Datasets:

Modalities:
Text
Formats:
parquet
Languages:
Thai
Libraries:
Datasets
pandas
License:
content
stringlengths
2
11.3k
url
stringlengths
26
27
title
stringlengths
3
125
จากหัวข้อ ใครที่ชอบถ่มน้ำลายคงไม่รู้แปลกใจ แต่ตัวฉันรู้สึกว่าดูไม่สุภาพเท่าไหร่เลย แต่จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า น้ำลายสามารถบ่งบอก(ประวัติสุข)ภาพในช่วงที่ผ่านมาของคุณได้ คุณ Mark Stoneking, นักพันธุมานุษยวิทยา ประเทศเยอรมันนีกล่าวว่าในช่องปากของเรามีแบคทีเรียหลาย พันชนิดแบคทีเรียบางกลุ่ม เป็นแบคทีเรียที่ดี ช่วยในการย่อยอาหารของเรา เป็นต้น และก็มีแบคทีเรียที่ไม่ดี ที่เป็นสาเหตุของฟันผุ แบคทีเรียเหล่านี้สามารถบอกเราได้ว่าสุขภาพของเราเป็นอย่างไร บอกได้ว่าบรรพบุรุษของเรามาจากไหน หรือแม้แต่ระบุลักษณะเฉพาะบุคคลได้เช่นเดียวกับ ลายนิ้วมือทีเดียว คราวหน้าถ้าจะถ่มน้ำลายให้ระวังด้วยนะเพราะปัจจุบันเขาเก็บหลักฐาน(น้ำลาย)ที่จะระบุถึงตัวผู้ต้องหาในคดีต่าง ๆ ด้วยนะ ที่มา poppular science
https://jusci.net/node/1002
ถ่มน้ำลายซิ
ผลการศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Journal of Human Evolution บ่งชี้ว่า นีแอนเดอทาล (Neanderthal) กับมนุษย์ Homo Sapiens นั้นมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างรุนแรง และอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นีแอนเดอทาลสูญพันธุ์ โครงกระดูกของนีแอนเดอทาลอายุ 50,000 ถึง 75,000 ปีที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อว่า Shanidar 3 ซึ่งค้นพบในถ้ำที่ประเทศอิรัก และถูกนำมาประกอบเข้าด้วยกันในยุคทศวรรษ 1950 และ 1960 แสดงให้เห็นถึงบาดแผลที่ได้รับในช่วงลำตัว ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิต นักวิทยาศาสตร์ได้สันนิษฐานไว้ว่า อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุระหว่างการล่าสัตว์ หรืออาจจะเกิดจากเพื่อนนีแอนเดอทาลด้วยกันเอง แต่ผลการศึกษาใหม่เสนอว่า บาดแผลนี้น่าจะเกิดจากฝีมือมนุษย์ จากการศึกษาแล้ว สตีเฟน เชอร์ชิลล์ อาจารย์ด้านมานุษยวิทยาวิวัฒนาการ (revolutionary anthropology) จากมหาวิทยาลัยดุ๊ก ได้สรุปว่า บาดแผลของ Shanidar 3 น่าจะเกิดจากหอกขว้าง ซึ่งในยุคนั้น สายพันธุ์เดียวที่ได้พัฒนาการใช้อาวุธโพรเจกไทล์แล้วคือมนุษย์ ในขณะที่นีแอนเดอทาลยังใช้การแทงหอกเท่านั้น ทีมของเชอร์ชิลล์ได้ทดลองแทงหอกเข้าไปในซากของหมู ซึ่งเชื่อกันว่ามีความแข็งแรงใกล้เคียงกับผิวหนังและซี่โครงของนีแอนเดอทาล และพบว่า เมื่อแทงหอกเข้าไปนั้น ซี่โครงของหมูนั้นเสียหายไม่มีชิ้นดี ในขณะที่ซี่โครงของ Shanidar 3 ไม่มีความเสียหายในลักษณะนั้น เมื่อทดลองโดยใช้หน้าแบบที่ออกแบบมาเป็นพิเศษให้มีความแรงใกล้เคียงกับการขว้างหอกในยุคหิน พบว่าซี่โครงมีความเสียหายลักษณะเดียวกับซี่โครงของนีแอนเดอทาลที่พบ อย่างไรก็ตาม ประเด็นการสูญพันธุ์ของนีแอนเดอทาลยังคงไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ บางส่วนเชื่อว่าเกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์กับมนุษย์ ด้านทฤษฎีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมุ่งไปที่ความรุนแรงจากฝีมือมนุษย์ Homo Sapiens ผลการศึกษาก่อนหน้านี้ของเฟร์นันโด รอซซี จาก Centre National de la Recherche Scientifique ที่ปารีส พบว่ากระดูกขากรรไกรล่างของนีแอนเดอทาลมีร่องรอยแบบเดียวกับที่มนุษย์ทำกับซากกวางในช่วงต้นยุคหิน ในเรื่องนี้เชอร์ชิลล์มีความเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับนีแอนเดอทาลอาจหลากหลายแตกต่างกันในแต่ละที่ ทั้งความรุนแรงหรือการหลอมรวมกัน คล้ายกับยุคล่าอาณานิคมของยุโรปในอดีต ที่มา - Time
https://jusci.net/node/1035
มนุษย์ฆ่านีแอนเดอทาล?
ญี่ปุ่นเป็นชาติหนึ่งที่ลงทุนกับเทคโนโลยีหุ่นยนต์อย่างจริงจังมาก เนื่องจากค่าแรงที่แพงและการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตของสินค้าในประเทศที่มีบ่อยครั้ง งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโตเกียวก็แสดงให้เห็นศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ของญี่ปุ่น เมื่อนักวิจัยสามารถสาธิตการเล่นเบสบอลด้วยหุ่นยนต์ได้แล้ว หุ่นยนต์ที่นำมาแสดงมีด้วยกันสองตัวทำหน้าที่ขว้างลูกเบสบอล และตีลูก โดยหุ่นที่ทำหน้าที่ขว้างนั้นสามารถขว้างลูกให้ได้ความเร็วถึง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่มีความแม่นยำในการขว้างเข้าเขตที่กำหนดเกือบร้อยละ 100 ที่ระยะห่าง 3.5 เมตร และหุ่นที่ทำหน้าที่ตีนั้นสามารถตีลูกในเขตที่กำหนดได้ถึงร้อยละ 90 หุ่นยนต์ทั้งสองเป็นหุ่นแบบสามนิ้วรูปแบบเดียวกับหุ่นยนต์ที่ทำงานอยู่ในสายการผลิตประกอบรถยนต์ นั่นหมายความว่าเราอาจจะเห็นหุ่นเหล่านี้ตอบสนองได้เร็วขึ้นและทำงานที่ต้องการความเร็วสูงๆ ได้ในอนาคตอันใกล้ อีกหน่อยโรงงานอาจจะไม่ต้องมีสายพาน ให้หุ่นมันโยนของไปมา... ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1036
นักวิจัยญี่ปุ่นสร้างหุ่นยนเล่นเบสบอล
พลังงานชีวภาพเป็นแนวทางหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างสูงในช่วงหลายปีมานี้ เนื่องจากสามารถนำมาใช้กับเครื่องยนต์ที่มีอยู่ในท้องถนนได้ทันที แม้จะมีผลเสียในภาพรวมต่อภาวะโลกร้อนก็ตาม การศึกษาล่าสุดยังพบปัญหาอีกประการของการใช้น้ำที่มากจนน่าตกใจในบางครั้ง ประเด็นการใช้น้ำที่สูงเป็นเรื่องที่ได้รับการศึกษามาแล้วก่อนหน้านี้ โดยรายงานเดิมนั้นมีการศึกษาว่าน้ำมันชีวภาพ 1 ลิตร จะใช้น้ำสำหรับการเพาะปลูกประมาณ 263 ถึง 784 ลิตร ขึ้นกับพื้นที่และเทคนิคการเพาะปลูก แต่การศึกษาล่าสุดพบว่าช่วงขอบเขตกว้างกว่านั้น โดยในบางฟาร์มนั้นใช้น้ำถึง 2,100 ลิตรต่อน้ำมัน 1 ลิตร การศึกษาทำใน 41 รัฐของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีสำหรับพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกมากๆ เช่น Corn Belt นั้นใช้น้ำเพียง 100 ลิตรต่อน้ำมัน 1 ลิตรเท่านั้น บ้านเราการเกษตรยังมีปัญหาเรื่องระบบชลประทานกันอยู่มาก หวังว่าจะแก้ได้ในระยะยาวกันเสียที ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1040
เมื่อน้ำเป็นปัญหาใหม่ของพลังงานชีวภาพ
การบริหารจัดการโกดังเป็นเรื่องที่ยาก เรียกได้ว่าต้องใช้ความละเอียด, การวางแผน และออกแบบเป็นอย่างดี โกดังที่ดีควรที่จะมีการออกแบบที่ว่า ของที่ใช้บ่อยควรที่จะอยู่ข้างหน้า ส่วนของที่ใช้ไม่ค่อยบ่อยควรจะอยู่ข้างหลัง หยิบง่ายใช้สะดวก ถ้าจะให้ดีที่สุด เราไม่ต้องเดินไปหยิบจะดีมาก ให้มันมาหาเราเอง... ผมไม่ได้บ้าครับมีโกดังแบบนี้จริงๆ บริษัท Zappos ที่ถูก Amazon ซื้อไปเค้าใช้ระบบนี้อยู่ หุ่นยนต์พวกนี้จะอ่าน 2D บาร์โค้ด ที่อยู่บนพื้นเพื่อที่จะบอกตำแหน่ง และใช้ RFID เป็นตัวอ่านว่าสินค้าคืออะไร ออกไปเมื่อไหร่ ข้อดีของระบบนี้ก็คือ ไม่ต้องใช้คนเยอะจ่ายที่เดียว ข้อเสียก็คงเป็นคนคงตกงานละครับ ที่มา: mrfah, YouTube, IEEE spectrum
https://jusci.net/node/1054
บริหารโกดังด้วยหุ่นยนต์ เป็นอีกหนึ่งความฝันของเรา
การบริหารจัดการโกดังเป็นเรื่องที่ยาก เรียกได้ว่าต้องใช้ความละเอียด, การวางแผน และออกแบบเป็นอย่างดี โกดังที่ดีควรที่จะมีการออกแบบที่ว่า ของที่ใช้บ่อยควรที่จะอยู่ข้างหน้า ส่วนของที่ใช้ไม่ค่อยบ่อยควรจะอยู่ข้างหลัง หยิบง่ายใช้สะดวก ถ้าจะให้ดีที่สุด เราไม่ต้องเดินไปหยิบจะดีมาก ให้มันมาหาเราเอง... ผมไม่ได้บ้าครับมีโกดังแบบนี้จริงๆ บริษัท Zappos ที่ถูก Amazon ซื้อไปเค้าใช้ระบบนี้อยู่ หุ่นยนต์พวกนี้จะอ่าน 2D บาร์โค้ด ที่อยู่บนพื้นเพื่อที่จะบอกตำแหน่ง และใช้ RFID เป็นตัวอ่านว่าสินค้าคืออะไร ออกไปเมื่อไหร่ ข้อดีของระบบนี้ก็คือ ไม่ต้องใช้คนเยอะจ่ายที่เดียว ข้อเสียก็คงเป็นคนคงตกงานละครับ ที่มา: mrfah, YouTube, IEEE spectrum
https://jusci.net/node/1055
บริหารโกดังด้วยหุ่นยนต์ เป็นอีกหนึ่งความฝันของเรา
นักสงวนพันธุ์สัตว์ ควรที่จะ "หยุดการช่วยเหลือ" และปล่อยให้แพนด้ามันตายไปเถอะ คริส แพคแฮม, พิธีกรของ BBC และนักธรรมชาติวิทยากล่าว "ถ้าปล่อยมันเป็นเช่นนี้ต่อไป ระบบวิวัฒนาการทางธรรมชาติ จะถูกทำลาย"แพคแฮม ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Radio Times กว่า 48 ปีแล้ว ที่เงินถูกใช้ไปกับการอนุรักษ์แพนด้า แทนที่จะไปช่วยเหลือสัตว์อื่นๆ ที่ไม่แข็งแรงพอที่จะอยู่รอดด้วยตัวเองได้ "มันเป็นสัตว์ที่อ่อนแอ แต่โชคไม่ดีสำหรับเรานัก ที่ว่า มันดูตัวใหญ่และน่ารัก แถมมันยังเป็นสัญลักษณ์ของ WWF (องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล)อีกด้วย และ ที่สำคัญ เราสิ้นเปลืองเงินกับการอนุรักษ์แพนด้าไปเป็นล้านๆปอนด์ และ ผมคิดว่า เราควรหยุดการช่วยเหลือนี้ แล้วปล่อยให้มันตาย อย่างสมศักด์ศรีดีกว่า" แพนด้ายักษ์ อาศัยจำกัดอยู่ในป่า บริเวณที่ราบสูง เขตเทือกเขาทางตอนใต้ของจีน และมันผลาญต้นไผ่จำนวนมหาศาล เพื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ ตอนนี้แพนด้ามีจำนวนทั้งหมดประมาณ 1,600 ตัว จากข้อมูลของ WWF ปัจจุบันมันกำลังถูกคุกคามโดย เกษตรกรรม การตัดไม้ และจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศจีน อย่างไรก็ดี ความคิดของแพคแฮมไม่ได้ถูกยอมรับอย่างแพร่หลาย ดอกเตอร์ มาร์ค ไรท์ ที่ปรึกษาของ WWF ทางด้านวิทยาศาสตร์การอนุรักษ์ กล่าวกับสื่อของอังกฤษว่า "มันเป็นสิ่งที่งี่เง่า และไร้ความรับผิดชอบมาก ที่คริสพูดอย่างนั้น" "แพนด้า มีการปรับตัวไปกับสถานที่ที่มันอาศัยอยู่ และมันจะอาศัยอยู่เฉพาะในภูเขาที่เต็มไปไปด้วยต้นไผ่ที่มันอยากกิน และคล้ายๆกับ จะพูดว่า วาฬสีน้ำเงิน ถึงทางตันของวิวัฒนาการแล้ว เพราะว่ามันอาศัยเฉพาะในมหาสมุทร" มาร์ค กล่าวเพิ่มเติม ในฐานะที่แพคแฮม เป็นประธานของกลุ่มอนุรักษ์ค้างคาวในอังกฤษ และเป็นรองประธานกลุ่มอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า เขายังแสดงความเห็นเพิ่มเติม เกี่ยวกับอนาคตของเสือที่กำลังริบหลี่ว่า "ผมไม่คิดว่า เสือมันจะสามารถอยู่ต่อไปได้อีก 15 ปีหรอกนะ" เขากล่าว "คุณจะอนุรักษ์อย่างไร สำหรับสัตว์ที่ควรค่าแก่ตายมากกว่าอยู่ คำตอบคือ คุณทำไม่ได้หรอก" (ความเห็นผู้แปล ไม่ว่าแพนด้าควรค่าแก่การอนุรักษ์หรือไม่ ผมว่า ท้ายสุดแล้ว แพนด้าก็จะเป็นเพียงแค่ของเล่นทางการเมือง แค่นั้น) ที่มา : Reuters ผ่านทาง Yahoo!
