title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย - มาเลเซีย พร้อมพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561 ไทย - มาเลเซีย พร้อมพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ ไทย - มาเลเซีย พร้อมพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ วันนี้ (30 สิงหาคม 2561) เวลา 13.15 น. ยัง เบอร์โฮร์มัต ดาโต๊ะ ฮัจญี เจ๊ะ อับดุลละฮ์ บิน หมัต นาวี (YB Dato Hj Che Abdullah Bin Mat Nawi) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตตุมปัต รัฐกลันตัน และยัง เบอร์โฮร์มัต ฮัจญี ต่วน มูฮัมหมัด ซารีปุดิน บิน ต่วน อิสมาอิล (YB Hj Tuan Mohd Saripudin Bin Tuan Ismail) มนตรีบริหารรัฐกลันตันด้านการเกษตร มาเลเซีย เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ รองนายกรัฐมนตรียินดีต้อนรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตตุมปัต รัฐกลันตัน และยินดีที่ได้พบคณะผู้บริหารรัฐกลันตัน ซึ่งไทยและมาเลเซียมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกลันตันและจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ทําให้ประชาชนมีการติดต่อค้าขายกันมาโดยตลอด ทั้งนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตตุมปัต รัฐกลันตัน มุ่งหวังว่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและยาวนานระหว่างไทยกับมาเลเซียจะยังคงสืบต่อไป เพื่อความร่วมมือของทั้งสองประเทศ ในขณะนี้รัฐกลันตันมุ่งที่จะพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ ภายใต้การนําของ ยัง เบอร์โฮร์มัต ฮัจญี ต่วน มูฮัมหมัด ซารีปุดิน บิน ต่วน อิสมาอิล มนตรีบริหารรัฐกลันตันด้านการเกษตร โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่บริษัท กลันตัน ไบโอเทค จํากัด (KBCSB) จากรัฐกลันตันและบริษัท อินโนฟาร์ม ไบโอเทค จํากัด ของไทย จะร่วมลงนามความตกลงความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งจะเป็นส่วนสําคัญในการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ของทั้งสองประเทศ ที่มีผลิตผลทางด้านการเกษตรคล้ายคลึงกัน จึงมีความเหมาะสมที่สองประเทศจะร่วมมือกัน โดยนําศักยภาพที่โดดเด่นของทั้งสองประเทศมาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ รวมไปถึงการนําเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในกระบวนการต่างๆ ในด้านเกษตร ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมุ่งเน้นที่จะสนับสนุนภาคเกษตรกรรมในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) พร้อมทั้งได้มอบหมายให้นายธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการให้ข้อมูลต่างๆ ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันต่อไป และพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการเกษตร ซึ่งจะเป็นส่วนสําคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย - มาเลเซีย พร้อมพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561 ไทย - มาเลเซีย พร้อมพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ ไทย - มาเลเซีย พร้อมพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ วันนี้ (30 สิงหาคม 2561) เวลา 13.15 น. ยัง เบอร์โฮร์มัต ดาโต๊ะ ฮัจญี เจ๊ะ อับดุลละฮ์ บิน หมัต นาวี (YB Dato Hj Che Abdullah Bin Mat Nawi) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตตุมปัต รัฐกลันตัน และยัง เบอร์โฮร์มัต ฮัจญี ต่วน มูฮัมหมัด ซารีปุดิน บิน ต่วน อิสมาอิล (YB Hj Tuan Mohd Saripudin Bin Tuan Ismail) มนตรีบริหารรัฐกลันตันด้านการเกษตร มาเลเซีย เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ รองนายกรัฐมนตรียินดีต้อนรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตตุมปัต รัฐกลันตัน และยินดีที่ได้พบคณะผู้บริหารรัฐกลันตัน ซึ่งไทยและมาเลเซียมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกลันตันและจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ทําให้ประชาชนมีการติดต่อค้าขายกันมาโดยตลอด ทั้งนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตตุมปัต รัฐกลันตัน มุ่งหวังว่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและยาวนานระหว่างไทยกับมาเลเซียจะยังคงสืบต่อไป เพื่อความร่วมมือของทั้งสองประเทศ ในขณะนี้รัฐกลันตันมุ่งที่จะพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ ภายใต้การนําของ ยัง เบอร์โฮร์มัต ฮัจญี ต่วน มูฮัมหมัด ซารีปุดิน บิน ต่วน อิสมาอิล มนตรีบริหารรัฐกลันตันด้านการเกษตร โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่บริษัท กลันตัน ไบโอเทค จํากัด (KBCSB) จากรัฐกลันตันและบริษัท อินโนฟาร์ม ไบโอเทค จํากัด ของไทย จะร่วมลงนามความตกลงความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งจะเป็นส่วนสําคัญในการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ของทั้งสองประเทศ ที่มีผลิตผลทางด้านการเกษตรคล้ายคลึงกัน จึงมีความเหมาะสมที่สองประเทศจะร่วมมือกัน โดยนําศักยภาพที่โดดเด่นของทั้งสองประเทศมาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ รวมไปถึงการนําเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในกระบวนการต่างๆ ในด้านเกษตร ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมุ่งเน้นที่จะสนับสนุนภาคเกษตรกรรมในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) พร้อมทั้งได้มอบหมายให้นายธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการให้ข้อมูลต่างๆ ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันต่อไป และพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการเกษตร ซึ่งจะเป็นส่วนสําคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15038
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลประชุมเพื่อขับเคลื่อนงานด้านการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2561 ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลประชุมเพื่อขับเคลื่อนงานด้านการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ สํานักงานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหน้า ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ สํานักงานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหน้า ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี พลเอกปราการ ชลยุทธ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคที่ ๔ ส่วนหน้า ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้และจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา ศูนย์ฝึกทางยุทธวิธี เพื่อบูรณาการแผนการปฏิบัติงานในการจัดตั้งชุดคุ้มครองตําบล การฝึกกําลังประจําถิ่นให้มีความเข้มแข็ง มีขีดความสามารถในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของคนในชุมชนให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งรับฟังปัญหาข้อขัดข้องเพื่อหาแนวทางปรับและแก้ไขให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมและมีความเข้มแข็งที่จะสามารถสร้างความปลอดภัยให้กับชุมชนได้อย่างแท้จริง โดยในที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการฝึกชุดคุ้มครองตําบลและอาสามัครรักษาดินแดน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้รับการจัดตั้งแล้ว จํานวน ๗ พันกว่าอัตรา โอกาสนี้พลเอกปราการ ชลยุทธ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลได้กล่าวถึงการบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่ ให้มีประสิทธิภาพเกิดความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การฝึกกําลังประจําถิ่นให้มีวินัย มีความพร้อมในการเผชิญเหตุซึ่งเป็นไปตามการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประชาชนมีส่วนร่วมของรัฐบาล และขอให้อาสาสมัครรักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้นําเอาข่าวดีของภาครัฐในการช่วยพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่ชุมชน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลประชุมเพื่อขับเคลื่อนงานด้านการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2561 ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลประชุมเพื่อขับเคลื่อนงานด้านการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ สํานักงานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหน้า ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ สํานักงานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหน้า ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี พลเอกปราการ ชลยุทธ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคที่ ๔ ส่วนหน้า ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้และจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา ศูนย์ฝึกทางยุทธวิธี เพื่อบูรณาการแผนการปฏิบัติงานในการจัดตั้งชุดคุ้มครองตําบล การฝึกกําลังประจําถิ่นให้มีความเข้มแข็ง มีขีดความสามารถในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของคนในชุมชนให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งรับฟังปัญหาข้อขัดข้องเพื่อหาแนวทางปรับและแก้ไขให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมและมีความเข้มแข็งที่จะสามารถสร้างความปลอดภัยให้กับชุมชนได้อย่างแท้จริง โดยในที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการฝึกชุดคุ้มครองตําบลและอาสามัครรักษาดินแดน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้รับการจัดตั้งแล้ว จํานวน ๗ พันกว่าอัตรา โอกาสนี้พลเอกปราการ ชลยุทธ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลได้กล่าวถึงการบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่ ให้มีประสิทธิภาพเกิดความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การฝึกกําลังประจําถิ่นให้มีวินัย มีความพร้อมในการเผชิญเหตุซึ่งเป็นไปตามการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประชาชนมีส่วนร่วมของรัฐบาล และขอให้อาสาสมัครรักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้นําเอาข่าวดีของภาครัฐในการช่วยพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่ชุมชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17397
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เตรียมพร้อมแรงงานนอกระบบรับสังคมสูงวัย
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562 ก.แรงงาน เตรียมพร้อมแรงงานนอกระบบรับสังคมสูงวัย กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดโครงการอบรมส่งเสริมให้ความรู้แก่แรงงานนอกระบบเพื่อก้าวสู่สังคมสูงวัย (Ageing Society) เสริมความรู้สิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย พร้อมทํางานอย่างมีคุณค่า พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดการอบรมการส่งเสริมให้ความรู้แก่แรงงานนอกระบบเพื่อก้าวสู่สังคมสูงวัย (Ageing Society) วันที่ 16 ธันวาคม 2562 ณ โรงแรมเวสต์เกต เรสซิเดนซ์ จังหวัดนนทบุรี ว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทยที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัย ตั้งแต่ประมาณปี 2543- 2544 คือ มีประชากรอายุ 60 ปี คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด และจากข้อมูลของสํานักงานสถิติแห่งชาติประจําปี 2561 พบว่ากําลังแรงงานกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นแรงงานนอกระบบ 3.59 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 88.3 อาชีพที่แรงงานกลุ่มนี้ทําส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพหรือกิจกรรมที่ไม่ใช้กําลังมาก ทํางานไม่เต็มเวลา มีเป้าหมายเพื่อเสริมรายได้หรือเป็นงานอดิเรก กระทรวงแรงงานตระหนักถึงความสําคัญของแรงงานนอกระบบซึ่งเป็นผู้สูงอายุเหล่านี้ จึงได้จัดโครงการส่งเสริมให้ความรู้แก่แรงงานนอกระบบเพื่อก้าวสู่สังคมสูงวัยขึ้น เพื่อให้แรงงานนอกระบบกลุ่มผู้สูงอายุมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย ความปลอดภัยในการทํางาน การพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้านนายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการอบรมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน ระหว่างวันที่ 16-17 ธันวาคม 2562 กิจกรรมประกอบด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายด้านการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ การจ้างงานนอกระบบ การฝึกอาชีพและพัฒนาฝีมือแรงงานนอกระบบสําหรับผู้สูงวัย สิทธิประโยชน์ประกันสังคมแรงงานนอกระบบ เป็นต้น มีผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วยแรงงานนอกระบบกลุ่มผู้สูงวัยจํานวน 150 คน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เตรียมพร้อมแรงงานนอกระบบรับสังคมสูงวัย วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562 ก.แรงงาน เตรียมพร้อมแรงงานนอกระบบรับสังคมสูงวัย กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดโครงการอบรมส่งเสริมให้ความรู้แก่แรงงานนอกระบบเพื่อก้าวสู่สังคมสูงวัย (Ageing Society) เสริมความรู้สิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย พร้อมทํางานอย่างมีคุณค่า พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดการอบรมการส่งเสริมให้ความรู้แก่แรงงานนอกระบบเพื่อก้าวสู่สังคมสูงวัย (Ageing Society) วันที่ 16 ธันวาคม 2562 ณ โรงแรมเวสต์เกต เรสซิเดนซ์ จังหวัดนนทบุรี ว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทยที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัย ตั้งแต่ประมาณปี 2543- 2544 คือ มีประชากรอายุ 60 ปี คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด และจากข้อมูลของสํานักงานสถิติแห่งชาติประจําปี 2561 พบว่ากําลังแรงงานกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นแรงงานนอกระบบ 3.59 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 88.3 อาชีพที่แรงงานกลุ่มนี้ทําส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพหรือกิจกรรมที่ไม่ใช้กําลังมาก ทํางานไม่เต็มเวลา มีเป้าหมายเพื่อเสริมรายได้หรือเป็นงานอดิเรก กระทรวงแรงงานตระหนักถึงความสําคัญของแรงงานนอกระบบซึ่งเป็นผู้สูงอายุเหล่านี้ จึงได้จัดโครงการส่งเสริมให้ความรู้แก่แรงงานนอกระบบเพื่อก้าวสู่สังคมสูงวัยขึ้น เพื่อให้แรงงานนอกระบบกลุ่มผู้สูงอายุมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย ความปลอดภัยในการทํางาน การพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้านนายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการอบรมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน ระหว่างวันที่ 16-17 ธันวาคม 2562 กิจกรรมประกอบด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายด้านการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ การจ้างงานนอกระบบ การฝึกอาชีพและพัฒนาฝีมือแรงงานนอกระบบสําหรับผู้สูงวัย สิทธิประโยชน์ประกันสังคมแรงงานนอกระบบ เป็นต้น มีผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วยแรงงานนอกระบบกลุ่มผู้สูงวัยจํานวน 150 คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25240
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทำบุญตักบาตรที่วัดอย่างไรให้ห่างไกลโควิด-19
วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2563 ทําบุญตักบาตรที่วัดอย่างไรให้ห่างไกลโควิด-19 ข้อปฏิบัติสําหรับญาติโยม -สวมหน้ากากอนามัย -วางของที่จะใส่บาตรบนโตีะที่จัดไว้ -ล้างมือให้สะอาด -เว้นระยะห่าง และเดินตามเส้นทางที่กําหนด -จัดเตรียมอาหารตักบาตรให้พอดีสําหรับ 1 มื้อ -นั่งตามจุดที่กําหนด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทำบุญตักบาตรที่วัดอย่างไรให้ห่างไกลโควิด-19 วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2563 ทําบุญตักบาตรที่วัดอย่างไรให้ห่างไกลโควิด-19 ข้อปฏิบัติสําหรับญาติโยม -สวมหน้ากากอนามัย -วางของที่จะใส่บาตรบนโตีะที่จัดไว้ -ล้างมือให้สะอาด -เว้นระยะห่าง และเดินตามเส้นทางที่กําหนด -จัดเตรียมอาหารตักบาตรให้พอดีสําหรับ 1 มื้อ -นั่งตามจุดที่กําหนด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33318
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ขอความร่วมมือให้ลูกจ้างหยุดวันที่ 4 และ 7 ก.ย. ชดเชยสงกรานต์
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563 กสร. ขอความร่วมมือให้ลูกจ้างหยุดวันที่ 4 และ 7 ก.ย. ชดเชยสงกรานต์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ออกประกาศขอความร่วมมือนายจ้าง สถานประกอบกิจการกําหนดให้วันที่ 4 และ 7 กันยายน 2563 เป็นวันหยุดชดเชยวันหยุดสงกรานต์ที่ยังคงค้างอีก 2 วัน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 กําหนดให้วันศุกร์ที่ 4 และวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563 เป็นวันหยุดราชการเพื่อชดเชยวันหยุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจําปี 2563 เป็นจํานวน 2 วันที่ยังคงค้างอยู่ ซึ่งจะทําให้มีวันหยุดต่อเนื่องโดยรวมวันเสาร์อาทิตย์เป็น 4 วัน คือวันศุกร์ที่ 4 ถึงวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563 ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จึงขอความร่วมมือนายจ้าง สถานประกอบกิจการที่เลื่อนประกาศวันหยุดตามประเพณีวันสงกรานต์และยังไม่ได้ประกาศกําหนดวันหยุดตามประเพณีที่เลื่อนออกไปหรือประกาศกําหนดแล้วแต่ยังไม่ครบ ขอให้ประกาศกําหนดให้วันศุกร์ที่ 4 และวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563 เป็นวันหยุดตามประเพณี ประจําปี 2563 นายอภิญญา กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามหากนายจ้าง สถานประกอบกิจการ มีความจําเป็นหรือไม่ได้จัดให้ลูกจ้างหยุดงาน หรือจัดให้ลูกจ้างหยุดงานน้อยกว่าที่ประกาศกําหนดวัดหยุดตามประเพณีไว้ตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่กําหนดให้นายจ้างประกาศกําหนดวันหยุดประเพณีให้ลูกจ้างทราบเป็นการล่วงหน้าปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 13 วันโดยรวมวันแรงงานแห่งชาตินั้น นายจ้างจะต้องจ่ายค่าทํางานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างด้วย หากนายจ้าง ลูกจ้างมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด และสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานคร ทั้ง 10 พื้นที่ หรือสายด่วน 1506 กด 3
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ขอความร่วมมือให้ลูกจ้างหยุดวันที่ 4 และ 7 ก.ย. ชดเชยสงกรานต์ วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563 กสร. ขอความร่วมมือให้ลูกจ้างหยุดวันที่ 4 และ 7 ก.ย. ชดเชยสงกรานต์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ออกประกาศขอความร่วมมือนายจ้าง สถานประกอบกิจการกําหนดให้วันที่ 4 และ 7 กันยายน 2563 เป็นวันหยุดชดเชยวันหยุดสงกรานต์ที่ยังคงค้างอีก 2 วัน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 กําหนดให้วันศุกร์ที่ 4 และวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563 เป็นวันหยุดราชการเพื่อชดเชยวันหยุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจําปี 2563 เป็นจํานวน 2 วันที่ยังคงค้างอยู่ ซึ่งจะทําให้มีวันหยุดต่อเนื่องโดยรวมวันเสาร์อาทิตย์เป็น 4 วัน คือวันศุกร์ที่ 4 ถึงวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563 ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จึงขอความร่วมมือนายจ้าง สถานประกอบกิจการที่เลื่อนประกาศวันหยุดตามประเพณีวันสงกรานต์และยังไม่ได้ประกาศกําหนดวันหยุดตามประเพณีที่เลื่อนออกไปหรือประกาศกําหนดแล้วแต่ยังไม่ครบ ขอให้ประกาศกําหนดให้วันศุกร์ที่ 4 และวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563 เป็นวันหยุดตามประเพณี ประจําปี 2563 นายอภิญญา กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามหากนายจ้าง สถานประกอบกิจการ มีความจําเป็นหรือไม่ได้จัดให้ลูกจ้างหยุดงาน หรือจัดให้ลูกจ้างหยุดงานน้อยกว่าที่ประกาศกําหนดวัดหยุดตามประเพณีไว้ตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่กําหนดให้นายจ้างประกาศกําหนดวันหยุดประเพณีให้ลูกจ้างทราบเป็นการล่วงหน้าปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 13 วันโดยรวมวันแรงงานแห่งชาตินั้น นายจ้างจะต้องจ่ายค่าทํางานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างด้วย หากนายจ้าง ลูกจ้างมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด และสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานคร ทั้ง 10 พื้นที่ หรือสายด่วน 1506 กด 3
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34406
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถาวร เปิดเที่ยวบินฤดูหนาวสนามบินกระบี่ ชวนนักท่องเที่ยวมาไทย ช่วยกระตุ้นรายได้ในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2562 ถาวร เปิดเที่ยวบินฤดูหนาวสนามบินกระบี่ ชวนนักท่องเที่ยวมาไทย ช่วยกระตุ้นรายได้ในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง ถาวร เปิดเที่ยวบินฤดูหนาวสนามบินกระบี่ ชวนนักท่องเที่ยวมาไทย ช่วยกระตุ้นรายได้ในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “เบิกฟ้ารับท่องเที่ยวสู่ท่าอากาศยานกระบี่ Welcome High Season Krabi International Airport” โดยมีนายเจือ ราชสีห์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พันตํารวจโท หม่อมหลวง กิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายสมัย โชติสกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายสมเกียรติ มณีสถิตย์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน นายอรรถพร เนื่องอุดม ผู้อํานวยการท่าอากาศยานกระบี่ ผู้บริหารกรมท่าอากาศยาน ผู้บริหารหน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม ภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่ เข้าร่วม เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ณ ท่าอากาศยานกระบี่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรม “เบิกฟ้ารับท่องเที่ยวสู่ท่าอากาศยานกระบี่ Welcome High Season Krabi International Airport” ว่าเป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวและสายการบินได้ทราบถึงเส้นทางการท่องเที่ยวของไทยอีกเส้นทางหนึ่ง ที่ผ่านมาท่าอากาศยานกระบี่ถือเป็นท่าอากาศยานอันดับหนึ่งของกรมท่าอากาศยานที่มีศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารทั้งจากในและต่างประเทศ โดยในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะเน้นย้ําและช่วยกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวมายังจังหวัดกระบี่และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่าย ก่อให้เกิดรายได้ในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ระดับชาวบ้านในชุมชน ผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่พัก สายการบิน และการบริการขนส่งด้านต่างๆ เช่น รถเช่า เรือโดยสาร เป็นต้น สําหรับงานในวันนี้ได้รับความร่วมมือที่ดีจากทุกภาคส่วนทั้งในด้านการขนส่งทางอากาศ เช่น ผู้ประกอบการสายการบินที่มาแสดงถึงความพร้อมให้บริการ และแนะนําเส้นทางบินใหม่แก่นักท่องเที่ยว จังหวัดกระบี่ ทั้งในส่วนของส่วนราชการ และวิสาหกิจชุมชนที่นําผลิตภัณฑ์สินค้าจากฝีมือของชาวบ้านมาจัดจําหน่ายและจัดแสดง รวมไปจนถึงผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ที่มาร่วมประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นความร่วมมือที่ดี ที่จะมีส่วนสนับสนุนให้บรรยากาศการท่องเที่ยว รวมถึงเศรษฐกิจในภาพรวมเป็นไปอย่างดี นอกจากนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมยังได้กล่าวอีกว่า กระทรวงคมนาคม และกรมท่าอากาศยานได้ดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง มีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง เพื่อลดความเหลื่อมล้ําให้กับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมากรมท่าอากาศยานได้เน้นย้ําในเรื่องของภารกิจนอกจากการให้บริการด้านการขนส่งทางอากาศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลแล้ว ยังส่งเสริมให้ท่าอากาศยานมีส่วนสนับสนุนกิจกรรมต่างๆของชุมชนและส่งเสริมให้ชุมชนเกิดรายได้อีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถาวร เปิดเที่ยวบินฤดูหนาวสนามบินกระบี่ ชวนนักท่องเที่ยวมาไทย ช่วยกระตุ้นรายได้ในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2562 ถาวร เปิดเที่ยวบินฤดูหนาวสนามบินกระบี่ ชวนนักท่องเที่ยวมาไทย ช่วยกระตุ้นรายได้ในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง ถาวร เปิดเที่ยวบินฤดูหนาวสนามบินกระบี่ ชวนนักท่องเที่ยวมาไทย ช่วยกระตุ้นรายได้ในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “เบิกฟ้ารับท่องเที่ยวสู่ท่าอากาศยานกระบี่ Welcome High Season Krabi International Airport” โดยมีนายเจือ ราชสีห์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พันตํารวจโท หม่อมหลวง กิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายสมัย โชติสกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายสมเกียรติ มณีสถิตย์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน นายอรรถพร เนื่องอุดม ผู้อํานวยการท่าอากาศยานกระบี่ ผู้บริหารกรมท่าอากาศยาน ผู้บริหารหน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม ภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่ เข้าร่วม เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ณ ท่าอากาศยานกระบี่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรม “เบิกฟ้ารับท่องเที่ยวสู่ท่าอากาศยานกระบี่ Welcome High Season Krabi International Airport” ว่าเป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวและสายการบินได้ทราบถึงเส้นทางการท่องเที่ยวของไทยอีกเส้นทางหนึ่ง ที่ผ่านมาท่าอากาศยานกระบี่ถือเป็นท่าอากาศยานอันดับหนึ่งของกรมท่าอากาศยานที่มีศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารทั้งจากในและต่างประเทศ โดยในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะเน้นย้ําและช่วยกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวมายังจังหวัดกระบี่และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่าย ก่อให้เกิดรายได้ในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ระดับชาวบ้านในชุมชน ผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่พัก สายการบิน และการบริการขนส่งด้านต่างๆ เช่น รถเช่า เรือโดยสาร เป็นต้น สําหรับงานในวันนี้ได้รับความร่วมมือที่ดีจากทุกภาคส่วนทั้งในด้านการขนส่งทางอากาศ เช่น ผู้ประกอบการสายการบินที่มาแสดงถึงความพร้อมให้บริการ และแนะนําเส้นทางบินใหม่แก่นักท่องเที่ยว จังหวัดกระบี่ ทั้งในส่วนของส่วนราชการ และวิสาหกิจชุมชนที่นําผลิตภัณฑ์สินค้าจากฝีมือของชาวบ้านมาจัดจําหน่ายและจัดแสดง รวมไปจนถึงผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ที่มาร่วมประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นความร่วมมือที่ดี ที่จะมีส่วนสนับสนุนให้บรรยากาศการท่องเที่ยว รวมถึงเศรษฐกิจในภาพรวมเป็นไปอย่างดี นอกจากนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมยังได้กล่าวอีกว่า กระทรวงคมนาคม และกรมท่าอากาศยานได้ดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง มีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง เพื่อลดความเหลื่อมล้ําให้กับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมากรมท่าอากาศยานได้เน้นย้ําในเรื่องของภารกิจนอกจากการให้บริการด้านการขนส่งทางอากาศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลแล้ว ยังส่งเสริมให้ท่าอากาศยานมีส่วนสนับสนุนกิจกรรมต่างๆของชุมชนและส่งเสริมให้ชุมชนเกิดรายได้อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24275
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัยฯ อ่าวไทยฝั่งตะวันออก สำรวจสถานภาพปะการัง ในพื้นที่ จ.ชลบุรี
วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2561 ศูนย์วิจัยฯ อ่าวไทยฝั่งตะวันออก สํารวจสถานภาพปะการัง ในพื้นที่ จ.ชลบุรี ศูนย์วิจัยฯ อ่าวไทยฝั่งตะวันออก สํารวจสถานภาพปะการัง ในพื้นที่ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2560 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก (ศวทอ.) โดยนายศุภวัตร กาญจน์อติเรกลาภ ผู้อํานวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยฯ อ่าวไทยฝั่งตะวันออก ได้ลงพื้นที่สํารวจสถานภาพแนวปะการัง,ตัวอ่อนปะการัง,โรคที่เกิดกับปะการัง,ปลาและสัตว์ในแนวปะการัง บริเวณเกาะครก เกาะสาก และเกาะหินขาว จังหวัดชลบุรี โดยวิธีการสํารวจทั้งแบบ line intercept transect และ manta tow จากการสํารวจประชาคมปะการังในสถานีหินขาวจัดอยู่ในสถานภาพสมบูรณ์ดีมาก และสถานีเกาะครกและสถานีเกาะสากจัดอยู่ในสถานภาพสมบูรณ์ดี พบปะการังโขด (Poritessp.) และปะการังลายดอกไม้ (Pavonasp.) เป็นปะการังชนิดเด่น และมีปะการังถ้วยส้ม (Tubastreasp.) เป็นปะการังวัยอ่อนชนิดเด่นในทุกๆสถานี โดยพบลักษณะการเกิดโรคบนโคโลนีปะการัง พบ 5 รูปแบบ ได้แก่ โรคที่เกิดจากสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลงทําให้ปะการังฟอกขาว เป็นจุดเป็นเส้น และรูปแบบที่ไม่แน่นอน (Focal and Non Focal Bleaching) โรคที่เกิดแล้วปรากฏเม็ดสี (Pigmenttation response) ภาวะฟอกขาว(Bleaching)โรคที่เกิดจากการกัดแทะของสัตว์ที่อาศัยในแนวปะการัง (Predation; PRD) และโรคที่ปรากฏเป็นการทับถมของตะกอนในบางส่วนของโคโลนี (Sediment Damage) อาการที่พบมากที่สุด คือการทับถมของตะกอนในบางส่วนของโคโลนี (Sediment Damage) จากการสํารวจชนิดปลาแนวปะการัง Family เด่น คือ กลุ่มปลาสลิดหิน (Pomacentridae) ได้แก่ ปลาสลิดหินเทาเล็กหางเหลือง (Neopomocentrusazysron) และปลาสลิดหินหางพลิ้ว (Neopomacentruscyanomos) เป็นต้น สัตว์ในแนวปะการัง พบเม่นดําหนามยาว (Diademasetosum) หอยแมลงภู่ปะการัง (Pedumspondyloideum) และหนอนท่อ (Sabellastratesp.) เป็นชนิดเด่นในสถานีต่างๆ Marine and Coastal Resources Research and Development Center, Eastern Gulf of Thailand investigated status of coral reefs in Chonburi Province areas On December 17, 2017, Mr. Supawat Kan-Atireklap, Director of Marine and Coastal Resources Research and Development Center, Eastern Gulf of Thailand (MCRC-Central Gulf), Department of Marine and Coastal Resources(DMCR) reported that officials of MCRC-Central Gulf had investigated the status of coral reefs and associated fauna, using line intercept transect and manta tow technique at Koh Krok, Kho Sak and Kho Hinkhaw, Chonburi Province.The investigation found thatcoral communities in Hin Khaw Station was in good conditions, while Koh Krok Station and Kho Sak Station were in very good conditions. Dominant coral species are Poritessp, Pavonasp. and Tubastreasp. (Soft corals). However, five types of coral diseases, caused by external influences, which are Focal and Non Focal Bleaching, Pigmentation response, Bleaching, Predation; PRD and Sediment Damage could also be identified in the area.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัยฯ อ่าวไทยฝั่งตะวันออก สำรวจสถานภาพปะการัง ในพื้นที่ จ.ชลบุรี วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2561 ศูนย์วิจัยฯ อ่าวไทยฝั่งตะวันออก สํารวจสถานภาพปะการัง ในพื้นที่ จ.ชลบุรี ศูนย์วิจัยฯ อ่าวไทยฝั่งตะวันออก สํารวจสถานภาพปะการัง ในพื้นที่ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2560 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก (ศวทอ.) โดยนายศุภวัตร กาญจน์อติเรกลาภ ผู้อํานวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยฯ อ่าวไทยฝั่งตะวันออก ได้ลงพื้นที่สํารวจสถานภาพแนวปะการัง,ตัวอ่อนปะการัง,โรคที่เกิดกับปะการัง,ปลาและสัตว์ในแนวปะการัง บริเวณเกาะครก เกาะสาก และเกาะหินขาว จังหวัดชลบุรี โดยวิธีการสํารวจทั้งแบบ line intercept transect และ manta tow จากการสํารวจประชาคมปะการังในสถานีหินขาวจัดอยู่ในสถานภาพสมบูรณ์ดีมาก และสถานีเกาะครกและสถานีเกาะสากจัดอยู่ในสถานภาพสมบูรณ์ดี พบปะการังโขด (Poritessp.) และปะการังลายดอกไม้ (Pavonasp.) เป็นปะการังชนิดเด่น และมีปะการังถ้วยส้ม (Tubastreasp.) เป็นปะการังวัยอ่อนชนิดเด่นในทุกๆสถานี โดยพบลักษณะการเกิดโรคบนโคโลนีปะการัง พบ 5 รูปแบบ ได้แก่ โรคที่เกิดจากสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลงทําให้ปะการังฟอกขาว เป็นจุดเป็นเส้น และรูปแบบที่ไม่แน่นอน (Focal and Non Focal Bleaching) โรคที่เกิดแล้วปรากฏเม็ดสี (Pigmenttation response) ภาวะฟอกขาว(Bleaching)โรคที่เกิดจากการกัดแทะของสัตว์ที่อาศัยในแนวปะการัง (Predation; PRD) และโรคที่ปรากฏเป็นการทับถมของตะกอนในบางส่วนของโคโลนี (Sediment Damage) อาการที่พบมากที่สุด คือการทับถมของตะกอนในบางส่วนของโคโลนี (Sediment Damage) จากการสํารวจชนิดปลาแนวปะการัง Family เด่น คือ กลุ่มปลาสลิดหิน (Pomacentridae) ได้แก่ ปลาสลิดหินเทาเล็กหางเหลือง (Neopomocentrusazysron) และปลาสลิดหินหางพลิ้ว (Neopomacentruscyanomos) เป็นต้น สัตว์ในแนวปะการัง พบเม่นดําหนามยาว (Diademasetosum) หอยแมลงภู่ปะการัง (Pedumspondyloideum) และหนอนท่อ (Sabellastratesp.) เป็นชนิดเด่นในสถานีต่างๆ Marine and Coastal Resources Research and Development Center, Eastern Gulf of Thailand investigated status of coral reefs in Chonburi Province areas On December 17, 2017, Mr. Supawat Kan-Atireklap, Director of Marine and Coastal Resources Research and Development Center, Eastern Gulf of Thailand (MCRC-Central Gulf), Department of Marine and Coastal Resources(DMCR) reported that officials of MCRC-Central Gulf had investigated the status of coral reefs and associated fauna, using line intercept transect and manta tow technique at Koh Krok, Kho Sak and Kho Hinkhaw, Chonburi Province.The investigation found thatcoral communities in Hin Khaw Station was in good conditions, while Koh Krok Station and Kho Sak Station were in very good conditions. Dominant coral species are Poritessp, Pavonasp. and Tubastreasp. (Soft corals). However, five types of coral diseases, caused by external influences, which are Focal and Non Focal Bleaching, Pigmentation response, Bleaching, Predation; PRD and Sediment Damage could also be identified in the area.
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9354
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่ระบาดผ่านยุงได้หรือไม่ ??
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 ไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่ระบาดผ่านยุงได้หรือไม่ ?? ยุงเป็นพาหะในการแพร่เชื้อได้หรือไม่นะ คําตอบไวรัสโควิด-19ไม่สามารถแพร่เชื้อผ่านยุงได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่ระบาดผ่านยุงได้หรือไม่ ?? วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 ไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่ระบาดผ่านยุงได้หรือไม่ ?? ยุงเป็นพาหะในการแพร่เชื้อได้หรือไม่นะ คําตอบไวรัสโควิด-19ไม่สามารถแพร่เชื้อผ่านยุงได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30206
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน 2560
วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560 รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน 2560 รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน 2560 วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 2560 รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เดินทางไปเป็นประธานเปิดงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน 2560 ณ อําเภอด่านซ้าย จ. เลย ประเพณีผีตาโขนจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามวิสัยทัศน์การพัฒนาจังหวัดเลย ในปีนี้การแสดงผีตาโขนได้รับเกียรติจาก 7 ประเทศได้แก่ กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ลาว อินเดีย และเกาหลีใต้ในการนําการแสดงหน้ากากมาจัดในงานนี้ด้วย รองนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่สามารถจัดงานได้ยิ่งใหญ่สะท้อนนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประเพณี ตลอดจนเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับมิตรประเทศอย่างดีด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน 2560 วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560 รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน 2560 รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน 2560 วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 2560 รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เดินทางไปเป็นประธานเปิดงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน 2560 ณ อําเภอด่านซ้าย จ. เลย ประเพณีผีตาโขนจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามวิสัยทัศน์การพัฒนาจังหวัดเลย ในปีนี้การแสดงผีตาโขนได้รับเกียรติจาก 7 ประเทศได้แก่ กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ลาว อินเดีย และเกาหลีใต้ในการนําการแสดงหน้ากากมาจัดในงานนี้ด้วย รองนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่สามารถจัดงานได้ยิ่งใหญ่สะท้อนนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประเพณี ตลอดจนเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับมิตรประเทศอย่างดีด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4765
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เปิดร้าน ทอฝัน by พม. อย่างเป็นทางการ ณ ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิร์ล พร้อมเชิญชวนประชาชนอุดหนุนผลิตภัณฑ์ ทอฝัน by พม.
วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2560 รมว.พม. เปิดร้าน ทอฝัน by พม. อย่างเป็นทางการ ณ ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิร์ล พร้อมเชิญชวนประชาชนอุดหนุนผลิตภัณฑ์ ทอฝัน by พม. รมว.พม. เปิดร้าน ทอฝัน by พม. อย่างเป็นทางการ ณ ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิร์ล พร้อมเชิญชวนประชาชนอุดหนุนผลิตภัณฑ์ ทอฝัน by พม. เพื่อร่วมสร้างโอกาส เกียรติ กําลังใจ แก่สตรี คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง และผู้รอดพ้นจากการค้ามนุษย์ วันนี้ (30 มี.ค. 60) เวลา 11.30 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดร้าน ทอฝัน by พม. ณ บริเวณโซน Beacon ชั้น 4 ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ อย่างเป็นทางการ พร้อมด้วย นางสุพัตรา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สํานักนโยบายองค์กรสัมพันธ์และภาพลักษณ์ บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จํากัด และผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เข้าร่วมงาน ซึ่งภายในงานได้จัดกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การนําเสนอผลิตภัณฑ์โดยนางแบบกิตติมศักดิ์ การจัดบูธนิทรรศการแสดงผลิตภัณฑ์ และการสาธิตผลิตภัณฑ์ ณ บริเวณลานกิจกรรม ชั้น 1 โซน Dazzle ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจในการคุ้มครอง ดูแล และพัฒนาศักยภาพกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ สตรี คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง และผู้รอดพ้นจากการค้ามนุษย์ ด้วยการให้บริการ อย่างครอบคลุมทั้งปัจจัย 4 การรักษา ฟื้นฟู การศึกษา และฝึกทักษะอาชีพ เพื่อเป็นเครื่องมือในการดํารงชีวิตอย่างมั่นคง ภายหลังกลับคืนสู่สังคม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเสริมพลังให้กับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว โดยได้ตระหนักถึงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพอย่างครบวงจรในการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ การกําหนดมาตรฐานการผลิต การบริหาร จัดการและการพัฒนาด้านการตลาด การจัดจําหน่าย และการจัดสรรรายได้กลับคืนแก่ผู้ผลิต เพื่อเป็นการเสริมสร้างกําลังใจในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพด้านการประกอบอาชีพ เมื่อกลับคืนสู่สังคมให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็กได้ในอนาคตต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จึงได้ดําเนินโครงการ "ทอฝัน By พม.” โดยรวบรวมผลิตภัณฑ์คุณภาพจากฝีมือกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในความคุ้มครองดูแลของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และนํามาจัดจําหน่าย ในลักษณะ "All Product, One Brand” ภายใต้ชื่อ "ทอฝัน By พม.” โดยมีการเปิดร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์ 3 ร้านหลัก ได้แก่ 1) ร้าน ณ วังสะพานขาว ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สะพานขาว กรุงเทพฯ 2) ร้าน ทอฝัน By พม. ที่ โซน Beacon ชั้น 4 ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ และ 3) ร้านค้าออนไลน์ ทาง Facebook "ทอฝัน By พม.” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า การเปิดร้านทอฝัน by พม. อย่างเป็นทางการในวันนี้ ได้ความร่วมมือสําคัญจากภาคเอกชน คือ บริษัท เซ็นทรัล กรุ๊ป จํากัด ซึ่งได้สนับสนุนพื้นที่บริเวณโซน Beacon ชั้น 4 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ การก่อตั้งร้านทอฝัน by พม. เพื่อจําหน่ายผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากรด้านแนวโน้มการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งการสร้าง Brand และการสร้างช่องทางการจําหน่าย ทั้งนี้ การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ในเชิงธุรกิจ นับเป็นอีกหนึ่งในนโยบายประชารัฐที่เน้นย้ําว่า "เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ตามเป้าหมายหลักของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม "สําหรับผลิตภัณฑ์ "ทอฝัน By พม.” ที่น่าสนใจ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากผ้าด้นมือ ผ้าปัก ผ้าขาวม้า ถ้วยเซรามิค เครื่องเป๋าสาน กระเป๋างานควิลท์ หมอนอิง ผ้าคลุมไหล่ ผ้าปูโต๊ะ และผลิตภัณฑ์สมุนไพร เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชน มีส่วนร่วมในการสร้างโอกาส เกียรติ กําลังใจให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว ด้วยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ ทอฝัน By พม. เพื่อร่วมกันสร้างสังคมไทย มุ่งสู่สังคมคุณภาพมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เปิดร้าน ทอฝัน by พม. อย่างเป็นทางการ ณ ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิร์ล พร้อมเชิญชวนประชาชนอุดหนุนผลิตภัณฑ์ ทอฝัน by พม. วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2560 รมว.พม. เปิดร้าน ทอฝัน by พม. อย่างเป็นทางการ ณ ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิร์ล พร้อมเชิญชวนประชาชนอุดหนุนผลิตภัณฑ์ ทอฝัน by พม. รมว.พม. เปิดร้าน ทอฝัน by พม. อย่างเป็นทางการ ณ ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิร์ล พร้อมเชิญชวนประชาชนอุดหนุนผลิตภัณฑ์ ทอฝัน by พม. เพื่อร่วมสร้างโอกาส เกียรติ กําลังใจ แก่สตรี คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง และผู้รอดพ้นจากการค้ามนุษย์ วันนี้ (30 มี.ค. 60) เวลา 11.30 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดร้าน ทอฝัน by พม. ณ บริเวณโซน Beacon ชั้น 4 ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ อย่างเป็นทางการ พร้อมด้วย นางสุพัตรา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สํานักนโยบายองค์กรสัมพันธ์และภาพลักษณ์ บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จํากัด และผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เข้าร่วมงาน ซึ่งภายในงานได้จัดกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การนําเสนอผลิตภัณฑ์โดยนางแบบกิตติมศักดิ์ การจัดบูธนิทรรศการแสดงผลิตภัณฑ์ และการสาธิตผลิตภัณฑ์ ณ บริเวณลานกิจกรรม ชั้น 1 โซน Dazzle ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจในการคุ้มครอง ดูแล และพัฒนาศักยภาพกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ สตรี คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง และผู้รอดพ้นจากการค้ามนุษย์ ด้วยการให้บริการ อย่างครอบคลุมทั้งปัจจัย 4 การรักษา ฟื้นฟู การศึกษา และฝึกทักษะอาชีพ เพื่อเป็นเครื่องมือในการดํารงชีวิตอย่างมั่นคง ภายหลังกลับคืนสู่สังคม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเสริมพลังให้กับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว โดยได้ตระหนักถึงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพอย่างครบวงจรในการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ การกําหนดมาตรฐานการผลิต การบริหาร จัดการและการพัฒนาด้านการตลาด การจัดจําหน่าย และการจัดสรรรายได้กลับคืนแก่ผู้ผลิต เพื่อเป็นการเสริมสร้างกําลังใจในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพด้านการประกอบอาชีพ เมื่อกลับคืนสู่สังคมให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็กได้ในอนาคตต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จึงได้ดําเนินโครงการ "ทอฝัน By พม.” โดยรวบรวมผลิตภัณฑ์คุณภาพจากฝีมือกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในความคุ้มครองดูแลของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และนํามาจัดจําหน่าย ในลักษณะ "All Product, One Brand” ภายใต้ชื่อ "ทอฝัน By พม.” โดยมีการเปิดร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์ 3 ร้านหลัก ได้แก่ 1) ร้าน ณ วังสะพานขาว ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สะพานขาว กรุงเทพฯ 2) ร้าน ทอฝัน By พม. ที่ โซน Beacon ชั้น 4 ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ และ 3) ร้านค้าออนไลน์ ทาง Facebook "ทอฝัน By พม.” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า การเปิดร้านทอฝัน by พม. อย่างเป็นทางการในวันนี้ ได้ความร่วมมือสําคัญจากภาคเอกชน คือ บริษัท เซ็นทรัล กรุ๊ป จํากัด ซึ่งได้สนับสนุนพื้นที่บริเวณโซน Beacon ชั้น 4 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ การก่อตั้งร้านทอฝัน by พม. เพื่อจําหน่ายผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากรด้านแนวโน้มการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งการสร้าง Brand และการสร้างช่องทางการจําหน่าย ทั้งนี้ การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ในเชิงธุรกิจ นับเป็นอีกหนึ่งในนโยบายประชารัฐที่เน้นย้ําว่า "เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ตามเป้าหมายหลักของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม "สําหรับผลิตภัณฑ์ "ทอฝัน By พม.” ที่น่าสนใจ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากผ้าด้นมือ ผ้าปัก ผ้าขาวม้า ถ้วยเซรามิค เครื่องเป๋าสาน กระเป๋างานควิลท์ หมอนอิง ผ้าคลุมไหล่ ผ้าปูโต๊ะ และผลิตภัณฑ์สมุนไพร เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชน มีส่วนร่วมในการสร้างโอกาส เกียรติ กําลังใจให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว ด้วยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ ทอฝัน By พม. เพื่อร่วมกันสร้างสังคมไทย มุ่งสู่สังคมคุณภาพมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2779
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญฯ ย้ำที่ประชุม คคบ. ทำงานเชิงรุก เดินหน้าช่วยเหลือผู้บริโภคทุกกรณีอย่างเป็นธรรม ขณะที่การประชุม คคบ. วันนี้ มีมติดำเนินคดีผู้ประกอบธุรกิจ 15 ราย
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 รมต.นร. นายเทวัญฯ ย้ําที่ประชุม คคบ. ทํางานเชิงรุก เดินหน้าช่วยเหลือผู้บริโภคทุกกรณีอย่างเป็นธรรม ขณะที่การประชุม คคบ. วันนี้ มีมติดําเนินคดีผู้ประกอบธุรกิจ 15 ราย นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีย้ําที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) ทํางานเชิงรุก เดินหน้าช่วยเหลือผู้บริโภคทุกกรณีอย่างเป็นธรรม ขณะที่การประชุม คคบ. วันนี้ มีมติดําเนินคดีผู้ประกอบธุรกิจ 15 ราย วันนี้ (20 พฤษภาคม 2563) เวลา 09.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) ครั้งที่ 4/2563 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล โดยมีนายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พล.ต.ต.ประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เข้าร่วมประชุม ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและมีมติให้ดําเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจ รวม 15 ราย โดยแบ่งเป็นด้านอสังหาริมทรัพย์ มีหัวข้อสําคัญ 8 เรื่อง ประกอบด้วย กรณีผิดสัญญาในที่สาธารณะประโยชน์ เนื่องจากมีการเก็บค่าส่วนกลางเพิ่มเติม กรณีก่อสร้างห้องชุดไม่แล้วเสร็จตามสัญญา กรณียกเลิกสัญญาจะซื้อขายห้องชุดโดยไม่มีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้ร้องทราบ กรณีผิดสัญญาจ้างตกแต่งภายใน กรณีผิดสัญญาเนื่องจากมีการก่อสร้างล่าช้ากว่าที่กําหนดในสัญญา กรณีบริษัทไม่ดําเนินการแก้ไขความชํารุดบกพร่องห้องชุดตามสัญญา กรณีบริษัทผิดสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดโดยการขายให้บุคคลอื่น กรณีผิดสัญญาเนื่องจากไม่มีที่จอดรถประจําให้ตามสัญญา นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณามีมติให้ดําเนินคดีด้านสินค้าและบริการ ประกอบด้วย กรณีผิดสัญญาประนีประนอมยอมความให้ชําระเงินคืนตามสัญญาว่าจ้างตกแต่งสถานที่จัดงาน กรณีผิดสัญญาว่าจ้างพนักงานแม่บ้านให้ดูแลผู้สูงอายุ กรณีผู้บริโภคกินอาหารเสริมแล้วเสียชีวิต จึงมีมติฟ้องให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทน กรณีผิดสัญญาว่าจ้างติดตั้งเหล็กดัด มุ้งลวด และวอลเปเปอร์ รวมถึงได้มีการพิจารณาดําเนินคดีด้านโฆษณา ประกอบด้วย กรณีผู้ประกอบการสถานเสริมความงามปิดกิจการ ทําให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย และกรณีที่บริษัทเชิญชวนให้สมัครคอร์สสัมมนา แต่ไม่สามารถดําเนินการได้ตามสัญญา รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ได้สั่งการ สคบ. เร่งติดตามกรณีประชาชนซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้วไม่ได้รับความเป็นธรรม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พร้อมทั้ง สั่งการให้ สคบ. ติดตามกรณีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการซื้อสิ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญฯ ย้ำที่ประชุม คคบ. ทำงานเชิงรุก เดินหน้าช่วยเหลือผู้บริโภคทุกกรณีอย่างเป็นธรรม ขณะที่การประชุม คคบ. วันนี้ มีมติดำเนินคดีผู้ประกอบธุรกิจ 15 ราย วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 รมต.นร. นายเทวัญฯ ย้ําที่ประชุม คคบ. ทํางานเชิงรุก เดินหน้าช่วยเหลือผู้บริโภคทุกกรณีอย่างเป็นธรรม ขณะที่การประชุม คคบ. วันนี้ มีมติดําเนินคดีผู้ประกอบธุรกิจ 15 ราย นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีย้ําที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) ทํางานเชิงรุก เดินหน้าช่วยเหลือผู้บริโภคทุกกรณีอย่างเป็นธรรม ขณะที่การประชุม คคบ. วันนี้ มีมติดําเนินคดีผู้ประกอบธุรกิจ 15 ราย วันนี้ (20 พฤษภาคม 2563) เวลา 09.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) ครั้งที่ 4/2563 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล โดยมีนายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พล.ต.ต.ประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เข้าร่วมประชุม ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและมีมติให้ดําเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจ รวม 15 ราย โดยแบ่งเป็นด้านอสังหาริมทรัพย์ มีหัวข้อสําคัญ 8 เรื่อง ประกอบด้วย กรณีผิดสัญญาในที่สาธารณะประโยชน์ เนื่องจากมีการเก็บค่าส่วนกลางเพิ่มเติม กรณีก่อสร้างห้องชุดไม่แล้วเสร็จตามสัญญา กรณียกเลิกสัญญาจะซื้อขายห้องชุดโดยไม่มีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้ร้องทราบ กรณีผิดสัญญาจ้างตกแต่งภายใน กรณีผิดสัญญาเนื่องจากมีการก่อสร้างล่าช้ากว่าที่กําหนดในสัญญา กรณีบริษัทไม่ดําเนินการแก้ไขความชํารุดบกพร่องห้องชุดตามสัญญา กรณีบริษัทผิดสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดโดยการขายให้บุคคลอื่น กรณีผิดสัญญาเนื่องจากไม่มีที่จอดรถประจําให้ตามสัญญา นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณามีมติให้ดําเนินคดีด้านสินค้าและบริการ ประกอบด้วย กรณีผิดสัญญาประนีประนอมยอมความให้ชําระเงินคืนตามสัญญาว่าจ้างตกแต่งสถานที่จัดงาน กรณีผิดสัญญาว่าจ้างพนักงานแม่บ้านให้ดูแลผู้สูงอายุ กรณีผู้บริโภคกินอาหารเสริมแล้วเสียชีวิต จึงมีมติฟ้องให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทน กรณีผิดสัญญาว่าจ้างติดตั้งเหล็กดัด มุ้งลวด และวอลเปเปอร์ รวมถึงได้มีการพิจารณาดําเนินคดีด้านโฆษณา ประกอบด้วย กรณีผู้ประกอบการสถานเสริมความงามปิดกิจการ ทําให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย และกรณีที่บริษัทเชิญชวนให้สมัครคอร์สสัมมนา แต่ไม่สามารถดําเนินการได้ตามสัญญา รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ได้สั่งการ สคบ. เร่งติดตามกรณีประชาชนซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้วไม่ได้รับความเป็นธรรม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พร้อมทั้ง สั่งการให้ สคบ. ติดตามกรณีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการซื้อสิ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31151
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. สั่งช่วยลูกจ้างบอดี้ แฟชั่น นครสวรรค์
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563 กสร. สั่งช่วยลูกจ้างบอดี้ แฟชั่น นครสวรรค์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สั่งเร่งช่วย 753 ลูกจ้าง บริษัท บอดี้ แฟชั่น นครสวรรค์ ถูกลอยแพ หลังนายจ้างประกาศเลิกจ้างกะทันหัน สั่งติดตามค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์โดยเร็ว พร้อมประสานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานเข้าดูแล นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวถึงการดําเนินการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างบริษัท บอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย) จํากัด สาขานครสวรรค์ ที่ถูกเลิกจ้างว่า ในวันนี้ (31 กรกฎาคม 2563) ลูกจ้างบริษัท บอดี้แฟชั่น (ประเทศไทย) จํากัด สาขานครสวรรค์ ได้มีการชุมนุมหน้าบริษัทเนื่องจากลูกจ้างได้กลับเข้าทํางานหลังจากที่บริษัทได้ประกาศหยุดงานเหตุสุดวิสัย ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม ถึง 30 กรกฎาคม 2563 และให้ลูกจ้างรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานร้อยละ 62 ของค่าจ้าง จากสํานักงานประกันสังคม อันเนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อครบกําหนดตามที่ประกาศหยุดงานในวันนี้ ลูกจ้างได้กลับเข้าทํางานตามปกติแต่ไม่สามารถเข้าทํางานได้เพราะนายจ้างปิดประตูทางเข้าบริษัทและติดประกาศเลิกจ้างโดยอ้างว่าลูกจ้างได้ละทิ้งหน้าที่เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 ทําให้บริษัทได้รับความเสียหายถือเป็นการกระทําอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้างและเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางานกรณีร้ายแรงจึงเลิกจ้างโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จ่ายค่าชดเชย โดยให้มีผลเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป จากนั้นลูกจ้างจํานวน 753 คน จึงได้เดินทางมายื่นคําร้องกับพนักงานตรวจแรงงานที่สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อให้นายจ้างจ่ายค่าจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยตามกฎหมาย อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า ทันทีที่ได้รับคําร้องจากลูกจ้างจึงได้สั่งการให้สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานติดตามให้ความช่วยเหลือลูกจ้างอย่างใกล้ชิด และเร่งดําเนินการวินิจฉัยคําร้องโดยเร็ว พร้อมทั้งได้ประสานกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานได้แก่ สํานักงานประกันสังคมจังหวัดนครสวรรค์ สํานักงานจัดหางานจังหวัดนครสวรรค์ในการชี้แจงสิทธิของลูกจ้าง ทั้งในเรื่องของการหาตําแหน่งงานว่าง การดูแลสิทธิในฐานะผู้ประกันตนเพื่อดําเนินการจ่ายเงินทดแทนกรณีว่างงานอีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. สั่งช่วยลูกจ้างบอดี้ แฟชั่น นครสวรรค์ วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563 กสร. สั่งช่วยลูกจ้างบอดี้ แฟชั่น นครสวรรค์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สั่งเร่งช่วย 753 ลูกจ้าง บริษัท บอดี้ แฟชั่น นครสวรรค์ ถูกลอยแพ หลังนายจ้างประกาศเลิกจ้างกะทันหัน สั่งติดตามค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์โดยเร็ว พร้อมประสานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานเข้าดูแล นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวถึงการดําเนินการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างบริษัท บอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย) จํากัด สาขานครสวรรค์ ที่ถูกเลิกจ้างว่า ในวันนี้ (31 กรกฎาคม 2563) ลูกจ้างบริษัท บอดี้แฟชั่น (ประเทศไทย) จํากัด สาขานครสวรรค์ ได้มีการชุมนุมหน้าบริษัทเนื่องจากลูกจ้างได้กลับเข้าทํางานหลังจากที่บริษัทได้ประกาศหยุดงานเหตุสุดวิสัย ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม ถึง 30 กรกฎาคม 2563 และให้ลูกจ้างรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานร้อยละ 62 ของค่าจ้าง จากสํานักงานประกันสังคม อันเนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อครบกําหนดตามที่ประกาศหยุดงานในวันนี้ ลูกจ้างได้กลับเข้าทํางานตามปกติแต่ไม่สามารถเข้าทํางานได้เพราะนายจ้างปิดประตูทางเข้าบริษัทและติดประกาศเลิกจ้างโดยอ้างว่าลูกจ้างได้ละทิ้งหน้าที่เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 ทําให้บริษัทได้รับความเสียหายถือเป็นการกระทําอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้างและเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางานกรณีร้ายแรงจึงเลิกจ้างโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จ่ายค่าชดเชย โดยให้มีผลเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป จากนั้นลูกจ้างจํานวน 753 คน จึงได้เดินทางมายื่นคําร้องกับพนักงานตรวจแรงงานที่สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อให้นายจ้างจ่ายค่าจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยตามกฎหมาย อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า ทันทีที่ได้รับคําร้องจากลูกจ้างจึงได้สั่งการให้สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานติดตามให้ความช่วยเหลือลูกจ้างอย่างใกล้ชิด และเร่งดําเนินการวินิจฉัยคําร้องโดยเร็ว พร้อมทั้งได้ประสานกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานได้แก่ สํานักงานประกันสังคมจังหวัดนครสวรรค์ สํานักงานจัดหางานจังหวัดนครสวรรค์ในการชี้แจงสิทธิของลูกจ้าง ทั้งในเรื่องของการหาตําแหน่งงานว่าง การดูแลสิทธิในฐานะผู้ประกันตนเพื่อดําเนินการจ่ายเงินทดแทนกรณีว่างงานอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33836
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ฯ นำเงินบริจาคส่งมอบรัฐบาลช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560 ก.วิทย์ฯ นําเงินบริจาคส่งมอบรัฐบาลช่วยผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ ก.วิทย์ฯ นําเงินบริจาคส่งมอบรัฐบาลช่วยผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ 15 มกราคม 2560 / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมคณะ มอบเงินบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรีของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และเครื่อข่ายประชารัฐ รวมเป็นเงินจํานวน 1,560,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนหกหมื่นบาท) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับมอบ นอกจากนี้ ดร.อรรชกา สีบุญเรือง ได้รับโทรศัพท์จากผู้บริจาคที่ประสงค์จะร่วมบริจาคเข้ากองทุนดังกล่าวฯ ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง และ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ร่วมเป็นประธานในพิธีน้ําใจชาว “ตลาดนัดวิถิวิทย์ 2560” ช่วยผู้ประสบภัยน้ําท่วมชาวใต้ ณ คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้นําเงินบริจาคจากการขายเสื้อการกุศลและไข่ไก่ ภายในงาน “ตลาดนัดวิถิวิทย์ 2560” จํานวนเงิน 61,716 บาท (หกหมื่นหนึ่งพันเจ็ดร้อยสิบหกบาทถ้วน) ส่งมอบเพื่อสมทบทุนให้แก่รัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมใน 11 จังหวัดภาคใต้ โดยมี รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นผู้ส่งมอบผ่าน นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail :pr@most.most.go.th Facebook : sciencethailand
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ฯ นำเงินบริจาคส่งมอบรัฐบาลช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560 ก.วิทย์ฯ นําเงินบริจาคส่งมอบรัฐบาลช่วยผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ ก.วิทย์ฯ นําเงินบริจาคส่งมอบรัฐบาลช่วยผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ 15 มกราคม 2560 / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมคณะ มอบเงินบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรีของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และเครื่อข่ายประชารัฐ รวมเป็นเงินจํานวน 1,560,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนหกหมื่นบาท) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับมอบ นอกจากนี้ ดร.อรรชกา สีบุญเรือง ได้รับโทรศัพท์จากผู้บริจาคที่ประสงค์จะร่วมบริจาคเข้ากองทุนดังกล่าวฯ ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง และ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ร่วมเป็นประธานในพิธีน้ําใจชาว “ตลาดนัดวิถิวิทย์ 2560” ช่วยผู้ประสบภัยน้ําท่วมชาวใต้ ณ คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้นําเงินบริจาคจากการขายเสื้อการกุศลและไข่ไก่ ภายในงาน “ตลาดนัดวิถิวิทย์ 2560” จํานวนเงิน 61,716 บาท (หกหมื่นหนึ่งพันเจ็ดร้อยสิบหกบาทถ้วน) ส่งมอบเพื่อสมทบทุนให้แก่รัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมใน 11 จังหวัดภาคใต้ โดยมี รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นผู้ส่งมอบผ่าน นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail :pr@most.most.go.th Facebook : sciencethailand
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1485
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตือนประชาชนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน แนะระวังอันตรายจากฟ้าผ่า
วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2561 สธ.เตือนประชาชนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน แนะระวังอันตรายจากฟ้าผ่า กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ในช่วงวันที่ 24 - 27 เมษายน 2561 ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และฟ้าผ่า และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ โดยจะมีผลกระทบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า สําหรับเกษตรกรที่อยู่ในท้องนาและในบริเวณที่โล่งแจ้ง ควรหาที่หลบที่ปลอดภัยทันที โดยเป็นสิ่งปลูกสร้างที่แข็งแรงหากได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทรขอความช่วยเหลือได้ที่หมายเลข 1669 ในส่วนของสถานบริการสาธารณสุข ได้กําชับให้ติดตามสถานการณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และเตรียมแผนรับมือไม่ให้กระทบบริการประชาชน โดยสํารวจความแข็งแรงของอาคารหลังคาป้ายประกาศ ไฟส่องสว่าง ตัดแต่งต้นไม้ รื้อถอนป้าย สิ่งก่อสร้างที่เป็นอันตราย พร้อมซ่อมแซมให้มีความปลอดภัยตรวจสอบระบบระบายน้ําทําความสะอาดรางน้ําฝน ท่อระบายน้ําไม่ให้อุดตัน ขนย้ายเวชภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ไว้ในที่สูง เตรียมระบบสํารองไฟสํารองยาเวชภัณฑ์ น้ํามัน ออกซิเจน และทรัพยากรต่าง ๆ ที่จําเป็นต่อการจัดบริการประชาชนให้เพียงพอ และเตรียมแผนการจัดบริการนอกสถานที่และแผนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย กรณีไม่สามารถให้บริการตามแผนทางวางไว้หากต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนสามารถติดต่อกองสาธารณสุขฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตือนประชาชนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน แนะระวังอันตรายจากฟ้าผ่า วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2561 สธ.เตือนประชาชนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน แนะระวังอันตรายจากฟ้าผ่า กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ในช่วงวันที่ 24 - 27 เมษายน 2561 ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และฟ้าผ่า และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ โดยจะมีผลกระทบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า สําหรับเกษตรกรที่อยู่ในท้องนาและในบริเวณที่โล่งแจ้ง ควรหาที่หลบที่ปลอดภัยทันที โดยเป็นสิ่งปลูกสร้างที่แข็งแรงหากได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทรขอความช่วยเหลือได้ที่หมายเลข 1669 ในส่วนของสถานบริการสาธารณสุข ได้กําชับให้ติดตามสถานการณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และเตรียมแผนรับมือไม่ให้กระทบบริการประชาชน โดยสํารวจความแข็งแรงของอาคารหลังคาป้ายประกาศ ไฟส่องสว่าง ตัดแต่งต้นไม้ รื้อถอนป้าย สิ่งก่อสร้างที่เป็นอันตราย พร้อมซ่อมแซมให้มีความปลอดภัยตรวจสอบระบบระบายน้ําทําความสะอาดรางน้ําฝน ท่อระบายน้ําไม่ให้อุดตัน ขนย้ายเวชภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ไว้ในที่สูง เตรียมระบบสํารองไฟสํารองยาเวชภัณฑ์ น้ํามัน ออกซิเจน และทรัพยากรต่าง ๆ ที่จําเป็นต่อการจัดบริการประชาชนให้เพียงพอ และเตรียมแผนการจัดบริการนอกสถานที่และแผนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย กรณีไม่สามารถให้บริการตามแผนทางวางไว้หากต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนสามารถติดต่อกองสาธารณสุขฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชั่วโมง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11665
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปหลักการเบื้องต้นกำหนดราคาอ้อยขั้นต้น พร้อมบังคับใช้ก่อนการเปิดหีบอ้อยในฤดูการผลิตปี 2560/2561
วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2560 สรุปหลักการเบื้องต้นกําหนดราคาอ้อยขั้นต้น พร้อมบังคับใช้ก่อนการเปิดหีบอ้อยในฤดูการผลิตปี 2560/2561 สอน.สรุปหลักการเบื้องต้นกําหนดราคาอ้อยขั้นต้น พร้อมบังคับใช้ก่อนการเปิดหีบอ้อยในฤดูการผลิตปี 2560/2561 นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย กล่าวถึงกรณีที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยและผู้ประกอบการโรงงานน้ําตาล มีความกังวลในหลักการปฏิบัติและการกําหนดราคาอ้อยขั้นต้นว่าอาจจะไม่ทันก่อนการเปิดหีบอ้อย ฤดูกาลผลิต ปี 2560/61 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายทั้งระบบนั้น นางวรวรรณ ชิตอรุณ เปิดเผยว่า สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ได้มีการประชุมหารือระหว่างฝ่ายชาวไร่อ้อย โรงงานน้ําตาล และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง มาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง และเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2560 ได้มีการหารือกับผู้แทนชาวไร่อ้อยและผู้แทนโรงงานน้ําตาล จนสามารถหาข้อยุติในหลักการเบื้องต้นได้แล้ว โดยมีแนวทางบริหารราคาน้ําตาลทรายตามกลไกของตลาด และการยกเลิกโควตาน้ําตาลทรายเพื่อให้สอดคล้องต่อหลักเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) และจะดําเนินการหารือเพื่อจัดทํารายละเอียดในการดําเนินการ ภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งตามขั้นตอนจะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงระเบียบ และประกาศที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน เดือนตุลาคม หรือไม่เกินต้นเดือนพฤศจิกายน 2560 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ และพร้อมนําไปดําเนินการก่อนการเปิดหีบอ้อยในฤดูการผลิตปี 2560/2561 ต่อไป รวมทั้งการกําหนดราคาอ้อยขั้นต้นในฤดูการผลิต ปี 2560/61 ก่อนการเปิดหีบอ้อยได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ สํานักงานได้สอบถามไปยัง 3 สมาคมโรงงานน้ําตาลทราย และได้รับคําชี้แจงว่าข้อมูลที่ปรากฏตามข่าวดังกล่าว เป็นข้อมูลช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปหลักการเบื้องต้นกำหนดราคาอ้อยขั้นต้น พร้อมบังคับใช้ก่อนการเปิดหีบอ้อยในฤดูการผลิตปี 2560/2561 วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2560 สรุปหลักการเบื้องต้นกําหนดราคาอ้อยขั้นต้น พร้อมบังคับใช้ก่อนการเปิดหีบอ้อยในฤดูการผลิตปี 2560/2561 สอน.สรุปหลักการเบื้องต้นกําหนดราคาอ้อยขั้นต้น พร้อมบังคับใช้ก่อนการเปิดหีบอ้อยในฤดูการผลิตปี 2560/2561 นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย กล่าวถึงกรณีที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยและผู้ประกอบการโรงงานน้ําตาล มีความกังวลในหลักการปฏิบัติและการกําหนดราคาอ้อยขั้นต้นว่าอาจจะไม่ทันก่อนการเปิดหีบอ้อย ฤดูกาลผลิต ปี 2560/61 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายทั้งระบบนั้น นางวรวรรณ ชิตอรุณ เปิดเผยว่า สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ได้มีการประชุมหารือระหว่างฝ่ายชาวไร่อ้อย โรงงานน้ําตาล และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง มาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง และเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2560 ได้มีการหารือกับผู้แทนชาวไร่อ้อยและผู้แทนโรงงานน้ําตาล จนสามารถหาข้อยุติในหลักการเบื้องต้นได้แล้ว โดยมีแนวทางบริหารราคาน้ําตาลทรายตามกลไกของตลาด และการยกเลิกโควตาน้ําตาลทรายเพื่อให้สอดคล้องต่อหลักเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) และจะดําเนินการหารือเพื่อจัดทํารายละเอียดในการดําเนินการ ภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งตามขั้นตอนจะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงระเบียบ และประกาศที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน เดือนตุลาคม หรือไม่เกินต้นเดือนพฤศจิกายน 2560 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ และพร้อมนําไปดําเนินการก่อนการเปิดหีบอ้อยในฤดูการผลิตปี 2560/2561 ต่อไป รวมทั้งการกําหนดราคาอ้อยขั้นต้นในฤดูการผลิต ปี 2560/61 ก่อนการเปิดหีบอ้อยได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ สํานักงานได้สอบถามไปยัง 3 สมาคมโรงงานน้ําตาลทราย และได้รับคําชี้แจงว่าข้อมูลที่ปรากฏตามข่าวดังกล่าว เป็นข้อมูลช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7201
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมการประกวดวงโยธวาทิตโลก (ประเทศไทย) เข้าพบผู้บริหาร ศธ.
