกศูนย์ฯ ทุกห้าง รวม 69 สาขาทั่วประเทศ อัดแคมเปญหนักรวมมูลค่าของรางวัลทั้งสิ้นกว่า 11 ล้านบาท เริ่ม 6 มิถุนายน – 17 กรกฎาคม 2562 รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.centralworld.co.th,www.centralplaza.co.th, www.centralfestival.co.th และ www.centralphuket.com กลุ่มเซ็นทรัล ผนึกกำลัง ธุรกิจในเครือ นำโดยบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น พร้อมด้วยพันธมิตรธุรกิจ ร้านค้า พาร์ทเนอร์ ได้แก่ บัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท มาสเตอร์การ์ด (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ยู เอ สปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด ทุ่มงบกว่า ล้านบาท เปิดแคมเปญเขย่าวงการ เดอะ เกรทเทส แกรนด์ เซล : เพราะชีวิตติดช้อป ตอกย้ำการเป็นเบอร์หนึ่งสำหรับการช้อปปิ้งสินค้าลดราคาช่วงกลางปี ผลักดันเป็นงานเซลระดับประเทศเทียบชั้นฮ่องกง และสิงคโปร์ ชูจุดแข็งของพลังธุรกิจกลุ่มเซ็นทรัล ด้วยกลยุทธ์ ลดกระหน่ำครบที่สุดทุกมิติ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต และช้อปปิ้งออนไลน์ ชั่วโมง ผ่านทางเซ็นทรัลออนไลน์ และ สมกับเป็นตัวจริงทุกการช้อป ลดสูงสุด กว่า แบรนด์ ทุกศูนย์ฯ ทุกห้าง รวม สาขาทั่วประเทศ อัดแคมเปญหนักรวมมูลค่าของรางวัลทั้งสิ้นกว่า ล้านบาท เริ่ม มิถุนายน – กรกฎาคม รายละเอียดเพิ่มเติมที่ และ THE GREATEST GRAND SALE เป็นอภิมหาเทศกาลเซลระดับชาติที่ยิ่งใหญ่และดีที่สุดแห่งปีด้วยพลังของกลุ่มเซ็นทรัลในฐานะผู้นำทางด้านธุรกิจค้าปลีก ซึ่งได้ผนึกกำลังกลุ่มธุรกิจในเครือ 13ธุรกิจต่างๆ ได้แก่ ศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลพัฒนา (เซ็นทรัลเวิลด์-เซ็นทรัลพลาซา-เซ็นทรัลเฟสติวัล–เซ็นทรัลภูเก็ต), ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและเซน, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, ท็อปส์, ซุปเปอร์สปอร์ต, เพาเวอร์บาย, เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป, บีทูเอส, ออฟฟิศเมท, เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป,โรงแรมเซ็นทารา, เดอะวันคาร์ด และเจดี เซ็นทรัล ลดราคาสินค้าและบริการต่างๆ พร้อมกันทั่วประเทศ เป็นอภิมหาเทศกาลเซลระดับชาติที่ยิ่งใหญ่และดีที่สุดแห่งปีด้วยพลังของกลุ่มเซ็นทรัลในฐานะผู้นำทางด้านธุรกิจค้าปลีก ซึ่งได้ผนึกกำลังกลุ่มธุรกิจในเครือ ธุรกิจต่างๆ ได้แก่ ศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลพัฒนา เซ็นทรัลเวิลด์-เซ็นทรัลพลาซา-เซ็นทรัลเฟสติวัล เซ็นทรัลภูเก็ต ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและเซน ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ท็อปส์, ซุปเปอร์สปอร์ต, เพาเวอร์บาย เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป, บีทูเอส ออฟฟิศเมท เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป โรงแรมเซ็นทารา, เดอะวันคาร์ด และเจดี เซ็นทรัล ลดราคาสินค้าและบริการต่างๆ พร้อมกันทั่วประเทศ ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนากล่าวว่า “แคมเปญครั้งนี้ซีพีเอ็นได้ขานรับภาพรวมนโยบายรัฐทุกภาคส่วน ตั้งเป้าเป็น A Must VisitDestination for Mid-year Sale และมุ่งผลักดันให้เป็นเทศกาลเซลแห่งชาติในระดับเอเชีย เทียบชั้นฮ่องกง และสิงคโปร์ สอดคล้องกับ 1) นโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มุ่งให้ประเทศไทยเป็น Preferred Destination ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้านการช้อปปิ้งสินค้าลดราคาช่วงกลางปี 2) นโยบายภาครัฐที่ขยายเวลาการงดเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเดินทางเข้าประเทศไทยจนถึงเดือนตุลาคม 2562 ทำให้คาดว่าเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากกลุ่ม First Visitors และ Repeated visitors ที่เป็นกลุ่มตลาดระดับกลาง-บน ซึ่งมีศักยภาพในการใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาช้อปสินค้าลดราคาในช่วงกลางปี และ 3) มาตรการลดหย่อนภาษีของรัฐบาล ที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายและเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ” ดร ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า แคมเปญครั้งนี้ซีพีเอ็นได้ขานรับภาพรวมนโยบายรัฐทุกภาคส่วน ตั้งเป้าเป็น และมุ่งผลักดันให้เป็นเทศกาลเซลแห่งชาติในระดับเอเชีย เทียบชั้นฮ่องกง และสิงคโปร์ สอดคล้องกับ นโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มุ่งให้ประเทศไทยเป็น ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้านการช้อปปิ้งสินค้าลดราคาช่วงกลางปี 2) นโยบายภาครัฐที่ขยายเวลาการงดเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเดินทางเข้าประเทศไทยจนถึงเดือนตุลาคม 2562 ทำให้คาดว่าเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากกลุ่ม และ ที่เป็นกลุ่มตลาดระดับกลาง-บน ซึ่งมีศักยภาพในการใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาช้อปสินค้าลดราคาในช่วงกลางปี และ 3) มาตรการลดหย่อนภาษีของรัฐบาล ที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายและเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ “เราสร้างแรงสั่นสะเทือนระดับประเทศด้วย Powerful Central Group Synergy ลดกระหน่ำครบที่สุดทุกมิติ ทุก BUs ทั่วประเทศ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรมเซ็นทารา ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต และช้อปปิ้งออนไลน์ 24 ชั่วโมง ผ่านทางเซ็นทรัลออนไลน์ และ JD Central โดยเราเน้นตอบโจทย์ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) กลุ่ม Multi-generation Family คนทุกเพศทุกวัยและนักท่องเที่ยวที่มีความต้องการที่หลากหลายแตกต่างกัน ตอบโจทย์ได้ทั้งกลุ่ม Mass และ Niche ด้วยจุดแข็งด้านความหลากหลายของสินค้าและบริการ โปรโมชั่นที่ถูกใจและคุ้มค่าพร้อมลุ้นรับบัตรกำนัลช้อปปิ้งฟรีมูลค่าสูงสุด 100,000 บาท รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 17% และสิทธิพิเศษมากมายจากบัตรเครดิตและพาร์ทเนอร์ที่ร่วมรายการ 2) กลุ่ม Generation Now คนรุ่นใหม่ที่มีนิสัยไม่ชอบรอ อยากได้ต้องได้เดี๋ยวนี้ ด้วยการผสาน Omni-Channel ช้อปได้ทั้งที่ศูนย์ฯ ที่ห้าง และช่องทางออนไลน์ตลอด 24ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังนำทั้ง Influencer และ Micro-influencers มากระตุ้นอารมณ์การช้อป และ 3)เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง กับโปรโมชั่นสำหรับ Top Spenders ครั้งใหญ่แจกมากที่สุด โดย 448 ท่านแรก รับฟรีตั๋วเครื่องบินไป–กลับ กรุงเทพฯ–ฮ่องกง จากการบินไทย” ดร. ณัฐกิตติ์ กล่าว เราสร้างแรงสั่นสะเทือนระดับประเทศด้วย ลดกระหน่ำครบที่สุดทุกมิติ ทุก ทั่วประเทศ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรมเซ็นทารา ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต และช้อปปิ้งออนไลน์ ชั่วโมง ผ่านทางเซ็นทรัลออนไลน์ และ โดยเราเน้นตอบโจทย์ กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่ม คนทุกเพศทุกวัยและนักท่องเที่ยวที่มีความต้องการที่หลากหลายแตกต่างกัน ตอบโจทย์ได้ทั้งกลุ่ม และ ด้วยจุดแข็งด้านความหลากหลายของสินค้าและบริการ โปรโมชั่นที่ถูกใจและคุ้มค่าพร้อมลุ้นรับบัตรกำนัลช้อปปิ้งฟรีมูลค่าสูงสุด บาท รับเครดิตเงินคืนสูงสุด และสิทธิพิเศษมากมายจากบัตรเครดิตและพาร์ทเนอร์ที่ร่วมรายการ กลุ่ม คนรุ่นใหม่ที่มีนิสัยไม่ชอบรอ อยากได้ต้องได้เดี๋ยวนี้ ด้วยการผสาน ช้อปได้ทั้งที่ศูนย์ฯ ที่ห้าง และช่องทางออนไลน์ตลอด ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังนำทั้ง และ มากระตุ้นอารมณ์การช้อป และ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง กับโปรโมชั่นสำหรับ ครั้งใหญ่แจกมากที่สุด โดย ท่านแรก รับฟรีตั๋วเครื่องบินไป กลับ กรุงเทพฯ ฮ่องกง จากการบินไทย ดร ณัฐกิตติ์ กล่าว จับกลุ่ม Multi-Generation Family ด้วย Big Impact Sale ทุกไลฟ์สไตล์ ทุกระดับ ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ จับกลุ่ม ด้วย ทุกไลฟ์สไตล์ ทุกระดับ ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เทศกาลเซลระดับชาติที่นักช้อปตัวจริงต้องมา THE GREATEST GRAND SALE 2019: SHOPPING ADDICTS เพราะชีวิตติดช้อป ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ เทศกาลเซลระดับชาติที่นักช้อปตัวจริงต้องมา เพราะชีวิตติดช้อป ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ ติดช้อปปิ้ง มหกรรมสินค้าราคาพิเศษบนพื้นที่ภายในศูนย์การค้าและคอนเวนชั่นฮอลล์ ทุกร้าน ทั้งศูนย์ฯ ลดสูงสุด 70% กับกว่า 10,000 แบรนด์ชั้นนำ พลาดไม่ได้กับ Hot Brands Sale ที่ต้องมา อาทิ Asava Sale, Atmos, Central Phuket Sale ยกเกาะ, ส่วนลดพิเศษจาก IKEA สาขาเวสต์เกตเท่านั้น, ตั๋วเครื่องบินดีลดีที่สุดจากการบินไทย พร้อมเขย่าวงการรีเทลกับครั้งแรกของ ‘เซอร์ไพรส์เซลกลางปี 6/6 & 7/7’ วันที่ 6 เดือน 6 และ 7 เดือน 7 กับไอเท็มพิเศษที่จะทุบราคาสินค้าลดสุดๆ แค่สองวันเท่านั้น ติดช้อปปิ้ง มหกรรมสินค้าราคาพิเศษบนพื้นที่ภายในศูนย์การค้าและคอนเวนชั่นฮอลล์ ทุกร้าน ทั้งศูนย์ฯ ลดสูงสุด 70% กับกว่า 10 000 แบรนด์ชั้นนำ พลาดไม่ได้กับ ที่ต้องมา อาทิ ยกเกาะ, ส่วนลดพิเศษจาก สาขาเวสต์เกตเท่านั้น, ตั๋วเครื่องบินดีลดีที่สุดจากการบินไทย พร้อมเขย่าวงการรีเทลกับครั้งแรกของ เซอร์ไพรส์เซลกลางปี วันที่ เดือน และ เดือน กับไอเท็มพิเศษที่จะทุบราคาสินค้าลดสุดๆ แค่สองวันเท่านั้น ติดชิม สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า AIS และสมาชิก The 1 เมื่อทานอาหารตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป รับฟรี Privilege Menu ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ ติดชิม สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า และสมาชิก เมื่อทานอาหารตั้งแต่ บาทขึ้นไป รับฟรี ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ ติดสนุก สุดคุ้มกับโปรโมชั่นสุดพิเศษสำหรับสวนน้ำลอยฟ้าโพโรโระ, เวิลด์คลาสแอทแทรคชั่น อาทิ ไตรภูมิ มหัศจรรย์สามโลก ธีมปาร์คผจญภัย แบบ 3D วอล์คทรูแห่งแรกของโลก และอควาเรีย อควาเรียมรูปแบบใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย ติดสนุก สุดคุ้มกับโปรโมชั่นสุดพิเศษสำหรับสวนน้ำลอยฟ้าโพโรโระ, เวิลด์คลาสแอทแทรคชั่น อาทิ ไตรภูมิ มหัศจรรย์สามโลก ธีมปาร์คผจญภัย แบบ 3 วอล์คทรูแห่งแรกของโลก และอควาเรีย อควาเรียมรูปแบบใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย ติดโปร ยิ่งช้อปยิ่งคุ้ม เมื่อใช้จ่ายครบทุก 1,000 บาท ลุ้นรับบัตรกำนัลช้อปปิ้งฟรี มูลค่าสูงสุด100,000 บาท, เมื่อใช้จ่ายครบทุก 7,000 บาท ต่อเซลล์สลิป กับบัตรเครดิตและพาร์ทเนอร์ที่ร่วมรายการ รับฟรีกระเป๋า Under Armour นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษอื่นๆ จากบัตรเครดิตและพันธมิตรที่ร่วมรายการ อาทิ เครดิตเงินคืนสูงสุด 17% ติดโปร ยิ่งช้อปยิ่งคุ้ม เมื่อใช้จ่ายครบทุก บาท ลุ้นรับบัตรกำนัลช้อปปิ้งฟรี มูลค่าสูงสุด บาท, เมื่อใช้จ่ายครบทุก บาท ต่อเซลล์สลิป กับบัตรเครดิตและพาร์ทเนอร์ที่ร่วมรายการ รับฟรีกระเป๋า นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษอื่นๆ จากบัตรเครดิตและพันธมิตรที่ร่วมรายการ อาทิ เครดิตเงินคืนสูงสุด ตอบโจทย์กลุ่ม Generation Now ด้วย Omni-Channel ช้อปไร้รอยต่อดีลดีที่สุดได้ทั้งศูนย์ฯ ทั้งห้าง ทั้งออนไลน์ ตอบโจทย์กลุ่ม ด้วย ช้อปไร้รอยต่อดีลดีที่สุดได้ทั้งศูนย์ฯ ทั้งห้าง ทั้งออนไลน์ ดร. ณัฐกิตติ์ กล่าวเสริมว่า แคมเปญนี้เราตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีนิสัยไม่ชอบรอ อยากได้ต้องได้เดี๋ยวนี้ หรือ Generation Now ด้วยการผสานความแข็งแกร่งของกลุ่มเซ็นทรัลในเรื่อง Omni-Channel ให้ช้อปด้วยดีลดีที่สุดแบบไร้รอยต่อไม่ว่าจะมาที่ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และออนไลน์ นอกจากนี้ ยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ อินเทรนด์ของคนเหล่านี้ ที่มีความคลั่งไคลในการช้อปปิ้ง และลงลึกในความชอบเฉพาะตัวของตนเอง ด้วยการเลือกใช้ Influencer และ Micro-influencers ที่ตรงใจเป็นตัวแทนเพื่อกระตุ้นอารมณ์การช้อป ไม่ว่าจะเป็นความเป็น Shopping Addict โดยเจมมี่เจมส์ ธีรดนย์ ดาราหนุ่มสุดฮอตที่เลือกของมามิกซ์แอนด์แมทซ์แฟชั่นได้โดนใจที่สุด, Fashion Addict โดยออกแบบ ชุติมณฑน์ นางแบบหน้าเก๋แฟชั่นเริ่ด, Beauty Addict โดยสรัย วัชรพล ผู้นำเทรนด์ด้านบิวตี้, และ Sport Addict โดยปิ๊น อนุพงศ์ ผู้หลงใหลในสนีกเกอร์ โดยตลอดแคมเปญยังตกแต่งศูนย์การค้าโดยใช้ Typography ที่โดนใจเพื่อกระตุ้นอารมณ์นักช้อป ดร ณัฐกิตติ์ กล่าวเสริมว่า แคมเปญนี้เราตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีนิสัยไม่ชอบรอ อยากได้ต้องได้เดี๋ยวนี้ หรือ ด้วยการผสานความแข็งแกร่งของกลุ่มเซ็นทรัลในเรื่อง ให้ช้อปด้วยดีลดีที่สุดแบบไร้รอยต่อไม่ว่าจะมาที่ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และออนไลน์ นอกจากนี้ ยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ อินเทรนด์ของคนเหล่านี้ ที่มีความคลั่งไคลในการช้อปปิ้ง และลงลึกในความชอบเฉพาะตัวของตนเอง ด้วยการเลือกใช้ และ ที่ตรงใจเป็นตัวแทนเพื่อกระตุ้นอารมณ์การช้อป ไม่ว่าจะเป็นความเป็น โดยเจมมี่เจมส์ ธีรดนย์ ดาราหนุ่มสุดฮอตที่เลือกของมามิกซ์แอนด์แมทซ์แฟชั่นได้โดนใจที่สุด โดยออกแบบ ชุติมณฑน์ นางแบบหน้าเก๋แฟชั่นเริ่ด โดยสรัย วัชรพล ผู้นำเทรนด์ด้านบิวตี้ และ โดยปิ๊น อนุพงศ์ ผู้หลงใหลในสนีกเกอร์ โดยตลอดแคมเปญยังตกแต่งศูนย์การค้าโดยใช้ ที่โดนใจเพื่อกระตุ้นอารมณ์นักช้อป คุณปิยวรรณ ลีละสมภพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัดกล่าวว่า“ในส่วนของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล มั่นใจได้เลยว่าเราเตรียมโปรโมชั่นที่ดีที่สุดเพื่อนักช้อป ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ที่ทุกวันนี้ห้างเซ็นทรัลได้ผสานเชื่อมเข้าด้วยกันเป็น Omni-Channel ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าลูกค้าจะช้อปสินค้าที่ห้างหรือผ่านช่องทางออนไลน์ ก็จะได้โปรโมชั่นที่ดีที่สุดเช่นเดียวกัน โดยหากลูกค้ามาช้อปปิ้งที่ห้างเซ็นทรัล ลูกค้าจะได้รับโปรโมชั่นลดราคาตั้งแต่ 10-50%นอกจากนั้นยังสามารถรับสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการทั่วประเทศ กว่า 13 บัตร มาเป็นส่วนลดเพิ่มสูงสุดถึง 28% และหากช้อปผ่านบัตร MasterCard เมื่อช้อปครบ 3,000 บาท ยังรับคูปองแทนเงินสด 100 บาท ได้ทันที สำหรับลูกค้าที่สะดวกหรือรักการช้อปปิ้งออนไลน์ เราได้จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 6-13 มิ.ย.62 ผ่านเว็บไซต์ www.central.co.th ด้วยส่วนลดสูงสุด 80%!!และดีลพิเศษอื่นๆ เช่น Brand of the Day 8 วัน 8 แบรนด์, Greatest Deals 8 วัน 80 ดีล พร้อมคูปองส่วนลดเพิ่มจากเว็บไซต์และของสมนาคุณจากแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังมีบริการให้ลูกค้าได้ช้อปผ่าน Central Chat & Shop (เซ็นทรัล แชท แอนด์ช้อป) โดยสามารถแชทสอบถามพนักงานให้เช็คสินค้าผ่านทางไลน์ Central Line Official ที่มุมซ้ายของเมนู โดยสามารถรอรับสินค้าที่บ้านเลยได้ในวันรุ่งขึ้น หรือจะเลือกมารับเองที่ห้างเซ็นทรัลสาขาใกล้บ้าน ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าจะได้โปรโมชั่นเช่นเดียวกับการมาห้าง ฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าไม่ว่าลูกค้าจะช้อปผ่านช่องทางไหนของห้างเซ็นทรัล จะได้รับโปรโมชั่นที่ดีที่สุด เพื่อตอกย้ำความพิเศษ! ของแคมเปญ The Greatest Grand Sale 2019 ซึ่งถือเป็นงานช้อปแห่งชาติ ดังนั้นดีลที่ให้ต้องดีที่สุดเพื่อลูกค้าคนพิเศษของเราอย่างแน่นอน” คุณปิยวรรณ ลีละสมภพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า“ในส่วนของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล มั่นใจได้เลยว่าเราเตรียมโปรโมชั่นที่ดีที่สุดเพื่อนักช้อป ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ที่ทุกวันนี้ห้างเซ็นทรัลได้ผสานเชื่อมเข้าด้วยกันเป็น ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าลูกค้าจะช้อปสินค้าที่ห้างหรือผ่านช่องทางออนไลน์ ก็จะได้โปรโมชั่นที่ดีที่สุดเช่นเดียวกัน โดยหากลูกค้ามาช้อปปิ้งที่ห้างเซ็นทรัล ลูกค้าจะได้รับโปรโมชั่นลดราคาตั้งแต่ 10-50 นอกจากนั้นยังสามารถรับสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการทั่วประเทศ กว่า 13 บัตร มาเป็นส่วนลดเพิ่มสูงสุดถึง 28% และหากช้อปผ่านบัตร เมื่อช้อปครบ 3,000 บาท ยังรับคูปองแทนเงินสด 100 บาท ได้ทันที สำหรับลูกค้าที่สะดวกหรือรักการช้อปปิ้งออนไลน์ เราได้จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 6-13 มิ.ย.62 ผ่านเว็บไซต์ ด้วยส่วนลดสูงสุด 80 และดีลพิเศษอื่นๆ เช่น 8 วัน 8 แบรนด์ 8 วัน 80 ดีล พร้อมคูปองส่วนลดเพิ่มจากเว็บไซต์และของสมนาคุณจากแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังมีบริการให้ลูกค้าได้ช้อปผ่าน เซ็นทรัล แชท แอนด์ช้อป) โดยสามารถแชทสอบถามพนักงานให้เช็คสินค้าผ่านทางไลน์ ที่มุมซ้ายของเมนู โดยสามารถรอรับสินค้าที่บ้านเลยได้ในวันรุ่งขึ้น หรือจะเลือกมารับเองที่ห้างเซ็นทรัลสาขาใกล้บ้าน ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าจะได้โปรโมชั่นเช่นเดียวกับการมาห้าง ฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าไม่ว่าลูกค้าจะช้อปผ่านช่องทางไหนของห้างเซ็นทรัล จะได้รับโปรโมชั่นที่ดีที่สุด เพื่อตอกย้ำความพิเศษ ของแคมเปญ ซึ่งถือเป็นงานช้อปแห่งชาติ ดังนั้นดีลที่ให้ต้องดีที่สุดเพื่อลูกค้าคนพิเศษของเราอย่างแน่นอน ผนึก Group Synergy กับ Multiple Top-Up ช้อปจุใจ ‘ลดแล้วลดอีก ลุ้นแล้วลุ้นอีก’ พร้อมจับกลุ่มTop Spenders ทั่วประเทศ ผนึก กับ ช้อปจุใจ ลดแล้วลดอีก ลุ้นแล้วลุ้นอีก พร้อมจับกลุ่ม ทั่วประเทศ ดร. ณัฐกิตติ์กล่าวเสริมว่า ด้วยความที่ The Greatest Grand Sale เป็นอภิมหางานเซลพร้อมกันของทั้งกลุ่มเซ็นทรัลทั่วประเทศ เราจึงวางกลยุทธ์เฉพาะเพื่อสร้างอิมแพคไปทั่วประเทศ ไม่เฉพาะแค่กรุงเทพฯ เท่านั้น โดยเฉพาะสำหรับกลุ่ม Top Spenders ซึ่งครั้งนี้เราแจกรางวัลสำหรับ Top Spenders เป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับฮ่องกงจากการบินไทย จำนวนมากที่สุดถึง 448 ท่าน กระจายทุกสาขาของซีพีเอ็น นอกจากนี้ ยังมีส่วนลดพิเศษและโปรโมชั่นแบบ Multiple Top-Up อีกมากมายที่ลูกค้าจะได้รับจากบริษัทในเครือที่ร่วมรายการ และมารับ Top-Up promotion ของศูนย์การค้าได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังเอาใจคนชอบท่องเที่ยวด้วยโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราด้วยโปรโมชั่นเด็ดที่สุด จองโรงแรมในคืนที่ 3 เพียง 36 บาท เพื่อฉลองครบรอบ 36 ปี ดร ณัฐกิตติ์กล่าวเสริมว่า ด้วยความที่ เป็นอภิมหางานเซลพร้อมกันของทั้งกลุ่มเซ็นทรัลทั่วประเทศ เราจึงวางกลยุทธ์เฉพาะเพื่อสร้างอิมแพคไปทั่วประเทศ ไม่เฉพาะแค่กรุงเทพฯ เท่านั้น โดยเฉพาะสำหรับกลุ่ม ซึ่งครั้งนี้เราแจกรางวัลสำหรับ เป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับฮ่องกงจากการบินไทย จำนวนมากที่สุดถึง ท่าน กระจายทุกสาขาของซีพีเอ็น นอกจากนี้ ยังมีส่วนลดพิเศษและโปรโมชั่นแบบ อีกมากมายที่ลูกค้าจะได้รับจากบริษัทในเครือที่ร่วมรายการ และมารับ ของศูนย์การค้าได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังเอาใจคนชอบท่องเที่ยวด้วยโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราด้วยโปรโมชั่นเด็ดที่สุด จองโรงแรมในคืนที่ 3 เพียง 36 บาท เพื่อฉลองครบรอบ 36 ปี คุณภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด เสริมว่า “เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ ผู้นำฟู้ดสโตร์และพรีเมี่ยมซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำของไทย ได้ผนึกกำลังกับธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล จัดทำแคมเปญ The Greatest Grand Sale 2019 เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ และกระตุ้นการจับจ่ายในช่วงกลางปีให้คึกคัก โดยได้จัดเตรียมโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้าเมื่อช้อปสินค้าในเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ ได้แก่ สนุกช็อป สนุกลุ้น สมาชิกเดอะวัน ลุ้นรับ Dyson พัดลมกรองอากาศและเครื่องดูดฝุ่น (Pure Cool TP04 และDyson V11 Absolute) มูลค่า 56,800 บาท จำนวน 60 รางวัล รวมมูลค่า 3,408,000 บาท เมื่อช็อปครบทุก 600 บาท/ใบเสร็จ สแกน QR Code เพื่อรับสิทธิ์ลุ้น พิเศษ! รับเพิ่ม 10 สิทธิ์ เมื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่าน LINE :TopsThailand และรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 6% เมื่อช้อปผ่านบัตรเครดิตCentral The 1 ตั้งแต่วันนี้ – 9 กรกฎาคม 2562, ลดราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค สูงสุด 50% พบกับสินค้า Red Hot, ซื้อ 1 แถม 1, แลกซื้อสินค้าในราคาเพียง 1 บาท เมื่อใช้คะแนน The 1 แลกซื้อสินค้าที่ร่วมรายการ, สะดวกสบายเมื่อช้อปผ่านออนไลน์ www.tops.co.th พร้อมสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต Central The 1 ต่อที่ 1 รับทันที! ส่วนลดมูลค่า 150 บาท เมื่อช็อปครบ 2,000บาท/ใบเสร็จ (จำกัด 4 สิทธิ์/หมายเลขเดอะวัน ตลอดรายการ) ต่อที่ 2 รับเพิ่ม! เครดิตเงินคืน 100บาท เมื่อซื้อสินค้าหลังหักส่วนลดครบ 2,000 บาทขึ้นไป/รายการสั่งซื้อสินค้า และชำระเงินผ่านเครดิตคาร์ดออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ – 31 กรกฎาคม 2562” คุณภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด เสริมว่า เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ ผู้นำฟู้ดสโตร์และพรีเมี่ยมซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำของไทย ได้ผนึกกำลังกับธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล จัดทำแคมเปญ 201 เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ และกระตุ้นการจับจ่ายในช่วงกลางปีให้คึกคัก โดยได้จัดเตรียมโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้าเมื่อช้อปสินค้าในเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ ได้แก่ สนุกช็อป สนุกลุ้น สมาชิกเดอะวัน ลุ้นรับ พัดลมกรองอากาศและเครื่องดูดฝุ่น ( และ ) มูลค่า 56,800 บาท จำนวน 60 รางวัล รวมมูลค่า 3,408,000 บาท เมื่อช็อปครบทุก 600 บาท/ใบเสร็จ สแกน เพื่อรับสิทธิ์ลุ้น พิเศษ รับเพิ่ม 10 สิทธิ์ เมื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่าน และรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 6 เมื่อช้อปผ่านบัตรเครดิต ตั้งแต่วันนี้ – 9 กรกฎาคม 2562, ลดราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค สูงสุด 50 พบกับสินค้า , ซื้อ 1 แถม 1, แลกซื้อสินค้าในราคาเพียง 1 บาท เมื่อใช้คะแนน แลกซื้อสินค้าที่ร่วมรายการ, สะดวกสบายเมื่อช้อปผ่านออนไลน์ พร้อม สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต ต่อที่ รับทันที! ส่วนลดมูลค่า บาท เมื่อช็อปครบ บาท/ใบเสร็จ จำกัด สิทธิ์/หมายเลขเดอะวัน ตลอดรายการ) ต่อที่ รับเพิ่ม! เครดิตเงินคืน บาท เมื่อซื้อสินค้าหลังหักส่วนลดครบ บาทขึ้นไป/รายการสั่งซื้อสินค้า และชำระเงินผ่านเครดิตคาร์ดออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ – กรกฎาคม คุณเออร์ลินดา เพชรพิสิฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับมหกรรมเซลแห่งชาติ ‘THE GREATEST GRAND SALE 2019’ โรบินสันได้ร่วมผนึกกำลังกับบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล มอบโปรโมชั่น และสิทธิพิเศษแบบจัดเต็มสำหรับลูกค้าโรบินสัน ไม่ว่าจะเป็นลดสินค้าทั้งห้างฯ สูงสุด 50% ทั้งกลุ่มสินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย แอคเซสเซอรี่ เครื่องสำอาง สินค้าเด็ก เครื่องใช้และของตกแต่งบ้าน, ลดเพิ่ม สูงสุด 12.5% เมื่อใช้คะแนนเดอะวันเท่ายอดช้อป, ลุ้นรางวัลรวมมูลค่า 890,000 บาท ทั้งรถยนต์ ‘SUZUKI รุ่น CIAZ GLX’, บัตรห้องพักโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา รวม 25 รางวัล เมื่อช้อปทุก 1,000 บาท หรือใช้คะแนนเดอะวันทุก 30 คะแนน พร้อมแสดงใบเสร็จไม่จำกัดยอดช้อป พร้อมรับอภิสิทธิ์จากบัตรเครดิตชั้นนำ ลดและรับคืน รวมสูงสุด 35% ตั้งแต่วันที่ 6 -30 มิถุนายน 2562 ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน 49 สาขา” คุณเออร์ลินดา เพชรพิสิฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับมหกรรมเซลแห่งชาติ ‘ โรบินสันได้ร่วมผนึกกำลังกับบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล มอบโปรโมชั่น และสิทธิพิเศษแบบจัดเต็มสำหรับลูกค้าโรบินสัน ไม่ว่าจะเป็นลดสินค้าทั้งห้างฯ สูงสุด 50% ทั้งกลุ่มสินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย แอคเซสเซอรี่ เครื่องสำอาง สินค้าเด็ก เครื่องใช้และของตกแต่งบ้าน ลดเพิ่ม สูงสุด 12.5% เมื่อใช้คะแนนเดอะวันเท่ายอดช้อป ลุ้นรางวัลรวมมูลค่า 890,000 บาท ทั้งรถยนต์ ‘ รุ่น บัตรห้องพักโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา รวม 25 รางวัล เมื่อช้อปทุก 1,000 บาท หรือใช้คะแนนเดอะวันทุก 30 คะแนน พร้อมแสดงใบเสร็จไม่จำกัดยอดช้อป พร้อมรับอภิสิทธิ์จากบัตรเครดิตชั้นนำ ลดและรับคืน รวมสูงสุด 35% ตั้งแต่วันที่ 6 -30 มิถุนายน 2562 ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน 49 สาขา” มร. ทอม ทรัสเซล รองประธานฝ่ายแบรนด์ การตลาด และดิจิทัล โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวปิดท้ายว่า “โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ The Greatest Grand Sale ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษและยิ่งใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยปีนี้ เป็นปีที่ฉลองครบรอบ 36 ปี ของเรา ยกตัวอย่างเช่น จองโรงแรมในคืนที่ 3 เพียง 36 บาท หรือเพียงแอดไลน์ @mycentara เพื่อรับคูปองซื้อเครื่องดื่มและเบเกอรี่ ในราคา 36 บาท และสำหรับคนที่ชื่นชอบการนวดก็สามารถใช้บริการที่ SPA Cenvaree ได้ในราคาเพียง 360 บาทเท่านั้น รวมถึงยังมีโปรโมชั่นสุดเซอร์ไพรส์ทุกสัปดาห์ และพิเศษสุดกับกิจกรรมประกวดภาพถ่าย 10-YEAR TRAVEL IN STYLE CHALLENGE ที่มีรางวัลเตรียมไว้แจกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบัตรห้องพัก ห้องอาหาร หรือสปา สามารถติดตามรายละเอียดโปรโมชั่นและกิจกรรมต่างๆได้ที่ มร. ทอม ทรัสเซล รองประธานฝ่ายแบรนด์ การตลาด และดิจิทัล โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวปิดท้ายว่า โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษและยิ่งใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยปีนี้ เป็นปีที่ฉลองครบรอบ 36 ปี ของเรา ยกตัวอย่างเช่น จองโรงแรมในคืนที่ 3 เพียง 36 บาท หรือเพียงแอดไลน์ เพื่อรับคูปองซื้อเครื่องดื่มและเบเกอรี่ ในราคา 36 บาท และสำหรับคนที่ชื่นชอบการนวดก็สามารถใช้บริการที่ ได้ในราคาเพียง 360 บาทเท่านั้น รวมถึงยังมีโปรโมชั่นสุดเซอร์ไพรส์ทุกสัปดาห์ และพิเศษสุดกับกิจกรรมประกวดภาพถ่าย 10- ที่มีรางวัลเตรียมไว้แจกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบัตรห้องพัก ห้องอาหาร หรือสปา สามารถติดตามรายละเอียดโปรโมชั่นและกิจกรรมต่างๆได้ที่ 36. พบกับแคมเปญ “เดอะ เกรทเทส แกรนด์ เซล 2019: SHOPPING ADDICTS เพราะชีวิตติดช้อป” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซา เซ็นทรัลเฟสติวัล เซ็นทรัลภูเก็ต ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เซ็น โรบินสัน รวม 69 สาขาทั่วประเทศ ซูเปอร์สปอร์ต, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต, พาวเวอร์บาย, บีทูเอส, ออฟฟิศเมท และช้อปออนไลน์ 24 ชั่วโมง ผ่านทางเซ็นทรัลออนไลน์ และเจดี เซ็นทรัล ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน – 17 กรกฎาคม 2562 พบกับแคมเปญ เดอะ เกรทเทส แกรนด์ เซล : เพราะชีวิตติดช้อป ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซา เซ็นทรัลเฟสติวัล เซ็นทรัลภูเก็ต ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เซ็น โรบินสัน รวม สาขาทั่วประเทศ ซูเปอร์สปอร์ต, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต, พาวเวอร์บาย, บีทูเอส, ออฟฟิศเมท และช้อปออนไลน์ ชั่วโมง ผ่านทางเซ็นทรัลออนไลน์ และเจดี เซ็นทรัล ตั้งแต่วันที่ มิถุนายน – กรกฎาคม ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ‘เซ็นทรัล กรุ๊ป’ จัดแคมเปญ “เดอะ เกรทเทส แกรนด์ เซล 2019 In "PR News" ถอดบทเรียนกรณีไฟไหม้เซ็นทรัลเวิลด์ (CentralWorld) ใครต้องรับผิดชอบความเสียหาย? In "News" ถึงเวลาเลิกพกเงินสดไป “ห้างเซ็นทรัล” เพราะต่อไปจะจ่ายผ่าน QR Code ได้ทุกร้านค้า In "News" | THE GREATEST GRAND SALE เป็นอภิมหาเทศกาลเซลระดับชาติที่ยิ่งใหญ่และดีที่สุดแห่งปีด้วยพลังของกลุ่มเซ็นทรัลในฐานะผู้นำทางด้านธุรกิจค้าปลีก ซึ่งได้ผนึกกำลังกลุ่มธุรกิจในเครือ 13ธุรกิจต่างๆ ได้แก่ ศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลพัฒนา (เซ็นทรัลเวิลด์-เซ็นทรัลพลาซา-เซ็นทรัลเฟสติวัล–เซ็นทรัลภูเก็ต), ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและเซน, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, ท็อปส์, ซุปเปอร์สปอร์ต, เพาเวอร์บาย, เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป, บีทูเอส, ออฟฟิศเมท, เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป,โรงแรมเซ็นทารา, เดอะวันคาร์ด และเจดี เซ็นทรัล ลดราคาสินค้าและบริการต่างๆ พร้อมกันทั่วประเทศ
ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนากล่าวว่า “แคมเปญครั้งนี้ซีพีเอ็นได้ขานรับภาพรวมนโยบายรัฐทุกภาคส่วน ตั้งเป้าเป็น A Must VisitDestination for Mid-year Sale และมุ่งผลักดันให้เป็นเทศกาลเซลแห่งชาติในระดับเอเชีย เทียบชั้นฮ่องกง และสิงคโปร์ สอดคล้องกับ 1) นโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มุ่งให้ประเทศไทยเป็น Preferred Destination ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้านการช้อปปิ้งสินค้าลดราคาช่วงกลางปี 2) นโยบายภาครัฐที่ขยายเวลาการงดเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเดินทางเข้าประเทศไทยจนถึงเดือนตุลาคม 2562 ทำให้คาดว่าเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากกลุ่ม First Visitors และ Repeated visitors ที่เป็นกลุ่มตลาดระดับกลาง-บน ซึ่งมีศักยภาพในการใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาช้อปสินค้าลดราคาในช่วงกลางปี และ 3) มาตรการลดหย่อนภาษีของรัฐบาล ที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายและเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ” | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56114 | Retail | โครงการสามย่านมิตรทาวน์ตั้งเป้าหมายไว้อย่างไร ? | “สามย่านมิตรทาวน์” นับถอยหลัง พร้อมเปิดกันยายนนี้ ฉีกตลาดชู Urban Life Library โชว์คอนเซ็ปต์โซนใหม่ “24 ชั่วโมง” เร่งเจาะกลุ่มเป้าหมาย นิสิตนักศึกษา ฟรีแลนซ์ สตาร์ทอัพ นักท่องเที่ยว คนในพื้นที่สามย่าน จัดเต็มพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำให้บริการหลากหลาย รับความต้องการยามดึกมั่นใจตอบโจทย์ความต้องการผู้ใช้บริการ ทั้งกลางวัน และกลางคืน 24 ชั่วโมง ธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือโกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า โครงการมิกซ์ยูส “สามย่านมิตรทาวน์” ที่จะเสร็จสมบูรณ์เป็นแห่งแรกบนถนนพระราม 4 เพื่อเป็นนิว เดสติเนชั่น (New Destination) ของกรุงเทพฯ พร้อมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนกันยายนนี้ โดยบริษัททุ่มเม็ดเงินและแนวคิดการพัฒนาพื้นที่ โซน “24 ชั่วโมง” ซึ่งจะเป็นหัวใจหลักของโครงการค้าปลีกรูปแบบใหม่ ฉีกความแตกต่างจากรีเทลทั่วไป นับเป็นรีเทล 24 ชั่วโมงใจกลางเมืองแห่งแรก ทั้งนี้ โครงการสามย่านมิตรทาวน์ตั้งเป้าเป็น “คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” ที่สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะโซน “24 ชั่วโมง” คือ จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ รองรับไลฟ์สไตล์ให้คนรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มนักเรียน นิสิตนักศึกษา คนทำงาน ฟรีแลนซ์ สตาร์ทอัพ นักท่องเที่ยวต่างชาติ ผู้อยู่อาศัยในย่านสามย่านและพื้นที่ใกล้เคียง เข้ามาใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ ทั้งช่วงเวลากลางวันและกลางคืน ตลอด 24 ชั่วโมง “สามย่านมิตรทาวน์ตั้งอยู่ใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ และยังเป็นจุดเชื่อมต่อของสถานีรถไฟใต้ดินบริษัทฯ จึงมองเห็นโอกาสในการนำสินค้าและบริการต่าง ๆ มาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จัดเต็มนำบริการที่หลากหลายที่สุดมาเปิดให้บริการในโซน 24 ชั่วโมง โดยมีสัดส่วนที่ลงตัวของ 4 ส่วนหลัก คือ ร้านอาหาร (Dinning) ร้านค้า (Shopping) ธุรกิจบริการ (Service) และพื้นที่รองรับไลฟสไตล์ (Space Service) กล่าวคือมีทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร สถาบันทางการเงิน บริการจัดส่งพัสดุ Co-working Space ร้านจำหน่ายสินค้าสไตล์ญี่ปุ่น และร้านบอร์ดเกม ตอกย้ำการเป็น 24 ชั่วโมง Destination อย่างเต็มรูปแบบ” ตามแผนการจัดโซน “24 ชั่วโมง” จะมีพื้นที่ใน 4 ชั้นหลัก ได้แก่ ชั้น B1 ชั้น G ชั้น 1 และชั้น 2 ของโครงการมากกว่า 5,000 ตารางเมตร โดยขณะนี้สามารถปิดการขายพื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 90% แล้ว และมั่นใจว่าจะปิดการขายได้ทั้งหมดเร็ว ๆ นี้ ด้านพันธมิตรที่เข้าร่วมโครงการล้วนเป็นแบรนด์ยอดนิยมและมีความโดดเด่นด้านบริการ โดยมีร้านที่ตัดสินใจเปิดบริการแบบ 24 ชั่วโมงเป็นครั้งแรกที่สามย่านมิตรทาวน์ อาทิ ร้านสินค้าไลฟ์สไตล์มินิโซ (Miniso), ชาบูชิ (Shabushi), สเวนเซ่นส์ (Swensens), ก๋วยเตี๋ยวเรือพระนคร ไวท์ สตอรี่ (White Story) และมายด์ สเปซ โดย ซี อาเซียน (Mind Space by C Asean) ที่ให้บริการอาหารเครื่องดื่มพร้อมร้านหนังสือทั้งไทยและต่างประเทศ รวมทั้งมีร้านอาหารและเครื่องดื่มที่เปิดแบบ 24 ชั่วโมงอีกหลากหลายประเภท เช่น เคเอฟซี (KFC) เอ ราเมน (A Ramen) สตาร์คบัคส์ คอฟฟี่ (Starbucks Coffee) ร้านคาเฟ่อเมซอน (Cafe Amazon) สำหรับซูปเปอร์มาร์เก็ตนั้น บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มบีเจซี ตัดสินใจนำเสนอสาขาซูเปอร์มาร์เก็ตรูปแบบใหม่และเป็นโมเดลที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงในแพลตฟอร์มใหม่ภายใต้ชื่อ “บิ๊กซี ฟู้ดเพลส” เพื่อเป็น Food Store เต็มรูปแบบ เน้นพื้นที่จำหน่ายแผนกอาหารสดที่ใหญ่กว่าทุกแพลตฟอร์ม ชูจุดเด่นกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน (Ready Meal) และอาหารสุขภาพออร์แกนิก (Organic Food) ตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย นอกจากนี้ยังมีบริการส่งพัสดุด่วน Kerry Express บริการทางการเงิน ทั้งธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย SCB Express รวมถึงมี Co-learning Space ร้านบอร์ดเกมส์ยอดนิยมอย่าง เชลดอน (Sheldon) และ เซเลบริตี้ ฟิตเนส (Celebrity Fitness) ภายใต้กลุ่ม ฟิตเนส เฟิรส์ท ประเทศไทย ที่เตรียมเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย “การพัฒนาโซน 24 ชั่วโมง เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าที่แตกต่างจากในอดีต เราเชื่อมั่นว่า จำนวนของกลุ่มอาชีพอิสระที่มีเวลาการทำงานยืดหยุ่นจะเพิ่มมากขึ้น เราจึงต้องสร้างจุดขายใหม่ สร้างความแตกต่าง สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ สร้างไลฟ์สไตล์ที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้ชีวิตที่หลากหลาย ซึ่งโซน 24 ชั่วโมง จะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้โครงการสามย่านมิตรทาวน์เป็นเดสทิเนชั่นของคนรุ่นใหม่อย่างสมบูรณ์แบบมากกว่าโครงการค้าปลีกแห่งอื่น ๆ ของกรุงเทพฯ” ธีรนันท์กล่าว ที่สำคัญ บริษัทยังเตรียมกลยุทธ์การตลาด จัดอีเวนต์ในโซน “24 ชั่วโมง” อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งกิจกรรมช่วงเช้าตรู่ กลางวันและช่วงค่ำ รวมทั้งการจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลสำคัญต่าง ๆ บริษัทเชื่อมั่นว่า ทันทีที่สามย่านมิตรทาวน์เปิดให้บริการในเดือนกันยายน 2562 ตลอดทั้งวันจะมีกลุ่มลูกค้าเข้ามาใช้บริการประมาณ 30,000 คนต่อวัน ในจำนวนดังกล่าวจะเข้ามาใช้บริการในโซน “24 ชั่วโมง” ด้วย อนึ่ง โครงการสามย่านมิตรทาวน์อยู่บนทำเลหัวมุมถนนพญาไท-พระราม 4 เนื้อที่กว่า 14 ไร่ พื้นที่ใช้สอยรวม 222,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นโซนที่อยู่อาศัย โซนอาคารสำนักงาน และโซนรีเทลหรือ Urban Life Library สูง 6 ชั้น พื้นที่ให้เช่ารวม 36,000 ตารางเมตร พัฒนาจากแนวคิดเรื่อง “การเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้ ถ้าทุกอย่างถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นมิตร” โดยออกแบบให้พื้นที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้ใช้งาน (Smart) และ เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน (Friendly) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Urban Life Library” หรือ “คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” รีเมคตำนานสามย่านบทใหม่ ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่จะเติมเต็ม Urban Life Library ของทุก ๆ คน ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related “สามย่านมิตรทาวน์” มิกซ์ยูสแห่งใหม่ล่าสุดบนถนนพระราม 4 เติมเต็มเทรนด์รีเทล 24 ชั่วโมง สะดวกทุกการเดินทางด้วยทางเลือกมากมาย In "Featured" เปิดแนวคิด “สามย่านมิตรทาวน์” ปั้นค้าปลีกแห่งใหม่ทั้งที ต้อง “เป็นที่จดจำ” ให้มากที่สุด In "News" เผยโฉม MUJI สามย่านมิตรทาวน์ สาขาใหญ่สุดในไทย แถมมีมุมกาแฟ In "News" | โครงการสามย่านมิตรทาวน์ตั้งเป้าเป็น “คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” ที่สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะโซน “24 ชั่วโมง” คือ จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ รองรับไลฟ์สไตล์ให้คนรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มนักเรียน นิสิตนักศึกษา คนทำงาน ฟรีแลนซ์ สตาร์ทอัพ นักท่องเที่ยวต่างชาติ ผู้อยู่อาศัยในย่านสามย่านและพื้นที่ใกล้เคียง เข้ามาใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ ทั้งช่วงเวลากลางวันและกลางคืน ตลอด 24 ชั่วโมง
“สามย่านมิตรทาวน์ตั้งอยู่ใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ และยังเป็นจุดเชื่อมต่อของสถานีรถไฟใต้ดินบริษัทฯ จึงมองเห็นโอกาสในการนำสินค้าและบริการต่าง ๆ มาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จัดเต็มนำบริการที่หลากหลายที่สุดมาเปิดให้บริการในโซน 24 ชั่วโมง โดยมีสัดส่วนที่ลงตัวของ 4 ส่วนหลัก คือ ร้านอาหาร (Dinning) ร้านค้า (Shopping) ธุรกิจบริการ (Service) และพื้นที่รองรับไลฟสไตล์ (Space Service) กล่าวคือมีทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร สถาบันทางการเงิน บริการจัดส่งพัสดุ Co-working Space ร้านจำหน่ายสินค้าสไตล์ญี่ปุ่น และร้านบอร์ดเกม ตอกย้ำการเป็น 24 ชั่วโมง Destination อย่างเต็มรูปแบบ”
ตามแผนการจัดโซน “24 ชั่วโมง” จะมีพื้นที่ใน 4 ชั้นหลัก ได้แก่ ชั้น B1 ชั้น G ชั้น 1 และชั้น 2 ของโครงการมากกว่า 5,000 ตารางเมตร โดยขณะนี้สามารถปิดการขายพื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 90% แล้ว และมั่นใจว่าจะปิดการขายได้ทั้งหมด | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56155 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....เงินดิจิทัลมีข้อดีหลายประการ เช่น สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ | null | เงินดิจิทัล... ทางเลือกใหม่ในยุคดิจิทัล
ณ ร้านกาแฟเล็กๆ ใจกลางกรุงเทพ นลิน สาววัย 20 ปลายๆ กำลังนั่งจิบกาแฟยามบ่าย สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอ บนหน้าจอปรากฏแอปพลิเคชั่นใหม่ล่าสุดที่เธอเพิ่งโหลดมาใช้งาน นั่นคือ "เป๋าตังค์ดิจิทัล" ของธนาคารไทยพาณิชย์
นลินเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการทดสอบการใช้งานเงินสกุลดิจิทัล หรือ Retail CBDC ของธนาคารแห่งประเทศไทย โครงการนี้ริเริ่มขึ้นเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเงินดิจิทัลมาใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชน
นลินลองใช้ "เป๋าตังค์ดิจิทัล" ซื้อกาแฟแก้วโปรด ปรากฏว่าสะดวกและรวดเร็วกว่าการใช้เงินสดหรือบัตรเครดิตมาก เพียงแค่สแกน QR Code บนหน้าจอเครื่องรับชำระเงิน เงินดิจิทัลก็ถูกโอนออกจากบัญชีของเธอทันที
"ไม่น่าเชื่อเลยว่าเงินดิจิทัลจะใช้งานง่ายและสะดวกขนาดนี้ คงจะดีถ้าทุกคนสามารถใช้เงินดิจิทัลได้" นลินคิดในใจ
หลังจากนั้น นลินเริ่มใช้ "เป๋าตังค์ดิจิทัล" แทนเงินสดและบัตรเครดิตในการซื้อของต่างๆ เธอรู้สึกประทับใจกับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยของเงินดิจิทัล
วันหนึ่ง นลินได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณลุงขายก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ คุณลุงบ่นว่าลำบากใจกับปัญหาเงินทอนไม่พออยู่บ่อยๆ นลินจึงแนะนำให้คุณลุงลองใช้ "เป๋าตังค์ดิจิทัล"
"ลองใช้แอปนี้ดูสิคะ สะดวกมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอนอีกต่อไป" นลินอธิบาย
คุณลุงลองใช้ "เป๋าตังค์ดิจิทัล" ตามคำแนะนำของนลิน ปรากฏว่าคุณลุงรู้สึกประทับใจมาก บอกว่าใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว และลูกค้าก็เริ่มใช้เงินดิจิทัลมากขึ้น
จากประสบการณ์ของนลิน ทำให้เธอตระหนักว่า เงินดิจิทัลมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชำระเงินในอนาคต เงินดิจิทัลเป็นทางเลือกใหม่ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ
นลินเชื่อว่า เงินดิจิทัลจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทยและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56160 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....โลตัส: ก้าวกระโดดสู่ยุค New SMART Retail โลกอนาคตที่สดใสของการค้าปลีก | null | โลตัส: ก้าวกระโดดสู่ยุค New SMART Retail
บทที่ 1: เสียงกระซิบจากสายลม
สายลมเย็นพัดโชยมาแตะใบหน้าของหญิงสาวนามว่า "พรรษวัลย์" พนักงานสาวไฟแรงของโลตัส หญิงสาวกำลังยืนมองท้องฟ้ากว้าง คิดทบทวนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลตัส ภายใต้กลยุทธ์ "New SMART Retail"
โลตัสกำลังก้าวกระโดดสู่ยุคใหม่ ยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ยุคที่ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ยุคที่การช้อปปิ้งไม่ใช่แค่การซื้อของ แต่คือประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ
พรรษวัลย์นึกถึงคำพูดของสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย ที่กล่าวไว้ว่า "โลตัสจะใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อ Big Data กับสาขาต่างๆ ทั้ง 2,300 แห่ง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า และเสริมความเป็นผู้นำค้าปลีกของโลตัสให้แข็งแกร่ง"
บทที่ 2: การเดินทางสู่โลกใหม่
พรรษวัลย์ได้รับมอบหมายให้ดูแลแอปพลิเคชั่น Lotus's SMART App แอปพลิเคชั่นที่รวมแพลตฟอร์ม e-commerce และโปรแกรมขอบคุณลูกค้า MyLotus's เข้าไว้ด้วยกัน
หญิงสาวทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ออกแบบโปรโมชั่นที่ตรงใจ พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
บทที่ 3: บททดสอบแห่ง New SMART Retail
วันหนึ่ง พรรษวัลย์ได้รับแจ้งว่ามีลูกค้าท่านหนึ่งไม่สามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นได้ หญิงสาวรีบติดต่อลูกค้าเพื่อสอบถามปัญหา
"คุณป้าค่ะ พอดีแอปมีปัญหา ทางเราต้องขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ" พรรษวัลย์กล่าวด้วยความสุภาพ
"ไม่เป็นไรจ้ะ ป้าเข้าใจ ป้าแก่แล้ว ไม่ค่อยเข้าใจเทคโนโลยีเท่าไหร่" คุณป้าตอบอย่างใจเย็น
พรรษวัลย์รู้สึกเห็นใจคุณป้า หญิงสาวจึงตัดสินใจเดินทางไปหาคุณป้าที่บ้านเพื่อสอนวิธีใช้แอปพลิเคชั่น
บทที่ 4: รอยยิ้มแห่งความสำเร็จ
เมื่อพรรษวัลย์สอนคุณป้าจนใช้งานแอปพลิเคชั่นได้ คุณป้ายิ้มอย่างมีความสุข
"ขอบคุณหนูมากนะ หนูใจดีมากเลย ป้าไม่คิดว่าจะมีพนักงานมาสอนใช้แอปถึงบ้านแบบนี้" คุณป้ากล่าว
พรรษวัลย์รู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือคุณป้า หญิงสาวรู้ว่านี่คือบทพิสูจน์ความสำเร็จของ New SMART Retail
บทที่ 5: โลกอนาคตที่สดใส
โลตัสกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ภายใต้กลยุทธ์ New SMART Retail
พรรษวัลย์มั่นใจว่าโลตัสจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56172 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด วางแผนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่น | null | บุกตะลุยอาเซียน ดินแดนแห่งโอกาส
ณ ใจกลางกรุงโซล แสงไฟสว่างไสวจากตึกสูงระฟ้าสะท้อนกับป้ายร้านสะดวกซื้อ CU สีแดงสดใส ภายในร้าน คิมซอน เด็กหนุ่มวัย 25 ปี กำลังยืนมองแผนที่อาเซียนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
"อาเซียน... ดินแดนแห่งโอกาส" เขาพึมพำกับตัวเอง
คิมซอน คือผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ CU เชนร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ เขาเพิ่งได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจาก CEO ให้ขยายสาขาไปยังประเทศต่างๆ ในอาเซียน
"นี่คือโอกาสทองของเรา" CEO พูดกับเขา "ตลาดอาเซียนมีประชากรมากกว่า 600 ล้านคน เศรษฐกิจกำลังเติบโต ผู้คนเริ่มคุ้นเคยกับวัฒนธรรมเกาหลี เรามีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จ"
คิมซอนรู้ดีว่าภารกิจนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ร้านสะดวกซื้อในอาเซียนมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะเชนจากญี่ปุ่นที่ครองตลาดมานาน แต่เขาไม่เคยย่อท้อ เขาพร้อมเผชิญทุกอุปสรรคเพื่อนำ CU ไปสู่ความสำเร็จ
เขาเริ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน วัฒนธรรม พฤติกรรมผู้บริโภค กฎระเบียบทางการค้า เขาเดินทางไปเยือนเวียดนาม ประเทศที่มีประชากรวัยหนุ่มสาวมากที่สุดในอาเซียน เขาเดินสำรวจตามท้องถนน สังเกตร้านสะดวกซื้อ พูดคุยกับผู้คน
หลังจากเก็บข้อมูลอย่างละเอียด คิมซอนก็วางแผนกลยุทธ์สำหรับการบุกตลาดอาเซียน เขาตัดสินใจปรับรูปแบบร้าน CU ให้เหมาะกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เน้นสินค้าเกาหลีที่กำลังได้รับความนิยม นำเสนอบริการที่สะดวก รวดเร็ว และราคาที่ย่อมเยา
เขาเริ่มเปิดสาขาแรกในนครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ร้าน CU ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้บริโภค ชาวเวียดนามชื่นชอบสินค้าเกาหลี ดีไซน์ร้านที่ทันสมัย และบริการที่สะดวก รวดเร็ว
ภายในเวลาเพียง 1 ปี CU ขยายสาขาในเวียดนามได้กว่า 50 แห่ง กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของร้านสะดวกซื้อจากญี่ปุ่น
คิมซอนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เขารู้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของ CU ในอาเซียน เขามุ่งมั่นที่จะนำ CU ไปสู่ความสำเร็จในภูมิภาคนี้ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56204 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....เทคโนโลยี AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจค้าปลีกมากขึ้น | null | แสงสว่างแห่งอนาคต: บทเพลงแห่งร้านสะดวกซื้อไร้พนักงาน
ท่ามกลางแสงไฟยามค่ำคืน ย่านชินจูกุ เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยผู้คน ร้านสะดวกซื้อ FamilyMart สาขาใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งกำลังเปล่งแสงสว่าง ดึงดูดสายตาผู้คนด้วยความแปลกใหม่ ปราศจากพนักงานขาย
ยูกิ หญิงสาววัย 25 ปี เดินผ่านร้านด้วยความสงสัย ไฟ LED สว่างไสว กระจกใสเผยให้เห็นสินค้าหลากหลายบนชั้นวาง เธอตัดสินใจลองเข้าไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่นี้
ภายในร้าน บรรยากาศเงียบสงบ ยูกิเดินสำรวจสินค้า หยิบขนมปังแซนด์วิชและน้ำดื่ม ระบบ AI ตรวจจับสินค้าโดยอัตโนมัติ รายการสินค้าปรากฏบนหน้าจอพร้อมราคา
ยูกิ หยิบสินค้าเพิ่มเติม เดินไปยังจุดชำระเงิน กล้องวงจรปิดจับภาพใบหน้าของเธอ ยืนยันตัวตนผ่านระบบจดจำใบหน้า โดยไม่ต้องใช้บัตรประชาชนหรือแอปพลิเคชันใดๆ
เพียงไม่กี่วินาที ยูกิก็ชำระเงินค่าสินค้าเสร็จสิ้น เสียงเพลงบรรเลงอย่างเบิกบาน เธอออกจากร้านด้วยรอยยิ้ม ประทับใจกับระบบที่รวดเร็ว สะดวกสบาย ปราศจากการสัมผัส
ยูกิ ครุ่นคิดถึงอนาคตของธุรกิจค้าปลีก เทคโนโลยี AI เข้ามาพลิกโฉมร้านสะดวกซื้อ ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน
เธอนึกภาพ ร้านสะดวกซื้อในอนาคต เต็มไปด้วยระบบอัตโนมัติ ผู้คนสามารถเข้าถึงสินค้าที่ต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
ทว่า อนาคตที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี ย่อมสร้างคำถามถึงบทบาทของมนุษย์ ยูกิหวังว่า เทคโนโลยีจะช่วยเสริมศักยภาพของมนุษย์ ไม่ใช่มาแทนที่
เสียงเพลงจากร้านสะดวกซื้อ ยังคงก้องอยู่ในความคิด ยูกิเชื่อว่า อนาคตของธุรกิจค้าปลีกจะเป็นบทเพลงแห่งการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและมนุษย์
บทเพลงแห่งนี้ จะขับเคลื่อนสังคมสู่ยุคใหม่ ยุคที่เทคโนโลยีสร้างประโยชน์สูงสุด นำทางมนุษยชาติไปสู่อนาคตที่สดใส | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56244 | Retail | ช่วยสรุปบทความ นิวยอร์กกลับสู่ปกติ: จากระบาดหนักอันดับต้นๆ สู่การผ่อนคลายกฎ จะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามเดิมแล้ว | ตอนนี้สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐดีขึ้นมาก ไม่เว้นแม้แต่ในเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่นอย่าง นิวยอร์ก ทุกอย่างเริ่มกลับมาเป็นปกติอย่างช้าๆ และทางมลรัฐเองก็ผ่อนคลายกฎในการควบคุมโควิดลงอย่างมาก ตอนนี้สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐดีขึ้นมาก ไม่เว้นแม้แต่ในเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่นอย่าง ทุกอย่างเริ่มกลับมาเป็นปกติอย่างช้าๆ และทางมลรัฐเองก็ผ่อนคลายกฎในการควบคุมโควิดลงอย่างมาก ถือว่านิวยอร์กฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดได้อย่างรวดเร็ว เพราะ 15 เดือนที่ผ่านมานิวยอร์กมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 2,164,574 คน และมีผู้เสียชีวิต 53,993 คน ถือว่านิวยอร์กฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดได้อย่างรวดเร็ว เพราะ 15 เดือนที่ผ่านมานิวยอร์กมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 2,164,574 คน และมีผู้เสียชีวิต 53,993 คน นิวยอร์กประกาศยกเลิกข้อบังคับโควิดเกือบหมด กลับสู่สภาวะปกติ นิวยอร์กประกาศยกเลิกข้อบังคับโควิดเกือบหมด กลับสู่สภาวะปกติ Andrew Cuomo ผู้ว่าการนิวยอร์กว่าตอนนี้ทางมลรัฐนิวยอร์กได้ยกเลิกข้อบังคับเกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดไปเกือบหมดแล้ว โดยปรับให้สอดคล้องกับ แนวทาง ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดสหรัฐ ผู้ว่าการนิวยอร์กว่าตอนนี้ทางมลรัฐนิวยอร์กได้ยกเลิกข้อบังคับเกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดไปเกือบหมดแล้ว โดยปรับให้สอดคล้องกับ แนวทาง ของ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดสหรัฐ ที่น่าสนใจก็คือ ผู้ว่าการนิวยอร์กทำการแถลงที่ตึก One World Trade Center ตึกที่ถูกสร้างแทนที่ตึกระฟ้าที่ถูกเครื่องบินพุ่งชนในเหตุการณ์ 9/11 เป็นความตั้งใจที่จะสร้างบรรยากาศของการประกาศชัยชนะเหนือการระบาดที่ยาวนาน โดยประกาศว่าวันที่ 15 คือหมุดหมายสำคัญของการต่อสู้กับโรคระบาด ที่น่าสนใจก็คือ ผู้ว่าการนิวยอร์กทำการแถลงที่ตึก ตึกที่ถูกสร้างแทนที่ตึกระฟ้าที่ถูกเครื่องบินพุ่งชนในเหตุการณ์ 9/11 เป็นความตั้งใจที่จะสร้างบรรยากาศของการประกาศชัยชนะเหนือการระบาดที่ยาวนาน โดยประกาศว่าวันที่ 15 คือหมุดหมายสำคัญของการต่อสู้กับโรคระบาด “ขอให้ทุกคนจำวันที่ 15 มิถุนายนเอาไว้ จดจำวันนี้เอาไว้ เพราะนี่คือวันที่นิวยอร์กกลับมาอีกครั้ง” ผู้คนกลับไปใช้ชีวิตได้ (เกือบจะ) เหมือนเดิม ผู้คนกลับไปใช้ชีวิตได้ (เกือบจะ) เหมือนเดิม ตอนนี้ในนิวยอร์ก สัดส่วนของผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส มีมากถึง 70% เพียงพอที่จะยกเลิกมาตรการโควิดส่วนใหญ่ ตามคำแนะนำของหน่วยงานด้านสาธารณสุขสหรัฐ ตอนนี้ในนิวยอร์ก เพียงพอที่จะยกเลิกมาตรการโควิดส่วนใหญ่ ตามคำแนะนำของหน่วยงานด้านสาธารณสุขสหรัฐ ข่าวดีก็คือ แคลิฟอร์เนีย เมืองใหญ่อีกหนึ่งเมืองก็ได้รับวัคซีนในสัดส่วนสูงพอๆ กับนิวยอร์ก และเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มาตรการด้านต่างๆ ผ่อนคลายลง ข่าวดีก็คือ เมืองใหญ่อีกหนึ่งเมืองก็ได้รับวัคซีนในสัดส่วนสูงพอๆ กับนิวยอร์ก และเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มาตรการด้านต่างๆ ผ่อนคลายลง Andrew Cuomo กล่าวว่า “ตอนนี้เราสามารถกลับไปใช้ชีวิตในแบบที่เราคุ้นเคยได้แล้ว” ณ ตอนนี้ ข้อบังคับส่วนใหญ่ที่เคยถูกใช้ใน ร้านอาหาร โรงหนัง ร้านค้า งานแข่งขันกีฬา ที่ทำงาน และสถานที่อื่นๆ มากว่า 1 ปี จะถูกยกเลิก Andrew Cuomo กล่าวว่า “ตอนนี้เราสามารถกลับไปใช้ชีวิตในแบบที่เราคุ้นเคยได้แล้ว” ณ ตอนนี้ ข้อบังคับส่วนใหญ่ที่เคยถูกใช้ใน ร้านอาหาร โรงหนัง ร้านค้า งานแข่งขันกีฬา ที่ทำงาน และสถานที่อื่นๆ มากว่า 1 ปี จะถูกยกเลิก ภาคเอกชนในสหรัฐก็ตอบรับสถานการณ์ที่ดีขึ้นอย่างยอดเยี่ยม ภาคเอกชนในสหรัฐก็ตอบรับสถานการณ์ที่ดีขึ้นอย่างยอดเยี่ยม ค้าปลีกสหรัฐ เช่น Walmart, Costco หรือ Target อนุญาตให้ลูกค้าเข้าร้านโดยไม่ต้องใส่แมสก์