https://jusci.net/node/1060
"ปล่อยให้แพนด้า มันสูญพันธุ์ไปเถอะ" นักธรรมชาติวิทยากล่าว
คุณคงไม่ชอบเหตุการณ์นี้ใช่ไหม การที่เพื่อนบ้านคุณจะสูบ สัญญาณ Wi-Fi คุณไปใช้จากห้องนั่งเล่นแสนสุข ในขณะที่ปล่อยให้คุณต้องทำงานแบกรับค่าอินเตอร์เนตไปคนเดียว เขาไม่เพียงแต่จะทำให้เนตคุณช้า ด้วยการระห่ำสูบบิททอเรนท์ แต่คุณอาจจะติดร่างแหกับการกระทำผิดกฏหมายของเพื่อนบ้านคุณนี้ด้วย ได้เวลากำจัดปัญหารบกวนใจคุณแล้ว เพราะ เรามีทางเลือกใหม่มาเสนอให้กับคุณ....... สีกันสัญญาณ Wi-Fi ขั้นตอนก็แสนง่าย เพียงแค่ทาสีดังกล่าวนี้ ไปบนผนังที่คุณไม่ต้องการให้มีสัญญาณไวเลสทะลุผ่าน (อาจจะเป็นภายนอกบ้าน) ความลับของมันอยู่ที่ อนุภาคสารประกอบออกไซด์ของอลูมิเนียมและเหล็ก (Aluminum-iron oxide) ที่อยู่ในสีพิเศษนี้ สารประกอบโลหะนี้จะสั่นที่คลื่นความถี่เดียวกับ Wi-Fi และสัญญาณวิทยุ ทำให้ คลื่นไม่สามารถทะลุผ่านชั้นบางๆของสีนี้ออกไปได้ นั่นคือ คนข้างบน คนข้างนอก หรือแม้แต่ คนข้างล่าง ก็จะไม่สามารถใช้งานโครงข่ายไร้สายของคุณอีกต่อไป แต่ทว่า คุณก็ไม่สามารถรับคลื่นอะไรจากข้างนอกได้เช่นเดียวกัน ?!? สีดังกล่าวนี้ถูกพัฒนาโดย มหาวิทยาลัยโตเกียว ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกที่สามารถกันคลื่นความถี่ในย่านความสูงๆได้ เช่น Wi-Fi ที่ 2.4 GHz และ คลื่นที่ใช้เพื่อการสื่อสารความเร็วสูงอื่นๆ นอกเหนือจาก กันสัญญาณความถี่ต่ำเช่นวิทยุ FM ยิ่งไปกว่านั้น นักวิจัยอ้างว่าสีนี้สามารถกันทุกความถี่ได้ถึง 100GHz และ กำลังพัฒนาสีที่จะกันความถี่ได้ถึง 200 GHz สีนี้ ไม่เพียงแต่ เป็นที่สนใจในการกันการรั่วไหลของสัญญาณออกนอกอาคาร โรงภาพยนตร์ทั้งหลายที่พยายามจะวิธีการต่างๆมาบังคับใช้การโทรศัพท์ในโรงภาพยนตร์ ก็กำลังให้ความสนใจเช่นกัน แน่นอนว่าอุปกรณ์รบกวนสัญญาณ ที่ส่งคลื่นรบกวนสัญญาณนั้นผิดกฏหมาย แต่ทว่า สีนี้เพียงแค่กันไม่ให้คลื่นสัญญาณผ่านแค่นั้น มันจึงไม่ผิดกฏหมาย อาจจะมีบางคนไม่ค่อยเห็นด้วยนักที่จะใช้สีกัน Wi-Fi เพื่อความปลอดภัยของโครงข่าย แน่นอน วิศวกรต้องพูดเช่นนั้นแน่ "แค่ความคิดที่จะทาสีทั้งตึกใหม่เพื่อความปลอดภัยของ Wi-Fi นั้น มันคงไม่คุ้มค่าและยุ่งยากกว่า เปิดใช้ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีมาให้ แม้แต่ access point ถูกๆก็มี" เอ... มันก็จริงนะ (ผู้แปล : ปัจจุบัน การใช้การป้องกันและการเข้ารหัสด้วย WEP นี้ สามารถ crack ได้อย่างง่ายมาก ด้วยโปรแกรมและอุปกรณ์ที่แพร่หลายอยู่ทั่วไป, และเช่นเดียวกันที่ WPA (Pre-Shared Key) ก็เริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว เพราะมีการค้นพบจุดอ่อนเรื่องการชนกันของรหัส, ทางเลือก จึงเหลือเพียงใช้ 802.1x ควบคู่ไปด้วย หรือไม่ก็เปลี่ยนไปใช้ WPA2 ถ้าอุปกรณ์รองรับ) ที่มา : Yahoo !
https://jusci.net/node/1064
WEP ก็ crack ง่าย, WPA ก็ไม่ปลอดภัย ... ทาสีผนังห้องกันขโมย Wi-Fi เลยดีกว่า
บริษัทผลิตเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย Haruyama Trading ได้พัฒนาชุดสูทที่สามารถปกป้องผู้สวมใส่จาก swine flu (H1N1) ได้ โดยชุดสูทได้รับการเคลือบด้วยไททาเนียมไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในยาสีฟันและเครื่องสำอางเป็นส่วนใหญ่ โดยสารเคลือบจะแตกตัวเมื่อโดนแสงและจะฆ่าไวรัสดังกล่าวเมื่อมาสัมผัส บริษัทยังบอกอีกว่าสารเคลือบจะไม่หลุดล่อนไปถึงแม้สูทจะผ่านการซักหลายครั้งก็ตาม มีสี่สีให้เลือก สนนราคาอยู่ประมาณ 580 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวเกือบ 2 หมื่นบาท ช่างคิดค้นจริงๆ! ที่มา: Telegraph ผ่าน C|Net
https://jusci.net/node/1066
มาใส่สูทป้องกัน swine flu กัน!
จอร์จ โซรอส ราชาการเงินโลกผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าถล่มค่าเงินบาทไทยในปี 2540 จนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (ก่อนกรณีของเมืองไทย เขาเคยถล่มค่าเงินปอนด์มาก่อนแล้ว) ในอีกด้านเขาลงเงินจำนวนมหาศาลในมูลนิธิการกุศลและ NGO ต่างๆ ล่าสุดโซรอสประกาศลงทุนในสาขาที่กำลังฮิตคือ "พลังงานสะอาด" คิดเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 1 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้เขายังจ่ายอีก 100 ล้านดอลลาร์ตั้งมูลนิธิ Climate Policy Initiative เพื่อเคลื่อนไหวด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาเขาได้ลงทุนในบริษัท Powerspan Corp ซึ่งเชี่ยวชาญการกักเก็บคาร์บอนจากถ่านหิน เขายังเน้นว่าทิศทางการลงทุนของเขาจะเป็น "การเก็บภาษีคาร์บอน" (carbon tax) แทน "คาร์บอนเครดิต" (carbon credit) เนื่องจากประสบการณ์การเก็งกำไรของเขาบอกว่าตลาดคาร์บอนเครดิตนั้นถูกนักลงทุนปั่นได้ง่ายกว่า ยอดเงินลงทุนด้านพลังงานสะอาดของทั้งโลก ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2009 รวมกันเป็นมูลค่า 25.9 พันล้านดอลลาร์ เรียกได้ง่ายๆ ว่านักลงทุนทั้งโลกเริ่มขยับมาสนใจตลาดนี้กันแล้ว ที่มา - BusinessWeek
https://jusci.net/node/1067
จอร์จ โซรอส ประกาศลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ในพลังงานสะอาด
หลังจากที่มีการแถลงผลประสิทธิภาพวัคซีนเอดส์จากไทยไปเมื่อเดือนสิงหาคมว่าสามารถลดโอกาสการเป็นเอดส์ได้หนึ่งในสาม ทีมวิจัยจากสวีเดนก็เปิดเผยผลการทดลองขั้นที่สองในกลุ่มคนจำนวน 60 คนว่าได้ผลที่ดีกว่า วัคซีนของทีมวิจัยสวีเดนนี้ชื่อว่า Hivis โดยได้ทุนวิจัยจากทางสหภาพยุโรป แต่การทดลองนั้นดำเนินการในแทนซาเนีย โดยกลุ่มทดลองเป็นตำรวจสุขภาพดี 60 นาย แม้ผลลัพธ์จะดีกว่า แต่การทดลองของทีมสวีเดนนั้นอยู่ในขั้นที่สอง ส่วนของไทยนั้นดำเนินการไปถึงขั้นที่ 3 ที่มีผู้ร่วมทดสอบแล้วถึง 16,400 คน โดยทีมสวีเดนระบุว่ายังขาดเงินทุนในการดำเนินการต่อ แต่ผลลัพธ์ที่ดีน่าจะทำให้หาทุนต่อไปได้ ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1068
ทีมวิจัยสวีเดนเผยผลทดลองวัคซีนเอดส์ตัวใหม่ ได้ผลดีกว่าของไทย
เป็นเรื่องน่าภูมิใจกับชาวไทยอีกเรื่องครับ เมื่อทาง NASA ได้ทำการจัดซื้อ SATAIP จากบริษัทดีไซน์ เกตเวย์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างญี่ปุ่นกับไทยเรานี่เอง เพื่อติดตั้งไปกับจรวดสำรวจอวกาศ โดยหลายๆ คนอาจจะคุ้นชื่อบริษัทนี้มาบ้างจากผลงาน Bt-BOX MINI SATAIP เป็นอุปกรณ์เขียน/อ่านข้อมูลกับ HDD หรือ SSD ที่มีความสามารถในการเขียน/อ่านสูงถึง 220/280MB/s พอที่จะสู้ในตลาดโลกได้สบายๆ อีกอย่างนะครับ ถึงนี่จะเป็นข่าวแรกของผมใน JuSci แต่ผมกลับพบว่าผมหาทางเข้า JuSci จาก BN ไม่เจอเสียอย่างนั้นทั้งๆ ที่ด้านบนของ JuSci ยังคงมีทางไป BN เหมือนเคย ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนมีเหมือนกันนะครับ เพิ่มอีกนิดนึง หน้า Upcoming News ของ JuSci เสียครับ ที่มา: TESA, DESiGN GATEWAY
https://jusci.net/node/1069
NASA ไว้ใจใช้อุปกรณ์ของไทยติดตั้งไปกับจรวดสำรวจอวกาศ
เราหลายคนอาจจะรู้แล้วว่าแหล่งรองรับคาร์บอนของโลกเรานั้นไม่ใช่ป่าไม้หากแต่เป็นมหาสมุทรที่ซึมซับเอาคาร์บอนลงสู่ทะเล แต่ประเด็นที่กังวลกันคือมหาสมุทรจะมีความสามารถในการรองรับคาร์บอนได้อีกนานมากแค่ไหน ข้อมูลเดิมนั้นเชื่อกันว่ามหาสมุทร์จะไม่สามารถรองรับคาร์บอนเพิ่มอีกในเวลาอันใกล้ ทำให้คาร์บอนในอากาศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก แต่งานวิจัยใหม่จากการสำรวจน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกใต้พบ พบว่าปริมาณคาร์บอนในอากาศนั้นเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% (+-1.4%) ต่อปี โดยไม่มีความเปลี่ยนแปลงที่ลดลงจนสังเกตได้แต่อย่างใด ทีมวิจัยระบุว่าการรวบรวมข้อมูลจำนวนมากเช่นนี้มีความไม่แน่นอนในข้อมูลอยู่ ดังนั้นเราคงไม่สามารถวางใจได้เต็มที่นักหากจะบอกว่าประเด็นโลกร้อนไม่ใช่ปัญหาที่น่ากังวล แต่หากมีข้อมูลในแนวทางเดียวกันจำนวนมากกว่านี้ ก็อาจจะได้เวลาพิจารณาว่าเราต้องทุ่มทรัพยากรลงไปกับความพยายามลดคาร์บอนเช่นเดิมอีกหรือไม่ ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1070
ความสามารถในการรองรับคาร์บอนของมหาสมทุรอาจจะมากกว่าที่เราคิด
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น ครบ 100 วันการส่ง LCROSS ไปโคจรรอบดวงจันทร์ เมื่อวานนี้ทางนาซ่าก็ยิงจรวจที่ติดดั้งอยู่บนดาวเทียมพร้อมกับปล่อยให้ตัวดาวเทียมตกกระทบพื้นดวงจันทร์ วันนี้นาซ่าก็แถลงผลวิคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์บนดาวเทียมว่า ฝุ่นที่กระจายขึ้นมานั้นมีน้ำประมาณ 90 ลิตร การยืนยันนี้ได้มาจากเซ็นเซอร์ NIR (Near Infrared) โดยอาศัยการวัดค่า spectrum ของแสงก่อนการชน และหลังการชน เพื่อเทียบสัดส่วนของพลังงานในย่านต่างๆ พบว่าย่าน 300nm นั้นมีพลังงานสูงขึ้นมาเป็นการยืนยันว่ามี hydroxyl อยู่ในฝุ่นที่ลอยขึ้นมานั้น ก่อนหน้านี้ข้อมูลจากกล้องฮับเบิลเคยแสดงข้อมูลเบื้องต้นว่าอาจจะมีไฮดรอกซิลในฝุ่นที่ลอยขึ้นมา แต่ช่วงเวลาที่แถลงข่าวนั้นยังไม่มีการยืนยัน ขนาดหลุมที่เกิดขึ้นจากการพุ่งชนมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20-30 เมตร (60-100 ฟุต) สำหรับการสังเกตการพวยฝุ่นที่ทางนาซ่าคาดว่าน่าจะใช้อุปกรณ์สมัครเล่นทำได้นั้นกลับไม่สามารถทำได้เนื่องจากสภาพอากาศ แต่ทางนาซ่าก็ได้ถ่ายภาพไว้แล้ว ที่มา - NY Times
https://jusci.net/node/1071
LCROSS ประสบความสำเร็จ บนดวงจันทร์มีน้ำ!