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2560 สมาคมการประกวดวงโยธวาทิตโลก (ประเทศไทย) เข้าพบผู้บริหาร ศธ. สมาคมการประกวดวงโยธวาทิตโลก (ประเทศไทย) นําคณะวงโยธวาทิตซึ่งชนะเลิศระดับโลก 3 วง โชว์การแสดงประเภท DrumLine Battle, BrassLine Battle และ Marching Show Band Open Class ให้คณะผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการร่วมรับชมรับฟัง อาทิ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ, นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ณ สนามหญ้าหน้าอาคารราชวัลลภ ก่อนการแสดงดังกล่าว ตัวแทนสมาคมฯ เข้ารับฟังแนวทางการส่งเสริมการประกวดวงโยธวาทิตระดับโลกในประเทศไทยจาก รมว.ศึกษาธิการ และคณะผู้บริหาร เพื่อต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการประกวดในภูมิภาคเอเชีย โดยขณะนี้สมาคมฯ เป็นองค์กรที่ดูแลจัดการแข่งขันการประกวด "วงโยธวาทิตโลก หรือ Thailand World Music Championships" ซึ่งได้รับการยอมรับจากนานาชาติมากขึ้น นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า การจัดทําวงโยธวาทิต เป็นเรื่องที่ต้องใช้งบประมาณจํานวนมากในการจัดซื้ออุปกรณ์ รวมทั้งการฝึกซ้อม และเดินทางไปแข่งขัน ซึ่งที่ผ่านมาโรงเรียนหลายแห่งจําเป็นจะต้องระดมหาเงินสนับสนุนด้วยตนเอง เพื่อนําไปจัดซื้ออุปกรณ์ดนตรีหรือเดินทางไปแข่งขันในระดับต่าง ๆ รวมทั้งนักเรียน-ครูผู้ฝึกสอนต่างต้องเสียสละเวลาส่วนตัวในการซ้อมร่วมกันเป็นร้อยเป็นพันชั่วโมง จึงขอแสดงความยินดีต่อวงโยธวาทิตที่ชนะเลิศในการแข่งขันรายการต่าง ๆ ที่ได้มาแสดงในครั้งนี้ ซึ่งเป็นผู้ที่ทําชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ และมีวินัยในการฝึกซ้อมร่วมกันมาโดยตลอด เรื่อง "วินัย" ถือเป็นเรื่องสําคัญตามพระราชกระแสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรในหลวงรัชกาลที่10ที่ต้องการให้เด็ก ๆ ได้รับการฝึกทางด้านวินัย อันจะส่งผลต่อพื้นฐานชีวิตหรืออุปนิสัยที่มั่นคงเข้มแข็ง นําไปสู่การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม (Character Education) ต่อไป ทั้งนี้ จากการหารือกับคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการที่ได้มารับชมรับฟังแล้ว กระทรวงศึกษาธิการยินดีที่จะพิจารณาให้การสนับสนุนต่อไป ซึ่งอาจจะเป็นเงินเหลือจ่ายของกระทรวงในช่วงสิ้นปีงบประมาณ เพราะนอกจากกระทรวงศึกษาธิการจะนําไปใช้เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนและการศึกษาในโครงการที่สําคัญ เช่น การช่วยเหลือโรงเรียนที่ขาดแคลนหรือโรงเรียนICUการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ การส่งเสริมสะเต็มศึกษา การส่งเสริมเด็กพิการและเด็กด้อยโอกาส ฯลฯ แล้ว ในด้านดนตรีและกีฬา ก็จะให้ สพฐ.พิจารณาให้การสนับสนุนต่อไป สําหรับการประกวด"วงโยธวาทิตโลก หรือ Thailand World Music Championships"เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2553 ในครั้งแรกนั้น เป็นการประกวดในระดับนานาชาติ หรือ Thailand International Marching Band Competition มีชื่อย่อว่า "TIMBC" โดยมีวงโยธวาทิตจากต่างประเทศเข้าร่วมประกวด ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง ณ สนามศุภชลาศัย ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีวงโยธวาทิตจากต่างประเทศเข้าร่วมการประกวด และได้มีการจัดการประกวดประเภท Street Parade และประเภท DrumLine Battle ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย บนถนนพระราม 1 อีกด้วย ในปี 2556 ได้เปลี่ยนชื่อการประกวดเป็น "การประกวดวงโยธวาทิตโลก หรือ Thailand World Music Championships" และได้ทําการเปลี่ยนโลโก้ใหม่ โดยเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป พร้อมทั้งได้มีการเพิ่มเติมประเภทของการประกวด คือ BrassLine Battle โดยสมาคมเป็นผู้คิดค้นการประกวดประกวด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการประกวดในประเภทนี้ และปัจุบันได้ความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ ต่อมาในปี 2557 ได้มีการจัดตั้งสมาคมขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “สมาคมการประกวดวงโยธวาทิตโลก (ประเทศไทย)” เพื่อเป็นการพัฒนาการประกวดวงโยธวาทิต และกิจกรรมวงโยธวาทิตของประเทศไทยให้มีศักยภาพยิ่งขึ้นไป ในปี 2559 สมาคมฯ ได้รับถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และถ้วยประทานจากพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เพื่อเป็นรางวัลแก่วงโยธวาทิตที่ชนะเลิศในการประกวดวงโยธวาทิตโลก"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมการประกวดวงโยธวาทิตโลก (ประเทศไทย) เข้าพบผู้บริหาร ศธ. วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2560 สมาคมการประกวดวงโยธวาทิตโลก (ประเทศไทย) เข้าพบผู้บริหาร ศธ. สมาคมการประกวดวงโยธวาทิตโลก (ประเทศไทย) นําคณะวงโยธวาทิตซึ่งชนะเลิศระดับโลก 3 วง โชว์การแสดงประเภท DrumLine Battle, BrassLine Battle และ Marching Show Band Open Class ให้คณะผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการร่วมรับชมรับฟัง อาทิ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ, นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ณ สนามหญ้าหน้าอาคารราชวัลลภ ก่อนการแสดงดังกล่าว ตัวแทนสมาคมฯ เข้ารับฟังแนวทางการส่งเสริมการประกวดวงโยธวาทิตระดับโลกในประเทศไทยจาก รมว.ศึกษาธิการ และคณะผู้บริหาร เพื่อต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการประกวดในภูมิภาคเอเชีย โดยขณะนี้สมาคมฯ เป็นองค์กรที่ดูแลจัดการแข่งขันการประกวด "วงโยธวาทิตโลก หรือ Thailand World Music Championships" ซึ่งได้รับการยอมรับจากนานาชาติมากขึ้น นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า การจัดทําวงโยธวาทิต เป็นเรื่องที่ต้องใช้งบประมาณจํานวนมากในการจัดซื้ออุปกรณ์ รวมทั้งการฝึกซ้อม และเดินทางไปแข่งขัน ซึ่งที่ผ่านมาโรงเรียนหลายแห่งจําเป็นจะต้องระดมหาเงินสนับสนุนด้วยตนเอง เพื่อนําไปจัดซื้ออุปกรณ์ดนตรีหรือเดินทางไปแข่งขันในระดับต่าง ๆ รวมทั้งนักเรียน-ครูผู้ฝึกสอนต่างต้องเสียสละเวลาส่วนตัวในการซ้อมร่วมกันเป็นร้อยเป็นพันชั่วโมง จึงขอแสดงความยินดีต่อวงโยธวาทิตที่ชนะเลิศในการแข่งขันรายการต่าง ๆ ที่ได้มาแสดงในครั้งนี้ ซึ่งเป็นผู้ที่ทําชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ และมีวินัยในการฝึกซ้อมร่วมกันมาโดยตลอด เรื่อง "วินัย" ถือเป็นเรื่องสําคัญตามพระราชกระแสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรในหลวงรัชกาลที่10ที่ต้องการให้เด็ก ๆ ได้รับการฝึกทางด้านวินัย อันจะส่งผลต่อพื้นฐานชีวิตหรืออุปนิสัยที่มั่นคงเข้มแข็ง นําไปสู่การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม (Character Education) ต่อไป ทั้งนี้ จากการหารือกับคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการที่ได้มารับชมรับฟังแล้ว กระทรวงศึกษาธิการยินดีที่จะพิจารณาให้การสนับสนุนต่อไป ซึ่งอาจจะเป็นเงินเหลือจ่ายของกระทรวงในช่วงสิ้นปีงบประมาณ เพราะนอกจากกระทรวงศึกษาธิการจะนําไปใช้เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนและการศึกษาในโครงการที่สําคัญ เช่น การช่วยเหลือโรงเรียนที่ขาดแคลนหรือโรงเรียนICUการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ การส่งเสริมสะเต็มศึกษา การส่งเสริมเด็กพิการและเด็กด้อยโอกาส ฯลฯ แล้ว ในด้านดนตรีและกีฬา ก็จะให้ สพฐ.พิจารณาให้การสนับสนุนต่อไป สําหรับการประกวด"วงโยธวาทิตโลก หรือ Thailand World Music Championships"เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2553 ในครั้งแรกนั้น เป็นการประกวดในระดับนานาชาติ หรือ Thailand International Marching Band Competition มีชื่อย่อว่า "TIMBC" โดยมีวงโยธวาทิตจากต่างประเทศเข้าร่วมประกวด ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง ณ สนามศุภชลาศัย ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีวงโยธวาทิตจากต่างประเทศเข้าร่วมการประกวด และได้มีการจัดการประกวดประเภท Street Parade และประเภท DrumLine Battle ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย บนถนนพระราม 1 อีกด้วย ในปี 2556 ได้เปลี่ยนชื่อการประกวดเป็น "การประกวดวงโยธวาทิตโลก หรือ Thailand World Music Championships" และได้ทําการเปลี่ยนโลโก้ใหม่ โดยเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป พร้อมทั้งได้มีการเพิ่มเติมประเภทของการประกวด คือ BrassLine Battle โดยสมาคมเป็นผู้คิดค้นการประกวดประกวด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการประกวดในประเภทนี้ และปัจุบันได้ความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ ต่อมาในปี 2557 ได้มีการจัดตั้งสมาคมขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “สมาคมการประกวดวงโยธวาทิตโลก (ประเทศไทย)” เพื่อเป็นการพัฒนาการประกวดวงโยธวาทิต และกิจกรรมวงโยธวาทิตของประเทศไทยให้มีศักยภาพยิ่งขึ้นไป ในปี 2559 สมาคมฯ ได้รับถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และถ้วยประทานจากพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เพื่อเป็นรางวัลแก่วงโยธวาทิตที่ชนะเลิศในการประกวดวงโยธวาทิตโลก"
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2607
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต ชื่นชม รพ.ด่านมะขามเตี้ย ปรับโฉมเป็นโรงพยาบาลในฝันของประชาชน
วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2562 รมช.สาธิต ชื่นชม รพ.ด่านมะขามเตี้ย ปรับโฉมเป็นโรงพยาบาลในฝันของประชาชน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชม โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ปรับสถานที่เป็นโรงพยาบาลในฝันของประชาชน นําเทคโนโลยีดิจิลทัลมาใช้ให้บริการ ลดแออัด ลดระยะเวลารอคอย จาก 64 นาทีเหลือเพียง 40 นาที เพิ่มความพึงพอใจร้อยละ 92.5 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชม โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ปรับสถานที่เป็นโรงพยาบาลในฝันของประชาชน นําเทคโนโลยีดิจิลทัลมาใช้ให้บริการ ลดแออัด ลดระยะเวลารอคอย จาก 64 นาทีเหลือเพียง 40 นาที เพิ่มความพึงพอใจร้อยละ 92.5 ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ว่า ขอชื่นชมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย ในการคิดนอกกรอบให้เป็นโรงพยาบาลในฝันนําเทคโนโลยีดิจิลทัลมาปรับเปลี่ยนระบบบริการ อาทิ ระบบเรียกคิวอัตโนมัติรู้ลําดับคิวตัวเองผ่านสมาร์ทโฟน ระบบจองคิวออนไลน์ จัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยด้วยอิเลคโทรนิกส์ไฟล์ บันทึกการตรวจรักษาด้วยระบบดิจิตอล (IPD Paper less) ปรับระบบนัดผู้ป่วยให้มาเหลื่อมเวลากันและยังปรับเวลาการทํางานของบุคลากร ทําให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็ว สามารถลดระยะเวลารอคอยผู้ป่วยนอกลดลงจาก 64 นาที เหลือเพียง 40 นาที ประชาชนมีความพึงพอใจร้อยละ 92.5 มีการจัดส่งยาผู้ป่วยถึงบ้าน เชื่อมโยงข้อมูลแผนการรักษาแบบไร้รอยต่อในผู้ป่วยโรคเรื้อรังเพื่อลดการมาโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังปรับภูมิทัศน์และโครงสร้างพื้นฐาน สะอาด สวยงาม ซึ่งเป็นไปตามนโยบายพัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นสมาร์ท ฮอสปิทัล (Smart Hospital) “การเป็น สมาร์ท ฮอสปิทัล ของ รพ.ด่านมะขามเตี้ย ถือได้ว่าประสบความสําเร็จ ทําให้เป็นโรงพยาบาลในฝันที่ทุกคนต้องการ โดยใช้เงินและทรัพยากรที่มีอยู่มาบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วยที่มาใช้บริการ สิ่งสําคัญที่ได้คือ ประชาชนในพื้นที่มีความพึงพอใจ บุคลากรในโรงพยาบาลก็มีความสุข สําหรับโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศสามารถนําไปเป็นต้นแบบได้ในเรื่องการจัดสถานที่ให้สวยงาม การใช้เทคโนโลยีจัดระบบคิว แต่ในส่วนอื่นๆก็ต้องดูเป็นกรณีไป เพราะว่าบริบทแต่ละพื้นที่แตกต่าง” ดร.สาธิตกล่าว ด้านนายแพทย์ประวัติ กิจธรรมกูลนิจ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย กล่าวว่า โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง มีประชากรทั้งหมด 33,259 คน เป็นสิทธิบัตรทอง 26,620 คน และสิทธิอื่นๆ ทําให้เกิดปัญหาวิกฤตสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลจึงได้ปรับเปลี่ยนพัฒนาตนเองโดยการนําเทคโนโลยีดิจิลทัลมาใช้จัดรูปแบบบริการใหม่ เช่น ลงทะเบียนเช็คสิทธิ์ผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยบัตร Smart Card ซึ่งประชาชนสามารถทําเองได้ สามารถลดขั้นตอน ลดเจ้าหน้าที่ให้บริการ ลดกระดาษ เน้นการพึ่งพาตนเอง ปรับเปลี่ยนรูปแบบสถานที่จากโรงพยาบาลรัฐให้กลายเป็นโรงพยาบาลเอกชน ภายใต้การรักษาตามสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่เพิ่มสะดวกสบายและลดเวลารอคอย ประชาชนพึงพอใจเข้ามารับบริการเพิ่มมากขึ้น นําไปสู่การเพิ่มรายได้ให้กับโรงพยาบาล สามารถแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของโรงพยาบาลได้สําเร็จ ทั้งนี้ โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย มีแผนพัฒนาต่อยอดให้เป็นโรงพยาบาลดิจิตอล (Digital hospital) นําเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อบริการทางการแพทย์และกระบวนการทํางานภายในโรงพยาบาลครอบคลุมทุกกลุ่มงานในโรงพยาบาล และเร่งพัฒนาระบบการตรวจรักษาทางไกล (Telemedicine) ให้ประชาชนชายขอบได้รับการรักษาใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล ลดภาระค่าใช้จ่าย *********************12 พฤศจิกายน 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต ชื่นชม รพ.ด่านมะขามเตี้ย ปรับโฉมเป็นโรงพยาบาลในฝันของประชาชน วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2562 รมช.สาธิต ชื่นชม รพ.ด่านมะขามเตี้ย ปรับโฉมเป็นโรงพยาบาลในฝันของประชาชน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชม โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ปรับสถานที่เป็นโรงพยาบาลในฝันของประชาชน นําเทคโนโลยีดิจิลทัลมาใช้ให้บริการ ลดแออัด ลดระยะเวลารอคอย จาก 64 นาทีเหลือเพียง 40 นาที เพิ่มความพึงพอใจร้อยละ 92.5 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชม โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ปรับสถานที่เป็นโรงพยาบาลในฝันของประชาชน นําเทคโนโลยีดิจิลทัลมาใช้ให้บริการ ลดแออัด ลดระยะเวลารอคอย จาก 64 นาทีเหลือเพียง 40 นาที เพิ่มความพึงพอใจร้อยละ 92.5 ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ว่า ขอชื่นชมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย ในการคิดนอกกรอบให้เป็นโรงพยาบาลในฝันนําเทคโนโลยีดิจิลทัลมาปรับเปลี่ยนระบบบริการ อาทิ ระบบเรียกคิวอัตโนมัติรู้ลําดับคิวตัวเองผ่านสมาร์ทโฟน ระบบจองคิวออนไลน์ จัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยด้วยอิเลคโทรนิกส์ไฟล์ บันทึกการตรวจรักษาด้วยระบบดิจิตอล (IPD Paper less) ปรับระบบนัดผู้ป่วยให้มาเหลื่อมเวลากันและยังปรับเวลาการทํางานของบุคลากร ทําให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็ว สามารถลดระยะเวลารอคอยผู้ป่วยนอกลดลงจาก 64 นาที เหลือเพียง 40 นาที ประชาชนมีความพึงพอใจร้อยละ 92.5 มีการจัดส่งยาผู้ป่วยถึงบ้าน เชื่อมโยงข้อมูลแผนการรักษาแบบไร้รอยต่อในผู้ป่วยโรคเรื้อรังเพื่อลดการมาโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังปรับภูมิทัศน์และโครงสร้างพื้นฐาน สะอาด สวยงาม ซึ่งเป็นไปตามนโยบายพัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นสมาร์ท ฮอสปิทัล (Smart Hospital) “การเป็น สมาร์ท ฮอสปิทัล ของ รพ.ด่านมะขามเตี้ย ถือได้ว่าประสบความสําเร็จ ทําให้เป็นโรงพยาบาลในฝันที่ทุกคนต้องการ โดยใช้เงินและทรัพยากรที่มีอยู่มาบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วยที่มาใช้บริการ สิ่งสําคัญที่ได้คือ ประชาชนในพื้นที่มีความพึงพอใจ บุคลากรในโรงพยาบาลก็มีความสุข สําหรับโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศสามารถนําไปเป็นต้นแบบได้ในเรื่องการจัดสถานที่ให้สวยงาม การใช้เทคโนโลยีจัดระบบคิว แต่ในส่วนอื่นๆก็ต้องดูเป็นกรณีไป เพราะว่าบริบทแต่ละพื้นที่แตกต่าง” ดร.สาธิตกล่าว ด้านนายแพทย์ประวัติ กิจธรรมกูลนิจ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย กล่าวว่า โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง มีประชากรทั้งหมด 33,259 คน เป็นสิทธิบัตรทอง 26,620 คน และสิทธิอื่นๆ ทําให้เกิดปัญหาวิกฤตสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลจึงได้ปรับเปลี่ยนพัฒนาตนเองโดยการนําเทคโนโลยีดิจิลทัลมาใช้จัดรูปแบบบริการใหม่ เช่น ลงทะเบียนเช็คสิทธิ์ผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยบัตร Smart Card ซึ่งประชาชนสามารถทําเองได้ สามารถลดขั้นตอน ลดเจ้าหน้าที่ให้บริการ ลดกระดาษ เน้นการพึ่งพาตนเอง ปรับเปลี่ยนรูปแบบสถานที่จากโรงพยาบาลรัฐให้กลายเป็นโรงพยาบาลเอกชน ภายใต้การรักษาตามสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่เพิ่มสะดวกสบายและลดเวลารอคอย ประชาชนพึงพอใจเข้ามารับบริการเพิ่มมากขึ้น นําไปสู่การเพิ่มรายได้ให้กับโรงพยาบาล สามารถแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของโรงพยาบาลได้สําเร็จ ทั้งนี้ โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย มีแผนพัฒนาต่อยอดให้เป็นโรงพยาบาลดิจิตอล (Digital hospital) นําเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อบริการทางการแพทย์และกระบวนการทํางานภายในโรงพยาบาลครอบคลุมทุกกลุ่มงานในโรงพยาบาล และเร่งพัฒนาระบบการตรวจรักษาทางไกล (Telemedicine) ให้ประชาชนชายขอบได้รับการรักษาใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล ลดภาระค่าใช้จ่าย *********************12 พฤศจิกายน 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24514
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กรมเจรจาฯ เผย “ซุปสำเร็จรูป” สินค้าดาวรุ่งช่วงโควิด-19 ชี้ตลาดที่ไทยมีเอฟทีเอโตแรง [กระทรวงพาณิชย์]
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563 ​กรมเจรจาฯ เผย “ซุปสําเร็จรูป” สินค้าดาวรุ่งช่วงโควิด-19 ชี้ตลาดที่ไทยมีเอฟทีเอโตแรง [กระทรวงพาณิชย์] ​กรมเจรจาฯ เผย “ซุปสําเร็จรูป” สินค้าดาวรุ่งช่วงโควิด-19 ชี้ตลาดที่ไทยมีเอฟทีเอโตแรง กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเผย “ซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูป” เป็นสินค้าดาวรุ่งตัวใหม่ของไทย หลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 ยอดส่งออก 4 เดือนปี 63 มูลค่า 26.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 26% ระบุตลาดที่ไทยมีเอฟทีเอด้วยขยายตัวได้ดี อาเซียนมาแรงเป็นอันดับ 1 ตามด้วยออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูป เช่น ซุปข้น ซุปเห็ด ซุปข้าวโพด ซุปไก่ ซุปปลา ซุปสําหรับเด็ก และซุปที่ต้องผสมน้ําร้อนก่อนรับประทาน กลายเป็นผลิตภัณฑ์แจ้งเกิดของไทย เพราะมีจุดเด่นของรสชาติอาหารไทยที่เป็นที่นิยมในต่างประเทศ และคนต้องการซื้อไปบริโภค เพื่อรองรับการเว้นระยะห่าง และรองรับการอยู่บ้านมากกว่าการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านของบางประเทศ ส่งผลให้การส่งออกของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 7 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป สหรัฐฯ แคนาดา เซเนกัล ญี่ปุ่น และจีน สําหรับในปี 2562 ไทยส่งออกซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูปไปตลาดโลกมูลค่า 64 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการส่งออกไปตลาดคู่ค้าเอฟทีเอมูลค่า 52 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนถึง 81.5% ของการส่งออกสินค้าซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูปทั้งหมดของไทย และในช่วง 4 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-เม.ย.) ไทยส่งออกซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูปไปตลาดโลกมูลค่า 26.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 26% โดยอาเซียนเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง มีมูลค่าส่งออก 9.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 30% มีเมียนมา กัมพูชา และฟิลิปปินส์ เป็นตลาดส่งออกหลัก ส่วนตลาดส่งออกสําคัญรองลงมา คือ ออสเตรเลีย มูลค่า 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 15% ญี่ปุ่น มูลค่า 3.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 17% และฮ่องกง มูลค่า 2.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 43% “ซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูป เป็นสินค้าที่มีโอกาสขยายตลาดส่งออก โดยเฉพาะในประเทศคู่ค้าที่ไทยมีเอฟทีเอด้วย ซึ่งปัจจุบันไทยมีคู่เอฟทีเอ 17 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ที่ไม่เก็บภาษีนําเข้าจากไทยแล้ว เหลือเพียงเกาหลีใต้ที่ยกเว้นเก็บภาษีนําเข้าอยู่ แต่ยังคงเก็บภาษีนําเข้าอาหารปรุงแต่งประเภทอื่นที่เป็นเนื้อเดียวกันที่ 24%” อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดสินค้าซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูปในประเทศจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่มูลค่าตลาดในต่างประเทศมีขนาดใหญ่กว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ จึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะขยายตลาดส่งออก ซึ่งในระยะยาวสินค้าซุปยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด เนื่องจากตอบโจทย์ผู้บริโภคที่นิยมสินค้าพร้อมทาน และสอดรับกับวิถีชีวิตที่เร่งรีบ และในปัจจุบันผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพในการพัฒนานวัตกรรมด้านการผลิตอาหารสําเร็จรูปให้มีคุณลักษณะเหมือนอาหารปรุงสด ทั้งรสชาติ เนื้อสัมผัส วัตถุดิบ และคุณค่าทางโภชนาการ จึงทําให้สินค้าไทยมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กรมเจรจาฯ เผย “ซุปสำเร็จรูป” สินค้าดาวรุ่งช่วงโควิด-19 ชี้ตลาดที่ไทยมีเอฟทีเอโตแรง [กระทรวงพาณิชย์] วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563 ​กรมเจรจาฯ เผย “ซุปสําเร็จรูป” สินค้าดาวรุ่งช่วงโควิด-19 ชี้ตลาดที่ไทยมีเอฟทีเอโตแรง [กระทรวงพาณิชย์] ​กรมเจรจาฯ เผย “ซุปสําเร็จรูป” สินค้าดาวรุ่งช่วงโควิด-19 ชี้ตลาดที่ไทยมีเอฟทีเอโตแรง กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเผย “ซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูป” เป็นสินค้าดาวรุ่งตัวใหม่ของไทย หลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 ยอดส่งออก 4 เดือนปี 63 มูลค่า 26.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 26% ระบุตลาดที่ไทยมีเอฟทีเอด้วยขยายตัวได้ดี อาเซียนมาแรงเป็นอันดับ 1 ตามด้วยออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูป เช่น ซุปข้น ซุปเห็ด ซุปข้าวโพด ซุปไก่ ซุปปลา ซุปสําหรับเด็ก และซุปที่ต้องผสมน้ําร้อนก่อนรับประทาน กลายเป็นผลิตภัณฑ์แจ้งเกิดของไทย เพราะมีจุดเด่นของรสชาติอาหารไทยที่เป็นที่นิยมในต่างประเทศ และคนต้องการซื้อไปบริโภค เพื่อรองรับการเว้นระยะห่าง และรองรับการอยู่บ้านมากกว่าการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านของบางประเทศ ส่งผลให้การส่งออกของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 7 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป สหรัฐฯ แคนาดา เซเนกัล ญี่ปุ่น และจีน สําหรับในปี 2562 ไทยส่งออกซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูปไปตลาดโลกมูลค่า 64 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการส่งออกไปตลาดคู่ค้าเอฟทีเอมูลค่า 52 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนถึง 81.5% ของการส่งออกสินค้าซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูปทั้งหมดของไทย และในช่วง 4 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-เม.ย.) ไทยส่งออกซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูปไปตลาดโลกมูลค่า 26.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 26% โดยอาเซียนเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง มีมูลค่าส่งออก 9.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 30% มีเมียนมา กัมพูชา และฟิลิปปินส์ เป็นตลาดส่งออกหลัก ส่วนตลาดส่งออกสําคัญรองลงมา คือ ออสเตรเลีย มูลค่า 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 15% ญี่ปุ่น มูลค่า 3.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 17% และฮ่องกง มูลค่า 2.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 43% “ซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูป เป็นสินค้าที่มีโอกาสขยายตลาดส่งออก โดยเฉพาะในประเทศคู่ค้าที่ไทยมีเอฟทีเอด้วย ซึ่งปัจจุบันไทยมีคู่เอฟทีเอ 17 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ที่ไม่เก็บภาษีนําเข้าจากไทยแล้ว เหลือเพียงเกาหลีใต้ที่ยกเว้นเก็บภาษีนําเข้าอยู่ แต่ยังคงเก็บภาษีนําเข้าอาหารปรุงแต่งประเภทอื่นที่เป็นเนื้อเดียวกันที่ 24%” อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดสินค้าซุปสําเร็จรูปและกึ่งสําเร็จรูปในประเทศจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่มูลค่าตลาดในต่างประเทศมีขนาดใหญ่กว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ จึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะขยายตลาดส่งออก ซึ่งในระยะยาวสินค้าซุปยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด เนื่องจากตอบโจทย์ผู้บริโภคที่นิยมสินค้าพร้อมทาน และสอดรับกับวิถีชีวิตที่เร่งรีบ และในปัจจุบันผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพในการพัฒนานวัตกรรมด้านการผลิตอาหารสําเร็จรูปให้มีคุณลักษณะเหมือนอาหารปรุงสด ทั้งรสชาติ เนื้อสัมผัส วัตถุดิบ และคุณค่าทางโภชนาการ จึงทําให้สินค้าไทยมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32545
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ นำคณะผู้แทนไทยร่วมประชุม “รัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ 2” ที่สิงคโปร์
วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน 2560 รมว.ดิจิทัลฯ นําคณะผู้แทนไทยร่วมประชุม “รัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ 2” ที่สิงคโปร์ รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นําคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม “รัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ 2 (The 2nd ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity)” ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมี ดร.ยาคอบ อิบราฮิม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของสาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นประธานการประชุมฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือเรื่องการลดความเหลื่อมล้ําด้านนโยบาย การพัฒนาศักยภาพด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในอาเซียน และความท้าทายในการสร้างความมั่นคงและความพร้อมรับมือบนโลกของไซเบอร์ โดยเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีที่มีหน้าที่ดูแลความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศจากกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ พร้อมด้วยตัวแทนจากประเทศออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมด้วย นอกจากนั้น ดร. พิเชฐฯ ยังได้มีโอกาสหารือทวิภาคีร่วมกับ นายร็อบ จอยซ (Mr.Rob Joyce) ผู้เชี่ยวชาญพิเศษของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ประจําทําเนียบขาว สหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการตระหนักถึงความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เอื้อต่อสภาพแวดล้อมในการดําเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน โดยเฉพาะการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสําคัญต่อภาครัฐและภาคเอกชน เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2560 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ *************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ นำคณะผู้แทนไทยร่วมประชุม “รัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ 2” ที่สิงคโปร์ วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน 2560 รมว.ดิจิทัลฯ นําคณะผู้แทนไทยร่วมประชุม “รัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ 2” ที่สิงคโปร์ รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นําคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม “รัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ 2 (The 2nd ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity)” ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมี ดร.ยาคอบ อิบราฮิม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของสาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นประธานการประชุมฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือเรื่องการลดความเหลื่อมล้ําด้านนโยบาย การพัฒนาศักยภาพด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในอาเซียน และความท้าทายในการสร้างความมั่นคงและความพร้อมรับมือบนโลกของไซเบอร์ โดยเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีที่มีหน้าที่ดูแลความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศจากกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ พร้อมด้วยตัวแทนจากประเทศออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมด้วย นอกจากนั้น ดร. พิเชฐฯ ยังได้มีโอกาสหารือทวิภาคีร่วมกับ นายร็อบ จอยซ (Mr.Rob Joyce) ผู้เชี่ยวชาญพิเศษของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ประจําทําเนียบขาว สหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการตระหนักถึงความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เอื้อต่อสภาพแวดล้อมในการดําเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน โดยเฉพาะการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสําคัญต่อภาครัฐและภาคเอกชน เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2560 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ *************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6843
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. เชิญชวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ในโครงการการเคหะแห่งชาติ สมัครสมาชิก กอช. รับสิทธิประโยชน์เพิ่ม 4 ต่อ”
วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562 “กอช. เชิญชวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ในโครงการการเคหะแห่งชาติ สมัครสมาชิก กอช. รับสิทธิประโยชน์เพิ่ม 4 ต่อ” กอช. เชิญชวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ในโครงการการเคหะแห่งชาติ ที่ยังไม่ได้รับสวัสดิการบํานาญจากรัฐบาลในการออมเงินกับ กอช. ไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี โดยสามารถสมัครสมาชิกออมเงินสะสมเพียง 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี พร้อมรับสิทธิประโยชน์เพิ่ม 4 ต่อ ในการเป็นสมาชิก กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เชิญชวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ในโครงการการเคหะแห่งชาติ ที่ยังไม่ได้รับสวัสดิการบํานาญจากรัฐบาลในการออมเงินกับ กอช. ไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี โดยสามารถสมัครสมาชิกออมเงินสะสมเพียง 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี พร้อมรับสิทธิประโยชน์เพิ่ม 4 ต่อ ในการเป็นสมาชิก กอช. ทั้งนี้สมาชิกที่ออมเงินสม่ําเสมอ หรือ ออมเงินเต็มจํานวน จะมีสิทธิ์ในการเป็นผู้โชคดีรับของสมนาคุณรางวัลใหญ่ ทองคํา และสลากออมสิน ในเดือนธันวาคม 2562 นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. เชิญชวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ในโครงการการเคหะแห่งชาติ ที่ยังไม่ได้รับสวัสดิการบํานาญจากรัฐบาลในการออมเงินกับ กอช. ไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี โดยสามารถสมัครสมาชิก และรับสิทธิประโยชน์เพิ่มอีก 4 ต่อ ดังนี้ ต่อที่ 1ได้รับเงินสมทบในแต่ละปีตามช่วงอายุของสมาชิก - ช่วงอายุ 15 - 30ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 600 บาทคิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 4.54%* - ช่วงอายุมากกว่า 30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 960 บาทคิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 7.27%* - ช่วงอายุมากกว่า 50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 1,200 บาทคิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 9.09%* *เงินสมทบจากรัฐบาลคิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากประจํา12 เดือน โดยประมาณ ต่อที่ 2 ผลประโยชน์ของเงินสะสม และเงินสมทบที่นําไปลงทุน ต่อที่ 3 ลดหย่อนภาษีได้เต็มจํานวนเงินออมสะสม ต่อที่ 4 สิทธิประโยชน์ส่วนลดสําหรับที่อยู่อาศัยในโครงการของการเคหะแห่งชาติในอัตราร้อยละ 5 ของค่าเช่า/เช่าซื้อตามสัญญารายเดือน ทั้งนี้ สมาชิกที่สมัคร พร้อมส่งเงินออมสะสมสม่ําเสมอหรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่องเต็มจํานวนเตรียมเป็นผู้โชคดีรับของสมนาคุณรางวัลใหญ่ ทองคํา และสลากออมสิน ในเดือนธันวาคม 2562 โดยสมาชิก กอช. สามารถส่งเงินออมสะสมผ่านแอปพลิเคชัน(Application) “กอช.”ได้ทั้งแอปสโตร์ (App Store) และเพลย์สโตร์ (Play Store) หรือ ทางธนาคารของรัฐบาลทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทย ที่ว่าการอําเภอ สํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน และพิเศษ สําหรับสมาชิก กอช. ที่ส่งเงินออมสะสมที่ เทสโก้ โลตัส พร้อมแสดงบัตรคลับการ์ด ตั้งแต่1 พ.ย. 62 – 31 ม.ค 63จะได้รับแต้มคลับการ์ด 300แต้มและส่วนลดเงินสดท้ายใบเสร็จ 10 บาททันทีเพื่อใช้เป็นส่วนลดในการซื้อของในเทสโก้ โลตัส จํานวน100บาทขึ้นไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออมโทร. 02-049-9000
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. เชิญชวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ในโครงการการเคหะแห่งชาติ สมัครสมาชิก กอช. รับสิทธิประโยชน์เพิ่ม 4 ต่อ” วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562 “กอช. เชิญชวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ในโครงการการเคหะแห่งชาติ สมัครสมาชิก กอช. รับสิทธิประโยชน์เพิ่ม 4 ต่อ” กอช. เชิญชวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ในโครงการการเคหะแห่งชาติ ที่ยังไม่ได้รับสวัสดิการบํานาญจากรัฐบาลในการออมเงินกับ กอช. ไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี โดยสามารถสมัครสมาชิกออมเงินสะสมเพียง 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี พร้อมรับสิทธิประโยชน์เพิ่ม 4 ต่อ ในการเป็นสมาชิก กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เชิญชวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ในโครงการการเคหะแห่งชาติ ที่ยังไม่ได้รับสวัสดิการบํานาญจากรัฐบาลในการออมเงินกับ กอช. ไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี โดยสามารถสมัครสมาชิกออมเงินสะสมเพียง 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี พร้อมรับสิทธิประโยชน์เพิ่ม 4 ต่อ ในการเป็นสมาชิก กอช. ทั้งนี้สมาชิกที่ออมเงินสม่ําเสมอ หรือ ออมเงินเต็มจํานวน จะมีสิทธิ์ในการเป็นผู้โชคดีรับของสมนาคุณรางวัลใหญ่ ทองคํา และสลากออมสิน ในเดือนธันวาคม 2562 นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. เชิญชวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ในโครงการการเคหะแห่งชาติ ที่ยังไม่ได้รับสวัสดิการบํานาญจากรัฐบาลในการออมเงินกับ กอช. ไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี โดยสามารถสมัครสมาชิก และรับสิทธิประโยชน์เพิ่มอีก 4 ต่อ ดังนี้ ต่อที่ 1ได้รับเงินสมทบในแต่ละปีตามช่วงอายุของสมาชิก - ช่วงอายุ 15 - 30ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 600 บาทคิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 4.54%* - ช่วงอายุมากกว่า 30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 960 บาทคิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 7.27%* - ช่วงอายุมากกว่า 50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 1,200 บาทคิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 9.09%* *เงินสมทบจากรัฐบาลคิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากประจํา12 เดือน โดยประมาณ ต่อที่ 2 ผลประโยชน์ของเงินสะสม และเงินสมทบที่นําไปลงทุน ต่อที่ 3 ลดหย่อนภาษีได้เต็มจํานวนเงินออมสะสม ต่อที่ 4 สิทธิประโยชน์ส่วนลดสําหรับที่อยู่อาศัยในโครงการของการเคหะแห่งชาติในอัตราร้อยละ 5 ของค่าเช่า/เช่าซื้อตามสัญญารายเดือน ทั้งนี้ สมาชิกที่สมัคร พร้อมส่งเงินออมสะสมสม่ําเสมอหรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่องเต็มจํานวนเตรียมเป็นผู้โชคดีรับของสมนาคุณรางวัลใหญ่ ทองคํา และสลากออมสิน ในเดือนธันวาคม 2562 โดยสมาชิก กอช. สามารถส่งเงินออมสะสมผ่านแอปพลิเคชัน(Application) “กอช.”ได้ทั้งแอปสโตร์ (App Store) และเพลย์สโตร์ (Play Store) หรือ ทางธนาคารของรัฐบาลทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทย ที่ว่าการอําเภอ สํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน และพิเศษ สําหรับสมาชิก กอช. ที่ส่งเงินออมสะสมที่ เทสโก้ โลตัส พร้อมแสดงบัตรคลับการ์ด ตั้งแต่1 พ.ย. 62 – 31 ม.ค 63จะได้รับแต้มคลับการ์ด 300แต้มและส่วนลดเงินสดท้ายใบเสร็จ 10 บาททันทีเพื่อใช้เป็นส่วนลดในการซื้อของในเทสโก้ โลตัส จํานวน100บาทขึ้นไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออมโทร. 02-049-9000
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24316
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กำชับป้องกันน้ำท่วม รับมือภัยแล้ง ย้ำศูนย์บริหาร ศก. ไม่ซ้ำซ้อน
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563 กําชับป้องกันน้ําท่วม รับมือภัยแล้ง ย้ําศูนย์บริหาร ศก. ไม่ซ้ําซ้อน -- #ไทยคู่ฟ้า น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กําชับให้ทุกส่วนราชการเร่งปฏิบัติตามแผนบริหารจัดการน้ําตามนโยบายรัฐบาลและ กอนช. ตัวอย่างเช่นที่ผ่านมา กรมเจ้าท่าได้ขุดลอกแม่น้ํายม ในพื้นที่ อ.วังชิ้น จ.แพร่ แก้ปัญหาแม่น้ําตื้นเขิน ทําให้แม่น้ําสามารถรองรับปริมาณน้ําหลากในช่วงฤดูฝนได้มากขึ้น และช่วยบรรเทาปัญหาน้ําท่วมได้ นอกจากนี้ ยังฝากให้เกษตรกรเก็บน้ําไว้ใช้ในพื้นที่ตัวเอง อย่าปล่อยทิ้งน้ําไปโดยเปล่าประโยชน์ สําหรับประเด็นที่บางคนมองว่า การตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจะไปซ้ําซ้อนกับการทํางานของกระทรวงและหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ นั้น ยืนยันว่า การทํางานของศูนย์ฯ ดังกล่าว จะช่วยแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจได้อย่างตรงจุด รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ไม่ซ้ําซ้อน เพราะเป็นการระดมความเห็น ความต้องการในระยะจําเป็นเร่งด่วน และลดผลกระทบในระยะกลางและระยะยาว นอกจากนี้ ที่มาของการจัดตั้งศูนย์ฯ ก็มาจากข้อเสนอของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมีความคล่องตัว และมีมุมมองที่รอบด้านมากขึ้น โดยจะประชุมนัดแรกในวันที่ 19 ส.ค. นี้ ส่วนการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันนั้น นายกรัฐมนตรีต้องการรับฟังข้อเสนอแนะในระดับจังหวัดโดยตรง โดยให้แต่ละจังหวัดระดมความเห็นของทุกภาคส่วน จัดทําเป็นข้อเสนอระยะเร่งด่วนต่อรัฐบาล ซึ่งจะมีรัฐมนตรีที่กํากับดูแลจังหวัดนั้น ๆ คอยติดตาม ช่วยเหลือ ให้คําแนะนํา เพื่อผลักดันให้การทํางานสัมฤทธิ์ผลโดยเร็ว และยืนยันว่าการทํางานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันไม่ซ้ําซ้อนกับกลไกรัฐที่มีอยู่ แต่เป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกันของทุกฝ่าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กำชับป้องกันน้ำท่วม รับมือภัยแล้ง ย้ำศูนย์บริหาร ศก. ไม่ซ้ำซ้อน วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563 กําชับป้องกันน้ําท่วม รับมือภัยแล้ง ย้ําศูนย์บริหาร ศก. ไม่ซ้ําซ้อน -- #ไทยคู่ฟ้า น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กําชับให้ทุกส่วนราชการเร่งปฏิบัติตามแผนบริหารจัดการน้ําตามนโยบายรัฐบาลและ กอนช. ตัวอย่างเช่นที่ผ่านมา กรมเจ้าท่าได้ขุดลอกแม่น้ํายม ในพื้นที่ อ.วังชิ้น จ.แพร่ แก้ปัญหาแม่น้ําตื้นเขิน ทําให้แม่น้ําสามารถรองรับปริมาณน้ําหลากในช่วงฤดูฝนได้มากขึ้น และช่วยบรรเทาปัญหาน้ําท่วมได้ นอกจากนี้ ยังฝากให้เกษตรกรเก็บน้ําไว้ใช้ในพื้นที่ตัวเอง อย่าปล่อยทิ้งน้ําไปโดยเปล่าประโยชน์ สําหรับประเด็นที่บางคนมองว่า การตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจะไปซ้ําซ้อนกับการทํางานของกระทรวงและหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ นั้น ยืนยันว่า การทํางานของศูนย์ฯ ดังกล่าว จะช่วยแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจได้อย่างตรงจุด รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ไม่ซ้ําซ้อน เพราะเป็นการระดมความเห็น ความต้องการในระยะจําเป็นเร่งด่วน และลดผลกระทบในระยะกลางและระยะยาว นอกจากนี้ ที่มาของการจัดตั้งศูนย์ฯ ก็มาจากข้อเสนอของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมีความคล่องตัว และมีมุมมองที่รอบด้านมากขึ้น โดยจะประชุมนัดแรกในวันที่ 19 ส.ค. นี้ ส่วนการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันนั้น นายกรัฐมนตรีต้องการรับฟังข้อเสนอแนะในระดับจังหวัดโดยตรง โดยให้แต่ละจังหวัดระดมความเห็นของทุกภาคส่วน จัดทําเป็นข้อเสนอระยะเร่งด่วนต่อรัฐบาล ซึ่งจะมีรัฐมนตรีที่กํากับดูแลจังหวัดนั้น ๆ คอยติดตาม ช่วยเหลือ ให้คําแนะนํา เพื่อผลักดันให้การทํางานสัมฤทธิ์ผลโดยเร็ว และยืนยันว่าการทํางานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันไม่ซ้ําซ้อนกับกลไกรัฐที่มีอยู่ แต่เป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกันของทุกฝ่าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34269
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ แก้ไขอนุสัญญาว่าด้วยการ ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ แก้ไขอนุสัญญาว่าด้วยการ ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ รอง นรม.พล.อ.ฉัตรชัย ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ วันนี้ (21 ธันวาคม 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ครั้งที่ 2/2561 สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมพิจารณาการแก้ไขข้อบทที่ 20 ของอนุสัญญาว่าด้วยการ ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of all Forms of Discrimination Against Women – CEDAW) และการปรับปรุงหรือแก้ไขระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ พ.ศ. 2551 โดยเห็นชอบการแก้ไขข้อบทที่ 20 ของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of all Forms of Discrimination Against Women – CEDAW) พร้อมมอบหมายฝ่ายเลขานุการดําเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ และได้เห็นชอบให้ปรับปรุงหรือแก้ไขระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมและประสานงานสตรี แห่งชาติ พ.ศ. 2551 เพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรียังได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ การกระทําความรุนแรงแก่เด็กและสตรี ตามที่ปรากฏตามสื่อในสังคมปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องของสภาพสังคมที่นับวันมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการหามาตรการป้องกัน รณรงค์ และร่วมกันแก้ไขปัญหารวมทั้งให้นําประเด็นดังกล่าวมารายงานความคืบหน้าในการประชุมครั้งต่อไปด้วย ................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ แก้ไขอนุสัญญาว่าด้วยการ ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ แก้ไขอนุสัญญาว่าด้วยการ ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ รอง นรม.พล.อ.ฉัตรชัย ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ วันนี้ (21 ธันวาคม 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ครั้งที่ 2/2561 สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมพิจารณาการแก้ไขข้อบทที่ 20 ของอนุสัญญาว่าด้วยการ ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of all Forms of Discrimination Against Women – CEDAW) และการปรับปรุงหรือแก้ไขระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ พ.ศ. 2551 โดยเห็นชอบการแก้ไขข้อบทที่ 20 ของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of all Forms of Discrimination Against Women – CEDAW) พร้อมมอบหมายฝ่ายเลขานุการดําเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ และได้เห็นชอบให้ปรับปรุงหรือแก้ไขระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมและประสานงานสตรี แห่งชาติ พ.ศ. 2551 เพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรียังได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ การกระทําความรุนแรงแก่เด็กและสตรี ตามที่ปรากฏตามสื่อในสังคมปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องของสภาพสังคมที่นับวันมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการหามาตรการป้องกัน รณรงค์ และร่วมกันแก้ไขปัญหารวมทั้งให้นําประเด็นดังกล่าวมารายงานความคืบหน้าในการประชุมครั้งต่อไปด้วย ................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17664
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันอังคารที่ 4 ธันวาคม 2561 เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (4 ธันวาคม 2561) เวลา 14.00 น. นายสตัฟฟาน แฮร์สเตริม (H.E. Mr. Staffan Herrström) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทยต่างแสดงความยินดีที่ไทยและสวีเดนมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและใกล้ชิดมานาน โดยปี 2561 เป็นปีที่ครบรอบ 150 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรียังแสดงความยินดีที่ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยอน อาร์. โฮล์มเกรน (Professor Jan R. Holmgren) ชาวสวีเดน ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจําปี พ.ศ. 2561 สาขาการสาธารณสุข จากการศึกษาค้นคว้าวิจัยร่วมกับศาสตราจารย์ นายแพทย์ จอห์น ดี. คลีเมนส์ (Professor John D. Clemens) ชาวอเมริกัน ในการพัฒนาวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคชนิดรับประทาน ซึ่งเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทยรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ชาวสวีเดนได้รับรางวัลดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งไทยและสวีเดนพร้อมกระชับความร่วมมือมากขึ้น โดยเฉพาะการไปมาหาสู่ของประชาชน ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การศึกษา และความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทยยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทย การเลือกตั้ง ความเท่าเทียมระหว่างเพศ และสถานการณ์ทางด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทยยินดีที่รัฐบาลไทยได้ออกกฎหมายที่ป้องกันการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศในการจ้างงาน ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งของรัฐบาลในการส่งเสริมความเท่าเทียม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันอังคารที่ 4 ธันวาคม 2561 เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (4 ธันวาคม 2561) เวลา 14.00 น. นายสตัฟฟาน แฮร์สเตริม (H.E. Mr. Staffan Herrström) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทยต่างแสดงความยินดีที่ไทยและสวีเดนมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและใกล้ชิดมานาน โดยปี 2561 เป็นปีที่ครบรอบ 150 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรียังแสดงความยินดีที่ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยอน อาร์. โฮล์มเกรน (Professor Jan R. Holmgren) ชาวสวีเดน ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจําปี พ.ศ. 2561 สาขาการสาธารณสุข จากการศึกษาค้นคว้าวิจัยร่วมกับศาสตราจารย์ นายแพทย์ จอห์น ดี. คลีเมนส์ (Professor John D. Clemens) ชาวอเมริกัน ในการพัฒนาวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคชนิดรับประทาน ซึ่งเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทยรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ชาวสวีเดนได้รับรางวัลดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งไทยและสวีเดนพร้อมกระชับความร่วมมือมากขึ้น โดยเฉพาะการไปมาหาสู่ของประชาชน ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การศึกษา และความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทยยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทย การเลือกตั้ง ความเท่าเทียมระหว่างเพศ และสถานการณ์ทางด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจําประเทศไทยยินดีที่รัฐบาลไทยได้ออกกฎหมายที่ป้องกันการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศในการจ้างงาน ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งของรัฐบาลในการส่งเสริมความเท่าเทียม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17306
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.สุริยะฯ ร่วมงานฉลองโต๊ะญี่ปุ่น (Japan Desk) ครบ 10 ปี สานความสัมพันธ์ความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น
วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 รมต.สุริยะฯ ร่วมงานฉลองโต๊ะญี่ปุ่น (Japan Desk) ครบ 10 ปี สานความสัมพันธ์ความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเฉลิมฉลองโต๊ะญี่ปุ่น (Japan Desk) ครบ 10 ปี สานความสัมพันธ์ ความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น วันนี้ ( 28 สิงหาคม 2562) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมเฉลิมฉลองโต๊ะญี่ปุ่น (Japan Desk) ครบ 10 ปี สานความสัมพันธ์ ความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น โดยภายในงานมีเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย ( Mr.Shiro SADOSHIMA Ambassador,Embassy of Japan in Thailand) ประธานกรรมการองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นหรือ เจโทร (Mr.Atsushi TAKETANI) และ ประธานและ CEO ขององค์การสนับสนุน SMEs แห่งประเทศญี่ปุ่น (Organization for SME and Regional Innovation of Japan – SMRJ - Mr.Atsushi TOYONAGA ) ร่วมในงานด้วย สําหรับความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่น กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้ริเริ่มพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างไทยกับญี่ปุ่นอย่างเป็นรูปธรรม โดยร่วมกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (The Japan External Trade Organization : JETRO) จัดตั้งโต๊ะญี่ปุ่น (Japan Desk) ขึ้น และมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2552 จากนั้นก็ได้พัฒนาและขยายความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น และหน่วยงานเอกชน รวมจํานวน 29 แห่ง รวมลงนาม 32 ฉบับ ซึ่งได้ดําเนินงานมาครบ 10 ปี โดยล่าสุดได้มีการรวบรวมตัวเลขการลงทุนจากจังหวัดที่ได้มีการลงนามความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม จํานวน 21 จังหวัด จากทั้งหมด 47 จังหวัดทั่วประเทศญี่ปุ่น พบว่ามีจํานวนบริษัทเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทั้งการลงทุนแบบ FDI แบบ Joint Venture และการนําเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาสร้างความเข้มแข็งให้แก่อุตสาหกรรมไทยเพิ่มขึ้น บริษัท เพิ่มขึ้นอีก 500 บริษัท คิดเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 70,000 ล้านบาท ------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.สุริยะฯ ร่วมงานฉลองโต๊ะญี่ปุ่น (Japan Desk) ครบ 10 ปี สานความสัมพันธ์ความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 รมต.สุริยะฯ ร่วมงานฉลองโต๊ะญี่ปุ่น (Japan Desk) ครบ 10 ปี สานความสัมพันธ์ความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเฉลิมฉลองโต๊ะญี่ปุ่น (Japan Desk) ครบ 10 ปี สานความสัมพันธ์ ความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น วันนี้ ( 28 สิงหาคม 2562) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมเฉลิมฉลองโต๊ะญี่ปุ่น (Japan Desk) ครบ 10 ปี สานความสัมพันธ์ ความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น โดยภายในงานมีเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย ( Mr.Shiro SADOSHIMA Ambassador,Embassy of Japan in Thailand) ประธานกรรมการองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นหรือ เจโทร (Mr.Atsushi TAKETANI) และ ประธานและ CEO ขององค์การสนับสนุน SMEs แห่งประเทศญี่ปุ่น (Organization for SME and Regional Innovation of Japan – SMRJ - Mr.Atsushi TOYONAGA ) ร่วมในงานด้วย สําหรับความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่น กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้ริเริ่มพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างไทยกับญี่ปุ่นอย่างเป็นรูปธรรม โดยร่วมกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (The Japan External Trade Organization : JETRO) จัดตั้งโต๊ะญี่ปุ่น (Japan Desk) ขึ้น และมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2552 จากนั้นก็ได้พัฒนาและขยายความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น และหน่วยงานเอกชน รวมจํานวน 29 แห่ง รวมลงนาม 32 ฉบับ ซึ่งได้ดําเนินงานมาครบ 10 ปี โดยล่าสุดได้มีการรวบรวมตัวเลขการลงทุนจากจังหวัดที่ได้มีการลงนามความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม จํานวน 21 จังหวัด จากทั้งหมด 47 จังหวัดทั่วประเทศญี่ปุ่น พบว่ามีจํานวนบริษัทเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทั้งการลงทุนแบบ FDI แบบ Joint Venture และการนําเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาสร้างความเข้มแข็งให้แก่อุตสาหกรรมไทยเพิ่มขึ้น บริษัท เพิ่มขึ้นอีก 500 บริษัท คิดเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 70,000 ล้านบาท ------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22586
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรกรภายในประเทศและส่งออก
วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม 2563 เร่งแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรกรภายในประเทศและส่งออก วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารที่สําคัญ 1 ใน 5 ของโลก และเตรียมแผนรองรับภาวะขาดแรงงานภาคเกษตร โดยจะเร่งแก้ไขปัญหาการค้าขายสินค้าเกษตรภายในประเทศและส่งออกในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก่อนเป็นอันดับแรก เช่น เปิดช่องทางซื้อขายออนไลน์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้เกษตรกรขายผลไม้ตามคําสั่งซื้อล่วงหน้า โดยลูกค้าสามารถรับสินค้าได้ที่ห้างสรรพสินค้า รณรงค์ให้สหกรณ์ทั่วประเทศสนับสนุนสินค้าจากเกษตรกร นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐจะรับซื้อสินค้าเกษตรทั่วไปและสินค้าเกษตรแปรรูปเพื่อนําไปบรรจุในถุงยังชีพแจกจ่ายให้แก่ชุมชนที่เดือดร้อนต่อไป ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรกรภายในประเทศและส่งออก วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม 2563 เร่งแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรกรภายในประเทศและส่งออก วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารที่สําคัญ 1 ใน 5 ของโลก และเตรียมแผนรองรับภาวะขาดแรงงานภาคเกษตร โดยจะเร่งแก้ไขปัญหาการค้าขายสินค้าเกษตรภายในประเทศและส่งออกในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก่อนเป็นอันดับแรก เช่น เปิดช่องทางซื้อขายออนไลน์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้เกษตรกรขายผลไม้ตามคําสั่งซื้อล่วงหน้า โดยลูกค้าสามารถรับสินค้าได้ที่ห้างสรรพสินค้า รณรงค์ให้สหกรณ์ทั่วประเทศสนับสนุนสินค้าจากเกษตรกร นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐจะรับซื้อสินค้าเกษตรทั่วไปและสินค้าเกษตรแปรรูปเพื่อนําไปบรรจุในถุงยังชีพแจกจ่ายให้แก่ชุมชนที่เดือดร้อนต่อไป ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31349
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. ออมสิน เผยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนสื่อ “การประชาสัมพันธ์” เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2560 รมต. นร. ออมสิน เผยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนสื่อ “การประชาสัมพันธ์” เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง รมต. นร. ออมสิน เผยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนสื่อ “การประชาสัมพันธ์” เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง วันนี้ (16 มกราคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ กรมประชาสัมพันธ์ เขตพญาไท กรุงเทพฯ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมทั้งรับทราบรายงานผลการดําเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์นโยบายรัฐบาลสู่ประชาชน เพื่อมอบนโยบายปฏิรูปช่องทางการสื่อสารจากรัฐบาลสู่ประชาชนผ่านทางกรมประชาสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ผอ. สํานัก กรมประชาสัมพันธ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวรายงานว่า กรมประชาสัมพันธ์นั้น ได้ผ่านประวัติศาสตร์ต่าง ๆ อันเป็นที่จดจํามาอย่างยาวนาน โดยบางครั้งก็เป็นไปในทิศทางที่ดี บางครั้งก็อาจเป็นสิ่งที่เห็นควรกลับไปแก้ไข ปัจจุบันรัฐบาลกําลังดําเนินการเพื่อปฏิรูปอย่างเต็มกําลัง เร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้องให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลว่าด้วย การปฏิรูปประเทศก้าวไปสู่ Thailand 4.0 ด้วยนวัตกรรมใหม่ อย่างยั่งยืน จากนั้น นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต. นร. ได้กล่าวมอบนโยบายในตอนหนึ่งว่า จากรายงานการดําเนินงาน พร้อมข้อเสนอถึงแนวทางการแก้ปัญหาด้านการประชาสัมพันธ์ ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะส่งเสริมและสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน เพื่อพัฒนาช่องทางการสื่อสารด้านการประชาสัมพันธ์นโยบายของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสมควรที่จะได้รับการปฏิรูปอย่างทันสมัย ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย อีกทั้งควรเพิ่มเติมเนื้อหาที่น่าดึงดูดความสนใจเข้าไป โดยอยู่ในรูปแบบที่ให้สาระความรู้ที่เป็นประโยชน์เช่นเดิม อย่างไรก็ตาม การดําเนินงานทั้งหมดนั้น จําเป็นจะต้องใช้งบประมาณและเงินทุนในการดําเนินการ ทังนี้ กรมประชาสัมพันธ์นั้น มีความได้เปรียบในหลายช่องทางที่สามารถสร้างรายรับกลับคืนมาเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินทุนที่จะใช้ในการพัฒนา แต่มิอาจกระทําได้เนื่องด้วยข้อกฎหมายที่กําหนด ทั้งนี้ รัฐบาลได้มองเห็นถึงประโยชน์โดยส่วนรวม จึงจะมีการพิจารณาแก้ข้อกฎหมายดังกล่าว ให้สามารถกระทําได้ เพื่อนําเงินทุนเหล่านี้มาพัฒนาต่อยอดการดําเนินการด้านการประชาสัมพันธ์ต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนการสร้างการรับรู้ ไปสู่ประชาชนผ่านช่องทางโทรทัศน์ NBT World ในรูปแบบที่เป็นสากล ดําเนินรายการโดยการใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เพื่อช่องทางการสื่อสารอย่างทั่วถึง ในระดับสากลระหว่างกลุ่มประเทศประชาคมอาเชียน ทั้งนี้ อาจจะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนดําเนินการดังกล่าวด้วย เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางการกระจายสื่อรายการโทรทัศน์ในรูปแบบสากลได้อย่างทั่วถึงในภูมิภาคดังกล่าวต่อไป รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําในตอนท้ายว่า การพัฒนาระบบการสื่อสารทางสถานีโทรทัศน์นั้น ทางกรมประชาสัมพันธ์เห็นควรวางพื้นฐานที่ทันสมัยเสียก่อน จากระบบเดิมอนาล็อก เปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอล เพื่อสามารถรองรับคืนความถี่ที่เป็นสากลได้ ซึ่งได้มอบหมายอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ดําเนินการปรับเปลี่ยนโดยเร็ว เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่องที่จะสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เพื่อนําประเทศไทยไปสู่ความเจริญก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยังยืน ต่อไป -------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. ออมสิน เผยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนสื่อ “การประชาสัมพันธ์” เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2560 รมต. นร. ออมสิน เผยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนสื่อ “การประชาสัมพันธ์” เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง รมต. นร. ออมสิน เผยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนสื่อ “การประชาสัมพันธ์” เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง วันนี้ (16 มกราคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ กรมประชาสัมพันธ์ เขตพญาไท กรุงเทพฯ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมทั้งรับทราบรายงานผลการดําเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์นโยบายรัฐบาลสู่ประชาชน เพื่อมอบนโยบายปฏิรูปช่องทางการสื่อสารจากรัฐบาลสู่ประชาชนผ่านทางกรมประชาสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ผอ. สํานัก กรมประชาสัมพันธ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวรายงานว่า กรมประชาสัมพันธ์นั้น ได้ผ่านประวัติศาสตร์ต่าง ๆ อันเป็นที่จดจํามาอย่างยาวนาน โดยบางครั้งก็เป็นไปในทิศทางที่ดี บางครั้งก็อาจเป็นสิ่งที่เห็นควรกลับไปแก้ไข ปัจจุบันรัฐบาลกําลังดําเนินการเพื่อปฏิรูปอย่างเต็มกําลัง เร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้องให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลว่าด้วย การปฏิรูปประเทศก้าวไปสู่ Thailand 4.0 ด้วยนวัตกรรมใหม่ อย่างยั่งยืน จากนั้น นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต. นร. ได้กล่าวมอบนโยบายในตอนหนึ่งว่า จากรายงานการดําเนินงาน พร้อมข้อเสนอถึงแนวทางการแก้ปัญหาด้านการประชาสัมพันธ์ ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะส่งเสริมและสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน เพื่อพัฒนาช่องทางการสื่อสารด้านการประชาสัมพันธ์นโยบายของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสมควรที่จะได้รับการปฏิรูปอย่างทันสมัย ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย อีกทั้งควรเพิ่มเติมเนื้อหาที่น่าดึงดูดความสนใจเข้าไป โดยอยู่ในรูปแบบที่ให้สาระความรู้ที่เป็นประโยชน์เช่นเดิม อย่างไรก็ตาม การดําเนินงานทั้งหมดนั้น จําเป็นจะต้องใช้งบประมาณและเงินทุนในการดําเนินการ ทังนี้ กรมประชาสัมพันธ์นั้น มีความได้เปรียบในหลายช่องทางที่สามารถสร้างรายรับกลับคืนมาเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินทุนที่จะใช้ในการพัฒนา แต่มิอาจกระทําได้เนื่องด้วยข้อกฎหมายที่กําหนด ทั้งนี้ รัฐบาลได้มองเห็นถึงประโยชน์โดยส่วนรวม จึงจะมีการพิจารณาแก้ข้อกฎหมายดังกล่าว ให้สามารถกระทําได้ เพื่อนําเงินทุนเหล่านี้มาพัฒนาต่อยอดการดําเนินการด้านการประชาสัมพันธ์ต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนการสร้างการรับรู้ ไปสู่ประชาชนผ่านช่องทางโทรทัศน์ NBT World ในรูปแบบที่เป็นสากล ดําเนินรายการโดยการใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เพื่อช่องทางการสื่อสารอย่างทั่วถึง ในระดับสากลระหว่างกลุ่มประเทศประชาคมอาเชียน ทั้งนี้ อาจจะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนดําเนินการดังกล่าวด้วย เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางการกระจายสื่อรายการโทรทัศน์ในรูปแบบสากลได้อย่างทั่วถึงในภูมิภาคดังกล่าวต่อไป รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําในตอนท้ายว่า การพัฒนาระบบการสื่อสารทางสถานีโทรทัศน์นั้น ทางกรมประชาสัมพันธ์เห็นควรวางพื้นฐานที่ทันสมัยเสียก่อน จากระบบเดิมอนาล็อก เปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอล เพื่อสามารถรองรับคืนความถี่ที่เป็นสากลได้ ซึ่งได้มอบหมายอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ดําเนินการปรับเปลี่ยนโดยเร็ว เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่องที่จะสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เพื่อนําประเทศไทยไปสู่ความเจริญก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยังยืน ต่อไป -------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1366
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จันทบุรีติดตามความก้าวหน้าการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่และการบริหารจัดการผลไม้อย่างมีคุณภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2560 นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จันทบุรีติดตามความก้าวหน้าการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่และการบริหารจัดการผลไม้อย่างมีคุณภาพ นายกรัฐมนตรีชื่นชมกลุ่มเกษตรกรจันทบุรีที่มีความพร้อมรวมกลุ่มสร้างเสริมอาชีพเกษตรกรรมให้มีความมั่นคงและยั่งยืน วันนี้(7มิถุนายน2560)เวลา10.00น.พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ติดตามผลงานเด่นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยกผลสําเร็จจากการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบเกษตรแปลงใหญ่และการบริหารจัดการผลไม้จังหวัดจันทบุรีเป็นต้นแบบของประเทศณสหกรณ์การเกษตรเขาคิชฌกูฎจังหวัดจันทบุรี โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมความสําเร็จจากการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่อย่างครบวงจรและการบริหารจัดการผลไม้อย่างมีคุณภาพพร้อมพบปะกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่กว่า1,000คนโดยมีการมอบเงินสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่และเครื่องจักรกลการเกษตรภายใต้โครงการMotor poolแก่แปลงใหญ่โคนมสอยดาวจํานวน10ล้านบาทตลอดจนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการรับซื้อผลไม้ให้สหกรณ์การเกษตรเขาคิชฌกูฎจํากัด 25ล้านบาทและมอบสถานีสูบน้ําบ้านท่าอุดมเพื่อสนับสนุนพื้นที่แปลงใหญ่ 1โครงการ พร้อมเยี่ยมชมกระบวนการจัดการและควบคุมคุณภาพผลไม้ก่อนการส่งออกการส่งออกการประมูลมังคุดแปลงใหญ่และแปลงใหญ่ประชารัฐกุ้งขาวอําเภอท่าใหม่ซึ่งเกษตรกรปรับเปลี่ยนการเลี้ยงกุ้งในบ่อเลี้ยงที่ปูพีอีและมีการปรับคุณภาพน้ําด้วยเทคโนโลยี3สะอาดได้แก่น้ําสะอาดบ่อสะอาดและกุ้งสะอาดตามแนวทางประชารัฐร่วมกับบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ทําให้กุ้งปลอดโรคEMSระยะเวลาการเลี้ยงลดลงจากเดิม4เดือนต่อรอบเป็น2เดือนต่อรอบส่งผลให้กุ้งมีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิมเฉลี่ย1,000กก./ไร่/รุ่นเพิ่มเป็น1,100กก./ไร่/รุ่น พลเอกฉัตรชัยสาริกัลยะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวรายงานผลการดําเนินงานส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่และการบริหารจัดการผลไม้ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่มากว่า3ปีเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรมีการบริหารจัดการร่วมกันตั้งแต่การผลิตจนถึงการตลาดเพื่อลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตและมีมาตรฐานภายใต้การบริหารจัดการที่ดีจนปัจจุบันแปลงใหญ่ได้ขยายเป็น2,138แปลงสําหรับผลจากการดําเนินงานในปี2559ส่งผลให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตลงได้3,437.82ล้านบาทมูลค่าผลผลิตเพิ่มขึ้น1,427.12ล้านบาททําให้เกษตรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตได้รวม4,864.94ล้านบาทเกษตรกรมีการบริหารจัดการที่ดีส่งผลให้กลุ่มมีความเข้มแข็งโดยมีสถานะเป็นกลุ่มเกษตรกรจํานวน109กลุ่มทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯมุ่งหวังที่จะยกระดับและพัฒนาคุณภาพเกษตรกรสมาชิกแปลงใหญ่ให้เป็นSmart Farmerทั้งหมดและพัฒนาคุณภาพสินค้าให้มีคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาดโลกต่อไป โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับเกษตรกรที่มาให้การต้อนรับว่าการลงพื้นที่ตรวจราชการในวันนี้เพื่อมารับทราบการทํางานร่วมกันของภาคประชาชน ภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาศักยภาพของจังหวัดจันทบุรีให้แข็งแกร่งและยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้นซึ่งอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพของประชากรส่วนใหญ่ทั้งประเทศการพัฒนาจะต้องพัฒนาแบบครบวงจรบริหารจัดการทั้งระบบตั้งแต่กระบวนการผลิตไปถึงช่องทางการจําหน่ายผลผลิตเกษตรกรจึงต้องมีการพัฒนาตนเองควบคู่กับการพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพอยู่เสมออย่ามุ่งเน้นแต่เรื่องราคาอย่างเดียวต้องพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพราคาพืชผลจะได้ดีขึ้นอีกทั้งแนะนําให้เกษตรกรได้มีการรวมกลุ่มเป็นเกษตรกรแปลงใหญ่เกิดการรวมกลุ่มจัดตั้งสหกรณ์เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและมีการขับเคลื่อนกันอย่างเข้มแข็งสร้างอํานาจในการต่อรองกับพ่อค้าคนกลางสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ประจํากลุ่ม รวมทั้งสร้างstoryเพื่อให้เกิดความน่าสนใจสร้างมูลค่าให้กับสินค้านําเทคโนโลยีมาพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐานมีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นแล้วพัฒนาต่อยอดขยายช่องทางการตลาดรวมถึงขยายเครือข่ายให้มากขึ้น พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมกลุ่มเกษตรกรจังหวัดจันทบุรีที่มีความพร้อมในการรวมกลุ่มเพื่อสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมให้มีความมั่นคงและยั่งยืนและขอให้ใช้ศักยภาพของพื้นที่ที่มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ในเรื่องของดินและความเหมาะสมของสภาพภูมิอากาศต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในผลิตผลมากยิ่งขึ้นพร้อมทั้งรวมกันทําเกษตรแบบแปลงใหญ่ผ่านกลไกประชารัฐตามแนวทางนโยบายของรัฐบาลโดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินเชื่อและเครื่องจักรกลการเกษตร แต่จะต้องช่วยกันดูรักษาให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานในการนําไปประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างมีคุณภาพและกล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐภาคประชาชนและภาคเอกชนที่มีความตั้งใจทุ่มเทในการพัฒนาจังหวัดจันทบุรีร่วมกันและขอให้การดําเนินงานมีความต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนต่อไป จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมกระบวนการจัดการและควบคุมคุณภาพผลไม้ก่อนส่งออกและกระบวนการประมูลมังคุดแปลงใหญ่รวมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการแสดงผลการดําเนินงานเกษตรแปลงใหญ่ทั้งเกษตรแปลงใหญ่ไม้ผลและแปลงใหญ่โคนม ------------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จันทบุรีติดตามความก้าวหน้าการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่และการบริหารจัดการผลไม้อย่างมีคุณภาพ วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2560 นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จันทบุรีติดตามความก้าวหน้าการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่และการบริหารจัดการผลไม้อย่างมีคุณภาพ นายกรัฐมนตรีชื่นชมกลุ่มเกษตรกรจันทบุรีที่มีความพร้อมรวมกลุ่มสร้างเสริมอาชีพเกษตรกรรมให้มีความมั่นคงและยั่งยืน วันนี้(7มิถุนายน2560)เวลา10.00น.พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ติดตามผลงานเด่นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยกผลสําเร็จจากการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบเกษตรแปลงใหญ่และการบริหารจัดการผลไม้จังหวัดจันทบุรีเป็นต้นแบบของประเทศณสหกรณ์การเกษตรเขาคิชฌกูฎจังหวัดจันทบุรี โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมความสําเร็จจากการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่อย่างครบวงจรและการบริหารจัดการผลไม้อย่างมีคุณภาพพร้อมพบปะกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่กว่า1,000คนโดยมีการมอบเงินสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่และเครื่องจักรกลการเกษตรภายใต้โครงการMotor poolแก่แปลงใหญ่โคนมสอยดาวจํานวน10ล้านบาทตลอดจนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการรับซื้อผลไม้ให้สหกรณ์การเกษตรเขาคิชฌกูฎจํากัด 25ล้านบาทและมอบสถานีสูบน้ําบ้านท่าอุดมเพื่อสนับสนุนพื้นที่แปลงใหญ่ 1โครงการ พร้อมเยี่ยมชมกระบวนการจัดการและควบคุมคุณภาพผลไม้ก่อนการส่งออกการส่งออกการประมูลมังคุดแปลงใหญ่และแปลงใหญ่ประชารัฐกุ้งขาวอําเภอท่าใหม่ซึ่งเกษตรกรปรับเปลี่ยนการเลี้ยงกุ้งในบ่อเลี้ยงที่ปูพีอีและมีการปรับคุณภาพน้ําด้วยเทคโนโลยี3สะอาดได้แก่น้ําสะอาดบ่อสะอาดและกุ้งสะอาดตามแนวทางประชารัฐร่วมกับบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ทําให้กุ้งปลอดโรคEMSระยะเวลาการเลี้ยงลดลงจากเดิม4เดือนต่อรอบเป็น2เดือนต่อรอบส่งผลให้กุ้งมีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิมเฉลี่ย1,000กก./ไร่/รุ่นเพิ่มเป็น1,100กก./ไร่/รุ่น พลเอกฉัตรชัยสาริกัลยะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวรายงานผลการดําเนินงานส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่และการบริหารจัดการผลไม้ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่มากว่า3ปีเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรมีการบริหารจัดการร่วมกันตั้งแต่การผลิตจนถึงการตลาดเพื่อลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตและมีมาตรฐานภายใต้การบริหารจัดการที่ดีจนปัจจุบันแปลงใหญ่ได้ขยายเป็น2,138แปลงสําหรับผลจากการดําเนินงานในปี2559ส่งผลให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตลงได้3,437.82ล้านบาทมูลค่าผลผลิตเพิ่มขึ้น1,427.12ล้านบาททําให้เกษตรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตได้รวม4,864.94ล้านบาทเกษตรกรมีการบริหารจัดการที่ดีส่งผลให้กลุ่มมีความเข้มแข็งโดยมีสถานะเป็นกลุ่มเกษตรกรจํานวน109กลุ่มทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯมุ่งหวังที่จะยกระดับและพัฒนาคุณภาพเกษตรกรสมาชิกแปลงใหญ่ให้เป็นSmart Farmerทั้งหมดและพัฒนาคุณภาพสินค้าให้มีคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาดโลกต่อไป โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับเกษตรกรที่มาให้การต้อนรับว่าการลงพื้นที่ตรวจราชการในวันนี้เพื่อมารับทราบการทํางานร่วมกันของภาคประชาชน ภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาศักยภาพของจังหวัดจันทบุรีให้แข็งแกร่งและยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้นซึ่งอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพของประชากรส่วนใหญ่ทั้งประเทศการพัฒนาจะต้องพัฒนาแบบครบวงจรบริหารจัดการทั้งระบบตั้งแต่กระบวนการผลิตไปถึงช่องทางการจําหน่ายผลผลิตเกษตรกรจึงต้องมีการพัฒนาตนเองควบคู่กับการพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพอยู่เสมออย่ามุ่งเน้นแต่เรื่องราคาอย่างเดียวต้องพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพราคาพืชผลจะได้ดีขึ้นอีกทั้งแนะนําให้เกษตรกรได้มีการรวมกลุ่มเป็นเกษตรกรแปลงใหญ่เกิดการรวมกลุ่มจัดตั้งสหกรณ์เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและมีการขับเคลื่อนกันอย่างเข้มแข็งสร้างอํานาจในการต่อรองกับพ่อค้าคนกลางสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ประจํากลุ่ม รวมทั้งสร้างstoryเพื่อให้เกิดความน่าสนใจสร้างมูลค่าให้กับสินค้านําเทคโนโลยีมาพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐานมีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นแล้วพัฒนาต่อยอดขยายช่องทางการตลาดรวมถึงขยายเครือข่ายให้มากขึ้น พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมกลุ่มเกษตรกรจังหวัดจันทบุรีที่มีความพร้อมในการรวมกลุ่มเพื่อสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมให้มีความมั่นคงและยั่งยืนและขอให้ใช้ศักยภาพของพื้นที่ที่มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ในเรื่องของดินและความเหมาะสมของสภาพภูมิอากาศต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในผลิตผลมากยิ่งขึ้นพร้อมทั้งรวมกันทําเกษตรแบบแปลงใหญ่ผ่านกลไกประชารัฐตามแนวทางนโยบายของรัฐบาลโดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินเชื่อและเครื่องจักรกลการเกษตร แต่จะต้องช่วยกันดูรักษาให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานในการนําไปประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างมีคุณภาพและกล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐภาคประชาชนและภาคเอกชนที่มีความตั้งใจทุ่มเทในการพัฒนาจังหวัดจันทบุรีร่วมกันและขอให้การดําเนินงานมีความต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนต่อไป จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมกระบวนการจัดการและควบคุมคุณภาพผลไม้ก่อนส่งออกและกระบวนการประมูลมังคุดแปลงใหญ่รวมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการแสดงผลการดําเนินงานเกษตรแปลงใหญ่ทั้งเกษตรแปลงใหญ่ไม้ผลและแปลงใหญ่โคนม ------------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4348
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยไม่เห็นด้วยกฎหมายเพิ่มค่าปรับไม่พกใบขับขี่ ระบุยังไม่อนุมัติกฎหมายดังกล่าว
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเผยไม่เห็นด้วยกฎหมายเพิ่มค่าปรับไม่พกใบขับขี่ ระบุยังไม่อนุมัติกฎหมายดังกล่าว นายกรัฐมนตรีเผยไม่เห็นด้วยกฎหมายเพิ่มค่าปรับไม่พกใบขับขี่ ระบุยังไม่อนุมัติกฎหมายดังกล่าว วันนี้ (28 สิงหาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับข้อเสนอของสํานักงานตํารวจแห่งชาติที่จะเสนอเพิ่มโทษสําหรับผู้ที่ไม่พกใบขับขี่ว่า เรื่องนี้เป็นความคิดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐบาลต้องมาศึกษารายละเอียดดูว่าเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร แต่ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ต้องไปหาประเด็นอื่น ๆ มาด้วย อย่ามองกันแค่ว่าเป็นการเพิ่มความรับผิดชอบให้กับคนที่จะต้องพกใบขับขี่หรือไม่ก็ต้องต่อทะเบียนรถ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วัตถุประสงค์มีหลายอย่างด้วยกัน แต่ไม่ใช่หลายอย่างที่ในโซเชียลฯ เอามาโพสต์กัน อย่าสร้างความเข้าใจผิด ๆ แบบนี้ให้ประชาชน เพราะไม่เช่นนั้นในวันข้างหน้าการแก้ปัญหาจะไปไม่ได้ ทุกอย่างต้องอาศัยกฎหมาย ความเหมาะสม ควรจะเป็นอย่างไร สําหรับผมยังไม่เห็นด้วยในประเด็นนี้ ก็ต้องหารือกันต่อไป ต้องมองกันในหลาย ๆ มุม อย่าไปขัดแย้งอะไรกัน ดังนั้น ขอให้เข้าใจว่าวันนี้ผมยังไม่อนุมัติอะไรทั้งสิ้น ------------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยไม่เห็นด้วยกฎหมายเพิ่มค่าปรับไม่พกใบขับขี่ ระบุยังไม่อนุมัติกฎหมายดังกล่าว วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเผยไม่เห็นด้วยกฎหมายเพิ่มค่าปรับไม่พกใบขับขี่ ระบุยังไม่อนุมัติกฎหมายดังกล่าว นายกรัฐมนตรีเผยไม่เห็นด้วยกฎหมายเพิ่มค่าปรับไม่พกใบขับขี่ ระบุยังไม่อนุมัติกฎหมายดังกล่าว วันนี้ (28 สิงหาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับข้อเสนอของสํานักงานตํารวจแห่งชาติที่จะเสนอเพิ่มโทษสําหรับผู้ที่ไม่พกใบขับขี่ว่า เรื่องนี้เป็นความคิดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐบาลต้องมาศึกษารายละเอียดดูว่าเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร แต่ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ต้องไปหาประเด็นอื่น ๆ มาด้วย อย่ามองกันแค่ว่าเป็นการเพิ่มความรับผิดชอบให้กับคนที่จะต้องพกใบขับขี่หรือไม่ก็ต้องต่อทะเบียนรถ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วัตถุประสงค์มีหลายอย่างด้วยกัน แต่ไม่ใช่หลายอย่างที่ในโซเชียลฯ เอามาโพสต์กัน อย่าสร้างความเข้าใจผิด ๆ แบบนี้ให้ประชาชน เพราะไม่เช่นนั้นในวันข้างหน้าการแก้ปัญหาจะไปไม่ได้ ทุกอย่างต้องอาศัยกฎหมาย ความเหมาะสม ควรจะเป็นอย่างไร สําหรับผมยังไม่เห็นด้วยในประเด็นนี้ ก็ต้องหารือกันต่อไป ต้องมองกันในหลาย ๆ มุม อย่าไปขัดแย้งอะไรกัน ดังนั้น ขอให้เข้าใจว่าวันนี้ผมยังไม่อนุมัติอะไรทั้งสิ้น ------------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14984
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานของกองทุนสินเชื่อเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เสริมสภาพคล่องแก่เอส
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินงานของกองทุนสินเชื่อเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เสริมสภาพคล่องแก่เอส นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินงานของกองทุนสินเชื่อเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เสริมสภาพคล่องแก่เอส วันนี้ (7 พฤศจิกายน 2562) เวลา 13.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินงานของกองทุนสินเชื่อเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เสริมสภาพคล่องแก่เอสเอ็มอี “SME โตไว ไทยยั่งยืน” วงเงินรวม 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้การอนุมัติสินเชื่อสามารถดําเนินการได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยจะสามารถเปิดรับขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อให้หมดภายใน 3 เดือน โดยมีนายภานุวัตน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายเดชา จาตุธนานันท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เข้าร่วมประชุมด้วย ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานของกองทุนสินเชื่อเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เสริมสภาพคล่องแก่เอส วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินงานของกองทุนสินเชื่อเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เสริมสภาพคล่องแก่เอส นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินงานของกองทุนสินเชื่อเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เสริมสภาพคล่องแก่เอส วันนี้ (7 พฤศจิกายน 2562) เวลา 13.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินงานของกองทุนสินเชื่อเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เสริมสภาพคล่องแก่เอสเอ็มอี “SME โตไว ไทยยั่งยืน” วงเงินรวม 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้การอนุมัติสินเชื่อสามารถดําเนินการได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยจะสามารถเปิดรับขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อให้หมดภายใน 3 เดือน โดยมีนายภานุวัตน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายเดชา จาตุธนานันท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เข้าร่วมประชุมด้วย ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24411
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. จัดอบรมหลักสูตรการว่าความในศาลแรงงาน ฟ้องคดีแทนลูกจ้าง
วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 กสร. จัดอบรมหลักสูตรการว่าความในศาลแรงงาน ฟ้องคดีแทนลูกจ้าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อบรมความรู้หลักสูตรการว่าความในศาลแรงงาน ปั้นนิติกรเป็นทนายความฟ้องคดี-แก้ต่างคดีแรงงานให้ลูกจ้าง ตั้งเป้าเพิ่มประสิทธภาพเรียกร้องสิทธิให้ลูกจ้าง นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กสร.มีกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบหลายฉบับ โดยเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ 6 ฉบับ รวมทั้งกฎหมายลําดับรองที่เกี่ยวข้องอีกจํานวนมาก ทั้งนี้ การปฏิบัติงานด้านกฎหมาย ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมาย นิติกรในฐานะผู้ปฏิบัติงานหลักด้านกฎหมายถือเป็นฟันเฟืองสําคัญในการขับเคลื่อนงานดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ สัมฤทธิ์ผลและก่อประโยชน์สูงสุดแก่นายจ้าง ลูกจ้าง ซึ่งหน้าที่สําคัญประการหนึ่งคือ การเป็นทนายความฟ้องคดี หรือแก้ต่างคดีให้แก่ลูกจ้าง หรือทายาทโดยชอบธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 8 แห่ง พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 หรือการดําเนินคดีแทนให้แก่ผู้รับงานไปทําที่บ้านหรือทายาทในการฟ้องเรียกทรัพย์สินหรือค่าเสียหาย นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า กสร. ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถในเรื่อง การจัดทําความฟ้อง คําให้การ คําร้องต่าง ๆ การเตรียมการรวบรวมพยานหลักฐาน ขั้นตอนวิธีพิจารณาคดีของศาลแรงงานและการบังคับคดีตามคําพิพากษาของศาลแรงงาน จึงได้จัดหลักสูตรอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านกฎหมาย หลักสูตรการว่าความในศาลแรงงานให้แก่นิติกรผู้ปฏิบัติงาน โดยมีหัวข้อหลัก ๆ อาทิ เรื่องการเตรียมคดี การดําเนินคดีแบบกลุ่ม การอุทธรณ์และฎีกา การรับฟังพยานหลักฐานของศาล เทคนิคการซักถามพยาน มารยาทการว่าความ เป็นต้น และยังมุ่งเน้นการฝึกเชิงปฏิบัติ โดยฝึกเขียนคําฟ้อง คําร้องขอต่าง ๆ และฝึกศาลจําลอง เป็นต้น ทั้งนี้ กสร. มุ่งหวังให้นิติกรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายให้แก่ลูกจ้าง ผู้รับงานไปทําที่บ้าน หรือทายาทโดยชอบธรรมของบุคคลดังกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. จัดอบรมหลักสูตรการว่าความในศาลแรงงาน ฟ้องคดีแทนลูกจ้าง วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 กสร. จัดอบรมหลักสูตรการว่าความในศาลแรงงาน ฟ้องคดีแทนลูกจ้าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อบรมความรู้หลักสูตรการว่าความในศาลแรงงาน ปั้นนิติกรเป็นทนายความฟ้องคดี-แก้ต่างคดีแรงงานให้ลูกจ้าง ตั้งเป้าเพิ่มประสิทธภาพเรียกร้องสิทธิให้ลูกจ้าง นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กสร.มีกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบหลายฉบับ โดยเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ 6 ฉบับ รวมทั้งกฎหมายลําดับรองที่เกี่ยวข้องอีกจํานวนมาก ทั้งนี้ การปฏิบัติงานด้านกฎหมาย ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมาย นิติกรในฐานะผู้ปฏิบัติงานหลักด้านกฎหมายถือเป็นฟันเฟืองสําคัญในการขับเคลื่อนงานดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ สัมฤทธิ์ผลและก่อประโยชน์สูงสุดแก่นายจ้าง ลูกจ้าง ซึ่งหน้าที่สําคัญประการหนึ่งคือ การเป็นทนายความฟ้องคดี หรือแก้ต่างคดีให้แก่ลูกจ้าง หรือทายาทโดยชอบธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 8 แห่ง พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 หรือการดําเนินคดีแทนให้แก่ผู้รับงานไปทําที่บ้านหรือทายาทในการฟ้องเรียกทรัพย์สินหรือค่าเสียหาย นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า กสร. ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถในเรื่อง การจัดทําความฟ้อง คําให้การ คําร้องต่าง ๆ การเตรียมการรวบรวมพยานหลักฐาน ขั้นตอนวิธีพิจารณาคดีของศาลแรงงานและการบังคับคดีตามคําพิพากษาของศาลแรงงาน จึงได้จัดหลักสูตรอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านกฎหมาย หลักสูตรการว่าความในศาลแรงงานให้แก่นิติกรผู้ปฏิบัติงาน โดยมีหัวข้อหลัก ๆ อาทิ เรื่องการเตรียมคดี การดําเนินคดีแบบกลุ่ม การอุทธรณ์และฎีกา การรับฟังพยานหลักฐานของศาล เทคนิคการซักถามพยาน มารยาทการว่าความ เป็นต้น และยังมุ่งเน้นการฝึกเชิงปฏิบัติ โดยฝึกเขียนคําฟ้อง คําร้องขอต่าง ๆ และฝึกศาลจําลอง เป็นต้น ทั้งนี้ กสร. มุ่งหวังให้นิติกรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายให้แก่ลูกจ้าง ผู้รับงานไปทําที่บ้าน หรือทายาทโดยชอบธรรมของบุคคลดังกล่าว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10201
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ
วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2562 ทส. ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ รมว.ทส.​ นําคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัด​ ร่วมถวายแจกันดอกไม้​ และลงนามถวายพระพร​ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี​ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทส.ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ วันนี้ (19 ตุลาคม 2562) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถให้ทรงหายจากพระอาการประชวรณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2562 ทส. ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ รมว.ทส.​ นําคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัด​ ร่วมถวายแจกันดอกไม้​ และลงนามถวายพระพร​ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี​ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทส.ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ วันนี้ (19 ตุลาคม 2562) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถให้ทรงหายจากพระอาการประชวรณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23926
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สั่งเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำป่าไหลหลาก
วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563 สั่งเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําป่าไหลหลาก -- #ไทยคู่ฟ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์น้ําป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ อ.เมือง อ.เชียงคาน และ อ.ปากชม จ.เลย โดยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเลย หน่วยทหารในพื้นที่ และเจ้าหน้่าที่ที่เกี่ยวข้อง ระดมกําลังลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัด ประกอบด้วย อ.เมือง ต.น้ําสวย รวม 7 หมู่บ้าน อ.เชียงคาน จํานวน 2 ตําบล ได้แก่ ต.เขาแก้ว รวม 2 หมู่บ้าน และ ต.ธาตุ รวม 9 หมู่บ้าน และ อ.ปากชม จํานวน 3 ตําบล ได้แก่ ต.เชียงกลม ต.ห้วยบ่อซืน และต.ชมเจริญ ซึ่งเป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนักตลอดทั้งคืนทําให้เกิดน้ําป่าไหลหลากทะลักเข้าท่วมถนนและบ้านเรือนของประชาชนเมื่อคืนที่ผ่านมา . ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกําชับให้ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเบื้องต้น รวมทั้งให้เร่งสํารวจความเสียหาย อย่าปล่อยให้ชาวบ้านเดือดร้อน เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนสัตว์เลี้ยง พร้อมกับให้เคลื่อนย้ายชาวบ้านและสัตว์เลี้ยงไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย จัดหาอาหาร น้ําดื่ม น้ําใช้ให้กับชาวบ้านอย่างพอเพียง ขอให้ปฎิบัติงานด้วยความระมัดระวังคํานึงถึงความปลอดภัยชีวิตเป็นสําคัญ และย้ําเตือนให้ชาวบ้านติดตามข่าวสารรวมถึงการแจ้งเตือนจากส่วนราชการอย่างใกล้ชิด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สั่งเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำป่าไหลหลาก วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563 สั่งเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําป่าไหลหลาก -- #ไทยคู่ฟ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์น้ําป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ อ.เมือง อ.เชียงคาน และ อ.ปากชม จ.เลย โดยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเลย หน่วยทหารในพื้นที่ และเจ้าหน้่าที่ที่เกี่ยวข้อง ระดมกําลังลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัด ประกอบด้วย อ.เมือง ต.น้ําสวย รวม 7 หมู่บ้าน อ.เชียงคาน จํานวน 2 ตําบล ได้แก่ ต.เขาแก้ว รวม 2 หมู่บ้าน และ ต.ธาตุ รวม 9 หมู่บ้าน และ อ.ปากชม จํานวน 3 ตําบล ได้แก่ ต.เชียงกลม ต.ห้วยบ่อซืน และต.ชมเจริญ ซึ่งเป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนักตลอดทั้งคืนทําให้เกิดน้ําป่าไหลหลากทะลักเข้าท่วมถนนและบ้านเรือนของประชาชนเมื่อคืนที่ผ่านมา . ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกําชับให้ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเบื้องต้น รวมทั้งให้เร่งสํารวจความเสียหาย อย่าปล่อยให้ชาวบ้านเดือดร้อน เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนสัตว์เลี้ยง พร้อมกับให้เคลื่อนย้ายชาวบ้านและสัตว์เลี้ยงไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย จัดหาอาหาร น้ําดื่ม น้ําใช้ให้กับชาวบ้านอย่างพอเพียง ขอให้ปฎิบัติงานด้วยความระมัดระวังคํานึงถึงความปลอดภัยชีวิตเป็นสําคัญ และย้ําเตือนให้ชาวบ้านติดตามข่าวสารรวมถึงการแจ้งเตือนจากส่วนราชการอย่างใกล้ชิด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33855
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.มอบรางวัลประกวดงานเขียน เรื่องเล่าจากบ้านเรา ปี ๒๕๖๒ และกิจกรรมการเรียนรู้ด้านวรรณศิลป์
วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562 วธ.มอบรางวัลประกวดงานเขียน เรื่องเล่าจากบ้านเรา ปี ๒๕๖๒ และกิจกรรมการเรียนรู้ด้านวรรณศิลป์ วธ.มอบรางวัลประกวดงานเขียน เรื่องเล่าจากบ้านเรา ปี ๒๕๖๒ และกิจกรรมการเรียนรู้ด้านวรรณศิลป์ วธ.มอบรางวัลประกวดงานเขียน เรื่องเล่าจากบ้านเรา ปี ๒๕๖๒ และกิจกรรมการเรียนรู้ด้านวรรณศิลป์ วันที่ 23 สิงหาคม 2562 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานพิธีมอบรางวัลประกวดงานเขียนเรื่องเล่าจากบ้านเรา ประจําปี ๒๕๖๒ พร้อมนางสาวศิริพรรณ ทองเจิม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และนายบุญเลิศ คําดี รองผู้อํานวยการสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย โดยวัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานทางด้านวรรณศิลป์ แก่เด็ก เยาวชน และประชาชน ในพื้นที่ ๔ จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ตลอดจนเผยแพร่เรื่องราววิถีชีวิตและและศิลปวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นที่รู้จักและเข้าใจ โดยเปิดรับสมัครผลงานภายใต้หัวข้อ เรื่องเล่าจากบ้านเรา ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๖๒ มีประเด็นนําเสนอในการถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจ อาทิ ความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ เอกลักษณ์ทางด้านประเพณีและศิลปวัฒนธรรม รวมถึงวิถีชีวิตการอยู่ร่วมกัน โดยแบ่งเป็นประเภท ดังนี้ ๑.เรียงความ ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ๒. เรื่องสั้น ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป และ ๓. กวีนิพนธ์ หลังปิดรับสมัคร ปรากฏว่า มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดรวมทั้งสิ้น ๓๕๐ ผลงาน แบ่งเป็น ระดับประถมศึกษา ๕๑ ผลงาน ระดับมัธยมศึกษา ๑๐๘ ผลงาน ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป ๑๑๕ ผลงาน และกวีนิพนธ์ (ไม่จํากัดอายุ) ๗๖ ผลงาน คณะกรรมการได้พิจารณาตัดสินให้มีผู้ได้รับรางวัล ๕๒ ผลงาน ทั้งนี้ สํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยได้จัดพิมพ์ผลงานดังกล่าวเป็นหนังสือ ชื่อ”วันที่ความรักผลิบาน ณ บ้านเรา” เพื่อเผยแพร่ให้แก่สถาบันการศึกษา ห้องสมุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.มอบรางวัลประกวดงานเขียน เรื่องเล่าจากบ้านเรา ปี ๒๕๖๒ และกิจกรรมการเรียนรู้ด้านวรรณศิลป์ วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562 วธ.มอบรางวัลประกวดงานเขียน เรื่องเล่าจากบ้านเรา ปี ๒๕๖๒ และกิจกรรมการเรียนรู้ด้านวรรณศิลป์ วธ.มอบรางวัลประกวดงานเขียน เรื่องเล่าจากบ้านเรา ปี ๒๕๖๒ และกิจกรรมการเรียนรู้ด้านวรรณศิลป์ วธ.มอบรางวัลประกวดงานเขียน เรื่องเล่าจากบ้านเรา ปี ๒๕๖๒ และกิจกรรมการเรียนรู้ด้านวรรณศิลป์ วันที่ 23 สิงหาคม 2562 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานพิธีมอบรางวัลประกวดงานเขียนเรื่องเล่าจากบ้านเรา ประจําปี ๒๕๖๒ พร้อมนางสาวศิริพรรณ ทองเจิม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และนายบุญเลิศ คําดี รองผู้อํานวยการสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย โดยวัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานทางด้านวรรณศิลป์ แก่เด็ก เยาวชน และประชาชน ในพื้นที่ ๔ จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ตลอดจนเผยแพร่เรื่องราววิถีชีวิตและและศิลปวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นที่รู้จักและเข้าใจ โดยเปิดรับสมัครผลงานภายใต้หัวข้อ เรื่องเล่าจากบ้านเรา ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๖๒ มีประเด็นนําเสนอในการถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจ อาทิ ความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ เอกลักษณ์ทางด้านประเพณีและศิลปวัฒนธรรม รวมถึงวิถีชีวิตการอยู่ร่วมกัน โดยแบ่งเป็นประเภท ดังนี้ ๑.เรียงความ ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ๒. เรื่องสั้น ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป และ ๓. กวีนิพนธ์ หลังปิดรับสมัคร ปรากฏว่า มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดรวมทั้งสิ้น ๓๕๐ ผลงาน แบ่งเป็น ระดับประถมศึกษา ๕๑ ผลงาน ระดับมัธยมศึกษา ๑๐๘ ผลงาน ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป ๑๑๕ ผลงาน และกวีนิพนธ์ (ไม่จํากัดอายุ) ๗๖ ผลงาน คณะกรรมการได้พิจารณาตัดสินให้มีผู้ได้รับรางวัล ๕๒ ผลงาน ทั้งนี้ สํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยได้จัดพิมพ์ผลงานดังกล่าวเป็นหนังสือ ชื่อ”วันที่ความรักผลิบาน ณ บ้านเรา” เพื่อเผยแพร่ให้แก่สถาบันการศึกษา ห้องสมุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22479
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร" มอบนโยบาย 11 ศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence: CoE)
วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561 รมช.ศธ."ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร" มอบนโยบาย 11 ศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence: CoE) ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายด้านการวิจัยและแนวทางการพัฒนาให้แก่ศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence: CoE) จํานวน 11 ศูนย์ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายด้านการวิจัยและแนวทางการพัฒนาให้แก่ศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence: CoE) จํานวน 11 ศูนย์เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ห้องประชุม ศ.วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 4 สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา โดยรศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 11 ศูนย์ เข้าร่วมประชุม ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทรรมช.ศึกษาธิการกล่าวว่า ผลการดําเนินงานของศูนย์ความเป็นเลิศทั้ง 11 ศูนย์ที่ผ่านมา มีความมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ด้านต่าง ๆ ตามบริบทของพื้นที่ ซึ่งได้กระตุ้นให้ทุกแห่งเร่งทํางานให้เข้มข้นมากขึ้นในฐานะที่เป็นศูนย์ความเป็นเลิศ เพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ การขับเคลื่อนนวัตกรรมตามเป้าหมายนโยบายประเทศไทย 4.0 รวมทั้งตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต ทั้งนี้ แต่เดิมศูนย์ความเป็นเลิศได้มุ่งเน้นการทํางานวิจัย สร้างนวัตกรรม และผลิตบัณฑิตระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เพื่อเป็นกําลังสําคัญในการทํางานวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมแต่ขณะนี้จะต้องกําหนดเป้าหมายการทํางานใหม่เพื่อตอบโจทย์ที่สําคัญ คือ“การสร้างองค์ความรู้ใหม่”ที่จะนําสู่การพัฒนานวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ พร้อมร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรมต่อยอดองค์ความรู้สู่การผลิตเป็นสินค้า ที่จะช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกด้วย ส่วนเป้าหมายรองลงมา ก็คือ“การสร้างคน”ที่จะเป็นนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีชั้นสูงสู่ภาคการผลิตในระบบอุตสาหกรรมมากขึ้น นอกจากนี้ แนวทางการทํางานต้องมีความชัดเจนมากขึ้นเพื่อให้ศูนย์ความเป็นเลิศสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง โดยลดการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลหรือไม่ขอรับเลยตลอดไปดังเช่นศูนย์ความเป็นเลิศในประเทศต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะสนับสนุนการลงทุนในช่วง 3-5 ปีแรกเท่านั้นซึ่งในความเป็นจริงรัฐบาลยังคงสนับสนุนงบประมาณแก่ศูนย์ความเป็นเลิศไทยจํานวน 300-400 ล้านบาทต่อปีตลอด 17 ปีของการก่อตั้งอย่างต่อเนื่อง เพราะศูนย์ความเป็นเลิศยังไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น เมื่อมีการทบทวนกระบวนการทํางานพร้อมวางแผนให้ตอบโจทย์เป้าหมายใหม่แล้ว ก็จะต้องแสวงหาแหล่งทุนจากภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรม เพื่อผลิตและต่อยอดผลงานเชิงพาณิชย์ ที่จะช่วยสร้างรายได้เป็นทุนในการสนับสนุนการดําเนินงานอีกทางหนึ่งด้วย ผลการดําเนินงาน 11 ศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence: CoE) 1) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมทางเคมี (Center of Excellence for Innovation in Chemistry)ก่อตั้งเมื่อปี 2543 โดยมีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นสถาบันแกนนํา เน้นทิศทางการวิจัยด้านเทคโนโลยีการวิเคราะห์เชิง Translational การผลิตผลิตภัณฑ์ธรรมชาติทางชีวภาพที่สร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และวัสดุสมาร์ทต่อนวัตกรรมการแปล โดยมีผลการดําเนินงานที่โดดเด่น อาทิ การผลิตชุดทดสอบฟอร์มาลีนในอาหาร ชุดทดสอบเครื่องสําอาง, ผลิตภัณฑ์ไพลทานอยด์ จากสารสกัดไพล บรรเทาอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก และต่อต้านการอักเสบ, การพัฒนาเส้นใยสับปะรด เป็นต้น โดยในอนาคตมีแผนผลักดันการพัฒนานวัตกรรม ควบคู่กับการสนับสนุนความรู้ความเชี่ยวชาญของนักวิจัย ตอบโจทย์ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้ง 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพในการต่อยอด (First S-Curve) และ 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) 2) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและพิษวิทยา (Center of Excellence for Environmental Science, Technology and Management)ก่อตั้งเมื่อปี 2552 โดยคณะวิทยาศาสตร์และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และสถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ ร่วมดําเนินการ เน้นการวิจัยผลกระทบด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยทางเคมี รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีอนามัยสิ่งแวดล้อม พัฒนาสารเคมีเพื่อเพิ่มประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ และประเมินความเสี่ยงและการบริหารจัดการสารเคมีอย่างปลอดภัย โดยมีผลงานวิจัยเด่น อาทิ การประเมินผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของมลพิษ ในเขตนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง, การวิจัยและพัฒนายาชีววัตถุ, การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้จากวัสดุธรรมชาติ (BioPot), วัสดุก่อสร้างที่ยั่งยืนจากเถ้าถ่านหิน เป็นต้น 3) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย (Center of Excellence on Hazardous Substance Management)ก่อตั้งเมื่อปี 2542 โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ และสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมดําเนินการ เน้นการผลิตองค์ความรู้ งานวิจัย และบุคลากรวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา ด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาชั้นนําในประเทศและพันธมิตรต่างประเทศ พร้อมเป็นแหล่งให้คําปรึกษาแก่ภาครัฐ ภาคการผลิต และภาคบริการ โดยมีผลงานวิจัยเด่น อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และระบบกําจัดสารเคมีเป็นพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมจากภาคเกษตรกรรม, โครงการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือและติดตามการต่ออายุโรงงานที่ขาดการจัดการกากอุตสาหกรรม เป็นต้น 4) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีปิโตรเคมีและวัสดุ (Center of Excellence on Petrochemical and Materials Technology)โดยวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ภาควิชาเคมีเทคนิค ภาควิชาเคมี และภาควิชาวัสดุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวิทยาศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สํานักวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร เน้นการพัฒนาบุคลากร หลักสูตร และเครื่องมือวิจัยระดับสูง เพื่อวางรากฐานด้านบัณฑิตศึกษา และลงทุนด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศด้านการศึกษาและด้านอุตสาหกรรม โดยมีผลงานวิจัยเด่น อาทิ ผลิตภัณฑ์ Zero-Waste Cup และ Compostable Bag ลดขยะพลาสติก, น้ํามันชีวภาพและน้ํามันจากปิโตรเคมีทางเลือก, งานวิจัยร่วมกับภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในพื้นที่ EEC, พัฒนาชุดทดสอบมะเร็งปากมดลูกและเชื้อโรคอื่น ๆ เป็นต้น 5) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม (Center of Excellence of Energy and Environment)โดยสํานักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมดําเนินการ โดยเน้นผลิตบัณฑิตที่มีทักษะความรู้ด้านพลังงานตามความต้องการของประเทศ พัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมจากงานวิจัย และบริการวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่สังคมและประเทศ โดยมีผลงานวิจัยเด่น อาทิ การสร้างความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งด้านการลดมลภาวะ ลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก (GHGs) พร้อมมีแนวคิดสร้างเมืองอัจฉริยะ (Smart city) โดยลดการใช้พลังงานในที่อยู่อาศัย ใช้พลังงานสําหรับการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งการปลูกต้นไม้เต็มเมือง บริหารจัดการขยะ เป็นต้น 6) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร (Center of Excellence on Agricultural Biotechnology)โดยสํานักพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สบว.) สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เน้นงานวิจัย ขับเคลื่อนการบูรณาการการวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์เกษตรและอาหาร ตลอดจนเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนวิทยากรกับศูนย์วิจัยระดับแนวหน้าของโลก เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งแก่ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีผลงานวิจัยเด่น อาทิ การเพิ่มผลผลิตปาล์มน้ํามัน, การแก้ไขปัญหาเนื้อแก้วยางไหลของมังคุด, การส่งเสริมอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ, การป้องกันโรคในสัตว์ปีก, การพัฒนาพันธุ์พืชและบริการอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ด้วยเทคโนโลยี เป็นต้น 7) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว (Center of Excellence on Postharvest Technology Innovation)โดยสํานักพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สบว.) สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เน้นการผลิตงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์เชื่อมโยงภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนบุคลากรระดับสูงที่มีทักษะวิจัยตอบสนองความต้องการของประเทศ ให้บริการวิชาการมาตรฐานสูง ถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวที่เข้มแข็ง โดยมีผลงานวิจัยเด่นที่สามารถต่อยอดนวัตกรรมสู่อุตสาหกรรม อาทิ เครื่องจักรและผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมกาแฟ, เครื่องคลื่นความถี่วิทยุลดการใช้สารเคมีในข้าวสาร, เครื่องประเมินคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร, การจัดการเพื่อการส่งออกผักและผลไม้, ระบบ Logistic & cold chain management เป็นต้น 8) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านคณิตศาสตร์ (Center of Excellence in Mathematics)โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมดําเนินการ เน้นงานวิจัยทางด้านคณิตศาสตร์ประยุกต์และคณิตศาสตรศึกษา สําหรับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ การอบรมและพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพสูงทางด้านคณิตศาสตร์ สร้างโอกาสในการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างนักวิชาการกับภาคอุตสาหกรรม พร้อมปลูกฝังการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบแก่ประชากรตั้งแต่วัยเยาว์ โดยมีผลงานวิจัยเด่น อาทิ การจําลองบรรยากาศเขตภาคเหนือเพื่อหาค่าที่เหมาะสม, การอนุรักษ์แหล่งน้ําโดยใช้โมเดลเชิงคณิตศาสตร์, การยกระดับการพัฒนาวิชาชีพครูคณิตศาสตร์ โดยใช้การศึกษาชั้นเรียนและวิธีการแบบเปิด, การวิจัยทางสถิติและคอมพิวเตอร์เพื่อเยียวยาฟื้นฟูในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้, การอนุรักษ์ชายฝั่งทะเลระยะยาว เป็นต้น 9) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านฟิสิกส์ (Center of Excellence in Physics)โดยมีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยขอนแก่น และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ร่วมดําเนินการ โดยเน้นการวิจัยและศึกษาด้านฟิสิกส์ระดับสูง สร้างนักฟิสิกส์ที่มีคุณภาพระดับสากล พร้อมสร้างศักยภาพครูผู้สอนให้มีเทคนิคการเรียนรู้ใหม่แก่เด็กไทย บริหารจัดการนวัตกรรมฐานฟิสิกส์เพื่อผลักดันการใช้ประโยชน์งานวิจัยในเชิงวิชาการ สังคม และพาณิชย์ เสริมสร้างโครงสร้างและปัจจัยพื้นฐานที่เข้มแข็ง ตลอดจนเตรียมความพร้อมสู่การเป็นองค์กรในกํากับที่พึ่งพาตนเองได้ มีผลงานวิจัยเด่น อาทิ ข้าวสังข์หยดพัทลุงพันธุ์กลาย, อาหารโคคุณสภาพสูง จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร, พลาสมาเย็นความดันบรรยากาศบําบัดแผลติดเชื้อดื้อยา, การค้นพบเพื่อยืนยันการดํารงอยู่ของ Nonreciprocal Magnons ในวัสดุแม่เหล็กเป็นครั้งแรกในโลก เป็นต้น 10) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Center of Excellence on Biodiversity)โดยมีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ร่วมดําเนินการ เน้นงานวิจัยฐานพันธุกรรมทรัพยากรชีวภาพ พืช สัตว์ จุลินทรีย์ ในระบบนิเวศเขตร้อน สู่มูลค่าเพิ่มธุรกิจชีวภาพอย่างยั่งยืน ด้วยการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมตอบโจทย์องค์กรระหว่างประเทศ อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ มีผลการดําเนินงานเด่น อาทิ โครงการฐานข้อมูลชีวภาพของประเทศไทย, โครงการรวบรวมข้อมูลบัญชีรายการทรัพยากรชีวภาพสัตว์ในกลุ่มหอยในประเทศไทย, ร่วมคณะนักสํารวจนานาชาติและทีมนักวิจัย จากองค์การอนุรักษ์พืชและสัตว์ระหว่างประเทศ (Fauna & Flora International: FFI) เพื่อวิจัยทรัพยากรชีวภาพในเมียนมา เป็นต้น 11) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์ (Center of Excellence on Medical Biotechnology)ก่อตั้งเมื่อปี 2554 โดยมหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เน้นการผลิตผลงานวิจัยและพัฒนาให้เป็นนวัตกรรม จากนั้นผลักดันสู่ผลิตภัณฑ์ พร้อมผลิตนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีชั้นสูง สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันทั้งภาครัฐ กลุ่มอุตสาหกรรม และเครือข่ายมหาวิทยาลัย ตลอดจนเครือข่ายด้านการวิจัยนานาชาติ และถ่ายทอดความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีไปสู่ภาคเอกชน มีผลงานวิจัยเด่น อาทิ ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยวินิจฉัยโรคด้วยข้อมูลชีววิทยาทางการแพทย์, ชุดทดสอบคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มอาการโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องในวัยผู้ใหญ่, ปัญญาประดิษฐ์จากข้อมูลสุขภาพและอุปกรณ์ชนิดพกพาเพื่อติดตามสภาวะความเสื่อมถอยของร่างกาย, วัคซีนใหม่รักษาโรคภูมิแพ้ไรฝุ่นโดยใช้อนุภาครูปร่างเสมือนไวรัส เป็นต้น ​Writtenbyนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร" มอบนโยบาย 11 ศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence: CoE) วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561 รมช.ศธ."ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร" มอบนโยบาย 11 ศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence: CoE) ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายด้านการวิจัยและแนวทางการพัฒนาให้แก่ศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence: CoE) จํานวน 11 ศูนย์ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายด้านการวิจัยและแนวทางการพัฒนาให้แก่ศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence: CoE) จํานวน 11 ศูนย์เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ห้องประชุม ศ.วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 4 สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา โดยรศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 11 ศูนย์ เข้าร่วมประชุม ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทรรมช.ศึกษาธิการกล่าวว่า ผลการดําเนินงานของศูนย์ความเป็นเลิศทั้ง 11 ศูนย์ที่ผ่านมา มีความมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ด้านต่าง ๆ ตามบริบทของพื้นที่ ซึ่งได้กระตุ้นให้ทุกแห่งเร่งทํางานให้เข้มข้นมากขึ้นในฐานะที่เป็นศูนย์ความเป็นเลิศ เพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ การขับเคลื่อนนวัตกรรมตามเป้าหมายนโยบายประเทศไทย 4.0 รวมทั้งตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต ทั้งนี้ แต่เดิมศูนย์ความเป็นเลิศได้มุ่งเน้นการทํางานวิจัย สร้างนวัตกรรม และผลิตบัณฑิตระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เพื่อเป็นกําลังสําคัญในการทํางานวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมแต่ขณะนี้จะต้องกําหนดเป้าหมายการทํางานใหม่เพื่อตอบโจทย์ที่สําคัญ คือ“การสร้างองค์ความรู้ใหม่”ที่จะนําสู่การพัฒนานวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ พร้อมร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรมต่อยอดองค์ความรู้สู่การผลิตเป็นสินค้า ที่จะช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกด้วย ส่วนเป้าหมายรองลงมา ก็คือ“การสร้างคน”ที่จะเป็นนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีชั้นสูงสู่ภาคการผลิตในระบบอุตสาหกรรมมากขึ้น นอกจากนี้ แนวทางการทํางานต้องมีความชัดเจนมากขึ้นเพื่อให้ศูนย์ความเป็นเลิศสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง โดยลดการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลหรือไม่ขอรับเลยตลอดไปดังเช่นศูนย์ความเป็นเลิศในประเทศต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะสนับสนุนการลงทุนในช่วง 3-5 ปีแรกเท่านั้นซึ่งในความเป็นจริงรัฐบาลยังคงสนับสนุนงบประมาณแก่ศูนย์ความเป็นเลิศไทยจํานวน 300-400 ล้านบาทต่อปีตลอด 17 ปีของการก่อตั้งอย่างต่อเนื่อง เพราะศูนย์ความเป็นเลิศยังไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น เมื่อมีการทบทวนกระบวนการทํางานพร้อมวางแผนให้ตอบโจทย์เป้าหมายใหม่แล้ว ก็จะต้องแสวงหาแหล่งทุนจากภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรม เพื่อผลิตและต่อยอดผลงานเชิงพาณิชย์ ที่จะช่วยสร้างรายได้เป็นทุนในการสนับสนุนการดําเนินงานอีกทางหนึ่งด้วย ผลการดําเนินงาน 11 ศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence: CoE) 1) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมทางเคมี (Center of Excellence for Innovation in Chemistry)ก่อตั้งเมื่อปี 2543 โดยมีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นสถาบันแกนนํา เน้นทิศทางการวิจัยด้านเทคโนโลยีการวิเคราะห์เชิง Translational การผลิตผลิตภัณฑ์ธรรมชาติทางชีวภาพที่สร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และวัสดุสมาร์ทต่อนวัตกรรมการแปล โดยมีผลการดําเนินงานที่โดดเด่น อาทิ การผลิตชุดทดสอบฟอร์มาลีนในอาหาร ชุดทดสอบเครื่องสําอาง, ผลิตภัณฑ์ไพลทานอยด์ จากสารสกัดไพล บรรเทาอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก และต่อต้านการอักเสบ, การพัฒนาเส้นใยสับปะรด เป็นต้น โดยในอนาคตมีแผนผลักดันการพัฒนานวัตกรรม ควบคู่กับการสนับสนุนความรู้ความเชี่ยวชาญของนักวิจัย ตอบโจทย์ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้ง 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพในการต่อยอด (First S-Curve) และ 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) 2) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและพิษวิทยา (Center of Excellence for Environmental Science, Technology and Management)ก่อตั้งเมื่อปี 2552 โดยคณะวิทยาศาสตร์และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และสถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ ร่วมดําเนินการ เน้นการวิจัยผลกระทบด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยทางเคมี รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีอนามัยสิ่งแวดล้อม พัฒนาสารเคมีเพื่อเพิ่มประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ และประเมินความเสี่ยงและการบริหารจัดการสารเคมีอย่างปลอดภัย โดยมีผลงานวิจัยเด่น อาทิ การประเมินผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของมลพิษ ในเขตนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง, การวิจัยและพัฒนายาชีววัตถุ, การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้จากวัสดุธรรมชาติ (BioPot), วัสดุก่อสร้างที่ยั่งยืนจากเถ้าถ่านหิน เป็นต้น 3) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย (Center of Excellence on Hazardous Substance Management)ก่อตั้งเมื่อปี 2542 โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ และสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมดําเนินการ เน้นการผลิตองค์ความรู้ งานวิจัย และบุคลากรวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา ด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาชั้นนําในประเทศและพันธมิตรต่างประเทศ พร้อมเป็นแหล่งให้คําปรึกษาแก่ภาครัฐ ภาคการผลิต และภาคบริการ โดยมีผลงานวิจัยเด่น อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และระบบกําจัดสารเคมีเป็นพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมจากภาคเกษตรกรรม, โครงการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือและติดตามการต่ออายุโรงงานที่ขาดการจัดการกากอุตสาหกรรม เป็นต้น 4) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีปิโตรเคมีและวัสดุ (Center of Excellence on Petrochemical and Materials Technology)โดยวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ภาควิชาเคมีเทคนิค ภาควิชาเคมี และภาควิชาวัสดุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวิทยาศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สํานักวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร เน้นการพัฒนาบุคลากร หลักสูตร และเครื่องมือวิจัยระดับสูง เพื่อวางรากฐานด้านบัณฑิตศึกษา และลงทุนด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศด้านการศึกษาและด้านอุตสาหกรรม โดยมีผลงานวิจัยเด่น อาทิ ผลิตภัณฑ์ Zero-Waste Cup และ Compostable Bag ลดขยะพลาสติก, น้ํามันชีวภาพและน้ํามันจากปิโตรเคมีทางเลือก, งานวิจัยร่วมกับภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในพื้นที่ EEC, พัฒนาชุดทดสอบมะเร็งปากมดลูกและเชื้อโรคอื่น ๆ เป็นต้น 5) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม (Center of Excellence of Energy and Environment)โดยสํานักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมดําเนินการ โดยเน้นผลิตบัณฑิตที่มีทักษะความรู้ด้านพลังงานตามความต้องการของประเทศ พัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมจากงานวิจัย และบริการวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่สังคมและประเทศ โดยมีผลงานวิจัยเด่น อาทิ การสร้างความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งด้านการลดมลภาวะ ลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก (GHGs) พร้อมมีแนวคิดสร้างเมืองอัจฉริยะ (Smart city) โดยลดการใช้พลังงานในที่อยู่อาศัย ใช้พลังงานสําหรับการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งการปลูกต้นไม้เต็มเมือง บริหารจัดการขยะ เป็นต้น 6) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร (Center of Excellence on Agricultural Biotechnology)โดยสํานักพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สบว.) สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เน้นงานวิจัย ขับเคลื่อนการบูรณาการการวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์เกษตรและอาหาร ตลอดจนเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนวิทยากรกับศูนย์วิจัยระดับแนวหน้าของโลก เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งแก่ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีผลงานวิจัยเด่น อาทิ การเพิ่มผลผลิตปาล์มน้ํามัน, การแก้ไขปัญหาเนื้อแก้วยางไหลของมังคุด, การส่งเสริมอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ, การป้องกันโรคในสัตว์ปีก, การพัฒนาพันธุ์พืชและบริการอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ด้วยเทคโนโลยี เป็นต้น 7) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว (Center of Excellence on Postharvest Technology Innovation)โดยสํานักพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สบว.) สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เน้นการผลิตงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์เชื่อมโยงภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนบุคลากรระดับสูงที่มีทักษะวิจัยตอบสนองความต้องการของประเทศ ให้บริการวิชาการมาตรฐานสูง ถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวที่เข้มแข็ง โดยมีผลงานวิจัยเด่นที่สามารถต่อยอดนวัตกรรมสู่อุตสาหกรรม อาทิ เครื่องจักรและผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมกาแฟ, เครื่องคลื่นความถี่วิทยุลดการใช้สารเคมีในข้าวสาร, เครื่องประเมินคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร, การจัดการเพื่อการส่งออกผักและผลไม้, ระบบ Logistic & cold chain management เป็นต้น 8) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านคณิตศาสตร์ (Center of Excellence in Mathematics)โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมดําเนินการ เน้นงานวิจัยทางด้านคณิตศาสตร์ประยุกต์และคณิตศาสตรศึกษา สําหรับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ การอบรมและพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพสูงทางด้านคณิตศาสตร์ สร้างโอกาสในการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างนักวิชาการกับภาคอุตสาหกรรม พร้อมปลูกฝังการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบแก่ประชากรตั้งแต่วัยเยาว์ โดยมีผลงานวิจัยเด่น อาทิ การจําลองบรรยากาศเขตภาคเหนือเพื่อหาค่าที่เหมาะสม, การอนุรักษ์แหล่งน้ําโดยใช้โมเดลเชิงคณิตศาสตร์, การยกระดับการพัฒนาวิชาชีพครูคณิตศาสตร์ โดยใช้การศึกษาชั้นเรียนและวิธีการแบบเปิด, การวิจัยทางสถิติและคอมพิวเตอร์เพื่อเยียวยาฟื้นฟูในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้, การอนุรักษ์ชายฝั่งทะเลระยะยาว เป็นต้น 9) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านฟิสิกส์ (Center of Excellence in Physics)โดยมีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยขอนแก่น และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ร่วมดําเนินการ โดยเน้นการวิจัยและศึกษาด้านฟิสิกส์ระดับสูง สร้างนักฟิสิกส์ที่มีคุณภาพระดับสากล พร้อมสร้างศักยภาพครูผู้สอนให้มีเทคนิคการเรียนรู้ใหม่แก่เด็กไทย บริหารจัดการนวัตกรรมฐานฟิสิกส์เพื่อผลักดันการใช้ประโยชน์งานวิจัยในเชิงวิชาการ สังคม และพาณิชย์ เสริมสร้างโครงสร้างและปัจจัยพื้นฐานที่เข้มแข็ง ตลอดจนเตรียมความพร้อมสู่การเป็นองค์กรในกํากับที่พึ่งพาตนเองได้ มีผลงานวิจัยเด่น อาทิ ข้าวสังข์หยดพัทลุงพันธุ์กลาย, อาหารโคคุณสภาพสูง จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร, พลาสมาเย็นความดันบรรยากาศบําบัดแผลติดเชื้อดื้อยา, การค้นพบเพื่อยืนยันการดํารงอยู่ของ Nonreciprocal Magnons ในวัสดุแม่เหล็กเป็นครั้งแรกในโลก เป็นต้น 10) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Center of Excellence on Biodiversity)โดยมีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ร่วมดําเนินการ เน้นงานวิจัยฐานพันธุกรรมทรัพยากรชีวภาพ พืช สัตว์ จุลินทรีย์ ในระบบนิเวศเขตร้อน สู่มูลค่าเพิ่มธุรกิจชีวภาพอย่างยั่งยืน ด้วยการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมตอบโจทย์องค์กรระหว่างประเทศ อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ มีผลการดําเนินงานเด่น อาทิ โครงการฐานข้อมูลชีวภาพของประเทศไทย, โครงการรวบรวมข้อมูลบัญชีรายการทรัพยากรชีวภาพสัตว์ในกลุ่มหอยในประเทศไทย, ร่วมคณะนักสํารวจนานาชาติและทีมนักวิจัย จากองค์การอนุรักษ์พืชและสัตว์ระหว่างประเทศ (Fauna & Flora International: FFI) เพื่อวิจัยทรัพยากรชีวภาพในเมียนมา เป็นต้น 11) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์ (Center of Excellence on Medical Biotechnology)ก่อตั้งเมื่อปี 2554 โดยมหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เน้นการผลิตผลงานวิจัยและพัฒนาให้เป็นนวัตกรรม จากนั้นผลักดันสู่ผลิตภัณฑ์ พร้อมผลิตนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีชั้นสูง สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันทั้งภาครัฐ กลุ่มอุตสาหกรรม และเครือข่ายมหาวิทยาลัย ตลอดจนเครือข่ายด้านการวิจัยนานาชาติ และถ่ายทอดความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีไปสู่ภาคเอกชน มีผลงานวิจัยเด่น อาทิ ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยวินิจฉัยโรคด้วยข้อมูลชีววิทยาทางการแพทย์, ชุดทดสอบคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มอาการโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องในวัยผู้ใหญ่, ปัญญาประดิษฐ์จากข้อมูลสุขภาพและอุปกรณ์ชนิดพกพาเพื่อติดตามสภาวะความเสื่อมถอยของร่างกาย, วัคซีนใหม่รักษาโรคภูมิแพ้ไรฝุ่นโดยใช้อนุภาครูปร่างเสมือนไวรัส เป็นต้น ​Writtenbyนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15991
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ร่วมกับ LAZADA เดินหน้าฟื้นธุรกิจยุค New Normal จัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการตลาดออนไลน์ “SME D ยกกำลัง 3” ครั้งที่ 1 [กระทรวงการคลัง]
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563 SME D Bank ร่วมกับ LAZADA เดินหน้าฟื้นธุรกิจยุค New Normal จัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการตลาดออนไลน์ “SME D ยกกําลัง 3” ครั้งที่ 1 [กระทรวงการคลัง] SME D Bank ร่วมกับ LAZADA เดินหน้าฟื้นธุรกิจยุค New Normal จัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการตลาดออนไลน์ “SME D ยกกําลัง 3” ครั้งที่ 1 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ร่วมกับ บริษัท ลาซาด้า จํากัด เจ้าของแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดัง LAZADA จัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “SME D ยกกําลัง 3 เปิดตลาดออนไลน์ กับ LAZADA” ครั้งที่ 1 เพื่อเตรียมความพร้อมยกระดับลูกค้า ผู้ประกอบการ เดินหน้าขับเคลื่อนฟื้นธุรกิจในยุค New Normal ภายใต้หัวข้อ ‘ขายออนไลน์สไตล์ LAZADA อย่างไรให้ปัง’ และ ‘เคล็ด(ไม่)ลับ ทําตลาดออนไลน์ง่ายกว่าพลิกฝ่ามือ’ โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ คุณกรณษา ปานสุวรรณ Senior Training Associated ในวันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 เวลา 08.30 - 16.00 น. ณ ห้องประชุมแก้ววิเชียร อาคาร SME Bank Tower สนใจสมัครได้แล้ววันนี้ ด้วยขั้นตอนง่ายๆ เพียงสแกน QR Code ในโปสเตอร์ หรือ คลิกลิงค์ https://coreportal.smebank.co.th/osr.php?qid=204 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 02-265-4258 และ 4409
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ร่วมกับ LAZADA เดินหน้าฟื้นธุรกิจยุค New Normal จัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการตลาดออนไลน์ “SME D ยกกำลัง 3” ครั้งที่ 1 [กระทรวงการคลัง] วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563 SME D Bank ร่วมกับ LAZADA เดินหน้าฟื้นธุรกิจยุค New Normal จัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการตลาดออนไลน์ “SME D ยกกําลัง 3” ครั้งที่ 1 [กระทรวงการคลัง] SME D Bank ร่วมกับ LAZADA เดินหน้าฟื้นธุรกิจยุค New Normal จัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการตลาดออนไลน์ “SME D ยกกําลัง 3” ครั้งที่ 1 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ร่วมกับ บริษัท ลาซาด้า จํากัด เจ้าของแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดัง LAZADA จัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “SME D ยกกําลัง 3 เปิดตลาดออนไลน์ กับ LAZADA” ครั้งที่ 1 เพื่อเตรียมความพร้อมยกระดับลูกค้า ผู้ประกอบการ เดินหน้าขับเคลื่อนฟื้นธุรกิจในยุค New Normal ภายใต้หัวข้อ ‘ขายออนไลน์สไตล์ LAZADA อย่างไรให้ปัง’ และ ‘เคล็ด(ไม่)ลับ ทําตลาดออนไลน์ง่ายกว่าพลิกฝ่ามือ’ โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ คุณกรณษา ปานสุวรรณ Senior Training Associated ในวันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 เวลา 08.30 - 16.00 น. ณ ห้องประชุมแก้ววิเชียร อาคาร SME Bank Tower สนใจสมัครได้แล้ววันนี้ ด้วยขั้นตอนง่ายๆ เพียงสแกน QR Code ในโปสเตอร์ หรือ คลิกลิงค์ https://coreportal.smebank.co.th/osr.php?qid=204 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 02-265-4258 และ 4409
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32226
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชมการแสดงโขน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถตอน “พิเภกสวามิภักดิ์”
วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเชิญชมการแสดงโขน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” คณะผู้แสดงโขน เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การแสดงโขน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” วันนี้ (24 ตุลาคม 2561) เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายอนุชา ทีรคานนท์ คณะกรรมการจัดการแสดงโขน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นําคณะผู้แสดงโขน เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์การแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” ซึ่งจะจัดแสดงระหว่าง 3 พฤศจิกายน - 5 ธันวาคม 2561 ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดแสดง “โขน” ซึ่งนับเป็นสมบัติอันล้ําค่าของชาติขึ้นเป็นประจําทุกปี เพื่อเผยแพร่นาฏศิลป์ชั้นสูงอันเก่าแก่ของไทยให้อยู่สืบไป ในปี 2561 นับเป็นวาระโอกาสพิเศษฉลองครบรอบ 10 ปี ของการจัดแสดงโขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยได้เลือกบทโขนรามเกียรติ์ ตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” มาจัดแสดงตามรูปแบบโขนหลวง การแสดงผสมผสานศิลปะการแสดงแบบประเพณีกับเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างสวยงาม ซึ่งมีฉากสําคัญ เช่น ฉากทศกัณฑ์ขับไล่พิเภกออกจากกรุงลงกา , ฉากพิเภกถอดชฎา สาระสําคัญของโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” นั้นยังแสดงออกถึงความจงรักภักดี ความรักในความถูกต้อง และคุณธรรมระหว่างพระรามซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์และพิเภกในฐานะตัวแทน ประชาชน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมและมอบกําลังใจแก่คณะทํางานและนักแสดงที่ร่วมกันแสดงโขน ซึ่งเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมแก่เยาวชน คนรุ่นหลัง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “สิ่งที่สําคัญคือการถ่ายทอดและนําเสนอ ที่เข้าใจง่าย กระชับ แต่เนื้อหายังต้องคงสาระที่ครบถ้วน แสดงให้ถึงความงดงามของศิลปะการแสดงของไทย” นอกจากนี้ ยังได้กําชับคณะทํางานและผู้แสดงดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และพร้อมจะไปให้กําลังใจและชมการแสดงด้วย โอกาสนี้ คณะผู้แสดงได้มอบ ประติมากรรม ดํานูนต่ํารูปพระจันทร์ทรงรถ โดยอาจารย์สุดสาคร ชายเสมเสม อาจารย์ผู้สร้างฉากและผู้ออกแบบแก่นายกรัฐมตรี ด้วย ทั้งนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดําเนินไปทรงเป็นประธานและทอดพระเนตรการแสดงโขน ตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” ในวันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561 เวลา 19.00 น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในการนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยา ร่วมรับเสด็จ ฯ และชมการแสดงด้วย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังมอบหมายให้สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพรอบการแสดงในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคีเครือข่าย หน่วยงาน ภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ประชาชนและสื่อมวลชนที่รับเชิญร่วมเข้าชมโดยไม่ค่าเสียค่าใช้จ่าย อนึ่ง การแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” จะจัดแสดงระหว่างวันที่ 3 พฤศจิกายน ถึง วันที่ 5 ธันวาคม 2561 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จําหน่ายบัตรแล้ววันนี้ที่เว็บไซต์ http://www.thaiticketmajor.com เค้าเตอร์ไทยทิคเก็เมเจอร์ทุกสขา หรือ โทร. 02-2623456 หรือสายด่วนวัฒนธรรม 1765 ..................................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชมการแสดงโขน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเชิญชมการแสดงโขน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” คณะผู้แสดงโขน เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การแสดงโขน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” วันนี้ (24 ตุลาคม 2561) เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายอนุชา ทีรคานนท์ คณะกรรมการจัดการแสดงโขน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นําคณะผู้แสดงโขน เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์การแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” ซึ่งจะจัดแสดงระหว่าง 3 พฤศจิกายน - 5 ธันวาคม 2561 ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดแสดง “โขน” ซึ่งนับเป็นสมบัติอันล้ําค่าของชาติขึ้นเป็นประจําทุกปี เพื่อเผยแพร่นาฏศิลป์ชั้นสูงอันเก่าแก่ของไทยให้อยู่สืบไป ในปี 2561 นับเป็นวาระโอกาสพิเศษฉลองครบรอบ 10 ปี ของการจัดแสดงโขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยได้เลือกบทโขนรามเกียรติ์ ตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” มาจัดแสดงตามรูปแบบโขนหลวง การแสดงผสมผสานศิลปะการแสดงแบบประเพณีกับเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างสวยงาม ซึ่งมีฉากสําคัญ เช่น ฉากทศกัณฑ์ขับไล่พิเภกออกจากกรุงลงกา , ฉากพิเภกถอดชฎา สาระสําคัญของโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” นั้นยังแสดงออกถึงความจงรักภักดี ความรักในความถูกต้อง และคุณธรรมระหว่างพระรามซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์และพิเภกในฐานะตัวแทน ประชาชน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมและมอบกําลังใจแก่คณะทํางานและนักแสดงที่ร่วมกันแสดงโขน ซึ่งเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมแก่เยาวชน คนรุ่นหลัง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “สิ่งที่สําคัญคือการถ่ายทอดและนําเสนอ ที่เข้าใจง่าย กระชับ แต่เนื้อหายังต้องคงสาระที่ครบถ้วน แสดงให้ถึงความงดงามของศิลปะการแสดงของไทย” นอกจากนี้ ยังได้กําชับคณะทํางานและผู้แสดงดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และพร้อมจะไปให้กําลังใจและชมการแสดงด้วย โอกาสนี้ คณะผู้แสดงได้มอบ ประติมากรรม ดํานูนต่ํารูปพระจันทร์ทรงรถ โดยอาจารย์สุดสาคร ชายเสมเสม อาจารย์ผู้สร้างฉากและผู้ออกแบบแก่นายกรัฐมตรี ด้วย ทั้งนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดําเนินไปทรงเป็นประธานและทอดพระเนตรการแสดงโขน ตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” ในวันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561 เวลา 19.00 น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในการนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยา ร่วมรับเสด็จ ฯ และชมการแสดงด้วย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังมอบหมายให้สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพรอบการแสดงในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคีเครือข่าย หน่วยงาน ภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ประชาชนและสื่อมวลชนที่รับเชิญร่วมเข้าชมโดยไม่ค่าเสียค่าใช้จ่าย อนึ่ง การแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” จะจัดแสดงระหว่างวันที่ 3 พฤศจิกายน ถึง วันที่ 5 ธันวาคม 2561 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จําหน่ายบัตรแล้ววันนี้ที่เว็บไซต์ http://www.thaiticketmajor.com เค้าเตอร์ไทยทิคเก็เมเจอร์ทุกสขา หรือ โทร. 02-2623456 หรือสายด่วนวัฒนธรรม 1765 ..................................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16269
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. กำชับเจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.เพชรบูรณ์ เร่งบูรณาการช่วยเหลือ กรณีพ่อบ้าน พี่เลี้ยงเด็กกระทำอนาจารเด็กหญิง
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม 2560 รมว. พม. กําชับเจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.เพชรบูรณ์ เร่งบูรณาการช่วยเหลือ กรณีพ่อบ้าน พี่เลี้ยงเด็กกระทําอนาจารเด็กหญิง รมว. พม. กําชับเจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.เพชรบูรณ์ เร่งบูรณาการช่วยเหลือ กรณีพ่อบ้าน พี่เลี้ยงเด็กกระทําอนาจารเด็กหญิง วันนี้(18 พ.ค. 60) เวลา 16.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯนายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เปิดเผยถึงกรณี สื่อสังคมออนไลน์ มีการโพสต์และแชร์ภาพเหตุการณ์พ่อบ้านมูลนิธิเด็กแห่งหนึ่งในอําเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กระทําอนาจารเด็กหญิงในความดูแลหลายคนอย่างต่อเนื่อง และมีมารดาของเด็กหญิงวัย 13 ปี รายหนึ่ง ได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ ว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(รมว.พม.)ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (พมจ.ประจวบคีรีขันธ์) พร้อมด้วยบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงดังกล่าวอย่างใกล้ชิด พร้อมให้การช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 นายณรงค์ กล่าวต่อว่าหัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้ประสาน พมจ.ประจวบคีรีขันธ์ ในการลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือเด็กหญิงดังกล่าว โดยได้พามารดา ของเด็กหญิงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนที่สถานีตํารวจภูธรหัวหิน พร้อมสอบปากคําเด็กหญิงผู้เสียหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้น สภ.หัวหิน ได้ขออํานาจศาลออกหมายจับตัวผู้ถูกกล่าวหาเพื่อมาดําเนินคดี นายณรงค์ กล่าวต่ออีกว่าสําหรับมารดาของเด็กหญิงดังกล่าวได้แจ้งความประสงค์ที่จะพาลูกสาว กลับไปอุปการะดูแลด้วยตนเองที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ประสานกับโรงเรียนของเด็กหญิงในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อออกใบรับรองผลการเรียนให้เด็กหญิงสามารถกลับไปเรียน อย่างต่อเนื่องในภูมิลําเนาของมารดาได้ อีกทั้งประสานความร่วมมือกับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเพชรบูรณ์ (พมจ.เพชรบูรณ์) ให้การช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กหญิงตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และการศึกษาอย่างต่อเนื่องในระยะยาวแล้วเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ผ่านมา "ทั้งนี้ สําหรับประชาชนพบเห็น หรือประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม OSCC โทร 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป” นายณรงค์ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. กำชับเจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.เพชรบูรณ์ เร่งบูรณาการช่วยเหลือ กรณีพ่อบ้าน พี่เลี้ยงเด็กกระทำอนาจารเด็กหญิง วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม 2560 รมว. พม. กําชับเจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.เพชรบูรณ์ เร่งบูรณาการช่วยเหลือ กรณีพ่อบ้าน พี่เลี้ยงเด็กกระทําอนาจารเด็กหญิง รมว. พม. กําชับเจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.เพชรบูรณ์ เร่งบูรณาการช่วยเหลือ กรณีพ่อบ้าน พี่เลี้ยงเด็กกระทําอนาจารเด็กหญิง วันนี้(18 พ.ค. 60) เวลา 16.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯนายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เปิดเผยถึงกรณี สื่อสังคมออนไลน์ มีการโพสต์และแชร์ภาพเหตุการณ์พ่อบ้านมูลนิธิเด็กแห่งหนึ่งในอําเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กระทําอนาจารเด็กหญิงในความดูแลหลายคนอย่างต่อเนื่อง และมีมารดาของเด็กหญิงวัย 13 ปี รายหนึ่ง ได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ ว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(รมว.พม.)ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (พมจ.ประจวบคีรีขันธ์) พร้อมด้วยบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงดังกล่าวอย่างใกล้ชิด พร้อมให้การช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 นายณรงค์ กล่าวต่อว่าหัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้ประสาน พมจ.ประจวบคีรีขันธ์ ในการลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือเด็กหญิงดังกล่าว โดยได้พามารดา ของเด็กหญิงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนที่สถานีตํารวจภูธรหัวหิน พร้อมสอบปากคําเด็กหญิงผู้เสียหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้น สภ.หัวหิน ได้ขออํานาจศาลออกหมายจับตัวผู้ถูกกล่าวหาเพื่อมาดําเนินคดี นายณรงค์ กล่าวต่ออีกว่าสําหรับมารดาของเด็กหญิงดังกล่าวได้แจ้งความประสงค์ที่จะพาลูกสาว กลับไปอุปการะดูแลด้วยตนเองที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ประสานกับโรงเรียนของเด็กหญิงในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อออกใบรับรองผลการเรียนให้เด็กหญิงสามารถกลับไปเรียน อย่างต่อเนื่องในภูมิลําเนาของมารดาได้ อีกทั้งประสานความร่วมมือกับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเพชรบูรณ์ (พมจ.เพชรบูรณ์) ให้การช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กหญิงตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และการศึกษาอย่างต่อเนื่องในระยะยาวแล้วเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ผ่านมา "ทั้งนี้ สําหรับประชาชนพบเห็น หรือประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม OSCC โทร 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป” นายณรงค์ กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3832
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ. นำกีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา พร้อมจัด "สพฐ. เกมส์" 7 ชนิดกีฬา ส่งเสริมแสดงออกด้านกีฬา พัฒนาสู่นักกีฬามืออาชีพ
วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ศธ. นํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา พร้อมจัด "สพฐ. เกมส์" 7 ชนิดกีฬา ส่งเสริมแสดงออกด้านกีฬา พัฒนาสู่นักกีฬามืออาชีพ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมชี้แจงนโยบายการนํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา เมื่อวันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุมสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมชี้แจงนโยบายการนํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษาเมื่อวันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุมสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมประชุมและแถลงข่าว พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า นโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2561 ได้ให้ความสําคัญกับการนํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาของสังคมโลก และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ส่งผลให้การดําเนินชีวิตและสุขภาพของประชาชนยุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้น การต่อสู้ดิ้นรนแข่งขันทางสังคมและเศรษฐกิจทําให้ประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม โดยมีแนวโน้มจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากประชาชนยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง อาจจะก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ประเพณีและวัฒนธรรมที่ดีงามได้ จากสภาพดังกล่าวจึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งในการสร้างศักยภาพนักเรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 6 ที่ว่า “การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อการพัฒนาเด็กไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีความรู้ คู่คุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดํารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ดังนั้น การออกกําลังกายและการเล่นกีฬา จึงเป็นปัจจัยสําคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สอดคล้องกับลักษณะของสังคมในปัจจุบันนี้ กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้นํานโยบายดังกล่าวขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติโดยมอบให้สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ขับเคลื่อนงานด้านการนํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษาตามนโยบายของรัฐบาลเรื่องการส่งเสริมการเรียนการสอนกีฬา โดยนอกจากโครงการ “สานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้” และโครงการ “ห้องเรียนกีฬา” ที่ สพฐ.ได้ดําเนินการมาอยู่ก่อนแล้วจะมีการจัดทําหลักสูตรเพิ่มเติม นั่นคือหลักสูตรคีตะมวยไทย สอนนักเรียนตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ม.6ซึ่งหลักสูตรนี้เน้นเรื่องทักษะการออกกําลังกาย โดยใช้ท่ามวยไทยเป็นหลัก นอกจากนี้จะมีการสอนกีฬายิมนาสติก ที่เน้นการยืดหยุ่นร่างกาย และสอนว่ายน้ํา ให้นักเรียนรู้จักการลอยตัวในน้ําโดย สพฐ.จะร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการจัดทําหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อนําไปใช้เป็นวิชาเลือก วิชาเพิ่มเติม หรือเป็นชมรม ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของโรงเรียน อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการจะส่งเสริมการเล่นกีฬาสําหรับประชาชนทั่วไป โดยเปิดพื้นที่ของสถานศึกษาให้ประชาชนได้เข้ามาใช้สนามกีฬาของโรงเรียนซึ่งขณะนี้สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้สํารวจสถานศึกษาทุกสังกัดใน ศธ. พบว่ามีสถานศึกษามากกว่า 3 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ที่พร้อมให้ประชาชนเข้าใช้บริการ ในส่วนของสถานศึกษาสังกัด สพฐ.จะมีการติดป้ายประชาสัมพันธ์หน้าโรงเรียน เพื่อเชิญชวนประชาชนให้เข้ามาใช้สนามกีฬาและโรงยิมฯในโรงเรียนได้ซึ่งนอกจากสนับสนุนสถานที่แล้ว สพฐ.จะสนับสนุนอุปกรณ์ในการเล่นกีฬาให้ประชาชนด้วยขณะเดียวกันจะมีโครงการรับโค้ชจิตอาสา หรือผู้นํากีฬาของชุมชน โดยเชิญชวนบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เข้ามาเป็นโค้ชจิตอาสา สอนประชาชนในช่วงที่มาเล่นกีฬาในสถานศึกษา ซึ่งขณะนี้มีบุคคลที่มีความพร้อมสมัครเข้ามาเป็นโค้ชจิตอาสามากกว่า 7 หมื่นคนแล้ว นอกจากนั้น สพฐ. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตองค์รวมของนักเรียนมีการจัดการแข่งขันกีฬาหลายประเภทอย่างสม่ําเสมอกระทรวงศึกษาธิการจึงได้มอบหมายให้ สพฐ. จัดโครงการ “สพฐ. เกมส์” ซึ่งเป็นการแข่งขันกีฬานักเรียนระดับชาติเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนในระบบการศึกษา หันมาสนใจการออกกําลังกาย เล่นกีฬาอย่างสม่ําเสมอ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ สร้างเสริมพลานามัยที่ดี ห่างไกลจากยาเสพติด และสามารถพัฒนาทักษะกีฬาพื้นฐานจนก้าวสู่การเป็นนักกีฬามืออาชีพได้ สําหรับการแข่งขัน “สพฐ. เกมส์” จะจัดแข่งขันใน 7 ชนิดกีฬา ได้แก่ ฟุตบอล วอลเลย์บอล เซปักตะกร้อ ฟุตซอล บาสเกตบอล วิ่ง 31 ขา และคีตะมวยไทย/ศิลปะแม่ไม้มวยไทย (สําหรับกีฬานักเรียนเฉพาะความพิการ ได้แก่ เปตอง วิ่ง 31 ขา และฟุตซอล) ในรุ่นอายุการแข่งขัน 3 รุ่น คือ ระดับประถมศึกษา/อายุไม่เกิน 12 ปี ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น/อายุไม่เกิน 15 ปี และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/อายุไม่เกิน 18 ปี โดยจะมีการคัดเลือกตัวแทนระดับเขต ไปแข่งขันกีฬาในระดับภาค ประเภทละ 1 ทีม ระหว่างวันที่ 5-25 พฤศจิกายน 2561 จากนั้นจะคัดเลือกตัวแทนระดับภาค ไปแข่งขันในระดับชาติ ประเภทละ 2 ทีม โดยจัดแข่งขันใน 6 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ที่จังหวัดสุโขทัย , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดมหาสารคาม , ภาคใต้ ที่จังหวัดกระบี่ , ภาคกลาง ที่จังหวัดสมุทรสาคร , ภาคตะวันออก ที่จังหวัดชลบุรี และภาคใต้ชายแดน ที่จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน - 9 ธันวาคม 2561 จากนั้นจะจัดการแข่งขันระดับชาติ รอบรองชนะเลิศ ณ สนามกีฬาในกรุงเทพและปริมณฑลระหว่างวันที่ 10-15 ธันวาคม 2561 และจัดการแข่งขันระดับชาติรอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 16 ธันวาคม 2561 ซึ่งเป็นวันกีฬาแห่งชาติอีกด้วย Written byสพฐ. Photo CreditETVmac Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ. นำกีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา พร้อมจัด "สพฐ. เกมส์" 7 ชนิดกีฬา ส่งเสริมแสดงออกด้านกีฬา พัฒนาสู่นักกีฬามืออาชีพ วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ศธ. นํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา พร้อมจัด "สพฐ. เกมส์" 7 ชนิดกีฬา ส่งเสริมแสดงออกด้านกีฬา พัฒนาสู่นักกีฬามืออาชีพ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมชี้แจงนโยบายการนํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา เมื่อวันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุมสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมชี้แจงนโยบายการนํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษาเมื่อวันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุมสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมประชุมและแถลงข่าว พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า นโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2561 ได้ให้ความสําคัญกับการนํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาของสังคมโลก และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ส่งผลให้การดําเนินชีวิตและสุขภาพของประชาชนยุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้น การต่อสู้ดิ้นรนแข่งขันทางสังคมและเศรษฐกิจทําให้ประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม โดยมีแนวโน้มจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากประชาชนยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง อาจจะก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ประเพณีและวัฒนธรรมที่ดีงามได้ จากสภาพดังกล่าวจึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งในการสร้างศักยภาพนักเรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 6 ที่ว่า “การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อการพัฒนาเด็กไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีความรู้ คู่คุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดํารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ดังนั้น การออกกําลังกายและการเล่นกีฬา จึงเป็นปัจจัยสําคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สอดคล้องกับลักษณะของสังคมในปัจจุบันนี้ กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้นํานโยบายดังกล่าวขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติโดยมอบให้สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ขับเคลื่อนงานด้านการนํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษาตามนโยบายของรัฐบาลเรื่องการส่งเสริมการเรียนการสอนกีฬา โดยนอกจากโครงการ “สานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้” และโครงการ “ห้องเรียนกีฬา” ที่ สพฐ.ได้ดําเนินการมาอยู่ก่อนแล้วจะมีการจัดทําหลักสูตรเพิ่มเติม นั่นคือหลักสูตรคีตะมวยไทย สอนนักเรียนตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ม.6ซึ่งหลักสูตรนี้เน้นเรื่องทักษะการออกกําลังกาย โดยใช้ท่ามวยไทยเป็นหลัก นอกจากนี้จะมีการสอนกีฬายิมนาสติก ที่เน้นการยืดหยุ่นร่างกาย และสอนว่ายน้ํา ให้นักเรียนรู้จักการลอยตัวในน้ําโดย สพฐ.จะร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการจัดทําหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อนําไปใช้เป็นวิชาเลือก วิชาเพิ่มเติม หรือเป็นชมรม ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของโรงเรียน อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการจะส่งเสริมการเล่นกีฬาสําหรับประชาชนทั่วไป โดยเปิดพื้นที่ของสถานศึกษาให้ประชาชนได้เข้ามาใช้สนามกีฬาของโรงเรียนซึ่งขณะนี้สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้สํารวจสถานศึกษาทุกสังกัดใน ศธ. พบว่ามีสถานศึกษามากกว่า 3 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ที่พร้อมให้ประชาชนเข้าใช้บริการ ในส่วนของสถานศึกษาสังกัด สพฐ.จะมีการติดป้ายประชาสัมพันธ์หน้าโรงเรียน เพื่อเชิญชวนประชาชนให้เข้ามาใช้สนามกีฬาและโรงยิมฯในโรงเรียนได้ซึ่งนอกจากสนับสนุนสถานที่แล้ว สพฐ.จะสนับสนุนอุปกรณ์ในการเล่นกีฬาให้ประชาชนด้วยขณะเดียวกันจะมีโครงการรับโค้ชจิตอาสา หรือผู้นํากีฬาของชุมชน โดยเชิญชวนบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เข้ามาเป็นโค้ชจิตอาสา สอนประชาชนในช่วงที่มาเล่นกีฬาในสถานศึกษา ซึ่งขณะนี้มีบุคคลที่มีความพร้อมสมัครเข้ามาเป็นโค้ชจิตอาสามากกว่า 7 หมื่นคนแล้ว นอกจากนั้น สพฐ. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตองค์รวมของนักเรียนมีการจัดการแข่งขันกีฬาหลายประเภทอย่างสม่ําเสมอกระทรวงศึกษาธิการจึงได้มอบหมายให้ สพฐ. จัดโครงการ “สพฐ. เกมส์” ซึ่งเป็นการแข่งขันกีฬานักเรียนระดับชาติเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนในระบบการศึกษา หันมาสนใจการออกกําลังกาย เล่นกีฬาอย่างสม่ําเสมอ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ สร้างเสริมพลานามัยที่ดี ห่างไกลจากยาเสพติด และสามารถพัฒนาทักษะกีฬาพื้นฐานจนก้าวสู่การเป็นนักกีฬามืออาชีพได้ สําหรับการแข่งขัน “สพฐ. เกมส์” จะจัดแข่งขันใน 7 ชนิดกีฬา ได้แก่ ฟุตบอล วอลเลย์บอล เซปักตะกร้อ ฟุตซอล บาสเกตบอล วิ่ง 31 ขา และคีตะมวยไทย/ศิลปะแม่ไม้มวยไทย (สําหรับกีฬานักเรียนเฉพาะความพิการ ได้แก่ เปตอง วิ่ง 31 ขา และฟุตซอล) ในรุ่นอายุการแข่งขัน 3 รุ่น คือ ระดับประถมศึกษา/อายุไม่เกิน 12 ปี ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น/อายุไม่เกิน 15 ปี และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/อายุไม่เกิน 18 ปี โดยจะมีการคัดเลือกตัวแทนระดับเขต ไปแข่งขันกีฬาในระดับภาค ประเภทละ 1 ทีม ระหว่างวันที่ 5-25 พฤศจิกายน 2561 จากนั้นจะคัดเลือกตัวแทนระดับภาค ไปแข่งขันในระดับชาติ ประเภทละ 2 ทีม โดยจัดแข่งขันใน 6 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ที่จังหวัดสุโขทัย , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดมหาสารคาม , ภาคใต้ ที่จังหวัดกระบี่ , ภาคกลาง ที่จังหวัดสมุทรสาคร , ภาคตะวันออก ที่จังหวัดชลบุรี และภาคใต้ชายแดน ที่จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน - 9 ธันวาคม 2561 จากนั้นจะจัดการแข่งขันระดับชาติ รอบรองชนะเลิศ ณ สนามกีฬาในกรุงเทพและปริมณฑลระหว่างวันที่ 10-15 ธันวาคม 2561 และจัดการแข่งขันระดับชาติรอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 16 ธันวาคม 2561 ซึ่งเป็นวันกีฬาแห่งชาติอีกด้วย Written byสพฐ. Photo CreditETVmac Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16580
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เน้นบริการผ่านระบบออนไลน์ฝึกทักษะฝีมือแรงงาน สู้โควิด-19
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 ก.แรงงาน เน้นบริการผ่านระบบออนไลน์ฝึกทักษะฝีมือแรงงาน สู้โควิด-19 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน จัดเตรียมช่องทางออนไลน์ บริการพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมรณรงค์ให้ประชาชน อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมให้ประชาชนอยู่ในที่พักอาศัย ทํางานจากที่บ้าน งดการเดินทางออกจากบ้านโดยไม่จําเป็น เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น กพร. ในฐานะหน่วยงานที่ยังคงมีภารกิจให้บริการประชาชน ซึ่งต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง อาทิ การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ การรับรองความรู้ความสามารถ รวมถึงการฝึกอบรมฝีมือแงงาน ขอรับรองหลักสูตรและค่าใช้จ่ายให้แก่สถานประกอบกิจการที่ฝึกอบรมทักษฝีมือแรงงานให้กับพนักงานของตนเอง เป็นต้น กพร. จึงได้เตรียมช่องทาง การให้บริการประชาชนและสถานประกอบกิจการผ่านระบบออนไลน์ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดป้องกันการแพร่เชื้อตามมาตรการของรัฐบาล นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ระบบบริการที่กพร. เปิดให้บริการมี 8 ระบบ ประกอบด้วย 1) ระบบสมัครฝึกอบรมฝีมือแรงงาน 2) ระบบสมัครทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน 3) ระบบยื่นขอรับรองความรู้ความสามารถ 4) ระบบยื่นขอมีสมุดประจําตัว 5) ระบบยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประเมิน 6) ระบบยื่นขอรับรองหลักสูตรและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมฝีมือแรงงาน 7) ระบบยื่นขอประเมินเงินสมทบกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน และ 8) แอปพลิเคชัน “รวมช่าง” ค้นหาช่างฝีมือดี บริการประชาชน จํานวน 3 ช่าง ได้แก่ ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ช่างเครื่องปรับอากาศ และช่างประปาและสุขภัณฑ์ สําหรับประชาชนที่สนใจสามารถเข้าไปใช้บริการระบบได้ที่เว็บไซต์กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน www.dsd.go.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือ กองสื่อสารองค์กร กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 0 2245 4035 “สําหรับในช่วงเวลานี้กพร. ได้เปิดรับสมัครฝึกอาชีพผ่านโครงการฝึกอาชีพตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในครัวเรือนขึ้น ตั้งเป้าดําเนินการกว่า 7,800 คน รวม 390 รุ่น ผู้สนใจก็สามารถสมัครฝึกอบรมผ่านระบบ การให้บริการออนไลน์ ได้เช่นกัน เชิญชวนประชาชนสมัครผ่านระบบดังกล่าว หากมีข้อสงสัยโทรสอบถามไปยังหน่วยงานกพร. สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานและสํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานได้เช่นกัน เพื่อลดการเดินทางออกจากที่พักอาศัย” อธิบดีกพร. กล่าวทิ้งท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เน้นบริการผ่านระบบออนไลน์ฝึกทักษะฝีมือแรงงาน สู้โควิด-19 วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 ก.แรงงาน เน้นบริการผ่านระบบออนไลน์ฝึกทักษะฝีมือแรงงาน สู้โควิด-19 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน จัดเตรียมช่องทางออนไลน์ บริการพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมรณรงค์ให้ประชาชน อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมให้ประชาชนอยู่ในที่พักอาศัย ทํางานจากที่บ้าน งดการเดินทางออกจากบ้านโดยไม่จําเป็น เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น กพร. ในฐานะหน่วยงานที่ยังคงมีภารกิจให้บริการประชาชน ซึ่งต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง อาทิ การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ การรับรองความรู้ความสามารถ รวมถึงการฝึกอบรมฝีมือแงงาน ขอรับรองหลักสูตรและค่าใช้จ่ายให้แก่สถานประกอบกิจการที่ฝึกอบรมทักษฝีมือแรงงานให้กับพนักงานของตนเอง เป็นต้น กพร. จึงได้เตรียมช่องทาง การให้บริการประชาชนและสถานประกอบกิจการผ่านระบบออนไลน์ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดป้องกันการแพร่เชื้อตามมาตรการของรัฐบาล นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ระบบบริการที่กพร. เปิดให้บริการมี 8 ระบบ ประกอบด้วย 1) ระบบสมัครฝึกอบรมฝีมือแรงงาน 2) ระบบสมัครทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน 3) ระบบยื่นขอรับรองความรู้ความสามารถ 4) ระบบยื่นขอมีสมุดประจําตัว 5) ระบบยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประเมิน 6) ระบบยื่นขอรับรองหลักสูตรและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมฝีมือแรงงาน 7) ระบบยื่นขอประเมินเงินสมทบกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน และ 8) แอปพลิเคชัน “รวมช่าง” ค้นหาช่างฝีมือดี บริการประชาชน จํานวน 3 ช่าง ได้แก่ ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ช่างเครื่องปรับอากาศ และช่างประปาและสุขภัณฑ์ สําหรับประชาชนที่สนใจสามารถเข้าไปใช้บริการระบบได้ที่เว็บไซต์กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน www.dsd.go.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือ กองสื่อสารองค์กร กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 0 2245 4035 “สําหรับในช่วงเวลานี้กพร. ได้เปิดรับสมัครฝึกอาชีพผ่านโครงการฝึกอาชีพตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในครัวเรือนขึ้น ตั้งเป้าดําเนินการกว่า 7,800 คน รวม 390 รุ่น ผู้สนใจก็สามารถสมัครฝึกอบรมผ่านระบบ การให้บริการออนไลน์ ได้เช่นกัน เชิญชวนประชาชนสมัครผ่านระบบดังกล่าว หากมีข้อสงสัยโทรสอบถามไปยังหน่วยงานกพร. สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานและสํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานได้เช่นกัน เพื่อลดการเดินทางออกจากที่พักอาศัย” อธิบดีกพร. กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28917
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยจัดโปรโมชั่นลุยงาน Money Expo ที่โคราช
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561 กรุงไทยจัดโปรโมชั่นลุยงาน Money Expo ที่โคราช ธนาคารกรุงไทย จัดโปรโมชั่นพิเศษในงานมหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 12 (Money Expo Korat 2018) ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2561 ที่ MCC HALL The Mall Korat จ.นครราชสีมา ธนาคารกรุงไทย จัดโปรโมชั่นพิเศษในงานมหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 12 (Money Expo Korat 2018) ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2561 ที่ MCC HALL The Mall Korat จ.นครราชสีมา ภายใต้แนวคิด Live Smart กรุงไทยเข้าใจคุณ ด้วยสไตล์ Co-working Space มีพื้นที่ให้ลูกค้าใช้บริการทางการเงินได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น นางอรนุช ศิรประภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์รายย่อย เปิดเผยว่า โปรโมชั่นเด่นๆ ภายในงานมหกรรมการเงินโคราช ได้แก่ ฟรีค่าธรรมเนียมเมื่อทํา บัตร Krungthai Travel Card แบบพิมพ์ชื่อ บัตรที่สามารถแลกเงินต่างประเทศในอัตราพิเศษด้วยตนเองตลอด 24 ชม. ผ่าน Mobile Application ถึง 9 สกุลเงิน ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร ปอนด์ เยน ดอลลาร์ฮ่องกง ดอลลาร์ออสเตรเลีย ดอลลาร์สิงคโปร์ ดอลลาร์แคนาดา และดอลลาร์นิวซีแลนด์ ใช้ซื้อสินค้าและบริการ ณ ร้านค้าที่มีเครื่องหมาย VISA และถอนเงินที่เครื่อง ATM ในต่างประเทศ สินเชื่อ Krungthai sSME ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่อง ให้วงเงินสูงสุด 3 เท่า ของหลักประกัน ดอกเบี้ยเริ่มต้น 4% ต่อปี ผ่อนนาน 12 ปี สินเชื่อ Krungthai sSME รักกันยาวๆ ผ่อนนาน 10 ปี ปลอดเงินต้น 12 เดือน กู้ได้สูงสุด 100 ล้านบาท สินเชื่อ KTB SMEs บัญชีเดียว ดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปี นาน 2 ปี กู้ได้สูงสุด 100 ล้านบาท สินเชื่อ Krungthai SME Soft Loan เพื่อซื้อหรือขยายเครื่องจักร ดอกเบี้ย 4% ต่อปี ผ่อนนาน 7 ปี ปลอดเงินต้น 12 เดือน สินเชื่อ Krungthai sSME ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาท ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน ดอกเบี้ยต่ําสุด MRR -1% ต่อปี ผ่อนชําระครบ 1 ปี ลดดอกเบี้ยลงอีก 1% ต่อปี สินเชื่อบุคคล กรุงไทย Smart Money ดอกเบี้ยพิเศษต่ําสุด 9% ต่อปี และสําหรับผู้ที่อยากมีบ้าน ธนาคารมี สินเชื่อที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR -3.75% ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR -3.50% ต่อปี หลังจากนั้น MRR-1.50% ต่อปี ในกรณีทําประกันชีวิตและประกันอัคคีภัย ผ่อนนาน 30 ปี ยื่นความจํานงภายในงานยกเว้นค่าธรรมเนียมประเมินราคาหลักทรัพย์ประกัน และค่าธรรมเนียมการตรวจงวดงาน นอกจากนี้ ยังมีเงินฝากประจํา Expo Xtra ฝากระยะสั้น 3 เดือน ขั้นต่ํา 5 หมื่น – 1 ล้านบาท ธนาคารให้ดอกเบี้ยพิเศษสูงสุด 1.25% ต่อปี สําหรับผู้ที่เปิดบัญชีหรือฝากเงินภายในงาน และซื้อผลิตภัณฑ์ของธนาคารหรือบริษัทในเครือ ส่วนลูกค้าที่ใช้บริการหนังสือค้ําประกันทุกประเภท รับเงินคืนผ่านบัตร KTB e-Money สูงสุด 2,500 บาท ผู้ลงทะเบียนขอสินเชื่อธุรกิจวงเงินตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป ผู้สมัครบัตรเดบิต บัตรเครดิต หรือเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ของธนาคารและบริษัทในเครือรับของสมนาคุณ ทั้งนี้ ภายในบูธยังมีคาราวานตรวจสุขภาพฟรี กิจกรรมที่น่าสนใจและความบันเทิงหลากหลายรูปแบบให้ลูกค้าและผู้เข้าร่วมได้ร่วมสนุกตลอดงานอีกด้วย ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4176-8
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยจัดโปรโมชั่นลุยงาน Money Expo ที่โคราช วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561 กรุงไทยจัดโปรโมชั่นลุยงาน Money Expo ที่โคราช ธนาคารกรุงไทย จัดโปรโมชั่นพิเศษในงานมหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 12 (Money Expo Korat 2018) ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2561 ที่ MCC HALL The Mall Korat จ.นครราชสีมา ธนาคารกรุงไทย จัดโปรโมชั่นพิเศษในงานมหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 12 (Money Expo Korat 2018) ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2561 ที่ MCC HALL The Mall Korat จ.นครราชสีมา ภายใต้แนวคิด Live Smart กรุงไทยเข้าใจคุณ ด้วยสไตล์ Co-working Space มีพื้นที่ให้ลูกค้าใช้บริการทางการเงินได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น นางอรนุช ศิรประภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์รายย่อย เปิดเผยว่า โปรโมชั่นเด่นๆ ภายในงานมหกรรมการเงินโคราช ได้แก่ ฟรีค่าธรรมเนียมเมื่อทํา บัตร Krungthai Travel Card แบบพิมพ์ชื่อ บัตรที่สามารถแลกเงินต่างประเทศในอัตราพิเศษด้วยตนเองตลอด 24 ชม. ผ่าน Mobile Application ถึง 9 สกุลเงิน ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร ปอนด์ เยน ดอลลาร์ฮ่องกง ดอลลาร์ออสเตรเลีย ดอลลาร์สิงคโปร์ ดอลลาร์แคนาดา และดอลลาร์นิวซีแลนด์ ใช้ซื้อสินค้าและบริการ ณ ร้านค้าที่มีเครื่องหมาย VISA และถอนเงินที่เครื่อง ATM ในต่างประเทศ สินเชื่อ Krungthai sSME ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่อง ให้วงเงินสูงสุด 3 เท่า ของหลักประกัน ดอกเบี้ยเริ่มต้น 4% ต่อปี ผ่อนนาน 12 ปี สินเชื่อ Krungthai sSME รักกันยาวๆ ผ่อนนาน 10 ปี ปลอดเงินต้น 12 เดือน กู้ได้สูงสุด 100 ล้านบาท สินเชื่อ KTB SMEs บัญชีเดียว ดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปี นาน 2 ปี กู้ได้สูงสุด 100 ล้านบาท สินเชื่อ Krungthai SME Soft Loan เพื่อซื้อหรือขยายเครื่องจักร ดอกเบี้ย 4% ต่อปี ผ่อนนาน 7 ปี ปลอดเงินต้น 12 เดือน สินเชื่อ Krungthai sSME ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาท ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน ดอกเบี้ยต่ําสุด MRR -1% ต่อปี ผ่อนชําระครบ 1 ปี ลดดอกเบี้ยลงอีก 1% ต่อปี สินเชื่อบุคคล กรุงไทย Smart Money ดอกเบี้ยพิเศษต่ําสุด 9% ต่อปี และสําหรับผู้ที่อยากมีบ้าน ธนาคารมี สินเชื่อที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR -3.75% ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR -3.50% ต่อปี หลังจากนั้น MRR-1.50% ต่อปี ในกรณีทําประกันชีวิตและประกันอัคคีภัย ผ่อนนาน 30 ปี ยื่นความจํานงภายในงานยกเว้นค่าธรรมเนียมประเมินราคาหลักทรัพย์ประกัน และค่าธรรมเนียมการตรวจงวดงาน นอกจากนี้ ยังมีเงินฝากประจํา Expo Xtra ฝากระยะสั้น 3 เดือน ขั้นต่ํา 5 หมื่น – 1 ล้านบาท ธนาคารให้ดอกเบี้ยพิเศษสูงสุด 1.25% ต่อปี สําหรับผู้ที่เปิดบัญชีหรือฝากเงินภายในงาน และซื้อผลิตภัณฑ์ของธนาคารหรือบริษัทในเครือ ส่วนลูกค้าที่ใช้บริการหนังสือค้ําประกันทุกประเภท รับเงินคืนผ่านบัตร KTB e-Money สูงสุด 2,500 บาท ผู้ลงทะเบียนขอสินเชื่อธุรกิจวงเงินตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป ผู้สมัครบัตรเดบิต บัตรเครดิต หรือเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ของธนาคารและบริษัทในเครือรับของสมนาคุณ ทั้งนี้ ภายในบูธยังมีคาราวานตรวจสุขภาพฟรี กิจกรรมที่น่าสนใจและความบันเทิงหลากหลายรูปแบบให้ลูกค้าและผู้เข้าร่วมได้ร่วมสนุกตลอดงานอีกด้วย ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4176-8
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14652
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลและกทม.ทำงานร่วมกันเป็นไปแนวทางเดียวกัน ไม่ได้มีความขัดแย้งระหว่างกัน
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลและกทม.ทํางานร่วมกันเป็นไปแนวทางเดียวกัน ไม่ได้มีความขัดแย้งระหว่างกัน โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลและกทม.ทํางานร่วมกันเป็นไปแนวทางเดียวกัน ไม่ได้มีความขัดแย้งระหว่างกัน วันนี้ (22 มี.ค. 63) เวลา 10.20 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีเกิดการสับสนระหว่างการสื่อสารของรัฐบาลและกรุงเทพมหานคร ในประเด็นการประกาศมาตรการปิดพื้นที่เพิ่มเติมของกรุงเทพมหานครเมื่อวานนี้ว่า เมื่อวานได้มีสื่อหลายแขนงเข้ามาสอบถามในกรุ๊ปไลน์และไลน์ส่วนตัว ทั้งข่าวลือและข่าวที่มีที่มาและที่ไป รวมทั้งส่งข่าวลือมาให้ดู ทั้งสอบถามในไลน์ส่วนตัว โดยสื่อท่านหนึ่งในกรุ๊ปไลน์ได้ถามถึง ขนาดว่าจะมีการห้ามออกจากบ้านด้วยหรือไม่ หรือจะมีการล็อกดาว์นหรือไม่ ตนเองได้ทําหน้าที่ตรวจสอบให้และทราบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า ขณะนี้ทางกรุงเทพมหานคร ได้ประชุมหารือเรื่องนี้อยู่ หากผลการประชุมออกมาอย่างไรทางกรุงเทพมหานครจะมีการแถลงการณ์เรื่องนี้เอง จึงได้ตอบกลับพี่น้องสื่อมวลชนในกรุ๊ปไลน์ว่า เป็นอํานาจสั่งการดังกล่าว คือ กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งกําลังมีการหารือมาตรการต่างๆ ที่จะนํามาดําเนินการเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยศึกษาอย่างละเอียด รอบคอบ ถี่ถ้วน จึงขอให้ประชาชนรอฟังประกาศ หรือความคืบหน้าจากกรุงเทพมหานครซึ่งจะเป็นผู้แถลงข่าวในเวลา 14.00 น. ของวานนี้ โฆษกรัฐบาลยืนยันว่า การทํางานระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพมหานครเป็นไปแนวทางเดียวกัน ไม่มีความขัดแย้งระหว่างกัน สื่อหลายสํานักพาดหัวอย่างตรงไปตรงมา มีเพียงสื่อบางฉบับนําข่าวนี้ไปลงผิด ทําให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิด ซึ่งตนไม่ได้บอกว่าจะไม่มีการปิดห้าง ไม่ได้ไปปฏิเสธ ไม่ได้บอกว่าเป็นข่าวปลอม เพียงแจ้งว่า อย่าเพิ่งไปเชื่อรายละเอียดข้อมูลอย่างไม่มีที่มาที่ไป อยากให้ทุกคนรอฟังการแถลงข่าว หรือหากมีความคืบหน้าศูนย์แถลงข่าวโควิด-19 ทําเนียบ จะเป็นผู้แถลงข่าวให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง และขอให้หยุดการแพร่ข่าวที่ไม่มีที่มาที่ไป ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ใดๆนอกจากความแตกตื่นที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงอีกด้วย --------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลและกทม.ทำงานร่วมกันเป็นไปแนวทางเดียวกัน ไม่ได้มีความขัดแย้งระหว่างกัน วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลและกทม.ทํางานร่วมกันเป็นไปแนวทางเดียวกัน ไม่ได้มีความขัดแย้งระหว่างกัน โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลและกทม.ทํางานร่วมกันเป็นไปแนวทางเดียวกัน ไม่ได้มีความขัดแย้งระหว่างกัน วันนี้ (22 มี.ค. 63) เวลา 10.20 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีเกิดการสับสนระหว่างการสื่อสารของรัฐบาลและกรุงเทพมหานคร ในประเด็นการประกาศมาตรการปิดพื้นที่เพิ่มเติมของกรุงเทพมหานครเมื่อวานนี้ว่า เมื่อวานได้มีสื่อหลายแขนงเข้ามาสอบถามในกรุ๊ปไลน์และไลน์ส่วนตัว ทั้งข่าวลือและข่าวที่มีที่มาและที่ไป รวมทั้งส่งข่าวลือมาให้ดู ทั้งสอบถามในไลน์ส่วนตัว โดยสื่อท่านหนึ่งในกรุ๊ปไลน์ได้ถามถึง ขนาดว่าจะมีการห้ามออกจากบ้านด้วยหรือไม่ หรือจะมีการล็อกดาว์นหรือไม่ ตนเองได้ทําหน้าที่ตรวจสอบให้และทราบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า ขณะนี้ทางกรุงเทพมหานคร ได้ประชุมหารือเรื่องนี้อยู่ หากผลการประชุมออกมาอย่างไรทางกรุงเทพมหานครจะมีการแถลงการณ์เรื่องนี้เอง จึงได้ตอบกลับพี่น้องสื่อมวลชนในกรุ๊ปไลน์ว่า เป็นอํานาจสั่งการดังกล่าว คือ กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งกําลังมีการหารือมาตรการต่างๆ ที่จะนํามาดําเนินการเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยศึกษาอย่างละเอียด รอบคอบ ถี่ถ้วน จึงขอให้ประชาชนรอฟังประกาศ หรือความคืบหน้าจากกรุงเทพมหานครซึ่งจะเป็นผู้แถลงข่าวในเวลา 14.00 น. ของวานนี้ โฆษกรัฐบาลยืนยันว่า การทํางานระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพมหานครเป็นไปแนวทางเดียวกัน ไม่มีความขัดแย้งระหว่างกัน สื่อหลายสํานักพาดหัวอย่างตรงไปตรงมา มีเพียงสื่อบางฉบับนําข่าวนี้ไปลงผิด ทําให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิด ซึ่งตนไม่ได้บอกว่าจะไม่มีการปิดห้าง ไม่ได้ไปปฏิเสธ ไม่ได้บอกว่าเป็นข่าวปลอม เพียงแจ้งว่า อย่าเพิ่งไปเชื่อรายละเอียดข้อมูลอย่างไม่มีที่มาที่ไป อยากให้ทุกคนรอฟังการแถลงข่าว หรือหากมีความคืบหน้าศูนย์แถลงข่าวโควิด-19 ทําเนียบ จะเป็นผู้แถลงข่าวให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง และขอให้หยุดการแพร่ข่าวที่ไม่มีที่มาที่ไป ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ใดๆนอกจากความแตกตื่นที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงอีกด้วย --------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27643
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-มาเลเซีย พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกันมากขึ้น
วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563 ไทย-มาเลเซีย พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกันมากขึ้น ไทย-มาเลเซีย พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกันมากขึ้น วันนี้ (27 มกราคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ดาโตะ โจจี แซมูเอล (H.E. Dato’ Jojie Samuel) เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อแนะนําตัวเนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ ยินดีที่มีโอกาสได้พบกันในวันนี้ พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียที่มีความใกล้ชิดกันมากขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะภายหลังการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการของ ตุน ดร.มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว เอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ รู้สึกยินดีที่ได้ดํารงตําแหน่งในประเทศไทย ยืนยันไทยเป็นมิตรประเทศที่สําคัญของมาเลเซียตลอดมา มาเลเซียพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลไทยเพื่อผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ตลอดจนยินดีที่ไทยกับมาเลเซียจะมีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Thailand-Malaysia Joint Commission for Bilateral Cooperation-JC) ครั้งที่ 14 ในปีนี้ที่กรุงเทพฯ และในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องว่าการจัดการประชุมประจําปี (Annual Consultation-AC) ระหว่างผู้นําจะเป็นประโยชน์และเป็นโอกาสเพื่อสานต่อความร่วมมืออันดีระหว่างกันต่อไป ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งทั้งไทยและมาเลเซียกําลังเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวเช่นกัน โดยในไทยพบผู้ป่วยติดเชื้อทั้งหมด 8 ราย รักษาหายแล้ว 5 ราย ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า ไทยมีมาตรการควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก พร้อมยืนยัน รัฐบาลมั่นใจว่าจะควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ เชื่อมั่นในการดําเนินงานของรัฐบาล และประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขไทย ซึ่งในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้มีความร่วมมือทางการแพทย์ระหว่างกันมากขึ้น นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายพร้อมขยายการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยรองนายกรัฐมนตรีขอให้เอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ สนับสนุนการท่องเที่ยวไทยของชาวมาเลเซียมากขึ้น ขณะที่ไทยก็จะสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวมาเลเซียมากขึ้นเช่นกัน โดยรองนายกรัฐมนตรีเห็นว่ามาเลเซียมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามนอกเหนือจากเมืองกัวลาลัมเปอร์ และปีนัง ได้แก่ เมืองอีโปห์ มะละกา ซาราวัก ซาบาห์ และลังกาวี เป็นต้น ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า พร้อมให้ความช่วยเหลือมาเลเซียในส่วนที่รองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบดูแล ได้แก่ ด้านการคมนาคม สาธารณสุข และการท่องเที่ยว เพื่อความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-มาเลเซีย พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกันมากขึ้น วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563 ไทย-มาเลเซีย พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกันมากขึ้น ไทย-มาเลเซีย พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกันมากขึ้น วันนี้ (27 มกราคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ดาโตะ โจจี แซมูเอล (H.E. Dato’ Jojie Samuel) เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อแนะนําตัวเนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ ยินดีที่มีโอกาสได้พบกันในวันนี้ พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียที่มีความใกล้ชิดกันมากขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะภายหลังการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการของ ตุน ดร.มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว เอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ รู้สึกยินดีที่ได้ดํารงตําแหน่งในประเทศไทย ยืนยันไทยเป็นมิตรประเทศที่สําคัญของมาเลเซียตลอดมา มาเลเซียพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลไทยเพื่อผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ตลอดจนยินดีที่ไทยกับมาเลเซียจะมีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Thailand-Malaysia Joint Commission for Bilateral Cooperation-JC) ครั้งที่ 14 ในปีนี้ที่กรุงเทพฯ และในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องว่าการจัดการประชุมประจําปี (Annual Consultation-AC) ระหว่างผู้นําจะเป็นประโยชน์และเป็นโอกาสเพื่อสานต่อความร่วมมืออันดีระหว่างกันต่อไป ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งทั้งไทยและมาเลเซียกําลังเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวเช่นกัน โดยในไทยพบผู้ป่วยติดเชื้อทั้งหมด 8 ราย รักษาหายแล้ว 5 ราย ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า ไทยมีมาตรการควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก พร้อมยืนยัน รัฐบาลมั่นใจว่าจะควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ เชื่อมั่นในการดําเนินงานของรัฐบาล และประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขไทย ซึ่งในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้มีความร่วมมือทางการแพทย์ระหว่างกันมากขึ้น นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายพร้อมขยายการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยรองนายกรัฐมนตรีขอให้เอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ สนับสนุนการท่องเที่ยวไทยของชาวมาเลเซียมากขึ้น ขณะที่ไทยก็จะสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวมาเลเซียมากขึ้นเช่นกัน โดยรองนายกรัฐมนตรีเห็นว่ามาเลเซียมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามนอกเหนือจากเมืองกัวลาลัมเปอร์ และปีนัง ได้แก่ เมืองอีโปห์ มะละกา ซาราวัก ซาบาห์ และลังกาวี เป็นต้น ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า พร้อมให้ความช่วยเหลือมาเลเซียในส่วนที่รองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบดูแล ได้แก่ ด้านการคมนาคม สาธารณสุข และการท่องเที่ยว เพื่อความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26086