ยอดจองบริการท่องเที่ยวในสหรัฐกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด
Disneyland แคลิฟอร์เนีย เปิดรับนักท่องเที่ยว ไม่มีข้อบังคับเรื่องโควิด
บริษัทต่างๆ เริ่มให้พนักงานกลับออฟฟิศ เช่น Morgan Stanley, Citi, JPMorgan, Goldman Sachs, Apple และ Amazon ค้าปลีกสหรัฐ เช่น Walmart, Costco หรือ Target อนุญาตให้ลูกค้าเข้าร้านโดยไม่ต้องใส่แมสก์ ค้าปลีกสหรัฐ เช่น หรือ อนุญาต ให้ลูกค้าเข้าร้านโดยไม่ต้องใส่แมสก์ ยอดจองบริการท่องเที่ยวในสหรัฐกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด ยอดจอง บริการท่องเที่ยวในสหรัฐกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด Disneyland แคลิฟอร์เนีย เปิดรับนักท่องเที่ยว ไม่มีข้อบังคับเรื่องโควิด เปิดรับ นักท่องเที่ยว ไม่มีข้อบังคับเรื่องโควิด บริษัทต่างๆ เริ่มให้พนักงานกลับออฟฟิศ เช่น Morgan Stanley, Citi, JPMorgan, Goldman Sachs, Apple และ Amazon บริษัทต่างๆ เริ่มให้พนักงานกลับออฟฟิศ
| สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐดีขึ้นมาก โดยเฉพาะในนิวยอร์กที่มีประชากรหนาแน่น การคืนความปกติเริ่มเกิดขึ้นช้าๆ และมีการผ่อนคลายกฎในการควบคุมโควิดมากขึ้น นิวยอร์กได้ฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้อย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 2.1 ล้านคนและผู้เสียชีวิต 53,993 คนในระยะเวลา 15 เดือนที่ผ่านมา
นิวยอร์กประกาศยกเลิกข้อบังคับโควิดเกือบหมด กลับสู่สภาวะปกติ
ผู้ว่าการนิวยอร์ก Andrew Cuomo ยกเลิกมาตรการป้องกันโควิดเกือบทั้งหมดตามแนวทางของศูนย์ควบคุมโรคระบาดสหรัฐ แถลงที่ตึก One World Trade Center เพื่อประกาศว่าวันที่ 15 มิถุนายนเป็นหมุดหมายสำคัญในการต่อสู้กับโรคระบาดและนิวยอร์กกำลังกลับมาในช่วงนี้
ผู้คนกลับไปใช้ชีวิตได้ (เกือบจะ) เหมือนเดิม
ในนิวยอร์ก, มีผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสมีมากถึง 70% ทำให้สามารถยกเลิกมาตรการโควิดส่วนใหญ่ตามคำแนะนำของหน่วยงานสาธารณสุขสหรัฐ และเมืองแคลิฟอร์เนียก็ได้รับวัคซีนอย่างเพียงพอและมีมาตรการด้านต่างๆ ผ่อนคลายลง
Andrew Cuomo ประกาศยกเลิกมาตรการโควิดในสหรัฐ ทำให้ธุรกิจและสถานที่ต่างๆ เปิดให้บริการเหมือนเดิม ภาคเอกชนร่วมสอดคล้อง ร้านค้าใหญ่อนุญาตลูกค้าเข้าร้านโดยไม่ต้องใส่แมสก์, ยอดจองท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และบริษัทใหญ่เริ่มให้พนักงานกลับมาทำงานที่สถานที่งานหลังจากทำงานที่บ้านในระยะเวลาโควิด | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56248 | Retail | Shinji Oe ระบุว่า การใช้ฝ้ายจากซินเจียงจะส่งผลต่อผู้คนอย่างไร | ก. ช่วยทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้น
ข. ละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง
ค. ได้ผลประโยชน์จากการบังคับใช้แรงงานในซินเจียง
ง. ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในท้องถิ่น | ข้อที่ถูกต้องคือ ก. เนื่องจาก เพราะ Shinji Oe ระบุว่า การใช้ฝ้ายจากซินเจียงจะช่วยทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้น
Mizuno ยุติการใช้ฝ้ายจากซินเจียง Mizuno คือบริษัทสินค้าอุปกรณ์กีฬา เช่น กอล์ฟ เทนนิส เบสบอล วอลเลย์บอล ฟุตบอล วิ่ง รักบี้ สกี ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ยูโด ปิงปอง แบดมินตัน ต่อยมวยและเสื้อผ้ากีฬาญี่ปุ่น ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1906 แล้ว เรื่องนี้ Nobuteru Suzuki ระบุว่า คาดว่าจะมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง ไม่ควรโฆษณาหรือขายสินค้า (หรือฝ้ายที่มาจากซินเจียง) ทั้งบริษัท Mizuno และบริษัท Cox ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้
เมื่อต้นเมษายน 2021 Nikkei ได้เริ่มทำสำรวจบริษัทยักษ์ใหญ่ราว 50 แห่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมสินค้ากีฬาและเสื้อผ้าที่มีประเด็นเรื่องการใช้วัตถุดิบจากจังหวัดทางตะวันตกของจีน พบว่ามี 14 แห่งที่ใช้ฝ้ายจากซินเจียง มี 7 แห่งระบุว่ากำลังตรวจสอบอยู่ ท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่จะมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรสหรัฐอเมริกาบล็อคสินค้าของ Fast Retailing ที่คาดว่ามีการใช้ฝ้ายจากซินเจียง (Fast Retailing เป็นบริษัทแม่ของแบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์ด้วยกัน อาทิ Unioqlo, GU, Theory, PLST, Comptoir Des Cottonniers, Pricesse tam tam และ J Brand)
นอกจากนี้ บริษัทที่ผลิตชุดชั้นในอย่าง Wacoal และแบรนด์ MUJI ก็ระบุว่า อาจจะต้องใช้วัตถุดิบที่มาจากคู่แข่งแทนซึ่งเขาจะยุติการดำเนินธุรกิจด้วยหากมีการยืนยันว่ามีการบังคับใช้แรงงาน ซึ่งบริษัท Ryohin Keikaku บริษัทแม่ของแบรนด์ MUJI ที่มีหน้าร้านในญี่ปุ่นราว 479 แห่ง มีหน้าร้านนอกญี่ปุ่นอีก 550 แห่ง ดำเนินกิจการ 31 ประเทศทั่วโลกระบุว่า ได้ตรวจสอบอย่างดีที่สุดแล้ว หากยุติการใช้วัตถุดิบเหล่านี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในท้องถิ่นด้วย ใช้สินค้าที่เป็นฝ้ายผลิตจากอินเดียจำนวนมาก อาจจะดำเนินธุรกิจได้ต่อไปแม้ว่าจะหยุดใช้ฝ้ายจากซินเจียง | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56259 | Retail | แบรนด์แฟชั่นตะวันตกควรคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
1. ขาดหลักฐานที่ชัดเจน: แบรนด์แฟชั่นตะวันตกอ้างว่าคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงเพื่อต่อต้านการบังคับใช้แรงงานอุยกูร์ แต่หลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวอ้างนี้ยังไม่ชัดเจน รัฐบาลจีนปฏิเสธข้อกล่าวหาและสื่อตะวันตกบางสำนักก็ตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของหลักฐานที่มีอยู่
2. ส่งผลกระทบต่อแรงงาน: การคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงจะส่งผลกระทบต่อแรงงานในซินเจียงโดยตรง ซินเจียงเป็นผู้ผลิตฝ้ายรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก แรงงานหลายล้านคนในซินเจียงมีรายได้จากการผลิตฝ้าย การคว่ำบาตรจะทำให้พวกเขาสูญเสียงานและรายได้
3. ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค: การคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคทั่วโลก ราคาเสื้อผ้าอาจเพิ่มสูงขึ้น
4. ละเมิดหลักการค้าเสรี: การคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงเป็นการกีดกันทางการค้า
5. ทางเลือกอื่น: มีวิธีอื่นที่แบรนด์แฟชั่นตะวันตกสามารถใช้เพื่อต่อต้านการบังคับใช้แรงงานอุยกูร์ได้ เช่น การตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานอย่างเข้มงวด การทำงานร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชน และการสนับสนุนโครงการริเริ่มด้านแรงงานอย่างยั่งยืน
6. ผลตอบรับจากชาวจีน: การคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงสร้างกระแสต่อต้านจากชาวจีน แบรนด์แฟชั่นตะวันตกหลายแห่งเผชิญกับการคว่ำบาตรจากผู้บริโภคชาวจีน
7. ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: การคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงสามารถส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
8. องค์กรอิสระ: องค์กรอิสระบางแห่ง เช่น Better Cotton Initiative (BCI) ยังคงทำงานในซินเจียงเพื่อส่งเสริมการผลิตฝ้ายอย่างยั่งยืน
9. ความโปร่งใส: รัฐบาลจีนควรเพิ่มความโปร่งใสในซินเจียงเพื่อให้แบรนด์แฟชั่นตะวันตกสามารถตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
10. ทางออก: ทางออกที่ดีที่สุดคือการหาจุดร่วมระหว่างแบรนด์แฟชั่นตะวันตก รัฐบาลจีน และองค์กรอิสระ เพื่อพัฒนาระบบการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส
สรุป: การคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แบรนด์แฟชั่นตะวันตกควรหาทางเลือกอื่นเพื่อต่อต้านการบังคับใช้แรงงานอุยกูร์ การคว่ำบาตรจะส่งผลเสียต่อแรงงาน ผู้บริโภค และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56284 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีจะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในธุรกิจพลังงาน | null | พลังงานอนาคต: ไฟฟ้าปลายนิ้ว
ณ ร้านกาแฟใจกลางเมือง มินอา สาวออฟฟิศผู้รักเทคโนโลยี กำลังนั่งจิบกาแฟยามบ่าย สายตาจับจ้องไปที่สมาร์ทโฟนในมือ หน้าจอแสดงแอปพลิเคชั่น "พลังงานอนาคต" แพลตฟอร์มซื้อขายไฟฟ้าแบบใหม่ที่เธอเพิ่งสมัครใช้งาน
"ในที่สุดก็มาถึง!" มินอาอุทานด้วยความตื่นเต้น เธอกดปุ่มซื้อไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเพื่อน ในราคาที่ถูกกว่าค่าไฟปกติ แอปพลิเคชั่นแจ้งเตือนว่าไฟฟ้าจะถูกส่งตรงมายังปลั๊กไฟอัจฉริยะในบ้านของเธอภายใน 10 นาที
ย้อนกลับไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน มินอาได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานสัมมนาเกี่ยวกับ "พลังงานอนาคต" วิทยากรบรรยายถึง 3 เมกะเทรนด์ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการใช้ไฟฟ้า: โลกที่ชาร์จได้ พลังงานเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค และไฟฟ้าเป็นบริการ
เมกะเทรนด์แรก หมายถึงการพัฒนาแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้ผู้คนสามารถกักเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์หรือพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ไว้ใช้เองได้ เมกะเทรนด์ที่สอง เปรียบเสมือนการปฏิวัติตลาดไฟฟ้า ผู้บริโภคจะสามารถซื้อขายไฟฟ้ากันเองได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างการไฟฟ้า เมกะเทรนด์ที่สาม นำเสนอบริการด้านพลังงานรูปแบบใหม่ เช่น การเช่าแผงโซลาร์เซลล์ หรือการจ้างบริษัทจัดการระบบไฟฟ้าภายในบ้าน
มินอา รู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น เธอตัดสินใจสมัครใช้งาน "พลังงานอนาคต" แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อขายไฟฟ้ากันเองได้โดยตรง แพลตฟอร์มนี้มีระบบจับคู่ผู้ซื้อและผู้ขายแบบเรียลไทม์ แสดงราคาไฟฟ้าที่โปร่งใส และรองรับการชำระเงินผ่านระบบออนไลน์
หลังจากใช้งาน "พลังงานอนาคต" เพียง 1 สัปดาห์ มินอา พบว่าเธอสามารถประหยัดค่าไฟได้ถึง 15% เธอรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง แบ่งปันพลังงานสะอาดให้กับผู้อื่น และสร้างระบบพลังงานที่ยั่งยืน
ในอนาคต มินอา วาดฝันถึงโลกที่ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้อย่างสะดวกและราคาประหยัด โลกที่ผู้บริโภคมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของพลังงาน โลกที่ "พลังงานอนาคต" อยู่ในมือของทุกคน | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56286 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การผสมผสานกลยุทธ์แบบออนไลน์และออฟไลน์ (Omnichannel) จะช่วยดึงดูดลูกค้า | null | บทเพลงแห่งการเปลี่ยนแปลง
ณ ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ใจกลางเมือง เสียงเพลงบรรเลงขับกล่อมบรรยากาศอันเงียบเหงา พนักงานขายยืนประจำเคาน์เตอร์ สายตาจับจ้องไปยังประตูทางเข้า รอคอยลูกค้าที่ประปราย
“คุณคิดว่าห้างจะอยู่รอดไหม?” พนักงานขายคนหนึ่งเอ่ยถาม เพื่อนร่วมงานถอนหายใจ “อนาคตมันไม่แน่นอน ยอดขายก็ตกลงทุกปี”
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ผู้คนหันไปช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น ห้างสรรพสินค้าที่เคยคึกคัก กลายเป็นสถานที่เงียบเหงา ร้านค้าหลายแห่งทยอยปิดตัว เหลือเพียงร้านค้าแบรนด์ดังที่ยังประคองตัวอยู่
“คุณเคยได้ยินเรื่องเทรนด์ธุรกิจปี 2021 ไหม?” พนักงานขายอีกคนเอ่ยขึ้น “เขาว่าปีนี้ ผู้คนจะให้ความสำคัญกับอาหารเพื่อสุขภาพ ช้อปปิ้งแบบผสมผสานทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และสนับสนุนแบรนด์ที่มีจุดยืนชัดเจน”
คำพูดนั้นจุดประกายความคิดในหัวของพนักงานขาย พวกเขาเริ่มมองหาวิธีปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย
“เราลองเสนอไอเดียใหม่ให้ผู้จัดการห้างดูไหม?” พนักงานขายคนแรกเสนอ “เราอาจจะปรับพื้นที่บางส่วนให้เป็นโซนขายอาหารออร์แกนิค สินค้าเพื่อสุขภาพ หรือจัดเวิร์คช็อปเกี่ยวกับเทรนด์ใหม่ ๆ ดึงดูดลูกค้าให้กลับมาที่ห้าง”
“มันเป็นความคิดที่ดีนะ!” เพื่อนร่วมงานเห็นด้วย “และเราควรพัฒนาแอปพลิเคชั่นของห้าง เพิ่มช่องทางการช้อปปิ้งออนไลน์ ให้ลูกค้าสะดวกยิ่งขึ้น”
พนักงานขายรวมกลุ่มกันระดมความคิด แลกเปลี่ยนไอเดีย บรรยากาศภายในห้างเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังก้อง แทนที่ความเงียบเหงา
หนึ่งปีต่อมา ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง โซนขายอาหารออร์แกนิคและสินค้าเพื่อสุขภาพได้รับความนิยม ผู้คนเข้าร่วมเวิร์คช็อปต่าง ๆ มากมาย แอปพลิเคชั่นของห้างก็มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พนักงานขายยืนมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า พวกเขาภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของการพลิกฟื้นห้างสรรพสินค้าแห่งนี้
บทเพลงแห่งการเปลี่ยนแปลง บทนี้ สอนให้เรารู้ว่า การปรับตัวและความคิดสร้างสรรค์ เป็นสิ่งสำคัญต่อความอยู่รอด ธุรกิจใดก็ตามที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ย่อมต้องพ่ายแพ้ต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56324 | Retail | กลยุทธ์การแข่งขันของ GET FOODHALL ในตลาดบริการฟู้ดเดลิเวอรี่ | GET (เก็ท) แอปพลิเคชันส่งอาหารประกาศร่วมมือกับเดอะมอลล์ กรุ๊ป และธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดตัวบริการฟู้ดเดลิเวอรี GET FOODHALL (เก็ท ฟู้ดฮอลล์) โดยการนำ insight ของผู้บริโภคมาผสานกับเทคโนโลยี Machine Learning ส่งมอบประสบการณ์การสั่งอาหารรูปแบบใหม่ ลูกค้าสามารถสั่งอาหารจากหลากหลายร้านดังในห้างสรรพสินค้าในเครือเดอะมอลล์ผ่านแอปพลิเคชัน GET ได้สะดวกในออเดอร์เดียว ภิญญา นิตยาเกษตรวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอปพลิเคชัน GET กล่าว GET ยินดีที่ได้รับความไว้วางใจจากเดอะมอลล์ในโปรเจคนี้ โมเดล GET FOODHALL นี้ ช่วยเพิ่มทางเลือกทางอาหารที่หลากหลายในห้างดอะมอลล์แล้ว ยังมอบอความสะดวกกับผู้ใช้บริการ โดยเราพัฒนาบริการนี้จากอินไซต์ฟีเจอร์ Multi-Orders ของเรา ทำให้ทราบว่าลูกค้าจำนวนมากนิยมสั่งอาหารจากหลายร้านในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น สั่งข้าวแล้วสั่งชานมไข่มุกด้วย โดยระบบ Machine Learning จะ Personalized แนะนำเมนูให้กับผู้ใช้บริการแต่ละคนจากข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลา โลเคชัน และประวัติการสั่งซื้อที่ผ่านมา เพื่อให้ลูกค้าค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ง่ายและสะดวกขึ้น ชุติเดช ผู้เจริญทั่ว ผู้อำนวยการใหญ่บริหารสินค้าซุปเปอร์มาร์เก็ต (FOOD) บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ระบุว่า GET แบ่งเป็น 4 หมวดหมู่คือ GET’s Picks ร้านแนะนำ Snacks & Bites ร้านของกินเล่น Popular Dish ร้านยอดฮิต Street Food ร้านสตรีทฟู้ด ตอนนี้เราเปิดตัวบริการ GET FOODHALL ที่ 5 สาขาหลัก ตั้งเป้าว่าจะขยายบริการให้ครบ 13 สาขาภายในสิ้นปี 2563 นี้ ด้านอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า เป็นการส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการทดลองใช้งานบริการ GET FOODHALL ในช่วงเปิดตัว ธนาคารจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าผู้ถือบัตร SCB M VISA เพียงแลกคะแนน M Point จำนวน 50 คะแนน แลกรับโค้ดส่วนลดมูลค่า 120 บาท สำหรับสั่งอาหารจาก GET FOODHALL ขั้นต่ำ 400 บาท/ออเดอร์ ตั้งแต่วันที่ 1-30 มิถุนายน 2563 จำกัด 2,000 สิทธิ์ตลอดระยะเวลาส่งเสริมการขาย หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด GET FOODHALL ให้บริการแล้ววันนี้ในแอปพลิเคชัน GET สามารถเลือกสั่งอาหารจากหลากหลายร้านดังในห้างสรรพสินค้า พารากอน เอ็มควอเทียรื เอ็มโพเรียม เดอะมอลล์ บางแค และเดอะมอลล์ บางกะปิด ได้หลายร้านในออเดอร์เดียว พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้ม 3 ต่อ ต่อที่ 1 ส่งฟรี (ภายในระยะ 3 กิโลเมตร)
ต่อที่ 2 ส่วนลดค่าอาหารสูงสุด 50% จากร้านที่ร่วมรายการ
ต่อที่ 3 โปรโมชั่นส่วนลดเพิ่มจากทั้ง GET บัตร M CARD และบัตรเครดิต SCB M VISA อาทิ คูปองส่วนลดเพิ่ม 15% ในแอปฯ GET ทุกสัปดาห์ ต่อที่ 1 ส่งฟรี (ภายในระยะ 3 กิโลเมตร) ต่อที่ 2 ส่วนลดค่าอาหารสูงสุด 50% จากร้านที่ร่วมรายการ ต่อที่ 3 โปรโมชั่นส่วนลดเพิ่มจากทั้ง GET บัตร M CARD และบัตรเครดิต SCB M VISA อาทิ คูปองส่วนลดเพิ่ม 15% ในแอปฯ GET ทุกสัปดาห์ พร้อมกันนี้สมัครบัตร M CARD และผู้ถือบัตรเครดิต SCB M VISA รับส่วนลดสูงสุด 120 บาท เพื่อกดแลกคะแนนผ่าน M CARD แอปพลิเคชัน รับรหัสส่วนลดตั้งแต่ 1 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2563 ที่มา – ธนาคารไทยพาณิชย์ ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related บาร์บีคิวพลาซ่า เปิดบริการเดลิเวอรี่ เสิร์ฟอาหารถึงบ้านแถมรักษ์โลก In "News" LINE MAN ออกแคมเปญเคียงข้างกันไปทุกมื้อ ช่วยร้านอาหารและคนขับ ส่งฟรีในระยะ 3 กิโลเมตร In "Article" Eatable แพลตฟอร์มบริการสั่งอาหาร ที่ตอบโจทย์ทั้งกินที่ร้าน สั่งกลับบ้าน และเดลิเวอรี In "Article" | GET (เก็ท) แอปพลิเคชันส่งอาหารประกาศร่วมมือกับเดอะมอลล์ กรุ๊ป และธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดตัวบริการฟู้ดเดลิเวอรี GET FOODHALL เผยให้เห็นกลยุทธ์การแข่งขันของ GET FOODHALL ในตลาดบริการฟู้ดเดลิเวอรี่ ดังนี้
1. ดึงดูดลูกค้าด้วยความหลากหลายของร้านอาหาร:
GET FOODHALL นำเสนอตัวเลือกอาหารที่หลากหลาย โดยรวบรวมร้านอาหารดังจากห้างสรรพสินค้าในเครือเดอะมอลล์กว่า 100 ร้าน ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการสั่งอาหารจากหลายร้านในออเดอร์เดียว
2. มอบประสบการณ์การสั่งอาหารที่สะดวก:
GET FOODHALL พัฒนาระบบการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน GET ที่ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว ลูกค้าสามารถค้นหาร้านอาหาร เลือกเมนู และชำระเงินได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องสลับแอปพลิเคชัน
3. เพิ่มประสิทธิภาพด้วย Machine Learning:
GET FOODHALL นำเทคโนโลยี Machine Learning มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า แนะนำเมนูอาหารที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน ช่วยให้ลูกค้าค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
4. ดึงดูดลูกค้าด้วยโปรโมชั่นและส่วนลด:
GET FOODHALL เสนอโปรโมชั่นและส่วนลดมากมาย เช่น ส่งฟรี ส่วนลดค่าอาหาร คูปองส่วนลด ดึงดูดลูกค้าใหม่ กระตุ้นยอดขาย และรักษาฐานลูกค้าเก่า
5. ร่วมมือกับธนาคาร:
GET FOODHALL ร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต SCB M VISA เช่น ส่วนลดเพิ่ม แลกคะแนนรับส่วนลด ขยายฐานลูกค้า และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
โดยสรุป: กลยุทธ์การแข่งขันของ GET FOODHALL มุ่งเน้นไปที่:
การนำเสนอตัวเลือกอาหารที่หลากหลาย: ดึงดูดลูกค้าด้วยร้านอาหารดังที่มีให้เลือกมากมาย
การมอบประสบการณ์การสั่งอาหารที่สะดวก: พัฒนาระบบการสั่งอาหารที่ใช้งานง่าย รวดเร็ว บนแอปพลิเคชัน GET
การเพิ่มประสิทธิภาพด้วย Machine Learning: แนะนำเมนูอาหารที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
การดึงดูดลูกค้าด้วยโปรโมชั่นและส่วนลด: เสนอโปรโมชั่นและส่วนลดมากมาย ดึงดูดลูกค้าใหม่ กระตุ้นยอดขาย และรักษาฐานลูกค้าเก่า
การร่วมมือกับธนาคาร: มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต ขยายฐานลูกค้า และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56352 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ผู้บริโภคในปัจจุบันมีตัวเลือกในการช้อปปิ้งมากมาย ร้านค้าปลีกต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย | null | ร้านแห่งอนาคต
"นี่มันอะไรกัน! ของที่ฉันอยากได้ดันหมดสต็อคอีกแล้ว" ฟ้าใส สาววัย 20 ต้นๆ พูดด้วยความโมโห เธอมุ่งหน้าไปที่ร้านขายเครื่องสำอางเพื่อซื้อลิปสติกสีใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว แต่กลับพบกับป้าย "สินค้าหมด" ที่แปะอยู่ตรงชั้นวาง
"ทำไมร้านนี้ถึงไม่จัดการเรื่องสต็อคสินค้าให้ดีกว่านี้?" ฟ้าใสคิดในใจ เธอรู้สึกเสียเวลาและผิดหวังมาก ประสบการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเธอหลายครั้งแล้ว ไม่ใช่แค่กับร้านนี้ แต่กับร้านค้าอื่นๆ อีกด้วย
ฟ้าใสตัดสินใจลองหาซื้อลิปสติกสีเดียวกันนี้ผ่านร้านค้าออนไลน์ เธอค้นหาผ่านแอปพลิเคชันช้อปปิ้ง เปรียบเทียบราคาและรีวิวจากผู้ใช้งาน เพียงไม่กี่นาทีเธอก็ตัดสินใจซื้อลิปสติกจากร้านค้าออนไลน์แห่งหนึ่ง
"สะดวกและรวดเร็วกว่าเยอะเลย" ฟ้าใสพึมพำกับตัวเอง เธอรู้สึกประทับใจกับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่สะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปที่ร้าน แถมยังมีตัวเลือกสินค้าให้เลือกมากมาย
ในขณะเดียวกัน ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ผู้บริโภคหันไปช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น ร้านค้าหลายแห่งต้องปิดตัวลง
"เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงดูดลูกค้ากลับมา" บอย เจ้าของร้านขายเสื้อผ้า พูดคุยกับพนักงานของเขา "เราต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย"
บอยตัดสินใจนำเทคโนโลยีมาใช้ในร้านของเขา เขาติดตั้งหน้าจอแสดงข้อมูลสินค้า โปรโมชั่น และราคาสินค้าแบบเรียลไทม์ ลูกค้าสามารถใช้แท็บเล็ตเพื่อค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องผ่านพนักงาน
นอกจากนี้ บอยยังปรับปรุงระบบการจัดการสินค้าคงคลัง เขาใช้ระบบคลาวด์เพื่อติดตามสต็อคสินค้าแบบเรียลไทม์ ช่วยให้มั่นใจว่าสินค้ามีเพียงพอสำหรับลูกค้า
"การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ร้านของเราดูทันสมัยขึ้น ลูกค้าสะดวกสบายมากขึ้น และเราสามารถบริหารจัดการสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น" บอยกล่าว
ร้านค้าปลีกในยุคใหม่จำเป็นต้องผสมผสานระหว่างประสบการณ์ออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน ร้านค้าออฟไลน์ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและดึงดูดลูกค้า | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56355 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ต้องอาศัยความมุ่งมั่น อดทน และความกล้าเสี่ยง | null | เกมล่าเจ้าแห่งห้าง: บททดสอบของ "นที"
ท่ามกลางแสงไฟสลัวในห้องประชุม เสียงพูดคุยเจรจาของเหล่าผู้บริหารดังก้อง นที หนุ่มไฟแรงในวัย 30 ปี นั่งนิ่งอยู่ปลายโต๊ะ สายตาจับจ้องไปที่เอกสารในมือ เขากำลังเตรียมตัวสำหรับการประมูลครั้งยิ่งใหญ่ "เทสโก้ โลตัส" ห้างสรรพสินค้าเจ้าใหญ่ กำลังถูกวางขาย และนี่คือโอกาสทองที่เขาจะพาธุรกิจของครอบครัวก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด
นทีสืบทอดกิจการร้านขายของชำจากรุ่นพ่อ ปู่ของเขาสร้างอาณาจักรนี้ขึ้นมาด้วยหยาดเหงื่อและความอดทน นทีใฝ่ฝันที่จะขยายธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ แต่ด้วยทุนจำกัด เขาจึงทำได้เพียงมองดูคู่แข่งรายใหญ่เติบโตแซงหน้า การประมูลเทสโก้ โลตัส จึงเป็นเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
"เราต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้" นทีพูดกับตัวเอง เขาศึกษาข้อมูลของเทสโก้ โลตัส อย่างละเอียด วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน วางแผนกลยุทธ์ต่างๆ เขาเตรียมตัวอย่างทุ่มเท รู้ดีว่าคู่แข่งของเขาไม่ใช่แค่เจ้าสัวใหญ่ๆ แต่ยังมีบริษัทข้ามชาติที่พร้อมทุ่มเงินมหาศาล
การประมูลเริ่มขึ้น บรรยากาศตึงเครียด นทีนั่งนิ่ง กุมขมับด้วยความกังวล ตัวเลขราคาพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มาก ท้ายที่สุด นทีตัดสินใจเสนอราคาสูงสุด แม้จะรู้ดีว่าอาจเป็นการเสี่ยง
เสียงประกาศผลดังก้อง นทีคือผู้ชนะการประมูล เขาดีใจจนน้ำตาคลอ ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงแสดงความยินดี นทีรู้ดีว่านี่คือจุดเริ่มต้นของบททดสอบที่ยิ่งใหญ่
การเทคโอเวอร์เทสโก้ โลตัส ไม่ใช่เรื่องง่าย นทีต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ปัญหาภายในองค์กร การแข่งขันที่รุนแรง และความคาดหวังจากผู้คน เขาต้องเรียนรู้และปรับตัวอย่างรวดเร็ว นำพาองค์กรฝ่าฟันวิกฤตต่างๆ
ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ นทีพลิกโฉมเทสโก้ โลตัส เปลี่ยนห้างสรรพสินค้าแบบดั้งเดิมให้กลายเป็นศูนย์กลางการช้อปปิ้งที่ทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ เขาสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร ผสมผสานสินค้าหลากหลาย เทคโนโลยีล้ำสมัย และบริการที่ประทับใจ
ธุรกิจของนทีเติบโตอย่างรวดเร็ว เทสโก้ โลตัส กลายเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศ นทีได้รับการยกย่องจากสื่อและนักธุรกิจ เขาคือตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่กล้าคิดกล้าทำ พลิกโฉมธุรกิจแบบดั้งเดิมให้ก้าวทันยุคสมัย | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56384 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้และปรับตัว | null | ห้างสรรพสินค้าในยุคดิจิทัล: บททดสอบของพนักงานขาย
ณ ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่แห่งหนึ่ง กำลังเผชิญกับคลื่นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ยอดขายซบเซา ผู้คนหันไปช้อปออนไลน์กันมากขึ้น พนักงานขายอย่าง "นลิน" รู้สึกถึงแรงกดดัน หลายแผนกถูกยุบรวม พนักงานหลายคนถูกปลดออก เธอหวาดกลัวว่าอนาคตของเธอจะเป็นอย่างไร