ญี่ปุ่นได้เปิดเผยต้นแบบจำลองขนาดเท่าของจริง (mockup) ของเครื่องบินรบล่องหนของตนเอง โดยมีชื่อโครงการว่า Shinshin (ATD-X) ออกสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก โดยขณะนี้ต้นแบบดังกล่าวใช้ทดสอบการล่องหนเท่านั้น ตามข่าวระบุว่า ญี่ปุ่นไม่สามารถซื้อเครื่องบินล่องหน Lockheed Martin F-22 Raptor จากสหรัฐฯ มาทดแทนเครื่องบินรบ F-4EJ ลำเก่าของตนได้ จึงเป็นสาเหตุให้ญี่ปุ่นต้องพัฒนาเครื่องบินรบของตนเอง โดยคาดว่าจะพัฒนาต้นแบบ (prototype) ที่บินได้จริงในอนาคต รายละเอียดอื่นๆ ดูได้จากคลิปวีดีโอท้ายข่าว ที่มา: Flight Global ผ่าน Gizmodo
https://jusci.net/node/1072
ญี่ปุ่นเผยต้นแบบเครื่องบินรบล่องหนของตนเองแล้ว
Charles Bolden ผอ. ของนาซ่าได้ให้สัมภาษย์ระบุว่าทางนาซ่าพร้อมจะเป็นหุ้นส่วนกับทางจีนหากมีนโยบายดังกล่าวสั่งการลงมา งบประมาณด้านอวกาศของทัั้งสองประเทศนั้นแตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยจีนมีงบประมาณเป็นทางการที่ประมาณปีละ 500 ล้านดอลลาร์ และคาดการณ์ว่าตัวเลขจริงจะอยู่ที่ 1,300 ล้านดอลลาร์ ขณะที่นาซ่าเพิ่งของบประมาณปี 2009-1010 ไป 18,700 ล้านดอลลาร์ (อาจจะถูกลดลงอีกร้อย 10 ซึ่งยังมากกว่าจีนมหาศาล) แม้ว่างบประมาณจะมากกว่ามาก แต่ทางการจีนนั้นก็ทำได้ค่อนข้างดี โดยสามารถส่งนักบินอวกาศไปทำ Spacewalk ได้ และยังส่งดาวเทียมไปสำรวจดวงจันทร์ได้สำเร็จ ส่วนความร่วมมือจริงๆ คงต้องดูรัฐบาลโอบาม่าว่าจะสนใจหรือไม่ ที่มา - Google News
https://jusci.net/node/1073
นาซ่าระบุพร้อมจะเป็นหุ้นส่วนกับจีนในการสำรวจอวกาศ
ว่ากันว่าสมองมนุษย์นั้นซับซ้อนมากจนยากจะหาคอมพิวเตอร์มาเทียบเท่าได้แม้จะให้เวลาอีกนาน แต่วันนี้ศูนย์วิจัย Almaden ของไอบีเอ็มก็เปิดตัวงานวิจัยที่จำลองการทำงานของสมองในระดับ 1 พันล้านนิวรอน และ 10 ล้านล้านไซแนปส์ ซึ่งเป็นการจำลองระดับเดียวกับสมองแมว การวิจัยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์จากห้องปฎิบัติการ Lawrence Livermore (ตัวแม่ด้านซุปเปอร์คอมพิวเตอร์) และเงินอีก 5 ล้านดอลลาร์จาก DARPA ความท้าทายที่สำคัญคือสมองนั้นถูกออกแบบมาให้ทำงานกับข้อมูลที่ไม่ตรงไปตรงมา มีความกำกวมได้สูง ขณะที่คอมพิวเตอร์นั้นต้องการข้อมูลที่แม่นยำ และตรรกะที่ตรงไปตรงมาตลอดเวลา การจำลองการทำงานสมองได้อาจจะช่วยให้เราสามารถคาดการณ์เหตุการณ์ที่กำกวม เช่น สภาพอากาศ การพยากรณ์การตลาดทั่วโลก ตลอดจนการประเมิณสถานะการณ์ในสนามรบ ผมเข้าใจว่าสมองหมานั้นจะจำลองยากขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่าตัว ส่วนปัญญานั้นอาจจะจำลองไม่ได้เลย ที่มา - Mercury News
https://jusci.net/node/1074
IBM จำลองสมองได้เทียบเท่าสมองแมว
ไม่ใช่ว่าแพะมันใจร้ายทิ้งคู่แต่อย่างใด แต่แพะ Myotragus ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ได้ถูกศึกษาและพบว่ามันวิวัฒนาการกลายเป็นสัตว์เลือดเย็นก่อนจะสูญพันธุ์ไป แพะชนิดนี้มีแต่ในเกาะ Majorca ของสเปน ด้วยความที่ทรัพยากรบนเกาะมีน้อยมาก มันต้องปรับตัวให้ต้องการอาหารให้น้อยลงเรื่อยๆ โดยการลดความต้องการอาหารและลดการเติบโต สุดท้ายมันจึงกลายเป็นสัตว์เลือดเย็นเช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลานไป การวิวัฒนาการนี้ทำให้ Myotragus อยู่รอดบนเกาะได้ถึง 5 ล้านปีทั้งที่ขาดแคลนอาหาร แต่มันต้องสูญพันธุ์ลงเมื่อ 3,000 ปีก่อนเมื่อมนุษย์ไปถึง ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1075
พบแพะเลือดเย็นในสเปน
สายการบิน KLM ได้บินสาธิตการใช้พลังงานจากน้ำมันก๊าดชีวะภาพ (biokerosene) มาเป็นเชื้อเพลิงให้กับเครื่องบิน Boeing 747 เป็นครั้งแรก โดยใช้เชื้อเพลิงชีวภาพเป็นสัดส่วนร้อยละ 50 เชื้อเพลิงชีวภาพเป็นทางเลือกที่สำคัญเมื่อคำนึงถึงความมั่นคงทางพลังงาน อย่างไรก็ตามสายการบิน KLM ก็ยอมรับว่ายังมีปัญหาอีกมากที่ต้องแก้เพื่อนำพลังงานนี้มาใช้งานต่อไป โดยเฉพาะผลกระทบต่ออาหาร และป่าไม้หากมีการใช้งานเชื้อเพลิงชีวภาพเป็นวงกว้าง เที่ยวบินสาธิตมีผู้โดยสารจำนวน 40 คน รวมถึงนักข่าวและคนจากหน่วยงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1076
สายการบิน KLM ทดสอบเที่ยวบินโดยสารแรกที่ใช้พลังงานชีวภาพ
ทางการจีนประกาศที่จะส่งดาวเทียมฉางอี้ 2 ในเดือนตุลาคมปีหน้าเป็นดาวเทียมที่ใช้สำรวจดวงจันทร์เป็นดวงที่สองหลังจากฉางอี้ดวงแรกไปถึงดวงจันทร์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แผนการของจีนต่อจากฉางอี้สอง คือการส่งยานไปจอดบนดวงจันทร์แล้วเก็บตัวอย่างดินเพื่อนำกลับมายังโลกในปี 2015 ก่อนที่จะส่งมนุษย์ลงไปเดินบนดวงจันทร์ในปี 2017 ที่มา - TG Daily
https://jusci.net/node/1077
จีนประกาศส่งดาวเทียมไปดวงจันทร์ปีหน้า, ส่งมนุษย์อวกาศลงเดินปี 2017
พลังงานทางเลือกยังคงเป็นหัวข้อที่มีการเสนอแนวทางใหม่ๆ เพื่อลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลกันอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดบริษัท Statkraft ผู้ผลิตเครื่องกรองน้ำให้กับองค์การนาซ่าได้เปิดตัวโรงงานไฟฟ้าพลังออสโมติกโรงงานแรกของโลก การผลิตไฟฟ้พลังออสโมติกอาศัยความดันออสโมซิสที่ต่างกันระหว่างน้ำเค็มและน้ำจืดสร้างกระแสน้ำเพื่อปั่นไฟฟ้า การก่อสร้างจึงต้องการพื้นที่ที่มีน้ำทั้งสองอย่างมาบรรจบกันเช่น ปากแม่น้ำ บริษัท Statkraft อ้างว่าถ้าสร้างโรงงานไฟฟ้ารูปแบบนี้ทั่วโลกจะสามารถผลิตพลังงานได้ถึง 1,600 ถึง 1,700 เทราวัตต์ เท่าๆ กับพลังงานที่จีนใช้ทั้งประเทศในปี 2002 ซึ่งถ้ามองตัวเลขนี้แล้วก็แสดงว่าพลังงานออสโมติกนี้ไม่สามารถทดแทนพลังงานฟอสซิลได้มากนัก แต่มันก็อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ใช้ประกอบกับพลังงานในรูปแบบอื่นๆ ได้ ที่มา - Statkraft
https://jusci.net/node/1078
Statkraft เปิดตัวโรงงานไฟฟ้าพลังออสโมซิสที่แรกในโลก
หลังจากที่ LHC มีปัญหาเรื่องระบบทำความเย็นจนต้องหยุดทำการไปนานหลายเดือนและเพิ่งกลับมาทำงานได้อีกคร้ั้ง วงแหวนก็สามารถทำงานได้ที่พลังงาน 1.18TeV ได้เป็นผลสำเร็จแล้ว เครื่อง LHC ถูกออกแบบให้ทำงานที่พลังงานสูงสุดในระดับ 7.5TeV อย่างไรก็ตามมันยังต้องการเวลาอีกระยะก่อนจะเร่งพลังงานขึ้นไปเรื่อยๆ โดยระดับ 7.5TeV นั้นจะทำงานได้จริงเอาช่วงปลายปีหน้า ถ้าใครเคยอ่านหนังสือเรื่อง Angel and Daemon คงจะรุ้ว่า LHC นั้นมีจุดมุ่งหมายหลักๆ อยู่ที่การหาอนุภาค Higg Boson หรือที่เรียกกันว่าอนุภาคพระเจ้า เนื่องจากเราไม่รู้ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่ แต่ถ้ามันมีอยู่จริง มันจะเป็นต้นกำเนิดแห่ง "มวล" ทั้งหมดทีเดียว ที่มา - ArsTechnica
https://jusci.net/node/1079
LHC เร่งเครื่องขึ้นขีดจำกัดใหม่ แต่ยังไม่เต็มกำลัง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีการจัดแข่งขัน 6th ROBO-ONE GATE Dance Competition ในช่วงนิทรรศการ International Robot Exhibition 2009 ที่ญี่ปุ่น โดยมีกติกาอยู่ว่าหุ่นยนต์ที่มี 2 ขาจะต้องเรียนรู้และเต้นเป็นจังหวะต่อหน้าผู้ชมสดๆ ใต้ข่าวมีคลิปวีดีโอที่ Gizmodo คัดมาจากการเต้นของหุ่นยนต์ 3 ตัว หากอยากชมมากกว่านี้เข้าไปดูได้ใน YouTube ที่มา: Gizmodo ผลงาน "LOVE & JOY" โดยคุณ Doka Harumi ผลงาน "Thriller" โดยทีม BLACK TIGER NEO ได้อันดับ 2 ของการแข่งขัน หุ่นตัวนี้เต้นเพลงของไมเคิล แจ๊คสัน ผลงาน "Joyful" โดยทีม Ryuki II ชนะเลิศในการแข่งขัน
https://jusci.net/node/1080
มาดูหุ่นยนต์ที่ญี่ปุ่นแข่งเต้นกัน
วิบากกรรมของ LHC ที่เริ่มจะทำงานเป็นปรกติสุขอยู่ได้ไม่ยืดนัก เมื่อวันนี้เกิดปัญหากับสายไฟ 18,000 โวลต์ที่จ่ายพลังงานให้กับศูนย์วิจัย ทำให้ไฟดับทั่วศูนย์ รวมไปถึงเครื่องเว็บเซิร์ฟเวอร์ของ LHC ด้วย ทาง LHC ระบุว่าระบบสำรองไฟด้วยเครื่องปั่นไฟทำงานได้ถูกต้อง และคอยล์เย็นยังคงทำงานได้เป็นปรกติดี ทำให้แกนแม่เหล็กของ LHC ยังอยู่ที่อุณภูมิ 1.9 องศาเคลวินต่อไป ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะการหล่อเย็นให้แกนแม่เหล็กกลับลงไปเย็นได้เท่าเดิมเป็นเรื่องที่ใช้เวลาและพลังงานค่อนข้างสูง หรือที่น่ากลัวกว่านั้นคือหากระบบหล่อเย็นหยุดทำงาน อาจจะทำให้ไฟไฟไหม้ขึ้นอีกรอบ หลังการแก้ไข งานวิจัยก็เดินหน้าต่อไปตามกำหนดการ ที่มา - The Register
https://jusci.net/node/1081
LHC ไฟดับ, เว็บล่ม แต่ยังไม่พัง
โครงการ LifeHand และมหาวิทยาลัย Campus Bio-Medico di Roma ได้ประกาศความสำเร็จในการทดสอบแขนเทียมที่ควบคุมด้วยสายไฟที่เชื่อมสัญญาณออกมาจากเส้นประสาท และยังสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเมื่อแขนกลสัมผัสกับวัตถุได้อีกด้วย คนไข้ที่เข้ารับการทดสอบนี้ชื่อว่า Pierpaolo Petruzziello เขาเสียแขนช่วงต่อศอกลงไปจากอุบัติเหตุทางรถ เมื่อรับการรักษาในโรงพยาบาลในปี 2008 จึงมาเข้าร่วมกับโครงการนี้ ปัจจุบันแขนกลสามารถรับคำสั่งได้ถูกต้องร้อยละ 95 สหภาพยุโรปลงทุนกับโครงการนี้ไปกว่าสามล้านดอลลาร์และใช้เวลาอีกกว่า 5 ปี โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานหลายหน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัย Scuola Superiore Sant'Anna เป็นผู้พัฒนาอัลกอลิธึมในการแปลสัญญาณจากคลื่นสมองเป็นข้อมูลดิจิตอล Campus Bio-Medico di Roma เป็นผู้ผ่าตัดและดูแลคนไข้ ห้องแลป Fraunhofer-Gesellschaft (เจ้าของเดียวกับฟอร์แมต MP3) เป็นผู้พัฒนาอิเล็กโทรดที่ใช้เชื่อมสัญญาณกับเส้นประสาท มหาวิทยาลัย Barcelona เป็นผู้ทดสอบการใช้อิเล็กโทรดในสัตว์ ขั้นต่อไปของโครงการนี้คือการพัฒนาให้ผู้ใช้สามารถใช้งานในชีวิตประจำวัน และใช้งานในระยะยาว โดยคาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะไปถึงขั้นนั้น ที่มา - C|Net, Le Scienze
https://jusci.net/node/1082
แขนเทียมแบบสั่งได้ด้วยสมองเริ่มใกล้ความจริง
ตามปกติแล้วเวลาค้นพบสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ ก็มักจะตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ตามชื่อของผู้ค้นพบเพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล แต่ Anna McCallum นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นผู้ค้นพบกุ้งสายพันธุ์ใหม่ กลับขายสิทธิ์นั้นบน eBay โดยนำเงินที่ได้จากการประมูลไปบริจาคให้การกุศล ราคาประมูลพุ่งไปสูงถึง 2,900 ดอลลาร์ ซึ่งผู้ชนะคืออดีตนักบาสเก็ตบอลใน NBA ชื่อ Luc Longley ซึ่งเคยอยู่ในทีม Chicago Bulls สมัยไมเคิล จอร์แดนยังรุ่งเรือง อย่างไรก็ตาม Luc Longley ไม่ได้เอาชื่อตัวเองไปตั้งเป็นชื่อกุ้ง แต่เขาใช้ชื่อของลูกสาววัย 15 ปีคือ Clare Hanna Longley มาตั้งเป็นพันธุ์ "Lebbeus clarehanna" เรื่องราวก็จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง นี่ไม่ใช่กรณีแรกที่คนขายสิทธิ์การตั้งชื่อผ่าน eBay ก่อนหน้านี้เคยมีการประมูลชื่อปลา 10 สายพันธุ์ซึ่งได้เงินไปรวมๆ 2 ล้านดอลลาร์ และชื่อลิงซึ่งมีค่า 650,000 ดอลลาร์ ตอนนี้กลุ่มอนุรักษ์สัตว์หันมาใช้วิธีนี้ในการระดมทุนใช้งาน ที่มา - Wired
https://jusci.net/node/1083
ประมูล "สิทธิ์ตั้งชื่อกุ้งสายพันธุ์ใหม่" ผ่าน eBay
การเรียงลำดับของ DNA หรือที่เรียกกันว่า Genome Sequencing ได้กลายเป็นการวิจัยพื้นฐานสำหรับการต่อยอดการวิจัยทางชีิววิทยาอื่นๆ สิ่งมีชีวิตที่ได้รับความสนใจกำลังถูกนำ DNA ไปจัดเรียงสายเพื่อดึงข้อมูลออกมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง และสัตว์พันธุ์ล่าสุดที่ทำได้สำเร็จคือ หมีแพนด้า การจัดเรียงจีโนมของหมีแพนด้าครั้งนี้อาศัยการจับเอาสาย DNA สั้นๆ เพียงประมาณ 100 คู่ มาจับเรียงกันแบบขนาน ผลที่ได้มีความน่าสนใจอยู่คือทีมวิจัยพบว่าร้อยละ 99 ของ DNA ของหมีแพนด้านั้นคล้ายสุนัขซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ และไม่มี DNA ใดบ่งชี้ว่ามันเป็นสัตว์กินพืชแต่อย่างใด การที่มันกินแต่ใบไผ่จึงอาจจะเป็นพฤติกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมาในภายหลัง ที่มา - ArsTechnica
https://jusci.net/node/1084
จีโนมของแพนด้าถูกจัดเรียงสำเร็จแล้ว, ใกล้เคียงสัตว์กินเนื้อมากกว่าที่คิด
รัฐเมนในสหรัฐอเมริกามีการเสนอร่างกฏหมายเพื่อให้มีการเตือนว่าโทรศัพท์มือถืออาจจะเป็นสาเหตุของมะเร็ง ด้วยตัวอักษรคำว่า Warning สีแดงขนาดใหญ่, โลโก้รูปสมอง, และข้อความเตือนอันตรายที่ลบออกไม่ได้ ที่น่าสนใจคือกฏหมายฉบับนี้ไม่ระบุถึงความเข้มของรังสีที่ปล่อยออกมาจากโทรศัพท์แต่อย่างใด ขณะที่ซานฟรานซิสโกเคยมีการเสนอกฏหมายคล้ายๆ กันแต่เป็นการระบุตัวเลขรังสีที่จะได้รับจากโทรศัพท์แทน ปัญหาคือยังไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ฉบับใดสามารถยืนยันถึงความเกี่ยวข้องระหว่างมะเร็งและโทรศัพท์มือถือได้อย่างแน่ชัด ขณะที่คลื่นจากโทรศัพท์มือถืออาจจะทำให้น้ำในบริเวณใกล้เคียงร้อนขึ้นมาเล็กน้อย แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ก่อมะเร็งนั้นเป็นคนละเรื่องกัน รายงานทางวิทยาศาสตร์ที่มีการเสนอ มีการศึกษาอัตราการเป็นมะเร็งของประเทศเดนมาร์ก, ฟินแลนด์, นอร์เวย์, และสวีเดน พบว่าอัตราการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา แต่ในระยะสิบกว่าปีให้หลังนี้ที่มีการใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นอย่างมาก อัตตราการเปลี่ยนแปลงนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด ที่มา - ArsTechnica, Oxford Journal, Yahoo! News
https://jusci.net/node/1085
รัฐเมนเสนอร่างกฏหมายเตือนอันตรายมะเร็งจากโทรศัพท์มือถือ