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ภูมิภูเบศร” ศูนย์เรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ ชูแนวคิด พึ่งตนเอง อนุรักษ์ สร้างมูลค่าเพิ่ม
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561 “ภูมิภูเบศร” ศูนย์เรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ ชูแนวคิด พึ่งตนเอง อนุรักษ์ สร้างมูลค่าเพิ่ม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เปิด “ภูมิภูเบศร” แหล่งศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ สร้างความรอบรู้สุขภาพด้วยแพทย์แผนไทย ภายใต้แนวคิด “พึ่งตนเอง อนุรักษ์ สร้างมูลค่าเพิ่ม” โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เปิด “ภูมิภูเบศร” แหล่งศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ สร้างความรอบรู้สุขภาพด้วยแพทย์แผนไทย ภายใต้แนวคิด “พึ่งตนเอง อนุรักษ์ สร้างมูลค่าเพิ่ม” วันนี้ (10 กันยายน 2561) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษา ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี และผู้บริหาร เปิดพิพิธภัณฑ์หมอไทย (หมื่นชํานาญแพทยา) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ ตําบลบางเดชะ อําเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี และให้สัมภาษณ์ว่า ภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ จังหวัดปราจีนบุรี 1 ใน 13 จังหวัดที่รัฐบาลกําหนดให้เป็นเมืองสมุนไพร (Herbal City) รองรับนโยบายการปฏิรูประบบสุขภาพด้านการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ภายใต้แนวคิด พึ่งตนเอง อนุรักษ์ สร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้ประชาชนมีการพึ่งตนเอง สามารถดูแลอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นด้วยสมุนไพรและศาสตร์การแพทย์แผนไทย เป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญา ศาสตร์การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และพันธุ์พืชสมุนไพรที่กําลังสูญหาย อีกทั้งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้สมุนไพรและภูมิปัญญาไทยผ่านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร ช่วยให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน และประเทศ สําหรับพิพิธภัณฑ์หมอไทย (หมื่นชํานาญแพทยา)เป็นเรือนไม้เดิมของหมอพลอย หมอหลวงในรัชกาลที่ 5 อายุกว่า 100 ปี เป็นการใช้ศาสตร์การดูแลสุขภาพทําให้บ้านเป็นยา สร้างความสมดุลให้กับธาตุทั้ง 4 ของร่างกาย จัดแสดงประวัติหมอไทยผ่านชีวิตหมอพลอย นิทรรศการเครื่องยาไทย นิทรรศการการแพทย์ 3 ระบบ คือ การแพทย์เชิงระบบ การแพทย์เหนือธรรมชาติ การแพทย์พื้นบ้าน และการคูณธาตุเจียดยาปรับธาตุเฉพาะราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภูเบศร ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ต้องการให้ผู้ใช้บริการได้เห็นความสําคัญของรากฐานภูมิปัญญาการดูแลสุขภาพคนไทยสมัยโบราณ นอกจากนี้ ยังมีส่วนที่เป็นสวนสมุนไพร เป็นแหล่งเรียนรู้และการฝึกอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ของภูมิภูเบศร มีการจัดสวนตามกลุ่มโรค/อาการ ตามกลุ่มรสสมุนไพร ซึ่งเป็นตัวกําหนดสรรพคุณของยา สมุนไพรให้สี ให้กลิ่นหอมที่มักใช้ในตํารับยาไทยช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย สมุนไพรผักสวนครัว และสมุนไพรสีดําที่คนไทยเชื่อว่าช่วยขับไล่สิ่งไม่ดี และมีส่วนสําหรับการจัดฝึกอบรมแก่ประชาชน บุคลากรการแพทย์ นักเรียน/นักศึกษา และผู้สนใจ โดยใช้หลักสูตรที่เน้นการฝึกปฏิบัติที่ใช้ได้จริง โดยขณะนี้ การก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้ภูมิภูเบศร แล้วเสร็จประมาณร้อยละ 70
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ภูมิภูเบศร” ศูนย์เรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ ชูแนวคิด พึ่งตนเอง อนุรักษ์ สร้างมูลค่าเพิ่ม วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561 “ภูมิภูเบศร” ศูนย์เรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ ชูแนวคิด พึ่งตนเอง อนุรักษ์ สร้างมูลค่าเพิ่ม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เปิด “ภูมิภูเบศร” แหล่งศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ สร้างความรอบรู้สุขภาพด้วยแพทย์แผนไทย ภายใต้แนวคิด “พึ่งตนเอง อนุรักษ์ สร้างมูลค่าเพิ่ม” โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เปิด “ภูมิภูเบศร” แหล่งศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ สร้างความรอบรู้สุขภาพด้วยแพทย์แผนไทย ภายใต้แนวคิด “พึ่งตนเอง อนุรักษ์ สร้างมูลค่าเพิ่ม” วันนี้ (10 กันยายน 2561) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษา ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี และผู้บริหาร เปิดพิพิธภัณฑ์หมอไทย (หมื่นชํานาญแพทยา) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ ตําบลบางเดชะ อําเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี และให้สัมภาษณ์ว่า ภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ จังหวัดปราจีนบุรี 1 ใน 13 จังหวัดที่รัฐบาลกําหนดให้เป็นเมืองสมุนไพร (Herbal City) รองรับนโยบายการปฏิรูประบบสุขภาพด้านการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ภายใต้แนวคิด พึ่งตนเอง อนุรักษ์ สร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้ประชาชนมีการพึ่งตนเอง สามารถดูแลอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นด้วยสมุนไพรและศาสตร์การแพทย์แผนไทย เป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญา ศาสตร์การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และพันธุ์พืชสมุนไพรที่กําลังสูญหาย อีกทั้งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้สมุนไพรและภูมิปัญญาไทยผ่านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร ช่วยให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน และประเทศ สําหรับพิพิธภัณฑ์หมอไทย (หมื่นชํานาญแพทยา)เป็นเรือนไม้เดิมของหมอพลอย หมอหลวงในรัชกาลที่ 5 อายุกว่า 100 ปี เป็นการใช้ศาสตร์การดูแลสุขภาพทําให้บ้านเป็นยา สร้างความสมดุลให้กับธาตุทั้ง 4 ของร่างกาย จัดแสดงประวัติหมอไทยผ่านชีวิตหมอพลอย นิทรรศการเครื่องยาไทย นิทรรศการการแพทย์ 3 ระบบ คือ การแพทย์เชิงระบบ การแพทย์เหนือธรรมชาติ การแพทย์พื้นบ้าน และการคูณธาตุเจียดยาปรับธาตุเฉพาะราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภูเบศร ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ต้องการให้ผู้ใช้บริการได้เห็นความสําคัญของรากฐานภูมิปัญญาการดูแลสุขภาพคนไทยสมัยโบราณ นอกจากนี้ ยังมีส่วนที่เป็นสวนสมุนไพร เป็นแหล่งเรียนรู้และการฝึกอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ของภูมิภูเบศร มีการจัดสวนตามกลุ่มโรค/อาการ ตามกลุ่มรสสมุนไพร ซึ่งเป็นตัวกําหนดสรรพคุณของยา สมุนไพรให้สี ให้กลิ่นหอมที่มักใช้ในตํารับยาไทยช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย สมุนไพรผักสวนครัว และสมุนไพรสีดําที่คนไทยเชื่อว่าช่วยขับไล่สิ่งไม่ดี และมีส่วนสําหรับการจัดฝึกอบรมแก่ประชาชน บุคลากรการแพทย์ นักเรียน/นักศึกษา และผู้สนใจ โดยใช้หลักสูตรที่เน้นการฝึกปฏิบัติที่ใช้ได้จริง โดยขณะนี้ การก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้ภูมิภูเบศร แล้วเสร็จประมาณร้อยละ 70
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15264
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงวัย 35 ปี ถูกสามีทำร้ายร่างกายและกักขังกว่า 8 วัน ที่ จ.นราธิวาส และเยียวยาจิตใจ 2 เด็กหญิง ที่ถูกแม่แท้ๆ ติดยาเสพติดทำร้ายร่างกาย ที่ จ.สระบุรี
วันอังคารที่ 20 มิถุนายน 2560 รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงวัย 35 ปี ถูกสามีทําร้ายร่างกายและกักขังกว่า 8 วัน ที่ จ.นราธิวาส และเยียวยาจิตใจ 2 เด็กหญิง ที่ถูกแม่แท้ๆ ติดยาเสพติดทําร้ายร่างกาย ที่ จ.สระบุรี รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงวัย 35 ปี ที่ถูกสามีทําร้ายร่างกาย และกักขังไว้กว่า 8 วัน ที่ จ.นราธิวาส และเยียวยาจิตใจ 2 เด็กหญิง ที่ถูกแม่แท้ๆ ติดยาเสพติด ทําร้ายร่างกายเป็นประจํา ที่ จ.สระบุรี วันนี้ (20 มิ.ย. 60) เวลา 07.30 น.นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 654/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงวัย 35 ปี ถูกผู้เป็นสามีที่มีอาการมึนเมายาเสพติด ทําร้ายร่างกายอย่างทารุณ ได้รับบาดเจ็บทั่วร่างกาย และถูกกักขังไว้ในบ้านเพื่อทรมานร่างกายนานกว่า 8 วัน ซึ่งผู้ก่อเหตุยังใช้อาวุธปืนข่มขู่เพื่อนบ้านหากเข้ามาให้การช่วยเหลือ ที่อําเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส และหญิงรายหนึ่งที่ติดยาเสพติด จนเกิดอาการคุ้มคลั่งทุบตีทําร้ายลูกสาวแท้ๆ 2 คน วัย 7 ขวบ และ 11 ขวบ เป็นประจํา โดยผู้เป็นสามีเสียชีวิต หญิงดังกล่าวจึงไปมีครอบครัวใหม่ ทิ้งลูกสาว 2 คน ให้อยู่กับผู้เป็นยายตามลําพัง ที่อําเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี นั้น ทั้ง 2 กรณี นับเป็นปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งคนในครอบครัวและชุมชนต้องร่วมกันป้องกันและแก้ไข โดยหากพบเห็นปัญหาในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือมาที่กระทรวง พม. ผ่านศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน โทร 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.นราธิวาส และ พมจ.สระบุรี พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมเร่งเยียวยาสภาพจิตใจหญิงคนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือเรื่องการดูแลรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ร่วมหาแนวทางการช่วยเหลือและป้องกัน ไม่เกิดเหตุลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก ส่วนกรณีเด็กหญิง 2 คนที่ถูกผู้เป็นแม่ทําร้ายร่างกาย ขณะนี้ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสระบุรี ได้รับตัวเด็กหญิงทั้ง 2 คน มาอยู่ในความดูแลเรียบร้อยแล้ว เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพและเยียวยาสภาพจิตใจอย่างใกล้ชิด พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณี 2 พี่น้องชาย-หญิง วัย 10 ขวบ และ 12 ขวบ ครอบครัวมีฐานะยากจน แต่สู้ชีวิต อาศัยเวลาว่างหลังเลิกเรียนและวันหยุด ออกตระเวนรับจ้างทํางานทั่วไป เพื่อหาเงินช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว ซึ่งอาศัยอยู่กับแม่ที่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ยายที่นอนป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และลุงที่มีอาการไม่สมประกอบ ที่จังหวัดระยอง และกรณีชายวัย 59 ปี พิการแขนด้วน 1 ข้าง และขาต้องดามเหล็ก เนื่องจากประสบอุบัติเหตุทางรถ แต่สู้ชีวิต เรียนรู้การดัดลูกโป่งเป็นรูปการ์ตูนและสัตว์ต่างๆ และนําออกไปตระเวนขายตามตลาดถนนคนเดิน เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว และต้องรับภาระเลี้ยงดูภรรยาที่ป่วยเป็นโรคทางสมอง และหลานเล็กๆ อีก 2 คน ที่ลูกนํามาทิ้งไว้ให้เลี้ยงดู ครอบครัวมีฐานะยากจน อีกทั้ง ประสบเคราะห์ร้ายถูกคนร้ายงัดบ้านขโมยเงิน และทรัพย์สิน รวมมูลค่ากว่า 30,000 บาท ที่อําเภอเมือง จังหวัดกระบี่ นั้น ตนขอชื่นชมในความขยันหมั่นเพียร ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคของเด็กทั้ง 2 คน น่ายกย่องเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน และขอชื่นชมในความขยันอดทนของชายพิการ ถึงแม้มีอุปสรรคทางร่างกาย แต่ไม่ย่อท้อ และไม่นํามาเป็นอุปสรรคในการดําเนินชีวิต ทั้งนี้ ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.ระยอง และ พมจ.กระบี่ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น ตามภารกิจด้านเด็กและคนพิการของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดูแลเรื่องการศึกษาของเด็กทั้ง 2 คน ในระยะยาว การช่วยเหลือดูแลรักษาพยาบาลของผู้ที่ป่วยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ให้ความช่วยเหลือในเรื่องสวัสดิการสังคมตามความเหมาะสม อีกทั้ง ให้คําแนะนําปรึกษาแก่ครอบครัวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคง ในระยะยาวต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงวัย 35 ปี ถูกสามีทำร้ายร่างกายและกักขังกว่า 8 วัน ที่ จ.นราธิวาส และเยียวยาจิตใจ 2 เด็กหญิง ที่ถูกแม่แท้ๆ ติดยาเสพติดทำร้ายร่างกาย ที่ จ.สระบุรี วันอังคารที่ 20 มิถุนายน 2560 รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงวัย 35 ปี ถูกสามีทําร้ายร่างกายและกักขังกว่า 8 วัน ที่ จ.นราธิวาส และเยียวยาจิตใจ 2 เด็กหญิง ที่ถูกแม่แท้ๆ ติดยาเสพติดทําร้ายร่างกาย ที่ จ.สระบุรี รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงวัย 35 ปี ที่ถูกสามีทําร้ายร่างกาย และกักขังไว้กว่า 8 วัน ที่ จ.นราธิวาส และเยียวยาจิตใจ 2 เด็กหญิง ที่ถูกแม่แท้ๆ ติดยาเสพติด ทําร้ายร่างกายเป็นประจํา ที่ จ.สระบุรี วันนี้ (20 มิ.ย. 60) เวลา 07.30 น.นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 654/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงวัย 35 ปี ถูกผู้เป็นสามีที่มีอาการมึนเมายาเสพติด ทําร้ายร่างกายอย่างทารุณ ได้รับบาดเจ็บทั่วร่างกาย และถูกกักขังไว้ในบ้านเพื่อทรมานร่างกายนานกว่า 8 วัน ซึ่งผู้ก่อเหตุยังใช้อาวุธปืนข่มขู่เพื่อนบ้านหากเข้ามาให้การช่วยเหลือ ที่อําเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส และหญิงรายหนึ่งที่ติดยาเสพติด จนเกิดอาการคุ้มคลั่งทุบตีทําร้ายลูกสาวแท้ๆ 2 คน วัย 7 ขวบ และ 11 ขวบ เป็นประจํา โดยผู้เป็นสามีเสียชีวิต หญิงดังกล่าวจึงไปมีครอบครัวใหม่ ทิ้งลูกสาว 2 คน ให้อยู่กับผู้เป็นยายตามลําพัง ที่อําเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี นั้น ทั้ง 2 กรณี นับเป็นปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งคนในครอบครัวและชุมชนต้องร่วมกันป้องกันและแก้ไข โดยหากพบเห็นปัญหาในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือมาที่กระทรวง พม. ผ่านศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน โทร 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.นราธิวาส และ พมจ.สระบุรี พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมเร่งเยียวยาสภาพจิตใจหญิงคนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือเรื่องการดูแลรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ร่วมหาแนวทางการช่วยเหลือและป้องกัน ไม่เกิดเหตุลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก ส่วนกรณีเด็กหญิง 2 คนที่ถูกผู้เป็นแม่ทําร้ายร่างกาย ขณะนี้ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสระบุรี ได้รับตัวเด็กหญิงทั้ง 2 คน มาอยู่ในความดูแลเรียบร้อยแล้ว เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพและเยียวยาสภาพจิตใจอย่างใกล้ชิด พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณี 2 พี่น้องชาย-หญิง วัย 10 ขวบ และ 12 ขวบ ครอบครัวมีฐานะยากจน แต่สู้ชีวิต อาศัยเวลาว่างหลังเลิกเรียนและวันหยุด ออกตระเวนรับจ้างทํางานทั่วไป เพื่อหาเงินช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว ซึ่งอาศัยอยู่กับแม่ที่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ยายที่นอนป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และลุงที่มีอาการไม่สมประกอบ ที่จังหวัดระยอง และกรณีชายวัย 59 ปี พิการแขนด้วน 1 ข้าง และขาต้องดามเหล็ก เนื่องจากประสบอุบัติเหตุทางรถ แต่สู้ชีวิต เรียนรู้การดัดลูกโป่งเป็นรูปการ์ตูนและสัตว์ต่างๆ และนําออกไปตระเวนขายตามตลาดถนนคนเดิน เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว และต้องรับภาระเลี้ยงดูภรรยาที่ป่วยเป็นโรคทางสมอง และหลานเล็กๆ อีก 2 คน ที่ลูกนํามาทิ้งไว้ให้เลี้ยงดู ครอบครัวมีฐานะยากจน อีกทั้ง ประสบเคราะห์ร้ายถูกคนร้ายงัดบ้านขโมยเงิน และทรัพย์สิน รวมมูลค่ากว่า 30,000 บาท ที่อําเภอเมือง จังหวัดกระบี่ นั้น ตนขอชื่นชมในความขยันหมั่นเพียร ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคของเด็กทั้ง 2 คน น่ายกย่องเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน และขอชื่นชมในความขยันอดทนของชายพิการ ถึงแม้มีอุปสรรคทางร่างกาย แต่ไม่ย่อท้อ และไม่นํามาเป็นอุปสรรคในการดําเนินชีวิต ทั้งนี้ ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.ระยอง และ พมจ.กระบี่ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น ตามภารกิจด้านเด็กและคนพิการของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดูแลเรื่องการศึกษาของเด็กทั้ง 2 คน ในระยะยาว การช่วยเหลือดูแลรักษาพยาบาลของผู้ที่ป่วยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ให้ความช่วยเหลือในเรื่องสวัสดิการสังคมตามความเหมาะสม อีกทั้ง ให้คําแนะนําปรึกษาแก่ครอบครัวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคง ในระยะยาวต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4659
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มท.ประธานปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเทศกาลปีใหม่ 2560 ย้ำทุกฝ่ายร่วมมือขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 2560 รมช.มท.ประธานปิดศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเทศกาลปีใหม่ 2560 ย้ําทุกฝ่ายร่วมมือขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รมช.มท. ประธานปิดศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ย้ําทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน และขับเคลื่อนงาน ด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พร้อมหารือแนวทาง "การบังคับใช้กฎหมาย" ให้เข้มงวดและครอบคลุมในทุกมิติ วันนี้ (5ม.ค.60)เวลา10.30น. ณ ห้องประชุม1อาคาร3ชั้น5กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานพิธีปิดศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่2560พร้อมแถลงสรุปผลการดําเนินงานในช่วงระหว่างวันที่29ธันวาคม2559 –4มกราคม2560ที่ผ่านมาของการรณรงค์ในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ภายใต้แนวคิด“ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร”เพื่อดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกในการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานสรุปผลการดําเนินงานของศูนย์ฯเปิดเผยว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญและมีเจตนารมณ์มุ่งหวังที่จะลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน และได้มอบหมายให้ทุกฝ่ายเตรียมพร้อมในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ และจากการดําเนินงานของ ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ซึ่งได้มีการบูรณาการการทํางานร่วมหน่วยงานภาคีเครือข่าย ทั้งระดับจังหวัด อําเภอ และกรุงเทพมหานคร ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทั้งของภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําชุมชน ภาคีเครือข่าย มูลนิธิ อาสาสมัครต่างๆ และภาคประชาสังคม ตามแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นและจริงจัง พร้อมทั้งได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนน จากผลการดําเนินงานในช่วง7วัน (29ธ.ค.59 – 4ม.ค.60)เกิดอุบัติเหตุรวม3,919ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม478ราย มีผู้บาดเจ็บรวม4,128ราย จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต มี4จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยะลา ระนอง และ สตูลจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี และ เชียงใหม่ จํานวน152ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี33ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี และ เชียงใหม่ จํานวน164ราย สาเหตุที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ36.59ขับรถเร็วเกินกําหนด ร้อยละ31.31ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ81.82รองลงมา รถยนต์กระบะ (รถปิคอัพ) ร้อยละ8.00ส่วนใหญ่อุบัติเหตุเกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ61.78ถนนทางหลวงแผ่นดิน ร้อยละ36.92รองลงมาถนนในอบต./หมู่บ้าน ร้อยละ36.49ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา16.01-20.00ร้อยละ29.24โดยผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตอยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน ร้อยละ52.22ทั้งนี้ ได้มีการเรียกตรวจยานพาหนะรวม4,419,430คัน มีผู้ถูกดําเนินคดี รวม727,438ราย สําหรับข้อมูลปริมาณรถของศูนย์ปฏิบัติการคมนาคม พบว่า ในช่วงระหว่างวันที่29ธันวาคม2559 – 4มกราคม2560มีปริมาณรถบนท้องถนนทั้งขาเข้าและขาออกกรุงเทพฯ จํานวน11,053,835คัน เมื่อเทียบกับช่วงปกติ มีปริมาณรถ8,765,808คัน เพิ่มขึ้น จํานวน2,288,027คัน คิดเป็นร้อยละ26.10จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ทําให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นได้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับภาพรวมสถิติในช่วงเทศกาลปีใหม่2560นี้มีจํานวนการเกิดอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บที่เพิ่มสูงขึ้นจากปีใหม่ที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เกิดจากการเมาสุราแล้วขับ และการขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกําหนด รวมถึงผู้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ69.15และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการขาดจิตสํานึกความรับผิดชอบ และความประมาทในการใช้รถใช้ถนน ซึ่งแม้ว่าการดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน โดยมุ่งเน้นแก้ปัญหาและลดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุให้ครอบคลุมในทุกมิติทั้งด้านคน ถนน ยานพาหนะ และสภาพแวดล้อม มีการยกระดับการสัญจรและยานพาหนะที่ปลอดภัย พร้อมทั้งสร้างจิตสํานึกและวินัยจราจรในกลุ่มผู้ใช้รถใช้ถนน เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังรวมถึงการบริหารจัดการหลังเกิดอุบัติเหตุอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้ความสําคัญกับการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน โดยเฉพาะการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนจากการขับรถเร็ว เมาแล้วขับ และอุบัติเหตุจากรถโดยสารสาธารณะ การกําหนดหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตขับขี่ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และการส่งเสริมการคาดเข็มขัดนิรภัยในผู้โดยสารทุกที่นั่ง เพื่อให้มีผลบังคับใช้ได้ทันในช่วงเทศกาลสงกรานต์2560นี้ พร้อมเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งการให้จังหวัดสรุปผลการดําเนินงานในช่วงเทศกาลปีใหม่ และถอดเป็นบทเรียน วิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง รวมถึงสภาพปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนภารกิจการสร้างความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่ ตลอดจนใช้มาตรการด้านสังคมและชุมชนในการร่วมกันสร้างจิตสํานึกที่ดีในการสร้างความปลอดภัยทางถนนให้เกิดขึ้น ท้ายนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมขับเคลื่อนการดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่2560ทั้งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานประจําศูนย์ฯ ส่วนกลาง ระดับพื้นที่ ประจําจุดตรวจ ด่านตรวจ จุดบริการ ซึ่งมีการบูรณาการทํางานร่วมกันทั้งฝ่ายพลเรือน ตํารวจ ทหาร ภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และอาสาสมัคร รวมถึงประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมือ เสียสละ ทุ่มเท กําลังกาย กําลังใจร่วมปฏิบัติงานเพื่อร่วมกันสร้างความสุข และดูแลความปลอดภัย เพื่อให้คนไทยปลอดภัยจากอุบัติเหตุตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สําหรับมาตรการยึดรถช่วงในเทศกาล ซึ่งถือเป็นมาตรการเข้มข้นที่ใช้บังคับกับผู้ใช้รถใช้ถนน ด้วยคนเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สร้างความสูญเสียอย่างมากมายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ เราทุกคนจึงควรร่วมมือกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน เพื่อยกระดับการสร้างความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทยให้มีมาตรฐานสากลและเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบาย“ประเทศไทยปลอดภัย (Safety Thailand)ของรัฐบาล จากนั้นนายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการลดอุบัติเหตุทางถนนในระยะยาว กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ําให้จังหวัดใช้กลไกของศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนทั้งระดับจังหวัด อําเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยมุ่งลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่ครอบคลุมในทุกมิติ และมีการบูรณาการการทํางานร่วมกันในรูปแบบสานพลังกลไก“ประชารัฐ”เน้นการใช้มาตรการด้านสังคมและชุมชนในการสร้างความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่/ชุมชนเพื่อเสริมสร้างกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้จังหวัดเร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และความตระหนัก เกิดจิตสํานึกด้านความปลอดภัยทางถนนเชิงรุกที่ครอบคลุมทุกช่องทางสื่อ เพื่อร่วมกันสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืนต่อไป. ครั้งที่3/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มท.ประธานปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเทศกาลปีใหม่ 2560 ย้ำทุกฝ่ายร่วมมือขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 2560 รมช.มท.ประธานปิดศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเทศกาลปีใหม่ 2560 ย้ําทุกฝ่ายร่วมมือขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รมช.มท. ประธานปิดศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ย้ําทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน และขับเคลื่อนงาน ด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พร้อมหารือแนวทาง "การบังคับใช้กฎหมาย" ให้เข้มงวดและครอบคลุมในทุกมิติ วันนี้ (5ม.ค.60)เวลา10.30น. ณ ห้องประชุม1อาคาร3ชั้น5กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานพิธีปิดศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่2560พร้อมแถลงสรุปผลการดําเนินงานในช่วงระหว่างวันที่29ธันวาคม2559 –4มกราคม2560ที่ผ่านมาของการรณรงค์ในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ภายใต้แนวคิด“ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร”เพื่อดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกในการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานสรุปผลการดําเนินงานของศูนย์ฯเปิดเผยว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญและมีเจตนารมณ์มุ่งหวังที่จะลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน และได้มอบหมายให้ทุกฝ่ายเตรียมพร้อมในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ และจากการดําเนินงานของ ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ซึ่งได้มีการบูรณาการการทํางานร่วมหน่วยงานภาคีเครือข่าย ทั้งระดับจังหวัด อําเภอ และกรุงเทพมหานคร ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทั้งของภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําชุมชน ภาคีเครือข่าย มูลนิธิ อาสาสมัครต่างๆ และภาคประชาสังคม ตามแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นและจริงจัง พร้อมทั้งได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนน จากผลการดําเนินงานในช่วง7วัน (29ธ.ค.59 – 4ม.ค.60)เกิดอุบัติเหตุรวม3,919ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม478ราย มีผู้บาดเจ็บรวม4,128ราย จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต มี4จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยะลา ระนอง และ สตูลจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี และ เชียงใหม่ จํานวน152ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี33ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี และ เชียงใหม่ จํานวน164ราย สาเหตุที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ36.59ขับรถเร็วเกินกําหนด ร้อยละ31.31ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ81.82รองลงมา รถยนต์กระบะ (รถปิคอัพ) ร้อยละ8.00ส่วนใหญ่อุบัติเหตุเกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ61.78ถนนทางหลวงแผ่นดิน ร้อยละ36.92รองลงมาถนนในอบต./หมู่บ้าน ร้อยละ36.49ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา16.01-20.00ร้อยละ29.24โดยผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตอยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน ร้อยละ52.22ทั้งนี้ ได้มีการเรียกตรวจยานพาหนะรวม4,419,430คัน มีผู้ถูกดําเนินคดี รวม727,438ราย สําหรับข้อมูลปริมาณรถของศูนย์ปฏิบัติการคมนาคม พบว่า ในช่วงระหว่างวันที่29ธันวาคม2559 – 4มกราคม2560มีปริมาณรถบนท้องถนนทั้งขาเข้าและขาออกกรุงเทพฯ จํานวน11,053,835คัน เมื่อเทียบกับช่วงปกติ มีปริมาณรถ8,765,808คัน เพิ่มขึ้น จํานวน2,288,027คัน คิดเป็นร้อยละ26.10จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ทําให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นได้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับภาพรวมสถิติในช่วงเทศกาลปีใหม่2560นี้มีจํานวนการเกิดอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บที่เพิ่มสูงขึ้นจากปีใหม่ที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เกิดจากการเมาสุราแล้วขับ และการขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกําหนด รวมถึงผู้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ69.15และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการขาดจิตสํานึกความรับผิดชอบ และความประมาทในการใช้รถใช้ถนน ซึ่งแม้ว่าการดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน โดยมุ่งเน้นแก้ปัญหาและลดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุให้ครอบคลุมในทุกมิติทั้งด้านคน ถนน ยานพาหนะ และสภาพแวดล้อม มีการยกระดับการสัญจรและยานพาหนะที่ปลอดภัย พร้อมทั้งสร้างจิตสํานึกและวินัยจราจรในกลุ่มผู้ใช้รถใช้ถนน เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังรวมถึงการบริหารจัดการหลังเกิดอุบัติเหตุอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้ความสําคัญกับการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน โดยเฉพาะการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนจากการขับรถเร็ว เมาแล้วขับ และอุบัติเหตุจากรถโดยสารสาธารณะ การกําหนดหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตขับขี่ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และการส่งเสริมการคาดเข็มขัดนิรภัยในผู้โดยสารทุกที่นั่ง เพื่อให้มีผลบังคับใช้ได้ทันในช่วงเทศกาลสงกรานต์2560นี้ พร้อมเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งการให้จังหวัดสรุปผลการดําเนินงานในช่วงเทศกาลปีใหม่ และถอดเป็นบทเรียน วิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง รวมถึงสภาพปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนภารกิจการสร้างความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่ ตลอดจนใช้มาตรการด้านสังคมและชุมชนในการร่วมกันสร้างจิตสํานึกที่ดีในการสร้างความปลอดภัยทางถนนให้เกิดขึ้น ท้ายนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมขับเคลื่อนการดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่2560ทั้งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานประจําศูนย์ฯ ส่วนกลาง ระดับพื้นที่ ประจําจุดตรวจ ด่านตรวจ จุดบริการ ซึ่งมีการบูรณาการทํางานร่วมกันทั้งฝ่ายพลเรือน ตํารวจ ทหาร ภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และอาสาสมัคร รวมถึงประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมือ เสียสละ ทุ่มเท กําลังกาย กําลังใจร่วมปฏิบัติงานเพื่อร่วมกันสร้างความสุข และดูแลความปลอดภัย เพื่อให้คนไทยปลอดภัยจากอุบัติเหตุตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สําหรับมาตรการยึดรถช่วงในเทศกาล ซึ่งถือเป็นมาตรการเข้มข้นที่ใช้บังคับกับผู้ใช้รถใช้ถนน ด้วยคนเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สร้างความสูญเสียอย่างมากมายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ เราทุกคนจึงควรร่วมมือกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน เพื่อยกระดับการสร้างความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทยให้มีมาตรฐานสากลและเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบาย“ประเทศไทยปลอดภัย (Safety Thailand)ของรัฐบาล จากนั้นนายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการลดอุบัติเหตุทางถนนในระยะยาว กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ําให้จังหวัดใช้กลไกของศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนทั้งระดับจังหวัด อําเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยมุ่งลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่ครอบคลุมในทุกมิติ และมีการบูรณาการการทํางานร่วมกันในรูปแบบสานพลังกลไก“ประชารัฐ”เน้นการใช้มาตรการด้านสังคมและชุมชนในการสร้างความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่/ชุมชนเพื่อเสริมสร้างกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้จังหวัดเร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และความตระหนัก เกิดจิตสํานึกด้านความปลอดภัยทางถนนเชิงรุกที่ครอบคลุมทุกช่องทางสื่อ เพื่อร่วมกันสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืนต่อไป. ครั้งที่3/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1214
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ขับเคลื่อนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนเตรียมความพร้อมสู่ 4.0
วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561 สมอ. ขับเคลื่อนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนเตรียมความพร้อมสู่ 4.0 สมอ. จัดสัมมนาขับเคลื่อนและพัฒนางานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนในยุคดิจิทัล เตรียมความพร้อมบุคลากร มผช. ตามนโยบาย Thailand 4.0 นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การขับเคลื่อนและพัฒนาด้านการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนในยุคดิจิทัล” ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สมอ. ได้ถ่ายโอนงานการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สํานักงานอุตสาหกรรมทั้ง 76 จังหวัด ดําเนินการเป็นหน่วยรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนระดับจังหวัด และ สมอ. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน ตามแผนยกระดับการบริการภาครัฐ ระยะที่ 2 ตาม พ.ร.บ.การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ปรับปรุงคู่มือประชาชน : การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยลดระยะเวลาในการดําเนินการจาก 73 วันทําการ เป็น 49 วันทําการ ซึ่งจากผลการดําเนินงานที่ผ่านมาในปี 2561 พบว่า ยังมีปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานที่เกิดจากสาเหตุปัจจัยต่างๆ ที่ต้องนํามาทบทวน วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาร่วมกัน ประกอบกับ สมอ. มีแผนการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ปรับปรุงพัฒนากระบวนการทํางาน เพื่อปรับตัวเข้าสู่ยุครัฐบาลดิจิทัล ตามนโยบาย THAILAND 4.0 สมอ. จึงได้จัดการสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมบุคลากรที่ดําเนินงานด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนจากสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ทั่วประเทศขึ้นในวันนี้ นายวันชัย พนมชัย รองเลขาธิการ รักษาราชการแทนเลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การสัมมนาในวันนี้นอกจากจะมอบนโยบายให้ สอจ. เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติแล้ว ยังเป็นการชี้แจงและทําความเข้าใจร่วมกันเพื่อให้การดําเนินงานของ สมอ. เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างถูกต้อง ตลอดจนเสริมสร้างทักษะความรู้เชิงวิชาการและแนวความคิดพัฒนางานในยุคดิจิทัลให้ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนโครงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนให้บรรลุเป้าประสงค์ที่กําหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สําหรับผลการดําเนินงานด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ ผ่านมา สมอ. กําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน จํานวน 1,263 มาตรฐาน และมีผู้ผลิตชุมชนได้รับการรับรองแล้ว จํานวน 82,861 ราย นอกจากนี้ สมอ. ยังคงมีโครงการพัฒนาผู้ผลิตชุมชนในด้านมาตรฐานต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคก็มีพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไปเช่นกัน ผู้ผลิตชุมชนจึงต้องมีการปรับตัว และพัฒนาตนเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่ง สมอ. ก็เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่พร้อมให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาผู้ผลิตชุมชนด้วยการมาตรฐาน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนของไทยมีคุณภาพน่าเชื่อถือ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ในตลาดโลกอีกด้วย ทั้งนี้ สมอ. ขอเชิญชวนให้ติดตามข่าวสารด้านการมาตรฐานจาก สมอ. ที่สะดวกและรวดเร็วที่ www.tisi.go.th และ www.facebook.com/tisiofficial ท่านจะไม่พลาดข่าวสารความเคลื่อนไหวที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ขับเคลื่อนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนเตรียมความพร้อมสู่ 4.0 วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561 สมอ. ขับเคลื่อนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนเตรียมความพร้อมสู่ 4.0 สมอ. จัดสัมมนาขับเคลื่อนและพัฒนางานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนในยุคดิจิทัล เตรียมความพร้อมบุคลากร มผช. ตามนโยบาย Thailand 4.0 นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การขับเคลื่อนและพัฒนาด้านการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนในยุคดิจิทัล” ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สมอ. ได้ถ่ายโอนงานการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สํานักงานอุตสาหกรรมทั้ง 76 จังหวัด ดําเนินการเป็นหน่วยรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนระดับจังหวัด และ สมอ. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน ตามแผนยกระดับการบริการภาครัฐ ระยะที่ 2 ตาม พ.ร.บ.การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ปรับปรุงคู่มือประชาชน : การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยลดระยะเวลาในการดําเนินการจาก 73 วันทําการ เป็น 49 วันทําการ ซึ่งจากผลการดําเนินงานที่ผ่านมาในปี 2561 พบว่า ยังมีปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานที่เกิดจากสาเหตุปัจจัยต่างๆ ที่ต้องนํามาทบทวน วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาร่วมกัน ประกอบกับ สมอ. มีแผนการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ปรับปรุงพัฒนากระบวนการทํางาน เพื่อปรับตัวเข้าสู่ยุครัฐบาลดิจิทัล ตามนโยบาย THAILAND 4.0 สมอ. จึงได้จัดการสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมบุคลากรที่ดําเนินงานด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนจากสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ทั่วประเทศขึ้นในวันนี้ นายวันชัย พนมชัย รองเลขาธิการ รักษาราชการแทนเลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การสัมมนาในวันนี้นอกจากจะมอบนโยบายให้ สอจ. เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติแล้ว ยังเป็นการชี้แจงและทําความเข้าใจร่วมกันเพื่อให้การดําเนินงานของ สมอ. เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างถูกต้อง ตลอดจนเสริมสร้างทักษะความรู้เชิงวิชาการและแนวความคิดพัฒนางานในยุคดิจิทัลให้ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนโครงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนให้บรรลุเป้าประสงค์ที่กําหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สําหรับผลการดําเนินงานด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ ผ่านมา สมอ. กําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน จํานวน 1,263 มาตรฐาน และมีผู้ผลิตชุมชนได้รับการรับรองแล้ว จํานวน 82,861 ราย นอกจากนี้ สมอ. ยังคงมีโครงการพัฒนาผู้ผลิตชุมชนในด้านมาตรฐานต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคก็มีพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไปเช่นกัน ผู้ผลิตชุมชนจึงต้องมีการปรับตัว และพัฒนาตนเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่ง สมอ. ก็เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่พร้อมให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาผู้ผลิตชุมชนด้วยการมาตรฐาน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนของไทยมีคุณภาพน่าเชื่อถือ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ในตลาดโลกอีกด้วย ทั้งนี้ สมอ. ขอเชิญชวนให้ติดตามข่าวสารด้านการมาตรฐานจาก สมอ. ที่สะดวกและรวดเร็วที่ www.tisi.go.th และ www.facebook.com/tisiofficial ท่านจะไม่พลาดข่าวสารความเคลื่อนไหวที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16809
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”พบปะเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ขยายตลาดแรงงานไทยในเกาหลี
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561 “บิ๊กอู๋”พบปะเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ขยายตลาดแรงงานไทยในเกาหลี รมว.แรงงาน เดินทางไปราชการเผยแพร่และขยายตลาดแรงงานไทย ณ สาธารณรัฐเกาหลี พบปะเอกอัครราชทูต มอบประกาศเกียรติคุณ อสร.ดีเด่น และมอบนโนบายฝ่ายแรงงาน ณ กรุงโซล เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเผยแพร่และขยายตลาดแรงงานไทย โดยได้พบปะและหารือข้อราชการกับนายสิงห์ทอง ลาภพิเศษพันธ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล และมอบประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครแรงงานดีเด่น ประจําปี 2561 จากนั้นได้ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ฝ่ายแรงงาน ประจําสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ทั้งนี้ สาธารณรัฐเกาหลีมีนโยบายการจ้างแรงงานต่างชาติ โดยอนุญาตให้แรงงานต่างชาติเข้ามาทํางานด้วยระบบ (Employment Permit System : EPS) มาตั้งแต่ปี 2547 เพื่อคุ้มครองโอกาสในการทํางานของคนเกาหลี และแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยอนุญาตให้นายจ้างที่ไม่สามารถว่าจ้างแรงงานในประเทศ สามารถว่าจ้างแรงงานต่างด้าวในจํานวนที่เหมาะสมอย่างถูกกฎหมาย เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนของแรงงานต่างชาติ ซึ่งกระทรวงการจ้างงานและแรงงานสาธารณรัฐเกาหลีจะเป็นผู้คัดเลือกประเทศผู้ส่งแรงงานและกําหนดโควตาของแรงงานต่างชาติแต่ละปี รวมทั้งกําหนดเพดานการจัดส่งแรงงานต่างชาติแต่ละประเทศ ซึ่งสาขาอาชีพที่อนุญาตให้ทํางานภายใต้ระบบ EPS ได้แก่ การผลิต ก่อสร้าง เกษตรและปศุสัตว์ ประมง และการบริการ เป็นต้น จากข้อมูลสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองสาธารณรัฐเกาหลี ณ เดือนสิงหาคม 2561 พบว่า มีคนไทยพํานักในสาธารณรัฐเกาหลี จํานวน 188,202 คน เป็นแรงงานจํานวน 24,774 คน โดยมีแรงงานไปทํางานอย่างถูกต้อง จํานวน 21,384 คน “การหารือข้อราชการที่สาธารณรัฐเกาหลีในครั้งนี้จะได้ตรวจเยี่ยมแรงงานไทยที่ทํางานอยู่ในเกาหลี พร้อมหารือกับทางการเกาหลี เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาแรงงานไทยลักลอบทํางานในเกาหลีผิดกฎหมาย รวมทั้งการหารือเพื่อขยายตลาดแรงงานไทยในเกาหลีอีกด้วย”พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายสุด ------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สํานักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ภาพและข้อมูล/ 26 กันยายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”พบปะเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ขยายตลาดแรงงานไทยในเกาหลี วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561 “บิ๊กอู๋”พบปะเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ขยายตลาดแรงงานไทยในเกาหลี รมว.แรงงาน เดินทางไปราชการเผยแพร่และขยายตลาดแรงงานไทย ณ สาธารณรัฐเกาหลี พบปะเอกอัครราชทูต มอบประกาศเกียรติคุณ อสร.ดีเด่น และมอบนโนบายฝ่ายแรงงาน ณ กรุงโซล เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเผยแพร่และขยายตลาดแรงงานไทย โดยได้พบปะและหารือข้อราชการกับนายสิงห์ทอง ลาภพิเศษพันธ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล และมอบประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครแรงงานดีเด่น ประจําปี 2561 จากนั้นได้ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ฝ่ายแรงงาน ประจําสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ทั้งนี้ สาธารณรัฐเกาหลีมีนโยบายการจ้างแรงงานต่างชาติ โดยอนุญาตให้แรงงานต่างชาติเข้ามาทํางานด้วยระบบ (Employment Permit System : EPS) มาตั้งแต่ปี 2547 เพื่อคุ้มครองโอกาสในการทํางานของคนเกาหลี และแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยอนุญาตให้นายจ้างที่ไม่สามารถว่าจ้างแรงงานในประเทศ สามารถว่าจ้างแรงงานต่างด้าวในจํานวนที่เหมาะสมอย่างถูกกฎหมาย เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนของแรงงานต่างชาติ ซึ่งกระทรวงการจ้างงานและแรงงานสาธารณรัฐเกาหลีจะเป็นผู้คัดเลือกประเทศผู้ส่งแรงงานและกําหนดโควตาของแรงงานต่างชาติแต่ละปี รวมทั้งกําหนดเพดานการจัดส่งแรงงานต่างชาติแต่ละประเทศ ซึ่งสาขาอาชีพที่อนุญาตให้ทํางานภายใต้ระบบ EPS ได้แก่ การผลิต ก่อสร้าง เกษตรและปศุสัตว์ ประมง และการบริการ เป็นต้น จากข้อมูลสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองสาธารณรัฐเกาหลี ณ เดือนสิงหาคม 2561 พบว่า มีคนไทยพํานักในสาธารณรัฐเกาหลี จํานวน 188,202 คน เป็นแรงงานจํานวน 24,774 คน โดยมีแรงงานไปทํางานอย่างถูกต้อง จํานวน 21,384 คน “การหารือข้อราชการที่สาธารณรัฐเกาหลีในครั้งนี้จะได้ตรวจเยี่ยมแรงงานไทยที่ทํางานอยู่ในเกาหลี พร้อมหารือกับทางการเกาหลี เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาแรงงานไทยลักลอบทํางานในเกาหลีผิดกฎหมาย รวมทั้งการหารือเพื่อขยายตลาดแรงงานไทยในเกาหลีอีกด้วย”พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายสุด ------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สํานักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ภาพและข้อมูล/ 26 กันยายน 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15681
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุม บกปภ.ช.ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้กำชับจังหวัดพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังพร้อมเน้นย้ำจังหวัดเร่งสำรวจความเสียหาย วางแผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยครอบคลุมทุกด้าน
วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2560 มท.1 ประชุม บกปภ.ช.ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้กําชับจังหวัดพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังพร้อมเน้นย้ําจังหวัดเร่งสํารวจความเสียหาย วางแผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยครอบคลุมทุกด้าน มท.1 ประชุม บกปภ.ช. ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ กําชับจังหวัดพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังพร้อมเน้นย้ําจังหวัดเร่งสํารวจความเสียหาย เพื่อวางแผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยให้ครอบคลุมทุกด้าน วันนี้ (20ม.ค.60)เวลา10.00น. ที่ห้องประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ร่วมกัน ระหว่าง บกปภ.ช. ส่วนกลาง ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บกปภ.ช. ส่วนหน้าณ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต11สุราษฎร์ธานี และหน่วยปฏิบัติในระดับพื้นที่ โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามโครงสร้าง บกปภ.ช. และ ผู้แทนส่วนสนับสนุนการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน (สปฉ.) ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ในโอกาสนี้พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เปิดเผยว่า การประชุมของ บกปภ.ช. ในวันนี้ มีการคอนเฟอเรนซ์ไปยังพื้นที่ประสบภัยด้วย เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมทั้งให้คําแนะนําและแนวทางปฏิบัติตามที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10ทรงพระราชทานตรัสไว้ ตลอดจนแนวทางการดําเนินงานและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งภาพรวมสถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว ระดับน้ําลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงมีสถานการณ์บางพื้นที่ต้องเฝ้าระวังพื้นที่ที่ยังมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะพื้นที่ที่ยังมีน้ําท่วมขัง เช่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง และสงขลา เนื่องจากยังมีมวลน้ําในพื้นที่ปริมาณมาก ประกอบกับจากการติดตามสภาพอากาศและปริมาณฝนของกรมอุตุนิยมวิทยา ทราบว่าในระยะนี้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และจะมีฝนมากขึ้นและฝนตกหนักบางแห่ง ในช่วงวันที่20-22ม.ค.นี้ บกปภ.ช.จึงได้เน้นย้ําจังหวัดเร่งสํารวจพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อเป็นข้อมูลในการกําหนดแนวทางการรับมือและแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับสภาพความเสี่ยงภัยในพื้นที่ นอกจากนี้ให้ประเมินและรวบรวมข้อมูลความเสียหายให้ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านชีวิต ด้านทรัพย์สินและที่อยู่อาศัย ระบบสาธารณูปโภค ด้านคมนาคมและสิ่งสาธารณประโยชน์ สถานที่ราชการ และศาสนสถาน พร้อมทั้งให้จังหวัดจัดทําแผนฟื้นฟูเชิงโครงสร้างในภาพรวมทั้งระบบ เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) พิจารณาต่อไป สําหรับจังหวัดที่มีพื้นที่เสี่ยงภัย ได้กําชับจังหวัดในการติดตามสถานการณ์ฝนตกหนักและฝนตกสะสมที่อาจทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มในพื้นที่เสี่ยงภัย พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่และมิสเตอร์เตือนภัยติดตามสภาพอากาศ และเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องจักรกลด้านสาธารณภัยประจําจุดเสี่ยงต่างๆ ให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะพื้นที่ที่ยังมีน้ําท่วมขัง ให้จังหวัดเร่งระบายน้ําออกจากพื้นที่น้ําท่วมขัง และเร่งระบายน้ําลงสู่ทะเลโดยเร็ว เพื่อรองรับฝนที่ตกลงมาในระลอกใหม่ นอกจากนี้ ในการสํารวจข้อมูลความเสียหาย ได้กําหนดแนวทางให้จังหวัดสํารวจและประเมินความเสียหายที่มีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยแยกตามประเภทพร้อมกําหนดหน่วยงานรับผิดชอบอย่างชัดเจน ครอบคลุมในทุกด้าน โดยเฉพาะการสํารวจข้อมูลด้านทรัพย์สินและที่อยู่อาศัย ให้แยกประเภทความเสียหายของบ้านเรือนเป็นเสียหายทั้งหลังและเสียหายบางส่วน (เสียหายน้อยและเสียหายมาก) เพื่อประกอบการพิจารณากําหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เหมาะสม สําหรับการช่วยเหลือฟื้นฟู และได้กําชับให้ทุกภาคส่วนบูรณาการร่วมกันกับหน่วยทหารในพื้นที่ ระดมสรรพกําลังและทรัพยากรปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว พร้อมทั้งให้จังหวัดจัดทําแผนฟื้นฟูเชิงโครงสร้างในภาพรวมทั้งระบบอีกด้วย เพื่อเป็นข้อมูลเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ประกอบการตัดสินใจต่อไป. ครั้งที่10/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุม บกปภ.ช.ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้กำชับจังหวัดพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังพร้อมเน้นย้ำจังหวัดเร่งสำรวจความเสียหาย วางแผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยครอบคลุมทุกด้าน วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2560 มท.1 ประชุม บกปภ.ช.ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้กําชับจังหวัดพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังพร้อมเน้นย้ําจังหวัดเร่งสํารวจความเสียหาย วางแผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยครอบคลุมทุกด้าน มท.1 ประชุม บกปภ.ช. ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ กําชับจังหวัดพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังพร้อมเน้นย้ําจังหวัดเร่งสํารวจความเสียหาย เพื่อวางแผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยให้ครอบคลุมทุกด้าน วันนี้ (20ม.ค.60)เวลา10.00น. ที่ห้องประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ร่วมกัน ระหว่าง บกปภ.ช. ส่วนกลาง ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บกปภ.ช. ส่วนหน้าณ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต11สุราษฎร์ธานี และหน่วยปฏิบัติในระดับพื้นที่ โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามโครงสร้าง บกปภ.ช. และ ผู้แทนส่วนสนับสนุนการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน (สปฉ.) ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ในโอกาสนี้พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เปิดเผยว่า การประชุมของ บกปภ.ช. ในวันนี้ มีการคอนเฟอเรนซ์ไปยังพื้นที่ประสบภัยด้วย เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมทั้งให้คําแนะนําและแนวทางปฏิบัติตามที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10ทรงพระราชทานตรัสไว้ ตลอดจนแนวทางการดําเนินงานและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งภาพรวมสถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว ระดับน้ําลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงมีสถานการณ์บางพื้นที่ต้องเฝ้าระวังพื้นที่ที่ยังมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะพื้นที่ที่ยังมีน้ําท่วมขัง เช่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง และสงขลา เนื่องจากยังมีมวลน้ําในพื้นที่ปริมาณมาก ประกอบกับจากการติดตามสภาพอากาศและปริมาณฝนของกรมอุตุนิยมวิทยา ทราบว่าในระยะนี้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และจะมีฝนมากขึ้นและฝนตกหนักบางแห่ง ในช่วงวันที่20-22ม.ค.นี้ บกปภ.ช.จึงได้เน้นย้ําจังหวัดเร่งสํารวจพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อเป็นข้อมูลในการกําหนดแนวทางการรับมือและแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับสภาพความเสี่ยงภัยในพื้นที่ นอกจากนี้ให้ประเมินและรวบรวมข้อมูลความเสียหายให้ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านชีวิต ด้านทรัพย์สินและที่อยู่อาศัย ระบบสาธารณูปโภค ด้านคมนาคมและสิ่งสาธารณประโยชน์ สถานที่ราชการ และศาสนสถาน พร้อมทั้งให้จังหวัดจัดทําแผนฟื้นฟูเชิงโครงสร้างในภาพรวมทั้งระบบ เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) พิจารณาต่อไป สําหรับจังหวัดที่มีพื้นที่เสี่ยงภัย ได้กําชับจังหวัดในการติดตามสถานการณ์ฝนตกหนักและฝนตกสะสมที่อาจทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มในพื้นที่เสี่ยงภัย พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่และมิสเตอร์เตือนภัยติดตามสภาพอากาศ และเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องจักรกลด้านสาธารณภัยประจําจุดเสี่ยงต่างๆ ให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะพื้นที่ที่ยังมีน้ําท่วมขัง ให้จังหวัดเร่งระบายน้ําออกจากพื้นที่น้ําท่วมขัง และเร่งระบายน้ําลงสู่ทะเลโดยเร็ว เพื่อรองรับฝนที่ตกลงมาในระลอกใหม่ นอกจากนี้ ในการสํารวจข้อมูลความเสียหาย ได้กําหนดแนวทางให้จังหวัดสํารวจและประเมินความเสียหายที่มีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยแยกตามประเภทพร้อมกําหนดหน่วยงานรับผิดชอบอย่างชัดเจน ครอบคลุมในทุกด้าน โดยเฉพาะการสํารวจข้อมูลด้านทรัพย์สินและที่อยู่อาศัย ให้แยกประเภทความเสียหายของบ้านเรือนเป็นเสียหายทั้งหลังและเสียหายบางส่วน (เสียหายน้อยและเสียหายมาก) เพื่อประกอบการพิจารณากําหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เหมาะสม สําหรับการช่วยเหลือฟื้นฟู และได้กําชับให้ทุกภาคส่วนบูรณาการร่วมกันกับหน่วยทหารในพื้นที่ ระดมสรรพกําลังและทรัพยากรปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว พร้อมทั้งให้จังหวัดจัดทําแผนฟื้นฟูเชิงโครงสร้างในภาพรวมทั้งระบบอีกด้วย เพื่อเป็นข้อมูลเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ประกอบการตัดสินใจต่อไป. ครั้งที่10/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1439
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมประมงชี้แจงการแก้ปัญหาแรงงานประมงและ IUU
วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม 2561 กรมประมงชี้แจงการแก้ปัญหาแรงงานประมงและ IUU กรมประมงชี้แจงการแก้ปัญหาแรงงานประมงและ IUU วันที่ 18 พฤษภาคม 2561 นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงการแก้ปัญหาแรงงานประมงและ IUU ที่มีการนําเสนอในสื่อ voice tv มีสาระสําคัญว่าเครือข่ายประมงพื้นบ้านร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมด้านแรงงาน เปิดเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับสิทธิของแรงงานประมงและการทําประมงแบบไม่ยั่งยืน กรมประมง ขอชี้แจงการดําเนินการ ดังนี้ 1. ด้านสิทธิของแรงงาน : ประเด็นกรณีเวลาพักของแรงงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจตระหนักดีในปัญหาดังกล่าวจึงได้มีการกําหนดให้ไต๋เรือ (ผู้ควบคุมเรือ) มีการจัดทําหลักฐานเวลาพักของแรงงาน เพื่อให้พนักงานตรวจแรงงานตรวจสอบ และได้มีการสุ่มตรวจสอบการดําเนินการดังกล่าวเมื่อมีการเข้ามาหลังจากการทําการประมง นอกจากนี้ยังมีการตรวจเรือกลางทะเลโดยหน่วยตรวจกลางทะเลของกรมประมง เรือลาดตระเวนของ ศรชล. ตํารวจน้ํา เรือของกรมทรัพยากรธรรมชาติและชายฝั่งอีกด้วย ตลอดจนได้มีการประชาสัมพันธ์ให้แรงงาน หรือผู้ที่พบเห็นว่า แรงงานได้รับการปฏิบัติไม่ถูกต้องขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานได้โดยตรง 2. ด้านการทําประมงแบบไม่ยั่งยืน : ประเด็นการทําประมงอวนลากและอวนล้อมปั่นไฟกลางคืน กรมประมงตระหนักดีว่าเครื่องมือประมงทั้ง 2 ประเภท เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูง จึงได้มีการควบคุมทั้ง “จํานวนใบอนุญาตพาณิชย์” และ “วิธีทําการประมง” โดยมีการกําหนดขนาดช่องตาอวนก้นถุงของอวนลาก ซึ่งต้องมากกว่า 4 เซนติเมตร ขึ้นไป หรือกรณีอวนล้อมปั่นไฟต้องมีขนาดตาอวนช่องตาอวนไม่น้อยกว่า 2.5 เซนติเมตรขึ้นไป มีการกําหนดพื้นที่ประมงชายฝั่ง ซึ่งห้ามเรือประมงพาณิชย์ซึ่งรวมถึงเครื่องมืออวนลาก และอวนล้อมปั่นไฟเข้ามาทําการประมง และในการออกใบอนุญาตประมงพาณิชย์ปีการประมง 2561 – 2562 ได้มีการกําหนดมาตรฐานเครื่องมือประมง เพื่อป้องกันการดัดแปลงหรือปรับปรุงเครื่องมือประมงให้ผิดไปจากที่กําหนดด้วยเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ํา 3. ด้านการแก้ไขปัญหา IUU : กรมประมงขอชี้แจงว่า ภายใต้พระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 มีวัตถุประสงค์เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทะเลให้เกิดความยั่งยืนและป้องกันการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ดังนั้น มาตรการต่างๆ ที่ภาครัฐได้กําหนดขึ้นมานั้น อาทิ มาตรการปิดอ่าวฯ มาตรการควบคุมการลงแรงประมง การควบคุมเครื่องมือที่ใช้ทําการประมง การกําหนดค่า MSY มาตรการให้เรือที่มีขนาดตั้งแต่ 30 ตันกรอสขึ้นไปติดตั้ง VMS การควบคุมการแจ้งเข้าออกเรือประมง ฯลฯ เป็นการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและยั่งยืน และนอกจากนี้ได้มีการออกพระราชกําหนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช 2481พ.ศ. 2561 เพื่อให้การควบคุม “เรือประมง” ทั้งในเรื่องการจดทะเบียนเรือเพิ่ม การเปลี่ยนแปลงประเภทเรือ การทําลายเรือให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การดําเนินการของภาครัฐและความร่วมมือกันระหว่างหลายหน่วยงาน ในการที่จะเร่งแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายและปัญหาแรงงานภาคการประมงไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบทั้งแรงงานประมงไทยและแรงงานประมงต่างด้าว เพื่อขับเคลื่อนการประมงของไทยให้เกิดความยั่งยืน ----------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมประมงชี้แจงการแก้ปัญหาแรงงานประมงและ IUU วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม 2561 กรมประมงชี้แจงการแก้ปัญหาแรงงานประมงและ IUU กรมประมงชี้แจงการแก้ปัญหาแรงงานประมงและ IUU วันที่ 18 พฤษภาคม 2561 นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงการแก้ปัญหาแรงงานประมงและ IUU ที่มีการนําเสนอในสื่อ voice tv มีสาระสําคัญว่าเครือข่ายประมงพื้นบ้านร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมด้านแรงงาน เปิดเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับสิทธิของแรงงานประมงและการทําประมงแบบไม่ยั่งยืน กรมประมง ขอชี้แจงการดําเนินการ ดังนี้ 1. ด้านสิทธิของแรงงาน : ประเด็นกรณีเวลาพักของแรงงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจตระหนักดีในปัญหาดังกล่าวจึงได้มีการกําหนดให้ไต๋เรือ (ผู้ควบคุมเรือ) มีการจัดทําหลักฐานเวลาพักของแรงงาน เพื่อให้พนักงานตรวจแรงงานตรวจสอบ และได้มีการสุ่มตรวจสอบการดําเนินการดังกล่าวเมื่อมีการเข้ามาหลังจากการทําการประมง นอกจากนี้ยังมีการตรวจเรือกลางทะเลโดยหน่วยตรวจกลางทะเลของกรมประมง เรือลาดตระเวนของ ศรชล. ตํารวจน้ํา เรือของกรมทรัพยากรธรรมชาติและชายฝั่งอีกด้วย ตลอดจนได้มีการประชาสัมพันธ์ให้แรงงาน หรือผู้ที่พบเห็นว่า แรงงานได้รับการปฏิบัติไม่ถูกต้องขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานได้โดยตรง 2. ด้านการทําประมงแบบไม่ยั่งยืน : ประเด็นการทําประมงอวนลากและอวนล้อมปั่นไฟกลางคืน กรมประมงตระหนักดีว่าเครื่องมือประมงทั้ง 2 ประเภท เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูง จึงได้มีการควบคุมทั้ง “จํานวนใบอนุญาตพาณิชย์” และ “วิธีทําการประมง” โดยมีการกําหนดขนาดช่องตาอวนก้นถุงของอวนลาก ซึ่งต้องมากกว่า 4 เซนติเมตร ขึ้นไป หรือกรณีอวนล้อมปั่นไฟต้องมีขนาดตาอวนช่องตาอวนไม่น้อยกว่า 2.5 เซนติเมตรขึ้นไป มีการกําหนดพื้นที่ประมงชายฝั่ง ซึ่งห้ามเรือประมงพาณิชย์ซึ่งรวมถึงเครื่องมืออวนลาก และอวนล้อมปั่นไฟเข้ามาทําการประมง และในการออกใบอนุญาตประมงพาณิชย์ปีการประมง 2561 – 2562 ได้มีการกําหนดมาตรฐานเครื่องมือประมง เพื่อป้องกันการดัดแปลงหรือปรับปรุงเครื่องมือประมงให้ผิดไปจากที่กําหนดด้วยเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ํา 3. ด้านการแก้ไขปัญหา IUU : กรมประมงขอชี้แจงว่า ภายใต้พระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 มีวัตถุประสงค์เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทะเลให้เกิดความยั่งยืนและป้องกันการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ดังนั้น มาตรการต่างๆ ที่ภาครัฐได้กําหนดขึ้นมานั้น อาทิ มาตรการปิดอ่าวฯ มาตรการควบคุมการลงแรงประมง การควบคุมเครื่องมือที่ใช้ทําการประมง การกําหนดค่า MSY มาตรการให้เรือที่มีขนาดตั้งแต่ 30 ตันกรอสขึ้นไปติดตั้ง VMS การควบคุมการแจ้งเข้าออกเรือประมง ฯลฯ เป็นการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและยั่งยืน และนอกจากนี้ได้มีการออกพระราชกําหนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช 2481พ.ศ. 2561 เพื่อให้การควบคุม “เรือประมง” ทั้งในเรื่องการจดทะเบียนเรือเพิ่ม การเปลี่ยนแปลงประเภทเรือ การทําลายเรือให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การดําเนินการของภาครัฐและความร่วมมือกันระหว่างหลายหน่วยงาน ในการที่จะเร่งแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายและปัญหาแรงงานภาคการประมงไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบทั้งแรงงานประมงไทยและแรงงานประมงต่างด้าว เพื่อขับเคลื่อนการประมงของไทยให้เกิดความยั่งยืน ----------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12511
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฮ! ทั่วไทย“บิ๊กอู๋”จัดแพ็กเกจ ‘9 ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ’ ส่งความสุขปี 61
วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2560 เฮ! ทั่วไทย“บิ๊กอู๋”จัดแพ็กเกจ ‘9 ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ’ ส่งความสุขปี 61 “รัฐมนตรีแรงงาน”แถลงข่าวส่งความสุขรับปี 61 มอบแพ็กเกจ“9 ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ” เป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกจ้าง นายจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชนทั่วประเทศ “รัฐมนตรีแรงงาน”แถลงข่าวส่งความสุขรับปี 61 มอบแพ็กเกจ“9 ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ” เป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกจ้าง นายจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชนทั่วประเทศ จัดทีมช่างแรงงานบริการตรวจสภาพรถช่วงปีใหม่ จัดบริการช่างประชารัฐซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน เพิ่มช่องทางหางานให้ง่ายขึ้น ให้ผู้ประกันตนกู้ซื้อบ้านดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรและสิทธิผู้ประกันตนม.40 เปิดให้ยื่นคําร้องออนไลน์ แอพพลิเคชั่นรู้เท่าทันออฟฟิศ ซินโดรม และมีเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร วันนี้ (21 ธ.ค.60) ที่กระทรวงแรงงาน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการแถลงข่าวกระทรวงแรงงานส่งความสุขปี 2561 พร้อมด้วย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน สําหรับของขวัญปีใหม่ที่กระทรวงแรงงานมอบให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้าง นายจ้าง และประชาชนทั่วไป ในปีนี้มีจํานวน 9 ชิ้น ภายใต้แนวคิด “9 ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ”ประกอบด้วย 1) ชื่นชอบ ช่างแรงงาน บริการตรวจสภาพ ซ่อมบํารุงรถยนต์ จักรยานยนต์ 77 จุดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.60 - 4 ม.ค.60 2) ชื่นชม ช่างประชารัฐ บริการซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนราคาถูก เต็มใจบริการด้วยคุณภาพมาตรฐานกระทรวงแรงงานทั่วประเทศกว่า 1,000 คน 3) ชื่นมื่น มีงานทํา จับคู่คนให้ตรงกับงาน จัดหางานให้ตรงใจรวมงานคนพิการ คนสูงวัย 70,000 อัตรา โดยมีตําแหน่งงานของผู้สูงวัย 2,500 อัตรา 4) ชื่นบาน บ้านประชารัฐ ให้ผู้ประกันตนกู้เงินซื้อบ้าน ดอกเบี้ยต่ํา 3% คงที่ 3 ปี รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท จาก 3 ธนาคาร คือ ธอส.ออมสิน และกรุงไทย 5) ชื่นใจ ค่าเลี้ยงดูบุตร เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรแก่ผู้ประกันตนจากเดิม 400 เป็น 600 บาท ต่อคน/เดือนคราวละไม่เกิน 3 คน มีผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ 1,200,000 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่าชิ้นที่ 6) ชื่นจิต สิทธิผู้ประกันตน เพิ่มสิทธิผู้ประกันตนแบบสมัครใจ (ม.40) 2.4 ล้านคน โดยเพิ่มเงินทดแทนขาดรายได้และเงินสงเคราะห์กรณีตาย เพิ่มทางเลิกใหม่ รับเงินทดแทนขาดรายได้ ทุพพลภาพ ค่าทําศพ สงเคราะห์บุตร และบําเหน็จชราภาพ 7) ชื่นสุข เรียกรับสิทธิ ทางเว็บไซต์ www.labour.go.th ให้บริการลูกจ้างยื่นคําร้องออนไลน์ และสายด่วน 1506 8) ชื่นชีวา ไร้โรคหน้าจอ มอบแอพพลิเคชั่นเพื่อรู้เท่าทันออฟฟิศ ซินโดรม ส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทํางานที่เอื้อต่อการทํางานอย่างปลอดภัย และสร้างหน่วยงานต้นแบบ “ทํางานปลอดภัยไร้อาการ Office Syndrome”และ 9) ชื่นตา อาสาแรงงาน เครือข่ายบริการด้านแรงงานระดับชุมชน เพิ่มอาสาสมัครแรงงานในพื้นที่ กทม.50 เขตรวม 253 คน จากเดิมทุกจังหวัดกว่า 7,200 คน ทําหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านแรงงาน ซึ่งของขวัญ 9 ชิ้นนี้ กระทรวงแรงงานตั้งใจมอบให้เพื่อ“ชาวไทยชื่นบาน แรงงานชื่นใจ” ------------------------------ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/ 21 ธันวาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฮ! ทั่วไทย“บิ๊กอู๋”จัดแพ็กเกจ ‘9 ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ’ ส่งความสุขปี 61 วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2560 เฮ! ทั่วไทย“บิ๊กอู๋”จัดแพ็กเกจ ‘9 ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ’ ส่งความสุขปี 61 “รัฐมนตรีแรงงาน”แถลงข่าวส่งความสุขรับปี 61 มอบแพ็กเกจ“9 ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ” เป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกจ้าง นายจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชนทั่วประเทศ “รัฐมนตรีแรงงาน”แถลงข่าวส่งความสุขรับปี 61 มอบแพ็กเกจ“9 ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ” เป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกจ้าง นายจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชนทั่วประเทศ จัดทีมช่างแรงงานบริการตรวจสภาพรถช่วงปีใหม่ จัดบริการช่างประชารัฐซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน เพิ่มช่องทางหางานให้ง่ายขึ้น ให้ผู้ประกันตนกู้ซื้อบ้านดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรและสิทธิผู้ประกันตนม.40 เปิดให้ยื่นคําร้องออนไลน์ แอพพลิเคชั่นรู้เท่าทันออฟฟิศ ซินโดรม และมีเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร วันนี้ (21 ธ.ค.60) ที่กระทรวงแรงงาน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการแถลงข่าวกระทรวงแรงงานส่งความสุขปี 2561 พร้อมด้วย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน สําหรับของขวัญปีใหม่ที่กระทรวงแรงงานมอบให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้าง นายจ้าง และประชาชนทั่วไป ในปีนี้มีจํานวน 9 ชิ้น ภายใต้แนวคิด “9 ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ”ประกอบด้วย 1) ชื่นชอบ ช่างแรงงาน บริการตรวจสภาพ ซ่อมบํารุงรถยนต์ จักรยานยนต์ 77 จุดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.60 - 4 ม.ค.60 2) ชื่นชม ช่างประชารัฐ บริการซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนราคาถูก เต็มใจบริการด้วยคุณภาพมาตรฐานกระทรวงแรงงานทั่วประเทศกว่า 1,000 คน 3) ชื่นมื่น มีงานทํา จับคู่คนให้ตรงกับงาน จัดหางานให้ตรงใจรวมงานคนพิการ คนสูงวัย 70,000 อัตรา โดยมีตําแหน่งงานของผู้สูงวัย 2,500 อัตรา 4) ชื่นบาน บ้านประชารัฐ ให้ผู้ประกันตนกู้เงินซื้อบ้าน ดอกเบี้ยต่ํา 3% คงที่ 3 ปี รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท จาก 3 ธนาคาร คือ ธอส.ออมสิน และกรุงไทย 5) ชื่นใจ ค่าเลี้ยงดูบุตร เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรแก่ผู้ประกันตนจากเดิม 400 เป็น 600 บาท ต่อคน/เดือนคราวละไม่เกิน 3 คน มีผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ 1,200,000 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่าชิ้นที่ 6) ชื่นจิต สิทธิผู้ประกันตน เพิ่มสิทธิผู้ประกันตนแบบสมัครใจ (ม.40) 2.4 ล้านคน โดยเพิ่มเงินทดแทนขาดรายได้และเงินสงเคราะห์กรณีตาย เพิ่มทางเลิกใหม่ รับเงินทดแทนขาดรายได้ ทุพพลภาพ ค่าทําศพ สงเคราะห์บุตร และบําเหน็จชราภาพ 7) ชื่นสุข เรียกรับสิทธิ ทางเว็บไซต์ www.labour.go.th ให้บริการลูกจ้างยื่นคําร้องออนไลน์ และสายด่วน 1506 8) ชื่นชีวา ไร้โรคหน้าจอ มอบแอพพลิเคชั่นเพื่อรู้เท่าทันออฟฟิศ ซินโดรม ส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทํางานที่เอื้อต่อการทํางานอย่างปลอดภัย และสร้างหน่วยงานต้นแบบ “ทํางานปลอดภัยไร้อาการ Office Syndrome”และ 9) ชื่นตา อาสาแรงงาน เครือข่ายบริการด้านแรงงานระดับชุมชน เพิ่มอาสาสมัครแรงงานในพื้นที่ กทม.50 เขตรวม 253 คน จากเดิมทุกจังหวัดกว่า 7,200 คน ทําหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านแรงงาน ซึ่งของขวัญ 9 ชิ้นนี้ กระทรวงแรงงานตั้งใจมอบให้เพื่อ“ชาวไทยชื่นบาน แรงงานชื่นใจ” ------------------------------ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/ 21 ธันวาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8910
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-สมาพันธรัฐสวิสฯ พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้มีพลวัตมากขึ้นในทุกมิติ
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 ไทย-สมาพันธรัฐสวิสฯ พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้มีพลวัตมากขึ้นในทุกมิติ ไทย-สมาพันธรัฐสวิสฯ พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้มีพลวัตมากขึ้นในทุกมิติ วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา (H.E. Mrs. Helene Budliger Artieda) เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสฯ ยินดีที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสมาพันธรัฐสวิสฯ เป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับสมาพันธรัฐสวิสฯ ที่มีมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในระดับราชวงศ์ ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าด้วยประสบการณ์ของเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสฯ จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้มีความแน่นแฟ้นมากขึ้น ตลอดจน เน้นย้ําว่า รัฐบาลพร้อมทํางานร่วมกับสมาพันธรัฐสวิสฯ เพื่อผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสฯ ขอบคุณรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ ยืนยันพร้อมทํางานร่วมกับรัฐบาลไทยเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีระหว่างกันในทุกมิติ โดยเฉพาะทางด้านการค้า ที่ไทยถือเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียน ขณะเดียวกันเมื่อปี 2561 สมาพันธรัฐสวิสฯ เป็นคู่ค้าอันดับที่ 15 ของไทย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเป็นด้านที่สมาพันธรัฐสวิสฯ มีความเชี่ยวชาญ โดยทั้งสองสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และบุคลากรระหว่างกัน โดยเฉพาะในสาขาเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial technology: Fintech) เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotics) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เป็นต้น ซึ่งทางสมาพันธรัฐสวิสฯ มีความเชี่ยวชาญ ด้านการท่องเที่ยว ไทยและสมาพันธรัฐสวิสฯ หวังที่จะผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นหนึ่งในจุดหมายหลักในการท่องเที่ยวของกันและกัน โดยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี และไทยให้ความสําคัญกับการดําเนินมาตรการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสโคโรนาอย่างเคร่งครัด ด้านการศึกษา ทั้งสองฝ่ายยินดีที่มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงระดับอุดมศึกษา และพร้อมสานต่อความร่วมมือระหว่างกันต่อไป โดยหวังว่าสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ของสมาพันธรัฐสวิสฯ จะพิจารณาร่วมมือกับไทยมากขึ้น รวมถึงด้านธุรกิจ SMEs และ startup ซึ่งสมาพันธรัฐสวิสฯ เห็นว่า ไทยถือเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคในด้านนี้ โดยทั้งสองเห็นว่ามีส่วนสําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-สมาพันธรัฐสวิสฯ พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้มีพลวัตมากขึ้นในทุกมิติ วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 ไทย-สมาพันธรัฐสวิสฯ พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้มีพลวัตมากขึ้นในทุกมิติ ไทย-สมาพันธรัฐสวิสฯ พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้มีพลวัตมากขึ้นในทุกมิติ วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา (H.E. Mrs. Helene Budliger Artieda) เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสฯ ยินดีที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสมาพันธรัฐสวิสฯ เป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับสมาพันธรัฐสวิสฯ ที่มีมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในระดับราชวงศ์ ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าด้วยประสบการณ์ของเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสฯ จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้มีความแน่นแฟ้นมากขึ้น ตลอดจน เน้นย้ําว่า รัฐบาลพร้อมทํางานร่วมกับสมาพันธรัฐสวิสฯ เพื่อผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสฯ ขอบคุณรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ ยืนยันพร้อมทํางานร่วมกับรัฐบาลไทยเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีระหว่างกันในทุกมิติ โดยเฉพาะทางด้านการค้า ที่ไทยถือเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียน ขณะเดียวกันเมื่อปี 2561 สมาพันธรัฐสวิสฯ เป็นคู่ค้าอันดับที่ 15 ของไทย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเป็นด้านที่สมาพันธรัฐสวิสฯ มีความเชี่ยวชาญ โดยทั้งสองสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และบุคลากรระหว่างกัน โดยเฉพาะในสาขาเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial technology: Fintech) เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotics) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เป็นต้น ซึ่งทางสมาพันธรัฐสวิสฯ มีความเชี่ยวชาญ ด้านการท่องเที่ยว ไทยและสมาพันธรัฐสวิสฯ หวังที่จะผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นหนึ่งในจุดหมายหลักในการท่องเที่ยวของกันและกัน โดยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี และไทยให้ความสําคัญกับการดําเนินมาตรการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสโคโรนาอย่างเคร่งครัด ด้านการศึกษา ทั้งสองฝ่ายยินดีที่มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงระดับอุดมศึกษา และพร้อมสานต่อความร่วมมือระหว่างกันต่อไป โดยหวังว่าสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ของสมาพันธรัฐสวิสฯ จะพิจารณาร่วมมือกับไทยมากขึ้น รวมถึงด้านธุรกิจ SMEs และ startup ซึ่งสมาพันธรัฐสวิสฯ เห็นว่า ไทยถือเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคในด้านนี้ โดยทั้งสองเห็นว่ามีส่วนสําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26242
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับอัตราค่าจ้างแรงงาน 4 อุตสาหกรรม 16 สาขาอาชีพ
วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 ปรับอัตราค่าจ้างแรงงาน 4 อุตสาหกรรม 16 สาขาอาชีพ รัฐบาลสนับสนุนให้แรงงาน พัฒนาทักษะฝีมืออยู่เสมอ เพื่อให้ได้รับค่าจ้างในอัตราที่สูงขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตนเองในตลาดงาน ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลรับทราบมติของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ ที่ได้กําหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน สําหรับแรงงานใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก พลาสติก เฟอร์นิเจอร์ และรองเท้า โดยอัตราค่าจ้างแรงงานฝีมือระดับที่ 1 เริ่มต้นที่ 340 บาท ระดับที่ 2 เริ่มต้นที่ 400 บาท สูงสุด 600 บาทต่อวัน เพื่อให้แรงงานได้รับอัตราค่าแรงที่เหมาะสมและเป็นธรรม ส่งเสริมให้แรงงานหมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และยังช่วยยกระดับขีดความสามารถของแรงงานไทยให้แข่งขันได้และเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้ แรงงานที่ต้องการพัฒนาฝีมือสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับอัตราค่าจ้างแรงงาน 4 อุตสาหกรรม 16 สาขาอาชีพ วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 ปรับอัตราค่าจ้างแรงงาน 4 อุตสาหกรรม 16 สาขาอาชีพ รัฐบาลสนับสนุนให้แรงงาน พัฒนาทักษะฝีมืออยู่เสมอ เพื่อให้ได้รับค่าจ้างในอัตราที่สูงขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตนเองในตลาดงาน ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลรับทราบมติของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ ที่ได้กําหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน สําหรับแรงงานใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก พลาสติก เฟอร์นิเจอร์ และรองเท้า โดยอัตราค่าจ้างแรงงานฝีมือระดับที่ 1 เริ่มต้นที่ 340 บาท ระดับที่ 2 เริ่มต้นที่ 400 บาท สูงสุด 600 บาทต่อวัน เพื่อให้แรงงานได้รับอัตราค่าแรงที่เหมาะสมและเป็นธรรม ส่งเสริมให้แรงงานหมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และยังช่วยยกระดับขีดความสามารถของแรงงานไทยให้แข่งขันได้และเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้ แรงงานที่ต้องการพัฒนาฝีมือสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10315
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผลสำรวจล่าสุด คนไทยหย่อนการป้องกันตนเองต่อเนื่อง
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563 สธ.เผยผลสํารวจล่าสุด คนไทยหย่อนการป้องกันตนเองต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสํารวจอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ล่าสุด พบประชาชนมีพฤติกรรมป้องกันตนเองลดลง โดยเฉพาะการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 2 เมตร ส่วนคนลงทะเบียนในแพลตฟอร์ม ไทยชนะ/ ลงชื่อในสมุดเข้าออกสถานที่ร้อยละ 68 กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสํารวจอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ล่าสุด พบประชาชนมีพฤติกรรมป้องกันตนเองลดลง โดยเฉพาะการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 2 เมตร ส่วนคนลงทะเบียนในแพลตฟอร์ม ไทยชนะ/ ลงชื่อในสมุดเข้าออกสถานที่ร้อยละ 68 วันนี้ (7 สิงหาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ แถลงข่าว ผลสํารวจพฤติกรรมการปฏิบัติตามมาตรการ อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้ส่งแบบสอบถามออนไลน์ให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) นําไปสอบถามติดตามการปฏิบัติตน ของประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หลังการผ่อนปรนมาตรการในเดือน กรกฎาคม - กันยายน 2563 เพื่อนําข้อมูลไปพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายในการปรับมาตรการของภาครัฐ โดยปรับปรุงข้อคําถามทุก 15 วัน ผลสํารวจครั้งที่ 2 วันที่ 17 - 31 กรกฎาคม 2563 มีผู้ตอบแบบสอบถาม 63,619 ราย พบว่าพฤติกรรมการป้องกันตนเองเมื่อเปรียบเทียบผลการสํารวจรอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 2 กรกฎาคมพบว่าประชาชนมีการรวมกลุ่มทางสังคมเพิ่มขึ้น พฤติกรรมการป้องกันตนเองในภาพรวมลดลงจาก 0.84 เป็น 0.79 โดยเฉพาะการระวังไม่เอามือจับหน้า จมูก ปาก การระวังไม่อยู่ใกล้คนอื่นในระยะน้อยกว่า 2 เมตร และการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ส่วนพฤติกรรมของประชาชนในการขับเคลื่อน“ตําบลวิถีชีวิตใหม่ ปลอดภัยจากโควิด19”มากที่สุดคือ พฤติกรรมการป้องกันตัวในชุมชน ร้อยละ 89.7 รองลงมาคือ แจ้งเจ้าหน้าที่หากพบคนในครอบครัวมีอาการ ร้อยละ 83.6 และจัดการสิ่งแวดล้อมในครัวเรือน ร้อยละ 80.7 ส่วนพฤติกรรมที่ทําน้อยที่สุด คือ การออกกําลังกายเป็นประจํา ร้อยละ 55.6 และการลงทะเบียนไทยชนะสถานที่ส่วนใหญ่ที่ไม่พบ QR CODE ของไทยชนะ หรือสมุดลงชื่อ คือ ตลาดสดและร้านค้าในตลาด ร้อยละ 59.9 รองลงมาคือ ห้างสรรพสินค้า/ซุปเปอร์มาร์เก็ต/คอมมูนิตี้มอลล์ ร้อยละ 20.9 และร้านขายของนอกห้าง ร้อยละ 11.3 ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงลงทะเบียนไทยชนะ/ลงชื่อ ในสมุดในสถานที่ต่างๆ ร้อยละ 68.1 ส่วนที่ไม่ลงทะเบียนฯ เนื่องจากลืม ทางร้านไม่มี QR CODE หรือสมุดลงชื่อ หรือใช้ไม่เป็น “จากผลสํารวจแสดงให้เห็นว่าขณะนี้ประชาชนเริ่มหย่อนการป้องกันตนเอง ซึ่งจะต้องร่วมมือกันทั้งประเทศ โดยข้อมูลที่ได้จะส่งให้กับคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสําคัญกับเรื่องนี้ ปฏิบัติตัววิถีชีวิตใหม่ เพื่อป้องกันการกลับมาแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยตั้งเป้าหมายใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ใช้ช้อนกลางส่วนตัว และล้างมืออย่างสม่ําเสมอ รวมทั้งให้ผู้ประกอบการและประชาชนใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ ให้ได้ร้อยละ 90” นายแพทย์ธเรศกล่าว ทั้งนี้ การสํารวจ อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข องค์การอนามัยโลกสํานักงานภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสํานักงานสถิติแห่งชาติ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากองค์การอนามัยประจําประเทศไทย **************************** 7 สิงหาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผลสำรวจล่าสุด คนไทยหย่อนการป้องกันตนเองต่อเนื่อง วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563 สธ.เผยผลสํารวจล่าสุด คนไทยหย่อนการป้องกันตนเองต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสํารวจอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ล่าสุด พบประชาชนมีพฤติกรรมป้องกันตนเองลดลง โดยเฉพาะการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 2 เมตร ส่วนคนลงทะเบียนในแพลตฟอร์ม ไทยชนะ/ ลงชื่อในสมุดเข้าออกสถานที่ร้อยละ 68 กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสํารวจอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ล่าสุด พบประชาชนมีพฤติกรรมป้องกันตนเองลดลง โดยเฉพาะการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 2 เมตร ส่วนคนลงทะเบียนในแพลตฟอร์ม ไทยชนะ/ ลงชื่อในสมุดเข้าออกสถานที่ร้อยละ 68 วันนี้ (7 สิงหาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ แถลงข่าว ผลสํารวจพฤติกรรมการปฏิบัติตามมาตรการ อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้ส่งแบบสอบถามออนไลน์ให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) นําไปสอบถามติดตามการปฏิบัติตน ของประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หลังการผ่อนปรนมาตรการในเดือน กรกฎาคม - กันยายน 2563 เพื่อนําข้อมูลไปพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายในการปรับมาตรการของภาครัฐ โดยปรับปรุงข้อคําถามทุก 15 วัน ผลสํารวจครั้งที่ 2 วันที่ 17 - 31 กรกฎาคม 2563 มีผู้ตอบแบบสอบถาม 63,619 ราย พบว่าพฤติกรรมการป้องกันตนเองเมื่อเปรียบเทียบผลการสํารวจรอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 2 กรกฎาคมพบว่าประชาชนมีการรวมกลุ่มทางสังคมเพิ่มขึ้น พฤติกรรมการป้องกันตนเองในภาพรวมลดลงจาก 0.84 เป็น 0.79 โดยเฉพาะการระวังไม่เอามือจับหน้า จมูก ปาก การระวังไม่อยู่ใกล้คนอื่นในระยะน้อยกว่า 2 เมตร และการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ส่วนพฤติกรรมของประชาชนในการขับเคลื่อน“ตําบลวิถีชีวิตใหม่ ปลอดภัยจากโควิด19”มากที่สุดคือ พฤติกรรมการป้องกันตัวในชุมชน ร้อยละ 89.7 รองลงมาคือ แจ้งเจ้าหน้าที่หากพบคนในครอบครัวมีอาการ ร้อยละ 83.6 และจัดการสิ่งแวดล้อมในครัวเรือน ร้อยละ 80.7 ส่วนพฤติกรรมที่ทําน้อยที่สุด คือ การออกกําลังกายเป็นประจํา ร้อยละ 55.6 และการลงทะเบียนไทยชนะสถานที่ส่วนใหญ่ที่ไม่พบ QR CODE ของไทยชนะ หรือสมุดลงชื่อ คือ ตลาดสดและร้านค้าในตลาด ร้อยละ 59.9 รองลงมาคือ ห้างสรรพสินค้า/ซุปเปอร์มาร์เก็ต/คอมมูนิตี้มอลล์ ร้อยละ 20.9 และร้านขายของนอกห้าง ร้อยละ 11.3 ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงลงทะเบียนไทยชนะ/ลงชื่อ ในสมุดในสถานที่ต่างๆ ร้อยละ 68.1 ส่วนที่ไม่ลงทะเบียนฯ เนื่องจากลืม ทางร้านไม่มี QR CODE หรือสมุดลงชื่อ หรือใช้ไม่เป็น “จากผลสํารวจแสดงให้เห็นว่าขณะนี้ประชาชนเริ่มหย่อนการป้องกันตนเอง ซึ่งจะต้องร่วมมือกันทั้งประเทศ โดยข้อมูลที่ได้จะส่งให้กับคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสําคัญกับเรื่องนี้ ปฏิบัติตัววิถีชีวิตใหม่ เพื่อป้องกันการกลับมาแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยตั้งเป้าหมายใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ใช้ช้อนกลางส่วนตัว และล้างมืออย่างสม่ําเสมอ รวมทั้งให้ผู้ประกอบการและประชาชนใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ ให้ได้ร้อยละ 90” นายแพทย์ธเรศกล่าว ทั้งนี้ การสํารวจ อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข องค์การอนามัยโลกสํานักงานภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสํานักงานสถิติแห่งชาติ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากองค์การอนามัยประจําประเทศไทย **************************** 7 สิงหาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34032
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนชาวบุรีรัมย์ หวังยกระดับพัฒนาให้เมืองบุรีรัมย์ เป็นเมืองกีฬาหรือสปอร์ตซิตี้
วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนชาวบุรีรัมย์ หวังยกระดับพัฒนาให้เมืองบุรีรัมย์ เป็นเมืองกีฬาหรือสปอร์ตซิตี้ นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนชาวบุรีรัมย์ หวังยกระดับพัฒนาให้เมืองบุรีรัมย์เป็นเมืองกีฬาหรือสปอร์ตซิตี้ ขอให้ชาวบุรีรัมย์ร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองให้น่าอยู่ เป็นเจ้าภาพที่ดีในการต้อนรับแขกต่างบ้าน-ชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาบุรีรัมย์ในโอกาสต่าง ๆ วันนี้ (7 พฤษภาคม 2561) เวลา 15.30 น. ณ สนามช้าง อารีน่า อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบปะประชาชนชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ประมาณ 30,000 คน โดยมี นายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารส่วนท้องถิ่นให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ก่อนการพบปะประชาชน นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรือที่อยู่อาศัยในพื้นที่โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พร้อมมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ตามนโยบายที่ให้ชุมชนร่วมกับภาคภาครัฐบริหารจัดการดูแล เพื่อให้ป่าเกิดความยั่งยืน ให้แก่ ผู้แทนจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดชัยภูมิ สําหรับจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นจังหวัดศูนย์กลางการท่องเที่ยวอารยธรรมขอม และกีฬามาตรฐานโลก มีสนามฟุตบอล และสนามแข่งรถที่ได้มาตรฐานโลก ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก (MOTO GP) ติดต่อกัน 3 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2561 - 2563 โดยจังหวัดมีนโยบายส่งเสริมให้เป็นเมืองกีฬา และการท่องเที่ยวเชิงกีฬา รวมถึงส่งเสริมให้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติ เพื่อการเติบโตอย่างมีทิศทางรองรับด้านกีฬา เมื่อนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางมาถึงสนามช้าง ประชาชนชาวจังหวัดบุรีรัมย์ต่างพากันปรบมือต้อนรับ พร้อมเปล่งเสียงเรียก “ลุงตู่” ดังกึกก้องไปทั่วสนาม โดยนายกรัฐมนตรีได้เดินทักทายประชาชน พร้อมทํามือสัญลักษณ์ I Love You สร้างความประทับใจให้กับชาวบุรีรัมย์ที่มาให้การต้อนรับภายในสนามเป็นอย่างมาก โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวพบปะประชาชนชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ตอนหนึ่งความว่า จังหวัดบุรีรัมย์เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม เป็นจังหวัดที่มีความสงบสุข อยู่ร่วมกันด้วยความรักความสามัคคี ไม่มีการทะเลาะ และแบ่งแยกสี เป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชนที่รักใคร่กัน โดยขอให้ช่วยกันรักษาบรรยากาศแบบนี้ตลอดไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเมื่อย้อนกลับมาดูรายได้ต่อหัวของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์พบว่าค่อนข้างต่ํา เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง ประชาชนต้องเรียนรู้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเฉพาะการทําเกษตรต้องคํานึงถึงหลักการตลาดนําการผลิต มีการปลูกพืชแบบผสมผสาน พร้อมกับใช้เทคโนโลยีมาช่วยเรื่องการตลาด ทําการค้าขายแบบออนไลน์ ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น ทั้งนี้ เมื่อย้อนไปอดีตที่ผ่านมา ถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว และทางด้านการกีฬา จึงขอให้ชาวบุรีรัมย์ร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองให้น่าอยู่ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพที่ดีในการต้อนรับแขกต่างบ้าน และชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาจังหวัดบุรีรัมย์ในโอกาสต่าง ๆ พร้อมกับหวังยกระดับพัฒนาให้จังหวัดบุรีรัมย์เป็นเมืองกีฬาหรือสปอร์ตซิตี้ และจัดตั้งมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ รวมถึงการสร้างศูนย์ทางการแพทย์ ในส่วนของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน และประเทศชาติให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยต้องสร้างความเข้มแข็งภายในให้กับคนในพื้นที่ก่อน จึงค่อยพัฒนาเชื่อมโยงไปสู่ภูมิภาค และประเทศต่อไป จากนั้น นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยซึ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก สนามที่ 15 รายการ PTT Thailand Grand Prix ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนชาวบุรีรัมย์ หวังยกระดับพัฒนาให้เมืองบุรีรัมย์ เป็นเมืองกีฬาหรือสปอร์ตซิตี้ วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนชาวบุรีรัมย์ หวังยกระดับพัฒนาให้เมืองบุรีรัมย์ เป็นเมืองกีฬาหรือสปอร์ตซิตี้ นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนชาวบุรีรัมย์ หวังยกระดับพัฒนาให้เมืองบุรีรัมย์เป็นเมืองกีฬาหรือสปอร์ตซิตี้ ขอให้ชาวบุรีรัมย์ร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองให้น่าอยู่ เป็นเจ้าภาพที่ดีในการต้อนรับแขกต่างบ้าน-ชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาบุรีรัมย์ในโอกาสต่าง ๆ วันนี้ (7 พฤษภาคม 2561) เวลา 15.30 น. ณ สนามช้าง อารีน่า อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบปะประชาชนชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ประมาณ 30,000 คน โดยมี นายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารส่วนท้องถิ่นให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ก่อนการพบปะประชาชน นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรือที่อยู่อาศัยในพื้นที่โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พร้อมมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ตามนโยบายที่ให้ชุมชนร่วมกับภาคภาครัฐบริหารจัดการดูแล เพื่อให้ป่าเกิดความยั่งยืน ให้แก่ ผู้แทนจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดชัยภูมิ สําหรับจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นจังหวัดศูนย์กลางการท่องเที่ยวอารยธรรมขอม และกีฬามาตรฐานโลก มีสนามฟุตบอล และสนามแข่งรถที่ได้มาตรฐานโลก ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก (MOTO GP) ติดต่อกัน 3 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2561 - 2563 โดยจังหวัดมีนโยบายส่งเสริมให้เป็นเมืองกีฬา และการท่องเที่ยวเชิงกีฬา รวมถึงส่งเสริมให้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติ เพื่อการเติบโตอย่างมีทิศทางรองรับด้านกีฬา เมื่อนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางมาถึงสนามช้าง ประชาชนชาวจังหวัดบุรีรัมย์ต่างพากันปรบมือต้อนรับ พร้อมเปล่งเสียงเรียก “ลุงตู่” ดังกึกก้องไปทั่วสนาม โดยนายกรัฐมนตรีได้เดินทักทายประชาชน พร้อมทํามือสัญลักษณ์ I Love You สร้างความประทับใจให้กับชาวบุรีรัมย์ที่มาให้การต้อนรับภายในสนามเป็นอย่างมาก โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวพบปะประชาชนชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ตอนหนึ่งความว่า จังหวัดบุรีรัมย์เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม เป็นจังหวัดที่มีความสงบสุข อยู่ร่วมกันด้วยความรักความสามัคคี ไม่มีการทะเลาะ และแบ่งแยกสี เป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชนที่รักใคร่กัน โดยขอให้ช่วยกันรักษาบรรยากาศแบบนี้ตลอดไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเมื่อย้อนกลับมาดูรายได้ต่อหัวของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์พบว่าค่อนข้างต่ํา เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง ประชาชนต้องเรียนรู้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเฉพาะการทําเกษตรต้องคํานึงถึงหลักการตลาดนําการผลิต มีการปลูกพืชแบบผสมผสาน พร้อมกับใช้เทคโนโลยีมาช่วยเรื่องการตลาด ทําการค้าขายแบบออนไลน์ ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น ทั้งนี้ เมื่อย้อนไปอดีตที่ผ่านมา ถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว และทางด้านการกีฬา จึงขอให้ชาวบุรีรัมย์ร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองให้น่าอยู่ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพที่ดีในการต้อนรับแขกต่างบ้าน และชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาจังหวัดบุรีรัมย์ในโอกาสต่าง ๆ พร้อมกับหวังยกระดับพัฒนาให้จังหวัดบุรีรัมย์เป็นเมืองกีฬาหรือสปอร์ตซิตี้ และจัดตั้งมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ รวมถึงการสร้างศูนย์ทางการแพทย์ ในส่วนของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน และประเทศชาติให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยต้องสร้างความเข้มแข็งภายในให้กับคนในพื้นที่ก่อน จึงค่อยพัฒนาเชื่อมโยงไปสู่ภูมิภาค และประเทศต่อไป จากนั้น นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยซึ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก สนามที่ 15 รายการ PTT Thailand Grand Prix ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12051
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงบประมาณชี้แจง การตั้งงบประมาณสมทบกองทุนประกันสังคม
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2561 สํานักงบประมาณชี้แจง การตั้งงบประมาณสมทบกองทุนประกันสังคม สํานักงบประมาณชี้แจง การตั้งงบประมาณสมทบกองทุนประกันสังคม นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ สํานักงบประมาณ สํานักนายกรัฐมนตรี และนายบุญชู ประสพกิจถาวร โฆษกสํานักงบประมาณ ชี้แจงประเด็นการตั้งงบประมาณสมทบกองทุนประกันสังคม ตามที่นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงกรณีที่รัฐบาลไม่ได้ตั้งงบประมาณสมทบกองทุนเงินประกันสังคมที่มียอดสะสมถึง 2 แสนล้านบาท ซึ่งการไม่สมทบตามกฎหมายแสดงถึงความไม่รับผิดชอบและอาจเป็นการละเว้นการปฏิบัติตามกฎหมาย และสะท้อนว่ารัฐบาลนี้นํางบส่วนนี้ไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ที่เป็นแนวคิดหรือนโยบายของรัฐบาล นั้น สํานักงบประมาณขอเรียนชี้แจง ดังนี้ สํานักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสมทบกองทุนประกันสังคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ได้จัดสรรงบประมาณสมทบกองทุนประกันสังคม จํานวน 40,585.1154 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 จํานวน 13,385.2954 ล้านบาท และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ได้จัดสรรงบประมาณสมทบกองทุนประกันสังคม จํานวน 42,620.4695 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2560 จํานวน 2,035.3541 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นการจัดสรรงบประมาณตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในปีที่ผ่านมา สําหรับภาระที่รัฐบาลจะต้องสมทบกองทุนประกันสังคมที่ยังค้างชําระ จํานวน 55,867.1821 ล้านบาท นั้น สํานักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้ในโอกาสต่อไป ------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงบประมาณชี้แจง การตั้งงบประมาณสมทบกองทุนประกันสังคม วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2561 สํานักงบประมาณชี้แจง การตั้งงบประมาณสมทบกองทุนประกันสังคม สํานักงบประมาณชี้แจง การตั้งงบประมาณสมทบกองทุนประกันสังคม นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ สํานักงบประมาณ สํานักนายกรัฐมนตรี และนายบุญชู ประสพกิจถาวร โฆษกสํานักงบประมาณ ชี้แจงประเด็นการตั้งงบประมาณสมทบกองทุนประกันสังคม ตามที่นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงกรณีที่รัฐบาลไม่ได้ตั้งงบประมาณสมทบกองทุนเงินประกันสังคมที่มียอดสะสมถึง 2 แสนล้านบาท ซึ่งการไม่สมทบตามกฎหมายแสดงถึงความไม่รับผิดชอบและอาจเป็นการละเว้นการปฏิบัติตามกฎหมาย และสะท้อนว่ารัฐบาลนี้นํางบส่วนนี้ไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ที่เป็นแนวคิดหรือนโยบายของรัฐบาล นั้น สํานักงบประมาณขอเรียนชี้แจง ดังนี้ สํานักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสมทบกองทุนประกันสังคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ได้จัดสรรงบประมาณสมทบกองทุนประกันสังคม จํานวน 40,585.1154 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 จํานวน 13,385.2954 ล้านบาท และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ได้จัดสรรงบประมาณสมทบกองทุนประกันสังคม จํานวน 42,620.4695 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2560 จํานวน 2,035.3541 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นการจัดสรรงบประมาณตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในปีที่ผ่านมา สําหรับภาระที่รัฐบาลจะต้องสมทบกองทุนประกันสังคมที่ยังค้างชําระ จํานวน 55,867.1821 ล้านบาท นั้น สํานักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้ในโอกาสต่อไป ------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ให้ทุกภาคส่วนเคร่งครัดการบังคับใช้กฎหมาย ลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่นี้
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561 คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ให้ทุกภาคส่วนเคร่งครัดการบังคับใช้กฎหมาย ลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่นี้ คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนดําเนินการตามมาตรการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามบทบาทหน้าที่อย่างเคร่งครัด คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนดําเนินการตามมาตรการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามบทบาทหน้าที่อย่างเคร่งครัด สนับสนุนการลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ และเห็นชอบแนวทางการบําบัดรักษาผู้ถูกคุมความประพฤติ ฐานความผิดเป็นผู้ขับขี่ที่เมาสุรา โดยจะเริ่มดําเนินการในเทศกาลปีใหม่ 2562 นี้ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 โดยมีนพ.ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข รองประธานกรรมการฯ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมการประชุม พลเอก ฉัตรชัยให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมฯ ได้เน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามมาตรการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามบทบาทหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อสนับสนุนการควบคุมและลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 ให้ความสําคัญกับการไม่จําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปีและผู้ที่มีอาการเมาสุรา และการไม่จําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกเวลาที่กฎหมายกําหนด รวมถึงการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ เน้นในลมหายใจในกลุ่มผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง โดยที่ผ่านมาจํานวนคดีที่ศาลสั่งคุมประพฤติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกเพิ่มขึ้นทุกปี ในปี 2561 ศาลสั่งคุมประพฤติ 61,436 คดี เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ 6,677 คดี ซึ่งเป็นฐานความผิดขับรถขณะเมาสุรา 6,030 คดี คิดเป็นร้อยละ 90 ของคดีคุมประพฤติในเทศกาลปีใหม่ และข้อมูลการดําเนินคดีฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ พบว่าส่งดําเนินคดีในฐานความผิดมาตรา 28 ขายนอกเวลาที่กฎหมายกําหนดสูงสุด นอกจากนี้ ได้เห็นชอบแนวทางการบําบัดรักษาสําหรับผู้ถูกคุมความประพฤติ ฐานความผิดเป็นผู้ขับขี่ที่เมาสุรา ซึ่งเป็นการบูรณาการร่วมกัน ระหว่างกระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต กรมการแพทย์ และสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันกําหนดแนวทางการดําเนินงานเป็นโครงการนําร่องเพื่อให้ผู้ถูกคุมประพฤติฐานความผิดเมาแล้วขับ (กรณีกระทําความผิดซ้ํา) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 ได้เข้ารับการคัดกรอง (โดยพนักงานคุมประพฤติจังหวัด) และส่งต่อเพื่อรับการบําบัดรักษา ฟื้นฟูสภาพ กรณีผู้มีความเสี่ยงสูง เพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ต่อไป รวมทั้งมีมติเห็นชอบให้มีการรณรงค์ให้หน่วยงานราชการงดการบริโภคดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานรื่นเริงของส่วนราชการเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชนต่อไปด้วย ด้านนายแพทย์ธวัชกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้เตรียมความพร้อมสถานพยาบาลและเจ้าหน้าที่เพื่อให้บริการบําบัดรักษา รายงานผลการบําบัดให้คุมประพฤติจังหวัด และบันทึกข้อมูลในระบบ HDC นอกจากนี้ ยังได้มอบคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ติดตามกํากับให้คณะกรรมการฯ จังหวัดดําเนินการและรายงานผลการดําเนินงานตามลําดับ พร้อมทั้งแจ้งมติที่ประชุมไปยังศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน เพื่อทราบมาตรการสนับสนุนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดการบาดเจ็บเทศกาลปีใหม่ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 ********************* 21 ธันวาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ให้ทุกภาคส่วนเคร่งครัดการบังคับใช้กฎหมาย ลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่นี้ วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561 คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ให้ทุกภาคส่วนเคร่งครัดการบังคับใช้กฎหมาย ลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่นี้ คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนดําเนินการตามมาตรการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามบทบาทหน้าที่อย่างเคร่งครัด คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนดําเนินการตามมาตรการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามบทบาทหน้าที่อย่างเคร่งครัด สนับสนุนการลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ และเห็นชอบแนวทางการบําบัดรักษาผู้ถูกคุมความประพฤติ ฐานความผิดเป็นผู้ขับขี่ที่เมาสุรา โดยจะเริ่มดําเนินการในเทศกาลปีใหม่ 2562 นี้ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 โดยมีนพ.ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข รองประธานกรรมการฯ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมการประชุม พลเอก ฉัตรชัยให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมฯ ได้เน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามมาตรการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามบทบาทหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อสนับสนุนการควบคุมและลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 ให้ความสําคัญกับการไม่จําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปีและผู้ที่มีอาการเมาสุรา และการไม่จําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกเวลาที่กฎหมายกําหนด รวมถึงการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ เน้นในลมหายใจในกลุ่มผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง โดยที่ผ่านมาจํานวนคดีที่ศาลสั่งคุมประพฤติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกเพิ่มขึ้นทุกปี ในปี 2561 ศาลสั่งคุมประพฤติ 61,436 คดี เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ 6,677 คดี ซึ่งเป็นฐานความผิดขับรถขณะเมาสุรา 6,030 คดี คิดเป็นร้อยละ 90 ของคดีคุมประพฤติในเทศกาลปีใหม่ และข้อมูลการดําเนินคดีฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ พบว่าส่งดําเนินคดีในฐานความผิดมาตรา 28 ขายนอกเวลาที่กฎหมายกําหนดสูงสุด นอกจากนี้ ได้เห็นชอบแนวทางการบําบัดรักษาสําหรับผู้ถูกคุมความประพฤติ ฐานความผิดเป็นผู้ขับขี่ที่เมาสุรา ซึ่งเป็นการบูรณาการร่วมกัน ระหว่างกระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต กรมการแพทย์ และสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันกําหนดแนวทางการดําเนินงานเป็นโครงการนําร่องเพื่อให้ผู้ถูกคุมประพฤติฐานความผิดเมาแล้วขับ (กรณีกระทําความผิดซ้ํา) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 ได้เข้ารับการคัดกรอง (โดยพนักงานคุมประพฤติจังหวัด) และส่งต่อเพื่อรับการบําบัดรักษา ฟื้นฟูสภาพ กรณีผู้มีความเสี่ยงสูง เพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ต่อไป รวมทั้งมีมติเห็นชอบให้มีการรณรงค์ให้หน่วยงานราชการงดการบริโภคดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานรื่นเริงของส่วนราชการเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชนต่อไปด้วย ด้านนายแพทย์ธวัชกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้เตรียมความพร้อมสถานพยาบาลและเจ้าหน้าที่เพื่อให้บริการบําบัดรักษา รายงานผลการบําบัดให้คุมประพฤติจังหวัด และบันทึกข้อมูลในระบบ HDC นอกจากนี้ ยังได้มอบคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ติดตามกํากับให้คณะกรรมการฯ จังหวัดดําเนินการและรายงานผลการดําเนินงานตามลําดับ พร้อมทั้งแจ้งมติที่ประชุมไปยังศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน เพื่อทราบมาตรการสนับสนุนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดการบาดเจ็บเทศกาลปีใหม่ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 ********************* 21 ธันวาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17659
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนิน ทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้าและทรงเก็บข้อมูลวิจัยด้านดาราศาสตร์ ณ หอดูดาวแห่งชาติ
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2559 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดําเนิน ทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้าและทรงเก็บข้อมูลวิจัยด้านดาราศาสตร์ ณ หอดูดาวแห่งชาติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดําเนิน ทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้าและทรงเก็บข้อมูลวิจัยด้านดาราศาสตร์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินมา “หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา” หรือ “หอดูดาวแห่งชาติ” ณ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อําเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โปรดให้สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติตั้งกล้องโทรทรรศน์ถวายเพื่อทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้า และถ่ายภาพดาราศาสตร์ผ่านกล้องโทรทรรศน์พร้อมทอดพระเนตรและเก็บข้อมูลงานวิจัยด้านดาราศาสตร์ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้บริหารสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เฝ้าฯ รับเสด็จ วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลาประมาณ 18.30 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งถึงหอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เฝ้าฯ รับเสด็จ จากนั้นเสด็จพระราชดําเนินเข้าภายในอาคารควบคุมชั้น 2 ทอดพระเนตรนิทรรศการดาราศาสตร์ไทยใต้ร่มพระบารมี เรื่องราวความสนพระราชหฤทัยด้านดาราศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จากนั้นเสด็จพระราชดําเนินเข้าภายในห้องควบคุมกล้องโทรทรรศน์ ทรงถ่ายภาพดาวยูเรนัส เนบิวลาปู และเนบิวลาคลีโอพัตรา จากกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.4 เมตร และทรงถ่ายภาพเนบิวลาหัวม้าผ่านกล้องโทรทรรศน์ทางไกลอัตโนมัติที่หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ฉะเชิงเทรา ทอดพระเนตรผลงานวิจัยจากกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.4 เมตร ประกอบด้วย งานวิจัยด้านดาราจักรนอกระบบและนิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์ งานวิจัยการไหวสะเทือนบนดาวฤกษ์ งานวิจัยด้านระบบดาวคู่และวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของระบบดาวเคราะห์-ดาวฤกษ์ และงานวิจัยด้านดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ โอกาสนี้ ทรงเก็บข้อมูลงานวิจัยเรื่องดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะผ่านกล้องโทรทรรศน์ทางไกลอัตโนมัติที่หอดูดาวเกาเหมยกู่ สาธารณรัฐประชาชนจีน จากนั้นทอดพระเนตรโครงการพัฒนาเครือข่ายดาราศาสตร์วิทยุและยีออเดซี โครงการบูรณาการระบบนิเวศและการอนุรักษ์ป่าไม้ หลังจากนั้น เสด็จพระราชดําเนินไปยังดาดฟ้าของอาคารควบคุม ชั้น 3 เพื่อทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้าผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก เช่น กาแล็กซีแอนโดรเมดา ดาวอังคาร เนบิวลานายพราน กระจุกดาวคู่ กระจุกดาวลูกไก่ และเสด็จพระราชดําเนินเข้าภายในหอดูดาว ทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้าด้วยตาเปล่าผ่านช่องมองภาพ (Eyepiece) ของกล้องโทรทรรศน์ขนาด 2.4 เมตร เช่น ดาวยูเรนัส ดาวไรเจล เนบิวลาคลีโอพัตรา เนบิวลานายพราน ฯลฯ จากนั้น เสด็จพระราชดําเนินไปยังอาคารควบคุม ชั้น 1 ทอดพระเนตรโครงงานวิจัยดาราศาสตร์ระดับโรงเรียน จํานวน 6 โครงงาน จากโรงเรียนแกน้อยศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ โรงเรียนศรีสวัสดิ์วิทยาคาร จังหวัดน่าน โรงเรียนหนองบัวแดงวิทยา จังหวัดชัยภูมิ โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย มุกดาหาร จํานวน 2 โครงงาน และโรงเรียนสาธิต “พิบูลย์บําเพ็ญ” มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี ที่มา : กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนิน ทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้าและทรงเก็บข้อมูลวิจัยด้านดาราศาสตร์ ณ หอดูดาวแห่งชาติ วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2559 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดําเนิน ทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้าและทรงเก็บข้อมูลวิจัยด้านดาราศาสตร์ ณ หอดูดาวแห่งชาติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดําเนิน ทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้าและทรงเก็บข้อมูลวิจัยด้านดาราศาสตร์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินมา “หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา” หรือ “หอดูดาวแห่งชาติ” ณ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อําเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โปรดให้สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติตั้งกล้องโทรทรรศน์ถวายเพื่อทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้า และถ่ายภาพดาราศาสตร์ผ่านกล้องโทรทรรศน์พร้อมทอดพระเนตรและเก็บข้อมูลงานวิจัยด้านดาราศาสตร์ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้บริหารสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เฝ้าฯ รับเสด็จ วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลาประมาณ 18.30 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งถึงหอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เฝ้าฯ รับเสด็จ จากนั้นเสด็จพระราชดําเนินเข้าภายในอาคารควบคุมชั้น 2 ทอดพระเนตรนิทรรศการดาราศาสตร์ไทยใต้ร่มพระบารมี เรื่องราวความสนพระราชหฤทัยด้านดาราศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จากนั้นเสด็จพระราชดําเนินเข้าภายในห้องควบคุมกล้องโทรทรรศน์ ทรงถ่ายภาพดาวยูเรนัส เนบิวลาปู และเนบิวลาคลีโอพัตรา จากกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.4 เมตร และทรงถ่ายภาพเนบิวลาหัวม้าผ่านกล้องโทรทรรศน์ทางไกลอัตโนมัติที่หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ฉะเชิงเทรา ทอดพระเนตรผลงานวิจัยจากกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.4 เมตร ประกอบด้วย งานวิจัยด้านดาราจักรนอกระบบและนิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์ งานวิจัยการไหวสะเทือนบนดาวฤกษ์ งานวิจัยด้านระบบดาวคู่และวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของระบบดาวเคราะห์-ดาวฤกษ์ และงานวิจัยด้านดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ โอกาสนี้ ทรงเก็บข้อมูลงานวิจัยเรื่องดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะผ่านกล้องโทรทรรศน์ทางไกลอัตโนมัติที่หอดูดาวเกาเหมยกู่ สาธารณรัฐประชาชนจีน จากนั้นทอดพระเนตรโครงการพัฒนาเครือข่ายดาราศาสตร์วิทยุและยีออเดซี โครงการบูรณาการระบบนิเวศและการอนุรักษ์ป่าไม้ หลังจากนั้น เสด็จพระราชดําเนินไปยังดาดฟ้าของอาคารควบคุม ชั้น 3 เพื่อทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้าผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก เช่น กาแล็กซีแอนโดรเมดา ดาวอังคาร เนบิวลานายพราน กระจุกดาวคู่ กระจุกดาวลูกไก่ และเสด็จพระราชดําเนินเข้าภายในหอดูดาว ทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้าด้วยตาเปล่าผ่านช่องมองภาพ (Eyepiece) ของกล้องโทรทรรศน์ขนาด 2.4 เมตร เช่น ดาวยูเรนัส ดาวไรเจล เนบิวลาคลีโอพัตรา เนบิวลานายพราน ฯลฯ จากนั้น เสด็จพระราชดําเนินไปยังอาคารควบคุม ชั้น 1 ทอดพระเนตรโครงงานวิจัยดาราศาสตร์ระดับโรงเรียน จํานวน 6 โครงงาน จากโรงเรียนแกน้อยศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ โรงเรียนศรีสวัสดิ์วิทยาคาร จังหวัดน่าน โรงเรียนหนองบัวแดงวิทยา จังหวัดชัยภูมิ โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย มุกดาหาร จํานวน 2 โครงงาน และโรงเรียนสาธิต “พิบูลย์บําเพ็ญ” มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี ที่มา : กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร.1313
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1127
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ผนึกกำลัง อสม. เคาะประตูบ้านรณรงค์สงกรานต์แห้ง ห่างไกลโควิด-19
วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563 สธ. ผนึกกําลัง อสม. เคาะประตูบ้านรณรงค์สงกรานต์แห้ง ห่างไกลโควิด-19 สธ. ผนึกกําลัง อสม. เคาะประตูบ้านรณรงค์สงกรานต์แห้ง ห่างไกลโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข ผนึกกําลัง อสม. รณรงค์สงกรานต์ไทย ปลอดภัยจากโควิด-19 เน้นอวยพรออนไลน์ ไม่รดน้ําดําหัวผู้ใหญ่ กราบไหว้ผู้สูงอายุต้องห่าง 1-2 เมตร กระตุ้นคนไทยการ์ดไม่ตก ใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ เตรียมมอบ 8 หมื่นกรมธรรม์คุ้มครอง อสม. พร้อมประสานเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนสนับสนุนภารกิจสู้ภัยโควิด-19 บ่ายวันนี้ (12 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดเผยว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านหรือ อสม. 1,040,000 คน และอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร หรือ อสส. 15,000 คน มีบทบาทสําคัญในการณรงค์และป้องกันการระบาดของโรคโควิด19 เป็นอย่างมาก ทั้งจากโครงการ “อสม. เคาะประตูบ้านต้านโควิด-19” ที่ดําเนินการระหว่างวันที่ 2-26 มีนาคม 2563 ที่ให้ความรู้ คัดแยก กลุ่มเสี่ยง ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตาม และโครงการ “ค้นให้พบ จบใน 14 วัน” เริ่มวันที่ 27 มีนาคม จนถึงวันที่ 2 เมษายน 2563 อสม.ได้บุกเคาะประตูบ้านไปแล้ว 11,835,329 หลังคาเรือน โดยในช่วงติดตามตัว 14 วัน อสม.สามารถเฝ้าระวังคัดกรองกลุ่มเสี่ยงที่กลับจากต่างประเทศได้ 59,559 คน กลุ่มที่กลับจากกทม./ปริมณฑลได้ 466,045 คน กลุ่มไปร่วม/ใกล้ชิดคนในพื้นที่เสี่ยงอีก 139,378 คน ส่วนภารกิจเยี่ยมติดตามกลุ่มเสี่ยงที่บ้านอยู่ระหว่างดําเนินการ แบ่งเป็นกลุ่มที่กักตัวครบ 14 วันแล้ว 263,044 คน และยังไม่ครบ 14 วันอีก 369,319 คน นอกจากนี้ ยังส่งต่อกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการป่วยเข้าระบบการรักษาอีก 2,266 คน ถือว่าเป็นด่านหน้าในการเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง และเป็นบทบาทภาคประชาชนของคนเล็กๆที่ร่วมทําภารกิจที่ยิ่งใหญ่ให้กับประเทศในครั้งนี้ด้วย สําหรับในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ อสม. จะเข้ามามีบทบาทสําคัญอีกครั้งในโครงการ “อสม.ร่วมใจ รณรงค์สงกรานต์ไทยปลอดภัยจากโควิด-19” โดยจะบุกเคาะประตูบ้านทุกครัวเรือน เน้นย้ําความสําคัญมาตรการการเว้นระยะห่างหรือ Social Distancing งดการจัดเทศกาลสงกรานต์และเดินทางกลับภูมิลําเนา งดรดน้ําดําหัว พร้อมรณรงค์สืบสานประเพณีด้วยการสรงน้ําพระที่บ้าน แสดงความกตัญญูต่อญาติผู้ใหญ่ด้วยวิธีออนไลน์ และหากจําเป็นต้องเจอกันได้เน้นย้ําการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร ทั้งนี้ เพื่อสร้างขวัญกําลังใจแก่ อสม. กระทรวงสาธารณสุขเตรียมหารือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) และบริษัททิพยประกันภัย เพื่อมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้ อสม. จํานวน 80,000 ฉบับ เพื่อดูแล อสม. เพิ่มเติมจากสิทธิที่ได้รับตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่เพิ่มจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ให้บริการที่ได้รับความเสียหายกรณี โควิด-19 เป็น 2 เท่าจากเดิม นายแพทย์ธเรศ กล่าวต่อว่า ในด้านความพร้อมของโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายสถานพยาบาลเอกชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ระดมทรัพยากรที่มีเข้ามาช่วย ขณะนี้ในกทม.มีเตียงรองรับผู้ป่วยในทุกเครือข่าย จํานวน 1,973 เตียง เฉพาะโรงพยาบาลเอกชน 1,040 เตียง คิดเป็นร้อยละ 52.7 และมีผู้ป่วยประมาณ 333 ราย ที่รักษาตัวอยู่กับโรงพยาบาลเอกชน คิดเป็นร้อยละ 49 ของจํานวนผู้ป่วย และยังมีแผนเตรียมห้องผู้ป่วยความดันลบอีกกว่า 40 เตียงเพื่อสนับสนุนภาครัฐ “จะเห็นว่าทั้งภาคประชาชนในบทบาท อสม. ภาคเอกชนในเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน และภาคธุรกิจโรงแรมที่เข้ามาช่วยเรื่อง Hospitel เมื่อระดมความร่วมมือเข้าด้วยกัน จะเป็นแรงสนับสนุนสําคัญในภารกิจควบคุมและรักษาโรคโควิด-19 ครั้งนี้ให้สําเร็จไปด้วยกัน ” นายแพทย์ธเรศกล่าว **************************************12 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ผนึกกำลัง อสม. เคาะประตูบ้านรณรงค์สงกรานต์แห้ง ห่างไกลโควิด-19 วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563 สธ. ผนึกกําลัง อสม. เคาะประตูบ้านรณรงค์สงกรานต์แห้ง ห่างไกลโควิด-19 สธ. ผนึกกําลัง อสม. เคาะประตูบ้านรณรงค์สงกรานต์แห้ง ห่างไกลโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข ผนึกกําลัง อสม. รณรงค์สงกรานต์ไทย ปลอดภัยจากโควิด-19 เน้นอวยพรออนไลน์ ไม่รดน้ําดําหัวผู้ใหญ่ กราบไหว้ผู้สูงอายุต้องห่าง 1-2 เมตร กระตุ้นคนไทยการ์ดไม่ตก ใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ เตรียมมอบ 8 หมื่นกรมธรรม์คุ้มครอง อสม. พร้อมประสานเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนสนับสนุนภารกิจสู้ภัยโควิด-19 บ่ายวันนี้ (12 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดเผยว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านหรือ อสม. 1,040,000 คน และอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร หรือ อสส. 15,000 คน มีบทบาทสําคัญในการณรงค์และป้องกันการระบาดของโรคโควิด19 เป็นอย่างมาก ทั้งจากโครงการ “อสม. เคาะประตูบ้านต้านโควิด-19” ที่ดําเนินการระหว่างวันที่ 2-26 มีนาคม 2563 ที่ให้ความรู้ คัดแยก กลุ่มเสี่ยง ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตาม และโครงการ “ค้นให้พบ จบใน 14 วัน” เริ่มวันที่ 27 มีนาคม จนถึงวันที่ 2 เมษายน 2563 อสม.ได้บุกเคาะประตูบ้านไปแล้ว 11,835,329 หลังคาเรือน โดยในช่วงติดตามตัว 14 วัน อสม.สามารถเฝ้าระวังคัดกรองกลุ่มเสี่ยงที่กลับจากต่างประเทศได้ 59,559 คน กลุ่มที่กลับจากกทม./ปริมณฑลได้ 466,045 คน กลุ่มไปร่วม/ใกล้ชิดคนในพื้นที่เสี่ยงอีก 139,378 คน ส่วนภารกิจเยี่ยมติดตามกลุ่มเสี่ยงที่บ้านอยู่ระหว่างดําเนินการ แบ่งเป็นกลุ่มที่กักตัวครบ 14 วันแล้ว 263,044 คน และยังไม่ครบ 14 วันอีก 369,319 คน นอกจากนี้ ยังส่งต่อกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการป่วยเข้าระบบการรักษาอีก 2,266 คน ถือว่าเป็นด่านหน้าในการเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง และเป็นบทบาทภาคประชาชนของคนเล็กๆที่ร่วมทําภารกิจที่ยิ่งใหญ่ให้กับประเทศในครั้งนี้ด้วย สําหรับในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ อสม. จะเข้ามามีบทบาทสําคัญอีกครั้งในโครงการ “อสม.ร่วมใจ รณรงค์สงกรานต์ไทยปลอดภัยจากโควิด-19” โดยจะบุกเคาะประตูบ้านทุกครัวเรือน เน้นย้ําความสําคัญมาตรการการเว้นระยะห่างหรือ Social Distancing งดการจัดเทศกาลสงกรานต์และเดินทางกลับภูมิลําเนา งดรดน้ําดําหัว พร้อมรณรงค์สืบสานประเพณีด้วยการสรงน้ําพระที่บ้าน แสดงความกตัญญูต่อญาติผู้ใหญ่ด้วยวิธีออนไลน์ และหากจําเป็นต้องเจอกันได้เน้นย้ําการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร ทั้งนี้ เพื่อสร้างขวัญกําลังใจแก่ อสม. กระทรวงสาธารณสุขเตรียมหารือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) และบริษัททิพยประกันภัย เพื่อมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้ อสม. จํานวน 80,000 ฉบับ เพื่อดูแล อสม. เพิ่มเติมจากสิทธิที่ได้รับตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่เพิ่มจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ให้บริการที่ได้รับความเสียหายกรณี โควิด-19 เป็น 2 เท่าจากเดิม นายแพทย์ธเรศ กล่าวต่อว่า ในด้านความพร้อมของโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายสถานพยาบาลเอกชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ระดมทรัพยากรที่มีเข้ามาช่วย ขณะนี้ในกทม.มีเตียงรองรับผู้ป่วยในทุกเครือข่าย จํานวน 1,973 เตียง เฉพาะโรงพยาบาลเอกชน 1,040 เตียง คิดเป็นร้อยละ 52.7 และมีผู้ป่วยประมาณ 333 ราย ที่รักษาตัวอยู่กับโรงพยาบาลเอกชน คิดเป็นร้อยละ 49 ของจํานวนผู้ป่วย และยังมีแผนเตรียมห้องผู้ป่วยความดันลบอีกกว่า 40 เตียงเพื่อสนับสนุนภาครัฐ “จะเห็นว่าทั้งภาคประชาชนในบทบาท อสม. ภาคเอกชนในเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน และภาคธุรกิจโรงแรมที่เข้ามาช่วยเรื่อง Hospitel เมื่อระดมความร่วมมือเข้าด้วยกัน จะเป็นแรงสนับสนุนสําคัญในภารกิจควบคุมและรักษาโรคโควิด-19 ครั้งนี้ให้สําเร็จไปด้วยกัน ” นายแพทย์ธเรศกล่าว **************************************12 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28889
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย เปิดตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตลอดเทศกาลสงกรานต์ บูรณาการทุกหน่วยงาน พร้อมอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนทุกที่ ทุกเวลา
วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561 ศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย เปิดตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตลอดเทศกาลสงกรานต์ บูรณาการทุกหน่วยงาน พร้อมอํานวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนทุกที่ ทุกเวลา ศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย เปิดตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตลอดเทศกาลสงกรานต์ บูรณาการทุกหน่วยงาน พร้อมอํานวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนทุกที่ ทุกเวลา วันนี้ (10 เม.ย.61)ที่กระทรวงมหาดไทยนายนิสิตจันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 12- 16เมษายน 2561เป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือเป็นเทศกาลปีใหม่ไทยซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลําเนาหรือเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ เป็นจํานวนมากอาจมีปัญหาหรือความเดือดร้อนที่ต้องการขอความช่วยเหลือดังนั้น เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกและให้บริการด้านต่างๆ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนแก่ประชาชนในช่วงเวลาดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยจึงสั่งการให้ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดและอําเภอทั่วประเทศเปิดให้บริการศูนย์บริการร่วม/บริการเบ็ดเสร็จ (one stop service)ในระหว่างวันที่12- 16 เมษายน2561 และจัดเจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์เพื่อบริการประชาชนตลอด24ชั่วโมง ตั้งแต่คืนวันที่ 11 เมษายนเป็นต้นไป เพื่อให้บริการประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะการอํานวยความสะดวกสําหรับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่อาจต้องการคําแนะนํา ความช่วยเหลือต่างๆ ผ่านสายด่วน1567และApplication SPONDตลอด24ชั่วโมง ในส่วนของงานบริการที่เปิดให้บริการแก่ประชาชน เช่น งานทะเบียนและบัตรประจําตัวประชาชน บริการรับชําระค่าสาธารณูปโภค รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน น้ําไม่ไหล ไฟฟ้าดับ ไฟฟ้าลัดวงจร รวมทั้งได้ประสานสํานักงานขนส่งจังหวัด เพื่อให้บริการทางทะเบียนรถยนต์อีกด้วย - ด้านงานให้บริการข้อมูลข่าวสารได้มีการจัดเตรียมให้คําแนะนําข้อมูลต่างๆ ที่จําเป็น เช่น ที่ตั้งหน่วย/จุดให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว โรงพยาบาลรัฐ/เอกชนที่ตั้งบนถนนสายหลัก/สายรองในพื้นที่จังหวัด และหมายเลขโทรศัพท์หน่วยงาน/องค์กร และเบอร์สายด่วนต่าง ๆ - ด้านการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน ได้ประสานกับส่วนราชการ วิทยาลัยอาชีวศึกษา มูลนิธิ อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นในกรณีที่พี่น้องประชาชนประสบเหตุฉุกเฉิน เช่น รถเสีย ยางแตก ซ่อมแซมรถ เปลี่ยนยาง และหากมีเหตุฉุกเฉินจําเป็นที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จะมีการสนธิกําลังชุดเคลื่อนที่เร็วเข้าระงับเหตุและแก้ไขปัญหาถึงพื้นที่เกิดเหตุโดยเร่งด่วนอย่างช้าไม่เกิน30นาที - สําหรับกรณีการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ ในช่วงเวลาดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดแนวทางปฏิบัติว่า หากประชาชนได้ร้องเรียนร้องทุกข์เข้ามา และเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนไม่ขัดต่อระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เน้นย้ําการดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน24ชั่วโมง แต่หากเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยาก เกี่ยวข้องกับภารกิจของหลายหน่วยงานต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องและเรียกประชุมหารือส่วนราชการเพื่อดําเนินการแก้ไขปัญหาภายใน7วัน รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด/อําเภอ และศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย พร้อมให้บริการพี่น้องประชาชนในทุกด้านตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งคาดว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ จะมีพี่น้องประชาชนเข้าใช้บริการเป็นจํานวนมากเช่นเดียวกันกับปีก่อน ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถติดต่อศูนย์ดํารงธรรมทางสายด่วน1567และApplication SPONDได้ตลอด24ชั่วโมง. ครั้งที่ 81/2561 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย เปิดตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตลอดเทศกาลสงกรานต์ บูรณาการทุกหน่วยงาน พร้อมอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนทุกที่ ทุกเวลา วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561 ศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย เปิดตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตลอดเทศกาลสงกรานต์ บูรณาการทุกหน่วยงาน พร้อมอํานวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนทุกที่ ทุกเวลา ศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย เปิดตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตลอดเทศกาลสงกรานต์ บูรณาการทุกหน่วยงาน พร้อมอํานวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนทุกที่ ทุกเวลา วันนี้ (10 เม.ย.61)ที่กระทรวงมหาดไทยนายนิสิตจันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 12- 16เมษายน 2561เป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือเป็นเทศกาลปีใหม่ไทยซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลําเนาหรือเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ เป็นจํานวนมากอาจมีปัญหาหรือความเดือดร้อนที่ต้องการขอความช่วยเหลือดังนั้น เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกและให้บริการด้านต่างๆ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนแก่ประชาชนในช่วงเวลาดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยจึงสั่งการให้ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดและอําเภอทั่วประเทศเปิดให้บริการศูนย์บริการร่วม/บริการเบ็ดเสร็จ (one stop service)ในระหว่างวันที่12- 16 เมษายน2561 และจัดเจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์เพื่อบริการประชาชนตลอด24ชั่วโมง ตั้งแต่คืนวันที่ 11 เมษายนเป็นต้นไป เพื่อให้บริการประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะการอํานวยความสะดวกสําหรับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่อาจต้องการคําแนะนํา ความช่วยเหลือต่างๆ ผ่านสายด่วน1567และApplication SPONDตลอด24ชั่วโมง ในส่วนของงานบริการที่เปิดให้บริการแก่ประชาชน เช่น งานทะเบียนและบัตรประจําตัวประชาชน บริการรับชําระค่าสาธารณูปโภค รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน น้ําไม่ไหล ไฟฟ้าดับ ไฟฟ้าลัดวงจร รวมทั้งได้ประสานสํานักงานขนส่งจังหวัด เพื่อให้บริการทางทะเบียนรถยนต์อีกด้วย - ด้านงานให้บริการข้อมูลข่าวสารได้มีการจัดเตรียมให้คําแนะนําข้อมูลต่างๆ ที่จําเป็น เช่น ที่ตั้งหน่วย/จุดให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว โรงพยาบาลรัฐ/เอกชนที่ตั้งบนถนนสายหลัก/สายรองในพื้นที่จังหวัด และหมายเลขโทรศัพท์หน่วยงาน/องค์กร และเบอร์สายด่วนต่าง ๆ - ด้านการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน ได้ประสานกับส่วนราชการ วิทยาลัยอาชีวศึกษา มูลนิธิ อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นในกรณีที่พี่น้องประชาชนประสบเหตุฉุกเฉิน เช่น รถเสีย ยางแตก ซ่อมแซมรถ เปลี่ยนยาง และหากมีเหตุฉุกเฉินจําเป็นที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จะมีการสนธิกําลังชุดเคลื่อนที่เร็วเข้าระงับเหตุและแก้ไขปัญหาถึงพื้นที่เกิดเหตุโดยเร่งด่วนอย่างช้าไม่เกิน30นาที - สําหรับกรณีการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ ในช่วงเวลาดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดแนวทางปฏิบัติว่า หากประชาชนได้ร้องเรียนร้องทุกข์เข้ามา และเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนไม่ขัดต่อระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เน้นย้ําการดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน24ชั่วโมง แต่หากเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยาก เกี่ยวข้องกับภารกิจของหลายหน่วยงานต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องและเรียกประชุมหารือส่วนราชการเพื่อดําเนินการแก้ไขปัญหาภายใน7วัน รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด/อําเภอ และศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย พร้อมให้บริการพี่น้องประชาชนในทุกด้านตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งคาดว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ จะมีพี่น้องประชาชนเข้าใช้บริการเป็นจํานวนมากเช่นเดียวกันกับปีก่อน ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถติดต่อศูนย์ดํารงธรรมทางสายด่วน1567และApplication SPONDได้ตลอด24ชั่วโมง. ครั้งที่ 81/2561 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11439
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พบปะนักเรียน รร.มัธยมวัดดุสิตาราม
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560 พบปะนักเรียน รร.มัธยมวัดดุสิตาราม ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะสนทนากับคณาจารย์และลูกหลานนักเรียนโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม เพื่อร่วมขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม เมื่อวันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560 ในช่วงเวลาหลังเคารพธงชาติ (เวลา 8.00-8.45 น.) ณ บริเวณสนามหน้าเสาธง โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม โดยมีนายนโรดม นรินทร์รัมย์ ผู้อํานวยการโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม, พระครูวิบูลย์ธรรมสุนทร รองเจ้าอาวาสวัดดุสิตาราม, ครูอาจารย์, นักศึกษาฝึกสอน และนักเรียน เข้าร่วมรับฟัง ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวตอนหนึ่งว่า การมาพบปะกับผู้บริหาร ครูอาจารย์ และนักเรียนโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตารามในครั้งนี้ เพื่อขอความร่วมมืออาจารย์ พ่อแม่ผู้ปกครอง นักศึกษาฝึกสอน และลูกหลานนักเรียน ช่วยกันขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม ซึ่งมีตัวชี้วัด 5 เรื่องที่สําคัญ คือ 1) ความพอเพียง 2) ความกตัญญู 3) ความซื่อสัตย์สุจริต 4) ความรับผิดชอบ 5) อุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม นอกจากนี้ นักเรียนต้องมีความเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวงต่อประชาชนคนไทย ทําให้พสกนิกรแคล้วคลาดจากภยันตรายต่าง ๆ จํานวนมากในช่วง 70 ปี ตลอดรัชสมัย โดยทั้งสองพระองค์ทรงงานหนักและทรงตรากตรําอย่างมาก อาทิ ทรงพระราชทานโครงการหลวง โครงการในพระราชดําริ โครงการฝนเทียม เป็นต้น ดังนั้น การช่วยกันขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม จึงเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ปวงชนชาวไทยสามารถร่วมกันดําเนินการ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อให้พระองค์ทรงสถิตเสถียรอยู่ในดวงใจของปวงชนชาวไทยตลอดไป อีกทั้งเป็นการถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถด้วย ม.ล.ปนัดดา ได้กล่าวฝากให้ลูกหลานนักเรียนอย่าลืมเอกลักษณ์ของชนชาติไทย ด้วยการดํารงไว้ซึ่งความรักและความเคารพที่มีต่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ ต้องไม่ลืมความเป็นชาติและความภาคภูมิใจในความเป็นเอกราชที่เราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร อีกทั้งสถานศึกษาควรเร่งส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาต่างประเทศ และภาษาเพื่อนบ้าน ซึ่งได้เน้นย้ําถึงการพูดภาษาต่างประเทศให้ถูกต้องและไพเราะ ตลอดจนมีสอนให้เด็กมีสติในการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ กล่าวคือ ต้องรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก และอะไรที่ควรกระทําหรือไม่ควรกระทํา เนื่องจากในสังคมปัจจุบันมีเรื่องต่าง ๆ ที่น่าหนักใจจํานวนมาก กระทรวงศึกษาธิการจึงได้นํานโยบายโรงเรียนคุณธรรมมาเผยแพร่ให้สถานศึกษาร่วมกันขับเคลื่อน เพื่อปลูกฝังความมีคุณธรรมจริยธรรมให้ลูกหลานนักเรียนตั้งแต่ในวัยเรียน ซึ่งขณะนี้ได้รับการขานรับอย่างดีจากสถานศึกษาในทุกสังกัด "โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม"จัดตั้งขึ้นเมื่อ 5 มิถุนายน พ.ศ.2504 สังกัดกองการศึกษา กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นโรงเรียนสหศึกษาขนาดใหญ่ เปิดทําการสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-7 ต่อมาในปี พ.ศ.2519 โรงเรียนได้โอนจากกองการประถมศึกษามาสังกัดกองการมัธยมศึกษา กรมสามัญศึกษา โดยเปิดทําการสอนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 (ม.ศ.1) ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.ศ.3) สังกัดกองการมัธยมศึกษา จากนั้นในปี พ.ศ. 2521 ได้เปิดทําการสอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (ม.1) ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.3) ตลอดจนปี พ.ศ.2526 กรมสามัญศึกษาอนุมัติให้โรงเรียนเปิดทําการสอนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายคือ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 อย่างเต็มรูปแบบ จํานวน 42 ห้องเรียน และเปิดทําการสอนการศึกษาผู้ใหญ่ ปัจจุบันเป็นสถานศึกษาสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ปรัชญาโรงเรียน:(อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ) ความเพียรควรทําเสียแต่วันนี้ คําขวัญ อุดมการณ์ของโรงเรียน:ประพฤติดี มีวินัย ใฝ่ศึกษา รักษาคุณธรรม สีประจําโรงเรียน:สีฟ้า-ขาว โดยสีฟ้าคือ สีแห่งความดีงาม ความสูงส่งดุจท้องฟ้าซึ่งห่อหุ้มพื้นพิภพของเราไว้ และสีขาวคือ สีแห่งความสะอาดบริสุทธิ์แห่งพุทธศาสนาเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าโรงเรียนตั้งขึ้นได้อาศัยบวร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พบปะนักเรียน รร.มัธยมวัดดุสิตาราม วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560 พบปะนักเรียน รร.มัธยมวัดดุสิตาราม ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะสนทนากับคณาจารย์และลูกหลานนักเรียนโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม เพื่อร่วมขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม เมื่อวันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560 ในช่วงเวลาหลังเคารพธงชาติ (เวลา 8.00-8.45 น.) ณ บริเวณสนามหน้าเสาธง โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม โดยมีนายนโรดม นรินทร์รัมย์ ผู้อํานวยการโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม, พระครูวิบูลย์ธรรมสุนทร รองเจ้าอาวาสวัดดุสิตาราม, ครูอาจารย์, นักศึกษาฝึกสอน และนักเรียน เข้าร่วมรับฟัง ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวตอนหนึ่งว่า การมาพบปะกับผู้บริหาร ครูอาจารย์ และนักเรียนโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตารามในครั้งนี้ เพื่อขอความร่วมมืออาจารย์ พ่อแม่ผู้ปกครอง นักศึกษาฝึกสอน และลูกหลานนักเรียน ช่วยกันขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม ซึ่งมีตัวชี้วัด 5 เรื่องที่สําคัญ คือ 1) ความพอเพียง 2) ความกตัญญู 3) ความซื่อสัตย์สุจริต 4) ความรับผิดชอบ 5) อุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม นอกจากนี้ นักเรียนต้องมีความเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวงต่อประชาชนคนไทย ทําให้พสกนิกรแคล้วคลาดจากภยันตรายต่าง ๆ จํานวนมากในช่วง 70 ปี ตลอดรัชสมัย โดยทั้งสองพระองค์ทรงงานหนักและทรงตรากตรําอย่างมาก อาทิ ทรงพระราชทานโครงการหลวง โครงการในพระราชดําริ โครงการฝนเทียม เป็นต้น ดังนั้น การช่วยกันขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม จึงเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ปวงชนชาวไทยสามารถร่วมกันดําเนินการ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อให้พระองค์ทรงสถิตเสถียรอยู่ในดวงใจของปวงชนชาวไทยตลอดไป อีกทั้งเป็นการถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถด้วย ม.ล.ปนัดดา ได้กล่าวฝากให้ลูกหลานนักเรียนอย่าลืมเอกลักษณ์ของชนชาติไทย ด้วยการดํารงไว้ซึ่งความรักและความเคารพที่มีต่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ ต้องไม่ลืมความเป็นชาติและความภาคภูมิใจในความเป็นเอกราชที่เราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร อีกทั้งสถานศึกษาควรเร่งส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาต่างประเทศ และภาษาเพื่อนบ้าน ซึ่งได้เน้นย้ําถึงการพูดภาษาต่างประเทศให้ถูกต้องและไพเราะ ตลอดจนมีสอนให้เด็กมีสติในการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ กล่าวคือ ต้องรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก และอะไรที่ควรกระทําหรือไม่ควรกระทํา เนื่องจากในสังคมปัจจุบันมีเรื่องต่าง ๆ ที่น่าหนักใจจํานวนมาก กระทรวงศึกษาธิการจึงได้นํานโยบายโรงเรียนคุณธรรมมาเผยแพร่ให้สถานศึกษาร่วมกันขับเคลื่อน เพื่อปลูกฝังความมีคุณธรรมจริยธรรมให้ลูกหลานนักเรียนตั้งแต่ในวัยเรียน ซึ่งขณะนี้ได้รับการขานรับอย่างดีจากสถานศึกษาในทุกสังกัด "โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม"จัดตั้งขึ้นเมื่อ 5 มิถุนายน พ.ศ.2504 สังกัดกองการศึกษา กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นโรงเรียนสหศึกษาขนาดใหญ่ เปิดทําการสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-7 ต่อมาในปี พ.ศ.2519 โรงเรียนได้โอนจากกองการประถมศึกษามาสังกัดกองการมัธยมศึกษา กรมสามัญศึกษา โดยเปิดทําการสอนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 (ม.ศ.1) ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.ศ.3) สังกัดกองการมัธยมศึกษา จากนั้นในปี พ.ศ. 2521 ได้เปิดทําการสอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (ม.1) ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.3) ตลอดจนปี พ.ศ.2526 กรมสามัญศึกษาอนุมัติให้โรงเรียนเปิดทําการสอนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายคือ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 อย่างเต็มรูปแบบ จํานวน 42 ห้องเรียน และเปิดทําการสอนการศึกษาผู้ใหญ่ ปัจจุบันเป็นสถานศึกษาสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ปรัชญาโรงเรียน:(อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ) ความเพียรควรทําเสียแต่วันนี้ คําขวัญ อุดมการณ์ของโรงเรียน:ประพฤติดี มีวินัย ใฝ่ศึกษา รักษาคุณธรรม สีประจําโรงเรียน:สีฟ้า-ขาว โดยสีฟ้าคือ สีแห่งความดีงาม ความสูงส่งดุจท้องฟ้าซึ่งห่อหุ้มพื้นพิภพของเราไว้ และสีขาวคือ สีแห่งความสะอาดบริสุทธิ์แห่งพุทธศาสนาเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าโรงเรียนตั้งขึ้นได้อาศัยบวร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4310
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ ส่งเสริมการเกษตรสมัยใหม่-ให้เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร พร้อมอนุมัติส่งเสริมลงทุน 28,000 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2560 นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ ส่งเสริมการเกษตรสมัยใหม่-ให้เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร พร้อมอนุมัติส่งเสริมลงทุน 28,000 ล้านบาท นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอส่งเสริมกิจการผลิตหรือให้บริการระบบเกษตรสมัยใหม่-ให้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร อนุมัติส่งเสริมลงทุน 3 กิจการใหญ่ มูลค่ากว่า 28,000 ล้านบาท วันนี้ (15 ก.ย.60) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ภายหลังการประชุม นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบนโยบายสําคัญภายใต้นโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ได้แก่ นโยบายยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่ โดยที่ประชุมเห็นชอบให้เปิดให้การส่งเสริมกิจการที่จะช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยคือ ธุรกิจที่นําเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือการออกแบบทางวิศวกรรมมาปรับเปลี่ยนการผลิตภาคเกษตรดั้งเดิมให้ทันสมัยขึ้น เช่น ระบบโรงเรือนอัจฉริยะ ระบบการควบคุมการใช้ทรัพยากร เช่น น้ํา ปุ๋ย และระบบตรวจจับหรือติดตามสภาพต่าง ๆ โดยผู้ให้บริการด้านนี้จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี นอกจากนี้ยังมีมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการภาคการเกษตรรายเดิมยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรไปสู่มาตรฐานสากล ที่ประเทศไทยมีผู้ได้รับการรับรองน้อย เช่น มาตรฐานการปฎิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) มาตรฐานระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร (ISO 22000) เป็นต้น เพื่อให้สินค้าเกษตรของไทยได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากลและสามารถขยายตลาดได้มากยิ่งขึ้น โดยจะให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปี ในวงเงินไม่เกินร้อยละ 50 ของเงินลงทุนที่ใช้ในการยกระดับมาตรฐานโดยกําหนดให้ยื่นคําขอรับส่งเสริมภายในสิ้นปี2563 พร้อมกับเห็นชอบนโยบายสนับสนุนการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์อัตโนมัติ สําหรับผู้ประกอบการรายเดิมหรือผู้ลงทุนใหม่ที่มีการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์อัตโนมัติจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในวงเงินไม่เกินร้อยละ 50 ของเงินลงทุนและเพื่อให้เป็นการสนับสนุนการใช้เครื่องจักรอุปกรณ์ในประเทศหากมีการใช้ของในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของมูลค่าเครื่องจักรทั้งหมดก็จะได้รับสิทธิเพิ่มจากเดิมจํากัดไม่เกินร้อยละ 50 มาเป็นไม่เกินร้อยละ 100 ทั้งนี้ มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพข้างต้น รวมถึงมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพโดยการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานทดแทน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การวิจัยพัฒนา กําหนดให้ยื่นคําขอรับส่งเสริมภายในสิ้นปี2563 นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนเพิ่มเติม โดยให้กิจการในกลุ่ม A1และA2 ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สูงสุด 8 ปี สามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการหากมีการลงทุนเพิ่มในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งขยายขอบเขตกิจการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งในปัจจุบันใช้ชื่อกิจการ “สถานฝึกฝนวิชาชีพ” ให้เปลี่ยนเป็น “กิจการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์” ซึ่งจะครอบคลุมเทรนนิ่งเซ็นเตอร์ และสถาบันการศึกษาภาคเอกชนด้วย พร้อมกันนี้ บอร์ดบีโอไออนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุนจํานวน 3 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 28,227 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. บริษัท ตันจง ซูบารุ ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) จํากัด ได้รับส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถยนต์ทั่วไปเงินลงทุนทั้งสิ้น 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง โดยบริษัทจะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์นั่งอเนกประสงค์รุ่นที่ใช้เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์และมีประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยสูงสุดของรถยนต์ซูบารุในประเทศไทย จากเดิมมีฐานการผลิตอยู่แล้วที่มาเลเซีย ได้ขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทย เนื่องจากเห็นโอกาสและการเติบโตด้านยอดขายทั้งในไทยและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริษัทจะใช้ชิ้นส่วนในประเทศ เช่น ถุงลมนิรภัย กระจก เบาะนั่ง เป็นต้น ซึ่งเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1,824 ล้านบาทต่อปี 2. นายเกียรติศักดิ์ เลิศศิริอมร ได้รับส่งเสริมการลงทุนในกิจการเขตอุตสาหกรรม เงินลงทุนทั้งสิ้น 20,476 ล้านบาท โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่ขนาด 9,832 ไร่ ตั้งอยู่ที่อําเภอบ้านบึง และอําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายในการพัฒนาบริเวณชายฝั่งตะวันออก (Eastern Seaboard) มีกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย คือ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมบริการสาธารณูปโภคหรืออุตสาหกรรมสนับสนุน และอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) รวมถึงพัฒนาให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ 3. บริษัท เอเชีย คอมโพสิต แมททีเรียล (ไทยแลนด์) จํากัด ขยายกิจการผลิตเส้นใยไฟเบอร์กลาส (Fiberglass Roving) เงินลงทุนทั้งสิ้น 2,751 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง โดยเส้นใยไฟเบอร์กลาสเป็นวัสดุเสริมแรงให้กับพลาสติกในการขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่นอกจากมีความแข็งแรง ยังเป็นฉนวนกันความร้อนซึ่งระหว่างปี 2558-2563 ความต้องการไฟเบอร์กลาสของตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 สําหรับผลิตภัณฑ์ตามโครงการนี้มีคุณสมบัติทนทานต่อการกัดกร่อนเหมาะสําหรับใช้ผลิตท่อที่ต้องการความแข็งแรงสูง หรือใช้ทอเป็นผืนผ้าทําเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงการนําไปผลิตใบพัดกังหันลมผลิตไฟฟ้า คาดว่าจะใช้วัตถุดิบในประเทศ เช่น แร่Pyrophyllite, Quartz sandและLimestoneมูลค่ากว่า 196 ล้านบาทต่อปี --------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ ส่งเสริมการเกษตรสมัยใหม่-ให้เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร พร้อมอนุมัติส่งเสริมลงทุน 28,000 ล้านบาท วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2560 นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ ส่งเสริมการเกษตรสมัยใหม่-ให้เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร พร้อมอนุมัติส่งเสริมลงทุน 28,000 ล้านบาท นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอส่งเสริมกิจการผลิตหรือให้บริการระบบเกษตรสมัยใหม่-ให้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร อนุมัติส่งเสริมลงทุน 3 กิจการใหญ่ มูลค่ากว่า 28,000 ล้านบาท วันนี้ (15 ก.ย.60) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ภายหลังการประชุม นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบนโยบายสําคัญภายใต้นโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ได้แก่ นโยบายยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่ โดยที่ประชุมเห็นชอบให้เปิดให้การส่งเสริมกิจการที่จะช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยคือ ธุรกิจที่นําเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือการออกแบบทางวิศวกรรมมาปรับเปลี่ยนการผลิตภาคเกษตรดั้งเดิมให้ทันสมัยขึ้น เช่น ระบบโรงเรือนอัจฉริยะ ระบบการควบคุมการใช้ทรัพยากร เช่น น้ํา ปุ๋ย และระบบตรวจจับหรือติดตามสภาพต่าง ๆ โดยผู้ให้บริการด้านนี้จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี นอกจากนี้ยังมีมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการภาคการเกษตรรายเดิมยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรไปสู่มาตรฐานสากล ที่ประเทศไทยมีผู้ได้รับการรับรองน้อย เช่น มาตรฐานการปฎิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) มาตรฐานระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร (ISO 22000) เป็นต้น เพื่อให้สินค้าเกษตรของไทยได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากลและสามารถขยายตลาดได้มากยิ่งขึ้น โดยจะให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปี ในวงเงินไม่เกินร้อยละ 50 ของเงินลงทุนที่ใช้ในการยกระดับมาตรฐานโดยกําหนดให้ยื่นคําขอรับส่งเสริมภายในสิ้นปี2563 พร้อมกับเห็นชอบนโยบายสนับสนุนการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์อัตโนมัติ สําหรับผู้ประกอบการรายเดิมหรือผู้ลงทุนใหม่ที่มีการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์อัตโนมัติจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในวงเงินไม่เกินร้อยละ 50 ของเงินลงทุนและเพื่อให้เป็นการสนับสนุนการใช้เครื่องจักรอุปกรณ์ในประเทศหากมีการใช้ของในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของมูลค่าเครื่องจักรทั้งหมดก็จะได้รับสิทธิเพิ่มจากเดิมจํากัดไม่เกินร้อยละ 50 มาเป็นไม่เกินร้อยละ 100 ทั้งนี้ มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพข้างต้น รวมถึงมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพโดยการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานทดแทน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การวิจัยพัฒนา กําหนดให้ยื่นคําขอรับส่งเสริมภายในสิ้นปี2563 นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนเพิ่มเติม โดยให้กิจการในกลุ่ม A1และA2 ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สูงสุด 8 ปี สามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการหากมีการลงทุนเพิ่มในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งขยายขอบเขตกิจการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งในปัจจุบันใช้ชื่อกิจการ “สถานฝึกฝนวิชาชีพ” ให้เปลี่ยนเป็น “กิจการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์” ซึ่งจะครอบคลุมเทรนนิ่งเซ็นเตอร์ และสถาบันการศึกษาภาคเอกชนด้วย พร้อมกันนี้ บอร์ดบีโอไออนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุนจํานวน 3 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 28,227 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. บริษัท ตันจง ซูบารุ ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) จํากัด ได้รับส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถยนต์ทั่วไปเงินลงทุนทั้งสิ้น 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง โดยบริษัทจะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์นั่งอเนกประสงค์รุ่นที่ใช้เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์และมีประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยสูงสุดของรถยนต์ซูบารุในประเทศไทย จากเดิมมีฐานการผลิตอยู่แล้วที่มาเลเซีย ได้ขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทย เนื่องจากเห็นโอกาสและการเติบโตด้านยอดขายทั้งในไทยและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริษัทจะใช้ชิ้นส่วนในประเทศ เช่น ถุงลมนิรภัย กระจก เบาะนั่ง เป็นต้น ซึ่งเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1,824 ล้านบาทต่อปี 2. นายเกียรติศักดิ์ เลิศศิริอมร ได้รับส่งเสริมการลงทุนในกิจการเขตอุตสาหกรรม เงินลงทุนทั้งสิ้น 20,476 ล้านบาท โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่ขนาด 9,832 ไร่ ตั้งอยู่ที่อําเภอบ้านบึง และอําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายในการพัฒนาบริเวณชายฝั่งตะวันออก (Eastern Seaboard) มีกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย คือ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมบริการสาธารณูปโภคหรืออุตสาหกรรมสนับสนุน และอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) รวมถึงพัฒนาให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ 3. บริษัท เอเชีย คอมโพสิต แมททีเรียล (ไทยแลนด์) จํากัด ขยายกิจการผลิตเส้นใยไฟเบอร์กลาส (Fiberglass Roving) เงินลงทุนทั้งสิ้น 2,751 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง โดยเส้นใยไฟเบอร์กลาสเป็นวัสดุเสริมแรงให้กับพลาสติกในการขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่นอกจากมีความแข็งแรง ยังเป็นฉนวนกันความร้อนซึ่งระหว่างปี 2558-2563 ความต้องการไฟเบอร์กลาสของตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 สําหรับผลิตภัณฑ์ตามโครงการนี้มีคุณสมบัติทนทานต่อการกัดกร่อนเหมาะสําหรับใช้ผลิตท่อที่ต้องการความแข็งแรงสูง หรือใช้ทอเป็นผืนผ้าทําเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงการนําไปผลิตใบพัดกังหันลมผลิตไฟฟ้า คาดว่าจะใช้วัตถุดิบในประเทศ เช่น แร่Pyrophyllite, Quartz sandและLimestoneมูลค่ากว่า 196 ล้านบาทต่อปี --------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6722
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กกจ. เผยยอดหางาน ช่วงโควิด
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 ​กกจ. เผยยอดหางาน ช่วงโควิด นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย การให้บริการจัดหางานช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (เมษายน-พฤษภาคม 2563) มีประชาชนใช้บริการจัดหางานของกรมการจัดหางาน รวม 52,339 คน เป็นการใช้บริการที่ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) หรือสํานักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ 37,456 คน และใช้บริการสมัครงานผ่านเว็บไซต์ 14,883 คน สามารถทําให้คนไทยมีงานทําแล้ว รวม 29,704 คน เป็นการบรรจุงานให้กับผู้ใช้บริการที่ศูนย์ฯ 26,319 คน และผู้ใช้บริการผ่านเว็บไซต์ 3,385 คน ตลอดจนให้คําปรึกษา แนะแนวอาชีพ และแนะนําการประกอบอาชีพอิสระ ขณะเดียวกัน ได้เดินหน้าปรับปรุงระบบขึ้นทะเบียนและรายงานตัวผู้ประกันตนกรณีว่างงานผ่านอินเตอร์เน็ต (Empui) เพื่อรองรับความต้องการสมัครงานของผู้ประกันตนกรณีว่างงาน โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ Smartjob เพื่อทําการจับคู่ข้อมูล(Matching) ตําแหน่งงานว่างกับผู้ประกันตนกรณีว่างงานที่ต้องการหางานในระบบ ให้เกิดการจ้างงานได้มากที่สุด สําหรับ ประชาชนที่ต้องการหางานทํา กรมการจัดหางานมีช่องทางการให้บริการหลายช่องทาง คือ ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) หรือทางเว็บไซต์ smartjob.doe.go.th นอกจากนี้ ยังสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กกจ. เผยยอดหางาน ช่วงโควิด วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 ​กกจ. เผยยอดหางาน ช่วงโควิด นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย การให้บริการจัดหางานช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (เมษายน-พฤษภาคม 2563) มีประชาชนใช้บริการจัดหางานของกรมการจัดหางาน รวม 52,339 คน เป็นการใช้บริการที่ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) หรือสํานักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ 37,456 คน และใช้บริการสมัครงานผ่านเว็บไซต์ 14,883 คน สามารถทําให้คนไทยมีงานทําแล้ว รวม 29,704 คน เป็นการบรรจุงานให้กับผู้ใช้บริการที่ศูนย์ฯ 26,319 คน และผู้ใช้บริการผ่านเว็บไซต์ 3,385 คน ตลอดจนให้คําปรึกษา แนะแนวอาชีพ และแนะนําการประกอบอาชีพอิสระ ขณะเดียวกัน ได้เดินหน้าปรับปรุงระบบขึ้นทะเบียนและรายงานตัวผู้ประกันตนกรณีว่างงานผ่านอินเตอร์เน็ต (Empui) เพื่อรองรับความต้องการสมัครงานของผู้ประกันตนกรณีว่างงาน โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ Smartjob เพื่อทําการจับคู่ข้อมูล(Matching) ตําแหน่งงานว่างกับผู้ประกันตนกรณีว่างงานที่ต้องการหางานในระบบ ให้เกิดการจ้างงานได้มากที่สุด สําหรับ ประชาชนที่ต้องการหางานทํา กรมการจัดหางานมีช่องทางการให้บริการหลายช่องทาง คือ ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) หรือทางเว็บไซต์ smartjob.doe.go.th นอกจากนี้ ยังสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31582
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยขานรับวิกฤตโลกร้อนกระทบความมั่นคงอาหาร จับมือ เอฟ เอ โอ และ จ.เชียงราย จัดงาน “วันอาหารโลก”ระดับประเทศปี 59 ปลายเดือนนี้ เน้นขยายผลโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน 2559 ไทยขานรับวิกฤตโลกร้อนกระทบความมั่นคงอาหาร จับมือ เอฟ เอ โอ และ จ.เชียงราย จัดงาน “วันอาหารโลก”ระดับประเทศปี 59 ปลายเดือนนี้ เน้นขยายผลโครงการพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ไทยขานรับวิกฤตโลกร้อนกระทบความมั่นคงอาหาร จับมือ เอฟ เอ โอ และ จ.เชียงราย จัดงาน “วันอาหารโลก”ระดับประเทศปี 59 พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟ เอ โอ กําหนดให้วันที่ 16 ตุลาคมของทุกปี เป็น “วันอาหารโลก” และเชิญชวนประเทศสมาชิก 194 ประเทศทั่วโลก ร่วมจัดงานเฉลิมฉลองเป็นประจําทุกปี เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาและต่อสู้กับความยากจน โดยกําหนดจัดงาน เป็น 3 ระดับ คือ 1) ระดับโลก จัดที่สํานักงานใหญ่ FAO กรุงโรม เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 59 2) ระดับภูมิภาค ซึ่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก จัดขึ้นที่สํานักงาน FAO กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 59 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จเป็นองค์ประธาน และ 3) การจัดในแต่ละประเทศ โดยในปีนี้กําหนดจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 24 - 27 พฤศจิกายน 2559 ณ จ. เชียงราย ทั้งนี้ การจัดงานวันอาหารโลกในปี 2559 ในแต่ละระดับข้างต้นจะอยู่ภายใต้หัวข้อ “สภาพภูมิอากาศกําลังเปลี่ยนแปลง : อาหารและการเกษ­­ตรต้องเปลี่ยนแปลงด้วย” เพื่อเน้นถึงความสําคัญของการปรับเปลี่ยนวิถีทําการเกษตรและการบริโภคอาหาร ในการลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม/ภูมิอากาศ ลดความยากจนและเพิ่มการเข้าถึงอาหาร ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ค.ศ. 2030 ในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านป่าไม้ การเกษตร การจัดการด้านปศุสัตว์ ลดการสูญเสียอาหาร ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า ลดการทําประมงเกินขนาด หรือเครื่องมือทําลายล้าง รวมถึงปรับระบบผลิตอาหาร การแปรรูป และการขนส่ง เพื่อลดผลกระทบต่อภาวะภูมิอากาศ สําหรับการจัดงานวันอาหารโลกระดับประเทศ ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 24 - 27 พ.ย.2559 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS อ. เมือง จ. เชียงราย กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับ เอฟ เอ โอ และหน่วยงานจากกระทรวงต่าง ๆ ทุกกระทรวงในจังหวัดเชียงรายจัดขึ้น โดยจะนําเสนอนิทรรศการ “ธ สถิตในดวงใจตราบนิรันดร์” น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้และแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ และพระราชกรณียกิจรวมถึงโครงการตามพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งได้พระราชทาน 2 มาตรการ คือ 1) มาตรการบรรเทาหรือลดภาวะโลกร้อนโดยตรง เช่น ทรงอนุรักษ์พื้นที่ป่าและสิ่งแวดล้อม ทรงฟื้นฟูสภาพป่าและปลูกป่าทดแทน ทรงอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรดิน ทรงแก้ปัญหาน้ําเน่าเสีย 2) มาตรการจัดการให้สามารถดํารงชีวิตได้ด้วยความพอเพียงที่พอดี ที่สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เช่น ทรงแก้ปัญหาขาดแคลนน้ํา การทําเกษตรผสมผสาน ทําเกษตรแบบขั้นบันได แบบพึ่งพาธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี การปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชเสพติด มาเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทน ตลอดจนการรับประทานอาหาร ใช้สิ่งของต่าง ๆ แต่พอดี เป็นต้น นอกจากนี้ จะนําเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดจากผลกระทบจากโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้ง น้ําท่วม ที่ส่งผลต่อการผลิตทางอาหารและการเกษตร ขณะเดียวกัน ยังมีการถ่ายองค์ความรู้ เทคนิค และสาธิตวิธีการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพและได้ผลผลิตสูง ภายใต้ภาวะสภาพอากาศที่กําลังเปลี่ยนแปลง รวมถึงการจัดสัมมนา และการจําหน่ายผลิตผลทางการเกษตรของจังหวัดเชียงรายด้วย “จากข้อมูลของเอฟ เอ โอ ระบุว่า ปัจจุบันประชากรโลก ประมาณ 800 ล้านคน ยังอดอยากหิวโหย และอยู่ในสภาวะทุพโภชนากา ขณะเดียวกันประชากรทั่วโลกมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 9.6 พันล้านคน ภายในปี 2050 หรือ อีก 34 ปีข้างหน้า จําเป็นต้องเพิ่มกําลังการผลิตอาหารให้มากขึ้น เพื่อรองรับกับจํานวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าผลผลิตการเกษตรต้องเพิ่มขึ้นอีก 60 % แต่การเพิ่มกําลังผลิตอาหารก็จะมีปัญหา เพราะโลกประสบปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งสภาวะอุณหภูมิที่สูงขึ้น การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ําท่วม ภัยแล้ง เป็นต้น โดยกลุ่มคนยากจน ซึ่งส่วนมากอยู่ในภาคการเกษตร การประมง และ การปศุสัตว์ จะได้รับผลกระทบในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ประเทศต่าง ๆ ต้องมีระบบการผลิตอาหารที่ยั่งยืน และต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงสร้างความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นในด้านการผลิตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยขานรับวิกฤตโลกร้อนกระทบความมั่นคงอาหาร จับมือ เอฟ เอ โอ และ จ.เชียงราย จัดงาน “วันอาหารโลก”ระดับประเทศปี 59 ปลายเดือนนี้ เน้นขยายผลโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน 2559 ไทยขานรับวิกฤตโลกร้อนกระทบความมั่นคงอาหาร จับมือ เอฟ เอ โอ และ จ.เชียงราย จัดงาน “วันอาหารโลก”ระดับประเทศปี 59 ปลายเดือนนี้ เน้นขยายผลโครงการพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ไทยขานรับวิกฤตโลกร้อนกระทบความมั่นคงอาหาร จับมือ เอฟ เอ โอ และ จ.เชียงราย จัดงาน “วันอาหารโลก”ระดับประเทศปี 59 พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟ เอ โอ กําหนดให้วันที่ 16 ตุลาคมของทุกปี เป็น “วันอาหารโลก” และเชิญชวนประเทศสมาชิก 194 ประเทศทั่วโลก ร่วมจัดงานเฉลิมฉลองเป็นประจําทุกปี เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาและต่อสู้กับความยากจน โดยกําหนดจัดงาน เป็น 3 ระดับ คือ 1) ระดับโลก จัดที่สํานักงานใหญ่ FAO กรุงโรม เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 59 2) ระดับภูมิภาค ซึ่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก จัดขึ้นที่สํานักงาน FAO กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 59 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จเป็นองค์ประธาน และ 3) การจัดในแต่ละประเทศ โดยในปีนี้กําหนดจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 24 - 27 พฤศจิกายน 2559 ณ จ. เชียงราย ทั้งนี้ การจัดงานวันอาหารโลกในปี 2559 ในแต่ละระดับข้างต้นจะอยู่ภายใต้หัวข้อ “สภาพภูมิอากาศกําลังเปลี่ยนแปลง : อาหารและการเกษ­­ตรต้องเปลี่ยนแปลงด้วย” เพื่อเน้นถึงความสําคัญของการปรับเปลี่ยนวิถีทําการเกษตรและการบริโภคอาหาร ในการลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม/ภูมิอากาศ ลดความยากจนและเพิ่มการเข้าถึงอาหาร ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ค.ศ. 2030 ในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านป่าไม้ การเกษตร การจัดการด้านปศุสัตว์ ลดการสูญเสียอาหาร ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า ลดการทําประมงเกินขนาด หรือเครื่องมือทําลายล้าง รวมถึงปรับระบบผลิตอาหาร การแปรรูป และการขนส่ง เพื่อลดผลกระทบต่อภาวะภูมิอากาศ สําหรับการจัดงานวันอาหารโลกระดับประเทศ ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 24 - 27 พ.ย.2559 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS อ. เมือง จ. เชียงราย กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับ เอฟ เอ โอ และหน่วยงานจากกระทรวงต่าง ๆ ทุกกระทรวงในจังหวัดเชียงรายจัดขึ้น โดยจะนําเสนอนิทรรศการ “ธ สถิตในดวงใจตราบนิรันดร์” น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้และแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ และพระราชกรณียกิจรวมถึงโครงการตามพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งได้พระราชทาน 2 มาตรการ คือ 1) มาตรการบรรเทาหรือลดภาวะโลกร้อนโดยตรง เช่น ทรงอนุรักษ์พื้นที่ป่าและสิ่งแวดล้อม ทรงฟื้นฟูสภาพป่าและปลูกป่าทดแทน ทรงอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรดิน ทรงแก้ปัญหาน้ําเน่าเสีย 2) มาตรการจัดการให้สามารถดํารงชีวิตได้ด้วยความพอเพียงที่พอดี ที่สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เช่น ทรงแก้ปัญหาขาดแคลนน้ํา การทําเกษตรผสมผสาน ทําเกษตรแบบขั้นบันได แบบพึ่งพาธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี การปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชเสพติด มาเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทน ตลอดจนการรับประทานอาหาร ใช้สิ่งของต่าง ๆ แต่พอดี เป็นต้น นอกจากนี้ จะนําเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดจากผลกระทบจากโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้ง น้ําท่วม ที่ส่งผลต่อการผลิตทางอาหารและการเกษตร ขณะเดียวกัน ยังมีการถ่ายองค์ความรู้ เทคนิค และสาธิตวิธีการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพและได้ผลผลิตสูง ภายใต้ภาวะสภาพอากาศที่กําลังเปลี่ยนแปลง รวมถึงการจัดสัมมนา และการจําหน่ายผลิตผลทางการเกษตรของจังหวัดเชียงรายด้วย “จากข้อมูลของเอฟ เอ โอ ระบุว่า ปัจจุบันประชากรโลก ประมาณ 800 ล้านคน ยังอดอยากหิวโหย และอยู่ในสภาวะทุพโภชนากา ขณะเดียวกันประชากรทั่วโลกมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 9.6 พันล้านคน ภายในปี 2050 หรือ อีก 34 ปีข้างหน้า จําเป็นต้องเพิ่มกําลังการผลิตอาหารให้มากขึ้น เพื่อรองรับกับจํานวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าผลผลิตการเกษตรต้องเพิ่มขึ้นอีก 60 % แต่การเพิ่มกําลังผลิตอาหารก็จะมีปัญหา เพราะโลกประสบปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งสภาวะอุณหภูมิที่สูงขึ้น การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ําท่วม ภัยแล้ง เป็นต้น โดยกลุ่มคนยากจน ซึ่งส่วนมากอยู่ในภาคการเกษตร การประมง และ การปศุสัตว์ จะได้รับผลกระทบในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ประเทศต่าง ๆ ต้องมีระบบการผลิตอาหารที่ยั่งยืน และต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงสร้างความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นในด้านการผลิตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/797
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. เสนอขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน-ผ่อนปรนมาตรการ ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศ โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขเป็นหลัก