วันหนึ่ง นลินได้รับแจ้งให้เข้าร่วมการอบรมพัฒนาศักยภาพ พนักงานทุกคนต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล นลินรู้สึกกังวล เธอไม่เคยใช้เทคโนโลยีมาก่อน แต่เธอไม่มีทางเลือก
การอบรมเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับนลิน เธอได้เรียนรู้วิธีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ฝึกฝนการใช้โซเชียลมีเดีย พัฒนาการสื่อสาร และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
นลินเริ่มปรับตัว เธอใช้ความรู้ที่ได้เรียนรู้มาประยุกต์ใช้กับงาน พัฒนาช่องทางการขายออนไลน์ของแผนก เธอถ่ายวิดีโอแนะนำสินค้า ไลฟ์สดตอบคำถามลูกค้า แชร์เคล็ดลับการแต่งตัว
ผลลัพธ์ที่ได้น่าแปลกใจ ยอดขายของแผนกเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น ลูกค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น นลินได้รับคำชมเชยจากหัวหน้า เธอกลายเป็นพนักงานขายดาวเด่นของห้าง
เรื่องราวของนลินสะท้อนให้เห็นว่า ยุคดิจิทัลเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย พนักงานขายในยุคนี้จำเป็นต้องพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เรียนรู้การใช้เทคโนโลยี ปรับตัวให้เข้ากับโลกออนไลน์
อนาคตของห้างสรรพสินค้า:
ห้างสรรพสินค้าในยุคดิจิทัล จำเป็นต้องปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ผสมผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน มุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ที่พิเศษและดึงดูดใจลูกค้า
พนักงานขายจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ พวกเขาต้องมีทักษะที่หลากหลาย เข้าใจความต้องการของลูกค้า และสามารถให้บริการได้อย่างประทับใจ
ห้างสรรพสินค้าที่สามารถปรับตัวและพัฒนาได้อย่างทันสมัย จะสามารถอยู่รอดและเติบโตต่อไปในยุคดิจิทัล | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56408 | Retail | โครงการCentral Village เอาท์เล็ตคืิออะไร | ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ Central Village ลักชูรี่ เอาท์เล็ตจาก CPN มูลค่า 5,000 ล้านบาท ปักหมุดทำเลดีใกล้สุวรรณภูมิ ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ Central Village ลักชูรี่ เอาท์เล็ตจาก CPN มูลค่า 5,000 ล้านบาท ปักหมุดทำเลดีใกล้สุวรรณภูมิ วงการรีเทลในปีนี้ได้เห็นอะไรแปลกใหม่นอกเหนือจากศูนย์การค้าเสียแล้ว นั่นก็คือ “เอาท์เล็ต” ศูนย์รวมจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมในราคาถูก ได้ข่าวมาว่า “สยามพิวรรธน์” ก็เตรียมเปิดโครงการ “สยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต แบงคอก” เช่นกัน เปิดบริษัท สยามพิวรรธน์ ไซม่อน จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนกับไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป วงการรีเทลในปีนี้ได้เห็นอะไรแปลกใหม่นอกเหนือจากศูนย์การค้าเสียแล้ว นั่นก็คือ “เอาท์เล็ต” ศูนย์รวมจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมในราคาถูก ได้ข่าวมาว่า “สยามพิวรรธน์” ก็เตรียมเปิดโครงการ “สยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต แบงคอก” เช่นกัน เปิดบริษัท สยามพิวรรธน์ ไซม่อน จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนกับไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป ทั้งนี้ทางด้านของเครือเซ็นทรัลก็ไม่น้อยหน้า โดยที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ได้ปาดหน้าประกาศเปิดให้บริการโครงการ เซ็นทรัล วิลเลจ (Central Village) ลักชูรี่ เอาท์เล็ตแห่งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 31 ส.ค. นี้ มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ทางด้านของเครือเซ็นทรัลก็ไม่น้อยหน้า โดยที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ได้ปาดหน้าประกาศเปิดให้บริการโครงการ เซ็นทรัล วิลเลจ (Central Village) ลักชูรี่ เอาท์เล็ตแห่งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 31 ส.ค. นี้ มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ได้นำจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำการพัฒนาโครงการรีเทล และอสังหาริมทรัพย์ ผนวกกับความแข็งแกร่งของแบรนด์ดังระดับอินเตอร์รวมกว่า 130 สโตร์ที่เตรียมทยอยเปิด อาทิ CHLOE, CLUB 21 (OUTLET BY CLUB 21), COACH, ERMENEGILDO ZEGNA, KATE SPADE NEW YORK, KENZO, POLO RALPH LAUREN, SALVATORE FERRAGAMO, CALVIN KLEIN JEANS, JIM THOMPSON, L’OREAL LUXE, MAX & CO., MICHAEL KORS, PANDORA, SWAROVSKI, THE COSMETICS COMPANY STORE, VICTORIA’S SECRET ฯลฯ ได้นำจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำการพัฒนาโครงการรีเทล และอสังหาริมทรัพย์ ผนวกกับความแข็งแกร่งของแบรนด์ดังระดับอินเตอร์รวมกว่า 130 สโตร์ที่เตรียมทยอยเปิด อาทิ CHLOE, CLUB 21 (OUTLET BY CLUB 21), COACH, ERMENEGILDO ZEGNA, KATE SPADE NEW YORK, KENZO, POLO RALPH LAUREN, SALVATORE FERRAGAMO, CALVIN KLEIN JEANS, JIM THOMPSON, L’OREAL LUXE, MAX & CO., MICHAEL KORS, PANDORA, SWAROVSKI, THE COSMETICS COMPANY STORE, VICTORIA’S SECRET ฯลฯ โดยความพิเศษคือมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็น First Time Outlet Shop ในประเทศไทย ที่เปิดให้บริการในไทยเป้นครั้งแรก อีกทั้งกว่า 60 แบรนด์ได้เลือกเปิด Exclusive Outlet Store ที่มีเพียงที่เซ็นทรัล วิลเลจ ที่เดียวเท่านั้น โดยความพิเศษคือมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็น First Time Outlet Shop ในประเทศไทย ที่เปิดให้บริการในไทยเป้นครั้งแรก อีกทั้งกว่า 60 แบรนด์ได้เลือกเปิด Exclusive Outlet Store ที่มีเพียงที่เซ็นทรัล วิลเลจ ที่เดียวเท่านั้น ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด ของซีพีเอ็น เผยว่า ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด ของซีพีเอ็น เผยว่า “เซ็นทรัล วิลเลจ บุกเบิกเซ็กเมนต์ใหม่ Luxury Outlet ให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในไทย ซึ่งซีพีเอ็นตั้งใจสร้าง New Retail Platform นี้ขึ้นมาเติมเต็มช่องว่างในตลาด โดยสร้างมิติใหม่ให้เอาท์เล็ตเป็น Shopping Destination ที่สื่อถึงความเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก อย่างเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ที่มีเอาท์เล็ตชั้นนำของเอเชีย เซ็นทรัล วิลเลจ บุกเบิกเซ็กเมนต์ใหม่ Luxury Outlet ให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในไทย ซึ่งซีพีเอ็นตั้งใจสร้าง New Retail Platform นี้ขึ้นมาเติมเต็มช่องว่างในตลาด โดยสร้างมิติใหม่ให้เอาท์เล็ตเป็น Shopping Destination ที่สื่อถึงความเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก อย่างเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ที่มีเอาท์เล็ตชั้นนำของเอเชีย” ส่วนเซ็นทรัล วิลเลจ ก็ถือเป็น Bangkok Luxury Outlet ที่มีศักยภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าจะดึงดูดทราฟฟิก ได้ 6-10 ล้านคนตลอดทั้งปี แบ่งเป็นตลาดคนไทย 65% เน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ของนักช้อปชาวกรุงเทพฯ และชาวไทยทั่วประเทศ และกลุ่มนักท่องเที่ยว 35% ส่วนเซ็นทรัล วิลเลจ ก็ถือเป็น Bangkok Luxury Outlet ที่มีศักยภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าจะดึงดูดทราฟฟิก ได้ 6-10 ล้านคนตลอดทั้งปี แบ่งเป็นตลาดคนไทย 65% เน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ของนักช้อปชาวกรุงเทพฯ และชาวไทยทั่วประเทศ และกลุ่มนักท่องเที่ยว 35% โดยโฟกัสไปที่กลุ่มที่บินมายังกรุงเทพฯ สอดคล้องกับตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นของกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง (Middle Class) และกลุ่ม Young Affluent ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จด้วยอายุที่ยังน้อยทั่วโลก มีความชื่นชอบในการซื้อสินค้าแบรนด์เนมในราคาที่คุ้มค่า โดยโฟกัสไปที่กลุ่มที่บินมายังกรุงเทพฯ สอดคล้องกับตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นของกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง (Middle Class) และกลุ่ม Young Affluent ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จด้วยอายุที่ยังน้อยทั่วโลก มีความชื่นชอบในการซื้อสินค้าแบรนด์เนมในราคาที่คุ้มค่า นอกจากการช้อปปิ้งยังมีร้านอาหาร, ท็อปส์ มาร์เก็ต, สนามเด็กเล่น และจุดบริการนักท่องเที่ยว ได้อำนวยความสะดวกในการเดินทางมายังโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยการจัด Shuttle Bus รับส่งใน 3 จุดที่เซ็นทรัลเวิลด์, BTS อุดมสุข และที่จุดขึ้นรถที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ นอกจากการช้อปปิ้งยังมีร้านอาหาร, ท็อปส์ มาร์เก็ต, สนามเด็กเล่น และจุดบริการนักท่องเที่ยว | เซ็นทรัล วิลเลจ (Central Village) ลักชูรี่ เอาท์เล็ตแห่งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 31 ส.ค. นี้ มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ทางด้านของเครือเซ็นทรัลก็ไม่น้อยหน้า โดยที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ได้ปาดหน้าประกาศเปิดให้บริการโครงการ เซ็นทรัล วิลเลจ (Central Village) ลักชูรี่ เอาท์เล็ตแห่งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 31 ส.ค. นี้ มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ได้นำจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำการพัฒนาโครงการรีเทล และอสังหาริมทรัพย์ ผนวกกับความแข็งแกร่งของแบรนด์ดังระดับอินเตอร์รวมกว่า 130 สโตร์ที่เตรียมทยอยเปิด อาทิ CHLOE, CLUB 21 (OUTLET BY CLUB 21), COACH, ERMENEGILDO ZEGNA, KATE SPADE NEW YORK, KENZO, POLO RALPH LAUREN, SALVATORE FERRAGAMO, CALVIN KLEIN JEANS, JIM THOMPSON, L’OREAL LUXE, MAX & CO., MICHAEL KORS, PANDORA, SWAROVSKI, THE COSMETICS COMPANY STORE, VICTORIA’S SECRET | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56432 | Retail | จงสรุปบทความ ทรู ดิจิทัล พาร์ค เปิดให้บริการครบทุกพื้นที่ในเฟสแรกแล้ว | ทรู ดิจิทัล พาร์ค (True Digital Park) ประกาศความพร้อมก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลแห่งแรกในไทยและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รุกปั้นยูนิคอร์นช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “One Roof, All Possibilities – ที่เดียว ทุกความเป็นไปได้” Global Innovation Index: GII ซึ่งจัดทำโดย Cornell SC Johnson College of Business และ INSEAD WIPO ได้เปิดเผยผลการประเมินผลดัชนีนวัตกรรมโลกว่า ประเทศไทยมีความพร้อมเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลแห่งใหม่ของภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 44 ในปี 2561 มีอันดับที่ดีขึ้น 7 อันดับ มีความโดดเด่นเป็นพิเศษด้านความก้าวหน้าของตลาด (Market Sophistication) ผลลัพธ์จากองค์ความรู้และเทคโนโลยี (Knowledge and technology outputs) และอัตราส่วนประสิทธิภาพด้านนวัตกรรม (Innovation Efficiency Ratio) อีกทั้งยังเป็นหนึ่งใน 20 ประเทศในกลุ่มนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จ (Innovation Achievers) อีกด้วย อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมีสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ดังนั้น ทรู ดิจิทัล พาร์ค จึงมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศสมบูรณ์แบบสำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการด้านดิจิทัล เพื่อร่วมสนับสนุนและเสริมศักยภาพของประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทรู ดิจิทัล พาร์ค ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 101 สถานีบีทีเอสปุณณวิถี พร้อมเปิดให้บริการครบทุกพื้นที่ในเฟสแรก แล้ววันนี้ โดยแบ่งพื้นที่ให้บริการ 3 ส่วนหลัก คือ Work Space ขนาด 77,000 ตร.ม.
Lifestyle Space ขนาด 30,000 ตร.ม.
Living Space ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมและที่พักอาศัย Work Space ขนาด 77,000 ตร.ม. Lifestyle Space ขนาด 30,000 ตร.ม. Living Space ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมและที่พักอาศัย ฐนสรณ์ ใจดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค บอกว่า สถิตของผู้เข้าทำงานที่ WorkSpace สะท้อนถึงความเป็นระบบนิเวศสมบรูณ์ แบบเพื่อสตาร์ทอัพอย่างแท้จริง โดยปัจจุบันมีกลุ่มผู้ใช้งานจากหลากหลายประเภทธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์, โซเชียลแพลตฟอร์ม, EnterprisePlatform, อี-คอมเมิร์ซ, หุ่นยนต์ รวมถึงธุรกิจเทคต่างๆ อาทิ ฟินเทค, ทราเวลเทค, มาร์เก็ตติ้งเทค, พร็อพเทค (PropTech) และ AgriTech เป็นต้น ฐนสรณ์ ใจดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค บอกว่า สำหรับสถิติด้านประชากรเป็นชายร้อยละ 57 และหญิงร้อยละ 43 โดยสาขาการทำงานของผู้ที่อยู่ใน True Digital Park ส่วนใหญ่จะเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและดิจิทัล ซึ่งมีมากกว่า 60% ของคนทั้งหมด แบ่งตามสาขาการทำงานได้ดังนี้ กลุ่มวิศวกร ไอที เทคโนโลยี และนวัตกรรม ร้อยละ 40, งานสนับสนุนทางเทคนิค ร้อยละ 15, ด้านการตลาดดิจิทัล ร้อยละ 6, ด้านบริหารและพัฒนาธุรกิจ ร้อยละ 25 และงานสนับสนุนด้านอื่นๆ เช่น บัญชี, บุคคล ร้อยละ 14 Work Space ประกอบด้วยพื้นที่ 4 โซน ดังนี้ Co-Working Spaceพื้นที่นั่งทำงาน มีบริการแพนทรี และโซนพักผ่อน Office Space พื้นที่สำนักงานที่มีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ใช้เป็นห้องประชุม และจัดกิจกรรม ออกแบบเปิดโล่ง มีบันไดเชื่อมต่อกันทุกชั้น เอื้อต่อการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ และสร้างคอมมูนิตี้ร่วมกัน Innovation Space แหล่งรวมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ศูนย์ทดลองนวัตกรรม และการเรียนรู้จากหน่วยงานภาครัฐ บริษัทต่างๆ และองค์กรชั้นนำระดับโลก อาทิ NIA, DEPA, ETDA, ACE Singapore, KMITL, Google, AWS, Huawei, Ricoh, UOB, Wongnai, MuSpace, Thailand e-Center (TeC), CP Innovation และ True Digital Academy เป็นต้น Event and Business Services Spaceพื้นที่สำหรับจัดประชุม สัมมนา ศูนย์บริการทางธุรกิจ ศูนย์บริการครบวงจรจากภาครัฐ Work Space ของทรู ดิจิทัล พาร์ค ให้ได้มากกว่าที่นั่งทำงานแบบเดิมๆ โดยสมาชิกทรู ดิจิทัล พาร์ค จะมีที่นั่งทำงานสไตล์ Open Space เลือกได้มากกว่า 400 ที่นั่ง ทุกที่เชื่อมต่อสู่โลกดิจิทัลได้ผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1 Gbps และเครือข่าย WiFi ที่ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก นอกจากนี้ ยังมีบริการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น VC Clinics และเพิ่มโอกาสการลงทุนให้แก่สตาร์ทอัพ, บริการให้คำปรึกษาและสนับสนุนการขอสมาร์ทวีซ่าสำหรับสตาร์ทอัพและชาวต่างชาติที่มาทำงานในประเทศไทย, บริการที่ปรึกษาธุรกิจ กฎหมาย บริการสนับสนุนอื่นๆ และสิทธิพิเศษด้านภาษี รวมทั้งยังมีการเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาเพื่อเพิ่มโอกาสให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ เพื่อสร้าง Tech Talent ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดบุคลากรด้านดิจิทัล เป็นต้น นอกจากจะนั่งทำงานในพื้นที่ Work Space แล้ว สมาชิกทรู ดิจิทัล พาร์ค ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันแบบ Cashless Society สุดล้ำ ได้ที่ Lifestyle Space ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ที่โดดเด่นด้วยการผสมผสานพื้นที่ค้าปลีกเข้ากับธรรมชาติและเทคโนโลยี มีโซนที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่จัดสรรเวลาในการทำงานและใช้ชีวิตด้วยตัวเองอย่างอิสระ เชื่อมต่อทุกกิจกรรมของชีวิต เพื่อการใช้ชีวิตประจำวันและการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับคนเมือง | ทรู ดิจิทัล พาร์ค (True Digital Park) เปิดให้บริการครบทุกพื้นที่ในเฟสแรกแล้ว ภายใต้แนวคิด One Roof, All Possibilities ที่เดียว ทุกความเป็นไปได้ โดยแบ่งพื้นที่ให้บริการเป็น 3 ส่วนหลัก คือ Lifestyle Space โโซนค้าปลีกที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง, Living Space คอนโดมิเนียมและที่พักอาศัย และ Work Space ที่นั่งทำงานสไตล์ Open Space ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1 Gbps พร้อมเครือข่าย WiFi ที่ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก อีกทั้งยังมีบริการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพด้านต่างๆ พร้อมเชื่อมโยงสถาบันการศึกษาเพิ่มโอกาสให้นักศึกษาเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ Work Space ประกอบด้วยพื้นที่ 4 โซน คือ
1) Co-Working Space พื้นที่นั่งทำงาน พร้อมบริการแพนทรี และโซนพักผ่อน
2) Office Space พื้นที่สำนักงานที่มีพื้นที่ส่วนกลางสามารถใช้เป็นห้องประชุม และจัดกิจกรรม
3) Innovation Space ศูนย์ทดลองนวัตกรรม และการเรียนรู้จากหน่วยงานภาครัฐ บริษัทต่างๆ และองค์กรชั้นนำระดับโลก ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลแห่งแรกในไทยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
4) Event and Business Services Space พื้นที่สำหรับจัดประชุม สัมมนา นอกจากนี้ยังมีศูนย์บริการทางธุรกิจ และศูนย์บริการครบวงจรจากภาครัฐด้วย
สำหรับสถิติของผู้เข้าทำงานที่ WorkSpace มีหลากหลายประเภทธุรกิจ เช่น ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์, โซเชียลแพลตฟอร์ม, EnterprisePlatform, อี-คอมเมิร์ซ, หุ่นยนต์ รวมไปถึงธุรกิจอย่างฟินเทค, ทราเวลเทค, มาร์เก็ตติ้งเทค, พร็อพเทค (PropTech) และ AgriTech | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56437 | Retail | ช่วยสรุปบทความ Tesco Lotus ไม่น้อยหน้า ประกาศเลิกใช้แพ็คเกจจิ้งโฟมทุกชนิด เริ่ม 1 ก.ค. 62 | ยกเลิกใช้โฟม เป็นวัสดุรีไซเคิลทั้งหมด
เป็นทิศทางสำคัญของวงการค้าปลีกในประเทศไทยที่มีการตื่นตัวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ขยะพลาสติกมากขึ้น ตั้งแต่ต้นที่ผ่านมาได้เห็นผู้เล่นค้าปลีกหลายรายมีนโยบายลด หรืองดใช้ถุงพลาสติกมากขึ้น ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจค้าปลีกมีส่วนสำคัญในการสร้างขยะรายใหญ่รายหนึ่งเช่นกัน
อย่างที่เมื่อวันก่อนที่กลุ่มเซ็นทรัลได้ประกาศหักดิบ งดแจกถุงพลาสติกในทุกกลุ่มธุรกิจ เริ่ม 5 มิถุนายนที่จะถึงนี้ (อ่านเพิ่มเติม กลุ่มเซ็นทรัลหักดิบ! งดแจกถุงพลาสติกจริงจังทุกกลุ่มธุรกิจ ดีเดย์ 5 มิ.ย.นี้)
Tesco Lotus ที่เป็นหนึ่งในผู้เล่นค้าปลีกรายใหญ่ในไทย มีการเริ่มนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมมาหลายปีแล้ว แต่เริ่มมาเพิ่มความเข้มขึ้นเมื่อปีที่แล้วเพราะคนไทยเริ่มตระหนักถึงปัญหานี้มากขึ้น
ในปีนี้ได้ประกาศยกเลิกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากโฟมทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป พร้อมเพิ่มความเข้มข้นนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมด้วยโครงการแบบครบวงจรและมุ่งสู่การสร้างระบบปิดของบรรจุภัณฑ์ (closed loop packaging system) ต้องการลดขยะบรรจุภัณฑ์ประเภทใช้ครั้งเดียว (single-use packaging) และขยะพลาสติก
สลิลลา สีหพันธุ์ ประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท เทสโก้ โลตัส บอกว่า
“ในฐานะผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีร้านค้ากว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ มีความตระหนักดีถึงบทบาทของเราในการช่วยบรรเทาปัญหาขยะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จะยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์ใส่อาหารที่ทำจากโฟมทุกชนิดในทุกสาขา โดยเราได้เริ่มทยอยเปลี่ยนจากโฟมมาใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และจะยกเลิกบรรจุภัณฑ์โฟมทุกรูปแบบได้ 100% ภายในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้”
สิ่งที่ Tesco Lotus นำมาใช้แทนโฟมนั้น เรียกว่า “ถาดเธอร์โมฟอร์ม (Thermoform)” ขึ้นรูปจากวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% ถูกนำมาใช้แทนถาดพลาสติกและฟิล์มแบบเก่าสำหรับสินค้าประเภทเนื้อสัตว์ตัดแต่งและผลไม้พร้อมทาน
โดยถาดเธอร์โมฟอร์มทำมาจากพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% แต่ใช้พลาสติกน้อยกว่าปกติ ช่วยลดใช้พลาสติกปีละกว่า 400 ตัน หรือเทียบเท่าขวดน้ำพลาสติกขนาด 600 มิลลิลิตรจำนวน 26.6 ล้านขวดเมื่อเทียบกับถาดพลาสติกแบบเก่าที่เคยใช้นอกจากนี้ถาดเธอร์โมฟอร์มยังมีความสะอาดถูกสุขอนามัยและช่วยคงความสดของสินค้าเป็นการช่วยลดขยะจากอาหารอีกทางหนึ่ง
อีกทั้งยังมี Green Corner จำหน่ายบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แบรนด์เฟสท์ (Fest) จาก SCG ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบรรจุภัณฑ์ที่เป็นทางเลือก และเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานจากกล่องโฟมหรือบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ โดยมีจำหน่ายที่ Tesco Lotus ไฮเปอร์มาร์เก็ตทุกสาขาทั่วประเทศ
จากการที่ยกเลิกถาดโฟมทั้งหมดทุกสาขานั้น จะสามารถลดการใช้โฟมได้ถึง 51 ล้านตันต่อปี หรือ 11.24 ล้านถาดต่อปี | การตื่นตัวของวงการค้าปลีกในไทยต่อปัญหาขยะพลาสติกมีความสำคัญ หลายร้านค้าปลีกได้มีนโยบายลดหรืองดใช้ถุงพลาสติก เช่นเซ็นทรัลที่ประกาศหักดิบ! งดแจกถุงพลาสติกทุกกลุ่มธุรกิจตั้งแต่ 5 มิถุนายน นอกจากนี้ Tesco Lotus ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกใหญ่ในไทย ก็มีนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมมานานแล้ว แต่เริ่มเน้นมากขึ้นในปีที่ผ่านมา หลายร้านค้าเริ่มรับรู้ถึงปัญหาขยะพลาสติกมากขึ้นตามความตระหนักของคนไทยเพิ่มมากขึ้น
ได้ประกาศยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์ทำจากโฟมทุกประการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 เพื่อเพิ่มความเข้มข้นนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และมุ่งสู่ระบบปิดของบรรจุภัณฑ์ เพื่อลดขยะบรรจุภัณฑ์ประเภทใช้ครั้งเดียวและขยะพลาสติก โดยมีวัตถุประสงค์ในการช่วยบรรเทาปัญหาขยะและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทเตรียมที่จะยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์โฟมทุกรูปแบบได้ 100% ภายในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้
Tesco Lotus ได้ใช้ถาดเธอร์โมฟอร์มทำจากพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% เพื่อแทนถาดพลาสติกและฟิล์มเก่าในสินค้าเนื้อสัตว์และผลไม้ ถาดเธอร์โมฟอร์มลดใช้พลาสติกปีละกว่า 400 ตัน หรือเทียบเท่าขวดน้ำพลาสติกขนาด 600 มิลลิลิตรจำนวน 26.6 ล้านขวด เป็นมาตรการลดปริมาณขยะและช่วยคงความสดของสินค้า อีกทั้งยังมีความสะอาดถูกสุขอนามัย
Tesco Lotus ยกเลิกการใช้ถาดโฟมทั้งหมดทุกสาขาเพื่อลดการใช้โฟมถึง 51 ล้านตันต่อปี และเพิ่มตัวเลือกให้กับลูกค้าด้วยบรรจุภัณฑ์เฟสท์ (Fest) จาก SCG ที่มีการจำหน่ายที่ทุกสาขา Tesco Lotus ทั่วประเทศ โดย Green Corner ยังเป็นที่รวบรวมบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56438 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การขยายสาขาอย่างรวดเร็ว อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ | null | ศึกชิงบัลลังก์กาแฟ: บททดสอบแห่ง Retail
ท่ามกลางแสงสีของเมืองเซี่ยเหมิน เมืองท่าทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ไฟสว่างไสวจากร้านกาแฟ "Luckin Coffee" ดึงดูดผู้คนให้เข้ามา พนักงานแต่งกายด้วยชุดยูนิฟอร์มสีแดงสดใส ต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศภายในร้านอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกาแฟคั่วบด ผสมผสานกับเสียงเพลงและเสียงพูดคุยอย่างคึกคัก
เบื้องหลังความคึกคักนี้ คือกลยุทธ์อันชาญฉลาดของ "เจิ้งหยวน" ซีอีโอหนุ่มไฟแรง ผู้ก่อตั้ง Luckin Coffee เขาเล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดกาแฟจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจท้าทายบัลลังก์ของ "Starbucks" ยักษ์ใหญ่จากอเมริกา
เจิ้งหยวนใช้วิธีการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ดึงดูดลูกค้าด้วยราคาที่ย่อมเยากว่า Starbucks ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ลูกค้าสามารถสั่งซื้อกาแฟผ่านแอปพลิเคชัน ชำระเงินออนไลน์ และรับกาแฟได้โดยไม่ต้องรอคิวนาน กลยุทธ์นี้ถูกใจคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความสะดวกรวดเร็ว
Starbucks ไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับคู่แข่ง เริ่มต้นด้วยการขยายสาขาแบบ Delivery จับมือกับพันธมิตรท้องถิ่น พัฒนาเมนูใหม่ที่เหมาะกับรสนิยมคนจีน เพิ่มช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์ และนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า
ศึกชิงบัลลังก์กาแฟในจีนดำเนินไปอย่างดุเดือด ทั้งสองฝ่ายต่างงัดกลยุทธ์เด็ดมาดึงดูดลูกค้า Luckin Coffee อาศัยความคล่องตัว ใช้วิธีการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว นำเสนอราคาที่ย่อมเยา มุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่
Starbucks อาศัยความแข็งแกร่งของแบรนด์ ประสบการณ์ และฐานลูกค้าที่ยาวนาน ปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับตลาดจีน นำเสนอเมนูและบริการที่หลากหลาย
บททดสอบแห่ง Retail นี้ ไม่ได้วัดกันที่ขนาดของแบรนด์ แต่เป็นการวัดความสามารถในการปรับตัว เข้าใจความต้องการของลูกค้า และนำเสนอประสบการณ์ที่ดีที่สุด | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56463 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการทุ่มเทและทำงานหนัก | null | รอยยิ้มจากผืนผ้า: บทเพลงแห่ง Uniqlo
ทาดาชิ ยานาอิ เด็กหนุ่มผู้เติบโตมากับร้านตัดเสื้อสูทของพ่อในเมืองฮิโรชิม่า ใฝ่ฝันถึงชีวิตที่แตกต่าง เขาเบื่อหน่ายกับความซ้ำซาก จำเจ และใฝ่ฝันถึงโลกกว้าง โลกแห่งแฟชั่น โลกที่เต็มไปด้วยสีสันและความตื่นเต้น
ด้วยความมุ่งมั่น ยานาอิทุ่มเทเรียนรู้ศาสตร์แห่งการค้า เขาเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ทำงานในห้างสรรพสินค้า เรียนรู้กลไกของธุรกิจค้าปลีก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และฝันถึงวันที่เขาจะมีอาณาจักรของตัวเอง