จีนเปิดตัวรถไฟความเร็วสูงรุ่นใหม่ที่จะวิ่งจากตอนกลางประเทศ เมืองอู่ฮั่นไปยังกว่างโจวทางใต้ รวมระยะทาง 1,068 km ด้วยความเร็วเฉลี่ย 350 km/h จากเดิมซึ่งใช้เวลาเดินทางตามปกติ 6 ชั่วโมง จะย่นเหลือเพียง 2 ชั่วโมง 45 นาที! ความเร็วดังกล่าวถือเป็นความเร็วอันดับหนึ่งแบบทิ้งห่างจากคู่แข่งหลายช่วงตัว Siemens, Bombardier และ Alstom คือบริษัทที่ร่วมกันออกแบบและสร้างรถไฟระบบนี้ขึ้นมา จากการทดลองวิ่งเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 395 km/h แม้ความเร็วเฉลี่ยตลอดการเดินทางจะเป็น 350 km/h ซึ่งก็ยังเร็วกว่าคู่แข่งอื่นๆมากอาทิ รถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่น 243 km/h, เยอรมันนี 232 km/h, และฝรั่งเศสที่ 277 km/h แบบนี้ต้องเรียกว่าเร็วแบบทิ้งห่าง "ไม่เห็นฝุ่น" ของจริง! เพราะเป็นรถไฟฟ้าไม่มีควัน แม้แต่เครื่องบินเจ็ทก็ยังมีควันจาการสันดาปเลย รถไฟสายใหม่ของจีนนี้จะเชื่อม 20 เมืองตลอดเส้นทาง เพื่อเชื่อมโยงภาคกลางของประเทศเข้ากับภูมิภาคที่ยังคงพัฒนาล้าหลังอีกจำนวนมาก ประเทศจีนยังมีแผนที่จะขยายบริการเส้นทางรถไฟความเร็วสูงอีกอย่างน้อย 42 สายภายในปี 2012 รัฐบาลจีนหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงขาลงของเศรษฐกิจโลกเช่นนี้ โดยเฉพาะในภูมิภาคที่ยังคงพัฒนาช้ากว่าส่วนอื่นๆ โดยใช้งบลงทุนกว่า 3 แสนล้าน USD ส่งผลให้ราคาตั๋วจะแพงกว่าตั๋วรถไฟปกติถึง 5 เท่า และนักเศรษฐศาสตร์ก็ได้แสดงความกังวลว่าโครงการนี้ไม่น่าจะคุ้มทุนได้ และนี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาระบบรถไฟขนาดมหึมาของจีนที่ตั้งเป้าขยายทางรถไฟรวมจากเดิม 86,000 กิโลเมตรไปเป็น 120,000 กิโลเมตร ผู้เขียน: ช่วยไม่ได้ที่จะชวนให้เราคิดว่าถ้ามีรถไฟนี้วิ่งในเมืองไทยการเดินทางสาย เชียงใหม่-กรุงเทพฯ จะใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น จากเดิม 10-12 ชั่วโมง บนระยะทางประมาณ 700 กิโลเมตร ลดลง 5-6 เท่า (ถ้าไม่เจอรถติดแถวดอนเมืองซะก่อน) อ่านข่าวแล้วขอตัวไปนอนฝันกลางวันดีกว่า...จบข่าว ที่มา Inhabitat ผ่าน fastcompany
https://jusci.net/node/1086
จีนเปิดตัวรถไฟความเร็วสูงที่สุดในโลก(แบบไม่เห็นฝุ่น)
แม้ตอนนี้รถยนต์แบบไฮบริดจะได้รับความนิยม แต่จุดมุ่งหมายสำคัญคือการเปลี่ยนรถยนต์ไปสู่พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ แต่ประเด็นปัญหาที่เราต้องเอาชนะให้ได้เสียก่อนคือการสร้างสถานีชาร์จไฟ โตโยต้าได้นำเสนอรูปแบบสถานีชาร์จไฟแบบที่หลังคาเป็นโซลาร์เซลล์ผลิตพลังงานขนาด 1.9kW ในตัว พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 8.4kWh โดยโครงการนี้เป็นการติดตั้งให้กับส่วนราชการของเขต Aichi (愛知県) ในประเทศญี่ปุ่น โดยมีสถานีทั้งหมด 21 สถานีใน 11 จุด พร้อมกับรถ Prius Plug-in Hybrid อีก 20 คัน นอกจากใช้ชาร์จไฟให้กับรถแล้ว หากมีความจำเป็นเช่นเกิดภัยพิบัติ สถานีนี้จะช่วยจ่ายไฟออกเป็นไฟ 100V ได้อีกด้วย ที่มา - Tech-On
https://jusci.net/node/1087
โตโยต้ากำลังพัฒนาสถานีชาร์จไฟสำหรับรถไฟฟ้าแบบพลังงานแสงอาทิตย์
จาก Wired การรักษาโรคโดยเริ่มที่ยีน เริ่มกลับมาอีกครั้ง ค้นพบกระดูกของมนุษย์วานร Ardi หรือ Ardipithecus ramidus ในเอธิโอเปีย เป็นมนุษย์วานรที่เก่าที่สุดที่ค้นพบ ค้นพบ schizophrenia ในจีโนมของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิธีการยืดอายุชีวิต (สำหรับหนูในตอนนี้) พบว่าสาร Bisphenol A ในขวดพลาสติกเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ค้นพบว่าแมงกะพรุนนั้นสามารถทำให้มหาสมุทรกระเพื่อมได้ เช่นเดียวกับลมและคลื่น พลังสูงจริงๆ นักวิจัยสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถพยากรณ์ผลกระทบที่เกิดจากยาได้ นักวิจัยจาก Israel Institute of Technology สร้างเครื่องมือที่ตรวจหามะเร็งปอดจากลมหายใจ ความคืบหน้าของการสร้างวัคซีนรักษาไข้เลือดออก ผลการทดสอบเบื้องต้นน่าพอใจ และน่าจะสำเร็จในปี 2012 ค้นพบหลักฐานว่ามีธาตุที่ 114 โดย Lawrence Berkeley National Laboratory การยืนยันต้องวิจัยกันต่อไป ที่มา - Wired
https://jusci.net/node/1088
10 การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญในรอบปี 2009
การเปลี่ยนถ่ายเนื้อเยื่ออาจจะเป็นเรื่องปรกติในยุคปัจจุบัน แต่การรอคอยเนื้อเยื่อที่เข้ากับผู้ป่วยได้และมีตำแหน่งที่ถูกต้องอาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป เมื่อบริษัท Organovo ได้ผลิตเครื่องพิมพ์ NovoGen ที่สามารถสร้างเนื้อเยื่อ และอาจจะรวมถึงอวัยวะบางส่วนได้ตามความต้องการของแพทย์ แนวคิดของเครื่องนี้คือการวางเซลล์ลงในตำแหน่งที่ต้องการเซลล์ต่อเซลล์ บริษัท Organovo เตรียมส่งมอบเครื่อง NovoGen ในปี 2010 นี้จำนวนหนึ่ง แต่คงจำกัดอยู่ในภาคงานวิจัยและการพัฒนาเท่านั้น ส่วนการนำมาใช้รักษาจริงนั้นคงต้องรอกันต่อไปอีกหลายปี ที่มา - Organovo
https://jusci.net/node/1089
เครื่องพิมพ์เนื้อเยื่ออาจเป็นความหวังใหม่แห่งการรักษา
เคมี ฟิสิกส์ ชีวะ ปรัชญา
https://jusci.net/node/1090
รากฐานแห่งวิทยาศาสตร์
CocE หรือ Cocaine esterase เป็นผลผลิตของโคเคนและเอนไซม์จากแบคทีเรียที่เชื่อกันว่าช่วยลดอาการเสพติดโคเคนลงได้ และรายงานล่าสุดใน Journal of Pharmacology and Experimental Therapeutics ได้ยืนยันว่ามันมีผลในหนู ตัว CocE นั้นมีปัญหาที่ค่าครึ่งชีวิตต่ำมากทำให้ประสิทธิภาพการรักษามีระยะสั้น ทีมงานวิจัยได้ใช้ DM-CocE ในหนูและยืนยันว่าสามารถลดอาการถอนยาของหนูที่เสพติดโคเคนได้ การศึกษายังอยู่ในขั้นตอนเบื้องต้น และยังคงมีคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยอีกมาก ในตอนนี้เราคงควรระวังไม่ให้เราและคนรอบตัวไปยุ่งกับยาเสพติดกันต่อไป ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1091
สารใหม่อาจช่วยลดอาการติดโคเคนได้
สำนักข่าวซินหัวของจีนได้รายงานในวันนี้ถึงเหตุการณ์ท่อน้ำมันของบริษัท China National Petroleum Corporation (CNPC) ได้แตกลงทำให้เกิดน้ำมันรั่วลงสู่แม้น้ำเหนือจากแม่น้ำฮวงโหขึ้นไป 70 กิโลเมตร ส่วนสาเหตุของการรั่วนี้เกิดจากโครงการก่อสร้างท้องถิ่น การรั่วนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา และรายงานล่าสุดยืนยันว่าน้ำมันได้เดินทางลงมาเป็นระยะทาง 33 กิโลเมตรนับจากจุดที่รั่วแล้ว ปัญหาระยะสั้นที่สุดของเหตุการณ์นี้คือน้ำดื่มของประชาชนจำนวนมาก โดยรัฐบาลท้องถิ่นได้เริ่มประกาศห้ามใช้น้ำจากแม่น้ำแล้ว ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1092
ท่อน้ำมันทางเหนือของจีนแตก, น้ำมัน 150,000 ลิตรกำลังมุ่งสู่แม่น้ำฮวงโห
ตอนเด็กๆ เราอาจจะเคยเรียนชีววิทยากันมาว่าสิ่งมีชีวิตระดับต่ำที่สุดที่เรารู้จักคือไวรัส ที่แทบจะขาดคุณสมบัติความเป็นสิ่งมีชีวิตกันอยู่แล้ว แต่ Prion นั้นสายโปรตีนที่ต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตอื่นในการเพิ่มจำนวนเช่นเดียวกับไวรัส ตัวมันเองไม่มีพันธุกรรมใดๆ แม้แต่ RNA แม้องค์ประกอบจะเรียบง่ายมาก แต่ Prion ก็น่ากลัวมากจากความสามารถในการก่อโรคเช่นโรควัวบ้า คำถามที่สงสัยกันมานานคือโปรตีนเช่น Prion นั้นจะสามารถวิวัฒนาการได้หรือไม่ และงานวิจัยล่าสุดในวารสาร Nature ยืนยันว่าทำได้ การทดลองในห้องวิจัยอาศัยการสร้างสภาวะที่ Prion สามารถเพิ่มจำนวนได้พร้อมกันใส่ยาต้านไว้พร้อมกันเมื่อ Prion เพิ่มจำนวนไปหลายๆ รุ่น มีบางส่วนเริ่มมีความสามารถในการทนทานต่อยา และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จน Prion แทบทั้งหมดทนทานต่อยาได้ นักวิจัยเสนอว่าโดยทั่วไปแล้ว Prion จะกระตุ้นให้เซลล์ที่ิติดเชื้อสร้างสำเนาของตัวมันเองขึ้นมา อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้อาจมีความผิดพลาดในความน่าจะเป็นที่ต่ำมาก แต่เมื่อความผิดพลาดนั้นสร้าง Prion รูปแบบใหม่ที่เหมาะสมต่อสภาวะแวดล้อมกว่า ก็จะเกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติ และการวิวัฒนาการในที่สุด ที่มา - ArsTechnica
https://jusci.net/node/1093
Prion สามารถวิวัฒนาการได้ แม้ไม่มี DNA
อาคารที่สูงที่สุดในโลกกำลังจะได้ทำพิธีเปิดแล้วในดูไบ ตึก Burj Dubai มีความสูงเหยียบ 800 เมตร 160 ชั้น (เฉลี่ยสูงชั้นละ 5 เมตร) บุด้วยผนังกระจกกว่า 26,000 แผง มีพื้นที่รวมกว่า 500,000 ตารางเมตร พร้อมสำหรับออฟฟิศและอพาร์ทเมนต์แล้ว จากการก่อสร้างที่ได้เริ่มในปี 2004 ในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นสูงสุด แต่พิธีเปิดกลับต้องมาเริ่มในช่วงวิกฤตทางการเงิน ซึ่งดูไบต้องร้องขอความช่วยเหลือทางการเงินฉุกเฉิน (Bailed out) จาก อาบู ดาบี ความสูงที่แท้จริงของตึกมูลค่า 1.5พันล้านดอลล่าร์นั้นยังคงเป็นความลับ แต่สูงกว่าแชมป์เก่าก่อนหน้าอย่างตึก Taipei 101 อย่างแน่นอน นอกจากนี้มันยังเป็นที่รวมของที่สุดในโลกอีกจำนวนมากตั้งแต่จำนวนชั้นที่ถูกจับจองมากที่สุด, ลิฟต์ที่สูงที่สุด และชั้นชมวิวที่สุงที่สุดบนชั้นที่ 124 รวมไปถึงสุเหร่าที่สูงที่สุดบนชั้น 158 และสระว่ายน้ำที่สูงที่สุดบนชั้นที่ 76 อีกด้วย แม้ภายในจะยังไม่เสร็จทั้งหมด Burj Dubai ก็จะทำพิธีเปิดในวันนี้ (จันทร์ที่ 4 มกราคม 2553) โดยผู้ปกครองดูไบ ชีค Mohammed Bin Rashid Al Maktoum ในเวลา 20:00น. ตามเวลาท้องถิ่น 1,325 วันหลังจากเริ่มงานขุดฐานราก ในงานจะมีแขกเข้าร่วมงานกว่า 60,000 คน ชีค Mohammed จะเปิดเผยความสูงที่แท้จริงของตึกในงานนี้อีกด้วย งานก่อสร้างนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายทั้งทางเทคนิค และการขนถ่ายวัสดุ ไม่เพียงแค่เพราะมันสูง แต่ยังเป็นเพราะดูไบตั้งอยู่ในเขตที่มีลมแรง รวมไปถึงอยู่ใกล้รอยเลื่อนแผ่นดินไหวด้วย ทั้งโดนฟ้าผ่าไปสองครั้ง แถมยังมีแผ่นดินไหวขนาดใหญ่เมื่อปีที่ผ่านมาสะเทือนจากอิหร่าน แล้วยังมีลมปะทะทุกรูปแบบในขณะที่กำลังก่อสร้าง อย่างไรก็ตามนักลงทุนก็กำลังเผชิญหน้ากับการขาดทุน แม้ตึกจะยังสร้างไม่เสร็จก็ตามเนื่องจากราคาที่ดินในดูไบตกฮวบจากพิษเศรษฐกิจโลก อพาร์ทเม้นท์บางห้องปกติขายที่ $2,700 ต่อตารางฟุต ตอนนี้ราคาเหลือไม่ถึงครึ่ง ดังนั้นจึงน่าจะกล่าวได้ว่าตึก Burj Dubai เป็นสัญลักษณ์ของจุดจบของยุคแห่งการสร้างตึกระฟ้าในภูมิภาคนี้ - อย่างน้อยก็ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ทิ้งท้าย แนะนำให้คลิกไปดูภาพวีดิโอในเว็บที่มา เห็นภาพตึกของจริงแล้วอลังการมาก อารมณ์เหมือนตึกบนดาว Coruscant ใน STAR WARS ที่มา BBC
https://jusci.net/node/1094
Burj Dubai ตึกที่สูงที่สุดในโลกทำพิธีเปิดแล้ว
ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีนั้นมีสูงถึงเกือบ 300 ล้านคนทั่วโลก เชื้อนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งดับ การรักษาในปัจจุบันมีผลข้างเคียงมาก และยังได้ผลต่ำเพียงร้อยละ 50 แต่งานวิจัยล่าสุดก็เริ่มมีความเป็นไปได้ที่จะเปิดทางรักษาใหม่ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีนั้นเกี่ยวเนื่องกับโปรตีนในกลุ่ม heat shock proteins (HSPs) อยู่สองตัวคือ HSP-40 และ HSP-70 และจากการศึกษาพบว่าสาร Quercetin นั้นมีฤทธิ์ในการยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีนทั้งสองตัว ทำให้การติดเชื้อลดลงได้ในจานทดลอง สาร Quercetin นั้นพบมากในแอปเปิล และหอมหัวแดง อีกทั้งมีการใช้เป็นอาหารเสริมอยู่แล้ว ทำให้ประเด็นความปลอดภัยและผลข้างเคียงนั้นน่าจะต่ำ การทดลองกำลังเข้าสู่กระบวนการทดลองในคลีนิคครั้งแรก ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1095
พบสารช่วยลดการติดไวรัสตับอักเสบซี
ก๊าซธรรมชาติที่เราใช้กันอย่างหนักทุกวันนี้ เป็นผลจากการทำงานของแบคทีเรียที่แปลงเอาคาร์บอนไดออกไซด์นับพันล้านปีก่อนไปเก็บไว้ใต้ผิวโลก ขณะที่เราขุดก๊าซเหล่านี้ขึ้นมาใช้งานอย่างหนักเพิ่มคาร์บอนให้บรรยากาศนักวิจัยชาวญี่ปุ่นได้เสนอการเร่งกระบวนการสร้างก๊าซธรรมชาติขึ้นใหม่ นาย Fumio Inagaki หัวหน้าทีมวิจัยได้รายงานยืนยันว่าทีมงานของตนได้พบแบคทีเรียที่ทำหน้าที่แปลงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปเป็นมีเธนแล้ว อย่างไรก็ตามในสภาวะตามธรรมชาติกระบวนการนี้ใช้เวลานับพันล้านปี ทีมงานวิจัยเชื่อว่าภายใน 5 ปีจะสามารถเสนอแนวทางการเร่งการทำงานของแบคทีเรีย ให้สามารถแปลงก๊าซได้ในเวลาระดับร้อยปีเท่านั้น ที่น่าสงสัยคือถ้ามันแปลงได้เร็วขนาดนั้นมันจะไม่ทันได้เก็บใต้โลกแต่จะเอามาเติมรถกันจนหมดเสียก่อน ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1096
นักวิจัยญี่ปุุ่นเสนอทางแก้โลกร้อนด้วยการสร้างก๊าซธรรมชาติ
โครงการกาลิเลโอของสหภาพยุโรปนั้นเป็นโครงการเลียนแบบ GPS ที่ทำขึ้นเพื่อความมั่นคงของทางสหภาพยุโรปเป็นหลัก แม้จะมีการเตรียมการมาหลายปี แต่โครงการนี้ก็พบกับความล่าช้ามาตลอด แต่ล่าสุดโครงการนี้ก็มีความชัดเจนว่าดาวเทียมชุดแรกน่าจะทำงานได้ในปี 2014 สัญญาผลิตดาวเทียมชุดแรกจำนวน 14 ดวงจากทั้งระบบ 30 ดวงนั้นเป็นของบริษัท OHB System มีมูลค่าถึง 566 ล้านยูโร ส่วนการปล่อยสู่อวกาศนั้นเป็นหน้าที่ของบริษัท Arianespace (เจ้าเดียวกับที่ปล่อยไทยคม) มูลค่าสัญญารวม 397 ล้านยูโร โดยใช้จรวด Soyuz 5 ลำ ลำหนึ่งปล่อยดาวเทียมสองดวง เริ่มยิงครั้งแรกเดือนตุลาคม 2012 และเริ่มให้บริการสาธารณะในยุโรปปี 2014 ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1097
โครงการกาลิเลโอเดินหน้าต่อ, เรากำลังจะมีดาวเทียมนำทางชุดที่สอง