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2563 ศบค. เสนอขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน-ผ่อนปรนมาตรการ ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศ โดยคํานึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ศบค. เสนอขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน-ผ่อนปรนมาตรการ ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศ โดยคํานึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขเป็นหลัก วันนี้ (27 เม.ย.63) เวลา 12.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวันและผลการประชุม ในโอกาส พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 15 ราย รวมเป็น 2,609 ราย คิดเป็นร้อยละ 89.01 ผู้ป่วยรายใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาคือ 9 ราย รายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมผู้เสียชีวิตเป็น 52 ราย โดยผู้เสียชีวิตรายที่ 52 เป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 64 ปี อาชีพแม่บ้าน โรคประจําตัวคือโลหิตจาง มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันซึ่งเป็นคนในครอบครัว เริ่มป่วย 2 เมษายน 63 ด้วยอาการไข้ ไอ หอบ เหนื่อย ผลตรวจยืนยันเป็นผู้ป่วยโควิด-19 วันที่ 10 เมษายน 63 อาการแย่ลง เหนื่อยมากขึ้น การทํางานของไตลดลง แพทย์ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตในวันที่ 26 เมษายน 63 ด้วยระบบหายใจล้มเหลวและไตวายเฉียบพลัน ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้ที่เสียชีวิตด้วย จํานวนผู้ป่วยที่ยังรับการรักษาตัว อยู่ที่ 270 รายใน 68 จังหวัด ทั้งนี้ สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ 9 ราย จําแนกเป็นผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 3 ราย พบว่าเป็นผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้จากจังหวัดภูเก็ต สุพรรณบุรี และยะลา และใช้วิธีการตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชนที่จังหวัดยะลา 4 ราย รวมทั้ง ผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศแล้วเข้า State Quarantine ที่กรุงเทพฯ 2 ราย รวมทั้งหมด 9 ราย ซึ่งต่ํากว่า 10 รายเป็นวันแรกตั้งแต่ที่มีการรายงานสถานการณ์ โฆษก ศบค. กล่าวถึงการกระจายตัวของผู้ป่วยรายใหม่ว่า 5 ราย อยู่ที่จังหวัดยะลา กรุงเทพฯ ภูเก็ตและสุพรรณบุรี และจังหวัดที่ไม่มีการรายงานการรับรักษาผู้ป่วยยังเป็น 9 จังหวัดเดิม ด้านจังหวัดที่รับรักษาผู้ป่วยยืนยันสะสมไม่รวม State Quarantine อันดับ 1 ยังเป็นภูเก็ต รองลงมาคือ กรุงเทพฯ ยะลา ปัตตานี นนทบุรี ตามลําดับ ด้านอัตราป่วยต่อแสนประชากร อันดับ 1 คือ กรุงเทพฯ รวม 1,481 ราย หรือ 26.11 ต่อแสนประชากร รองลงมาคือ ภูเก็ต นนทบุรี ยะลา สมุทรปราการ 2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก ตัวเลขผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยูที่ 2,994,000 กว่าราย อาการหนัก 57,000 ราย หายป่วยแล้ว 870,000 ราย เสียชีวิตไป 206,995 รายคิดเป็นร้อยละ 6.9 โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา พบผู้ป่วยรายใหม่ถึง 26,000 กว่าคน ตามด้วยรัสเซียพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 6,361 คน อังกฤษ ผู้ป่วยรายใหม่ 4,463 คน ส่วนประเทศที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา โดยในวันเดียวเสียชีวิต 1,148 ราย อังกฤษ เสียชีวิต 413 รายและสเปน เสียชีวิต 288 ราย ส่วนประเทศไทยขณะนี้ลงมาอยู่อันดับที่ 58 ของโลก สถานการณ์ในเอเชียพบว่า สิงคโปร์ยังมีตัวเลขที่สูงอยู่โดยมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 931 รายเสียชีวิต 12 ราย เกาหลีใต้มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 10 รายมีผู้ป่วยยืนยันสะสมรวม 10,738 ราย ญี่ปุ่น มีผู้ป่วยรายใหม่ 210 ราย อินโดนีเซีย ผู้ป่วยรายใหม่ 275 ราย ฟิลิปปินส์ ผู้ป่วยรายใหม่ 285 ราย ส่วนมาเลเซีย พบผู้ป่วยรายใหม่ลดลงอยู่ที่ 38 ราย 3. รายงานผลการปฏิบัติการตามมาตรการ การปฏิบัติงานตามมาตรการเคอร์ฟิว รายงานผลจากการปฏิบัติการ จากการประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 27 เมษายน 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า จํานวนตัวเลขของผู้กระทําผิดกรณีฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ลดลง โดยประชาชนที่กระทําความผิด กรณีออกนอกเคหะสถานลดลงไป 119 ราย เหลือ 449 ราย ประชาชนที่กระทําความผิดกรณีมั่วสุมลดลง 28 ราย เหลือ 59 ราย ขอขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือ การดูแลคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ วันนี้ (27 เมษายน) เวลา 15.40 น. จะมีคนไทยเดินทางกลับมาจากประเทศญี่ปุ่น จํานวน 15 คน เวลา 17.05 น. จากเนเธอร์แลนด์ 25 คน และเวลา 20.15 น. จากนิวซีแลนด์ 168 คน เป็นนักเรียน นักศึกษา ซึ่งมีการสนธิกําลังกันในหลายส่วนทั้งจากกระทรวงการต่างประเทศ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย รวมถึงฝ่ายความมั่นคง ในการจัดหาเครื่องบิน เตรียมสถานที่กักกันตัวของรัฐหรือ State Quarantine และในวันพรุ่งนี้ (28 เมษายน) เวลา 11.55 น. จะมีคนไทยเดินทางกลับมาจากสเปน 12 คน และจากประเทศอินเดีย (นิวเดลี) เป็นนักเรียน นักศึกษา และคนไทยตกค้างจํานวน 200 คน เดินทางมาในเวลา 07.10 น. กระทรวงมหาดไทยได้รายงานสถิติคนไทยที่เดินทางกลับประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบก มีผู้เดินทางเข้ามาแล้ว (วันที่ 26 เมษายน) โดยการลงทะเบียน 293 คน ไม่ลงทะเบียน 107 คน รวม 400 คน ยอดสะสมจํานวนผู้ที่เดินทางกลับมาแล้วตั้งแต่วันที่ 18-26 เมษายน 63 โดยการลงทะเบียน 3,131 คน ไม่ลงทะเบียน 1,043 คน รวม 4,174 คน สําหรับผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียน ภาครัฐจะต้องเข้าไปดูแลให้ เพราะอาจจะเกี่ยวข้องกับการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งทุกคนต้องได้รับการดูแลที่เรียกว่าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ โดยมีการรายงานสถานภาพ State Quarantine ตอนนี้มีจํานวนห้องพัก 5,468 ห้อง เข้าพักแล้ว 2,132 ห้อง คงเหลือห้องพัก 3,336 ห้อง และมีผู้กักตัวสะสม 3,379 คน อยู่ระหว่างการกักตัว 2,150 คน และกลับบ้านแล้ว 1,229 คน 4. ผลการประชุม ศบค. นายกรัฐมนตรีในนาม ผอ. ศบค. ชื่นชมการทํางาน หลังจากที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ตลอดระยะเวลา 1 เดือน ซึ่งทุกภาคส่วนยังต้องร่วมมือกัน ทั้งข้าราชการฝ่ายการเมือง ข้าราชการประจําและภาคธุรกิจ ซึ่งได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ โดยยังคงยึดหลักสาธารณสุขและองค์การอนามัยโลก แม้จะยังคงมีความกังวลด้านเศรษฐกิจ โดยจะได้มีกําหนดระยะเวลาผ่อนปรนในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปโดยอาจะเริ่มที่ร้อยละ 25 ร้อยละ 50 ร้อยละ 75 และ 100 โดยจะมีการทบทวนในแต่ละระยะทุก ๆ 14 วัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก รวมทั้งพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดต่อการควบคุมโรคเพราะเป้าหมายสําคัญ คือ ต้องไม่ให้มีการระบาดในรอบ 2 เพราะจะทําให้การดําเนินการต่าง ๆ ที่ผ่านมาสูญเสีย สาระสําคัญของการประชุม ประกอบด้วย การรายงานปฏิบัติการด้านสาธารณสุข โดยปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้นําเสนอฉากทัศน์ในการควบคุมการแพร่ระบาดใน 3 กรณี คือ การควบคุมได้ดี จะมีผู้ติดเชื้อประมาณ 15-30 รายต่อวัน โดยมีมาตรการเช่นนี้ในขณะนี้ อาทิ การห้ามการเดินทางเข้า-ออกประเทศ จํากัดการเคลื่อนย้ายภายในประเทศ กรณี 2 สถานการณ์ควบคุมได้มีความเสี่ยงต่ํา การระบาดอยู่ในวงจํากัด สาธารณสุขรับรองได้โดยต้องมีมาตรการ อาทิ การชะลอเข้าประเทศ เปิดธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ํา อาจมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 40-70 รายต่อวัน และกรณี 3 สถานการณ์ควบคุมได้ยาก มีการเปิดแบบเต็มรูปแบบจํานวนคนไข้จะมีมาก 500-2,000 รายต่อวัน โดยการพยากรณ์คนไข้ระหว่างพฤษภาคม-มิถุนายนจะอยู่ที่ 46,596 ราย กรณีความเสี่ยงต่ํา 4,661 ราย กรณีการดําเนินมาตรการเข้มข้นเช่นที่ผ่านมา พยากรณ์ผู้ป่วยจะอยู่ที่ 1,189 ราย สําหรับตัวอย่างที่ได้รับการตรวจผู้ป่วยสงสัยตั้งแต่เปิดดําเนินการถึง 24 เมษายน 63 มีจํานวนทั้งสิ้น 178,083 ตัวอย่าง และจะเพิ่มจํานวนมากขึ้นโดยการตรวจเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งคณะกรรมการ EOC ของ สธ. จะมีการชี้เป้า โดยเฉพาะกลุ่ม อาทิ มีการอยู่ร่วมกลุ่ม กลุ่มคนแออัด แรงงานต่างด้าว เป็นต้น พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เสนอรายงานประเมินผลสัมฤทธิการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน 2548 ทําให้การดําเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ในนาม ผอ.ศูนย์ ศบค. เป็นไปอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ และเป็นเอกภาพ ส่งผลให้การติดเชื้อลดอย่างต่อเนื่อง จากแบบสํารวจความพึงพอใจพบว่า ประชาชนพึงพอใจมากกว่าร้อยละ 70 จึงเสนอเห็นควรขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือน ถึง 31 พฤษภาคม 63 โดยยังคง 4 มาตรการ 1. ควบคุมการเดินทางเข้า-ออกนอกราชอาณาจักร 2. ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิว 22.00 น.- 04.00 น.) 3. งด ชะลอการเดินทางข้ามเขตจังหวัด 4. งดการดําเนินกิจกรรมในคนหมู่มาก เช่น การอบรม สัมมนา กิจกรรมในที่โล่งแจ้ง ทั้งนี้ หลักคิดของแนวทางผ่อนปรน ต้องคํานึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขเป็นหลักและนําปัจจัยอื่นมาประกอบการพิจารณา โดยยังต้องให้มีการทํางานที่บ้านร้อยละ 50 พิจารณากิจกรรมที่จําเป็น ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา กิจกรรมนั้นต้องประกอบด้วย 5 เรื่อง ได้แก่ 1. เว้นระยะห่างทางสังคม 2. การวัดอุณหภูมิ 3. การล้างมือ การมีเจลแอลกอฮอล์ ฆ่าเชื้อโรค บริการ 4. การจํากัดจํานวนคนที่เหมาะสมต่อสถานที่ และ 5. การมีแอปพลิเคชันติดตามตัว โดยต้องจัดสมดุลระหว่างสิทธิมนุษยชนและความปลอดภัยของสาธารณชน ขณะเดียวกัน ก็ยังคงต้องเร่งรัดตรวจหาผู้ติดเชื้อในกลุ่มเสี่ยง มีเทคโนโลยีตรวจตรา ติดตาม การดําเนินการของสถานที่ประกอบการต่าง ๆ อาทิ การใช้กล้อง CCTV เป็นต้น ซึ่งการประเมินผลการผ่อนปรนอย่างน้อยทุก 14-15 วัน ซึ่งสามารถผ่อนคลายหรือระงับการผ่อนปรนทันที นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะคณะที่ปรึกษาธุรกิจเอกชนของ ศบค. เสนอแนวทางการผ่อนปรน ภายหลังการขยายระยะเวลาพ.ร.ก. ฉุกเฉิน โดยแบ่ง 4 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มสีขาว มีความจําเป็นในชีวิตประจําวัน ร้านขนาดเล็กอยู่ที่โล่งแจ้ง ควบคุมได้ สวนสาธารณะ กลุ่มสีเขียว สถานที่ประกอบการขนาดเล็ก อาจติดเครื่องปรับอากาศหรือไม่ มีมาตรการควบคุมได้ พื้นที่ไม่มาก สนามออกกําลังกายกลางแจ้ง กลุ่มสีเหลือง สถานที่ปิด มีคนมาจํานวนมาก ติดแอร์ ขนาดใหญ่ และกลุ่มสีแดง ที่มีคนมาชุมนุมแออัดมาก เป็นที่เสี่ยงสูง อาทิ สนามมวย สถานบันเทิง เป็นต้น ผอ ศบค. เห็นชอบในหลักการ ได้ให้แนวทางโดยพิจารณาประเภทและช่วงเวลา แต่ให้พิจารณากิจการที่สามารถเปิดดําเนินการได้ทั่วประเทศ ทุกจังหวัดเปิดได้พร้อมกัน โดยมอบสภาพัฒน์ฯ และคณะทํางานฯ หารือในรายละเอียดเพื่อเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในโอกาสต่อไป ********************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. เสนอขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน-ผ่อนปรนมาตรการ ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศ โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขเป็นหลัก วันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2563 ศบค. เสนอขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน-ผ่อนปรนมาตรการ ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศ โดยคํานึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ศบค. เสนอขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน-ผ่อนปรนมาตรการ ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศ โดยคํานึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขเป็นหลัก วันนี้ (27 เม.ย.63) เวลา 12.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวันและผลการประชุม ในโอกาส พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 15 ราย รวมเป็น 2,609 ราย คิดเป็นร้อยละ 89.01 ผู้ป่วยรายใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาคือ 9 ราย รายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมผู้เสียชีวิตเป็น 52 ราย โดยผู้เสียชีวิตรายที่ 52 เป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 64 ปี อาชีพแม่บ้าน โรคประจําตัวคือโลหิตจาง มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันซึ่งเป็นคนในครอบครัว เริ่มป่วย 2 เมษายน 63 ด้วยอาการไข้ ไอ หอบ เหนื่อย ผลตรวจยืนยันเป็นผู้ป่วยโควิด-19 วันที่ 10 เมษายน 63 อาการแย่ลง เหนื่อยมากขึ้น การทํางานของไตลดลง แพทย์ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตในวันที่ 26 เมษายน 63 ด้วยระบบหายใจล้มเหลวและไตวายเฉียบพลัน ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้ที่เสียชีวิตด้วย จํานวนผู้ป่วยที่ยังรับการรักษาตัว อยู่ที่ 270 รายใน 68 จังหวัด ทั้งนี้ สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ 9 ราย จําแนกเป็นผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 3 ราย พบว่าเป็นผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้จากจังหวัดภูเก็ต สุพรรณบุรี และยะลา และใช้วิธีการตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชนที่จังหวัดยะลา 4 ราย รวมทั้ง ผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศแล้วเข้า State Quarantine ที่กรุงเทพฯ 2 ราย รวมทั้งหมด 9 ราย ซึ่งต่ํากว่า 10 รายเป็นวันแรกตั้งแต่ที่มีการรายงานสถานการณ์ โฆษก ศบค. กล่าวถึงการกระจายตัวของผู้ป่วยรายใหม่ว่า 5 ราย อยู่ที่จังหวัดยะลา กรุงเทพฯ ภูเก็ตและสุพรรณบุรี และจังหวัดที่ไม่มีการรายงานการรับรักษาผู้ป่วยยังเป็น 9 จังหวัดเดิม ด้านจังหวัดที่รับรักษาผู้ป่วยยืนยันสะสมไม่รวม State Quarantine อันดับ 1 ยังเป็นภูเก็ต รองลงมาคือ กรุงเทพฯ ยะลา ปัตตานี นนทบุรี ตามลําดับ ด้านอัตราป่วยต่อแสนประชากร อันดับ 1 คือ กรุงเทพฯ รวม 1,481 ราย หรือ 26.11 ต่อแสนประชากร รองลงมาคือ ภูเก็ต นนทบุรี ยะลา สมุทรปราการ 2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก ตัวเลขผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยูที่ 2,994,000 กว่าราย อาการหนัก 57,000 ราย หายป่วยแล้ว 870,000 ราย เสียชีวิตไป 206,995 รายคิดเป็นร้อยละ 6.9 โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา พบผู้ป่วยรายใหม่ถึง 26,000 กว่าคน ตามด้วยรัสเซียพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 6,361 คน อังกฤษ ผู้ป่วยรายใหม่ 4,463 คน ส่วนประเทศที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา โดยในวันเดียวเสียชีวิต 1,148 ราย อังกฤษ เสียชีวิต 413 รายและสเปน เสียชีวิต 288 ราย ส่วนประเทศไทยขณะนี้ลงมาอยู่อันดับที่ 58 ของโลก สถานการณ์ในเอเชียพบว่า สิงคโปร์ยังมีตัวเลขที่สูงอยู่โดยมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 931 รายเสียชีวิต 12 ราย เกาหลีใต้มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 10 รายมีผู้ป่วยยืนยันสะสมรวม 10,738 ราย ญี่ปุ่น มีผู้ป่วยรายใหม่ 210 ราย อินโดนีเซีย ผู้ป่วยรายใหม่ 275 ราย ฟิลิปปินส์ ผู้ป่วยรายใหม่ 285 ราย ส่วนมาเลเซีย พบผู้ป่วยรายใหม่ลดลงอยู่ที่ 38 ราย 3. รายงานผลการปฏิบัติการตามมาตรการ การปฏิบัติงานตามมาตรการเคอร์ฟิว รายงานผลจากการปฏิบัติการ จากการประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 27 เมษายน 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า จํานวนตัวเลขของผู้กระทําผิดกรณีฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ลดลง โดยประชาชนที่กระทําความผิด กรณีออกนอกเคหะสถานลดลงไป 119 ราย เหลือ 449 ราย ประชาชนที่กระทําความผิดกรณีมั่วสุมลดลง 28 ราย เหลือ 59 ราย ขอขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือ การดูแลคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ วันนี้ (27 เมษายน) เวลา 15.40 น. จะมีคนไทยเดินทางกลับมาจากประเทศญี่ปุ่น จํานวน 15 คน เวลา 17.05 น. จากเนเธอร์แลนด์ 25 คน และเวลา 20.15 น. จากนิวซีแลนด์ 168 คน เป็นนักเรียน นักศึกษา ซึ่งมีการสนธิกําลังกันในหลายส่วนทั้งจากกระทรวงการต่างประเทศ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย รวมถึงฝ่ายความมั่นคง ในการจัดหาเครื่องบิน เตรียมสถานที่กักกันตัวของรัฐหรือ State Quarantine และในวันพรุ่งนี้ (28 เมษายน) เวลา 11.55 น. จะมีคนไทยเดินทางกลับมาจากสเปน 12 คน และจากประเทศอินเดีย (นิวเดลี) เป็นนักเรียน นักศึกษา และคนไทยตกค้างจํานวน 200 คน เดินทางมาในเวลา 07.10 น. กระทรวงมหาดไทยได้รายงานสถิติคนไทยที่เดินทางกลับประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบก มีผู้เดินทางเข้ามาแล้ว (วันที่ 26 เมษายน) โดยการลงทะเบียน 293 คน ไม่ลงทะเบียน 107 คน รวม 400 คน ยอดสะสมจํานวนผู้ที่เดินทางกลับมาแล้วตั้งแต่วันที่ 18-26 เมษายน 63 โดยการลงทะเบียน 3,131 คน ไม่ลงทะเบียน 1,043 คน รวม 4,174 คน สําหรับผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียน ภาครัฐจะต้องเข้าไปดูแลให้ เพราะอาจจะเกี่ยวข้องกับการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งทุกคนต้องได้รับการดูแลที่เรียกว่าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ โดยมีการรายงานสถานภาพ State Quarantine ตอนนี้มีจํานวนห้องพัก 5,468 ห้อง เข้าพักแล้ว 2,132 ห้อง คงเหลือห้องพัก 3,336 ห้อง และมีผู้กักตัวสะสม 3,379 คน อยู่ระหว่างการกักตัว 2,150 คน และกลับบ้านแล้ว 1,229 คน 4. ผลการประชุม ศบค. นายกรัฐมนตรีในนาม ผอ. ศบค. ชื่นชมการทํางาน หลังจากที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ตลอดระยะเวลา 1 เดือน ซึ่งทุกภาคส่วนยังต้องร่วมมือกัน ทั้งข้าราชการฝ่ายการเมือง ข้าราชการประจําและภาคธุรกิจ ซึ่งได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ โดยยังคงยึดหลักสาธารณสุขและองค์การอนามัยโลก แม้จะยังคงมีความกังวลด้านเศรษฐกิจ โดยจะได้มีกําหนดระยะเวลาผ่อนปรนในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปโดยอาจะเริ่มที่ร้อยละ 25 ร้อยละ 50 ร้อยละ 75 และ 100 โดยจะมีการทบทวนในแต่ละระยะทุก ๆ 14 วัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก รวมทั้งพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดต่อการควบคุมโรคเพราะเป้าหมายสําคัญ คือ ต้องไม่ให้มีการระบาดในรอบ 2 เพราะจะทําให้การดําเนินการต่าง ๆ ที่ผ่านมาสูญเสีย สาระสําคัญของการประชุม ประกอบด้วย การรายงานปฏิบัติการด้านสาธารณสุข โดยปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้นําเสนอฉากทัศน์ในการควบคุมการแพร่ระบาดใน 3 กรณี คือ การควบคุมได้ดี จะมีผู้ติดเชื้อประมาณ 15-30 รายต่อวัน โดยมีมาตรการเช่นนี้ในขณะนี้ อาทิ การห้ามการเดินทางเข้า-ออกประเทศ จํากัดการเคลื่อนย้ายภายในประเทศ กรณี 2 สถานการณ์ควบคุมได้มีความเสี่ยงต่ํา การระบาดอยู่ในวงจํากัด สาธารณสุขรับรองได้โดยต้องมีมาตรการ อาทิ การชะลอเข้าประเทศ เปิดธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ํา อาจมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 40-70 รายต่อวัน และกรณี 3 สถานการณ์ควบคุมได้ยาก มีการเปิดแบบเต็มรูปแบบจํานวนคนไข้จะมีมาก 500-2,000 รายต่อวัน โดยการพยากรณ์คนไข้ระหว่างพฤษภาคม-มิถุนายนจะอยู่ที่ 46,596 ราย กรณีความเสี่ยงต่ํา 4,661 ราย กรณีการดําเนินมาตรการเข้มข้นเช่นที่ผ่านมา พยากรณ์ผู้ป่วยจะอยู่ที่ 1,189 ราย สําหรับตัวอย่างที่ได้รับการตรวจผู้ป่วยสงสัยตั้งแต่เปิดดําเนินการถึง 24 เมษายน 63 มีจํานวนทั้งสิ้น 178,083 ตัวอย่าง และจะเพิ่มจํานวนมากขึ้นโดยการตรวจเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งคณะกรรมการ EOC ของ สธ. จะมีการชี้เป้า โดยเฉพาะกลุ่ม อาทิ มีการอยู่ร่วมกลุ่ม กลุ่มคนแออัด แรงงานต่างด้าว เป็นต้น พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เสนอรายงานประเมินผลสัมฤทธิการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน 2548 ทําให้การดําเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ในนาม ผอ.ศูนย์ ศบค. เป็นไปอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ และเป็นเอกภาพ ส่งผลให้การติดเชื้อลดอย่างต่อเนื่อง จากแบบสํารวจความพึงพอใจพบว่า ประชาชนพึงพอใจมากกว่าร้อยละ 70 จึงเสนอเห็นควรขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือน ถึง 31 พฤษภาคม 63 โดยยังคง 4 มาตรการ 1. ควบคุมการเดินทางเข้า-ออกนอกราชอาณาจักร 2. ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิว 22.00 น.- 04.00 น.) 3. งด ชะลอการเดินทางข้ามเขตจังหวัด 4. งดการดําเนินกิจกรรมในคนหมู่มาก เช่น การอบรม สัมมนา กิจกรรมในที่โล่งแจ้ง ทั้งนี้ หลักคิดของแนวทางผ่อนปรน ต้องคํานึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขเป็นหลักและนําปัจจัยอื่นมาประกอบการพิจารณา โดยยังต้องให้มีการทํางานที่บ้านร้อยละ 50 พิจารณากิจกรรมที่จําเป็น ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา กิจกรรมนั้นต้องประกอบด้วย 5 เรื่อง ได้แก่ 1. เว้นระยะห่างทางสังคม 2. การวัดอุณหภูมิ 3. การล้างมือ การมีเจลแอลกอฮอล์ ฆ่าเชื้อโรค บริการ 4. การจํากัดจํานวนคนที่เหมาะสมต่อสถานที่ และ 5. การมีแอปพลิเคชันติดตามตัว โดยต้องจัดสมดุลระหว่างสิทธิมนุษยชนและความปลอดภัยของสาธารณชน ขณะเดียวกัน ก็ยังคงต้องเร่งรัดตรวจหาผู้ติดเชื้อในกลุ่มเสี่ยง มีเทคโนโลยีตรวจตรา ติดตาม การดําเนินการของสถานที่ประกอบการต่าง ๆ อาทิ การใช้กล้อง CCTV เป็นต้น ซึ่งการประเมินผลการผ่อนปรนอย่างน้อยทุก 14-15 วัน ซึ่งสามารถผ่อนคลายหรือระงับการผ่อนปรนทันที นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะคณะที่ปรึกษาธุรกิจเอกชนของ ศบค. เสนอแนวทางการผ่อนปรน ภายหลังการขยายระยะเวลาพ.ร.ก. ฉุกเฉิน โดยแบ่ง 4 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มสีขาว มีความจําเป็นในชีวิตประจําวัน ร้านขนาดเล็กอยู่ที่โล่งแจ้ง ควบคุมได้ สวนสาธารณะ กลุ่มสีเขียว สถานที่ประกอบการขนาดเล็ก อาจติดเครื่องปรับอากาศหรือไม่ มีมาตรการควบคุมได้ พื้นที่ไม่มาก สนามออกกําลังกายกลางแจ้ง กลุ่มสีเหลือง สถานที่ปิด มีคนมาจํานวนมาก ติดแอร์ ขนาดใหญ่ และกลุ่มสีแดง ที่มีคนมาชุมนุมแออัดมาก เป็นที่เสี่ยงสูง อาทิ สนามมวย สถานบันเทิง เป็นต้น ผอ ศบค. เห็นชอบในหลักการ ได้ให้แนวทางโดยพิจารณาประเภทและช่วงเวลา แต่ให้พิจารณากิจการที่สามารถเปิดดําเนินการได้ทั่วประเทศ ทุกจังหวัดเปิดได้พร้อมกัน โดยมอบสภาพัฒน์ฯ และคณะทํางานฯ หารือในรายละเอียดเพื่อเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในโอกาสต่อไป ********************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29851
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" จัดโครงการสัมมนาเตรียมความพร้อมการปฏิบัติงานภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2559 "ยุติธรรม" จัดโครงการสัมมนาเตรียมความพร้อมการปฏิบัติงานภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมการปฏิบัติงานด้านการประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๙ เวลา ๐๙.๑๕ น. นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมการปฏิบัติงานด้านการประสานงานคณะรัฐมนตรี และรัฐสภา ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ และบรรยายพิเศษหัวข้อ "บทบาทของกระทรวงยุติธรรม ภายใต้ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. .... (ฉบับประชามติ) เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง กับการเสนอกฎหมายและเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี และรัฐสภา ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. .... รวมทั้ง เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ปัญหา อุปสรรค และเสริมสร้างบรรยากาศในการทํางานร่วมกันของผู้ปฏิบัติงานด้านกฎหมาย สําหรับการสัมมนาในครั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านกฎหมาย ผู้ช่วยผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จํานวน ๕๐ คน เข้าร่วมฯ ในระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ โรงแรมเบสต์ เวสเทิร์น พลัส แวนดา แกรนด์ โอเต็ล กรุงเทพฯ และโรงแรมโกลเด้น บีช ชะอํา จังหวัดเพชรบุรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" จัดโครงการสัมมนาเตรียมความพร้อมการปฏิบัติงานภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2559 "ยุติธรรม" จัดโครงการสัมมนาเตรียมความพร้อมการปฏิบัติงานภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมการปฏิบัติงานด้านการประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๙ เวลา ๐๙.๑๕ น. นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมการปฏิบัติงานด้านการประสานงานคณะรัฐมนตรี และรัฐสภา ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ และบรรยายพิเศษหัวข้อ "บทบาทของกระทรวงยุติธรรม ภายใต้ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. .... (ฉบับประชามติ) เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง กับการเสนอกฎหมายและเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี และรัฐสภา ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. .... รวมทั้ง เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ปัญหา อุปสรรค และเสริมสร้างบรรยากาศในการทํางานร่วมกันของผู้ปฏิบัติงานด้านกฎหมาย สําหรับการสัมมนาในครั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านกฎหมาย ผู้ช่วยผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จํานวน ๕๐ คน เข้าร่วมฯ ในระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ โรงแรมเบสต์ เวสเทิร์น พลัส แวนดา แกรนด์ โอเต็ล กรุงเทพฯ และโรงแรมโกลเด้น บีช ชะอํา จังหวัดเพชรบุรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1039
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม จัดประชุมคณะกรรมการอำนวยการประสานกำกับติดตาม การดำเนินงานตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2561 ก.ยุติธรรม จัดประชุมคณะกรรมการอํานวยการประสานกํากับติดตาม การดําเนินงานตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ กระทรวงยุติธรรม จัดประชุมคณะกรรมการอํานวยการประสานกํากับติดตามการดําเนินงานตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการอํานวยการ ประสานกํากับติดตามผลการดําเนินงานตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการประสานกํากับติดตาม การดําเนินงานตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เพื่อติดตามผลการดําเนินการจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และมาตรการในการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการ ที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ รวมทั้งติดตามความคืบหน้าของแผนการดําเนินการโครงการพัฒนาระบบแผนที่สารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) ระบบบริการข้อมูลเฝ้าระวัง ติดตามการกระทําผิดกฎหมายและการจําหน่ายสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในพื้นที่โซนนิ่งบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา (Information Zoning Awareness System : (iZA) และพิจารณาเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จํานวน 3 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการด้านกฎหมาย เพื่อสนับสนุนการทํางานเจ้าหน้าที่ในเชิงกฎหมาย คณะอนุกรรมการติดตามประเมินผลการดําเนินงานตามคําสั่ง เพื่อศึกษา วิเคราะห์ ผลการดําเนินงาน และคณะอนุกรรมการสนับสนุนการขับเคลื่อนการดําเนินงาน เพื่อสนับสนุนการทํางานของเจ้าหน้าที่ เพื่อทําหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ ผลการดําเนินงานสู่ความสําเร็จรวมทั้งปัญหา อุปสรรค ตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๖/๒๕๕๙ และคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๖/๒๕๕๙ รวมทั้งสนับสนุนการขับเคลื่อนตามมาตรการทางกฎหมาย สภาพบังคับใช้กฎหมาย มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ การค้ามนุษย์ และการเล่นการพนันในสถานบริการหรือสถานประกอบการ ที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ และมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียนและนักศึกษา โดยมีคณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทํารายงานผลการดําเนินงานในรูปแบบข้อมูลเชิงปริมาณที่เป็นสถิติ เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน และแสดงให้เห็นถึงทิศทางการดําเนินงาน ตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘,๔๖/๒๕๕๙ และ ๓๐/๒๕๕๙ เพื่อจะได้นําสรุปผลการดําเนินงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบความคืบหน้าต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม จัดประชุมคณะกรรมการอำนวยการประสานกำกับติดตาม การดำเนินงานตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2561 ก.ยุติธรรม จัดประชุมคณะกรรมการอํานวยการประสานกํากับติดตาม การดําเนินงานตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ กระทรวงยุติธรรม จัดประชุมคณะกรรมการอํานวยการประสานกํากับติดตามการดําเนินงานตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการอํานวยการ ประสานกํากับติดตามผลการดําเนินงานตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการประสานกํากับติดตาม การดําเนินงานตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เพื่อติดตามผลการดําเนินการจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และมาตรการในการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการ ที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ รวมทั้งติดตามความคืบหน้าของแผนการดําเนินการโครงการพัฒนาระบบแผนที่สารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) ระบบบริการข้อมูลเฝ้าระวัง ติดตามการกระทําผิดกฎหมายและการจําหน่ายสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในพื้นที่โซนนิ่งบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา (Information Zoning Awareness System : (iZA) และพิจารณาเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จํานวน 3 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการด้านกฎหมาย เพื่อสนับสนุนการทํางานเจ้าหน้าที่ในเชิงกฎหมาย คณะอนุกรรมการติดตามประเมินผลการดําเนินงานตามคําสั่ง เพื่อศึกษา วิเคราะห์ ผลการดําเนินงาน และคณะอนุกรรมการสนับสนุนการขับเคลื่อนการดําเนินงาน เพื่อสนับสนุนการทํางานของเจ้าหน้าที่ เพื่อทําหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ ผลการดําเนินงานสู่ความสําเร็จรวมทั้งปัญหา อุปสรรค ตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๖/๒๕๕๙ และคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๖/๒๕๕๙ รวมทั้งสนับสนุนการขับเคลื่อนตามมาตรการทางกฎหมาย สภาพบังคับใช้กฎหมาย มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ การค้ามนุษย์ และการเล่นการพนันในสถานบริการหรือสถานประกอบการ ที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ และมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียนและนักศึกษา โดยมีคณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทํารายงานผลการดําเนินงานในรูปแบบข้อมูลเชิงปริมาณที่เป็นสถิติ เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน และแสดงให้เห็นถึงทิศทางการดําเนินงาน ตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘,๔๖/๒๕๕๙ และ ๓๐/๒๕๕๙ เพื่อจะได้นําสรุปผลการดําเนินงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบความคืบหน้าต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14856
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ยกระดับขับเคลื่อนส่งเสริมสินค้ามาตรฐาน “ฮาลาล”
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ ยกระดับขับเคลื่อนส่งเสริมสินค้ามาตรฐาน “ฮาลาล” กระทรวงเกษตรฯ ยกระดับขับเคลื่อนส่งเสริมสินค้ามาตรฐาน “ฮาลาล” ดันไทยสู่ประเทศส่งออกอาหารท็อปเทนของโลก กระทรวงเกษตรฯ ยกระดับขับเคลื่อนส่งเสริมสินค้ามาตรฐาน “ฮาลาล” ดันไทยสู่ประเทศส่งออกอาหารท็อปเทนของโลก “เฉลิมชัย” จัดตั้งคกก.ผลักดันเต็มรูปแบบ พัฒนาฮาลาลไทยทั้งระบบสู่ตลาดโลกมุ่งตลาด2ล้านล้านดอลลาร์ พร้อมเปิดกลยุทธ์ระเบียงเศรษฐกิจพื้นที่ชายแดนใต้เป็นฮับฮาลาลโลก ส่วนส่งออกไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ฉลุย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่วางเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับท็อปเทนของโลกนั้น ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล”ขึ้นโดยมีการประชุมทางไกลต่อเนื่องทุกสัปดาห์ ล่าสุดครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2563 ที่ผ่านมา โดยมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการ 4 คณะ คือ 1. คณะอนุกรรมการจัดทําวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” 2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการค้าสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” 3. คณะอนุกรรรมการส่งเสริมการผลิตและการลงทุนเกี่ยวกับผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” และ 4. คณะอนุกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฮาลาลมีรองผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นประธานโดยคํานึงถึงพื้นที่ชายแดนภาคใต้เป็นหลัก พร้อมกันนี้ยังได้หารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขยายพื้นที่และยกระดับการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และความเป็นไปได้ในการจัดงานแสดงสินค้าฮาลาล (Halal Expo) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายรวมทั้งการสนับสนุนเขตอุตสาหกรรมฮาลาลและการส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง 5 จังหวัดภาคใต้กับ 5 รัฐภาคเหนือของมาเลเซี ยตลอดจนกรอบความร่วมมืออาเซียนและ IMT-GT คือ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพธุรกิจสินค้าและบริการฮาลาล (พ.ศ. 2559-2563) มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สถาบันอาหาร และสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (สกอท.) ซึ่งที่ผ่านมาได้ร่วมกันวางระบบและให้การรับรองฮาลาลผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อย (SME) และวิสาหกิจชุมชนกว่า 500 กิจการ และให้ความรู้เพื่อพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจรับรองและประชาชน จํานวนกว่า 6,000 คน “การวางโครงสร้างและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เป็นสิ่งสําคัญที่ช่วยเปิดโอกาสในการกระจายสินค้าไปถึงมือประชากรชาวมุสลิมกว่า 1,960 ล้านคน ซึ่งอยู่ในประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation – OIC)จํานวน 57 ประเทศ โดยได้ประสานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย (TLSP) ให้วางระบบและร่างผัง Global Landscape ด้านโลจิสติกส์ให้ครอบคลุมการจัดการคลังสินค้า รวมถึงการบริหารจัดการการขนส่งสินค้าไปยังประเทศปลายทางต่างๆ ให้สะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สินค้าฮาลาลเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภคไทย โดยจะมีการสร้างธุรกิจรูปแบบใหม่เพื่อตอบรับความต้องการผู้บริโภค อาทิ การสร้างคลังสินค้าฮาลาลหรือการสร้างศูนย์บริหารจัดการโลจิสติกส์ฮาลาลเพื่อเชื่อมโยงไปทั่วโลก โดยเบื้องต้นได้หารือกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ในการจัดหาเครื่องบินขนส่งสินค้าเที่ยวละประมาณ 100 ตัน เพื่อส่งออกสินค้าไปทั่วโลกโดยมีมูลค่าตลาดฮาลาลสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมีโดยเฉพาะกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง” นายอลงกรณ์ กล่าว พร้อมกันนี้ ได้ขอให้ผู้แทนหน่วยงานภายใต้กระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องและสถาบันอาหารดําเนินการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่ไม่ใช่ประเทศมุสลิมที่นิยมบริโภคอาหารฮาลาลเพื่อขยายขอบข่ายการดําเนินงานในอนาคตให้ครอบคลุมประชากรที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศ OIC โดยไปศึกษาว่าไทยจะส่งเสริมการเกษตรเพื่อแปรรูปส่งออกอาหารฮาลาลประเภทใดไปยังกลุ่มประเทศนี้ รวมถึงมีประเทศคู่แข่งและมีส่วนแบ่งตลาดอย่างไร โดยนําข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกับระบบโลจิสติกส์ในปัจจุบัน เพื่อประเมินศักยภาพในการแข่งขันของไทย และไทยสามารถนําเข้าสินค้าอะไรจากประเทศกลุ่มนี้ได้ นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สําหรับประเด็นการตรวจรับรองระบบงานด้านฮาลาลของสินค้าอาหารไทยที่ส่งออกไป UAE ที่ผ่านมาสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ร่วมกับกรมปศุสัตว์และสํานักงานคณะกรรมการอิสลามกลางแห่งประเทศไทย (สกอท.) ได้หารือกับหน่วยงาน Emirates Authority for Standardization and Metrology (ESMA) เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาที่ไทยไม่สามารถส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลไปยัง UAE ได้ โดยได้เจรจาจนประสบความสําเร็จ ทําให้ UAE ให้การรับรองระบบงานฮาลาลของ สกอท. ส่งผลให้ไทยสามารถส่งสินค้าฮาลาล โดยเฉพาะเนื้อไก่แช่เย็น/แช่แข็ง รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบของสัตว์ปีกไปยัง UAE ได้แล้ว “นอกจากนี้ หน่วยงาน ESMA ได้เสนอให้ มกอช. พัฒนาศักยภาพให้สามารถตรวจรับรองระบบงานสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (สกอท.) ได้ในอนาคต เป็นการลดขั้นตอน และเกิดประโยชน์อย่างมากต่อผู้ประกอบการไทยในการส่งออกสินค้าฮาลาลไทยไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และประเทศมุสลิมอื่นๆ ในอนาคต” นายอลงกรณ์ กล่าวในที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ยกระดับขับเคลื่อนส่งเสริมสินค้ามาตรฐาน “ฮาลาล” วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ ยกระดับขับเคลื่อนส่งเสริมสินค้ามาตรฐาน “ฮาลาล” กระทรวงเกษตรฯ ยกระดับขับเคลื่อนส่งเสริมสินค้ามาตรฐาน “ฮาลาล” ดันไทยสู่ประเทศส่งออกอาหารท็อปเทนของโลก กระทรวงเกษตรฯ ยกระดับขับเคลื่อนส่งเสริมสินค้ามาตรฐาน “ฮาลาล” ดันไทยสู่ประเทศส่งออกอาหารท็อปเทนของโลก “เฉลิมชัย” จัดตั้งคกก.ผลักดันเต็มรูปแบบ พัฒนาฮาลาลไทยทั้งระบบสู่ตลาดโลกมุ่งตลาด2ล้านล้านดอลลาร์ พร้อมเปิดกลยุทธ์ระเบียงเศรษฐกิจพื้นที่ชายแดนใต้เป็นฮับฮาลาลโลก ส่วนส่งออกไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ฉลุย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่วางเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับท็อปเทนของโลกนั้น ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล”ขึ้นโดยมีการประชุมทางไกลต่อเนื่องทุกสัปดาห์ ล่าสุดครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2563 ที่ผ่านมา โดยมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการ 4 คณะ คือ 1. คณะอนุกรรมการจัดทําวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” 2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการค้าสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” 3. คณะอนุกรรรมการส่งเสริมการผลิตและการลงทุนเกี่ยวกับผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” และ 4. คณะอนุกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฮาลาลมีรองผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นประธานโดยคํานึงถึงพื้นที่ชายแดนภาคใต้เป็นหลัก พร้อมกันนี้ยังได้หารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขยายพื้นที่และยกระดับการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และความเป็นไปได้ในการจัดงานแสดงสินค้าฮาลาล (Halal Expo) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายรวมทั้งการสนับสนุนเขตอุตสาหกรรมฮาลาลและการส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง 5 จังหวัดภาคใต้กับ 5 รัฐภาคเหนือของมาเลเซี ยตลอดจนกรอบความร่วมมืออาเซียนและ IMT-GT คือ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพธุรกิจสินค้าและบริการฮาลาล (พ.ศ. 2559-2563) มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สถาบันอาหาร และสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (สกอท.) ซึ่งที่ผ่านมาได้ร่วมกันวางระบบและให้การรับรองฮาลาลผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อย (SME) และวิสาหกิจชุมชนกว่า 500 กิจการ และให้ความรู้เพื่อพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจรับรองและประชาชน จํานวนกว่า 6,000 คน “การวางโครงสร้างและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เป็นสิ่งสําคัญที่ช่วยเปิดโอกาสในการกระจายสินค้าไปถึงมือประชากรชาวมุสลิมกว่า 1,960 ล้านคน ซึ่งอยู่ในประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation – OIC)จํานวน 57 ประเทศ โดยได้ประสานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย (TLSP) ให้วางระบบและร่างผัง Global Landscape ด้านโลจิสติกส์ให้ครอบคลุมการจัดการคลังสินค้า รวมถึงการบริหารจัดการการขนส่งสินค้าไปยังประเทศปลายทางต่างๆ ให้สะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สินค้าฮาลาลเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภคไทย โดยจะมีการสร้างธุรกิจรูปแบบใหม่เพื่อตอบรับความต้องการผู้บริโภค อาทิ การสร้างคลังสินค้าฮาลาลหรือการสร้างศูนย์บริหารจัดการโลจิสติกส์ฮาลาลเพื่อเชื่อมโยงไปทั่วโลก โดยเบื้องต้นได้หารือกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ในการจัดหาเครื่องบินขนส่งสินค้าเที่ยวละประมาณ 100 ตัน เพื่อส่งออกสินค้าไปทั่วโลกโดยมีมูลค่าตลาดฮาลาลสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมีโดยเฉพาะกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง” นายอลงกรณ์ กล่าว พร้อมกันนี้ ได้ขอให้ผู้แทนหน่วยงานภายใต้กระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องและสถาบันอาหารดําเนินการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่ไม่ใช่ประเทศมุสลิมที่นิยมบริโภคอาหารฮาลาลเพื่อขยายขอบข่ายการดําเนินงานในอนาคตให้ครอบคลุมประชากรที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศ OIC โดยไปศึกษาว่าไทยจะส่งเสริมการเกษตรเพื่อแปรรูปส่งออกอาหารฮาลาลประเภทใดไปยังกลุ่มประเทศนี้ รวมถึงมีประเทศคู่แข่งและมีส่วนแบ่งตลาดอย่างไร โดยนําข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกับระบบโลจิสติกส์ในปัจจุบัน เพื่อประเมินศักยภาพในการแข่งขันของไทย และไทยสามารถนําเข้าสินค้าอะไรจากประเทศกลุ่มนี้ได้ นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สําหรับประเด็นการตรวจรับรองระบบงานด้านฮาลาลของสินค้าอาหารไทยที่ส่งออกไป UAE ที่ผ่านมาสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ร่วมกับกรมปศุสัตว์และสํานักงานคณะกรรมการอิสลามกลางแห่งประเทศไทย (สกอท.) ได้หารือกับหน่วยงาน Emirates Authority for Standardization and Metrology (ESMA) เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาที่ไทยไม่สามารถส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลไปยัง UAE ได้ โดยได้เจรจาจนประสบความสําเร็จ ทําให้ UAE ให้การรับรองระบบงานฮาลาลของ สกอท. ส่งผลให้ไทยสามารถส่งสินค้าฮาลาล โดยเฉพาะเนื้อไก่แช่เย็น/แช่แข็ง รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบของสัตว์ปีกไปยัง UAE ได้แล้ว “นอกจากนี้ หน่วยงาน ESMA ได้เสนอให้ มกอช. พัฒนาศักยภาพให้สามารถตรวจรับรองระบบงานสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (สกอท.) ได้ในอนาคต เป็นการลดขั้นตอน และเกิดประโยชน์อย่างมากต่อผู้ประกอบการไทยในการส่งออกสินค้าฮาลาลไทยไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และประเทศมุสลิมอื่นๆ ในอนาคต” นายอลงกรณ์ กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30501
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกันสังคม แจง โควิด - 19 กระทบผู้ประกันตนประกอบอาชีพอิสระ ม.39,40 และม.33 ที่ยังไม่เกิดสิทธิว่างงาน ยื่นขอรับสิทธิเงินเยียวยาจากรัฐ 5 พัน 3 เดือน [กระทรวงแรงงาน]
วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563 ประกันสังคม แจง โควิด - 19 กระทบผู้ประกันตนประกอบอาชีพอิสระ ม.39,40 และม.33 ที่ยังไม่เกิดสิทธิว่างงาน ยื่นขอรับสิทธิเงินเยียวยาจากรัฐ 5 พัน 3 เดือน [กระทรวงแรงงาน] ประกันสังคม แจง โควิด - 19 กระทบผู้ประกันตนประกอบอาชีพอิสระ ม.39,40 และม.33 ที่ยังไม่เกิดสิทธิว่างงาน ยื่นขอรับสิทธิเงินเยียวยาจากรัฐ 5 พัน 3 เดือน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน แจงกรณีผู้ประกันตนที่ประกอบอาชีพอิสระมาตรตรา 39 และ 40 ที่ได้รับผลกระทบจากการ แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID – 19)ว่า ผู้ประกันตนมาตรา 39 และ 40 ที่ส่งเงินสมทบด้วยตนเองเข้าระบบประกันสังคม จะได้รับการดูแลและคุ้มครองจากระบบประกันสังคมอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกันตนภาคสมัครใจมาตรา 39 ได้รับกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต และกรณีชราภาพ ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 40 ก็จะได้รับความคุ้มครอง ขึ้นอยู่กับทางเลือกในการจ่ายเงินสมทบ เช่น เงินทดแทนการขาดรายได้ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทําศพ บําเหน็จชราภาพ สงเคราะห์บุตร โดยผู้ประกันตนมาตรา 39 และ40 นั้น ไม่มีเงื่อนไขในการขอรับประโยชน์ในกรณีว่างงานจากสํานักงานประกันสังคม ทั้งนี้ รวมถึงผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ส่งเงินสมทบยังไม่ครบ 6 เดือน ซึ่งยังไม่เกิดสิทธิ์กรณีว่างงานด้วย ซึ่งในช่วงภาวะวิกฤติเช่นนี้ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 เห็นชอบให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 และ40 สามารถได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการดูแลและเยียวยา แรงงาน ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระ ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID – 19)ได้ โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ 5,000 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563 ) สํานักงานประกันสังคม ขอให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 และ 40 สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการเยียวยาจากผลกระทบดังกล่าว จากกระทรวงการคลัง เริ่มลงทะเบียนวันแรก ในวันที่ 28 มีนาคม 2563 นี้ เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น. โดยนําหลักฐานคือ ถ่ายบัตรประจําตัวประชาชน ข้อมูลส่วนบุคคลข้อมูลนายจ้าง (ถ้ามี) ลงทะเบียนผ่านwww.เราไม่ทิ้งกัน.COMเมื่อผ่านการลงทะเบียนตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว ก็จะได้รับเงินเยียวยา และการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น พร้อมเพย์ ที่ผูกกับเลขบัตรประจําตัวประชาชน ถ้าไม่มีพร้อมเพย์จะจ่ายตรงเข้าบัญชีธนาคาร ในกรณีมีข้อสงสัยขอให้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02 273 9020 ต่อ 3558 ................................ ศูนย์สารนิเทศ สํานักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกันสังคม แจง โควิด - 19 กระทบผู้ประกันตนประกอบอาชีพอิสระ ม.39,40 และม.33 ที่ยังไม่เกิดสิทธิว่างงาน ยื่นขอรับสิทธิเงินเยียวยาจากรัฐ 5 พัน 3 เดือน [กระทรวงแรงงาน] วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563 ประกันสังคม แจง โควิด - 19 กระทบผู้ประกันตนประกอบอาชีพอิสระ ม.39,40 และม.33 ที่ยังไม่เกิดสิทธิว่างงาน ยื่นขอรับสิทธิเงินเยียวยาจากรัฐ 5 พัน 3 เดือน [กระทรวงแรงงาน] ประกันสังคม แจง โควิด - 19 กระทบผู้ประกันตนประกอบอาชีพอิสระ ม.39,40 และม.33 ที่ยังไม่เกิดสิทธิว่างงาน ยื่นขอรับสิทธิเงินเยียวยาจากรัฐ 5 พัน 3 เดือน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน แจงกรณีผู้ประกันตนที่ประกอบอาชีพอิสระมาตรตรา 39 และ 40 ที่ได้รับผลกระทบจากการ แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID – 19)ว่า ผู้ประกันตนมาตรา 39 และ 40 ที่ส่งเงินสมทบด้วยตนเองเข้าระบบประกันสังคม จะได้รับการดูแลและคุ้มครองจากระบบประกันสังคมอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกันตนภาคสมัครใจมาตรา 39 ได้รับกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต และกรณีชราภาพ ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 40 ก็จะได้รับความคุ้มครอง ขึ้นอยู่กับทางเลือกในการจ่ายเงินสมทบ เช่น เงินทดแทนการขาดรายได้ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทําศพ บําเหน็จชราภาพ สงเคราะห์บุตร โดยผู้ประกันตนมาตรา 39 และ40 นั้น ไม่มีเงื่อนไขในการขอรับประโยชน์ในกรณีว่างงานจากสํานักงานประกันสังคม ทั้งนี้ รวมถึงผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ส่งเงินสมทบยังไม่ครบ 6 เดือน ซึ่งยังไม่เกิดสิทธิ์กรณีว่างงานด้วย ซึ่งในช่วงภาวะวิกฤติเช่นนี้ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 เห็นชอบให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 และ40 สามารถได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการดูแลและเยียวยา แรงงาน ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระ ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID – 19)ได้ โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ 5,000 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563 ) สํานักงานประกันสังคม ขอให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 และ 40 สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการเยียวยาจากผลกระทบดังกล่าว จากกระทรวงการคลัง เริ่มลงทะเบียนวันแรก ในวันที่ 28 มีนาคม 2563 นี้ เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น. โดยนําหลักฐานคือ ถ่ายบัตรประจําตัวประชาชน ข้อมูลส่วนบุคคลข้อมูลนายจ้าง (ถ้ามี) ลงทะเบียนผ่านwww.เราไม่ทิ้งกัน.COMเมื่อผ่านการลงทะเบียนตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว ก็จะได้รับเงินเยียวยา และการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น พร้อมเพย์ ที่ผูกกับเลขบัตรประจําตัวประชาชน ถ้าไม่มีพร้อมเพย์จะจ่ายตรงเข้าบัญชีธนาคาร ในกรณีมีข้อสงสัยขอให้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02 273 9020 ต่อ 3558 ................................ ศูนย์สารนิเทศ สํานักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27859
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานหารือการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืนฯ
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานหารือการดําเนินโครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืนฯ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานหารือการดําเนินโครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืนฯ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันที่ 30 มีนาคม 63 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือเกี่ยวกับการดําเนินโครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center : SMC) ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : เมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ (EECi-ARIPOLIS for BCG) โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(NECTEC) ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) และคณะ เข้าร่วมหารือ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม EECi-ARIPOLIS for BCG เป็นโครงการที่จัดทําขึ้นเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งตามเป้าหมาย การพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ของประเทศ ในการพัฒนาเมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (ARIPOLIS) รับผิดชอบดําเนินโครงการโดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติที่เป็นองค์การมหาชน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานหารือการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืนฯ วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานหารือการดําเนินโครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืนฯ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานหารือการดําเนินโครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืนฯ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันที่ 30 มีนาคม 63 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือเกี่ยวกับการดําเนินโครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center : SMC) ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : เมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ (EECi-ARIPOLIS for BCG) โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(NECTEC) ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) และคณะ เข้าร่วมหารือ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม EECi-ARIPOLIS for BCG เป็นโครงการที่จัดทําขึ้นเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งตามเป้าหมาย การพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ของประเทศ ในการพัฒนาเมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (ARIPOLIS) รับผิดชอบดําเนินโครงการโดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติที่เป็นองค์การมหาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28197
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สตช.ชี้แจงประเด็นปัญหาการขายน้ำมันผิดกฎหมาย ในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561 สตช.ชี้แจงประเด็นปัญหาการขายน้ํามันผิดกฎหมาย ในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา สตช.ชี้แจงปัญหาการขายน้ํามันผิดกฎหมายในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ขอความร่วมมือประชาชนไม่ให้การสนับสนุนสถานีให้บริการน้ํามันเถื่อน หากพบเห็นการกระทําผิดขอให้แจ้งเบาะแสยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วันที่ 18 มีนาคม 2561 พลตํารวจเอก วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ/โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และพลตํารวจตรีปรีดา เปี่ยมวารี ผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดสงขลาชี้แจงประเด็น ปัญหาการขายน้ํามันผิดกฎหมายในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ตามที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีปั๊มหลอดขายน้ํามันผิดกฎหมาย และน้ํามันผิดกฎหมายบรรจุแกลลอนจําหน่ายอย่างเปิดเผยเป็นจํานวนมากในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเปิดขายตลอด 24 ชั่วโมง ในราคาถูกกว่าท้องตลาด โดยจําหน่ายน้ํามันเบนซินราคาลิตรละ 25 บาท และน้ํามันดีเซลราคาลิตรละ 22 บาทเท่านั้น ขณะที่น้ํามันแก๊สโซฮอลล์ 95 จําหน่ายในปั้มน้ํามันที่ถูกกฎหมาย เสียภาษีให้รัฐ ขายในราคาลิตรละ 27.90 บาท ส่วนดีเซลราคาลิตรละ 27 บาท นั้น สํานักงานตํารวจแห่งชาติขอชี้แจง ดังนี้ จากการนําเสนอข่าวดังกล่าว กองบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดสงขลา ได้บูรณาการความร่วมมือกับสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่สงขลา เจ้าหน้าที่ทหารสังกัด หมวดปืนเล็กที่ 1 กองร้อยทหารราบที่ 5021 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอําเภอสะเดา เพื่อเข้าตรวจสอบการลักลอบจําหน่ายน้ํามันเถื่อนในพื้นที่อําเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ผลปรากฏพบว่าจุดที่มีการลักลอบขายน้ํามันเถื่อนเหล่านั้นได้ชิงปิดให้บริการไปทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ใช้อํานาจตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 เพื่อเข้าตรวจสอบใบอนุญาตการดําเนินกิจการปั๊มน้ํามันตามจุดต่าง ๆ จํานวน 4 แห่ง พบว่ามีจุดให้บริการน้ํามันอยู่จํานวน 1 จุด ที่ยังมีน้ํามันที่ยังไม่ได้เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมายหลงเหลืออยู่ จึงได้จับกุมตัวผู้ที่แสดงตนเป็นเจ้าของปั๊มน้ํามันนั้น ได้จํานวน 1 ราย นําส่ง สภ.สะเดาเพื่อดําเนินคดีในข้อหามีไว้ในครอบครองสินค้าซึ่งไม่ได้เสียภาษี ตาม พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 ซึ่งมีโทษปรับตั้งแต่สองเท่าถึงสิบเท่าของค่าภาษีที่จะต้องเสีย แต่ต้องไม่ต่ํากว่าหนึ่งร้อยบาท นอกจากนั้น ยังได้ทําการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ ให้เกิดความตระหนักว่า น้ํามันเชื้อเพลิงเป็นวัตถุไวไฟที่มีอันตรายสูง สถานีให้บริการน้ํามันเถื่อนจึงเปรียบเสมือนระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รอวันประทุ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินแก่ผู้คนโดยรอบได้ในพริบตา การจะเปิดสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงจึงต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเข้มงวด อีกทั้งพนักงานผู้ทําหน้าที่ภายในสถานีให้บริการน้ํามันทั้งหลาย ยังต้องได้รับการฝึกอบรมขั้นตอนการปฏิบัติที่เหมาะสมทั้งในด้านการให้บริการและในการควบคุมสถานการณ์หากเกิดเหตุไม่คาดฝันเสียก่อน ทําให้การเปิดสถานีบริการน้ํามันที่ถูกต้องมีค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยที่สูงกว่า ดังนั้นการใช้บริการน้ํามันจากจุดให้บริการน้ํามันที่ไม่ได้มาตรฐานเพียงเพราะเห็นว่ามีราคาที่ถูกกว่าเพียงเล็กน้อย ย่อมเป็นความเสี่ยงที่ไม่คุ้มกับชีวิตอันมีค่าของท่านอย่างแน่นอน นอกจากนั้น ผู้ให้บริการเถื่อนเหล่านี้ ยังหลีกเลี่ยงการชําระภาษีสรรพสามิต ซึ่งเป็นรายได้ที่รัฐจะนํากลับมาพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคนอีกด้วย จึงขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชน ไม่ให้การสนับสนุนสถานีให้บริการน้ํามันเถื่อนทั้งหลาย และหากพบเห็นการกระทําผิดในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสถานีตํารวจภูธรพื้นที่ สํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ทหาร ดําเนินการกวาดล้างจับกุมผู้กระทําความผิด ไม่ให้ฉวยโอกาสเอาเปรียบพี่น้องประชาชน และสร้างอันตรายแฝงแก่ชุมชนได้อีกต่อไป จากนั้นได้สั่งการกําชับการปฏิบัติให้เจ้าหน้าที่ตํารวจในพื้นที่เข้มงวดกวดขันในการจับกุมผู้ค้าน้ํามันเถื่อน หากมีการปล่อยปละละเลยหรือบกพร่องปล่อยให้มีการจําหน่ายน้ํามันเถื่อนในพื้นที่ที่รับผิดชอบหรือมีส่วนอื่นมาจับกุมก็จะถูกพิจารณาทัณฑ์ทางวินัยต่อไป -------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สตช.ชี้แจงประเด็นปัญหาการขายน้ำมันผิดกฎหมาย ในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561 สตช.ชี้แจงประเด็นปัญหาการขายน้ํามันผิดกฎหมาย ในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา สตช.ชี้แจงปัญหาการขายน้ํามันผิดกฎหมายในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ขอความร่วมมือประชาชนไม่ให้การสนับสนุนสถานีให้บริการน้ํามันเถื่อน หากพบเห็นการกระทําผิดขอให้แจ้งเบาะแสยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วันที่ 18 มีนาคม 2561 พลตํารวจเอก วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ/โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และพลตํารวจตรีปรีดา เปี่ยมวารี ผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดสงขลาชี้แจงประเด็น ปัญหาการขายน้ํามันผิดกฎหมายในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ตามที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีปั๊มหลอดขายน้ํามันผิดกฎหมาย และน้ํามันผิดกฎหมายบรรจุแกลลอนจําหน่ายอย่างเปิดเผยเป็นจํานวนมากในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเปิดขายตลอด 24 ชั่วโมง ในราคาถูกกว่าท้องตลาด โดยจําหน่ายน้ํามันเบนซินราคาลิตรละ 25 บาท และน้ํามันดีเซลราคาลิตรละ 22 บาทเท่านั้น ขณะที่น้ํามันแก๊สโซฮอลล์ 95 จําหน่ายในปั้มน้ํามันที่ถูกกฎหมาย เสียภาษีให้รัฐ ขายในราคาลิตรละ 27.90 บาท ส่วนดีเซลราคาลิตรละ 27 บาท นั้น สํานักงานตํารวจแห่งชาติขอชี้แจง ดังนี้ จากการนําเสนอข่าวดังกล่าว กองบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดสงขลา ได้บูรณาการความร่วมมือกับสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่สงขลา เจ้าหน้าที่ทหารสังกัด หมวดปืนเล็กที่ 1 กองร้อยทหารราบที่ 5021 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอําเภอสะเดา เพื่อเข้าตรวจสอบการลักลอบจําหน่ายน้ํามันเถื่อนในพื้นที่อําเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ผลปรากฏพบว่าจุดที่มีการลักลอบขายน้ํามันเถื่อนเหล่านั้นได้ชิงปิดให้บริการไปทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ใช้อํานาจตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 เพื่อเข้าตรวจสอบใบอนุญาตการดําเนินกิจการปั๊มน้ํามันตามจุดต่าง ๆ จํานวน 4 แห่ง พบว่ามีจุดให้บริการน้ํามันอยู่จํานวน 1 จุด ที่ยังมีน้ํามันที่ยังไม่ได้เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมายหลงเหลืออยู่ จึงได้จับกุมตัวผู้ที่แสดงตนเป็นเจ้าของปั๊มน้ํามันนั้น ได้จํานวน 1 ราย นําส่ง สภ.สะเดาเพื่อดําเนินคดีในข้อหามีไว้ในครอบครองสินค้าซึ่งไม่ได้เสียภาษี ตาม พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 ซึ่งมีโทษปรับตั้งแต่สองเท่าถึงสิบเท่าของค่าภาษีที่จะต้องเสีย แต่ต้องไม่ต่ํากว่าหนึ่งร้อยบาท นอกจากนั้น ยังได้ทําการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ ให้เกิดความตระหนักว่า น้ํามันเชื้อเพลิงเป็นวัตถุไวไฟที่มีอันตรายสูง สถานีให้บริการน้ํามันเถื่อนจึงเปรียบเสมือนระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รอวันประทุ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินแก่ผู้คนโดยรอบได้ในพริบตา การจะเปิดสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงจึงต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเข้มงวด อีกทั้งพนักงานผู้ทําหน้าที่ภายในสถานีให้บริการน้ํามันทั้งหลาย ยังต้องได้รับการฝึกอบรมขั้นตอนการปฏิบัติที่เหมาะสมทั้งในด้านการให้บริการและในการควบคุมสถานการณ์หากเกิดเหตุไม่คาดฝันเสียก่อน ทําให้การเปิดสถานีบริการน้ํามันที่ถูกต้องมีค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยที่สูงกว่า ดังนั้นการใช้บริการน้ํามันจากจุดให้บริการน้ํามันที่ไม่ได้มาตรฐานเพียงเพราะเห็นว่ามีราคาที่ถูกกว่าเพียงเล็กน้อย ย่อมเป็นความเสี่ยงที่ไม่คุ้มกับชีวิตอันมีค่าของท่านอย่างแน่นอน นอกจากนั้น ผู้ให้บริการเถื่อนเหล่านี้ ยังหลีกเลี่ยงการชําระภาษีสรรพสามิต ซึ่งเป็นรายได้ที่รัฐจะนํากลับมาพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคนอีกด้วย จึงขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชน ไม่ให้การสนับสนุนสถานีให้บริการน้ํามันเถื่อนทั้งหลาย และหากพบเห็นการกระทําผิดในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสถานีตํารวจภูธรพื้นที่ สํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ทหาร ดําเนินการกวาดล้างจับกุมผู้กระทําความผิด ไม่ให้ฉวยโอกาสเอาเปรียบพี่น้องประชาชน และสร้างอันตรายแฝงแก่ชุมชนได้อีกต่อไป จากนั้นได้สั่งการกําชับการปฏิบัติให้เจ้าหน้าที่ตํารวจในพื้นที่เข้มงวดกวดขันในการจับกุมผู้ค้าน้ํามันเถื่อน หากมีการปล่อยปละละเลยหรือบกพร่องปล่อยให้มีการจําหน่ายน้ํามันเถื่อนในพื้นที่ที่รับผิดชอบหรือมีส่วนอื่นมาจับกุมก็จะถูกพิจารณาทัณฑ์ทางวินัยต่อไป -------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10905
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม One Home ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.กาฬสินธุ์ สมุทรปราการ นครปฐม และตาก
วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561 พม. กําชับทีม One Home ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.กาฬสินธุ์ สมุทรปราการ นครปฐม และตาก พม. กําชับทีม One Home ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.กาฬสินธุ์ สมุทรปราการ นครปฐม และตาก วันนี้ (13 มี.ค. 61) เวลา 08.30 น.นางอุษณี กังวารจิตต์ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 45/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากกรณีครอบครัวหญิงวัย 59 ปี และหลานสาว 2 คน วัย 8 ขวบ และ 10 ขวบ ถูกศาลสั่งขับไล่ออกจากบ้าน ต้องมาอยู่อาศัยที่ศาลาประชาคมของหมู่บ้าน เนื่องจากครอบครัวแพ้คดี ขณะที่สามีแก่ชราวัย 63 ปี ถูกคุมขังในเรือนจํา ทําให้ทั้งยายและหลานสาว 2 คน ต้องใช้ชีวิตด้วยความยากลําบาก ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ และกรณีชายวัย 30 ปี เคยถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดแทงที่บริเวณลําคอ จนเส้นเลือดใหญ่ขาด ทําให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ กลายเป็นเจ้าชายนิทรา นอนป่วยติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องให้อาหารทางสายยาง อาศัยอยู่เพียงลําพังกับผู้เป็นแม่ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพ เนื่องจากต้องอยู่ดูแลลูกชายอย่างใกล้ชิด อีกทั้ง ยังไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีได้ ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดสมุทรปราการ อีกกรณีหญิงรายหนึ่งต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูกพิการทั้ง 2 คน คนโตวัย 33 ปี พิการเดินไม่ได้ ขาลีบและคดงอผิดรูป คนเล็กวัย 10 ปี พิการตั้งแต่กําเนิด แขน-ขาลีบและคดงอผิดรูป นอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทั้ง 3 ชีวิต อาศัยในห้องเช่าสภาพเก่าทรุดโทรมและคับแคบ ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดนครปฐม รวมทั้งกรณีเด็กสาววัย 17 ปี เป็นเด็กเรียนดี กําพร้าพ่อ-แม่ อาศัยอยู่เพียงลําพังกับปู่แก่ชรา ทั้ง 2 ชีวิต อาศัยในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ครอบครัวมีฐานะยากจน อาศัยเพียงเบี้ยยังชีพคนชราใช้ประทังชีวิต ที่จังหวัดตาก นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 4 จังหวัด ได้แก่ พมจ.กาฬสินธุ์ พมจ.สมุทรปราการ พมจ.นครปฐม และ พมจ.ตาก พร้อมทีม One Home ทั้ง 4 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าวทั้งหมด เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก คนพิการ และผู้สูงอายุของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยทั้งหมดอย่างใกล้ชิด และช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กทั้งหมดอย่างต่อเนื่องในระยะยาว รวมทั้ง การปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัย ให้มีความมั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ อีกทั้งให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิ ตามกฎหมาย ตามความเหมาะสม รวมถึงการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคง พร้อมร่วมกันหาแนวทางการช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ กรณีหญิงชราวัย 63 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ําเหลือง นอนป่วยติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ที่ย่านสายไหม กรุงเทพมหานคร นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน และประเมินความพิการของหญิงชราดังกล่าว พร้อมมอบเบี้ยยังชีพ และให้การช่วยเหลือในการรักษาพยาบาลและส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม One Home ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.กาฬสินธุ์ สมุทรปราการ นครปฐม และตาก วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561 พม. กําชับทีม One Home ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.กาฬสินธุ์ สมุทรปราการ นครปฐม และตาก พม. กําชับทีม One Home ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.กาฬสินธุ์ สมุทรปราการ นครปฐม และตาก วันนี้ (13 มี.ค. 61) เวลา 08.30 น.นางอุษณี กังวารจิตต์ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 45/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากกรณีครอบครัวหญิงวัย 59 ปี และหลานสาว 2 คน วัย 8 ขวบ และ 10 ขวบ ถูกศาลสั่งขับไล่ออกจากบ้าน ต้องมาอยู่อาศัยที่ศาลาประชาคมของหมู่บ้าน เนื่องจากครอบครัวแพ้คดี ขณะที่สามีแก่ชราวัย 63 ปี ถูกคุมขังในเรือนจํา ทําให้ทั้งยายและหลานสาว 2 คน ต้องใช้ชีวิตด้วยความยากลําบาก ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ และกรณีชายวัย 30 ปี เคยถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดแทงที่บริเวณลําคอ จนเส้นเลือดใหญ่ขาด ทําให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ กลายเป็นเจ้าชายนิทรา นอนป่วยติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องให้อาหารทางสายยาง อาศัยอยู่เพียงลําพังกับผู้เป็นแม่ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพ เนื่องจากต้องอยู่ดูแลลูกชายอย่างใกล้ชิด อีกทั้ง ยังไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีได้ ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดสมุทรปราการ อีกกรณีหญิงรายหนึ่งต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูกพิการทั้ง 2 คน คนโตวัย 33 ปี พิการเดินไม่ได้ ขาลีบและคดงอผิดรูป คนเล็กวัย 10 ปี พิการตั้งแต่กําเนิด แขน-ขาลีบและคดงอผิดรูป นอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทั้ง 3 ชีวิต อาศัยในห้องเช่าสภาพเก่าทรุดโทรมและคับแคบ ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดนครปฐม รวมทั้งกรณีเด็กสาววัย 17 ปี เป็นเด็กเรียนดี กําพร้าพ่อ-แม่ อาศัยอยู่เพียงลําพังกับปู่แก่ชรา ทั้ง 2 ชีวิต อาศัยในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ครอบครัวมีฐานะยากจน อาศัยเพียงเบี้ยยังชีพคนชราใช้ประทังชีวิต ที่จังหวัดตาก นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 4 จังหวัด ได้แก่ พมจ.กาฬสินธุ์ พมจ.สมุทรปราการ พมจ.นครปฐม และ พมจ.ตาก พร้อมทีม One Home ทั้ง 4 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าวทั้งหมด เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก คนพิการ และผู้สูงอายุของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยทั้งหมดอย่างใกล้ชิด และช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กทั้งหมดอย่างต่อเนื่องในระยะยาว รวมทั้ง การปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัย ให้มีความมั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ อีกทั้งให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิ ตามกฎหมาย ตามความเหมาะสม รวมถึงการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคง พร้อมร่วมกันหาแนวทางการช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ กรณีหญิงชราวัย 63 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ําเหลือง นอนป่วยติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ที่ย่านสายไหม กรุงเทพมหานคร นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน และประเมินความพิการของหญิงชราดังกล่าว พร้อมมอบเบี้ยยังชีพ และให้การช่วยเหลือในการรักษาพยาบาลและส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10729
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.หนุนหญิงไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนแรกของชีวิต
วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2561 สธ.หนุนหญิงไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนแรกของชีวิต กระทรวงสาธารณสุข หนุนหญิงไทยทุกคนเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนแรกของชีวิต ด้วยโครงการมหัศจรรย์ 1,000 วันแรกของชีวิต ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทารกแรกเกิด ลดอัตราการเสียชีวิต พัฒนาระดับสติปัญญา เผยปัจจุบันมีเพียงร้อยละ 23 ตั้งเป้าเพิ่มให้ได้ร้อยล กระทรวงสาธารณสุข หนุนหญิงไทยทุกคนเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนแรกของชีวิต ด้วยโครงการมหัศจรรย์ 1,000 วันแรกของชีวิต ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทารกแรกเกิด ลดอัตราการเสียชีวิต พัฒนาระดับสติปัญญา เผยปัจจุบันมีเพียงร้อยละ 23 ตั้งเป้าเพิ่มให้ได้ร้อยละ 50 ภายในปี 2568 แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัยและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า องค์การอนามัยโลก และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ แนะนําให้เด็กควรได้กินนมแม่อย่างเดียวติดต่อกันตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน โดยไม่ต้องให้น้ําหรืออาหารอื่น เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารที่ย่อยง่ายและถูกสร้างมาให้เหมาะสมที่สุดกับสภาพร่างกายของทารก ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทารกแรกเกิด ลดอัตราการเสียชีวิต พัฒนาระดับสติปัญญา ปัจจุบันทั่วโลกมีเด็กได้กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนเพียงร้อยละ 40 ส่วนประเทศไทยตัวเลขอยู่ที่ร้อยละ 23 สาเหตุสําคัญที่ทําให้แม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้มีหลายประการ ได้แก่ แม่ต้องกลับไปทํางานก่อน 6 เดือน แม่เชื่อว่าน้ํานมไม่พอ หรือแม่เข้าใจผิดคิดว่านมแม่มีสารอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับ 4 กระทรวง พัฒนาศักยภาพเด็กไทย สร้างคนไทย 4.0 มีสุขภาพดี สติปัญญาดี แข็งแรง มีทักษะสูง และมีจิตใจที่งดงาม ดูแลตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ถึงคลอด และเติบโตอย่างมีคุณภาพ ด้วยโครงการมหัศจรรย์ 1,000 วันแรกแห่งชีวิต โดยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นับเป็นช่วงที่ 2 ของ 1,000 วันแรก นับตั้งแต่แรกเกิด-6 เดือน เป็นช่วงที่ร่างกายและสมองของเด็กเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การได้รับนมแม่ตั้งแต่ชั่วโมงแรกของชีวิต การโอบกอดและเล่นกับลูกส่งผลให้ลูกเจริญเติบโตดี มีพัฒนาการทางด้านร่างกายและอารมณ์ดี ตั้งเป้าเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนของชีวิต ให้ได้ร้อยละ 50 ภายในปี 2568 ทั้งนี้ ในการที่จะให้แม่ประสบความสําเร็จในการลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนของชีวิตนั้น ต้องมีการเตรียมพร้อมแม่ตั้งแต่ในระยะตั้งครรภ์ และระยะหลังคลอด ได้แก่ 1.ให้ความรู้เรื่องประโยชน์ของนมแม่ในแง่คุณค่าทางอาหาร การเจริญเติบโต การพัฒนาทางสมองและพฤติกรรม การป้องกันการติดเชื้อของทารก ทําให้รูปร่างที่เปลี่ยนไประหว่างตั้งครรภ์ของแม่กลับมาสวยเหมือนเดิม ป้องกันการเกิดมะเร็งชนิดต่างๆ นอกจากนี้ยังประหยัด และเป็นการสร้างความรักความผูกพันระหว่างแม่ลูก 2.ความรู้เรื่องขั้นตอนในการให้นมแม่ โดยเริ่มให้ลูกดูดนมโดยเร็วตั้งแต่หลังคลอดภายใน 30 นาที เพื่อให้น้ํานมออกเร็ว การให้ลูกดูดนมบ่อยๆในวันแรกหลังคลอด โดยภายใน 24 ชั่วโมงแรก ลูกควรดูดนม 8-12 ครั้ง และต้องให้ลูกดูดนมให้ถูกวิธี คือให้ลูกอมหัวนมให้ถึงลานนม สามารถป้องกันการเกิดนมคัดหรือหัวนมแตกได้ 3.ความรู้เรื่องอาหารที่มีประโยชน์ต่อแม่ในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมลูก โดยควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างเพียงพอ 4.ให้ความรู้ความเข้าใจกับบุคคลในครอบครัว เช่นสามี เพื่อให้บุคคลที่ใกล้ชิดกับหญิงตั้งครรภ์เห็นความสําคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พร้อมให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆและเป็นกําลังใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 5.ตรวจหาความผิดปกติของเต้านม หัวนม และลานหัวนม สิ่งผิดปกติที่พบบ่อยคือ หัวนมสั้น (short nipple) หัวนมบอด ต้องได้รับคําแนะนําและแก้ไข เพื่อให้แม่พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์และวิธีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ถูกต้อง และสร้างความมั่นใจให้กับแม่ว่าจะสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สําเร็จ ******************************** 12 สิงหาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.หนุนหญิงไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนแรกของชีวิต วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2561 สธ.หนุนหญิงไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนแรกของชีวิต กระทรวงสาธารณสุข หนุนหญิงไทยทุกคนเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนแรกของชีวิต ด้วยโครงการมหัศจรรย์ 1,000 วันแรกของชีวิต ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทารกแรกเกิด ลดอัตราการเสียชีวิต พัฒนาระดับสติปัญญา เผยปัจจุบันมีเพียงร้อยละ 23 ตั้งเป้าเพิ่มให้ได้ร้อยล กระทรวงสาธารณสุข หนุนหญิงไทยทุกคนเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนแรกของชีวิต ด้วยโครงการมหัศจรรย์ 1,000 วันแรกของชีวิต ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทารกแรกเกิด ลดอัตราการเสียชีวิต พัฒนาระดับสติปัญญา เผยปัจจุบันมีเพียงร้อยละ 23 ตั้งเป้าเพิ่มให้ได้ร้อยละ 50 ภายในปี 2568 แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัยและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า องค์การอนามัยโลก และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ แนะนําให้เด็กควรได้กินนมแม่อย่างเดียวติดต่อกันตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน โดยไม่ต้องให้น้ําหรืออาหารอื่น เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารที่ย่อยง่ายและถูกสร้างมาให้เหมาะสมที่สุดกับสภาพร่างกายของทารก ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทารกแรกเกิด ลดอัตราการเสียชีวิต พัฒนาระดับสติปัญญา ปัจจุบันทั่วโลกมีเด็กได้กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนเพียงร้อยละ 40 ส่วนประเทศไทยตัวเลขอยู่ที่ร้อยละ 23 สาเหตุสําคัญที่ทําให้แม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้มีหลายประการ ได้แก่ แม่ต้องกลับไปทํางานก่อน 6 เดือน แม่เชื่อว่าน้ํานมไม่พอ หรือแม่เข้าใจผิดคิดว่านมแม่มีสารอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับ 4 กระทรวง พัฒนาศักยภาพเด็กไทย สร้างคนไทย 4.0 มีสุขภาพดี สติปัญญาดี แข็งแรง มีทักษะสูง และมีจิตใจที่งดงาม ดูแลตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ถึงคลอด และเติบโตอย่างมีคุณภาพ ด้วยโครงการมหัศจรรย์ 1,000 วันแรกแห่งชีวิต โดยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นับเป็นช่วงที่ 2 ของ 1,000 วันแรก นับตั้งแต่แรกเกิด-6 เดือน เป็นช่วงที่ร่างกายและสมองของเด็กเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การได้รับนมแม่ตั้งแต่ชั่วโมงแรกของชีวิต การโอบกอดและเล่นกับลูกส่งผลให้ลูกเจริญเติบโตดี มีพัฒนาการทางด้านร่างกายและอารมณ์ดี ตั้งเป้าเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนของชีวิต ให้ได้ร้อยละ 50 ภายในปี 2568 ทั้งนี้ ในการที่จะให้แม่ประสบความสําเร็จในการลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนของชีวิตนั้น ต้องมีการเตรียมพร้อมแม่ตั้งแต่ในระยะตั้งครรภ์ และระยะหลังคลอด ได้แก่ 1.ให้ความรู้เรื่องประโยชน์ของนมแม่ในแง่คุณค่าทางอาหาร การเจริญเติบโต การพัฒนาทางสมองและพฤติกรรม การป้องกันการติดเชื้อของทารก ทําให้รูปร่างที่เปลี่ยนไประหว่างตั้งครรภ์ของแม่กลับมาสวยเหมือนเดิม ป้องกันการเกิดมะเร็งชนิดต่างๆ นอกจากนี้ยังประหยัด และเป็นการสร้างความรักความผูกพันระหว่างแม่ลูก 2.ความรู้เรื่องขั้นตอนในการให้นมแม่ โดยเริ่มให้ลูกดูดนมโดยเร็วตั้งแต่หลังคลอดภายใน 30 นาที เพื่อให้น้ํานมออกเร็ว การให้ลูกดูดนมบ่อยๆในวันแรกหลังคลอด โดยภายใน 24 ชั่วโมงแรก ลูกควรดูดนม 8-12 ครั้ง และต้องให้ลูกดูดนมให้ถูกวิธี คือให้ลูกอมหัวนมให้ถึงลานนม สามารถป้องกันการเกิดนมคัดหรือหัวนมแตกได้ 3.ความรู้เรื่องอาหารที่มีประโยชน์ต่อแม่ในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมลูก โดยควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างเพียงพอ 4.ให้ความรู้ความเข้าใจกับบุคคลในครอบครัว เช่นสามี เพื่อให้บุคคลที่ใกล้ชิดกับหญิงตั้งครรภ์เห็นความสําคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พร้อมให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆและเป็นกําลังใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 5.ตรวจหาความผิดปกติของเต้านม หัวนม และลานหัวนม สิ่งผิดปกติที่พบบ่อยคือ หัวนมสั้น (short nipple) หัวนมบอด ต้องได้รับคําแนะนําและแก้ไข เพื่อให้แม่พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์และวิธีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ถูกต้อง และสร้างความมั่นใจให้กับแม่ว่าจะสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สําเร็จ ******************************** 12 สิงหาคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14554
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ “การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย สร้างคุณค่าอย่างไรให้ตนเองและสังคม”
วันพุธที่ 4 เมษายน 2561 ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ “การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย สร้างคุณค่าอย่างไรให้ตนเองและสังคม” ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย สร้างคุณค่าอย่างไรให้ตนเองและสังคม” เมื่อวันอังคารที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย สร้างคุณค่าอย่างไรให้ตนเองและสังคม” ภายใต้ “โครงการปันความรู้สู่สังคม สืบสานพระราชปณิธาน” แก่คณะผู้บริหาร ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา ครูอาจารย์ และประชาชน โดยมูลนิธิธรรมดี และสํานักพิมพ์ดีเอ็มจี ร่วมกันจัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า “เหตุอันใดหรือ ที่ลูกหลานเยาวชนวันนี้ มุ่งมั่นเข้าศึกษา โบราณสถานหลายแห่งในหลายจังหวัด เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ศึกษาค้นคว้าต่อยอด จากสิ่งที่ตนพบเจอข้าพเจ้ามองว่า สิ่งนี้สะท้อนถึงการมีต้นแบบ หรือแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม ที่ทําให้ลูกหลานเยาวชนและสังคม อยากปฏิบัติตาม หากเป็นสิ่งที่ดีก็ดีไป แต่หากเป็นสิ่งที่ไม่ดี ลูกหลานเยาวชนย่อมต้องมีวิจารณญาณ อย่าให้สิ่งที่ไม่ดีเข้ามาครอบงํา ข้าราชการใหม่เป็นจํานวนมาก ตลอดจนลูกหลานเยาวชนจากหลายสถานศึกษา เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ที่วังวรดิศในยามนี้ เพื่ออยากชมภาพเขียนอันงดงามของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ที่จิตรกรชาวอินโดนีเซียเขียนถวายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ด้วยความเชื่อมาแต่เนิ่นนานว่า เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นปฐมบรรพบุรุษของพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งเอกอัครราชทูต หม่อมราชวงศ์สังขดิศ ดิศกุล ทายาทของเสด็จในกรม ได้เพียรรักษารูปภาพนี้มาได้ ละครบุพเพสันนิวาส ไม่เพียงทําให้ผู้คนอยากแต่งกายย้อนยุค นิยมเพลงที่ประพันธ์ขึ้นอย่างไพเราะ อยากเห็นและสัมผัสเหล่าศิลปินดาราที่เป็นไอดอลของตน แต่ข้าพเจ้ามองว่า ผลลัพธ์ที่สําคัญที่สุด จากละครเรื่องนี้ คือ การทําให้ลูกหลานเยาวชนอยากเรียนรู้ประวัติศาสตร์ อันจะก่อให้เกิดความรัก และหวงแหน มีความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองไทย ม.ล.ปนัดดา กล่าวเพิ่มเติมว่า “โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และพระดํารัสบอกเล่า ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดี ความว่า เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นบรรพบุรุษของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ด้วยเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ท่านนี้เป็นบิดาของเจ้าพระยาวรวงษาธิราช (ขุนทอง) เป็นปู่ของพระยาราชนิกูล (ทองคํา) ซึ่งเป็นพระบิดาของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ผู้ทรงเป็นพระราชบิดาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นข้าราชการในราชอาณาจักรอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นราชทูตคนสําคัญที่ได้เดินทางไปเจริญราชไมตรีกับราชสํานักฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๙ ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ปรากฏชื่อเสียงเกียรติยศในปรีชาสามารถทางการทูตให้กับกรุงศรีอยุธยา และประเทศสยามในเวลาต่อมา ถึงกับมีการกล่าวถึงท่านว่า เป็นนักการทูตลิ้นทอง และนักการทูตมือฉมัง พระราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงมีถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประมาณปี พ.ศ. ๒๒๓๐ กล่าวถึงเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ความว่า “ราชทูตของพระองค์นี้ รู้สึกว่า เป็นคนรอบคอบ รู้จักปฏิบัติราชกิจของพระองค์ได้อย่างถี่ถ้วนดีมาก หากเรามิฉวยโอกาสนี้เพื่อเผยแพร่ความชอบแห่งราชทูต ของพระองค์บ้าง ก็จะเป็นการอยุติธรรมไป เพราะสิ่งที่ราชทูตได้ปฏิบัติล้วนถูกใจเราทุกอย่าง โดยแต่น้ําคําที่พูดออกมาทีไร แต่ละถ้อยคําก็ดูน่าปลื้มใจ และน่าเชื่อถือไปทั้งสิ้น”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ “การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย สร้างคุณค่าอย่างไรให้ตนเองและสังคม” วันพุธที่ 4 เมษายน 2561 ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ “การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย สร้างคุณค่าอย่างไรให้ตนเองและสังคม” ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย สร้างคุณค่าอย่างไรให้ตนเองและสังคม” เมื่อวันอังคารที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย สร้างคุณค่าอย่างไรให้ตนเองและสังคม” ภายใต้ “โครงการปันความรู้สู่สังคม สืบสานพระราชปณิธาน” แก่คณะผู้บริหาร ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา ครูอาจารย์ และประชาชน โดยมูลนิธิธรรมดี และสํานักพิมพ์ดีเอ็มจี ร่วมกันจัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า “เหตุอันใดหรือ ที่ลูกหลานเยาวชนวันนี้ มุ่งมั่นเข้าศึกษา โบราณสถานหลายแห่งในหลายจังหวัด เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ศึกษาค้นคว้าต่อยอด จากสิ่งที่ตนพบเจอข้าพเจ้ามองว่า สิ่งนี้สะท้อนถึงการมีต้นแบบ หรือแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม ที่ทําให้ลูกหลานเยาวชนและสังคม อยากปฏิบัติตาม หากเป็นสิ่งที่ดีก็ดีไป แต่หากเป็นสิ่งที่ไม่ดี ลูกหลานเยาวชนย่อมต้องมีวิจารณญาณ อย่าให้สิ่งที่ไม่ดีเข้ามาครอบงํา ข้าราชการใหม่เป็นจํานวนมาก ตลอดจนลูกหลานเยาวชนจากหลายสถานศึกษา เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ที่วังวรดิศในยามนี้ เพื่ออยากชมภาพเขียนอันงดงามของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ที่จิตรกรชาวอินโดนีเซียเขียนถวายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ด้วยความเชื่อมาแต่เนิ่นนานว่า เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นปฐมบรรพบุรุษของพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งเอกอัครราชทูต หม่อมราชวงศ์สังขดิศ ดิศกุล ทายาทของเสด็จในกรม ได้เพียรรักษารูปภาพนี้มาได้ ละครบุพเพสันนิวาส ไม่เพียงทําให้ผู้คนอยากแต่งกายย้อนยุค นิยมเพลงที่ประพันธ์ขึ้นอย่างไพเราะ อยากเห็นและสัมผัสเหล่าศิลปินดาราที่เป็นไอดอลของตน แต่ข้าพเจ้ามองว่า ผลลัพธ์ที่สําคัญที่สุด จากละครเรื่องนี้ คือ การทําให้ลูกหลานเยาวชนอยากเรียนรู้ประวัติศาสตร์ อันจะก่อให้เกิดความรัก และหวงแหน มีความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองไทย ม.ล.ปนัดดา กล่าวเพิ่มเติมว่า “โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และพระดํารัสบอกเล่า ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดี ความว่า เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นบรรพบุรุษของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ด้วยเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ท่านนี้เป็นบิดาของเจ้าพระยาวรวงษาธิราช (ขุนทอง) เป็นปู่ของพระยาราชนิกูล (ทองคํา) ซึ่งเป็นพระบิดาของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ผู้ทรงเป็นพระราชบิดาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นข้าราชการในราชอาณาจักรอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นราชทูตคนสําคัญที่ได้เดินทางไปเจริญราชไมตรีกับราชสํานักฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๙ ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ปรากฏชื่อเสียงเกียรติยศในปรีชาสามารถทางการทูตให้กับกรุงศรีอยุธยา และประเทศสยามในเวลาต่อมา ถึงกับมีการกล่าวถึงท่านว่า เป็นนักการทูตลิ้นทอง และนักการทูตมือฉมัง พระราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงมีถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประมาณปี พ.ศ. ๒๒๓๐ กล่าวถึงเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ความว่า “ราชทูตของพระองค์นี้ รู้สึกว่า เป็นคนรอบคอบ รู้จักปฏิบัติราชกิจของพระองค์ได้อย่างถี่ถ้วนดีมาก หากเรามิฉวยโอกาสนี้เพื่อเผยแพร่ความชอบแห่งราชทูต ของพระองค์บ้าง ก็จะเป็นการอยุติธรรมไป เพราะสิ่งที่ราชทูตได้ปฏิบัติล้วนถูกใจเราทุกอย่าง โดยแต่น้ําคําที่พูดออกมาทีไร แต่ละถ้อยคําก็ดูน่าปลื้มใจ และน่าเชื่อถือไปทั้งสิ้น”
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11328
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี
วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ําไปเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ครม. อนุมัติโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ําจากเกาะพะงัน ไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อ เพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้า รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของประชาชนและนักท่องเที่ยวภายในเกาะเต่า รวมทั้งลดความเสียหายจากปัญหาไฟฟ้าดับที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการดังกล่าวมีระยะเวลาดําเนินการ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2564 - 2566 วงเงินลงทุน 1,776 ล้านบาท นอกจากนี้ ครม. ยังกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดด้วย ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ําไปเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ครม. อนุมัติโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ําจากเกาะพะงัน ไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อ เพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้า รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของประชาชนและนักท่องเที่ยวภายในเกาะเต่า รวมทั้งลดความเสียหายจากปัญหาไฟฟ้าดับที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการดังกล่าวมีระยะเวลาดําเนินการ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2564 - 2566 วงเงินลงทุน 1,776 ล้านบาท นอกจากนี้ ครม. ยังกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดด้วย ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26714
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน จัดงาน ครบรอบ 105 ปี “1 เมษายน 2561” ฝากเงินด้วยตัวเอง 500 บาท รับ “กระปุกออมสินต่อยอดการออม” พร้อมมอบ 5,000 บาท เป็นเงินขวัญถุงให้เด็กเกิด 1 เมษายน ที่ตั้งชื่อว่า “ออมสิน”
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561 ออมสิน จัดงาน ครบรอบ 105 ปี “1 เมษายน 2561” ฝากเงินด้วยตัวเอง 500 บาท รับ “กระปุกออมสินต่อยอดการออม” พร้อมมอบ 5,000 บาท เป็นเงินขวัญถุงให้เด็กเกิด 1 เมษายน ที่ตั้งชื่อว่า “ออมสิน” ธนาคารออมสิน จัดงานวันสถาปนาธนาคารออมสิน 1 เมษายน 2561 รับ “กระปุกออมสินต่อยอดการออม” เมื่อเปิดบัญชีใหม่หรือฝากเงินประเภทใดก็ได้ด้วยตัวเอง 500 บาทขึ้นไป ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่ 8.30 – 12.00 น. ธนาคารออมสิน จัดงานวันสถาปนาธนาคารออมสิน 1 เมษายน 2561 รับ “กระปุกออมสินต่อยอดการออม” เมื่อเปิดบัญชีใหม่หรือฝากเงินประเภทใดก็ได้ด้วยตัวเอง 500 บาทขึ้นไป ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่ 8.30 – 12.00 น. และพิเศษสุด..มอบเงินขวัญถุงเป็นทุนประเดิมให้เด็กที่เกิดในวันที่ 1 เมษายน 2561 จํานวน 500 บาท และถ้าตั้งชื่อ “ออมสิน” รับทุนประเดิม 5,000 บาท นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า วันที่ 1 เมษายนของทุกปี ถือเป็นวันมงคลยิ่งของธนาคารออมสิน ด้วย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานพระราชทรัพย์จัดตั้ง “คลังออมสิน” ด้วยทรงเล็งเห็นถึงคุณประโยชน์ของการออมทรัพย์ และให้ประชาชนมีสถานที่เก็บรักษาทรัพย์สินเงินทองให้ปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย ก่อนที่จะทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตประกาศใช้พระราชบัญญัติคลังออมสิน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2456 ความแข็งแกร่งและมั่นคงของคลังออมสิน ซึ่งใช้เวลาก่อร่างสร้างตัวในช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนาน จนได้รับพระราชทานการจัดตั้งเป็น “ธนาคารออมสิน” เมื่อปี พ.ศ.2489 จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ และสถาบันเพื่อการออมแห่งนี้ได้ดําเนินการมาจนมีวาระครบรอบ 105 ปี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรําลึกถึงความเป็นสถาบันเพื่อการออมมาอย่างยาวนาน 105 ปี อีกทั้งยังเป็นการขอบคุณลูกค้าและประชาชนทั่วไปที่ให้ความไว้วางใจในการฝากทรัพย์กับธนาคารออมสิน ธนาคารฯ จึงได้เปิดให้บริการรับฝากเงินเป็นกรณีพิเศษในวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารออมสิน วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2561 ระหว่างเวลา 8.30 – 12.00 น. ได้แก่ สํานักพหลโยธิน (สํานักงานใหญ่) สํานักราชดําเนิน ธนาคารออมสินสาขา และหน่วยให้บริการที่เปิดทําการ 5 วันต่อสัปดาห์ พร้อมกับจัดกิจกรรมพิเศษ แจก “กระปุกออมสินต่อยอดการออม” เป็นที่ระลึก 1 ใบ ต่อ 1 บัญชี (ของมีจํานวนจํากัด) เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมทรัพย์ให้แก่ผู้เปิดบัญชีเงินฝากใหม่หรือฝากเงินประเภทใดก็ได้ ซึ่งต้องฝากด้วยตัวเองไม่ต่ํากว่าบัญชีละ 500 บาท โดยสามารถฝากต่างสาขาได้ แต่กรณีบัญชีเพื่อผู้เยาว์ ผู้มาฝากเงินจะเป็นผู้ฝากหรือผู้เยาว์ก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีอีกกิจกรรมที่ธนาคารออมสินมอบให้มาช้านาน คือ มอบเงินทุนประเดิม (เงินขวัญถุง) ให้แก่เด็กที่เกิดในวันออมสิน ในวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี เพื่อเริ่มต้นสร้างนิสัยการออมให้แก่เด็กรายละ 500 บาท และพิเศษสําหรับเด็กแรกเกิดที่บิดามารดาตั้งชื่อว่า “ออมสิน” ธนาคารฯ มอบทุนประเดิมให้เป็น 5,000 บาท เพียงนําสูติบัตรของเด็กพร้อมด้วยทะเบียนบ้านที่มีชื่อบิดา-มารดา มาแสดงที่สาขาธนาคารออมสินใกล้บ้านภายในเดือนธันวาคม 2561 ธนาคารฯ จะนําเงินทุนประเดิมฝากเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์ และจะเก็บเงินทุนประเดิมนี้ไว้จนกว่าผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, www.facebook.com : GSB Society, Official Line : GSB ธนาคารออมสิน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน จัดงาน ครบรอบ 105 ปี “1 เมษายน 2561” ฝากเงินด้วยตัวเอง 500 บาท รับ “กระปุกออมสินต่อยอดการออม” พร้อมมอบ 5,000 บาท เป็นเงินขวัญถุงให้เด็กเกิด 1 เมษายน ที่ตั้งชื่อว่า “ออมสิน” วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561 ออมสิน จัดงาน ครบรอบ 105 ปี “1 เมษายน 2561” ฝากเงินด้วยตัวเอง 500 บาท รับ “กระปุกออมสินต่อยอดการออม” พร้อมมอบ 5,000 บาท เป็นเงินขวัญถุงให้เด็กเกิด 1 เมษายน ที่ตั้งชื่อว่า “ออมสิน” ธนาคารออมสิน จัดงานวันสถาปนาธนาคารออมสิน 1 เมษายน 2561 รับ “กระปุกออมสินต่อยอดการออม” เมื่อเปิดบัญชีใหม่หรือฝากเงินประเภทใดก็ได้ด้วยตัวเอง 500 บาทขึ้นไป ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่ 8.30 – 12.00 น. ธนาคารออมสิน จัดงานวันสถาปนาธนาคารออมสิน 1 เมษายน 2561 รับ “กระปุกออมสินต่อยอดการออม” เมื่อเปิดบัญชีใหม่หรือฝากเงินประเภทใดก็ได้ด้วยตัวเอง 500 บาทขึ้นไป ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่ 8.30 – 12.00 น. และพิเศษสุด..มอบเงินขวัญถุงเป็นทุนประเดิมให้เด็กที่เกิดในวันที่ 1 เมษายน 2561 จํานวน 500 บาท และถ้าตั้งชื่อ “ออมสิน” รับทุนประเดิม 5,000 บาท นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า วันที่ 1 เมษายนของทุกปี ถือเป็นวันมงคลยิ่งของธนาคารออมสิน ด้วย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานพระราชทรัพย์จัดตั้ง “คลังออมสิน” ด้วยทรงเล็งเห็นถึงคุณประโยชน์ของการออมทรัพย์ และให้ประชาชนมีสถานที่เก็บรักษาทรัพย์สินเงินทองให้ปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย ก่อนที่จะทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตประกาศใช้พระราชบัญญัติคลังออมสิน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2456 ความแข็งแกร่งและมั่นคงของคลังออมสิน ซึ่งใช้เวลาก่อร่างสร้างตัวในช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนาน จนได้รับพระราชทานการจัดตั้งเป็น “ธนาคารออมสิน” เมื่อปี พ.ศ.2489 จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ และสถาบันเพื่อการออมแห่งนี้ได้ดําเนินการมาจนมีวาระครบรอบ 105 ปี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรําลึกถึงความเป็นสถาบันเพื่อการออมมาอย่างยาวนาน 105 ปี อีกทั้งยังเป็นการขอบคุณลูกค้าและประชาชนทั่วไปที่ให้ความไว้วางใจในการฝากทรัพย์กับธนาคารออมสิน ธนาคารฯ จึงได้เปิดให้บริการรับฝากเงินเป็นกรณีพิเศษในวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารออมสิน วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2561 ระหว่างเวลา 8.30 – 12.00 น. ได้แก่ สํานักพหลโยธิน (สํานักงานใหญ่) สํานักราชดําเนิน ธนาคารออมสินสาขา และหน่วยให้บริการที่เปิดทําการ 5 วันต่อสัปดาห์ พร้อมกับจัดกิจกรรมพิเศษ แจก “กระปุกออมสินต่อยอดการออม” เป็นที่ระลึก 1 ใบ ต่อ 1 บัญชี (ของมีจํานวนจํากัด) เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมทรัพย์ให้แก่ผู้เปิดบัญชีเงินฝากใหม่หรือฝากเงินประเภทใดก็ได้ ซึ่งต้องฝากด้วยตัวเองไม่ต่ํากว่าบัญชีละ 500 บาท โดยสามารถฝากต่างสาขาได้ แต่กรณีบัญชีเพื่อผู้เยาว์ ผู้มาฝากเงินจะเป็นผู้ฝากหรือผู้เยาว์ก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีอีกกิจกรรมที่ธนาคารออมสินมอบให้มาช้านาน คือ มอบเงินทุนประเดิม (เงินขวัญถุง) ให้แก่เด็กที่เกิดในวันออมสิน ในวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี เพื่อเริ่มต้นสร้างนิสัยการออมให้แก่เด็กรายละ 500 บาท และพิเศษสําหรับเด็กแรกเกิดที่บิดามารดาตั้งชื่อว่า “ออมสิน” ธนาคารฯ มอบทุนประเดิมให้เป็น 5,000 บาท เพียงนําสูติบัตรของเด็กพร้อมด้วยทะเบียนบ้านที่มีชื่อบิดา-มารดา มาแสดงที่สาขาธนาคารออมสินใกล้บ้านภายในเดือนธันวาคม 2561 ธนาคารฯ จะนําเงินทุนประเดิมฝากเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์ และจะเก็บเงินทุนประเดิมนี้ไว้จนกว่าผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, www.facebook.com : GSB Society, Official Line : GSB ธนาคารออมสิน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11086
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสวมหน้ากากอนามัยสามารถป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างไร ??