วันหนึ่ง โอกาสก็มาถึง ยานาอิตัดสินใจลาออกจากงานประจำและเปิดร้านขายเสื้อผ้าของตัวเอง ภายใต้ชื่อ "Unique Clothing Warehouse" ร้านเล็ก ๆ แห่งนี้ เต็มไปด้วยความฝันและแรงปรารถนาของชายหนุ่ม
ยานาอิ มุ่งมั่นสร้างแบรนด์เสื้อผ้าที่ "เรียบง่าย สวมใส่สบาย และมีราคาจับต้องได้" เขาคัดสรรเนื้อผ้าอย่างพิถีพิถัน ออกแบบดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความทันสมัย กลยุทธ์ของเขานั้นตรงข้ามกับแบรนด์แฟชั่นชั้นนำในยุคนั้น ที่มักเน้นความหรูหรา ราคาแพง และเข้าถึงได้ยาก
Uniqlo เติบโตอย่างรวดเร็ว ร้านเล็ก ๆ ขยายเป็นสาขาใหญ่ ขยายจากเมืองสู่เมือง ขยายจากประเทศญี่ปุ่นสู่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ยานาอิ ยึดมั่นในปรัชญา "LifeWear" เสื้อผ้าที่ไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เสื้อผ้าที่ทุกคนสามารถสวมใส่ได้ เสื้อผ้าที่มอบความมั่นใจและรอยยิ้ม
Uniqlo ไม่ได้เป็นแค่แบรนด์เสื้อผ้า แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ เป็นบทพิสูจน์ว่า ความฝันและความมุ่งมั่น สามารถพลิกผันชีวิต เปลี่ยนเด็กหนุ่มจากร้านตัดเสื้อสูท สู่เจ้าพ่อแห่งวงการค้าปลีก มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56464 | Retail | กรุณาสรุปบทความ Uniqlo ญี่ปุ่น ประกาศลดคาดการณ์กำไรทั้งปีลง 10,000 ล้านเยน | Uniqlo แบรนด์ Fast Fashion ชื่อดังจากแดนปลาดิบได้ประกาศว่าจะลดคาดการณ์กำไรทั้งปีลง 10,000 ล้านเยน หรือ 80 ล้านเหรียญสหรัฐ มาจากรายได้ไม่เป็นตามเป้า เจอแบรนด์จีนตีตลาด ดูท่าว่าวิกฤตการณ์ค้าปลีกจะแพร่ระบาดไปยังแบรนด์ Fast Fashion ด้วยเช่นกัน ล่าสุด Uniqlo ได้ออกมาประกาศว่าปรับลดการณ์คาดการณ์ผลกำไรในปีนี้ลง ถึงแม้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2018 จะมีตำเลขกำไรที่ดีกว่าที่คาดการณ์ก็คือ 68 ล้านเยน หรือ 610 ล้านเหรียญสหรัฐ Uniqlo ได้คาดการณ์ผลกำไรปีนี้ใหม่จนถึงเดือนสิงหาคม 2019 คาดการณ์กำไร 260,000 ล้านเยน หรือ 2,340 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่วางเป้าไว้ที่ 270,000 ล้านเยน หรือ 2,420 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Uniqlo ปรับลดตัวเลขลงอย่างรุนแรงนั่นมาจากรายได้ในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อีกทั้งยังถูกแบรนด์จากต่างประเทศตีตลาด อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อปลกำไรของ Uniqlo ก็คือเรื่องสภาพอากาศ และการจัดการสต็อกสินค้าไม่ดี ก่อนหน้านี้เคยประสบปัญหาเรื่องขาดสินค้าอุปกรณ์ในช่วงฤดูหนาว แต่เมื่อปีที่ผ่านมาได้มีสต็อกที่มากเกินไป และไม่สามารถขายได้ในช่วงที่อากาศอบอุ่นแล้ว | Uniqlo ญี่ปุ่น ประกาศลดคาดการณ์กำไรทั้งปีลง 10,000 ล้านเยน หรือ 80 ล้านเหรียญสหรัฐ จากรายได้ในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร การจัดการสต็อกสินค้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังประสบปัญหาแบรนด์จีนตีตลาดด้วย | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56473 | Retail | ช่วยสรุปบทความเรื่อง "ค้าปลีกระดับโลกประกาศปิดสาขาแล้วกว่า 4,810 แห่ง ภายใน 2 เดือนของปี 2019" ให้หน่อยนะคะ | การปิดหน้าร้านในวงการค้าปลีกกลายเป็นหนึ่งในข่าวปกติไปแล้ว ตัวเลขล่าสุดของ 2 เดือนแรกในปีนี้ที่มีประกาศแผนปิดสาขาแล้วสูงถึง 4,810 แห่ง หน้าร้านค้าปลีกล่มสลายต่อเนื่อง ทยอยปิดกันเรื่อยๆ ในช่วงเดือนแรกๆ ของปี 2019 มีแบรนด์ค้าปลีกจำนวนไม่น้อยที่ได้ประกาศแผนปิดสาขาแล้ว ตัวอย่างเช่น Gap และ J.C. Penny แม้กระทั่ง Victoria’s Secret ที่ประกาศแผนปิดหลายสาขาในปีนี้ เพราะมียอดขายลดลง หรืออย่าง Tesla ที่ได้ประกาศปิดหน้าร้านจำนวนมาก เพื่อลดต้นทุน แล้วหันมาขายรถยนต์ไฟฟ้าผ่านออนไลน์แบบ 100% งานวิจัยของ Coresight Research ระบุว่า จนถึงวันนี้ผ่านมา 2 เดือน มีแบรนด์ค้าปลีกทั้งหมดที่ประกาศแผนปิดสาขาในปี 2019 สูงถึง 4,810 แห่ง (ตัวเลขนี้คือจำนวนสาขาที่ปิด ไม่ใช่จำนวนแบรนด์) งานวิจัยของ Coresight Research ระบุว่า จนถึงวันนี้ผ่านมา 2 เดือน มีแบรนด์ค้าปลีกทั้งหมดที่ประกาศแผนปิดสาขาในปี 2019 สูงถึง 4,810 แห่ง (ตัวเลขนี้คือจำนวนสาขาที่ปิด ไม่ใช่จำนวนแบรนด์) ที่น่าสนใจคือ กระแสการปิดหน้าร้านในวงการค้าปลีก ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแบรนด์ค้าปลีกทั่วไปเท่านั้น ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon ซึ่งเติบโตจากออนไลน์ และกระโดดลงมาเล่นในตลาดออฟไลน์ ก็ได้ประกาศปิดสาขาขนาดเล็ก หรือ pop-up store ที่ตั้งในห้างสรรพสินค้าเช่นกัน โดยจะเริ่มทยอยปิดตั้งแต่เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม Marie Driscoll กรรมการผู้จัดการด้านแฟชั่นและสินค้าหรูของ Coresight Research บอกว่า แม้จะเกิดการทยอยปิดสาขาจำนวนมากของแบรนด์ค้าปลีก แต่ “นี่คือการทำให้จำนวนสาขาสมเหตุสมผลมากขึ้น” การทยอยปิดสาขาของหลายแบรนด์ระดับโลกเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดความคาดหมายแต่อย่างใด เนื่องจากคำถามสำคัญคือ สาขานั้นตั้งอยู่ที่ไหน เพราะหากตั้งอยู่ในพื้นที่เกรดเอ มีลูกค้าและยอดขายจำนวนมาก การปิดสาขาไม่ใช่คำตอบอย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วภาพใหญ่ของการทยอยปิดสาขาของแบรนด์ค้าปลีกต่างๆ คือการทำให้จำนวนสาขาของแบรนด์เกิดความสมเหตุสมผลและมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง ที่มา – CNBC ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ล่มสลายต่อเนื่อง ค้าปลีกระดับโลกทยอยปิดสาขา ผ่านมา 3 เดือนแรกตกงานหลักหมื่น In "Article" ปิดทุกสาขา! Bebe ค้าปลีกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ไล่ปิดทุกร้าน ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ In "News" H&M ประกาศปิดสาขา 250 แห่งทั่วโลก In "Article" | การปิดหน้าร้านในวงการค้าปลีกกำลังเป็นเหตุการณ์ที่พบมากในข่าวสารล่าสุด โดยตัวเลขล่าสุดใน 2 เดือนแรกของปีนี้รายงานว่ามีสาขาที่ประกาศปิดกว่า 4,810 แห่ง ทำให้ภาพรวมของการปิดสาขาค้าปลีกกลายเป็นเรื่องปกติ การปิดสาขาไม่เกี่ยวข้องเฉพาะกับแบรนด์ค้าปลีกทั่วไปเท่านั้น แม้กระทั่งบริษัทใหญ่อย่าง Amazon ก็ได้ประกาศปิดสาขาขนาดเล็กหรือ pop-up store ที่ตั้งในห้างสรรพสินค้า
ยิ่งไปกว่านั้น การปิดสาขานั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสาขาเป็นปัญหาเอง แต่มีความสัมพันธ์กับที่ตั้งของสาขา หากสาขาตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีลูกค้าและยอดขายมากมาย การปิดสาขาอาจไม่ใช่คำตอบที่แน่นอน การปิดสาขาที่เกิดขึ้นนี้ทำให้จำนวนสาขาของแบรนด์เกิดความสมเหตุสมผลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่คาดหวังไว้ล่วงหน้า
นอกจากนี้ มีแบรนด์ค้าปลีกทั่วโลกมีจำนวนทั้งหมด 4,810 แห่งที่ประกาศแผนปิดสาขาใน 2 เดือนแรกของปี 2019 ซึ่งเป็นจำนวนสาขาที่ปิดและไม่ใช่จำนวนแบรนด์
ในทางอื่น ๆ ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon ที่เติบโตจากออนไลน์ก็ได้ประกาศปิดสาขาขนาดเล็ก เป็นต้นไป การปิดสาขานี้เป็นเรื่องที่ทำให้จำนวนสาขาของแบรนด์เกิดความสมเหตุสมผลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สรุปได้ว่า กระแสการปิดหน้าร้านในวงการค้าปลีกไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับแบรนด์ค้าปลีกทั่วไปเท่านั้น แต่ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมออนไลน์ก็ถูกผลักดันให้ประกาศปิดสาขา เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในวงการค้าปลีกทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56517 | Retail | ช่วยสรุปบทความ เครื่องแต่งกายของสัตว์เลี้ยงกลายเป็นสินค้ายอดนิยมในอเมริกาช่วง Halloween ให้หน่อยนะคะ | เทศกาลผีๆ ประจำปีอย่าง Halloween กลายเป็นส่วนสำคัญในเศรษฐกิจของสหรัฐ อย่างปี 2018 ที่ผ่านมา คนในประเทศสหรัฐอเมริกาเขาใช้จ่ายในเทศกาลนี้ถึง 9,100 ล้านเหรียญสหรัฐ แล้วปีนี้ เขาจะช็อปดุกันขนาดไหน? Halloween 2018 คาดยอดใช้จ่ายแตะ 9 พันล้านเหรียญฯ James Harrison CEO ของ Party City (บริษัทขายปลีกสินค้าปาร์ตี้รายใหญ่ของสหรัฐ) บอกว่า ปีนี้ทุกคนยังตื่นเต้นกับเทศกาล Halloween โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มโตแบบแข็งแกร่งขึ้น และประชากรสหรัฐ 179 ล้านคนเตรียมตัวฉลองกับเทศกาลนี้อย่างเต็มที่ เลยคาดว่าปีนี้การใช้จ่ายลูกค้าจะสูงถึง 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (297,000 ล้านบาท) จากปีก่อน ข้อมูลจาก the National Retail Federation ระบุว่ายอดการใช้จ่ายช่วง Halloween ของชาวอเมริกาอยู่ที่ 9,100 ล้านเหรียญสหรัฐ (300,300 ล้านบาท) และแน่นอนว่าปี 2018 นี้ค่าใช้จ่ายต่อหัวน่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ 86.70 เหรียญสหรัฐ (2,861 บาท) จากปีก่อนอยู่ที่ 86.13 เหรียญสหรัฐต่อหัว (2,842 บาท) ช่วงเทศกาล Halloween คนสหรัฐฯ เขาช้อปอะไรกันบ้าง ปี 2017 ที่ผ่านมา ยอดใช้จ่ายของชาวอเมริกาในช่วง Halloween แบ่งเป็น เครื่องแต่งกาย 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (105,600 ล้านบาท)
อุปกรณ์ตกแต่ง 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (89,100 ล้านบาท)
ขนมและลูกกวาด 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (85,800 ล้านบาท)
การ์ด 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (13,200 ล้านบาท) เครื่องแต่งกาย 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (105,600 ล้านบาท) อุปกรณ์ตกแต่ง 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (89,100 ล้านบาท) ขนมและลูกกวาด 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (85,800 ล้านบาท) การ์ด 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (13,200 ล้านบาท) นอกจากนี้ยังมีการเซอร์เวย์ เจอเรื่องที่เซอร์ไพรส์ การใช้จ่ายที่เติบโตมาที่สุดคือ เครื่องแต่งกายของสัตว์เลี้ยง และเกือบ 20% ของคนที่ตอบแบบสำรวจนี้บอกว่าปีนี้เขาวางแผนไว้แล้วว่าจะแต่งตัวให้น้องๆ (สัตว์เลี้ยง) ในวัน Halloween ปีนี้แบบไหน สรุป เทศกาลนอกจากแสดงถึงความสุข ความสนุกสนาน ยังเป็นช่วงเวลาทองของนักการตลาดที่จะคิดแคมเปญ โปรดักส์ใหม่ๆ มากระตุ้นยอดขาย ที่สำคัญเรายังเห็นเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น ทำให้ข้าวของเครื่องใช้ และการรักษาพยาบาลน้องๆ (สัตว์เลี้ยง) มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ไทยเราน่าจะไม่ต่างจากประเทศอื่นมานัก | ยอดการใช้จ่ายของชาวอเมริกันเพิ่มขึ้นแตะ 9,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเทศกาล Halloween โดยสินค้าที่ผู้คนนิยมซื้อคือ เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ตกแต่ง ขนมและลูกกวาด รวมไปถึงการ์ด และที่น่าแปลกใจคือเครื่องแต่งกายของสัตว์เลี้ยงเป็นสินค้าที่มียอดขายเติบโตมากที่สุดในเทศกาลนี้ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56531 | Retail | โปรดสรุปบทความ สปอร์ต รีโวลูชั่น พา Champion แบรนด์เสื้อผ้าสปอร์ตไลฟ์สไตล์จากสหรัฐกลับมาตีตลาดไทยอีกครั้ง | Champion แบรนด์เสื้อผ้าสปอร์ตไลฟ์สไตล์ได้กลับมาทำตลาดในไทยอีกครั้งหลังจากหายจากตลาดไปกว่า 16 ปี โดย “สปอร์ต รีโวลูชั่น” เป็นดิสทริบิวเตอร์ในการทำตลาด จับเทรนด์สปอร์ตไลฟ์สไตล์ที่กำลังเป็นที่นิยม Champion 16 “ ” พา Champion บุกตลาดไทยอีกครั้ง เติมพอร์ตไลฟ์สไตล์ให้แน่นขึ้น Champion แบรนด์ Champion เป็นแบรนด์เสื้อผ้าจากสหรัฐอเมริกาที่มีจุดยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างสปอร์ต และไลฟ์สไตล์ ก่อนหน้านี้ได้เคยเข้ามาทำตลาดในไทยอยู่ แต่ก็ได้หายไปจากตลาดราว 16 ปี แต่ในปีนี้ “สปอร์ต รีโวลูชั่น” ได้ทำการปัดฝุ่นนำเข้าแบรนด์มาในไทยอีกครั้งด้วยการเป็นดิสทริบิวเตอร์ Champion 16 “ ” สปอร์ต รีโวลูชั่นเป็นผู้นำเข้า จำหน่าย และบริหารธุรกิจร้านค้าปลีกในสินค้ากลุ่มสปอร์ต และไลฟ์สไตล์ ในพอร์ตโฟลิโอส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์กีฬา เช่น Nike, Under Armour, ASICS และยังมีแบรนด์กีฬาเฉพาะกลุ่มอย่างกอล์ฟ และวิ่งด้วย Nike, Under Armour, ASICS เพราะด้วย Passion ของ “พรศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา” CEO ของสปอร์ต รีโวลูชั่นที่ชื่นชอบกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ จึงเริ่มต้นจากการดิสทริบิวเตอร์ ไปจนถึงการนำเข้าสินค้าแบรนด์ใหญ่ๆ มาจำหน่าย เชี่ยวชาญทั้งการทำ Retail และ Wholesale Passion “ ” CEO Retail Wholesale แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือเมื่อปี 2558 ได้เป็นแฟรนไชส์หลักของแบรนด์ Yogurt Land ในประเทศไทย เป็นการแตกธุรกิจสู่ไลฟ์สไตล์มากขึ้น จนล่าสุดในปีนี้ได้นำแบรนด์ Champion เข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง 2558 Yogurt Land Champion ดีลนี้ได้มีการพูดคุยมาเป็นเวลา 2 ปี และได้เซ็นสัญญาเมื่อปลายปี 2560 ที่ผ่านมาโดยสปอร์ต รีโวลูชั่นจะเป็นดิสทริบิวเตอร์รายเดียวในไทย และเป็นรายแรกในอาเซียน 2 2560 พรศักดิ์ได้ให้เหตุผลที่ทางสปอร์ต รีโวลูชั่นเลือก Champion เข้ามาทำตลาดนั้น เพราะมองว่าสินค้ากลุ่มนี้มีการเติบโตสูง เนื่องจากเทรนด์ของสปอร์ตไลฟ์สไตล์กำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์หรู หรือฟาสต์แฟชั่นก็ยังลงมาจับสินค้ากลุ่มสปอร์ต อีกทั้งแบรนด์ยังมีความแข็งแกร่ง คนยังชื่นชอบอยู่ Champion ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือต้องการเติมพอร์ตแบนด์ด้านไลฟ์สไตล์มากขึ้น แต่ยังคงจุดยืนในความเป็นสปอร์ตไลฟ์สไตล์อยู่ เน้นไลฟ์สไตล์มากว่าสปอร์ต ซึ่งการทำตลาดในครั้งนี้จะวางภาพลักษณ์ไปทางไลฟ์สไตล์มากกว่า จะแตกต่างจากภาพเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ภาพลักษณ์จะเป็นแนวสปอร์ตจ๋าจนเกินไป จับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น วัยทำงานที่ชื่นชอบความเท่ของแบรนด์ ชอบแบรนด์ใหม่ๆ รวมถึงกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไปที่รุ้จักแบรนด์มาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว บางคนไปต่างประเทศแล้วรู้จักด้วย 40 สินค้าจะเป็นการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด มีราคาสูงกว่าที่ญี่ปุ่น 10-15% โดยราคาเฉลี่ย 3,200 บาท เริ่มต้นที่ 1,100 บาท และสูงสุดที่ 7,000 บาท 10-15% 3,200 1,100 7,000 “มองว่าพฤติกรรมลูกค้าตอนนี้สนใจแบรนด์ใหม่ๆ โดยเฉพาะอินเตอร์แบรนด์มีอินฟูลเอ็นเซอร์ที่ใช้แบรนด์นี้เยอะอยู่เหมือนกัน ยิ่งทำให้เป็นที่รู้จักได้ง่าย ผู้บริโภคจะเลือกแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะมากกว่าการใช้สินค้าเหมือนๆ กัน “ และในเรื่องของแบรนด์ Champion เป็นหนึ่งในตำนานแบรนด์กีฬา แก่กว่า Nike และ adidas มีนวัตกรรมเปลี่ยนวงการกีฬา จึงเป็นโอกาสสำคัญในการทำตลาดแบรนด์นี้” Champion Nike adidas ” เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิล์ด Champion ได้เปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ด ใช้งบลงทุนเฉลี่ย 20 ล้านบาท มีพื้นที่เฉลี่ย 80-100 ตารางเมตร ในปีนี้จะเปิดอีก 2 สาขา ได้แก่ ดิไอคอนสยาม และเมกะบางนาในช่วงปลายปี ลงทุนเฉลี่ย 20 ล้านบาท Champion 20 80-100 2 20 ส่วนในปี 2562 จะเปิดเพิ่มอีก 5-6 สาขา เน้นโลเคชั่นในศูนย์การค้า และไลฟ์สไตล์มอลล์ 2562 5-6 ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเปลี่ยน ทำให้แฟชั่นโตฟุ้ง ด้วยไลฟ์สไตล์ของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทำให้การแต่งตัวก็เปลี่ยนด้วยเช่นกันมีการแต่งตัวที่สบายมากขึ้นไม่ได้เป็นทางการแบบเก่า ส่งผลให้ตลาดแฟชั่นในไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ในปีนี้ว่ามีมูลค่า 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเสื้อผ้า 16,415 ล้านบาท มีการเติบโต 22.4% 30,000 16,415 22.4% และมีสัดส่วนผู้ใช้สินค้า 37.8% ในปี 2561 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 51.1% ภายในปี 2565 มีการใช้จ่ายเฉลี่ยน 1,044 บาท/ชิ้น 37.8% 2561 51.1% 2565 1,044 / ส่วนตลาดกีฬามีมูลค่า 30,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น รองเท้า 50% และเสื้อผ้า/อุปกรณ์เสริม 50% 30,000 50% / 50% สำหรับสปอร์ต รีโวลูชั่นตั้งเป้ารายได้รวมในปีนี้ที่ 2,600 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้วที่ 2,000 ล้านบาท โดยมี 4 แบรนด์ที่ทำรายได้หลัก ได้แก่ Nike, Under Armour, ASICS และ Crocs 2,600 2,000 4 Nike, Under Armour, ASICS Crocs ส่วนแบรนด์ Champion มีการตั้งเป้ารายได้ 500 ล้านบาทภายในปี 2563 หรือจะมีรายได้รวมทั้งบริษัทที่ 3,000 ล้านบาท มีแผนที่จะนำเข้าแบรนด์ใหญ่อีก 2-3 แบรนด์ Champion 500 2563 3,000 2-3 สรุป ตลาดแฟชั่นในประเทศไทยยังคงเติบโตได้ดี เพราะพฤติกรรมคนไทยชื่นชอบการแต่งตัว แต่ขณะเดียวกันก็มีการแข่งขันสูง ซึ่งทางสปอร์ต รีโวลูชั่นมีการวางจุดยืนชัดเจนว่าทำตลาดแบรนด์ในกลุ่มสปอร์ต และไลฟ์สไตล์ ทำให้ภาพลักษณ์ชัด สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายง่ายขึ้น | สปอร์ต รีโวลูชั่น ผู้นำเข้า จำหน่าย และบริหารธุรกิจร้านค้าปลีกในสินค้ากลุ่มสปอร์ต และไลฟ์สไตล์ พา Champion แบรนด์เสื้อผ้าสปอร์ตไลฟ์สไตล์จากสหรัฐอเมริกากลับมาตีตลาดไทยอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปกว่า 16 ปี เนื่องจากมองว่าสินค้ากลุ่มเทรนด์สปอร์ตไลฟ์สไตล์กำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก มีการเติบโตสูง และแบรนด์ยังมีความแข็งแกร่ง อีกทั้งยังเป็นการเติมพอร์ตแบนด์ด้านไลฟ์สไตล์โดยยังคงจุดยืนในความเป็นสปอร์ตไลฟ์สไตล์อยู่ ซึ่งการทำตลาดจะต่างจาก 16 ปีก่อนที่เน้นแนวสปอร์ตจัดมาเน้นหนักทางไลฟ์สไตล์ พร้อมตั้งเป้าหมายที่กลุ่มวัยรุ่น วัยทำงานที่ชื่นชอบความเท่ของแบรนด์ ชอบแบรนด์ใหม่ๆ รวมไปถึงกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไปที่รู้จักแบรนด์มาก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ทางสปอร์ต รีโวลูชั่น ยังเปิดตัวร้าน Champion Nike adidas สาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิล์ด โดยสินค้าของ Champion ทั้งหมดจะนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และในปีนี้จะเปิดอีก 2 สาขา คือ ดิไอคอนสยาม กับเมกะบางนาในช่วงปลายปี | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56549 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....สินค้าคุณภาพดี บริการที่ประทับใจ กลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด | null | บทเรียนชีวิตจากฟาร์มโชคชัย: บทพิสูจน์ของ "โชค บูลกุล"
ณ ใจกลางเมืองหลวงอันวุ่นวาย ร้านไอศกรีม Umm!…milk ของ "โชค บูลกุล" กำลังคึกคักไปด้วยลูกค้า เด็กๆ ยืนต่อคิวรอซื้อไอศกรีมหลากรส ผู้ใหญ่จับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
เบื้องหลังความสำเร็จ น้อยคนนักที่จะรู้ว่า "โชค บูลกุล" เคยเผชิญวิกฤตหนี้สินกว่า 500 ล้านบาท ธุรกิจฟาร์มโชคชัยที่สืบทอดมาจากครอบครัว เกือบต้องล้มละลาย
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ฟาร์มโชคชัยประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก ธุรกิจนม UHT ที่เคยรุ่งเรือง เริ่มถูกท้าทายจากคู่แข่งรายใหญ่ โชคในวัยหนุ่มตัดสินใจกอบกู้ธุรกิจของครอบครัว เขาเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างละเอียด หาจุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจ
โชคเล็งเห็นว่า ฟาร์มโชคชัยมีจุดแข็งคือ "วัว" สายพันธุ์ดี เขาจึงตัดสินใจปรับกลยุทธ์ มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจต้นน้ำ พัฒนาสายพันธุ์วัว เพิ่มคุณภาพน้ำนม และสร้างแบรนด์ "ฟาร์มโชคชัย" ให้เป็นที่รู้จัก
นอกจากนี้ โชคยังขยายธุรกิจไปยังธุรกิจปลายน้ำ เช่น ร้านอาหาร ไอศกรีม และร้านค้าปลีก เขาเลือกทำเลทองใจกลางเมือง ตกแต่งร้านอย่างสวยงาม ดึงดูดลูกค้าด้วยสินค้าคุณภาพดีและบริการที่ประทับใจ
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ฟาร์มโชคชัยพลิกฟื้นจากวิกฤต กลายเป็นธุรกิจพันล้านที่ไร้หนี้สิน โชค บูลกุล กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่
เรื่องราวของฟาร์มโชคชัย สอนให้เรารู้ว่า วิกฤตคือโอกาส หากเรารู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ หาจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง ที่สำคัญคือ ต้องกล้าตัดสินใจ เปลี่ยนแปลง และปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย
สำหรับธุรกิจ Retail บทเรียนจากฟาร์มโชคชัย มีความสำคัญอย่างยิ่ง การจะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ จำเป็นต้องมีสินค้าคุณภาพดี บริการที่ประทับใจ และกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด
นอกจากนี้ การเลือกทำเลทอง ตกแต่งร้านอย่างสวยงาม และสร้างบรรยากาศที่ดี ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดลูกค้า
สุดท้าย เรื่องราวของฟาร์มโชคชัย ยังสอนให้เราเห็นถึงความสำคัญของ "Passion" การทำธุรกิจที่เรารัก จะช่วยให้เรามีกำลังใจ ผ่านพ้นอุปสรรค และประสบความสำเร็จในที่สุด | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56569 | Retail | กรุณาสรุปบทความ MUJI จับมือ JD.com เปิด Online Flagship Store ส่งสินค้าถึงหน้าบ้านภายใน 1 วัน | ในช่วงหลายปีมานี้ MUJI แบรนด์ญี่ปุ่นขวัญใจสาวกมินิมอลลิสต์ ลุยหนักตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดจีน ล่าสุด จับมือกับ JD.com ยักษ์โลจิสติกส์จีนส่ง Online Flagship Store เป็นครั้งแรกของแบรนด์ MUJI ในจีนกำลังจะเดลิเวอรี่ผ่าน JD.com สั่งของวันเดียวถึงหน้าบ้าน MUJI ในจีนกำลังจะเดลิเวอรี่ผ่าน JD.com สั่งของวันเดียวถึงหน้าบ้าน MUJI จับมือร่วมกับ JD.com เตรียมส่งร้านออนไลน์เรือธงในประเทศจีน ความร่วมมือนี้จะทำให้เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน อาหาร และของจิปาถะต่างๆ ในร้านของ MUJI สามารถส่งแบบเดลิเวอรี่ถึงหน้าบ้านได้โดย JD.com ยักษ์ใหญ่โลจิสติกส์ ที่สำคัญคือ ของที่สั่งผ่านออนไลน์จะส่งถึงหน้าบ้านภายใน 1 วัน (same-day delivery) ที่สำคัญคือ ของที่สั่งผ่านออนไลน์จะส่งถึงหน้าบ้านภายใน 1 วัน (same-day delivery) Naoyuki Yamamoto ประธานของ MUJI ที่เซี่ยงไฮ้ ระบุว่า ความร่วมมือนี้จะเริ่มให้บริการภายในแต่เดือนกันยายนที่จะถึงนี้ นโยบายของ MUJI ลุยออนไลน์ไม่ชัด ทำเป็นบางพื้นที่ บางประเทศ เมื่อปี 2017 Brand Inside เคยสัมภาษณ์ มาซาชิ โอกะ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายจัดซื้อบริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด โดยตั้งคำถามถึงนโยบายการดำเนินงานด้านออนไลน์ของแบรนด์ ในครั้งนั้น โอกะ บอกว่านโยบายของ MUJI ขณะนี้ยังไม่ลงเล่นในตลาดออนไลน์อย่างเต็มตัว เพราะโดยหลักแล้วยังเน้นไปที่การซื้อสินค้าที่หน้าร้าน “ตอนนี้เรายังไม่มีแผนโกออนไลน์แบบจริงจัง แต่ก็มีการทำในบางประเทศ เพราะเราเน้นให้คนที่จะซื้อสินค้า MUJI จำเป็นจะต้องมาซื้อที่ร้านค้า” สรุปได้ว่า นโยบายการลุยออนไลน์ของ MUJI ยังไม่ชัด เพราะเลือกทำในบางพื้นที่ บางประเทศ แต่ที่น่าสนใจคือ ท่าทีหลังจากนี้ที่ MUJI ได้จับมือกับ JD.com ในจีน เพราะอาจทำให้ MUJI หันมาโฟกัสกับตลาดออนไลน์มากขึ้นก็เป็นได้ | MUJI ร้านค้ามินิมอลแบรนด์ญี่ปุ่น จับมือกับ JD.com ยักษ์ใหญ่แห่งวงการโลจิสติกส์จีน เปิด Online Flagship Store เป็นครั้งแรกของแบรนด์ ให้ลูกค้าซื้อสินค้า เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน อาหาร และของจิปาถะต่างๆ ในร้านของ MUJI เผ่าน JD.com โดยมีนโยบายส่งสินค้าถึงหน้าบ้านภายใน 1 วัน | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56586 | Retail | เทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่พนักงานขายในร้านค้าปลีกทั้งหมดในอนาคตหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
ความต้องการของผู้บริโภค: ผลสำรวจจาก HRC Retail Advisory พบว่า 95% ของผู้บริโภคต้องการพื้นที่อิสระในการเลือกซื้อของ ไม่ต้องการให้พนักงานเดินตาม แต่ผู้บริโภคก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากพนักงานในบางกรณี เช่น สินค้าประเภทเทคโนโลยีที่ต้องการความเชี่ยวชาญ หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม
บทบาทที่เปลี่ยนแปลง: เทคโนโลยีจะเข้ามาเสริมบทบาทของพนักงานขาย ไม่ได้แทนที่ทั้งหมด พนักงานขายจะเปลี่ยนจากการนำเสนอสินค้า มาเป็นผู้ให้คำแนะนำ ตอบคำถาม ช่วยเหลือลูกค้า และมอบประสบการณ์ที่ดีในการช้อปปิ้ง
ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: ร้านค้าปลีกต้องสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครเพื่อดึงดูดลูกค้า เทคโนโลยีสามารถช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดึงดูดใจลูกค้า เช่น แอปพลิเคชั่น ห้องลองเสื้อผ้าอัจฉริยะ
งานบริการ: เทคโนโลยีไม่สามารถแทนที่งานบริการบางประเภท เช่น การต้อนรับ การบริการลูกค้า VIP การจัดการสินค้าคงคลัง การรักษาความปลอดภัย
ข้อจำกัด: เทคโนโลยียังมีข้อจำกัด เช่น ระบบอาจขัดข้อง ข้อมูลอาจไม่ถูกต้อง เทคโนโลยีบางชนิดอาจใช้งานยากสำหรับผู้สูงอายุ
ตัวอย่าง:
ร้านค้าปลีกสามารถใช้เทคโนโลยี เช่น เครื่องสแกนราคา แอปพลิเคชั่น kiosk เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถหาข้อมูลสินค้า เช็คราคา ชำระเงินได้ด้วยตัวเอง
พนักงานขายสามารถใช้เทคโนโลยี เช่น แท็บเล็ต เพื่อเข้าถึงข้อมูลสินค้า แนะนำสินค้า เปรียบเทียบสินค้า ตอบคำถามลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ร้านค้าปลีกสามารถใช้เทคโนโลยี เช่น ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า นำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