ปกติเรามักจะคิดว่าการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่งานวิจัยที่มาจากคณะที่นำโดย Gary W. Arendash จาก Florida Alzheimer's Disease Research Centerนี้อาจให้ผลที่แตกต่างกันออกไป โดยนักวิจัยได้ทำการทดลองให้หนู (Mouse) ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ให้อยู่กับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในปริมาณที่ใกล้เคียงกับที่พบในการใช้โทรศัพท์ของคนทั่วไป (ประมาณวันละสองชั่วโมง เป็นเวลา 7-9 เดือน) นักวิจัยพบว่าการสะสมของโปรตีน Beta Amyloid ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ นั้นลดลง และหนูนั้นมีความจำที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดีนักวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นได้อย่างไร ทฤษฏีที่มีอยู่คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอาจจะทำให้เกิดการขับออกของโปรตีนดังกล่าว หรืออาจจะเป็นจากการที่มีเลือดไปเลี้ยงสมองในปริมาณที่มากขึ้นก็เป็นได้ นอกจากนี้ นักวิจัยยังได้ย้ำว่าผลลัพธ์ของการทดลองนี้ยังไม่สามารถนำไปสรุปใช้กับในคนได้ ที่มา: Journal of Alzheimer's Disease (Full Text PDF), Reuters
https://jusci.net/node/1098
การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่อาจป้องกันการเป็นโรคอัลไซเมอร์
ในปัจจุบันการควบคุมการทำงานคอมพิวเตอร์โดยการหยิบจับอุปกรณ์อินพุทนั้นจะผ่านคีย์บอร์ด เม้าส์ จอยสติ้กกัน แต่บางครั้งก็ยากที่เราจะควบคุมผ่านอุปกรณ์อินพุทเหล่านั้น เช่น ควบคุมการเล่นเพลงขณะวิ่งอยู่ หรือจะเปิดฝากระโปรงท้ายรถขณะถือของหนักอยู่ เป็นต้น คิดว่าจะดีหรือไม่หากเราสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ โดยไม่ต้องใช้มือหยิบจับอุปกรณ์อินพุทเหล่านั้น? งานวิจัยล่าสุดโดยไมโครซอฟท์รีเสิร์ชที่ได้รับการจดสิทธิบัตรแล้ว ชื่อ Enabling Always-Available Input with Muscle-Computer Interfaces ได้นำเสนอการควบคุมการทำงานของสิ่งต่างๆ โดยใช้เทคนิคการตรวจจับสัญญาณกระตุ้นจากกล้ามเนื้อที่เรียกว่า Electromyography (EMG) ซึ่งระบบดังกล่าวจะตีความสัญญาณแล้วแปลงเป็นคำสั่งควบคุมได้ ทำให้เราสามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง เช่น การเล่นกีตาร์โดยไม่มีสายกีตาร์ การควบคุมการเล่นเพลงขณะวิ่งโดยไม่ต้องกดปุ่ม หรือการเปิดฝากระโปรงท้ายรถยนต์ขณะเราถือของหนักอยู่ โดยไม่ต้องหยิบกุญแจแต่อย่างไร ดูวีดีโอนำเสนอได้ท้ายช่าว ที่มา: Muscle Computer Interfaces ผ่าน Engadget
https://jusci.net/node/1099
งานวิจัยจากไมโครซอฟท์ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมสิ่งต่างๆ ผ่านสัญญาณกระตุ้นจากกล้ามเนื้อ
การค้นพบหลุมศพของแรงงานที่สร้างพิระมิดฟาโรห์คูฟูและฟาโรห์คาฟรีบริเวณเมืองกิซากำลังเป็นหลักฐานใหม่ที่แสดงว่าแรงงานที่ใช้สร้างพิระมิดไม่ได้เป็นแรงงานทาสดังที่เคยเชื่อกันมา หลุมศพของแรงงานเหล่านี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหลุมศพของฟาโรห์นักซึ่งผิดปรกติจากหลุมศพของทาสที่จะไม่สามารถอยู่ใกล้หลุมศพของกษัตริย์ได้ อีกทั้งยังมีการสลักคำจารึกเช่นคนงานบางกลุ่มที่เรียกตนเองว่า "เพื่อนของคูฟู" แรงงานที่ใช้ในการสร้างพิระมิดนั้นประมาณกันไว้ที่ 10,000 คน และการค้นพบหลุมศพนี้ครั้งแรกมีขึ้นเมื่อปี 1990 เมื่อม้าตัวหนึ่งได้สะดุดอิฐของหลุมศพนี้เข้า ที่มา - ABC News
https://jusci.net/node/1100
พีระมิดอาจจะไม่ได้สร้างโดยแรงงานทาส
ในยุคที่ราคาน้ำมันขึ้นกันรายวันแต่ลงรายเดือนเช่นทุกวันนี้บริษัทเทคโนโลยีหลายๆ เจ้ากำลังประสบปัญหาว่าต้นทุนก้อนใหญ่ของระบบไอทีคือค่าพลังงาน เช่นศูนย์ข้อมูลของกูเกิลนั้นพยายามอย่างหนักที่จะลดค่าใช้จ่ายในระบบทำความเย็น แต่กูเกิลก็ยังเดินหน้าไปอีกขั้นด้วยการทำตัวเองเป็นตลาดกลางในการขายพลังงานแบบส่งในชื่อ Google Energy ตลาดพลังงานของกูเกิลนี้จะทำให้บริษัทที่ใช้พลังงานจำนวนมากๆ สามารถเลืิอกซื้อพลังงานจากแหล่งพลังงานได้โดยตรง จากที่ปัจจุบันบริษัทพลังงานเท่านั้นที่เลือกใช้แหล่งพลังงานได้ กระบวนการนี้จะให้บริษัทเช่นกูเกิลสามารถเป็นบริษัทที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอนได้ในอนาคต ถ้าบริษัทเลือกเฉพาะแหล่งพลังงานที่คาร์บอนต่ำๆ มาใช้งานเท่านั้น ที่มา - C|Net ทางด้าน HP, IBM, และ Yahoo! นั้นเดินทางอีกทางคือการขอเงินจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากกระทรวงพลังงาน IBM นั้นได้เงินเพื่อพัฒนาระบบตรวจสอบการใช้พลังงานและระบบทำความเย็นในศูนย์ข้อมูล, HP ได้เงินพัฒนาโมดูลเซิร์ฟเวอร์ที่มีระบบทำความเย็นภายในตัว ซึ่งน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำความเย็นทั้งห้อง, ส่วน Yahoo! นั้นได้เงินเพื่อการพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่มีแต่ระบบระบายความร้อน นอกจากบริษัทใหญ่ๆ แล้วยังมีบริษัทเล็กๆ ที่ทำโครงการอีกจำนวนหนึ่งได้รับการสนับสนุนอีกเช่นกัน โดยเงินทั้งหมดมียอดรวม 47 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะมีเงินลงทุนจากตัวบริษัทเองลงทุนในโครงการเหล่านี้อีกกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ที่มา - ArsTechnica
https://jusci.net/node/1101
Google, IBM, Yahoo!, HP เตรียมบุกโครงการด้านพลังงาน
คำถามหนึ่งที่มีต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติหลายๆ โครงการคือการอนุรักษ์นั้นมีผลดีจริงต่อการฟื้นฟูธรรมชาติหรือไม่ และงานวิจัยพื้นที่อนุรักษ์ของหมู่เกาะบาฮามาสยืนยันว่าการอนุรักษ์มีผลจริง การศึกษาเริ่มจากพื้นที่แนวปะการังที่เสียหายจากเฮอร์ริเคนเมื่อสองปีที่แล้ว โดยพื้นที่ทั้งหมดที่ศึกษามีการครอบคลุมของปะการังประมาณ 7% เท่าๆ กัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสองปี พื้่นที่อนุรักษ์ทางทะเลที่มีการห้ามทำการประมง มีแนวปะการังเพิ่มขึ้นถึง 19% ขณะที่พื้นที่นอกเขตอนุรักษ์ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน นี่เป็นครั้งแรกของการยืนยันในเชิงสถิติว่าการลดการรบกวนของมนุษย์มีผลต่อปะการังจริง ว่าแล้วก็เลิกไปดำน้ำกัน.... ที่มา - ArsTechnica
https://jusci.net/node/1102
การอนุรักษ์ปะการังประสบความสำเร็จในบาฮามาส
Felix Baumgartner เป็นอดีตทหารและสตันท์แมนที่โด่งดังขึ้นมาจากการไปกระโดดร่มตามจุดต่างๆ ของโลกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นตึกปีโตรนาส, ไทเป 101 รวมถึงการบินผ่านช่องแคบอังกฤษ (ดูวีดีโอหลัง break) มาวันนี้เขาประกาศอีกครั้งที่จะกระโดดจากบอลลูนที่ความสูงถึง 120,000 ฟุตซึ่งจะทำให้เขามีเวลาปล่อยตกอิสระมากกว่า 5 นาที และอาจจะทำความเร็วสุดท้ายเกินความเร็วเสียง ซึ่งจะทำให้เขาเป็นคนแรกที่ทะลุความเร็วเสียงโดยไม่ใช้แรงขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์ ที่น่าสนใจคือแม้แต่สถิติบอลลูนที่ขึ้นไปได้สูงที่สุดนั้นก็ยังอยู่ที่ระดับ 114,000 ฟุตเท่านั้น นั่นคือถ้างานนี้สำเร็จเราจะได้สถิติโลกใหม่พร้อมกันสองอย่าง ว่าแต่ตอนแกบินข้ามช่องแคบอังกฤษนี่ กระทิงแดงเป็นสปอนเซอร์ให้ ไม่รู้งานนี้จะมีสปอนเซอร์อีกไหม ที่มา - BBC
https://jusci.net/node/1103
Felix Baumgartner ประกาศโดดร่มที่ความสูง 120,000 ฟุต, อาจทำความเร็วเหนือเสียงได้
การศึกษาประสิทธิภาพในการเรียนล่าสุดจากวิทยาลัยบอสตัน ได้แสดงให้เห็นว่าการเรียนการสอนที่มีคอมพิวเตอร์ให้แก่นักเรียนทุกคน เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนได้อย่างมีนัยสำคัญ การศึกษาครั้งนี้ศึกษาในแถบ Berkshire County เนื่องจากในเขตนี้มีโครงการ Berkshire Wireless Learning Initiative การศึกษาแสดงให้เห็นว่าเด็กในโครงการนี้มีผลสัมฤทธิ์ทางด้านภาษาอังกฤษและวรรณกรรมสูงกว่าเด็กทั่วไป รวมถึงตัวเด็กเองยังตื่นเต้นในการไปโรงเรียนมากขึ้น สำหรับบ้านเรา ผมว่าขอครูหนึ่งคนต่อเด็กไม่เกิน 20 คนจะดีมากเลยครับ ที่มา - Science Daily
https://jusci.net/node/1104
ห้องเรียนที่มีคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งคนหนึ่งเครื่องเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนได้
นักวิจัยของ University of South Dakota ถามคำถามกับนักเรียนจำนวน 65 คน ให้เลือกระหว่างเงินจำนวนเล็กน้อยในวันพรุ่งนี้ และเงินจำนวนมากในอนาคต พบว่าหลังจากให้นักเรียนเหล่านั้นดื่มโซดาผสมน้ำตาล (sugary soda) 10 นาที มีผู้ที่ต้องการเงินจำนวนมากในอนาคตสูงกว่า "เราทำการทดลองนี้ เพื่อศึกษาว่าระดับน้ำตาลไม่ได้มีผลต่อพฤติกรรมการรับประทานอาหารเท่านั้น แต่มีผลต่อการตัดสินใจด้วย และคุณจะรอสิ่งดีๆในอนาคตได้นานกว่าเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น" คุณหวัง (Wang)กล่าว ที่มา - physorg.com
https://jusci.net/node/1106
การศึกษาเรื่อง เมื่อต้องการการตัดสินใจ ? ให้ดื่มน้ำตาล
ข่าวนี้คงเพิ่มเรื่องน่าปวดหัวให้กับสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้ก็ปวดหัวกับกรณีกูเกิลและบริษัทอื่นถูกแฮกจากจีนอยู่แล้ว เพราะว่ารัสเซียได้เผยคลิปวีดีโอการทดสอบต้นแบบเครื่องบินรบล่องหนรุ่น T-50 ที่มีรหัสว่า Sukhhoi สามารถโจมตีได้ทั้งบนภาคพื้นและอากาศยานด้วยกัน (ดูคลิปวีด๊โอได้ท้ายข่าว) โครงการผลิตเครื่องบินล่องหนนี้เป็นความร่วมกับระหว่างรัสเซียและอินเดียด้วยมูลค่าการวิจัยและพัฒนาถึง 8-10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และแต่ละลำจะมีมูลค่าถึง 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยน่าจะผลิตส่งมอบให้กับทางรัฐบาลราวปีค.ศ. 2015-2017 ซึ่งฟากรัสเซียมีแผนจะสั่งซื้อ 150-200 เครื่อง และอินเดียมีแผนจะสั่งซื้อ 200 เครื่อง นอกจากนั้นผู้ผลิตยังมีแผนจะขายให้กับประเทศอื่นๆ อีกด้วย มีนักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า หากราคาขายเหมาะสม บริษัทดังกล่าวอาจได้ส่วนแบ่งตลาดถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว ที่มา: Ria Novosti ผ่าน Gizmodo
https://jusci.net/node/1107
รัสเซียเผยต้นแบบเครื่องบินรบล่องหนรุ่น T-50 ขายจริงอีก 5 ปีข้างหน้า
นักวิจัยญี่ปุ่นได้ค้นพบสสารชนิดใหม่ ซึ่งได้ตั้งชื่อว่า Elastic Water เพราะเป็นสารที่มีลักษณะ Elastic(เด้งดึ๋งเหมือนยาง / คืนรูปได้) และทำขึ้นจากน้ำกว่า 95% ส่วนประกอบของสารนี้คือ ดินเหนียว และสารประกอบอินทรีย์ อย่างละเล็กน้อย จับตัวเข้ากับน้ำ ด้วยลักษณะที่ยืดหยุ่นและมีสารแปลกปลอมน้อย ทำให้มีการคาดการณ์ว่า น่าจะสามารถนำไปใช้ในด้านการแพทย์ศัลยกรรมได้ ตามข่าวกล่าวว่า เป้่าหมายต่อไปคือการวิจัยสารชนิดนี้ เพื่อเำพิ่มความแข็งและความหนาแน่น และใช้เป็นพลาสติกชนิดใหม่ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าพลาสติกในปัจจุบัน ที่มา : Tom's guide ความเห็นส่วนตัว เดี๋ยวต่อไปอาจจะมี Slime Poring ไม่ก็ Flubber
https://jusci.net/node/1108
นักวิจัยญี่ปุ่นค้นพบ ยาง ที่ทำขึ้นจาก น้ำ
ไม่ใช่การเอากระดาษใช้แล้วสองหน้าไปใช้ในห้องน้ำเฉยๆ แต่บริษัทนากายาบาชิได้จัดแสดงเครื่อง White Goat ในงาน Eco Product ที่ญี่ปุ่น เป็นเครื่องช่วยรีไซเคิลกระดาษใช้แล้วให้กลายเป็นกระดาษชำระได้อีกต่อ แถมไม่ต้องเสียค่าเครื่องทำลายเอกสาร เครื่องมีกำลังผลิต 2 ม้วนต่อชั่วโมงโดยใช้กระดาษใช้แล้ว 300 กรัม ราคาเครื่องประมาณ 300 ล้านเยน ค่ารักษ์โลกมันแพง... ที่มา - Nagabayashi
https://jusci.net/node/1109
ใช้กระดาษทั้งสองหน้าแล้ว? นำไปใช้ต่อในห้องน้ำได้อีกรอบ
รายงายล่าสุดจากมหาวิทยาลัยลีดส์แห่งสหราชอานาจักรได้ระบุความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างหนักและโรคซึมเศร้า งานวิจัยนี้ได้ศึกษากลุ่มตัวอย่าง 1,319 คนที่มีช่วงอายุระหว่าง 16 ถึง 51 ปี พบว่าโอกาสการเป็นโรคซึมเศร้ามีความเกี่ยวข้องกับการใช้อย่างหนัก โดยในกลุ่มผู้ใช้ที่อยู่ในขั้นเสพติดอินเทอร์เน็ตนั้นแสดงระดับการเป็นโรคซึมเศร้าสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ รายงานฉบับนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าอินเทอร์เน็ตก่อให้เกิดโรคซึมเศร้าหรือกลุ่มผู้เป็นโรคซึมเศร้าเข้าไปหาอินเทอร์เน็ตเป็นที่พึ่ง อ่านจบแล้วหาเวลาไปเดินเล่นกับเพื่อนๆ และครอบครัวบ้างนะครับ ที่มา - Internation Business Times
https://jusci.net/node/1110
การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างหนักเชื่อมโยงกับโรคซึมเศร้า
ทุกวันนี้วัตถุดิบสำคัญในกระบวนการผลิตชิปคือซิลิกอนนับแต่มนุษยชาติมีทรานซิสเตอร์ใช้แทนหลอดสุญญากาศ ความจริงข้อนี้ก็ไม่เคยเปลียนไปจนวันนี้นักวิทยาศาสตร์จาก IBM ก็ประสบความสำเร็จในการสร้างทรานซิสเตอร์จาก Graphene ซึ่งเป็นรูปแบบการเรียงตัวของอะตอมคาร์บอนเป็นแผ่นชั้นเดียว ทรานซิสเตอร์จาก Graphene ไม่ใช่เรื่องใหม่ ก่อนหน้านี้ทีมงานเดียวกันเคยสร้างทรานซิสเตอร์แบบนี้ได้ด้วยการแยกชั้น Graphene ออกมาจากถ่านกราไฟต์ได้สำเร็จมาแล้วทำให้ได้ทรานซิสเตอร์ที่ทำงานได้ด้วยความถี่ 26Ghz แต่เทคนิคใหม่เป็นการสร้าง Graphene ขึ้นบนแผ่น silicon-carbide โดยการให้ความร้อนแผ่นวัตถุดิบจนซิลิกอนละเหยไป เหลือไว้เพียงแผ่นคาร์บอนบางๆ เป็นวัตถุดิบในการสร้างทรานซิสเตอร์ที่ทำงานได้ถึง 100Ghz การใช้งานจริงยังคงห่างออกไปอีกหลายปี และการใช้งานในช่วงแรกคงเป็นงานทางการทหารและงานเฉพาะอย่างเท่านั้น หลังจากนั้นจึงกลายมาเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้เราใช้งานกันจริงๆ ที่มา - TechnologReview
https://jusci.net/node/1111
ชิปคาร์บอนกำลังจะมาแทนที่ซิลิกอน?