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563 การสวมหน้ากากอนามัยสามารถป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างไร ?? มีอะไรบ้างนะ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสวมหน้ากากอนามัยสามารถป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างไร ?? วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563 การสวมหน้ากากอนามัยสามารถป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างไร ?? มีอะไรบ้างนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33876
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดปฏิบัติการฝนหลวงเตรียมสู้ภัยแล้ง ปี 2562
วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ เปิดปฏิบัติการฝนหลวงเตรียมสู้ภัยแล้ง ปี 2562 กระทรวงเกษตรฯ เปิดปฏิบัติการฝนหลวงเตรียมสู้ภัยแล้ง ปี 2562 บูรณาการทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมมาตรการรับมืออย่างเข้มข้น นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดปฏิบัติการฝนหลวงสู้ภัยแล้ง ประจําปี 2562 ณ สนามบินนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ว่า ขณะนี้สถานการณ์ภัยแล้งได้เริ่มขึ้นแล้ว ปริมาณน้ําในเขื่อน อ่างเก็บน้ําและในแม่น้ําสายหลักอยู่ในเกณฑ์ไม่มากนัก อาจส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในฤดูแล้ง สถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน รวมทั้งการขาดแคลนน้ําในการอุปโภคบริโภค ตลอดจนการผลิตน้ําประปา ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีนโยบายในการสนับสนุนการปลูกพืชใช้น้ําน้อย การเน้นใช้น้ําเพื่อการอุปโภค บริโภคอย่างประหยัด รวมทั้งได้มีการประชุมติดตามสถานการณ์น้ํา มีการวางแผนบริหารจัดการน้ําในฤดูแล้ง เพื่อกําหนดมาตรการป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันกรมชลประทานยืนยันว่ามีปริมาณน้ําเพียงพอให้ประชาชนใช้ไปจนถึงเดือนพฤษภาคมนี้แน่นอน อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯ ได้ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือไปยังเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่เขตชลประทานในการประชาสัมพันธ์ให้ปลูกพืชใช้น้ําน้อย และใช้น้ําอย่างประหยัด ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทานได้มอบหมายให้ชลประทานจังหวัดเป็นเจ้าภาพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สํารวจความต้องการการใช้น้ําและปริมาณน้ําที่มีอยู่ เพื่อเป็นข้อมูลในการนํามาบริหารจัดการน้ําในฤดูแล้งนี้ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังทุกหน่วยงานในสังกัด เพื่อมอบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานในวันจันทร์ที่ 4 มีนาคมนี้ด้วย ด้ายนายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับในปี 2562 กรมฝนหลวงและการบินเกษตรมีแผนปฏิบัติการประจําปี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ซึ่งได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจํา 5 ภูมิภาค จํานวน 5 ศูนย์ ดําเนินการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จํานวน 12 หน่วยปฏิบัติการ เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือให้ครอบคลุม 25 ลุ่มน้ําหลักในพื้นที่ 77 จังหวัด โดยมีแผนปฏิบัติการ ดังนี้ 1) แผนการป้องกันและแก้ไขภัยแล้ง 2) แผนการเติมน้ําต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ํา 3) แผนบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า 4) แผนการยับยั้งการเกิดพายุลูกเห็บ นอกจากนี้ ที่ผ่านมากรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการฝนหลวงช่วยคลี่คลายสถานการณ์ฝุ่นละอองในอากาศเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งได้ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วที่จังหวัดระยอง นครสวรรค์ พิษณุโลก และขอนแก่น ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2562 จนถึงปัจจุบัน เพื่อช่วยเหลือพื้นที่บริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมพื้นที่จํานวน 16 จังหวัด ปฏิบัติการไปแล้วทั้งสิ้น 17 วัน 92 เที่ยวบิน ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีเกษตรฯ ได้ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการสานพลังประชารัฐ เพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา ณ แปลงใหญ่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หมู่ 5 ตําบลศาลเจ้าไก่ต่อ อําเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ด้วย. กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดปฏิบัติการฝนหลวงเตรียมสู้ภัยแล้ง ปี 2562 วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ เปิดปฏิบัติการฝนหลวงเตรียมสู้ภัยแล้ง ปี 2562 กระทรวงเกษตรฯ เปิดปฏิบัติการฝนหลวงเตรียมสู้ภัยแล้ง ปี 2562 บูรณาการทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมมาตรการรับมืออย่างเข้มข้น นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดปฏิบัติการฝนหลวงสู้ภัยแล้ง ประจําปี 2562 ณ สนามบินนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ว่า ขณะนี้สถานการณ์ภัยแล้งได้เริ่มขึ้นแล้ว ปริมาณน้ําในเขื่อน อ่างเก็บน้ําและในแม่น้ําสายหลักอยู่ในเกณฑ์ไม่มากนัก อาจส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในฤดูแล้ง สถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน รวมทั้งการขาดแคลนน้ําในการอุปโภคบริโภค ตลอดจนการผลิตน้ําประปา ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีนโยบายในการสนับสนุนการปลูกพืชใช้น้ําน้อย การเน้นใช้น้ําเพื่อการอุปโภค บริโภคอย่างประหยัด รวมทั้งได้มีการประชุมติดตามสถานการณ์น้ํา มีการวางแผนบริหารจัดการน้ําในฤดูแล้ง เพื่อกําหนดมาตรการป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันกรมชลประทานยืนยันว่ามีปริมาณน้ําเพียงพอให้ประชาชนใช้ไปจนถึงเดือนพฤษภาคมนี้แน่นอน อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯ ได้ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือไปยังเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่เขตชลประทานในการประชาสัมพันธ์ให้ปลูกพืชใช้น้ําน้อย และใช้น้ําอย่างประหยัด ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทานได้มอบหมายให้ชลประทานจังหวัดเป็นเจ้าภาพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สํารวจความต้องการการใช้น้ําและปริมาณน้ําที่มีอยู่ เพื่อเป็นข้อมูลในการนํามาบริหารจัดการน้ําในฤดูแล้งนี้ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังทุกหน่วยงานในสังกัด เพื่อมอบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานในวันจันทร์ที่ 4 มีนาคมนี้ด้วย ด้ายนายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับในปี 2562 กรมฝนหลวงและการบินเกษตรมีแผนปฏิบัติการประจําปี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ซึ่งได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจํา 5 ภูมิภาค จํานวน 5 ศูนย์ ดําเนินการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จํานวน 12 หน่วยปฏิบัติการ เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือให้ครอบคลุม 25 ลุ่มน้ําหลักในพื้นที่ 77 จังหวัด โดยมีแผนปฏิบัติการ ดังนี้ 1) แผนการป้องกันและแก้ไขภัยแล้ง 2) แผนการเติมน้ําต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ํา 3) แผนบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า 4) แผนการยับยั้งการเกิดพายุลูกเห็บ นอกจากนี้ ที่ผ่านมากรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการฝนหลวงช่วยคลี่คลายสถานการณ์ฝุ่นละอองในอากาศเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งได้ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วที่จังหวัดระยอง นครสวรรค์ พิษณุโลก และขอนแก่น ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2562 จนถึงปัจจุบัน เพื่อช่วยเหลือพื้นที่บริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมพื้นที่จํานวน 16 จังหวัด ปฏิบัติการไปแล้วทั้งสิ้น 17 วัน 92 เที่ยวบิน ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีเกษตรฯ ได้ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการสานพลังประชารัฐ เพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา ณ แปลงใหญ่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หมู่ 5 ตําบลศาลเจ้าไก่ต่อ อําเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ด้วย. กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19082
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผช.รัฐมนตรีเกษตรฯ นราพัฒน์ ไม่หยุด!! ลุยแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย แบบ “คิดนอกกรอบ” ทำชลประทานนอกเขตชลประทานได้จริง
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 ผช.รัฐมนตรีเกษตรฯ นราพัฒน์ ไม่หยุด!! ลุยแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย แบบ “คิดนอกกรอบ” ทําชลประทานนอกเขตชลประทานได้จริง ผช.รัฐมนตรีเกษตรฯ นราพัฒน์ ไม่หยุด!! ลุยแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย แบบ “คิดนอกกรอบ” ทําชลประทานนอกเขตชลประทานได้จริง นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า หลังจากได้รับแจ้งความเดือดร้อนจากเกษตรกรและชาวบ้าน อําเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ถึงปัญหาภัยแล้ง เนื่องจากที่ดินส่วนใหญ่อยู่นอกเขตชลประทาน ไม่มีน้ําเพื่ออุปโภค บริโภค และทําการเกษตร เมื่อฝนมาก็ไม่มีพื้นที่เก็บกักน้ําไว้ใช้ จนชาวบ้านและเกษตรกรในพื้นที่ต้องลงมือก่อสร้างขุดลอกแหล่งน้ําเอง แต่ก็เกิดปัญหาและอุปสรรคในการก่อสร้าง รวมถึงความจํากัดด้านงบประมาณ และวัสดุ อุปกรณ์ก่อสร้าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) จึงได้มอบหมายให้รีบมารับฟังปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน และหารือแนวทางการแก้ไขปัญหากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมชลประทานที่เป็นหน่วยงานราชการภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยได้กําชับนายเกรียงไกร ภาคพิเศษ ผู้อํานวยการสํานักงานชลประทานที่ 3 เป็นที่ปรึกษาการออกแบบแหล่งน้ําชุมชน หรือ ฝายแม้วและการก่อสร้างสถานีสูบน้ําให้กับชาวบ้าน เพื่อให้แหล่งเก็บน้ําใช้ได้อย่างจริงจัง คงทน แข็งแรง ซึ่งจากการสํารวจรอบแหล่งเก็บน้ํา พบว่าฝายที่ชาวบ้านขุดเพื่อเก็บน้ํายังมีโครงสร้างไม่มั่นคง หากฝนตกหนักอาจเกิดดินถล่มได้ง่าย พร้อมทั้งระบบท่อส่งน้ํายังไม่เพียงพอ "เนื่องจากพื้นที่แหล่งน้ํานี้ตั้งอยู่ในเขตป่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานจึงจะประสานงานกับกรมป่าไม้เพื่อขออนุญาติการใช้พื้นที่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อบริการและอํานวยความสะดวกให้แก่ชาวบ้านและเกษตรกรให้พื้นที่ให้มีน้ําไว้ใช้ คาดว่าจะสามารถกักเก็บน้ําไว้ใช้ได้ประมาณ 300,000 ถึง 400,000 ลบ.ม. โดยฝายแม้วดังกล่าว นับเป็นการดําเนินงานก่อสร้างตามแนวทางพระราชดําริ ที่ชาวบ้านในพื้นที่ร่วมแรง ร่วมใจสร้างฝายเก็บน้ําเพื่อใช้สําหรับการเกษตรและการอุปโภค บริโภคในอนาคต" นายนราพัฒน์ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผช.รัฐมนตรีเกษตรฯ นราพัฒน์ ไม่หยุด!! ลุยแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย แบบ “คิดนอกกรอบ” ทำชลประทานนอกเขตชลประทานได้จริง วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 ผช.รัฐมนตรีเกษตรฯ นราพัฒน์ ไม่หยุด!! ลุยแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย แบบ “คิดนอกกรอบ” ทําชลประทานนอกเขตชลประทานได้จริง ผช.รัฐมนตรีเกษตรฯ นราพัฒน์ ไม่หยุด!! ลุยแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย แบบ “คิดนอกกรอบ” ทําชลประทานนอกเขตชลประทานได้จริง นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า หลังจากได้รับแจ้งความเดือดร้อนจากเกษตรกรและชาวบ้าน อําเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ถึงปัญหาภัยแล้ง เนื่องจากที่ดินส่วนใหญ่อยู่นอกเขตชลประทาน ไม่มีน้ําเพื่ออุปโภค บริโภค และทําการเกษตร เมื่อฝนมาก็ไม่มีพื้นที่เก็บกักน้ําไว้ใช้ จนชาวบ้านและเกษตรกรในพื้นที่ต้องลงมือก่อสร้างขุดลอกแหล่งน้ําเอง แต่ก็เกิดปัญหาและอุปสรรคในการก่อสร้าง รวมถึงความจํากัดด้านงบประมาณ และวัสดุ อุปกรณ์ก่อสร้าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) จึงได้มอบหมายให้รีบมารับฟังปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน และหารือแนวทางการแก้ไขปัญหากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมชลประทานที่เป็นหน่วยงานราชการภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยได้กําชับนายเกรียงไกร ภาคพิเศษ ผู้อํานวยการสํานักงานชลประทานที่ 3 เป็นที่ปรึกษาการออกแบบแหล่งน้ําชุมชน หรือ ฝายแม้วและการก่อสร้างสถานีสูบน้ําให้กับชาวบ้าน เพื่อให้แหล่งเก็บน้ําใช้ได้อย่างจริงจัง คงทน แข็งแรง ซึ่งจากการสํารวจรอบแหล่งเก็บน้ํา พบว่าฝายที่ชาวบ้านขุดเพื่อเก็บน้ํายังมีโครงสร้างไม่มั่นคง หากฝนตกหนักอาจเกิดดินถล่มได้ง่าย พร้อมทั้งระบบท่อส่งน้ํายังไม่เพียงพอ "เนื่องจากพื้นที่แหล่งน้ํานี้ตั้งอยู่ในเขตป่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานจึงจะประสานงานกับกรมป่าไม้เพื่อขออนุญาติการใช้พื้นที่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อบริการและอํานวยความสะดวกให้แก่ชาวบ้านและเกษตรกรให้พื้นที่ให้มีน้ําไว้ใช้ คาดว่าจะสามารถกักเก็บน้ําไว้ใช้ได้ประมาณ 300,000 ถึง 400,000 ลบ.ม. โดยฝายแม้วดังกล่าว นับเป็นการดําเนินงานก่อสร้างตามแนวทางพระราชดําริ ที่ชาวบ้านในพื้นที่ร่วมแรง ร่วมใจสร้างฝายเก็บน้ําเพื่อใช้สําหรับการเกษตรและการอุปโภค บริโภคในอนาคต" นายนราพัฒน์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31556
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นราพัฒน์ จับมือ รัฐมนตรีเกษตร จากนานาชาติ
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563 นราพัฒน์ จับมือ รัฐมนตรีเกษตร จากนานาชาติ นราพัฒน์ จับมือ รัฐมนตรีเกษตร จากนานาชาติ ระหว่างการเดินทางเยือนสหพันธรัฐเยอรมนีของนายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระหว่างวันที่ 16 - 18 มกราคม 2563 เพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดคูหาไทยในงาน International Green Week 2020 และการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตร ครั้งที่ 12 ได้ใช้โอกาสดังกล่าวหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีเกษตรจากประเทศต่างๆ รวม 5 ประเทศ ดังนี้ 1. สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2563 ฝ่ายเยอรมนีแสดงความยินดีที่กระทรวงเกษตรขอไทยและเยอรมนีจะมีกรอบความร่วมมือด้านการเกษตรร่วมกันอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้ ภายใต้เอกสารทั้งสามฉบับ ได้แก่ เอกสารแสดงเจตนารมณ์ร่วม (Joint Declaration of Intent: JDI) ข้อตกลงการปฏิบัติงาน (Implementation Agreement) และขอบเขตงาน (Term of Reference: TOR) ซึ่งกรอบความร่วมมือดังกล่าวตะช่วยให้มีการพัฒนาด้านการส่งเสริมการเกษตร และมีการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญระหว่างกัน 2. สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2563 ฝ่ายไทยขอให้บราซิลแจ้งช่วงเวลาที่สะดวกเดินทางมาลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ณ ประเทศไทย ตามคําเชิญของ รมว. กษ. โดยฝ่ายบราซิลเสนอให้มีกิจกรรมที่ทั้งสองฝ่ายสามารถประกาศความสําเร็จร่วมกัน (Win-win)ในช่วงที่เดินทางมาลงนามบันทึกความเข้าใจ อาทิเช่น การเปิดตลาดสินค้าเกษตรระหว่างกัน พร้อมทั้งได้ติดตามความก้าวหน้าในการขอเปิดตลาดเนื้อโค เนื้อสุกร โคมีชีวิต และแอปเปิลจากบราซิลมายังไทย 3. ราชอาณาจักรเบลเยียม เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2563 โดยฝ่ายเบลเยี่ยมได้ติดตามความก้าวหน้าการขอเปิดตลาดเนื้อโค และแอปเปิลมายังประเทศไทย และฝ่ายไทยได้แจ้งความประสงค์ในการส่งออกข้าวไปยังเบลเยียม ซึ่งเบลเยียมยินดีให้การสนับสนุน โดยขอให้ไทยส่งรายละเอียดข้าวที่ประสงค์จะส่งออก 4. สาธารณรัฐอาร์เจนตินา เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2563 เพื่อสอบถามความคืบหน้าการเปิดตลาดเนื้อโคและส้มมายังประเทศไทย และยินดีหากประเทศไทยสนใจจะส่งออกสินค้าเกษตรไปยังอาร์เจนตินา 5. ยูเครน เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2563 โดยฝ่ายยูเครนว่า แม้ประเทศไทยกับยูเครนอยู่ไกลกัน แต่ประธานาธิบดียูเครนมีนโยบายเสริมสร้างความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงหวังว่าไทยและยูเครนจะมีความร่วมมือด้านการเกษตรกันใน โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นราพัฒน์ จับมือ รัฐมนตรีเกษตร จากนานาชาติ วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563 นราพัฒน์ จับมือ รัฐมนตรีเกษตร จากนานาชาติ นราพัฒน์ จับมือ รัฐมนตรีเกษตร จากนานาชาติ ระหว่างการเดินทางเยือนสหพันธรัฐเยอรมนีของนายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระหว่างวันที่ 16 - 18 มกราคม 2563 เพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดคูหาไทยในงาน International Green Week 2020 และการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตร ครั้งที่ 12 ได้ใช้โอกาสดังกล่าวหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีเกษตรจากประเทศต่างๆ รวม 5 ประเทศ ดังนี้ 1. สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2563 ฝ่ายเยอรมนีแสดงความยินดีที่กระทรวงเกษตรขอไทยและเยอรมนีจะมีกรอบความร่วมมือด้านการเกษตรร่วมกันอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้ ภายใต้เอกสารทั้งสามฉบับ ได้แก่ เอกสารแสดงเจตนารมณ์ร่วม (Joint Declaration of Intent: JDI) ข้อตกลงการปฏิบัติงาน (Implementation Agreement) และขอบเขตงาน (Term of Reference: TOR) ซึ่งกรอบความร่วมมือดังกล่าวตะช่วยให้มีการพัฒนาด้านการส่งเสริมการเกษตร และมีการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญระหว่างกัน 2. สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2563 ฝ่ายไทยขอให้บราซิลแจ้งช่วงเวลาที่สะดวกเดินทางมาลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ณ ประเทศไทย ตามคําเชิญของ รมว. กษ. โดยฝ่ายบราซิลเสนอให้มีกิจกรรมที่ทั้งสองฝ่ายสามารถประกาศความสําเร็จร่วมกัน (Win-win)ในช่วงที่เดินทางมาลงนามบันทึกความเข้าใจ อาทิเช่น การเปิดตลาดสินค้าเกษตรระหว่างกัน พร้อมทั้งได้ติดตามความก้าวหน้าในการขอเปิดตลาดเนื้อโค เนื้อสุกร โคมีชีวิต และแอปเปิลจากบราซิลมายังไทย 3. ราชอาณาจักรเบลเยียม เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2563 โดยฝ่ายเบลเยี่ยมได้ติดตามความก้าวหน้าการขอเปิดตลาดเนื้อโค และแอปเปิลมายังประเทศไทย และฝ่ายไทยได้แจ้งความประสงค์ในการส่งออกข้าวไปยังเบลเยียม ซึ่งเบลเยียมยินดีให้การสนับสนุน โดยขอให้ไทยส่งรายละเอียดข้าวที่ประสงค์จะส่งออก 4. สาธารณรัฐอาร์เจนตินา เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2563 เพื่อสอบถามความคืบหน้าการเปิดตลาดเนื้อโคและส้มมายังประเทศไทย และยินดีหากประเทศไทยสนใจจะส่งออกสินค้าเกษตรไปยังอาร์เจนตินา 5. ยูเครน เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2563 โดยฝ่ายยูเครนว่า แม้ประเทศไทยกับยูเครนอยู่ไกลกัน แต่ประธานาธิบดียูเครนมีนโยบายเสริมสร้างความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงหวังว่าไทยและยูเครนจะมีความร่วมมือด้านการเกษตรกันใน โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25912
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563
วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่27 กุมภาพันธ์ 2563 1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 13 ราย กลับบ้านแล้ว 27 ราย รวมสะสม 40 ราย 2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 26 กุมภาพันธ์ 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 2,064 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 76 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 1,988 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,352 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 712 ราย 3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 46 ประเทศ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 27 กุมภาพันธ์ 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 81,406 ราย เสียชีวิต 2,771 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 78,073 ราย เสียชีวิต 2,715 ราย 2.สธ.เผยข่าวดีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รักษาหายกลับบ้านเพิ่ม 3 ราย กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่หายเป็นปกติ กลับบ้านได้อีก 3 ราย พร้อมเพิ่มช่องทางตอบข้อสงสัยคลายกังวลประชาชนที่แชทบอท หรือฝากข้อความให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป และคณะแถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า ข่าวดีวันนี้มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้เพิ่มอีก 3 ราย จากสถาบันบําราศนราดูร 2 ราย เป็นชายจีน อายุ 63 ปีและชายไทย อายุ 49 ปี จากโรงพยาบาลราชวิถี เป็นหญิงจีน อายุ 33 ปี มีผู้ป่วยยืนยันที่รักษาหายแล้ว 27 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 13 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 40 ราย สําหรับความคืบหน้าการติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกับกลุ่มผู้ป่วยยืนยัน 3 รายวานนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2563) ได้แก่ คนในครอบครัว เพื่อนร่วมกรุ๊ปทัวร์ บุคลากรทางการแพทย์ เพื่อนร่วมชั้นเรียน ขณะนี้ติดตามได้ครบทุกคนแล้ว โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูง หมายถึง ผู้สัมผัสที่มีโอกาสสูงในการรับหรือแพร่เชื้อกับผู้ป่วยประกอบด้วยผู้สัมผัสใกล้ชิดหรือมีการพูดคุยกับผู้ป่วยในระยะ 1 เมตรนาน 5 นาทีหรือถูกไอ จาม รดจากผู้ป่วยโดยไม่มีการป้องกัน เช่น ไม่สวมหน้ากากอนามัย ผู้ที่อยู่ในบริเวณที่ปิดไม่มีการถ่ายเทอากาศ เช่น ในรถปรับอากาศห้องปรับอากาศร่วมกับผู้ป่วยและอยู่ห่างจากผู้ป่วยไม่เกิน 1 เมตรนาน 15 นาที โดยไม่มีการป้องกัน ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา หมายถึง ผู้สัมผัสที่มีโอกาสต่ําในการรับหรือแพร่เชื้อกับผู้ป่วย ได้แก่ ผู้สัมผัสที่ไม่เข้าเกณฑ์ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ทั้งนี้ มีผู้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 เข้ามาที่กรมควบคุมโรคผ่านสายด่วน 1422 (30 คู่สาย) เป็นจํานวนมาก กรมควบคุมโรคจึงได้เปิดช่องทางการสื่อสารเพิ่มเติมทางแชทบอท (chat boat) ชื่อ “คร.OK” ที่สามารถตอบคําถามที่พบบ่อย หรือ ออฟฟิเชียลไลน์ ชื่อ “รู้กันทันโรค” ประชาชนสามารถเลือกใช้ช่องทางดังกล่าวเพื่อฟังข้อมูลอัตโนมัติ หรือฝากข้อความให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ ขณะนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามในประกาศโรคติดต่ออันตรายแล้วเย็นวานนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2563) และเตรียมประกาศในราชกิจจานุเบกษามีผลบังคับใช้ในวันถัดไป กรณีผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยงควรแจ้งประวัติการเดินทางทุกครั้งเพราะการปกปิดข้อมูลประวัติความเสี่ยงประวัติการเดินทาง ไม่เป็นประโยชน์ อาจเป็นโทษ นําโรคมาติดคนใกล้ชิด เพื่อนร่วมงาน ขอให้อย่ากลัวที่จะบอกประวัติความเสี่ยง สาธารณสุขไทยมีศักยภาพเพียงพอในการดูแลรักษา แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในการมีส่วนร่วมในการป้องกันการแพร่กระจายของโรคหากเรามีความเสี่ยง และมีอาการสงสัยป่วย ให้หยุดที่ตัวเรา แยกตัวออกจากผู้อื่น ป้องกันตนเอง ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ งดใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น งดใช้ขนส่งสาธารณะ ผู้ที่เดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง หากมีความจําเป็นต้องทํางาน สามารถทํางานที่บ้านได้ โดยปรึกษากับหัวหน้างาน จดบันทึกอาการของตนเองและวัดไข้ทุกวัน 3. คําแนะนําสําหรับประชาชน 3.1 ประชาชนที่มีประวัติเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ที่มีการรายงานพบผู้ป่วย หลังเดินทางกลับประเทศไทยภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ เจ็บคอ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น น้ํามูกไอ เสมหะ หายใจเร็ว หอบให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้ 3.2 ผู้ป่วยที่มีโรคประจําตัวให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปต่างประเทศที่มีการระบาด และหากจําเป็นต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาด ขอให้หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย 3.3 ประชาชนทั่วไป ขอให้ดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแปรปรวน ใช้มาตรการ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากป้องกันโรค เวลาไอ จาม หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ ******************** 27 กุมภาพันธ์ 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่27 กุมภาพันธ์ 2563 1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 13 ราย กลับบ้านแล้ว 27 ราย รวมสะสม 40 ราย 2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 26 กุมภาพันธ์ 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 2,064 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 76 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 1,988 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,352 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 712 ราย 3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 46 ประเทศ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 27 กุมภาพันธ์ 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 81,406 ราย เสียชีวิต 2,771 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 78,073 ราย เสียชีวิต 2,715 ราย 2.สธ.เผยข่าวดีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รักษาหายกลับบ้านเพิ่ม 3 ราย กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่หายเป็นปกติ กลับบ้านได้อีก 3 ราย พร้อมเพิ่มช่องทางตอบข้อสงสัยคลายกังวลประชาชนที่แชทบอท หรือฝากข้อความให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป และคณะแถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า ข่าวดีวันนี้มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้เพิ่มอีก 3 ราย จากสถาบันบําราศนราดูร 2 ราย เป็นชายจีน อายุ 63 ปีและชายไทย อายุ 49 ปี จากโรงพยาบาลราชวิถี เป็นหญิงจีน อายุ 33 ปี มีผู้ป่วยยืนยันที่รักษาหายแล้ว 27 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 13 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 40 ราย สําหรับความคืบหน้าการติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกับกลุ่มผู้ป่วยยืนยัน 3 รายวานนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2563) ได้แก่ คนในครอบครัว เพื่อนร่วมกรุ๊ปทัวร์ บุคลากรทางการแพทย์ เพื่อนร่วมชั้นเรียน ขณะนี้ติดตามได้ครบทุกคนแล้ว โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูง หมายถึง ผู้สัมผัสที่มีโอกาสสูงในการรับหรือแพร่เชื้อกับผู้ป่วยประกอบด้วยผู้สัมผัสใกล้ชิดหรือมีการพูดคุยกับผู้ป่วยในระยะ 1 เมตรนาน 5 นาทีหรือถูกไอ จาม รดจากผู้ป่วยโดยไม่มีการป้องกัน เช่น ไม่สวมหน้ากากอนามัย ผู้ที่อยู่ในบริเวณที่ปิดไม่มีการถ่ายเทอากาศ เช่น ในรถปรับอากาศห้องปรับอากาศร่วมกับผู้ป่วยและอยู่ห่างจากผู้ป่วยไม่เกิน 1 เมตรนาน 15 นาที โดยไม่มีการป้องกัน ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา หมายถึง ผู้สัมผัสที่มีโอกาสต่ําในการรับหรือแพร่เชื้อกับผู้ป่วย ได้แก่ ผู้สัมผัสที่ไม่เข้าเกณฑ์ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ทั้งนี้ มีผู้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 เข้ามาที่กรมควบคุมโรคผ่านสายด่วน 1422 (30 คู่สาย) เป็นจํานวนมาก กรมควบคุมโรคจึงได้เปิดช่องทางการสื่อสารเพิ่มเติมทางแชทบอท (chat boat) ชื่อ “คร.OK” ที่สามารถตอบคําถามที่พบบ่อย หรือ ออฟฟิเชียลไลน์ ชื่อ “รู้กันทันโรค” ประชาชนสามารถเลือกใช้ช่องทางดังกล่าวเพื่อฟังข้อมูลอัตโนมัติ หรือฝากข้อความให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ ขณะนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามในประกาศโรคติดต่ออันตรายแล้วเย็นวานนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2563) และเตรียมประกาศในราชกิจจานุเบกษามีผลบังคับใช้ในวันถัดไป กรณีผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยงควรแจ้งประวัติการเดินทางทุกครั้งเพราะการปกปิดข้อมูลประวัติความเสี่ยงประวัติการเดินทาง ไม่เป็นประโยชน์ อาจเป็นโทษ นําโรคมาติดคนใกล้ชิด เพื่อนร่วมงาน ขอให้อย่ากลัวที่จะบอกประวัติความเสี่ยง สาธารณสุขไทยมีศักยภาพเพียงพอในการดูแลรักษา แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในการมีส่วนร่วมในการป้องกันการแพร่กระจายของโรคหากเรามีความเสี่ยง และมีอาการสงสัยป่วย ให้หยุดที่ตัวเรา แยกตัวออกจากผู้อื่น ป้องกันตนเอง ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ งดใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น งดใช้ขนส่งสาธารณะ ผู้ที่เดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง หากมีความจําเป็นต้องทํางาน สามารถทํางานที่บ้านได้ โดยปรึกษากับหัวหน้างาน จดบันทึกอาการของตนเองและวัดไข้ทุกวัน 3. คําแนะนําสําหรับประชาชน 3.1 ประชาชนที่มีประวัติเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ที่มีการรายงานพบผู้ป่วย หลังเดินทางกลับประเทศไทยภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ เจ็บคอ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น น้ํามูกไอ เสมหะ หายใจเร็ว หอบให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้ 3.2 ผู้ป่วยที่มีโรคประจําตัวให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปต่างประเทศที่มีการระบาด และหากจําเป็นต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาด ขอให้หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย 3.3 ประชาชนทั่วไป ขอให้ดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแปรปรวน ใช้มาตรการ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากป้องกันโรค เวลาไอ จาม หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ ******************** 27 กุมภาพันธ์ 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. จัดเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง เพื่อเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม 2563 กสร. จัดเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง เพื่อเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ดําเนินการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง เพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง ทําหน้าที่ไกล่เกลี่ย ระงับข้อพิพาทและพิจารณาคดีในศาลแรงงาน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.)เปิดเผยว่า ตามที่ กสร. ได้ประชาสัมพันธ์ให้สมาคมนายจ้าง รัฐวิสาหกิจ และสหภาพแรงงาน เสนอชื่อผู้แทนในการเลือกตั้งและลงคะแนนเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง ตามมาตรา 14 (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 และแจ้งคณะกรรมการหรือองค์กรที่เกี่ยวกับแรงงานเสนอชื่อผู้เข้าร่วมประชุมและเลือกกันเองเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง ตามมาตรา 14 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ ซึ่งขณะนี้ครบกําหนดระยะเวลาในการเสนอชื่อแล้ว และได้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร ผู้ลงคะแนน และผู้เข้าร่วมประชุมและเลือกกันเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ามีผู้สมัคร ฝ่ายนายจ้าง จํานวน 25 คน ฝ่ายลูกจ้าง จํานวน 22 คน และผู้ลงคะแนนฝ่ายนายจ้าง จํานวน 35 คน และฝ่ายลูกจ้าง จํานวน 93 คน และมีผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้าประชุมและเลือกกันเอง ฝ่ายนายจ้าง จํานวน 207 คน และฝ่ายลูกจ้าง จํานวน 91 คน นายอภิญญา กล่าวต่อว่า กสร. ได้กําหนดจัดเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง เพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง ทดแทนผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานซึ่งจะหมดวาระดํารงตําแหน่งใน ปี พ.ศ. 2563 โดยกําหนดจัดขึ้น 3 วัน ดังนี้ 1. การเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง ในวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2563 ระหว่างเวลา 9.00 – 15.00 น. ณ บริเวณชั้นล่าง อาคารกระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร 2. การประชุมและเลือกตั้งกันเองของผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ในวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2563 เวลา 9.00 น. ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 และบริเวณชั้นล่าง อาคารกระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร และ 3. การประชุมและเลือกตั้งกันเองของผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ในวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563 เวลา 9.00 น. ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 และบริเวณชั้นล่าง อาคารกระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร กสร. จึงขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ทราบและเข้าร่วมดําเนินการ ตามกําหนด วัน เวลา และสถานที่ดังที่กล่าวมา โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สํานักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 02 246 8993 02 246 8793
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. จัดเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง เพื่อเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม 2563 กสร. จัดเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง เพื่อเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ดําเนินการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง เพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง ทําหน้าที่ไกล่เกลี่ย ระงับข้อพิพาทและพิจารณาคดีในศาลแรงงาน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.)เปิดเผยว่า ตามที่ กสร. ได้ประชาสัมพันธ์ให้สมาคมนายจ้าง รัฐวิสาหกิจ และสหภาพแรงงาน เสนอชื่อผู้แทนในการเลือกตั้งและลงคะแนนเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง ตามมาตรา 14 (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 และแจ้งคณะกรรมการหรือองค์กรที่เกี่ยวกับแรงงานเสนอชื่อผู้เข้าร่วมประชุมและเลือกกันเองเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง ตามมาตรา 14 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ ซึ่งขณะนี้ครบกําหนดระยะเวลาในการเสนอชื่อแล้ว และได้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร ผู้ลงคะแนน และผู้เข้าร่วมประชุมและเลือกกันเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ามีผู้สมัคร ฝ่ายนายจ้าง จํานวน 25 คน ฝ่ายลูกจ้าง จํานวน 22 คน และผู้ลงคะแนนฝ่ายนายจ้าง จํานวน 35 คน และฝ่ายลูกจ้าง จํานวน 93 คน และมีผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้าประชุมและเลือกกันเอง ฝ่ายนายจ้าง จํานวน 207 คน และฝ่ายลูกจ้าง จํานวน 91 คน นายอภิญญา กล่าวต่อว่า กสร. ได้กําหนดจัดเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง เพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง ทดแทนผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานซึ่งจะหมดวาระดํารงตําแหน่งใน ปี พ.ศ. 2563 โดยกําหนดจัดขึ้น 3 วัน ดังนี้ 1. การเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง ในวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2563 ระหว่างเวลา 9.00 – 15.00 น. ณ บริเวณชั้นล่าง อาคารกระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร 2. การประชุมและเลือกตั้งกันเองของผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ในวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2563 เวลา 9.00 น. ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 และบริเวณชั้นล่าง อาคารกระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร และ 3. การประชุมและเลือกตั้งกันเองของผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ในวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563 เวลา 9.00 น. ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 และบริเวณชั้นล่าง อาคารกระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร กสร. จึงขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ทราบและเข้าร่วมดําเนินการ ตามกําหนด วัน เวลา และสถานที่ดังที่กล่าวมา โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สํานักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 02 246 8993 02 246 8793
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33419
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. ชื่นชมเครือข่ายวัฒนธรรมฯ สภาวัฒนธรรมกทม. - ชุมชนคุณธรรมฯ ทั่วประทศ นำมิติด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม - พลัง “บวร” จัดกิจกรรมป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 รมว.วธ. ชื่นชมเครือข่ายวัฒนธรรมฯ สภาวัฒนธรรมกทม. - ชุมชนคุณธรรมฯ ทั่วประทศ นํามิติด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม - พลัง “บวร” จัดกิจกรรมป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 รมว.วธ. ชื่นชมเครือข่ายวัฒนธรรมฯ สภาวัฒนธรรมกทม. - ชุมชนคุณธรรมฯ ทั่วประทศ นํามิติด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม - พลัง “บวร” จัดกิจกรรมป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 รมว.วธ. ชื่นชมเครือข่ายวัฒนธรรมฯ สภาวัฒนธรรมกทม. - ชุมชนคุณธรรมฯ ทั่วประทศ นํามิติด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม - พลัง “บวร” จัดกิจกรรมป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ออกประกาศ เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันในการป้องกันและควบคุมกิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนหมู่มาก ไม่ให้มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมได้มอบหมายให้สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) ประสานขอความร่วมมือไปยังเครือข่ายวัฒนธรรมทั่วประเทศ อาทิ ชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) และหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมมือร่วมใจกันเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ประกาศและแนวทางดังกล่าว ให้ประชาชนในพื้นที่รับรู้ และถือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศดําเนินงานชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร จัดทําสื่อประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ ความเข้าใจ ในการป้องกัน เฝ้าระวัง และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยใช้พลัง “บวร” เป็นพลังขับเคลื่อนสู่ชุมชนและท้องถิ่น ซึ่งที่ผ่านมาได้ดําเนินการสร้างการรับรู้ เรื่องแนวปฏิบัติฯ ให้แก่ประชาชนทั่วทุกภูมิภาค โดยการเผยแพร่แผ่นบันทึกเสียงทางสถานีวิทยุ ๒,๙๒๙ ครั้ง ออกอากาศรายการวิทยุ ๑,๗๗๓ ครั้ง รายการโทรทัศน์ ๑๕๑ ครั้ง ช่องทางออนไลน์ อาทิ ไลน์ เฟสบุ้ค ๕๐,๖๓๑ ครั้ง รวมทั้งผลิตสื่อ/เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เรื่อง การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในรูปแบบ ซีดี/สปอตเผยแพร่ทางสถานีวิทยุ ๙๘ แผ่น คลิปวีดิโอ ๕๘๙ คลิป/ชิ้นงาน และอินโฟกราฟฟิคให้ความรู้ ๑,๔๙๕ ชิ้นงาน รวมทั้งสิ้น ๒,๑๘๒ แผ่น/คลิป/ชิ้นงาน นอกจากนี้ ยังได้บูรณาการการดําเนินงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สนับสนุนการผลิตหน้ากากอนามัยแบบผ้า โดยมีแกนนําพลัง “บวร” ของชุมชนคุณธรรมฯ ร่วมผลิตฯ ๓,๑๖๓ แห่ง ผลิตหน้ากากอนามัยแบบผ้าร่วมกับอปท. และชุมชนฯ ผลิตเองเพื่อแจกจ่าย (จิตอาสา) ตั้งแต่วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๓ รวมแล้วทั้งสิ้น ๙,๔๔๘,๙๐๐ ชิ้น นายอิทธิพล กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม กระทรวงวัฒนธรรมยังได้มอบหมายให้สํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมบูรณาการความร่วมมือกับสภาวัฒนธรรมเขตกรุงเทพมหานคร และให้สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศประสานความร่วมมือกับสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยการนําเครือข่ายชุมชนคุณธรรมฯ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ ๒๒,๕๔๐ แห่งทั่วประเทศ สนับสนุนการจัดตั้งโรงทานเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบความยากลําบากในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ๒๐๑๙ (COVID-19) ตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งที่ผ่านมาได้ดําเนินการจัดตั้งโรงทานไปแล้วทั่วประเทศ ๔๗ จังหวัด ๒๓๔ โรงทาน รวมทั้ง ยังได้บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย จัดกิจกรรมผู้นําพลัง “บวร” ในการดําเนินการป้องกัน และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ๒๐๑๙ (COVID-19) ในชุมชนคุณธรรมฯ อาทิ จัดกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัด ๒,๑๓๔ เรื่อง กิจกรรมผู้นําบวรร่วมติดตาม ค้นหา ผู้ที่เดินทางเข้าหมู่บ้าน/ชุมชนทุกราย รวมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติตัวของผู้ที่เดินทางกลับมาอยู่ในหมู่บ้านและอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน เช่น สถานีวิทยุประจําจังหวัด หอกระจายข่าวในหมู่บ้าน นอกจากนี้นําผู้นําบวรร่วมให้กําลังใจหรือมอบสิ่งของ เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง เป็นต้น รวมทั้งสิ้น ๖๒,๒๐๙ เรื่อง “กระทรวงวัฒนธรรมต้องขอขอบคุณเครือข่ายวัฒนธรรมทุกท่าน และหน่วยงานทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือร่วมใจเป็นอย่างดีในการสนับสนุนการจัดกิจกรรมต่างๆ ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยการนํามิติด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม มาขับเคลื่อนภารกิจในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งนับเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการนําพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน” รมว.วธ. กล่าว ---------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. ชื่นชมเครือข่ายวัฒนธรรมฯ สภาวัฒนธรรมกทม. - ชุมชนคุณธรรมฯ ทั่วประทศ นำมิติด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม - พลัง “บวร” จัดกิจกรรมป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 รมว.วธ. ชื่นชมเครือข่ายวัฒนธรรมฯ สภาวัฒนธรรมกทม. - ชุมชนคุณธรรมฯ ทั่วประทศ นํามิติด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม - พลัง “บวร” จัดกิจกรรมป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 รมว.วธ. ชื่นชมเครือข่ายวัฒนธรรมฯ สภาวัฒนธรรมกทม. - ชุมชนคุณธรรมฯ ทั่วประทศ นํามิติด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม - พลัง “บวร” จัดกิจกรรมป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 รมว.วธ. ชื่นชมเครือข่ายวัฒนธรรมฯ สภาวัฒนธรรมกทม. - ชุมชนคุณธรรมฯ ทั่วประทศ นํามิติด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม - พลัง “บวร” จัดกิจกรรมป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ออกประกาศ เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันในการป้องกันและควบคุมกิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนหมู่มาก ไม่ให้มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมได้มอบหมายให้สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) ประสานขอความร่วมมือไปยังเครือข่ายวัฒนธรรมทั่วประเทศ อาทิ ชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) และหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมมือร่วมใจกันเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ประกาศและแนวทางดังกล่าว ให้ประชาชนในพื้นที่รับรู้ และถือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศดําเนินงานชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร จัดทําสื่อประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ ความเข้าใจ ในการป้องกัน เฝ้าระวัง และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยใช้พลัง “บวร” เป็นพลังขับเคลื่อนสู่ชุมชนและท้องถิ่น ซึ่งที่ผ่านมาได้ดําเนินการสร้างการรับรู้ เรื่องแนวปฏิบัติฯ ให้แก่ประชาชนทั่วทุกภูมิภาค โดยการเผยแพร่แผ่นบันทึกเสียงทางสถานีวิทยุ ๒,๙๒๙ ครั้ง ออกอากาศรายการวิทยุ ๑,๗๗๓ ครั้ง รายการโทรทัศน์ ๑๕๑ ครั้ง ช่องทางออนไลน์ อาทิ ไลน์ เฟสบุ้ค ๕๐,๖๓๑ ครั้ง รวมทั้งผลิตสื่อ/เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เรื่อง การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในรูปแบบ ซีดี/สปอตเผยแพร่ทางสถานีวิทยุ ๙๘ แผ่น คลิปวีดิโอ ๕๘๙ คลิป/ชิ้นงาน และอินโฟกราฟฟิคให้ความรู้ ๑,๔๙๕ ชิ้นงาน รวมทั้งสิ้น ๒,๑๘๒ แผ่น/คลิป/ชิ้นงาน นอกจากนี้ ยังได้บูรณาการการดําเนินงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สนับสนุนการผลิตหน้ากากอนามัยแบบผ้า โดยมีแกนนําพลัง “บวร” ของชุมชนคุณธรรมฯ ร่วมผลิตฯ ๓,๑๖๓ แห่ง ผลิตหน้ากากอนามัยแบบผ้าร่วมกับอปท. และชุมชนฯ ผลิตเองเพื่อแจกจ่าย (จิตอาสา) ตั้งแต่วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๓ รวมแล้วทั้งสิ้น ๙,๔๔๘,๙๐๐ ชิ้น นายอิทธิพล กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม กระทรวงวัฒนธรรมยังได้มอบหมายให้สํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมบูรณาการความร่วมมือกับสภาวัฒนธรรมเขตกรุงเทพมหานคร และให้สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศประสานความร่วมมือกับสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยการนําเครือข่ายชุมชนคุณธรรมฯ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ ๒๒,๕๔๐ แห่งทั่วประเทศ สนับสนุนการจัดตั้งโรงทานเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบความยากลําบากในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ๒๐๑๙ (COVID-19) ตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งที่ผ่านมาได้ดําเนินการจัดตั้งโรงทานไปแล้วทั่วประเทศ ๔๗ จังหวัด ๒๓๔ โรงทาน รวมทั้ง ยังได้บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย จัดกิจกรรมผู้นําพลัง “บวร” ในการดําเนินการป้องกัน และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ๒๐๑๙ (COVID-19) ในชุมชนคุณธรรมฯ อาทิ จัดกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัด ๒,๑๓๔ เรื่อง กิจกรรมผู้นําบวรร่วมติดตาม ค้นหา ผู้ที่เดินทางเข้าหมู่บ้าน/ชุมชนทุกราย รวมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติตัวของผู้ที่เดินทางกลับมาอยู่ในหมู่บ้านและอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน เช่น สถานีวิทยุประจําจังหวัด หอกระจายข่าวในหมู่บ้าน นอกจากนี้นําผู้นําบวรร่วมให้กําลังใจหรือมอบสิ่งของ เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง เป็นต้น รวมทั้งสิ้น ๖๒,๒๐๙ เรื่อง “กระทรวงวัฒนธรรมต้องขอขอบคุณเครือข่ายวัฒนธรรมทุกท่าน และหน่วยงานทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือร่วมใจเป็นอย่างดีในการสนับสนุนการจัดกิจกรรมต่างๆ ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยการนํามิติด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม มาขับเคลื่อนภารกิจในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งนับเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการนําพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน” รมว.วธ. กล่าว ---------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29237
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยน้อมนำแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางแก้ปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560 นายกรัฐมนตรีเผยน้อมนําแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางแก้ปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เผย น้อมนําแนวทางการแก้ปัญหาทั้งหมดที่รัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้มาเป็นแนวทางแก้ปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน และให้เป็นไปตามกระแสรับสั่งของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 วันนี้ (25 ม.ค.60) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้สถานการณ์อุทกภัยภาคใต้เริ่มจะคลี่คลายในบางจังหวัด ขณะที่บางจังหวัดยังคงสภาพอุทกภัยอยู่ อย่างไรก็ตามยังคงต้องระมัดระวังในเรื่องของสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ต้องติดตามข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา โดยขั้นตอนการดําเนินงานแก้ปัญหาอุทกภัยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนระดับ 3 ที่กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งจะต้องมีการกํากับดูแลอํานวยการโดยคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ วันนี้ที่ประชุมจึงได้มาร้อยเรียงทั้งหมดเพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น เป็นการริเริ่มในการปรับปรุงเรื่องการบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติใหม่ทั้งหมด ทั้งในเรื่องการจัดทําโครงสร้างการทํางานให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันให้ได้ มีความรับผิดชอบชัดเจน มีเอกภาพจากรัฐบาลเข้าไปที่กระทรวงมหาดไทย ต่อไปที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยส่วนหน้า แล้วลงไปที่การทํางานระดับพื้นที่ 12 จังหวัด ซึ่งจะทําให้แนวทางการบริหารเรื่องการบรรเทาภัยพิบัติหรือสถานการณ์ที่มีความร้ายแรงจะเกิดความชัดเจนขึ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นส่วนสําคัญในการแก้ปัญหาระดับพื้นที่ บรรเทาความเดือดร้อนในทุกส่วน รวบรวมความต้องการต่าง ๆ ขึ้นมา เป็นแม่งานใหญ่ในจังหวัดของตัวเองและในกลุ่มจังหวัดของส่วนหน้า และในส่วนของการบูรณาการข้ามกระทรวงข้ามหน่วยงาน จะมีการบูรณาการหน่วยงานทุกกระทรวงที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดทั้งหมด โดยกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ดูแลการบูรณาการทั้งระบบ ทั้งการแก้ปัญหาระยะสั้น การแก้ปัญหาในเรื่องการฟื้นฟูในปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการป้องกันเตรียมการในช่วงแรก แล้วเมื่อเกิดเหตุขึ้นก็ต้องช่วยเหลือระหว่างที่เกิดเหตุ บรรเทาความเดือดร้อนให้คนมีที่อยู่อาศัย มีอาหารการกิน ให้สามารถอยู่ได้ และหลังเกิดเหตุก็ต้องมีการฟื้นฟู ซึ่งขณะนี้กําลังมีการฟื้นฟูเตรียมการซ่อมบ้าน โดยกระทรวงกลาโหม ได้ให้ทหารช่างนําเครื่องไม้เครื่องมือลงไปในหลายพื้นที่แล้ว ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการโดยสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ก็ได้จัดชุดลงพื้นที่เพื่อไปซ่อมสร้างต่าง ๆ แล้ว “ทั้งหมดจะต้องร้อยเรียงกัน ตั้งแต่แผนงานระยะสั้น ระยะปัจจุบัน และแผนงานระยะยาวที่จะนําไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่ 1. ปริมาณน้ําฝนที่ตกลงมามากซึ่งเป็นเรื่องที่เราห้ามไม่ได้ 2. น้ําที่ไหลลงมาจากภูเขา ที่จะต้องไปฟื้นฟูป่าไม้บนภูเขา ซึ่งเป็นภาพใหญ่ที่ต้องทํา แต่จะทําได้แค่ไหนอย่างไร ต้องขึ้นอยู่กับเวลาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหน้าด้วย เพราะแนวภูเขามีความยาว เมื่อฝนตกน้ําก็ไหลลงข้างล่าง ต่ําลงไปทะเล แล้วผ่านทุกเมือง ทําให้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่ราบได้รับความเดือดร้อนทั้งหมด จะแก้ปัญหาด้วยการย้ายเมืองหรือย้ายภูเขาก็ไม่ได้ จึงต้องหาแนวทางลดน้ําที่อยู่ในภูเขาให้ได้ เช่น การหาเส้นทางเบี่ยงเบนน้ํา พัฒนาป่าเขาข้างบนเพื่อให้ซับน้ํา ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ เพราะที่ผ่านมามีการทําลายธรรมชาติมากเกินไป ทําให้การซึมซับน้ําบนภูเขาทําได้น้อย น้ําจึงไหลบ่าลงมาข้างล่าง พร้อมกับมีการทําพนังกันน้ําในพื้นที่ที่เป็นหัวใจสําคัญ เช่น โรงพยาบาล สถานที่ราชการ ภาคธุรกิจสําคัญ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาทั้งการทําพนังกั้นน้ํา การทําฟลัดเวย์เพื่อเลี่ยงน้ําออกจากพื้นที่ โดยขณะนี้แผนงานที่ได้เริ่มดําเนินการแล้วคือการขุดคลองระบายน้ําขึ้นใหม่ ซึ่งได้ผ่านการศึกษาผ่านการประชาพิจารณ์แล้ว เพื่อจะได้ช่วยระบายน้ําในตอนล่างได้เพิ่มขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า สิ่งสําคัญที่สุดที่จะต้องทําคือเรื่องการผังเมือง หากไม่เกิดเหตุการณ์ขึ้นก็จะไม่ค่อยมีคนสนใจกฎหมาย วันนี้มีคนเดือดร้อน ซึ่งจะต้องหาแนวทางช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน และจะต้องแก้ปัญหาระยะยาวด้วย เพราะฉะนั้นผู้ใดที่อยู่ในพื้นที่ผิดกฎหมายก็จะไม่สามารถอยู่ได้ เพราะหากมีคนไปอยู่แล้วสร้างบ้าน ซ่อมบ้านตรงนั้นในที่เดิม จะเป็นปัญหา การใช้จ่ายงบประมาณจะไม่สามารถทําได้ ซึ่งรัฐบาลจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ เพราะบางคนก็ไปทําสวนปาล์ม สวนเกษตรต่าง ๆ ในพื้นที่ที่ไม่ถูกต้อง การแก้ปัญหาของประเทศจึงทับซ้อนกันอยู่แบบนี้ โดยจะต้องแก้ไขปัญหาให้ได้ ที่ประชุมวันนี้จึงได้มีการหารือเรื่องผังเมือง แนวทางการบังคับใช้การก่อสร้างอาคาร เพราะเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขทั้งหมด ซึ่งการแก้ไขปัญหาของประเทศไทยที่ทับซ้อนกันอยู่แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนักแต่จะทําให้ดีที่สุด พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้นําแนวทางที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงห่วงใยมาสู่การปฏิบัติทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการนําแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระราชดําริไว้แล้ว ซึ่งมีหลายโครงการที่อยู่ที่กระทรวงเกษตรฯ กรมชลประทาน โดยจะมีการนําแผนต่าง ๆ ในส่วนที่ยังไม่ได้ทําขึ้นมาทํา หรือแผนที่ทําแล้วแต่ยังไม่เสร็จสิ้นก็จะทําให้เสร็จให้ได้ อาจจะมีปัญหาเรื่องงบประมาณและเวลา แต่รัฐบาลก็จะทําต่อไป เพราะเหล่านี้เป็นความจําเป็นของยุทธศาสตร์ชาติที่จะต้องทําต่อในอนาคตด้วย คงทําวันนี้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะเงินและเวลามีไม่พอ จึงขอฝากให้เข้าใจด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นว่า งานทุกงานของรัฐบาล และทุกกระทรวง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการบรรเทาภัยพิบัติเท่านั้น จะต้องมีแผนหลัก แผนรอง แผนเผชิญเหตุ ทั้งหมดเป็นหลักการอยู่ในยุทธศาสตร์ของการพัฒนาระบบบริหารราชการแผ่นดิน ที่จะต้องร้อยเรียงกันให้ได้ มิฉะนั้นทุกงานจะทํางานตามฟังก์ชั่นทั้งหมดแล้วจะตอบคําถามภาพรวมไม่ได้ วันหน้าก็ต้องมาบูรณาการกัน งบแก้ปัญหาน้ําท่วม งบต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหลายกระทรวงจะต้องมาทําร่วมกันในแผนงานเดียวกัน จึงขอให้ช่วยกัน อย่าต่อต้านรัฐบาลในเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นความหวังดีเจตนาดี หากพบความไม่โปร่งใสก็ขอให้ร้องเรียนเข้ามา โดยนายกรัฐมนตรีจะตรวจสอบให้ทั้งหมด รัฐบาลจะทําให้ดีที่สุด การใช้จ่ายงบประมาณจะต้องโปร่งใสทั้งในส่วนกลาง ส่วนท้องถิ่น ภูมิภาค นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การแก้ปัญหาเวลานี้ยังคงใช้งบประมาณปกติที่มาจากหน่วยงานราชการและเงินบริจาคของประชาชนซึ่งจะใช้ให้คุ้มค่า โปร่งใส ตรวจสอบได้และจะน้อมนําแนวทางการแก้ปัญหาทั้งหมดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้มาเป็นแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และให้เป็นไปตามกระแสรับสั่งของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ที่ทรงห่วงใยประชาชนและทรงกําชับทุกเรื่อง ซึ่งในขณะนี้ทรงโปรดฯ ให้หน่วยงานช่วยเหลือจากหน่วยงานในพระองค์ และในส่วนขององคมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนในจังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งหมด ซึ่งหน่วยงานก็ได้มีการหารือกับรัฐบาลเพื่อช่วยกันนําความห่วงใยและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านไปสู่ประชาชนด้วย ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยน้อมนำแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางแก้ปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560 นายกรัฐมนตรีเผยน้อมนําแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางแก้ปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เผย น้อมนําแนวทางการแก้ปัญหาทั้งหมดที่รัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้มาเป็นแนวทางแก้ปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน และให้เป็นไปตามกระแสรับสั่งของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 วันนี้ (25 ม.ค.60) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้สถานการณ์อุทกภัยภาคใต้เริ่มจะคลี่คลายในบางจังหวัด ขณะที่บางจังหวัดยังคงสภาพอุทกภัยอยู่ อย่างไรก็ตามยังคงต้องระมัดระวังในเรื่องของสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ต้องติดตามข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา โดยขั้นตอนการดําเนินงานแก้ปัญหาอุทกภัยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนระดับ 3 ที่กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งจะต้องมีการกํากับดูแลอํานวยการโดยคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ วันนี้ที่ประชุมจึงได้มาร้อยเรียงทั้งหมดเพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น เป็นการริเริ่มในการปรับปรุงเรื่องการบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติใหม่ทั้งหมด ทั้งในเรื่องการจัดทําโครงสร้างการทํางานให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันให้ได้ มีความรับผิดชอบชัดเจน มีเอกภาพจากรัฐบาลเข้าไปที่กระทรวงมหาดไทย ต่อไปที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยส่วนหน้า แล้วลงไปที่การทํางานระดับพื้นที่ 12 จังหวัด ซึ่งจะทําให้แนวทางการบริหารเรื่องการบรรเทาภัยพิบัติหรือสถานการณ์ที่มีความร้ายแรงจะเกิดความชัดเจนขึ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นส่วนสําคัญในการแก้ปัญหาระดับพื้นที่ บรรเทาความเดือดร้อนในทุกส่วน รวบรวมความต้องการต่าง ๆ ขึ้นมา เป็นแม่งานใหญ่ในจังหวัดของตัวเองและในกลุ่มจังหวัดของส่วนหน้า และในส่วนของการบูรณาการข้ามกระทรวงข้ามหน่วยงาน จะมีการบูรณาการหน่วยงานทุกกระทรวงที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดทั้งหมด โดยกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ดูแลการบูรณาการทั้งระบบ ทั้งการแก้ปัญหาระยะสั้น การแก้ปัญหาในเรื่องการฟื้นฟูในปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการป้องกันเตรียมการในช่วงแรก แล้วเมื่อเกิดเหตุขึ้นก็ต้องช่วยเหลือระหว่างที่เกิดเหตุ บรรเทาความเดือดร้อนให้คนมีที่อยู่อาศัย มีอาหารการกิน ให้สามารถอยู่ได้ และหลังเกิดเหตุก็ต้องมีการฟื้นฟู ซึ่งขณะนี้กําลังมีการฟื้นฟูเตรียมการซ่อมบ้าน โดยกระทรวงกลาโหม ได้ให้ทหารช่างนําเครื่องไม้เครื่องมือลงไปในหลายพื้นที่แล้ว ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการโดยสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ก็ได้จัดชุดลงพื้นที่เพื่อไปซ่อมสร้างต่าง ๆ แล้ว “ทั้งหมดจะต้องร้อยเรียงกัน ตั้งแต่แผนงานระยะสั้น ระยะปัจจุบัน และแผนงานระยะยาวที่จะนําไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่ 1. ปริมาณน้ําฝนที่ตกลงมามากซึ่งเป็นเรื่องที่เราห้ามไม่ได้ 2. น้ําที่ไหลลงมาจากภูเขา ที่จะต้องไปฟื้นฟูป่าไม้บนภูเขา ซึ่งเป็นภาพใหญ่ที่ต้องทํา แต่จะทําได้แค่ไหนอย่างไร ต้องขึ้นอยู่กับเวลาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหน้าด้วย เพราะแนวภูเขามีความยาว เมื่อฝนตกน้ําก็ไหลลงข้างล่าง ต่ําลงไปทะเล แล้วผ่านทุกเมือง ทําให้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่ราบได้รับความเดือดร้อนทั้งหมด จะแก้ปัญหาด้วยการย้ายเมืองหรือย้ายภูเขาก็ไม่ได้ จึงต้องหาแนวทางลดน้ําที่อยู่ในภูเขาให้ได้ เช่น การหาเส้นทางเบี่ยงเบนน้ํา พัฒนาป่าเขาข้างบนเพื่อให้ซับน้ํา ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ เพราะที่ผ่านมามีการทําลายธรรมชาติมากเกินไป ทําให้การซึมซับน้ําบนภูเขาทําได้น้อย น้ําจึงไหลบ่าลงมาข้างล่าง พร้อมกับมีการทําพนังกันน้ําในพื้นที่ที่เป็นหัวใจสําคัญ เช่น โรงพยาบาล สถานที่ราชการ ภาคธุรกิจสําคัญ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาทั้งการทําพนังกั้นน้ํา การทําฟลัดเวย์เพื่อเลี่ยงน้ําออกจากพื้นที่ โดยขณะนี้แผนงานที่ได้เริ่มดําเนินการแล้วคือการขุดคลองระบายน้ําขึ้นใหม่ ซึ่งได้ผ่านการศึกษาผ่านการประชาพิจารณ์แล้ว เพื่อจะได้ช่วยระบายน้ําในตอนล่างได้เพิ่มขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า สิ่งสําคัญที่สุดที่จะต้องทําคือเรื่องการผังเมือง หากไม่เกิดเหตุการณ์ขึ้นก็จะไม่ค่อยมีคนสนใจกฎหมาย วันนี้มีคนเดือดร้อน ซึ่งจะต้องหาแนวทางช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน และจะต้องแก้ปัญหาระยะยาวด้วย เพราะฉะนั้นผู้ใดที่อยู่ในพื้นที่ผิดกฎหมายก็จะไม่สามารถอยู่ได้ เพราะหากมีคนไปอยู่แล้วสร้างบ้าน ซ่อมบ้านตรงนั้นในที่เดิม จะเป็นปัญหา การใช้จ่ายงบประมาณจะไม่สามารถทําได้ ซึ่งรัฐบาลจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ เพราะบางคนก็ไปทําสวนปาล์ม สวนเกษตรต่าง ๆ ในพื้นที่ที่ไม่ถูกต้อง การแก้ปัญหาของประเทศจึงทับซ้อนกันอยู่แบบนี้ โดยจะต้องแก้ไขปัญหาให้ได้ ที่ประชุมวันนี้จึงได้มีการหารือเรื่องผังเมือง แนวทางการบังคับใช้การก่อสร้างอาคาร เพราะเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขทั้งหมด ซึ่งการแก้ไขปัญหาของประเทศไทยที่ทับซ้อนกันอยู่แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนักแต่จะทําให้ดีที่สุด พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้นําแนวทางที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงห่วงใยมาสู่การปฏิบัติทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการนําแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระราชดําริไว้แล้ว ซึ่งมีหลายโครงการที่อยู่ที่กระทรวงเกษตรฯ กรมชลประทาน โดยจะมีการนําแผนต่าง ๆ ในส่วนที่ยังไม่ได้ทําขึ้นมาทํา หรือแผนที่ทําแล้วแต่ยังไม่เสร็จสิ้นก็จะทําให้เสร็จให้ได้ อาจจะมีปัญหาเรื่องงบประมาณและเวลา แต่รัฐบาลก็จะทําต่อไป เพราะเหล่านี้เป็นความจําเป็นของยุทธศาสตร์ชาติที่จะต้องทําต่อในอนาคตด้วย คงทําวันนี้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะเงินและเวลามีไม่พอ จึงขอฝากให้เข้าใจด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นว่า งานทุกงานของรัฐบาล และทุกกระทรวง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการบรรเทาภัยพิบัติเท่านั้น จะต้องมีแผนหลัก แผนรอง แผนเผชิญเหตุ ทั้งหมดเป็นหลักการอยู่ในยุทธศาสตร์ของการพัฒนาระบบบริหารราชการแผ่นดิน ที่จะต้องร้อยเรียงกันให้ได้ มิฉะนั้นทุกงานจะทํางานตามฟังก์ชั่นทั้งหมดแล้วจะตอบคําถามภาพรวมไม่ได้ วันหน้าก็ต้องมาบูรณาการกัน งบแก้ปัญหาน้ําท่วม งบต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหลายกระทรวงจะต้องมาทําร่วมกันในแผนงานเดียวกัน จึงขอให้ช่วยกัน อย่าต่อต้านรัฐบาลในเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นความหวังดีเจตนาดี หากพบความไม่โปร่งใสก็ขอให้ร้องเรียนเข้ามา โดยนายกรัฐมนตรีจะตรวจสอบให้ทั้งหมด รัฐบาลจะทําให้ดีที่สุด การใช้จ่ายงบประมาณจะต้องโปร่งใสทั้งในส่วนกลาง ส่วนท้องถิ่น ภูมิภาค นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การแก้ปัญหาเวลานี้ยังคงใช้งบประมาณปกติที่มาจากหน่วยงานราชการและเงินบริจาคของประชาชนซึ่งจะใช้ให้คุ้มค่า โปร่งใส ตรวจสอบได้และจะน้อมนําแนวทางการแก้ปัญหาทั้งหมดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้มาเป็นแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และให้เป็นไปตามกระแสรับสั่งของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ที่ทรงห่วงใยประชาชนและทรงกําชับทุกเรื่อง ซึ่งในขณะนี้ทรงโปรดฯ ให้หน่วยงานช่วยเหลือจากหน่วยงานในพระองค์ และในส่วนขององคมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนในจังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งหมด ซึ่งหน่วยงานก็ได้มีการหารือกับรัฐบาลเพื่อช่วยกันนําความห่วงใยและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านไปสู่ประชาชนด้วย ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1474
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตรวจยึดเกล็ดลิ่นลักลอบผ่านแดนจากทวีปแอฟริกา จำนวน 2.9 ตัน มูลค่า 29,000,000 บาท
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 กรมศุลกากร สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตรวจยึดเกล็ดลิ่นลักลอบผ่านแดนจากทวีปแอฟริกา จํานวน 2.9 ตัน มูลค่า 29,000,000 บาท กรมศุลกากร สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตรวจยึดเกล็ดลิ่นลักลอบผ่านแดนจากทวีปแอฟริกา จํานวน 2.9 ตัน มูลค่า 29,000,000 บาท วันนี้ (วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 10.00 น. นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร พล.ต.อ. เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ พลตํารวจตรี วรพงษ์ ทองไพบูลย์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้แถลงข่าวการตรวจยึดเกล็ดลิ่นลักลอบผ่านแดนจากทวีปแอฟริกา จํานวน 2.9 ตัน มูลค่าประมาณ 29 ล้านบาท ณ กรมศุลกากร คลองเตย สถานการณ์การลักลอบค้าลิ่นและเกล็ดลิ่นในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทําให้ลิ่นเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ในการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) ครั้งที่ 17 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 กันยายน – 5 ตุลาคม 2559 ณ นครโจฮันเนสเบิร์ก สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ที่ประชุมจึงมีมติให้ปรับระดับลิ่นขึ้นเป็นสัตว์ในบัญชี 1 ของอนุสัญญา CITES ซึ่งห้ามนําเข้า ส่งออก และนําผ่านอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับงาช้าง นอแรด เสือ โดยให้มีผลบังคับเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2560 และได้มีข้อตัดสินใจที่กําหนดให้มีการบังคับใช้กฎหมายในการจัดการการค้าลิ่นผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด และเสริมสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและระหว่างประเทศ เพื่อร่วมมือในการดําเนินการและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเส้นทางการค้า รูปแบบ และการบังคับใช้กฎหมายเพื่อต่อสู้กับการค้าลิ่นผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากรจึงได้มีนโยบายให้ความสําคัญกับการป้องกันและปราบปรามการลักลอบค้าสัตว์ป่าอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ของประเทศไทยและโลก ด้วยการดําเนินการตามมติที่ประชุมของภาคีอนุสัญญา CITES โดยให้กรมศุลกากรบูรณาการการทํางานร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช พร้อมทั้งได้สั่งการมอบหมายให้นายไพศาล ชื่นจิตร ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายวรวุฒิ วิบูลย์ศิริชัย ผู้อํานวยการสํานักสืบสวนและปราบปราม นายสรศักดิ์ มีนะโตรี ผู้อํานวยการสํานักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายเดชา วิชัยดิษฐ รักษาราชการแทนผู้อํานวยการส่วนสืบสวนปราบปราม 3 สํานักสืบสวนและปราบปราม และนายเชาวน์ ตะกรุดเงิน หัวหน้าฝ่ายสืบสวนปราบปรามที่ 2 ส่วนสืบสวนปราบปราม 3 ร่วมกันวางแผนสกัดกั้นขบวนการลักลอบลิ่นและเกล็ดลิ่นผิดกฎหมาย จากการประสานความร่วมมือของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายได้มีการบูรณาการการข่าวและการสืบสวนติดตามขบวนการลักลอบค้าเกล็ดลิ่นข้ามชาติในเส้นทางเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง และทราบว่าจะมีการลักลอบนําเกล็ดลิ่นจากประเทศคองโกผ่านประเทศไทย อ้างว่าเป็นสินค้าผ่านแดนไป สปป.ลาว ข้อเท็จจริงปรากฏ ดังนี้ 1. เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2559 เที่ยวบินที่ TK064 เจ้าหน้าที่ได้อายัดสินค้าสําแดงชนิดสินค้าเป็น SCALES (เกล็ด) จํานวน 24 หีบห่อ น้ําหนัก 1,200 กิโลกรัม ขนส่งจากเมืองกินชาซา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ด้วย ผ่านประเทศตุรกีและประเทศไทย ปลายทางเวียงจันทน์ สปป.ลาว เจ้าหน้าที่จึงได้ขอตรวจสอบสินค้าต้องสงสัยด้วยการเอ็กซเรย์ ผลปรากฏพบ เกล็ดลิ่น น้ําหนัก 1,200 กิโลกรัม 2. เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2559 เที่ยวบินที่ TK064 เจ้าหน้าที่ได้อายัดสินค้าสําแดงชนิดสินค้าเป็น SCALES (เกล็ด) จํานวน 10 หีบห่อ น้ําหนัก 500 กิโลกรัม ขนส่งจากเมืองกินชาซา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ด้วย ผ่านประเทศตุรกีและประเทศไทย ปลายทางเวียงจันทน์ สปป.ลาว เจ้าหน้าที่จึงได้ขอตรวจสอบสินค้าต้องสงสัยด้วยการเอ็กซเรย์ ผลปรากฏพบ เกล็ดลิ่น น้ําหนัก 500 กิโลกรัม 3. เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559 เที่ยวบินที่ TK064 เจ้าหน้าที่ได้อายัดสินค้าต้องสงสัยอีก 1 รายการ สําแดงชนิดสินค้าเป็น SCALES (เกล็ด) จํานวน 24 หีบห่อ น้ําหนัก 1,200 กิโลกรัม โดยใช้เส้นทางเช่นเดียวกับคดีข้างต้น และทําการตรวจสอบสินค้าต้องสงสัยด้วยการเอ็กซเรย์ ผลปรากฏพบ เกล็ดลิ่น น้ําหนัก 1,200 กิโลกรัม หลักการของอนุสัญญา CITES การส่งออกสัตว์ตามบัญชี 2 จะต้องได้รับใบอนุญาต CITES จากประเทศ ผู้ส่งออกและรับรองว่าไม่กระทบกระเทือนต่อการดํารงอยู่ในธรรมชาติ หากไม่มีการอนุญาตส่งออกจะไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศปลายทางได้ ซึ่งทั้ง 3 กรณีข้างต้น ตัวแทนออกของไม่สามารถนําใบอนุญาต CITES ตัวจริงมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ ประกอบกับต้นทางของสินค้าเป็นประเทศเสี่ยงในการลักลอบเกล็ดลิ่น เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดสินค้าทั้งหมดเพื่อนําไปตรวจสอบโดยละเอียด โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ประสานความร่วมมือไปยัง สปป.ลาว เพื่อตรวจสอบใบอนุญาตนําเข้า ซึ่งต่อมาได้รับการยืนยันว่าไม่มีการออกใบอนุญาตนําเข้าเกล็ดลิ่นแต่อย่างใด และสํานักงานเลขาธิการ CITES ได้ประสานงานสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกตรวจสอบข้อมูลใบอนุญาตส่งออก ผลการตรวจสอบพบว่าสําเนาใบอนุญาตส่งออกนั้นไม่ถูกต้อง พร้อมให้สืบสวนข้อเท็จจริงในการออกใบอนุญาตส่งออกดังกล่าว กรณีดังกล่าวเป็นความผิดฐานนําของต้องห้ามต้องกํากัดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พระพุทธศักราช 2469 ประกอบมาตรา 16 และมาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 นําผ่านสัตว์ป่า ซากของสัตว์ป่าหรือผลิตภัณฑ์ที่ทําจากซากของสัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามมาตรา 23 และมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดเกล็ดลิ่นทั้งหมดไว้เป็นของกลาง สํานวนคดีส่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อดําเนินการตามกฎหมายและเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป อนึ่ง ตั้งแต่ปี 2555 ถึงปัจจุบัน กรมศุลกากรได้เคยตรวจยึดเกล็ดลิ่นจากทวีปแอฟริกามาแล้ว จํานวน 9 คดี น้ําหนักของกลางรวม 3.4 ตัน มูลค่ากว่า 35 ล้านบาท คดีส่วนใหญ่มีต้นทางจากประเทศไนจีเรีย ผ่านประเทศตุรกี ประเทศไทย เพื่อไปยังปลายทาง สปป.ลาว ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตรวจยึดเกล็ดลิ่นลักลอบผ่านแดนจากทวีปแอฟริกา จำนวน 2.9 ตัน มูลค่า 29,000,000 บาท วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 กรมศุลกากร สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตรวจยึดเกล็ดลิ่นลักลอบผ่านแดนจากทวีปแอฟริกา จํานวน 2.9 ตัน มูลค่า 29,000,000 บาท กรมศุลกากร สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตรวจยึดเกล็ดลิ่นลักลอบผ่านแดนจากทวีปแอฟริกา จํานวน 2.9 ตัน มูลค่า 29,000,000 บาท วันนี้ (วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 10.00 น. นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร พล.ต.อ. เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ พลตํารวจตรี วรพงษ์ ทองไพบูลย์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้แถลงข่าวการตรวจยึดเกล็ดลิ่นลักลอบผ่านแดนจากทวีปแอฟริกา จํานวน 2.9 ตัน มูลค่าประมาณ 29 ล้านบาท ณ กรมศุลกากร คลองเตย สถานการณ์การลักลอบค้าลิ่นและเกล็ดลิ่นในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทําให้ลิ่นเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ในการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) ครั้งที่ 17 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 กันยายน – 5 ตุลาคม 2559 ณ นครโจฮันเนสเบิร์ก สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ที่ประชุมจึงมีมติให้ปรับระดับลิ่นขึ้นเป็นสัตว์ในบัญชี 1 ของอนุสัญญา CITES ซึ่งห้ามนําเข้า ส่งออก และนําผ่านอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับงาช้าง นอแรด เสือ โดยให้มีผลบังคับเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2560 และได้มีข้อตัดสินใจที่กําหนดให้มีการบังคับใช้กฎหมายในการจัดการการค้าลิ่นผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด และเสริมสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและระหว่างประเทศ เพื่อร่วมมือในการดําเนินการและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเส้นทางการค้า รูปแบบ และการบังคับใช้กฎหมายเพื่อต่อสู้กับการค้าลิ่นผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากรจึงได้มีนโยบายให้ความสําคัญกับการป้องกันและปราบปรามการลักลอบค้าสัตว์ป่าอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ของประเทศไทยและโลก ด้วยการดําเนินการตามมติที่ประชุมของภาคีอนุสัญญา CITES โดยให้กรมศุลกากรบูรณาการการทํางานร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช พร้อมทั้งได้สั่งการมอบหมายให้นายไพศาล ชื่นจิตร ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายวรวุฒิ วิบูลย์ศิริชัย ผู้อํานวยการสํานักสืบสวนและปราบปราม นายสรศักดิ์ มีนะโตรี ผู้อํานวยการสํานักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายเดชา วิชัยดิษฐ รักษาราชการแทนผู้อํานวยการส่วนสืบสวนปราบปราม 3 สํานักสืบสวนและปราบปราม และนายเชาวน์ ตะกรุดเงิน หัวหน้าฝ่ายสืบสวนปราบปรามที่ 2 ส่วนสืบสวนปราบปราม 3 ร่วมกันวางแผนสกัดกั้นขบวนการลักลอบลิ่นและเกล็ดลิ่นผิดกฎหมาย จากการประสานความร่วมมือของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายได้มีการบูรณาการการข่าวและการสืบสวนติดตามขบวนการลักลอบค้าเกล็ดลิ่นข้ามชาติในเส้นทางเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง และทราบว่าจะมีการลักลอบนําเกล็ดลิ่นจากประเทศคองโกผ่านประเทศไทย อ้างว่าเป็นสินค้าผ่านแดนไป สปป.ลาว ข้อเท็จจริงปรากฏ ดังนี้ 1. เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2559 เที่ยวบินที่ TK064 เจ้าหน้าที่ได้อายัดสินค้าสําแดงชนิดสินค้าเป็น SCALES (เกล็ด) จํานวน 24 หีบห่อ น้ําหนัก 1,200 กิโลกรัม ขนส่งจากเมืองกินชาซา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ด้วย ผ่านประเทศตุรกีและประเทศไทย ปลายทางเวียงจันทน์ สปป.ลาว เจ้าหน้าที่จึงได้ขอตรวจสอบสินค้าต้องสงสัยด้วยการเอ็กซเรย์ ผลปรากฏพบ เกล็ดลิ่น น้ําหนัก 1,200 กิโลกรัม 2. เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2559 เที่ยวบินที่ TK064 เจ้าหน้าที่ได้อายัดสินค้าสําแดงชนิดสินค้าเป็น SCALES (เกล็ด) จํานวน 10 หีบห่อ น้ําหนัก 500 กิโลกรัม ขนส่งจากเมืองกินชาซา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ด้วย ผ่านประเทศตุรกีและประเทศไทย ปลายทางเวียงจันทน์ สปป.ลาว เจ้าหน้าที่จึงได้ขอตรวจสอบสินค้าต้องสงสัยด้วยการเอ็กซเรย์ ผลปรากฏพบ เกล็ดลิ่น น้ําหนัก 500 กิโลกรัม 3. เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559 เที่ยวบินที่ TK064 เจ้าหน้าที่ได้อายัดสินค้าต้องสงสัยอีก 1 รายการ สําแดงชนิดสินค้าเป็น SCALES (เกล็ด) จํานวน 24 หีบห่อ น้ําหนัก 1,200 กิโลกรัม โดยใช้เส้นทางเช่นเดียวกับคดีข้างต้น และทําการตรวจสอบสินค้าต้องสงสัยด้วยการเอ็กซเรย์ ผลปรากฏพบ เกล็ดลิ่น น้ําหนัก 1,200 กิโลกรัม หลักการของอนุสัญญา CITES การส่งออกสัตว์ตามบัญชี 2 จะต้องได้รับใบอนุญาต CITES จากประเทศ ผู้ส่งออกและรับรองว่าไม่กระทบกระเทือนต่อการดํารงอยู่ในธรรมชาติ หากไม่มีการอนุญาตส่งออกจะไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศปลายทางได้ ซึ่งทั้ง 3 กรณีข้างต้น ตัวแทนออกของไม่สามารถนําใบอนุญาต CITES ตัวจริงมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ ประกอบกับต้นทางของสินค้าเป็นประเทศเสี่ยงในการลักลอบเกล็ดลิ่น เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดสินค้าทั้งหมดเพื่อนําไปตรวจสอบโดยละเอียด โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ประสานความร่วมมือไปยัง สปป.ลาว เพื่อตรวจสอบใบอนุญาตนําเข้า ซึ่งต่อมาได้รับการยืนยันว่าไม่มีการออกใบอนุญาตนําเข้าเกล็ดลิ่นแต่อย่างใด และสํานักงานเลขาธิการ CITES ได้ประสานงานสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกตรวจสอบข้อมูลใบอนุญาตส่งออก ผลการตรวจสอบพบว่าสําเนาใบอนุญาตส่งออกนั้นไม่ถูกต้อง พร้อมให้สืบสวนข้อเท็จจริงในการออกใบอนุญาตส่งออกดังกล่าว กรณีดังกล่าวเป็นความผิดฐานนําของต้องห้ามต้องกํากัดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พระพุทธศักราช 2469 ประกอบมาตรา 16 และมาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 นําผ่านสัตว์ป่า ซากของสัตว์ป่าหรือผลิตภัณฑ์ที่ทําจากซากของสัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามมาตรา 23 และมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดเกล็ดลิ่นทั้งหมดไว้เป็นของกลาง สํานวนคดีส่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อดําเนินการตามกฎหมายและเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป อนึ่ง ตั้งแต่ปี 2555 ถึงปัจจุบัน กรมศุลกากรได้เคยตรวจยึดเกล็ดลิ่นจากทวีปแอฟริกามาแล้ว จํานวน 9 คดี น้ําหนักของกลางรวม 3.4 ตัน มูลค่ากว่า 35 ล้านบาท คดีส่วนใหญ่มีต้นทางจากประเทศไนจีเรีย ผ่านประเทศตุรกี ประเทศไทย เพื่อไปยังปลายทาง สปป.ลาว ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1666
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สันติ”เล็งคลอดแผนเยียวยาเกษตรกรใบยาสูบ มิ.ย.นี้ ก่อนภาษีบุหรี่ใหม่มีผล ต.ค. เดินหน้าศึกษาพืชทดแทน
วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2563 “สันติ”เล็งคลอดแผนเยียวยาเกษตรกรใบยาสูบ มิ.ย.นี้ ก่อนภาษีบุหรี่ใหม่มีผล ต.ค. เดินหน้าศึกษาพืชทดแทน “สันติ” เร่งกรมสรรพสามิตหามาตรการเยียวเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบแล้วเสร็จภายใน มิ.ย.นี้ ก่อนภาษีสรรพสามิตบุหรี่ปรับเพิ่มขึ้น 40 % มีผลบังคับใช้ ต.ค. 63 เตรียมความพร้อมศึกษากฎหมายการเพาะปลูกกัญชาทางการแพทย์เป็นพืชทดแทน “สันติ” เร่งกรมสรรพสามิตหามาตรการเยียวเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบแล้วเสร็จภายใน มิ.ย.นี้ ก่อนภาษีสรรพสามิตบุหรี่ปรับเพิ่มขึ้น 40 % มีผลบังคับใช้ ต.ค. 63 เตรียมความพร้อมศึกษากฎหมายการเพาะปลูกกัญชาทางการแพทย์เป็นพืชทดแทน เหตุเป็นโครงสร้างการเพาะปลูกและการรับซื้อที่ใกล้เคียงกับการปลูกใบยาสูบ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบในพื้นที่ภาคเหนือ ได้เข้าพบเพื่อขอให้กระทรวงการคลังออกมาตรการเยียวยาและบรรเทาผลกระทบจากการที่กรมสรรพสามิต มีแผนปรับอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตบุหรี่ขึ้น 40 % ที่จะมีผลในเดือนตุลาคม 2563 ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้มอบหมายให้กรมสรรพสามิต เร่งหามาตรการและแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มดังกล่าวที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปรับภาษีเพิ่มขึ้น และยังประสบปัญหากับภัยแล้งและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คาดว่าแนวทางดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2563 เพื่อกําหนดกรอบการช่วยเหลือที่ชัดเจน ก่อนจะประกาศใช้อย่างเป็นทางการ “ต้องยอมรับว่าเกษตรกรได้รับผลกระทบจากการที่ไทยต้องดําเนินตามเงื่อนไขขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO โดยการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบและบุหรี่ ซึ่งมีผลต่อโควต้าการรับซื้อใบยาสูบลดลง ดังนั้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรจําเป็นต้องหาแนวทางการส่งเสริมพืชทดแทนในการเพาะปลูก อาจมีความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการเพาะปลูกกัญชาที่จะนํามาใช้ในทางการแพทย์ เนื่องจากมีโครงสร้างการเพาะปลูกและการรับซื้อใกล้เคียงกับใบยาสูบ ซึ่งเกษตรกรมีความเข้าใจ ทั้งการเพาะปลูกแบบระบบควบคุมอยู่แล้ว” นายสันติ กล่าว อย่างไรก็ตามความเป็นไปได้ในการส่งเสริมเกษตรกรเพาะปลูกใบยาสูบมาปลูกกัญชาทดแทน จะต้องมีการศึกษาในรายละเอียดข้อกฎหมายให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข องค์กรเภสัชกรรม ก่อนที่จะออกมาตรการส่งเสริมการเพาะปลูกพืชทดแทนให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบทั่วประเทศต่อไป https://bit.ly/3dj1KPx