สรุป: เทคโนโลยีจะเข้ามาเสริมบทบาทของพนักงานขาย ไม่ได้แทนที่ทั้งหมด ร้านค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จในอนาคตจะต้องผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับการบริการลูกค้าอย่างลงตัว | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56623 | Retail | ช่วยสรุปบทความเรื่อง "เจาะลึก SCB Easy แม่มณี ความร่วมมือกับ Alipay และการต่อยอดในอนาคต ที่เปลี่ยนโฉมธนาคาร" ให้หน่อยคะ | ตั้งแต่ PromptPay ถึง QR Payment คือ นโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกมาเปลี่ยนโฉมระบบการจ่ายเงิน เปลี่ยนโฉมธนาคาร และกำลังกลายเป็น Infrastructure เพื่อสร้างธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต และจะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นี่คือประเด็นที่ ธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส Chief Marketing Officer และ อภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการ ผู้บริหารสูงสุด Retail Product และ Retail Payments ของ SCB พร้อมด้วย พิภาวิน สดประเสริฐ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย Ant Financial Services Group ร่วมกันให้สัมภาษณ์กับ Brand Inside แบบ Exclusive และเป็นเรื่องที่ต้องบอกต่อทันที ความร่วมมือกับ Alipay เพื่อกระจายการใช้ QR Payment หลังจาก ธปท. อนุญาตให้ 5 ธนาคารแรก ซึ่งรวมถึง SCB ให้บริการ QR Payment ทั่วประเทศได้ โจทย์ที่ SCB มองคือ ทั้งร้านค้าที่ใช้ QR และผู้ซื้อ ต้องเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กัน แต่จะทำให้ร้านค้ามาเปิดรับชำระเงินด้วย QR ก็ต้องมีตัวอย่างที่จับต้องได้ Alipay เป็นสิ่งที่ร้านค้าคุ้นเคยดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะใน 3 เมืองหลัก คือ กรุงเทพ, ภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวจีน ร้านค้าส่วนใหญ่เข้าใจระบบชำระเงินผ่าน QR อยู่แล้ว ดังนั้น ความร่วมมือของ SCB และ Alipay จะยิ่งช่วยให้ร้านค้าเปิดรับ QR เร็วขึ้น และผู้ใช้คนไทยก็มีร้านค้าที่รับชำระเงินด้วย “SCB Easy มีผู้ใช้ 5 ล้านรายไม่พอ แต่นักท่องเที่ยวจีนที่เข้าไทย 10 ล้านคนต่อปี 70-80% ใช้งาน Alipay จะสร้างการรับรู้ได้มหาศาล” การทำตลาดเชิงลึก แม่มณี คือ คาแรกเตอร์ตัวแทน หลังจากเปิดตัว SCB Easy แม่มณี มาได้ 2 สัปดาห์แล้ว ผลตอบรับเป็นอย่างไรยังยากจะบอกได้ แต่ในหลายพื้นที่ เช่น ยูเนียนมอลล์ พ่อค้าแม่ค้าตอบรับดีมาก มีการใช้จ่ายผ่าน QR หลักพันบาทต่อร้านค้า ถ้าเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ที่ SCB Easy App เปิดตัวกับแคมเปญ “เป็นทุกอย่างเพื่อคุณ” มาพร้อมเพลง เป็นทุกอย่าง ของ Room 39 กลายเป็นประโยคติดหู เพราะเป็นการตลาดที่เน้นเรื่องอารมณ์ความรู้สึก เพื่อให้คนอยากใช้งาน แตกต่างกับการทำตลาดของแม่มณี ที่เป็นเรื่องของ คาแรกเตอร์ ทำให้คนจดจำได้ “ตอน SCB Easy App อยากให้คนรู้สึกร่วม แต่ แม่มณี คือต้องการสร้าง Visibility ให้คนเห็นมากๆ จดจำได้ว่า สัญลักษณ์แบบนี้ คือรับชำระเงินด้วย QR Payment ดังนั้นต่อไปเตรียมตัวได้เลย จะเห็นแม่มณีในทุกที่” จุดเด่นที่แตกต่าง ทำให้ร้านค้าต้องมี “แม่มณี” อยู่ด้วย ถ้าแอพจ่ายเงิน QR Payment ของทุกธนาคารใช้งานได้เหมือนกัน ทำให้ทุกธนาคารต้องแข่งขันเพื่อให้ บัญชีของตัวเอง เป็นบัญชีหลักของร้านค้า แล้วทำไมต้องใช้ SCB Easy แม่มณีด้วย SCB มีบริการ SCB Connect ผ่าน LINE ที่จะแจ้งเตือนเงินทุกบาทที่เข้ามาในบัญชี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน เมื่อรับชำระด้วย QR จะแจ้งเตือนทันที ร้านค้ามั่นใจได้ แม่มณี คือ นางกวักยุคดิจิทัล เป็นเรื่องของ emotional และไม่แน่ว่าในอนาคตจะพัฒนาเรื่อง functional เช่น ผ่านการทำบุญเพื่อให้มีผลทางใจกับการค้าขาย มี Promotion กระตุ้นให้เกิดการใช้งาน ซึ่งจะร่วมกับร้านค้าหลายแห่ง มี Customize App มาเพื่อให้บริการเสริม เช่น JJ Guide ให้ความช่วยเหลือคนเดินตลาดนัดจตุจักร และจะขยายผลไปพื้นที่อื่นๆ ทำให้คนซื้อคนขายมาเจอกัน “เมื่อเป็นบริการรับชำระ QR เหมือนกัน SCB Easy ต้องสร้าง คุณค่าและมูลค่า ให้กับร้านค้า ทำให้พ่อค้าแม่ค้าขายของได้ดียิ่งขึ้น และนางกวัก คือสัญลักษณ์ที่ดี ที่ทุกร้านมีอยู่แล้ว และพร้อมจะตั้งไว้ที่จุดเก็บเงิน ไม่เก็บไว้ที่อื่น” SCB เปลี่ยนกลยุทธ์ ลงพื้นที่จริง เรียนรู้ความต้องการจริง ถ้าถามถึงความเปลี่ยนแปลงในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา SCB เป็นธนาคารแรกที่ผู้บริหารลงไปเดินตลาดเพื่อโปรโมทบริการ QR Payment ซึ่งการไปพบกับผู้ใช้งานจริง ทำให้ได้รู้ความต้องการและปัญหาจากการใช้งานจริง ทำให้เกิดเป็น “แม่มณี” ที่มีความหมายดี คือ มณี ที่แปลว่า แก้วแหวนเงินทอง และยังออกเสียงคล้ายกับคำว่า “มานี่” หมายถึงการเรียกลูกค้า และยังคล้ายกับคำว่า มันนี่ หรือ Money ซึ่งแปลว่า เงิน และสะท้อนถึงการเป็นบริการ Money Solution สำหรับร้านค้า เรียกว่า แค่ชื่อ ก็โดนใจพ่อค้าแม่ค้าแล้ว รวมถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ คือ การใช้สัญลักษณ์รูปนางกวักแต่ดูน่ารัก ทำให้พ่อค้าแม่ค้าอยากวางโชว์ มีพื้นที่ใส่ชื่อร้านและเบอร์โทรศัพท์ ช่วยโฆษณาร้าน หรือการเดินตลาดทางภาคใต้ ซึ่งมีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ต้องใส่ใจเรื่องทางศาสนา การใช้นางกวัก อาจไม่เหมาะสม เป็นสิ่งที่รู้ได้จากการลงพื้นที่จริง ทำให้ SCB ได้สัมผัสในสิ่งที่คู่แข่งไม่ได้ทำ และได้รู้ว่าคู่แข่งทำอะไรบ้าง “บางครั้งการออกไปโดนตำหนิบ้าง ก็ทำให้รู้ข้อบกพร่องตัวเอง และนำมาปรับปรุง แค่ออกไปเดินแล้วได้ร้านค้าใช้ แม่มณีเพิ่มขึ้น ก็ถือว่า SCB ได้ลูกค้าใหม่แล้ว” ต้นเดือน ธ.ค. เตรียมขยายการใช้งาน QR ทุกตลาด เวลานี้การรับชำระด้วย QR ยังจำกัดอยู่ในระดับ C2C หรือ การโอนเงินระหว่างบุคคล ซึ่งร้านค้าทั่วไป พ่อค้าแม่ค้า ก็ถือเป็นบุคคล เช่นกัน แต่ประมาณต้นเดือน ธ.ค. ถ้ามาตรฐานที่ใช้สำหรับนิติบุคคลผ่านการอนุมัติ การใช้งาน QR Payment จะขยายตัวเพิ่มขึ้น นั่นคือการจ่ายเงินแบบ C2B ซึ่ง SCB ได้ประกาศความร่วมมือกับ The Mall Group ไปแล้ว ทำให้เกิดการจ่ายระหว่างบุคคลกับนิติบุคคลได้ นั่นหมายถึง ร้านอาหารเชน, ร้านกาแฟเชน หรือร้านสะดวกซื้อ เช่น 7-ELEVEN, Family Mart จะสามารถรับชำระ QR จากธนาคารได้ รวมถึง การรับชำระ QR ผ่านเครื่อง Vending Machine หรือตู้อัตโนมัติทั้งหลาย ซึ่ง SCB มีความร่วมมือกับ Sun108 ผู้ให้บริการตู้อัตโนมัติ ไม่ต้องห่วงเรื่องหยอดเหรียญ หรือเงินทอน เพราะใช้ QR จ่ายได้ง่ายๆ นอกจากนี้ จะต่อยอดไปถึงแบบ B2B คือ การรับชำระเงินระหว่างนิติบุคคล ซึ่ง SCB ได้ร่วมมือกับ โอสถสภา อนาคตเมื่อไปส่งสินค้าตามห้างร้านต่างๆ สามารถชำระเงินด้วย QR ได้ทันที หรือแม้แต่บริการ Cash on Delivery ก็สามารถใช้ QR ได้ ซึ่งจะสะดวก ปลอดภัยมากกว่าเดิม ไม่ต้องจำกัดจำนวนเงิน เมื่อพนักงานมาส่งสินค้า ก็แค่สแกน QR รับชำระเงินตรงไปที่บริษัทได้เลย พัฒนาสู่ Infrastructure สร้างธุรกิจใหม่ สตาร์ทอัพ ทาง SCB เชื่อว่า QR Payment จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ที่มาเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ต่อไปไม่ต้องกดเงินจาก ATM เพราะสามารถสแกน QR จ่ายเงินได้ทันที สะดวกกว่า ปลอดภัยกว่า และจะส่งเสริมให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะ สตาร์ทอัพ ที่ผ่านมา สตาร์ทอัพ เกิดขึ้นได้ยากเพราะขาดโมเดลในการหารายได้ แต่ QR เป็นวิธีการชำระเงินระดับ Micro Payment จ่ายได้ทุกบาท ดังนั้น สตาร์ทอัพ หรือใครก็ตามที่มีไอเดียธุรกิจ สามารถคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ได้และมีวิธีในการเก็บเงิน เพิ่มโอกาสที่ธุรกิจจะอยู่รอดได้มากขึ้น ทั้งหมดคือ การเปลี่ยนแปลงของธนาคารที่เดินเข้าหาผู้บริโภค เพื่อรับรู้ความต้องการ และ SCB ถือเป็นธนาคารแรกๆ ที่เปลี่ยนอย่างชัดเจน ส่วนต้นปีหน้าจะมีอะไรที่เปลี่ยนอีก โปรดติดตาม ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ชวนเดินรอบเมืองเชียงใหม่ พิสูจน์ข้อเท็จจริง QR Payment แพร่หลายมากแค่ไหน In "News" ร้านอาหารมีเฮ SCB x Wongnai POS จัดโซลูชั่นครบวงจร ได้ระบบ Payment + ระบบร้านอาหาร In "News" เปิดสมรภูมิ QR Code เมื่อ SCB Easy Pay เปิดแคมเปญ “แม่มณี” เป็นทุกอย่างเพื่อพ่อค้าแม่ค้า In "News" | ในบทสัมภาษณ์นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (SCB) กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในระบบการจ่ายเงินของธนาคาร ตั้งแต่การใช้บริการ PromptPay จนถึง QR Payment ซึ่งเป็นนโยบายที่มีเป้าหมายในการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค และเปลี่ยนโฉมระบบธนาคารเพื่อเป็น Infrastructure ที่สามารถสร้างธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคตได้ ร่วมกับ Alipay เพื่อกระจายการใช้ QR Payment หลังจากที่ 5 ธนาคารแรกได้รับอนุญาตให้ให้บริการ QR Payment ทั่วประเทศ ซึ่ง SCB เน้นว่าการร่วมมือกับ Alipay จะช่วยเพิ่มความคุ้นเคยในการใช้ QR Payment และช่วยให้ร้านค้าเปิดรับชำระเงินด้วย QR ได้รวดเร็วขึ้น
ในส่วนของการตลาด SCB กล่าวถึงการเปิดตัว SCB Easy แม่มณีที่เน้นการตลาดเชิงลึก โดยมุ่งเน้นการสร้างความรู้สึกและความร่วมมือกับร้านค้า ซึ่งมีความต่างจากตลาดแม่มณีที่เน้นคาแรกเตอร์ และ SCB เปลี่ยนกลยุทธ์โปรโมทบริการ QR Payment โดยลงพื้นที่จริงเพื่อเข้าใจความต้องการและปัญหาจากการใช้งานจริง ซึ่งทำให้ SCB สามารถปรับปรุงและสร้าง "แม่มณี" ที่มีความหมายดี และทำให้ร้านค้าสนใจในการใช้บริการ
นอกจากนี้ SCB ยังกล่าวถึงการขยายการใช้งาน QR ในตลาด C2B และ B2B ที่จะช่วยในการรับชำระเงินระหว่างบุคคลและนิติบุคคล โดย SCB เชื่อว่า QR Payment จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ส่งเสริมให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ มากขึ้นในอนาคต และเน้นว่า QR Payment จะทำให้การชำระเงินเป็นเรื่องสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น สรุปได้ว่า SCB ได้เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์และโมเดลธุรกิจของตนเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและก้าวทันแนวโน้มในการใช้งาน QR Payment ในสังคมธุรกิจไทย | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56624 | Retail | เขียนความน่าสนใจเกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง"เดินหน้าด้วยแผนการตลาดเชิงยอดนิยมสำหรับทำปตท. เป็นสถานีบริการน้ำมัน" | null | การวางแผนการตลาดที่เหมาะสมสำหรับทำปตท. เป็นสถานีบริการน้ำมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณาเพื่อให้สามารถดึงดูดลูกค้าและสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงได้ ดังนี้
1. การศึกษาตลาด : การทำการวิเคราะห์ตลาดเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจภูมิปัญญาของตลาดและความต้องการของลูกค้าในพื้นที่นั้น ๆ โดยการศึกษาตลาดจะช่วยในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมและการเลือกทิศทางที่เหมาะสมในการสร้างและติดต่อกับกลุ่มเป้าหมายของท่าน
2. การวางกลยุทธ์ : การกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมเพื่อเติมเต็มความต้องการของลูกค้าและให้บริการที่มีคุณภาพ เช่น การสร้างแบรนด์ที่มีเสถียรภาพและการสร้างสินค้าหรือบริการที่มีคุณค่าต่อลูกค้า
3. การใช้เทคโนโลยี : การใช้เทคโนโลยีในการตลาดเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือแอปพลิเคชันเพื่อสื่อสารและติดต่อกับลูกค้า
4. การสร้างประสบการณ์ : การสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำสำหรับลูกค้าในทุกครั้งที่เข้ามาใช้บริการ ซึ่งอาจเป็นการให้บริการที่มีคุณภาพสูง การสร้างพื้นที่ที่สะอาดและน่าสบาย หรือการให้บริการเพิ่มเติมที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ
5. การติดตามและประเมินผล : การติดตามและประเมินผลของกิจกรรมตลาดเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้สามารถปรับปรุงและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตลาดได้ตามความต้องการของตลาดและลูกค้าในขณะเดียวกัน
โดยการตระหนักถึงปัจจัยเหล่านี้และการนำเสนอแผนการตลาดที่ถูกต้องสำหรับทำปตท. เป็นสถานีบริการน้ำมัน จะช่วยให้สามารถสร้างธุรกิจที่มั่นคงและประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ในอุตสาหกรรมที่แข่งขันอย่างหนาแน่นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56632 | Retail | การคาดการณ์ในปี 2561 ตลาด B2C-Online-Shopping เป็นอย่างไร? | จุดเริ่มต้นของธุรกิจ ‘ออนไลน์ช็อปปิ้ง’ ในไทย ทุกคนมีความอิสระและเข้าสู่ตลาดออนไลน์ช็อปปิ้งได้ง่าย โดยเฉพาะผ่านรูปแบบ Social Commerce (การซื้อขายสินค้าออนไลน์ผ่านช่องทาง Social Media ต่างๆ) ประกอบกับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทยที่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น คนไทยสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือได้ง่ายกว่าอดีต จึงกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการผลักดันกิจกรรมการตลาดและการจับจ่ายซื้อสินค้าออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น ออนไลน์ช้อปปิ้ง ง่ายสำหรับค้าปลีกรายย่อย? ตัวเลขของตลาดออนไลน์ช็อปปิ้ง ในไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างโดดเด่น เฉลี่ย 15-20% ต่อปี หรือมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 214,000 ล้านบาท ในทางกลับกันรายได้ของธุรกิจค้าปลีกผ่านช่องทางเดิมอย่าง Offline มีการเติบโตในอัตราที่ชะลอลงจากหลายปัจจัย ส่วนหนึ่งมาจากการเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในบางกลุ่มสินค้าของออนไลน์ช็อปปิ้ง พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความเชื่อมั่นในการซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น ทำให้ทั้งผู้ประกอบการในไทยและต่างประเทศ หรือแบรนด์สินค้า หันมารุกตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการจากต่างชาติ (เช่น จีน เกาหลีใต้) ที่มาพร้อมกับรูปแบบของ e-Market Place ซึ่งมีจุดแข็งในเรื่องของเงินทุน พันธมิตร ห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจร (ตั้งแต่รูปแบบของ Platform ระบบการชำระเงิน และการจัดส่งสินค้า) รวมถึงผู้ประกอบการค้าปลีกรายเดิม (เช่น กลุ่มค้าปลีก Modern Trade) ซึ่งมีฐานลูกค้าจากช่องทาง Offline อยู่แล้ว ก็ได้มีการขยายช่องทาง Online เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ Brand.com หรือ e-Market Place คาดว่า ภาพตลาดออนไลน์ช็อปปิ้งของไทยน่าจะมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างรวดเร็วและแข่งขันกันรุนแรงขึ้นในระยะข้างหน้า e-Market Place โอกาสทำตลาดและคู่แข่งในอนาคต ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปี 2561 ตลาด B2C-Online-Shopping (เฉพาะสินค้า) จะมีมูลค่าตลาดประมาณ 256,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 470,000 ล้านบาทในปี 2565 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 16% ต่อปี ทำให้ช่องทางออนไลน์ช็อปปิ้ง มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2560 เป็น 8.2% ในปี 2565 เมื่อเทียบกับภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทั้งระบบ โดยรูปแบบของ e-Market Place จะเป็น Online-Platform ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยสุดท้ายแล้ว ผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้าผ่าน Platform ไหน จะซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ หรือจะซื้อผ่านหน้าร้าน ขึ้นอยู่กับว่าช่องทางไหนที่สามารถอำนวยความสะดวก และสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภคได้มากที่สุด ณ ตอนนั้น ความเคลื่อนไหวสำคัญ คือ ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยอาจจะต้องเผชิญการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่อยู่ใน e-Market Place จำนวนมาก และที่น่าสนใจคือ หากเจ้าของ e-Market Place กลายเป็นผู้นำสินค้าเข้ามาแข่งด้วยตนเอง โดยอาศัยการเข้าถึงฐานข้อมูลของลูกค้าที่เข้ามาใช้จ่ายผ่าน Platform ของตนเอง สามารถรับรู้พฤติกรรมเชิงลึกในการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ของลูกค้า ว่าสินค้าอะไรขายดี ก็อาจจะกลายเป็นคู่แข่งที่นำสินค้าเข้ามาแข่งกับผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยได้ ทั้งนี้ แม้ว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะยังเห็นไม่ชัดในปัจจุบัน แต่คาดว่าในระยะข้างหน้า ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ หากผู้ให้บริการ e-Market Place เล็งเห็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น ข้อได้เปรียบที่ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยเคยมี เช่น ราคา (ต้นทุนสินค้า) ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าที่อยู่หน้าร้าน ตลาดที่ยังไม่ขยายใหญ่มาก รวมถึงคู่แข่งที่ยังมีน้อยรายนั้น อาจจะไม่เพียงพอในการรับมือกับการแข่งขันที่สูงขึ้นในปัจจุบันและอนาคต เพราะด้วยตลาดออนไลน์ช็อปปิ้ง ที่มีแนวโน้มขยายใหญ่ขึ้น คู่แข่งมีมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหญ่ รวมไปจนถึงผู้ผลิตสินค้า หรือแม้แต่พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความภักดีในแบรนด์หรือสินค้าน้อยลง กลายเป็นว่ารูปแบบการขายเดิมๆ อาจจะไม่สามารถดึงกลุ่มลูกค้าไว้ได้อีกต่อไป เพราะลูกค้ามีทางเลือกในการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น สร้างความแตกต่างคือ ทางอยู่รอด ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยที่อยู่รอด คือ “คนที่คิดต่าง ทำต่าง” โดยในอดีตมักจะเน้นที่ความแตกต่างด้านสินค้าและราคา เช่น ความแตกต่างทางด้านการใช้งาน บรรจุภัณฑ์ และเรื่องเล่าหรือที่มาในตัวสินค้า เป็นต้น แต่ปัจจุบันการสร้างความแตกต่างดังกล่าวอาจจะไม่เพียงพอ เนื่องจากผู้บริโภคต้องการความแปลกใหม่ทางด้านประสบการณ์มากขึ้น เช่น ประสบการณ์ในการเป็นคนแรกที่ได้สัมผัสหรือเป็นเจ้าของสินค้า ประสบการณ์การรับรู้ทางด้านอารมณ์หรือความรู้สึกที่มีต่อสินค้า เป็นต้น การใช้กลยุทธ์สร้างประสบการณ์ที่พึงพอใจและทำให้เกิดความประทับใจแก่ลูกค้าในแต่ละราย (Customized Experience) จนทำให้เกิดการจดจำแบรนด์ และอยากใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และอาจเกิดการบอกเล่าความประทับใจให้กับคนรอบข้าง หรือคนอื่นๆ ผ่านการแชร์ข้อมูลหรือประสบการณ์ที่ได้รับมาจากการซื้อสินค้าออนไลน์บน Social Media ต่างๆ เช่น ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยในกลุ่มสินค้าแฟชั่น (เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า) โดยเฉพาะคนที่ซื้อมาขายไป อาจจะต้องปรับตัวไปเป็นผู้ออกแบบและจำหน่ายเอง โดยแนวคิดการออกแบบสินค้าอาจจะมาจากการสังเกตและศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าแต่ละราย และนำแนวคิดดังกล่าวมาออกแบบสินค้าที่สร้างประสบการณ์รับรู้ใหม่ให้กับลูกค้าเป็นรายบุคคล เช่น เสื้อผ้าที่ถูกดีไซน์ออกมาให้เข้ากับบุคลิกและรูปร่างของลูกค้าแต่ละราย รองเท้าที่ออกแบบมาให้เหมาะกับรูปร่างเท้าของลูกค้า หรือแม้แต่ตัวบรรจุภัณฑ์หรือแพคเกจจิ้งที่มาพร้อมกับสินค้า การ์ดหรือป้ายที่แสดงคำขอบคุณให้กับลูกค้าแต่ละราย โดยอาจจะระบุชื่อและใส่มาในกล่องสินค้า ก็สามารถสร้างความประทับใจทางด้านอารมณ์หรือความรู้สึกให้กับลูกค้ารายบุคคลได้เช่นกัน แต่อาจจะมีสินค้าบางกลุ่ม เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ทางด้านไอที ซึ่งผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยส่วนใหญ่ไม่สามารถผลิตสินค้าได้เอง จะเป็นลักษณะของตัวแทนจำหน่ายหรือซื้อมาขายไปมากกว่า ดังนั้น เพื่อไม่ให้ราคาเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าเพียงอย่างเดียว ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยสินค้ากลุ่มนี้ จะต้องสร้างการให้บริการเพิ่มขึ้น โดยเน้นไปที่ความจริงใจและการเอาใจใส่ต่อลูกค้า เช่น การดูแลลูกค้าทั้งก่อนและหลังการขาย การให้คำแนะนำในการเลือกซื้อสินค้าที่ตรงวัตถุประสงค์การใช้งานกับลูกค้ามากที่สุดและจริงใจที่สุด คำแนะนำในการใช้งานและดูแลรักษาสินค้า รวมถึงการบริการจัดส่งฟรีทุกรายการ โดยไม่มียอดการสั่งซื้อขั้นต่ำ เป็นต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ด้วยสภาพตลาดออนไลน์ช็อปปิ้งที่แข่งขันกันรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การปรับตัวของผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยไม่ควรหยุดนิ่งเพียงเท่านี้ ผู้ประกอบการต้องพยายามปรับตัวให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละรายที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ห้างฯ ปรับตัวหนี “COVID-19” จัดโปรช้อปออนไลน์ คาดธุรกิจค้าปลีกกระทบ 2 แสนล้านบาทปีนี้ In "Analysis" ถอด 10 แนวคิด Omni Channel ของ Central Retail เดินเกมอย่างไรเพื่อเอาใจนักช็อป? In "News" TV Direct ขายบนทีวีไม่พอแล้ว บุกออนไลน์ อีคอมเมิร์ซเต็มที่ ปั้นรายได้ 10,000 ล้านในปี 67 In "News" | ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปี 2561 ตลาด B2C-Online-Shopping (เฉพาะสินค้า) จะมีมูลค่าตลาดประมาณ 256,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 470,000 ล้านบาทในปี 2565 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 16% ต่อปี ทำให้ช่องทางออนไลน์ช็อปปิ้ง มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2560 เป็น 8.2% ในปี 2565 เมื่อเทียบกับภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทั้งระบบ โดยรูปแบบของ e-Market Place จะเป็น Online-Platform ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น
โดยสุดท้ายแล้ว ผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้าผ่าน Platform ไหน จะซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ หรือจะซื้อผ่านหน้าร้าน ขึ้นอยู่กับว่าช่องทางไหนที่สามารถอำนวยความสะดวก และสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภคได้มากที่สุด ณ ตอนนั้น
ความเคลื่อนไหวสำคัญ คือ ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยอาจจะต้องเผชิญการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่อยู่ใน e-Market Place จำนวนมาก และที่น่าสนใจคือ หากเจ้าของ e-Market Place กลายเป็นผู้นำสินค้าเข้ามาแข่งด้วยตนเอง โดยอาศัยการเข้าถึงฐานข้อมูลของลูกค้าที่เข้ามาใช้จ่ายผ่าน Platform ของตนเอง สามารถรับรู้พฤติกรรมเชิงลึกในการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ของลูกค้า ว่าสินค้าอะไรขายดี ก็อาจจะกลายเป็นคู่แข่งที่นำสินค้าเข้ามาแข่งกับผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยได้ ทั้งนี้ แม้ว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะยังเห็นไม่ชัดในปัจจุบัน แต่คาดว่าในระยะข้างหน้า ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ หากผู้ให้บริการ e-Market Place เล็งเห็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ข้อได้เปรียบที่ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยเคยมี เช่น ราคา (ต้นทุนสินค้า) ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าที่อยู่หน้าร้าน ตลาดที่ยังไม่ขยายใหญ่มาก รวมถึงคู่แข่งที่ยังมีน้อยรายนั้น อาจจะไม่เพียงพอในการรับมือกับการแข่งขันที่สูงขึ้นในปัจจุบันและอนาคต เพราะด้วยตลาดออนไลน์ช็อปปิ้ง ที่มีแนวโน้มขยายใหญ่ขึ้น คู่แข่งมีมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหญ่ รวมไปจนถึงผู้ผลิตสินค้า หรือแม้แต่พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความภักดีในแบรนด์หรือสินค้าน้อยลง กลายเป็นว่ารูปแบบการขายเดิมๆ อาจจะไม่สามารถดึงกลุ่มลูกค้าไว้ได้อีกต่อไป เพราะลูกค้ามีทางเลือกในการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56647 | Retail | ช่วยสรุปบทความเรื่อง "ค้าปลีกรองเท้าจะอยู่อย่างไรไหว ในวันที่ Amazon ครองตลาด Foot Locker ไม่น่ารอด ยอดขายนิ่ง" ให้หน่อยนะคะ | ท่ามกลางการล่มสลายของวงการค้าปลีก ร้านขายรองเท้าได้รับผลกระทบหนักมาก รายที่รับสินค้าจากแบรนด์อื่นๆ มาขายต่อ ไม่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง จะอยู่ในตลาดต่อไปอย่างไร ในวันที่อีคอมเมิร์ซโตขึ้นเรื่อยๆ คนก็สั่งผ่าน Amazon กันทั้งนั้น ค้าปลีกมีหน้าร้าน แม้จะอยู่มานาน ก็อาจไม่รอด การล่มสลายของวงการค้าปลีกในห้างสรรพสินค้าที่สหรัฐอเมริกาส่งผลประทบไปในหลายธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือร้านขายรองเท้าอย่าง Foot Locker และ Finish Line ที่มีแนวโน้มสูงว่าจะต้องปิดตัวและถอยออกไปจากตลาดในไม่ช้า ส่วนผู้ที่มาแทนที่ในตลาด ไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่คืออีคอมเมิร์ซรายใหญ่ Amazon นั่นเอง จากเหตุการณ์ ค้าปลีกในอเมริกาทยอยปิดตัวอย่างเป็นทางการ ตัวเลขตอนนี้เอาแค่ปี 2017 นับเป็นจำนวน 6,300 รายแล้วที่ปิดตัวลงไป นอกจากนั้นนักวิเคราะห์จาก UBS ได้ระบุไว้ว่า “ค้าปลีกรองเท้าอย่าง Foot Locker กับ Finish Line จะเป็นรายต่อไป” เหตุผลที่นักวิเคราะห์จาก UBS ระบุไปแบบนั้นก็เพราะไปเปิดผลประกอบการดู เริ่มจาก Foot Locker ที่ไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว หุ้นร่วงไปเกือบ 30% แถมยอดขายก็ลดไปถึง 6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในช่วง 3 เดือนมานี้เอง หุ้นก็ร่วงลงไปอีก 57% นับเป็นเป็นสัญญาณอันตราย Richard Johnson ซีอีโอของ Foot Locker บอกว่า “เราไม่ได้กังวลกับการมาของ Amazon เพราะเรายังจะมุ่งสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าต่อไป เราเชื่อว่าลูกค้าไม่ได้ต้องการดูสินค้าผ่านหน้าจอเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ลูกค้าต้องการเข้ามาสัมผัสในร้านค้า เข้ามามีประสบการณ์ บางครั้งอาจจะผ่านการใช้วีดิโอ Youtube ของเซเลบบ้าง แต่สิ่งสำคัญคือการได้สัมผัสสินค้า ฉะนั้น เราไม่เชื่อว่าผู้ขายสินค้ารายอื่นๆ ของเราจะเข้าไปขายใน Amazon เราเชื่อว่า ยิ่งถ้าเป็นลูกค้าระดับพรีเมี่ยม รองเท้าผ้าใบคู่นึงมากกว่า 100 เหรียญ อย่างไรแล้วเขาก็ต้องอยากสัมผัสสินค้าจากช่องทางต่างๆ อย่างแน่นอน” แต่ในความเป็นจริง มันเป็นอย่างที่ซีอีโอของ Foot Locker บอกไว้หรือไม่? Michael Binetti นักวิเคราะห์จาก UBS ได้ปรับลดธุรกิจของ Foot Locker กับ Finish Line ให้มาอยู่ในระดับ “น่าจะต้องปิดร้านแน่ๆ” เพราะนักวิเคราะห์รายนี้มองว่า Amazon ได้เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดไปเกือบหมดแล้ว เหตุผลของ Binetti มีดังนี้ ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ Nike ตอนนี้พยายามจะเพิ่มยอดขายด้วยการส่งสินค้าไปหาผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น แต่เมื่อเปิดดูยอดขายของ Finish Line พบว่า ทำรายได้จากแบรนด์ Nike ถึง 68% เพราะฉะนั้นในสภาวะที่แพลตฟอร์มการขายเปลี่ยนไปเป็น “ออนไลน์” ไม่ใช่ “หน้าร้าน” แล้วตัวกลางที่กระจายสินค้าจะมีไว้ทำไม? สู้ขายผ่าน Amazon หรือทางแบรนด์ก็ส่งสินค้าขายเองผ่านทางออนไลน์ไปเลย จะไม่ดีกว่าหรือ?