ช่วงหลังๆ นี้บริษัทไอทีเริ่มมาลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานกันมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น กูเกิล และไอบีเอ็ม ในแง่ของงานวิจัยแล้วไอบีเอ็มมีความได้เปรียบมากเพราะมีห้องแลปขนาดใหญ่และเทคโนโลยีที่สูงมาก และล่าสุดห้องวิจัยนี้ก็ได้แถลงผลงานว่าสามารถทำโซลาร์เซลล์แบบพิมพ์ได้แล้ว โซลาร์เซลล์แบบพิมพ์ของไอบีเอ็มมีชื่อสารเคลือบว่า kesterite ให้ประสิทธิภาพไฟฟ้าที่ร้อยละ 9.6 ขณะที่บริษัทเฉพาะทางอย่าง Nanosolar นั้นสามารถทำได้ถึงร้อยละ 16.4 บนโซลาร์เซลล์แบบเดียวกันแล้ว แต่สารจริงที่อยู่ในกระบวนการผลิตนั้นยังอยู่ที่ร้อยละ 11 ข่าวร้ายของงานของไอบีเอ็มเพิ่งออกจากห้องวิจัย ส่วนสินค้าของ Nanosolar นั้นต้องวางเงินจองกันข้ามปีเพราะกำลังผลิตมีจำกัด ที่มา - A Smater Planet, Nanosolar Blog
https://jusci.net/node/1112
ไอบีเอ็มร่วมวงโซลาร์เซลล์แบบพิมพ์
การปลูกถ่ายปอดจากผู้บริจาคไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ข้อจำกัดที่ผ่านมาคือการปลูกถ่ายต้องเป็นการนำปอดจากผู้เสียชีวิตแบบสมองตายซึ่งจะจำกัดปริมาณการบริจาคลงไปจำนวนมาก นำไปสู่การรอรับบริจาคที่มากขึ้นเรื่อยๆ การขยายการใช้อวัยวะจากผู้เสียชีวิตที่หัวใจหยุดเต้นไปแล้วจึงเป็นการเพิ่มปริมาณการบริจาคได้มาก เมโยคลีนิคได้ปลูกถ่ายปอดจากผู้เสียชีวิตแบบหัวใจหยุดเต้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยผู้รับบริจาคเป็นชายอายุ 59 ปี ที่มีอาการ alpha-1antitrypsin deficiency หลังการผ่าตัดปลูกถ่ายหนึ่งปี ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ด้วยตัวเองตามปรกติอีกครั้ง ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1113
เมโยคลีนิคประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายปอดจากผู้เสียชีวิตที่หัวใจหยุดเต้น
หลังจากวันที่ 23 นี้กูเกิลจะได้รับสิทธิ์ในการซื้อขายพลังงานเป็นล็อตใหญ่ๆ เช่นเดียวกับบริษัทพลังงานอื่นๆ อย่างไรก็ตามกูเกิลยังไม่มีโรงงานผลิตไฟฟ้าและระบบส่งไฟฟ้าเป็นของตัวเองแต่อย่างใด กูเกิลเป็นบริษัทที่ใช้พลังงานมหาศาล การได้รับใบอนุญาตนี้จะเปิดทางเลือกในการซื้อพลังงานยกล็อตจากบริษัทผู้ผลิตโดยตรงได้ง่ายขึ้น ส่วนในแง่ประชาสัมพันธ์ กูเกิลระบุว่าใบอนุญาตนี้จะนำไปสู่โอกาสในการเลือกใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นองค์กรที่ไม่ผลิตคาร์บอนต่อไป ที่มา - IT World
https://jusci.net/node/1114
กูเกิลได้รับใบอนุญาตขายไฟฟ้าแล้ว
เว็บไซต์ OnePoll.com ได้สำรวจสาวๆ 2500 คนถึงรูปแบบของชายหนุ่มที่น่าสนใจ พบว่าร้อยละ 41 นั้นเลือกชายหนุ่มที่มีลักษณะไม่โกนหนวด, รองลงมาคือ geek ที่มีความรู้เทคโนโลยี, อันดับสามคือหนุ่มมีขนหน้าอก!, ที่เหลืออาจจะไม่แปลกมาก เช่น หนุ่มรักการอ่าน หนุ่มมีด้านอ่อนไหว ฯลฯ ขณะที่สาวๆ มักพูดถึงชายหนุ่มในฝันที่สมบูรณ์แบบ แต่รายงานสำรวจนี้แสดงให้เห็นว่าในแง่หนึ่งแล้วสาวๆ มักจะอยากเป็นคู่กับหนุ่มที่มีจุดบกพร่องในบางอย่าง เอาล่ะ เลิกโกนหนวดกันได้ ที่มา - Dailymail
https://jusci.net/node/1115
สาวๆ นิยมหนุ่มไม่โกนหนวดมากที่สุด รองลงมาคือ geek
เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักข่าว รอยเตอร์ รายงานว่า บริษัทยาได้หันมาใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพของยาโดยการใฃ้เครื่องมือที่สามารถติดตามผู้ป่วยได้ตลอดเวลา(real time) ตัวอย่างบริษัทยาที่หันมาใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ได้แก่ โนวาทิส (Novartis) ใช้ "smart pill" ที่สามารถส่งข้อมูลจากภายในร่างกายอย่างพวกสัญญาณชีพ (vital sign)และตรวจสอบว่าคนไข้ได้กินยาหรือไม่ เบเยอร์ (Bayer)ต่อ glucometer สำหรับเด็กที่ป่วยเป็นเบาหวานกับ เกมนินเทนโด (Nintendo) และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson's)ได้นำโปรแกรมบนไอโฟน (iPhone) ที่สามารถทำให้ผู้ใช้ส่งข้อมูลจากเครื่องวัดระดับน้ำตาลได้ นอกจากนี้ยังมีบริษัทต่างๆ ที่ไม่ใช่บริษัทยาให้ควมสนใจกับการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์นี้ อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายที่ต้องแลกกับประสิทธิภาพ ก็ยังต้องรอการพิสูจน์ต่อไป ที่มา - Medscape
https://jusci.net/node/1116
การแพทย์ไม่เจริญเหรอ ? เรามีโปรแกรมช่วย
ช่วงนี้เกิดกระแสความหวังใหม่ในการกระจายพลังงานขึ้นมาจากบริษัท Bloom Energy ที่เสนอทางเลือกด้านพลังงานด้วยเซลล์เชื้อเพลิงแบบแข็ง ซึ่งมีข้อดีคือมีขนาดเล็ก (ในที่นี้คือหนัก "ไม่กี่ตัน") ในการผลิตไฟฟ้าขณะที่ประสิทธิภาพยังคงดีเทียบเท่าโรงงานขนาดใหญ่ ความได้เปรียบในเรื่องนี้คือประสิทธิภาพในการขนส่งเชื้อเพลิงนั้นดีกว่าประสิทธิภาพในการส่งไฟฟ้ามาก และหากเราสามารถผลิตพลังงานแบบกระจายได้ เรายังสามารถควบคุมการผลิตได้อย่างละเอียด เช่นอาคารสำนักงานอาจจะเลิกผลิตไฟฟ้าในวันเสาร์-อาทิตย์ การประชาสัมพันธ์เปิดตัวของ Bloom Energy ค่อนข้างได้ผลดีมาก เริ่มมีการพูดถึงในวงกว้างว่าเซลล์เชื้อเพลิงอาจจะเป็นหนทางใหม่ในการผลิตพลังงาน แต่วันนี้ก็เริ่มมีคำถามว่าสุดท้ายแล้ว Bloom Energy ได้เสนออะไรใหม่ให้กับสังคมจริงๆ หรือไม่ เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงนั้นไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ มันเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในยานอวกาศมานานมาก สูตรทางเคมีนั้นมีเรียนอยู่ในวิชาเคมีระดับปีหนึ่งเท่านั้น แต่จุดสำคัญที่สุดของเทคโนโลยีนี้คือราคาที่แพงมาก และจนวันนี้ยังไม่มีแนวโน้มว่ามันจะถูกลงแต่อย่างใด และ Bloom Energy ก็ยังไม่ได้พ้นจากบ่วงนี้ ราคาเครื่องขนาด 100kWh นั้นอยู่ที่ 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งแพงเกินไปที่บ้านทั่วไปที่ใช้ไฟฟ้าประมาณ 5kWh จะจ่ายเงินเพิ่มอีกเกือบสองล้านบาทเพื่อติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้า อีกทั้งค่าเชื้อเพลิงที่ต้องจ่ายตลอดเวลาทำงาน ทำให้เกิดคำถามว่า Bloom Energy จะคืนทุนได้ในเวลาเท่าใด (หรือกระทั่งมันคืนทุนจริงหรือไม่) อีกข้อหนึ่งคือ Bloom Energy นั้นผลิตคาร์บอนเช่นเดียวกับโรงงานไฟฟ้าทั่วไป ข้อดีของมันคือโรงงานไฟฟ้าทุกวันนี้มีประสิทธิภาพประมาณ 26-48 เปอร์เซนต์ และสูญเสียไฟฟ้าระห่วางขนส่ง 7 เปอร์เซนต์ Bloom Energy สามารถทำได้ดีกว่านี้หรือกรณีที่แย่ก็อาจจะทำได้เท่าๆ กัน จุดที่แย่ที่สุดคือโรงงานไฟฟ้าทั่วไปนั้นเราสามารถทำโรงงานไฟฟ้าไปอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเพื่อลดผลกระทบจากคาร์บอนที่เกิดขึ้นได้ แต่ Bloom Energy สนับสนุนให้ผู้ติดตั้งวางเครื่องผลิตไฟฟ้าไว้ในพื้นที่บ้าน ซึ่งคาร์บอนทั้งหมดก็จะเกิดขึ้นในบริเวณบ้านนั่นเอง ที่มา - Wikipedia
https://jusci.net/node/1117
Bloom Energy ความหวังใหม่หรือแค่การโฆษณา
งานวิจัยร่วมระหว่างกระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอลร่วมกับสถาบันโรคหัวใจ, ปอด และเลือดของสหรัฐฯ ได้แถลงผลวิจัยพบความเกี่ยวเนื่องระหว่างสถานะในชีวิตคู่และอัตราการเป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตก จากกลุ่มข้อมูลชายจำนวน 10,059 คนที่เป็นพนักงานของรัฐ ผลขั้นต้นชี้ให้เห็นว่าเมื่อแยกข้อมูลระหว่างผู้ที่แต่งงานแล้วกับกลุ่มเป็นโสดจะมีโอกาสเป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตกร้อยละ 8.4 ขณะที่คนแต่งงานแล้วจะมีโอกาสร้อยละ 7.1 เท่านั้น เมื่อปรับผลตามพฤติกรรมแวดล้อมเช่น ความอ้วน, การสูบบุหรี่ และปัจจัยอื่นๆ พบว่าคนโสดมีความเสี่ยงมากกว่าคนที่แต่งงานถึงร้อยละ 64 ต่อมาที่การทำแบบสำรวจให้ผู้เข้าร่วมประเมินความสำเร็จของชีวิตคู่ตัวเองแล้วแยกกลุ่ม พบว่ากลุ่มที่ไม่พอใจกับชีวิตคู่ของตัวเองก็มีความเสี่ยงในการเป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตกมากกว่ากลุ่มที่มีความสุขกับชีวิตคู่ถึงร้อยละ 64 เช่นกัน เป็นโสดก็เสี่ยง มีคู่ผิดก็เสี่ยง ต่อไปบริษัทหาคู่อาจจะมีคำโฆษณาใหม่... "เพื่อสุขภาพ..." ที่มา - EurekAlert!