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สันติ”เล็งคลอดแผนเยียวยาเกษตรกรใบยาสูบ มิ.ย.นี้ ก่อนภาษีบุหรี่ใหม่มีผล ต.ค. เดินหน้าศึกษาพืชทดแทน วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2563 “สันติ”เล็งคลอดแผนเยียวยาเกษตรกรใบยาสูบ มิ.ย.นี้ ก่อนภาษีบุหรี่ใหม่มีผล ต.ค. เดินหน้าศึกษาพืชทดแทน “สันติ” เร่งกรมสรรพสามิตหามาตรการเยียวเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบแล้วเสร็จภายใน มิ.ย.นี้ ก่อนภาษีสรรพสามิตบุหรี่ปรับเพิ่มขึ้น 40 % มีผลบังคับใช้ ต.ค. 63 เตรียมความพร้อมศึกษากฎหมายการเพาะปลูกกัญชาทางการแพทย์เป็นพืชทดแทน “สันติ” เร่งกรมสรรพสามิตหามาตรการเยียวเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบแล้วเสร็จภายใน มิ.ย.นี้ ก่อนภาษีสรรพสามิตบุหรี่ปรับเพิ่มขึ้น 40 % มีผลบังคับใช้ ต.ค. 63 เตรียมความพร้อมศึกษากฎหมายการเพาะปลูกกัญชาทางการแพทย์เป็นพืชทดแทน เหตุเป็นโครงสร้างการเพาะปลูกและการรับซื้อที่ใกล้เคียงกับการปลูกใบยาสูบ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบในพื้นที่ภาคเหนือ ได้เข้าพบเพื่อขอให้กระทรวงการคลังออกมาตรการเยียวยาและบรรเทาผลกระทบจากการที่กรมสรรพสามิต มีแผนปรับอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตบุหรี่ขึ้น 40 % ที่จะมีผลในเดือนตุลาคม 2563 ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้มอบหมายให้กรมสรรพสามิต เร่งหามาตรการและแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มดังกล่าวที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปรับภาษีเพิ่มขึ้น และยังประสบปัญหากับภัยแล้งและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คาดว่าแนวทางดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2563 เพื่อกําหนดกรอบการช่วยเหลือที่ชัดเจน ก่อนจะประกาศใช้อย่างเป็นทางการ “ต้องยอมรับว่าเกษตรกรได้รับผลกระทบจากการที่ไทยต้องดําเนินตามเงื่อนไขขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO โดยการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบและบุหรี่ ซึ่งมีผลต่อโควต้าการรับซื้อใบยาสูบลดลง ดังนั้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรจําเป็นต้องหาแนวทางการส่งเสริมพืชทดแทนในการเพาะปลูก อาจมีความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการเพาะปลูกกัญชาที่จะนํามาใช้ในทางการแพทย์ เนื่องจากมีโครงสร้างการเพาะปลูกและการรับซื้อใกล้เคียงกับใบยาสูบ ซึ่งเกษตรกรมีความเข้าใจ ทั้งการเพาะปลูกแบบระบบควบคุมอยู่แล้ว” นายสันติ กล่าว อย่างไรก็ตามความเป็นไปได้ในการส่งเสริมเกษตรกรเพาะปลูกใบยาสูบมาปลูกกัญชาทดแทน จะต้องมีการศึกษาในรายละเอียดข้อกฎหมายให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข องค์กรเภสัชกรรม ก่อนที่จะออกมาตรการส่งเสริมการเพาะปลูกพืชทดแทนให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบทั่วประเทศต่อไป https://bit.ly/3dj1KPx
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31739
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หมั่นรักษาความสะอาดด้วยการล้างมือเพื่อป้องกันโควิด-19
วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2563 หมั่นรักษาความสะอาดด้วยการล้างมือเพื่อป้องกันโควิด-19 การ์ดห้ามตกเด็ดขาด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หมั่นรักษาความสะอาดด้วยการล้างมือเพื่อป้องกันโควิด-19 วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2563 หมั่นรักษาความสะอาดด้วยการล้างมือเพื่อป้องกันโควิด-19 การ์ดห้ามตกเด็ดขาด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30945
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันสถาปนาสำนักงาน กศน.ครบรอบปีที่ 9
วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2560 วันสถาปนาสํานักงาน กศน.ครบรอบปีที่ 9 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานมอบโล่รางวัลและเกียรติบัตร พร้อมทั้งมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร ในงานวันคล้ายวันสถาปนาสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สํานักงาน กศน.) ครบรอบปีที่ 9 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานเปิดงาน "วันคล้ายวันสถาปนาสํานักงาน กศน. ครบรอบปีที่ 9" ในครั้งนี้ โดยถือเป็นโอกาสดีที่ได้พบกับผู้บริหารหน่วยงานและผู้บริหารสถานศึกษา กศน. ซึ่งเป็นบุคคลสําคัญในการขับเคลื่อนแนวนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ทั้งนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ทรงเน้นย้ําให้การศึกษาต้องเปิดโอกาสเพื่อให้คนมีอาชีพ มิเช่นนั้นการศึกษาก็จะเสียเปล่าจึงขอฝากงานสําคัญให้ กศน. ต้องช่วยส่งเสริมการสร้างโอกาสทางการศึกษา โดยนอกจากจะต้องให้ความสําคัญกับการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพแล้ว ต้องมีการฝึกอบรมอาชีพให้กับประชาชนต่อไป ในส่วนของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญกับการจัดการศึกษาของ กศน. เป็นอย่างมากเพราะ กศน. เป็นหน่วยงานหลักที่จัดการศึกษาให้ประชาชน พัฒนาระบบการสอนแบบเดิม ๆ ด้วยการบูรณาการความรู้ตามหลักวิชาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ โครงการที่สําคัญของ กศน. ในปีนี้ สํานักงาน กศน.ได้จัดโครงการอบรม Boot Camp ภาษาอังกฤษเพราะมีความจําเป็นต้องเร่งยกระดับเรื่องภาษาอังกฤษ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการมีเป้าหมายในการจัดอบรม Boot Camp ให้แก่ครูสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กว่า 40,000 คน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับภาษาอังกฤษของครู และจะจัดตั้งศูนย์อบรม Boot Camp จํานวน 18 ศูนย์ทั่วประเทศ รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ในการส่งเสริมให้ครูที่เข้าอบรม Boot Camp ในแต่ละศูนย์ สามารถสอนภาษาอังกฤษให้เด็ก และให้เด็กไปสอนพ่อแม่และผู้ปกครองต่อซึ่งไม่จําเป็นจะต้องพูดได้คล่อง แต่ขอให้สื่อสารได้ นอกจากนี้ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ก็ได้มีโครงการจัดอบรม Boot Camp ด้วยเช่นกันภายใต้โครงการ "ฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ภาคฤดูร้อน" ครั้งที่ 1 (Education to Employment: Vocational Boot Camp) และแม้ว่าหลายคนจะบอกว่าปัจจุบันเราขาดครูอาชีวศึกษา แต่ความจริงแล้วเราไม่ได้ขาด เพราะมีความร่วมมือกับ "ครูในโรงงานและสถานประกอบการ" ที่ช่วยสอนและฝึกประสบการณ์ให้กับเด็กอาชีวศึกษาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมีแนวทางในการจัดทําหลักสูตรอาชีวศึกษากว่า 2,600 หลักสูตร เช่น Smart Farmer เป็นต้น ซึ่งได้รับความร่วมมือจากบริษัทและสถานประกอบการต่าง ๆ กว่า 1,500 บริษัท ในการรับเด็กเข้าฝึกประสบการณ์ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ย้ําว่าขอให้แทรกเรื่องสําคัญที่จะสร้างให้ผู้เรียนเป็นคนดีด้วย เช่น เจตคติให้ขยัน ใฝ่เรียนรู้ มีวินัย และตรงเวลา ในโอกาสนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เป็นประธานมอบโล่รางวัลและเกียรติบัตร เช่น ห้องสมุดประชาชนดีเด่น, พื้นที่เสี่ยงภัยดีเด่น, ผู้อํานวยการจังหวัดพื้นที่ดีเด่น, สํานักงาน กศน.จังหวัดดีเด่น, บ้านหนังสือชุมชน เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันสถาปนาสำนักงาน กศน.ครบรอบปีที่ 9 วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2560 วันสถาปนาสํานักงาน กศน.ครบรอบปีที่ 9 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานมอบโล่รางวัลและเกียรติบัตร พร้อมทั้งมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร ในงานวันคล้ายวันสถาปนาสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สํานักงาน กศน.) ครบรอบปีที่ 9 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานเปิดงาน "วันคล้ายวันสถาปนาสํานักงาน กศน. ครบรอบปีที่ 9" ในครั้งนี้ โดยถือเป็นโอกาสดีที่ได้พบกับผู้บริหารหน่วยงานและผู้บริหารสถานศึกษา กศน. ซึ่งเป็นบุคคลสําคัญในการขับเคลื่อนแนวนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ทั้งนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ทรงเน้นย้ําให้การศึกษาต้องเปิดโอกาสเพื่อให้คนมีอาชีพ มิเช่นนั้นการศึกษาก็จะเสียเปล่าจึงขอฝากงานสําคัญให้ กศน. ต้องช่วยส่งเสริมการสร้างโอกาสทางการศึกษา โดยนอกจากจะต้องให้ความสําคัญกับการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพแล้ว ต้องมีการฝึกอบรมอาชีพให้กับประชาชนต่อไป ในส่วนของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญกับการจัดการศึกษาของ กศน. เป็นอย่างมากเพราะ กศน. เป็นหน่วยงานหลักที่จัดการศึกษาให้ประชาชน พัฒนาระบบการสอนแบบเดิม ๆ ด้วยการบูรณาการความรู้ตามหลักวิชาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ โครงการที่สําคัญของ กศน. ในปีนี้ สํานักงาน กศน.ได้จัดโครงการอบรม Boot Camp ภาษาอังกฤษเพราะมีความจําเป็นต้องเร่งยกระดับเรื่องภาษาอังกฤษ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการมีเป้าหมายในการจัดอบรม Boot Camp ให้แก่ครูสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กว่า 40,000 คน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับภาษาอังกฤษของครู และจะจัดตั้งศูนย์อบรม Boot Camp จํานวน 18 ศูนย์ทั่วประเทศ รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ในการส่งเสริมให้ครูที่เข้าอบรม Boot Camp ในแต่ละศูนย์ สามารถสอนภาษาอังกฤษให้เด็ก และให้เด็กไปสอนพ่อแม่และผู้ปกครองต่อซึ่งไม่จําเป็นจะต้องพูดได้คล่อง แต่ขอให้สื่อสารได้ นอกจากนี้ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ก็ได้มีโครงการจัดอบรม Boot Camp ด้วยเช่นกันภายใต้โครงการ "ฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ภาคฤดูร้อน" ครั้งที่ 1 (Education to Employment: Vocational Boot Camp) และแม้ว่าหลายคนจะบอกว่าปัจจุบันเราขาดครูอาชีวศึกษา แต่ความจริงแล้วเราไม่ได้ขาด เพราะมีความร่วมมือกับ "ครูในโรงงานและสถานประกอบการ" ที่ช่วยสอนและฝึกประสบการณ์ให้กับเด็กอาชีวศึกษาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมีแนวทางในการจัดทําหลักสูตรอาชีวศึกษากว่า 2,600 หลักสูตร เช่น Smart Farmer เป็นต้น ซึ่งได้รับความร่วมมือจากบริษัทและสถานประกอบการต่าง ๆ กว่า 1,500 บริษัท ในการรับเด็กเข้าฝึกประสบการณ์ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ย้ําว่าขอให้แทรกเรื่องสําคัญที่จะสร้างให้ผู้เรียนเป็นคนดีด้วย เช่น เจตคติให้ขยัน ใฝ่เรียนรู้ มีวินัย และตรงเวลา ในโอกาสนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เป็นประธานมอบโล่รางวัลและเกียรติบัตร เช่น ห้องสมุดประชาชนดีเด่น, พื้นที่เสี่ยงภัยดีเด่น, ผู้อํานวยการจังหวัดพื้นที่ดีเด่น, สํานักงาน กศน.จังหวัดดีเด่น, บ้านหนังสือชุมชน เป็นต้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2200
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติขยายเวลาการไว้ทุกข์และการลดธงครึ่งเสาในช่วงงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560 ครม.อนุมัติขยายเวลาการไว้ทุกข์และการลดธงครึ่งเสาในช่วงงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายเวลาการไว้ทุกข์และการลดธงครึ่งเสาในช่วงงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันนี้ ( 10 ต.ค. 60 ) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ขยายเวลาการไว้ทุกข์และการลดธงครึ่งเสาในช่วงงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตามที่สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ 1.ขยายเวลาการไว้ทุกข์ของข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ จากเดิมขยาย จากวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 ไปจนถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2560 อันเป็นวันเก็บพระบรมอัฐิ รวมเวลา 15 วันเป็น ขยายไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 รวม 17 วัน 2.ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ สถานศึกษา และสถานที่ทําการของรัฐ ทั้งใน และต่างประเทศลดธงครึ่งเสาจากเดิมตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 ถึงวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 รวมเวลา 15 วันเป็น จนถึงวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 รวม 17 วัน 3.ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐจากเดิม ออกทุกข์ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไปเป็น ออกทุกข์ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2560เป็นต้นไป 4.ให้เริ่มเก็บผ้าระบาย ป้ายส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ตามสถานที่ต่าง ๆ จากเดิม ตั้งแต่คืน วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560เป็น ตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 นอกจากนี้ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชสํานักออกทุกข์ ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2560ตามประกาศสํานักพระราชวัง เรื่อง กําหนดการออกทุกข์ของข้าราชสํานัก ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2560 ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติขยายเวลาการไว้ทุกข์และการลดธงครึ่งเสาในช่วงงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560 ครม.อนุมัติขยายเวลาการไว้ทุกข์และการลดธงครึ่งเสาในช่วงงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายเวลาการไว้ทุกข์และการลดธงครึ่งเสาในช่วงงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันนี้ ( 10 ต.ค. 60 ) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ขยายเวลาการไว้ทุกข์และการลดธงครึ่งเสาในช่วงงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตามที่สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ 1.ขยายเวลาการไว้ทุกข์ของข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ จากเดิมขยาย จากวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 ไปจนถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2560 อันเป็นวันเก็บพระบรมอัฐิ รวมเวลา 15 วันเป็น ขยายไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 รวม 17 วัน 2.ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ สถานศึกษา และสถานที่ทําการของรัฐ ทั้งใน และต่างประเทศลดธงครึ่งเสาจากเดิมตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 ถึงวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 รวมเวลา 15 วันเป็น จนถึงวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 รวม 17 วัน 3.ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐจากเดิม ออกทุกข์ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไปเป็น ออกทุกข์ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2560เป็นต้นไป 4.ให้เริ่มเก็บผ้าระบาย ป้ายส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ตามสถานที่ต่าง ๆ จากเดิม ตั้งแต่คืน วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560เป็น ตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 นอกจากนี้ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชสํานักออกทุกข์ ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2560ตามประกาศสํานักพระราชวัง เรื่อง กําหนดการออกทุกข์ของข้าราชสํานัก ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2560 ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7272
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“หม่อมเต่า” ห่วงใยลูกจ้าง กำชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำกับดูแลและตรวจสอบนายจ้างที่หยุดกิจการชั่วคราว ให้ใช้มาตรา 75 อย่างเคร่งครัด [กระทรวงแรงงาน]
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 “หม่อมเต่า” ห่วงใยลูกจ้าง กําชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกํากับดูแลและตรวจสอบนายจ้างที่หยุดกิจการชั่วคราว ให้ใช้มาตรา 75 อย่างเคร่งครัด [กระทรวงแรงงาน] รมว.แรงงาน ห่วงใยลูกจ้างที่ต้องหยุดงานจากกรณีนายจ้างหยุดกิจการชั่วคราว โดยกําชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้เข้าไปกํากับดูแลและตรวจสอบนายจ้างที่มีการใช้มาตรา 75 ให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความรุนแรงกรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้สถานประกอบกิจการหลายแห่งต้องเลิกจ้างลูกจ้าง ปิดกิจการ รวมถึง การหยุดกิจการบางส่วนหรือทั้งหมดเป็นการชั่วคราวมาใช้ ซึ่งการหยุดกิจการบางส่วน หรือทั้งหมดเป็นการชั่วคราวนั้น กฎหมายคุ้มครองแรงงานให้สิทธินายจ้างสามารถกระทําได้และมุ่งคุ้มครองทั้งนายจ้างและลูกจ้างไปพร้อมกัน ในกรณีที่นายจ้างประสบปัญหามีความจําเป็นต้องหยุดกิจการชั่วคราว แต่ยังมีความประสงค์ประกอบกิจการต่อไป เพื่อแก้ไขวิกฤตดังกล่าวให้คลี่คลายและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของนายจ้างในการดําเนินกิจการให้บรรเทาเบาบางลงไป ก่อนกลับมาเปิดดําเนินกิจการตามปกติได้อีกครั้งและยังเป็นการประคับประคองให้นายจ้างสามารถดําเนินกิจการต่อไปได้โดยไม่จําเป็นต้องปิดกิจการและเลิกจ้างลูกจ้าง ทําให้ลูกจ้างไม่ต้องตกงาน ขาดรายได้และได้รับความเดือดร้อนในช่วงที่หยุดงานเพราะเหตุดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายคุ้มครองแรงงานจะให้สิทธินายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ได้ กฎหมายก็ไม่ได้ยอมให้นายจ้างกระทําได้ตามอําเภอใจ จึงได้กําหนดมาตรการเพื่อควบคุมไว้ ดังนี้ – นายจ้างต้องมีเหตุจําเป็นที่สําคัญอันมีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของนายจ้างจนทําให้นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ – นายจ้างต้องจ่ายเงินให้แก่ลูจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของค่าจ้างในวันทํางานที่ลูกจ้างได้รับก่อนนายจ้างหยุดกิจการตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่ได้ให้ลูกจ้างทํางาน ณ สถานที่ทํางานของลูกจ้าง หรือสถานที่อื่นตามที่ตกลงกันและภายในกําหนดเวลาการจ่ายเงินตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางาน หรือตามที่ตกลงกันกับลูกจ้าง – นายจ้างต้องแจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มหยุดกิจการชั่วคราวไม่น้อยกว่า 3 วันทําการ “หากนายจ้างจําเป็นที่จะต้องหยุดกิจการชั่วคราว นายจ้างจะต้องจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 และต้องแจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มหยุดกิจการชั่วคราวไม่น้อยกว่า 3 วันทําการ ดังนั้น กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รวมทั้งผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน จะเข้าไปดูแลและตรวจสอบการใช้มาตรา 75 ให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งผมให้ความสําคัญกับเรื่องนี้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในท้ายที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“หม่อมเต่า” ห่วงใยลูกจ้าง กำชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำกับดูแลและตรวจสอบนายจ้างที่หยุดกิจการชั่วคราว ให้ใช้มาตรา 75 อย่างเคร่งครัด [กระทรวงแรงงาน] วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 “หม่อมเต่า” ห่วงใยลูกจ้าง กําชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกํากับดูแลและตรวจสอบนายจ้างที่หยุดกิจการชั่วคราว ให้ใช้มาตรา 75 อย่างเคร่งครัด [กระทรวงแรงงาน] รมว.แรงงาน ห่วงใยลูกจ้างที่ต้องหยุดงานจากกรณีนายจ้างหยุดกิจการชั่วคราว โดยกําชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้เข้าไปกํากับดูแลและตรวจสอบนายจ้างที่มีการใช้มาตรา 75 ให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความรุนแรงกรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้สถานประกอบกิจการหลายแห่งต้องเลิกจ้างลูกจ้าง ปิดกิจการ รวมถึง การหยุดกิจการบางส่วนหรือทั้งหมดเป็นการชั่วคราวมาใช้ ซึ่งการหยุดกิจการบางส่วน หรือทั้งหมดเป็นการชั่วคราวนั้น กฎหมายคุ้มครองแรงงานให้สิทธินายจ้างสามารถกระทําได้และมุ่งคุ้มครองทั้งนายจ้างและลูกจ้างไปพร้อมกัน ในกรณีที่นายจ้างประสบปัญหามีความจําเป็นต้องหยุดกิจการชั่วคราว แต่ยังมีความประสงค์ประกอบกิจการต่อไป เพื่อแก้ไขวิกฤตดังกล่าวให้คลี่คลายและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของนายจ้างในการดําเนินกิจการให้บรรเทาเบาบางลงไป ก่อนกลับมาเปิดดําเนินกิจการตามปกติได้อีกครั้งและยังเป็นการประคับประคองให้นายจ้างสามารถดําเนินกิจการต่อไปได้โดยไม่จําเป็นต้องปิดกิจการและเลิกจ้างลูกจ้าง ทําให้ลูกจ้างไม่ต้องตกงาน ขาดรายได้และได้รับความเดือดร้อนในช่วงที่หยุดงานเพราะเหตุดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายคุ้มครองแรงงานจะให้สิทธินายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ได้ กฎหมายก็ไม่ได้ยอมให้นายจ้างกระทําได้ตามอําเภอใจ จึงได้กําหนดมาตรการเพื่อควบคุมไว้ ดังนี้ – นายจ้างต้องมีเหตุจําเป็นที่สําคัญอันมีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของนายจ้างจนทําให้นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ – นายจ้างต้องจ่ายเงินให้แก่ลูจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของค่าจ้างในวันทํางานที่ลูกจ้างได้รับก่อนนายจ้างหยุดกิจการตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่ได้ให้ลูกจ้างทํางาน ณ สถานที่ทํางานของลูกจ้าง หรือสถานที่อื่นตามที่ตกลงกันและภายในกําหนดเวลาการจ่ายเงินตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางาน หรือตามที่ตกลงกันกับลูกจ้าง – นายจ้างต้องแจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มหยุดกิจการชั่วคราวไม่น้อยกว่า 3 วันทําการ “หากนายจ้างจําเป็นที่จะต้องหยุดกิจการชั่วคราว นายจ้างจะต้องจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 และต้องแจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มหยุดกิจการชั่วคราวไม่น้อยกว่า 3 วันทําการ ดังนั้น กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รวมทั้งผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน จะเข้าไปดูแลและตรวจสอบการใช้มาตรา 75 ให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งผมให้ความสําคัญกับเรื่องนี้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในท้ายที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27990
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน ปฏิรูประบบบำนาญ กระตุ้นคนไทยออม รองรับสังคมสูงอายุอย่างมีคุณค่า
วันพุธที่ 20 กันยายน 2560 แรงงาน ปฏิรูประบบบํานาญ กระตุ้นคนไทยออม รองรับสังคมสูงอายุอย่างมีคุณค่า ก.แรงงาน ประชุมวิชาการปฏิรูประบบบํานาญของไทย หารือหน่วยงานเกี่ยวข้องบริหารจัดการอย่างมีระบบ มีกฎหมายรองรับ มีองค์กรระดับชาติดูแล เปิดโอกาสให้สามารถโอนสิทธิประโยชน์ระหว่างกองทุนได้ เผย ปี 2579 ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 ก.แรงงาน ประชุมวิชาการปฏิรูประบบบํานาญของไทย หารือหน่วยงานเกี่ยวข้องบริหารจัดการอย่างมีระบบ มีกฎหมายรองรับ มีองค์กรระดับชาติดูแล เปิดโอกาสให้สามารถโอนสิทธิประโยชน์ระหว่างกองทุนได้ เผย ปี 2579 ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 ขณะที่ข้อมูล สศช. พบ ผู้สูงอายุร้อยละ 34.3 มีรายได้ต่ํากว่าเส้นความยากจน “ปลัดแรงงาน” ย้ํา น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปรับตัว รู้จักประหยัดอดออม วางแผนเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างมีคุณค่า หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมวิชาการประกันสังคม ประจําปี 2560 ภายใต้หัวข้อ การปฏิรูประบบบํานาญของประเทศไทย (Thailand pension Reform) และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ระบบบํานาญภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ณ อาคารอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยกล่าวว่า ปี 2560 ตัวเลขผู้สูงอายุในประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 17 จากประชากรทั้งหมด ในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 และในปี 2579 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 ในความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสําคัญให้มีการจัดทํายุทธศาสตร์ 20 ปี (พ.ศ.2560 - 2579) โดยมีวิสัยทัศน์ว่า ประเทศไทยจะต้องมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ยึดมั่นในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้คนไทยรู้จักประหยัดอดออม ซื่อสัตย์สุจริต ใฝ่รู้ โดยกรอบการพัฒนาที่สําคัญในการดําเนินงานเพื่อรองรับสังคมสูงอายุ จะมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564)เป็นกลไกในการพัฒนาซึ่งทั้งยุทธศาสตร์และแผนงานของชาติจะมุ่งเน้นการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต รวมถึงการสร้างโอกาสความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันทางสังคม ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่า เป็นความโชคดีของคนไทยที่ได้น้อมนําศาสตร์พระราชาตาม "หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางในการปรับตัวรองรับเข้าสู่การเป็นประชากรผู้สูงอายุที่มีคุณค่าอย่างสมบูรณ์ในอนาคตซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ 8 ขององค์การสหประชาชาติ ดังนั้นนโยบายของรัฐจะทําให้ผู้สูงอายุมีศักยภาพที่ดีในเรื่องการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและครอบคลุม การจ้างงานอย่างเต็มที่ และงานที่มีคุณค่าสําหรับทุกคน ที่สําคัญมีการวางแผนชีวิตที่ดี ทั้งนี้ ข้อมูลจากสํานักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปี 2557 พบว่า ประเทศไทยมีผู้สูงอายุถึงร้อยละ 34.3 ที่มีรายได้ต่ํากว่าเส้นความยากจน รัฐจึงต้องวางแผนเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีการออมให้มากขึ้น โดยการบริหารจัดการระบบบํานาญของชาติให้มีระบบ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําระหว่างระบบ มีกฎหมายรองรับ มีองค์กรระดับชาติดูแลในภาพรวม เปิดโอกาสให้สามารถโอนสิทธิประโยชน์ระหว่างกองทุนได้ เพื่อให้ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มอย่างเป็นธรรมและถ้วนหน้า ---------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/ 20 กันยายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน ปฏิรูประบบบำนาญ กระตุ้นคนไทยออม รองรับสังคมสูงอายุอย่างมีคุณค่า วันพุธที่ 20 กันยายน 2560 แรงงาน ปฏิรูประบบบํานาญ กระตุ้นคนไทยออม รองรับสังคมสูงอายุอย่างมีคุณค่า ก.แรงงาน ประชุมวิชาการปฏิรูประบบบํานาญของไทย หารือหน่วยงานเกี่ยวข้องบริหารจัดการอย่างมีระบบ มีกฎหมายรองรับ มีองค์กรระดับชาติดูแล เปิดโอกาสให้สามารถโอนสิทธิประโยชน์ระหว่างกองทุนได้ เผย ปี 2579 ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 ก.แรงงาน ประชุมวิชาการปฏิรูประบบบํานาญของไทย หารือหน่วยงานเกี่ยวข้องบริหารจัดการอย่างมีระบบ มีกฎหมายรองรับ มีองค์กรระดับชาติดูแล เปิดโอกาสให้สามารถโอนสิทธิประโยชน์ระหว่างกองทุนได้ เผย ปี 2579 ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 ขณะที่ข้อมูล สศช. พบ ผู้สูงอายุร้อยละ 34.3 มีรายได้ต่ํากว่าเส้นความยากจน “ปลัดแรงงาน” ย้ํา น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปรับตัว รู้จักประหยัดอดออม วางแผนเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างมีคุณค่า หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมวิชาการประกันสังคม ประจําปี 2560 ภายใต้หัวข้อ การปฏิรูประบบบํานาญของประเทศไทย (Thailand pension Reform) และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ระบบบํานาญภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ณ อาคารอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยกล่าวว่า ปี 2560 ตัวเลขผู้สูงอายุในประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 17 จากประชากรทั้งหมด ในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 และในปี 2579 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 ในความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสําคัญให้มีการจัดทํายุทธศาสตร์ 20 ปี (พ.ศ.2560 - 2579) โดยมีวิสัยทัศน์ว่า ประเทศไทยจะต้องมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ยึดมั่นในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้คนไทยรู้จักประหยัดอดออม ซื่อสัตย์สุจริต ใฝ่รู้ โดยกรอบการพัฒนาที่สําคัญในการดําเนินงานเพื่อรองรับสังคมสูงอายุ จะมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564)เป็นกลไกในการพัฒนาซึ่งทั้งยุทธศาสตร์และแผนงานของชาติจะมุ่งเน้นการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต รวมถึงการสร้างโอกาสความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันทางสังคม ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่า เป็นความโชคดีของคนไทยที่ได้น้อมนําศาสตร์พระราชาตาม "หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางในการปรับตัวรองรับเข้าสู่การเป็นประชากรผู้สูงอายุที่มีคุณค่าอย่างสมบูรณ์ในอนาคตซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ 8 ขององค์การสหประชาชาติ ดังนั้นนโยบายของรัฐจะทําให้ผู้สูงอายุมีศักยภาพที่ดีในเรื่องการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและครอบคลุม การจ้างงานอย่างเต็มที่ และงานที่มีคุณค่าสําหรับทุกคน ที่สําคัญมีการวางแผนชีวิตที่ดี ทั้งนี้ ข้อมูลจากสํานักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปี 2557 พบว่า ประเทศไทยมีผู้สูงอายุถึงร้อยละ 34.3 ที่มีรายได้ต่ํากว่าเส้นความยากจน รัฐจึงต้องวางแผนเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีการออมให้มากขึ้น โดยการบริหารจัดการระบบบํานาญของชาติให้มีระบบ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําระหว่างระบบ มีกฎหมายรองรับ มีองค์กรระดับชาติดูแลในภาพรวม เปิดโอกาสให้สามารถโอนสิทธิประโยชน์ระหว่างกองทุนได้ เพื่อให้ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มอย่างเป็นธรรมและถ้วนหน้า ---------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/ 20 กันยายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6829
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.เห็นชอบขยายเวลา พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ อีก 1 เดือน ตั้งแต่ 1–31 ส.ค. 63 แจงต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยทางสาธารณสุข ควบคู่กระตุ้นเศรษฐกิจ
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563 ศบค.เห็นชอบขยายเวลา พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ อีก 1 เดือน ตั้งแต่ 1–31 ส.ค. 63 แจงต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยทางสาธารณสุข ควบคู่กระตุ้นเศรษฐกิจ ศบค.เห็นชอบขยายเวลา พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ อีก 1 เดือน ตั้งแต่ 1–31 ส.ค. 63 แจงต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยทางสาธารณสุข ควบคู่กระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้ (22 ก.ค. 63) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ชี้แจงรายละเอียดหลังการประชุม ศบค. ถึงเหตุผลในการขยายระยะเวลาการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 63 สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เผยว่าที่ประชุม ศบค. มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ต่ออีก 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. – 31 ส.ค. 63 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ยังมีแนวโน้มผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยวันละ 2 แสนราย และหลังจากที่ประเทศไทยมีการผ่อนคลายมาตรการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น อาทิ โปรแกรม Medical & Wellness Tourism การอนุญาตให้จัดประชุม งานแสดงสินค้า และถ่ายทําภาพยนตร์ จึงต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยทางสาธารณสุขควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้น พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ จึงเป็นมาตรการทางสาธารณสุขที่สามารถให้อํานาจรัฐในการกักตัวสังเกตอาการ 14 วันได้ อย่างไรก็ตาม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า ทีมงานด้านกฎหมายและสาธารณสุขได้หารือในการปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ให้มีบทบาทอํานาจหน้าที่มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะยกเลิกการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ทั้งนี้ ตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ได้ยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถานมาระยะหนึ่งแล้ว จึงจะเพิ่มเติมยกเลิกการห้ามชุมนุม เพื่อให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลขยายระยะเวลาการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เท่านั้น แต่ผู้ที่ชุมนุมทางการเมืองก็จะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 โดยจะนําเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพุธที่ 29 ก.ค. 63 ในตอนท้าย เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ศบค. ได้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ. โรคติดต่อ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีความสําคัญเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ในช่วงต้นของสถานการณ์ฯ จนกระทั่งมีการออกมาตรการผ่อนคลายระยะต่าง ๆ เกิดขึ้น ซึ่งอํานาจหน้าที่ของ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ทําให้สามารถกําหนดมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น ฉะนั้นจึงมีความจําเป็นต้องใช้กฎหมายทั้งสองฉบับควบคู่กัน ทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ. โรคติดต่อ ทั้งนี้ ย้ําว่า การต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในเดือนสิงหาคม เพื่อเป็นประโยชน์ในการทํางานของเจ้าหน้าที่ ไม่มีมาตรการอื่นในเชิงบังคับประชาชนอีกต่อไป ขณะเดียวกันยังคงมีความจําเป็นต้องใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าจะมีกลไกอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงขึ้นมาใช้ควบคุมแทน ................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.เห็นชอบขยายเวลา พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ อีก 1 เดือน ตั้งแต่ 1–31 ส.ค. 63 แจงต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยทางสาธารณสุข ควบคู่กระตุ้นเศรษฐกิจ วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563 ศบค.เห็นชอบขยายเวลา พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ อีก 1 เดือน ตั้งแต่ 1–31 ส.ค. 63 แจงต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยทางสาธารณสุข ควบคู่กระตุ้นเศรษฐกิจ ศบค.เห็นชอบขยายเวลา พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ อีก 1 เดือน ตั้งแต่ 1–31 ส.ค. 63 แจงต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยทางสาธารณสุข ควบคู่กระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้ (22 ก.ค. 63) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ชี้แจงรายละเอียดหลังการประชุม ศบค. ถึงเหตุผลในการขยายระยะเวลาการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 63 สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เผยว่าที่ประชุม ศบค. มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ต่ออีก 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. – 31 ส.ค. 63 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ยังมีแนวโน้มผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยวันละ 2 แสนราย และหลังจากที่ประเทศไทยมีการผ่อนคลายมาตรการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น อาทิ โปรแกรม Medical & Wellness Tourism การอนุญาตให้จัดประชุม งานแสดงสินค้า และถ่ายทําภาพยนตร์ จึงต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยทางสาธารณสุขควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้น พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ จึงเป็นมาตรการทางสาธารณสุขที่สามารถให้อํานาจรัฐในการกักตัวสังเกตอาการ 14 วันได้ อย่างไรก็ตาม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า ทีมงานด้านกฎหมายและสาธารณสุขได้หารือในการปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ให้มีบทบาทอํานาจหน้าที่มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะยกเลิกการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ทั้งนี้ ตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ได้ยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถานมาระยะหนึ่งแล้ว จึงจะเพิ่มเติมยกเลิกการห้ามชุมนุม เพื่อให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลขยายระยะเวลาการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เท่านั้น แต่ผู้ที่ชุมนุมทางการเมืองก็จะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 โดยจะนําเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพุธที่ 29 ก.ค. 63 ในตอนท้าย เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ศบค. ได้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ. โรคติดต่อ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีความสําคัญเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ในช่วงต้นของสถานการณ์ฯ จนกระทั่งมีการออกมาตรการผ่อนคลายระยะต่าง ๆ เกิดขึ้น ซึ่งอํานาจหน้าที่ของ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ทําให้สามารถกําหนดมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น ฉะนั้นจึงมีความจําเป็นต้องใช้กฎหมายทั้งสองฉบับควบคู่กัน ทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ. โรคติดต่อ ทั้งนี้ ย้ําว่า การต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในเดือนสิงหาคม เพื่อเป็นประโยชน์ในการทํางานของเจ้าหน้าที่ ไม่มีมาตรการอื่นในเชิงบังคับประชาชนอีกต่อไป ขณะเดียวกันยังคงมีความจําเป็นต้องใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าจะมีกลไกอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงขึ้นมาใช้ควบคุมแทน ................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33588
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“New Normal : ชีวิตวิถีใหม่ ปลอดเชื้อ ปลอดภัย ลดใช้พลังงาน" [กระทรวงพลังงาน]
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 “New Normal : ชีวิตวิถีใหม่ ปลอดเชื้อ ปลอดภัย ลดใช้พลังงาน" [กระทรวงพลังงาน] “New Normal : ชีวิตวิถีใหม่ ปลอดเชื้อ ปลอดภัย ลดใช้พลังงาน" หลังจากสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยเริ่มคลี่คลายลงแล้ว แต่ในต่างประเทศ ยังคงทรงตัว หรือบางที่ก็ยังมีผู้ป่วยเพิ่มจํานวนขึ้นเป็นรอบที่สอง กระแส “การใช้ชีวิตแบบ New Normal” หรือ “ชีวิตวิถีใหม่” จึงเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อพฤติกรรมผู้คนในสังคม โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนในการใช้ชีวิตประจําวัน ซึ่งจะมีการขับเคลื่อนทางเทคโนโลยี โด...ยเฉพาะออนไลน์มากขึ้น เช่น การทํางานแบบ work from home การประชุมงานด้วยระบบ Video Conference หรือการสั่งอาหารออนไลน์ แทนการขับรถออกจากบ้าน กระทรวงพลังงาน จึงอยากถ่ายทอดเรื่องราวใน “New Normal : ชีวิตวิถีใหม่ ปลอดเชื้อ ปลอดภัย ลดใช้พลังงาน" เพื่อเป็นการแนะนําให้ทุกท่านนําไปปรับใช้กับตัวเอง หรือสะกิดคนใกล้ชิด ให้ห่างไกลจากเชื้อร้าย ด้วยการปรับพฤติกรรมใหม่ เพื่อสุขอนามัย และยังใส่ในการประหยัดพลังงาน มาฝากกันครับ 1. ออกจากบ้านเมื่อยามจําเป็น พยายามอยู่บ้าน ลดการเดินทาง ลดการใช้เชื้อเพลิง 2. วางแผนก่อนเดินทาง เลือกเส้นทางลัดหรือการจราจรไม่หนาแน่น ช่วยประหยัดน้ํามัน และประหยัดเงินในกระเป๋าท่านด้วย 3. หลีกเลี่ยงระบบขนส่งสาธารณะ หลีกเลี่ยงช่วงเวลาแออัดหรือช่วงเวลาที่เร่งด่วน หากเป็นไปได้ ควรทางเดียวกันไปกันกับเพื่อนร่วมงาน แต่ควรเว้นระยะห่างสักนิดเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางอย่างปลอดเชื้อ 4. ป้องกันตัวเองให้เป็นนิสัย สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือเป็นประจําทุก 30-60 นาที และพกแอลกอฮอล์ติดตัวเสมอก่อนออกจากบ้าน 5. เคร่งครัด Social Distancing รักษาระยะห่างจากผู้อื่น 1-2 เมตร เสมอเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ 6. เข้มสุขอนามัย เมื่อถึงบ้านล้างมือ อาบน้ํา เปลี่ยนเสื้อผ้าทันที 7. พกถุงผ้าติดตัว ลดการสิ้นเปลืองขยะจากการใช้ถุงพลาสติก และควรเลี่ยงการหยิบจับภาชนะร่วมกับผู้อื่นโดยไม่จําเป็น 8. แยกภาชนะของใช้ส่วนตัว ไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น กินร้อน ช้อนเรา 9. ใช้ระบบออนไลน์ ในการทําธุรกรรมแทนการใช้เงินสด ลดการสัมผัสโดยตรงจากเครื่องทําธุรกรรมทางการเงิน (ATM) การปรับตัวในรูปแบบของ New Normal หรือ “ชีวิตวิถีใหม่” นั้นอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง แต่เราสามารถปรับตัวได้ ขอเพียงเราทุกคนช่วยกันรับผิดชอบสังคม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตให้ปลอดเชื้อ และที่สําคัญพลังงานยังคงเป็นหนึ่งสิ่งที่หมุนรอบกับการดําเนินชีวิตของทุกคน เพราะฉะนั้นเราต้องประหยัด ใส่ใจ และใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า เพื่อการมีพลังงานให้เรามีใช้อย่างยั่งยืน #NewNormal #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ #Covid19 #พลังงานเพื่อทุกคน #EnergyForAll #มีพลังงานมีความสุข #กระทรวงพลังงาน #MinistryofEnergy #MoEN
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“New Normal : ชีวิตวิถีใหม่ ปลอดเชื้อ ปลอดภัย ลดใช้พลังงาน" [กระทรวงพลังงาน] วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 “New Normal : ชีวิตวิถีใหม่ ปลอดเชื้อ ปลอดภัย ลดใช้พลังงาน" [กระทรวงพลังงาน] “New Normal : ชีวิตวิถีใหม่ ปลอดเชื้อ ปลอดภัย ลดใช้พลังงาน" หลังจากสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยเริ่มคลี่คลายลงแล้ว แต่ในต่างประเทศ ยังคงทรงตัว หรือบางที่ก็ยังมีผู้ป่วยเพิ่มจํานวนขึ้นเป็นรอบที่สอง กระแส “การใช้ชีวิตแบบ New Normal” หรือ “ชีวิตวิถีใหม่” จึงเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อพฤติกรรมผู้คนในสังคม โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนในการใช้ชีวิตประจําวัน ซึ่งจะมีการขับเคลื่อนทางเทคโนโลยี โด...ยเฉพาะออนไลน์มากขึ้น เช่น การทํางานแบบ work from home การประชุมงานด้วยระบบ Video Conference หรือการสั่งอาหารออนไลน์ แทนการขับรถออกจากบ้าน กระทรวงพลังงาน จึงอยากถ่ายทอดเรื่องราวใน “New Normal : ชีวิตวิถีใหม่ ปลอดเชื้อ ปลอดภัย ลดใช้พลังงาน" เพื่อเป็นการแนะนําให้ทุกท่านนําไปปรับใช้กับตัวเอง หรือสะกิดคนใกล้ชิด ให้ห่างไกลจากเชื้อร้าย ด้วยการปรับพฤติกรรมใหม่ เพื่อสุขอนามัย และยังใส่ในการประหยัดพลังงาน มาฝากกันครับ 1. ออกจากบ้านเมื่อยามจําเป็น พยายามอยู่บ้าน ลดการเดินทาง ลดการใช้เชื้อเพลิง 2. วางแผนก่อนเดินทาง เลือกเส้นทางลัดหรือการจราจรไม่หนาแน่น ช่วยประหยัดน้ํามัน และประหยัดเงินในกระเป๋าท่านด้วย 3. หลีกเลี่ยงระบบขนส่งสาธารณะ หลีกเลี่ยงช่วงเวลาแออัดหรือช่วงเวลาที่เร่งด่วน หากเป็นไปได้ ควรทางเดียวกันไปกันกับเพื่อนร่วมงาน แต่ควรเว้นระยะห่างสักนิดเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางอย่างปลอดเชื้อ 4. ป้องกันตัวเองให้เป็นนิสัย สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือเป็นประจําทุก 30-60 นาที และพกแอลกอฮอล์ติดตัวเสมอก่อนออกจากบ้าน 5. เคร่งครัด Social Distancing รักษาระยะห่างจากผู้อื่น 1-2 เมตร เสมอเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ 6. เข้มสุขอนามัย เมื่อถึงบ้านล้างมือ อาบน้ํา เปลี่ยนเสื้อผ้าทันที 7. พกถุงผ้าติดตัว ลดการสิ้นเปลืองขยะจากการใช้ถุงพลาสติก และควรเลี่ยงการหยิบจับภาชนะร่วมกับผู้อื่นโดยไม่จําเป็น 8. แยกภาชนะของใช้ส่วนตัว ไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น กินร้อน ช้อนเรา 9. ใช้ระบบออนไลน์ ในการทําธุรกรรมแทนการใช้เงินสด ลดการสัมผัสโดยตรงจากเครื่องทําธุรกรรมทางการเงิน (ATM) การปรับตัวในรูปแบบของ New Normal หรือ “ชีวิตวิถีใหม่” นั้นอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง แต่เราสามารถปรับตัวได้ ขอเพียงเราทุกคนช่วยกันรับผิดชอบสังคม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตให้ปลอดเชื้อ และที่สําคัญพลังงานยังคงเป็นหนึ่งสิ่งที่หมุนรอบกับการดําเนินชีวิตของทุกคน เพราะฉะนั้นเราต้องประหยัด ใส่ใจ และใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า เพื่อการมีพลังงานให้เรามีใช้อย่างยั่งยืน #NewNormal #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ #Covid19 #พลังงานเพื่อทุกคน #EnergyForAll #มีพลังงานมีความสุข #กระทรวงพลังงาน #MinistryofEnergy #MoEN
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31179
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-5 แนวทางฟื้นฟูเยียวยาเกษตรกรที่ประสบภัยแล้งและน้ำท่วม
วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2562 5 แนวทางฟื้นฟูเยียวยาเกษตรกรที่ประสบภัยแล้งและน้ําท่วม วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2562 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติแผนฟื้นฟูเยียวยาเกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยจากพายุ "โพดุล"และ "คาจิกิ" ให้สามารถประกอบอาชีพได้ทันทีหลังน้ําลดตั้งแต่เดือนต.ค. 62 - ก.ย. 63 แบ่งเป็น 5 โครงการ คือ 1.ส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ําน้อย เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเขียว 2.ช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ข้าว 3.การเลี้ยงปลานิลแปลงเพศในบ่อดิน 4.สร้างรายได้จากการเลี้ยงกุ้งก้ามกราม ซึ่งใช้เวลาเลี้ยงน้อยและให้ผลตอบแทนสูง 5.ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีก โดยให้เงินทุนเกษตรกรเพื่อซื้อพันธุ์ไก่ไข่ เป็ดไข่ อาหารและค่าวัสดุในการเลี้ยง เพื่อให้เกษตรกรมีอาชีพและรายได้ดูแลตนเองและครอบครัวต่อไป ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-5 แนวทางฟื้นฟูเยียวยาเกษตรกรที่ประสบภัยแล้งและน้ำท่วม วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2562 5 แนวทางฟื้นฟูเยียวยาเกษตรกรที่ประสบภัยแล้งและน้ําท่วม วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2562 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติแผนฟื้นฟูเยียวยาเกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยจากพายุ "โพดุล"และ "คาจิกิ" ให้สามารถประกอบอาชีพได้ทันทีหลังน้ําลดตั้งแต่เดือนต.ค. 62 - ก.ย. 63 แบ่งเป็น 5 โครงการ คือ 1.ส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ําน้อย เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเขียว 2.ช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ข้าว 3.การเลี้ยงปลานิลแปลงเพศในบ่อดิน 4.สร้างรายได้จากการเลี้ยงกุ้งก้ามกราม ซึ่งใช้เวลาเลี้ยงน้อยและให้ผลตอบแทนสูง 5.ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีก โดยให้เงินทุนเกษตรกรเพื่อซื้อพันธุ์ไก่ไข่ เป็ดไข่ อาหารและค่าวัสดุในการเลี้ยง เพื่อให้เกษตรกรมีอาชีพและรายได้ดูแลตนเองและครอบครัวต่อไป ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24020
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำแถลงการณ์ นายกรัฐมนตรี “สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้”
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562 คําแถลงการณ์ นายกรัฐมนตรี “สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้” คําแถลงการณ์ ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้” (21 ม.ค. 62) จากสถานการณ์ความรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นในระยะนี้ กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีความพยายามในการสร้างสถานการณ์เอื้อประโยชน์ต่อตนเอง และพยายามดึงเข้าสู่เงื่อนไขความขัดแย้ง อันจะทําให้สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยไปสู่สากล ให้เกิดการรับรู้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการใช้การเสนอข่าวของสื่อมวลชน และสื่อโซเชียล เป็นเครื่องมือ ในขณะที่ประชาชนทั่วประเทศกําลังให้ความสนใจกับสถานการณ์ทางการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีความพยายามใช้เหตุการณ์ความรุนแรงที่อําเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 ทําลายขวัญกําลังใจ ความอดทนในการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีของไทย มุ่งหวังจะให้เจ้าหน้าที่ใช้กําลังเข้าปราบปรามอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเข้าสู่เงื่อนไขสากล นําไปสู่การปฏิบัติการขององค์การระหว่างประเทศดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายพื้นที่ ในหลายประเทศ สังคม สื่อมวลชน สื่อโซเชียล และสื่อต่างๆ ควรเข้าใจในประเด็นนี้ และช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น เพิ่มการเฝ้าระวัง แจ้งข่าวสาร ไม่สนับสนุนความพยายามดังกล่าว ประชาชนซึ่งถือเป็นเป้าหมายอ่อนแอ เช่น ครู นักเรียน พระสงฆ์ ผู้นําศาสนา ประชาชนทั่วไป รวมถึงเจ้าหน้าที่ทําหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัย ล้วนแต่ได้รับการดูแลและเฝ้าระวังอยู่แล้ว แต่ต้องยอมรับว่า จากจํานวนและความกว้างขวางของพื้นที่ รวมถึงห้วงเวลาในการดําเนินชีวิตปกติของประชาชนนั้น ทําให้ไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง หรือร้อยเปอร์เซ็นต์ หากพื้นที่ใดต้องการให้มีการดูแลเป็นพิเศษ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่พลเรือน ตํารวจ ทหาร หรือ กอ.รมน.ภาค 4 ได้โดยตรง ตลอดจนขอให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังและให้ข้อมูลข่าวสารกับเจ้าหน้าที่ด้วย อย่างไรก็ตามรัฐบาล และคสช. ขอให้ทุกคนให้กําลังใจประชาชนทั่วไป ผู้นําศาสนาทุกศาสนา ครู นักเรียน รวมถึงเจ้าหน้าที่พลเรือน ตํารวจ ทหาร ทุกคนในพื้นที่ เพราะเขาอยู่ในพื้นที่เสี่ยง อันตราย และขอให้ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ เคารพกฎระเบียบ กติกาที่ฝ่ายความมั่นคงกําหนด เพื่อความปลอดภัยของทุกคน เช่น การตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ การตรวจยานพาหนะ การตรวจค้นสถานที่ ฯลฯ รวมทั้งขอให้สื่อมวลชน สื่อโซเชียล เสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง และพรรคการเมือง นักการเมือง หาเสียงด้วยความระมัดระวังเช่นกัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความระมัดระวัง ป้องกันดูแลประชาชนและตนเองให้ได้ไปพร้อม ๆ กัน คํานึงถึงความปลอดภัยของประชาชนผู้บริสุทธิ์ พัฒนางานด้านการข่าวควบคู่ไปกับการปรับยุทธวิธีให้เหมาะสม โดยรัฐบาล และคสช.ยังคงบังคับใช้กฎหมาย และบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ ในส่วนของการพูดคุยสันติสุข ยังคงดําเนินการต่อไป ทั้งนี้เพื่อให้ประชาคมโลกได้ทราบว่าเราได้ทําทุกมาตรการ ไม่ได้บังคับใช้กฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งฝ่ายผู้ก่อเหตุรุนแรงบางกลุ่มอาจไม่เห็นด้วย จึงสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น อยากให้ประชาชนและสังคมได้เข้าใจมาตรการการแก้ไขปัญหาของรัฐทั้งภายในประเทศและต่างประเทศด้วย ซึ่งที่ผ่านมา องค์การควาร่วมมืออิสลาม หรือ OIC ก็ให้การสนับสนุนแนวทางของไทยมาโดยต่อเนื่อง สําหรับนักสิทธิมนุษยชนและกลุ่ม NGO ต่าง ๆ ขอให้เข้าใจและดูแลทั้งประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐด้วย รัฐบาล และ คสช. ขอส่งกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ และขอให้พี่น้องประชาชนมีความสุข ปลอดภัยทุกคน ---------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำแถลงการณ์ นายกรัฐมนตรี “สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้” วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562 คําแถลงการณ์ นายกรัฐมนตรี “สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้” คําแถลงการณ์ ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้” (21 ม.ค. 62) จากสถานการณ์ความรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นในระยะนี้ กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีความพยายามในการสร้างสถานการณ์เอื้อประโยชน์ต่อตนเอง และพยายามดึงเข้าสู่เงื่อนไขความขัดแย้ง อันจะทําให้สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยไปสู่สากล ให้เกิดการรับรู้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการใช้การเสนอข่าวของสื่อมวลชน และสื่อโซเชียล เป็นเครื่องมือ ในขณะที่ประชาชนทั่วประเทศกําลังให้ความสนใจกับสถานการณ์ทางการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีความพยายามใช้เหตุการณ์ความรุนแรงที่อําเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 ทําลายขวัญกําลังใจ ความอดทนในการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีของไทย มุ่งหวังจะให้เจ้าหน้าที่ใช้กําลังเข้าปราบปรามอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเข้าสู่เงื่อนไขสากล นําไปสู่การปฏิบัติการขององค์การระหว่างประเทศดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายพื้นที่ ในหลายประเทศ สังคม สื่อมวลชน สื่อโซเชียล และสื่อต่างๆ ควรเข้าใจในประเด็นนี้ และช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น เพิ่มการเฝ้าระวัง แจ้งข่าวสาร ไม่สนับสนุนความพยายามดังกล่าว ประชาชนซึ่งถือเป็นเป้าหมายอ่อนแอ เช่น ครู นักเรียน พระสงฆ์ ผู้นําศาสนา ประชาชนทั่วไป รวมถึงเจ้าหน้าที่ทําหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัย ล้วนแต่ได้รับการดูแลและเฝ้าระวังอยู่แล้ว แต่ต้องยอมรับว่า จากจํานวนและความกว้างขวางของพื้นที่ รวมถึงห้วงเวลาในการดําเนินชีวิตปกติของประชาชนนั้น ทําให้ไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง หรือร้อยเปอร์เซ็นต์ หากพื้นที่ใดต้องการให้มีการดูแลเป็นพิเศษ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่พลเรือน ตํารวจ ทหาร หรือ กอ.รมน.ภาค 4 ได้โดยตรง ตลอดจนขอให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังและให้ข้อมูลข่าวสารกับเจ้าหน้าที่ด้วย อย่างไรก็ตามรัฐบาล และคสช. ขอให้ทุกคนให้กําลังใจประชาชนทั่วไป ผู้นําศาสนาทุกศาสนา ครู นักเรียน รวมถึงเจ้าหน้าที่พลเรือน ตํารวจ ทหาร ทุกคนในพื้นที่ เพราะเขาอยู่ในพื้นที่เสี่ยง อันตราย และขอให้ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ เคารพกฎระเบียบ กติกาที่ฝ่ายความมั่นคงกําหนด เพื่อความปลอดภัยของทุกคน เช่น การตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ การตรวจยานพาหนะ การตรวจค้นสถานที่ ฯลฯ รวมทั้งขอให้สื่อมวลชน สื่อโซเชียล เสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง และพรรคการเมือง นักการเมือง หาเสียงด้วยความระมัดระวังเช่นกัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความระมัดระวัง ป้องกันดูแลประชาชนและตนเองให้ได้ไปพร้อม ๆ กัน คํานึงถึงความปลอดภัยของประชาชนผู้บริสุทธิ์ พัฒนางานด้านการข่าวควบคู่ไปกับการปรับยุทธวิธีให้เหมาะสม โดยรัฐบาล และคสช.ยังคงบังคับใช้กฎหมาย และบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ ในส่วนของการพูดคุยสันติสุข ยังคงดําเนินการต่อไป ทั้งนี้เพื่อให้ประชาคมโลกได้ทราบว่าเราได้ทําทุกมาตรการ ไม่ได้บังคับใช้กฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งฝ่ายผู้ก่อเหตุรุนแรงบางกลุ่มอาจไม่เห็นด้วย จึงสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น อยากให้ประชาชนและสังคมได้เข้าใจมาตรการการแก้ไขปัญหาของรัฐทั้งภายในประเทศและต่างประเทศด้วย ซึ่งที่ผ่านมา องค์การควาร่วมมืออิสลาม หรือ OIC ก็ให้การสนับสนุนแนวทางของไทยมาโดยต่อเนื่อง สําหรับนักสิทธิมนุษยชนและกลุ่ม NGO ต่าง ๆ ขอให้เข้าใจและดูแลทั้งประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐด้วย รัฐบาล และ คสช. ขอส่งกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ และขอให้พี่น้องประชาชนมีความสุข ปลอดภัยทุกคน ---------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18249
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ควบคุมโรคแอนแทรกซ์ได้ ย้ำไม่ติดต่อจากคนสู่คน
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560 สธ.ควบคุมโรคแอนแทรกซ์ได้ ย้ําไม่ติดต่อจากคนสู่คน กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วเข้าควบคุมโรคแอนแทรกซ์ให้ผู้สัมผัสโรคทุกคนกินยาป้องกัน 60 วัน ทุกคนปกติ ส่วนผู้ป่วยชาย 2 รายมีตุ่มหนองที่ผิวหนัง อาการไม่รุนแรง กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วเข้าควบคุมโรคแอนแทรกซ์ให้ผู้สัมผัสโรคทุกคนกินยาป้องกัน 60 วัน ทุกคนปกติ ส่วนผู้ป่วยชาย 2 รายมีตุ่มหนองที่ผิวหนัง อาการไม่รุนแรง ให้ยารักษาและดูแลในโรงพยาบาลจนกว่าตุ่มหนองจะหาย ชื่นชมเจ้าหน้าที่ที่สามารถตรวจพบ ควบคุม จํากัดวงการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วย้ําโรคนี้ไม่ติดต่อจากคนสู่คน หากพบสัตว์ป่วยตายผิดปกติให้แจ้งปศุสัตว์ ในประเทศไทยไม่พบการระบาดของโรคนี้ในสัตว์ นายแพทย์เจษฎาโชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีพบผู้ป่วยชายซึ่งเป็นผู้ชําแหละแพะที่ตายแล้วสงสัยเป็นโรคแอนแทรกซ์เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก ว่า ในวันนี้ ได้รับรายงานผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์พบเชื้อบาซิลลัส แอนทราซิส(Bacillus anthracis) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคแอนแทรกซ์ในผู้ป่วย 2 ราย มาด้วยอาการมีตุ่มหนองที่มือทั้ง 2 ข้าง ขณะนี้ ได้รับยารักษาและอยู่ในความดูแลของแพทย์จนกว่าตุ่มหนองจะหาย สําหรับการควบคุมป้องกันโรค ทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว(SRRT)จากสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และสํานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 2 ได้ติดตามประชาชนในหมู่บ้านที่รับประทานเนื้อแพะ และผู้สัมผัสโรคในหมู่บ้าน บุคลากรสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์ จํานวน 247 คน ได้ให้ยารับประทานเพื่อป้องกันต่อเนื่อง 60 วัน และติดตามเฝ้าระวังโรค ขณะนี้ ทุกคนปกติ พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้และการป้องกันตัว แจกแผ่นพับภาษาไทยและภาษาพม่า และทําประชาคมสร้างความตระหนักแก่ประชาชนในหมู่บ้าน โดยให้สังเกตอาการ เช่น ผิวหนังมีตุ่มหนอง มีแผลหรือฝ้าขาวในปาก ลําคอ ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด มีไข้ ไอ เหนื่อยหอบ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที “ขอชื่นชมและขอบคุณเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทีมแพทย์ที่ตรวจพบและควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว ทําให้สามารถจํากัดวงของการแพร่ระบาดได้ และขอย้ําประชาชนอย่าตื่นตระหนก เพราะโรคนี้ไม่ติดต่อจากคนสู่คน หากพบแพทย์เร็วรักษาให้หายขาดได้ และในประเทศไทยไม่พบการระบาดของโรคนี้ในสัตว์ อย่างไรก็ตามอย่านําสัตว์ที่ป่วยหรือตายแล้ว มาชําแหละจําหน่ายหรือรับประทาน หรือนําไปให้สัตว์อื่นกิน รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หากจําเป็นต้องสัมผัสสัตว์ขอให้สวมถุงมือหรือถุงพลาสติก และล้างมือฟอกสบู่ทุกครั้งหลังจากสัมผัสซากสัตว์ หากมีอาการเป็นไข้ ไอ ปวดเมื่อยตามร่างกายหรือหากป่วยโดยมีประวัติสัมผัสสัตว์ตายหรืออยู่ในพื้นที่สัตว์ป่วยตาย หรือหลังเดินทางกลับจากพื้นที่มีผู้ป่วยให้รีบไปพบแพทย์ภายใน 48 ชั่วโมง พร้อมแจงประวัติการสัมผัสโรค ประวัติการเดินทาง โรคนี้มียารักษาหากเจ็บป่วยหลังสัมผัสสัตว์ให้รีบพบแพทย์ทันที ******************************** 28พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ควบคุมโรคแอนแทรกซ์ได้ ย้ำไม่ติดต่อจากคนสู่คน วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560 สธ.ควบคุมโรคแอนแทรกซ์ได้ ย้ําไม่ติดต่อจากคนสู่คน กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วเข้าควบคุมโรคแอนแทรกซ์ให้ผู้สัมผัสโรคทุกคนกินยาป้องกัน 60 วัน ทุกคนปกติ ส่วนผู้ป่วยชาย 2 รายมีตุ่มหนองที่ผิวหนัง อาการไม่รุนแรง กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วเข้าควบคุมโรคแอนแทรกซ์ให้ผู้สัมผัสโรคทุกคนกินยาป้องกัน 60 วัน ทุกคนปกติ ส่วนผู้ป่วยชาย 2 รายมีตุ่มหนองที่ผิวหนัง อาการไม่รุนแรง ให้ยารักษาและดูแลในโรงพยาบาลจนกว่าตุ่มหนองจะหาย ชื่นชมเจ้าหน้าที่ที่สามารถตรวจพบ ควบคุม จํากัดวงการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วย้ําโรคนี้ไม่ติดต่อจากคนสู่คน หากพบสัตว์ป่วยตายผิดปกติให้แจ้งปศุสัตว์ ในประเทศไทยไม่พบการระบาดของโรคนี้ในสัตว์ นายแพทย์เจษฎาโชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีพบผู้ป่วยชายซึ่งเป็นผู้ชําแหละแพะที่ตายแล้วสงสัยเป็นโรคแอนแทรกซ์เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก ว่า ในวันนี้ ได้รับรายงานผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์พบเชื้อบาซิลลัส แอนทราซิส(Bacillus anthracis) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคแอนแทรกซ์ในผู้ป่วย 2 ราย มาด้วยอาการมีตุ่มหนองที่มือทั้ง 2 ข้าง ขณะนี้ ได้รับยารักษาและอยู่ในความดูแลของแพทย์จนกว่าตุ่มหนองจะหาย สําหรับการควบคุมป้องกันโรค ทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว(SRRT)จากสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และสํานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 2 ได้ติดตามประชาชนในหมู่บ้านที่รับประทานเนื้อแพะ และผู้สัมผัสโรคในหมู่บ้าน บุคลากรสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์ จํานวน 247 คน ได้ให้ยารับประทานเพื่อป้องกันต่อเนื่อง 60 วัน และติดตามเฝ้าระวังโรค ขณะนี้ ทุกคนปกติ พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้และการป้องกันตัว แจกแผ่นพับภาษาไทยและภาษาพม่า และทําประชาคมสร้างความตระหนักแก่ประชาชนในหมู่บ้าน โดยให้สังเกตอาการ เช่น ผิวหนังมีตุ่มหนอง มีแผลหรือฝ้าขาวในปาก ลําคอ ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด มีไข้ ไอ เหนื่อยหอบ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที “ขอชื่นชมและขอบคุณเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทีมแพทย์ที่ตรวจพบและควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว ทําให้สามารถจํากัดวงของการแพร่ระบาดได้ และขอย้ําประชาชนอย่าตื่นตระหนก เพราะโรคนี้ไม่ติดต่อจากคนสู่คน หากพบแพทย์เร็วรักษาให้หายขาดได้ และในประเทศไทยไม่พบการระบาดของโรคนี้ในสัตว์ อย่างไรก็ตามอย่านําสัตว์ที่ป่วยหรือตายแล้ว มาชําแหละจําหน่ายหรือรับประทาน หรือนําไปให้สัตว์อื่นกิน รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หากจําเป็นต้องสัมผัสสัตว์ขอให้สวมถุงมือหรือถุงพลาสติก และล้างมือฟอกสบู่ทุกครั้งหลังจากสัมผัสซากสัตว์ หากมีอาการเป็นไข้ ไอ ปวดเมื่อยตามร่างกายหรือหากป่วยโดยมีประวัติสัมผัสสัตว์ตายหรืออยู่ในพื้นที่สัตว์ป่วยตาย หรือหลังเดินทางกลับจากพื้นที่มีผู้ป่วยให้รีบไปพบแพทย์ภายใน 48 ชั่วโมง พร้อมแจงประวัติการสัมผัสโรค ประวัติการเดินทาง โรคนี้มียารักษาหากเจ็บป่วยหลังสัมผัสสัตว์ให้รีบพบแพทย์ทันที ******************************** 28พฤศจิกายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8421
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยปลัด ก.อุตฯ นำทีมข้าราชการร่วมแสดงพลังรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชัน ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน 61 ภายใต้แนวคิด “คนไทย ตื่นรู้สู้โกง”
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561 ผู้ช่วยปลัด ก.อุตฯ นําทีมข้าราชการร่วมแสดงพลังรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชัน ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน 61 ภายใต้แนวคิด “คนไทย ตื่นรู้สู้โกง” ผู้ช่วยปลัด ก.อุตฯ นําทีมข้าราชการร่วมแสดงพลังรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชัน ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน 61 ภายใต้แนวคิด “คนไทย ตื่นรู้สู้โกง” เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 เวลา 9.00 น. นางสาวสิริรัตน์ ไกรวณิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมแสดงพลังรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชัน ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน 2561 ภายใต้แนวคิด “คนไทย ตื่นรู้สู้โกง” โดยการจัดงานในครั้งนี้มุ่งส่งเสริมให้คนไทยทุกภาคส่วนได้ลุกขึ้นมาเป็น Active Citizen ที่ปฏิวัติตัวเองด้วยการไม่นิ่งเฉย และกล้าลุกขึ้นมาส่งเสียงต่อต้านการโกงทุกรูปแบบ ให้เกิดเป็นพลังสังคมที่พร้อมต่อสู้ ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และได้ตระหนักว่าคนไทยสามารถเอาชนะคอร์รัปชัน เพื่อสร้างมิติใหม่ในการสร้างอนาคตที่ดีให้กับประเทศไทย ณ ห้องภิรัชฮอลล์ 1-3 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา (BITEC)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยปลัด ก.อุตฯ นำทีมข้าราชการร่วมแสดงพลังรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชัน ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน 61 ภายใต้แนวคิด “คนไทย ตื่นรู้สู้โกง” วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561 ผู้ช่วยปลัด ก.อุตฯ นําทีมข้าราชการร่วมแสดงพลังรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชัน ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน 61 ภายใต้แนวคิด “คนไทย ตื่นรู้สู้โกง” ผู้ช่วยปลัด ก.อุตฯ นําทีมข้าราชการร่วมแสดงพลังรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชัน ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน 61 ภายใต้แนวคิด “คนไทย ตื่นรู้สู้โกง” เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 เวลา 9.00 น. นางสาวสิริรัตน์ ไกรวณิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมแสดงพลังรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชัน ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน 2561 ภายใต้แนวคิด “คนไทย ตื่นรู้สู้โกง” โดยการจัดงานในครั้งนี้มุ่งส่งเสริมให้คนไทยทุกภาคส่วนได้ลุกขึ้นมาเป็น Active Citizen ที่ปฏิวัติตัวเองด้วยการไม่นิ่งเฉย และกล้าลุกขึ้นมาส่งเสียงต่อต้านการโกงทุกรูปแบบ ให้เกิดเป็นพลังสังคมที่พร้อมต่อสู้ ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และได้ตระหนักว่าคนไทยสามารถเอาชนะคอร์รัปชัน เพื่อสร้างมิติใหม่ในการสร้างอนาคตที่ดีให้กับประเทศไทย ณ ห้องภิรัชฮอลล์ 1-3 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา (BITEC)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15214
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา แนวฟื้นฟูการบินไทยยึดหลักสหกรณ์ชำระหนี้ยุติธรรมเป็นหนึ่งเดียว
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563 รมช.มนัญญา แนวฟื้นฟูการบินไทยยึดหลักสหกรณ์ชําระหนี้ยุติธรรมเป็นหนึ่งเดียว นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานในพิธีเปิดการประชุมชี้แจง แนวทางการฟื้นฟูกิจการและการปฏิบัติของเจ้าหนี้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) รมช.มนัญญา แนวฟื้นฟูการบินไทยยึดหลักสหกรณ์ชําระหนี้ยุติธรรมเป็นหนึ่งเดียว นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานในพิธีเปิดการประชุมชี้แจง แนวทางการฟื้นฟูกิจการและการปฏิบัติของเจ้าหนี้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) พร้อมทั้งนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และ นายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ผู้แทนสหกรณ์เจ้าหนี้บริษัทการบินไทย ผู้แทนสันนิบาตสหกรร์แห่งประเทศไทย ข้าราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เข้าร่วมรับฟัง ณ ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารฝึกอบรมส่วนกลาง สํานักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ รวมทั้งถ่ายทอดผ่าน Conference ไปยังสํานักงานสหกรณ์จังหวัด 14 จังหวัด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุม ตามที่ วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ศาลล้มละลายกลางมีคําสั่งรับคําร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เพื่อให้กิจการสามารถดําเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยนัดไต่สวนและพิจารณาคําร้องขอฟื้นฟูกิจการ วันที่ 17 สิงหาคม 2563 ในการนี้หากคําสั่งศาลให้ฟื้นฟูกิจการและตั้งผู้ทําแผน จะมีกระบวนการในการจัดทําแผนฯ การจัดกลุ่มเจ้าหนี้ เพื่อกําหนดวิธีการชําระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แต่ละกลุ่ม ในส่วนของสหกรณ์ที่มาในวันนี้เป็นการทําความเข้าใจกับเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้น เพื่อให้ทราบแนวทางในการชําระหนี้ ในวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ได้รับความร่วมมือจาก กรมบังคับคดี มาชี้แจงแนวทางในการฟื้นฟูกิจการและการปฏิบัติของเจ้าหนี้บริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้แทนสหกรณ์เจ้าหนี้สามารถที่จะซักถาม ประเด็นข้อสงสัยต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกฎหมาย ที่มาให้ความรู้ เพื่อจะได้ถือปฏิบัติ ให้ถูกต้องและสามารถถ่ายทอดหรือชี้แจงกับสมาชิกได้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความยินดีที่จะรับฟังปัญหา และข้อเสนอแนะเพื่อกําหนดแนวทางให้สหกรณ์เจ้าหนี้สามารถดําเนินกิจการ โดยจุดประสงค์ของกฎหมายฟื้นฟูกิจการนั้น เพื่อรักษามูลค่าขององค์กรธุรกิจนั้นทั้งหมดไว้ เป็นหนึ่งเดียวแทนที่จะถูกแยกจําหน่ายเป็นส่วนๆ อีกทั้งให้เจ้าหนี้ได้รับชําระหนี้อย่างยุติธรรมเสมอภาคกัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้หุ้น เจ้าหนี้แรงงาน เจ้าหนี้การค้า เป็นต้น และเพื่อให้ลูกหนี้ได้มีโอกาสดําเนินธุรกิจต่อไปและรักษาสภาพการจ้างงานไว้ ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสถานะการล้มละลาย ดังนั้นในขณะนี้จึงจําเป็นต้องทําความเข้าใจดังกล่าวต่อเจ้าหนี้และลูกหนี้ อย่างถูกต้องเพื่อบังเกิดผลดีกับสมาชิกและสร้างความมั่นคงต่อระบบสหกรณ์ ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา แนวฟื้นฟูการบินไทยยึดหลักสหกรณ์ชำระหนี้ยุติธรรมเป็นหนึ่งเดียว วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563 รมช.มนัญญา แนวฟื้นฟูการบินไทยยึดหลักสหกรณ์ชําระหนี้ยุติธรรมเป็นหนึ่งเดียว นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานในพิธีเปิดการประชุมชี้แจง แนวทางการฟื้นฟูกิจการและการปฏิบัติของเจ้าหนี้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) รมช.มนัญญา แนวฟื้นฟูการบินไทยยึดหลักสหกรณ์ชําระหนี้ยุติธรรมเป็นหนึ่งเดียว นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานในพิธีเปิดการประชุมชี้แจง แนวทางการฟื้นฟูกิจการและการปฏิบัติของเจ้าหนี้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) พร้อมทั้งนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และ นายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ผู้แทนสหกรณ์เจ้าหนี้บริษัทการบินไทย ผู้แทนสันนิบาตสหกรร์แห่งประเทศไทย ข้าราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เข้าร่วมรับฟัง ณ ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารฝึกอบรมส่วนกลาง สํานักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ รวมทั้งถ่ายทอดผ่าน Conference ไปยังสํานักงานสหกรณ์จังหวัด 14 จังหวัด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุม ตามที่ วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ศาลล้มละลายกลางมีคําสั่งรับคําร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เพื่อให้กิจการสามารถดําเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยนัดไต่สวนและพิจารณาคําร้องขอฟื้นฟูกิจการ วันที่ 17 สิงหาคม 2563 ในการนี้หากคําสั่งศาลให้ฟื้นฟูกิจการและตั้งผู้ทําแผน จะมีกระบวนการในการจัดทําแผนฯ การจัดกลุ่มเจ้าหนี้ เพื่อกําหนดวิธีการชําระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แต่ละกลุ่ม ในส่วนของสหกรณ์ที่มาในวันนี้เป็นการทําความเข้าใจกับเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้น เพื่อให้ทราบแนวทางในการชําระหนี้ ในวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ได้รับความร่วมมือจาก กรมบังคับคดี มาชี้แจงแนวทางในการฟื้นฟูกิจการและการปฏิบัติของเจ้าหนี้บริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้แทนสหกรณ์เจ้าหนี้สามารถที่จะซักถาม ประเด็นข้อสงสัยต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกฎหมาย ที่มาให้ความรู้ เพื่อจะได้ถือปฏิบัติ ให้ถูกต้องและสามารถถ่ายทอดหรือชี้แจงกับสมาชิกได้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความยินดีที่จะรับฟังปัญหา และข้อเสนอแนะเพื่อกําหนดแนวทางให้สหกรณ์เจ้าหนี้สามารถดําเนินกิจการ โดยจุดประสงค์ของกฎหมายฟื้นฟูกิจการนั้น เพื่อรักษามูลค่าขององค์กรธุรกิจนั้นทั้งหมดไว้ เป็นหนึ่งเดียวแทนที่จะถูกแยกจําหน่ายเป็นส่วนๆ อีกทั้งให้เจ้าหนี้ได้รับชําระหนี้อย่างยุติธรรมเสมอภาคกัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้หุ้น เจ้าหนี้แรงงาน เจ้าหนี้การค้า เป็นต้น และเพื่อให้ลูกหนี้ได้มีโอกาสดําเนินธุรกิจต่อไปและรักษาสภาพการจ้างงานไว้ ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสถานะการล้มละลาย ดังนั้นในขณะนี้จึงจําเป็นต้องทําความเข้าใจดังกล่าวต่อเจ้าหนี้และลูกหนี้ อย่างถูกต้องเพื่อบังเกิดผลดีกับสมาชิกและสร้างความมั่นคงต่อระบบสหกรณ์ ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31917
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 และ ผู้ว่าฯ กทม. รับมอบถุงยังชีพ 200,000 ถุง จากบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงโควิด-19
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 มท.1 และ ผู้ว่าฯ กทม. รับมอบถุงยังชีพ 200,000 ถุง จากบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จํากัด (มหาชน) เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงโควิด-19 มท.1 และ ผู้ว่าฯ กทม. รับมอบถุงยังชีพ 200,000 ถุง จากบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จํากัด (มหาชน) เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงโควิด-19 วันนี้ (20 พ.ค.63) เวลา 14:00 น. ที่ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พลตํารวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ร่วมรับมอบถุงยังชีพ จํานวน 200,000 ถุง จากนายชูชาติ เพ็ชรอําไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จํากัด (มหาชน) นายชูชาติ เพ็ชรอําไพ กล่าวว่า สืบเนื่องจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เชิญชวนนักธุรกิจในประเทศไทยในฐานะเป็นผู้อาวุโสของสังคม ในการร่วมมือกันช่วยเหลือประเทศไทยและร่วมเป็นทีมประเทศไทยในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อประชาชนจํานวนมาก ดังนั้น บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จํากัด (มหาชน) จึงได้จัดสรรถุงยังชีพ จํานวน 200,000 ถุง เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งถุงยังชีพ ประกอบด้วย ข้าวสาร อาหารแห้ง มูลค่าถุงละ 300 บาท รวมเป็นเงิน 60 ล้านบาท โดยมอบผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จํานวน 147,000 ถุง เพื่อมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศนําไปมอบให้กับประชาชนที่เดือดร้อน และมอบผ่านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จํานวน 53,000 ถุง เพื่อนําไปมอบให้ประชาชนตามชุมชนต่างๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยมอบหมายให้บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จํากัด (มหาชน) เป็นผู้จัดสรรสิ่งของและส่งไปยังทุกจังหวัดเพื่อส่งมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนต่อไป ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 นี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ขอขอบคุณ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จํากัด (มหาชน) ที่ได้ร่วมช่วยเหลือประชาชนคนไทยที่กําลังได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมนําถุงยังชีพจํานวนดังกล่าวส่งมอบให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ และผู้พิการ เพื่อใช้ในการดํารงชีพช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามวัตถุประสงค์ผู้มอบต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 และ ผู้ว่าฯ กทม. รับมอบถุงยังชีพ 200,000 ถุง จากบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงโควิด-19 วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 มท.1 และ ผู้ว่าฯ กทม. รับมอบถุงยังชีพ 200,000 ถุง จากบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จํากัด (มหาชน) เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงโควิด-19 มท.1 และ ผู้ว่าฯ กทม. รับมอบถุงยังชีพ 200,000 ถุง จากบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จํากัด (มหาชน) เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงโควิด-19 วันนี้ (20 พ.ค.63) เวลา 14:00 น. ที่ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พลตํารวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ร่วมรับมอบถุงยังชีพ จํานวน 200,000 ถุง จากนายชูชาติ เพ็ชรอําไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จํากัด (มหาชน) นายชูชาติ เพ็ชรอําไพ กล่าวว่า สืบเนื่องจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เชิญชวนนักธุรกิจในประเทศไทยในฐานะเป็นผู้อาวุโสของสังคม ในการร่วมมือกันช่วยเหลือประเทศไทยและร่วมเป็นทีมประเทศไทยในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อประชาชนจํานวนมาก ดังนั้น บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จํากัด (มหาชน) จึงได้จัดสรรถุงยังชีพ จํานวน 200,000 ถุง เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งถุงยังชีพ ประกอบด้วย ข้าวสาร อาหารแห้ง มูลค่าถุงละ 300 บาท รวมเป็นเงิน 60 ล้านบาท โดยมอบผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จํานวน 147,000 ถุง เพื่อมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศนําไปมอบให้กับประชาชนที่เดือดร้อน และมอบผ่านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จํานวน 53,000 ถุง เพื่อนําไปมอบให้ประชาชนตามชุมชนต่างๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยมอบหมายให้บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จํากัด (มหาชน) เป็นผู้จัดสรรสิ่งของและส่งไปยังทุกจังหวัดเพื่อส่งมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนต่อไป ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 นี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ขอขอบคุณ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จํากัด (มหาชน) ที่ได้ร่วมช่วยเหลือประชาชนคนไทยที่กําลังได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมนําถุงยังชีพจํานวนดังกล่าวส่งมอบให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ และผู้พิการ เพื่อใช้ในการดํารงชีพช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามวัตถุประสงค์ผู้มอบต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31168
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขณะนี้สามารถรับประทานอาหารทะเลสดได้หรือไม่ หลังพบกระแสข่าวอาจมีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการรับประทานอาหารทะเลสดในประเทศจีน ??
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563 ขณะนี้สามารถรับประทานอาหารทะเลสดได้หรือไม่ หลังพบกระแสข่าวอาจมีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการรับประทานอาหารทะเลสดในประเทศจีน ?? สามารถรับประทานอาหารทะเลสดได้หรือไม่ หลังพบข่าวมีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากอาหารทะเลสดประเทศจีน ?? Q :ขณะนี้สามารถรับประทานอาหารทะเลสดได้หรือไม่ หลังพบกระแสข่าวอาจมีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการรับประทานอาหารทะเลสดในประเทศจีน?? A :องค์การอนามัยโลก (WHO)ยังไม่มีการยืนยันเชื้อไวรัสโควิด-19ในอาหารทะเลสด อย่างไรก็ตาม การทานอาหารสด เช่น ปลาดิบ อาจก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยด้านอื่นนอกเหนือจากติดเชื้อไวรัสโควิด-19ได้เช่นกัน อาทิ ท้องร่วง ไข้หวัดใหญ่ จึงขอให้ประชาชนรักษาสุขอนามัย หากรับประทานอาหารดิบต้องทําความสะอาด ร้านอาหารต้องมีระบบดูแลสุขอนามัยที่ถูกต้องตามมาตรฐาน ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในช่วงนี้ควรทานอาหารปรุงสุกก่อน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขณะนี้สามารถรับประทานอาหารทะเลสดได้หรือไม่ หลังพบกระแสข่าวอาจมีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการรับประทานอาหารทะเลสดในประเทศจีน ?? วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563 ขณะนี้สามารถรับประทานอาหารทะเลสดได้หรือไม่ หลังพบกระแสข่าวอาจมีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการรับประทานอาหารทะเลสดในประเทศจีน ?? สามารถรับประทานอาหารทะเลสดได้หรือไม่ หลังพบข่าวมีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากอาหารทะเลสดประเทศจีน ?? Q :ขณะนี้สามารถรับประทานอาหารทะเลสดได้หรือไม่ หลังพบกระแสข่าวอาจมีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการรับประทานอาหารทะเลสดในประเทศจีน?? A :องค์การอนามัยโลก (WHO)ยังไม่มีการยืนยันเชื้อไวรัสโควิด-19ในอาหารทะเลสด อย่างไรก็ตาม การทานอาหารสด เช่น ปลาดิบ อาจก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยด้านอื่นนอกเหนือจากติดเชื้อไวรัสโควิด-19ได้เช่นกัน อาทิ ท้องร่วง ไข้หวัดใหญ่ จึงขอให้ประชาชนรักษาสุขอนามัย หากรับประทานอาหารดิบต้องทําความสะอาด ร้านอาหารต้องมีระบบดูแลสุขอนามัยที่ถูกต้องตามมาตรฐาน ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในช่วงนี้ควรทานอาหารปรุงสุกก่อน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32459
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-6 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Covid-19
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 6 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Covid-19 มาเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้องกันนะ ความจริงเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด-19 -เชื้อสามารถแพร่ผ่านละอองเสมหะ -หน้ากากอนามัยสามารถป้องกันเชื้อโรคได้ และสมารถซักแล้วนํากลับมาใช้ได้อีก -การล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย กินร้อน ใช้ช้อนกลาง สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ -การวินิจฉัยโรค แพทย์จะฟังเสียงปอดร่วมกับการเอ็กซเรย์ -รัฐไม่มีนโยบายในการปกปิดข่าว ฯลฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-6 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Covid-19 วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 6 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Covid-19 มาเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้องกันนะ ความจริงเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด-19 -เชื้อสามารถแพร่ผ่านละอองเสมหะ -หน้ากากอนามัยสามารถป้องกันเชื้อโรคได้ และสมารถซักแล้วนํากลับมาใช้ได้อีก -การล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย กินร้อน ใช้ช้อนกลาง สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ -การวินิจฉัยโรค แพทย์จะฟังเสียงปอดร่วมกับการเอ็กซเรย์ -รัฐไม่มีนโยบายในการปกปิดข่าว ฯลฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27456