จากข้อมูลของ UBS ในปีนี้เอง พบว่า เป็นครั้งแรกที่ “ผู้บริโภคสั่งซื้อ Nike จาก Amazon มากกว่าร้านขายรองเท้า Foot Locker” ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ Nike ตอนนี้พยายามจะเพิ่มยอดขายด้วยการส่งสินค้าไปหาผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น แต่เมื่อเปิดดูยอดขายของ Finish Line พบว่า ทำรายได้จากแบรนด์ Nike ถึง 68% เพราะฉะนั้นในสภาวะที่แพลตฟอร์มการขายเปลี่ยนไปเป็น “ออนไลน์” ไม่ใช่ “หน้าร้าน” แล้วตัวกลางที่กระจายสินค้าจะมีไว้ทำไม? สู้ขายผ่าน Amazon หรือทางแบรนด์ก็ส่งสินค้าขายเองผ่านทางออนไลน์ไปเลย จะไม่ดีกว่าหรือ? จากข้อมูลของ UBS ในปีนี้เอง พบว่า เป็นครั้งแรกที่ “ผู้บริโภคสั่งซื้อ Nike จาก Amazon มากกว่าร้านขายรองเท้า Foot Locker” นักวิเคราะห์คิดว่า “ระหว่างสองร้านนี้ Finish Line มีความเสี่ยงสูงมากที่สุด เนื่องจากยอดขายต่ำลงเรื่อยๆ” UBS จึงปรับลดอันดับของ Foot Locker จากยังมียอดขายไปเป็นยอดขายนิ่ง ส่วน Finish Line จากยอดขายนิ่งไปเป็นระดับที่เรียกว่า “เจ๊ง” เรียบร้อยแล้ว ที่มา – Business Insider ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ล่มสลายไปไม่รอด! Best Buy ค้าปลีกรายใหญ่ของอเมริกา สั่งปิดร้านมือถือในห้างกว่า 250 แห่ง In "News" ค้าปลีกล่มสลาย ห้างกำลังตายจริงหรือ? เพราะพอเปิดตัวเลขดู เงินยังลงอยู่กับแหล่งการค้าไม่น้อย In "News" ล่มสลายต่อเนื่อง ค้าปลีกระดับโลกทยอยปิดสาขา ผ่านมา 3 เดือนแรกตกงานหลักหมื่น In "Article"
| ในขณะที่วงการค้าปลีกกำลังล่มสลายในห้างสรรพสินค้าที่สหรัฐอเมริกา ร้านขายรองเท้ามีผลกระทบมาก โดยร้านที่ไม่มีแบรนด์ของตัวเองและขายสินค้าจากแบรนด์อื่น ๆ อาจต้องปิดตัวหรือลงโอนออกจากตลาดเร็วๆ นี้ เหตุผลหลักมาจากการเปลี่ยนแพลตฟอร์มการขายที่มีการเข้าร่วมของ Amazon ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ร้านขายรองเท้าทั้ง Foot Locker และ Finish Line มีแนวโน้มต้องปิดตัวหรือลดขนาดกิจการ.
ผู้วิเคราะห์มองเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่อธุรกิจค้าปลีก, โดยเฉพาะ Finish Line ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด เนื่องจากยอดขายลดลงเรื่อย ๆ และผู้บริโภคที่สั่งซื้อสินค้า Nike จาก Amazon เพิ่มมากขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าร้านค้าที่ไม่พร้อมที่จะปรับตัวสู่การขายออนไลน์ หรือไม่มีแบรนด์ของตัวเองอาจเผชิญกับความท้าทายในการอยู่รอดในวงการค้าปลีก.
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความสำคัญของประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มีความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยร้านค้าที่สามารถสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและไม่ได้เพียงแค่ขายสินค้าออนไลน์จะมีโอกาสอยู่ในตลาดได้ ในทางตรงกัน, นักวิเคราะห์ระบุว่าร้านค้าที่พยายามสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและไม่ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มขายออนไลน์อาจมีโอกาสสูญเสียในการแย่งลูกค้ากับ Amazon ที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดไปเกือบหมด.
อย่างไรก็ตาม, การปรับตัวและทำความเข้าใจลูกค้าในแต่ละตลาดยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจช่วยให้ร้านค้าปลีกทำให้เป็นที่ยอมรับในยุคที่การซื้อขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว. | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56668 | Retail | โรงแรม Centara Ubon ใช้เอกลักษณ์ของจังหวัดในส่วนต่าง ๆ ของโรงแรม เพื่ออะไร | a. ตอบโจทย์ความเป็นเมืองของจังหวัดอุบลราชธานี
b. รองรับทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างชาติ และนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจสามเหลี่ยมมรกต
c. รองรับความต้องการที่มากขึ้น ผ่านความเป็นเมืองของจังหวัดอุบลราชธานีที่มากกว่าเดิม
d. รองรับการจัดอิเวนต์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น | คำตอบที่ถูกต้องคือ b. เพราะว่า เพราะโรงแรม Centara Ubon ประกอบด้วยห้องพักทั้งหมด 160 ห้อง ใช้เอกลักษณ์ของจังหวัดในส่วนต่าง ๆ ของโรงแรม เช่น การออกแบบห้องพัก, อาหาร รวมถึงห้องจัดเลี้ยง เพื่อรองรับทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย และต่างชาติ รวมถึงนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจสามเหลี่ยมมรกต
จังหวัดอุบลราชธานีไม่มีโรงแรมเชนใหญ่ และเซ็นทรัลพัฒนา เป็นรายแรกที่มายกระดับตลาดในพื้นที่ ซึ่งตอนแรกไม่คิดว่าผลตอบรับจะมากขนาดนี้ เพราะสัดส่วนลูกค้าต่างชาติขึ้นไปถึง 14% ของทั้งหมด นำโดยชาวสหรัฐอเมริกา รองลงมาเป็นลาว และอื่น ๆ ที่สำคัญเซ็นทรัลพัฒนามองว่า 160 ห้องอาจค่อนข้างน้อย และอยู่ระหว่างศึกษาการขยายเพิ่มเติม
ADR (Average Daily Rate) ของ Centara Ubon อยู่ที่ 1,850 บาท มี Occupancy Rate ที่ 65-70% ซึ่งบริษัทพอใจกับอัตรานี้ หากแบ่งเป็นประเภทลูกค้าจะพบว่า Retail อยู่ที่ 65%, Group 17% และที่เหลือเป็น Walk-in โดยโรงแรมมีแผนปรับ ADR ขึ้นผ่านการอ้างอิงชาวต่างชาติที่เข้ามาจำนวนมาก | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56687 | Retail | ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) และเฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ ลิมิเต็ด จับมือร่วมสร้างโครงการ One Bangkok โดยต้องการจะทำให้พื้นที่เป็นอะไร | A. การผสมผสานประสบการณ์จากทั้งในและต่างประเทศ จากบริษัทวางผังเมืองและบริษัทสถาปัตยกรรมที่ทรงอิทธิพลสูงที่สุดในวงการ
B. จุดหมายปลายทางหรือแลนด์มาร์คที่ผู้คนทั่วโลกต้องมาเยี่ยมเยือนให้ได้แห่งหนึ่งของโลก
C. ใกล้กับระบบขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้าใต้ดิน
D. ความเป็นธรรมชาติ | คำตอบได้แก่ B. เพราะว่า เพราะบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ ลิมิเต็ด (FCL) จับมือร่วมสร้างโครงการ One Bangkok บนพื้นที่ขนาด 104 ไร่ ใจกลางกรุงเทพบริเวณหัวมุมถนนวิทยุตัดกับถนนพระราม 4 ติดกับสวนลุมพินี โดยประมูลเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ยังไม่ทราบราคา ทีซีซีระบุว่าเป็นความลับทางราชการ) โดยต้องการจะทำให้พื้นที่ทั้งหมดนี้เป็นจุดหมายปลายทางหรือแลนด์มาร์คที่ผู้คนทั่วโลกต้องมาเยี่ยมเยือนให้ได้แห่งหนึ่งของโลก
ด้วยมูลค่าการลงทุนที่ไม่น้อยกว่า 120,000 ล้านบาทบนพื้นที่กว่า 104 ไร่ ทีซีซีจะทำให้ 50 ไร่เป็นพื้นที่สีเขียวและเป็นพื้นที่เปิด ส่วนที่เหลือจะสร้างเป็นตึกอาคาร เช่น พื้นที่โรงแรม ร้านค้าปลีก (Retail) อาคารสำนักงาน ส่วนในอนาคตจะพัฒนาให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยระดับอัลตราลักชัวรี่ ประเมินโดยรวมแล้วพื้นที่อาคารทั้งหมดในโครงการจะอยู่ที่ 1,830,000 ตารางเมตร ส่วนการก่อสร้างจะเริ่มในปลายปี 2017 และจะเปิดใช้งานส่วนแรกของโครงการในปี 2564 ส่วนองค์ประกอบทั้งหมดของโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2568
One Bangkok จะเป็นจุดหมายปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์ที่มีสีสันและชีวิตชีวาที่จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เป็นสุดยอดปรารถนาที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ที่ผู้คนอยากมาอยู่อาศัย มาทำธุรกิจ และมาเยี่ยมเยือน ตลอดจนดึงดูดบริษัททั้งในประเทศและบริษัทข้ามชาติชั้นนำจากต่างประเทศให้เข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเออีซี และแขกที่มาเยี่ยมเยือนจะได้รับประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกและประสบการณ์ด้านไลฟ์สไตล์ที่ครบวงจรและหาไม่ได้จากที่ไหน | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56694 | Retail | What is TrueVisions's Internet TV set-top box that provides a premium content viewing experience without the need for satellite or traditional cable name ? | TrueVisions Launches TrueTV for Broadband Users | Brand Inside
Premium Internet TV Experience with Live HD Sports and Movie on Demand Thailand’s leading pay-TV operator True Visions officially launched True TV, the internet TV streaming set top box which promises premium content viewing experience without need for traditional satellite or cable set up. True TV offers 80 live TV channels, some 1,200 matches of international football and over 1,000 on demand titles on a promotion 6-month free trial, at a retail price of 2,990 baht. During the launch the price is discounted to 1,990 baht, and even special at only 990 baht when purchased along with a True Move post paid sim subscription. As the largest full-service operator in Thailand, True Visions has taken up the No.1 DVB market position for a long time and possessed rich Pay TV experience. However, along with the rise of OTT, user viewing behavior has changed significantly. The trend right now is the availability of video service at anytime, anywhere and on any devices. To embrace the Big Video era, True Visions decided to provide the OTT service using platform solutions from ZTE, which is the world’s leading provider of end-to-end video solution. During the Press Conference, K. Sueksith Cholasuek, Marketing Director of True Visions said, “We are seeing huge opportunities for OTT as the country’s broadband internet is improving in terms of speed and technological stability. Nearly 10 million households are now connected with fixed broadband services. True Visions is confident that the launch of the True TV will expand its pay TV user segment, especially targeting the younger Internet-savvy generations.” Mr. Han Zhiming, president from ZTE Thailand said, “Now the global trend of TV is moving towards the big video era, with big content, big data, bigger networks and bigger ecosystems. Big video allow people to watch TV at any place, in any time, and on any devices. True TV, therefore, is the answer of all the requirements, and it can offer much more possibilities in the future. We are very delighted to be True’s partner, who is the leader in Thailand TV industry. True Visions has outstanding content, and content is king in this industry. ZTE is also the leader in big video industry. All in all, the strategy collaboration between ZTE and True will help True get big success in IP video services.” ZTE is a globally-leading ICT enterprise, and ZTE Big Video market share continues to lead in the global video market. As of now, ZTE has more than 90 commercial cases with a total system capacity of 80 million users, and over 100 CDN commercial cases with a total throughput of 100+ Tbps. ZTE receives lots of world-wide prizes, such as at TV Connect London 2016. ZTE also received the Best Multi-Screen TV service or solution award, and the Best Home Media Device award. At TelecomAsia Singapore 2016, ZTE was awarded the Video Platform of the Year. That’s the reason why, the company keeps investing on the R&D of latest video technology. At the end of Feb 2017, in MWC Barcelona (Mobile World Congress), ZTE also launches the world first End to End VR Live solution.” | Thailand’s leading pay-TV operator True Visions officially launched True TV, the internet TV streaming set top box which promises premium content viewing experience without need for traditional satellite or cable set up. True TV offers 80 live TV channels, some 1,200 matches of international football and over 1,000 on demand titles on a promotion 6-month free trial, at a retail price of 2,990 baht. During the launch the price is discounted to 1,990 baht, and even special at only 990 baht when purchased along with a True Move post paid sim subscription.
As the largest full-service operator in Thailand, True Visions has taken up the No.1 DVB market position for a long time and possessed rich Pay TV experience. However, along with the rise of OTT, user viewing behavior has changed significantly. The trend right now is the availability of video service at anytime, anywhere and on any devices. To embrace the Big Video era, True Visions decided to provide the OTT service using platform solutions from ZTE, which is the world’s leading provider of end-to-end video solution. | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56714 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....สตาร์ทอัพที่มีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ | null | บทเพลงแห่งอนาคต: บทเรียนจากชายหนุ่มผู้ท้าทายวงการค้าปลีก
ท่ามกลางแสงไฟสลัวของร้านกาแฟ hipster ใจกลางกรุงเทพ ชายหนุ่มนามว่า วินัย กำลังจดจ่ออยู่กับหน้าจอแล็ปท็อปของเขา บนหน้าจอเต็มไปด้วยโค้ดและข้อมูลต่างๆ เขาคือผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ FinTech นามว่า "RetailVerse" ที่มุ่งหวังจะปฏิวัติวงการค้าปลีกด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน
วินัยเติบโตมากับครอบครัวที่ทำธุรกิจร้านขายของชำขนาดเล็ก เขาเห็น firsthand ถึงปัญหาต่างๆ ที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่สูง ระบบการจัดการที่ยุ่งยาก และปัญหาการโกง เขาใฝ่ฝันที่จะสร้างระบบใหม่ที่จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเหล่านี้สามารถแข่งขันกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และร้านค้าออนไลน์ได้
RetailVerse นำเสนอโซลูชั่นที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการจัดการข้อมูลสินค้าและระบบการชำระเงิน โซลูชั่นนี้ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความโปร่งใสให้กับธุรกิจค้าปลีก วินัยและทีมของเขาทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาโซลูชั่นนี้ พวกเขาเข้าร่วมโครงการ акселераторต่างๆ เพื่อเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญและหาเงินทุนสนับสนุน
ในที่สุด ความพยายามของวินัยก็ได้รับผลตอบแทน เขาได้รับการติดต่อจาก "ASCEND Capital" บริษัท Venture Capital ของกลุ่ม ASCEND ผู้ให้ความสนใจในโซลูชั่นของ RetailVerse และพร้อมที่จะลงทุนสนับสนุน วินัยรู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสนี้ เขารู้ดีว่า ASCEND Capital จะช่วยให้ RetailVerse เติบโตและขยายธุรกิจไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้น
การลงทุนจาก ASCEND Capital เปรียบเสมือนบทเพลงแห่งอนาคตสำหรับวินัยและ RetailVerse มันเป็นบทเพลงที่ขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่น ความฝัน และเทคโนโลยี บทเพลงนี้บอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มผู้ท้าทายวงการค้าปลีกด้วยวิสัยทัศน์และความกล้าหาญ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56725 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญ | null | ร้านเล็ก ๆ ใจกลางเมือง
ณ ใจกลางเมืองหลวงอันวุ่นวาย มีร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อว่า "S&P Food & Bakery" ร้านนี้มีขนาดเพียง 100 ตารางเมตร ตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูอบอุ่น ภายในร้านมีโต๊ะเพียง 10 กว่าตัว เหมาะสำหรับการทานอาหารแบบด่วน ๆ หรือซื้อกลับบ้าน
พนักงานในร้านยิ้มแย้มแจ่มใส คอยให้บริการลูกค้าอย่างเป็นกันเอง เมนูอาหารมีให้เลือกหลากหลาย เน้นไปที่อาหารจานเดียวที่ทานง่ายและรวดเร็ว เช่น ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว สลัด แซนด์วิช และเบเกอรี่สดใหม่จากเตา
หนึ่งในลูกค้าประจำของร้านคือ "คุณนลิน" พนักงานออฟฟิศสาววัย 28 ปี คุณนลินชอบมาทานอาหารกลางวันที่ร้านนี้เป็นประจำ เพราะสะดวก รวดเร็ว และราคาไม่แพง
"ร้านนี้เหมาะกับคนที่มีเวลาน้อยอย่างฉันมากค่ะ อาหารอร่อย สะอาด พนักงานก็บริการดี ที่สำคัญคือราคาไม่แพง" คุณนลินกล่าว
เจ้าของร้าน "คุณอรรถ" เล่าว่า เขาตัดสินใจเปิดร้าน S&P Food & Bakery เพราะเล็งเห็นถึงเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนในปัจจุบันใช้ชีวิตเร่งรีบ ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และมีทางเลือกในการทานอาหารมากขึ้น
"เราปรับขนาดร้านให้เล็กลง เน้นเมนูที่ทานง่าย รวดเร็ว และราคาเข้าถึงได้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่" คุณอรรถกล่าว
นอกจากนี้ คุณอรรถยังให้ความสำคัญกับการบริการ เขาอบรมพนักงานให้บริการลูกค้าด้วยรอยยิ้ม และใส่ใจในรายละเอียด
"เราอยากให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจทุกครั้งที่มาทานอาหารที่ร้านเรา" คุณอรรถกล่าว
ร้าน S&P Food & Bakery เป็นตัวอย่างที่ดีของธุรกิจ Retail ที่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ร้านขนาดเล็ก เน้นความสะดวก รวดเร็ว ราคาเข้าถึงได้ บริการดี และมีสินค้าหลากหลาย ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56764 | Retail | ช่วยสรุปบทความเรื่อง "เศรษฐกิจการเงินที่ยืดหยุ่น: ธนาคารไทยพาณิชย์แบ่งปันความสำเร็จของโซลูชันทางการเงินดิจิทัลในยุคที่ท้าทาย" ให้หน่อยนะคะ | ธนาคารไทยพาณิชย์ เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงินใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า จนช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 สามารถคว้า 5 รางวัลยอดเยี่ยมด้านลูกค้าบุคคลจากสถาบันชั้นนำด้านการเงินระดับโลก สะท้อนถึงความไม่หยุดยั้งในการนำขีดความสามารถทางเทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรมการเงินอันทันสมัย ผสานเข้ากับความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำที่มีความแข็งแกร่งในทุก Ecosystem เพื่อร่วมกันพัฒนาโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกเซ็กเมนต์ พร้อมยืดหยัดเคียงข้างให้ความช่วยเหลือลูกค้าในทุกสถานการณ์ผ่านมาตรการต่าง ๆ เพื่อประคับประคองพร้อมเป็นกำลังใจให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปด้วยกัน นางสาวอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “บทบาทสำคัญของธนาคาร คือ การเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจการเงินของประเทศให้สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นแม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบอันหนักหน่วงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทุกภาคส่วน ด้วยเหตุนี้เราจึงมุ่งมั่นนำขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรมการเงินอันนำสมัย ผสานกับความร่วมมือในการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำในทุก Ecosystem เพื่อร่วมกันพัฒนาโซลูชันทางการเงิน พร้อมต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์สำหรับลูกค้าบุคคลทุกกลุ่ม ครอบคลุมทั้งพนักงานเงินเดือน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ตลอดจนผู้ประกอบการรายย่อย (SSME) โดยมุ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินรวมถึงมาตรการด้านสินเชื่อได้อย่างรวดเร็ว และทั่วถึงมากที่สุด ควบคู่ไปกับสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า (Customer Experience) และจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธนาคารสามารถคว้า 5 รางวัลยอดเยี่ยมด้านลูกค้าบุคคลจากสถาบันชั้นนำด้านการเงินระดับโลก สะท้อนถึงความไม่หยุดยั้งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่โดดเด่นในทุกมิติ พร้อมตอบโจทย์ในทุกสถานการณ์” โดย 5 รางวัล ยอดเยี่ยมชั้นนำด้านลูกค้าบุคคลที่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้รับประกอบไปด้วย -รางวัลธนาคารยอดเยี่ยมด้านธุรกิจลูกค้าบุคคล (Domestic Retail Bank of the Year – Thailand) จากการนำเสนอ SCB “Stand by You” มาตรการเสริมช่วยเหลือลูกค้าบุคคลทุกกลุ่มและลูกค้าที่เป็นเจ้าของธุรกิจรายย่อย ยืนหยัดเคียงข้างลูกค้า ร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 จัดขึ้นโดยนิตยสาร Asian Banking and Finance ซึ่งได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 -รางวัลธนาคารยอดเยี่ยมด้านธุรกิจลูกค้าบุคคล (Best Retail Bank in Thailand) จากการนำเสนอ SCB “Stand by You” จัดขึ้นโดยนิตยสาร Alpha Southeast Asia -รางวัลผลิตภัณฑ์ประกันภัยดิจิทัลยอดเยี่ยมสำหรับลูกค้า (Best Digital Insurance Product for CX) จากการนำเสนอประกันโควิด-19 ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน SCB EASY จัดขึ้นโดย The Digital Banker เว็บไซต์ด้านการเงินการธนาคารระดับโลก -รางวัล Outstanding Digital CX – Payments จากบริการ QR Cross-border Payment จัดขึ้นโดย The Digital Banker เว็บไซต์ด้านการเงินการธนาคารระดับโลก -รางวัลความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แห่งปี(Strategic Partnership of the Year – Thailand) จากผลิตภัณฑ์ SCB M ซึ่งเกิดขึ้นจากการผสานดิจิทัลแบงก์กิ้งและไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้งเข้าด้วยกัน จัดขึ้นโดยนิตยสาร Asian Banking and Finance | ในปี 2564, ธนาคารไทยพาณิชย์ก้าวไปข้างหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า ผ่านการนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่เน้นทั้งเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมการเงินอันทันสมัย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564, ธนาคารไทยพาณิชย์ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากสถาบันชั้นนำด้านการเงินระดับโลก 5 รางวัลนี้ประกอบไปด้วย:
1. รางวัลธนาคารยอดเยี่ยมด้านธุรกิจลูกค้าบุคคล (Domestic Retail Bank of the Year – Thailand) จาก Asian Banking and Finance ซึ่งได้รับการยกย่องเนื่องจากมาตรการ "SCB Stand by You" ที่เน้นการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มและเจ้าของธุรกิจรายย่อย ในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19.
2. รางวัลธนาคารยอดเยี่ยมด้านธุรกิจลูกค้าบุคคล (Best Retail Bank in Thailand) จาก Alpha Southeast Asia โดยนำเสนอมาตรการ "SCB Stand by You".
3. รางวัลผลิตภัณฑ์ประกันภัยดิจิทัลยอดเยี่ยมสำหรับลูกค้า (Best Digital Insurance Product for CX) จาก The Digital Banker ผ่านการนำเสนอประกันโควิด-19 ทางแอปพลิเคชัน SCB EASY.
4. รางวัล Outstanding Digital CX – Payments จาก The Digital Banker สำหรับบริการ QR Cross-border Payment.
5. รางวัลความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แห่งปี (Strategic Partnership of the Year – Thailand) จาก Asian Banking and Finance ผ่านผลิตภัณฑ์ SCB M ที่เกิดจากการผสานรวมดิจิทัลแบงก์กิ้งและไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้ง.