https://jusci.net/node/1118
จะเป็นโสด หรือมีคู่แล้วไม่มีความสุขก็มีโอกาสเส้นเลือดในสมองแตกพอๆ กัน
24 กุมภาพันธ์ 2553 มีรายงานวิจัยออกมาว่าความผิดปกติทางสายตานั้น พบได้บ่อยในผู้ป่วยความจำเสื่อม (dementia) ในผลงานวิจัยชิ้นใหม่นี้ นักวิจัยได้รวบรวมข้อมูลจาก ผู้ป่วยสูงอายุจำนวน 625 คน ดอกเตอร์โรเจอร์ และเคนเนท แลนก้า (Dr. Rogers and Kenneth Langa)พบว่าประชากรที่มีสายตาดี หรือดีมากอยู่แล้วมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคความจำเสื่อมลดลง 63% และน้อยกว่า 10% ของผู้ป่วยความจำเสื่อมมีสายตาดีอยู่ก่อนแล้ว ผลงานวิจัย พบว่าผู้ที่มีระดับสายตาแย่ที่ไม่ได้มาพบจักษุแพทย์มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 9.5 เท่าของการเป็น โรคอัลไซเมอร์ โรคความจำเสื่อมบางประเภทมีระดับการมองเห็นเสียไป และมักจะมีการอ่านและเขียนแย่ขึ้นกว่าเดิม เป็นการยากที่จะวินิจฉัย เนื่องจากผลการวัดระดับสายตาแบบมาตรฐานอย่างการวัดการมองเห็น, การตรวจสายตาด้วยสลิทแลมป์(slit lamp) และการตรวจจอประสาทตา (fundus examination)มักจะได้ผลเป็นปกติ ที่มา : Medscape
https://jusci.net/node/1120
การตรวจสายตา เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยความจำเสื่อม
ตัวเลขหนึ่งที่มักมีการเสนอกันบ่อยๆ เวลาพูดถึงเรื่องโลกร้อนขึ้นมาแต่ละครั้งคือตัวเลขการผลิตคาร์บอนขึ้นสู่อากาศของแต่ละชาติ ซึ่งในปีสองปีมานี้จีนก็แซงหน้าชาติตะวันตกทั้งหมดไปแล้ว แต่งานวิจัยชิ้นล่าสุดก็มีได้เสนอแนวทางในการวัดผลกระทบต่อปริมาณคาร์บอนในอากาศด้วยการวัดจากสินค้าที่ประชาชนในชาตินั้นบริโภคแทนที่จะวัดจากปริมาณคาร์บอนที่ปล่อย ผลงานวิจัยนี้แสดงผลลัพธ์ที่น่าสนใจ คือคาร์บอนประมาณ 1 ใน 4 ของคาร์บอนที่ปล่อยขึ้นสู่อากาศเป็นผลจากการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกรวม 6,200 เมกกะตันต่อปี เฉพาะจีนประเทศเดียวมีส่วนแบ่งในคาร์บอนเพื่อการส่งออกนี้ถึง 1,400 เมกกะตันต่อปี ทำให้เมื่อวัดปริมาณคาร์บอนจากการบริโภค สหรัฐฯ จะกลับขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งด้วยปริมาณ 6,500 เมกกะตันส่วนจีนตกไปอยู่อันดับที่สองที่ 4,000 เมกกะตันที่เหลือเป็นญี่ปุ่นและยุโรปตะวันตกอื่นๆ ที่น่าสนใจคือเมื่อวัดด้วยตัวเลขคาร์บอนที่บริโภคต่อประชากรแล้วประเทศอย่างลักเซมเบิร์ก, สิงคโปร์ ฮ่องกง, ออสเตรเลีย, แคนาดา ก็เข้ามาร่วมอยู่ในรายการสิบอันดับแรกกันด้วย ที่เหลือคือสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก ส่วนจีนนั้นไม่อยู่ในสิบอันดับแรก และประเทศยากจนเช่นในกลุ่มแอฟริกานั้นก็ยังคงอยู่ท้ายตารางเช่นเดิม น่าสนตัวเลขเหล่านี้รวมพลังงานที่ใช้ขนส่งไปแล้วรึยัง เพราะน่าจะมีสัดส่วนสูงทีเดียว ที่มา - ArsTechnica
https://jusci.net/node/1121
ประชาชนในชาติตะวันตกรับผิดชอบต่อการปล่อยคาร์บอนผ่านการนำเข้าสินค้าจำนวนมาก
บริษัท โตชิบาประกาศปิดสายการผลิตหลอดไส้ที่รวมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโตชิบา จากบริษัท Hakunetsu-sha ผู้ผลิตหลอดไส้รายแรกของญี่ปุ่น บริษัท Hakunetsu-sha เปิดสายการผลิตมาตั้งแต่ปี 1890 รวมแล้วตอนนี้สายการผลิตหลอดไส้ของโตชิบามีอายุกว่า 120 ปีไปแล้ว แนวโน้มการเลิกผลิตหลอดไส้เพื่อการใช้งานทั่วไปกำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก จากการประกาศกฏหมายเพื่อลดคาร์บอนและลดการใช้พลังงาน เช่นในสหภาพยุโรปเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากประสิทธิภาพแสงสว่างต่อพลังงานของหลอดไส้นับว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับหลอดตะเกียบและหลอด LED ที่กำลังเข้ามามีบทบาท ที่มา - Good Gear Guide
https://jusci.net/node/1122
หมดยุคแห่งหลอดไส้: โตชิบาเลิกสายการผลิตอายุ 120 ปี
นักวิจัยจากสถาบัน Wistar ได้ตีพิมพ์ผลงานที่การวิจัยถึงผลการตัดยีน P21 ออกจากหนูทดลองทำให้หนูมีความสามารถในการสร้างเนื้อเยื่อและอวัยวะที่เสียไป โดยปรกติแล้วการบาดเจ็บของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะสร้างแผลเป็นเรื่องจากเซลล์ไม่มีความสามารถในการสร้างคืนเนื้อเยื่อและอวัยวะเช่นในสัตว์อื่น แต่เมื่อทดสอบในหนูที่ขาดยีน P21 กลับทำให้เซลล์ที่กำลังซ่อมแซมมีพฤติกรรมคล้ายสเต็มเซลล์ในเอ็มบริโอ เคยมีบันทึกถึงหนูที่มีความสามารถในการสร้างอวัยวะคืนมาได้ก่อนหน้านี้ในปี 1996 เมื่อการทดลองในห้องวิจัยอาศัยแผลที่หูหนูทดลอง ปรากฏว่าเมื่อการทดลองผ่านไป หนูจำนวนหนึ่งกลับไม่มีแผลใดๆ และการทดลองนั้นถึงกับล้มเหลว ยีน P21 เป็นยีนที่มีหน้าที่ในการหยุดยั้งการแบ่งตัวเซลล์มากเกินไปจนอาจเกิดความผิดปรกติที่นำไปสู่มะเร็ง แต่ในงานวิจัยนี้ทีมงานพบความผิดปรกติบ่อยขึ้นแต่กลับไม่พบอัตราการเกิดมะเร็งมากขึ้นในหนูที่ขาดยีน P21 แต่อย่างใด ที่มา - Science Daily
https://jusci.net/node/1123
พบยีนกดความสามารถการสร้างเนื้อเยื่อทดแทนในหนู
ต้นไม้ที่อายุยืนมากๆ มีอยู่หลายต้น เว็บไซต์ Wired คัดเลือกมาให้ดูจำนวนหนึ่ง "Pando" ต้นไม้ที่อายุยืนที่สุด ไม่ใช่ต้นไม้เดี่ยวๆ แต่เป็น "รากไม้" ที่มีต้นไม้หน้าตาเหมือนกันเป็นจำนวนมาก ครอบคลุมเนื้อที่ราว 105 เอเคอร์ในรัฐยูทาห์ เฉพาะรากชุดนี้มีอายุ 80,000 ปี แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนประเมินว่าถ้าคิดรวมพืชในพื้นที่แถบนี้ อาจมีตัวตนต่อเนื่อง (ตายแล้วเกิดใหม่) มานานถึง 1 ล้านปี เก่าแก่กว่าอายุขัยของมนุษยชาติเสียอีก ถัดมาคือ "Methuselah" ต้นไม้เดี่ยวๆ ที่อายุยืนที่สุดในโลก อายุ 4,765 เก่ากว่าพีระมิดในอียิปต์ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Inyo ในแคลิฟอร์เนีย ป่าละแวกนั้นเก่าเหมือนกันหมด มีชื่อเรียกรวมๆ ว่า "Forest of Ancients" อันดับสาม Zoroastrian Sarv หรือ Sarv-e-Abarkooh เป็นต้นไซเปรส อายุระหว่าง 4,000-4,500 ปี ตั้งอยู่ในประเทศอิหร่าน สูงถึง 82 ฟุต ที่เหลือติดตามได้จาก Wired ครับ ที่มา - Wired
https://jusci.net/node/1124
รู้จักกับ 'ต้นไม้ที่อายุยืนที่สุดในโลก'
11% ของแม่และ 12% ของทารกเสียชีวิตจากการเข้ารับการรักษาตัวในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) ด้วยโรคไข้หวัดหมู โดยรายงานวิจัยฉบับนี้ศึกษาจากหญิงตั้งครรภ์ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) ด้วยโรคไข้หวัดหมูในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ในช่วงฤดูหนาวปีที่แล้ว(winter of 2009)ได้ข้อสรุปว่าหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงของการเป็นโรคไข้หวัดหมูเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้งานวิจัยยังแสดงว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ มีความเสี่ยงของการเข้ารับการรักษาตัวในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) เพิ่มมากขึ้นถึง 13 เท่าของหญิงปกติที่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดหมูอีกด้วย จริงๆแล้วมีรายงานวิจัยแบบละเอียดมากในเว็บต้นฉบับนะคะ อันนี้ขอสรุปมาแบบสั้นๆ เพราะมันค่อนข้างเข้าใจยาก ถ้าสนใจติดตามอ่านได้จาก ที่มา : Medscape
https://jusci.net/node/1125
หญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงของการเป็นโรคแทรกซ้อนจากไข้หวัดหมูเพิ่มขึ้น 13 เท่า
19 มีนาคม 2553 - องค์การอาหารและยา (FDA) ของประเทศสหรัฐอเมริกา (US) ได้ออกมาเตือนว่าการใช้ยาลดไขมันซิมวาสเตติน (Simvastatin) ในปริมาณสูงที่ 80 มิลลิกรัม เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคกล้ามเนื้อผิดปกติ จากการศึกษาข้อมูลจากหลายๆแหล่ง และหลายวิธี พบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาลดไขมันซิมวาสเตติน (Simvastatin) 80 มิลลิกรัม เป็นโรคกล้ามเนื้อผิดปกติมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยา 20 มิลลิกรัม เมื่อเดือนที่ผ่านมายาซิมวาสเตติน(Simvastatin) เป็น 1 ใน 27 ตัวยาที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐ (USA) เฝ้าระวัง อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของการเป็นโรคกล้ามเนื้อผิดปกติขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ด้วย หากอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาซิมวาสเตตินและโรคกล้ามเนื้อผิดปกติสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเวบไซต์องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ค่ะ ที่มา : Medscape
https://jusci.net/node/1126
องค์การอาหารและยาเตือน การรับประทานยาลดไขมันซิมวาสเตตินในปริมาณสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อผิดปกติ
ปัญหาใหญ่ของรถยนต์ไฟฟ้าแบบชาร์จพลังงานคือยังไม่มีมาตรฐานการชาร์จอย่างเป็นรูปธรรม นับแต่โวลต์ของไฟฟ้าที่จะใช้ชาร์จตัวรถ ไปจนถึงหัวปลั๊กสำหรับจ่ายพลังงาน แต่ความหวังนี้ิอาจจะไม่ไกลเกินไป เมื่อโตโยต้า, นิสสัน, และมิตซูบิชิร่วมมือกันสร้างมาตรฐานกลางและหวังจะผลักดันไปทั่วโลก กลุ่มมาตรฐานนี้มีชื่อว่า "CHAdeMO" มีที่มาจากคำว่า Charge และ Move โดยดัดเสียงให้เป็นคำญี่ปุ่น (แปลว่าอะไร?) โดยมีสมาชิกเป็นบริษัทรถยนต์, บริษัทพลังงาน, บริษัทด้านอุปกรณ์ไฟฟ้า และหน่วยงานของรัฐเข้าร่วมอยู่ 158 บริษัท เป็นบริษัทนอกญี่ปุ่น 20 บริษัท ค่อนข้างแน่ชัดกระบวนการหามาตรฐานนี้จะเป็นกระบวนการระยะยาว เนืื่องจากเทคโนโลยีที่ยังไม่หยุดนิ่ง เช่นมีการเสนอให้บริการชาร์จเปลี่ยนเป็นบริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งลูก เพื่อความเร็วในการให้บริการ ไปมาๆ อาจจะเหมือนโน้ตบุ๊ก "รถคันนี้รับไฟฟ้า 110-5000 โวลต์" ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1127
บริษัทรถยนต์ในญี่ปุ่นร่วมมือสร้างมาตรฐานการชาร์จพลังงานให้รถไฟฟ้าทั่วโลก
ข้อมูลจากสหรัฐอเมริก (US) บ่งชี้ว่า ชายที่มีบุตรยากมักจะมีความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากเพิ่มมากขึ้น โดยนักวิจัยได้ศึกษาจากข้อมูลของชายที่ป่วยเป็นมะเร็งที่เข้ารับการรักษาในคลินิกรักษาชายมีบุตรยากในแคลิฟอร์เนียและพบว่า ผู้ชายที่มีบุตรยากจะโดนวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่าปกติเกือบสามเท่า อย่างไรก็ตามเจ้าของงานวิจัยนี้บอกว่ายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากเพื่อยืนยันความเกี่ยวข้องระหว่างการมีบุตรยากและการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก หากสามารถยืนยันได้ ก็หมายความว่าควรจะมีการตรวจคัดกรองการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากในชายที่มีบุตรยาก ปัจจัยเสี่ยง - อายุ - ประวัติครอบครัว - เชื้อชาติ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาต่างๆ พบว่า โดยรวมแล้วผู้ชายที่มีบุตรยากมีโอกาสได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่มลูกหมากแบบร้ายแรงถึง 2.6 เท่า ปัจจัยทางพันธุกรรม ดอกเตอร์เฮเลน ริปปอน (Dr Helen Rippon) หัวหน้าการจัดการงานวิจัย (research management) ที่ศูนย์การกุศลมะเร็งต่อมลูกหมาก (The Prostate Cancer Charity) กล่าวว่าเป็นการยากที่จะหาข้อสรุปที่แน่นอนระหว่างการมีบุตรยากและมะเร็งต่อมลูกหมาก เอ็ด ย้ง (Ed Yong) หัวหน้าหลักฐานทางสุขภาพและข้อมูลที่ศูนย์วิจัยมะเร็งของสหราชอาณาจักร (head of health evidence and information at Cancer Research UK) กล่าวว่า "ไม่แน่นักที่การมีบุตรยากจะทำให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ทั้งการมีบุตรยากและความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากที่เพิ่มขึ้นอาจมาจากความผิดพลาดทางพันธุกรรม, การใช้ชีวิต หรือสภาพแวดล้อม" ที่มา : BBC News
https://jusci.net/node/1128
การมีบุตรยากมีความเกี่ยวข้องกับการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
บ้านเราเครื่องดื่มแบบไร้น้ำตาลเริ่มได้รับความนิยม แต่เมืองนอกนั้นสารอาหารที่มักได้รับมากเกินไปมีสามตัวหลักๆ คือไขมันอิ่มตัว, เกลือ, และน้ำตาล ในปีนี้บริษัทเป็บซี่ซึ่งขายสินค้าที่มีสารอาหารเหล่านี้อยู่สูงก็ได้ประกาศแผนการลดสารอาหารเหล่านี้ในสินค้าของตนลง ตัวเลขที่แจ้งออกมานั้นคือ เป็บซี่จะลดน้ำตาลลง 25% และไขมันอิ่มตัวลง 15% ในสิบปีข้างหน้า พร้อมกับจะค่อยๆ เพิ่มส่วนประกอบของธัญพืช และผักต่างๆ ลงไปในสินค้าให้มากขึ้น แรงกดดันในเรื่องของสารอาหารเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ จากการที่เด็กรุ่นใหม่เริ่มมีอาการน้ำหนักเกินในอัตราส่วนที่สูงขึ้น ในประเทศที่เจริญแล้วเช่นยุโรป, สหรัฐฯ นั้นเริ่มมีมาตรการต่อสู้กับอาหารพลังงานสูง ด้วยการปรับฉลากให้ชัดเจน (จนบางทีออกจะน่าตกใจ เช่นมาตรการป้ายแดงของอังกฤษ) เพื่อให้ผู้บริโภคเลือกอาหารที่มีคุณค่ามากขึ้นและมีพลังงานต่ำลง ที่มา - PhysOrg
https://jusci.net/node/1129
เป็บซี่ประกาศลดเกลือ, น้ำตาล และไขมันในสินค้าทุกตัวใน 10 ปีข้างหน้า
ยานอวกาศ SpaceShipTwo ของบริษัท Virgin Galactic เตรียมออกบินครั้งแรกที่ท่าอวกาศ Mojave Air and Space Port ในแคลิฟอร์เนีย ยานอวกาศ SpaceShipTwo จะเดินทางไปกับเครื่องบินขนส่ง WhiteKnightTwo ในการเดินทางครั้งแรกนี้ ทั้งสองยานจะเดินทางไปด้วยกัน แต่ในการใช้งานจริง WhiteKnightTwo จะส่ง SpaceShipTwo ที่ความสูง 50,000 ฟุตจากน้ำทะเล แล้ว SpaceShipTwo ค่อยเดินทางด้วยจรวดของตัวเองอีกขั้นหนึ่ง Virgin Galactic ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการขนส่งอวกาศเอกชน ในปี 2004 ยาน SpaceShipOne ชนะรางวัล Ansari X PRIZE โดยสามารถส่งยานออกไปที่ระดับความสูง 100 กิโลเมตรได้สำเร็จ ที่มา - MSNBC
https://jusci.net/node/1130
การบินครั้งแรกของยานอวกาศ SpaceShipTwo
เจ้าพ่อไอทีอย่างบิลล์ เกตต์นั้นมีบริษัทของตนอีกหลายบริษัท หนึ่งในนั้นคือ TerraPower ที่ตั้งมาตั้งแต่ต้นปี 2009 ล่าสุดก็มีข่าวออกมาว่าเกตต์ได้บินไปห้องวิจัยของโตชิบา เพื่อแลกเปลี่ยนและหาความเป็นไปได้ที่จะทำงานร่วมกัน เทคโนโลยีที่เกตต์สนใจนั้นคือ mini-reactor ที่เป็นเตาปฎิกรณ์ขนาดจิ๋วสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายเชื้อเพลิงเป็นเวลานานสูงสุดถึง 100 ปี ผลที่เป็นไปได้หากการตกลงครั้งนี้บรรลุผล คือได้บริษัทร่วมทุนระหว่างโตชิบาและเกตต์ในการทำวิจัยเครื่อง mini-reactor นี้ร่วมกัน อย่างไรก็ตามโตชิบาระบุว่าการพูดคุยนี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น กูเกิลไปลงทุนโซลาร์เซลล์, บิลล์ เกตต์มาลงทุนนิวเคลียร์ เราไปซื้อหุ้นพลังงานกันมั่งดีกว่า ที่มา - BBC
https://jusci.net/node/1131
บิลล์ เกตต์เริ่มพูดคุยกับโตชิบาหาความร่วมมือพลังงานนิวเคลียร์
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าในวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา นักวิจัยชาวสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาหุ่นยนต์นาโนขนาดเล็กที่สามารถวิ่งไปตามกระแสเลือดของผู้ป่วย และไปที่ก้อนเนื้องอกเพื่อรักษาด้วยยีนบำบัดซึ่งจะทำให้ยีนที่สำคัญของมะเร็งหยุดการทำงานได้ โดยในขณะนี้มีบริษัทยาและบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจำนวนมากกำลังหาช่องทางที่จะจัดการกับ RNA เพื่อขัดขวางการแสดงออกของยีนที่ทำให้เกิดโรค ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทาย ในขณะนี้ผู้ทำการรักษาบางทีมได้ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ บางทีมใช้ไขมันในการรักษา เพื่อให้ตรงเป้าหมาย ส่วนการนำมาทดลองใช้กับผู้ป่วยจริงที่มีก้อนเนื้องอกประเภทต่างๆ โดยการนำตัวอย่างก้อนเนื้อจากผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งผิวหนังจำนวน 3 คน มาตรวจดูพบว่าอนุภาคนาโนสามารถหาทางเข้าไปในก้อนเนื้องอกได้สำเร็จ ข่าวค่อนข้างลงลึกเรื่องยีนและโครงสร้างนะคะ หากสนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากที่มาค่ะ ที่มา : Medscape
https://jusci.net/node/1132
หุ่นยนต์นาโนเทคนำส่งการรักษาด้วยยีนบำบัดผ่านทางกระแสเลือด
ภาวะโลกร้อนอาจจะสร้างปัญหามากมาย แต่ล่าสุดปัญหาความขัดแย้งในเรื่องของพรมแดนระหว่างอินเดียและบังคลาเทศก็หายไปอีกเปราะ เมื่อเกาะ South Talpatti ที่อยู่ใกล้ๆ เส้นพรมแดนในทะเลของทั้งสองประเทศ และเป็นประเด็นยืดเยื้อได้จมน้ำไปอย่างถาวรแล้ว บังคลาเทศเป็นหนึ่งในประเทศที่ต้องกังวลกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเรื่อยๆ มากที่สุดประเทศหนึ่งของโลกเนื่องจากระดับพื้นดินที่ต่ำ แต่ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นด้วยความเร่ง ทำให้คาดว่าระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นอีก 1 เมตรในปี 2050 กระทบต่อที่อยู่อาศัยของคนจำนวน 20 ล้านคน เมืองไทยนี่ถ้าทำทะเลสูงขึ้นอีกเมตรก็กรุงเทพก็ไม่น่ารอดเหมือนกัน? ที่มา - Google News (AP)
https://jusci.net/node/1133
ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นแก้ปัญหาชายแดนอินเดีย-บังคลาเทศ
เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา มีงานวิจัยชิ้นใหม่ โดยด็อกเตอร์Kenneth Mukamal ที่ศึกษาจากประชากรของประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวนมากกว่า 245,000 คน รายงานว่าการบริโภคแอลกอฮอล์ในปริมาณเล็กน้อยถึงปานกลางมีความเกี่ยวข้องกับอัตราการตายของผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ลดลง สำหรับการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณสูงนั้น ไม่ชัดเจนว่าจะเกี่ยวข้องกับอัตราการตายของผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดหรือไม่ โดยงานวิจัยชิ้นนี้ทำกับประชากรในประเทศสหรัฐอเมริกาวัยผู้ใหญ่ 245,207 คน ที่เข้าร่วมโครงการ National Health Interview Survey (NHIS) ระหว่างปี 2530 - 2543 แบบสอบถามประกอบไปด้วยคำถามเกี่ยวกับการบริโภคแอลกอฮอล์ และผู้ตอบแบบสอบถามถูกแบ่งออกเป็น ผู้ไม่บริโภคแอลกอฮอล์, ผู้บริโภคแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อย, ผู้บริโภคแอลกอฮอล์ปานกลาง และผู้บริโภคแอลกอฮอล์อย่างหนัก การตายมาจากการนำฐานข้อมูลของ National Health Interview Survey (NHIS) มาเชื่อมโยงกับ National Death Index ตลอดปี 2545 ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า โดยทั่วไปผู้บริโภคแอลกอฮอล์ในระดับปานกลางมีความเกี่ยวข้องกับอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดและหัวใจที่ลดลง และผู้บริโภคแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยมีอัตราการตายลดลงมากกว่าผู้ไม่บริโภคแอลกอฮอล์เลย ในขณะที่ผู้บริโภคแอลกอฮอล์อย่างหนักไม่ชัดเจนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับอัตราการตายหรือไม่ ที่มา : Medscape
https://jusci.net/node/1134
หลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์และอัตราการตายของผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
เชื่อกันมานานว่าอาหารที่มีไขมันสูงๆ สร้างความอยากอาหารให้กับคน ด้วยคำอธิบายว่าคนเราต้องการสำรองพลังงาน การวิวัฒนาการจึงทำให้เราต้องการสะสมไขมันไว้มากๆ แต่แนวทางใหม่ก็ได้อธิบายว่าไขมันนั้นอาจจะกระตุ้นให้คนเราบริโภคไขมันเกินขนาดในแบบเดียวกับที่เราติดสารเสพติด งานวิจัยนี้ดำเนินการโดยดร. Paul J. Kenny และทีมงาน พวกเขาแยกหนูทดลองออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกให้อาหารปรกติ กลุ่มที่สองให้อาหารไขมันสูงวันละหนึ่งชั่วโมง และกลุ่มที่สามให้อาหารไขมันสูงวันละ 23 ชั่วโมง ขณะที่น้ำหนักของหนูที่ได้รับไขมันสูงๆ เพิ่มขึ้น ที่น่าสนใจคือสมองมีความเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กัน โดยหนูกลุ่มที่ได้รับไขมันสูงมากๆ เริ่มมีความ "ทนทาน" ต่อความพึงพอใจในอาหารไขมันสูงเหล่านั้น ทำให้มันต้องกินอาหารไขมันสูงมากขึ้นเรีื่อยๆ เพื่อที่จะได้รับความพึงพอใจต่ออาหารเท่าเดิม สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นจากวิทยาการที่สูงส่งขึ้นเรื่อยๆ ของเราเอง เนื่องจากแต่เดิมการหาไขมันมาบริโภคเป็นเรื่องทำได้ยากเนื่องจากต้องอาศัยธัญพืชปริมาณสูงๆ หรือการล่าสัตว์ (ซึ่งทำได้ยาก) แต่ทุกวันนี้เรากลับหาไขมันมาบริโภคได้โดยง่ายเช่นเดียวกับโคเคน ที่เราสามารถสังเคราะห์ได้ความบริสุทธิ์ที่สูงมาก ขณะที่ใบโคคามีจำกัด การการบริโภคก็ไม่มีประสิทธิภาพนัก อีกหน่อยคงมีงานวิจัยการเสพติดข้อมูลข่าวสาร ที่มา - CNN
https://jusci.net/node/1135
ไขมันเสพติดได้?
การเพาะเนื้อเยื่อกระดูกให้เป็นรูปร่างนั้นถือได้ว่าเป็นงานที่ค่อนข้างลำบาก แต่วันนี้ทีมนักวิจัยจาก Columbia University ก็ได้เผยว่าสามารถเพาะกระดูกเป็นชิ้นๆ ได้แล้วครับ Dr. Vunjak-Novokovic และทีมนักวิจัยของเธอได้ทำการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของกระดูกให้โตขึ้นมาเป็นรูปร่างสามมิติเหมือนกระดูกเดิม วิธีดังกล่าวอาศัยการสร้างแบบสามมิติด้วยการวิเคราะห์ภาพจากข้อ หลังจากนั้นแล้วจึงทำการเพาะเนื้อเยื่อด้วยเซลล์สกัดมาจากไขกระดูกหรือชั้นไขมันลงไปในช่องแบบที่กำหนด หลังจากการเพาะด้วยอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญของเซลล์แล้วเนื้อเยื่อที่ได้นั้นจะมีรูปร่างคงทนตามแบบ และสามารถที่จะเอาออกไปใช้ได้เสมือนเนื้อเยื่อกระดูกปกติ ปกติแล้วการผ่าตัดซ่อมกระดูกที่แหว่งหายไป (เช่นจากการถูกมะเร็งกิน) นั้นจำเป็นต้องใช้กระดูกจากที่อื่นของร่างกายหรือวัสดุเทียมอย่างเช่นไทเทเนียม ยังไม่เคยมีการใช้กระดูกที่เพาะเลี้ยงจากห้องทดลองมาซ่อมแซมเหมือนกับเนื้อเยื่ออ่อนนุ่มอื่นๆ ที่ไม่ต้องการความเป็นรูปร่างแข็งแรง ทีมนักวิจัยนั้นกำลังอยู่ในการทดลองนำกระดูกที่ได้ไปใช้ในสัตว์ก่อนที่จะนำมาศึกษาในมนุษย์ต่อไป (และก็เริ่มมีหลายบริษัทได้ติดต่อทีมนักวิจัยเพื่อเตรียมผลิตออกมาขายแล้วด้วย) ที่มา: The New York Times
https://jusci.net/node/1137
นักวิจัยเพาะเนื้อเยื่อกระดูกให้เป็นรูปร่างได้สำเร็จแล้ว
แม้จะบอกไม่ได้ว่าคนไอคิวต่ำมักจะสูบบุหรี่หรือบุหรี่ทำให้ไอคิวต่ำแต่รายงานการศึกษาทหารอิสราเอลก็แสดงให้เห็นว่าระดับการสูบบุหรี่มีความเกี่ยวข้อกับไอคิวต่ำอย่างชัดเจน รายงานจากมหาวิทยาลัย Tel Aviv ได้ศึกษาทหารอิสราเอลสองหมื่นคนพบความจริงสามประการ ทหารที่ไม่สูบบุหรี่มีไอคิวเฉลี่ย 101 ทหารที่สูบบุหรี่มีไอคิวเฉลี่ย 94 ในกลุ่มทหารที่สูบบุหรี่ ทหารที่สูบบุหรี่มากกว่าวันละ 1 ซองมีไอคิวเฉลี่ย 90 ว่าแล้วก็เลิกกันเถิดครับ ที่มา - Science Daily
https://jusci.net/node/1138
สูบบุหรี่เกี่ยวข้องกับระดับไอคิวต่ำ
6 เมษายน ที่ผ่านมามีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ใน Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism กล่าวว่าการออกกำลังกายในขณะตั้งครรภ์มีความเกี่ยวข้องกับการลดลงของน้ำหนักตัวทารกแรกคลอด จุดมุ่งหมายของงานวิจัยชิ้นนี้เพื่อศึกษาดูผลของการออกกำลังกายแบบแอโรบิกใน 2 ไตรมาสหลังของการตั้งครรภ์ โดยการศึกษานี้ศึกษาเกี่ยวกับการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินของมารดา และผลลัพธ์ของเด็กทารกใน 84 คน เมื่อนำผลการศึกษามาเปรียบเทียบกับเด็กทารกซึ่งเกิดจากมารดาที่ไม่ได้ออกกำลังกาย พบว่าเด็กทารกที่เกิดจากมารดาซึ่งออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์มีน้ำหนักตัวแรกคลอด และดัชนีมวลกาย (BMI) ต่ำกว่า ที่มา : Medscape
https://jusci.net/node/1139
การออกกำลังกายในหญิงตั้งครรภ์มีความเกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวทารกที่ลดลง
ฟอสซิลใหม่อายุประมาณเกือบสองล้านปีของสัตว์ลักษณะคล้ายมนุษย์สองแม่ลูกอาจจะเป็นหลักฐานใหม่ของวิวัฒนาการมนุษย์ โดยทีมวิจัยเสนอให้ตั้งชื่อสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า Australopithecus sediba หลักฐานการวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นขาดช่วงไปในช่วงกว่าสองล้านปีมาจนถึง 1.8 ล้านปีก่อน โดยมีหลักฐานระหว่างช่วงเวลานี้เพียงเล็กน้อยและมักไม่สมบูรณ์ ฟอสซิลที่พบเป็นการพบรวมกับซากสัตว์อีกหลายชนิด โดยไม่มีซากใดที่มีร่องรอยการถูกแทะกินซากแสดงว่าซากเหล่านี้ถูกฝังอย่างรวดเร็ว ที่มา - BBC
https://jusci.net/node/1140
ฟอสซิลใหม่อาจช่วยเติมเต็มวิวัฒนาการมนุษย์
มีหลายๆส่วนในจักรวาลของเราที่ไม่ค่อยจะมีเหตุผลเท่าไรนัก หนึ่งในนั้นคือ แรงโน้มถ่วง นักวิทยาศาตร์ทั่วโลกพยายามที่จะรวมแรงโน้มถ่วงเข้าในสมการ Grand Unified theory ซึ่งรวมเอา 3 ใน 4 แรงในธรรมชาติไว้ในตัวสมการแล้วได้แก่ แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน แรงนิวเคลียร์แบบแรง และ แรงแม่แหล็กไฟฟ้า เพื่อที่จะได้สมการครอบจักรวาล Unified field theory ซึ่งรวมแรงทั้งหมดในธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน ปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือ พลังงานมืด ซึ่งเป็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่ทำให้จักรวาลของเราขยายตัวในอัตราเร่ง แม้ว่าแรงดึงดูดควรที่จะดึงดูดมันเข้าหากันหรืออย่างน้อยลดอัตราการขยายตัว ปัญหาที่ยุ่งยากและสับสนเหล่านี้เป็นสาเหตุให้ Nikodem Poplawski แห่งมหาวิทยาลัยอินเดียน่า หยุดการค้นหาการกำเนิดระบบจักวาลที่จุดบิ๊กแบง และเริ่มพิจารณาว่ามีบางอย่างที่มีตัวตนอยู่แล้วก่อนบิ๊กแบง ที่ก่ิอให้เกิดระบบจักรวาลขึ้นมา (ทฤษฏีบิ๊กแบง เป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงการกำเนิดของจักรวาลว่ากำเนิดขึ้นมากจากจุดกำเนิด "singularity" เมื่อ 13.7 พันล้านปีก่อนและเริ่มขยายตัวตั้งแต่นั้นมา) การคำนวณทำให้เขาได้พบว่า จริงๆแล้วระบบจักรวาลของเราเกิดมาจากการสลายตัวของดาวยักษ์ในจักรวาลอื่น การสลายตัวนี้ทำให้เกิดรูหนอนขึ้น และระหว่างปลายสองข้างของรูหนอนนี้เองจักวาลของเราได้ก่อกำเนิดขึ้นมา เหตุการณ์ที่เขากล่าวมาเหล่านี้สามารถที่จะอธิบายโจทย์เรื่อง แรงโน้มถ่วง และ การขยายตัวของจักวาลได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขากำลังจะตีพิมพ์เรื่องเหล่านี้ลงในนิตยสาร Physics Letters B. วันจันทร์นี้ เขายังได้กล่าวว่าการคำนวณเหล่านี้ยังต้องการการปรับปรุงอีกมาก ที่มา - Science
https://jusci.net/node/1141
จักรวาลของเราอาศัยอยู่ในรูหนอน?

Dataset Card for "jusci-website"

This dataset was scrape jusci.net. JuSci is science website news and is part of Blognone Content Network. It use CC-BY 3.0 license.

Downloads last month
40

Collection including pythainlp/jusci-website