นางสาวอรรัตน์ ชุติมิต, รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ของธนาคารไทยพาณิชย์, ยืนยันว่าธนาคารมุ่งมั่นในการพัฒนาและสร้างโซลูชันทางการเงินที่โดดเด่นและตอบโจทย์ในทุกสถานการณ์ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งในทุก Ecosystem. การคว้ารางวัลยอดเยี่ยมด้านลูกค้าบุคคลจากสถาบันชั้นนำยังเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการทำงานนี้. | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56841 | Retail | การได้รับ 5 รางวัลอันทรงเกียรติต่อเนื่องเป็นปีที่สองจากเวที Asian Excellence Awards 2022 สะท้อนความสำเร็จของ เซ็นทรัล รีเทล ในมิติของ Forging strong investor relations อย่างไร | a. การสื่อสารข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กรที่โดดเด่นและมีประสิทธิภาพ รวมถึงความสามารถในการให้คำแนะนำ วางแผน และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร
b. ความสามารถในการบริหารจัดการด้านการเงิน วางแผนธุรกิจ ควบคุมงบประมาณ และปรับแผนลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้แก่องค์กร
c. การสื่อสารต่อกลุ่มนักลงทุน โดยยึดมั่นหลักการเปิดเผยข้อมูลที่มีความโปร่งใส เป็นธรรม ถูกต้อง ตามแนวปฏิบัติและหลักการพื้นฐานของนักลงทุนสัมพันธ์
d. การเป็นผู้นำที่สามารถบริหารจัดการ รวมทั้งขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งครบทุกด้าน
e. การดำเนินกิจกรรมภายในและภายนอกองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาล โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อทุกภาคส่วน | คำตอบคือ c. เพราะว่า เพราะการได้รับ 5 รางวัลอันทรงเกียรติต่อเนื่องเป็นปีที่สองจากเวที Asian Excellence Awards 2022 สะท้อนความสำเร็จของ เซ็นทรัล รีเทล ในมิติของ Forging strong investor relations คือ การสื่อสารต่อกลุ่มนักลงทุนโดยยึดมั่นหลักการเปิดเผยข้อมูลที่มีความโปร่งใส เป็นธรรม ถูกต้อง ตามแนวปฏิบัติและหลักการพื้นฐานของนักลงทุนสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่นทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC โชว์ศักยภาพผู้นำค้าปลีกแห่งเอเชีย ยกระดับธุรกิจรีเทลและต่อยอดความสำเร็จผ่านการบริหารจัดการองค์กรที่แข็งแกร่งสู่ความเป็นเลิศครบถ้วนในทุกด้าน ทั้งการจัดการองค์กร, การบริหารด้านการเงิน การพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน การจัดการด้านนักลงทุนสัมพันธ์ และการจัดการด้านสื่อสารองค์กร จนได้รับการยกย่องจาก Asian Excellence Awards 2022 เวทีรางวัลใหญ่ระดับเอเชีย กวาด 5 รางวัลอันทรงเกียรติต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ประกอบไปด้วยรางวัล “ซีอีโอยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” (Asia’s Best CEO) รางวัล “ซีเอฟโอยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” (Asia’s Best CFO) รางวัล “ซีเอสอาร์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” (Asia’s Best CSR) รางวัล “บริษัทนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม” (Best Investor Relations Company) และรางวัล “ทีมสื่อสารองค์กรยอดเยี่ยม” (Best Corporate Communications) ซึ่ง เซ็นทรัล รีเทล นับเป็นรีเทลแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียที่ได้รับรางวัล 5 รางวัลติดต่อกันสองปีซ้อน
รางวัลดังกล่าว สะท้อนความสำเร็จของ เซ็นทรัล รีเทล ในมิติต่างๆ ได้แก่
Leading for a sustainable growth: การเป็นผู้นำที่สามารถบริหารจัดการ รวมทั้งขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งครบทุกด้าน ทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการเติบโตธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งรางวัล “ซีอีโอยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” มอบให้แก่ นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล
Leading for financial stability: ความสามารถในการบริหารจัดการด้านการเงิน วางแผนธุรกิจ ควบคุมงบประมาณ และปรับแผนลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้แก่องค์กร เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งและมั่นคง ซึ่งรางวัล “ซีเอฟโอยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” มอบให้แก่ นายไท จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน เซ็นทรัล รีเทล
Leading sustainability and reducing inequality: การดำเนินกิจกรรมภายในและภายนอกองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาล โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อทุกภาคส่วน พร้อมมุ่งสนับสนุนและสร้างความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับพนักงาน ชุมชนโดยรอบที่เข้าไปดำเนินกิจการ และสังคมโดยรวม ซึ่งรางวัล “ซีเอสอาร์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” มอบให้แก่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
Forging strong investor relations: การสื่อสารต่อกลุ่มนักลงทุนโดยยึดมั่นหลักการเปิดเผยข้อมูลที่มีความโปร่งใส เป็นธรรม ถูกต้อง ตามแนวปฏิบัติและหลักการพื้นฐานของนักลงทุนสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่นทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งรางวัล “บริษัทนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม” มอบให้แก่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
Enhancing corporate branding and creative communications: การสื่อสารข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กรที่โดดเด่นและมีประสิทธิภาพ รวมถึงความสามารถในการให้คำแนะนำ วางแผน และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร ทำให้องค์กรเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก ซึ่งรางวัล “ทีมสื่อสารองค์กรยอดเยี่ยม” มอบให้แก่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56845 | Retail | BRC เป็นผู้กระจายสินค้าให้กับผู้บริโภคด้วยรูปแบบของธุรกิจที่หลากหลายโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่ออะไร | 1. สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในประเทศไทยและในภูมิภาค
2. สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลายอยู่ในกระแสนิยม มีความคุ้มค่าคุ้มราคา และกลายเป็นจุดหมายประจำสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย
3. สร้างโอกาสในการนำเสนอผลกำไรและการเติบโตได้อย่างมั่นคง
4. ส่งมอบประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าและบริการที่ไม่เหมือนใครด้วยความคุ้มค่าและการคัดสรรสินค้าอย่างดี | ข้อที่ถูกต้องคือ 1. เพราะว่า เพราะ BRC เป็นผู้กระจายสินค้าให้กับผู้บริโภคด้วยรูปแบบของธุรกิจที่หลากหลายโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ ของผู้บริโภค ในประเทศไทยและในภูมิภาคเป็นการก้าวสู่เส้นทางการเติบโตครั้งใหม่บนรากฐานอันแข็งแกร่งของธุรกิจที่ครอบคลุมและพรั่งพร้อมด้วยสินค้าที่คุ้มค่าและหลากหลายตอบโจทย์ทุกความต้องการ และความชื่นชอบเพื่อสร้างชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้บริโภคและสร้างความยั่งยืนให้แก่สังคม
“บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น” หรือ “BRC” ภายหลังการปรับโครงสร้างบริษัทฯ จะมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับศักยภาพในทุก ๆ ด้าน ให้เป็นผู้นำของภาคธุรกิจการค้าปลีกและค้าส่ง ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เพื่อส่งมอบประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าและบริการที่ไม่เหมือนใครด้วยความคุ้มค่าและการคัดสรรสินค้าอย่างดี ซึ่งเป็นจุดหมายในการสร้างความสุขแบบบิ๊ก ๆ ให้กับลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติในการเลือกซื้อสินค้าและบริการอย่างครบวงจร และเป็นสถานที่ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของชุมชนให้ผู้ที่อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียงสามารถเข้ามาเลือกซื้อสินค้า และเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร เป็นจุดนัดพบและเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจได้โดยไม่เสียเวลาเดินทาง ควบคู่ไปกับการมุ่งตอบแทนสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
จากข้อมูลของ Euromonitor ในระหว่างปี 2556 ถึงปี 2565 ในกลุ่มผู้ค้าปลีกสมัยใหม่สามอันดับแรกในประเทศไทย BRC คือผู้ประกอบธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ต และมีสถิติการเติบโตสูงสุด ในกลุ่มร้านสะดวกซื้อ เมื่อพิจารณาจากการเติบโตของส่วนแบ่งทางการตลาด (ซึ่งคำนวณจากรายได้จากการขายปลีก)
นอกจากนี้ BRC ยังเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่มีระบบนิเวศทางธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และในประเทศอื่น ๆ ที่เติบโตสูงในภูมิภาค ผ่านเครือข่ายร้านค้าหลากหลายรูปแบบและแบรนด์ทั่วประเทศ ด้วยรูปแบบธุรกิจแบบรวมศูนย์ซึ่งผสมผสานระหว่างธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่และธุรกิจให้เช่าพื้นที่ (Town Center Business) ซึ่งเป็นจุดแข็งอันโดดเด่นที่ทำให้ BRC สามารถสร้างโอกาสในการนำเสนอผลกำไรและการเติบโตได้อย่างมั่นคง
BRC ยังมีรูปแบบช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายและครบวงจร เข้าถึงและตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ มีการพัฒนาการนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นหลักผ่านฐานข้อมูลลูกค้าสมาชิกโปรแกรมสิทธิพิเศษบิ๊กพอยต์ซึ่ง BRC ได้มุ่งเน้นและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า
นอกจากนี้ BRC ยังมุ่งเน้นการคัดเลือกสัดส่วนของกลุ่มผู้เช่าและกลุ่มสินค้าในพื้นที่ร้านค้า (Retail Venue) อย่างละเอียดและรอบคอบ เพื่อให้สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย อยู่ในกระแสนิยม มีความคุ้มค่าคุ้มราคา และกลายเป็นจุดหมายประจำ (Go-to Destination) สำหรับลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มคนในพื้นที่ รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56854 | Retail | สมาคมผู้ค้าปลีกไทย จับมือสมาคมผู้ค้าปลีกเวียดนาม เพื่ออะไร | A. ส่งเสริมโอกาสทางการค้า และการลงทุน โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความเป็นเลิศทางด้านการพัฒนาธุรกิจและการค้า
B. ยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจและสินค้าระหว่างประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ให้เป็นไปตามเป้าหมายของทั้งสองสมาคม
C. สนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SMEs ให้เข้มแข็งและเติบโต
D. สนับสนุนให้สมาชิกในภาคีเครือข่ายร่วมปณิธานในการทำธุรกิจที่มีการเติบโตแบบยั่งยืน
E. ส่งเสริมความร่วมมือ และเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามให้แน่นแฟ้น | คำตอบที่ถูกต้องคือ B. เนื่องจาก สมาคมผู้ค้าปลีกไทยตั้งเป้าผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีหัวใจสำคัญคือการช่วยเหลือและสนับสนุน SMEs ไทยให้ฟื้นตัว และเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สมาคมฯ ได้เดินหน้าแผนงานตามกลยุทธ์ TRA NEXT ให้เกิดขึ้นและเห็นผลจริงโดยการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งนี้ หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ ก็คือ การยกระดับสมาคมฯ และเครือข่ายภาคค้าปลีกไทยสู่ระดับสากล (Expand TRA to the Global Stage) เพื่อเป็นการขยายฐานสมาชิกเพิ่มช่องทางการขายและสร้างรายได้ให้ SMEs ไทย ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จึงนับเป็นก้าวสำคัญของสมาคมฯ ที่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับ สมาคมผู้ค้าปลีกเวียดนาม (Association of Vietnam Retailers - AVR) เพื่อยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจและสินค้าระหว่างประเทศไทย และประเทศเวียดนาม ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่มุ่งหวังไว้ของทั้งสองสมาคมในความร่วมมือที่จะสร้างความแข็งแกร่งทางการค้า และเสริมศักยภาพให้แก่ภาคีเครือข่าย โดยเฉพาะ SMEs ให้มีช่องทางการขายและเพิ่มรายได้มากขึ้น
สอดรับกับการลงนามข้อตกลง แผนปฏิบัติการและบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding - MOU) 5 ฉบับ ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเวียดนามในช่วงการประชุม APEC 2022 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 ได้มีการจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สมาคมผู้ค้าปลีกไทย (Thai Retailers Association) และ สมาคมผู้ค้าปลีกในประเทศเวียดนาม (Association of Vietnam Retailers) เพื่อร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจในความร่วมมือทางธุรกิจในการสนับสนุน และอำนวยความสะดวกด้านการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56867 | Retail | เขียนแนวคิดเกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง "พันธมิตรสร้างภาพลักษณ์ กับเซ็นทรัลพัฒนา และ Klook ผนึกกำลังฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวไทย" | null | หัวข้อเรื่อง "เซ็นทรัลพัฒนา จับมือ Klook ลงนามความร่วมมือฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว หนุนต่างชาติเที่ยวไทย" นั้นเกี่ยวข้องกับความร่วมมือระหว่างเซ็นทรัลพัฒนา (Central Pattana) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทย และ Klook ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการจัดการทริปและกิจกรรมท่องเที่ยวออนไลน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ในการร่วมมือเพื่อส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาเยือนประเทศไทยมากขึ้น
แนวคิดหลักของหัวข้อนี้อาจจะเน้นไปที่การใช้เทคโนโลยีและพลังของแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อสร้างการเชื่อมโยงระหว่างนักท่องเที่ยวต่างชาติกับกิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย การร่วมมือระหว่างเซ็นทรัลพัฒนาและ Klook อาจจะมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เรียบง่ายและน่าสนใจให้แก่นักท่องเที่ยว โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถค้นหาและจองทริปหรือกิจกรรมท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างเซ็นทรัลพัฒนาและ Klook ยังสามารถช่วยสร้างการเชื่อมโยงระหว่างภาคร้านค้าและธุรกิจท้องถิ่นกับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อีกด้วย ซึ่งอาจเป็นการสร้างโอกาสธุรกิจและรายได้ให้กับภาคธุรกิจในพื้นที่นั้นๆ
ด้วยความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างเซ็นทรัลพัฒนาและ Klook อาจเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเร่งฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทยหลังจากการประสบภัยพิบัติหรือสถานการณ์ที่ทำให้ภาคการท่องเที่ยวลดลง และส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง โดยมุ่งเน้นที่การให้บริการที่มีคุณภาพและปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือนประเทศไทยในช่วงเวลาต่างๆ ทั้งนี้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยวและเป็นการสร้างฐานที่เสถียรสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในระยะยาว | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56898 | Retail | ช่วยสรุปบทความ SCB เปิดตัวบัตรเดบิตใหม่ หวังดึงฐานลูกค้าวัยรุ่น ไม่ต้องพกเงินสดก็ใช้จ่ายสบาย | คุณอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เบื้องหลังการพัฒนาบัตรเดบิต “LET’S SCB Mastercard”
มาจากความต้องการของผู้บริโภค ได้แก่
-ความสะดวกสบาย ลูกค้าต้องการบัตรเดบิตที่ใช้ได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลา
-ความปลอดภัย เพราะนอกจากไม่ต้องการพกเงินสดติดตัว ในช่วงภาวะโรคระบาดแบบนี้ ยังไม่ต้องการสัมผัสเงินสด
-ช่วยสร้างวินัยทางการเงิน ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ต้องการเป็นหนี้
เพราะฉะนั้น ด้วยจุดเด่นของบัตรเดบิต ถ้าไม่มีเงินในบัญชีก็ไม่สามารถใช้จ่ายได้ เป็นหนึ่งในตัวช่วยสำหรับคนที่ไม่อยากสร้างหนี้ ที่สำคัญระบบยังช่วยบันทึกข้อมูลการใช้จ่ายให้อีกด้วย
สิทธิประโยชน์ ลูกค้าต้องการสิทธิประโยชน์ที่ตรงกับพฤติกรรมของผู้ใช้บัตร
จาก 4 โจทย์ดังกล่าวนี้เอง กลายเป็นที่มาของบัตรเดบิตน้องใหม่
ซึ่งมาพร้อมแนวคิด “เลือกช้อยส์ที่ใช่ไว้ใช้ชีวิต”
โดย “LET’S SCB Mastercard” ถือเป็นเดบิตใบแรกของเมืองไทยที่ผู้ใช้บัตร สามารถเลือกสิทธิประโยชน์ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ได้ด้วยตนเองใน 3 หมวดหมู่
ไม่ว่าจะเป็น “กิน-ชอป-เพลย์” พร้อมส่วนลดสุดพิเศษสูงสุดกว่า 10,000 บาท/ปี จากพาร์ตเนอร์
ที่ไม่ได้มอบแค่ส่วนลด แต่ครอบคลุมไปถึงความคุ้มครอง จากประกันภัยไทยวิวัฒน์
ใน 4 กลุ่มความคุ้มครอง ได้แก่ ประกันรถยนต์, ประกันโควิด 19, ประกันเดินทาง และประกันโจรกรรม
ซึ่งผู้ถือบัตร สามารถเลือกเปิด-ปิดตามใจ ได้ฟรี 20 ชั่วโมง หรือจะเติมชั่วโมงเพิ่มก็ได้ ในราคาพิเศษ
สำหรับกลยุทธ์หลักที่ SCB จะใช้เพื่อพิชิตเป้าหมายที่วางไว้ว่า จะมียอดบัตรใหม่ 3 ล้านใบ
และมียอดธุรกรรมและยอดใช้จ่ายผ่านบัตรโต 30% ภายในปี 2564
คือ กลยุทธ์ Music Marketing หรือ การทำการตลาดโดยนำเพลงเข้ามาใช้
ซึ่งครั้งนี้ SCB เลือกไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์สุต นักร้อง-นักแสดงขวัญใจวัยรุ่น
มาเป็นพรีเซนเตอร์และถ่ายทอดเอ็กซ์คลูซีฟซิงเกิ้ล “นาทีนี้ LET’S LOVE”
เพื่อเป็นสื่อกลางในการเล่าสิทธิประโยชน์ ของบัตรเดบิตให้เข้าถึงกลุ่ม “Young-Gen” มากขึ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไม SCB ถึงเดินเกมรุกบุกตลาดบัตรเดบิตเต็มตัว
คุณอรรัตน์ เฉลยว่า บัตรเดบิตถือเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินขั้นพื้นฐาน ที่ลูกค้าทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงได้
และเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้าง Engagement ระหว่างลูกค้าและธนาคาร
ดังนั้น บัตรเดบิต จึงเป็นเหมือนกุญแจดอกสำคัญ ที่จะปลดล็อกให้ธนาคารสามารถต่อยอดและนำไปสู่บริการทางการเงินอื่น ๆ ในอนาคตนั่นเอง | คุณอรรัตน์ ชุติมิต, รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ของกลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์, กล่าวถึงบัตรเดบิต "LET’S SCB Mastercard" ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เน้นความสะดวกสบายทุกที่ทุกเวลา, ความปลอดภัย และการสนับสนุนวินัยทางการเงินโดยไม่ต้องสร้างหนี้
"LET’S SCB Mastercard" จัดสิทธิประโยชน์ตามพฤติกรรมของผู้ใช้บัตร มาพร้อมแนวคิด "เลือกช้อยส์ที่ใช่ไว้ใช้ชีวิต"
ผู้ใช้สามารถเลือกสิทธิประโยชน์ในหมวด "กิน-ชอป-เพลย์" พร้อมส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท/ปี จากพาร์ทเนอร์
มีความคุ้มครองจากประกันภัยไทยวิวัฒน์ใน 4 กลุ่มความคุ้มครอง
SCB ใช้กลยุทธ์ Music Marketing ด้วยการนำเพลง "นาทีนี้ LET’S LOVE" ของไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์สุตเป็นสื่อกลางในการเล่าสิทธิประโยชน์ของบัตรเดบิต "LET’S SCB Mastercard" ให้กับกลุ่ม "Young-Gen"
บัตรเดบิตคือผลิตภัณฑ์การเงินพื้นฐานที่เหมาะกับลูกค้าทุกวัย ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของ Engagement ระหว่างลูกค้าและธนาคาร มีบทบาทเหมือนกุญแจที่ปลดล็อกทางสู่บริการการเงินอื่น ๆ ในอนาคตของธนาคารได้ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56957 | Retail | กลยุทธ์ Equality Marketing ของเซ็นทรัล รีเทล ผ่านโครงการ Gift to Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด มีผลต่อธุรกิจค้าปลีกของบริษัทอย่างไร? | บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เดินหน้าตอกย้ำการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างความสุขส่งท้ายปีกับแคมเปญประจำปี เปิดตัวโครงการ ‘Gift to Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด’ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Happiness Forward
โดยปีนี้ใช้กลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ Equality Marketing เพื่อส่งเสริมความเสมอภาคและความเท่าเทียมกัน ลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในสังคม ไปพร้อมกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค (Customer Engagement) ให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น โดยนำเสนอเรื่องราวผ่านคลิปวิดีโอสั้น ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความเก่งของเด็กไทยผู้มีความฝัน
และเซ็นทรัล รีเทล พร้อมเป็นตัวกลางที่จะช่วยสร้างฝันของเยาวชนไทยให้เป็นจริง โดยจับมือร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. เชิญชวนคนไทยร่วมส่งต่อความสุข และสมทบทุน มอบโอกาสให้กับเยาวชนไทย เพื่อสร้าง ‘คน’ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นางสาวปิยวรรณ ลีละสมภพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากความตั้งใจของเซ็นทรัล รีเทล ในการมุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม พร้อมไปกับการสร้างความเท่าเทียมและสนับสนุนความหลากหลายในสังคมตามแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน Green & Sustainable Retail ในด้าน Navigate Society Wellbeing สร้างสังคมให้น่าอยู่ จึงได้ริเริ่มกลยุทธ์การตลาดแนวใหม่ Equality Marketing เปิดตัวโครงการ ‘Gift to Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด’ ภายใต้คอนเซ็ปต์ของการส่งต่อความสุข (Happiness Forward)
โดยการมอบโอกาสให้เยาวชนไทยได้ทำตามความฝัน เพราะเรามีเด็กเก่งๆ อีกมากมายทั่วประเทศ ที่มีศักยภาพและทักษะความสามารถสูง แต่ยังขาดโอกาสและการส่งเสริมให้ไปถึงการแข่งขันในเวทีระดับสากล ทาง CRC จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายและทำฝันของเด็กไทยให้เป็นจริง เราได้คัดเลือกเด็ก gifted 4 คน ที่มีพรสวรรค์แตกต่างกัน มาเป็นตัวแทนของเด็กไทยที่มีความสามารถผ่านเรื่องราวในคลิปวีดีโอสั้นที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนอีกมากมาย พร้อมทั้งจับมือร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. ที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.2561
และช่วยเหลือนักเรียนยากจนแต่ด้อยโอกาสไปแล้วกว่า 3 ล้านคน ใน 3 ปี ด้วยการเชิญชวนให้คนไทยร่วมกันสมทบทุน มอบโอกาสให้กับเยาวชนไทยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้สามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม เพราะการศึกษาคือพื้นฐานสำคัญที่จะสร้างอนาคตที่ดีให้กับเด็กไทยทุกคน | กลยุทธ์ Equality Marketing ของเซ็นทรัล รีเทล ผ่านโครงการ Gift to Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกของบริษัทในแง่มุมต่างๆ ดังนี้:
1. เสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กร:
โครงการ Gift to Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเซ็นทรัล รีเทล ในการส่งเสริมความเท่าเทียมและลดช่องว่างทางสังคม สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (Green & Sustainable Retail) ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่เป็นบวก น่าเชื่อถือ และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ดึงดูดลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคม
2. เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า:
กลยุทธ์ Equality Marketing มุ่งเน้นการสร้าง Engagement กับลูกค้าผ่านเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจจากเด็กเก่งผู้ด้อยโอกาส กระตุ้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับกิจกรรมของบริษัท เช่น การบริจาคเงิน หรือการแชร์เรื่องราวบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
3. ขยายฐานลูกค้า:
โครงการ Gift to Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด ดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีความสนใจในประเด็นทางสังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม
4. เสริมสร้างความภักดีของลูกค้า:
การที่เซ็นทรัล รีเทล แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า กระตุ้นให้ลูกค้ามีความภักดีต่อแบรนด์
5. สร้างโอกาสทางธุรกิจ:
กลยุทธ์ Equality Marketing อาจนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น การพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคม
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ Equality Marketing ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
ความจริงใจ: โครงการ CSR จะต้องมีความจริงใจ มุ่งหวังช่วยเหลือสังคมอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างภาพลักษณ์
ความยั่งยืน: โครงการ CSR จะต้องมีความยั่งยืน สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง
การมีส่วนร่วม: โครงการ CSR จะต้องมีกลไกให้ลูกค้าสามารถมีส่วนร่วมได้
การสื่อสาร: โครงการ CSR จะต้องมีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56970 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การลดขยะอาหารเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถร่วมมือกันทำได้ โดยเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค | null | กล่องเซอร์ไพรส์จากท็อปส์: บทเพลงแห่งอาหารเหลือ
ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร หญิงสาวชื่อ "มาลี" กำลังเดินผ่านร้านท็อปส์สาขาสีลม คอมเพล็กซ์ สายตาของเธอพลันสะดุดกับป้ายสีเขียวสดใสที่เขียนว่า "Surprise Bag" ใจความว่า "อาหารส่วนเกินคุณภาพดี ในราคาประหยัด เริ่มต้นเพียง 80 บาท" ด้วยความสงสัย มาลีจึงตัดสินใจเดินเข้าไปเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม
พนักงานร้านอธิบายว่า "Surprise Bag" เป็นกล่องสุ่มอาหารที่ประกอบด้วยอาหารส่วนเกินจากท็อปส์และแฟมิลี่มาร์ท ซึ่งล้วนเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี สามารถรับประทานได้ เพียงแต่มีรูปลักษณ์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ หรือใกล้หมดอายุ โดยลูกค้าจะไม่ทราบล่วงหน้าว่าภายในกล่องมีอะไรบ้าง เปรียบเสมือนการลุ้นรางวัลเซอร์ไพรส์
มาลีรู้สึกสนใจในไอเดียนี้ เธอคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้ลองชิมอาหารหลากหลายในราคาประหยัด อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดขยะอาหารอีกด้วย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพ เพราะท็อปส์เป็นแบรนด์ที่เธอไว้วางใจ
เธอตัดสินใจซื้อ "Surprise Bag" เซตผักและผลไม้สด ในราคา 80 บาท เมื่อเปิดกล่องออก มาลีก็พบกับผักและผลไม้หลากชนิด เช่น แครอท กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ส้ม กล้วย ฯลฯ ล้วนสดใหม่ น่ารับประทาน เธอรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
หลังจากนั้น มาลีก็กลายเป็นลูกค้าประจำของ "Surprise Bag" เธอชอบความตื่นเต้นในการลุ้นรางวัลเซอร์ไพรส์ และรู้สึกดีที่ได้มีส่วนร่วมในการลดขยะอาหาร เธอมักจะนำผักและผลไม้จากกล่องเซอร์ไพรส์มาประกอบอาหาร เป็นเมนูอร่อย ๆ มากมาย
วันหนึ่ง มาลีได้พบกับ "คุณป้าสมศรี" แม่ค้าขายอาหารตามสั่ง คุณป้าบ่นว่าช่วงนี้ราคาวัตถุดิบอาหารสูงขึ้นมาก ทำให้กำไรน้อยลง มาลีจึงแนะนำให้คุณป้าลองซื้อ "Surprise Bag" ไปใช้ คุณป้าสมศรีลังเลในตอนแรก แต่ด้วยความที่อยากประหยัดค่าใช้จ่าย เธอจึงตัดสินใจลองซื้อดู
เมื่อคุณป้าสมศรีเปิดกล่อง "Surprise Bag" ออก เธอก็รู้สึกประหลาดใจกับผักและผลไม้สดใหม่ที่เต็มกล่อง เธอคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้ลองทำเมนูใหม่ ๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องต้นทุน
หลังจากนั้น คุณป้าสมศรีก็เริ่มใช้ "Surprise Bag" เป็นประจำ เธอคิดค้นเมนูอาหารใหม่ ๆ จากผักและผลไม้ที่ได้มา ลูกค้าต่างชื่นชอบในรสชาติและความสดใหม่ ทำให้ยอดขายของร้านอาหารตามสั่งของคุณป้าสมศรีเพิ่มสูงขึ้น
เรื่องราวของมาลีและคุณป้าสมศรี สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ของ "Surprise Bag" ที่ไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะอาหาร แต่ยังช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่าย และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจค้าปลีก | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56984 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การปรับตัวและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ช่วยให้เราผ่านพ้นอุปสรรคได้ | null | แสงสว่างปลายอุโมงค์
ณ ใจกลางเมืองใหญ่ แสงไฟสว่างไสวจากตึกสูงระฟ้าสะท้อนกับผืนถนน สะท้อนให้เห็นถึงความคึกคักของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลเข้ามาจับจ่ายใช้สอย
หนึ่งในนั้นคือ 'ปาน' พนักงานขายสาวในร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนม เธอทำงานที่นี่มาหลายปีแล้ว เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในช่วงโควิด-19 ยอดขายตก ผู้คนต่างรัดเข็มขัด ร้านค้าหลายร้านต้องปิดตัวลง แต่ปานก็อดทน ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ด้วยความหวังและกำลังใจจากครอบครัว
วันนี้ ห้างสรรพสินค้ากลับมาคึกคักอีกครั้ง เสียงเพลงบรรเลง เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ ดังก้องไปทั่ว ผู้คนต่างจับจ่ายใช้สอยอย่างมีความสุข ใบหน้าของปานเปื้อนยิ้ม เธอรู้สึกดีใจที่ได้เห็นลูกค้ากลับมาช้อปปิ้งอีกครั้ง
ปานจำได้ว่าช่วงโควิด-19 นั้นยากลำบากแค่ไหน ยอดขายตกฮวบ ร้านค้าต้องปิดตัวลงหลายร้าน เธอเองก็เกือบถูกเลิกจ้าง แต่ด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเท ปานพยายามหาทางเพิ่มยอดขาย หาวิธีโปรโมทร้านค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ผลลัพธ์คือ ยอดขายเริ่มกลับมาดีขึ้น ลูกค้าเริ่มกลับมาช้อปปิ้งที่ร้านอีกครั้ง
ปานรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเซ็นทรัลเวิลด์ ห้างสรรพสินค้าที่ยืนหยัดผ่านวิกฤตมาได้ เธอรู้สึกขอบคุณบริษัทที่ให้โอกาสเธอได้ทำงานต่อ และขอบคุณลูกค้าที่ยังคงให้ความไว้วางใจ
แสงไฟสว่างไสวจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เปรียบเสมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์ เป็นสัญลักษณ์ของความหวังและกำลังใจ เป็นแรงผลักดันให้ผู้คนเดินหน้าต่อไป | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57007 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพลิกโฉมธุรกิจค้าปลีก แพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง C-Verse ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถช้อปปิงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และสนุกสนาน โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปห้างสรรพสินค้า | null | C-Verse โลกเสมือนจริง พลิกโฉมการช้อปปิง
ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร ท่ามกลางแสงสีเสียงที่คึกคัก หญิงสาววัย 20 ปลาย ๆ นามว่า "มายด์" กำลังนั่งจิบกาแฟในร้านกาแฟใจกลางห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านกระจกบานใหญ่ สะท้อนให้เห็นภาพผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่ มายด์เหม่อมองไปรอบ ๆ รู้สึกเบื่อหน่ายกับการช้อปปิงแบบเดิม ๆ ที่ต้องเดินวนไปวนมาตามชั้นต่าง ๆ ของห้างสรรพสินค้า
ทันใดนั้น เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น แจ้งเตือนให้เธออัปเดตแอปพลิเคชัน "C-Verse" แอปพลิเคชันช้อปปิงสุดล้ำจากเซ็นทรัล รีเทล มายด์รีบกดอัปเดตแอปทันที ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเปิดแอปพลิเคชัน C-Verse ขึ้น โลกเสมือนจริงที่เต็มไปด้วยสีสันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ามายด์ เธอสร้างตัวละครอวตารของตัวเอง แต่งตัวด้วยชุดสุดเก๋ และเริ่มต้นการผจญภัยในโลกเสมือนจริงแห่งนี้
มายด์เดินเล่นในห้างสรรพสินค้าเสมือนจริง ชมสินค้าต่าง ๆ มากมาย โดยไม่ต้องเดินไปไหน เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วสัมผัสบนหน้าจอ เธอก็สามารถหยิบสินค้าขึ้นมาดูรายละเอียด หมุนดูได้ 360 องศา เปรียบเทียบสินค้ากับรุ่นอื่น ๆ
"นี่มันสุดยอดมาก!" มายด์อุทานด้วยความตื่นเต้น
เธอเดินต่อไปยังโซนเครื่องสำอาง แวะทักทาย "พะพราว" อินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริงที่ยืนอยู่หน้าร้าน พะพราวแนะนำสินค้าใหม่ล่าสุด พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแต่งหน้าอย่างละเอียด
มายด์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในโลกแห่งอนาคต โลกที่การช้อปปิงกลายเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานและสะดวกสบาย
เธอตัดสินใจซื้อรองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องไซส์หรือสี เพราะ C-Verse มีระบบวัดขนาดเท้าและลองสวมรองเท้าเสมือนจริง ช่วยให้เธอตัดสินใจซื้อได้อย่างมั่นใจ
หลังจากช้อปปิงเสร็จ มายด์ก็กดสั่งซื้อสินค้า จ่ายเงิน และรอรับสินค้าที่บ้านได้ภายใน 2 วัน
C-Verse เปลี่ยนมุมมองของมายด์เกี่ยวกับการช้อปปิงไปอย่างสิ้นเชิง เธอไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางไปห้างสรรพสินค้าอีกต่อไป
C-Verse เปรียบเสมือนโลกเสมือนจริงที่มอบประสบการณ์การช้อปปิงที่เหนือระดับ สะดวก รวดเร็ว และสนุกสนาน | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57061 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด แม้จะประกอบธุรกิจมานานก็ตาม การเปิดใจรับความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ จะช่วยพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาเจริญรุ่งเรือง | null | โอกาสทอง ของ 'ร้านขายของชำ'
สายลมร้อนยามบ่ายพัดโชยมาปะทะใบหน้าของ 'ลุงสมชาย' ชายวัยกลางคน เจ้าของร้านขายของชำเก่าแก่ 'ร้านลุงสมชาย' ที่ตั้งอยู่ริมถนนในชุมชนแออัด ร้านของเขามีสินค้าหลากหลายชนิด เรียงรายบนชั้นวางของเก่าๆ เต็มไปด้วยฝุ่น สะท้อนภาพความซบเซาของธุรกิจ
ลุงสมชายถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอดขายของร้านในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่เปิดใหม่ไม่ไกลจากชุมชน ดึงดูดลูกค้าด้วยสินค้าราคาถูก แอร์เย็นฉ่ำ และบรรยากาศที่ทันสมัย ร้านขายของชำแบบดั้งเดิมอย่างร้านลุงสมชาย เริ่มถูกทอดทิ้ง
วันหนึ่ง ลุงสมชายได้รับจดหมายเชิญจาก 'เซ็นทรัลพัฒนา' เชิญชวนให้เข้าร่วมหลักสูตร 'LEAD' หลักสูตรพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ลุงสมชายลังเลอยู่ครู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจสมัครเข้าร่วม ด้วยความหวังริบหรี่ว่า อาจจะได้แนวทางใหม่ ๆ ในการพลิกฟื้นธุรกิจ
หลักสูตร LEAD เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับลุงสมชาย เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์ทางการตลาด เทคนิคการจัดการร้านค้า และวิธีการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมธุรกิจ วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากเซ็นทรัลพัฒนา และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แบ่งปันประสบการณ์และข้อคิดมากมาย
ลุงสมชายนำความรู้ที่ได้จากหลักสูตร LEAD มาปรับใช้กับร้านของเขา เขาเริ่มปรับปรุงหน้าร้านให้ดูสะอาด สว่างไสว จัดเรียงสินค้าใหม่ให้ดูเป็นระเบียบ เพิ่มสินค้าใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า นำเสนอโปรโมชั่นดึงดูดใจ และเปิดรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่น
ผลลัพธ์ที่ได้น่าแปลกใจ ยอดขายของร้านลุงสมชายเริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อย ลูกค้าเริ่มกลับมาใช้บริการร้านมากขึ้น รอยยิ้มเริ่มกลับมาปรากฏบนใบหน้าของลุงสมชายอีกครั้ง | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |