title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมจัดจุดบริการประชาชน บริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนทางใต้
วันอังคารที่ 17 มกราคม 2560 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมจัดจุดบริการประชาชน บริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนทางใต้ 17 มกราคม 2560 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมจัดจุดบริการประชาชน บริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนทางใต้ วันที่ 17 ม.ค.2560 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม จัดจุดให้บริการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนบริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนใต้ นําทีมโดย นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย กลุ่มประสิทธิภาพที่ 2 โดยประธานกลุ่มฯ (นายเอกภัทร วังสุวรรณ) อุตสาหกรรมจังหวัดภาคกลาง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค บริการอาหารและเครื่องดื่ม ช่วงเช้า-บ่าย ดังนี้ - ข้าวเหนียวหมูฝอย 750 กล่อง - ข้าวกล่อง 300 กล่อง - ไอศกรีม 1 ถัง - กาแฟ โอวัลติน 2,000 แก้ว - ขนมเค้กยูโร ขนมอบกรอบ และอื่น ๆ แจกจ่ายแก่ทหาร ตํารวจ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพและถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมจัดจุดบริการประชาชน บริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนทางใต้ วันอังคารที่ 17 มกราคม 2560 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมจัดจุดบริการประชาชน บริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนทางใต้ 17 มกราคม 2560 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมจัดจุดบริการประชาชน บริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนทางใต้ วันที่ 17 ม.ค.2560 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม จัดจุดให้บริการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนบริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนใต้ นําทีมโดย นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย กลุ่มประสิทธิภาพที่ 2 โดยประธานกลุ่มฯ (นายเอกภัทร วังสุวรรณ) อุตสาหกรรมจังหวัดภาคกลาง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค บริการอาหารและเครื่องดื่ม ช่วงเช้า-บ่าย ดังนี้ - ข้าวเหนียวหมูฝอย 750 กล่อง - ข้าวกล่อง 300 กล่อง - ไอศกรีม 1 ถัง - กาแฟ โอวัลติน 2,000 แก้ว - ขนมเค้กยูโร ขนมอบกรอบ และอื่น ๆ แจกจ่ายแก่ทหาร ตํารวจ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพและถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1388
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. จัดพิธีเทิดพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 9 “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” เนื่องใน “วันเทคโนโลยีของไทย”
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 อว. จัดพิธีเทิดพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 9 “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” เนื่องใน “วันเทคโนโลยีของไทย” อว. จัดพิธีเทิดพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 9 “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” เนื่องใน “วันเทคโนโลยีของไทย” (19 ตุลาคม 2562) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)จัดพิธีวางพานพุ่มและถวายราชสักการะเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ในฐานะทรงเป็น “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” เนื่องใน “วันเทคโนโลยีของไทย” ประจําปี 2562โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายราชสักการะ พร้อมด้วย รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้บริหาร ผู้แทนหน่วยงานในสังกัด ผู้แทนมหาวิทยาลัย ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ร่วมวางพานพุ่มและถวายราชสักการะฯ ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ถนนพระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 19 ตุลาคม พ.ศ. 2515 จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์สําคัญอีกเรื่องหนึ่งของไทย จากการศึกษาและค้นพบวิธีการทําฝนเทียมสูตรใหม่ของประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงควบคุมบัญชาการและอํานวยการสาธิตฝนเทียมสูตรใหม่เป็นครั้งแรกของโลก ณ เขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี โดยใช้สนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นฐานปฏิบัติการ และก็ประสบความสําเร็จฝนตกตามเป้าหมายอย่างแม่นยํา สร้างความประทับใจและยินดีแก่คณะผู้แทนรัฐบาลสิงค์โปร์ และผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในวันนั้นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเทิดพระเกียรติในพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2543 ได้มีมติให้ความเห็นชอบพระราชทานพระบรมราชานุญาตเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเป็น “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย" และให้วันที่ 19 ตุลาคมของทุกปีเป็น "วันเทคโนโลยีของไทย" การที่ทรงศึกษาค้นคว้าวิจัยงานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ก่อกําเนิดเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ อาทิ โครงการแกล้งดิน เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยว โครงการหญ้าแฝก เทคโนโลยีป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน โครงการแหลมผักเบี้ย เทคโนโลยีการบําบัดน้ําเสีย โครงการกังหันน้ําชัยพัฒนา เทคโนโลยีการบําบัดน้ําเสีย โครงการคลองลัดโพธิ์ เทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ําเพื่อแก้ปัญหาน้ําท่วม และตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงงาน ภาพที่เห็นจนชินตาจากทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวการพัฒนาเทคโนโลยีของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการเสด็จพระราชดําเนินไปยังสถานที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย เพื่อประกอบพระราชกรณียกิจช่วยเหลือราษฎรผู้ทุกข์ยาก เมื่อพบปัญหาความทุกข์ยากของราษฎร พระองค์จะทรงนํากลับมาขบคิดหาแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการปัญหานั้น ๆ พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีประโยชน์และบรรเทาความเดือดร้อนแก่พสกนิกรทุกหมู่เหล่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้แก่ปวงชนชาวไทย ด้วยพระราชกรณียกิจ ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรพระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย ทรงนําเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาประเทศและแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงนําความรู้ทางสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทุกสาขาวิชามาใช้ในการพัฒนาทุกแขนง ทรงมุ่งให้เกิดการพัฒนาคนให้อยู่ได้ด้วยการพึ่งตนเองเป็นสําคัญทุก ๆ โครงการที่มีพระราชดําริและพระราชทานให้แก่ประชาชน ล้วนมีวิธีดําเนินการได้ง่าย ไม่ยุ่งยากซ้ําซ้อน มีความสอดคล้องกับระบบนิเวศโดยรวมของธรรมชาติ และสภาพสังคมของชุมชนนั้น ๆ ไม่ทรงปิดกั้นเทคโนโลยีใหม่จากต่างประเทศ แต่ทรงเน้นว่าจะต้องเลือกใช้เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์มาปรับปรุงใช้ได้ดีพอ เหมาะกับสภาพและฐานะของประเทศ โดยเน้นที่ประสิทธิภาพ ประหยัดและการทุ่มแรงงาน พระองค์ทรงเป็นดุจประทีปชี้นําทางสว่างสู่ปวงประชา นอกจากนี้ยังมีโครงการตามพระราชดําริในเรื่องพลังงานทดแทนอื่น ๆ อีก เช่น การผลิตดีโซฮอล์ล ซึ่งเป็นการผลิตเชื้อเพลิง จากการผสมเอทานอล กับน้ํามันดีเซล ผลการทดลองพบว่าสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับเครื่องยนต์ดีเซลได้ และลดควันดําถึง 5% หรือพระราชดําริให้โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาทดลองผลิตแก๊สชีวภาพจากมูลโคนม ซึ่งได้ก๊าซมีเทนที่เป็นก๊าซติดไฟกว่า 50% และก๊าซอื่น ๆ ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ เทคโนโลยีดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน ยังมีวิทยาการและเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ทรงใช้ในการพัฒนาอีกจํานวนมาก เช่น ด้านการคมนาคมและการสื่อสาร ด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ตลอดจนด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีความมุ่งมั่นในการที่จะสืบสานพระราชปณิธานฯ โดยการน้อมนําและสานต่อ องค์ความรู้แห่งพระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย ให้แผ่ขยายไปในวงกว้างและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนสืบไป เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. จัดพิธีเทิดพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 9 “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” เนื่องใน “วันเทคโนโลยีของไทย” วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 อว. จัดพิธีเทิดพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 9 “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” เนื่องใน “วันเทคโนโลยีของไทย” อว. จัดพิธีเทิดพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 9 “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” เนื่องใน “วันเทคโนโลยีของไทย” (19 ตุลาคม 2562) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)จัดพิธีวางพานพุ่มและถวายราชสักการะเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ในฐานะทรงเป็น “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” เนื่องใน “วันเทคโนโลยีของไทย” ประจําปี 2562โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายราชสักการะ พร้อมด้วย รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้บริหาร ผู้แทนหน่วยงานในสังกัด ผู้แทนมหาวิทยาลัย ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ร่วมวางพานพุ่มและถวายราชสักการะฯ ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ถนนพระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 19 ตุลาคม พ.ศ. 2515 จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์สําคัญอีกเรื่องหนึ่งของไทย จากการศึกษาและค้นพบวิธีการทําฝนเทียมสูตรใหม่ของประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงควบคุมบัญชาการและอํานวยการสาธิตฝนเทียมสูตรใหม่เป็นครั้งแรกของโลก ณ เขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี โดยใช้สนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นฐานปฏิบัติการ และก็ประสบความสําเร็จฝนตกตามเป้าหมายอย่างแม่นยํา สร้างความประทับใจและยินดีแก่คณะผู้แทนรัฐบาลสิงค์โปร์ และผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในวันนั้นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเทิดพระเกียรติในพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2543 ได้มีมติให้ความเห็นชอบพระราชทานพระบรมราชานุญาตเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเป็น “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย" และให้วันที่ 19 ตุลาคมของทุกปีเป็น "วันเทคโนโลยีของไทย" การที่ทรงศึกษาค้นคว้าวิจัยงานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ก่อกําเนิดเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ อาทิ โครงการแกล้งดิน เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยว โครงการหญ้าแฝก เทคโนโลยีป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน โครงการแหลมผักเบี้ย เทคโนโลยีการบําบัดน้ําเสีย โครงการกังหันน้ําชัยพัฒนา เทคโนโลยีการบําบัดน้ําเสีย โครงการคลองลัดโพธิ์ เทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ําเพื่อแก้ปัญหาน้ําท่วม และตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงงาน ภาพที่เห็นจนชินตาจากทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวการพัฒนาเทคโนโลยีของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการเสด็จพระราชดําเนินไปยังสถานที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย เพื่อประกอบพระราชกรณียกิจช่วยเหลือราษฎรผู้ทุกข์ยาก เมื่อพบปัญหาความทุกข์ยากของราษฎร พระองค์จะทรงนํากลับมาขบคิดหาแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการปัญหานั้น ๆ พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีประโยชน์และบรรเทาความเดือดร้อนแก่พสกนิกรทุกหมู่เหล่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้แก่ปวงชนชาวไทย ด้วยพระราชกรณียกิจ ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรพระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย ทรงนําเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาประเทศและแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงนําความรู้ทางสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทุกสาขาวิชามาใช้ในการพัฒนาทุกแขนง ทรงมุ่งให้เกิดการพัฒนาคนให้อยู่ได้ด้วยการพึ่งตนเองเป็นสําคัญทุก ๆ โครงการที่มีพระราชดําริและพระราชทานให้แก่ประชาชน ล้วนมีวิธีดําเนินการได้ง่าย ไม่ยุ่งยากซ้ําซ้อน มีความสอดคล้องกับระบบนิเวศโดยรวมของธรรมชาติ และสภาพสังคมของชุมชนนั้น ๆ ไม่ทรงปิดกั้นเทคโนโลยีใหม่จากต่างประเทศ แต่ทรงเน้นว่าจะต้องเลือกใช้เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์มาปรับปรุงใช้ได้ดีพอ เหมาะกับสภาพและฐานะของประเทศ โดยเน้นที่ประสิทธิภาพ ประหยัดและการทุ่มแรงงาน พระองค์ทรงเป็นดุจประทีปชี้นําทางสว่างสู่ปวงประชา นอกจากนี้ยังมีโครงการตามพระราชดําริในเรื่องพลังงานทดแทนอื่น ๆ อีก เช่น การผลิตดีโซฮอล์ล ซึ่งเป็นการผลิตเชื้อเพลิง จากการผสมเอทานอล กับน้ํามันดีเซล ผลการทดลองพบว่าสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับเครื่องยนต์ดีเซลได้ และลดควันดําถึง 5% หรือพระราชดําริให้โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาทดลองผลิตแก๊สชีวภาพจากมูลโคนม ซึ่งได้ก๊าซมีเทนที่เป็นก๊าซติดไฟกว่า 50% และก๊าซอื่น ๆ ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ เทคโนโลยีดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน ยังมีวิทยาการและเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ทรงใช้ในการพัฒนาอีกจํานวนมาก เช่น ด้านการคมนาคมและการสื่อสาร ด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ตลอดจนด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีความมุ่งมั่นในการที่จะสืบสานพระราชปณิธานฯ โดยการน้อมนําและสานต่อ องค์ความรู้แห่งพระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย ให้แผ่ขยายไปในวงกว้างและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนสืบไป เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23949
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จับมือ depa เสริมความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลหนุนท่องเที่ยวชุมชนยกระดับเศรษฐกิจฐานราก
วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม 2561 ธ.ก.ส. จับมือ depa เสริมความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลหนุนท่องเที่ยวชุมชนยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ธ.ก.ส. และ depa ร่วมพัฒนาและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลแก่ชุมชน พร้อมขับเคลื่อนผู้ประกอบการ และสร้าง Platform การท่องเที่ยวชุมชน การเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไปสู่ยุคเศรษฐกิจ 4.0 วันนี้ (22 พฤษภาคม 2561) ณ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สํานักงานใหญ่ บางเขน ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจว่าด้วย “การส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล” ระหว่าง นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. และ ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า (depa) เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล นํามาพัฒนาชุมชนให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ กล่าวว่า ธ.ก.ส. ได้จัดทําโครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยมุ่งเน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเอง จํานวนทั้งสิ้น 7,927 ชุมชน และมีศูนย์เรียนรู้ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค เพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้การพัฒนาชุมชนในด้านต่าง ๆ จํานวน 77 ศูนย์ รวมถึงได้มีการต่อยอดชุมชนที่มีศักยภาพและความโดดเด่น ทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ ประเพณีและวัฒนธรรม ไปสู่รูปแบบการท่องเที่ยววิถีชุมชน ตามโครงการ “ธ.ก.ส.นําเที่ยวชุมชนทั่วไทยตามรอยเท้าพ่อ” เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ เกิดการกระจายรายได้ในเชิงเศรษฐกิจ ลดปัญหาการย้ายถิ่นฐานและกระตุ้นให้ชาวบ้านเกิดความรักความหวงแหนในทรัพยากรธรรมชาติตลอดจนการดํารงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของท้องถิ่น โดยในปี 2561 ธ.ก.ส.มีเป้าหมายในการพัฒนาชุมชนอุดมสุขจํานวน 800 ชุมชน พร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายชุมชนท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จํานวน 35 ชุมชน ซึ่งการร่วมมือกับสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนให้มีการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนาชุมชนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน ในด้านการผลิต การแปรรูป การตลาด การบริการและการท่องเที่ยวโดยชุมชน ทั้งนี้ ธนาคารได้ดําเนินการตามแนวทางที่สอดคล้องกับโครงการนวัตวิถีของกระทรวงมหาดไทย ที่ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวและซื้อสินค้าจากชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานรากของประเทศต่อไป ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ กล่าวว่า depa ให้ความสําคัญกับการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลไปใช้ยกระดับสังคมในทุกมิติ โดยเฉพาะการเข้าไปดูแลและพัฒนาชุมชนที่มีอยู่จํานวน 24,700 ชุมชน ให้เข้ามาอยู่ในฐานข้อมูลดิจิทัล โดยสนับสนุนให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในพื้นที่ของตนเอง ในลักษณะของการส่งวิทยากรอาสาเข้าไปอบรมให้ความรู้แก่คนในชุมชน องค์กรชุมชน และผู้ประกอบการในชุมชน เพื่อให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลและเกิดการขยายผลไปสู่ชุมชนรอบข้าง รวมถึงความร่วมมือกับ ธ.ก.ส.ในการพัฒนาและจัดหาช่องทางการตลาดแบบดิจิทัล การพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศของชุมชน ระบบการบริหารข้อมูลในรูปแบบ Application หรือ Platform เข้ามาช่วยในการพัฒนาด้านการเกษตร การแปรรูป การบริการ การตลาด และการท่องเที่ยวชุมชน อันนําไปสู่การเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการของชุมชนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อให้ประเทศก้าวไปสู่ยุค Thailand 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จับมือ depa เสริมความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลหนุนท่องเที่ยวชุมชนยกระดับเศรษฐกิจฐานราก วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม 2561 ธ.ก.ส. จับมือ depa เสริมความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลหนุนท่องเที่ยวชุมชนยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ธ.ก.ส. และ depa ร่วมพัฒนาและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลแก่ชุมชน พร้อมขับเคลื่อนผู้ประกอบการ และสร้าง Platform การท่องเที่ยวชุมชน การเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไปสู่ยุคเศรษฐกิจ 4.0 วันนี้ (22 พฤษภาคม 2561) ณ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สํานักงานใหญ่ บางเขน ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจว่าด้วย “การส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล” ระหว่าง นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. และ ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า (depa) เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล นํามาพัฒนาชุมชนให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ กล่าวว่า ธ.ก.ส. ได้จัดทําโครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยมุ่งเน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเอง จํานวนทั้งสิ้น 7,927 ชุมชน และมีศูนย์เรียนรู้ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค เพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้การพัฒนาชุมชนในด้านต่าง ๆ จํานวน 77 ศูนย์ รวมถึงได้มีการต่อยอดชุมชนที่มีศักยภาพและความโดดเด่น ทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ ประเพณีและวัฒนธรรม ไปสู่รูปแบบการท่องเที่ยววิถีชุมชน ตามโครงการ “ธ.ก.ส.นําเที่ยวชุมชนทั่วไทยตามรอยเท้าพ่อ” เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ เกิดการกระจายรายได้ในเชิงเศรษฐกิจ ลดปัญหาการย้ายถิ่นฐานและกระตุ้นให้ชาวบ้านเกิดความรักความหวงแหนในทรัพยากรธรรมชาติตลอดจนการดํารงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของท้องถิ่น โดยในปี 2561 ธ.ก.ส.มีเป้าหมายในการพัฒนาชุมชนอุดมสุขจํานวน 800 ชุมชน พร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายชุมชนท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จํานวน 35 ชุมชน ซึ่งการร่วมมือกับสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนให้มีการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนาชุมชนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน ในด้านการผลิต การแปรรูป การตลาด การบริการและการท่องเที่ยวโดยชุมชน ทั้งนี้ ธนาคารได้ดําเนินการตามแนวทางที่สอดคล้องกับโครงการนวัตวิถีของกระทรวงมหาดไทย ที่ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวและซื้อสินค้าจากชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานรากของประเทศต่อไป ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ กล่าวว่า depa ให้ความสําคัญกับการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลไปใช้ยกระดับสังคมในทุกมิติ โดยเฉพาะการเข้าไปดูแลและพัฒนาชุมชนที่มีอยู่จํานวน 24,700 ชุมชน ให้เข้ามาอยู่ในฐานข้อมูลดิจิทัล โดยสนับสนุนให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในพื้นที่ของตนเอง ในลักษณะของการส่งวิทยากรอาสาเข้าไปอบรมให้ความรู้แก่คนในชุมชน องค์กรชุมชน และผู้ประกอบการในชุมชน เพื่อให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลและเกิดการขยายผลไปสู่ชุมชนรอบข้าง รวมถึงความร่วมมือกับ ธ.ก.ส.ในการพัฒนาและจัดหาช่องทางการตลาดแบบดิจิทัล การพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศของชุมชน ระบบการบริหารข้อมูลในรูปแบบ Application หรือ Platform เข้ามาช่วยในการพัฒนาด้านการเกษตร การแปรรูป การบริการ การตลาด และการท่องเที่ยวชุมชน อันนําไปสู่การเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการของชุมชนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อให้ประเทศก้าวไปสู่ยุค Thailand 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12420
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ดูแลประชาชน ที่วัดราษฎร์บำรุง เขตบางแค เป็นของขวัญปีใหม่ ในช่วงที่ 2
วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562 สธ. จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ดูแลประชาชน ที่วัดราษฎร์บํารุง เขตบางแค เป็นของขวัญปีใหม่ ในช่วงที่ 2 รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมหน่วยแพทย์โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้ (18 มกราคม 2562) ที่วัดราษฎร์บํารุง เขตบางแค กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิชญา นาควัชระ รองปลัดกรุงเทพมหานคร เยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ “โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนคนไทยในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลและเข้าถึงบริการได้ยาก นายแพทย์ประพนธ์กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้สํานักอนามัย กรุงเทพมหานคร เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายบูรณาออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ร่วมกันในเขตกรุงเทพมหานคร โดยแบ่งพื้นที่เป็น 6 โซน ได้แก่ กรุงเทพกลาง กรุงเทพเหนือ กรุงเทพตะวันออก กรุงเทพใต้ กรุงธนเหนือ และกรุงธนใต้ โดยในวันนี้เป็นการจัดบริการในโซนกรุงธนใต้ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของการจัดบริการในช่วงที่ 2 ก่อนปิดโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ฯ เน้นบริการ 6 ด้านหลักได้แก่ 1.บริการทางการแพทย์ขั้นพื้นฐาน โดยการตรวจโรคทั่วไป 2.บริการตรวจสายตา ประกอบด้วย การวัดสายตา คัดกรองต้อกระจก ส่งต่อผ่าตัด 3.บริการทันตกรรม ประกอบด้วย อุดฟันขูดหินปูน ถอนฟัน ตรวจโรคในช่องปาก 4.บริการด้านสุขภาพจิต ประกอบด้วย คัดกรองพัฒนาการเด็กคัดกรองและประเมินสุขภาพจิต ภาวะความเครียด ซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย และการให้คําปรึกษา 5.บริการแนะนําและฝึกอาชีพ 6.กิจกรรมอื่น ๆ ตามบริบทพื้นที่ เช่น กิจกรรมผู้สูงอายุ ให้คําปรึกษาพร้อมแนะนําโภชนาการ อาหารปลอดภัย อาหารสุขภาพ และให้ความรู้ในเรื่องสิทธิประกันสังคม สําหรับผลการดําเนินงานในการดูแลสุขภาพประชาชนที่ผ่านมาในช่วงที่ 1 ของกรุงเทพมหานคร ทั้ง 6 โซนดําเนินการตั้งแต่วันที่ 12 – 18 ธันวาคม 2561 มีประชาชนเข้ามารับบริการทั้งสิ้น 4,287 คน และมีความพึงพอใจในการให้บริการ และอยากให้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บ่อย ๆ เพราะจะได้ไม่ต้องเดินทางไกลไปพบแพทย์ ************************* 18 มกราคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ดูแลประชาชน ที่วัดราษฎร์บำรุง เขตบางแค เป็นของขวัญปีใหม่ ในช่วงที่ 2 วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562 สธ. จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ดูแลประชาชน ที่วัดราษฎร์บํารุง เขตบางแค เป็นของขวัญปีใหม่ ในช่วงที่ 2 รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมหน่วยแพทย์โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้ (18 มกราคม 2562) ที่วัดราษฎร์บํารุง เขตบางแค กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิชญา นาควัชระ รองปลัดกรุงเทพมหานคร เยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ “โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนคนไทยในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลและเข้าถึงบริการได้ยาก นายแพทย์ประพนธ์กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้สํานักอนามัย กรุงเทพมหานคร เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายบูรณาออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ร่วมกันในเขตกรุงเทพมหานคร โดยแบ่งพื้นที่เป็น 6 โซน ได้แก่ กรุงเทพกลาง กรุงเทพเหนือ กรุงเทพตะวันออก กรุงเทพใต้ กรุงธนเหนือ และกรุงธนใต้ โดยในวันนี้เป็นการจัดบริการในโซนกรุงธนใต้ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของการจัดบริการในช่วงที่ 2 ก่อนปิดโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ฯ เน้นบริการ 6 ด้านหลักได้แก่ 1.บริการทางการแพทย์ขั้นพื้นฐาน โดยการตรวจโรคทั่วไป 2.บริการตรวจสายตา ประกอบด้วย การวัดสายตา คัดกรองต้อกระจก ส่งต่อผ่าตัด 3.บริการทันตกรรม ประกอบด้วย อุดฟันขูดหินปูน ถอนฟัน ตรวจโรคในช่องปาก 4.บริการด้านสุขภาพจิต ประกอบด้วย คัดกรองพัฒนาการเด็กคัดกรองและประเมินสุขภาพจิต ภาวะความเครียด ซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย และการให้คําปรึกษา 5.บริการแนะนําและฝึกอาชีพ 6.กิจกรรมอื่น ๆ ตามบริบทพื้นที่ เช่น กิจกรรมผู้สูงอายุ ให้คําปรึกษาพร้อมแนะนําโภชนาการ อาหารปลอดภัย อาหารสุขภาพ และให้ความรู้ในเรื่องสิทธิประกันสังคม สําหรับผลการดําเนินงานในการดูแลสุขภาพประชาชนที่ผ่านมาในช่วงที่ 1 ของกรุงเทพมหานคร ทั้ง 6 โซนดําเนินการตั้งแต่วันที่ 12 – 18 ธันวาคม 2561 มีประชาชนเข้ามารับบริการทั้งสิ้น 4,287 คน และมีความพึงพอใจในการให้บริการ และอยากให้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บ่อย ๆ เพราะจะได้ไม่ต้องเดินทางไกลไปพบแพทย์ ************************* 18 มกราคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18219
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดจุลพงษ์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหน่วยงานเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Center of Robotics Excellent) ( CoRE) ครั้งที่ 4/2563
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 รองปลัดจุลพงษ์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหน่วยงานเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Center of Robotics Excellent) ( CoRE) ครั้งที่ 4/2563 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหน่วยงานเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Center of Robotics Excellent) ( CoRE) ครั้งที่ 4/2563 จังหวัดชลบุรี วันที่ 23 กรกฎาคม 2563 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหน่วยงานเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Center of Robotics Excellent) ( CoRE) ครั้งที่ 4/2563 พร้อมเยี่ยมชม สถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค ๓ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จังหวัดชลบุรี ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการหน่วยงานเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (CoRE) โดยมีนายสมหวัง บุญรักษ์เจริญ ผู้อํานวยการสถาบันไทย-เยอรมัน ประธานคณะกรรมการ CoRE ร่วมด้วย ณ ห้องประชุมครัวไทย อาคารครัวไทย สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค 3 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จังหวัดชลบุรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดจุลพงษ์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหน่วยงานเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Center of Robotics Excellent) ( CoRE) ครั้งที่ 4/2563 วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 รองปลัดจุลพงษ์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหน่วยงานเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Center of Robotics Excellent) ( CoRE) ครั้งที่ 4/2563 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหน่วยงานเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Center of Robotics Excellent) ( CoRE) ครั้งที่ 4/2563 จังหวัดชลบุรี วันที่ 23 กรกฎาคม 2563 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหน่วยงานเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Center of Robotics Excellent) ( CoRE) ครั้งที่ 4/2563 พร้อมเยี่ยมชม สถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค ๓ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จังหวัดชลบุรี ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการหน่วยงานเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (CoRE) โดยมีนายสมหวัง บุญรักษ์เจริญ ผู้อํานวยการสถาบันไทย-เยอรมัน ประธานคณะกรรมการ CoRE ร่วมด้วย ณ ห้องประชุมครัวไทย อาคารครัวไทย สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค 3 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จังหวัดชลบุรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33643
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตรียมเปิดศูนย์รังสีรักษา ดูแลผู้ป่วยมะเร็งใกล้บ้าน รองรับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561 สธ. เตรียมเปิดศูนย์รังสีรักษา ดูแลผู้ป่วยมะเร็งใกล้บ้าน รองรับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน กระทรวงสาธารณสุข สร้างศูนย์รังสีรักษาดูแลผู้ป่วยมะเร็งครบวงจร ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน จ.เชียงราย พะเยา และพื้นที่ใกล้เคียง ลดรอคอย ลดค่าใช้จ่าย รู้เร็ว รักษาทัน มีโอกาสหายจากโรคมะเร็ง กระทรวงสาธารณสุข สร้างศูนย์รังสีรักษาดูแลผู้ป่วยมะเร็งครบวงจร ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน จ.เชียงราย พะเยา และพื้นที่ใกล้เคียง ลดรอคอย ลดค่าใช้จ่าย รู้เร็ว รักษาทัน มีโอกาสหายจากโรคมะเร็ง วันนี้ (29 ตุลาคม 2561) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย และให้สัมภาษณ์ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาเยี่ยมชมการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในการยกระดับคุณภาพบริการ และการแก้ไขปัญหาสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ํา ลดรอคอย ลดแออัด ลดอัตราป่วยและตาย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมขอสนับสนุนงบประมาณ 385 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี สร้างศูนย์รังสีรักษา เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนารพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการรักษาโรคมะเร็งของภาคเหนือตอนบน เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พะเยา จังหวัดใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบ้านชายแดน ให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาใกล้บ้าน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางซึ่งแต่เดิมไปรักษาที่ศูนย์มะเร็งลําปางหรือโรงพยาบาลสวนดอกเชียงใหม่ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวต่อว่ารพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ มีความพร้อมจัดตั้งศูนย์รังสีรักษา โดยมีแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง จํานวน 17 คน สามารถให้การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดและให้ยาเคมีบําบัด หากศูนย์รังสีรักษาแล้วเสร็จจะทําให้เป็นศูนย์เชี่ยวชาญโรคมะเร็งอย่างครบวงจร ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งที่จําเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีรังสีรักษา จะมีโอกาสบรรเทาอาการของโรคได้มากขึ้น รองรับผู้ป่วยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรักษาของประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและพะเยา หากได้รับการสนับสนุนงบประมาณปี 2563 และในปี 2565 คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2565 โรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของจังหวัดเชียงราย มีอัตราเสียชีวิตมากกว่า 93.82 ต่อประชากรแสนคน โรคมะเร็งที่พบบ่อย 3 ลําดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ําดี มะเร็งปอด และมะเร็งลําไส้ใหญ่ ในปี 2558 พบผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่ 1,821 ราย ปี 2559 จํานวน 2,488 ราย ปี 2560 จํานวน 2,405 ราย และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ได้ส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาฉายแสงที่ศูนย์มะเร็งลําปางในปี 2558 จํานวน 497 ราย ปี 2559 จํานวน 582 ราย และปี 2560 จํานวน 543 ราย ซึ่งมีระยะทางไกล ทําให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงถึงปีละ 13,500,000 ต่อปี ******************************* 29 ตุลาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตรียมเปิดศูนย์รังสีรักษา ดูแลผู้ป่วยมะเร็งใกล้บ้าน รองรับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561 สธ. เตรียมเปิดศูนย์รังสีรักษา ดูแลผู้ป่วยมะเร็งใกล้บ้าน รองรับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน กระทรวงสาธารณสุข สร้างศูนย์รังสีรักษาดูแลผู้ป่วยมะเร็งครบวงจร ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน จ.เชียงราย พะเยา และพื้นที่ใกล้เคียง ลดรอคอย ลดค่าใช้จ่าย รู้เร็ว รักษาทัน มีโอกาสหายจากโรคมะเร็ง กระทรวงสาธารณสุข สร้างศูนย์รังสีรักษาดูแลผู้ป่วยมะเร็งครบวงจร ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน จ.เชียงราย พะเยา และพื้นที่ใกล้เคียง ลดรอคอย ลดค่าใช้จ่าย รู้เร็ว รักษาทัน มีโอกาสหายจากโรคมะเร็ง วันนี้ (29 ตุลาคม 2561) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย และให้สัมภาษณ์ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาเยี่ยมชมการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในการยกระดับคุณภาพบริการ และการแก้ไขปัญหาสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ํา ลดรอคอย ลดแออัด ลดอัตราป่วยและตาย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมขอสนับสนุนงบประมาณ 385 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี สร้างศูนย์รังสีรักษา เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนารพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการรักษาโรคมะเร็งของภาคเหนือตอนบน เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พะเยา จังหวัดใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบ้านชายแดน ให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาใกล้บ้าน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางซึ่งแต่เดิมไปรักษาที่ศูนย์มะเร็งลําปางหรือโรงพยาบาลสวนดอกเชียงใหม่ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวต่อว่ารพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ มีความพร้อมจัดตั้งศูนย์รังสีรักษา โดยมีแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง จํานวน 17 คน สามารถให้การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดและให้ยาเคมีบําบัด หากศูนย์รังสีรักษาแล้วเสร็จจะทําให้เป็นศูนย์เชี่ยวชาญโรคมะเร็งอย่างครบวงจร ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งที่จําเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีรังสีรักษา จะมีโอกาสบรรเทาอาการของโรคได้มากขึ้น รองรับผู้ป่วยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรักษาของประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและพะเยา หากได้รับการสนับสนุนงบประมาณปี 2563 และในปี 2565 คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2565 โรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของจังหวัดเชียงราย มีอัตราเสียชีวิตมากกว่า 93.82 ต่อประชากรแสนคน โรคมะเร็งที่พบบ่อย 3 ลําดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ําดี มะเร็งปอด และมะเร็งลําไส้ใหญ่ ในปี 2558 พบผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่ 1,821 ราย ปี 2559 จํานวน 2,488 ราย ปี 2560 จํานวน 2,405 ราย และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ได้ส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาฉายแสงที่ศูนย์มะเร็งลําปางในปี 2558 จํานวน 497 ราย ปี 2559 จํานวน 582 ราย และปี 2560 จํานวน 543 ราย ซึ่งมีระยะทางไกล ทําให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงถึงปีละ 13,500,000 ต่อปี ******************************* 29 ตุลาคม 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16412
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออกนอกบ้านอย่างไร ปลอดภัยไร้ COVID-19
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563 ออกนอกบ้านอย่างไร ปลอดภัยไร้ COVID-19 ออกนอกบ้านอย่างไร ปลอดภัยไร้ COVID-19
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออกนอกบ้านอย่างไร ปลอดภัยไร้ COVID-19 วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563 ออกนอกบ้านอย่างไร ปลอดภัยไร้ COVID-19 ออกนอกบ้านอย่างไร ปลอดภัยไร้ COVID-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33970
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตเพื่อสนับสนุนน้ำมันดีเซล B20
วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2561 มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตเพื่อสนับสนุนน้ํามันดีเซล B20 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกฎกระทรวงกําหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 4) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกรมสรรพสามิตกําหนดอัตราภาษีน้ํามันดีเซล B20 อยู่ที่ 5.152 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกฎกระทรวงกําหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 4) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกรมสรรพสามิตกําหนดอัตราภาษีน้ํามันดีเซล B20 อยู่ที่ 5.152 บาท/ลิตร ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 และ 8 มิถุนายน 2561 ซึ่งเห็นชอบ 1) แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ํามันดีเซล B20 2) อัตราภาษีสรรพสามิต B20 อยู่ที่ 5.152 บาท/ลิตร เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ํามัน และปรับอัตราภาษีน้ํามันดีเซล B7 จาก 5.85 บาท/ลิตร เป็น 5.980 บาท/ลิตร โดยกระทรวงพลังงานจะใช้กองทุนน้ํามันสนับสนุนส่วนต่างเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ํามันดีเซล มาตรการภาษีสรรพสามิตเพื่อสนับสนุนน้ํามันดีเซล B20 มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกลไกในการส่งเสริมการใช้น้ํามันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซลให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าบริการขนส่ง และค่าโดยสารสาธารณะ รวมทั้ง เป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ํามันอีกทางหนึ่ง โดยการกําหนดอัตราภาษีน้ํามันดีเซล B20 คํานวณจากเฉพาะเนื้อน้ํามันดีเซล ไม่ได้คิดภาษีในส่วนของน้ํามันปาล์ม การจําหน่ายน้ํามันดีเซล B20 นี้ จะให้เฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถบรรทุกขนส่งสินค้า เป็นต้น ซึ่งน้ํามันดีเซล B20 จะจําหน่ายในราคาที่ถูกกว่าน้ํามันดีเซล B7 จํานวน 3 บาท โดยใช้เงินกองทุนน้ํามันเข้ามาสนับสนุน ทั้งนี้ กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงานจะประชุมหารือกับผู้ค้าน้ํามันตามมาตรา 7 และผู้ประกอบการรถบรรทุกขนาดใหญ่เพื่อประชาสัมพันธ์การใช้ B20 สํานักมาตรฐานและพัฒนาการจัดเก็บภาษี 2 กรมสรรพสามิต โทร. 0 2241 5600 ต่อ 52212
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตเพื่อสนับสนุนน้ำมันดีเซล B20 วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2561 มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตเพื่อสนับสนุนน้ํามันดีเซล B20 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกฎกระทรวงกําหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 4) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกรมสรรพสามิตกําหนดอัตราภาษีน้ํามันดีเซล B20 อยู่ที่ 5.152 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกฎกระทรวงกําหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 4) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกรมสรรพสามิตกําหนดอัตราภาษีน้ํามันดีเซล B20 อยู่ที่ 5.152 บาท/ลิตร ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 และ 8 มิถุนายน 2561 ซึ่งเห็นชอบ 1) แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ํามันดีเซล B20 2) อัตราภาษีสรรพสามิต B20 อยู่ที่ 5.152 บาท/ลิตร เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ํามัน และปรับอัตราภาษีน้ํามันดีเซล B7 จาก 5.85 บาท/ลิตร เป็น 5.980 บาท/ลิตร โดยกระทรวงพลังงานจะใช้กองทุนน้ํามันสนับสนุนส่วนต่างเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ํามันดีเซล มาตรการภาษีสรรพสามิตเพื่อสนับสนุนน้ํามันดีเซล B20 มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกลไกในการส่งเสริมการใช้น้ํามันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซลให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าบริการขนส่ง และค่าโดยสารสาธารณะ รวมทั้ง เป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ํามันอีกทางหนึ่ง โดยการกําหนดอัตราภาษีน้ํามันดีเซล B20 คํานวณจากเฉพาะเนื้อน้ํามันดีเซล ไม่ได้คิดภาษีในส่วนของน้ํามันปาล์ม การจําหน่ายน้ํามันดีเซล B20 นี้ จะให้เฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถบรรทุกขนส่งสินค้า เป็นต้น ซึ่งน้ํามันดีเซล B20 จะจําหน่ายในราคาที่ถูกกว่าน้ํามันดีเซล B7 จํานวน 3 บาท โดยใช้เงินกองทุนน้ํามันเข้ามาสนับสนุน ทั้งนี้ กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงานจะประชุมหารือกับผู้ค้าน้ํามันตามมาตรา 7 และผู้ประกอบการรถบรรทุกขนาดใหญ่เพื่อประชาสัมพันธ์การใช้ B20 สํานักมาตรฐานและพัฒนาการจัดเก็บภาษี 2 กรมสรรพสามิต โทร. 0 2241 5600 ต่อ 52212
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ร่วมใจ ต้านภัยโควิด -19 ณ ชุมชนอนันตสามัคคี [กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม]
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563 ทส.ร่วมใจ ต้านภัยโควิด -19 ณ ชุมชนอนันตสามัคคี [กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม] ทส.ร่วมใจ ต้านภัยโควิด -19 ณ ชุมชนอนันตสามัคคี ทส.ร่วมใจ ต้านภัยโควิด -19 ณ ชุมชนอนันตสามัคคี วันนี้ (13 พ.ค. 63) เวลา 9.00 น. นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําทีมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงฯ มอบถุงยังชีพ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19 จํานวน 187 ครัวเรือน ณ ชุมชนอนันตสามัคคี สุวินทวงศ์ 32 เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะดําเนินการมอบอาหารและถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด – 19 โดยจะหมุนเวียนไปตามชุมชนต่างๆ ตามหลักที่ว่า "พวกเรากระทรวงทรัพยากร ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับชาวบ้าน เราจะผ่านโควิด-19 ไปด้วยกัน"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ร่วมใจ ต้านภัยโควิด -19 ณ ชุมชนอนันตสามัคคี [กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม] วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563 ทส.ร่วมใจ ต้านภัยโควิด -19 ณ ชุมชนอนันตสามัคคี [กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม] ทส.ร่วมใจ ต้านภัยโควิด -19 ณ ชุมชนอนันตสามัคคี ทส.ร่วมใจ ต้านภัยโควิด -19 ณ ชุมชนอนันตสามัคคี วันนี้ (13 พ.ค. 63) เวลา 9.00 น. นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําทีมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงฯ มอบถุงยังชีพ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19 จํานวน 187 ครัวเรือน ณ ชุมชนอนันตสามัคคี สุวินทวงศ์ 32 เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะดําเนินการมอบอาหารและถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด – 19 โดยจะหมุนเวียนไปตามชุมชนต่างๆ ตามหลักที่ว่า "พวกเรากระทรวงทรัพยากร ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับชาวบ้าน เราจะผ่านโควิด-19 ไปด้วยกัน"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30784
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อาเซียนเดินหน้าสร้างความยั่งยืนทุกมิติ
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 อาเซียนเดินหน้าสร้างความยั่งยืนทุกมิติ วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม 2562 ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ําว่าอาเซียนได้สร้างสรรค์ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ โดยอาเซียนไม่สามารถบรรลุผลได้เพียงลําพัง แต่จะต้องร่วมกันเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและประเทศนอกภูมิภาค รวมทั้งเปิดรับความร่วมมือกับภาคีต่าง ๆ ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียนได้นําเสนอผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ในการประชุมผู้นํา G20 ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือ 4 ประเด็น คือ 1. การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางการเงิน 2. การลดช่องว่างการพัฒนาระหว่างเมืองและชนบท 3. การอนุรักษ์และฟื้นฟู สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางธรรมชาติ และ 4. การพัฒนาทุนมนุษย์ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อาเซียนเดินหน้าสร้างความยั่งยืนทุกมิติ วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 อาเซียนเดินหน้าสร้างความยั่งยืนทุกมิติ วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม 2562 ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ําว่าอาเซียนได้สร้างสรรค์ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ โดยอาเซียนไม่สามารถบรรลุผลได้เพียงลําพัง แต่จะต้องร่วมกันเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและประเทศนอกภูมิภาค รวมทั้งเปิดรับความร่วมมือกับภาคีต่าง ๆ ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียนได้นําเสนอผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ในการประชุมผู้นํา G20 ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือ 4 ประเด็น คือ 1. การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางการเงิน 2. การลดช่องว่างการพัฒนาระหว่างเมืองและชนบท 3. การอนุรักษ์และฟื้นฟู สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางธรรมชาติ และ 4. การพัฒนาทุนมนุษย์ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22168
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เยี่ยมผู้ป่วยเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ที่สถาบันบำราศฯ เตรียมกลับประเทศ
วันอังคารที่ 14 มกราคม 2563 อนุทิน เยี่ยมผู้ป่วยเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ที่สถาบันบําราศฯ เตรียมกลับประเทศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจผู้ป่วยที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น มีไข้ และส่งตัวเข้ารับการรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สถาบันบําราศนราดูร หากผลการตรวจเชื้อทางห้องปฏิบัติการเป็นผลลบสามารถกลับประเทศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจผู้ป่วยที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นมีไข้ และส่งตัวเข้ารับการรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สถาบันบําราศนราดูร หากผลการตรวจเชื้อทางห้องปฏิบัติการเป็นผลลบสามารถกลับประเทศได้ วันนี้ (14 มกราคม 2563) ที่สถาบันบําราศนราดูร กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เยี่ยมให้กําลังใจผู้ป่วยที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นและพบมีไข้ ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ห้องแยกโรคความดันลบ สถาบันบําราศนราดูร พร้อมมอบกระเช้าให้กับญาติผู้ป่วย นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ ผู้ป่วยอาการดีขึ้นเป็นปกติ ไม่มีไข้ นอนหลับได้ รอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการตามขั้นตอนทางการแพทย์ เนื่องจากต้องรอผลการยืนยันจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และจากคณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการทํางานร่วมกัน เมื่อผลเป็นลบและเชื้อไวรัสหมดจากทางเดินหายใจแล้ว ก็ถือว่าผู้ป่วยหาย สามารถเดินทางกลับประเทศได้ อีก 3 รายที่เหลือเป็นเชื้อไข้หวัดธรรมดา ไม่มีเชื้อที่เราเฝ้าระวังอยู่ เนื่องจากมาจากเมืองอู่ฮั่นและมีไข้ จึงจําเป็นต้องแยกมาดูอาการ เมื่อหายแล้วมีความประสงค์จะอยู่เที่ยวต่อก็สามารถเที่ยวต่อได้ “อยากเรียนประชาชนว่าอย่าตื่นตระหนกเกินเหตุ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่มีคนเยอะแยะ เห็นคนไอจาม มีน้ํามูก หลีกเลี่ยงได้ก็ดี ดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง โรคนี้ยังไม่มียารักษา ไม่มีวัคซีนป้องกัน เป็นการรักษาตามอาการให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานก็จะหายถ้ามาหาหมอทันเวลา ซึ่งไทยมีระบบการเฝ้าระวังโรค พบเร็วรักษาเร็ว ขอให้มั่นใจว่าเราประสานการทํางานร่วมกันภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ ทุกอย่างปฏิบัติตามขั้นตอนที่องค์การอนามัยโลกกําหนด ขอให้สบายใจได้” ************************************ 14 มกราคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เยี่ยมผู้ป่วยเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ที่สถาบันบำราศฯ เตรียมกลับประเทศ วันอังคารที่ 14 มกราคม 2563 อนุทิน เยี่ยมผู้ป่วยเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ที่สถาบันบําราศฯ เตรียมกลับประเทศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจผู้ป่วยที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น มีไข้ และส่งตัวเข้ารับการรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สถาบันบําราศนราดูร หากผลการตรวจเชื้อทางห้องปฏิบัติการเป็นผลลบสามารถกลับประเทศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจผู้ป่วยที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นมีไข้ และส่งตัวเข้ารับการรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สถาบันบําราศนราดูร หากผลการตรวจเชื้อทางห้องปฏิบัติการเป็นผลลบสามารถกลับประเทศได้ วันนี้ (14 มกราคม 2563) ที่สถาบันบําราศนราดูร กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เยี่ยมให้กําลังใจผู้ป่วยที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นและพบมีไข้ ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ห้องแยกโรคความดันลบ สถาบันบําราศนราดูร พร้อมมอบกระเช้าให้กับญาติผู้ป่วย นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ ผู้ป่วยอาการดีขึ้นเป็นปกติ ไม่มีไข้ นอนหลับได้ รอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการตามขั้นตอนทางการแพทย์ เนื่องจากต้องรอผลการยืนยันจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และจากคณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการทํางานร่วมกัน เมื่อผลเป็นลบและเชื้อไวรัสหมดจากทางเดินหายใจแล้ว ก็ถือว่าผู้ป่วยหาย สามารถเดินทางกลับประเทศได้ อีก 3 รายที่เหลือเป็นเชื้อไข้หวัดธรรมดา ไม่มีเชื้อที่เราเฝ้าระวังอยู่ เนื่องจากมาจากเมืองอู่ฮั่นและมีไข้ จึงจําเป็นต้องแยกมาดูอาการ เมื่อหายแล้วมีความประสงค์จะอยู่เที่ยวต่อก็สามารถเที่ยวต่อได้ “อยากเรียนประชาชนว่าอย่าตื่นตระหนกเกินเหตุ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่มีคนเยอะแยะ เห็นคนไอจาม มีน้ํามูก หลีกเลี่ยงได้ก็ดี ดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง โรคนี้ยังไม่มียารักษา ไม่มีวัคซีนป้องกัน เป็นการรักษาตามอาการให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานก็จะหายถ้ามาหาหมอทันเวลา ซึ่งไทยมีระบบการเฝ้าระวังโรค พบเร็วรักษาเร็ว ขอให้มั่นใจว่าเราประสานการทํางานร่วมกันภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ ทุกอย่างปฏิบัติตามขั้นตอนที่องค์การอนามัยโลกกําหนด ขอให้สบายใจได้” ************************************ 14 มกราคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25785
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยร่วมมือ FAO และญี่ปุ่น หาแนวทางการลด Food Waste and Loss
วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561 ไทยร่วมมือ FAO และญี่ปุ่น หาแนวทางการลด Food Waste and Loss ไทยร่วมมือ FAO และญี่ปุ่น หาแนวทางการลด Food Waste and Loss มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืน นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดตัวโครงการ Capacity Building to Reduce Avoidable Food Waste in Micro, Small and Medium Food Processing Enterprises and in Retail ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกต ว่า โครงการดังกล่าว เป็นโครงการที่อยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างไทยและ FAO โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณการดําเนินงานจากกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง ของประเทศญี่ปุ่น มีระยะเวลาการดําเนินโครงการ 4 ปี (2560 – 2564) โดยดําเนินการในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อหาแนวทางการลด Food Waste and Loss ในเกษตรกรรายย่อย วิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในประเทศไทย ในทุกกระบวนการตั้งแต่การแปรรูป การกระจายสินค้า และการค้าปลีก เพื่อนําไปประกอบการจัดทําคู่มือการลด Food Waste and Loss และให้ภาคธุรกิจนําไปเป็นแนวทางการพัฒนาและเผยแพร่ไปยังภูมิภาคอื่นการดําเนินโครงการนี้FAO จะทําการสํารวจศึกษาข้อมูลและรายงานปัญหาที่ทําให้เกิด Food Waste and Food Loss ในกลุ่มเป้าหมายของประเทศไทย และจะนําข้อมูลดังกล่าวจัดทําเป็นเอกสารคู่มือการลด Food Waste and Loss ให้แก่เกษตรกรรายย่อย วิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง รวมทั้งจัดรูปแบบโปรแกรมการฝึกอบรม เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายนําไปปฏิบัติ และให้คําแนะนําในการจัดทํา Draft National Strategy for Food Waste Reduction อย่างไรก็ตาม “ความจําเป็นต้องทําให้มีอาหารเพียงพอและบริโภคอาหารอย่างสมดุล” นั้น ในอีกทางหนึ่งต้องเกิดจากระบบการผลิต การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว การขนส่งสินค้าและการบริโภคอาหารที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลด Food Loss และ Food Waste ใน Value Chain ซึ่งประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารอันดับต้นของโลก เป็นประเทศที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารและตั้งเป้าหมายการเป็นครัวของโลก จําเป็นต้องให้ความสําคัญและสร้างจิตสํานึกอันเข้มแข็งสําหรับการจัดการ Food Loss และ Food Waste ให้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วน “ปัญหาเรื่องความอดอยากหิวโหยเป็นเรื่องสําคัญที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ดังที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดํารัสในฐานะทูตพิเศษด้านขจัดความหิวโหยสําหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ต่อที่ประชุมสมัชชาเอฟ เอ โอ ประจําภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เมื่อเดือนเมษายน 2561 ที่ผ่านมาโดยพระองค์ทรงเน้นย้ําว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องร่วมกันทํางานเพื่อหาแก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน มีความจําเป็นต้องทําให้มีอาหารเพียงพอและบริโภคอาหารอย่างสมดุล และจะทรงสนับสนุนงานที่จะช่วยทําให้บรรลุเป้าหมายการนําไปสู่การขจัดความหิวโหย โดยขอให้ร่วมกันทํางานเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีผู้อดอยากหิวโหยและมีสุขภาพที่ดีต่อไป” นายระพีภัทร์ กล่าว นอกจากนี้ ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่นในขณะนี้ จึงมุ่งหวังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในไม่ช้า เนื่องจากมั่นใจว่าพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับความช่วยเหลือ เเละฟื้นตัวกลับคืนสู่สภาพปกติ โดยประเทศไทยพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในช่วงเวลาที่ยากลําบากเช่นนี้ กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยร่วมมือ FAO และญี่ปุ่น หาแนวทางการลด Food Waste and Loss วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561 ไทยร่วมมือ FAO และญี่ปุ่น หาแนวทางการลด Food Waste and Loss ไทยร่วมมือ FAO และญี่ปุ่น หาแนวทางการลด Food Waste and Loss มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืน นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดตัวโครงการ Capacity Building to Reduce Avoidable Food Waste in Micro, Small and Medium Food Processing Enterprises and in Retail ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกต ว่า โครงการดังกล่าว เป็นโครงการที่อยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างไทยและ FAO โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณการดําเนินงานจากกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง ของประเทศญี่ปุ่น มีระยะเวลาการดําเนินโครงการ 4 ปี (2560 – 2564) โดยดําเนินการในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อหาแนวทางการลด Food Waste and Loss ในเกษตรกรรายย่อย วิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในประเทศไทย ในทุกกระบวนการตั้งแต่การแปรรูป การกระจายสินค้า และการค้าปลีก เพื่อนําไปประกอบการจัดทําคู่มือการลด Food Waste and Loss และให้ภาคธุรกิจนําไปเป็นแนวทางการพัฒนาและเผยแพร่ไปยังภูมิภาคอื่นการดําเนินโครงการนี้FAO จะทําการสํารวจศึกษาข้อมูลและรายงานปัญหาที่ทําให้เกิด Food Waste and Food Loss ในกลุ่มเป้าหมายของประเทศไทย และจะนําข้อมูลดังกล่าวจัดทําเป็นเอกสารคู่มือการลด Food Waste and Loss ให้แก่เกษตรกรรายย่อย วิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง รวมทั้งจัดรูปแบบโปรแกรมการฝึกอบรม เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายนําไปปฏิบัติ และให้คําแนะนําในการจัดทํา Draft National Strategy for Food Waste Reduction อย่างไรก็ตาม “ความจําเป็นต้องทําให้มีอาหารเพียงพอและบริโภคอาหารอย่างสมดุล” นั้น ในอีกทางหนึ่งต้องเกิดจากระบบการผลิต การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว การขนส่งสินค้าและการบริโภคอาหารที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลด Food Loss และ Food Waste ใน Value Chain ซึ่งประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารอันดับต้นของโลก เป็นประเทศที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารและตั้งเป้าหมายการเป็นครัวของโลก จําเป็นต้องให้ความสําคัญและสร้างจิตสํานึกอันเข้มแข็งสําหรับการจัดการ Food Loss และ Food Waste ให้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วน “ปัญหาเรื่องความอดอยากหิวโหยเป็นเรื่องสําคัญที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ดังที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดํารัสในฐานะทูตพิเศษด้านขจัดความหิวโหยสําหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ต่อที่ประชุมสมัชชาเอฟ เอ โอ ประจําภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เมื่อเดือนเมษายน 2561 ที่ผ่านมาโดยพระองค์ทรงเน้นย้ําว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องร่วมกันทํางานเพื่อหาแก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน มีความจําเป็นต้องทําให้มีอาหารเพียงพอและบริโภคอาหารอย่างสมดุล และจะทรงสนับสนุนงานที่จะช่วยทําให้บรรลุเป้าหมายการนําไปสู่การขจัดความหิวโหย โดยขอให้ร่วมกันทํางานเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีผู้อดอยากหิวโหยและมีสุขภาพที่ดีต่อไป” นายระพีภัทร์ กล่าว นอกจากนี้ ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่นในขณะนี้ จึงมุ่งหวังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในไม่ช้า เนื่องจากมั่นใจว่าพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับความช่วยเหลือ เเละฟื้นตัวกลับคืนสู่สภาพปกติ โดยประเทศไทยพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในช่วงเวลาที่ยากลําบากเช่นนี้ กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15200
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ห่วงใยนักเตะเยาวชนติดถ้ำหลวงเชียงราย พร้อมช่วยเหลือเต็มที่
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561 รมว.ศธ.ห่วงใยนักเตะเยาวชนติดถ้ําหลวงเชียงราย พร้อมช่วยเหลือเต็มที่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงกรณีนักเตะเยาวชนและโค้ชทีมฟุตบอล “หมูป่าอะคาเดมีแม่สาย” จํานวน 13 คน พลัดหลงอยู่ในถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ต.บ้านโป่ง อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2561 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงกรณีนักเตะเยาวชนและโค้ชทีมฟุตบอล “หมูป่าอะคาเดมีแม่สาย” จํานวน 13 คน พลัดหลงอยู่ในถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ต.บ้านโป่ง อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2561 ซึ่งหลายหน่วยงานได้ส่งทีมเข้าไปช่วยเหลือค้นหา แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่พบ รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า วันนี้ได้ติดตามข่าวความคืบหน้าเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ช่วงเช้า และทราบว่าขณะนี้ยังหาเด็กทั้งหมดไม่เจอ ก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงและกลุ้มใจแทนพ่อแม่ผู้ปกครอง ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการไม่ว่าจะเป็นสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้เฝ้าติดตามและร่วมมือในการค้นหาและช่วยเหลือในระดับพื้นที่อย่างเต็มที่ โดยได้มีการเตรียมที่จะให้การช่วยเหลือดูแลเด็กเมื่อหาตัวเจอแล้ว พร้อมมีการระดมทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลด้วย "สิ่งสําคัญในเวลานี้ ขอภาวนาให้เด็กออกมาอย่างปลอดภัย เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ดี ส่วนการที่จะแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น คงเป็นเรื่องรองหลังจากที่สามารถค้นหาให้เจอและทุกคนปลอดภัยแล้วจะดีกว่า เชื่อว่าทุกคนก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และคงมีเหตุผลที่ทําไปเช่นนั้น ซึ่งถือเป็นบทเรียนที่จะต้องมาหารือร่วมกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกต่อไป"นพ.ธีระเกียรติ กล่าว Written byนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ห่วงใยนักเตะเยาวชนติดถ้ำหลวงเชียงราย พร้อมช่วยเหลือเต็มที่ วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561 รมว.ศธ.ห่วงใยนักเตะเยาวชนติดถ้ําหลวงเชียงราย พร้อมช่วยเหลือเต็มที่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงกรณีนักเตะเยาวชนและโค้ชทีมฟุตบอล “หมูป่าอะคาเดมีแม่สาย” จํานวน 13 คน พลัดหลงอยู่ในถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ต.บ้านโป่ง อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2561 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงกรณีนักเตะเยาวชนและโค้ชทีมฟุตบอล “หมูป่าอะคาเดมีแม่สาย” จํานวน 13 คน พลัดหลงอยู่ในถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ต.บ้านโป่ง อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2561 ซึ่งหลายหน่วยงานได้ส่งทีมเข้าไปช่วยเหลือค้นหา แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่พบ รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า วันนี้ได้ติดตามข่าวความคืบหน้าเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ช่วงเช้า และทราบว่าขณะนี้ยังหาเด็กทั้งหมดไม่เจอ ก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงและกลุ้มใจแทนพ่อแม่ผู้ปกครอง ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการไม่ว่าจะเป็นสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้เฝ้าติดตามและร่วมมือในการค้นหาและช่วยเหลือในระดับพื้นที่อย่างเต็มที่ โดยได้มีการเตรียมที่จะให้การช่วยเหลือดูแลเด็กเมื่อหาตัวเจอแล้ว พร้อมมีการระดมทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลด้วย "สิ่งสําคัญในเวลานี้ ขอภาวนาให้เด็กออกมาอย่างปลอดภัย เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ดี ส่วนการที่จะแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น คงเป็นเรื่องรองหลังจากที่สามารถค้นหาให้เจอและทุกคนปลอดภัยแล้วจะดีกว่า เชื่อว่าทุกคนก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และคงมีเหตุผลที่ทําไปเช่นนั้น ซึ่งถือเป็นบทเรียนที่จะต้องมาหารือร่วมกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกต่อไป"นพ.ธีระเกียรติ กล่าว Written byนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13341
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอนำทัพชิ้นส่วนไทยขยายตลาดอีสาน
วันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2561 บีโอไอนําทัพชิ้นส่วนไทยขยายตลาดอีสาน บีโอไอ เตรียมนําผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยบุกขยายตลาดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เน้นจับคู่ธุรกิจ และเจรจาซื้อขายชิ้นส่วนกับบริษัทชั้นนํา พร้อมเยี่ยมชม “สถาบันวิจัยและพัฒนา” ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ปูทางสร้างความร่วมมือด้านนวัตกรรม นายพัลลภ บุญศิริ ผู้อํานวยการกองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุน สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าระหว่างวันที่ 19-21 ธันวาคม 2561 บีโอไอโดยกองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุน และศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 2 (บีโอไอนครราชสีมา) จะจัดกิจกรรม นําผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เดินทางไปร่วมกิจกรรมเชื่อมโยง อุตสาหกรรม ภายใต้ชื่อ “กิจกรรมเชื่อมโยงอุตสาหกรรม ณ จังหวัดนครราชสีมา” เอสเอ็มอีผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยจะได้เยี่ยมชมสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มหาวิทยาลัยแห่งการสร้างสรรค์นวัตกรรม) ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาที่เป็นสื่อกลางในการประสานประโยชน์ และความต้องการเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาระหว่างหน่วยงาน และบุคลากรของมหาวิทยาลัย กับองค์กรและหน่วยงานภายนอก เพื่อให้เกิดการนําข้อมูลการวิจัยที่ตรงกับความต้องการของภาคเอกชน รวมถึงนําไปใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นและประเทศ “บทบาทสําคัญของสถาบัน ยังมีการประสานงานวางแผนรวมถึงจัดหาและระดมเงินทุนวิจัยและอุปกรณ์เครื่องมือเพื่อการวิจัย รวมถึงร่วมมือกับองค์กรหรือสถาบันต่างๆ เพื่อให้เกิดการผลิตผลงานวิจัยและพัฒนา ที่ตรงกับความต้องการของภาคเอกชน ซึ่งบางส่วนยังสามารถนําไปสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์ต่อไป” นายพัลลภ กล่าว สําหรับผลงานความร่วมมือของศูนย์วิจัยกับภาคเอกชน ได้แก่อากาศยานอัตโนมัติหลายใบพัดเพื่อใช้สําหรับการตรวจการณ์ ไอยรา คลัสเตอร์ ซึ่งเป็นซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ARMประหยัดพลังงานสําหรับBig Data ตัวแรกของไทยต้นแบบการผลิตน้ํามันจากเชื้อเพลิงขยะพลาสติกโดยระบบการไพโรโลซิส และระบบอิเล็กไตรสปินนิง ประสิทธิภาพสูงสําหรับประดิษฐ์วัสดุเส้นใยนาโนและโครงสร้างนาโน เป็นต้น นายพัลลภกล่าวเพิ่มเติมว่า เอสเอ็มอีที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ จะได้พบปะและเจรจาธุรกิจกับบริษัทรายใหญ่ที่มีศักยภาพ และต้องการหาชิ้นส่วนที่มีคุณภาพเพื่อรองรับการผลิต รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมตลาดกลางซื้อขายชิ้นส่วน ครั้งที่ 158 กิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ ซึ่งจะจัดอยู่ภายในงานNortheast Tech 2018งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยียิ่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า จังหวัดนครราชสีมา และกิจกรรมผู้ซื้อพบผู้ขาย ซึ่งจะทําให้ผู้ขายหรือกลุ่มเอสเอ็มอี ได้พบหารือโดยตรงกับฝ่ายจัดซื้อของบริษัทรายใหญ่ โดยจะเป็นโอกาสที่ดีสําหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยในการขยายตลาดชิ้นส่วนในอนาคต อาทิ บริษัทไดชิน จํากัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนอลูมิเนียมที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และบริษัท เจวีซีเคนวูด ออพพิคัล อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จํากัด ซึ่งเป็นผู้นําด้านการผลิตกล้องโทรทัศน์วงจรปิดCCTV Visual Presenterและอื่น ๆ เพื่อส่งออก และบริษัทมีโชครุ่งเรืองกิจ จํากัด ดําเนินธุรกิจด้านขนส่งสินค้า และดําเนินธุรกิจ โรงงานประกอบ ผลิตและจําหน่ายรถพ่วง รวมถึงอุปกรณ์และบริการต่างๆ สําหรับรถบรรทุก บริษัท คาร์ม่าโมบิลิตี้ร์ จํากัด ผู้ผลิตรถเข็นคนไข้ และรถเข็นคนไข้ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า รวมถึงชิ้นส่วนรถเข็นคนไข้ ซึ่งปัจจุบันมีความต้องการ ชิ้นส่วนทั้งในและต่างประเทศในแต่ละปีจํานวนมาก อาทิ พลาสติก อลูมิเนียม ท่อเหล็ก สกูล ผ้า เป็นต้น ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมติดต่อได้ที่กองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุน โทรศัพท์0 2553 8111ต่อ8388, 6184หรือ6163 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอนำทัพชิ้นส่วนไทยขยายตลาดอีสาน วันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2561 บีโอไอนําทัพชิ้นส่วนไทยขยายตลาดอีสาน บีโอไอ เตรียมนําผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยบุกขยายตลาดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เน้นจับคู่ธุรกิจ และเจรจาซื้อขายชิ้นส่วนกับบริษัทชั้นนํา พร้อมเยี่ยมชม “สถาบันวิจัยและพัฒนา” ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ปูทางสร้างความร่วมมือด้านนวัตกรรม นายพัลลภ บุญศิริ ผู้อํานวยการกองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุน สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าระหว่างวันที่ 19-21 ธันวาคม 2561 บีโอไอโดยกองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุน และศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 2 (บีโอไอนครราชสีมา) จะจัดกิจกรรม นําผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เดินทางไปร่วมกิจกรรมเชื่อมโยง อุตสาหกรรม ภายใต้ชื่อ “กิจกรรมเชื่อมโยงอุตสาหกรรม ณ จังหวัดนครราชสีมา” เอสเอ็มอีผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยจะได้เยี่ยมชมสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มหาวิทยาลัยแห่งการสร้างสรรค์นวัตกรรม) ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาที่เป็นสื่อกลางในการประสานประโยชน์ และความต้องการเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาระหว่างหน่วยงาน และบุคลากรของมหาวิทยาลัย กับองค์กรและหน่วยงานภายนอก เพื่อให้เกิดการนําข้อมูลการวิจัยที่ตรงกับความต้องการของภาคเอกชน รวมถึงนําไปใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นและประเทศ “บทบาทสําคัญของสถาบัน ยังมีการประสานงานวางแผนรวมถึงจัดหาและระดมเงินทุนวิจัยและอุปกรณ์เครื่องมือเพื่อการวิจัย รวมถึงร่วมมือกับองค์กรหรือสถาบันต่างๆ เพื่อให้เกิดการผลิตผลงานวิจัยและพัฒนา ที่ตรงกับความต้องการของภาคเอกชน ซึ่งบางส่วนยังสามารถนําไปสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์ต่อไป” นายพัลลภ กล่าว สําหรับผลงานความร่วมมือของศูนย์วิจัยกับภาคเอกชน ได้แก่อากาศยานอัตโนมัติหลายใบพัดเพื่อใช้สําหรับการตรวจการณ์ ไอยรา คลัสเตอร์ ซึ่งเป็นซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ARMประหยัดพลังงานสําหรับBig Data ตัวแรกของไทยต้นแบบการผลิตน้ํามันจากเชื้อเพลิงขยะพลาสติกโดยระบบการไพโรโลซิส และระบบอิเล็กไตรสปินนิง ประสิทธิภาพสูงสําหรับประดิษฐ์วัสดุเส้นใยนาโนและโครงสร้างนาโน เป็นต้น นายพัลลภกล่าวเพิ่มเติมว่า เอสเอ็มอีที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ จะได้พบปะและเจรจาธุรกิจกับบริษัทรายใหญ่ที่มีศักยภาพ และต้องการหาชิ้นส่วนที่มีคุณภาพเพื่อรองรับการผลิต รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมตลาดกลางซื้อขายชิ้นส่วน ครั้งที่ 158 กิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ ซึ่งจะจัดอยู่ภายในงานNortheast Tech 2018งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยียิ่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า จังหวัดนครราชสีมา และกิจกรรมผู้ซื้อพบผู้ขาย ซึ่งจะทําให้ผู้ขายหรือกลุ่มเอสเอ็มอี ได้พบหารือโดยตรงกับฝ่ายจัดซื้อของบริษัทรายใหญ่ โดยจะเป็นโอกาสที่ดีสําหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยในการขยายตลาดชิ้นส่วนในอนาคต อาทิ บริษัทไดชิน จํากัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนอลูมิเนียมที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และบริษัท เจวีซีเคนวูด ออพพิคัล อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จํากัด ซึ่งเป็นผู้นําด้านการผลิตกล้องโทรทัศน์วงจรปิดCCTV Visual Presenterและอื่น ๆ เพื่อส่งออก และบริษัทมีโชครุ่งเรืองกิจ จํากัด ดําเนินธุรกิจด้านขนส่งสินค้า และดําเนินธุรกิจ โรงงานประกอบ ผลิตและจําหน่ายรถพ่วง รวมถึงอุปกรณ์และบริการต่างๆ สําหรับรถบรรทุก บริษัท คาร์ม่าโมบิลิตี้ร์ จํากัด ผู้ผลิตรถเข็นคนไข้ และรถเข็นคนไข้ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า รวมถึงชิ้นส่วนรถเข็นคนไข้ ซึ่งปัจจุบันมีความต้องการ ชิ้นส่วนทั้งในและต่างประเทศในแต่ละปีจํานวนมาก อาทิ พลาสติก อลูมิเนียม ท่อเหล็ก สกูล ผ้า เป็นต้น ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมติดต่อได้ที่กองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุน โทรศัพท์0 2553 8111ต่อ8388, 6184หรือ6163 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17425
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ญี่ปุ่นชื่นชมบทบาทผู้นำไทยในการประชุมอาเซียนจนเกิดผลสำเร็จในการพัฒนาภูมิภาค
วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562 ญี่ปุ่นชื่นชมบทบาทผู้นําไทยในการประชุมอาเซียนจนเกิดผลสําเร็จในการพัฒนาภูมิภาค ญี่ปุ่นชื่นชมบทบาทผู้นําไทยในการประชุมอาเซียนจนเกิดผลสําเร็จในการพัฒนาภูมิภาค วันนี้ (วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562) เวลา 08.00 น. ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พบหารือกับนายชินโซ อาเบะ (Mr. Shinzo Abe) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเยือนประเทศไทยในรอบ 6 ปี ยินดีที่อาเซียนและญี่ปุ่นบรรลุการเจรจาถ้อยแถลงร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 22 ว่าด้วยความเชื่อมโยง พร้อมหวังว่าอาเซียนจะได้ร่วมมือกับญี่ปุ่นภายใต้ ASEAN Outlook on Indo-Pacific โดยเฉพาะในประเด็นการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ การเข้าถึงบริการทางการเงิน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการปกป้องสิ่งแวดล้อม ซึ่งรวมถึงการจัดการขยะทะเล นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ญี่ปุ่นสนับสนุนการส่งเสริมความเชื่อมโยง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งชื่นชมญี่ปุ่นในฐานะประธาน G20 ในการจัดทําเอกสารผลลัพธ์สําคัญต่างๆ ของการประชุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง G20 Principles on Quality Infrastructure Investment ซึ่งเป็นการส่งเสริมการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยง เพื่อสอดประสานข้อริเริ่มด้านความเชื่อมโยงทั้งระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นชื่นชมบทบาทการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทย โดยเฉพาะบทบาทผู้นําของนายกรัฐมนตรีที่สามารถผลักดันให้บรรลุผลการประชุมที่สําคัญต่อการพัฒนาภูมิภาคประสบความสําเร็จ โดยญี่ปุ่นจะเดินหน้าร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป รวมถึงความร่วมมือการแก้ไขปัญหาประเด็นท้าทายสําคัญในภูมิภาคด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีทั้งสองต่างยินดีต่อความร่วมมือในการส่งเสริม SMEs และ Startups โดยมีการ การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างบริษัทขนาดใหญ่และ Startups ของไทยและญี่ปุ่น จํานวน ๖ ฉบับ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจของทั้งสองฝ่าย และการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการจัดตั้ง Startups ที่มีนวัตกรรมของรัฐบาลไทยภายใต้โครงการ Innospace (Thailand) รวมทั้ง ความร่วมมือไทย - ญี่ปุ่น ในการพัฒนาประเทศที่สาม ซึ่งมีการลงนามบันทึกช่วยจําว่าด้วยกรอบความร่วมมือแบบหุ้นส่วนระหว่างญี่ปุ่นกับไทย ระยะที่สาม (Memorandum on Japan-Thailand Partnership Programme Phase 3) เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เพื่อต่อยอดความร่วมมือที่มีอยู่ในด้านการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาในประเทศที่สาม โดยเฉพาะประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง และอาเซียน โดยใช้ประสบการณ์ องค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของไทยและญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายยังได้หารือประเด็นความร่วมมือในภูมิภาคสําคัญ เช่น ความร่วมมือภายใต้กรอบอาเซียนและกรอบ G20 ซึ่งไทยและญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพในปีนี้ ความร่วมมือภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS) และกรอบลุ่มน้ําโขง - ญี่ปุ่น ความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายและโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สถานการณ์ในรัฐยะไข่ และ ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและกีฬาระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ก่อนจบการหารือ นายกรัฐมนตรีได้อวยพรให้ญี่ปุ่นประสบความสําเร็จในการเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาโอลิมปิกใน ปี 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ญี่ปุ่นชื่นชมบทบาทผู้นำไทยในการประชุมอาเซียนจนเกิดผลสำเร็จในการพัฒนาภูมิภาค วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562 ญี่ปุ่นชื่นชมบทบาทผู้นําไทยในการประชุมอาเซียนจนเกิดผลสําเร็จในการพัฒนาภูมิภาค ญี่ปุ่นชื่นชมบทบาทผู้นําไทยในการประชุมอาเซียนจนเกิดผลสําเร็จในการพัฒนาภูมิภาค วันนี้ (วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562) เวลา 08.00 น. ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พบหารือกับนายชินโซ อาเบะ (Mr. Shinzo Abe) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเยือนประเทศไทยในรอบ 6 ปี ยินดีที่อาเซียนและญี่ปุ่นบรรลุการเจรจาถ้อยแถลงร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 22 ว่าด้วยความเชื่อมโยง พร้อมหวังว่าอาเซียนจะได้ร่วมมือกับญี่ปุ่นภายใต้ ASEAN Outlook on Indo-Pacific โดยเฉพาะในประเด็นการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ การเข้าถึงบริการทางการเงิน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการปกป้องสิ่งแวดล้อม ซึ่งรวมถึงการจัดการขยะทะเล นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ญี่ปุ่นสนับสนุนการส่งเสริมความเชื่อมโยง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งชื่นชมญี่ปุ่นในฐานะประธาน G20 ในการจัดทําเอกสารผลลัพธ์สําคัญต่างๆ ของการประชุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง G20 Principles on Quality Infrastructure Investment ซึ่งเป็นการส่งเสริมการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยง เพื่อสอดประสานข้อริเริ่มด้านความเชื่อมโยงทั้งระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นชื่นชมบทบาทการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทย โดยเฉพาะบทบาทผู้นําของนายกรัฐมนตรีที่สามารถผลักดันให้บรรลุผลการประชุมที่สําคัญต่อการพัฒนาภูมิภาคประสบความสําเร็จ โดยญี่ปุ่นจะเดินหน้าร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป รวมถึงความร่วมมือการแก้ไขปัญหาประเด็นท้าทายสําคัญในภูมิภาคด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีทั้งสองต่างยินดีต่อความร่วมมือในการส่งเสริม SMEs และ Startups โดยมีการ การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างบริษัทขนาดใหญ่และ Startups ของไทยและญี่ปุ่น จํานวน ๖ ฉบับ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจของทั้งสองฝ่าย และการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการจัดตั้ง Startups ที่มีนวัตกรรมของรัฐบาลไทยภายใต้โครงการ Innospace (Thailand) รวมทั้ง ความร่วมมือไทย - ญี่ปุ่น ในการพัฒนาประเทศที่สาม ซึ่งมีการลงนามบันทึกช่วยจําว่าด้วยกรอบความร่วมมือแบบหุ้นส่วนระหว่างญี่ปุ่นกับไทย ระยะที่สาม (Memorandum on Japan-Thailand Partnership Programme Phase 3) เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เพื่อต่อยอดความร่วมมือที่มีอยู่ในด้านการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาในประเทศที่สาม โดยเฉพาะประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง และอาเซียน โดยใช้ประสบการณ์ องค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของไทยและญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายยังได้หารือประเด็นความร่วมมือในภูมิภาคสําคัญ เช่น ความร่วมมือภายใต้กรอบอาเซียนและกรอบ G20 ซึ่งไทยและญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพในปีนี้ ความร่วมมือภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS) และกรอบลุ่มน้ําโขง - ญี่ปุ่น ความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายและโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สถานการณ์ในรัฐยะไข่ และ ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและกีฬาระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ก่อนจบการหารือ นายกรัฐมนตรีได้อวยพรให้ญี่ปุ่นประสบความสําเร็จในการเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาโอลิมปิกใน ปี 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24291
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยบริษัท Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR)
วันพุธที่ 12 เมษายน 2560 ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยบริษัท Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR) สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะขอรายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR) สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะขอรายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR) ว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2560 JCR ได้ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้รัฐบาลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของไทยที่ระดับ A- สกุลเงินบาทที่ระดับ A และคงเพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไว้ที่ระดับ A+ โดยมีมุมมองความน่าเชื่อถือที่มีเสถียรภาพ (Stable outlook) รายละเอียดปรากฏดังตาราง ตารางแสดงผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดย JCR ณ วันที่ 3 เมษายน 2560 อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดย JCR Rating Outlook อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้รัฐบาลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ Foreign Currency Long-Term Issuer Rating A- Stable อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้รัฐบาลระยะยาวสกุลเงินบาท Local Currency Long-Term Issuer Rating A Stable เพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย Country Ceiling A+ - ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้รัฐบาลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศที่ระดับ A- สะท้อนพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการส่งออก ความมีเสถียรภาพของภาคธนาคาร สถานะทางการคลังที่เข้มแข็ง ตลอดจนดุลยภาพภายนอกที่แข็งแกร่ง ในขณะเดียวกัน การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2559 เกิดจากการเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนของการลงทุนภาครัฐ และการบริโภคของภาคเอกชน รวมทั้งจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ JCR ยังคาดว่าการเดินหน้าปฏิรูปเชิงโครงสร้างของรัฐบาลปัจจุบัน ประกอบกับการส่งออกที่จะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2560 ทั้งนี้ การลดลงของประชากรในวัยทํางานและการเพิ่มสูงขึ้นของค่าจ้างแรงงานในอนาคตอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ดังนั้น นโยบายรัฐบาลซึ่งรวมถึงมาตรการปฏิรูปเพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมจึงเป็นสิ่งที่จําเป็น JCR ได้รายงานว่า สถานะทางการคลังของไทยยังคงมีความเข้มแข็งเนื่องจากการดําเนินงานของรัฐบาลอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังที่กําหนดไว้ในกฎหมายอย่างเข้มงวด ถึงแม้รัฐบาลจะดําเนินนโยบายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมในปี 2560 และเป็นสาเหตุหนึ่งของการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะในช่วง ที่ผ่านมา แต่ก็เพื่อนําไปใช้ในการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศเป็นสําคัญ ในขณะเดียวกันภาคธนาคารพาณิชย์ยังคงแข็งแกร่ง โดยในปี 2559 ธนาคารพาณิชย์สามารถบริหารสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อหนี้ทั้งหมด (NPL Ratio) และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ นอกจากนี้ การเกินดุลการค้าที่ขยายตัวขึ้นอย่างมากในปี 2559 เนื่องจากการลดลงของการนําเข้า ประกอบกับการเกินดุลบัญชีบริการที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของรายได้จากภาคการท่องเที่ยว ได้ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากขึ้น และส่งผลให้ดุลการชําระเงินเกินดุลในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ JCR คาดการณ์ว่าการเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดอาจลดลงในระยะปานกลางเนื่องจากการนําเข้าที่จะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งระดับเงินทุนสํารองระหว่างประเทศอาจได้รับผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ JCR ยังได้รายงานเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งในประเทศไทยจะจัดขึ้นภายหลังจากการยกร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งแล้วเสร็จ โดย JCR จะติดตามความคืบหน้าในกระบวนการเลือกตั้งและสถานการณ์ความคืบหน้าของการดําเนินมาตรการเพื่อการปฏิรูปประเทศของรัฐบาลต่อไป สํานักนโยบายและแผน สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505 5518 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยบริษัท Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR) วันพุธที่ 12 เมษายน 2560 ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยบริษัท Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR) สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะขอรายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR) สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะขอรายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR) ว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2560 JCR ได้ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้รัฐบาลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของไทยที่ระดับ A- สกุลเงินบาทที่ระดับ A และคงเพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไว้ที่ระดับ A+ โดยมีมุมมองความน่าเชื่อถือที่มีเสถียรภาพ (Stable outlook) รายละเอียดปรากฏดังตาราง ตารางแสดงผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดย JCR ณ วันที่ 3 เมษายน 2560 อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดย JCR Rating Outlook อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้รัฐบาลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ Foreign Currency Long-Term Issuer Rating A- Stable อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้รัฐบาลระยะยาวสกุลเงินบาท Local Currency Long-Term Issuer Rating A Stable เพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย Country Ceiling A+ - ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้รัฐบาลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศที่ระดับ A- สะท้อนพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการส่งออก ความมีเสถียรภาพของภาคธนาคาร สถานะทางการคลังที่เข้มแข็ง ตลอดจนดุลยภาพภายนอกที่แข็งแกร่ง ในขณะเดียวกัน การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2559 เกิดจากการเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนของการลงทุนภาครัฐ และการบริโภคของภาคเอกชน รวมทั้งจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ JCR ยังคาดว่าการเดินหน้าปฏิรูปเชิงโครงสร้างของรัฐบาลปัจจุบัน ประกอบกับการส่งออกที่จะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2560 ทั้งนี้ การลดลงของประชากรในวัยทํางานและการเพิ่มสูงขึ้นของค่าจ้างแรงงานในอนาคตอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ดังนั้น นโยบายรัฐบาลซึ่งรวมถึงมาตรการปฏิรูปเพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมจึงเป็นสิ่งที่จําเป็น JCR ได้รายงานว่า สถานะทางการคลังของไทยยังคงมีความเข้มแข็งเนื่องจากการดําเนินงานของรัฐบาลอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังที่กําหนดไว้ในกฎหมายอย่างเข้มงวด ถึงแม้รัฐบาลจะดําเนินนโยบายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมในปี 2560 และเป็นสาเหตุหนึ่งของการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะในช่วง ที่ผ่านมา แต่ก็เพื่อนําไปใช้ในการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศเป็นสําคัญ ในขณะเดียวกันภาคธนาคารพาณิชย์ยังคงแข็งแกร่ง โดยในปี 2559 ธนาคารพาณิชย์สามารถบริหารสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อหนี้ทั้งหมด (NPL Ratio) และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ นอกจากนี้ การเกินดุลการค้าที่ขยายตัวขึ้นอย่างมากในปี 2559 เนื่องจากการลดลงของการนําเข้า ประกอบกับการเกินดุลบัญชีบริการที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของรายได้จากภาคการท่องเที่ยว ได้ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากขึ้น และส่งผลให้ดุลการชําระเงินเกินดุลในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ JCR คาดการณ์ว่าการเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดอาจลดลงในระยะปานกลางเนื่องจากการนําเข้าที่จะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งระดับเงินทุนสํารองระหว่างประเทศอาจได้รับผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ JCR ยังได้รายงานเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งในประเทศไทยจะจัดขึ้นภายหลังจากการยกร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งแล้วเสร็จ โดย JCR จะติดตามความคืบหน้าในกระบวนการเลือกตั้งและสถานการณ์ความคืบหน้าของการดําเนินมาตรการเพื่อการปฏิรูปประเทศของรัฐบาลต่อไป สํานักนโยบายและแผน สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505 5518 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3045
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” ดันโครงการ “โรงสี 4.0” สู่การค้าข้าวยุคใหม่
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 “พาณิชย์” ดันโครงการ “โรงสี 4.0” สู่การค้าข้าวยุคใหม่ นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้พยายามที่จะผลักดันให้ผู้ประกอบการค้าข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของโรงสี ให้สามารถพัฒนาตนเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และขยายไปทํากิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับข้าว ในช่วงที่ไม่มีข้าวมาให้สี เช่น ขายข้าวเอง หรือส่งออก แต่ที่ผ่านมาก็ยังติดขัดปัญหาหลายประการ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่โรงสีไม่มีพื้นความรู้ในการสร้างตราสินค้า (Branding) บรรจุภัณฑ์ (Packaging) และการค้าข้าวผ่านระบบ Online เนื่องจากตราสินค้าที่ดีต้องบ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสินค้านั้นๆ เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าของตนเอง จึงทําให้ผู้ประกอบการโรงสีเห็นว่า การขายข้าวด้วยตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายข้าวไปยังตลาดต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางติดต่อ และยังมีขั้นตอนการจัดทําเอกสารที่มีรายละเอียดมาก จึงทําให้ผู้ประกอบการโรงสีหลายรายสมัครใจที่จะขายข้าวผ่านนายหน้าค้าข้าว หรือผู้ส่งออกในประเทศเพื่อนําไปส่งออกต่ออีกทอดหนึ่ง ทําให้ผู้ประกอบการโรงสีเสียโอกาสในการทําตลาดต่างประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยค่อนข้างขาดแคลนผู้ส่งออกรายใหม่ๆ ในตลาดต่างประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการโรงสีได้มีโอกาสพัฒนาองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ที่จําเป็นต่อการ เป็นผู้ประกอบการค้าข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการค้าข้าวที่ต้องการขยายตลาดการค้าข้าวทั้งในประเทศและต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์จึงได้มอบหมายให้กรมการค้าภายใน จัดทําโครงการอบรมหลักสูตร “โรงสี 4.0” มองนอกกรอบสู่การค้าข้าวยุคใหม่ขึ้น ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2560 รวม 4 รุ่น ใน 4 ภูมิภาคด้วยกัน ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จังหวัดขอนแก่น) ภาคเหนือ (จังหวัดพิษณุโลก) ภาคกลาง (จังหวัดสุพรรณบุรี) และภาคใต้ (จังหวัดนครศรีธรรมราช) ซึ่งเนื้อหาการอบรม จะประกอบด้วยหัวข้อที่สําคัญ อาทิ การสร้างตราสินค้า บรรจุภัณฑ์ และการการค้าข้าวผ่านระบบ Online เป็นต้น ในขณะเดียวกันหากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการสามารถหาตลาดส่งออกได้แล้ว หลักสูตรนี้ก็จะช่วยแนะนําให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงขั้นตอนและวิธีการส่งออก เช่น การขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกและนําเข้า เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับขั้นตอนและพิธีการศุลกากรขาออก รายละเอียดเอกสารการจองเรือ และเมื่อจองเรือเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องดําเนินการอย่างไรต่อ ตลอดจนการจัดเตรียมเอกสาร ในการติดต่อกับธนาคารเพื่อขอขึ้นเงิน กรณีที่มีการซื้อขายด้วยเงื่อนไข L/C เป็นต้น ซึ่งจะมีการอบรมทั้งทางทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การจัดโครงการ “โรงสี 4.0” ในครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวรายใหม่ที่ต้องการขยายตลาดการค้าข้าวทั้งในประเทศและต่างประเทศมีองค์ความรู้ ที่จําเป็นต่อการดําเนินธุรกิจ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินงาน รวมถึงยังเป็นการสร้างแนวความคิดใหม่ที่ว่า “การค้าข้าวไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด” และเมื่อมีผู้ประกอบการที่เข้ารับการอบรมได้มีการนําองค์ความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้แล้ว ก็จะส่งผลให้ปริมาณการค้าข้าวทั้งภายในและภายนอกประเทศมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ก็จะเป็นการสร้างเม็ดเงินให้กับภาคการเกษตรของประเทศไทยให้เพิ่มสูงขึ้น และส่งผลโดยตรงต่อชีวิตคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวนาของไทยในท้ายที่สุด เบื้องต้น โครงการประสบความสําเร็จมาก เพราะมีผู้สมัครเกินกว่าที่จะรับได้ กระทรวงพาณิชย์จึงจะจัดการอบรมเพิ่มเติมในเวลาต่อไป โดยหากโรงสีใดสนใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าวสามารถติดต่อสอบถามได้ที่กองส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร 2 กรมการค้าภายใน ที่เบอร์ 02 507 6183 หรือ 02 507 5897 ในวันและเวลาราชการ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” ดันโครงการ “โรงสี 4.0” สู่การค้าข้าวยุคใหม่ วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 “พาณิชย์” ดันโครงการ “โรงสี 4.0” สู่การค้าข้าวยุคใหม่ นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้พยายามที่จะผลักดันให้ผู้ประกอบการค้าข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของโรงสี ให้สามารถพัฒนาตนเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และขยายไปทํากิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับข้าว ในช่วงที่ไม่มีข้าวมาให้สี เช่น ขายข้าวเอง หรือส่งออก แต่ที่ผ่านมาก็ยังติดขัดปัญหาหลายประการ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่โรงสีไม่มีพื้นความรู้ในการสร้างตราสินค้า (Branding) บรรจุภัณฑ์ (Packaging) และการค้าข้าวผ่านระบบ Online เนื่องจากตราสินค้าที่ดีต้องบ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสินค้านั้นๆ เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าของตนเอง จึงทําให้ผู้ประกอบการโรงสีเห็นว่า การขายข้าวด้วยตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายข้าวไปยังตลาดต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางติดต่อ และยังมีขั้นตอนการจัดทําเอกสารที่มีรายละเอียดมาก จึงทําให้ผู้ประกอบการโรงสีหลายรายสมัครใจที่จะขายข้าวผ่านนายหน้าค้าข้าว หรือผู้ส่งออกในประเทศเพื่อนําไปส่งออกต่ออีกทอดหนึ่ง ทําให้ผู้ประกอบการโรงสีเสียโอกาสในการทําตลาดต่างประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยค่อนข้างขาดแคลนผู้ส่งออกรายใหม่ๆ ในตลาดต่างประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการโรงสีได้มีโอกาสพัฒนาองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ที่จําเป็นต่อการ เป็นผู้ประกอบการค้าข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการค้าข้าวที่ต้องการขยายตลาดการค้าข้าวทั้งในประเทศและต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์จึงได้มอบหมายให้กรมการค้าภายใน จัดทําโครงการอบรมหลักสูตร “โรงสี 4.0” มองนอกกรอบสู่การค้าข้าวยุคใหม่ขึ้น ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2560 รวม 4 รุ่น ใน 4 ภูมิภาคด้วยกัน ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จังหวัดขอนแก่น) ภาคเหนือ (จังหวัดพิษณุโลก) ภาคกลาง (จังหวัดสุพรรณบุรี) และภาคใต้ (จังหวัดนครศรีธรรมราช) ซึ่งเนื้อหาการอบรม จะประกอบด้วยหัวข้อที่สําคัญ อาทิ การสร้างตราสินค้า บรรจุภัณฑ์ และการการค้าข้าวผ่านระบบ Online เป็นต้น ในขณะเดียวกันหากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการสามารถหาตลาดส่งออกได้แล้ว หลักสูตรนี้ก็จะช่วยแนะนําให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงขั้นตอนและวิธีการส่งออก เช่น การขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกและนําเข้า เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับขั้นตอนและพิธีการศุลกากรขาออก รายละเอียดเอกสารการจองเรือ และเมื่อจองเรือเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องดําเนินการอย่างไรต่อ ตลอดจนการจัดเตรียมเอกสาร ในการติดต่อกับธนาคารเพื่อขอขึ้นเงิน กรณีที่มีการซื้อขายด้วยเงื่อนไข L/C เป็นต้น ซึ่งจะมีการอบรมทั้งทางทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การจัดโครงการ “โรงสี 4.0” ในครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวรายใหม่ที่ต้องการขยายตลาดการค้าข้าวทั้งในประเทศและต่างประเทศมีองค์ความรู้ ที่จําเป็นต่อการดําเนินธุรกิจ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินงาน รวมถึงยังเป็นการสร้างแนวความคิดใหม่ที่ว่า “การค้าข้าวไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด” และเมื่อมีผู้ประกอบการที่เข้ารับการอบรมได้มีการนําองค์ความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้แล้ว ก็จะส่งผลให้ปริมาณการค้าข้าวทั้งภายในและภายนอกประเทศมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ก็จะเป็นการสร้างเม็ดเงินให้กับภาคการเกษตรของประเทศไทยให้เพิ่มสูงขึ้น และส่งผลโดยตรงต่อชีวิตคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวนาของไทยในท้ายที่สุด เบื้องต้น โครงการประสบความสําเร็จมาก เพราะมีผู้สมัครเกินกว่าที่จะรับได้ กระทรวงพาณิชย์จึงจะจัดการอบรมเพิ่มเติมในเวลาต่อไป โดยหากโรงสีใดสนใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าวสามารถติดต่อสอบถามได้ที่กองส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร 2 กรมการค้าภายใน ที่เบอร์ 02 507 6183 หรือ 02 507 5897 ในวันและเวลาราชการ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1935
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล มุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยน่าอยู่อย่างยั่งยืน ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 รมว.พม. ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล มุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยน่าอยู่อย่างยั่งยืน ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ รมว.พม. ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล มุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยน่าอยู่อย่างยั่งยืน ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ วันนี้ (28 มิ.ย. 61) เวลา 10.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ลงพื้นที่เยี่ยมชม การพัฒนาชุมชนโครงการบ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ (หนองหอย 2) และติดตามความก้าวหน้าการก่อสร้างโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน จังหวัดเชียงใหม่(สันกําแพง) ณ บริเวณที่ตั้งโครงการบ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ (หนองหอย 2) โครงการเคหะชุมชน และบริการชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ (สันกําแพง) อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้ขับเคลื่อนการพัฒนา ที่อยู่อาศัยควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ด้วยกระบวนการมี ส่วนร่วมของผู้อยู่อาศัยในการพัฒนาชุมชนให้เกิดความยั่งยืน ซึ่ง กคช. ได้พัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันมากว่า 45 ปี เป็นจํานวนกว่า 700,000 หน่วย โดยจังหวัดเชียงใหม่เป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมาย เนื่องจากเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีประชากรแฝงย้ายถิ่นเข้ามาประกอบอาชีพและอยู่อาศัยเป็นจํานวนมาก ทั้งนี้ กคช. จึงได้ดําเนินโครงการที่อยู่อาศัยไว้รองรับความต้องการของประชากรในพื้นที่ จํานวน 25 โครงการ รวมทั้งสิ้น 14,466 หน่วย โดยมีโครงการสําคัญ ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ (หนองหอย 2) ตั้งอยู่บริเวณถนนมหิดล ตําบลหนองหอย อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ขนาดที่ดิน 28.34 ไร่ ก่อสร้างเป็นอาคารชุด สูง 5 ชั้น จํานวน 26 อาคาร รวมทั้งสิ้น 1,140 หน่วย โดยแบ่งเป็นห้องชุด พักอาศัย 2 ขนาด ได้แก่ ขนาดพื้นที่ห้อง 33 ตารางเมตร จํานวน 1,036 หน่วย และ 24 ตารางเมตร จํานวน 104 หน่วย ซึ่งประชาชนได้ย้ายเข้าอยู่อาศัยเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2552 และจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลอาคารชุด เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2557 ปัจจุบัน พบว่า มีผู้อาศัยอยู่เต็มทั้งโครงการเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ กคช. มีการส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยในโครงการบ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ (หนองหอย 2) ได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการชุมชนของตนเองให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็งน่าอยู่อย่างยั่งยืน ด้วยการบริหารจัดการชุมชน 3 ด้านสําคัญ คือ 1) ด้านสังคม ประกอบด้วยกิจกรรมการแข่งขันกีฬาเยาวชน (ฟุตซอล เปตอง และตะกร้อ) กลุ่มแอโรบิค (พิชิตพุง มุ่งสู่สุขภาพดี) กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขชุมชน (อสม.) เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง กลุ่มตํารวจบ้านดูแลรักษาความปลอดภัยของชุมชน และกลุ่มผู้สูงอายุและคนพิการ 2) ด้านเศรษฐกิจ ประกอบด้วย กิจกรรมตลาดนัดถนนคนเดินวันเสาร์ ขยะแลกไข่ กลุ่มพัฒนาส่งเสริมอาชีพ กลุ่มพัฒนาบทบาทสตรี กลุ่มโครงการกองทุนพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน (SML)/ออมทรัพย์ และ 3) ด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย กิจกรรมคัดแยกขยะอันตราย ธนาคารจุลินทรีย์ ขยะรีไซเคิล การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ (EM) จนได้รับรางวัลรองชนะเลิศการประกวดโครงการ "ชุมชนสดใส จิตใจงดงาม” ของการเคหะแห่งชาติปี 2557 และ 2558 ทั้งนี้ โครงการ บ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ (หนองหอย 2) มีความโดดเด่นทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยมีการปรับปรุงพื้นที่ภายในโครงการ ให้มีสภาพแวดล้อมร่มรื่นน่าอยู่อาศัย มีการดูแลรักษาความสะอาดภายในชุมชน และยังให้ความสําคัญในเรื่อง ความปลอดภัย ด้วยการใช้ระบบคีย์การ์ดเข้า - ออกโครงการ อีกทั้งยังมีการดําเนินงานในด้านกระบวนการมีส่วนร่วมของ ภาคีเครือข่าย อาทิ เทศบาลนครเชียงใหม่ ตํารวจภูธรภาค 5 เทสโกโลตัส บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และเซเว่นอีเลฟเว่น เป็นต้น สําหรับโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ (สันกําแพง) เป็นอีกโครงการหนึ่งที่สําคัญของ กคช. เนื่องจากบริเวณโดยรอบโครงการอยู่ติดกับลําน้ําต่างๆ ทําให้มีทัศนียภาพและบรรยากาศดี เหมาะแก่การอยู่อาศัย ซึ่งมี การจัดสร้างเป็นแบบบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จํานวน 165 หน่วย ขนาดที่ดินประมาณ 50 ตารางวา หรือพื้นที่ใช้สอยประมาณ 168 ตารางเมตร โดยแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 4 ระยะ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการก่อสร้างระยะที่ 1 ซึ่งมีความก้าวหน้าประมาณร้อยละ 65 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปี 2561 ทั้งนี้ มีประชาชนให้ความสนใจและจองโครงการแล้ว 64 หน่วย สําหรับประชาชนผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สํานักงานเคหะชุมชนเชียงใหม่ 2 โทร. 0 5332 9799 สํานักงานขาย ณ โครงการ โทร. 091 047 1276 สํานักงานใหญ่การเคหะแห่งชาติ โทร. 0 2351 7439 และ Call Center โทร. 1615 รวมทั้ง www.nha.co.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล มุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยน่าอยู่อย่างยั่งยืน ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 รมว.พม. ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล มุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยน่าอยู่อย่างยั่งยืน ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ รมว.พม. ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล มุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยน่าอยู่อย่างยั่งยืน ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ วันนี้ (28 มิ.ย. 61) เวลา 10.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ลงพื้นที่เยี่ยมชม การพัฒนาชุมชนโครงการบ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ (หนองหอย 2) และติดตามความก้าวหน้าการก่อสร้างโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน จังหวัดเชียงใหม่(สันกําแพง) ณ บริเวณที่ตั้งโครงการบ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ (หนองหอย 2) โครงการเคหะชุมชน และบริการชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ (สันกําแพง) อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้ขับเคลื่อนการพัฒนา ที่อยู่อาศัยควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ด้วยกระบวนการมี ส่วนร่วมของผู้อยู่อาศัยในการพัฒนาชุมชนให้เกิดความยั่งยืน ซึ่ง กคช. ได้พัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันมากว่า 45 ปี เป็นจํานวนกว่า 700,000 หน่วย โดยจังหวัดเชียงใหม่เป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมาย เนื่องจากเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีประชากรแฝงย้ายถิ่นเข้ามาประกอบอาชีพและอยู่อาศัยเป็นจํานวนมาก ทั้งนี้ กคช. จึงได้ดําเนินโครงการที่อยู่อาศัยไว้รองรับความต้องการของประชากรในพื้นที่ จํานวน 25 โครงการ รวมทั้งสิ้น 14,466 หน่วย โดยมีโครงการสําคัญ ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ (หนองหอย 2) ตั้งอยู่บริเวณถนนมหิดล ตําบลหนองหอย อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ขนาดที่ดิน 28.34 ไร่ ก่อสร้างเป็นอาคารชุด สูง 5 ชั้น จํานวน 26 อาคาร รวมทั้งสิ้น 1,140 หน่วย โดยแบ่งเป็นห้องชุด พักอาศัย 2 ขนาด ได้แก่ ขนาดพื้นที่ห้อง 33 ตารางเมตร จํานวน 1,036 หน่วย และ 24 ตารางเมตร จํานวน 104 หน่วย ซึ่งประชาชนได้ย้ายเข้าอยู่อาศัยเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2552 และจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลอาคารชุด เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2557 ปัจจุบัน พบว่า มีผู้อาศัยอยู่เต็มทั้งโครงการเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ กคช. มีการส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยในโครงการบ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ (หนองหอย 2) ได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการชุมชนของตนเองให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็งน่าอยู่อย่างยั่งยืน ด้วยการบริหารจัดการชุมชน 3 ด้านสําคัญ คือ 1) ด้านสังคม ประกอบด้วยกิจกรรมการแข่งขันกีฬาเยาวชน (ฟุตซอล เปตอง และตะกร้อ) กลุ่มแอโรบิค (พิชิตพุง มุ่งสู่สุขภาพดี) กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขชุมชน (อสม.) เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง กลุ่มตํารวจบ้านดูแลรักษาความปลอดภัยของชุมชน และกลุ่มผู้สูงอายุและคนพิการ 2) ด้านเศรษฐกิจ ประกอบด้วย กิจกรรมตลาดนัดถนนคนเดินวันเสาร์ ขยะแลกไข่ กลุ่มพัฒนาส่งเสริมอาชีพ กลุ่มพัฒนาบทบาทสตรี กลุ่มโครงการกองทุนพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน (SML)/ออมทรัพย์ และ 3) ด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย กิจกรรมคัดแยกขยะอันตราย ธนาคารจุลินทรีย์ ขยะรีไซเคิล การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ (EM) จนได้รับรางวัลรองชนะเลิศการประกวดโครงการ "ชุมชนสดใส จิตใจงดงาม” ของการเคหะแห่งชาติปี 2557 และ 2558 ทั้งนี้ โครงการ บ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ (หนองหอย 2) มีความโดดเด่นทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยมีการปรับปรุงพื้นที่ภายในโครงการ ให้มีสภาพแวดล้อมร่มรื่นน่าอยู่อาศัย มีการดูแลรักษาความสะอาดภายในชุมชน และยังให้ความสําคัญในเรื่อง ความปลอดภัย ด้วยการใช้ระบบคีย์การ์ดเข้า - ออกโครงการ อีกทั้งยังมีการดําเนินงานในด้านกระบวนการมีส่วนร่วมของ ภาคีเครือข่าย อาทิ เทศบาลนครเชียงใหม่ ตํารวจภูธรภาค 5 เทสโกโลตัส บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และเซเว่นอีเลฟเว่น เป็นต้น สําหรับโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ (สันกําแพง) เป็นอีกโครงการหนึ่งที่สําคัญของ กคช. เนื่องจากบริเวณโดยรอบโครงการอยู่ติดกับลําน้ําต่างๆ ทําให้มีทัศนียภาพและบรรยากาศดี เหมาะแก่การอยู่อาศัย ซึ่งมี การจัดสร้างเป็นแบบบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จํานวน 165 หน่วย ขนาดที่ดินประมาณ 50 ตารางวา หรือพื้นที่ใช้สอยประมาณ 168 ตารางเมตร โดยแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 4 ระยะ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการก่อสร้างระยะที่ 1 ซึ่งมีความก้าวหน้าประมาณร้อยละ 65 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปี 2561 ทั้งนี้ มีประชาชนให้ความสนใจและจองโครงการแล้ว 64 หน่วย สําหรับประชาชนผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สํานักงานเคหะชุมชนเชียงใหม่ 2 โทร. 0 5332 9799 สํานักงานขาย ณ โครงการ โทร. 091 047 1276 สํานักงานใหญ่การเคหะแห่งชาติ โทร. 0 2351 7439 และ Call Center โทร. 1615 รวมทั้ง www.nha.co.th
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13427
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกันตน ม. 33 ที่ส่งเงินสมทบ ไม่ครบ 6 เดือน
วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2563 ครม. อนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกันตน ม. 33 ที่ส่งเงินสมทบ ไม่ครบ 6 เดือน วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติเงินชดเชยรายได้ แก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ของกองทุนประกันสังคม ที่เป็นลูกจ้างของสถานประกอบการที่ต้องตกงานหรือถูกเลิกจ้าง และไม่ได้รับเงินทดแทนจากกองทุนประกันสังคมกรณีว่างงาน เนื่องจากจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนฯ ไม่ครบ 6 เดือนตามเงื่อนไข และได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา โดยกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับความช่วยเหลือครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย กว่า 59,700 คน โดยสํานักงานประกันสังคม จะเร่งจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่เดือนมิ.ย. - ส.ค. 63) โดยจ่ายเพียงครั้งเดียว รวมเป็นเงิน 15,000 บาท หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกันตน ม. 33 ที่ส่งเงินสมทบ ไม่ครบ 6 เดือน วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2563 ครม. อนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกันตน ม. 33 ที่ส่งเงินสมทบ ไม่ครบ 6 เดือน วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติเงินชดเชยรายได้ แก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ของกองทุนประกันสังคม ที่เป็นลูกจ้างของสถานประกอบการที่ต้องตกงานหรือถูกเลิกจ้าง และไม่ได้รับเงินทดแทนจากกองทุนประกันสังคมกรณีว่างงาน เนื่องจากจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนฯ ไม่ครบ 6 เดือนตามเงื่อนไข และได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา โดยกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับความช่วยเหลือครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย กว่า 59,700 คน โดยสํานักงานประกันสังคม จะเร่งจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่เดือนมิ.ย. - ส.ค. 63) โดยจ่ายเพียงครั้งเดียว รวมเป็นเงิน 15,000 บาท หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33709
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ประกาศมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรน่า ปรับลดดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชำระ 6 เดือน
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2563 ธอส.ประกาศมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรน่า ปรับลดดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชําระ 6 เดือน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมกรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท จัดทํา “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า” ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 6 เดือน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับ 0.01% ต่อปี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมกรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท จัดทํา “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า” ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 6 เดือน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับ 0.01% ต่อปี เพื่อลดภาระหนี้ที่ผ่อนชําระกับ ธอส. ทุกวัตถุประสงค์การกู้ สําหรับลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ที่กู้และจดทะเบียนจํานองหลักประกันกับธนาคารก่อนวันเริ่มมาตรการนี้และได้รับผลกระทบด้านรายได้ อาทิ ไกด์นําเที่ยว พนักงานโรงแรม ผู้ประกอบการรายย่อยที่ขายสินค้าในแหล่งท่องเที่ยว และยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ยื่นคําร้องขอเข้าร่วมมาตรการและทํานิติกรรมระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 31 มีนาคม 2563 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในหลายประเทศ โดยเฉพาะที่ประเทศจีน ซึ่งทําให้มีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวเนื่องจากชาวจีนเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของประเทศไทย ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าของธนาคารที่ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้เตรียมกรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท จัดทํา “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า” ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 6 เดือน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับ 0.01% ต่อปี เพื่อลดภาระหนี้ที่ผ่อนชําระกับ ธอส. ทุกวัตถุประสงค์การกู้ ซึ่งผู้ขอรับมาตรการช่วยเหลือต้องมีคุณสมบัติคือ เป็นลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ที่กู้และจดทะเบียนจํานองหลักประกันกับธนาคารก่อนวันเริ่มมาตรการนี้ และได้รับผลกระทบด้านรายได้จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า อาทิ ไกด์นําเที่ยว พนักงานโรงแรม ผู้ประกอบการรายย่อยที่ขายสินค้าในแหล่งท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวจีน หรืออาชีพอื่นที่แสดงหลักฐานให้ธนาคารตวจสอบได้ว่าเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจริง ซึ่งธนาคารจะยกเว้นค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ทั้งนี้ ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบสามารถติดต่อยื่นคําร้องเพื่อเข้าร่วมมาตรการได้ที่สาขาของธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกแห่งและทํานิติกรรมระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 31 มีนาคม 2563 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ประกาศมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรน่า ปรับลดดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชำระ 6 เดือน วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2563 ธอส.ประกาศมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรน่า ปรับลดดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชําระ 6 เดือน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมกรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท จัดทํา “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า” ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 6 เดือน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับ 0.01% ต่อปี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมกรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท จัดทํา “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า” ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 6 เดือน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับ 0.01% ต่อปี เพื่อลดภาระหนี้ที่ผ่อนชําระกับ ธอส. ทุกวัตถุประสงค์การกู้ สําหรับลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ที่กู้และจดทะเบียนจํานองหลักประกันกับธนาคารก่อนวันเริ่มมาตรการนี้และได้รับผลกระทบด้านรายได้ อาทิ ไกด์นําเที่ยว พนักงานโรงแรม ผู้ประกอบการรายย่อยที่ขายสินค้าในแหล่งท่องเที่ยว และยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ยื่นคําร้องขอเข้าร่วมมาตรการและทํานิติกรรมระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 31 มีนาคม 2563 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในหลายประเทศ โดยเฉพาะที่ประเทศจีน ซึ่งทําให้มีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวเนื่องจากชาวจีนเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของประเทศไทย ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าของธนาคารที่ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้เตรียมกรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท จัดทํา “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า” ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 6 เดือน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับ 0.01% ต่อปี เพื่อลดภาระหนี้ที่ผ่อนชําระกับ ธอส. ทุกวัตถุประสงค์การกู้ ซึ่งผู้ขอรับมาตรการช่วยเหลือต้องมีคุณสมบัติคือ เป็นลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ที่กู้และจดทะเบียนจํานองหลักประกันกับธนาคารก่อนวันเริ่มมาตรการนี้ และได้รับผลกระทบด้านรายได้จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า อาทิ ไกด์นําเที่ยว พนักงานโรงแรม ผู้ประกอบการรายย่อยที่ขายสินค้าในแหล่งท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวจีน หรืออาชีพอื่นที่แสดงหลักฐานให้ธนาคารตวจสอบได้ว่าเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจริง ซึ่งธนาคารจะยกเว้นค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ทั้งนี้ ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบสามารถติดต่อยื่นคําร้องเพื่อเข้าร่วมมาตรการได้ที่สาขาของธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกแห่งและทํานิติกรรมระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 31 มีนาคม 2563 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26163
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. งัดมาตรการดูแลเด็กเยาวชนผู้สูงอายุจากเชื้อโควิด-19 ป้องกันกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ [กระทรวงพัฒนาสังคมเเละความมั่นคงของมนุษย์]
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563 พม. งัดมาตรการดูแลเด็กเยาวชนผู้สูงอายุจากเชื้อโควิด-19 ป้องกันกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ [กระทรวงพัฒนาสังคมเเละความมั่นคงของมนุษย์] พม. งัดมาตรการดูแลเด็กเยาวชนผู้สูงอายุจากเชื้อโควิด-19 โดยรองปลัด พม. แถลงมาตรการเข้มดูแล ป้องกันกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ จากเชื้อโควิด-19 น.ส.สราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษก พม. แถลงข่าวประเด็นมาตรการการดูแลและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) สําหรับกลุ่มเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่เป็นกลุ่มเปราะบางและมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโรคโควิด-19 โดยมาตรการต่างๆประกอบด้วย โครงการเยาวชนไทยกู้ภัยโควิด เพื่อให้เยาวชน อายุ 18 – 25 ปี ร่วมดูแลและให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุ, ศูนย์ให้คําแนะนําปรึกษาปัญหาเด็ก เยาวชนและครอบครัว โดยบ้านพักเด็กและครอบครัว 77 จังหวัด เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 63 เป็นต้นไป,กลุ่ม Facebook “เด็กสภาฯ Market Place” ตลาดออนไลน์เพื่อจําหน่ายสินค้าของเด็ก เยาวชน และครอบครัวของสภาเด็กฯ, มาตรการดูแลผู้สูงอายุของศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) 12 แห่ง ทั่วประเทศ ที่ทําให้ไม่มีผู้สูงอายุแม้แต่คนเดียวที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 และ คู่มือมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ของสถานดูแลผู้สูงอายุ และแนวทางการดูแลผู้สูงอายุ ในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ในรูปแบบ E-Book ทางเว็บไซต์กรมกิจการผู้สูงอายุ ผู้สนใจสามารถเปิดดู E-Book ทั้ง 2 เล่ม ทางเว็บไซต์ของกรมกิจการผู้สูงอายุ (www.dop.go.th)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. งัดมาตรการดูแลเด็กเยาวชนผู้สูงอายุจากเชื้อโควิด-19 ป้องกันกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ [กระทรวงพัฒนาสังคมเเละความมั่นคงของมนุษย์] วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563 พม. งัดมาตรการดูแลเด็กเยาวชนผู้สูงอายุจากเชื้อโควิด-19 ป้องกันกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ [กระทรวงพัฒนาสังคมเเละความมั่นคงของมนุษย์] พม. งัดมาตรการดูแลเด็กเยาวชนผู้สูงอายุจากเชื้อโควิด-19 โดยรองปลัด พม. แถลงมาตรการเข้มดูแล ป้องกันกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ จากเชื้อโควิด-19 น.ส.สราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษก พม. แถลงข่าวประเด็นมาตรการการดูแลและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) สําหรับกลุ่มเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่เป็นกลุ่มเปราะบางและมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโรคโควิด-19 โดยมาตรการต่างๆประกอบด้วย โครงการเยาวชนไทยกู้ภัยโควิด เพื่อให้เยาวชน อายุ 18 – 25 ปี ร่วมดูแลและให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุ, ศูนย์ให้คําแนะนําปรึกษาปัญหาเด็ก เยาวชนและครอบครัว โดยบ้านพักเด็กและครอบครัว 77 จังหวัด เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 63 เป็นต้นไป,กลุ่ม Facebook “เด็กสภาฯ Market Place” ตลาดออนไลน์เพื่อจําหน่ายสินค้าของเด็ก เยาวชน และครอบครัวของสภาเด็กฯ, มาตรการดูแลผู้สูงอายุของศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) 12 แห่ง ทั่วประเทศ ที่ทําให้ไม่มีผู้สูงอายุแม้แต่คนเดียวที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 และ คู่มือมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ของสถานดูแลผู้สูงอายุ และแนวทางการดูแลผู้สูงอายุ ในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ในรูปแบบ E-Book ทางเว็บไซต์กรมกิจการผู้สูงอายุ ผู้สนใจสามารถเปิดดู E-Book ทั้ง 2 เล่ม ทางเว็บไซต์ของกรมกิจการผู้สูงอายุ (www.dop.go.th)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30242
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งในและต่างประเทศ สวมเสื้อเหลือง ร่วมกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2562
วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งในและต่างประเทศ สวมเสื้อเหลือง ร่วมกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งในและต่างประเทศ สวมเสื้อเหลือง ร่วมกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2562 วันนี้ (1 ธ.ค. 62) นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอเชิญชวนประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศ และที่อาศัยอยู่ต่างประเทศร่วมกิจกรรมเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2562 โดยในส่วนกลางจัด ณ ท้องสนามหลวง ส่วนต่างจังหวัดและต่างประเทศ จัด ณ สถานที่ที่กําหนดตามความเหมาะสม สําหรับกําหนดการ มีดังนี้ เวลา 07:00 น. พิธีทําบุญตักบาตร พระสงฆ์ 89 รูป ณ สถานที่ที่จังหวัดกําหนด เวลา 08:00 น. พิธีถวายพานพุ่มดอกไม้และถวายบังคม และจะมีการจัดกิจกรรมจิตอาสาถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมการจัดกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เนื่องในโอกาสอันเป็นมหามงคล ขอเชิญประชาชนแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง พร้อมร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐบาล ส่วนราชการ และภาคเอกชนจัดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน --------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งในและต่างประเทศ สวมเสื้อเหลือง ร่วมกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2562 วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งในและต่างประเทศ สวมเสื้อเหลือง ร่วมกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งในและต่างประเทศ สวมเสื้อเหลือง ร่วมกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2562 วันนี้ (1 ธ.ค. 62) นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอเชิญชวนประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศ และที่อาศัยอยู่ต่างประเทศร่วมกิจกรรมเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2562 โดยในส่วนกลางจัด ณ ท้องสนามหลวง ส่วนต่างจังหวัดและต่างประเทศ จัด ณ สถานที่ที่กําหนดตามความเหมาะสม สําหรับกําหนดการ มีดังนี้ เวลา 07:00 น. พิธีทําบุญตักบาตร พระสงฆ์ 89 รูป ณ สถานที่ที่จังหวัดกําหนด เวลา 08:00 น. พิธีถวายพานพุ่มดอกไม้และถวายบังคม และจะมีการจัดกิจกรรมจิตอาสาถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมการจัดกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เนื่องในโอกาสอันเป็นมหามงคล ขอเชิญประชาชนแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง พร้อมร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐบาล ส่วนราชการ และภาคเอกชนจัดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน --------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24955
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิดตัว 9 ตำรับยา สูตรดังวัดโพธิ์ ครั้งแรก ในงานสัปดาห์ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 สธ.เปิดตัว 9 ตํารับยา สูตรดังวัดโพธิ์ ครั้งแรก ในงานสัปดาห์ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุขจัดงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติและพระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย ประจําปี 2561 พร้อมเปิดตัวครั้งแรก 9 ตํารับยาชาติ สูตรดังวัดโพธิ์ “เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี” กระทรวงสาธารณสุขจัดงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติและพระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย ประจําปี 2561 พร้อมเปิดตัวครั้งแรก 9 ตํารับยาชาติ สูตรดังวัดโพธิ์ “เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี” วันนี้ (26 ตุลาคม 2561) ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร กทม. นายแพทย์สุขุมกาญจนพิมายปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติและพระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย ประจําปี 2561 ระหว่างวันที่ 25 – 29 ตุลาคม 2561 และถวายราชสดุดีพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สําคัญประการหนึ่งคือ การรวบรวมองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย ทําให้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเป็นรากฐานสําคัญของระบบสาธารณสุขของชาติไทย และให้มีการจารึกตําราการแพทย์แผนไทย ตํารายา ตํารานวด ไว้บนแผ่นศิลาที่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) จึงได้ประกาศให้ศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ เป็นมรดกโลก เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2554 และเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่านคณะรัฐมนตรีได้ถวายพระราชสมัญญานาม “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” และให้วันที่ 29 ตุลาคมของทุกปีเป็น “วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ” นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้มีการใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน สนับสนุนงบประมาณให้กับโรงพยาบาลที่ผลิตยาสมุนไพรในเขตสุขภาพเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้ยาสมุนไพร พัฒนาเมืองสมุนไพร 13 จังหวัดใน 12 เขตสุขภาพ เน้นให้ประชาชนไทยรู้จัก เชื่อมั่น ชอบ ใช้ สมุนไพรในการดูแลสุขภาพให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งได้รับบริการการแพทย์แผนไทยการแพทย์ทางเลือกที่ได้มาตรฐานและภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย มีกลไกควบคุมกํากับรับรองมาตรฐาน ตั้งแต่ระดับชุมชน ระดับ SMEs และระดับสากล GMP รวมถึงวิจัยเพื่อการอนุรักษ์ คุ้มครอง และนําไปใช้ประโยชน์ ด้านนายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมประชาสัมพันธ์ กระตุ้นปลุกจิตสํานึกให้ประชาชนตระหนักในคุณค่าของภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และนําไปใช้ประโยชน์ในการดูแลตนเองและสังคม พร้อมกันนี้เปิดตัว 9 ตํารับยาชาติ สูตรดังวัดโพธิ์ “เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี” คือ ยาอินทร์ประสิทธิ์ แก้ลม บํารุงหัวใจ ยาแผ้วฟ้า แก้ละอองในปาก และคอ ยากําลังราชสีห์ บํารุงโลหิต ยาประสะน้ํามะนาว แก้หอบหืด แก้ไอ ยาฆ้องไชยแก้เสียงแหบแห้ง เสมหะเหนียว ยาประคบ แก้ปวดเมื่อย คลายเส้น ฟกบวม เคล็ดขัดยอก ยาพรหมพักตร์ ขับเลือดเสีย ยาสนั่นไตรภพ แก้กษัย ขับลม และยาหทัยวาตาธิคุณ แก้โรคลม ขอเชิญชวนประชาชนร่วมงานดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 29 ตุลาคม 2561 ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) กทม. เวลา 09.00 – 18.00 น. ซึ่งนอกจากจะได้ความรู้จากเวทีเสวนาวิชาการ อภิปรายเรื่ององค์ความรู้ตํารับ ตํารา ยาไทย เรื่องเล่าประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาชาติแล้ว ยังมีบริการศาสตร์การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านไทย การแพทย์ทางเลือก ร้านจําหน่ายสินค้าและภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และสมุนไพร ********************************* 26 ตุลาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิดตัว 9 ตำรับยา สูตรดังวัดโพธิ์ ครั้งแรก ในงานสัปดาห์ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 สธ.เปิดตัว 9 ตํารับยา สูตรดังวัดโพธิ์ ครั้งแรก ในงานสัปดาห์ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุขจัดงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติและพระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย ประจําปี 2561 พร้อมเปิดตัวครั้งแรก 9 ตํารับยาชาติ สูตรดังวัดโพธิ์ “เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี” กระทรวงสาธารณสุขจัดงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติและพระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย ประจําปี 2561 พร้อมเปิดตัวครั้งแรก 9 ตํารับยาชาติ สูตรดังวัดโพธิ์ “เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี” วันนี้ (26 ตุลาคม 2561) ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร กทม. นายแพทย์สุขุมกาญจนพิมายปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติและพระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย ประจําปี 2561 ระหว่างวันที่ 25 – 29 ตุลาคม 2561 และถวายราชสดุดีพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สําคัญประการหนึ่งคือ การรวบรวมองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย ทําให้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเป็นรากฐานสําคัญของระบบสาธารณสุขของชาติไทย และให้มีการจารึกตําราการแพทย์แผนไทย ตํารายา ตํารานวด ไว้บนแผ่นศิลาที่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) จึงได้ประกาศให้ศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ เป็นมรดกโลก เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2554 และเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่านคณะรัฐมนตรีได้ถวายพระราชสมัญญานาม “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” และให้วันที่ 29 ตุลาคมของทุกปีเป็น “วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ” นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้มีการใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน สนับสนุนงบประมาณให้กับโรงพยาบาลที่ผลิตยาสมุนไพรในเขตสุขภาพเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้ยาสมุนไพร พัฒนาเมืองสมุนไพร 13 จังหวัดใน 12 เขตสุขภาพ เน้นให้ประชาชนไทยรู้จัก เชื่อมั่น ชอบ ใช้ สมุนไพรในการดูแลสุขภาพให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งได้รับบริการการแพทย์แผนไทยการแพทย์ทางเลือกที่ได้มาตรฐานและภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย มีกลไกควบคุมกํากับรับรองมาตรฐาน ตั้งแต่ระดับชุมชน ระดับ SMEs และระดับสากล GMP รวมถึงวิจัยเพื่อการอนุรักษ์ คุ้มครอง และนําไปใช้ประโยชน์ ด้านนายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมประชาสัมพันธ์ กระตุ้นปลุกจิตสํานึกให้ประชาชนตระหนักในคุณค่าของภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และนําไปใช้ประโยชน์ในการดูแลตนเองและสังคม พร้อมกันนี้เปิดตัว 9 ตํารับยาชาติ สูตรดังวัดโพธิ์ “เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี” คือ ยาอินทร์ประสิทธิ์ แก้ลม บํารุงหัวใจ ยาแผ้วฟ้า แก้ละอองในปาก และคอ ยากําลังราชสีห์ บํารุงโลหิต ยาประสะน้ํามะนาว แก้หอบหืด แก้ไอ ยาฆ้องไชยแก้เสียงแหบแห้ง เสมหะเหนียว ยาประคบ แก้ปวดเมื่อย คลายเส้น ฟกบวม เคล็ดขัดยอก ยาพรหมพักตร์ ขับเลือดเสีย ยาสนั่นไตรภพ แก้กษัย ขับลม และยาหทัยวาตาธิคุณ แก้โรคลม ขอเชิญชวนประชาชนร่วมงานดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 29 ตุลาคม 2561 ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) กทม. เวลา 09.00 – 18.00 น. ซึ่งนอกจากจะได้ความรู้จากเวทีเสวนาวิชาการ อภิปรายเรื่ององค์ความรู้ตํารับ ตํารา ยาไทย เรื่องเล่าประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาชาติแล้ว ยังมีบริการศาสตร์การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านไทย การแพทย์ทางเลือก ร้านจําหน่ายสินค้าและภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และสมุนไพร ********************************* 26 ตุลาคม 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16340
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายให้กับ กพร.
วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2562 รัฐมนตรีฯ สุริยะ ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายให้กับ กพร. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานให้แก่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) วันนี้ (29 สิงหาคม 2562) เวลา 10.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานให้แก่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) พร้อมด้วย นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายภิรมย์ พลวิเศษ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ พร้อมคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับพร้อมบรรยายสรุปการดําเนินงาน นายสุริยะฯ กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลมีเป้าหมายสําคัญที่จะพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย ซึ่ง กพร. มีภารกิจหลักในการจัดหาวัตถุดิบให้แก่ภาคอุตสาหกรรม ทั้งวัตถุดิบจากธรรมชาติ (Natural Raw Materials) วัตถุดิบทดแทน (Secondary Raw Materials) และจากการรีไซเคิลขยะหรือของเสียและวัตถุดิบชั้น (Advanced Raw Materials) เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้มีความก้าวหน้า ผ่านการอนุญาตประกอบกิจการผลิตแร่ป้อนเป็นเป็นวัตถุดิบให้กับภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการยกระดับภาคอุตสาหกรรมให้มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการประกาศนโยบายเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining Policy) และส่งเสริมสถานประกอบการ ให้มีมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR-DPIM) ให้มีส่วนร่วมในการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายให้กับ กพร. วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2562 รัฐมนตรีฯ สุริยะ ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายให้กับ กพร. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานให้แก่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) วันนี้ (29 สิงหาคม 2562) เวลา 10.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานให้แก่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) พร้อมด้วย นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายภิรมย์ พลวิเศษ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ พร้อมคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับพร้อมบรรยายสรุปการดําเนินงาน นายสุริยะฯ กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลมีเป้าหมายสําคัญที่จะพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย ซึ่ง กพร. มีภารกิจหลักในการจัดหาวัตถุดิบให้แก่ภาคอุตสาหกรรม ทั้งวัตถุดิบจากธรรมชาติ (Natural Raw Materials) วัตถุดิบทดแทน (Secondary Raw Materials) และจากการรีไซเคิลขยะหรือของเสียและวัตถุดิบชั้น (Advanced Raw Materials) เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้มีความก้าวหน้า ผ่านการอนุญาตประกอบกิจการผลิตแร่ป้อนเป็นเป็นวัตถุดิบให้กับภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการยกระดับภาคอุตสาหกรรมให้มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการประกาศนโยบายเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining Policy) และส่งเสริมสถานประกอบการ ให้มีมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR-DPIM) ให้มีส่วนร่วมในการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22624
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน’ ย้ำหลัก ‘พี่เลี้ยง อสร. 3อ 2ส 1ร’
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ‘ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน’ ย้ําหลัก ‘พี่เลี้ยง อสร. 3อ 2ส 1ร’ ที่ปรึกษา รมว.แรงงานเปิดเวทีสัมมนาเชิงปฏิบัติการเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานเชิงบูรณาการเพื่อวางแผนการปฏิบัติงานและการบูรณาการภารกิจด้านแรงงานร่วมกัน เน้นย้ําให้พี่เลี้ยง อสร. นําหลัก 3อ 2ส 1ร ไปใช้ปฏิบัติงาน วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 08.30 น. รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดเวที “การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานเชิงบูรณาการ” ณ ห้องต้นน้ํา ชั้น 2 โรงแรมแกรนด์ ทาวเวอร์ อินน์ กรุงเทพมหานคร โดยกล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการพัฒนาพี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานให้มีศักยภาพรองรับการทํางานตามนโยบายกระทรวงแรงงานประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยคาดหวังให้แต่ละจังหวัด และกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบงานอาสาสมัครแรงงาน นําผลจากการสัมมนาในครั้งนี้ไปพัฒนาภาพรวมของงานอาสาสมัครแรงงาน ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานทั้งในกรุงเทพมหานคร และในระดับจังหวัด เพื่อวางแผนการปฏิบัติงาน และบูรณาการภารกิจด้านแรงงานร่วมกัน ช่วยให้แรงงานมีความมั่นคงในการทํางาน มีหลักประกันและมีคุณภาพชีวิตที่ดี บรรลุตามพันธกิจของกระทรวงที่ได้กําหนดไว้ ในการนี้ ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน ได้บรรยาย เรื่อง “อาสาสมัครแรงงานเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนบริการสาธารณะด้านแรงงาน” เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการสัมมนาได้รับทราบทิศทางของการปฏิบัติงานในภารกิจของทั้ง 5 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน รวมถึงสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในพื้นที่ที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นําหลัก 3อ 2ส 1ร อํานาจ อํานวย โอกาส เสริมสร้าง สามัคคี รักษา ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง และงานอาสาสมัครแรงงานต่อไปในอนาคต การสัมมนาในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงของสํานักงานแรงงานจังหวัด ให้เป็นพี่เลี้ยงให้แก่อาสาสมัครแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ แลกเปลี่ยนเรียนรู้การทํางานด้านเครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงานผ่านกลไก และซักซ้อมความเข้าใจแนวทางการดําเนินงานของอาสาสมัครแรงานให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงานและสามารถบรรลุเป้าประสงค์ของกระทรวง โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา รวมจํานวน 120 คน ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานจากสํานักงานแรงงานจังหวัดผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับงานเครือข่ายแรงงาน เจ้าหน้าที่ส่วนกลางที่เกี่ยวข้องและข้าราชการ/เจ้าหน้าที่ และผู้สังเกตการณ์ +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพ ปรีชา ขยัน ข่าว 12 กุมภาพันธ์ 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน’ ย้ำหลัก ‘พี่เลี้ยง อสร. 3อ 2ส 1ร’ วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ‘ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน’ ย้ําหลัก ‘พี่เลี้ยง อสร. 3อ 2ส 1ร’ ที่ปรึกษา รมว.แรงงานเปิดเวทีสัมมนาเชิงปฏิบัติการเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานเชิงบูรณาการเพื่อวางแผนการปฏิบัติงานและการบูรณาการภารกิจด้านแรงงานร่วมกัน เน้นย้ําให้พี่เลี้ยง อสร. นําหลัก 3อ 2ส 1ร ไปใช้ปฏิบัติงาน วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 08.30 น. รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดเวที “การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานเชิงบูรณาการ” ณ ห้องต้นน้ํา ชั้น 2 โรงแรมแกรนด์ ทาวเวอร์ อินน์ กรุงเทพมหานคร โดยกล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการพัฒนาพี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานให้มีศักยภาพรองรับการทํางานตามนโยบายกระทรวงแรงงานประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยคาดหวังให้แต่ละจังหวัด และกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบงานอาสาสมัครแรงงาน นําผลจากการสัมมนาในครั้งนี้ไปพัฒนาภาพรวมของงานอาสาสมัครแรงงาน ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานทั้งในกรุงเทพมหานคร และในระดับจังหวัด เพื่อวางแผนการปฏิบัติงาน และบูรณาการภารกิจด้านแรงงานร่วมกัน ช่วยให้แรงงานมีความมั่นคงในการทํางาน มีหลักประกันและมีคุณภาพชีวิตที่ดี บรรลุตามพันธกิจของกระทรวงที่ได้กําหนดไว้ ในการนี้ ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน ได้บรรยาย เรื่อง “อาสาสมัครแรงงานเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนบริการสาธารณะด้านแรงงาน” เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการสัมมนาได้รับทราบทิศทางของการปฏิบัติงานในภารกิจของทั้ง 5 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน รวมถึงสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในพื้นที่ที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นําหลัก 3อ 2ส 1ร อํานาจ อํานวย โอกาส เสริมสร้าง สามัคคี รักษา ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง และงานอาสาสมัครแรงงานต่อไปในอนาคต การสัมมนาในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงของสํานักงานแรงงานจังหวัด ให้เป็นพี่เลี้ยงให้แก่อาสาสมัครแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ แลกเปลี่ยนเรียนรู้การทํางานด้านเครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงานผ่านกลไก และซักซ้อมความเข้าใจแนวทางการดําเนินงานของอาสาสมัครแรงานให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงานและสามารถบรรลุเป้าประสงค์ของกระทรวง โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา รวมจํานวน 120 คน ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานจากสํานักงานแรงงานจังหวัดผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับงานเครือข่ายแรงงาน เจ้าหน้าที่ส่วนกลางที่เกี่ยวข้องและข้าราชการ/เจ้าหน้าที่ และผู้สังเกตการณ์ +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพ ปรีชา ขยัน ข่าว 12 กุมภาพันธ์ 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26453
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดประชุมวิชาการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ รพศ./รพท. ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีลดความแออัด
วันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2562 สธ.จัดประชุมวิชาการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ รพศ./รพท. ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีลดความแออัด กระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมให้ รพศ./รพท.นําเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เหมาะสมมาใช้ในการดูแลสุขภาพประชาชน เพิ่มการเข้าถึงบริการที่สะดวกสบาย ลดความแออัด กระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมให้ รพศ./รพท.นําเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เหมาะสมมาใช้ในการดูแลสุขภาพประชาชน เพิ่มการเข้าถึงบริการที่สะดวกสบาย ลดความแออัด วันนี้ (20 สิงหาคม 2562) ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมวิชาการเพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพของโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ประจําปี 2562 ภายใต้หัวข้อ “Disruptive Innovation in Healthcare” เพื่อเป็นเวทีเผยแพร่ผลงานวิจัย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ นวัตกรรมใหม่ ๆ องค์ความรู้การพัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพในการเพิ่มคุณภาพระบบบริการ โดยมีบุคลากรสาธารณสุขทุกสาขาวิชาชีพเข้าร่วมประชุม 2,000 คน นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบนโยบายให้โรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป พัฒนานวัตกรรมและเป็นศูนย์ความเป็นเลิศในสาขาที่เป็นปัญหาสําคัญของประเทศ และบริบทของพื้นที่ นําเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มคุณภาพบริการ เพิ่มความสะดวกสบายประชาชน เจ้าหน้าที่ทํางานได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในการพัฒนาศักยภาพหน่วยบริการทุกระดับ โดยเฉพาะหน่วยบริการปฐมภูมิ ลดความเหลื่อมล้ํา ลดภาระการเดินทางและลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ รวมทั้งการจัดระบบบริการกัญชาและสมุนไพรทางการแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย ซึ่งถือเป็นนโยบายสําคัญที่ทุกคนต้องร่วมกันพัฒนา ซึ่งในแต่ละปีมีผู้ป่วยเข้ารับการตรวจรักษาแผนกผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลในสังกัดประมาณ 300 ล้านครั้ง โรงพยาบาลหลายแห่งได้นําระบบคิวออนไลน์ คลินิกเฉพาะทางนอกเวลาราชการ คลินิก 4 มุมเมือง ระบบฐานข้อมูลบริการอิเล็กทรอนิกส์ การจัดเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ป่วย เชื่อมโยงข้อมูลและส่งต่อผู้ป่วยแบบไร้รอยต่อ ช่วยลดความแออัดได้อย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม “ในการพัฒนาคุณภาพระบบบริการได้นั้น จําเป็นต้องการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการให้บริการประชาชนที่เจ็บป่วยให้หายในเร็ววัน และกลับไปมีคุณภาพชีวิตที่ดีสู่ครอบครัว รวมทั้งความเชี่ยวชาญที่ได้จากการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ การใช้เครื่องมือที่ทันสมัยให้ทันกับเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน พัฒนาสร้างนวัตกรรมที่ทันสมัย และนําไปปรับปรุงระบบงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดูแลสุขภาพประชาชน” นายแพทย์สุขุมกล่าว ทั้งนี้ ในปีนี้ มีการแสดงผลงานนิทรรศการเด่นด้านวิชาการและนวัตกรรมจาก 13 เขตบริการสุขภาพ จํานวน 37 ผลงาน พร้อมทั้งมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่บุคลากรดีเด่นทีทําคุณประโยชน์ด้านสาธารณสุข จํานวน 8 สาขา ได้แก่ สาขาแพทย์ สาขาบริหารทางการแพทย์ สาขาทันตแพทย์ สาขาเภสัชกร สาขาพยาบาล สาขาบริหารทางการพยาบาล สาขาบริหารงานทั่วไปและสาขานักวิชาการ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดประชุมวิชาการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ รพศ./รพท. ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีลดความแออัด วันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2562 สธ.จัดประชุมวิชาการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ รพศ./รพท. ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีลดความแออัด กระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมให้ รพศ./รพท.นําเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เหมาะสมมาใช้ในการดูแลสุขภาพประชาชน เพิ่มการเข้าถึงบริการที่สะดวกสบาย ลดความแออัด กระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมให้ รพศ./รพท.นําเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เหมาะสมมาใช้ในการดูแลสุขภาพประชาชน เพิ่มการเข้าถึงบริการที่สะดวกสบาย ลดความแออัด วันนี้ (20 สิงหาคม 2562) ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมวิชาการเพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพของโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ประจําปี 2562 ภายใต้หัวข้อ “Disruptive Innovation in Healthcare” เพื่อเป็นเวทีเผยแพร่ผลงานวิจัย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ นวัตกรรมใหม่ ๆ องค์ความรู้การพัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพในการเพิ่มคุณภาพระบบบริการ โดยมีบุคลากรสาธารณสุขทุกสาขาวิชาชีพเข้าร่วมประชุม 2,000 คน นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบนโยบายให้โรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป พัฒนานวัตกรรมและเป็นศูนย์ความเป็นเลิศในสาขาที่เป็นปัญหาสําคัญของประเทศ และบริบทของพื้นที่ นําเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มคุณภาพบริการ เพิ่มความสะดวกสบายประชาชน เจ้าหน้าที่ทํางานได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในการพัฒนาศักยภาพหน่วยบริการทุกระดับ โดยเฉพาะหน่วยบริการปฐมภูมิ ลดความเหลื่อมล้ํา ลดภาระการเดินทางและลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ รวมทั้งการจัดระบบบริการกัญชาและสมุนไพรทางการแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย ซึ่งถือเป็นนโยบายสําคัญที่ทุกคนต้องร่วมกันพัฒนา ซึ่งในแต่ละปีมีผู้ป่วยเข้ารับการตรวจรักษาแผนกผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลในสังกัดประมาณ 300 ล้านครั้ง โรงพยาบาลหลายแห่งได้นําระบบคิวออนไลน์ คลินิกเฉพาะทางนอกเวลาราชการ คลินิก 4 มุมเมือง ระบบฐานข้อมูลบริการอิเล็กทรอนิกส์ การจัดเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ป่วย เชื่อมโยงข้อมูลและส่งต่อผู้ป่วยแบบไร้รอยต่อ ช่วยลดความแออัดได้อย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม “ในการพัฒนาคุณภาพระบบบริการได้นั้น จําเป็นต้องการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการให้บริการประชาชนที่เจ็บป่วยให้หายในเร็ววัน และกลับไปมีคุณภาพชีวิตที่ดีสู่ครอบครัว รวมทั้งความเชี่ยวชาญที่ได้จากการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ การใช้เครื่องมือที่ทันสมัยให้ทันกับเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน พัฒนาสร้างนวัตกรรมที่ทันสมัย และนําไปปรับปรุงระบบงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดูแลสุขภาพประชาชน” นายแพทย์สุขุมกล่าว ทั้งนี้ ในปีนี้ มีการแสดงผลงานนิทรรศการเด่นด้านวิชาการและนวัตกรรมจาก 13 เขตบริการสุขภาพ จํานวน 37 ผลงาน พร้อมทั้งมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่บุคลากรดีเด่นทีทําคุณประโยชน์ด้านสาธารณสุข จํานวน 8 สาขา ได้แก่ สาขาแพทย์ สาขาบริหารทางการแพทย์ สาขาทันตแพทย์ สาขาเภสัชกร สาขาพยาบาล สาขาบริหารทางการพยาบาล สาขาบริหารงานทั่วไปและสาขานักวิชาการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22353
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ลงตรวจราชการปราจีนและนครนายก พร้อมหารือแนวทางการดำเนินงาน CIV 4.0
วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 ก.อุตฯ ลงตรวจราชการปราจีนและนครนายก พร้อมหารือแนวทางการดําเนินงาน CIV 4.0 ก.อุตฯ ลงตรวจราชการปราจีนและนครนายก พร้อมหารือแนวทางการดําเนินงาน CIV 4.0 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมการตรวจราชการรอบที่ 1 ประจําปีงบประมาณ 2561 ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี และสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนครนายก เพื่อรับฟังรายงานผลการดําเนินงาน ปัญหา อุปสรรค เรื่องร้องเรียนที่เกิดขึ้นจังหวัด โดยมีนายสิทธา ปัพพพานนท์ อุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี น.ส. กาญจนา ทัพป้อม อุตสาหกรรมจังหวัดนครนายก และเจ้าหน้าที่เข้าร่วมประชุม พร้อมทั้งหาแนวทางในการจัดการกับปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น เพื่อยุติเรื่องร้องเรียน และประชุมหารือแนวทางการดําเนินงาน CIV 4.0 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ลงตรวจราชการปราจีนและนครนายก พร้อมหารือแนวทางการดำเนินงาน CIV 4.0 วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 ก.อุตฯ ลงตรวจราชการปราจีนและนครนายก พร้อมหารือแนวทางการดําเนินงาน CIV 4.0 ก.อุตฯ ลงตรวจราชการปราจีนและนครนายก พร้อมหารือแนวทางการดําเนินงาน CIV 4.0 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมการตรวจราชการรอบที่ 1 ประจําปีงบประมาณ 2561 ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี และสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนครนายก เพื่อรับฟังรายงานผลการดําเนินงาน ปัญหา อุปสรรค เรื่องร้องเรียนที่เกิดขึ้นจังหวัด โดยมีนายสิทธา ปัพพพานนท์ อุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี น.ส. กาญจนา ทัพป้อม อุตสาหกรรมจังหวัดนครนายก และเจ้าหน้าที่เข้าร่วมประชุม พร้อมทั้งหาแนวทางในการจัดการกับปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น เพื่อยุติเรื่องร้องเรียน และประชุมหารือแนวทางการดําเนินงาน CIV 4.0 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10132
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก. เกษตรฯ ร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดงาน SIMA ASEAN Thailand 2017 เตรียมโชว์ผลงาน “นวัตกรรมเกษตรไทยสู่ Thailand 4.0”
วันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม 2560 ก. เกษตรฯ ร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดงาน SIMA ASEAN Thailand 2017 เตรียมโชว์ผลงาน “นวัตกรรมเกษตรไทยสู่ Thailand 4.0” ก. เกษตรฯ ร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดงาน SIMA ASEAN Thailand 2017 เตรียมโชว์ผลงาน “นวัตกรรมเกษตรไทยสู่ Thailand 4.0” พร้อมส่งเสริมการเรียนรู้นวัตกรรมทางการเกษตรให้เกษตรกรไทย หนุนสร้างโอกาสขยายเครือข่ายทางธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียนและตลาดโลก วันนี้ (2 ส.ค.60) เวลา 13.30 น. ดร.วราภรณ์ พรหมพจน์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน SIMA ASEAN Thailand 2017 พร้อมกับ มร.ซาจิด อูเซนี ผู้ช่วยผู้อํานวยการฝ่ายงานแสดงสินค้าภาคธุรกิจ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จํากัด ผศ.ดร.รัชด ชมภูนิช รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์และสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนางจารุวรรณ สุวรรณศาสน์ ผู้อํานวยการฝ่ายอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ สํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ดร.วราภรณ์ พรหมพจน์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ในปี 2560 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กําหนดให้เป็น “ปีแห่งการยกระดับมาตรฐานการเกษตรสู่ความยั่งยืน” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น ทั้งด้านสังคม มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ตลอดทั้งมีความภาคภูมิใจในอาชีพเกษตรกร สอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคตที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมเกษตร โดยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรที่เพิ่มขึ้น ทําให้ความต้องการอาหารโลกเพิ่มมากขึ้น ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเข้ามามีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิต และเทคโนโลยีจะช่วยให้ผู้บริโภค ผู้ผลิต สามารถสื่อสารและเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ระหว่างกันได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น ส่งผลให้ภาคการเกษตรของไทยต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับกับปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลต่อภาคการผลิต โดยเน้นการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรไทย การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็น และสนับสนุนการพัฒนาภาคการเกษตรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตร ทั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อเตรียมรับมือกับผลกระทบต่าง ๆ ที่กําลังเกิดขึ้น และส่งเสริมการลดต้นทุนในด้านต่าง ๆ เช่น แรงงาน เพื่อให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอาเซียน และตลาดโลกได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ของเกษตรกรไทย และสร้างโอกาสในการขยายเครือข่ายทางธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียนและตลาดโลก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงเข้าร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดงาน SIMA ASEAN Thailand 2017 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7- 9 กันยายน 2560 ณ อาคาร 5 - 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี และริมทะเลสาบ เมืองทองธานี โดยมีกรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการจัดนิทรรศการภายในงานครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกร และผู้ประกอบการตลอดสายการผลิตทางการเกษตร ได้รับทราบแลกเปลี่ยนเรียนรู้นวัตกรรมทางการเกษตรของไทย ตลอดทั้งส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในภาคเกษตรให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ รวมไปถึงองค์กรระดับสากลและผู้เข้าร่วมงานจากนานาประเทศ โดยจะร่วมจัดแสดงผลงานเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตร อุปกรณ์การเกษตร และปัจจัยการผลิต เพื่อให้เกษตรกรและนักธุรกิจการเกษตร สามารถเลือกสรรเรียนรู้เทคโนโลยีและเครื่องจักรกลการเกษตร เพื่อนํามาพัฒนาคุณภาพการผลิต รวมทั้งเป็นช่องทางในการเจรจาธุรกิจของผู้ประกอบการธุรกิจการเกษตร ผู้ผลิต ผู้จัดจําหน่าย ที่ปรึกษาองค์กรภาครัฐ และเอกชน ตลอดทั้งส่งเสริมการเรียนรู้นวัตกรรมทางการเกษตรของเกษตรกรไทยและสร้างโอกาสในการขยายเครือข่ายทางธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียน ดร.วราภรณ์ กล่าวต่อไปว่า กรมวิชาการเกษตรในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงเกษตรฯ ให้เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงานครั้งนี้ ได้เตรียมความพร้อมในการจัดแสดงผลงาน ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนแรกภาคจัดแสดงนิทรรศการ ครอบคลุมพื้นที่จํานวนประมาณ 400 – 500 ตารางเมตร ซึ่งเป็นการรวบรวมผลงานวิจัยที่โดดเด่นและนวัตกรรมใหม่ด้านเทคโนโลยีการเกษตรโดยเน้นการลดใช้สารเคมี เช่น การป้องกันกําจัดศัตรูพืชด้วยสารชีวภัณฑ์ เครื่องใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินแบบอัตโนมัติ งานวิจัยพันธุ์ถั่วเหลืองโปรตีนสูง การผลิตปุ๋ยหมักเติมอากาศ นวัตกรรมการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว และชุดตรวจสอบ (Test Kit) ต่างๆ ได้แก่ ชุดตรวจสอบดิน ชุดตรวจสอบไวรัส ชุดตรวจสอบคุณภาพผลผลิตเกษตร และชุดตรวจสอบโรคพืช เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการแสดงแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ (Agri-Map Online) จากกรมพัฒนาที่ดิน และศูนย์ปฏิบัติการน้ําอัจฉริยะ จากกรมชลประทาน โดยภายในงานจะมีบู๊ทให้คําปรึกษาทางด้านการเกษตร และนักวิจัยที่จะคอยตอบข้อสงสัยของผู้เข้าชมงานด้วย ส่วนที่ 2 ภาคการจัดสัมมนา โดยจะจัดสัมมนาในหัวข้อ “นวัตกรรมเกษตรไทยมุ่งสู่ Thailand 4.0” ในวันที่ 8 กันยายน 2560 เวลา 8.00 – 16.00 น. ณ ห้องประชุม Amber 2-3 (Hall3) โดยมีหัวข้อบรรยายที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นงานวิจัยที่โดดเด่นและใหม่ของกรมวิชาการเกษตร อาทิ เครื่องใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินแบบอัตโนมัติ, การใช้เครื่องหมายโมเลกุลคัดเลือกพันธุ์ถั่วเหลืองโปรตีนสูง, มันฝรั่งพันธุ์ใหม่ พืชอนาคตไกล นําพาอุตสาหกรรมแปรรูปไทยยั่งยืน, ชีวภัณฑ์สู่การนําไปใช้ประโยชน์ และการจัดการหนอนหัวดํามะพร้าว, นวัตกรรมการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว และการวิจัยสาระสําคัญในผลิตผลเกษตร โดยจะมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนระดับแนวหน้าของวงการเกษตรไทย และเกษตรกร เข้าร่วมประชุมประมาณกว่า 400 คน นอกจากนี้ยังมีการเสวนาของภาครัฐ ร่วมกับภาคเอกชน และเกษตรกร เพื่อเชื่อมโยงอุตสาหกรรมการเกษตรให้เกิดความเข้มแข็ง โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา อาทิ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ผู้บริหารบริษัทน้ําตาลมิตรผลจํากัด ผู้แทนด้านเกษตรอัจฉริยะ (Smart farm)และผู้แทนเกษตรกร (Smart Farmer) กลุ่มพืชสวน และพืชไร่ เป็นต้น ทั้งนี้ งาน SIMA ASEAN Thailand 2017 จะจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยเกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จํากัด บริษัท คอมเอ็กซ์โพเซียม และ แอ็คซิมา จากประเทศฝรั่งเศส โดยมีกําหนดการจัดงานในวันที่ 7- 9 กันยายน 2560 ณ อาคาร 5 - 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี และริมทะเลสาบ เมืองทองธานี สามารถติดตามข่าวสาร และความเคลื่อนไหวของการจัดงาน SIMA ASEAN Thailand 2017 ได้ที่เว็บไซต์ www.sima-asean.com กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews60@gmail.com moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก. เกษตรฯ ร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดงาน SIMA ASEAN Thailand 2017 เตรียมโชว์ผลงาน “นวัตกรรมเกษตรไทยสู่ Thailand 4.0” วันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม 2560 ก. เกษตรฯ ร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดงาน SIMA ASEAN Thailand 2017 เตรียมโชว์ผลงาน “นวัตกรรมเกษตรไทยสู่ Thailand 4.0” ก. เกษตรฯ ร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดงาน SIMA ASEAN Thailand 2017 เตรียมโชว์ผลงาน “นวัตกรรมเกษตรไทยสู่ Thailand 4.0” พร้อมส่งเสริมการเรียนรู้นวัตกรรมทางการเกษตรให้เกษตรกรไทย หนุนสร้างโอกาสขยายเครือข่ายทางธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียนและตลาดโลก วันนี้ (2 ส.ค.60) เวลา 13.30 น. ดร.วราภรณ์ พรหมพจน์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน SIMA ASEAN Thailand 2017 พร้อมกับ มร.ซาจิด อูเซนี ผู้ช่วยผู้อํานวยการฝ่ายงานแสดงสินค้าภาคธุรกิจ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จํากัด ผศ.ดร.รัชด ชมภูนิช รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์และสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนางจารุวรรณ สุวรรณศาสน์ ผู้อํานวยการฝ่ายอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ สํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ดร.วราภรณ์ พรหมพจน์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ในปี 2560 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กําหนดให้เป็น “ปีแห่งการยกระดับมาตรฐานการเกษตรสู่ความยั่งยืน” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น ทั้งด้านสังคม มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ตลอดทั้งมีความภาคภูมิใจในอาชีพเกษตรกร สอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคตที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมเกษตร โดยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรที่เพิ่มขึ้น ทําให้ความต้องการอาหารโลกเพิ่มมากขึ้น ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเข้ามามีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิต และเทคโนโลยีจะช่วยให้ผู้บริโภค ผู้ผลิต สามารถสื่อสารและเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ระหว่างกันได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น ส่งผลให้ภาคการเกษตรของไทยต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับกับปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลต่อภาคการผลิต โดยเน้นการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรไทย การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็น และสนับสนุนการพัฒนาภาคการเกษตรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตร ทั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อเตรียมรับมือกับผลกระทบต่าง ๆ ที่กําลังเกิดขึ้น และส่งเสริมการลดต้นทุนในด้านต่าง ๆ เช่น แรงงาน เพื่อให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอาเซียน และตลาดโลกได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ของเกษตรกรไทย และสร้างโอกาสในการขยายเครือข่ายทางธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียนและตลาดโลก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงเข้าร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดงาน SIMA ASEAN Thailand 2017 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7- 9 กันยายน 2560 ณ อาคาร 5 - 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี และริมทะเลสาบ เมืองทองธานี โดยมีกรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการจัดนิทรรศการภายในงานครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกร และผู้ประกอบการตลอดสายการผลิตทางการเกษตร ได้รับทราบแลกเปลี่ยนเรียนรู้นวัตกรรมทางการเกษตรของไทย ตลอดทั้งส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในภาคเกษตรให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ รวมไปถึงองค์กรระดับสากลและผู้เข้าร่วมงานจากนานาประเทศ โดยจะร่วมจัดแสดงผลงานเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตร อุปกรณ์การเกษตร และปัจจัยการผลิต เพื่อให้เกษตรกรและนักธุรกิจการเกษตร สามารถเลือกสรรเรียนรู้เทคโนโลยีและเครื่องจักรกลการเกษตร เพื่อนํามาพัฒนาคุณภาพการผลิต รวมทั้งเป็นช่องทางในการเจรจาธุรกิจของผู้ประกอบการธุรกิจการเกษตร ผู้ผลิต ผู้จัดจําหน่าย ที่ปรึกษาองค์กรภาครัฐ และเอกชน ตลอดทั้งส่งเสริมการเรียนรู้นวัตกรรมทางการเกษตรของเกษตรกรไทยและสร้างโอกาสในการขยายเครือข่ายทางธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียน ดร.วราภรณ์ กล่าวต่อไปว่า กรมวิชาการเกษตรในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงเกษตรฯ ให้เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงานครั้งนี้ ได้เตรียมความพร้อมในการจัดแสดงผลงาน ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนแรกภาคจัดแสดงนิทรรศการ ครอบคลุมพื้นที่จํานวนประมาณ 400 – 500 ตารางเมตร ซึ่งเป็นการรวบรวมผลงานวิจัยที่โดดเด่นและนวัตกรรมใหม่ด้านเทคโนโลยีการเกษตรโดยเน้นการลดใช้สารเคมี เช่น การป้องกันกําจัดศัตรูพืชด้วยสารชีวภัณฑ์ เครื่องใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินแบบอัตโนมัติ งานวิจัยพันธุ์ถั่วเหลืองโปรตีนสูง การผลิตปุ๋ยหมักเติมอากาศ นวัตกรรมการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว และชุดตรวจสอบ (Test Kit) ต่างๆ ได้แก่ ชุดตรวจสอบดิน ชุดตรวจสอบไวรัส ชุดตรวจสอบคุณภาพผลผลิตเกษตร และชุดตรวจสอบโรคพืช เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการแสดงแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ (Agri-Map Online) จากกรมพัฒนาที่ดิน และศูนย์ปฏิบัติการน้ําอัจฉริยะ จากกรมชลประทาน โดยภายในงานจะมีบู๊ทให้คําปรึกษาทางด้านการเกษตร และนักวิจัยที่จะคอยตอบข้อสงสัยของผู้เข้าชมงานด้วย ส่วนที่ 2 ภาคการจัดสัมมนา โดยจะจัดสัมมนาในหัวข้อ “นวัตกรรมเกษตรไทยมุ่งสู่ Thailand 4.0” ในวันที่ 8 กันยายน 2560 เวลา 8.00 – 16.00 น. ณ ห้องประชุม Amber 2-3 (Hall3) โดยมีหัวข้อบรรยายที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นงานวิจัยที่โดดเด่นและใหม่ของกรมวิชาการเกษตร อาทิ เครื่องใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินแบบอัตโนมัติ, การใช้เครื่องหมายโมเลกุลคัดเลือกพันธุ์ถั่วเหลืองโปรตีนสูง, มันฝรั่งพันธุ์ใหม่ พืชอนาคตไกล นําพาอุตสาหกรรมแปรรูปไทยยั่งยืน, ชีวภัณฑ์สู่การนําไปใช้ประโยชน์ และการจัดการหนอนหัวดํามะพร้าว, นวัตกรรมการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว และการวิจัยสาระสําคัญในผลิตผลเกษตร โดยจะมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนระดับแนวหน้าของวงการเกษตรไทย และเกษตรกร เข้าร่วมประชุมประมาณกว่า 400 คน นอกจากนี้ยังมีการเสวนาของภาครัฐ ร่วมกับภาคเอกชน และเกษตรกร เพื่อเชื่อมโยงอุตสาหกรรมการเกษตรให้เกิดความเข้มแข็ง โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา อาทิ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ผู้บริหารบริษัทน้ําตาลมิตรผลจํากัด ผู้แทนด้านเกษตรอัจฉริยะ (Smart farm)และผู้แทนเกษตรกร (Smart Farmer) กลุ่มพืชสวน และพืชไร่ เป็นต้น ทั้งนี้ งาน SIMA ASEAN Thailand 2017 จะจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยเกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จํากัด บริษัท คอมเอ็กซ์โพเซียม และ แอ็คซิมา จากประเทศฝรั่งเศส โดยมีกําหนดการจัดงานในวันที่ 7- 9 กันยายน 2560 ณ อาคาร 5 - 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี และริมทะเลสาบ เมืองทองธานี สามารถติดตามข่าวสาร และความเคลื่อนไหวของการจัดงาน SIMA ASEAN Thailand 2017 ได้ที่เว็บไซต์ www.sima-asean.com กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews60@gmail.com moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5658
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชุมนุมยุวกาชาด เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาส "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก"
วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562 ชุมนุมยุวกาชาด เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาส "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก" นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิด "งานชุมนุมยุวกาชาดทั่วประเทศ เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคล พระราชพิธีบรมราชาภิเษก" ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เมื่อวันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2562 เวลา 16.00 น. นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิด "งานชุมนุมยุวกาชาดทั่วประเทศ เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคล พระราชพิธีบรมราชาภิเษก" ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวรายงานตอนหนึ่งว่า กระทรวงศึกษาธิการ ตระหนักถึงความสําคัญของการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนในชาติ พร้อมปลูกฝังระเบียบวินัย คุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมอันพึงประสงค์ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ประกอบกับในปี 2562 เป็นวาระอันมงคลยิ่งสําหรับชาวไทย เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม ให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรี ตามโบราณราชประเพณีอย่างสมบูรณ์ จึงได้จัดงานชุมนุมยุวกาชาดทั่วประเทศ เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระบรมราชาภิเษก เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นการรวมพลังสมาชิกยุวกาชาดจากทั่วทุกภาคของประเทศ จํานวน 5,410 คน อยู่ค่ายพักแรม 6 วัน 5 คืน แบ่งเป็น 10 ค่ายย่อย โดยมีกิจกรรมเพื่อฝึกทักษะและประสบการณ์การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น อาทิ กิจกรรมกาชาดและยุวกาชาด กิจกรรมสุขภาพ กิจกรรมบําเพ็ญประโยชน์ กิจกรรมรอบกองไฟ กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น โดยมีสถานศึกษา ศึกษาธิการภาค และหน่วยงาน กว่า 37 รายจากทั่วประเทศ ให้การสนับสนุนและร่วมจัดงานในครั้งนี้ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการพัฒนาเยาวชน ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และสังคม โดยมุ่งพัฒนาเด็กและเยาวชน ให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข ผ่านกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด และผู้บําเพ็ญประโยชน์ เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับประสบการณ์และทักษะชีวิตในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างสันติสุข โดยกิจกรรมการอยู่ค่ายยุวกาชาด เป็นกระบวนการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง รู้จักการเป็นผู้นําและผู้ตามที่ดี เน้นการฝึกทักษะชีวิตด้วยการดูแลตนเอง เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นและบําเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าสมาชิกยุวกาชาดทุกคน มีความตั้งใจที่จะประกอบคุณงามความดี มีน้ําใจ มีจิตอาสา รู้จักเสียสละ มีระเบียบวินัยและมีคุณธรรมจริยธรรม ดังนั้น สมาชิกยุวกาชาดทุกคนจึงเป็นพลังและกลไกที่สําคัญ ในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไปได้ เช่นเดียวกับกิจกรรมอื่น นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชุมนุมยุวกาชาด เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาส "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก" วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562 ชุมนุมยุวกาชาด เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาส "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก" นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิด "งานชุมนุมยุวกาชาดทั่วประเทศ เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคล พระราชพิธีบรมราชาภิเษก" ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เมื่อวันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2562 เวลา 16.00 น. นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิด "งานชุมนุมยุวกาชาดทั่วประเทศ เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคล พระราชพิธีบรมราชาภิเษก" ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวรายงานตอนหนึ่งว่า กระทรวงศึกษาธิการ ตระหนักถึงความสําคัญของการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนในชาติ พร้อมปลูกฝังระเบียบวินัย คุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมอันพึงประสงค์ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ประกอบกับในปี 2562 เป็นวาระอันมงคลยิ่งสําหรับชาวไทย เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม ให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรี ตามโบราณราชประเพณีอย่างสมบูรณ์ จึงได้จัดงานชุมนุมยุวกาชาดทั่วประเทศ เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระบรมราชาภิเษก เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นการรวมพลังสมาชิกยุวกาชาดจากทั่วทุกภาคของประเทศ จํานวน 5,410 คน อยู่ค่ายพักแรม 6 วัน 5 คืน แบ่งเป็น 10 ค่ายย่อย โดยมีกิจกรรมเพื่อฝึกทักษะและประสบการณ์การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น อาทิ กิจกรรมกาชาดและยุวกาชาด กิจกรรมสุขภาพ กิจกรรมบําเพ็ญประโยชน์ กิจกรรมรอบกองไฟ กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น โดยมีสถานศึกษา ศึกษาธิการภาค และหน่วยงาน กว่า 37 รายจากทั่วประเทศ ให้การสนับสนุนและร่วมจัดงานในครั้งนี้ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการพัฒนาเยาวชน ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และสังคม โดยมุ่งพัฒนาเด็กและเยาวชน ให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข ผ่านกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด และผู้บําเพ็ญประโยชน์ เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับประสบการณ์และทักษะชีวิตในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างสันติสุข โดยกิจกรรมการอยู่ค่ายยุวกาชาด เป็นกระบวนการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง รู้จักการเป็นผู้นําและผู้ตามที่ดี เน้นการฝึกทักษะชีวิตด้วยการดูแลตนเอง เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นและบําเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าสมาชิกยุวกาชาดทุกคน มีความตั้งใจที่จะประกอบคุณงามความดี มีน้ําใจ มีจิตอาสา รู้จักเสียสละ มีระเบียบวินัยและมีคุณธรรมจริยธรรม ดังนั้น สมาชิกยุวกาชาดทุกคนจึงเป็นพลังและกลไกที่สําคัญ ในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไปได้ เช่นเดียวกับกิจกรรมอื่น นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22410
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. กำชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิง 2 คน ที่ถูกลุงเขยข่มขืนกระทำชำเรา และกระทำอนาจาร ที่ จ.เชียงใหม่
วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 รมว. พม. กําชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิง 2 คน ที่ถูกลุงเขยข่มขืนกระทําชําเรา และกระทําอนาจาร ที่ จ.เชียงใหม่ รมว. พม. กําชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิง 2 คน ที่ถูกลุงเขยข่มขืนกระทําชําเรา และกระทําอนาจาร ที่ จ.เชียงใหม่ และช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 10 ขวบ อาศัยอยู่กับแม่วัย 37 ปี ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่ จ.เชียงราย วันนี้ (28 ก.พ. 60) เวลา 08.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 581/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า จากกรณีหญิงวัย 44 ปี พาลูกสาววัย 12 ปี และ 3 ปี เข้าแจ้งความต่อ เจ้าหน้าที่ตํารวจ ว่าถูกลุงเขย ซึ่งเป็นผู้อํานวยการส่วนราชการใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ข่มขืนกระทําชําเรา และกระทําอนาจาร ลูกสาวทั้ง 2 คน ที่อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงใหม่ (พมจ.เชียงใหม่) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมเด็กหญิงดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยเฉพาะการเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงทั้ง 2 คน และครอบครัวโดยด่วน ให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ อีกทั้ง ทางทีม พม. ในพื้นที่จะติดตามการให้ความช่วยเหลือเป็นระยะอย่างต่อเนื่องต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับกรณีเด็กหญิงวัย 10 ขวบ นักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย อาศัยอยู่กับผู้เป็นแม่วัย 37 ปี ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก ไม่สามารถทํางานหนักได้ ทําให้ไม่มีรายได้จุนเจือครอบครัว และยังมีน้องสาววัย 4 ขวบ อีกหนึ่งคน ทั้ง 3 ชีวิต อาศัยในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม ไม่มีน้ําประปาใช้ ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล ที่จังหวัดเชียงราย นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย (พมจ.เชียงราย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น พร้อมอุปกรณ์การเรียน รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลด้านการส่งเสริมสวัสดิการสังคมที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว อาทิ การตรวจสุขภาพและรักษาพยาบาลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง การศึกษาเล่าเรียนของเด็กหญิงทั้ง 2 คน อย่างต่อเนื่อง การปรับปรุงซ่อมแซมที่พักอาศัยให้มีสภาพแข็งแรง มั่นคง ถูกสุขลักษณะ เหมาะสมสําหรับการใช้ชีวิตประจําวันของครอบครัว และบริการสวัสดิการสังคมตามสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมาย เป็นต้น พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีหญิงวัย 34 ปี ป่วยเป็นโรคผิวหนังแตกแห้งเป็นสะเก็ด หรือโรคดักแด้ หากอากาศหนาว ผิวหนังจะแตกเป็นขุยจนเลือดไหลซึม แต่สู้ชีวิตไม่เคยทําตัวให้เป็นภาระของครอบครัว ออกทํางานหาเงิน ด้วยการรับพวงมาลัยไปขายตามสี่แยกไฟแดง เพื่อหาเงินช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว เนื่องจากผู้เป็นแม่แก่ชราแล้ว และยังใช้เป็นค่าอาหารเลี้ยงดูสุนัขและแมวจรจัด อีกกว่า 80 ตัว ที่เก็บมาเลี้ยง ที่อําเภอเมือง จังหวัดระยอง นั้น ตนขอชื่นชมหญิงคนดังกล่าว ที่ขยันหมั่นเพียร และมีความเข้มแข็งในการดําเนินชีวิต นับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของคนในสังคมปัจจุบัน ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดระยอง (พมจ.ระยอง) เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น รวมทั้งประสานความร่วมมือ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการตรวจสุขภาพ และการรักษาพยาบาลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง และการส่งเสริมอาชีพเพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงระยะยาวต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. กำชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิง 2 คน ที่ถูกลุงเขยข่มขืนกระทำชำเรา และกระทำอนาจาร ที่ จ.เชียงใหม่ วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 รมว. พม. กําชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิง 2 คน ที่ถูกลุงเขยข่มขืนกระทําชําเรา และกระทําอนาจาร ที่ จ.เชียงใหม่ รมว. พม. กําชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิง 2 คน ที่ถูกลุงเขยข่มขืนกระทําชําเรา และกระทําอนาจาร ที่ จ.เชียงใหม่ และช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 10 ขวบ อาศัยอยู่กับแม่วัย 37 ปี ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่ จ.เชียงราย วันนี้ (28 ก.พ. 60) เวลา 08.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 581/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า จากกรณีหญิงวัย 44 ปี พาลูกสาววัย 12 ปี และ 3 ปี เข้าแจ้งความต่อ เจ้าหน้าที่ตํารวจ ว่าถูกลุงเขย ซึ่งเป็นผู้อํานวยการส่วนราชการใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ข่มขืนกระทําชําเรา และกระทําอนาจาร ลูกสาวทั้ง 2 คน ที่อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงใหม่ (พมจ.เชียงใหม่) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมเด็กหญิงดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยเฉพาะการเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงทั้ง 2 คน และครอบครัวโดยด่วน ให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ อีกทั้ง ทางทีม พม. ในพื้นที่จะติดตามการให้ความช่วยเหลือเป็นระยะอย่างต่อเนื่องต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับกรณีเด็กหญิงวัย 10 ขวบ นักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย อาศัยอยู่กับผู้เป็นแม่วัย 37 ปี ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก ไม่สามารถทํางานหนักได้ ทําให้ไม่มีรายได้จุนเจือครอบครัว และยังมีน้องสาววัย 4 ขวบ อีกหนึ่งคน ทั้ง 3 ชีวิต อาศัยในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม ไม่มีน้ําประปาใช้ ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล ที่จังหวัดเชียงราย นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย (พมจ.เชียงราย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น พร้อมอุปกรณ์การเรียน รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลด้านการส่งเสริมสวัสดิการสังคมที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว อาทิ การตรวจสุขภาพและรักษาพยาบาลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง การศึกษาเล่าเรียนของเด็กหญิงทั้ง 2 คน อย่างต่อเนื่อง การปรับปรุงซ่อมแซมที่พักอาศัยให้มีสภาพแข็งแรง มั่นคง ถูกสุขลักษณะ เหมาะสมสําหรับการใช้ชีวิตประจําวันของครอบครัว และบริการสวัสดิการสังคมตามสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมาย เป็นต้น พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีหญิงวัย 34 ปี ป่วยเป็นโรคผิวหนังแตกแห้งเป็นสะเก็ด หรือโรคดักแด้ หากอากาศหนาว ผิวหนังจะแตกเป็นขุยจนเลือดไหลซึม แต่สู้ชีวิตไม่เคยทําตัวให้เป็นภาระของครอบครัว ออกทํางานหาเงิน ด้วยการรับพวงมาลัยไปขายตามสี่แยกไฟแดง เพื่อหาเงินช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว เนื่องจากผู้เป็นแม่แก่ชราแล้ว และยังใช้เป็นค่าอาหารเลี้ยงดูสุนัขและแมวจรจัด อีกกว่า 80 ตัว ที่เก็บมาเลี้ยง ที่อําเภอเมือง จังหวัดระยอง นั้น ตนขอชื่นชมหญิงคนดังกล่าว ที่ขยันหมั่นเพียร และมีความเข้มแข็งในการดําเนินชีวิต นับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของคนในสังคมปัจจุบัน ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดระยอง (พมจ.ระยอง) เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น รวมทั้งประสานความร่วมมือ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการตรวจสุขภาพ และการรักษาพยาบาลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง และการส่งเสริมอาชีพเพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงระยะยาวต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2123
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริตของ ศธ.
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561 ผลประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริตของ ศธ. ผลการประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริตของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีความคืบหน้าผลสอบกรณีทุจริตกองทุนเสมาพัฒนาคุณภาพชีวิต พบข้าราชการเอี่ยว 25 ราย และความคืบหน้าโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา ผลการประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริตของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีความคืบหน้าผลสอบกรณีทุจริตกองทุนเสมาพัฒนาคุณภาพชีวิตพบข้าราชการเอี่ยว 25 ราย และความคืบหน้าโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา (อควาเรียมสงขลา) ส่ง ป.ป.ช. แล้ว คาดรู้ผลสิ้นเดือน พ.ค.นี้ วันนี้ (9 พ.ค.61) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ปัญหาการทุจริตของกระทรวงศึกษาธิการ ว่า ศธ. ได้ทํางานร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) อย่างใกล้ชิด ในการตรวจสอบกรณีการทุจริตในเรื่องต่าง ๆ ขณะเดียวกัน ป.ป.ท. ได้นํากระบวนการทํางานทุกรูปแบบที่มีมาใช้กับการทําคดีทุจริต กองทุนเสมาพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นต้นแบบให้กับกรณีอื่น ๆ ในอนาคตซึ่งทาง ป.ป.ท. ยืนยันว่าอีกไม่นานจะดําเนินการเสร็จสมบูรณ์ ส่วนการทํางานของ ศธ.นั้น คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงฯ ทํางานร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มแข็ง และตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดพบว่ากรณีทุจริตกองทุนเสมาฯ มีข้าราชการเกี่ยวข้อง จํานวน 25 รายทั้งที่พ้นจากราชการไปแล้ว และยังรับราชการอยู่ โดยแบ่งเป็น - กลุ่มทุจริตต่อหน้าที่ราชการ จํานวน 4 คน - กลุ่มรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา จํานวน 2 คน - กลุ่มไม่ปฏิบัติตามแบบแผนและธรรมเนียมของทางราชการ จํานวน 2 คน - กลุ่มประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ จํานวน 21 คน (ทั้งนี้ มีข้าราชการบางรายที่เข้าข่ายเกี่ยวข้องมากกว่าหนึ่งกลุ่ม) ส่วนความเสียหายจากการทุจริตเงินกองทุนเสมาฯ ขณะนี้ยอดรวมอยู่ที่ประมาณ 77 ล้านบาทโดยขอชี้แจงให้รับทราบด้วยว่า ผู้ที่ให้ความร่วมมือกับผู้ทุจริต จะโดนข้อหาฟอกเงินด้วย ขณะนี้ทาง ป.ป.ท. และ ป.ป.ง. กําลังสืบหาเส้นทางการเงินอยู่ โดยมีการสอบสวนทุกบัญชีที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของกระบวนการเยียวยา ขณะนี้กําลังหาช่องทางช่วยเหลืออยู่ โดยได้ประสานไปทางกระทรวงสาธารณสุขให้ตัวแทนนักเรียนพยาบาลที่ได้รับความเสียหายมายื่นเรื่องร้องเรียนที่ ศธ. โดยจะเร่งดําเนินการความผิดทางละเมิดเพื่อเยียวยาผู้เสียหายอย่างเต็มที่ ส่วนโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา (อควาเรียมสงขลา) ขณะนี้ส่ง ป.ป.ช. แล้ว คาดรู้ผลสิ้นเดือน พ.ค.นี้ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวรายละเอียดถึงเรื่องนี้ว่า คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงได้มีข้อสรุปเบื้องต้นว่า ตั้งแต่เริ่มโครงการก่อสร้างอควาเรียมสงขลา เมื่อปี 2549 ภายในสองเดือนแรกก็มีการแก้ไขสัญญากันแล้ว รวมถึงตลอด 10 ปีของการดําเนินโครงการฯ มีการแก้ไขสัญญาทั้งสิ้นจํานวน 6 ครั้ง ซึ่งทางคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ปัญหาทุจริตฯ และคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง มีความเห็นตรงกันว่าเป็นการกระทําที่ผิดสังเกต เนื่องจากมีเหตุผลไม่เพียงพอในการแก้ไขสัญญา โดยเฉพาะการแก้ไขสัญญาสองครั้งสุดท้าย มีรายการแก้ไขกว่าร้อยรายการ สิ่งสําคัญอีกเรื่องคือมีการจ่ายเงินล่วงหน้าก้อนใหญ่ ประมาณ 125 ล้านบาทขณะที่ระยะเวลาสิ้นสุดสัญญาในปี 2546 นั้น อควาเรียมสงขลายังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์แต่มีการตรวจรับไปแล้วนอกจากนี้ยังมีเงินเหลือจ่ายลงไปที่อควาเรียมสงขลาทุกปี ปีละประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนําเงินไปเสริมทัศนียภาพ ทั้งที่ตัวอาคารยังสร้างไม่เสร็จ และหาคําอธิบายยังไม่ได้ ทั้งนี้ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับเรื่องไปดําเนินการทางอาญาต่อแล้ว ส่วนทาง ศธ. จะส่งข้อสรุปเรื่องสัญญาดังกล่าวส่งให้ ป.ป.ช. ด้วย คาดว่าจะทราบผลชัดเจนภายในเดือนพฤษภาคม2561 Written byปารัชญ์ ไชยเวช Photo Creditธนภัทร จันทร์ห้างหว้า, กิตติกร แซ่หมู่ Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริตของ ศธ. วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561 ผลประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริตของ ศธ. ผลการประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริตของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีความคืบหน้าผลสอบกรณีทุจริตกองทุนเสมาพัฒนาคุณภาพชีวิต พบข้าราชการเอี่ยว 25 ราย และความคืบหน้าโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา ผลการประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริตของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีความคืบหน้าผลสอบกรณีทุจริตกองทุนเสมาพัฒนาคุณภาพชีวิตพบข้าราชการเอี่ยว 25 ราย และความคืบหน้าโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา (อควาเรียมสงขลา) ส่ง ป.ป.ช. แล้ว คาดรู้ผลสิ้นเดือน พ.ค.นี้ วันนี้ (9 พ.ค.61) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ปัญหาการทุจริตของกระทรวงศึกษาธิการ ว่า ศธ. ได้ทํางานร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) อย่างใกล้ชิด ในการตรวจสอบกรณีการทุจริตในเรื่องต่าง ๆ ขณะเดียวกัน ป.ป.ท. ได้นํากระบวนการทํางานทุกรูปแบบที่มีมาใช้กับการทําคดีทุจริต กองทุนเสมาพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นต้นแบบให้กับกรณีอื่น ๆ ในอนาคตซึ่งทาง ป.ป.ท. ยืนยันว่าอีกไม่นานจะดําเนินการเสร็จสมบูรณ์ ส่วนการทํางานของ ศธ.นั้น คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงฯ ทํางานร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มแข็ง และตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดพบว่ากรณีทุจริตกองทุนเสมาฯ มีข้าราชการเกี่ยวข้อง จํานวน 25 รายทั้งที่พ้นจากราชการไปแล้ว และยังรับราชการอยู่ โดยแบ่งเป็น - กลุ่มทุจริตต่อหน้าที่ราชการ จํานวน 4 คน - กลุ่มรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา จํานวน 2 คน - กลุ่มไม่ปฏิบัติตามแบบแผนและธรรมเนียมของทางราชการ จํานวน 2 คน - กลุ่มประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ จํานวน 21 คน (ทั้งนี้ มีข้าราชการบางรายที่เข้าข่ายเกี่ยวข้องมากกว่าหนึ่งกลุ่ม) ส่วนความเสียหายจากการทุจริตเงินกองทุนเสมาฯ ขณะนี้ยอดรวมอยู่ที่ประมาณ 77 ล้านบาทโดยขอชี้แจงให้รับทราบด้วยว่า ผู้ที่ให้ความร่วมมือกับผู้ทุจริต จะโดนข้อหาฟอกเงินด้วย ขณะนี้ทาง ป.ป.ท. และ ป.ป.ง. กําลังสืบหาเส้นทางการเงินอยู่ โดยมีการสอบสวนทุกบัญชีที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของกระบวนการเยียวยา ขณะนี้กําลังหาช่องทางช่วยเหลืออยู่ โดยได้ประสานไปทางกระทรวงสาธารณสุขให้ตัวแทนนักเรียนพยาบาลที่ได้รับความเสียหายมายื่นเรื่องร้องเรียนที่ ศธ. โดยจะเร่งดําเนินการความผิดทางละเมิดเพื่อเยียวยาผู้เสียหายอย่างเต็มที่ ส่วนโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา (อควาเรียมสงขลา) ขณะนี้ส่ง ป.ป.ช. แล้ว คาดรู้ผลสิ้นเดือน พ.ค.นี้ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวรายละเอียดถึงเรื่องนี้ว่า คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงได้มีข้อสรุปเบื้องต้นว่า ตั้งแต่เริ่มโครงการก่อสร้างอควาเรียมสงขลา เมื่อปี 2549 ภายในสองเดือนแรกก็มีการแก้ไขสัญญากันแล้ว รวมถึงตลอด 10 ปีของการดําเนินโครงการฯ มีการแก้ไขสัญญาทั้งสิ้นจํานวน 6 ครั้ง ซึ่งทางคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ปัญหาทุจริตฯ และคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง มีความเห็นตรงกันว่าเป็นการกระทําที่ผิดสังเกต เนื่องจากมีเหตุผลไม่เพียงพอในการแก้ไขสัญญา โดยเฉพาะการแก้ไขสัญญาสองครั้งสุดท้าย มีรายการแก้ไขกว่าร้อยรายการ สิ่งสําคัญอีกเรื่องคือมีการจ่ายเงินล่วงหน้าก้อนใหญ่ ประมาณ 125 ล้านบาทขณะที่ระยะเวลาสิ้นสุดสัญญาในปี 2546 นั้น อควาเรียมสงขลายังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์แต่มีการตรวจรับไปแล้วนอกจากนี้ยังมีเงินเหลือจ่ายลงไปที่อควาเรียมสงขลาทุกปี ปีละประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนําเงินไปเสริมทัศนียภาพ ทั้งที่ตัวอาคารยังสร้างไม่เสร็จ และหาคําอธิบายยังไม่ได้ ทั้งนี้ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับเรื่องไปดําเนินการทางอาญาต่อแล้ว ส่วนทาง ศธ. จะส่งข้อสรุปเรื่องสัญญาดังกล่าวส่งให้ ป.ป.ช. ด้วย คาดว่าจะทราบผลชัดเจนภายในเดือนพฤษภาคม2561 Written byปารัชญ์ ไชยเวช Photo Creditธนภัทร จันทร์ห้างหว้า, กิตติกร แซ่หมู่ Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12115
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทก่อสร้างถนนสายแยก ทล. 33 - บ้านภูน้ำเกลี้ยง ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 กรมทางหลวงชนบทก่อสร้างถนนสายแยก ทล. 33 - บ้านภูน้ําเกลี้ยง ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยก ทล. 33 - บ้านภูน้ําเกลี้ยง ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ระยะทาง 10.300 กิโลเมตร เพื่อรองรับการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.สระแก้ว สนับสนุนการเดินทางและการขนส่ง และแก้ไขปัญหาจราจร ปัจจุบันมีผลงานความก้าวหน้า ร้อยละ 78.68 คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ประชาชนสัญจรประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2561 นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในภูมิภาคอาเซียน และขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเริ่มจากการพัฒนาด่านการค้าชายแดนและโครงข่ายคมนาคมบริเวณประตูการค้าหลักของประเทศ ซึ่งระยะแรกได้กําหนดพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จํานวน 5 แห่ง ได้แก่ เขตเศรษฐกิจพิเศษตราด ตาก มุกดาหาร สระแก้ว และสงขลา ซึ่งกระทรวงฯ ได้กําหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการระบบคมนาคมขนส่ง เชื่อมโยงพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ รองรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และเชื่อมโยงการเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ทช. ได้ดําเนินโครงการปรับปรุงถนนสายแยก ทล.33 - บ้านภูน้ําเกลี้ยง ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จากถนนลูกรังเป็นถนนลาดยางแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ขนาด 2 ช่องจราจร ความกว้าง 6 เมตร ระยะทาง 10.300 กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างท่อลอดเหลี่ยมคอนกรีตเสริมเหล็ก จํานวน 1 แห่ง ระบบระบายน้ํา เครื่องหมายจราจร สิ่งอํานวยความสะดวกและปลอดภัยสําหรับผู้ใช้เส้นทาง เพื่อเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 33 (กม.302+690) บ้านดงงู กับถนนทางหลวงชนบทสาย สก. 3085 (กม.9+625) ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ปัจจุบันมีผลงานความก้าวหน้า ร้อยละ 78.68 คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ประชาชนสัญจรประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2561 เพื่อใช้เป็นเส้นทางเลี่ยงเมือง เชื่อมโยงการผลิตสินค้าเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมไปสู่ตลาดและผู้บริโภค สนับสนุนยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ในการขนส่งสินค้าระหว่างชายแดนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ รองรับการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งลดต้นทุนการขนส่ง สนับสนุนการท่องเที่ยวให้สามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และส่งเสริมการจ้างงานให้กับประชาชนในพื้นที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทก่อสร้างถนนสายแยก ทล. 33 - บ้านภูน้ำเกลี้ยง ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 กรมทางหลวงชนบทก่อสร้างถนนสายแยก ทล. 33 - บ้านภูน้ําเกลี้ยง ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยก ทล. 33 - บ้านภูน้ําเกลี้ยง ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ระยะทาง 10.300 กิโลเมตร เพื่อรองรับการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.สระแก้ว สนับสนุนการเดินทางและการขนส่ง และแก้ไขปัญหาจราจร ปัจจุบันมีผลงานความก้าวหน้า ร้อยละ 78.68 คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ประชาชนสัญจรประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2561 นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในภูมิภาคอาเซียน และขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเริ่มจากการพัฒนาด่านการค้าชายแดนและโครงข่ายคมนาคมบริเวณประตูการค้าหลักของประเทศ ซึ่งระยะแรกได้กําหนดพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จํานวน 5 แห่ง ได้แก่ เขตเศรษฐกิจพิเศษตราด ตาก มุกดาหาร สระแก้ว และสงขลา ซึ่งกระทรวงฯ ได้กําหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการระบบคมนาคมขนส่ง เชื่อมโยงพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ รองรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และเชื่อมโยงการเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ทช. ได้ดําเนินโครงการปรับปรุงถนนสายแยก ทล.33 - บ้านภูน้ําเกลี้ยง ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จากถนนลูกรังเป็นถนนลาดยางแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ขนาด 2 ช่องจราจร ความกว้าง 6 เมตร ระยะทาง 10.300 กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างท่อลอดเหลี่ยมคอนกรีตเสริมเหล็ก จํานวน 1 แห่ง ระบบระบายน้ํา เครื่องหมายจราจร สิ่งอํานวยความสะดวกและปลอดภัยสําหรับผู้ใช้เส้นทาง เพื่อเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 33 (กม.302+690) บ้านดงงู กับถนนทางหลวงชนบทสาย สก. 3085 (กม.9+625) ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ปัจจุบันมีผลงานความก้าวหน้า ร้อยละ 78.68 คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ประชาชนสัญจรประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2561 เพื่อใช้เป็นเส้นทางเลี่ยงเมือง เชื่อมโยงการผลิตสินค้าเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมไปสู่ตลาดและผู้บริโภค สนับสนุนยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ในการขนส่งสินค้าระหว่างชายแดนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ รองรับการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งลดต้นทุนการขนส่ง สนับสนุนการท่องเที่ยวให้สามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และส่งเสริมการจ้างงานให้กับประชาชนในพื้นที่
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6602
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ย้ำนายจ้างจัดสวัสดิการเวชภัณฑ์และยาให้กับลูกจ้างตาม กม.
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561 กสร. ย้ํานายจ้างจัดสวัสดิการเวชภัณฑ์และยาให้กับลูกจ้างตาม กม. กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ย้ํานายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป จัดสวัสดิการเวชภัณฑ์และยาเพื่อใช้ในการปฐมพยาบาลให้กับลูกจ้างตามที่กฎหมายกําหนด ฝ่าฝืนมีความผิด นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้กําหนดให้นายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการจัดสวัสดิการที่จําเป็นเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้าง ทั้งนี้สําหรับสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ พ.ศ. 2548 กําหนดให้นายจ้างต้องจัดให้มีเวชภัณฑ์และยาเพื่อใช้ในการปฐมพยาบาลในจํานวนที่เพียงพอ โดยต้องมีเวชภัณฑ์และยาพื้นฐาน อย่างน้อย 29 รายการ เช่น ปรอทวัดไข้ แอลกอฮอล์เช็ดแผล ยาแก้แพ้ ยาบรรเทาปวดลดไข้ เป็นต้น สําหรับนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะมีความผิด โดยมีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ อธิบดีกสร. กล่าวต่อว่า กสร.จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 หรือสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ย้ำนายจ้างจัดสวัสดิการเวชภัณฑ์และยาให้กับลูกจ้างตาม กม. วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561 กสร. ย้ํานายจ้างจัดสวัสดิการเวชภัณฑ์และยาให้กับลูกจ้างตาม กม. กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ย้ํานายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป จัดสวัสดิการเวชภัณฑ์และยาเพื่อใช้ในการปฐมพยาบาลให้กับลูกจ้างตามที่กฎหมายกําหนด ฝ่าฝืนมีความผิด นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้กําหนดให้นายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการจัดสวัสดิการที่จําเป็นเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้าง ทั้งนี้สําหรับสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ พ.ศ. 2548 กําหนดให้นายจ้างต้องจัดให้มีเวชภัณฑ์และยาเพื่อใช้ในการปฐมพยาบาลในจํานวนที่เพียงพอ โดยต้องมีเวชภัณฑ์และยาพื้นฐาน อย่างน้อย 29 รายการ เช่น ปรอทวัดไข้ แอลกอฮอล์เช็ดแผล ยาแก้แพ้ ยาบรรเทาปวดลดไข้ เป็นต้น สําหรับนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะมีความผิด โดยมีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ อธิบดีกสร. กล่าวต่อว่า กสร.จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 หรือสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15057
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.เยือนญี่ปุ่น
วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561 รมว.ศธ.เยือนญี่ปุ่น รมว.ศึกษาธิการ "นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์" เข้าพบนาย Yoshimasa Hayashi รมว.ศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่กระทรวงศึกษาธิการฯ กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา รมว.ศึกษาธิการ "นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์" เข้าพบนายYoshimasa Hayashiรมว.ศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่กระทรวงศึกษาธิการฯ กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา พร้อมทั้งเชิญชวนให้สถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูงของญี่ปุ่นไปเปิดสาขาในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่EEC นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะ ประกอบด้วยนางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ น.ส.นงศิลินี โมสิกะ ผู้อํานวยการสํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้เข้าพบนายYoshimasa Hayashiรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเมื่อวันที่11เมษายน 2561 ณ กระทรวงศึกษาธิการฯ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น รมว.ศึกษาธิการของไทยได้กล่าวขอบคุณ รมว.ศึกษาธิการฯ ญี่ปุ่น ที่ให้การต้อนรับ และกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ว่า​ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา โดยขอเชิญชวนให้สถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูงของญี่ปุ่นไปเปิดสาขาในประเทศไทย รวมทั้งได้รับคําเชิญจากประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะให้ไปเยือนฟุกุโอกะ เพื่อเสริมสร้างสัมพันธภาพที่มีมาอย่างยาวนาน รมว.ศึกษาธิการของไทย ได้กล่าวชมเชยประเทศญี่ปุ่นที่มีผลการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ หรือPISAเป็นอันดับที่ 2 ของโลกด้านวิทยาศาสตร์ ประเทศไทยยังต้องการความช่วยเหลือจากประเทศญี่ปุ่นในการพัฒนาด้านการศึกษา ในขณะนี้ได้มีกฎหมายพิเศษเพื่อส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศมาเปิดสาขาในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และยังมีมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในลักษณะเดียวกันกับสถาบันการศึกษาในประเทศ ซึ่งหากเป็นสถาบันในระดับวิทยาลัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสามารถอนุญาตได้ทันที ทั้งนี้รมว.ศึกษาธิการของไทย ได้ขอให้ทางฝ่ายญี่ปุ่นพิจารณาการเปิดKOSEN(National institute of Technology) ในไทย ซึ่งขณะนี้มีมหาวิทยาลัยCarnegie Mellonสหรัฐอเมริกา ได้มาเปิดสาขาในไทยแล้ว และมีมหาวิทยาลัยจากไต้หวันและจีนที่แสดงความสนใจที่จะมาเปิดสาขาในไทย รมว.ศึกษาธิการฯ ญี่ปุ่นได้แสดงความสนใจในเรื่องนี้ และกล่าวว่ามีบริษัทญี่ปุ่นจํานวนมากตั้งอยู่ในเขตEECของไทย สําหรับKOSENก็มีสํานักงานอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการของไทยแล้ว บริษัทของญี่ปุ่นต่างก็มีประสบการณ์กับKOSENเป็นอย่างดี และยินดีให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในทุกๆด้าน โดยส่วนตัวแล้วมีความผูกพันกับประเทศไทย เนื่องจากในอดีตเคยเป็นนักธุรกิจที่ติดต่อกับไทยมาก่อนที่จะเข้ารับตําแหน่งทางการเมือง ก่อนเดินทางกลับรมว.ศึกษาธิการของไทย ได้เรียนเชิญรมว.ศึกษาธิการฯ ญี่ปุ่น ได้เดินทางไปเยือนไทยในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป Written byนงศิลินี โมสิกะ Photo Creditนงศิลินี โมสิกะ Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.เยือนญี่ปุ่น วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561 รมว.ศธ.เยือนญี่ปุ่น รมว.ศึกษาธิการ "นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์" เข้าพบนาย Yoshimasa Hayashi รมว.ศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่กระทรวงศึกษาธิการฯ กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา รมว.ศึกษาธิการ "นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์" เข้าพบนายYoshimasa Hayashiรมว.ศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่กระทรวงศึกษาธิการฯ กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา พร้อมทั้งเชิญชวนให้สถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูงของญี่ปุ่นไปเปิดสาขาในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่EEC นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะ ประกอบด้วยนางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ น.ส.นงศิลินี โมสิกะ ผู้อํานวยการสํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้เข้าพบนายYoshimasa Hayashiรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเมื่อวันที่11เมษายน 2561 ณ กระทรวงศึกษาธิการฯ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น รมว.ศึกษาธิการของไทยได้กล่าวขอบคุณ รมว.ศึกษาธิการฯ ญี่ปุ่น ที่ให้การต้อนรับ และกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ว่า​ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา โดยขอเชิญชวนให้สถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูงของญี่ปุ่นไปเปิดสาขาในประเทศไทย รวมทั้งได้รับคําเชิญจากประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะให้ไปเยือนฟุกุโอกะ เพื่อเสริมสร้างสัมพันธภาพที่มีมาอย่างยาวนาน รมว.ศึกษาธิการของไทย ได้กล่าวชมเชยประเทศญี่ปุ่นที่มีผลการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ หรือPISAเป็นอันดับที่ 2 ของโลกด้านวิทยาศาสตร์ ประเทศไทยยังต้องการความช่วยเหลือจากประเทศญี่ปุ่นในการพัฒนาด้านการศึกษา ในขณะนี้ได้มีกฎหมายพิเศษเพื่อส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศมาเปิดสาขาในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และยังมีมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในลักษณะเดียวกันกับสถาบันการศึกษาในประเทศ ซึ่งหากเป็นสถาบันในระดับวิทยาลัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสามารถอนุญาตได้ทันที ทั้งนี้รมว.ศึกษาธิการของไทย ได้ขอให้ทางฝ่ายญี่ปุ่นพิจารณาการเปิดKOSEN(National institute of Technology) ในไทย ซึ่งขณะนี้มีมหาวิทยาลัยCarnegie Mellonสหรัฐอเมริกา ได้มาเปิดสาขาในไทยแล้ว และมีมหาวิทยาลัยจากไต้หวันและจีนที่แสดงความสนใจที่จะมาเปิดสาขาในไทย รมว.ศึกษาธิการฯ ญี่ปุ่นได้แสดงความสนใจในเรื่องนี้ และกล่าวว่ามีบริษัทญี่ปุ่นจํานวนมากตั้งอยู่ในเขตEECของไทย สําหรับKOSENก็มีสํานักงานอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการของไทยแล้ว บริษัทของญี่ปุ่นต่างก็มีประสบการณ์กับKOSENเป็นอย่างดี และยินดีให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในทุกๆด้าน โดยส่วนตัวแล้วมีความผูกพันกับประเทศไทย เนื่องจากในอดีตเคยเป็นนักธุรกิจที่ติดต่อกับไทยมาก่อนที่จะเข้ารับตําแหน่งทางการเมือง ก่อนเดินทางกลับรมว.ศึกษาธิการของไทย ได้เรียนเชิญรมว.ศึกษาธิการฯ ญี่ปุ่น ได้เดินทางไปเยือนไทยในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป Written byนงศิลินี โมสิกะ Photo Creditนงศิลินี โมสิกะ Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11516
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ดิจิทัลชุมชน และเน็ตประชารัฐ จ.ชัยภูมิ
วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2561 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ดิจิทัลชุมชน และเน็ตประชารัฐ จ.ชัยภูมิ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ดิจิทัลชุมชน และเน็ตประชารัฐ จ.ชัยภูมิ ในวันจันทร์ที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานศูนย์ดิจิทัลชุมชนอําเภอจตุรัส โดยมีนายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ คณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดชัยภูมิ และประชาชนในพื้นที่ ให้การต้อนรับ ณ ที่ว่าการอําเภอจตุรัส ตําบลบ้านกอก อําเภอจตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ต่อจากนั้นเวลา ๑๐.๑๐ น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ เยี่ยมชมจุดเน็ตประชารัฐ ณ บ้านปากคันฉู ตําบลลุ่มลําชี อําเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ เวลา ๑๐.๔๕ น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวถึงความสําเร็จโครงการเน็ตประชารัฐ ๒๔,๗๐๐ หมู่บ้าน และการขยายผลการใช้ประโยชน์เน็ตประชารัฐ" และเยี่ยมชมดูงานโครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ ณ บึงละหาน อําเภอจตุรัส จังหวัดชัยภูมิ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ในการสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคม ผ่านการบูรณาการงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกๆ ด้าน อาทิ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น เพื่อวางรากฐานในการลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนทั่วทั้งประเทศ โดยการดําเนินโครงการเน็ตประชารัฐ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะทําให้ประชาชนเข้าถึงงานบริการของภาครัฐอย่างเท่าเทียม และเป็นการสร้างฐานความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติ อันจะส่งผลให้การขับเคลื่อนนโยบายในการพัฒนาประเทศมีความมั่นคง และยั่งยืนต่อไป ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบพันธุ์มะพร้าวน้ําหอมให้แก่ผู้แทนกลุ่มเกษตรกรบึงละหาน จํานวน ๑๐ ราย พร้อมทั้งปลูกมะพร้าวพันธุ์น้ําหอมไว้ด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ดิจิทัลชุมชน และเน็ตประชารัฐ จ.ชัยภูมิ วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2561 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ดิจิทัลชุมชน และเน็ตประชารัฐ จ.ชัยภูมิ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ดิจิทัลชุมชน และเน็ตประชารัฐ จ.ชัยภูมิ ในวันจันทร์ที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานศูนย์ดิจิทัลชุมชนอําเภอจตุรัส โดยมีนายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ คณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดชัยภูมิ และประชาชนในพื้นที่ ให้การต้อนรับ ณ ที่ว่าการอําเภอจตุรัส ตําบลบ้านกอก อําเภอจตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ต่อจากนั้นเวลา ๑๐.๑๐ น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ เยี่ยมชมจุดเน็ตประชารัฐ ณ บ้านปากคันฉู ตําบลลุ่มลําชี อําเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ เวลา ๑๐.๔๕ น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวถึงความสําเร็จโครงการเน็ตประชารัฐ ๒๔,๗๐๐ หมู่บ้าน และการขยายผลการใช้ประโยชน์เน็ตประชารัฐ" และเยี่ยมชมดูงานโครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ ณ บึงละหาน อําเภอจตุรัส จังหวัดชัยภูมิ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ในการสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคม ผ่านการบูรณาการงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกๆ ด้าน อาทิ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น เพื่อวางรากฐานในการลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนทั่วทั้งประเทศ โดยการดําเนินโครงการเน็ตประชารัฐ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะทําให้ประชาชนเข้าถึงงานบริการของภาครัฐอย่างเท่าเทียม และเป็นการสร้างฐานความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติ อันจะส่งผลให้การขับเคลื่อนนโยบายในการพัฒนาประเทศมีความมั่นคง และยั่งยืนต่อไป ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบพันธุ์มะพร้าวน้ําหอมให้แก่ผู้แทนกลุ่มเกษตรกรบึงละหาน จํานวน ๑๐ ราย พร้อมทั้งปลูกมะพร้าวพันธุ์น้ําหอมไว้ด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12058
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานนำพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร [กระทรวงวัฒนธรรม]
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานนําพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร [กระทรวงวัฒนธรรม] นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานนําพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กราบสักการะสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร และเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช พร้อมทั้งเป็นประธานนําพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓ เฉลิมพระเกียรติ โดยจัดตั้งโรงทานตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช แจกจ่ายอาหารให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ นํากลับไปรับประทานที่บ้าน รวมทั้งมอบถุงยังชีพ เครื่องอุปโภค-บริโภค ให้แก่ผู้แทนครอบครัวที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายสัมฤทธิ์ พงษ์วิรัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม เข้าร่วม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานนำพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร [กระทรวงวัฒนธรรม] วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานนําพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร [กระทรวงวัฒนธรรม] นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานนําพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กราบสักการะสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร และเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช พร้อมทั้งเป็นประธานนําพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓ เฉลิมพระเกียรติ โดยจัดตั้งโรงทานตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช แจกจ่ายอาหารให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ นํากลับไปรับประทานที่บ้าน รวมทั้งมอบถุงยังชีพ เครื่องอุปโภค-บริโภค ให้แก่ผู้แทนครอบครัวที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายสัมฤทธิ์ พงษ์วิรัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม เข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29634
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกันสังคม ตอบคำถาม เรื่อง การลดอัตราเงินสมทบและขยายเวลาการนำส่งเงินสมทบ [กระทรวงแรงงาน]
วันเสาร์ที่ 11 เมษายน 2563 ประกันสังคม ตอบคําถาม เรื่อง การลดอัตราเงินสมทบและขยายเวลาการนําส่งเงินสมทบ [กระทรวงแรงงาน] ประกันสังคม ตอบคําถาม เรื่อง การลดอัตราเงินสมทบและขยายเวลาการนําส่งเงินสมทบ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มี.ค.63 และวันที่ 31 มี.ค.63 ได้มีมติออกมาตรการช่วยเหลือนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตน ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในเรื่องของการลดอัตราเงินสมทบและขยายเวลาการนําส่งเงินสมทบ ซึ่งมีประเด็นคําถามจากนายจ้าง ผู้ประกันตนสอบถามเข้ามาจํานวนมาก สํานักงานประกันสังคมจึงได้ดําเนินการรวบรวมเพื่อตอบคําถาม เพื่อทําความเข้าใจแก่ นายจ้าง ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 (ตามภาพ) ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถาม ที่หน้าเว็บไซต์ www.sso.go.th ผ่านช่องทาง E-mail : info @sso1506.com Webboard (กระดานสนทนา) Live Chat รวมทั้ง Facebook.com/ssofanpage สํานักงานประกันสังคมกระทรวงแรงงาน ศูนย์สารนิเทศ สํานักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกันสังคม ตอบคำถาม เรื่อง การลดอัตราเงินสมทบและขยายเวลาการนำส่งเงินสมทบ [กระทรวงแรงงาน] วันเสาร์ที่ 11 เมษายน 2563 ประกันสังคม ตอบคําถาม เรื่อง การลดอัตราเงินสมทบและขยายเวลาการนําส่งเงินสมทบ [กระทรวงแรงงาน] ประกันสังคม ตอบคําถาม เรื่อง การลดอัตราเงินสมทบและขยายเวลาการนําส่งเงินสมทบ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มี.ค.63 และวันที่ 31 มี.ค.63 ได้มีมติออกมาตรการช่วยเหลือนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตน ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในเรื่องของการลดอัตราเงินสมทบและขยายเวลาการนําส่งเงินสมทบ ซึ่งมีประเด็นคําถามจากนายจ้าง ผู้ประกันตนสอบถามเข้ามาจํานวนมาก สํานักงานประกันสังคมจึงได้ดําเนินการรวบรวมเพื่อตอบคําถาม เพื่อทําความเข้าใจแก่ นายจ้าง ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 (ตามภาพ) ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถาม ที่หน้าเว็บไซต์ www.sso.go.th ผ่านช่องทาง E-mail : info @sso1506.com Webboard (กระดานสนทนา) Live Chat รวมทั้ง Facebook.com/ssofanpage สํานักงานประกันสังคมกระทรวงแรงงาน ศูนย์สารนิเทศ สํานักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28867
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยประเมินจีดีพีปีนี้โต 1.5% หากไวรัสโคโรนากินเวลา 6 เดือนเต็ม
วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563 กรุงไทยประเมินจีดีพีปีนี้โต 1.5% หากไวรัสโคโรนากินเวลา 6 เดือนเต็ม ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตที่ 1.5% หากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เขย่าเศรษฐกิจทั่วโลก กินเวลา 6 เดือนเต็ม เผยรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตที่ 1.5% หากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เขย่าเศรษฐกิจทั่วโลก กินเวลา 6 เดือนเต็ม เผยรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท และหากภัยแล้งรุนแรง อาจทําให้พืชผลการเกษตรหลักสูญเสียรวมถึง 5.8 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม อัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐคาดว่าจะอยู่ที่ 67% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา และมีโอกาสเห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปอยู่ที่ 0.75% ต่อปี ในครึ่งปีแรก ส่วนราคาน้ํามันที่ลดลงแรงอาจทําให้เอกชนชะลอการลงทุน ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลก ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก ที่เป็นเครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวของไทยปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท จํานวนนักท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีแรกเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในกรุงเทพฯจะลดลงประมาณ 3 ล้านคน ภูเก็ตและเชียงใหม่จะลดลงกว่า 1 ล้านคน โดยรายได้ของธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ จะได้รับผลกระทบเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ส่วนด้านการส่งออก คาดว่าจะหดตัว 1.9% โดยผลกระทบต่อการส่งออกคาดว่าจะสั้นกว่าผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว “การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่หลายฝ่ายคาด เนื่องจากการแพร่ระบาดไม่ได้จํากัดอยู่แค่ประเทศจีนแล้ว แต่ได้ลามไปประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อื่นๆ ด้วย เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอิตาลี โดยขณะนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซึ่งหากใช้เวลา 6 เดือนเต็ม มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตเพียง 1.5% ภาพการลงทุนของเอกชนในปีนี้จึงไม่สดใสนักและมีแนวโน้มจะชะลอเพิ่มเติมเพราะราคาน้ํามันลดลงแรง นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับอีกหลายปัจจัยเสี่ยง ทั้งภัยแล้ง เศรษฐกิจอาเซียนที่ชะลอลง สงครามการค้าที่ยังยืดเยื้อ และข้อตกลง EVFTA ของเวียดนามที่จะเพิ่มอุปสรรคต่อการส่งออกสิ่งทอไทยในตลาดยุโรป โดยเฉพาะภัยแล้งหากรุนแรง อาจทําให้พืชผลการเกษตรหลัก ได้แก่ ข้าว มันสําปะหลัง และอ้อย สูญเสียรวม 5.8 หมื่นล้านบาท กระทบต่อกําลังซื้อของครัวเรือนในภาคเกษตร” ดร. มานะ นิมิตรวานิช ผู้อํานวยการฝ่าย กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาครัฐจะเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญสําหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ผ่านการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจําปี 2563 ของทุกส่วนราชการ โดยการเบิกจ่ายรายจ่ายประจําจะสามารถเบิกจ่ายเต็มวงเงินที่ 2.4 ล้านล้านบาท ส่วนงบลงทุนจะเบิกจ่ายได้ไม่ต่ํากว่า 67% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ คาดว่าภาครัฐจะระดมมาตรการกระตุ้นการบริโภคออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศหลังโควิด-19 คลี่คลาย การต่อยอดมาตรการกระตุ้นการบริโภค ชิมช้อปใช้ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนและประคับประคองเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีนี้ ส่วนภาวะตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้ จะได้รับประโยชน์จากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมและจดจํานอง “ด้านนโยบายการเงิน Krungthai COMPASS มองว่ามีแนวโน้มที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะผ่อนคลายเพิ่มเติม และมีโอกาสจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ 0.75% ต่อปี ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งต่ําสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อลดภาระการชําระหนี้ให้กับผู้ประกอบการและครัวเรือน ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาสที่สอง แต่จะกลับมาแข็งค่าขึ้นตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลในระดับสูงเนื่องจากราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างมาก” ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด โทร. 02 208 4174 8
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยประเมินจีดีพีปีนี้โต 1.5% หากไวรัสโคโรนากินเวลา 6 เดือนเต็ม วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563 กรุงไทยประเมินจีดีพีปีนี้โต 1.5% หากไวรัสโคโรนากินเวลา 6 เดือนเต็ม ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตที่ 1.5% หากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เขย่าเศรษฐกิจทั่วโลก กินเวลา 6 เดือนเต็ม เผยรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตที่ 1.5% หากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เขย่าเศรษฐกิจทั่วโลก กินเวลา 6 เดือนเต็ม เผยรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท และหากภัยแล้งรุนแรง อาจทําให้พืชผลการเกษตรหลักสูญเสียรวมถึง 5.8 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม อัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐคาดว่าจะอยู่ที่ 67% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา และมีโอกาสเห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปอยู่ที่ 0.75% ต่อปี ในครึ่งปีแรก ส่วนราคาน้ํามันที่ลดลงแรงอาจทําให้เอกชนชะลอการลงทุน ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลก ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก ที่เป็นเครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวของไทยปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท จํานวนนักท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีแรกเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในกรุงเทพฯจะลดลงประมาณ 3 ล้านคน ภูเก็ตและเชียงใหม่จะลดลงกว่า 1 ล้านคน โดยรายได้ของธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ จะได้รับผลกระทบเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ส่วนด้านการส่งออก คาดว่าจะหดตัว 1.9% โดยผลกระทบต่อการส่งออกคาดว่าจะสั้นกว่าผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว “การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่หลายฝ่ายคาด เนื่องจากการแพร่ระบาดไม่ได้จํากัดอยู่แค่ประเทศจีนแล้ว แต่ได้ลามไปประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อื่นๆ ด้วย เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอิตาลี โดยขณะนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซึ่งหากใช้เวลา 6 เดือนเต็ม มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตเพียง 1.5% ภาพการลงทุนของเอกชนในปีนี้จึงไม่สดใสนักและมีแนวโน้มจะชะลอเพิ่มเติมเพราะราคาน้ํามันลดลงแรง นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับอีกหลายปัจจัยเสี่ยง ทั้งภัยแล้ง เศรษฐกิจอาเซียนที่ชะลอลง สงครามการค้าที่ยังยืดเยื้อ และข้อตกลง EVFTA ของเวียดนามที่จะเพิ่มอุปสรรคต่อการส่งออกสิ่งทอไทยในตลาดยุโรป โดยเฉพาะภัยแล้งหากรุนแรง อาจทําให้พืชผลการเกษตรหลัก ได้แก่ ข้าว มันสําปะหลัง และอ้อย สูญเสียรวม 5.8 หมื่นล้านบาท กระทบต่อกําลังซื้อของครัวเรือนในภาคเกษตร” ดร. มานะ นิมิตรวานิช ผู้อํานวยการฝ่าย กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาครัฐจะเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญสําหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ผ่านการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจําปี 2563 ของทุกส่วนราชการ โดยการเบิกจ่ายรายจ่ายประจําจะสามารถเบิกจ่ายเต็มวงเงินที่ 2.4 ล้านล้านบาท ส่วนงบลงทุนจะเบิกจ่ายได้ไม่ต่ํากว่า 67% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ คาดว่าภาครัฐจะระดมมาตรการกระตุ้นการบริโภคออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศหลังโควิด-19 คลี่คลาย การต่อยอดมาตรการกระตุ้นการบริโภค ชิมช้อปใช้ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนและประคับประคองเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีนี้ ส่วนภาวะตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้ จะได้รับประโยชน์จากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมและจดจํานอง “ด้านนโยบายการเงิน Krungthai COMPASS มองว่ามีแนวโน้มที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะผ่อนคลายเพิ่มเติม และมีโอกาสจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ 0.75% ต่อปี ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งต่ําสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อลดภาระการชําระหนี้ให้กับผู้ประกอบการและครัวเรือน ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาสที่สอง แต่จะกลับมาแข็งค่าขึ้นตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลในระดับสูงเนื่องจากราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างมาก” ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด โทร. 02 208 4174 8
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27081
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2558 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สัปดาห์นี้วงการกรีฑาผู้พิการของไทยได้สร้างชื่อเสียง และนําความสุขมามอบให้กับพี่น้องชาวไทย โดยคุณเรวัตร์ ต๋านะ นักกีฬาวีลแชร์เรซซิ่ง ทีมชาติไทยสามารถคว้าแชมป์โลกวีลแชร์ เรซซิ่ง 1,500 เมตร ที 54 มาได้ ในการแข่งขัน ไอพีซี แอธเลติกส์ เวิลด์แชมเปี้ยนชิพ 2015 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา นอกจากนี้คุณสายชล คนเจน ก็สามารถคว้าเหรียญเงินมาครองในการแข่งขัน 200 เมตร ที 54 อีกด้วย นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีและชื่นชม ในนามของรัฐบาล ผมขอยกย่องและขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนเลยนะครับที่เป็นตัวแทนของประเทศและได้นําชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทยของเรา วันนี้ผมมีข้อห่วงใยและเรื่องที่เรียนให้ทราบดังต่อไปนี้ เรื่องอุบัติเหตุทางถนน เป็นเรื่องที่หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง มีความกังวลและห่วงใยมาโดยตลอด มีความพยายามในหลายวิธีการ เพื่อไม่ให้พี่น้องประชาชนต้องสูญเสียชีวิต หรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันหยุดเทศกาล ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถจักรยานยนต์ รถโดยสาร รถทัวร์ และรถรับจ้าง โดยสถิติการสูญเสียชีวิตนั้น จากการจราจรสูงมาก ถือเป็นการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ อันมีค่าสูงสุดของประเทศ และการสูญเสียทางเศรษฐกิจอีกด้วย คงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ ไม่มีใครมีความสุขที่ได้เห็นสถิติการเสียชีวิต การบาดเจ็บ ถึงแม้ว่าจะลดลงอย่างไรก็ตาม แต่ก็มีคนเจ็บคนตายอยู่ ผมก็ไม่อยากให้มีสักคนเดียว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้สั่งการทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแล้ว ให้ไปหาแนวทางในเรื่องทบทวนหลักเกณฑ์ กติกา ข้อกฎหมาย ในการที่จะควบคุมการขับขี่ยานพาหนะ การใช้รถใช้ถนน การจราจร ตลอดจนเงื่อนไขการประกันภัย ประกันชีวิตต่าง ๆ ให้มีการปรับปรุงมาตรการควบคุม พลขับ พนักงานขับรถ ทั้งภาครัฐและเอกชน มีเครื่องมือในการควบคุมความเร็ว เช่น เรื่องระยะเวลาในการทํางานของพนักงานขับรถ ต้องไม่เกินกี่ชั่วโมงต่อวัน ความเร็วต้องไม่เกินเท่าไหร่ ใช้เครื่องมือควบคุมใช้อย่างไร ตลอดจนมาตรการควบคุมไม่ให้พนักงานขับรถที่เมาสุราหรือมีกลิ่นสุรามาขับรถได้ สําหรับรถเมล์ใหม่ รถรับจ้างใหม่ที่กําลังจัดหา จะต้องมีเครื่องมือพิเศษ เช่น GPS หรือเครื่องควบคุมความเร็ว ควบคุมพลขับ รถเก่านั้นค่อย ๆ ปรับปรุงไป อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องการปรับปรุงถนนที่กลับรถ ทางโค้ง เส้นทางอันตรายที่ขึ้นเนินอะไรก็แล้วแต่ ที่มีความเสี่ยงไม่ปลอดภัย รวมทั้งอุปกรณ์ทันสมัยให้กับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการจราจรและอุบัติเหตุ ให้มีการบูรณาการงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้รถได้มาดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ แล้วเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม เรื่องการท่องเที่ยว สําหรับการใช้ที่ดินเพื่อการท่องเที่ยวที่เป็นที่ถูกกฎหมายนั้นก็ไม่มีปัญหา จัดระเบียบภายในได้ แต่ถ้าหากว่าเป็นที่ดินที่มีปัญหาอยู่ในการที่จะสร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ถูกบุกรุกอยู่ในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ภูทับเบิก เราจะต้องดําเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อนและตรงตามวัตถุประสงค์เดิมที่กําหนด ในบางพื้นที่ที่อาจจะมีความบกพร่องไม่ถูกต้องจะต้องมีมาตรการรองรับ แต่ทุกคนที่บุกรุกอยู่จะต้องยอมรับในกฎหมาย กฎหมายว่าอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น ไม่ใช่ก็ยังคงประกอบการต่อไป แต่จะต้องหาทางว่ารัฐบาลจะทําอย่างไรกับบุคคลเหล่านี้ แต่ถ้าในพื้นที่ที่ถูกต้องก็ไปบริหารจัดการกันให้มีความเรียบร้อย สวยงาม สะอาดและเป็นที่ท่องเที่ยว ที่พักของนักท่องเที่ยว ตอนนี้การท่องเที่ยวของประเทศไทยกําลังบูมอยู่ เพราะฉะนั้นผู้ที่กระทําความผิดกฎหมายจะต้องยอมรับว่า ตัวเองนั้นมีการกระทําความผิดอยู่ จะให้รัฐช่วยเหลืออะไรอย่างไร ถ้าไม่ยอมรับกันก็ช่วยอะไรไม่ได้ อีกประการหนึ่ง คือประชาชนต้องให้ความร่วมมือกับรัฐด้วย ช่วยกันเคารพกฎหมาย ไม่สนับสนุนการกระทําผิดกฎหมาย ผิดระเบียบ ผิดกติกาที่กําหนด โดยไม่มีการบอกว่าทําผิดด้วยความจําเป็นเพราะไม่มีรายได้ หรืออยากให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยที่ไม่ได้ดูว่ามีการบุกรุกสถานที่หรือบุกรุกป่าไม้หรือไม่อะไรทํานองนี้ เรากําลังทําเรื่องเหล่านี้ให้มีความชัดเจนขึ้นต่อไปในอนาคตและยั่งยืนด้วย เรื่องผลิตผลทางการเกษตรทุกชนิด ปัจจุบันรัฐบาลกําลังกําหนดมาตรการช่วยเหลือ ในการปรับโครงสร้างการเกษตร เพื่อให้ชาวเกษตรกรได้ยืนอยู่อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ด้วยตัวของตัวเองเข้มแข็งจากภายใน ผมขอเตือนบรรดาแกนนํากลุ่มต่าง ๆ ว่าอย่าได้นําเกษตรกรมาเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาล เพราะรัฐบาลนี้จะไม่ดําเนินการตามข้อเรียกร้องที่ไม่เกิดประโยชน์แก่ตัวท่าน เราจะดําเนินการในลักษณะเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับพวกท่าน ขอให้ทุกคนร่วมมือกับเราในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืนจะดีกว่า ทุก ๆ คน ทุกคณะที่มา ผมก็ได้ให้หน่วยงานชี้แจงไปแล้วว่าถ้าฟังเรา แนวทางของเรา และร่วมมือกับเรา เราก็ดูแลได้ แต่ถ้าไม่เอาอะไรสักอย่างเลย แล้วก็ดื้อดึงขัดขืน ก็ต้องดําเนินการตามกฎหมาย สําหรับมาตรการช่วยเหลือด้านภาระหนี้สินต่าง ๆ รัฐบาลทราบดีปัญหาของเราก็อยู่ที่ว่า หนี้ทุกคนมีเป็นจํานวนมาก ไม่ใช่เฉพาะเกษตรกร ครู ข้าราชการ หรือหนี้ครัวเรือนของประชาชนทั่วไป ผ่านมาเป็นที่เวลายาวนานทุกคนก็ลําบาก ทุกคนต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ไปกู้ธนาคารบ้างอะไรบ้าง แต่ต้องกลับมาทบทวนดูว่า การที่เรามีหนี้นั้นเป็นหนี้เกิดจากอะไร เพราะฉะนั้นอย่าให้เพิ่มเติมจากเดิม รัฐบาลกําลังจะพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ก็คงต้องใช้เวลาและมีมาตรการที่เหมาะสม จะต้องแก้ทั้งระบบโดยการช่วยเหลือของระบบธนาคารรัฐ ธนาคารพาณิชย์อะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องระมัดระวังหนี้ NPL คงไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าไม่ยั่งยืน วันหน้าก็เกิดขึ้นมาใหม่จะทําอย่างไร เราไม่อาจจะยกหนี้สินให้ใครได้ทันที มีหลายกลุ่มจะพยายามมาบีบบังคับให้รัฐบาลยกหนี้ให้ทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้นึกถึงคนอื่นเขาด้วย ทําไม่ได้หรอกเป็นเรื่องของการประกอบการในเรื่องของการธนาคารแหล่งเงินทุกต่าง ๆ ขอร้องในส่วนของเงินทุนนอกระบบด้วย ขอให้ระมัดระวังอย่าให้ผิดกฎหมาย ดูแลคนให้มีความสุข วันนี้วุ่นวายไปทุกเรื่อง ทั้งความจน ทั้งการกระทําความผิดกฎหมาย ทั้งความลําบากต่าง ๆ เหล่านี้ ทําให้บ้านเมืองสับสนอลหม่านทั้งหมด เพราะฉะนั้นปัญหาเหล่านี้เรากําลังแก้อยู่ทั้งระบบทั้งหมดเลย ประชาชนจํานวน 70 ล้านคนทําอย่างไรถึงจะอยู่อย่างมีความสุข ขอให้ทุกคนได้ร่วมมือ ร่วมกันพิจารณาหาทางออกให้ได้ อย่าคิดว่าถ้าทําแบบนี้แล้วจะได้ทั้งหมดหรือได้แบบที่ต้องการ มันไม่ได้หรอก เพราะรัฐบาลไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้นต้องค่อยเป็นค่อยไป เรากําลังพิจารณาทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะของประเทศ ได้มีการพูดคุยในฝ่ายเศรษฐกิจ กระทรวงการคลังแล้วว่าจะทําอย่างไร สิ่งใดที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือไม่มีมูลค่าในอนาคต วันนี้รัฐบาลก็ไม่อยากสนับสนุนนะครับ สําหรับมาตรการที่รัฐบาลออกไปเพื่อให้คนมีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัย แล้วเป็นการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น ก็อาจจะเป็นหนี้ที่เกิดการกู้เงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย เราก็ต้องมีมาตรการป้องกัน มีมาตรการไม่ให้เกิดเป็นหนี้ศูนย์อีกเช่นกัน อันนี้หลายคนเข้ามาสงสัยว่า จะเหมือนรถยนต์คันแรกหรือไม่ ซึ่งถ้าเรามองด้วยเผิน ๆ นะอาจจะคล้ายกันหรือไม่ แต่ถ้ามองในข้อเท็จจริงแล้วไม่เหมือนกันหรอก เพราะเราไม่ได้มีการคืนภาษีเป็นเงินสดไปก่อน วันนี้ก็ต้องผ่อนชําระกันไปอะไรกันไป มีการลดดอกเบี้ย ลดการผ่อนชําระบ้างอะไรบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องการแก้ปัญหาด้วยระบบการเงินการธนาคารหรือมาตรการทางภาษี ไม่ใช่คืนเงินสดต้องไปหาเงินสดมาคืนให้ไปก่อน ทุกคนก็ซื้อกันใหญ่โตก็เป็นการสร้าง Demand เทียมไป วันนี้โชคดีที่ดีขึ้นในเรื่องของธุรกิจการส่งออกหรือธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องยานยนต์วันนี้ก็เริ่มดีขึ้น แต่ติดปัญหามาหลายปีมาแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ สร้าง Demand เทียมมา เราจะต้องทําอะไรไม่ผิดวินัยการเงิน การคลัง มาตรการทางภาษีเป็นสิ่งที่รัฐสามารถทําได้ และจะต้องได้รับความร่วมมือทั้งสถาบันการเงินของรัฐและเอกชนร่วมมือกัน และรัฐจะต้องช่วยเหลืออยู่แล้วในส่วนนี้ ไม่ใช่ให้เปล่าแล้วเราไม่ช่วยดูแลเลยคงไม่ได้ เพราะรัฐบาลดูแลอยู่แล้วหลายคนพูดว่า รัฐบาลช่วยเหลือให้กู้ แต่รัฐบาลก็ไม่ดูแลเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้ รัฐบาลก็ต้องเสียเงินเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่เสีย แต่เสียอย่างไรให้เกิดความยั่งยืนและใช้เงินให้น้อยที่สุด เพราะเงินเราก็น้อยลง ๆ รายได้ก็ได้น้อยลงอีกเหมือนกัน เรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันก็เดินหน้าไปขอบคุณทุกคนเมื่อวานได้พบแม่น้ํา 5 สายแล้วก็ทําความเข้าใจร่วมกันว่า เราจะเดินหน้าประเทศอย่างไรด้วยความร่วมมือซึ่งกันและกัน ด้วยการบูรณาการและการมีความส่วนของประชาชน วัตถุประสงค์ที่เราต้องการคือ ทําอย่างไรให้ประเทศชาติและประชาชนปลอดภัยมีเสถียรภาพ ได้พูดถึงการกําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือกลไกใดก็แล้วแต่ มีการดําเนินการในช่วงระยะเวลาที่เปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐธรรมนูญ และเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นวันนี้เราต้องหารัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับประเทศไทยของเราให้ได้ ขอความร่วมมือด้วยจากทั้ง คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) คงเข้าใจกันกันดีแล้ว ประเด็นสําคัญคือ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคณะทํางานใด ๆ ก็แล้วแต่ไม่ว่าจะเป็นประชาชนต้องมองกลับมาที่ปัญหาของบ้านเรา โจทย์ของบ้านเราว่ามีอะไรบ้างแล้วเกิดจากปัจจัยภายใน ภายนอกอย่างไร เพราะฉะนั้นขั้นตอนในการแก้ปัญหาควรจะเป็นอย่างไร วิธีการ How to do และ Road Map ในแต่ละเรื่องที่จะต้องปฏิรูปเหล่านี้มันจะต้องมีการลงละเอียดว่าจะแก้ได้อย่างไรให้ยั่งยืน จะต้องมีการประสานงานกันบูรณาการกัน รับฟังความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่เราเปิดช่องทางให้หลายช่องแล้ว ไม่ว่าจะเป็นช่องของ กรธ. สนช. สปท.และมีช่องทางโซเชียลมีเดีย และเว๊บไซต์มากมาย ก็เสนอเข้ามา และในส่วนของการรับฟังความคิดเห็นเดี๋ยวพอเขาเริ่มร่าง เริ่มทําอะไรกันเขาก็จะไปสร้างความเข้าใจในทุกพื้นที่ก็ขอภาวนาให้มาร่วมกันด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการรับฟังความคิดเห็นที่ผ่านมาผมตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่า คนที่มาฟังนั้นก็เป็นคนที่ไม่ค่อยได้มีปัญหาอะไรมากนักก็มาเสนอโน่น เสนอนี่ แต่คนที่ถูกชักจูงก็ไม่ต้องมา ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกลุ่มนี้จะปฏิเสธทุกอย่าง ผมก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ไม่ร่วมมือร่วมใจทั้งสิ้น แล้วก็ไปอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน ไปโน่นเลย แล้วบอกรัฐบาลไม่ให้ความสําคัญ ก็เปิดมาก็มาซิครับ วันนี้ผมก็รับจากทุกทางหลายท่านได้เขียนจดหมายมาโดยตรงที่ผมด้วย ขอร่วมมือกันตรงนั้นตรงนี้ ผมก็ยินดี และวันนี้ผมได้ให้คนไปพบปะทั้งอาจารย์ นิสิต นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย ขอร้องกันว่า วันนี้ประเทศชาติเป็นอย่างไรขอให้เข้าใจหน่อย วันหน้าต้องกลับมาสู่การเป็นประชาธิปไตยอยู่ดี วันนี้ถ้าเรียกร้องกว่านี้ก็ปฏิรูปไม่ได้ แต่ถ้าทุกคนคิดว่าไม่ปฏิรูปอะไรเลยผมก็จนใจ ก็มีปัญหาหมดทางกฎหมายด้วยอะไรด้วย ผมไม่อยากจะทําให้ทุกคนเดือดร้อน เรื่องการจัดระเบียบสังคม ทั้งในพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว ป่าเขา ชายหาด การจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้าง คิวรถตู้ การค้าขายบนทางเท้า หาบเร่ แผงลอย ทหารได้จัดไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา บางพื้นที่ก็ยังเรียบร้อยอยู่ ประชาชนมีความสุขอยู่บ้างสําหรับคนที่เคยกระทําความผิดอยู่ในบริเวณนั้นทําไม่ได้ไง พอเราผ่านไปแล้วก็จะไปทําเรื่องอื่นทหารจะไปตรงอื่นก็ต้องกลับมาดูที่เก่าใหม่ ผมก็ไม่ทราบว่าประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโดยตรงในพื้นที่ดูแลกันอย่างไร บางครั้งผมได้ข่าวมาด้วยว่า เจ้าหน้าที่ไปอ้างว่า เพราะ คสช. มาทําให้เขาลําบาก เจ้าหน้าที่อย่างนี้ยังมีอยู่เลย ก็ขอให้ กทม. ได้มีการตรวจสอบด้วยในทุกพื้นที่ ต้องเข้าใจกันสร้างความเข้าใจกับประชาชน ไม่ใช่เอาตัวรอด ที่ทํามาเพราะ คสช. สั่ง เพราะนายกฯ สั่ง ผมสั่งเพื่อใคร และท่านต้องทํางานอย่างไร อย่าให้เกิดขึ้นอีกโดยเด็ดขาด การบุกรุกสถานที่ต่าง ๆ เหล่านี้ไม่เป็นระเบียบ ถ้าอย่างนั้นเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโดยตรงผมจะเริ่มพิจารณาโทษ เพราะปล่อยให้กลับมาเหมือนเดิมอีกไม่ได้ อย่าให้ทั้งประชาชนคนไทย ทั้งต่างประเทศ นักท่องเที่ยวเขาเดือดร้อน การตรวจสอบต่าง ๆ ที่ผ่านมานั้น ผมอยากจะเรียนว่า ขอให้หน่วยงานระดับล่างลงไป ได้ลงไปในพื้นที่ และไปดูว่าสิ่งที่เราทําวันนี้สามารถจะทําต่อไปได้หรือไม่ ที่ผ่านมามีปัญหาอย่างไร และนําเรื่องที่เป็นปัญหานั้นมาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขาแก้ปัญหา แต่เรื่องที่ต้องรักษาระเบียบ กติกาต้องมาก่อน และทําอย่างไรจะไม่เกิดความขัดแย้งไม่สร้างปัญหาใหม่ เพราะฉะนั้นเราอาจจะต้องมาพิจารณาว่า ถ้าสมมติหน่วยงานในพื้นที่ หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทํางานไม่ได้ยุบไปเลยดีกว่า จัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมาเพื่อที่จะดูแลเรื่องเหล่านี้จากพลเรือน ตํารวจ ทหารไหม ก็ไปหาทางออกมา ถ้ายังปล่อยกันอยู่แบบนี้ไม่เกิดประโยชน์ในการที่ให้รับผิดชอบอะไรสักอย่างก็ไม่ได้ทั้งหมด วันข้างหน้าก็เกิดขึ้นมาใหม่ ข้อสําคัญคือประชาชนต้องมีส่วนร่วมด้วย เริ่มตั้งแต่ไม่ทําผิดกฎหมายบ้านเมือง ไปหาทางออกว่า จะไปทําอาชีพอะไรอย่างไรที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นเขา ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล การค้าขายถ้าไปค้าขายในที่ไม่ถูกต้องก็อย่าไปอุดหนุนกัน ซึ่งเป็นการอุดหนุนที่ไม่ถูกวิธี เรื่องของการรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ ริมแม่น้ํา คูคลอง ผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ ต้องมีการแก้ไขการบุกรุกให้ได้อย่างยั่งยืน และดูแล้วว่าจะทําอย่างไรกันสําหรับผู้ที่เดือดร้อน เพียงแต่ว่า สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเรื่องผิดกฎหมายทั้งสิ้นที่ทุกคนทํามาจนเป็นปกติ เมื่อบังคับใช้กฎหมายก็บังคับไม่ได้ ในลักษณะที่เป็นการผ่อนชําระราคาถูกอะไรก็แล้วแต่ดูแลทั้งหมด กําลังทําเป็นแผนงานอยู่ทั้งข้าราชการพลเรือน ตํารวจ ทหารชั้นผู้น้อย เป็นหลักก่อน รวมทั้งประชาชนด้วยในทุกจังหวัดทุกพื้นที่ ซึ่งต่อไปจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก หลายพื้นที่ได้เคลียร์ไปแล้วจะต้องไม่กลับมาใหม่และดําเนินการหามาตรการดูแลให้ได้ เรื่องคูคลองหลายแห่งตื้นเขิน วันนี้ก็มีปัญหาเรื่องการส่งน้ํา การระบายน้ํา เวลาน้ําท่วมก็มีปัญหา น้ําแล้งก็ส่งน้ําไปไม่ได้จากคูคลองไปคลองซอยคลองอะไร เพราะมันตันทั้งหมด ซึ่งไม่ได้รับการดูแลมาผมไม่รู้ว่าหน้าที่ของใคร โดยมีหน้าที่ของ อปท. บ้าง ซึ่งเป็นหลักในการดูแลเมื่อรัฐสร้างอะไรไปแล้ว ก็ต้องดูแลในขนาดเล็กต่าง ๆ เหล่านี้ต้องดูแล ท่านก็มีเงินมีทองอยู่ส่วนหนึ่งถ้าไม่พอก็บอกมา รัฐบาลก็จะต้องหาเงินไปเสริมให้เป็นเรื่องเป็นราวไป ไม่ใช่ผ่านมาทั้งหมดก็ตื้นเขินเหมือนเดิม ไปตรวจทีอะไรทีก็เห็นแต่ความทรุดโทรม ใช้การไม่ได้ ก็ตอนสร้างเสร็จแล้วก็ส่งไปให้รับผิดชอบตอนนั้นก็ดีอยู่ แล้วท่านก็บอกว่าไม่มีเงิน ไม่มีทองดูแล แต่ไม่ใช่อย่างเดียว ไม่มีเงินรัฐก็ต้องดูแลให้ แต่ปัญหาคือท่านไม่ดูมากกว่าก็เลยแย่ไปหมดวันนี้ต้องเสียหายไป 70 - 80% แล้วจะทําอย่างไร อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก เรื่องการทิ้งขยะเหมือนกัน อย่าทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ หรือขยะลงไปในแม่น้ํา ในน้ําลําคลองต่าง ๆ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของน้ําเสีย สําหรับการจัดการเรื่องขยะ เป็นเรื่องใหญ่อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไม่สําคัญ ไม่จําเป็นไม่เห็นต้องสร้าง ไม่เห็นต้องทํา ไม่เห็นต้องใช้จ่ายงบประมาณ วันนี้เราก็ทราบอยู่หน้าที่เรื่องขยะนั้น เป็นหน้าที่ของ อปท. ซึ่งอาจจะมีงบประมาณน้อยไม่เพียงพอ เพราะอัตราเก็บเงินค่าขยะน้อยมาก รู้สึกจะเดือนละ 20 กว่าบาท จะทําได้อย่างไรวันนี้ ในเมื่อคนมากขึ้น พื้นที่มากขึ้น ขยะมากขึ้น เพราะยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เรื่องรายได้ รายจ่ายต่าง ๆ ติดขัดไปหมด เพราะระยะเวลาที่ผ่านมานั้นไม่ได้ดูในรายละเอียด นี่คือเรื่องเล็ก ๆ ที่ทําให้เกิดเรื่องใหญ่ๆ เกิดปัญหาทับซ้อนมาตามลําดับ ทุกคนต้องการความสะอาด แต่ทุกคนก็ไม่ยอมเสียสละมีเจ้าหน้าที่ก็ทํางานไม่ได้ มีบางอย่างและบางครั้งมีการทุจริตโกงกินเข้าไปอีกเลยวุ่นไปทุกเรื่อง วันนี้ต้องกลับมาทบทวนดูว่า จะทําอย่างไรนําขยะมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ทําขยะให้เป็นทรัพย์สินที่มีค่าเกิดอาชีพรายได้ ห่วงโซ่คุณค่า และเรื่องของพลังงานด้วย เพราะว่าถ้าเราต่อต้านกันเรื่องพวกนี้ต่อไป ขยะก็จะมากขึ้น ๆ ปีหนึ่งหลายร้อยหลายพันตัน ทุกเดือนก็สะสมเข้าไป แล้ววันหน้าก็เป็นขยะพิษ วันนี้ถูกเรียกร้องให้ดูแลความสะอาดแต่ทุกคนไม่ช่วยกันเสียสละ เงินค่าขยะ 20 กว่าบาท ก็ยังบ่นกันอยู่อีก พอจะเพิ่มอีกก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไปชั่งน้ําหนักให้ดีว่าเราจะทําอย่างไรดี ผมอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในเรื่องเหล่านี้ถ้าท่านไม่เข้าใจตั้งแต่แรกคํานึงถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนส่วนรวมก็ไม่เกิด ก็ต้องมี Give มี Take อะไรกัน บ้างเจ้าหน้าที่เขาจะทําได้อย่างไรไม่มีเงิน เพราะฉะนั้นเราต้องพิจารณาดูว่าอะไรมาก อะไรน้อยเสียหายอย่างไร แก้ไขได้หรือไม่ถ้าแก้ไขได้ก็จําเป็นต้องทํานะไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาส่วนร่วมกับพื้นที่ด้วย อย่าเห็นแก่ตัวกัน กลายเป็นว่าพื้นที่เราไม่ให้ใครมาทิ้ง ไม่ให้สร้างโรงขยะ ไม่ให้สร้างที่หลุมขยะอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ แล้วจะไปทิ้งที่ไหนใช่ไหม ในเมื่อจําเป็น แต่จะทําอย่างไรที่เกิดขึ้นมาแล้วจะเกิดประโยชน์กับชุมชนและประชาชนในแถบนั้นให้ได้ด้วย เราต้องสร้างสมดุลให้ได้ ผมฝากข้าราชการไปทําความเข้าใจให้ได้ด้วยในเรื่องเหล่านี้อย่าให้เกิดความขัดแย้งอีกต่อไปอีกเลยเวลาเราจํากัด สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมกับรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ได้มีการพบปะพูดคุยกับนักลงทุนหลายบริษัท เพื่อจะรับทราบถึงปัญหาข้อขัดข้อง หาแนวทางที่ทําให้เกิดความร่วมมือให้ได้โดยเร็ว เป็นที่น่ายินดีที่นักลงทุนรายใหญ่หลายบริษัท อาทิ ฟอร์ด มาสด้า มิตซูบิชิ โตโยต้า ซีเกต สหพัฒน์ ซัมซุง ฯลฯ ยินดีที่จะลงทุนต่อไปในประเทศไทย โดยอาจจะต้องมีการปรับรูปแบบ และเพิ่มการลงทุนให้มากขึ้น รวมทั้งเราจะเพิ่มเติมในเรื่องการศึกษาวิจัยและพัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างความเข้มแข็งให้กับคนไทย ทุกบริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพ และเสถียรภาพของไทยในการเจริญเติบโตในอาเซียน เพราะฉะนั้น เราเองจําเป็นต้องปรับรูปแบบการลงทุน ปรับตนเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง กติกาของหลาย ๆ ประเทศเปลี่ยนไป เราก็จําเป็นต้องแข่งขันกันในเรื่องนี้ สิทธิประโยชน์ การลงทุนให้แก่ชาวต่างชาติ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ไม่อย่างนั้นเราก็จะด้อยไปเรื่อย ๆ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เราก็ลดลงไปตามลําดับ เพราะฉะนั้นการลงทุนในประเทศไทยหลายบริษัทที่อาจจะเห็นว่ามีการย้ายออกไป เขาจะอธิบายว่าเป็นโรงงานเก่าและที่ย้ายไปเพราะเป็นการผลิตสินค้าขั้นพื้นฐาน เขาก็จะหาโรงงานที่ทันสมัยเขามาแทน อันนี้ก็ฝากเรียนพ่อแม่พี่น้อยด้วยอย่าเพิ่งตื่นตระหนกขอเวลาสักนิดเขาจะปรับปรุงพื้นที่โรงงานต่าง ๆ ให้ทันสมัยขึ้น เพราะจะมีการจ้างงานเหมือนเดิม วันนี้ต้องหาอาชีพอื่นไปก่อน เขาจะเพิ่มเป็นโรงงานที่มีการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มเข้ามาแทน ก็ดีจะได้พัฒนาประเทศไทยในเรื่องนี้ด้วย เรื่องนวัตกรรม การวิจัยและพัฒนา สําหรับเรื่องการเจรจาเขตการค้าเสรี ( FTA) และ RCEP กับประเทศต่าง ๆนั้น กําลังดําเนินการอยู่หลายประเทศที่เกี่ยวข้องก็มีความก้าวหน้าทั้งตุรกี ชิลี อาเซียน+6 จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ กําลังเดินหน้าอยู่ในเรื่องเหล่านี้ อีกไม่กี่วันผมต้องไปประชุมเกี่ยวกับเรื่องเขตเศรษฐกิจของอาเซียนที่จะร่วมมือกันอย่างไรกับประเทศต่าง ๆ หลายประเทศด้วยกันในเดือนหน้า เรื่อง Trans-Pacific Partnership (TPP) เช่นกันกําลังศึกษาอยู่ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่หารือร่วมกันของรัฐบาลกับภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจ เอกชน เกษตรกรรม การค้า และอื่น ๆ จะต้องหาข้อสรุปให้ได้ว่ามันดี มันเสียอย่างไร จะแก้ไขความเสี่ยงเหล่านั้นได้อย่างไร อย่าไปคิดว่ามันจะได้อย่างเดียว เสียก็มี มีได้ก็ต้องมีเสีย ทุกส่วนจะต้องร่วมมือกันพิจารณาตัดสินใจร่วมกัน หากจะต้องเข้าเป็นภาคี ไม่ใช่วันหน้าเอาวันนี้อยากเข้า พอวันหน้ามีปัญหาขึ้นมาโทษกลับมาที่รัฐบาลอีก เพราะฉะนั้นเป็นความเห็นชอบร่วมกันก็ไปหามา ซึ่งคือระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เสียงส่วนใหญ่ว่าไงก็ว่ามาแต่ต้องยอมรับกันว่า ผิดพลาดเราจะแก้ไขอย่างไรต่อไป เรื่องการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น รัฐบาลกําลังทําอยู่อย่างต่อเนื่อง อย่าไปฟังที่ออกมาพูดจาให้ร้ายต่าง ๆ เหล่านั้น วันนี้เราต้องดําเนินการอย่างรอบคอบ ให้มีความชัดเจนขึ้นในทุกกระบวนการ ผม และ คสช. ก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรตรงนั้นเลยเพียงแต่นําสู่กระบวนการเท่านั้น แต่เรื่องการพิจารณาจะเร็วจะช้าก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ตามหลักฐาน วัตถุ พยาน พยานบุคคลอะไรก็แล้วแต่ สังคมอย่ากดดันมากนักเลยฟังบ้าง อย่าไปฟังแต่สื่อที่บิดเบือน โซเชียลมีเดียที่บิดเบือนหรือบางคนที่ออกมาพูดบิดเบือน ถ้าประเด็นที่สําคัญที่สุดคือ ถ้าไม่มีอะไรผิดกฎหมายมันจะมีอะไร ถ้ามีมูลก็ต้องไปสอบสวน วันนี้ยังไม่ทันเข้าอะไรเลย แค่ตั้งเรื่องขึ้นมาไปดําเนินการสอบสวนตามขั้นตอนปกติ วันนี้ก็แอบอ้างกัน เรื่องความไม่เป็นธรรม ไม่ยุติธรรม เร่งรัดจนเกินไป ผมบอกแล้วว่าถ้าไม่ผิดก็คือไม่ผิด จะเร็วจะช้าถ้าไม่ผิดคือไม่ผิด ถึงจะเร็วหรือช้าแต่ถ้าผิดก็ต้องผิด นี่คือข้อเท็จจริง อย่าลืมข้อเท็จจริงเหล่านี้ เรื่องนโยบายการปราบปรามผู้มีอิทธิพล สืบเนื่องมาจากรัฐบาล ซึ่งผมมีความเป็นห่วงปัญหาสังคมในปัจจุบัน จะเห็นว่ามีโจร มิจฉาชีพมากขึ้น มีการใช้ความรุนแรง มีการใช้อาวุธสงครามเข้าแก้ปัญหา ไม่มีความหวาดกลัวกฎหมาย จะเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนกันหรืออย่างไร ขี่รถจักรยานยนต์แซงกันไป-มา ขับรถเก่งอะไรต่าง ๆ ก็ยกปืนเอามาขู่เขา ทําได้อย่างไรแบบนี้ ต้องไปอยู่ในป่าในเขานู้น ยังผิดกฎหมายเลย ทุกวันนี้ชักปืนออกมายิงเฉย ๆ ทะเลาะกันในครอบครัวก็เอาปืนมาฆ่ากัน ยิงกัน สิ่งนี้ทําให้สังคมเสื่อมโทรม คนเราใช้อารมณ์เหนือเหตุผลมากขึ้นทุกวัน ใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ อันนี้คือสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยมาจากสื่อ จากโซเชียลมีเดียที่ไม่ดี ทําให้คนที่เห็นความรุนแรงเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นการเร้า เขาเรียกว่าแรงขับเคลื่อน บางทีก็วัยรุ่นบ้าง เยาวชนบ้าง ทุกคนมีแรงขับเคลื่อนที่เหลือเฟืออยู่แล้ว พอมีเกมส์บ้าง เกมส์ออนไลน์บ้าง โซเชียลมีเดียบ้าง ฯลฯ ก็ทําให้ทุกคนคุ้นชินกับการใช้กําลัง คุ้นชินกับการทําลายล้างกันด้วยอาวุธในโลกที่อาจจะไม่เป็นจริงในโซเชียมีเดีย เรื่องการ์ตูนบ้าง อะไรบ้าง เกมส์ต่าง ๆ เหล่านี้ ทุกคนเลยมองเป็นเรื่องธรรมดาไปหมด ถ้าเราเห็นว่าต่างประเทศเขาเกิด เล่นเกมส์มาก ๆ ก็อยากไปใช้อาวุธจริง ๆ ก็สร้างการบาดเจ็บสูญเสียในโรงเรียนบ้าง ในสถานที่ต่าง ๆ บ้าง ทุกประเทศเกิดขึ้นหมดแล้ว นี่คืออันตรายที่เกิดขึ้นจากโซเชียมีเดียที่ไม่มีคุณภาพ ผมก็อยากจะมอบนโยบายให้ดําเนินการ ให้เจ้าหน้าที่ทั้งพลเรือน ตํารวจ ทหาร และประชาชนช่วยกันสร้างสภาวะแวดล้อมที่สงบเรียบร้อยและปลอดภัยให้สังคมกลับคือมาเป็นปกติ สําหรับคําว่า “ผู้มีอิทธิพล” มีคําจํากัดความอยู่แล้ว ซึ่งหมายความถึง บุคคลที่จะมีความเชื่อมโยงกับการกระทําผิดกฎหมาย รวมความไปถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งใช้อํานาจหน้าที่ในทางที่ผิด แสวงประโยชน์ กดขี่ ข่มเหง พี่น้องชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ – ไม่มีทางต่อสู้ ผู้มีอิทธิพลดังกล่าว มักจะเป็นเครือข่ายอาชญากร ซุ้มมือปืน และเป็นองค์ประกอบที่สําคัญด้วย เรื่องอาวุธสงครามหรืออะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ นโยบายนี้ไม่ได้เป็นการไล่ล่าฆ่าฟันใคร เพียงแต่กําชับให้มีมาตรการที่เหมาะสมทางกฎหมาย เพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของเจ้าหน้าที่ อย่าปล่อยปละละเลย เราไม่จําเป็นต้องไปออกกฎหมายอะไรใหม่ ๆ อยู่แล้ว กฎหมายเดิมก็เพียงพออยู่แล้ว วันนี้เราก็มีมาตรา 44 อยู่แล้วด้วย ก็ไม่อยากให้ทุกคนมาต่อสู้กันอีกต่อไปในอนาคตด้วยอาวุธสงคราม หรือใช้ความรุนแรง รัฐบาลพยายามจะใช้กฎหมายอย่างดีที่สุด กฎหมายอื่น ๆ เรามีอยู่แล้ว เช่น กฎหมายยาเสพติด กฎหมายอาวุธเถื่อน น้ํามันเถื่อน ค้ามนุษย์ การลักลอบนําเข้าแรงงานต่างด้าว ทุกอย่างมีกฎหมายหมดวันนี้ บางอันไม่มีก็มีในสมัยนี้ แต่ทุกคนก็ไม่ค่อยเคารพกฎหมาย สิ่งนี้อันตรายจะปฏิรูปอะไรไม่ได้ถ้าทุกคนไม่เคารพกฎหมาย ยังไม่รู้จักตัวตนของตนเอง การทวงหนี้ เก็บค่าคุ้มครอง บุกรุกป่า เป็นต้น เป็นเรื่องที่ต้องกังวล สําหรับปุถุชนคนดีทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อคืนความเป็นธรรมสู่สังคม สร้างชุมชนที่ปลอดภัย และลดสภาวะความหวาดระแวงของคนในชาติกับกฎหมาย ซึ่งเป็นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย ต้องไม่ไปรบกวนคนอื่น ไม่ทําให้คนอื่นเดือดร้อน เขาเรียกว่าประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ไม่ละเมิดสิทธิ์เขา และกฎหมายจะทําให้สังคมมีความเท่าเทียมกัน กฎหมายอันเดียวกัน ทั้งหมดเหล่านี้ ขอให้สื่อต่าง ๆ ช่วยกันประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่ไปขยายความว่าเตรียมจะใช้อํานาจต่าง ๆ ไปใช้สร้างความรุนแรง ก็เขาเป็นคนที่ทําความผิดอยู่ เราก็ใช้กฎหมายผิดตรงไหนผมไม่เข้าใจ สื่อก็ไปเขียนเป็น Story ขึ้นมาอยู่เรื่อยทุกเรื่อง อะไรที่กําลังทําหรือทําไปแล้วเพื่อส่วนรวมก็นําเสนอแต่ข้อเรียกร้องที่ตรงกันข้ามมาตลอด ผมไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร ผมไม่ศัตรูกับท่านอยู่แล้ว แต่ท่านก็ไม่เคยแก้ไขตัวเอง บางสื่อที่ชอบทําให้เกิดความขัดแย้ง ขยายความขัดแย้ง ไปจับเล็กจับน้อยมาตลอดเลย เปิดเฟซบุ้ก เว็บไซต์ให้คนมาคอมเม้นท์สิ่งที่เป็นความขัดแย้ง ทําไมท่านไม่เปิดเว็บไซต์ขึ้นมาแล้วทําให้สังคมปรองดองกัน ท่านไม่ช่วยผมเลย วันนี้ก็ต้องมาดูกัน สังคมต้องช่วยกันดูด้วยไม่อย่างนั้นปรองดองไม่ได้อยู่แล้ว พอเริ่มก็จะตีกันอีก เพราะฉะนั้นเราต้องดูความเข้มแข็งและยั่งยืนของประชาชนด้วย วันนี้งานค่อนข้างยากไปเรื่อย ๆ ระยะแรกเป็นงานที่แก้ในเชิงเดี่ยว สั่งอันนี้วันนี้แก้ วันนี้ใช้กําลังไปเท่านี้ ใช้กฎหมายก็จบ แต่จะกลับมาใหม่ถ้าเราไม่ช่วยกันดูแล แต่วันนี้งานในระยะที่ 2 มีการทับซ้อนกันมาก ไม่ว่าจะข้ามกระทรวง ข้ามกรม อะไรมาเกี่ยวข้องกับพลเรือน ตํารวจ ทหาร เกี่ยวกับกฎหมายก็ต้องแก้ไขหลายฉบับ ยากไปหมดตอนนี้ แถมยังมีคนที่ไม่เข้าใจมาต่อต้าน ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอะไร เหตุผลประชาธิปไตยที่เขาพูดกันกับสิทธิมนุษยชนหรือไม่ แต่เคยเป็นห่วงคนที่เขาเดือดร้อนจากเรื่องเหล่านี้ไหม ที่รัฐพยายามจะแก้อยู่ ไม่เคยห่วง พูดแต่เรื่องเลือกตั้ง ประชาธิปไตย ผมไม่เคยไปเถียงท่านอยู่แล้ว อย่างไรก็ต้องเลือกตั้ง ฉะนั้นเรื่องอะไรที่ผิดกฎหมายก็ต้องผิดกฎหมาย ค่อย ๆ หาทางแก้ไขกัน ถ้าผิดมากก็แก้เร็ว ถ้าผิดช้าอย่างไรก็ต้องแก้ กฎหมายมีอยู่แล้วไม่เร็วไม่ช้า เดี๋ยวท่านไม่เข้าใจอีก ก็อยู่ในกรอบกฎหมาย หลายเรื่องปล่อยปละละเลยกันมานาน เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชอบด้วย ผมเองก็ต้องรับด้วย เพราะผมอยู่ในเหตุการณ์มาตลอด แต่ผมก็ให้รัฐบาลให้หน่วยงานเข้ามาดูแล เข้ามาร่วมมือกันมาตลอด วันนี้ผมเข้ามาบริหาร ผมจะต้องทําให้เกิดขึ้นให้ได้ ทุกคนช่วยกัน การต่อต้านต่าง ๆ นั้น ขอร้องอย่ามาอ้างเหตุผลเลย อย่างมาโยงความผิดให้คนอื่น ไปไล่ฆ่าคนโน้นคนนี้ โจมตีกันไปกันมา ปรองดองกันไม่ได้หรอกถ้ายังไม่หยุด เรื่องของนิสิต – นักศึกษา ผมก็ได้ให้คนไปคุยกับครู อาจารย์ต่าง ๆ ขอร้องกันกรุณานึกถึงประเทศชาติด้วย อย่าเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยวันหน้าก็เป็นประชาธิปไตยที่ทุกคนต้องการอยู่แล้ว วันนี้ท่านต้องรู้ว่าปัญหาประเทศอยู่ตรงไหน ที่ผ่านมาทุกคนมีแรงขับเคลื่อนที่แรงมากกมาย เมื่อมีคนมาให้ข้อมูลท่านไม่ถูกต้องก็ทําให้ท่านเคลื่อนไหวในทางที่ผิด และเป็นอันตรายกับตัวเอง พ่อแม่ กับอะไรก็แล้วแต่ และทําให้ประเทศชาติเสียหาย วันนี้มาคุยกัน เพราะเห็นรับปากว่าจะมาคุยกัน และร่วมกันปฏิรูป ขอบคุณล่วงหน้า เรื่องการพัฒนา รัฐบาลให้การพัฒนาเป็นไปอย่างยั่งยืนในการประชุม ครม. ได้สั่งการไปแล้ว 3 เรื่องด้วยกัน ประกอบด้วย (1) เรื่องระบบการศึกษา ต้องให้ความสําคัญตั้งแต่เด็กเล็ก (0 – 3 ขวบ) ในช่วงที่สมองกําลังพัฒนาอย่างเต็มที่ เด็ก ๆ ทําอย่างไรจะไม่ป่วย ไม่เครียด จากสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย กดดัน การศึกษาทําอย่างไรจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มประสบการณ์ เพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน ส่งเสริมการทํางานร่วมกัน การทํางานเพื่อสังคม มีการพัฒนาวิชาชีพ พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เป็นต้น (2) เรื่องระบบสาธารณสุข ถ้าหากมีการบริหารจัดการได้ดี เงินที่มีอยู่จํานวนจํากัดนั้น ก็อาจจะช่วยส่งเสริมให้ทรัพยากรมนุษย์ของเรามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องการทํางาน การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อจะใช้พัฒนาประเทศต่อไป ถ้าเราบริหารจัดการเงินต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ดีก็จะฉุดรั้งศักยภาพในทุก ๆ ด้าน เพราะทําให้คนป่วย เจ็บ ไม่มีเรี่ยวแรงทํางาน ต้องหาเงินมารักษา ก็เป็นหนี้อีกเช่นเดิม ประเทศก็เดือดร้อน วันหน้าก็กลายเป็นประเทศที่ป่วย ประเทศที่ไม่แข็งแรงตามไปด้วย และเรื่องต่อไป (3) เรื่องสิ่งแวดล้อม เราจะต้องมีการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่มีผลกระทบซึ่งกันและกัน ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะสิ่งแวดล้อมต้องอยู่กับเราอีกยาวนาน ต้องคู่กับมนุษย์ มนุษย์ต้องดูแลรักษา เขาก็ยังดูแลรักษาเรา ทั้งป่า น้ํา ระบบนิเวศน์ ต้องรักษาสมดุลกันให้ได้ อย่าให้เกิดพิษขึ้นมา วันหน้าจะอยู่กันไม่ได้ เพราะจะย้อนกลับมาทําร้ายพวกเรากันเอง เราจะต้องรักษาไว้ให้อนาคตด้วย ไม่ใช่ใช้จนหมดในยุคของเรา วันนี้ป่าน้อยลง ฝนก็น้อยลง ถ้าป่ายิ่งน้อยไปกว่านี้ ฝนก็จะไม่มีเลย วันหน้าลูกหลานจะอยู่อย่างไร รัฐบาลนี้พยายามดําเนินการทุกอย่างตามแนวทางหลักการของ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน และนําแนวคิดของประชาคมโลกมาดําเนินการขับเคลื่อนด้วยผ่านกรอบความร่วมมือต่าง ๆ เพราะฉะนั้นเราจะต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันอยู่แล้วในโลกใบนี้ ประเทศไทยจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้ เรื่องสําคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ การจัดหาเงินที่ไม่ได้รับของรัฐบาล เรามีรายจ่ายมากกมาย รายได้รัฐก็มาจากการเก็บภาษี ภาษีบุคคล นิติบุคคล หรือภาษีอื่น ๆ หลายอย่างด้วยกัน ผมก็อยากทําความเข้าใจวันนี้ไม่อย่างนั้นก็ขัดแย้งเรื่องนี้กันอีกต่อไป ฟังก่อนผมไม่ได้หมายความว่าผมจะเก็บภาษีท่านวันนี้ยังทําไม่ได้ แต่อยากให้คิดดูว่าเราจะทําอย่างไรให้ประเทศเราดีขึ้น เรามีรายจ่ายที่ชัดเจน ทั้งงบประจํา งบลงทุน ซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามมากน้อย งบเร่งด่วน ที่แก้ปัญหาภัยพิบัติ ความเดือดร้อนต่าง ๆ เหล่านี้ และงบสุทธิเราใช้ส่วนใหญ่ จะเห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการก็ใช้มาก คือ งบการศึกษาฟรีด้วย อะไรด้วย ก็เป็นสิ่งที่ดี มีการปฐมพยาบาลฟรี รักษาพยาบาลฟรี กระทรวงศึกษาธิการระดับ 2 ทั้ง 2 อันผมไม่ได้ว่าไม่ดี แต่ทําอย่างไรเราจะมีเงินมาสนับสนุนให้มากกว่านี้ ทําอย่างไรจะทําให้เกิดความเป็นธรรมทั่วถึงมากกว่านี้ ไม่ทําให้ระบบการรักษาพยาบาลเสียหาย โรงพยาบาลต่าง ๆ จะต้องไม่เป็นหนี้สิน ต้องช่วยกันคิด ถ้าท่านอยากได้อย่างเดียวแต่ท่านไม่ร่วมมือ ไม่ช่วยเหลือ ก็ทําอะไรไม่ได้ การปรับปรุงประสิทธิภาพก็ไม่ได้ หมอ พยาบาลก็ไม่มีสตางค์ ไม่มีเงินผลิตมาพัฒนาโรงพยาบาล ทุกคนก็ต้องหนีไปอยู่นู่น ไปเข้าคลินิก แล้วก็บ่นว่าแพงอีก จะให้ผมทําอย่างไร งบประมาณใช้มากขึ้นทุกวัน ๆ คนมากขึ้น เรื่องก็เยอะขึ้น การพัฒนาก็ต้องทํา การลงทุนก็ต้องทําเพื่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น อัตราโครงสร้างภาษีเราไม่เคยได้รับการปรับปรุงอย่างเป็นระบบ ค่อนข้างจะสับสนอลหม่านพอสมควร ยุ่งยาก อีกประการหนึ่งคือจัดเก็บไม่ได้ เพราะความไม่ซื่อสัตย์ต่อกันมีการโกงภาษี รายได้ปัจจุบันเราได้มาจากภาษีบุคคลธรรมดา ปัจจุบันยื่นแบบ ภ.ง.ด. ไว้เพียง 10 ล้านคน แต่เช็คแล้วตัวเลขคร่าว ๆ วันนี้ที่เสียภาษีจริง ๆ แค่ 3.5 ล้านคน ได้รับยกเว้นภาษี ประมาณ 6.5 ล้านคน ที่มีรายชื่ออยู่ นิติบุคคล 1.5 ล้านราย หรือเกือบ 2 ล้านรายในขณะนี้ จ่ายภาษีเพียง 6 แสนราย ใน 6 แสนรายก็มีทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง เสนอตรงบ้างไม่ตรงบ้าง อีกอันหนึ่งคือภาษีบํารุงท้องถิ่นที่เก็บได้เอง ตามหลักเกณฑ์เก่าปี 2520 พ.ร.บ. เดิม มีการพัฒนาหลายอย่างมาแล้วแต่เก็บเท่าเดิมอยู่ 30 กว่าปีแล้วนอกจากเก็บได้น้อย ยังเก็บได้ไม่ครบอีกด้วย ไม่มีประสิทธิภาพในการจัดเก็บ ก็ต้องปรับดูแลกันทั้งหมด ทําให้รัฐต้องเสียงบประมาณในการอุดหนุนอีกประมาณ 2 แสนล้านบาท ทําให้รายได้ต่าง ๆ ที่รัฐต้องเก็บไว้ตรงกลางทั้งงบประจํา งบลงทุน และงบแก้ปัญหาคือ งบกลางที่จะทําตามนโยบายเร่งด่วนแก้ปัญหาประชาชนลดลงมาทั้งหมด เพราะทุกอย่างถ่วงกันหมด รายได้ไม่มี การลงทุนต่าง ๆ ก็จําเป็นทั้งถนน รถไฟ รถไฟฟ้า ท่าเรือ สนามบิน ฯลฯ วันนี้ราคาแพงหมด เราทําเองไม่ได้ ก็ต้องสร้างความเข้มแข็ง ระยะแรกอาจจะร่วมมือ ต้องซื้อมา วันหน้าต้องทําเองทั้งหมด ทําให้ได้ด้วยการวิจัยและพัฒนา การทําสัญญากับใครก็ต้องมาร่วมมือกัน ถ่ายทอดเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็แล้วแต่ เรื่องราคาสินค้าการเกษตรก็ลดลงไปอีก รายได้ก็ลด แล้วทําอย่างไร เราแข่งขันกับใครไม่ได้ เกษตรกรมีรายได้น้อยก็เดือดร้อน รัฐก็ต้องหาเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ทําอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนงูกินหาง จะทําอย่างไร ฝากคิดเท่านั้นเอง วันนี้ฝากคิดไปก่อน วันหน้าจะทําอย่างไรเมื่อวันหน้าสถานการณ์ดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น ควรจะต้องเสียมากขึ้นไหม ที่ไม่เดือดร้อนให้เกิดความเป็นธรรม ถ้ารายได้น้อย ๆ จะเสียอะไรมากมายขนาดนั้นไม่ได้ ก็เข้าใจว่าอยากให้บ้านเมืองเจริญ เราก็ต้องหาเงินให้มากขึ้นในวิธีทางที่ถูกต้อง การเรียกร้องต่าง ๆ 2 – 3 วันที่ผ่านมาจะเห็นว่าเรียกอันโน้นเรียกอันนี้ ขออันนี้ยื่นคําขาดกับผม ผมไม่ให้ท่านมายื่นคําขาดกับผม ยื่นไม่ได้ สถานการณ์ไม่ปกติอยู่แล้ว ท่านมาบอกผม แล้วผมจะหาทางแก้ให้ ถ้ากดดันไม่มีได้อะไรทั้งสิ้น ผมไม่ให้ ต้องเข้าใจ นึกถึงคนอื่นเขาบ้าง เรื่องภาษี VAT เหมือนกัน ประชาชนอาจจะไม่เสียภาษีบุคคลเพราะว่ารายได้ไม่ถึง แต่ท่านก็เสียภาษี VAT 7% ทุกคนเสียหมดในการซื้อของอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่จะบวกภาษี VAT 7% วันนี้ 7% มากี่ปีแล้ว ทั้งที่ควรจะขึ้นก็ขึ้นไม่ได้ วันหน้าถ้าหากรายได้ดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น เข้มแข็งขึ้น ยั่งยืนขึ้น ทุกคนก็จะมีเงินรายได้มากขึ้นในการซื้อของ อาจจะต้องขึ้นบ้าง แต่จะขึ้นเท่าไหร่ยังไม่รู้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ แค่ขึ้น 1% ได้เงินมาแสนกว่าล้านบาท แต่ก็ขึ้นไม่ได้ ทําอย่างไร ก็มีแต่จ่าย ๆ ทุกวัน การลงทุนต่าง ๆ เราต้องทํา ถ้าเราไม่ลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐาน รถไฟ รถไฟฟ้า การประปา ฯลฯ คนไม่มาลงทุนบ้านเราหรอกครับ วันนี้ที่เขามาเพราะเรามีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ดีพอสมควร แต่เราต้องทําให้ดีกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเราจะเข้มแข็ง หรือแข่งขันกับประเทศอื่นที่เขากําลังพัฒนาไม่ได้เหมือนกัน วันนี้บ้านเราก็แออัดขึ้น ถนนหนทางก็จํากัด การขนส่งก็มีปัญหา อยากจะฝากไว้ด้วย ฝากคิดไว้ก่อนเรื่องภาษี ทําอย่างไรจะมีเงินมาบริหารงานแผ่นดิน ดูแลประชาชนที่รายได้น้อยให้มีรายได้สูงขึ้น เข้าระบบภาษี ทุกคนอย่าไปกลัวคําว่าภาษี ถ้ามีเงินก็ต้องเสียสละกัน ผมยังเสียภาษีครบมาตลอด ข้าราชการทุกคน พลเรือน ตํารวจ ทหารเสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยมา ทุกคนเลี่ยงไม่ได้เพราะตัดจ่ายตั้งแต่ที่ได้รับเงินเดือนแล้ว อยากถือโอกาสนี้ ประชาสัมพันธ์ในวันออมแห่งชาติ วันที่ 31 ตุลาคมของทุกปีกําหนดเป็น “วันออมแห่งชาติ”ถือโอกาสว่าจะทําอย่างไรที่จะส่งเสริมการออม วัฒนธรรมการออมของรัฐ จากการสํารวจของธนาคารแห่งประเทศไทย สํานักงานสถิติแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า 41% ของประชาชน ยังไม่มีการเก็บออมไว้ใช้ในยามชรา ผมเข้าใจว่าจะมีให้เก็บได้อย่างไร เพราะรายได้ยังไม่พอใช้เลย ผมเพียงแต่พูดให้ฟังว่า ทําอย่างไรเราจะมีเงินเก็บออม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วง มากกว่า 56% ของประชาชนที่ตอบแบบสํารวจไม่คิดว่าตนเองมีเงินออมเพียงพอไว้ใช้ในยามชรา และมากกว่า 52% ของคนชราพึ่งตนเองไม่ได้ วันหน้าประเทศเราต้องเป็นสังคมสูงอายุมากขึ้น มีอย่างเดียวตอนนี้ คือต้องอาศัยเบี้ยยังชีพ และลูกหลานช่วยเลี้ยงดู ลูกหลานไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้ที่เพียงพอก็ไม่ได้เลี้ยงพ่อแม่ ไม่มีปัญญาก็เป็นภาระกันไปกันมา แต่ก็ต้องทํา ลูกหลานก็ต้องดูแลพ่อแม่ พี่น้องด้วย ความกตัญญูเป็นสิ่งสําคัญ มาก-น้อยก็ต้องดูแลท่าน ท่านเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นวันนี้ไม่ว่าจะเป็นคนวัยทํางาน นักเรียน และนักศึกษาก็มีความจําเป็นที่ต้องให้ความสําคัญกับ “การออมวันนี้ เพื่ออนาคต” เพราะหากไม่ออมวันนี้ วันหน้าก็มีปัญหา เริ่มออมตั้งแต่เด็ก แล้วแก่ตัวจะไม่ลําบาก ปัจจุบันออมกันน้อยก็น่าเป็นห่วง สําหรับการออมมีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ควรมีการจัดทําบัญชีค่าใช้จ่ายของตนที่เรียกว่า “บัญชีครัวเรือน” เพื่อเสริมวินัยการออม และสร้างความฉลาดเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการเงินอีกด้วย ซึ่งการเงินในครอบครัวก็มีความจําเป็น ทําอย่างไรจะไม่เป็นหนี้นอกระบบ หนี้ครัวเรือน หนี้บัตรเครดิต สิ่งเหล่านี้ทําให้ตัวเลขสัดส่วนของหนี้สูงขึ้นทุกที แต่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ก็ต้องมาดูว่าทําอย่างไรประชาชนจะมีหนี้น้อยลง ต้องกลับมาสู่ความพอเพียงก่อน ช่วยกันรักษาวินัย เรื่องการใช้เงิน ลูกก็ต้องช่วยพ่อแม่ ลูกสําคัญ พ่อแม่รักลูกทุกคน ลูกขออะไรก็ต้องหามาให้จนได้ ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ผลักดันให้ กอช. (กองทุนการออมแห่งชาติ) เปิดรับสมาชิกได้ ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2558 เราก็ตั้งเป้าหมายไว้ล่วงหน้า แต่ในปัจจุบันนั้นทราบว่าสมาชิกสูงกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ในปี 2558 คือ 340,000 ราย เป็นพี่น้องเกษตรกรกว่าร้อยละ 70 และร้อยละ 95 เป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป สําหรับเป้าหมายใน 2559 อยู่ที่ 1.5 ล้านคน อยากให้มากขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลไม่ได้ให้ท่านออมคนเดียว รัฐบาลต้องจ่ายเงินสบทบให้ท่านด้วย เวลาจ่ายคืนจะได้มากขึ้นกว่าที่ท่านฝากไว้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้รับสวัสดิการต่าง ๆ จากรัฐบาล ซึ่งมีกติกากันอยู่ก็ขอให้สมัครเข้าเป็นสมาชิก กอช. ต้องช่วยตนเองด้วย อย่าหวังให้แต่คนอื่นเขาช่วยตลอดเวลา ไม่ยั่งยืน ต้องสร้างหลักประกันในอนาคต สําหรับผู้ที่มีอายุ 60 ขึ้นไป รัฐบาลก็ได้เปิดโอกาสให้สมัครเป็นสมาชิก กอช. ได้ภายใน 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายนปีนี้ (2558) ไปจนถึง วันที่ 25 กันยายน ปีหน้า (2559) ลูกหลานก็สามารถสมัครให้กับพ่อและแม่ได้ รายได้อาจจะมีไม่มากนักก็ค่อยให้ไป สะสมไม่ได้จํากัดจํานวนอยู่แล้ว ไม่ได้เท่ากันทุกเดือนด้วยซ้ําไป รายละเอียดติดต่อสอบถามได้ที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ก็จะมีกิจกรรมส่งเสริมการออมใน “วันการออมแห่งชาติ” โดยมีการระดมเงินออมจากเกษตรกร และประชาชนทั่วไป ที่ไม่ได้อยู่ในระบบบําเหน็จบํานาญของภาครัฐหรือเอกชน และสามารถสะสมเงินวันละเล็กวันละน้อย เพื่อรับบํานาญไว้ใช้ในอนาคต และเป็นหลักประกันในการดํารงชีพยามชรา พร้อมจัดกิจกรรม โครงการ “เกษตรสุขภาพดี กับ ธ.ก.ส.” ส่งเสริมด้านสุขภาพของลูกค้าเกษตกร ระหว่างวันที่ 2 - 6 พฤศจิกายน 2558 ที่สํานักงาน ธ.ก.ส. จังหวัดฉะเชิงเทรา สุดท้ายนี้ สําหรับผลการดําเนินงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมที่เพิ่งจบไปในห้วงนี้ ทั้งงาน “นวัตกรรมและเทคโนโลยีไทยเพื่อ SMEs” และ งานตลาด “สุดยอด SMEs ของดีทั่วไทย” ได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย ประชาชนเป็นที่น่าพอใจ มีผู้เข้าชมงานทั้งชาวไทยและต่างชาติกว่า 65,000 คน มียอดการสั่งซื้อนวัตกรรมและเทคโนโลยีสูงถึง 160 ล้านบาท และมีการหมุนเวียนของเม็ดเงินในการจับจ่ายใช้สอย ภายในงาน เป็นเงินกว่า 17 ล้านบาท นับเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs นักวิจัย นักพัฒนา นิสิต นักศึกษา ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงผลงานของกระทรางวิทยาศาสตร์ฯ รวมถึงผู้ผลิตสินค้าและผู้ขายสินค้า ได้มีโอกาสซื้อขายสินค้าและมีความรู้ในเรื่องนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ฯ อีกทั้ง การสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่เยาวชนและประชาชนทุกคนได้เห็นคุณค่ามีการเลือกใช้นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถตอบสนองความต้องการและการดําเนินชีวิตประจําวันได้อย่างเหมาะสม และยั่งยืน โดยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ทุกคนอยู่กับวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ตื่นมาก็ต้องเจอวิทยาศาสตร์ แสง สี เสียง พลังงานทั้งหมดคือวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์การมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของคนไทย และเป็นต้นแบบหนึ่ง ที่จะสานต่อให้งานคลองผดุงกรุงเกษมเดินหน้าอย่างต่อเนื่องต่อไปอีกด้วย ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2558 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สัปดาห์นี้วงการกรีฑาผู้พิการของไทยได้สร้างชื่อเสียง และนําความสุขมามอบให้กับพี่น้องชาวไทย โดยคุณเรวัตร์ ต๋านะ นักกีฬาวีลแชร์เรซซิ่ง ทีมชาติไทยสามารถคว้าแชมป์โลกวีลแชร์ เรซซิ่ง 1,500 เมตร ที 54 มาได้ ในการแข่งขัน ไอพีซี แอธเลติกส์ เวิลด์แชมเปี้ยนชิพ 2015 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา นอกจากนี้คุณสายชล คนเจน ก็สามารถคว้าเหรียญเงินมาครองในการแข่งขัน 200 เมตร ที 54 อีกด้วย นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีและชื่นชม ในนามของรัฐบาล ผมขอยกย่องและขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนเลยนะครับที่เป็นตัวแทนของประเทศและได้นําชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทยของเรา วันนี้ผมมีข้อห่วงใยและเรื่องที่เรียนให้ทราบดังต่อไปนี้ เรื่องอุบัติเหตุทางถนน เป็นเรื่องที่หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง มีความกังวลและห่วงใยมาโดยตลอด มีความพยายามในหลายวิธีการ เพื่อไม่ให้พี่น้องประชาชนต้องสูญเสียชีวิต หรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันหยุดเทศกาล ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถจักรยานยนต์ รถโดยสาร รถทัวร์ และรถรับจ้าง โดยสถิติการสูญเสียชีวิตนั้น จากการจราจรสูงมาก ถือเป็นการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ อันมีค่าสูงสุดของประเทศ และการสูญเสียทางเศรษฐกิจอีกด้วย คงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ ไม่มีใครมีความสุขที่ได้เห็นสถิติการเสียชีวิต การบาดเจ็บ ถึงแม้ว่าจะลดลงอย่างไรก็ตาม แต่ก็มีคนเจ็บคนตายอยู่ ผมก็ไม่อยากให้มีสักคนเดียว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้สั่งการทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแล้ว ให้ไปหาแนวทางในเรื่องทบทวนหลักเกณฑ์ กติกา ข้อกฎหมาย ในการที่จะควบคุมการขับขี่ยานพาหนะ การใช้รถใช้ถนน การจราจร ตลอดจนเงื่อนไขการประกันภัย ประกันชีวิตต่าง ๆ ให้มีการปรับปรุงมาตรการควบคุม พลขับ พนักงานขับรถ ทั้งภาครัฐและเอกชน มีเครื่องมือในการควบคุมความเร็ว เช่น เรื่องระยะเวลาในการทํางานของพนักงานขับรถ ต้องไม่เกินกี่ชั่วโมงต่อวัน ความเร็วต้องไม่เกินเท่าไหร่ ใช้เครื่องมือควบคุมใช้อย่างไร ตลอดจนมาตรการควบคุมไม่ให้พนักงานขับรถที่เมาสุราหรือมีกลิ่นสุรามาขับรถได้ สําหรับรถเมล์ใหม่ รถรับจ้างใหม่ที่กําลังจัดหา จะต้องมีเครื่องมือพิเศษ เช่น GPS หรือเครื่องควบคุมความเร็ว ควบคุมพลขับ รถเก่านั้นค่อย ๆ ปรับปรุงไป อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องการปรับปรุงถนนที่กลับรถ ทางโค้ง เส้นทางอันตรายที่ขึ้นเนินอะไรก็แล้วแต่ ที่มีความเสี่ยงไม่ปลอดภัย รวมทั้งอุปกรณ์ทันสมัยให้กับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการจราจรและอุบัติเหตุ ให้มีการบูรณาการงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้รถได้มาดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ แล้วเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม เรื่องการท่องเที่ยว สําหรับการใช้ที่ดินเพื่อการท่องเที่ยวที่เป็นที่ถูกกฎหมายนั้นก็ไม่มีปัญหา จัดระเบียบภายในได้ แต่ถ้าหากว่าเป็นที่ดินที่มีปัญหาอยู่ในการที่จะสร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ถูกบุกรุกอยู่ในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ภูทับเบิก เราจะต้องดําเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อนและตรงตามวัตถุประสงค์เดิมที่กําหนด ในบางพื้นที่ที่อาจจะมีความบกพร่องไม่ถูกต้องจะต้องมีมาตรการรองรับ แต่ทุกคนที่บุกรุกอยู่จะต้องยอมรับในกฎหมาย กฎหมายว่าอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น ไม่ใช่ก็ยังคงประกอบการต่อไป แต่จะต้องหาทางว่ารัฐบาลจะทําอย่างไรกับบุคคลเหล่านี้ แต่ถ้าในพื้นที่ที่ถูกต้องก็ไปบริหารจัดการกันให้มีความเรียบร้อย สวยงาม สะอาดและเป็นที่ท่องเที่ยว ที่พักของนักท่องเที่ยว ตอนนี้การท่องเที่ยวของประเทศไทยกําลังบูมอยู่ เพราะฉะนั้นผู้ที่กระทําความผิดกฎหมายจะต้องยอมรับว่า ตัวเองนั้นมีการกระทําความผิดอยู่ จะให้รัฐช่วยเหลืออะไรอย่างไร ถ้าไม่ยอมรับกันก็ช่วยอะไรไม่ได้ อีกประการหนึ่ง คือประชาชนต้องให้ความร่วมมือกับรัฐด้วย ช่วยกันเคารพกฎหมาย ไม่สนับสนุนการกระทําผิดกฎหมาย ผิดระเบียบ ผิดกติกาที่กําหนด โดยไม่มีการบอกว่าทําผิดด้วยความจําเป็นเพราะไม่มีรายได้ หรืออยากให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยที่ไม่ได้ดูว่ามีการบุกรุกสถานที่หรือบุกรุกป่าไม้หรือไม่อะไรทํานองนี้ เรากําลังทําเรื่องเหล่านี้ให้มีความชัดเจนขึ้นต่อไปในอนาคตและยั่งยืนด้วย เรื่องผลิตผลทางการเกษตรทุกชนิด ปัจจุบันรัฐบาลกําลังกําหนดมาตรการช่วยเหลือ ในการปรับโครงสร้างการเกษตร เพื่อให้ชาวเกษตรกรได้ยืนอยู่อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ด้วยตัวของตัวเองเข้มแข็งจากภายใน ผมขอเตือนบรรดาแกนนํากลุ่มต่าง ๆ ว่าอย่าได้นําเกษตรกรมาเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาล เพราะรัฐบาลนี้จะไม่ดําเนินการตามข้อเรียกร้องที่ไม่เกิดประโยชน์แก่ตัวท่าน เราจะดําเนินการในลักษณะเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับพวกท่าน ขอให้ทุกคนร่วมมือกับเราในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืนจะดีกว่า ทุก ๆ คน ทุกคณะที่มา ผมก็ได้ให้หน่วยงานชี้แจงไปแล้วว่าถ้าฟังเรา แนวทางของเรา และร่วมมือกับเรา เราก็ดูแลได้ แต่ถ้าไม่เอาอะไรสักอย่างเลย แล้วก็ดื้อดึงขัดขืน ก็ต้องดําเนินการตามกฎหมาย สําหรับมาตรการช่วยเหลือด้านภาระหนี้สินต่าง ๆ รัฐบาลทราบดีปัญหาของเราก็อยู่ที่ว่า หนี้ทุกคนมีเป็นจํานวนมาก ไม่ใช่เฉพาะเกษตรกร ครู ข้าราชการ หรือหนี้ครัวเรือนของประชาชนทั่วไป ผ่านมาเป็นที่เวลายาวนานทุกคนก็ลําบาก ทุกคนต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ไปกู้ธนาคารบ้างอะไรบ้าง แต่ต้องกลับมาทบทวนดูว่า การที่เรามีหนี้นั้นเป็นหนี้เกิดจากอะไร เพราะฉะนั้นอย่าให้เพิ่มเติมจากเดิม รัฐบาลกําลังจะพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ก็คงต้องใช้เวลาและมีมาตรการที่เหมาะสม จะต้องแก้ทั้งระบบโดยการช่วยเหลือของระบบธนาคารรัฐ ธนาคารพาณิชย์อะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องระมัดระวังหนี้ NPL คงไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าไม่ยั่งยืน วันหน้าก็เกิดขึ้นมาใหม่จะทําอย่างไร เราไม่อาจจะยกหนี้สินให้ใครได้ทันที มีหลายกลุ่มจะพยายามมาบีบบังคับให้รัฐบาลยกหนี้ให้ทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้นึกถึงคนอื่นเขาด้วย ทําไม่ได้หรอกเป็นเรื่องของการประกอบการในเรื่องของการธนาคารแหล่งเงินทุกต่าง ๆ ขอร้องในส่วนของเงินทุนนอกระบบด้วย ขอให้ระมัดระวังอย่าให้ผิดกฎหมาย ดูแลคนให้มีความสุข วันนี้วุ่นวายไปทุกเรื่อง ทั้งความจน ทั้งการกระทําความผิดกฎหมาย ทั้งความลําบากต่าง ๆ เหล่านี้ ทําให้บ้านเมืองสับสนอลหม่านทั้งหมด เพราะฉะนั้นปัญหาเหล่านี้เรากําลังแก้อยู่ทั้งระบบทั้งหมดเลย ประชาชนจํานวน 70 ล้านคนทําอย่างไรถึงจะอยู่อย่างมีความสุข ขอให้ทุกคนได้ร่วมมือ ร่วมกันพิจารณาหาทางออกให้ได้ อย่าคิดว่าถ้าทําแบบนี้แล้วจะได้ทั้งหมดหรือได้แบบที่ต้องการ มันไม่ได้หรอก เพราะรัฐบาลไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้นต้องค่อยเป็นค่อยไป เรากําลังพิจารณาทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะของประเทศ ได้มีการพูดคุยในฝ่ายเศรษฐกิจ กระทรวงการคลังแล้วว่าจะทําอย่างไร สิ่งใดที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือไม่มีมูลค่าในอนาคต วันนี้รัฐบาลก็ไม่อยากสนับสนุนนะครับ สําหรับมาตรการที่รัฐบาลออกไปเพื่อให้คนมีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัย แล้วเป็นการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น ก็อาจจะเป็นหนี้ที่เกิดการกู้เงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย เราก็ต้องมีมาตรการป้องกัน มีมาตรการไม่ให้เกิดเป็นหนี้ศูนย์อีกเช่นกัน อันนี้หลายคนเข้ามาสงสัยว่า จะเหมือนรถยนต์คันแรกหรือไม่ ซึ่งถ้าเรามองด้วยเผิน ๆ นะอาจจะคล้ายกันหรือไม่ แต่ถ้ามองในข้อเท็จจริงแล้วไม่เหมือนกันหรอก เพราะเราไม่ได้มีการคืนภาษีเป็นเงินสดไปก่อน วันนี้ก็ต้องผ่อนชําระกันไปอะไรกันไป มีการลดดอกเบี้ย ลดการผ่อนชําระบ้างอะไรบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องการแก้ปัญหาด้วยระบบการเงินการธนาคารหรือมาตรการทางภาษี ไม่ใช่คืนเงินสดต้องไปหาเงินสดมาคืนให้ไปก่อน ทุกคนก็ซื้อกันใหญ่โตก็เป็นการสร้าง Demand เทียมไป วันนี้โชคดีที่ดีขึ้นในเรื่องของธุรกิจการส่งออกหรือธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องยานยนต์วันนี้ก็เริ่มดีขึ้น แต่ติดปัญหามาหลายปีมาแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ สร้าง Demand เทียมมา เราจะต้องทําอะไรไม่ผิดวินัยการเงิน การคลัง มาตรการทางภาษีเป็นสิ่งที่รัฐสามารถทําได้ และจะต้องได้รับความร่วมมือทั้งสถาบันการเงินของรัฐและเอกชนร่วมมือกัน และรัฐจะต้องช่วยเหลืออยู่แล้วในส่วนนี้ ไม่ใช่ให้เปล่าแล้วเราไม่ช่วยดูแลเลยคงไม่ได้ เพราะรัฐบาลดูแลอยู่แล้วหลายคนพูดว่า รัฐบาลช่วยเหลือให้กู้ แต่รัฐบาลก็ไม่ดูแลเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้ รัฐบาลก็ต้องเสียเงินเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่เสีย แต่เสียอย่างไรให้เกิดความยั่งยืนและใช้เงินให้น้อยที่สุด เพราะเงินเราก็น้อยลง ๆ รายได้ก็ได้น้อยลงอีกเหมือนกัน เรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันก็เดินหน้าไปขอบคุณทุกคนเมื่อวานได้พบแม่น้ํา 5 สายแล้วก็ทําความเข้าใจร่วมกันว่า เราจะเดินหน้าประเทศอย่างไรด้วยความร่วมมือซึ่งกันและกัน ด้วยการบูรณาการและการมีความส่วนของประชาชน วัตถุประสงค์ที่เราต้องการคือ ทําอย่างไรให้ประเทศชาติและประชาชนปลอดภัยมีเสถียรภาพ ได้พูดถึงการกําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือกลไกใดก็แล้วแต่ มีการดําเนินการในช่วงระยะเวลาที่เปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐธรรมนูญ และเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นวันนี้เราต้องหารัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับประเทศไทยของเราให้ได้ ขอความร่วมมือด้วยจากทั้ง คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) คงเข้าใจกันกันดีแล้ว ประเด็นสําคัญคือ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคณะทํางานใด ๆ ก็แล้วแต่ไม่ว่าจะเป็นประชาชนต้องมองกลับมาที่ปัญหาของบ้านเรา โจทย์ของบ้านเราว่ามีอะไรบ้างแล้วเกิดจากปัจจัยภายใน ภายนอกอย่างไร เพราะฉะนั้นขั้นตอนในการแก้ปัญหาควรจะเป็นอย่างไร วิธีการ How to do และ Road Map ในแต่ละเรื่องที่จะต้องปฏิรูปเหล่านี้มันจะต้องมีการลงละเอียดว่าจะแก้ได้อย่างไรให้ยั่งยืน จะต้องมีการประสานงานกันบูรณาการกัน รับฟังความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่เราเปิดช่องทางให้หลายช่องแล้ว ไม่ว่าจะเป็นช่องของ กรธ. สนช. สปท.และมีช่องทางโซเชียลมีเดีย และเว๊บไซต์มากมาย ก็เสนอเข้ามา และในส่วนของการรับฟังความคิดเห็นเดี๋ยวพอเขาเริ่มร่าง เริ่มทําอะไรกันเขาก็จะไปสร้างความเข้าใจในทุกพื้นที่ก็ขอภาวนาให้มาร่วมกันด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการรับฟังความคิดเห็นที่ผ่านมาผมตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่า คนที่มาฟังนั้นก็เป็นคนที่ไม่ค่อยได้มีปัญหาอะไรมากนักก็มาเสนอโน่น เสนอนี่ แต่คนที่ถูกชักจูงก็ไม่ต้องมา ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกลุ่มนี้จะปฏิเสธทุกอย่าง ผมก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ไม่ร่วมมือร่วมใจทั้งสิ้น แล้วก็ไปอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน ไปโน่นเลย แล้วบอกรัฐบาลไม่ให้ความสําคัญ ก็เปิดมาก็มาซิครับ วันนี้ผมก็รับจากทุกทางหลายท่านได้เขียนจดหมายมาโดยตรงที่ผมด้วย ขอร่วมมือกันตรงนั้นตรงนี้ ผมก็ยินดี และวันนี้ผมได้ให้คนไปพบปะทั้งอาจารย์ นิสิต นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย ขอร้องกันว่า วันนี้ประเทศชาติเป็นอย่างไรขอให้เข้าใจหน่อย วันหน้าต้องกลับมาสู่การเป็นประชาธิปไตยอยู่ดี วันนี้ถ้าเรียกร้องกว่านี้ก็ปฏิรูปไม่ได้ แต่ถ้าทุกคนคิดว่าไม่ปฏิรูปอะไรเลยผมก็จนใจ ก็มีปัญหาหมดทางกฎหมายด้วยอะไรด้วย ผมไม่อยากจะทําให้ทุกคนเดือดร้อน เรื่องการจัดระเบียบสังคม ทั้งในพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว ป่าเขา ชายหาด การจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้าง คิวรถตู้ การค้าขายบนทางเท้า หาบเร่ แผงลอย ทหารได้จัดไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา บางพื้นที่ก็ยังเรียบร้อยอยู่ ประชาชนมีความสุขอยู่บ้างสําหรับคนที่เคยกระทําความผิดอยู่ในบริเวณนั้นทําไม่ได้ไง พอเราผ่านไปแล้วก็จะไปทําเรื่องอื่นทหารจะไปตรงอื่นก็ต้องกลับมาดูที่เก่าใหม่ ผมก็ไม่ทราบว่าประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโดยตรงในพื้นที่ดูแลกันอย่างไร บางครั้งผมได้ข่าวมาด้วยว่า เจ้าหน้าที่ไปอ้างว่า เพราะ คสช. มาทําให้เขาลําบาก เจ้าหน้าที่อย่างนี้ยังมีอยู่เลย ก็ขอให้ กทม. ได้มีการตรวจสอบด้วยในทุกพื้นที่ ต้องเข้าใจกันสร้างความเข้าใจกับประชาชน ไม่ใช่เอาตัวรอด ที่ทํามาเพราะ คสช. สั่ง เพราะนายกฯ สั่ง ผมสั่งเพื่อใคร และท่านต้องทํางานอย่างไร อย่าให้เกิดขึ้นอีกโดยเด็ดขาด การบุกรุกสถานที่ต่าง ๆ เหล่านี้ไม่เป็นระเบียบ ถ้าอย่างนั้นเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโดยตรงผมจะเริ่มพิจารณาโทษ เพราะปล่อยให้กลับมาเหมือนเดิมอีกไม่ได้ อย่าให้ทั้งประชาชนคนไทย ทั้งต่างประเทศ นักท่องเที่ยวเขาเดือดร้อน การตรวจสอบต่าง ๆ ที่ผ่านมานั้น ผมอยากจะเรียนว่า ขอให้หน่วยงานระดับล่างลงไป ได้ลงไปในพื้นที่ และไปดูว่าสิ่งที่เราทําวันนี้สามารถจะทําต่อไปได้หรือไม่ ที่ผ่านมามีปัญหาอย่างไร และนําเรื่องที่เป็นปัญหานั้นมาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขาแก้ปัญหา แต่เรื่องที่ต้องรักษาระเบียบ กติกาต้องมาก่อน และทําอย่างไรจะไม่เกิดความขัดแย้งไม่สร้างปัญหาใหม่ เพราะฉะนั้นเราอาจจะต้องมาพิจารณาว่า ถ้าสมมติหน่วยงานในพื้นที่ หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทํางานไม่ได้ยุบไปเลยดีกว่า จัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมาเพื่อที่จะดูแลเรื่องเหล่านี้จากพลเรือน ตํารวจ ทหารไหม ก็ไปหาทางออกมา ถ้ายังปล่อยกันอยู่แบบนี้ไม่เกิดประโยชน์ในการที่ให้รับผิดชอบอะไรสักอย่างก็ไม่ได้ทั้งหมด วันข้างหน้าก็เกิดขึ้นมาใหม่ ข้อสําคัญคือประชาชนต้องมีส่วนร่วมด้วย เริ่มตั้งแต่ไม่ทําผิดกฎหมายบ้านเมือง ไปหาทางออกว่า จะไปทําอาชีพอะไรอย่างไรที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นเขา ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล การค้าขายถ้าไปค้าขายในที่ไม่ถูกต้องก็อย่าไปอุดหนุนกัน ซึ่งเป็นการอุดหนุนที่ไม่ถูกวิธี เรื่องของการรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ ริมแม่น้ํา คูคลอง ผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ ต้องมีการแก้ไขการบุกรุกให้ได้อย่างยั่งยืน และดูแล้วว่าจะทําอย่างไรกันสําหรับผู้ที่เดือดร้อน เพียงแต่ว่า สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเรื่องผิดกฎหมายทั้งสิ้นที่ทุกคนทํามาจนเป็นปกติ เมื่อบังคับใช้กฎหมายก็บังคับไม่ได้ ในลักษณะที่เป็นการผ่อนชําระราคาถูกอะไรก็แล้วแต่ดูแลทั้งหมด กําลังทําเป็นแผนงานอยู่ทั้งข้าราชการพลเรือน ตํารวจ ทหารชั้นผู้น้อย เป็นหลักก่อน รวมทั้งประชาชนด้วยในทุกจังหวัดทุกพื้นที่ ซึ่งต่อไปจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก หลายพื้นที่ได้เคลียร์ไปแล้วจะต้องไม่กลับมาใหม่และดําเนินการหามาตรการดูแลให้ได้ เรื่องคูคลองหลายแห่งตื้นเขิน วันนี้ก็มีปัญหาเรื่องการส่งน้ํา การระบายน้ํา เวลาน้ําท่วมก็มีปัญหา น้ําแล้งก็ส่งน้ําไปไม่ได้จากคูคลองไปคลองซอยคลองอะไร เพราะมันตันทั้งหมด ซึ่งไม่ได้รับการดูแลมาผมไม่รู้ว่าหน้าที่ของใคร โดยมีหน้าที่ของ อปท. บ้าง ซึ่งเป็นหลักในการดูแลเมื่อรัฐสร้างอะไรไปแล้ว ก็ต้องดูแลในขนาดเล็กต่าง ๆ เหล่านี้ต้องดูแล ท่านก็มีเงินมีทองอยู่ส่วนหนึ่งถ้าไม่พอก็บอกมา รัฐบาลก็จะต้องหาเงินไปเสริมให้เป็นเรื่องเป็นราวไป ไม่ใช่ผ่านมาทั้งหมดก็ตื้นเขินเหมือนเดิม ไปตรวจทีอะไรทีก็เห็นแต่ความทรุดโทรม ใช้การไม่ได้ ก็ตอนสร้างเสร็จแล้วก็ส่งไปให้รับผิดชอบตอนนั้นก็ดีอยู่ แล้วท่านก็บอกว่าไม่มีเงิน ไม่มีทองดูแล แต่ไม่ใช่อย่างเดียว ไม่มีเงินรัฐก็ต้องดูแลให้ แต่ปัญหาคือท่านไม่ดูมากกว่าก็เลยแย่ไปหมดวันนี้ต้องเสียหายไป 70 - 80% แล้วจะทําอย่างไร อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก เรื่องการทิ้งขยะเหมือนกัน อย่าทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ หรือขยะลงไปในแม่น้ํา ในน้ําลําคลองต่าง ๆ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของน้ําเสีย สําหรับการจัดการเรื่องขยะ เป็นเรื่องใหญ่อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไม่สําคัญ ไม่จําเป็นไม่เห็นต้องสร้าง ไม่เห็นต้องทํา ไม่เห็นต้องใช้จ่ายงบประมาณ วันนี้เราก็ทราบอยู่หน้าที่เรื่องขยะนั้น เป็นหน้าที่ของ อปท. ซึ่งอาจจะมีงบประมาณน้อยไม่เพียงพอ เพราะอัตราเก็บเงินค่าขยะน้อยมาก รู้สึกจะเดือนละ 20 กว่าบาท จะทําได้อย่างไรวันนี้ ในเมื่อคนมากขึ้น พื้นที่มากขึ้น ขยะมากขึ้น เพราะยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เรื่องรายได้ รายจ่ายต่าง ๆ ติดขัดไปหมด เพราะระยะเวลาที่ผ่านมานั้นไม่ได้ดูในรายละเอียด นี่คือเรื่องเล็ก ๆ ที่ทําให้เกิดเรื่องใหญ่ๆ เกิดปัญหาทับซ้อนมาตามลําดับ ทุกคนต้องการความสะอาด แต่ทุกคนก็ไม่ยอมเสียสละมีเจ้าหน้าที่ก็ทํางานไม่ได้ มีบางอย่างและบางครั้งมีการทุจริตโกงกินเข้าไปอีกเลยวุ่นไปทุกเรื่อง วันนี้ต้องกลับมาทบทวนดูว่า จะทําอย่างไรนําขยะมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ทําขยะให้เป็นทรัพย์สินที่มีค่าเกิดอาชีพรายได้ ห่วงโซ่คุณค่า และเรื่องของพลังงานด้วย เพราะว่าถ้าเราต่อต้านกันเรื่องพวกนี้ต่อไป ขยะก็จะมากขึ้น ๆ ปีหนึ่งหลายร้อยหลายพันตัน ทุกเดือนก็สะสมเข้าไป แล้ววันหน้าก็เป็นขยะพิษ วันนี้ถูกเรียกร้องให้ดูแลความสะอาดแต่ทุกคนไม่ช่วยกันเสียสละ เงินค่าขยะ 20 กว่าบาท ก็ยังบ่นกันอยู่อีก พอจะเพิ่มอีกก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไปชั่งน้ําหนักให้ดีว่าเราจะทําอย่างไรดี ผมอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในเรื่องเหล่านี้ถ้าท่านไม่เข้าใจตั้งแต่แรกคํานึงถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนส่วนรวมก็ไม่เกิด ก็ต้องมี Give มี Take อะไรกัน บ้างเจ้าหน้าที่เขาจะทําได้อย่างไรไม่มีเงิน เพราะฉะนั้นเราต้องพิจารณาดูว่าอะไรมาก อะไรน้อยเสียหายอย่างไร แก้ไขได้หรือไม่ถ้าแก้ไขได้ก็จําเป็นต้องทํานะไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาส่วนร่วมกับพื้นที่ด้วย อย่าเห็นแก่ตัวกัน กลายเป็นว่าพื้นที่เราไม่ให้ใครมาทิ้ง ไม่ให้สร้างโรงขยะ ไม่ให้สร้างที่หลุมขยะอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ แล้วจะไปทิ้งที่ไหนใช่ไหม ในเมื่อจําเป็น แต่จะทําอย่างไรที่เกิดขึ้นมาแล้วจะเกิดประโยชน์กับชุมชนและประชาชนในแถบนั้นให้ได้ด้วย เราต้องสร้างสมดุลให้ได้ ผมฝากข้าราชการไปทําความเข้าใจให้ได้ด้วยในเรื่องเหล่านี้อย่าให้เกิดความขัดแย้งอีกต่อไปอีกเลยเวลาเราจํากัด สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมกับรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ได้มีการพบปะพูดคุยกับนักลงทุนหลายบริษัท เพื่อจะรับทราบถึงปัญหาข้อขัดข้อง หาแนวทางที่ทําให้เกิดความร่วมมือให้ได้โดยเร็ว เป็นที่น่ายินดีที่นักลงทุนรายใหญ่หลายบริษัท อาทิ ฟอร์ด มาสด้า มิตซูบิชิ โตโยต้า ซีเกต สหพัฒน์ ซัมซุง ฯลฯ ยินดีที่จะลงทุนต่อไปในประเทศไทย โดยอาจจะต้องมีการปรับรูปแบบ และเพิ่มการลงทุนให้มากขึ้น รวมทั้งเราจะเพิ่มเติมในเรื่องการศึกษาวิจัยและพัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างความเข้มแข็งให้กับคนไทย ทุกบริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพ และเสถียรภาพของไทยในการเจริญเติบโตในอาเซียน เพราะฉะนั้น เราเองจําเป็นต้องปรับรูปแบบการลงทุน ปรับตนเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง กติกาของหลาย ๆ ประเทศเปลี่ยนไป เราก็จําเป็นต้องแข่งขันกันในเรื่องนี้ สิทธิประโยชน์ การลงทุนให้แก่ชาวต่างชาติ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ไม่อย่างนั้นเราก็จะด้อยไปเรื่อย ๆ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เราก็ลดลงไปตามลําดับ เพราะฉะนั้นการลงทุนในประเทศไทยหลายบริษัทที่อาจจะเห็นว่ามีการย้ายออกไป เขาจะอธิบายว่าเป็นโรงงานเก่าและที่ย้ายไปเพราะเป็นการผลิตสินค้าขั้นพื้นฐาน เขาก็จะหาโรงงานที่ทันสมัยเขามาแทน อันนี้ก็ฝากเรียนพ่อแม่พี่น้อยด้วยอย่าเพิ่งตื่นตระหนกขอเวลาสักนิดเขาจะปรับปรุงพื้นที่โรงงานต่าง ๆ ให้ทันสมัยขึ้น เพราะจะมีการจ้างงานเหมือนเดิม วันนี้ต้องหาอาชีพอื่นไปก่อน เขาจะเพิ่มเป็นโรงงานที่มีการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มเข้ามาแทน ก็ดีจะได้พัฒนาประเทศไทยในเรื่องนี้ด้วย เรื่องนวัตกรรม การวิจัยและพัฒนา สําหรับเรื่องการเจรจาเขตการค้าเสรี ( FTA) และ RCEP กับประเทศต่าง ๆนั้น กําลังดําเนินการอยู่หลายประเทศที่เกี่ยวข้องก็มีความก้าวหน้าทั้งตุรกี ชิลี อาเซียน+6 จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ กําลังเดินหน้าอยู่ในเรื่องเหล่านี้ อีกไม่กี่วันผมต้องไปประชุมเกี่ยวกับเรื่องเขตเศรษฐกิจของอาเซียนที่จะร่วมมือกันอย่างไรกับประเทศต่าง ๆ หลายประเทศด้วยกันในเดือนหน้า เรื่อง Trans-Pacific Partnership (TPP) เช่นกันกําลังศึกษาอยู่ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่หารือร่วมกันของรัฐบาลกับภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจ เอกชน เกษตรกรรม การค้า และอื่น ๆ จะต้องหาข้อสรุปให้ได้ว่ามันดี มันเสียอย่างไร จะแก้ไขความเสี่ยงเหล่านั้นได้อย่างไร อย่าไปคิดว่ามันจะได้อย่างเดียว เสียก็มี มีได้ก็ต้องมีเสีย ทุกส่วนจะต้องร่วมมือกันพิจารณาตัดสินใจร่วมกัน หากจะต้องเข้าเป็นภาคี ไม่ใช่วันหน้าเอาวันนี้อยากเข้า พอวันหน้ามีปัญหาขึ้นมาโทษกลับมาที่รัฐบาลอีก เพราะฉะนั้นเป็นความเห็นชอบร่วมกันก็ไปหามา ซึ่งคือระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เสียงส่วนใหญ่ว่าไงก็ว่ามาแต่ต้องยอมรับกันว่า ผิดพลาดเราจะแก้ไขอย่างไรต่อไป เรื่องการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น รัฐบาลกําลังทําอยู่อย่างต่อเนื่อง อย่าไปฟังที่ออกมาพูดจาให้ร้ายต่าง ๆ เหล่านั้น วันนี้เราต้องดําเนินการอย่างรอบคอบ ให้มีความชัดเจนขึ้นในทุกกระบวนการ ผม และ คสช. ก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรตรงนั้นเลยเพียงแต่นําสู่กระบวนการเท่านั้น แต่เรื่องการพิจารณาจะเร็วจะช้าก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ตามหลักฐาน วัตถุ พยาน พยานบุคคลอะไรก็แล้วแต่ สังคมอย่ากดดันมากนักเลยฟังบ้าง อย่าไปฟังแต่สื่อที่บิดเบือน โซเชียลมีเดียที่บิดเบือนหรือบางคนที่ออกมาพูดบิดเบือน ถ้าประเด็นที่สําคัญที่สุดคือ ถ้าไม่มีอะไรผิดกฎหมายมันจะมีอะไร ถ้ามีมูลก็ต้องไปสอบสวน วันนี้ยังไม่ทันเข้าอะไรเลย แค่ตั้งเรื่องขึ้นมาไปดําเนินการสอบสวนตามขั้นตอนปกติ วันนี้ก็แอบอ้างกัน เรื่องความไม่เป็นธรรม ไม่ยุติธรรม เร่งรัดจนเกินไป ผมบอกแล้วว่าถ้าไม่ผิดก็คือไม่ผิด จะเร็วจะช้าถ้าไม่ผิดคือไม่ผิด ถึงจะเร็วหรือช้าแต่ถ้าผิดก็ต้องผิด นี่คือข้อเท็จจริง อย่าลืมข้อเท็จจริงเหล่านี้ เรื่องนโยบายการปราบปรามผู้มีอิทธิพล สืบเนื่องมาจากรัฐบาล ซึ่งผมมีความเป็นห่วงปัญหาสังคมในปัจจุบัน จะเห็นว่ามีโจร มิจฉาชีพมากขึ้น มีการใช้ความรุนแรง มีการใช้อาวุธสงครามเข้าแก้ปัญหา ไม่มีความหวาดกลัวกฎหมาย จะเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนกันหรืออย่างไร ขี่รถจักรยานยนต์แซงกันไป-มา ขับรถเก่งอะไรต่าง ๆ ก็ยกปืนเอามาขู่เขา ทําได้อย่างไรแบบนี้ ต้องไปอยู่ในป่าในเขานู้น ยังผิดกฎหมายเลย ทุกวันนี้ชักปืนออกมายิงเฉย ๆ ทะเลาะกันในครอบครัวก็เอาปืนมาฆ่ากัน ยิงกัน สิ่งนี้ทําให้สังคมเสื่อมโทรม คนเราใช้อารมณ์เหนือเหตุผลมากขึ้นทุกวัน ใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ อันนี้คือสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยมาจากสื่อ จากโซเชียลมีเดียที่ไม่ดี ทําให้คนที่เห็นความรุนแรงเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นการเร้า เขาเรียกว่าแรงขับเคลื่อน บางทีก็วัยรุ่นบ้าง เยาวชนบ้าง ทุกคนมีแรงขับเคลื่อนที่เหลือเฟืออยู่แล้ว พอมีเกมส์บ้าง เกมส์ออนไลน์บ้าง โซเชียลมีเดียบ้าง ฯลฯ ก็ทําให้ทุกคนคุ้นชินกับการใช้กําลัง คุ้นชินกับการทําลายล้างกันด้วยอาวุธในโลกที่อาจจะไม่เป็นจริงในโซเชียมีเดีย เรื่องการ์ตูนบ้าง อะไรบ้าง เกมส์ต่าง ๆ เหล่านี้ ทุกคนเลยมองเป็นเรื่องธรรมดาไปหมด ถ้าเราเห็นว่าต่างประเทศเขาเกิด เล่นเกมส์มาก ๆ ก็อยากไปใช้อาวุธจริง ๆ ก็สร้างการบาดเจ็บสูญเสียในโรงเรียนบ้าง ในสถานที่ต่าง ๆ บ้าง ทุกประเทศเกิดขึ้นหมดแล้ว นี่คืออันตรายที่เกิดขึ้นจากโซเชียมีเดียที่ไม่มีคุณภาพ ผมก็อยากจะมอบนโยบายให้ดําเนินการ ให้เจ้าหน้าที่ทั้งพลเรือน ตํารวจ ทหาร และประชาชนช่วยกันสร้างสภาวะแวดล้อมที่สงบเรียบร้อยและปลอดภัยให้สังคมกลับคือมาเป็นปกติ สําหรับคําว่า “ผู้มีอิทธิพล” มีคําจํากัดความอยู่แล้ว ซึ่งหมายความถึง บุคคลที่จะมีความเชื่อมโยงกับการกระทําผิดกฎหมาย รวมความไปถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งใช้อํานาจหน้าที่ในทางที่ผิด แสวงประโยชน์ กดขี่ ข่มเหง พี่น้องชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ – ไม่มีทางต่อสู้ ผู้มีอิทธิพลดังกล่าว มักจะเป็นเครือข่ายอาชญากร ซุ้มมือปืน และเป็นองค์ประกอบที่สําคัญด้วย เรื่องอาวุธสงครามหรืออะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ นโยบายนี้ไม่ได้เป็นการไล่ล่าฆ่าฟันใคร เพียงแต่กําชับให้มีมาตรการที่เหมาะสมทางกฎหมาย เพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของเจ้าหน้าที่ อย่าปล่อยปละละเลย เราไม่จําเป็นต้องไปออกกฎหมายอะไรใหม่ ๆ อยู่แล้ว กฎหมายเดิมก็เพียงพออยู่แล้ว วันนี้เราก็มีมาตรา 44 อยู่แล้วด้วย ก็ไม่อยากให้ทุกคนมาต่อสู้กันอีกต่อไปในอนาคตด้วยอาวุธสงคราม หรือใช้ความรุนแรง รัฐบาลพยายามจะใช้กฎหมายอย่างดีที่สุด กฎหมายอื่น ๆ เรามีอยู่แล้ว เช่น กฎหมายยาเสพติด กฎหมายอาวุธเถื่อน น้ํามันเถื่อน ค้ามนุษย์ การลักลอบนําเข้าแรงงานต่างด้าว ทุกอย่างมีกฎหมายหมดวันนี้ บางอันไม่มีก็มีในสมัยนี้ แต่ทุกคนก็ไม่ค่อยเคารพกฎหมาย สิ่งนี้อันตรายจะปฏิรูปอะไรไม่ได้ถ้าทุกคนไม่เคารพกฎหมาย ยังไม่รู้จักตัวตนของตนเอง การทวงหนี้ เก็บค่าคุ้มครอง บุกรุกป่า เป็นต้น เป็นเรื่องที่ต้องกังวล สําหรับปุถุชนคนดีทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อคืนความเป็นธรรมสู่สังคม สร้างชุมชนที่ปลอดภัย และลดสภาวะความหวาดระแวงของคนในชาติกับกฎหมาย ซึ่งเป็นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย ต้องไม่ไปรบกวนคนอื่น ไม่ทําให้คนอื่นเดือดร้อน เขาเรียกว่าประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ไม่ละเมิดสิทธิ์เขา และกฎหมายจะทําให้สังคมมีความเท่าเทียมกัน กฎหมายอันเดียวกัน ทั้งหมดเหล่านี้ ขอให้สื่อต่าง ๆ ช่วยกันประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่ไปขยายความว่าเตรียมจะใช้อํานาจต่าง ๆ ไปใช้สร้างความรุนแรง ก็เขาเป็นคนที่ทําความผิดอยู่ เราก็ใช้กฎหมายผิดตรงไหนผมไม่เข้าใจ สื่อก็ไปเขียนเป็น Story ขึ้นมาอยู่เรื่อยทุกเรื่อง อะไรที่กําลังทําหรือทําไปแล้วเพื่อส่วนรวมก็นําเสนอแต่ข้อเรียกร้องที่ตรงกันข้ามมาตลอด ผมไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร ผมไม่ศัตรูกับท่านอยู่แล้ว แต่ท่านก็ไม่เคยแก้ไขตัวเอง บางสื่อที่ชอบทําให้เกิดความขัดแย้ง ขยายความขัดแย้ง ไปจับเล็กจับน้อยมาตลอดเลย เปิดเฟซบุ้ก เว็บไซต์ให้คนมาคอมเม้นท์สิ่งที่เป็นความขัดแย้ง ทําไมท่านไม่เปิดเว็บไซต์ขึ้นมาแล้วทําให้สังคมปรองดองกัน ท่านไม่ช่วยผมเลย วันนี้ก็ต้องมาดูกัน สังคมต้องช่วยกันดูด้วยไม่อย่างนั้นปรองดองไม่ได้อยู่แล้ว พอเริ่มก็จะตีกันอีก เพราะฉะนั้นเราต้องดูความเข้มแข็งและยั่งยืนของประชาชนด้วย วันนี้งานค่อนข้างยากไปเรื่อย ๆ ระยะแรกเป็นงานที่แก้ในเชิงเดี่ยว สั่งอันนี้วันนี้แก้ วันนี้ใช้กําลังไปเท่านี้ ใช้กฎหมายก็จบ แต่จะกลับมาใหม่ถ้าเราไม่ช่วยกันดูแล แต่วันนี้งานในระยะที่ 2 มีการทับซ้อนกันมาก ไม่ว่าจะข้ามกระทรวง ข้ามกรม อะไรมาเกี่ยวข้องกับพลเรือน ตํารวจ ทหาร เกี่ยวกับกฎหมายก็ต้องแก้ไขหลายฉบับ ยากไปหมดตอนนี้ แถมยังมีคนที่ไม่เข้าใจมาต่อต้าน ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอะไร เหตุผลประชาธิปไตยที่เขาพูดกันกับสิทธิมนุษยชนหรือไม่ แต่เคยเป็นห่วงคนที่เขาเดือดร้อนจากเรื่องเหล่านี้ไหม ที่รัฐพยายามจะแก้อยู่ ไม่เคยห่วง พูดแต่เรื่องเลือกตั้ง ประชาธิปไตย ผมไม่เคยไปเถียงท่านอยู่แล้ว อย่างไรก็ต้องเลือกตั้ง ฉะนั้นเรื่องอะไรที่ผิดกฎหมายก็ต้องผิดกฎหมาย ค่อย ๆ หาทางแก้ไขกัน ถ้าผิดมากก็แก้เร็ว ถ้าผิดช้าอย่างไรก็ต้องแก้ กฎหมายมีอยู่แล้วไม่เร็วไม่ช้า เดี๋ยวท่านไม่เข้าใจอีก ก็อยู่ในกรอบกฎหมาย หลายเรื่องปล่อยปละละเลยกันมานาน เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชอบด้วย ผมเองก็ต้องรับด้วย เพราะผมอยู่ในเหตุการณ์มาตลอด แต่ผมก็ให้รัฐบาลให้หน่วยงานเข้ามาดูแล เข้ามาร่วมมือกันมาตลอด วันนี้ผมเข้ามาบริหาร ผมจะต้องทําให้เกิดขึ้นให้ได้ ทุกคนช่วยกัน การต่อต้านต่าง ๆ นั้น ขอร้องอย่ามาอ้างเหตุผลเลย อย่างมาโยงความผิดให้คนอื่น ไปไล่ฆ่าคนโน้นคนนี้ โจมตีกันไปกันมา ปรองดองกันไม่ได้หรอกถ้ายังไม่หยุด เรื่องของนิสิต – นักศึกษา ผมก็ได้ให้คนไปคุยกับครู อาจารย์ต่าง ๆ ขอร้องกันกรุณานึกถึงประเทศชาติด้วย อย่าเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยวันหน้าก็เป็นประชาธิปไตยที่ทุกคนต้องการอยู่แล้ว วันนี้ท่านต้องรู้ว่าปัญหาประเทศอยู่ตรงไหน ที่ผ่านมาทุกคนมีแรงขับเคลื่อนที่แรงมากกมาย เมื่อมีคนมาให้ข้อมูลท่านไม่ถูกต้องก็ทําให้ท่านเคลื่อนไหวในทางที่ผิด และเป็นอันตรายกับตัวเอง พ่อแม่ กับอะไรก็แล้วแต่ และทําให้ประเทศชาติเสียหาย วันนี้มาคุยกัน เพราะเห็นรับปากว่าจะมาคุยกัน และร่วมกันปฏิรูป ขอบคุณล่วงหน้า เรื่องการพัฒนา รัฐบาลให้การพัฒนาเป็นไปอย่างยั่งยืนในการประชุม ครม. ได้สั่งการไปแล้ว 3 เรื่องด้วยกัน ประกอบด้วย (1) เรื่องระบบการศึกษา ต้องให้ความสําคัญตั้งแต่เด็กเล็ก (0 – 3 ขวบ) ในช่วงที่สมองกําลังพัฒนาอย่างเต็มที่ เด็ก ๆ ทําอย่างไรจะไม่ป่วย ไม่เครียด จากสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย กดดัน การศึกษาทําอย่างไรจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มประสบการณ์ เพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน ส่งเสริมการทํางานร่วมกัน การทํางานเพื่อสังคม มีการพัฒนาวิชาชีพ พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เป็นต้น (2) เรื่องระบบสาธารณสุข ถ้าหากมีการบริหารจัดการได้ดี เงินที่มีอยู่จํานวนจํากัดนั้น ก็อาจจะช่วยส่งเสริมให้ทรัพยากรมนุษย์ของเรามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องการทํางาน การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อจะใช้พัฒนาประเทศต่อไป ถ้าเราบริหารจัดการเงินต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ดีก็จะฉุดรั้งศักยภาพในทุก ๆ ด้าน เพราะทําให้คนป่วย เจ็บ ไม่มีเรี่ยวแรงทํางาน ต้องหาเงินมารักษา ก็เป็นหนี้อีกเช่นเดิม ประเทศก็เดือดร้อน วันหน้าก็กลายเป็นประเทศที่ป่วย ประเทศที่ไม่แข็งแรงตามไปด้วย และเรื่องต่อไป (3) เรื่องสิ่งแวดล้อม เราจะต้องมีการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่มีผลกระทบซึ่งกันและกัน ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะสิ่งแวดล้อมต้องอยู่กับเราอีกยาวนาน ต้องคู่กับมนุษย์ มนุษย์ต้องดูแลรักษา เขาก็ยังดูแลรักษาเรา ทั้งป่า น้ํา ระบบนิเวศน์ ต้องรักษาสมดุลกันให้ได้ อย่าให้เกิดพิษขึ้นมา วันหน้าจะอยู่กันไม่ได้ เพราะจะย้อนกลับมาทําร้ายพวกเรากันเอง เราจะต้องรักษาไว้ให้อนาคตด้วย ไม่ใช่ใช้จนหมดในยุคของเรา วันนี้ป่าน้อยลง ฝนก็น้อยลง ถ้าป่ายิ่งน้อยไปกว่านี้ ฝนก็จะไม่มีเลย วันหน้าลูกหลานจะอยู่อย่างไร รัฐบาลนี้พยายามดําเนินการทุกอย่างตามแนวทางหลักการของ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน และนําแนวคิดของประชาคมโลกมาดําเนินการขับเคลื่อนด้วยผ่านกรอบความร่วมมือต่าง ๆ เพราะฉะนั้นเราจะต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันอยู่แล้วในโลกใบนี้ ประเทศไทยจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้ เรื่องสําคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ การจัดหาเงินที่ไม่ได้รับของรัฐบาล เรามีรายจ่ายมากกมาย รายได้รัฐก็มาจากการเก็บภาษี ภาษีบุคคล นิติบุคคล หรือภาษีอื่น ๆ หลายอย่างด้วยกัน ผมก็อยากทําความเข้าใจวันนี้ไม่อย่างนั้นก็ขัดแย้งเรื่องนี้กันอีกต่อไป ฟังก่อนผมไม่ได้หมายความว่าผมจะเก็บภาษีท่านวันนี้ยังทําไม่ได้ แต่อยากให้คิดดูว่าเราจะทําอย่างไรให้ประเทศเราดีขึ้น เรามีรายจ่ายที่ชัดเจน ทั้งงบประจํา งบลงทุน ซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามมากน้อย งบเร่งด่วน ที่แก้ปัญหาภัยพิบัติ ความเดือดร้อนต่าง ๆ เหล่านี้ และงบสุทธิเราใช้ส่วนใหญ่ จะเห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการก็ใช้มาก คือ งบการศึกษาฟรีด้วย อะไรด้วย ก็เป็นสิ่งที่ดี มีการปฐมพยาบาลฟรี รักษาพยาบาลฟรี กระทรวงศึกษาธิการระดับ 2 ทั้ง 2 อันผมไม่ได้ว่าไม่ดี แต่ทําอย่างไรเราจะมีเงินมาสนับสนุนให้มากกว่านี้ ทําอย่างไรจะทําให้เกิดความเป็นธรรมทั่วถึงมากกว่านี้ ไม่ทําให้ระบบการรักษาพยาบาลเสียหาย โรงพยาบาลต่าง ๆ จะต้องไม่เป็นหนี้สิน ต้องช่วยกันคิด ถ้าท่านอยากได้อย่างเดียวแต่ท่านไม่ร่วมมือ ไม่ช่วยเหลือ ก็ทําอะไรไม่ได้ การปรับปรุงประสิทธิภาพก็ไม่ได้ หมอ พยาบาลก็ไม่มีสตางค์ ไม่มีเงินผลิตมาพัฒนาโรงพยาบาล ทุกคนก็ต้องหนีไปอยู่นู่น ไปเข้าคลินิก แล้วก็บ่นว่าแพงอีก จะให้ผมทําอย่างไร งบประมาณใช้มากขึ้นทุกวัน ๆ คนมากขึ้น เรื่องก็เยอะขึ้น การพัฒนาก็ต้องทํา การลงทุนก็ต้องทําเพื่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น อัตราโครงสร้างภาษีเราไม่เคยได้รับการปรับปรุงอย่างเป็นระบบ ค่อนข้างจะสับสนอลหม่านพอสมควร ยุ่งยาก อีกประการหนึ่งคือจัดเก็บไม่ได้ เพราะความไม่ซื่อสัตย์ต่อกันมีการโกงภาษี รายได้ปัจจุบันเราได้มาจากภาษีบุคคลธรรมดา ปัจจุบันยื่นแบบ ภ.ง.ด. ไว้เพียง 10 ล้านคน แต่เช็คแล้วตัวเลขคร่าว ๆ วันนี้ที่เสียภาษีจริง ๆ แค่ 3.5 ล้านคน ได้รับยกเว้นภาษี ประมาณ 6.5 ล้านคน ที่มีรายชื่ออยู่ นิติบุคคล 1.5 ล้านราย หรือเกือบ 2 ล้านรายในขณะนี้ จ่ายภาษีเพียง 6 แสนราย ใน 6 แสนรายก็มีทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง เสนอตรงบ้างไม่ตรงบ้าง อีกอันหนึ่งคือภาษีบํารุงท้องถิ่นที่เก็บได้เอง ตามหลักเกณฑ์เก่าปี 2520 พ.ร.บ. เดิม มีการพัฒนาหลายอย่างมาแล้วแต่เก็บเท่าเดิมอยู่ 30 กว่าปีแล้วนอกจากเก็บได้น้อย ยังเก็บได้ไม่ครบอีกด้วย ไม่มีประสิทธิภาพในการจัดเก็บ ก็ต้องปรับดูแลกันทั้งหมด ทําให้รัฐต้องเสียงบประมาณในการอุดหนุนอีกประมาณ 2 แสนล้านบาท ทําให้รายได้ต่าง ๆ ที่รัฐต้องเก็บไว้ตรงกลางทั้งงบประจํา งบลงทุน และงบแก้ปัญหาคือ งบกลางที่จะทําตามนโยบายเร่งด่วนแก้ปัญหาประชาชนลดลงมาทั้งหมด เพราะทุกอย่างถ่วงกันหมด รายได้ไม่มี การลงทุนต่าง ๆ ก็จําเป็นทั้งถนน รถไฟ รถไฟฟ้า ท่าเรือ สนามบิน ฯลฯ วันนี้ราคาแพงหมด เราทําเองไม่ได้ ก็ต้องสร้างความเข้มแข็ง ระยะแรกอาจจะร่วมมือ ต้องซื้อมา วันหน้าต้องทําเองทั้งหมด ทําให้ได้ด้วยการวิจัยและพัฒนา การทําสัญญากับใครก็ต้องมาร่วมมือกัน ถ่ายทอดเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็แล้วแต่ เรื่องราคาสินค้าการเกษตรก็ลดลงไปอีก รายได้ก็ลด แล้วทําอย่างไร เราแข่งขันกับใครไม่ได้ เกษตรกรมีรายได้น้อยก็เดือดร้อน รัฐก็ต้องหาเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ทําอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนงูกินหาง จะทําอย่างไร ฝากคิดเท่านั้นเอง วันนี้ฝากคิดไปก่อน วันหน้าจะทําอย่างไรเมื่อวันหน้าสถานการณ์ดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น ควรจะต้องเสียมากขึ้นไหม ที่ไม่เดือดร้อนให้เกิดความเป็นธรรม ถ้ารายได้น้อย ๆ จะเสียอะไรมากมายขนาดนั้นไม่ได้ ก็เข้าใจว่าอยากให้บ้านเมืองเจริญ เราก็ต้องหาเงินให้มากขึ้นในวิธีทางที่ถูกต้อง การเรียกร้องต่าง ๆ 2 – 3 วันที่ผ่านมาจะเห็นว่าเรียกอันโน้นเรียกอันนี้ ขออันนี้ยื่นคําขาดกับผม ผมไม่ให้ท่านมายื่นคําขาดกับผม ยื่นไม่ได้ สถานการณ์ไม่ปกติอยู่แล้ว ท่านมาบอกผม แล้วผมจะหาทางแก้ให้ ถ้ากดดันไม่มีได้อะไรทั้งสิ้น ผมไม่ให้ ต้องเข้าใจ นึกถึงคนอื่นเขาบ้าง เรื่องภาษี VAT เหมือนกัน ประชาชนอาจจะไม่เสียภาษีบุคคลเพราะว่ารายได้ไม่ถึง แต่ท่านก็เสียภาษี VAT 7% ทุกคนเสียหมดในการซื้อของอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่จะบวกภาษี VAT 7% วันนี้ 7% มากี่ปีแล้ว ทั้งที่ควรจะขึ้นก็ขึ้นไม่ได้ วันหน้าถ้าหากรายได้ดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น เข้มแข็งขึ้น ยั่งยืนขึ้น ทุกคนก็จะมีเงินรายได้มากขึ้นในการซื้อของ อาจจะต้องขึ้นบ้าง แต่จะขึ้นเท่าไหร่ยังไม่รู้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ แค่ขึ้น 1% ได้เงินมาแสนกว่าล้านบาท แต่ก็ขึ้นไม่ได้ ทําอย่างไร ก็มีแต่จ่าย ๆ ทุกวัน การลงทุนต่าง ๆ เราต้องทํา ถ้าเราไม่ลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐาน รถไฟ รถไฟฟ้า การประปา ฯลฯ คนไม่มาลงทุนบ้านเราหรอกครับ วันนี้ที่เขามาเพราะเรามีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ดีพอสมควร แต่เราต้องทําให้ดีกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเราจะเข้มแข็ง หรือแข่งขันกับประเทศอื่นที่เขากําลังพัฒนาไม่ได้เหมือนกัน วันนี้บ้านเราก็แออัดขึ้น ถนนหนทางก็จํากัด การขนส่งก็มีปัญหา อยากจะฝากไว้ด้วย ฝากคิดไว้ก่อนเรื่องภาษี ทําอย่างไรจะมีเงินมาบริหารงานแผ่นดิน ดูแลประชาชนที่รายได้น้อยให้มีรายได้สูงขึ้น เข้าระบบภาษี ทุกคนอย่าไปกลัวคําว่าภาษี ถ้ามีเงินก็ต้องเสียสละกัน ผมยังเสียภาษีครบมาตลอด ข้าราชการทุกคน พลเรือน ตํารวจ ทหารเสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยมา ทุกคนเลี่ยงไม่ได้เพราะตัดจ่ายตั้งแต่ที่ได้รับเงินเดือนแล้ว อยากถือโอกาสนี้ ประชาสัมพันธ์ในวันออมแห่งชาติ วันที่ 31 ตุลาคมของทุกปีกําหนดเป็น “วันออมแห่งชาติ”ถือโอกาสว่าจะทําอย่างไรที่จะส่งเสริมการออม วัฒนธรรมการออมของรัฐ จากการสํารวจของธนาคารแห่งประเทศไทย สํานักงานสถิติแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า 41% ของประชาชน ยังไม่มีการเก็บออมไว้ใช้ในยามชรา ผมเข้าใจว่าจะมีให้เก็บได้อย่างไร เพราะรายได้ยังไม่พอใช้เลย ผมเพียงแต่พูดให้ฟังว่า ทําอย่างไรเราจะมีเงินเก็บออม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วง มากกว่า 56% ของประชาชนที่ตอบแบบสํารวจไม่คิดว่าตนเองมีเงินออมเพียงพอไว้ใช้ในยามชรา และมากกว่า 52% ของคนชราพึ่งตนเองไม่ได้ วันหน้าประเทศเราต้องเป็นสังคมสูงอายุมากขึ้น มีอย่างเดียวตอนนี้ คือต้องอาศัยเบี้ยยังชีพ และลูกหลานช่วยเลี้ยงดู ลูกหลานไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้ที่เพียงพอก็ไม่ได้เลี้ยงพ่อแม่ ไม่มีปัญญาก็เป็นภาระกันไปกันมา แต่ก็ต้องทํา ลูกหลานก็ต้องดูแลพ่อแม่ พี่น้องด้วย ความกตัญญูเป็นสิ่งสําคัญ มาก-น้อยก็ต้องดูแลท่าน ท่านเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นวันนี้ไม่ว่าจะเป็นคนวัยทํางาน นักเรียน และนักศึกษาก็มีความจําเป็นที่ต้องให้ความสําคัญกับ “การออมวันนี้ เพื่ออนาคต” เพราะหากไม่ออมวันนี้ วันหน้าก็มีปัญหา เริ่มออมตั้งแต่เด็ก แล้วแก่ตัวจะไม่ลําบาก ปัจจุบันออมกันน้อยก็น่าเป็นห่วง สําหรับการออมมีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ควรมีการจัดทําบัญชีค่าใช้จ่ายของตนที่เรียกว่า “บัญชีครัวเรือน” เพื่อเสริมวินัยการออม และสร้างความฉลาดเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการเงินอีกด้วย ซึ่งการเงินในครอบครัวก็มีความจําเป็น ทําอย่างไรจะไม่เป็นหนี้นอกระบบ หนี้ครัวเรือน หนี้บัตรเครดิต สิ่งเหล่านี้ทําให้ตัวเลขสัดส่วนของหนี้สูงขึ้นทุกที แต่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ก็ต้องมาดูว่าทําอย่างไรประชาชนจะมีหนี้น้อยลง ต้องกลับมาสู่ความพอเพียงก่อน ช่วยกันรักษาวินัย เรื่องการใช้เงิน ลูกก็ต้องช่วยพ่อแม่ ลูกสําคัญ พ่อแม่รักลูกทุกคน ลูกขออะไรก็ต้องหามาให้จนได้ ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ผลักดันให้ กอช. (กองทุนการออมแห่งชาติ) เปิดรับสมาชิกได้ ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2558 เราก็ตั้งเป้าหมายไว้ล่วงหน้า แต่ในปัจจุบันนั้นทราบว่าสมาชิกสูงกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ในปี 2558 คือ 340,000 ราย เป็นพี่น้องเกษตรกรกว่าร้อยละ 70 และร้อยละ 95 เป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป สําหรับเป้าหมายใน 2559 อยู่ที่ 1.5 ล้านคน อยากให้มากขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลไม่ได้ให้ท่านออมคนเดียว รัฐบาลต้องจ่ายเงินสบทบให้ท่านด้วย เวลาจ่ายคืนจะได้มากขึ้นกว่าที่ท่านฝากไว้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้รับสวัสดิการต่าง ๆ จากรัฐบาล ซึ่งมีกติกากันอยู่ก็ขอให้สมัครเข้าเป็นสมาชิก กอช. ต้องช่วยตนเองด้วย อย่าหวังให้แต่คนอื่นเขาช่วยตลอดเวลา ไม่ยั่งยืน ต้องสร้างหลักประกันในอนาคต สําหรับผู้ที่มีอายุ 60 ขึ้นไป รัฐบาลก็ได้เปิดโอกาสให้สมัครเป็นสมาชิก กอช. ได้ภายใน 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายนปีนี้ (2558) ไปจนถึง วันที่ 25 กันยายน ปีหน้า (2559) ลูกหลานก็สามารถสมัครให้กับพ่อและแม่ได้ รายได้อาจจะมีไม่มากนักก็ค่อยให้ไป สะสมไม่ได้จํากัดจํานวนอยู่แล้ว ไม่ได้เท่ากันทุกเดือนด้วยซ้ําไป รายละเอียดติดต่อสอบถามได้ที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ก็จะมีกิจกรรมส่งเสริมการออมใน “วันการออมแห่งชาติ” โดยมีการระดมเงินออมจากเกษตรกร และประชาชนทั่วไป ที่ไม่ได้อยู่ในระบบบําเหน็จบํานาญของภาครัฐหรือเอกชน และสามารถสะสมเงินวันละเล็กวันละน้อย เพื่อรับบํานาญไว้ใช้ในอนาคต และเป็นหลักประกันในการดํารงชีพยามชรา พร้อมจัดกิจกรรม โครงการ “เกษตรสุขภาพดี กับ ธ.ก.ส.” ส่งเสริมด้านสุขภาพของลูกค้าเกษตกร ระหว่างวันที่ 2 - 6 พฤศจิกายน 2558 ที่สํานักงาน ธ.ก.ส. จังหวัดฉะเชิงเทรา สุดท้ายนี้ สําหรับผลการดําเนินงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมที่เพิ่งจบไปในห้วงนี้ ทั้งงาน “นวัตกรรมและเทคโนโลยีไทยเพื่อ SMEs” และ งานตลาด “สุดยอด SMEs ของดีทั่วไทย” ได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย ประชาชนเป็นที่น่าพอใจ มีผู้เข้าชมงานทั้งชาวไทยและต่างชาติกว่า 65,000 คน มียอดการสั่งซื้อนวัตกรรมและเทคโนโลยีสูงถึง 160 ล้านบาท และมีการหมุนเวียนของเม็ดเงินในการจับจ่ายใช้สอย ภายในงาน เป็นเงินกว่า 17 ล้านบาท นับเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs นักวิจัย นักพัฒนา นิสิต นักศึกษา ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงผลงานของกระทรางวิทยาศาสตร์ฯ รวมถึงผู้ผลิตสินค้าและผู้ขายสินค้า ได้มีโอกาสซื้อขายสินค้าและมีความรู้ในเรื่องนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ฯ อีกทั้ง การสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่เยาวชนและประชาชนทุกคนได้เห็นคุณค่ามีการเลือกใช้นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถตอบสนองความต้องการและการดําเนินชีวิตประจําวันได้อย่างเหมาะสม และยั่งยืน โดยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ทุกคนอยู่กับวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ตื่นมาก็ต้องเจอวิทยาศาสตร์ แสง สี เสียง พลังงานทั้งหมดคือวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์การมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของคนไทย และเป็นต้นแบบหนึ่ง ที่จะสานต่อให้งานคลองผดุงกรุงเกษมเดินหน้าอย่างต่อเนื่องต่อไปอีกด้วย ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดพสุ” เผย 6 ภารกิจด่วนต้องผลักดันให้แล้วเสร็จในช่วง 2 ปีนี้ ย้ำการปรับโครงสร้างกระทรวงฯ เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 และ Industry 4.0
วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560 “ปลัดพสุ” เผย 6 ภารกิจด่วนต้องผลักดันให้แล้วเสร็จในช่วง 2 ปีนี้ ย้ําการปรับโครงสร้างกระทรวงฯ เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 และ Industry 4.0 “ปลัดพสุ” เผย 6 ภารกิจด่วนต้องผลักดันให้แล้วเสร็จในช่วง 2 ปีนี้ ย้ําการปรับโครงสร้างกระทรวงฯ เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 และ Industry 4.0 ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้(7 พ.ย. 60) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นงวรวรรณ ชิตอรุณ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ร่วมพบปะสื่อมวลชน ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยถึงภารกิจที่ท้าทายซึ่งจะเร่งผลักดันให้สําเร็จในช่วงปี 2561-2562 ว่า ที่กําหนดไว้เป็น Agenda สําคัญ 6 ด้าน ได้แก่ 1.การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย 2.การส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการไปสู่ 4.0 เน้นการพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัวและพัฒนาได้ตามการเปลี่ยนแปลงของโลก 3.การส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ EEC และพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่มีศักยภาพ 4.การเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี เน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 5.การพัฒนาระบบฐานข้อมูลแบบบูรณาการในลักษณะ Big Data และ 6.การพัฒนาบุคลากร เน้นการพัฒนาคนให้เป็นมืออาชีพ สามารถให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายตามนโยบายของกระทรวงฯได้ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ปรับโครงสร้างและบทบาทภารกิจใหม่ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2560 ซึ่งการปรับโครงสร้างครั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการอํานาจหน้าที่ของทั้ง 7 หน่วยงานในสังกัดเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้น และเหมาะสมกับสภาพงานที่เปลี่ยนแปลงไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดพสุ” เผย 6 ภารกิจด่วนต้องผลักดันให้แล้วเสร็จในช่วง 2 ปีนี้ ย้ำการปรับโครงสร้างกระทรวงฯ เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 และ Industry 4.0 วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560 “ปลัดพสุ” เผย 6 ภารกิจด่วนต้องผลักดันให้แล้วเสร็จในช่วง 2 ปีนี้ ย้ําการปรับโครงสร้างกระทรวงฯ เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 และ Industry 4.0 “ปลัดพสุ” เผย 6 ภารกิจด่วนต้องผลักดันให้แล้วเสร็จในช่วง 2 ปีนี้ ย้ําการปรับโครงสร้างกระทรวงฯ เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 และ Industry 4.0 ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้(7 พ.ย. 60) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นงวรวรรณ ชิตอรุณ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ร่วมพบปะสื่อมวลชน ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยถึงภารกิจที่ท้าทายซึ่งจะเร่งผลักดันให้สําเร็จในช่วงปี 2561-2562 ว่า ที่กําหนดไว้เป็น Agenda สําคัญ 6 ด้าน ได้แก่ 1.การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย 2.การส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการไปสู่ 4.0 เน้นการพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัวและพัฒนาได้ตามการเปลี่ยนแปลงของโลก 3.การส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ EEC และพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่มีศักยภาพ 4.การเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี เน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 5.การพัฒนาระบบฐานข้อมูลแบบบูรณาการในลักษณะ Big Data และ 6.การพัฒนาบุคลากร เน้นการพัฒนาคนให้เป็นมืออาชีพ สามารถให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายตามนโยบายของกระทรวงฯได้ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ปรับโครงสร้างและบทบาทภารกิจใหม่ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2560 ซึ่งการปรับโครงสร้างครั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการอํานาจหน้าที่ของทั้ง 7 หน่วยงานในสังกัดเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้น และเหมาะสมกับสภาพงานที่เปลี่ยนแปลงไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7893
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ขายพันธบัตร 200 ล้านบาท หมดใน 99 วินาที ด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์ม
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563 กรุงไทยสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ขายพันธบัตร 200 ล้านบาท หมดใน 99 วินาที ด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์ม ธนาคารกรุงไทยปลื้ม ประสบความสําเร็จเกินความคาดหมาย ในการขายพันธบัตรผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่การซื้อขายพันธบัตรผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ธนาคารกรุงไทยปลื้ม ประสบความสําเร็จเกินความคาดหมาย ในการขายพันธบัตรผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่การซื้อขายพันธบัตรผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เผยเป็นการนําพลานุภาพของระบบดิจิทัลมาสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม ช่วยให้ประชาชนทุกภาคส่วน สามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เตรียมใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์ม เป็นช่องทางในการซื้อขายพันธบัตรในอนาคต นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยถึงรายละเอียดการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. ของกระทรวงการคลัง วงเงินรวม 200 ล้านบาท ผ่านวอลเล็ต สบม. (วอลเล็ตสะสมบอนด์มั่งคั่ง) บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ว่าได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากประชาชน สามารถจําหน่ายได้หมดภายใน 99 วินาที เฉลี่ยวินาทีละ 2.02 ล้านบาท ยอดลงทุนเฉลี่ย 145,560 บาทต่อคน จํานวนผู้ซื้อทั้งสิ้น 1,374 คน จาก 76 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 45% ต่างจังหวัด 55% เป็นเพศหญิงในสัดส่วน 67% เป็นเพศชาย 33% โดยผู้ซื้อที่อายุน้อยที่สุด 15 ปี อายุมากที่สุด 83 ปี ยอดซื้อน้อยที่สุด 100 บาท มากที่สุด 500,000 บาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าดิจิทัลแพลตฟอร์ม เป็นช่องทางที่สอดคล้องกับ New Normal และช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับประชาชน โดยธนาคารจะใช้ช่องทางดังกล่าว สนับสนุนการซื้อขายพันธบัตรรุ่นอื่นๆ ตลอดจนรองรับการซื้อขายพันธบัตรในตลาดรอง “การจําหน่ายพันธบัตรผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชั่นเป๋าตังในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนระบบการเงินในโลกแห่งอนาคต ซึ่งเป็นการนําพลานุภาพของระบบดิจิทัล มาสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ ด้วยระบบการจองก่อนได้ก่อน ลดขั้นตอนต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการออกพันธบัตร ช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกภูมิภาค สามารถจองซื้อได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ที่สําคัญทําให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงการลงทุนในพันธบัตรด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 100 บาท อีกทั้งยังสนับสนุนให้เยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป มีโอกาสออมเงินเพื่อลงทุน ด้วยขั้นตอนการซื้อขายที่ง่ายดาย สะดวกสบาย และสามารถทําได้ด้วยตนเอง” ทางด้าน นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ร่วมชื่นชมความสําเร็จในครั้งนี้ โดยกล่าวถึงโครงการ 1 บาทบอนด์ที่สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ร่วมกับธนาคารกรุงไทยจัดทําขึ้นว่า เป็นนวัตกรรมด้านโครงสร้างพื้นฐานของตลาดทุนที่ทําให้ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าถึงการออมเงินได้สะดวก และจะสามารถต่อยอดไปในการออมในตราสารอื่นๆ ได้ในอนาคต ส่วนนายเดช ฐิติวณิช ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายระบบข้อสนเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แสดงความยินดีกับความสําเร็จของกระทรวงการคลัง สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ และธนาคารกรุงไทย ในโอกาสเปิดตัววอลเล็ตสะสมบอนด์มั่งคั่ง ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศที่ได้นําเทคโนโลยี Blockchain ที่ออกแบบประยุกต์ใหม่ มาใช้ในการขายพันธบัตรออมทรัพย์แบบไร้ใบตราสาร (Scripless) ซึ่งแพลตฟอร์มใหม่นี้จะช่วยนักลงทุน ซื้อพันธบัตรอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมทั้งสามารถรองรับธุรกรรมที่มีความหลากหลายในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ขายพันธบัตร 200 ล้านบาท หมดใน 99 วินาที ด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์ม วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563 กรุงไทยสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ขายพันธบัตร 200 ล้านบาท หมดใน 99 วินาที ด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์ม ธนาคารกรุงไทยปลื้ม ประสบความสําเร็จเกินความคาดหมาย ในการขายพันธบัตรผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่การซื้อขายพันธบัตรผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ธนาคารกรุงไทยปลื้ม ประสบความสําเร็จเกินความคาดหมาย ในการขายพันธบัตรผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่การซื้อขายพันธบัตรผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เผยเป็นการนําพลานุภาพของระบบดิจิทัลมาสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม ช่วยให้ประชาชนทุกภาคส่วน สามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เตรียมใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์ม เป็นช่องทางในการซื้อขายพันธบัตรในอนาคต นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยถึงรายละเอียดการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. ของกระทรวงการคลัง วงเงินรวม 200 ล้านบาท ผ่านวอลเล็ต สบม. (วอลเล็ตสะสมบอนด์มั่งคั่ง) บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ว่าได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากประชาชน สามารถจําหน่ายได้หมดภายใน 99 วินาที เฉลี่ยวินาทีละ 2.02 ล้านบาท ยอดลงทุนเฉลี่ย 145,560 บาทต่อคน จํานวนผู้ซื้อทั้งสิ้น 1,374 คน จาก 76 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 45% ต่างจังหวัด 55% เป็นเพศหญิงในสัดส่วน 67% เป็นเพศชาย 33% โดยผู้ซื้อที่อายุน้อยที่สุด 15 ปี อายุมากที่สุด 83 ปี ยอดซื้อน้อยที่สุด 100 บาท มากที่สุด 500,000 บาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าดิจิทัลแพลตฟอร์ม เป็นช่องทางที่สอดคล้องกับ New Normal และช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับประชาชน โดยธนาคารจะใช้ช่องทางดังกล่าว สนับสนุนการซื้อขายพันธบัตรรุ่นอื่นๆ ตลอดจนรองรับการซื้อขายพันธบัตรในตลาดรอง “การจําหน่ายพันธบัตรผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชั่นเป๋าตังในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนระบบการเงินในโลกแห่งอนาคต ซึ่งเป็นการนําพลานุภาพของระบบดิจิทัล มาสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ ด้วยระบบการจองก่อนได้ก่อน ลดขั้นตอนต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการออกพันธบัตร ช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกภูมิภาค สามารถจองซื้อได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ที่สําคัญทําให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงการลงทุนในพันธบัตรด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 100 บาท อีกทั้งยังสนับสนุนให้เยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป มีโอกาสออมเงินเพื่อลงทุน ด้วยขั้นตอนการซื้อขายที่ง่ายดาย สะดวกสบาย และสามารถทําได้ด้วยตนเอง” ทางด้าน นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ร่วมชื่นชมความสําเร็จในครั้งนี้ โดยกล่าวถึงโครงการ 1 บาทบอนด์ที่สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ร่วมกับธนาคารกรุงไทยจัดทําขึ้นว่า เป็นนวัตกรรมด้านโครงสร้างพื้นฐานของตลาดทุนที่ทําให้ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าถึงการออมเงินได้สะดวก และจะสามารถต่อยอดไปในการออมในตราสารอื่นๆ ได้ในอนาคต ส่วนนายเดช ฐิติวณิช ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายระบบข้อสนเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แสดงความยินดีกับความสําเร็จของกระทรวงการคลัง สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ และธนาคารกรุงไทย ในโอกาสเปิดตัววอลเล็ตสะสมบอนด์มั่งคั่ง ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศที่ได้นําเทคโนโลยี Blockchain ที่ออกแบบประยุกต์ใหม่ มาใช้ในการขายพันธบัตรออมทรัพย์แบบไร้ใบตราสาร (Scripless) ซึ่งแพลตฟอร์มใหม่นี้จะช่วยนักลงทุน ซื้อพันธบัตรอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมทั้งสามารถรองรับธุรกรรมที่มีความหลากหลายในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32745
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 24 มีนาคม 2563
วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 24 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 24 มีนาคม 2563 1. สถานการณ์ ถึงวันที่24 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 766 ราย กลับบ้านแล้ว 57 ราย เสียชีวิต 4 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 827 ราย 2. สถานการณ์ทั่วโลกใน 192ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่5 มกราคม – 24 มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 366,866 ราย เสียชีวิต 16,098 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 81,093 ราย เสียชีวิต 3,270 ราย อิตาลีพบผู้ป่วย 63,928 ราย เสียชีวิต 6,078 ราย 2.สธ.เผยพบผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 ใหม่เพิ่ม 106 ราย กลับบ้าน 5 ราย เสียชีวิต 3 ราย กระทรวงสาธารณสุข เผยพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 106 ราย กลับบ้าน 5 ราย เสียชีวิต 3 ราย พร้อมจัดทําข้อมูลสถานที่เสี่ยง ประชาชนติดตามได้ที่เว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค และเพจ “ไทยรู้ สู้โควิด” นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 10 และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยแพทย์หญิงวลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อํานวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า วันนี้มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 5 ราย และมีผู้ป่วยเพิ่ม 106 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 25 ราย ได้แก่ กลุ่มสนามมวย 5 ราย สถานบันเทิง 6 ราย กลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว 12 ราย และกลุ่มผู้ร่วมพิธีทางศาสนาที่ประเทศมาเลเซีย 2 ราย กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 34 ราย ได้แก่ กลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศ/ชาวต่างชาติ 20 ราย กลุ่มผู้ทํางานหรืออาศัยในสถานที่แออัดต้องใกล้ชิดคนจํานวนมาก หรือเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ 10 ราย และกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ 4 ราย กลุ่มที่ 3 ผู้ที่ได้รับผลยืนยันทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อ แต่อยู่ระหว่างรอประวัติและสอบสวนโรค 47 ราย วันนี้ได้รับรายงานผู้เสียชีวิต 3 ราย รายแรก เป็นชายไทย อายุ 70 ปี (เป็นผู้ป่วยที่มีโรควัณโรคร่วม) รายที่ 2 เป็นชาวไทยอายุ 79 ปี (เป็นเซียนมวยอาการหนักตั้งแต่แรกรับ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2563 มีโรคประจําตัวหลายโรค) โดย 2 รายแรกรักษาที่สถาบันบําราศนราดูร และรายที่ 3 เป็นชายไทย อายุ 45 ปี (มีโรคเบาหวาน และภาวะอ้วน) จากโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร สําหรับผู้ป่วยอาการหนักมี 4 ราย ทุกรายใส่เครื่องช่วยหายใจ และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยสรุปมีผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว 57 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 766 ราย เสียชีวิต 4 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 827 ราย ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทําข้อมูลสถานที่ชุมนุมชนที่มีประกาศให้ผู้เกี่ยวข้องเฝ้าระวังตนเองใน 25 แห่ง ใน 7 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี, ขอนแก่น, กทม., สงขลา, นครราชสีมา, นนทบุรี และสุรินทร์ โดยผู้ที่อยู่ในสถานที่ และช่วงเวลาตามประกาศ ขอให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ได้แก่ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด, ผู้ว่าราชการจังหวัด, ผอ.โรงพยาบาล, นายอําเภอ, สาธารณสุขอําเภอ, กํานัน, ผู้ใหญ่บ้าน, อสม.,ผู้นําชุมชนทันที และให้กักกันตนเองและสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วันอย่างเคร่งครัด หากมีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจให้รีบพบแพทย์ทันที ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลประกาศสถานที่พบผู้ป่วยโควิด-19 ได้ที่ เว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค และเพจ“ไทยรู้ สู้โควิด” ขอย้ําเตือนประชาชน ช่วยกันรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เว้นระยะห่างระหว่างกัน 1 -2 เมตร งด/ลด การเดินทางโดยไม่จําเป็น ไม่ไปในพื้นที่แออัด แยกสํารับอาหารไม่ใช้ช้อน ถ้วย ชาม แก้วน้ําร่วมกัน หากมีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ ไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก ให้สวมหน้ากากอนามัยไปพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติเสี่ยง ขอให้ทุกคนร่วมมือกันเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไปในวงกว้าง ลดจํานวนผู้ป่วยรายใหม่ให้มีน้อยที่สุด 3. คําแนะนําสําหรับประชาชน ขอความร่วมมือประชาชนทุกคน ตื่นตัว และรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนติดตามสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ “ไทยรู้ สู้โควิด” ทาง Twitter, Facebook, Line official, TikTok และChatBot 1422 ทาง ID : @COVID-19 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ตรวจสอบข่าวลวงได้ที่www.antifakenewscenter.com ***************************************24 มีนาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 24 มีนาคม 2563 วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 24 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 24 มีนาคม 2563 1. สถานการณ์ ถึงวันที่24 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 766 ราย กลับบ้านแล้ว 57 ราย เสียชีวิต 4 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 827 ราย 2. สถานการณ์ทั่วโลกใน 192ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่5 มกราคม – 24 มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 366,866 ราย เสียชีวิต 16,098 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 81,093 ราย เสียชีวิต 3,270 ราย อิตาลีพบผู้ป่วย 63,928 ราย เสียชีวิต 6,078 ราย 2.สธ.เผยพบผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 ใหม่เพิ่ม 106 ราย กลับบ้าน 5 ราย เสียชีวิต 3 ราย กระทรวงสาธารณสุข เผยพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 106 ราย กลับบ้าน 5 ราย เสียชีวิต 3 ราย พร้อมจัดทําข้อมูลสถานที่เสี่ยง ประชาชนติดตามได้ที่เว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค และเพจ “ไทยรู้ สู้โควิด” นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 10 และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยแพทย์หญิงวลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อํานวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า วันนี้มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 5 ราย และมีผู้ป่วยเพิ่ม 106 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 25 ราย ได้แก่ กลุ่มสนามมวย 5 ราย สถานบันเทิง 6 ราย กลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว 12 ราย และกลุ่มผู้ร่วมพิธีทางศาสนาที่ประเทศมาเลเซีย 2 ราย กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 34 ราย ได้แก่ กลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศ/ชาวต่างชาติ 20 ราย กลุ่มผู้ทํางานหรืออาศัยในสถานที่แออัดต้องใกล้ชิดคนจํานวนมาก หรือเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ 10 ราย และกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ 4 ราย กลุ่มที่ 3 ผู้ที่ได้รับผลยืนยันทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อ แต่อยู่ระหว่างรอประวัติและสอบสวนโรค 47 ราย วันนี้ได้รับรายงานผู้เสียชีวิต 3 ราย รายแรก เป็นชายไทย อายุ 70 ปี (เป็นผู้ป่วยที่มีโรควัณโรคร่วม) รายที่ 2 เป็นชาวไทยอายุ 79 ปี (เป็นเซียนมวยอาการหนักตั้งแต่แรกรับ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2563 มีโรคประจําตัวหลายโรค) โดย 2 รายแรกรักษาที่สถาบันบําราศนราดูร และรายที่ 3 เป็นชายไทย อายุ 45 ปี (มีโรคเบาหวาน และภาวะอ้วน) จากโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร สําหรับผู้ป่วยอาการหนักมี 4 ราย ทุกรายใส่เครื่องช่วยหายใจ และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยสรุปมีผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว 57 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 766 ราย เสียชีวิต 4 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 827 ราย ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทําข้อมูลสถานที่ชุมนุมชนที่มีประกาศให้ผู้เกี่ยวข้องเฝ้าระวังตนเองใน 25 แห่ง ใน 7 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี, ขอนแก่น, กทม., สงขลา, นครราชสีมา, นนทบุรี และสุรินทร์ โดยผู้ที่อยู่ในสถานที่ และช่วงเวลาตามประกาศ ขอให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ได้แก่ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด, ผู้ว่าราชการจังหวัด, ผอ.โรงพยาบาล, นายอําเภอ, สาธารณสุขอําเภอ, กํานัน, ผู้ใหญ่บ้าน, อสม.,ผู้นําชุมชนทันที และให้กักกันตนเองและสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วันอย่างเคร่งครัด หากมีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจให้รีบพบแพทย์ทันที ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลประกาศสถานที่พบผู้ป่วยโควิด-19 ได้ที่ เว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค และเพจ“ไทยรู้ สู้โควิด” ขอย้ําเตือนประชาชน ช่วยกันรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เว้นระยะห่างระหว่างกัน 1 -2 เมตร งด/ลด การเดินทางโดยไม่จําเป็น ไม่ไปในพื้นที่แออัด แยกสํารับอาหารไม่ใช้ช้อน ถ้วย ชาม แก้วน้ําร่วมกัน หากมีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ ไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก ให้สวมหน้ากากอนามัยไปพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติเสี่ยง ขอให้ทุกคนร่วมมือกันเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไปในวงกว้าง ลดจํานวนผู้ป่วยรายใหม่ให้มีน้อยที่สุด 3. คําแนะนําสําหรับประชาชน ขอความร่วมมือประชาชนทุกคน ตื่นตัว และรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนติดตามสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ “ไทยรู้ สู้โควิด” ทาง Twitter, Facebook, Line official, TikTok และChatBot 1422 ทาง ID : @COVID-19 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ตรวจสอบข่าวลวงได้ที่www.antifakenewscenter.com ***************************************24 มีนาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27749
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย.จัดโครงการ CSR “บสย. รักษ์สิ่งแวดล้อม” แปลงขวดน้ำพลาสติก สู่หน้ากากอนามัย ผลิตจากผ้าจีวร [กระทรวงการคลัง]
วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 บสย.จัดโครงการ CSR “บสย. รักษ์สิ่งแวดล้อม” แปลงขวดน้ําพลาสติก สู่หน้ากากอนามัย ผลิตจากผ้าจีวร [กระทรวงการคลัง] บสย. จัดกิจกรรม CSR “แปลงขวดน้ําพลาสติก สู่หน้ากากอนามัยผลิตจากผ้าจีวร” ในโครงการ “บสย. รักษ์สิ่งแวดล้อม” ส่งมอบวัดจากแดง จ.สมุทรปราการ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นําทีมผู้บริหาร เปิดโครงการ “บสย. รักษ์สิ่งแวดล้อม” ภายใต้ชื่อกิจกรรม “บริจาคขวดน้ําพลาสติก เพื่อผลิตจีวร” ซึ่งเป็นโครงการด้านการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมของ บสย. (CSR) ประจําปี 2563 เพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้พนักงาน บสย. มีส่วนร่วมในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม เห็นประโยชน์ของการใช้พลาสติกอย่างคุ้มค่า ลดปริมาณขยะประเภทขวดน้ําพลาสติก และตระหนักในการลดใช้พลาสติกภายในองค์กร สําหรับกิจกรรม “บริจาคขวดน้ําพลาสติก เพื่อผลิตจีวร” เริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมาระยะเวลาสิ้นสุดโครงการเดือนธันวาคม 2563 โดยการแปลงขวดน้ําพลาสติกเป็นผ้าจีวร จากนั้นนําผ้าจีวรมาผลิตเป็นหน้ากากอนามัย โดย บสย.จะส่งมอบขวดน้ําพลาสติกให้วัดจากแดง จ.สมุทรปราการ เพื่อนําไปส่งต่อให้วิสาหกิจชุมชนวัดจากแดง นําขวดพลาสติกเข้าสู่กระบวนรีไซเคิล นําขวดมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบ (โพลีเอสเตอร์) ในการผลิตผ้าจีวร ปั่นเป็นเส้นใยสําเร็จรูป เพื่อทอเป็นผืนผ้านําไปตัดเย็บเป็นจีวร สําหรับพระภิกษุสงฆ์ต่อไป โดยขยะขวดพลาสติก 60 ขวด สามารถผลิตผ้าจีวรได้ 1 ผืน “ที่ผ่านมา บสย. มีการทํากิจกรรม CSR อย่างต่อเนื่อง ปีที่แล้วเรารณรงค์เรื่องการใช้ถุงผ้า เพื่อปลูกจิตสํานึกลดการใช้ถุงพลาสติกอย่างจริงจัง ปี 2563 บสย. รณรงค์ต่อเนื่องให้ลดการใช้พลาสติก และส่งเสริมการมีส่วนร่วมนําขวดพลาสติกมาบริจาค เพื่อส่งมอบให้ทางวัดนําไปรีไซเคิล ใช้ผลิตผ้าจีวร ซึ่งผ้าจีวรนี้จะมีการนําไปผลิตเป็นหน้ากากอนามัย และบริจาคให้กับทางพระสงฆ์ต่อไป โครงการนี้ไม่ใช่แค่การรณรงค์พร้อมปลูกจิตสํานึกให้กับพนักงานเท่านั้น แต่เป็นการส่งเสริมและทํานุบํารุงพุทธศาสนา ควบคู่ไปกับการช่วยสร้างสังคมให้เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน ” ดร.รักษ์ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย.จัดโครงการ CSR “บสย. รักษ์สิ่งแวดล้อม” แปลงขวดน้ำพลาสติก สู่หน้ากากอนามัย ผลิตจากผ้าจีวร [กระทรวงการคลัง] วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 บสย.จัดโครงการ CSR “บสย. รักษ์สิ่งแวดล้อม” แปลงขวดน้ําพลาสติก สู่หน้ากากอนามัย ผลิตจากผ้าจีวร [กระทรวงการคลัง] บสย. จัดกิจกรรม CSR “แปลงขวดน้ําพลาสติก สู่หน้ากากอนามัยผลิตจากผ้าจีวร” ในโครงการ “บสย. รักษ์สิ่งแวดล้อม” ส่งมอบวัดจากแดง จ.สมุทรปราการ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นําทีมผู้บริหาร เปิดโครงการ “บสย. รักษ์สิ่งแวดล้อม” ภายใต้ชื่อกิจกรรม “บริจาคขวดน้ําพลาสติก เพื่อผลิตจีวร” ซึ่งเป็นโครงการด้านการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมของ บสย. (CSR) ประจําปี 2563 เพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้พนักงาน บสย. มีส่วนร่วมในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม เห็นประโยชน์ของการใช้พลาสติกอย่างคุ้มค่า ลดปริมาณขยะประเภทขวดน้ําพลาสติก และตระหนักในการลดใช้พลาสติกภายในองค์กร สําหรับกิจกรรม “บริจาคขวดน้ําพลาสติก เพื่อผลิตจีวร” เริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมาระยะเวลาสิ้นสุดโครงการเดือนธันวาคม 2563 โดยการแปลงขวดน้ําพลาสติกเป็นผ้าจีวร จากนั้นนําผ้าจีวรมาผลิตเป็นหน้ากากอนามัย โดย บสย.จะส่งมอบขวดน้ําพลาสติกให้วัดจากแดง จ.สมุทรปราการ เพื่อนําไปส่งต่อให้วิสาหกิจชุมชนวัดจากแดง นําขวดพลาสติกเข้าสู่กระบวนรีไซเคิล นําขวดมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบ (โพลีเอสเตอร์) ในการผลิตผ้าจีวร ปั่นเป็นเส้นใยสําเร็จรูป เพื่อทอเป็นผืนผ้านําไปตัดเย็บเป็นจีวร สําหรับพระภิกษุสงฆ์ต่อไป โดยขยะขวดพลาสติก 60 ขวด สามารถผลิตผ้าจีวรได้ 1 ผืน “ที่ผ่านมา บสย. มีการทํากิจกรรม CSR อย่างต่อเนื่อง ปีที่แล้วเรารณรงค์เรื่องการใช้ถุงผ้า เพื่อปลูกจิตสํานึกลดการใช้ถุงพลาสติกอย่างจริงจัง ปี 2563 บสย. รณรงค์ต่อเนื่องให้ลดการใช้พลาสติก และส่งเสริมการมีส่วนร่วมนําขวดพลาสติกมาบริจาค เพื่อส่งมอบให้ทางวัดนําไปรีไซเคิล ใช้ผลิตผ้าจีวร ซึ่งผ้าจีวรนี้จะมีการนําไปผลิตเป็นหน้ากากอนามัย และบริจาคให้กับทางพระสงฆ์ต่อไป โครงการนี้ไม่ใช่แค่การรณรงค์พร้อมปลูกจิตสํานึกให้กับพนักงานเท่านั้น แต่เป็นการส่งเสริมและทํานุบํารุงพุทธศาสนา ควบคู่ไปกับการช่วยสร้างสังคมให้เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน ” ดร.รักษ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29028
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย – ภูฏาน ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน
วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 ไทย – ภูฏาน ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน ผลักดันความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าให้มากขึ้น 2 มิ.ย. 2561 ไทย – ภูฏาน ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลไทยและภูฏานผลักดันความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าให้มากขึ้น โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการไทยไปทําธุรกิจด้านที่พักโรงแรมในเมืองสําคัญของภูฏานแล้ว และจะมีการลงทุนในกิจการก่อสร้างอีกในอนาคต นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศจะส่งเสริมการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวเลือกเดินทางมายังประเทศไทยและไปต่อที่ภูฏาน หรือไปภูฏานแล้วเดินทางต่อมายังประเทศไทย ทั้งนี้ ไทยและภูฏานมีความสัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่ระดับพระราชวงศ์จนถึงประชาชนและจะพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง โดยภูฏานเชื่อมั่นในพัฒนาการของประเทศไทยและขอบคุณที่ให้การสนับสนุนโครงการความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการสาธารณสุข เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย – ภูฏาน ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 ไทย – ภูฏาน ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน ผลักดันความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าให้มากขึ้น 2 มิ.ย. 2561 ไทย – ภูฏาน ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลไทยและภูฏานผลักดันความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าให้มากขึ้น โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการไทยไปทําธุรกิจด้านที่พักโรงแรมในเมืองสําคัญของภูฏานแล้ว และจะมีการลงทุนในกิจการก่อสร้างอีกในอนาคต นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศจะส่งเสริมการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวเลือกเดินทางมายังประเทศไทยและไปต่อที่ภูฏาน หรือไปภูฏานแล้วเดินทางต่อมายังประเทศไทย ทั้งนี้ ไทยและภูฏานมีความสัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่ระดับพระราชวงศ์จนถึงประชาชนและจะพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง โดยภูฏานเชื่อมั่นในพัฒนาการของประเทศไทยและขอบคุณที่ให้การสนับสนุนโครงการความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการสาธารณสุข เป็นต้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13004
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ควบคุมการบริโภคยาสูบฯ เตรียมยกระดับโครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่เทิดไท้องค์ราชันเป็นนโยบายภาครัฐ
วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560 คกก.ควบคุมการบริโภคยาสูบฯ เตรียมยกระดับโครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่เทิดไท้องค์ราชันเป็นนโยบายภาครัฐ คณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบแห่งชาติ เตรียมยกโครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่เทิดไท้องค์ราชัน นโยบายสําคัญภาครัฐ ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและ อสม.เป็นต้นแบบของการเลิกบุหรี่ พร้อมทั้งเตรียมผลักดันยาที่เกี่ยวข้องกับการเลิกบุหรี่เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ วันนี้(27 เมษายน 2560) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 ว่า การประชุมวันนี้มีเรื่องพิจารณาที่สําคัญคือ การดําเนินงานโครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน ซึ่งเป็นโครงการที่รับผิดชอบร่วมกันหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและประชาชน เน้นให้กลุ่มเป้าหมาย 3 ล้านคน เลิกบุหรี่ใน 3 ปี ทั้งนี้จากการประเมินตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อเดือนมิถุนายน 2559 จนถึงปัจจุบันมีผู้เลิกบุหรี่แล้ว 3 แสนคน หากว่าอัตราการเลิกยังเท่าเดิมจะต้องใช้เวลาถึง 10 ปีเพื่อให้ได้ครบตามเป้าหมาย ดังนั้นได้เร่งรัดการดําเนินโครงการนี้เพื่อให้ได้ผู้ที่เลิกบุหรี่ตามเป้าหมาย ซึ่งเหลือระยะเวลาการดําเนินงานประมาณ 2 ปี โดยมีการปรับการดําเนินงานดังนี้1.ปรับการดําเนินงานโครงการดังกล่าวให้เป็นนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขใช้กลไกการบริหารของภาครัฐ ซึ่งจะมีการสั่งการเชิงนโยบายไปยังผู้ตรวจราชการเพื่อนํานโยบายเรื่องนี้เชื่อมต่อระบบไปยังจังหวัด อําเภอ จนถึงหมู่บ้าน ให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขเลิกบุหรี่เป็นแบบอย่างให้กับประชาชน ซึ่งกลไกดังกล่าวสามารถทํางานในเรื่องสุขภาพได้สําเร็จลุล่วง 2.ให้ อสม.เป็นแบบต้นแบบในการเลิกบุหรี่ให้กับประชาชนทั่วไป โดยมอบให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพดําเนินการ 3.ส่วนเรื่องยาช่วยเลิกบุหรี่ เช่น ยาทดแทนนิโคติน ยาคลายเครียด เป็นต้น จะหารือกับ สปสช.เพื่อผลัดดันให้ยาดังกล่าวเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติให้สามารถเบิกจ่ายยานี้ได้ จะช่วยให้มีการเลิกบุหรี่ได้มากขึ้น นายแพทย์ธวัช กล่าว ******************* 27 เมษายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ควบคุมการบริโภคยาสูบฯ เตรียมยกระดับโครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่เทิดไท้องค์ราชันเป็นนโยบายภาครัฐ วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560 คกก.ควบคุมการบริโภคยาสูบฯ เตรียมยกระดับโครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่เทิดไท้องค์ราชันเป็นนโยบายภาครัฐ คณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบแห่งชาติ เตรียมยกโครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่เทิดไท้องค์ราชัน นโยบายสําคัญภาครัฐ ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและ อสม.เป็นต้นแบบของการเลิกบุหรี่ พร้อมทั้งเตรียมผลักดันยาที่เกี่ยวข้องกับการเลิกบุหรี่เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ วันนี้(27 เมษายน 2560) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 ว่า การประชุมวันนี้มีเรื่องพิจารณาที่สําคัญคือ การดําเนินงานโครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน ซึ่งเป็นโครงการที่รับผิดชอบร่วมกันหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและประชาชน เน้นให้กลุ่มเป้าหมาย 3 ล้านคน เลิกบุหรี่ใน 3 ปี ทั้งนี้จากการประเมินตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อเดือนมิถุนายน 2559 จนถึงปัจจุบันมีผู้เลิกบุหรี่แล้ว 3 แสนคน หากว่าอัตราการเลิกยังเท่าเดิมจะต้องใช้เวลาถึง 10 ปีเพื่อให้ได้ครบตามเป้าหมาย ดังนั้นได้เร่งรัดการดําเนินโครงการนี้เพื่อให้ได้ผู้ที่เลิกบุหรี่ตามเป้าหมาย ซึ่งเหลือระยะเวลาการดําเนินงานประมาณ 2 ปี โดยมีการปรับการดําเนินงานดังนี้1.ปรับการดําเนินงานโครงการดังกล่าวให้เป็นนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขใช้กลไกการบริหารของภาครัฐ ซึ่งจะมีการสั่งการเชิงนโยบายไปยังผู้ตรวจราชการเพื่อนํานโยบายเรื่องนี้เชื่อมต่อระบบไปยังจังหวัด อําเภอ จนถึงหมู่บ้าน ให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขเลิกบุหรี่เป็นแบบอย่างให้กับประชาชน ซึ่งกลไกดังกล่าวสามารถทํางานในเรื่องสุขภาพได้สําเร็จลุล่วง 2.ให้ อสม.เป็นแบบต้นแบบในการเลิกบุหรี่ให้กับประชาชนทั่วไป โดยมอบให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพดําเนินการ 3.ส่วนเรื่องยาช่วยเลิกบุหรี่ เช่น ยาทดแทนนิโคติน ยาคลายเครียด เป็นต้น จะหารือกับ สปสช.เพื่อผลัดดันให้ยาดังกล่าวเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติให้สามารถเบิกจ่ายยานี้ได้ จะช่วยให้มีการเลิกบุหรี่ได้มากขึ้น นายแพทย์ธวัช กล่าว ******************* 27 เมษายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3354
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน รับมอบถุงซิปจากภาคเอกชน 102,000 ชิ้น ใช้ประโยชน์ในราชการร่วมสู้โควิด - 19 [กระทรวงเเรงงาน]
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 ก.แรงงาน รับมอบถุงซิปจากภาคเอกชน 102,000 ชิ้น ใช้ประโยชน์ในราชการร่วมสู้โควิด - 19 [กระทรวงเเรงงาน] กระทรวงแรงงาน รับมอบผลิตภัณฑ์ถุงซิปพลาสติกภายใต้แบรนด์ฮีโร่ จํานวน 102,000 ชิ้น เพื่อใช้ประโยชน์ในราชการให้แก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานและอาสาสมัครแรงงาน ใช้บรรจุสิ่งของเอนกประสงค์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส COVID -19 เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2563 เวลา 09.30 น.หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานรับมอบผลิตภัณฑ์ถุงซิปพลาสติก จํานวน 102,000 ชิ้น จากนายทวี จุลศักดิ์ศรีสกุล กรรมการบริษัท คิงส์แพ็ค อินดัสเตรียล จํากัด ผู้จัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ “HERO” ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย เพื่อใช้ประโยชน์ในราชการให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานและอาสาสมัครแรงงาน สามารถใช้บรรจุสิ่งของเอนกประสงค์ได้ทั้งเงิน เจลแอลกอฮอล์ขนาดพกพา และหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส COVID -19 ได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน รับมอบถุงซิปจากภาคเอกชน 102,000 ชิ้น ใช้ประโยชน์ในราชการร่วมสู้โควิด - 19 [กระทรวงเเรงงาน] วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 ก.แรงงาน รับมอบถุงซิปจากภาคเอกชน 102,000 ชิ้น ใช้ประโยชน์ในราชการร่วมสู้โควิด - 19 [กระทรวงเเรงงาน] กระทรวงแรงงาน รับมอบผลิตภัณฑ์ถุงซิปพลาสติกภายใต้แบรนด์ฮีโร่ จํานวน 102,000 ชิ้น เพื่อใช้ประโยชน์ในราชการให้แก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานและอาสาสมัครแรงงาน ใช้บรรจุสิ่งของเอนกประสงค์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส COVID -19 เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2563 เวลา 09.30 น.หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานรับมอบผลิตภัณฑ์ถุงซิปพลาสติก จํานวน 102,000 ชิ้น จากนายทวี จุลศักดิ์ศรีสกุล กรรมการบริษัท คิงส์แพ็ค อินดัสเตรียล จํากัด ผู้จัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ “HERO” ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย เพื่อใช้ประโยชน์ในราชการให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานและอาสาสมัครแรงงาน สามารถใช้บรรจุสิ่งของเอนกประสงค์ได้ทั้งเงิน เจลแอลกอฮอล์ขนาดพกพา และหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส COVID -19 ได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29186
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงาน สนับสนุนนโยบายเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ด้วยการนำร่องใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 ในรถโดยสารสาธารณะ ขสมก. และ บขส.
วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 กระทรวงพลังงาน สนับสนุนนโยบายเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ด้วยการนําร่องใช้น้ํามันดีเซลหมุนเร็ว B20 ในรถโดยสารสาธารณะ ขสมก. และ บขส. สานพลังหน่วยงานของรัฐสังกัดกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพลังงาน สนับสนุนนโยบายเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ด้วยการนําร่องใช้น้ํามันดีเซลหมุนเร็ว B20 ในรถโดยสารสาธารณะ ขสมก. และ บขส. เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันไทย และลดมลภาวะทางอากาศ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ ดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้เกียรติร่วมเป็นประธานใน พิธีเปิดโครงการส่งเสริมการใช้น้ํามันดีเซลหมุนเร็ว บี20 สําหรับรถโดยสาร องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) ณ อู่ ขสมก. เมกาบางนา ตําบลบางแก้ว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โดยมี นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อํานวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และ นายจิรศักดิ์ เยาว์วัชสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด ร่วมทําพิธีเปิดโครงการฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงนโยบายว่า จากสถานการณ์ราคาน้ํามันดิบในตลาดโลก ที่มีความผันผวนและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น กระทรวงพลังงานได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับ เพื่อไม่ให้ราคาน้ํามันส่งผลกระทบต่อค่าขนส่งสินค้า และค่าครองชีพของประชาชน ในขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ํามันด้วย จึงมีนโยบายให้จัดจําหน่ายน้ํามันดีเซลหมุนเร็ว บี20 โดยจําหน่ายสําหรับรถเฉพาะกลุ่มเท่านั้น คือ กลุ่มรถบรรทุก รถโดยสาร และเรือโดยสาร ซึ่งมีเป้าหมายในการจําหน่ายที่ 15 ล้านลิตรต่อวัน และคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณการใช้น้ํามันปาล์มดิบได้มากขึ้นจากเดิม 1.3 ล้านตันต่อปีเป็น 1.7 ล้านตันต่อปี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคม มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการให้บริการให้ผู้ใช้บริการรถขนส่งสาธารณะได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงการช่วยเหลือลดภาระของผู้มีรายได้น้อย แก้ไขปัญหาของสังคม จึงยินดีสนับสนุนนโยบายของกระทรวงพลังงานในการใช้น้ํามันดีเซลหมุนเร็ว บี20 สําหรับรถโดยสารสาธารณะ โดยนําร่องจากรถโดยสารของหน่วยงานในสังกัด กระทรวงคมนาคม คือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) จํานวน 5 คัน และ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) จํานวน 3 คัน ภายใต้การจัดจําหน่ายเชื้อเพลิงดีเซลหมุนเร็ว บี20 โดย บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) รองผู้อํานวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ กล่าวถึงความร่วมมือในโครงการฯ ว่า ขสมก. มีความยินดีในการเข้าร่วมโครงการศึกษาการใช้น้ํามันดีเซลที่มีส่วนผสมไบโอดีเซล ร้อยละ 20 ในเครื่องยนต์รถโดยสารของ ขสมก. เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยจะทําการทดลองในรถโดยสารธรรมดาสาย 145 อู่เมกาบางนา ถึง อู่หมอชิต 2 จํานวน 5 คัน ประมาณการใช้น้ํามันอยู่ที่ 400 ลิตรต่อวัน หรือ 12,000 ลิตรต่อเดือน และจะมีรถคู่เทียบในรุ่นเดียวกันอีก 5 คัน เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการทํางานของเครื่องยนต์ รวมถึงผลกระทบที่มีต่อเครื่องยนต์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และด้านอื่นๆ ด้วย โดยพร้อมขยายการใช้งานในรถของ ขสมก. ให้ครอบคลุมต่อไป กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด กล่าวเพิ่มเติมว่า บขส. มีภารกิจในการให้บริการประชาชนในเส้นทางสัญจรระหว่างเมืองทั่วประเทศ และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในการสนับสนุนโครงการทดลองใช้น้ํามันดีเซลที่มีส่วนผสมไบโอดีเซล ร้อยละ 20 โดยได้จัดเตรียมรถโดยสารประจําทางของ บขส. จํานวน 3 คัน ในเส้นทาง กรุงเทพฯ-กําแพงเพชร กรุงเทพฯ-บุรีรัมย์ และ กรุงเทพฯ-สระบุรี ซึ่งมีปริมาณการใช้น้ํามันรวมอยู่ที่ 19,500 ลิตรต่อเดือน โดย บขส. ได้จัดเตรียมจุดตั้งถังน้ํามันที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ถนนกําแพงเพชร 2 และจะเข้าร่วมโครงการทดสอบอย่างเป็นทางการเป็นระยะเวลา 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ศกนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) กล่าวในตอนท้ายว่า ปตท. ได้รับการสนับสนุนจากระทรวงการคลัง และกองทุนน้ํามันอุดหนุนส่วนต่าง ทําให้มีส่วนลดราคาน้ํามันดีเซลเกรดพิเศษ B20 เป็นลิตรละ 3 บาท เพื่อลดผลกระทบต่อราคาค่าโดยสาร ค่าบริการขนส่งสินค้า และค่าครองชีพของประชาชน นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยสร้างเสถียรภาพทางราคาของปาล์มน้ํามัน ถือเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรปาล์มน้ํามัน และยังสามารถลดมลภาวะทางอากาศได้อีกด้วย สําหรับ ปตท. ในฐานะรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงพลังงาน ได้ดําเนินภารกิจเพื่อสร้างความมั่นคง และความมีเสถียรภาพด้านพลังงานของประเทศควบคู่กับการดูแลชุมชน สังคม ตลอดจนสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงาน สนับสนุนนโยบายเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ด้วยการนำร่องใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 ในรถโดยสารสาธารณะ ขสมก. และ บขส. วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 กระทรวงพลังงาน สนับสนุนนโยบายเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ด้วยการนําร่องใช้น้ํามันดีเซลหมุนเร็ว B20 ในรถโดยสารสาธารณะ ขสมก. และ บขส. สานพลังหน่วยงานของรัฐสังกัดกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพลังงาน สนับสนุนนโยบายเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ด้วยการนําร่องใช้น้ํามันดีเซลหมุนเร็ว B20 ในรถโดยสารสาธารณะ ขสมก. และ บขส. เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันไทย และลดมลภาวะทางอากาศ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ ดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้เกียรติร่วมเป็นประธานใน พิธีเปิดโครงการส่งเสริมการใช้น้ํามันดีเซลหมุนเร็ว บี20 สําหรับรถโดยสาร องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) ณ อู่ ขสมก. เมกาบางนา ตําบลบางแก้ว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โดยมี นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อํานวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และ นายจิรศักดิ์ เยาว์วัชสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด ร่วมทําพิธีเปิดโครงการฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงนโยบายว่า จากสถานการณ์ราคาน้ํามันดิบในตลาดโลก ที่มีความผันผวนและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น กระทรวงพลังงานได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับ เพื่อไม่ให้ราคาน้ํามันส่งผลกระทบต่อค่าขนส่งสินค้า และค่าครองชีพของประชาชน ในขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ํามันด้วย จึงมีนโยบายให้จัดจําหน่ายน้ํามันดีเซลหมุนเร็ว บี20 โดยจําหน่ายสําหรับรถเฉพาะกลุ่มเท่านั้น คือ กลุ่มรถบรรทุก รถโดยสาร และเรือโดยสาร ซึ่งมีเป้าหมายในการจําหน่ายที่ 15 ล้านลิตรต่อวัน และคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณการใช้น้ํามันปาล์มดิบได้มากขึ้นจากเดิม 1.3 ล้านตันต่อปีเป็น 1.7 ล้านตันต่อปี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคม มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการให้บริการให้ผู้ใช้บริการรถขนส่งสาธารณะได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงการช่วยเหลือลดภาระของผู้มีรายได้น้อย แก้ไขปัญหาของสังคม จึงยินดีสนับสนุนนโยบายของกระทรวงพลังงานในการใช้น้ํามันดีเซลหมุนเร็ว บี20 สําหรับรถโดยสารสาธารณะ โดยนําร่องจากรถโดยสารของหน่วยงานในสังกัด กระทรวงคมนาคม คือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) จํานวน 5 คัน และ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) จํานวน 3 คัน ภายใต้การจัดจําหน่ายเชื้อเพลิงดีเซลหมุนเร็ว บี20 โดย บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) รองผู้อํานวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ กล่าวถึงความร่วมมือในโครงการฯ ว่า ขสมก. มีความยินดีในการเข้าร่วมโครงการศึกษาการใช้น้ํามันดีเซลที่มีส่วนผสมไบโอดีเซล ร้อยละ 20 ในเครื่องยนต์รถโดยสารของ ขสมก. เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยจะทําการทดลองในรถโดยสารธรรมดาสาย 145 อู่เมกาบางนา ถึง อู่หมอชิต 2 จํานวน 5 คัน ประมาณการใช้น้ํามันอยู่ที่ 400 ลิตรต่อวัน หรือ 12,000 ลิตรต่อเดือน และจะมีรถคู่เทียบในรุ่นเดียวกันอีก 5 คัน เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการทํางานของเครื่องยนต์ รวมถึงผลกระทบที่มีต่อเครื่องยนต์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และด้านอื่นๆ ด้วย โดยพร้อมขยายการใช้งานในรถของ ขสมก. ให้ครอบคลุมต่อไป กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด กล่าวเพิ่มเติมว่า บขส. มีภารกิจในการให้บริการประชาชนในเส้นทางสัญจรระหว่างเมืองทั่วประเทศ และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในการสนับสนุนโครงการทดลองใช้น้ํามันดีเซลที่มีส่วนผสมไบโอดีเซล ร้อยละ 20 โดยได้จัดเตรียมรถโดยสารประจําทางของ บขส. จํานวน 3 คัน ในเส้นทาง กรุงเทพฯ-กําแพงเพชร กรุงเทพฯ-บุรีรัมย์ และ กรุงเทพฯ-สระบุรี ซึ่งมีปริมาณการใช้น้ํามันรวมอยู่ที่ 19,500 ลิตรต่อเดือน โดย บขส. ได้จัดเตรียมจุดตั้งถังน้ํามันที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ถนนกําแพงเพชร 2 และจะเข้าร่วมโครงการทดสอบอย่างเป็นทางการเป็นระยะเวลา 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ศกนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) กล่าวในตอนท้ายว่า ปตท. ได้รับการสนับสนุนจากระทรวงการคลัง และกองทุนน้ํามันอุดหนุนส่วนต่าง ทําให้มีส่วนลดราคาน้ํามันดีเซลเกรดพิเศษ B20 เป็นลิตรละ 3 บาท เพื่อลดผลกระทบต่อราคาค่าโดยสาร ค่าบริการขนส่งสินค้า และค่าครองชีพของประชาชน นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยสร้างเสถียรภาพทางราคาของปาล์มน้ํามัน ถือเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรปาล์มน้ํามัน และยังสามารถลดมลภาวะทางอากาศได้อีกด้วย สําหรับ ปตท. ในฐานะรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงพลังงาน ได้ดําเนินภารกิจเพื่อสร้างความมั่นคง และความมีเสถียรภาพด้านพลังงานของประเทศควบคู่กับการดูแลชุมชน สังคม ตลอดจนสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16347
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เกษตรฯ สั่งเร่งตรวจสอบติดตามปัญหาการใช้ยางพาราในหน่วยงานรัฐ
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2561 รมว.เกษตรฯ สั่งเร่งตรวจสอบติดตามปัญหาการใช้ยางพาราในหน่วยงานรัฐ รมว.เกษตรฯ สั่งเร่งตรวจสอบติดตามปัญหาการใช้ยางพาราในหน่วยงานรัฐ นายกฤษฎาบุญราชรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่าตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐใช้ยางพาราและขณะนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)หลายแห่งได้เริ่มสนองนโยบายดังกล่าวโดยได้ใช้งบประมาณของอปท.ไปจัดทําโครงการทําถนนด้วยยางพาราขณะเดียวกันมีรายงานว่าการใช้งบประมาณของอปท.บางแห่งยังมีปัญหาการอนุมัติหรือการใช้จ่ายตามระเบียบว่าด้วยการงบประมาณของอปท.นั้นจึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบติดตามปัญหาการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐดังนี้ 1.ให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดและการยางแห่งประเทศไทยจังหวัดประสานงานกับท้องถิ่นจังหวัดเพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่อปท.ในพื้นที่ถึงการจัดทําโครงการใช้ยางพาราของอปท.ที่กําลังจะเริ่มดําเนินการหรือดําเนินการไปแล้วนั้นมีปัญหาอุปสรรคเรื่องการอนุมัติการใช้งบประมาณตามระเบียบกฎหมายในเรื่องใดหรือไม่พร้อมทั้งให้ลงไปตรวจสอบติดตามการทําถนนหรือโครงการใช้ยางพาราในโครงการอื่นๆในพื้นที่ว่ามีปัญหาในการจัดซื้อน้ํายางจากเกษตรกรหรือไม่รวมทั้งมีความก้าวหน้าอย่างไรพร้อมทั้งให้รายงานปัญหาอุปสรรคและความก้าวหน้าให้เกษตรและสหกรณ์ส่วนกลางทราบทุกระยะ 2.ให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯและการยางแห่งประเทศไทยประสานกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมบัญชีกลางเพื่อหารือในแนวทางการแก้ไขปัญหาให้หน่วยปฎิบัติในพื้นที่โดยเร็ว3.ให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯประสานงานกับกระทรวงคมนาคมกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทหรือหน่วยรัฐอื่นๆเพื่อหารือให้พิจารณาสนับสนุนการใช้ยางพาราในถนนสายรองต่างๆทั่วประเทศโดยใช้งบประมาณเหลือจ่ายปี2561หรือปี2562หรืองบประมาณกลางปี4.ให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดประสานงานกับสํานักงานจังหวัดเพื่อขอให้พิจารณาเสนอผู้ว่าจังหวัดพิจารณาสนับสนุนให้ใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายจากงบประมาณพัฒนาจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดมาใช้ในโครงการการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วยและ5.ให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯทุกเขตออกตรวจติดตามการดําเนินงานตามโครงการใช้ยางพาราในหน่วยงานรัฐในพื้นที่จังหวัดตามข้อ1-4อย่างใกล้ชิดทั้งนี้ให้ถือว่าการตรวจราชการตามโครงการนี้เป็นเรื่องสําคัญเร่งด่วนที่ต้องให้ความสําคัญเป็นกรณีพิเศษด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เกษตรฯ สั่งเร่งตรวจสอบติดตามปัญหาการใช้ยางพาราในหน่วยงานรัฐ วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2561 รมว.เกษตรฯ สั่งเร่งตรวจสอบติดตามปัญหาการใช้ยางพาราในหน่วยงานรัฐ รมว.เกษตรฯ สั่งเร่งตรวจสอบติดตามปัญหาการใช้ยางพาราในหน่วยงานรัฐ นายกฤษฎาบุญราชรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่าตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐใช้ยางพาราและขณะนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)หลายแห่งได้เริ่มสนองนโยบายดังกล่าวโดยได้ใช้งบประมาณของอปท.ไปจัดทําโครงการทําถนนด้วยยางพาราขณะเดียวกันมีรายงานว่าการใช้งบประมาณของอปท.บางแห่งยังมีปัญหาการอนุมัติหรือการใช้จ่ายตามระเบียบว่าด้วยการงบประมาณของอปท.นั้นจึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบติดตามปัญหาการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐดังนี้ 1.ให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดและการยางแห่งประเทศไทยจังหวัดประสานงานกับท้องถิ่นจังหวัดเพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่อปท.ในพื้นที่ถึงการจัดทําโครงการใช้ยางพาราของอปท.ที่กําลังจะเริ่มดําเนินการหรือดําเนินการไปแล้วนั้นมีปัญหาอุปสรรคเรื่องการอนุมัติการใช้งบประมาณตามระเบียบกฎหมายในเรื่องใดหรือไม่พร้อมทั้งให้ลงไปตรวจสอบติดตามการทําถนนหรือโครงการใช้ยางพาราในโครงการอื่นๆในพื้นที่ว่ามีปัญหาในการจัดซื้อน้ํายางจากเกษตรกรหรือไม่รวมทั้งมีความก้าวหน้าอย่างไรพร้อมทั้งให้รายงานปัญหาอุปสรรคและความก้าวหน้าให้เกษตรและสหกรณ์ส่วนกลางทราบทุกระยะ 2.ให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯและการยางแห่งประเทศไทยประสานกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมบัญชีกลางเพื่อหารือในแนวทางการแก้ไขปัญหาให้หน่วยปฎิบัติในพื้นที่โดยเร็ว3.ให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯประสานงานกับกระทรวงคมนาคมกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทหรือหน่วยรัฐอื่นๆเพื่อหารือให้พิจารณาสนับสนุนการใช้ยางพาราในถนนสายรองต่างๆทั่วประเทศโดยใช้งบประมาณเหลือจ่ายปี2561หรือปี2562หรืองบประมาณกลางปี4.ให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดประสานงานกับสํานักงานจังหวัดเพื่อขอให้พิจารณาเสนอผู้ว่าจังหวัดพิจารณาสนับสนุนให้ใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายจากงบประมาณพัฒนาจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดมาใช้ในโครงการการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วยและ5.ให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯทุกเขตออกตรวจติดตามการดําเนินงานตามโครงการใช้ยางพาราในหน่วยงานรัฐในพื้นที่จังหวัดตามข้อ1-4อย่างใกล้ชิดทั้งนี้ให้ถือว่าการตรวจราชการตามโครงการนี้เป็นเรื่องสําคัญเร่งด่วนที่ต้องให้ความสําคัญเป็นกรณีพิเศษด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17083
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบโอวาทนักเรียนโครงการ “พี่ทหารสานฝัน สู่ทำเนียบรัฐบาล” หวังให้เด็กรู้ทันการเปลี่ยนแปลง รู้รักสามัคคี กตัญญูต่อพ่อแม่
วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561 นายกรัฐมนตรีมอบโอวาทนักเรียนโครงการ “พี่ทหารสานฝัน สู่ทําเนียบรัฐบาล” หวังให้เด็กรู้ทันการเปลี่ยนแปลง รู้รักสามัคคี กตัญญูต่อพ่อแม่ นายกรัฐมนตรีมอบโอวาทและพบเด็กนักเรียนโครงการ “พี่ทหารสานฝัน สู่ทําเนียบรัฐบาล” วันนี้ (8 พ.ย 61) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมอบโอวาทและพบเด็กนักเรียนโครงการ “พี่ทหารสานฝัน สู่ทําเนียบรัฐบาล” รุ่นที่ 5 ประจําปี 2561 โดยมี พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเข้าร่วม สําหรับโครงการ “พี่ทหารสานฝันสู่ทําเนียบรัฐบาล” รุ่นที่ 5 ประจําปี 2561 จัดโดย กองพลทหารราบที่ 6 กองกําลังสุรนารี และกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ส่วนแยก 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในพื้นที่ 9 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ที่มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี จํานวน 350 คน เข้าทัศนศึกษา ณ ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติราชการของนายกรัฐมนตรี ที่เด็กนักเรียนหลายคนใฝ่ฝัน อยากมีโอกาสเข้าไปทัศนศึกษาเยี่ยมชม เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เปิดโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น และสร้างแรงบันดาลใจ ในการพัฒนาแนวคิดและการศึกษาตลอดจนการวางรากฐานที่ดีในอนาคต โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีที่ได้พบกับเยาวชนโครงการ “พี่ทหารสานฝันสู่ทําเนียบรัฐบาล” ซึ่งเยาวชนเหล่านี้จะเป็นอนาคตของชาติต่อไป พร้อมกล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยกําลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 มีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี เด็กและเยาวชนต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง โดยตนเองได้มีการเรียนรู้เทคโนโลยีมากขึ้นมี ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Facebook และ Instagram เพื่อสร้างการรับรู้ความเข้าใจต่อประชาชน ทั้งนี้ เด็ก ๆ เยาวชนต้องใช้เทคโนโลยีในทางที่เกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ให้มากที่สุด และสิ่งที่สําคัญต้องรู้รักสามัคคี ซึ่งประเทศไทยมีธรรมชาติที่สวยงาม มีอาหารอร่อย ราคาถูก มีรอยยิ้มพิมพ์ใจเป็นสัญลักษณ์ของคนไทย เพราะฉะนั้นเราต้องร่วมกันรักษาสิ่งที่ดีงานเหล่านี้เอาไว้ให้ประเทศสวยงามน่าอยู่เสมอ รวมถึงเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ จะต้องมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่สําคัญ ต้องดูแลช่วยเหลือเท่าที่จะทําได้ รู้จักแบ่งเบาภาระ เมื่อพ่อแม่แก่ชราต้องเลี้ยงดู ปัจจุบันสังคมไทยกําลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ต้องอาศัยคนในครอบครัวช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พร้อมกับขอให้เด็กนักเรียนดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้ครบ 5 หมู่ และออกกําลังกายอยู่สม่ําเสมอให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อเป็นกําลังของชาติต่อไป จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ถ่ายรูปร่วมกับเด็ก ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ โดยตัวแทนเด็กได้มอบภาพวาดนายกรัฐมนตรีเพื่อแสดงความขอบคุณ หลังจากนั้น คณะทํางานเยี่ยมชมทําเนียบรัฐบาลได้พาเด็ก ๆ เยี่ยมชมทําเนียบรัฐบาลตามสถานที่สําคัญต่าง ๆ ภายในทําเนียบรัฐบาล ------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบโอวาทนักเรียนโครงการ “พี่ทหารสานฝัน สู่ทำเนียบรัฐบาล” หวังให้เด็กรู้ทันการเปลี่ยนแปลง รู้รักสามัคคี กตัญญูต่อพ่อแม่ วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561 นายกรัฐมนตรีมอบโอวาทนักเรียนโครงการ “พี่ทหารสานฝัน สู่ทําเนียบรัฐบาล” หวังให้เด็กรู้ทันการเปลี่ยนแปลง รู้รักสามัคคี กตัญญูต่อพ่อแม่ นายกรัฐมนตรีมอบโอวาทและพบเด็กนักเรียนโครงการ “พี่ทหารสานฝัน สู่ทําเนียบรัฐบาล” วันนี้ (8 พ.ย 61) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมอบโอวาทและพบเด็กนักเรียนโครงการ “พี่ทหารสานฝัน สู่ทําเนียบรัฐบาล” รุ่นที่ 5 ประจําปี 2561 โดยมี พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเข้าร่วม สําหรับโครงการ “พี่ทหารสานฝันสู่ทําเนียบรัฐบาล” รุ่นที่ 5 ประจําปี 2561 จัดโดย กองพลทหารราบที่ 6 กองกําลังสุรนารี และกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ส่วนแยก 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในพื้นที่ 9 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ที่มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี จํานวน 350 คน เข้าทัศนศึกษา ณ ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติราชการของนายกรัฐมนตรี ที่เด็กนักเรียนหลายคนใฝ่ฝัน อยากมีโอกาสเข้าไปทัศนศึกษาเยี่ยมชม เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เปิดโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น และสร้างแรงบันดาลใจ ในการพัฒนาแนวคิดและการศึกษาตลอดจนการวางรากฐานที่ดีในอนาคต โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีที่ได้พบกับเยาวชนโครงการ “พี่ทหารสานฝันสู่ทําเนียบรัฐบาล” ซึ่งเยาวชนเหล่านี้จะเป็นอนาคตของชาติต่อไป พร้อมกล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยกําลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 มีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี เด็กและเยาวชนต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง โดยตนเองได้มีการเรียนรู้เทคโนโลยีมากขึ้นมี ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Facebook และ Instagram เพื่อสร้างการรับรู้ความเข้าใจต่อประชาชน ทั้งนี้ เด็ก ๆ เยาวชนต้องใช้เทคโนโลยีในทางที่เกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ให้มากที่สุด และสิ่งที่สําคัญต้องรู้รักสามัคคี ซึ่งประเทศไทยมีธรรมชาติที่สวยงาม มีอาหารอร่อย ราคาถูก มีรอยยิ้มพิมพ์ใจเป็นสัญลักษณ์ของคนไทย เพราะฉะนั้นเราต้องร่วมกันรักษาสิ่งที่ดีงานเหล่านี้เอาไว้ให้ประเทศสวยงามน่าอยู่เสมอ รวมถึงเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ จะต้องมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่สําคัญ ต้องดูแลช่วยเหลือเท่าที่จะทําได้ รู้จักแบ่งเบาภาระ เมื่อพ่อแม่แก่ชราต้องเลี้ยงดู ปัจจุบันสังคมไทยกําลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ต้องอาศัยคนในครอบครัวช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พร้อมกับขอให้เด็กนักเรียนดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้ครบ 5 หมู่ และออกกําลังกายอยู่สม่ําเสมอให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อเป็นกําลังของชาติต่อไป จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ถ่ายรูปร่วมกับเด็ก ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ โดยตัวแทนเด็กได้มอบภาพวาดนายกรัฐมนตรีเพื่อแสดงความขอบคุณ หลังจากนั้น คณะทํางานเยี่ยมชมทําเนียบรัฐบาลได้พาเด็ก ๆ เยี่ยมชมทําเนียบรัฐบาลตามสถานที่สําคัญต่าง ๆ ภายในทําเนียบรัฐบาล ------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16655
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ อนุทินรับมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แก่บุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 70,000 ฉบับ วงเงินความคุ้มครอง 3,500 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563 รองนายกฯ อนุทินรับมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แก่บุคลากรทางการแพทย์ จํานวน 70,000 ฉบับ วงเงินความคุ้มครอง 3,500 ล้านบาท รองนายกฯ อนุทินรับมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แก่บุคลากรทางการแพทย์ จํานวน 70,000 ฉบับ วงเงินความคุ้มครอง 3,500 ล้านบาท วันนี้ (6 มีนาคม 2563) เวลา 08.30 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ห้องประชุม 301 ทําเนียบรัฐบาล นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบกรมธรรม์ประกันภัย เพื่อส่งมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จํานวน 70,000 ฉบับ เบี้ยประกันภัย จํานวน 7 ล้านบาท โดยมีวงเงินความคุ้มครองรวมทั้งสิ้น จํานวน 3,500 ล้านบาท จากดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เพื่อมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองตั้งแต่วันที่แจ้งรายชื่อ ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2563 กรณีเจ็บป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือติดเชื้อไวรัสโคโรนา บริษัทผู้รับประกันภัยจะจ่ายตามความคุ้มครองทันที่ที่ตรวจพบ จํานวน 50,000 บาทต่อคน รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยว่า รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณที่ผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยได้มอบกรมธรรม์ประกันเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่เสียสละทํางานอย่างหนักในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสฯ ซึ่งทุกคนทํางานสุดความสามารถ เพื่อลดการแพร่กระจายไปในวงกว้าง จะเห็นว่าคนไทยจะไม่ทิ้งกันทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันเป็นอย่างดี ถือเป็นขวัญและกําลังใจของผู้ปฏิบัติงาน ขอยืนยันว่าจะไม่ใช้กรมธรรม์ฟุ่มเฟื่อยอย่างแน่นอน เพราะทุกคนที่ทํางานสัมผัสผู้ป่วยได้รับการแนะแนวและฝึกฝนเป็นอย่างดี ในการนําตัวเองออกห่างจากเชื้อให้มากที่สุด ซึ่งโอกาสน้อยที่เจ้าหน้าที่จะได้รับเชื้อเหล่านั้น ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์การติดเชื้อและแพร่ระบาดของ COVID-19 ด้วยความห่วงใยพี่น้องคนไทยทุกคน ถือเป็นวาระสําคัญที่ต้องดําเนินการอย่างเร่งด่วนพร้อมมอบนโยบายในการปฏิบัติงานในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานด้วย ----------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ อนุทินรับมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แก่บุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 70,000 ฉบับ วงเงินความคุ้มครอง 3,500 ล้านบาท วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563 รองนายกฯ อนุทินรับมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แก่บุคลากรทางการแพทย์ จํานวน 70,000 ฉบับ วงเงินความคุ้มครอง 3,500 ล้านบาท รองนายกฯ อนุทินรับมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แก่บุคลากรทางการแพทย์ จํานวน 70,000 ฉบับ วงเงินความคุ้มครอง 3,500 ล้านบาท วันนี้ (6 มีนาคม 2563) เวลา 08.30 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ห้องประชุม 301 ทําเนียบรัฐบาล นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบกรมธรรม์ประกันภัย เพื่อส่งมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จํานวน 70,000 ฉบับ เบี้ยประกันภัย จํานวน 7 ล้านบาท โดยมีวงเงินความคุ้มครองรวมทั้งสิ้น จํานวน 3,500 ล้านบาท จากดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เพื่อมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองตั้งแต่วันที่แจ้งรายชื่อ ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2563 กรณีเจ็บป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือติดเชื้อไวรัสโคโรนา บริษัทผู้รับประกันภัยจะจ่ายตามความคุ้มครองทันที่ที่ตรวจพบ จํานวน 50,000 บาทต่อคน รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยว่า รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณที่ผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยได้มอบกรมธรรม์ประกันเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่เสียสละทํางานอย่างหนักในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสฯ ซึ่งทุกคนทํางานสุดความสามารถ เพื่อลดการแพร่กระจายไปในวงกว้าง จะเห็นว่าคนไทยจะไม่ทิ้งกันทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันเป็นอย่างดี ถือเป็นขวัญและกําลังใจของผู้ปฏิบัติงาน ขอยืนยันว่าจะไม่ใช้กรมธรรม์ฟุ่มเฟื่อยอย่างแน่นอน เพราะทุกคนที่ทํางานสัมผัสผู้ป่วยได้รับการแนะแนวและฝึกฝนเป็นอย่างดี ในการนําตัวเองออกห่างจากเชื้อให้มากที่สุด ซึ่งโอกาสน้อยที่เจ้าหน้าที่จะได้รับเชื้อเหล่านั้น ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์การติดเชื้อและแพร่ระบาดของ COVID-19 ด้วยความห่วงใยพี่น้องคนไทยทุกคน ถือเป็นวาระสําคัญที่ต้องดําเนินการอย่างเร่งด่วนพร้อมมอบนโยบายในการปฏิบัติงานในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานด้วย ----------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26955
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “ยุติธรรม” จัดงานรวมพลยุติธรรมชุมชนชายแดนใต้ นำความสงบสุขสู่ชุมชน
วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560 “ยุติธรรม” จัดงานรวมพลยุติธรรมชุมชนชายแดนใต้ นําความสงบสุขสู่ชุมชน นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงาน “รวมพลศูนย์ยุติธรรมชุมชน รวมใจคนยุติธรรม” เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ โรงแรมหรรษา เจบี อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงาน “รวมพลศูนย์ยุติธรรมชุมชน รวมใจคนยุติธรรม” เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์งานยุติธรรมชุมชน ระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับเครือข่ายยุติธรรมชุมชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการนําเครือข่ายยุติธรรมชุมชน และศูนย์ยุติธรรมชุมชน เป็นกลไกภาคประชาชน ที่จะช่วยเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน ตลอดจนแก้ไขปัญหาและส่งเสริมศักยภาพ สร้างความเข้มแข็งให้กับการดูแลความสงบเรียบร้อยของชุมชนตนเองได้ โดยมี ยุติธรรมจังหวัด ประธานศูนย์ยุติธรรมชุมชน กรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชน เจ้าหน้าที่ศูนย์ยุติธรรมชุมชน และเจ้าหน้าที่สํานักงานยุติธรรมจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล จํานวน ๕๐๐ คน เข้าร่วมฯ ในโอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น งานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนและเครือข่ายยุติธรรมชุมชนมีความสําคัญอย่างมาก เพราะเป็นส่วนสําคัญที่จะส่งเสริมให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน สามารถเข้าถึงความเป็นธรรมและการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐผ่านแนวคิดยุติธรรมชุมชน ที่เน้นให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหาของชุมชนด้วยตนเอง โดยให้ประชาชนในพื้นที่ร่วมคิด ร่วมทํา ร่วมตัดสินใจ ร่วมมือกันก้าวเดินไปบนเส้นทางยุติธรรมชุมชน เพื่อทําให้สังคมสันติสุขเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างแท้จริง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “ยุติธรรม” จัดงานรวมพลยุติธรรมชุมชนชายแดนใต้ นำความสงบสุขสู่ชุมชน วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560 “ยุติธรรม” จัดงานรวมพลยุติธรรมชุมชนชายแดนใต้ นําความสงบสุขสู่ชุมชน นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงาน “รวมพลศูนย์ยุติธรรมชุมชน รวมใจคนยุติธรรม” เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ โรงแรมหรรษา เจบี อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงาน “รวมพลศูนย์ยุติธรรมชุมชน รวมใจคนยุติธรรม” เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์งานยุติธรรมชุมชน ระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับเครือข่ายยุติธรรมชุมชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการนําเครือข่ายยุติธรรมชุมชน และศูนย์ยุติธรรมชุมชน เป็นกลไกภาคประชาชน ที่จะช่วยเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน ตลอดจนแก้ไขปัญหาและส่งเสริมศักยภาพ สร้างความเข้มแข็งให้กับการดูแลความสงบเรียบร้อยของชุมชนตนเองได้ โดยมี ยุติธรรมจังหวัด ประธานศูนย์ยุติธรรมชุมชน กรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชน เจ้าหน้าที่ศูนย์ยุติธรรมชุมชน และเจ้าหน้าที่สํานักงานยุติธรรมจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล จํานวน ๕๐๐ คน เข้าร่วมฯ ในโอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น งานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนและเครือข่ายยุติธรรมชุมชนมีความสําคัญอย่างมาก เพราะเป็นส่วนสําคัญที่จะส่งเสริมให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน สามารถเข้าถึงความเป็นธรรมและการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐผ่านแนวคิดยุติธรรมชุมชน ที่เน้นให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหาของชุมชนด้วยตนเอง โดยให้ประชาชนในพื้นที่ร่วมคิด ร่วมทํา ร่วมตัดสินใจ ร่วมมือกันก้าวเดินไปบนเส้นทางยุติธรรมชุมชน เพื่อทําให้สังคมสันติสุขเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างแท้จริง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6784
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือกับ FAO อย่างแข็งขัน เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือกับ FAO อย่างแข็งขัน เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือกับ FAO อย่างแข็งขัน เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 11.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายฉู ตงหยู (Mr. Qu Dongyu) ผู้อํานวยการใหญ่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Director of Food and Agriculture Organization of United Nation: FAO) เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับผู้อํานวยการใหญ่ FAO ในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ โดยยืนยันความพร้อมของไทยที่จะทํางานร่วมกับ FAO อย่างใกล้ชิด เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และภูมิภาคต่อไป พร้อมทั้งขอบคุณต่อการสนับสนุนของ FAO ในการจัดตั้งวันดินโลก ในวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ด้วย ผู้อํานวยการใหญ่ FAO แสดงความชื่นชมบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในฐานะประธานอาเซียนประจําปี 2562 และขอบคุณไทยที่ให้การสนับสนุน FAO มาโดยตลอด พร้อมทั้งขอให้ไทยพิจารณาการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชา FAO ประจําภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 35 ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปหารือในประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นข้อริเริ่ม Hand in Hand Initiatives (HIHI) ซึ่งเป็นกลไกในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยผู้อํานวยการใหญ่ FAO ขอให้ไทยสนับสนุนประเทศเป้าหมายในภูมิภาคที่มีอัตราความยากจนและความหิวโหยในระดับสูง ให้จับคู่กับประเทศที่มีศักยภาพในการช่วยเหลือ ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีให้การสนับสนุนหลักการของข้อริเริ่มนี้ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการดําเนินงานเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากให้ FAO พิจารณาเรื่องการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรของไทย เนื่องจากไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม การเพิ่มมูลค่าสินค้าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ําและกระจายรายได้แก่ประชาชน ทั้งนี้ผู้อํานวยการใหญ่ FAO ได้ให้ข้อคิดเห็นว่าควรมีข้อริเริ่มในด้านนโยบายใหม่ๆ การทําฟาร์มดิจิทัล รวมทั้งแปรรูปสินค้าเกษตร เพื่อปรับเปลี่ยนสินค้าเกษตรในรูปแบบเดิมให้เป็นสินค้าเกษตรเชิงพาณิชย์และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือกับ FAO อย่างแข็งขัน เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือกับ FAO อย่างแข็งขัน เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือกับ FAO อย่างแข็งขัน เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 11.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายฉู ตงหยู (Mr. Qu Dongyu) ผู้อํานวยการใหญ่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Director of Food and Agriculture Organization of United Nation: FAO) เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับผู้อํานวยการใหญ่ FAO ในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ โดยยืนยันความพร้อมของไทยที่จะทํางานร่วมกับ FAO อย่างใกล้ชิด เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และภูมิภาคต่อไป พร้อมทั้งขอบคุณต่อการสนับสนุนของ FAO ในการจัดตั้งวันดินโลก ในวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ด้วย ผู้อํานวยการใหญ่ FAO แสดงความชื่นชมบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในฐานะประธานอาเซียนประจําปี 2562 และขอบคุณไทยที่ให้การสนับสนุน FAO มาโดยตลอด พร้อมทั้งขอให้ไทยพิจารณาการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชา FAO ประจําภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 35 ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปหารือในประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นข้อริเริ่ม Hand in Hand Initiatives (HIHI) ซึ่งเป็นกลไกในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยผู้อํานวยการใหญ่ FAO ขอให้ไทยสนับสนุนประเทศเป้าหมายในภูมิภาคที่มีอัตราความยากจนและความหิวโหยในระดับสูง ให้จับคู่กับประเทศที่มีศักยภาพในการช่วยเหลือ ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีให้การสนับสนุนหลักการของข้อริเริ่มนี้ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการดําเนินงานเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากให้ FAO พิจารณาเรื่องการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรของไทย เนื่องจากไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม การเพิ่มมูลค่าสินค้าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ําและกระจายรายได้แก่ประชาชน ทั้งนี้ผู้อํานวยการใหญ่ FAO ได้ให้ข้อคิดเห็นว่าควรมีข้อริเริ่มในด้านนโยบายใหม่ๆ การทําฟาร์มดิจิทัล รวมทั้งแปรรูปสินค้าเกษตร เพื่อปรับเปลี่ยนสินค้าเกษตรในรูปแบบเดิมให้เป็นสินค้าเกษตรเชิงพาณิชย์และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562)
วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2562 ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 413,589 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 6,349 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.6 ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 413,589 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 6,349 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.6 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 18,655 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.7 โดยการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจและการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร สูงกว่าประมาณการ จํานวน 4,744 และ 3,006 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.5 และ 1.2 ตามลําดับ Government’s Net Revenue Collection: The First 2 Months of Fiscal Year 2020 (October – November 2019) Mr. Lavaron Sangsnit, Director-General of the Fiscal Policy Office and Spokesperson of the Ministry of Finance, stated that the government’s net revenue collection in the first 2 months of fiscal year 2020 (October – November 2019), was 413,589 million baht, which was 6,349 million baht or 1.6% higher than revenue target and 18,655 million baht or 4.7% higher than the same period of last year. Remittances from State-owned Enterprises and revenue collection of Revenue Department exceeded target by 4,744 and 3,006 million baht or 7.5% and 1.2% respectively. https://bit.ly/2PRKXcR https://bit.ly/2PUJz9q
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2562 ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 413,589 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 6,349 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.6 ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 413,589 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 6,349 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.6 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 18,655 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.7 โดยการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจและการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร สูงกว่าประมาณการ จํานวน 4,744 และ 3,006 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.5 และ 1.2 ตามลําดับ Government’s Net Revenue Collection: The First 2 Months of Fiscal Year 2020 (October – November 2019) Mr. Lavaron Sangsnit, Director-General of the Fiscal Policy Office and Spokesperson of the Ministry of Finance, stated that the government’s net revenue collection in the first 2 months of fiscal year 2020 (October – November 2019), was 413,589 million baht, which was 6,349 million baht or 1.6% higher than revenue target and 18,655 million baht or 4.7% higher than the same period of last year. Remittances from State-owned Enterprises and revenue collection of Revenue Department exceeded target by 4,744 and 3,006 million baht or 7.5% and 1.2% respectively. https://bit.ly/2PRKXcR https://bit.ly/2PUJz9q
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25467
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท.สั่งการทุกจังหวัดจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวสอดคล้องมาตรการผ่อนคลายให้เหมาะสมกับพื้นที่ [กระทรวงมหาดไทย]
วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2563 ศบค.มท.สั่งการทุกจังหวัดจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวสอดคล้องมาตรการผ่อนคลายให้เหมาะสมกับพื้นที่ [กระทรวงมหาดไทย] ศบค.มท.สั่งการทุกจังหวัดจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวสอดคล้องมาตรการผ่อนคลายให้เหมาะสมกับพื้นที่ วันนี้ (13 มิ.ย.63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวชายหาด ด้วยการกําหนดการใช้พื้นที่ให้มีความชัดเจน มุ่งเน้นความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและประชาชน ไม่เกิดความแออัด รวมทั้งให้มีการดูแลรักษาความสะอาดของสถานที่ท่องเที่ยวและบริเวณโดยรอบ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินการตามความเหมาะสมกับพื้นที่ ได้แก่ 1) สํารวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวชุมชน แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนควบคู่กับมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคของกระทรวงสาธารณสุข 2) จัดระเบียบและแบ่งสัดส่วนการใช้พื้นที่สถานที่ท่องเที่ยวให้มีความชัดเจน อาทิ พื้นที่ร้านค้า สถานประกอบการ พื้นที่สําหรับพักผ่อน พื้นที่จัดกิจกรรม พื้นที่จอดรถ หรือพื้นที่อื่น ๆ ให้สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม กําหนดมาตรการควบคุมจํานวนผู้เข้ามาท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เกิดความแออัดและเป็นไปตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม โดยถือหลักหลีกเลี่ยงติดต่อสัมผัสระหว่างกัน 3) อํานวยความสะดวกและบริหารจัดการระบบการจราจร รวมทั้งประชาสัมพันธ์การใช้เส้นทางให้แก่ประชาชนเพื่อลดความแออัดของพื้นที่ 4) กําหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ทั้งการรักษาความสะอาดบริเวณแหล่งท่องเที่ยวโดยเฉพาะจุดที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ กําหนดและให้มีจุดล้างมือด้วยสบู่ แอลกอฮอล์เจล หรือน้ํายาฆ่าเชื้อโรค รวมทั้งกําจัดขยะในพื้นที่โดยรอบแหล่งท่องเที่ยว 5) รณรงค์ให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวใช้แอปพลิเคชัน "ไทยชนะ" ให้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตปกติ และสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วน ให้ตระหนักถึงความสําคัญและประโยชน์ของแอปพลิเคชันในการสอบสวนโรคย้อนหลังได้ กองสารนิเทศ สป.มท. ครั้งที่ 80/2563 วันที่ 13 มิ.ย. 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท.สั่งการทุกจังหวัดจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวสอดคล้องมาตรการผ่อนคลายให้เหมาะสมกับพื้นที่ [กระทรวงมหาดไทย] วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2563 ศบค.มท.สั่งการทุกจังหวัดจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวสอดคล้องมาตรการผ่อนคลายให้เหมาะสมกับพื้นที่ [กระทรวงมหาดไทย] ศบค.มท.สั่งการทุกจังหวัดจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวสอดคล้องมาตรการผ่อนคลายให้เหมาะสมกับพื้นที่ วันนี้ (13 มิ.ย.63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวชายหาด ด้วยการกําหนดการใช้พื้นที่ให้มีความชัดเจน มุ่งเน้นความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและประชาชน ไม่เกิดความแออัด รวมทั้งให้มีการดูแลรักษาความสะอาดของสถานที่ท่องเที่ยวและบริเวณโดยรอบ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินการตามความเหมาะสมกับพื้นที่ ได้แก่ 1) สํารวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวชุมชน แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนควบคู่กับมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคของกระทรวงสาธารณสุข 2) จัดระเบียบและแบ่งสัดส่วนการใช้พื้นที่สถานที่ท่องเที่ยวให้มีความชัดเจน อาทิ พื้นที่ร้านค้า สถานประกอบการ พื้นที่สําหรับพักผ่อน พื้นที่จัดกิจกรรม พื้นที่จอดรถ หรือพื้นที่อื่น ๆ ให้สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม กําหนดมาตรการควบคุมจํานวนผู้เข้ามาท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เกิดความแออัดและเป็นไปตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม โดยถือหลักหลีกเลี่ยงติดต่อสัมผัสระหว่างกัน 3) อํานวยความสะดวกและบริหารจัดการระบบการจราจร รวมทั้งประชาสัมพันธ์การใช้เส้นทางให้แก่ประชาชนเพื่อลดความแออัดของพื้นที่ 4) กําหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ทั้งการรักษาความสะอาดบริเวณแหล่งท่องเที่ยวโดยเฉพาะจุดที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ กําหนดและให้มีจุดล้างมือด้วยสบู่ แอลกอฮอล์เจล หรือน้ํายาฆ่าเชื้อโรค รวมทั้งกําจัดขยะในพื้นที่โดยรอบแหล่งท่องเที่ยว 5) รณรงค์ให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวใช้แอปพลิเคชัน "ไทยชนะ" ให้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตปกติ และสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วน ให้ตระหนักถึงความสําคัญและประโยชน์ของแอปพลิเคชันในการสอบสวนโรคย้อนหลังได้ กองสารนิเทศ สป.มท. ครั้งที่ 80/2563 วันที่ 13 มิ.ย. 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32288
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีป้า” ควง ธ.ก.ส. ลุย 4 ภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตเกือบ 100 ชุมชน ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเสริมการท่องเที่ยว กระจายรายได้สู่ชุมชน ขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืน
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2563 “ดีป้า” ควง ธ.ก.ส. ลุย 4 ภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตเกือบ 100 ชุมชน ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเสริมการท่องเที่ยว กระจายรายได้สู่ชุมชน ขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืน ดีป้า ร่วมกับ ธ.ก.ส. จัดงานแถลงความร่วมมือการส่งเสริมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลด้านชุมชนท่องเที่ยว ภายใต้ โครงการส่งเสริมและสนับสนุนคูปองดิจิทัลเพื่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ด้านท่องเที่ยวชุมชน ประจําปี 2563 18 สิงหาคม 2563, โรงแรมเอเชีย กรุงเทพมหานคร - สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. จัดงานแถลงความร่วมมือการส่งเสริมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลด้านชุมชนท่องเที่ยว ภายใต้ โครงการส่งเสริมและสนับสนุนคูปองดิจิทัลเพื่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล (depa mini Transformation Voucher) ด้านท่องเที่ยวชุมชน ประจําปี 2563 ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการใหญ่ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า ดีป้า ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล จึงได้จัดทํา “มาตรการคูปองดิจิทัลเพื่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล (depa mini Transformation Voucher)” เพื่อส่งเสริมสนับสนุน ร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Transformation) โดยกระจายตัวอย่างทั่วถึงในวงกว้าง ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจไทย ได้มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการลดต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ เพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาไปสู่การแข่งขันเชิงธุรกิจในรูปแบบใหม่ในระยะยาวต่อไป “โดยภาคการท่องเที่ยว ถือเป็นปัจจัยสําคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทย กระตุ้นรายได้ทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทย อีกทั้งยังส่งผลดีกระจายไปในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านค้าทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก กลุ่มเกษตรกร และธุรกิจขนส่ง เป็นต้น ซึ่งการท่องเที่ยวชุมชนเป็นหนึ่งในภาคส่วนการท่องเที่ยว ที่ช่วยกระจายรายได้ของการท่องเที่ยวไปสู่ชาวบ้านโดยตรง สร้างความเติบโตสู่เศรษฐกิจ ฐานรากของประเทศ จึงสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการให้เศรษฐกิจฐานรากขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืน” ผู้อํานวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว ด้านนายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ธ.ก.ส. มีนโยบายในการขับเคลื่อนธุรกิจชุมชน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในการดําเนินงานร่วมกับ depa ในครั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้มีการประชาสัมพันธ์ไปยังชุมชนเป้าหมาย รวมถึงพิจารณาคัดเลือกโครงการของชุมชน องค์กรชุมชน และผู้ประกอบการในชุมชนท่องเที่ยวกว่า 50 ชุมชนทั่วประเทศที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ เข้าร่วมรับเงินทุนสนับสนุนจาก depa เพื่อนําไปพัฒนาชุมชนโดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อรองรับการดําเนินธุรกิจการท่องเที่ยวในท้องถิ่นหรือชุมชน รวมถึงดําเนินการ ติดตาม กํากับ และรายงานผลการดําเนินงาน ตลอดระยะเวลาของโครงการฯ ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่าง ธ.ก.ส. กับ depa ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สามารถสนับสนุนชุมชนไปสู่เป้าหมายจนได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย เช่น รางวัล Prime Minister’s Digital Award 2019 สาขา Digital Community of the year ของชุมชนบ้านถ้ําเสือ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งได้นําแอปพลิเคชันเก็บข้อมูลต้นไม้ที่ปลูกแล้วนํามาคํานวณเครดิตคาร์บอนแปรเป็นมูลค่า และรางวัล Prime Minister’s Digital Award 2019 สาขา Digital Talent Award of the year ของวิสาหกิจชุมชนบ้านหนองสาหร่าย จังหวัดกาญจนบุรี ที่นําเทคโนโลยีด้านการพยากรณ์อากาศมาใช้พยากรณ์อากาศได้ล่วงหน้า 24 ชั่วโมง รวมถึงร่วมกันจัดโครงการอบรมชุมชนท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 4 ภาคทั่วประเทศ ในหัวข้อการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในชุมชน เป็นต้น สําหรับโครงการดังกล่าว โดยฝ่ายส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาชุมชน ดีป้า ได้จัดกิจกรรมยกระดับศักยภาพชุมชนท่องเที่ยวยั่งยืน เดินหน้า 4 ภาคสร้างความเข้าใจในการขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ช่วยเสริมทักษะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในชุมชนได้ไม่น้อยกว่า 77 ชุมชน จํานวนกว่า 236 คน และเกิดการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างชุมชนกับบริษัทเทคโนโลยี สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 770,000 บาท นอกจากนี้ยังสามารถยกระดับขีดความ สามารถทางการแข่งขัน ด้วยการลดต้นทุน เพิ่มรายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ต่อชุมชน พร้อมกับสร้างเครือข่ายในพื้นที่ทั่วประเทศ นําไปสู่การส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีป้า” ควง ธ.ก.ส. ลุย 4 ภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตเกือบ 100 ชุมชน ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเสริมการท่องเที่ยว กระจายรายได้สู่ชุมชน ขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืน วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2563 “ดีป้า” ควง ธ.ก.ส. ลุย 4 ภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตเกือบ 100 ชุมชน ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเสริมการท่องเที่ยว กระจายรายได้สู่ชุมชน ขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืน ดีป้า ร่วมกับ ธ.ก.ส. จัดงานแถลงความร่วมมือการส่งเสริมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลด้านชุมชนท่องเที่ยว ภายใต้ โครงการส่งเสริมและสนับสนุนคูปองดิจิทัลเพื่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ด้านท่องเที่ยวชุมชน ประจําปี 2563 18 สิงหาคม 2563, โรงแรมเอเชีย กรุงเทพมหานคร - สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. จัดงานแถลงความร่วมมือการส่งเสริมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลด้านชุมชนท่องเที่ยว ภายใต้ โครงการส่งเสริมและสนับสนุนคูปองดิจิทัลเพื่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล (depa mini Transformation Voucher) ด้านท่องเที่ยวชุมชน ประจําปี 2563 ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการใหญ่ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า ดีป้า ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล จึงได้จัดทํา “มาตรการคูปองดิจิทัลเพื่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล (depa mini Transformation Voucher)” เพื่อส่งเสริมสนับสนุน ร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Transformation) โดยกระจายตัวอย่างทั่วถึงในวงกว้าง ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจไทย ได้มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการลดต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ เพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาไปสู่การแข่งขันเชิงธุรกิจในรูปแบบใหม่ในระยะยาวต่อไป “โดยภาคการท่องเที่ยว ถือเป็นปัจจัยสําคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทย กระตุ้นรายได้ทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทย อีกทั้งยังส่งผลดีกระจายไปในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านค้าทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก กลุ่มเกษตรกร และธุรกิจขนส่ง เป็นต้น ซึ่งการท่องเที่ยวชุมชนเป็นหนึ่งในภาคส่วนการท่องเที่ยว ที่ช่วยกระจายรายได้ของการท่องเที่ยวไปสู่ชาวบ้านโดยตรง สร้างความเติบโตสู่เศรษฐกิจ ฐานรากของประเทศ จึงสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการให้เศรษฐกิจฐานรากขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืน” ผู้อํานวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว ด้านนายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ธ.ก.ส. มีนโยบายในการขับเคลื่อนธุรกิจชุมชน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในการดําเนินงานร่วมกับ depa ในครั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้มีการประชาสัมพันธ์ไปยังชุมชนเป้าหมาย รวมถึงพิจารณาคัดเลือกโครงการของชุมชน องค์กรชุมชน และผู้ประกอบการในชุมชนท่องเที่ยวกว่า 50 ชุมชนทั่วประเทศที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ เข้าร่วมรับเงินทุนสนับสนุนจาก depa เพื่อนําไปพัฒนาชุมชนโดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อรองรับการดําเนินธุรกิจการท่องเที่ยวในท้องถิ่นหรือชุมชน รวมถึงดําเนินการ ติดตาม กํากับ และรายงานผลการดําเนินงาน ตลอดระยะเวลาของโครงการฯ ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่าง ธ.ก.ส. กับ depa ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สามารถสนับสนุนชุมชนไปสู่เป้าหมายจนได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย เช่น รางวัล Prime Minister’s Digital Award 2019 สาขา Digital Community of the year ของชุมชนบ้านถ้ําเสือ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งได้นําแอปพลิเคชันเก็บข้อมูลต้นไม้ที่ปลูกแล้วนํามาคํานวณเครดิตคาร์บอนแปรเป็นมูลค่า และรางวัล Prime Minister’s Digital Award 2019 สาขา Digital Talent Award of the year ของวิสาหกิจชุมชนบ้านหนองสาหร่าย จังหวัดกาญจนบุรี ที่นําเทคโนโลยีด้านการพยากรณ์อากาศมาใช้พยากรณ์อากาศได้ล่วงหน้า 24 ชั่วโมง รวมถึงร่วมกันจัดโครงการอบรมชุมชนท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 4 ภาคทั่วประเทศ ในหัวข้อการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในชุมชน เป็นต้น สําหรับโครงการดังกล่าว โดยฝ่ายส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาชุมชน ดีป้า ได้จัดกิจกรรมยกระดับศักยภาพชุมชนท่องเที่ยวยั่งยืน เดินหน้า 4 ภาคสร้างความเข้าใจในการขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ช่วยเสริมทักษะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในชุมชนได้ไม่น้อยกว่า 77 ชุมชน จํานวนกว่า 236 คน และเกิดการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างชุมชนกับบริษัทเทคโนโลยี สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 770,000 บาท นอกจากนี้ยังสามารถยกระดับขีดความ สามารถทางการแข่งขัน ด้วยการลดต้นทุน เพิ่มรายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ต่อชุมชน พร้อมกับสร้างเครือข่ายในพื้นที่ทั่วประเทศ นําไปสู่การส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34294
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ.พิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชนตาม พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม
วันอังคารที่ 26 กันยายน 2560 ยธ.พิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชนตาม พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานคร และที่เกินอํานาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจําจังหวัด ครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ เมื่อวันอังคารที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมสํานักงานกองทุนยุติธรรม อาคารซอฟต์แวร์ปาร์ค ชั้น ๒๒ ถนนแจ้งวัฒนะ ตําบลคลองเกลือ จังหวัดนนทบุรี นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานคร และที่เกินอํานาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจําจังหวัด ครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ เพื่อพิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือเสนอคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานครฯ ประจําเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ จํานวน ๒๐ ราย ประกอบด้วย ๑. คําขอรับความช่วยเหลือขอทบทวนผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานครฯ รวมจํานวน ๖ ราย ๑๑ เรื่อง โดยผลการพิจารณา เสนออนุมัติ ๑ ราย ๒ เรื่อง เสนอไม่อนุมัติ ๕ ราย ๙ เรื่อง ๒. คําขอรับความช่วยเหลือในการดําเนินคดี จํานวน ๑๓ ราย ๒๕ เรื่อง โดยผลการพิจารณา เสนออนุมัติ ๓ ราย ๖ เรื่อง เสนอไม่อนุมัติ ๔ ราย ๗ เรื่อง เสนอยุติ ๖ ราย ๑๒ เรื่อง ๓. คําขอรับความช่วยเหลือการขอปล่อยช่วยคราวผู้ต้องหาหรือจําเลย จํานวน ๗ ราย ๗ เรื่อง โดยผลการพิจารณา เสนอยุติ ๗ ราย ๗ เรื่อง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ.๒๕๕๘ และระเบียบคณะกรรมการ กองทุนยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี พ.ศ.๒๕๕๙ รวมทั้งระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจําเลย พ.ศ.๒๕๕๙ ในส่วนของผลการให้ความช่วยเหลือจากสํานักงานกองทุนยุติธรรมในช่วง ๑๑ เดือน (ช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๙ - สิงหาคม ๒๕๖๐) รับคําขอรวม ๘๘๕ ราย มีผลการพิจารณาแล้ว ๘๑๔ ราย อนุมัติ ๒๑๗ ราย คิดเป็น ๒๖.๖๖% ไม่อนุมัติ ๓๒๖ ราย คิดเป็น ๔๐.๐๕% ยุติเรื่อง ๒๗๑ ราย คิดเป็น ๓๓.๒๙% อยู่ระหว่างดําเนินการ ๑๘๒ ราย รอเอกสารเพิ่มเติม ๙๗ ราย และแสวงหาข้อเท็จจริง ๘๓ ราย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ.พิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชนตาม พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม วันอังคารที่ 26 กันยายน 2560 ยธ.พิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชนตาม พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานคร และที่เกินอํานาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจําจังหวัด ครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ เมื่อวันอังคารที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมสํานักงานกองทุนยุติธรรม อาคารซอฟต์แวร์ปาร์ค ชั้น ๒๒ ถนนแจ้งวัฒนะ ตําบลคลองเกลือ จังหวัดนนทบุรี นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานคร และที่เกินอํานาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจําจังหวัด ครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ เพื่อพิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือเสนอคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานครฯ ประจําเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ จํานวน ๒๐ ราย ประกอบด้วย ๑. คําขอรับความช่วยเหลือขอทบทวนผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานครฯ รวมจํานวน ๖ ราย ๑๑ เรื่อง โดยผลการพิจารณา เสนออนุมัติ ๑ ราย ๒ เรื่อง เสนอไม่อนุมัติ ๕ ราย ๙ เรื่อง ๒. คําขอรับความช่วยเหลือในการดําเนินคดี จํานวน ๑๓ ราย ๒๕ เรื่อง โดยผลการพิจารณา เสนออนุมัติ ๓ ราย ๖ เรื่อง เสนอไม่อนุมัติ ๔ ราย ๗ เรื่อง เสนอยุติ ๖ ราย ๑๒ เรื่อง ๓. คําขอรับความช่วยเหลือการขอปล่อยช่วยคราวผู้ต้องหาหรือจําเลย จํานวน ๗ ราย ๗ เรื่อง โดยผลการพิจารณา เสนอยุติ ๗ ราย ๗ เรื่อง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ.๒๕๕๘ และระเบียบคณะกรรมการ กองทุนยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี พ.ศ.๒๕๕๙ รวมทั้งระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจําเลย พ.ศ.๒๕๕๙ ในส่วนของผลการให้ความช่วยเหลือจากสํานักงานกองทุนยุติธรรมในช่วง ๑๑ เดือน (ช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๙ - สิงหาคม ๒๕๖๐) รับคําขอรวม ๘๘๕ ราย มีผลการพิจารณาแล้ว ๘๑๔ ราย อนุมัติ ๒๑๗ ราย คิดเป็น ๒๖.๖๖% ไม่อนุมัติ ๓๒๖ ราย คิดเป็น ๔๐.๐๕% ยุติเรื่อง ๒๗๑ ราย คิดเป็น ๓๓.๒๙% อยู่ระหว่างดําเนินการ ๑๘๒ ราย รอเอกสารเพิ่มเติม ๙๗ ราย และแสวงหาข้อเท็จจริง ๘๓ ราย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6980
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมชี้แจงเกณฑ์ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560" ครั้งที่ 3
วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560 การประชุมชี้แจงเกณฑ์ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560" ครั้งที่ 3 การประชุมชี้แจงเกณฑ์ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560" ครั้งที่ 3 วันนี้ (29 มีนาคม 2560) นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงเกณฑ์ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560" ครั้งที่ 3 ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดโดยศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ณ โรงแรมประตูน้ํา จังหวัดขอนแก่น ในโอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบนโยบายในการทํางานเพื่อขับเคลื่อนความพร้อมก่อนการตรวจประเมินในปีนี้ และเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจ ITA ที่สําคัญ ได้แก่ การดําเนินงานตามแผนให้เป็นกิจวัตรประวันของการทํางาน การน้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การสร้างวิธีคิด เพราะวิธีคิดสะท้อนวิธีทํา การประเมิน ITA ทั้ง 5 ดัชนี และการดําเนินงานตามเกณฑ์อย่างเคร่งครัด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมชี้แจงเกณฑ์ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560" ครั้งที่ 3 วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560 การประชุมชี้แจงเกณฑ์ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560" ครั้งที่ 3 การประชุมชี้แจงเกณฑ์ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560" ครั้งที่ 3 วันนี้ (29 มีนาคม 2560) นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงเกณฑ์ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560" ครั้งที่ 3 ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดโดยศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ณ โรงแรมประตูน้ํา จังหวัดขอนแก่น ในโอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบนโยบายในการทํางานเพื่อขับเคลื่อนความพร้อมก่อนการตรวจประเมินในปีนี้ และเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจ ITA ที่สําคัญ ได้แก่ การดําเนินงานตามแผนให้เป็นกิจวัตรประวันของการทํางาน การน้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การสร้างวิธีคิด เพราะวิธีคิดสะท้อนวิธีทํา การประเมิน ITA ทั้ง 5 ดัชนี และการดําเนินงานตามเกณฑ์อย่างเคร่งครัด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2727
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผยโพล “พล.อ.ประยุทธ์-โป๊ป-เบลล่า” ติดโผคนที่ ปชช.อยากรดน้ำ-สาดน้ำมากสุด แนะเล่นน้ำอย่างสุภาพ ไม่โป๊-ไม่แป้ง ขับขี่ปลอดภัยมีน้ำใจ-เคารพวินัยจราจร หนุนรณรงค์แต่งกายผ้าไทย-ผ้าขา
วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561 วธ.เผยโพล “พล.อ.ประยุทธ์-โป๊ป-เบลล่า” ติดโผคนที่ ปชช.อยากรดน้ํา-สาดน้ํามากสุด แนะเล่นน้ําอย่างสุภาพ ไม่โป๊-ไม่แป้ง ขับขี่ปลอดภัยมีน้ําใจ-เคารพวินัยจราจร หนุนรณรงค์แต่งกายผ้าไทย-ผ้าขา วธ.เผยโพล “พล.อ.ประยุทธ์-โป๊ป-เบลล่า” ติดโผคนที่ ปชช.อยากรดน้ํา-สาดน้ํามากสุด แนะเล่นน้ําอย่างสุภาพ ไม่โป๊-ไม่แป้ง ขับขี่ปลอดภัยมีน้ําใจ-เคารพวินัยจราจร หนุนรณรงค์แต่งกายผ้าไทย-ผ้าขาวม้า-ผ้าประจําถิ่น แนะจัดประกวดแต่งไทยย้อนยุค นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สํารวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชนและประชาชนหัวข้อ“เทศกาลวันสงกรานต์”จากกลุ่มตัวอย่าง3,075คน ในทุกภูมิภาค ผลสํารวจถามว่าเมื่อพูดถึง“วันสงกรานต์”เด็ก เยาวชน และประชาชนจะนึกถึงสิ่งใด ร้อยละ75.79ระบุเล่นน้ําสงกรานต์ รองลงมาร้อยละ64.44รดน้ําขอพรผู้ใหญ่ร้อยละ54.39วันขึ้นปีใหม่แบบไทย ร้อยละ46.98เทศกาลหยุดยาว และร้อยละ39.35การเดินทางกลับภูมิลําเนา ส่วนกิจกรรมที่เด็ก เยาวชนและประชาชน จะทําช่วงเทศกาลสงกรานต์มากที่สุด ร้อยละ69.93ทําบุญตักบาตร รองลงมาร้อยละ64.26สรงน้ําพระ ร้อยละ58.56รดน้ําขอพรผู้ใหญ่ ร้อยละ45.53เล่นน้ําสงกรานต์ และร้อยละ41.11พบปะสังสรรค์กับครอบครัวและญาติพี่น้อง นายวีระ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ผลสํารวจพบว่า บุคคลที่เด็ก เยาวชน และประชาชน ต้องการรดน้ําหรือสาดน้ําสงกรานต์มากที่สุด5อันดับแรก อันดับ1พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อันดับ2 “โป๊ป”ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ อันดับ3 “เบลล่า”ราณี แคมเปน อันดับ4ผู้ว่าราชการจังหวัด อันดับ5ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพ ส่วนกิจกรรมที่เด็ก เยาวชน และประชาชน จะต้องช่วยอนุรักษ์และสืบทอดในเทศกาลสงกรานต์ พบว่า ร้อยละ74.87ทําบุญ ตักบาตร เพื่อเสริมสิริมงคลให้กับชีวิต รองลงมาร้อยละ64.28สรงน้ําพระ ขนทรายเข้าวัดเพื่อก่อพระเจดีย์ทราย ร้อยละ61.08เล่นน้ํา สาดน้ําแบบสุภาพเรียบร้อย เหมาะสมกับกาลเทศะตามประเพณีโบราณไทย ร้อยละ36.35แต่งกายด้วยผ้าไทย ผ้าขาวม้า ผ้าประจําถิ่น และร้อยละ29.97เตรียมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มชุดใหม่ไว้เพื่อไหว้บิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ หรือสวมใส่หลังการรดน้ําขอพร ทั้งนี้สถานที่ที่เด็ก เยาวชนและประชาชน อยากไปเล่นน้ําสงกรานต์มากที่สุด ได้แก่ บ้านเกิดหรือภูมิลําเนาตัวเอง รองลงมา กรุงเทพมหานคร อาทิ ถนนข้าวสาร ถนนสีลม สยามสแควร์ สยามพารากอน วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ คิงพาวเวอร์ ถนนวิสุทธิกษัตริย์ สวนสันติชัยปราการ สวนลุมพินี เอเชียทีคเดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์และล้ง1919ส่วนต่างจังหวัด จ.เชียงใหม่ อาทิ คูเมือง ประตูท่าแพแหล่งท่องเที่ยวที่ติดทะเล อาทิ บางแสน พัทยา ชะอํา หัวหิน หาดป่าตอง และ จ.พระนครศรีอยุธยา อาทิ รอบเกาะเมือง อุทยานประวัติศาสตร์ วัดไชยวัฒนาราม เป็นต้น จากการสอบถามว่า วิธีใช้น้ําอย่างคุ้มค่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พบว่าเด็ก เยาวชน และประชาชนตอบว่าอันดับ1เล่นน้ําสงกรานต์อย่างสุภาพ ไม่ใช้น้ําสกปรก น้ําเย็นจัด หรือใช้น้ําปนน้ําแข็งสาดเล่นกัน อันดับ2เล่นสาดน้ําเฉพาะพื้นที่ที่จัดไว้ให้ อันดับ3ใช้ขันน้ําขนาดเล็ก ปะพรมหรือสาดน้ํากัน อันดับ4ใช้ปืนฉีดน้ําขนาดเล็กแทนอุปกรณ์ฉีดน้ําที่มีแรงดันสูงหรือสายยาง และอันดับ5เล่นสาดน้ําในระยะเวลาที่เหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ขณะเดียวกัน เมื่อสอบถามถึงวิธีการหรือมาตรการที่จะลดการเสียชีวิต การบาดเจ็บ และลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อันดับ1บอกว่า รักษาวินัยจราจร ขับขี่ปลอดภัย มีน้ําใจในการใช้รถใช้ถนนรองลงมา งดการจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สาธารณะ/พื้นที่ควบคุมการเล่นน้ํา ไม่ดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวัด พื้นที่จัดงานหรือพื้นที่สาธารณะ รวมทั้งรณรงค์การแต่งกายอย่างเหมาะสม ถูกกาลเทศะ ไม่โป๊ไม่เปลือย ไม่แป้ง และงดจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระยะเวลาที่ห้าม หรือตามมาตรการที่รัฐบาลกําหนด นายวีระ กล่าวด้วยว่า จากการสอบถามว่าวิธีที่จะทําให้เด็กรุ่นใหม่หรือชาวต่างชาติเข้าใจถึงความสําคัญในเทศกาลสงกรานต์ของไทย กลุ่มตัวอย่างระบุว่า ควรพูดคุย อธิบาย แนะนํา เพื่อให้เห็นความสําคัญ พร้อมทั้งเชิญชวนให้เข้าร่วมกิจกรรม การอบรม ปลูกฝังและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูกหลานจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดียเพื่อกระตุ้นการรับรู้และตระหนักให้เห็นถึงความสําคัญของเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงจัดพิมพ์หนังสือ“ประเพณีสงกรานต์”เพื่อเผยแพร่ความหมาย คุณค่า และสาระของประเพณีสงกรานต์ พร้อมทั้งเสนอแนะข้อควรปฏิบัติที่คนไทย/ต่างชาติควรจะนําไปประพฤติปฏิบัติต่อกัน นอกจากนี้ได้สอบถามว่า ภาครัฐและ วธ. ควรจัดกิจกรรมพิเศษในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พบว่า ต้องการให้รณรงค์ให้ประชาชนแต่งกายสุภาพ แต่งกายด้วยผ้าไทย ผ้าขาวม้า และผ้าประจําถิ่น และจัดกิจกรรมประกวดแต่งไทยย้อนยุค อีกทั้งบูรณาการทํางานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆและเน้นการมีส่วนร่วมของภาครัฐ เอกชนและประชาชน รวมถึงมีการละเล่นย้อนยุค อาทิ งูกินหาง ปิดตาตีหม้อ มอญซ่อนผ้า สะบ้า ขี่ม้าส่งเมือง ลิงชิงหลัก เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีไทยไม่ให้สูญหาย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผยโพล “พล.อ.ประยุทธ์-โป๊ป-เบลล่า” ติดโผคนที่ ปชช.อยากรดน้ำ-สาดน้ำมากสุด แนะเล่นน้ำอย่างสุภาพ ไม่โป๊-ไม่แป้ง ขับขี่ปลอดภัยมีน้ำใจ-เคารพวินัยจราจร หนุนรณรงค์แต่งกายผ้าไทย-ผ้าขา วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561 วธ.เผยโพล “พล.อ.ประยุทธ์-โป๊ป-เบลล่า” ติดโผคนที่ ปชช.อยากรดน้ํา-สาดน้ํามากสุด แนะเล่นน้ําอย่างสุภาพ ไม่โป๊-ไม่แป้ง ขับขี่ปลอดภัยมีน้ําใจ-เคารพวินัยจราจร หนุนรณรงค์แต่งกายผ้าไทย-ผ้าขา วธ.เผยโพล “พล.อ.ประยุทธ์-โป๊ป-เบลล่า” ติดโผคนที่ ปชช.อยากรดน้ํา-สาดน้ํามากสุด แนะเล่นน้ําอย่างสุภาพ ไม่โป๊-ไม่แป้ง ขับขี่ปลอดภัยมีน้ําใจ-เคารพวินัยจราจร หนุนรณรงค์แต่งกายผ้าไทย-ผ้าขาวม้า-ผ้าประจําถิ่น แนะจัดประกวดแต่งไทยย้อนยุค นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สํารวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชนและประชาชนหัวข้อ“เทศกาลวันสงกรานต์”จากกลุ่มตัวอย่าง3,075คน ในทุกภูมิภาค ผลสํารวจถามว่าเมื่อพูดถึง“วันสงกรานต์”เด็ก เยาวชน และประชาชนจะนึกถึงสิ่งใด ร้อยละ75.79ระบุเล่นน้ําสงกรานต์ รองลงมาร้อยละ64.44รดน้ําขอพรผู้ใหญ่ร้อยละ54.39วันขึ้นปีใหม่แบบไทย ร้อยละ46.98เทศกาลหยุดยาว และร้อยละ39.35การเดินทางกลับภูมิลําเนา ส่วนกิจกรรมที่เด็ก เยาวชนและประชาชน จะทําช่วงเทศกาลสงกรานต์มากที่สุด ร้อยละ69.93ทําบุญตักบาตร รองลงมาร้อยละ64.26สรงน้ําพระ ร้อยละ58.56รดน้ําขอพรผู้ใหญ่ ร้อยละ45.53เล่นน้ําสงกรานต์ และร้อยละ41.11พบปะสังสรรค์กับครอบครัวและญาติพี่น้อง นายวีระ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ผลสํารวจพบว่า บุคคลที่เด็ก เยาวชน และประชาชน ต้องการรดน้ําหรือสาดน้ําสงกรานต์มากที่สุด5อันดับแรก อันดับ1พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อันดับ2 “โป๊ป”ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ อันดับ3 “เบลล่า”ราณี แคมเปน อันดับ4ผู้ว่าราชการจังหวัด อันดับ5ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพ ส่วนกิจกรรมที่เด็ก เยาวชน และประชาชน จะต้องช่วยอนุรักษ์และสืบทอดในเทศกาลสงกรานต์ พบว่า ร้อยละ74.87ทําบุญ ตักบาตร เพื่อเสริมสิริมงคลให้กับชีวิต รองลงมาร้อยละ64.28สรงน้ําพระ ขนทรายเข้าวัดเพื่อก่อพระเจดีย์ทราย ร้อยละ61.08เล่นน้ํา สาดน้ําแบบสุภาพเรียบร้อย เหมาะสมกับกาลเทศะตามประเพณีโบราณไทย ร้อยละ36.35แต่งกายด้วยผ้าไทย ผ้าขาวม้า ผ้าประจําถิ่น และร้อยละ29.97เตรียมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มชุดใหม่ไว้เพื่อไหว้บิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ หรือสวมใส่หลังการรดน้ําขอพร ทั้งนี้สถานที่ที่เด็ก เยาวชนและประชาชน อยากไปเล่นน้ําสงกรานต์มากที่สุด ได้แก่ บ้านเกิดหรือภูมิลําเนาตัวเอง รองลงมา กรุงเทพมหานคร อาทิ ถนนข้าวสาร ถนนสีลม สยามสแควร์ สยามพารากอน วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ คิงพาวเวอร์ ถนนวิสุทธิกษัตริย์ สวนสันติชัยปราการ สวนลุมพินี เอเชียทีคเดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์และล้ง1919ส่วนต่างจังหวัด จ.เชียงใหม่ อาทิ คูเมือง ประตูท่าแพแหล่งท่องเที่ยวที่ติดทะเล อาทิ บางแสน พัทยา ชะอํา หัวหิน หาดป่าตอง และ จ.พระนครศรีอยุธยา อาทิ รอบเกาะเมือง อุทยานประวัติศาสตร์ วัดไชยวัฒนาราม เป็นต้น จากการสอบถามว่า วิธีใช้น้ําอย่างคุ้มค่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พบว่าเด็ก เยาวชน และประชาชนตอบว่าอันดับ1เล่นน้ําสงกรานต์อย่างสุภาพ ไม่ใช้น้ําสกปรก น้ําเย็นจัด หรือใช้น้ําปนน้ําแข็งสาดเล่นกัน อันดับ2เล่นสาดน้ําเฉพาะพื้นที่ที่จัดไว้ให้ อันดับ3ใช้ขันน้ําขนาดเล็ก ปะพรมหรือสาดน้ํากัน อันดับ4ใช้ปืนฉีดน้ําขนาดเล็กแทนอุปกรณ์ฉีดน้ําที่มีแรงดันสูงหรือสายยาง และอันดับ5เล่นสาดน้ําในระยะเวลาที่เหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ขณะเดียวกัน เมื่อสอบถามถึงวิธีการหรือมาตรการที่จะลดการเสียชีวิต การบาดเจ็บ และลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อันดับ1บอกว่า รักษาวินัยจราจร ขับขี่ปลอดภัย มีน้ําใจในการใช้รถใช้ถนนรองลงมา งดการจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สาธารณะ/พื้นที่ควบคุมการเล่นน้ํา ไม่ดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวัด พื้นที่จัดงานหรือพื้นที่สาธารณะ รวมทั้งรณรงค์การแต่งกายอย่างเหมาะสม ถูกกาลเทศะ ไม่โป๊ไม่เปลือย ไม่แป้ง และงดจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระยะเวลาที่ห้าม หรือตามมาตรการที่รัฐบาลกําหนด นายวีระ กล่าวด้วยว่า จากการสอบถามว่าวิธีที่จะทําให้เด็กรุ่นใหม่หรือชาวต่างชาติเข้าใจถึงความสําคัญในเทศกาลสงกรานต์ของไทย กลุ่มตัวอย่างระบุว่า ควรพูดคุย อธิบาย แนะนํา เพื่อให้เห็นความสําคัญ พร้อมทั้งเชิญชวนให้เข้าร่วมกิจกรรม การอบรม ปลูกฝังและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูกหลานจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดียเพื่อกระตุ้นการรับรู้และตระหนักให้เห็นถึงความสําคัญของเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงจัดพิมพ์หนังสือ“ประเพณีสงกรานต์”เพื่อเผยแพร่ความหมาย คุณค่า และสาระของประเพณีสงกรานต์ พร้อมทั้งเสนอแนะข้อควรปฏิบัติที่คนไทย/ต่างชาติควรจะนําไปประพฤติปฏิบัติต่อกัน นอกจากนี้ได้สอบถามว่า ภาครัฐและ วธ. ควรจัดกิจกรรมพิเศษในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พบว่า ต้องการให้รณรงค์ให้ประชาชนแต่งกายสุภาพ แต่งกายด้วยผ้าไทย ผ้าขาวม้า และผ้าประจําถิ่น และจัดกิจกรรมประกวดแต่งไทยย้อนยุค อีกทั้งบูรณาการทํางานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆและเน้นการมีส่วนร่วมของภาครัฐ เอกชนและประชาชน รวมถึงมีการละเล่นย้อนยุค อาทิ งูกินหาง ปิดตาตีหม้อ มอญซ่อนผ้า สะบ้า ขี่ม้าส่งเมือง ลิงชิงหลัก เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีไทยไม่ให้สูญหาย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11436
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออก และการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของกระทรวงศึกษาธิการ
วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออก และการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของกระทรวงศึกษาธิการ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออก และการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออก และการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของกระทรวงศึกษาธิการเมื่อวันพุธที่10มกราคม2561ณ ห้องประชุมชั้น2สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์เปิดเผยผลการประชุมในครั้งนี้ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาคําสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สป1216/2560เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของกระทรวงศึกษาธิการ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นโดยเห็นชอบให้มีการยกเลิกคําสั่งดังกล่าวและเห็นควรให้แต่งตั้งคําสั่งใหม่เป็น"คณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออก และการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของกระทรวงศึกษาธิการ"ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ระดับภาค และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่EECโดยกําหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการชุดใหม่เป็น2ส่วน คือ 1) คณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนฯโดย รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน, รมช.ศึกษาธิการ ทั้ง2ท่านเป็นรองประธาน, ปลัด ศธ.เป็นกรรมการและเลขานุการ 2)คณะกรรมการดําเนินงานขับเคลื่อนฯโดย รมช.ศึกษาธิการ (พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์) เป็นประธาน, ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ (พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล) และปลัด ศธ. เป็นรองประธาน, ผู้ตรวจราชการ (นายอํานาจ วิชยานุวัติ) เป็นกรรมการและเลขานุการ หลังจากนี้ จะได้เสนอองค์ประกอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ชุดใหม่ ให้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาลงนามแต่งตั้งต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการจัดเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ของทุกองค์กรหลักให้สอดคล้องกับการพัฒนาพื้นที่ทั้งระดับภาคตะวันออกและพื้นที่EECโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการศึกษาของสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กับสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)ที่จะต้องมีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันในการจัดการศึกษาในพื้นที่7ข้อคือ 1) การพัฒนาหลักสูตรระดับอาชีวศึกษาที่มีคุณภาพและตรงตามความต้องการของประเทศ 2) การจับคู่เปิดสอนหลักสูตรร่วมระหว่างสถาบันอาชีวศึกษาไทยกับสถาบันอาชีวศึกษาต่างประเทศอาทิ หลักสูตรรถไฟระบบรางไทย-จีน, หลักสูตรช่างกลอากาศยานไทย-ออสเตรีย, หลักสูตรด้านแมคคาทรอนิคไทย-จีน เป็นต้น 3) การเชื่อมต่อจากระดับอาชีวศึกษาสู่สถาบันอุดมศึกษาในระดับปริญญาศึกษาโดยการปรับหลักสูตรอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับการเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่ง สอศ. และ สกอ. จะหารือร่วมกันในรายละเอียดต่อไป 4) พัฒนาหลักสูตรต่อยอดจากระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)ที่เน้นเทคนิคเชี่ยวชาญสูงขึ้น รวมทั้งมีการกําหนดระดับรายได้ของผู้สําเร็จการศึกษาทุกระดับอาชีวศึกษา 5) หลักสูตรระดับปริญญาตรี 4 ปี สําหรับสองปริญญา 6) หลักสูตรระดับปริญญาตรี 4 ปี ควบ 2 สาขาวิชา สําหรับ 1 ปริญญา (เอกและโท) 7) การพัฒนาหลักสูตรระดับอุดมศึกษาเพื่อบูรณาการกับการทํางานให้เข้มข้นมากขึ้น ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ไปประชุมหารือกับเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา และผู้เกี่ยวข้อง ใน 7 ประเด็นดังกล่าว เพื่อให้นําเสนอต่อที่ประชุมพิจารณาในครั้งต่อไป (5 กุมภาพันธ์ 2561) รวมทั้งมอบหมายให้แต่ละองค์กรหลักจัดเตรียมโครงการและงบประมาณที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออก เพื่อนําไปพิจารณาเสนอขออนุมัติในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งคาดว่าจะจัดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ต่อไป อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร:สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน,ธเนศ งานสถิร:ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออก และการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของกระทรวงศึกษาธิการ วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออก และการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของกระทรวงศึกษาธิการ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออก และการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออก และการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของกระทรวงศึกษาธิการเมื่อวันพุธที่10มกราคม2561ณ ห้องประชุมชั้น2สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์เปิดเผยผลการประชุมในครั้งนี้ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาคําสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สป1216/2560เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของกระทรวงศึกษาธิการ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นโดยเห็นชอบให้มีการยกเลิกคําสั่งดังกล่าวและเห็นควรให้แต่งตั้งคําสั่งใหม่เป็น"คณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออก และการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของกระทรวงศึกษาธิการ"ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ระดับภาค และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่EECโดยกําหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการชุดใหม่เป็น2ส่วน คือ 1) คณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนฯโดย รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน, รมช.ศึกษาธิการ ทั้ง2ท่านเป็นรองประธาน, ปลัด ศธ.เป็นกรรมการและเลขานุการ 2)คณะกรรมการดําเนินงานขับเคลื่อนฯโดย รมช.ศึกษาธิการ (พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์) เป็นประธาน, ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ (พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล) และปลัด ศธ. เป็นรองประธาน, ผู้ตรวจราชการ (นายอํานาจ วิชยานุวัติ) เป็นกรรมการและเลขานุการ หลังจากนี้ จะได้เสนอองค์ประกอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ชุดใหม่ ให้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาลงนามแต่งตั้งต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการจัดเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ของทุกองค์กรหลักให้สอดคล้องกับการพัฒนาพื้นที่ทั้งระดับภาคตะวันออกและพื้นที่EECโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการศึกษาของสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กับสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)ที่จะต้องมีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันในการจัดการศึกษาในพื้นที่7ข้อคือ 1) การพัฒนาหลักสูตรระดับอาชีวศึกษาที่มีคุณภาพและตรงตามความต้องการของประเทศ 2) การจับคู่เปิดสอนหลักสูตรร่วมระหว่างสถาบันอาชีวศึกษาไทยกับสถาบันอาชีวศึกษาต่างประเทศอาทิ หลักสูตรรถไฟระบบรางไทย-จีน, หลักสูตรช่างกลอากาศยานไทย-ออสเตรีย, หลักสูตรด้านแมคคาทรอนิคไทย-จีน เป็นต้น 3) การเชื่อมต่อจากระดับอาชีวศึกษาสู่สถาบันอุดมศึกษาในระดับปริญญาศึกษาโดยการปรับหลักสูตรอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับการเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่ง สอศ. และ สกอ. จะหารือร่วมกันในรายละเอียดต่อไป 4) พัฒนาหลักสูตรต่อยอดจากระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)ที่เน้นเทคนิคเชี่ยวชาญสูงขึ้น รวมทั้งมีการกําหนดระดับรายได้ของผู้สําเร็จการศึกษาทุกระดับอาชีวศึกษา 5) หลักสูตรระดับปริญญาตรี 4 ปี สําหรับสองปริญญา 6) หลักสูตรระดับปริญญาตรี 4 ปี ควบ 2 สาขาวิชา สําหรับ 1 ปริญญา (เอกและโท) 7) การพัฒนาหลักสูตรระดับอุดมศึกษาเพื่อบูรณาการกับการทํางานให้เข้มข้นมากขึ้น ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ไปประชุมหารือกับเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา และผู้เกี่ยวข้อง ใน 7 ประเด็นดังกล่าว เพื่อให้นําเสนอต่อที่ประชุมพิจารณาในครั้งต่อไป (5 กุมภาพันธ์ 2561) รวมทั้งมอบหมายให้แต่ละองค์กรหลักจัดเตรียมโครงการและงบประมาณที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออก เพื่อนําไปพิจารณาเสนอขออนุมัติในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งคาดว่าจะจัดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ต่อไป อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร:สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน,ธเนศ งานสถิร:ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9294
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตหุ่นยนต์แขนกลอุตสาหกรรม สัญชาติไทย จ.อุบลราชธานี
วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตหุ่นยนต์แขนกลอุตสาหกรรม สัญชาติไทย จ.อุบลราชธานี รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตหุ่นยนต์แขนกลอุตสาหกรรม สัญชาติไทย จ.อุบลราชธานี ณ บริษัท อาร์เอสทีโรโบติกส์ จํากัด อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตหุ่นยนต์แขนกลอุตสาหกรรม สัญชาติไทย บริษัท อาร์เอสทีโรโบติกส์ จํากัด อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมตรวจเยี่ยม โดยบริษัทฯ ได้คิดค้นประดิษฐ์เครื่องตัดเหล็ก CNC เพื่อใช้ในโรงงาน และพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอุตสาหกรรมจนประสบความสําเร็จเป็นที่ยอมรับ วิจัยและพัฒนานวัตกรรมต้นแบบมากกว่า 30 ชิ้น พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมไทยรองรับ Thailand 4.0 และได้รับการส่งเสริมจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 จังหวัดอุบลราชธานี SME Bank ในการให้คําปรึกษาแนวทางขอกู้เงินสําหรับโครงการแขนกลอัตโนมัติ ให้คําปรึกษาแนะนําเชิงลึก เรื่อง Jix Fixture ขั้นสูงสําหรับงานหุ่นยนต์อัตโนมัติ พัฒนานวัตกรรมหุ่นยนต์แขนกลเพื่อใช้ในโรงงาน จนสามารถใช้งานได้จริง และจําหน่ายในเชิงพาณิชย์ให้ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยได้มีโอกาสใช้หุ่นยนต์แขนกลซึ่งผลิตโดยคนไทย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสามารถส่งมอบงานได้ตรงตามกําหนด สามารถแข่งขันในเรื่องราคาและคุณภาพได้ โดยจุดเด่นของหุ่นยนต์แขนกล คือ 1) มีทีม Start up คนไทยที่ร่วมกันออกแบบพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ทําให้มีราคาต้นทุนที่ถูกกว่าการนําเข้าต่างประเทศ 2) เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน มีการควบคุมการทํางานที่ง่าย มีคู่มือภาษาไทย รองรับเทคโนโลยี IoT (Internet of Thing) ได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตหุ่นยนต์แขนกลอุตสาหกรรม สัญชาติไทย จ.อุบลราชธานี วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตหุ่นยนต์แขนกลอุตสาหกรรม สัญชาติไทย จ.อุบลราชธานี รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตหุ่นยนต์แขนกลอุตสาหกรรม สัญชาติไทย จ.อุบลราชธานี ณ บริษัท อาร์เอสทีโรโบติกส์ จํากัด อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตหุ่นยนต์แขนกลอุตสาหกรรม สัญชาติไทย บริษัท อาร์เอสทีโรโบติกส์ จํากัด อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมตรวจเยี่ยม โดยบริษัทฯ ได้คิดค้นประดิษฐ์เครื่องตัดเหล็ก CNC เพื่อใช้ในโรงงาน และพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอุตสาหกรรมจนประสบความสําเร็จเป็นที่ยอมรับ วิจัยและพัฒนานวัตกรรมต้นแบบมากกว่า 30 ชิ้น พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมไทยรองรับ Thailand 4.0 และได้รับการส่งเสริมจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 จังหวัดอุบลราชธานี SME Bank ในการให้คําปรึกษาแนวทางขอกู้เงินสําหรับโครงการแขนกลอัตโนมัติ ให้คําปรึกษาแนะนําเชิงลึก เรื่อง Jix Fixture ขั้นสูงสําหรับงานหุ่นยนต์อัตโนมัติ พัฒนานวัตกรรมหุ่นยนต์แขนกลเพื่อใช้ในโรงงาน จนสามารถใช้งานได้จริง และจําหน่ายในเชิงพาณิชย์ให้ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยได้มีโอกาสใช้หุ่นยนต์แขนกลซึ่งผลิตโดยคนไทย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสามารถส่งมอบงานได้ตรงตามกําหนด สามารถแข่งขันในเรื่องราคาและคุณภาพได้ โดยจุดเด่นของหุ่นยนต์แขนกล คือ 1) มีทีม Start up คนไทยที่ร่วมกันออกแบบพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ทําให้มีราคาต้นทุนที่ถูกกว่าการนําเข้าต่างประเทศ 2) เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน มีการควบคุมการทํางานที่ง่าย มีคู่มือภาษาไทย รองรับเทคโนโลยี IoT (Internet of Thing) ได้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10142
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องเสียชีวิตทุกรายหรือไม่ ??
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563 ผู้ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องเสียชีวิตทุกรายหรือไม่ ?? เป็นอย่างไรนะ Q: ผู้ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องเสียชีวิตทุกรายหรือไม่ ?? A: ไม่ทุกราย โดยพบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 80 สามารถหายจากอาการป่วยได้เอง และพบผู้มีอาการป่วยหนักอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4 เท่านั้น ทั้งนี้พบว่าผู้ที่มีความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อไวรัสฯ แล้วอาจถึงขั้นเสียชีวิต คือกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจําตัว และผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ํา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องเสียชีวิตทุกรายหรือไม่ ?? วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563 ผู้ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องเสียชีวิตทุกรายหรือไม่ ?? เป็นอย่างไรนะ Q: ผู้ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องเสียชีวิตทุกรายหรือไม่ ?? A: ไม่ทุกราย โดยพบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 80 สามารถหายจากอาการป่วยได้เอง และพบผู้มีอาการป่วยหนักอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4 เท่านั้น ทั้งนี้พบว่าผู้ที่มีความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อไวรัสฯ แล้วอาจถึงขั้นเสียชีวิต คือกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจําตัว และผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ํา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27922
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดภาพยนตร์ฯเห็นชอบเสนอตั้งคณะกรรมการระดับชาติดูแลกรณีช่วยเหลือทีมหมูป่า 13 ชีวิต เบื้องต้นดูแล 3 เรื่องทั้งด้านลิขสิทธิ์เนื้อหาเหตุการณ์ คุ้มครองบุคคลที่เกี่ยวข้อง
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561 บอร์ดภาพยนตร์ฯเห็นชอบเสนอตั้งคณะกรรมการระดับชาติดูแลกรณีช่วยเหลือทีมหมูป่า 13 ชีวิต เบื้องต้นดูแล 3 เรื่องทั้งด้านลิขสิทธิ์เนื้อหาเหตุการณ์ คุ้มครองบุคคลที่เกี่ยวข้อง บอร์ดภาพยนตร์ฯเห็นชอบเสนอตั้งคณะกรรมการระดับชาติดูแลกรณีช่วยเหลือทีมหมูป่า 13 ชีวิต เบื้องต้นดูแล 3 เรื่องทั้งด้านลิขสิทธิ์เนื้อหาเหตุการณ์ คุ้มครองบุคคลที่เกี่ยวข้อง ผลิตภาพยนตร์-วีดิทัศน์ มอบวธ.ชงเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมครม.สัญจรในวันที่ 24 ก.ค.นี้ บอร์ดภาพยนตร์ฯเห็นชอบเสนอตั้งคณะกรรมการระดับชาติดูแลกรณีช่วยเหลือทีมหมูป่า 13 ชีวิต เบื้องต้นดูแล 3 เรื่องทั้งด้านลิขสิทธิ์เนื้อหาเหตุการณ์ คุ้มครองบุคคลที่เกี่ยวข้อง ผลิตภาพยนตร์-วีดิทัศน์ มอบวธ.ชงเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมครม.สัญจรในวันที่ 24 ก.ค.นี้ที่อุบลราชธานี วันที่ 19 กรกฎาคม 261 ที่ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561 โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประธานการประชุมว่า ที่ประชุมได้หารือแนวทางการส่งเสริมการจัดสร้างภาพยนตร์และสารคดีกรณีการช่วยเหลือนักฟุตบอลเด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่า อะคาเดมี รวม 13 ชีวิต ติดอยู่ในถ้ําหลวง ขุนน้ํานางนอน เขตวนอุทยานแห่งชาติ – ขุนน้ํานางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งได้มีการปฏิบัติการระดมความช่วยเหลือทั้งคนไทยและชาวต่างชาติจนประสบสําเร็จลุล่วงในที่สุด โดยที่ประชุมได้รับรายงานจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ ขณะนี้มีบริษัทต่างชาติจํานวน 5 รายได้ติดต่อเข้ามา เนื่องจากสนใจที่จะจัดสร้างภาพยนตร์และสารคดีเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) นําเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาเห็นชอบและแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เข้าสู่ที่ประชุมครม.สัญจรในวันที่ 24 ก.ค.นี้ที่จ.อุบลราชธานี ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะประกอบด้วยหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เป็นต้น เพื่อทําหน้าที่ดูแลกรณีการช่วยเหลือนักฟุตบอลเด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่า อะคาเดมี รวม 13 ชีวิต ติดอยู่ในถ้ําหลวง ให้เป็นไปอย่างมีระบบ อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นจะเน้นดูแล 3 ประเด็นหลัก คือ 1.การดูแลลิขสิทธิ์เกี่ยวกับเนื้อหาเรื่องราวเหตุการณ์ 2.การคุ้มครองบุคคลด้านข้อมูลข่าวสารและความเป็นส่วนตัวของเด็ก ผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมีทั้ง 13 คน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงดูแลภาพลักษณ์และชื่อเสียงของประเทศไทย และ3.ด้านผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์ นอกจากนี้ ที่ประชุมพร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยและต่างชาติที่มีความสนใจผลิตภาพยนตร์และวิดีทัศน์กรณีการช่วยเหลือนักฟุตบอลเด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมี โดยอยู่ในภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายไทย นายวีระ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมรับทราบวธ.จัดทําจดหมายเหตุบันทึกเหตุการณ์และภาพประวัติศาสตร์ช่วยเหลือนักฟุตบอลและผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมีรวม 13 คน โดยเบื้องต้นวธ.ตั้งเป้าหมายจะจัดทําจดหมายเหตุดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนก.ค.นี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดภาพยนตร์ฯเห็นชอบเสนอตั้งคณะกรรมการระดับชาติดูแลกรณีช่วยเหลือทีมหมูป่า 13 ชีวิต เบื้องต้นดูแล 3 เรื่องทั้งด้านลิขสิทธิ์เนื้อหาเหตุการณ์ คุ้มครองบุคคลที่เกี่ยวข้อง วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561 บอร์ดภาพยนตร์ฯเห็นชอบเสนอตั้งคณะกรรมการระดับชาติดูแลกรณีช่วยเหลือทีมหมูป่า 13 ชีวิต เบื้องต้นดูแล 3 เรื่องทั้งด้านลิขสิทธิ์เนื้อหาเหตุการณ์ คุ้มครองบุคคลที่เกี่ยวข้อง บอร์ดภาพยนตร์ฯเห็นชอบเสนอตั้งคณะกรรมการระดับชาติดูแลกรณีช่วยเหลือทีมหมูป่า 13 ชีวิต เบื้องต้นดูแล 3 เรื่องทั้งด้านลิขสิทธิ์เนื้อหาเหตุการณ์ คุ้มครองบุคคลที่เกี่ยวข้อง ผลิตภาพยนตร์-วีดิทัศน์ มอบวธ.ชงเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมครม.สัญจรในวันที่ 24 ก.ค.นี้ บอร์ดภาพยนตร์ฯเห็นชอบเสนอตั้งคณะกรรมการระดับชาติดูแลกรณีช่วยเหลือทีมหมูป่า 13 ชีวิต เบื้องต้นดูแล 3 เรื่องทั้งด้านลิขสิทธิ์เนื้อหาเหตุการณ์ คุ้มครองบุคคลที่เกี่ยวข้อง ผลิตภาพยนตร์-วีดิทัศน์ มอบวธ.ชงเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมครม.สัญจรในวันที่ 24 ก.ค.นี้ที่อุบลราชธานี วันที่ 19 กรกฎาคม 261 ที่ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561 โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประธานการประชุมว่า ที่ประชุมได้หารือแนวทางการส่งเสริมการจัดสร้างภาพยนตร์และสารคดีกรณีการช่วยเหลือนักฟุตบอลเด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่า อะคาเดมี รวม 13 ชีวิต ติดอยู่ในถ้ําหลวง ขุนน้ํานางนอน เขตวนอุทยานแห่งชาติ – ขุนน้ํานางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งได้มีการปฏิบัติการระดมความช่วยเหลือทั้งคนไทยและชาวต่างชาติจนประสบสําเร็จลุล่วงในที่สุด โดยที่ประชุมได้รับรายงานจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ ขณะนี้มีบริษัทต่างชาติจํานวน 5 รายได้ติดต่อเข้ามา เนื่องจากสนใจที่จะจัดสร้างภาพยนตร์และสารคดีเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) นําเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาเห็นชอบและแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เข้าสู่ที่ประชุมครม.สัญจรในวันที่ 24 ก.ค.นี้ที่จ.อุบลราชธานี ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะประกอบด้วยหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เป็นต้น เพื่อทําหน้าที่ดูแลกรณีการช่วยเหลือนักฟุตบอลเด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่า อะคาเดมี รวม 13 ชีวิต ติดอยู่ในถ้ําหลวง ให้เป็นไปอย่างมีระบบ อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นจะเน้นดูแล 3 ประเด็นหลัก คือ 1.การดูแลลิขสิทธิ์เกี่ยวกับเนื้อหาเรื่องราวเหตุการณ์ 2.การคุ้มครองบุคคลด้านข้อมูลข่าวสารและความเป็นส่วนตัวของเด็ก ผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมีทั้ง 13 คน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงดูแลภาพลักษณ์และชื่อเสียงของประเทศไทย และ3.ด้านผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์ นอกจากนี้ ที่ประชุมพร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยและต่างชาติที่มีความสนใจผลิตภาพยนตร์และวิดีทัศน์กรณีการช่วยเหลือนักฟุตบอลเด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมี โดยอยู่ในภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายไทย นายวีระ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมรับทราบวธ.จัดทําจดหมายเหตุบันทึกเหตุการณ์และภาพประวัติศาสตร์ช่วยเหลือนักฟุตบอลและผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมีรวม 13 คน โดยเบื้องต้นวธ.ตั้งเป้าหมายจะจัดทําจดหมายเหตุดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนก.ค.นี้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14007
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขีดเส้น 3 เดือน “สุริยะ” สั่งหน่วยงานพื้นที่บูรณาการแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียหาดใหญ่-คลองแห-คลองอู่ตะเภา
วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2562 ขีดเส้น 3 เดือน “สุริยะ” สั่งหน่วยงานพื้นที่บูรณาการแก้ปัญหาน้ําเน่าเสียหาดใหญ่-คลองแห-คลองอู่ตะเภา รัฐมนตรีสุริยะสั่งทุกหน่วยงานของก.อุตฯในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ร่วมแก้ไขปัญหาน้ําเน่าเสียอย่างบูรณาการในคลองแห คลองอู่ตะเภา ตามโครงการ "รวมพลัง ผู้พิทักษ์สายน้ําหาดใหญ่ คลองแห คลองอู่ตะเภา" พร้อมขีดเส้น 3 เดือนต้องเห็นผลงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมสั่งทุกหน่วยงานของกระทรวงอุตสาหกรรมในพื้นที่อําเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลาร่วมแก้ไขปัญหาน้ําเน่าเสียอย่างบูรณาการในคลองแหคลองอู่ตะเภาตามโครงการ"รวมพลังผู้พิทักษ์สายน้ําหาดใหญ่คลองแหคลองอู่ตะเภา"พร้อมขีดเส้น3เดือนต้องเห็นผลงานโดยเตรียมลงพื้นที่เพื่อติดตามการดําเนินงานอีกครั้ง นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่าจากการที่ตนเองและคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่ตรวจติดตามงานในพื้นที่จังหวัดสงขลาเมื่อวันที่11ตุลาคมที่ผ่านมาโดยได้มีโอกาสเข้าร่วมใน“กิจกรรมหยุดปล่อยน้ําเสียลงคลอง"รวมพลังผู้พิทักษ์สายน้ําหาดใหญ่คลองแหคลองอู่ตะเภา"พร้อมพบปะรับฟังปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจากประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการปล่อยน้ําเสียลงคลองและได้มีการหารือและร่วมวางแนวทางการแก้ไขปัญหา “ปัญหาของประชาชนต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งปัญหาการปล่อยน้ําเสียลงคลองแหคลองอู่ตะเภานั้นทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันหยุดปล่อยน้ําเสียลงคลองทั้งภาคการเกษตรภาคอุตสาหกรรมและประชาชนในพื้นที่ต้องมีจิตสํานึกในการพิทักษ์สายน้ําเพื่อให้ทุกภาคส่วนอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนโดยในส่วนของภาคอุตสาหกรรมผมได้กําชับหน่วยงานในพื้นที่"ทําทันที"โดยการลงพื้นที่เข้าพูดคุยช่วยเหลือและแนะนําแนวทางแก้ไขปัญหานําระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการบําบัดน้ําเสียกับสถานประกอบการและขอความร่วมมือสถานประกอบการร่วมดําเนินการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมโดยให้เวลาอีก3เดือนต้องเห็นผลงานชัดเจนและผมจะลงพื้นที่เพื่อติดตามผลการดําเนินงานอีกครั้ง”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว นอกจากนี้นายสุริยะฯและคณะได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมตลาดคลองแหซึ่งเป็นหนึ่งใน“หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์” (Creative lndustry Village : CIV)หรือ“หมู่บ้านCIV”ของกระทรวงอุตสาหกรรมโดยกระทรวงฯ ได้ร่วมส่งเสริมผู้ประกอบการชุมชนให้มีความรู้ความเข้าใจและมีศักยภาพด้านการบริหารจัดการชุมชนด้วยการนําอัตลักษณ์หรือจุดเด่นของชุมชนมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และบริการด้านต่างๆให้สามารถแข่งขันในกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์วัฒนธรรมและบริการที่มีมูลค่าสูงเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนโดยในชุมชนคลองแหมีผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นอาทิกลุ่มหัตถกรรมจักสานกรงนกชุมชนหนองทรายกล้วยอบกรอบเคลือบช็อคโกแลตกลุ่มสตรีอาสาพัฒนาบ้านท่าไทร2น้ํามันนวดตัวผสมสมุนไพรและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อหมูเป็นต้น “นอกจากการนําเอาอัตลักษณ์ของชุมชนมาประยุกต์ใช้แล้วชุมชนเองได้น้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการขับเคลื่อนให้เกิดความมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนสามารถสร้างจิตสํานึกรักบ้านเกิดให้กับคนรุ่นใหม่กลับมาทํางานในชุมชนเพื่อให้เกิดรายได้เพิ่มให้กับชุมชนอย่างสร้างสรรค์ในระยะยาวตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทย4.0ต่อไป”นายสุริยะกล่าวปิดท้าย#กระทรวงอุตสาหกรรม#รัฐมนตว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม#รัฐมนตรีสุริยะ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขีดเส้น 3 เดือน “สุริยะ” สั่งหน่วยงานพื้นที่บูรณาการแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียหาดใหญ่-คลองแห-คลองอู่ตะเภา วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2562 ขีดเส้น 3 เดือน “สุริยะ” สั่งหน่วยงานพื้นที่บูรณาการแก้ปัญหาน้ําเน่าเสียหาดใหญ่-คลองแห-คลองอู่ตะเภา รัฐมนตรีสุริยะสั่งทุกหน่วยงานของก.อุตฯในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ร่วมแก้ไขปัญหาน้ําเน่าเสียอย่างบูรณาการในคลองแห คลองอู่ตะเภา ตามโครงการ "รวมพลัง ผู้พิทักษ์สายน้ําหาดใหญ่ คลองแห คลองอู่ตะเภา" พร้อมขีดเส้น 3 เดือนต้องเห็นผลงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมสั่งทุกหน่วยงานของกระทรวงอุตสาหกรรมในพื้นที่อําเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลาร่วมแก้ไขปัญหาน้ําเน่าเสียอย่างบูรณาการในคลองแหคลองอู่ตะเภาตามโครงการ"รวมพลังผู้พิทักษ์สายน้ําหาดใหญ่คลองแหคลองอู่ตะเภา"พร้อมขีดเส้น3เดือนต้องเห็นผลงานโดยเตรียมลงพื้นที่เพื่อติดตามการดําเนินงานอีกครั้ง นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่าจากการที่ตนเองและคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่ตรวจติดตามงานในพื้นที่จังหวัดสงขลาเมื่อวันที่11ตุลาคมที่ผ่านมาโดยได้มีโอกาสเข้าร่วมใน“กิจกรรมหยุดปล่อยน้ําเสียลงคลอง"รวมพลังผู้พิทักษ์สายน้ําหาดใหญ่คลองแหคลองอู่ตะเภา"พร้อมพบปะรับฟังปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจากประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการปล่อยน้ําเสียลงคลองและได้มีการหารือและร่วมวางแนวทางการแก้ไขปัญหา “ปัญหาของประชาชนต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งปัญหาการปล่อยน้ําเสียลงคลองแหคลองอู่ตะเภานั้นทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันหยุดปล่อยน้ําเสียลงคลองทั้งภาคการเกษตรภาคอุตสาหกรรมและประชาชนในพื้นที่ต้องมีจิตสํานึกในการพิทักษ์สายน้ําเพื่อให้ทุกภาคส่วนอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนโดยในส่วนของภาคอุตสาหกรรมผมได้กําชับหน่วยงานในพื้นที่"ทําทันที"โดยการลงพื้นที่เข้าพูดคุยช่วยเหลือและแนะนําแนวทางแก้ไขปัญหานําระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการบําบัดน้ําเสียกับสถานประกอบการและขอความร่วมมือสถานประกอบการร่วมดําเนินการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมโดยให้เวลาอีก3เดือนต้องเห็นผลงานชัดเจนและผมจะลงพื้นที่เพื่อติดตามผลการดําเนินงานอีกครั้ง”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว นอกจากนี้นายสุริยะฯและคณะได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมตลาดคลองแหซึ่งเป็นหนึ่งใน“หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์” (Creative lndustry Village : CIV)หรือ“หมู่บ้านCIV”ของกระทรวงอุตสาหกรรมโดยกระทรวงฯ ได้ร่วมส่งเสริมผู้ประกอบการชุมชนให้มีความรู้ความเข้าใจและมีศักยภาพด้านการบริหารจัดการชุมชนด้วยการนําอัตลักษณ์หรือจุดเด่นของชุมชนมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และบริการด้านต่างๆให้สามารถแข่งขันในกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์วัฒนธรรมและบริการที่มีมูลค่าสูงเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนโดยในชุมชนคลองแหมีผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นอาทิกลุ่มหัตถกรรมจักสานกรงนกชุมชนหนองทรายกล้วยอบกรอบเคลือบช็อคโกแลตกลุ่มสตรีอาสาพัฒนาบ้านท่าไทร2น้ํามันนวดตัวผสมสมุนไพรและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อหมูเป็นต้น “นอกจากการนําเอาอัตลักษณ์ของชุมชนมาประยุกต์ใช้แล้วชุมชนเองได้น้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการขับเคลื่อนให้เกิดความมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนสามารถสร้างจิตสํานึกรักบ้านเกิดให้กับคนรุ่นใหม่กลับมาทํางานในชุมชนเพื่อให้เกิดรายได้เพิ่มให้กับชุมชนอย่างสร้างสรรค์ในระยะยาวตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทย4.0ต่อไป”นายสุริยะกล่าวปิดท้าย#กระทรวงอุตสาหกรรม#รัฐมนตว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม#รัฐมนตรีสุริยะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23927
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 15 มีนาคม 2563
วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 15 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 15 มีนาคม 2563 1.สถานการณ์ ถึงวันที่15 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 76 ราย กลับบ้านแล้ว 37 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 114 ราย 2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 14 มีนาคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 6,176 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 258 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 5,918 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 4,223 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 1,953 ราย 3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 147 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 15มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 155,817 ราย เสียชีวิต 5,814 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 80,824 ราย เสียชีวิต 3,189 ราย 2. สธ. พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่ม 32 ราย รักษาหายกลับบ้าน 2 ราย แนะงดไปสถานที่แออัด กระทรวงสาธารณสุข พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 32 ราย รักษาหายกลับบ้าน 2 ราย แนะหลีกเลี่ยง/งดเข้าไปในสถานบริการที่มีความแออัดและเสี่ยงสูง งดการเดินทางไปต่างประเทศ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะ แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา2019 ว่า จากการประชุมของกระทรวงสาธารณสุข โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเมื่อวานนี้ (14 มี.ค.) มีมาตรการที่จะนําเสนอศูนย์บริหารจัดการของรัฐบาล อาทิ มาตรการการลดผู้เดินทางเข้าประเทศ ปิดสถานบริการที่มีความแออัดและเสี่ยงสูง งดกิจกรรม รวมคนหมู่มาก เพื่อเสนอท่านนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการรายงานผู้ป่วยที่มี ความสัมพันธ์กับ สถานบันเทิง และร้านอาหารก่อนหน้านี้ ในวันนี้ มีผู้ป่วยยืนยันเพิ่ม 32 ราย ที่มีความสัมพันธ์กับสถานที่ต่างๆ ดังนี้ กลุ่มที่ 1 เชื่อมโยงกับสนามมวย จํานวน 9 ราย กลุ่มที่2เชื่อมโยงกับสถานบันเทิง จํานวน 8 ราย กลุ่มที่3 ทํางานสัมผัสกับกลุ่มนักท่องเที่ยว จํานวน 3 ราย กลุ่มที่4 ผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ จํานวน 7 ราย กลุ่มที่5 เป็นผู้สัมผัสเจ้าของร้านอาหารที่ติดเชื้อ จํานวน 2 ราย กลุ่มที่6 อยู่ระหว่างดําเนินการสอบสวนโรค จํานวน 3 ราย และยังอยู่ระหว่างรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ จํานวน51 ราย โดยมีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านได้เพิ่มอีก 2 ราย เป็นชายไทย อายุ 29 ปี และหญิงไทย อายุ 22 ปี จากสถาบันบําราศนราดูร สรุปมีผู้ป่วยยืนยันที่รักษาหายแล้ว 37 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล76 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยสะสมในประเทศไทยขณะนี้ 114 ราย ขณะนี้ เราพบผู้ป่วยรายใหม่จากสถานที่ที่มีคนหนาแน่น เช่น ผับ สนามมวย ร้านอาหาร จึงขอให้หลีกเลี่ยง หรืองดไปสถานที่ดังกล่าว แต่หากมีความจําเป็นต้องไปขอให้สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ แยกภาชนะแก้วน้ํา ช้อน หากเป็นผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ดังกล่าวขอให้สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ ส่วนผู้ประกอบการให้เพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดสถานที่ โต๊ะ เก้าอี้ และเปิดหน้าต่าง ประตู ระบายอากาศทุกวัน นอกจากนี้ ขอให้งดการเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค ทั้งนี้ ร้านอาหาร สถานบันเทิง ที่พบผู้ป่วย กรุงเทพมหานคร ได้ดําเนินการลงพื้นที่ทําความสะอาดเรียบร้อยแล้ว โดยในสัปดาห์หน้า คณะกรรมการโรคติดต่อ กทม. จะมีการจัดประชุมเพื่อดําเนินการตามกฎหมาย มาตรา35 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งการจะสั่งปิดสถานที่ใดๆ ต้องได้รับการเห็นชอบจาก คณะกรรมการโรคติดต่อ จังหวัด เช้าวันนี้ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ ได้รับผู้เดินทางจากประเทศอิตาลี จํานวน 83 คน ประกอบด้วย นักศึกษาแลกเปลี่ยน 78 คน นักท่องเที่ยว 3 คน พนักงานสายการบิน 2 คน ในจํานวนนี้ 6 คน เป็นผู้อยู่ในข่ายเฝ้าระวังสังเกตอาการ เนื่องจากมีอาการไอ มีน้ํามูก ไม่มีไข้ ส่งไปรพ.สัตหีบกม.10 จํานวน 3 ราย รพ.บ้านฉาง 1 ราย รพ.มาบตาพุด 1 ราย และรพ.ระยอง 1 ราย ส่วนผู้เดินทางอีก 77 คน ส่งไปพักสังเกตอาการที่อาคารรับรองฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จนครบ 14 วัน 3. คําแนะนําสําหรับประชาชน ขอให้ประชาชนสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารได้ที่เว็บไซต์https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ และ“ไทยรู้ สู้โควิด” ทาง Twitter, Facebook, Line official, TikTok และ “Kor-Ror-OK” ChatBot 1422 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ตรวจสอบข่าวลวงได้ที่www.antifakenewscenter.com **************************************15 มีนาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 15 มีนาคม 2563 วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 15 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 15 มีนาคม 2563 1.สถานการณ์ ถึงวันที่15 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 76 ราย กลับบ้านแล้ว 37 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 114 ราย 2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 14 มีนาคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 6,176 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 258 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 5,918 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 4,223 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 1,953 ราย 3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 147 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 15มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 155,817 ราย เสียชีวิต 5,814 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 80,824 ราย เสียชีวิต 3,189 ราย 2. สธ. พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่ม 32 ราย รักษาหายกลับบ้าน 2 ราย แนะงดไปสถานที่แออัด กระทรวงสาธารณสุข พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 32 ราย รักษาหายกลับบ้าน 2 ราย แนะหลีกเลี่ยง/งดเข้าไปในสถานบริการที่มีความแออัดและเสี่ยงสูง งดการเดินทางไปต่างประเทศ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะ แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา2019 ว่า จากการประชุมของกระทรวงสาธารณสุข โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเมื่อวานนี้ (14 มี.ค.) มีมาตรการที่จะนําเสนอศูนย์บริหารจัดการของรัฐบาล อาทิ มาตรการการลดผู้เดินทางเข้าประเทศ ปิดสถานบริการที่มีความแออัดและเสี่ยงสูง งดกิจกรรม รวมคนหมู่มาก เพื่อเสนอท่านนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการรายงานผู้ป่วยที่มี ความสัมพันธ์กับ สถานบันเทิง และร้านอาหารก่อนหน้านี้ ในวันนี้ มีผู้ป่วยยืนยันเพิ่ม 32 ราย ที่มีความสัมพันธ์กับสถานที่ต่างๆ ดังนี้ กลุ่มที่ 1 เชื่อมโยงกับสนามมวย จํานวน 9 ราย กลุ่มที่2เชื่อมโยงกับสถานบันเทิง จํานวน 8 ราย กลุ่มที่3 ทํางานสัมผัสกับกลุ่มนักท่องเที่ยว จํานวน 3 ราย กลุ่มที่4 ผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ จํานวน 7 ราย กลุ่มที่5 เป็นผู้สัมผัสเจ้าของร้านอาหารที่ติดเชื้อ จํานวน 2 ราย กลุ่มที่6 อยู่ระหว่างดําเนินการสอบสวนโรค จํานวน 3 ราย และยังอยู่ระหว่างรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ จํานวน51 ราย โดยมีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านได้เพิ่มอีก 2 ราย เป็นชายไทย อายุ 29 ปี และหญิงไทย อายุ 22 ปี จากสถาบันบําราศนราดูร สรุปมีผู้ป่วยยืนยันที่รักษาหายแล้ว 37 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล76 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยสะสมในประเทศไทยขณะนี้ 114 ราย ขณะนี้ เราพบผู้ป่วยรายใหม่จากสถานที่ที่มีคนหนาแน่น เช่น ผับ สนามมวย ร้านอาหาร จึงขอให้หลีกเลี่ยง หรืองดไปสถานที่ดังกล่าว แต่หากมีความจําเป็นต้องไปขอให้สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ แยกภาชนะแก้วน้ํา ช้อน หากเป็นผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ดังกล่าวขอให้สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ ส่วนผู้ประกอบการให้เพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดสถานที่ โต๊ะ เก้าอี้ และเปิดหน้าต่าง ประตู ระบายอากาศทุกวัน นอกจากนี้ ขอให้งดการเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค ทั้งนี้ ร้านอาหาร สถานบันเทิง ที่พบผู้ป่วย กรุงเทพมหานคร ได้ดําเนินการลงพื้นที่ทําความสะอาดเรียบร้อยแล้ว โดยในสัปดาห์หน้า คณะกรรมการโรคติดต่อ กทม. จะมีการจัดประชุมเพื่อดําเนินการตามกฎหมาย มาตรา35 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งการจะสั่งปิดสถานที่ใดๆ ต้องได้รับการเห็นชอบจาก คณะกรรมการโรคติดต่อ จังหวัด เช้าวันนี้ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ ได้รับผู้เดินทางจากประเทศอิตาลี จํานวน 83 คน ประกอบด้วย นักศึกษาแลกเปลี่ยน 78 คน นักท่องเที่ยว 3 คน พนักงานสายการบิน 2 คน ในจํานวนนี้ 6 คน เป็นผู้อยู่ในข่ายเฝ้าระวังสังเกตอาการ เนื่องจากมีอาการไอ มีน้ํามูก ไม่มีไข้ ส่งไปรพ.สัตหีบกม.10 จํานวน 3 ราย รพ.บ้านฉาง 1 ราย รพ.มาบตาพุด 1 ราย และรพ.ระยอง 1 ราย ส่วนผู้เดินทางอีก 77 คน ส่งไปพักสังเกตอาการที่อาคารรับรองฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จนครบ 14 วัน 3. คําแนะนําสําหรับประชาชน ขอให้ประชาชนสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารได้ที่เว็บไซต์https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ และ“ไทยรู้ สู้โควิด” ทาง Twitter, Facebook, Line official, TikTok และ “Kor-Ror-OK” ChatBot 1422 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ตรวจสอบข่าวลวงได้ที่www.antifakenewscenter.com **************************************15 มีนาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27319
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พัฒนาศักยภาพบุคลากร 4.0 ขับเคลื่อนระบบบริการสุขภาพ
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562 สธ.พัฒนาศักยภาพบุคลากร 4.0 ขับเคลื่อนระบบบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาศักยภาพบุคลากรรองรับการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาระบบบริการสุขภาพในยุคดิจิทัล เสริมพลังองค์กรสู่การเป็น MOPH 4.0 กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาศักยภาพบุคลากรรองรับการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาระบบบริการสุขภาพในยุคดิจิทัล เสริมพลังองค์กรสู่การเป็น MOPH 4.0 วันนี้ (24 กรกฎาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร หลักสูตรการพัฒนาผู้นําการเปลี่ยนแปลงในยุคไทยแลนด์ 4.0 เพื่อรองรับการขับเคลื่อนโยบายการพัฒนาระบบริการสุขภาพ (Service Plan) โดยมีนายแพทย์เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน (ผชช.ว.) จากทั่วประเทศ และรองผู้อํานวยการกองในส่วนกลาง สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข รวม 80 คน นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขกําหนดให้โรงพยาบาลและหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ นําระบบดิจิทัลมาพัฒนาระบบบริการและการบริหารจัดการ มีระบบปฏิบัติงานที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพ ประชาชนได้รับบริการที่รวดเร็ว มีคุณภาพ ปลอดภัย อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน รองรับการเป็น MOPH 4.0 ผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจึงจําเป็นต้องได้รับการอบรมเพิ่มทักษะในด้านต่าง ๆ ให้ทันต่อยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล สามารถนํานโยบายมาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนและพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ในทุกด้าน และเป็นการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้บริหารระดับสูง โดยการฝึกอบรมเน้นพัฒนาศักยภาพการเป็นผู้นํา การบริหารจัดการนโยบายและยุทธศาสตร์ จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงศึกษาดูงานจากองค์กรชั้นนําของประเทศ เพื่อเรียนรู้กระบวนการ และนําความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ “การพัฒนาทักษะการเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงในยุคไทยแลนด์ 4.0 นั้น จะทําให้เกิดความน่าเชื่อถือในการทํางานร่วมกับผู้อื่น สามารถเลือกใช้เครื่องมือ กระบวนการและแผนปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศในทุกด้าน ซึ่งผลประโยชน์ที่จะได้รับท้ายที่สุดคือ ประชาชนได้รับบริการด้านสุขภาพที่ดี มีคุณภาพ รวดเร็ว และปลอดภัย” นายแพทย์สุขุมกล่าว **************************** 24กรกฎาคม2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พัฒนาศักยภาพบุคลากร 4.0 ขับเคลื่อนระบบบริการสุขภาพ วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562 สธ.พัฒนาศักยภาพบุคลากร 4.0 ขับเคลื่อนระบบบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาศักยภาพบุคลากรรองรับการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาระบบบริการสุขภาพในยุคดิจิทัล เสริมพลังองค์กรสู่การเป็น MOPH 4.0 กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาศักยภาพบุคลากรรองรับการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาระบบบริการสุขภาพในยุคดิจิทัล เสริมพลังองค์กรสู่การเป็น MOPH 4.0 วันนี้ (24 กรกฎาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร หลักสูตรการพัฒนาผู้นําการเปลี่ยนแปลงในยุคไทยแลนด์ 4.0 เพื่อรองรับการขับเคลื่อนโยบายการพัฒนาระบบริการสุขภาพ (Service Plan) โดยมีนายแพทย์เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน (ผชช.ว.) จากทั่วประเทศ และรองผู้อํานวยการกองในส่วนกลาง สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข รวม 80 คน นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขกําหนดให้โรงพยาบาลและหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ นําระบบดิจิทัลมาพัฒนาระบบบริการและการบริหารจัดการ มีระบบปฏิบัติงานที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพ ประชาชนได้รับบริการที่รวดเร็ว มีคุณภาพ ปลอดภัย อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน รองรับการเป็น MOPH 4.0 ผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจึงจําเป็นต้องได้รับการอบรมเพิ่มทักษะในด้านต่าง ๆ ให้ทันต่อยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล สามารถนํานโยบายมาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนและพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ในทุกด้าน และเป็นการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้บริหารระดับสูง โดยการฝึกอบรมเน้นพัฒนาศักยภาพการเป็นผู้นํา การบริหารจัดการนโยบายและยุทธศาสตร์ จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงศึกษาดูงานจากองค์กรชั้นนําของประเทศ เพื่อเรียนรู้กระบวนการ และนําความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ “การพัฒนาทักษะการเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงในยุคไทยแลนด์ 4.0 นั้น จะทําให้เกิดความน่าเชื่อถือในการทํางานร่วมกับผู้อื่น สามารถเลือกใช้เครื่องมือ กระบวนการและแผนปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศในทุกด้าน ซึ่งผลประโยชน์ที่จะได้รับท้ายที่สุดคือ ประชาชนได้รับบริการด้านสุขภาพที่ดี มีคุณภาพ รวดเร็ว และปลอดภัย” นายแพทย์สุขุมกล่าว **************************** 24กรกฎาคม2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21722
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำปราศรัย ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันเกษตรกร” ประจำปี 2560
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560 คําปราศรัย ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันเกษตรกร” ประจําปี 2560 คําปราศรัย ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันเกษตรกร” ประจําปี 2560 พี่น้องเกษตรกรไทยที่รัก เนื่องในโอกาส “วันเกษตรกร” ประจําปี 2560 ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ผมขอส่งความระลึกถึงและความปราถนาดีมายังพี่น้องเกษตรกรไทยทุกท่าน ประเทศไทยของเราเป็นเมืองเกษตรกรรม เกษตรกรจึงถือเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนภาคการผลิตสินค้าของประเทศ รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสําคัญในการช่วยเหลือดูแลเกษตรกรในทุกมิติ ทั้งการสนับสนุนปัจจัยการผลิต การจัดหาช่องทางการตลาด การแก้ปัญหาการเกษตรอย่างยั่งยืน รวมทั้งการส่งเสริมให้นําเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรใหม่ ๆ มาใช้ในภาคการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัย สําหรับในปี 2560 นี้ รัฐบาลได้กําหนดให้เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานการเกษตรสู่ความยั่งยืน โดยดําเนินการในเรื่องต่าง ๆ คือ การยกระดับมาตรฐานเกษตรแปลงใหญ่ การเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจรับรอง การสร้างความตระหนักเรื่องเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์แก่ทุกภาคส่วน โดยให้ทําการเกษตรที่มุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยทั้งตัวผู้ผลิต ผู้บริโภค เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ซึ่งจะเกิดความยั่งยืนในการใช้ประโยชน์ที่ดิน นอกจากนี้ ยังได้เตรียมความพร้อมในการป้องกันและลดผลกระทบจากภัยแล้งซึ่งอาจจะเกิดขึ้นต่อภาคการเกษตรในฤดูกาลถัดไป เพื่อให้เกษตรกรทําความเกษตรได้อย่างเหมาะสมตามสภาพภูมิอากาศ มีหลายอย่างที่ต้องเริ่มต้นจากตัวเกษตรกรเอง และร่วมมือกับรัฐบาลในทุกมิติด้วย ผมขอแสดงความขอบคุณและขอเป็นกําลังใจให้พี่น้องเกษตรกรทุกท่าน มีความอดทน เข้มแข็งในการประกอบอาชีพ และน้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาปรับใช้ในการดํารงชีวิต และการทําการเกษตรเพื่อขับเคลื่อนให้ภาคเกษตรกรรมของไทยเรามีความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนตลอดไป ในโอกาส “วันเกษตรกร” ประจําปี 2530 ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้โปรดอภิบาลประทานพรให้ พี่น้องเกษตรกรชาวไทย จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกําลังใจ กําลังกาย ที่เข้มแข็ง เพื่อร่วมกันพัฒนาภาคเกษตรกรรมของไทยให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป --------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำปราศรัย ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันเกษตรกร” ประจำปี 2560 วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560 คําปราศรัย ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันเกษตรกร” ประจําปี 2560 คําปราศรัย ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันเกษตรกร” ประจําปี 2560 พี่น้องเกษตรกรไทยที่รัก เนื่องในโอกาส “วันเกษตรกร” ประจําปี 2560 ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ผมขอส่งความระลึกถึงและความปราถนาดีมายังพี่น้องเกษตรกรไทยทุกท่าน ประเทศไทยของเราเป็นเมืองเกษตรกรรม เกษตรกรจึงถือเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนภาคการผลิตสินค้าของประเทศ รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสําคัญในการช่วยเหลือดูแลเกษตรกรในทุกมิติ ทั้งการสนับสนุนปัจจัยการผลิต การจัดหาช่องทางการตลาด การแก้ปัญหาการเกษตรอย่างยั่งยืน รวมทั้งการส่งเสริมให้นําเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรใหม่ ๆ มาใช้ในภาคการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัย สําหรับในปี 2560 นี้ รัฐบาลได้กําหนดให้เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานการเกษตรสู่ความยั่งยืน โดยดําเนินการในเรื่องต่าง ๆ คือ การยกระดับมาตรฐานเกษตรแปลงใหญ่ การเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจรับรอง การสร้างความตระหนักเรื่องเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์แก่ทุกภาคส่วน โดยให้ทําการเกษตรที่มุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยทั้งตัวผู้ผลิต ผู้บริโภค เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ซึ่งจะเกิดความยั่งยืนในการใช้ประโยชน์ที่ดิน นอกจากนี้ ยังได้เตรียมความพร้อมในการป้องกันและลดผลกระทบจากภัยแล้งซึ่งอาจจะเกิดขึ้นต่อภาคการเกษตรในฤดูกาลถัดไป เพื่อให้เกษตรกรทําความเกษตรได้อย่างเหมาะสมตามสภาพภูมิอากาศ มีหลายอย่างที่ต้องเริ่มต้นจากตัวเกษตรกรเอง และร่วมมือกับรัฐบาลในทุกมิติด้วย ผมขอแสดงความขอบคุณและขอเป็นกําลังใจให้พี่น้องเกษตรกรทุกท่าน มีความอดทน เข้มแข็งในการประกอบอาชีพ และน้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาปรับใช้ในการดํารงชีวิต และการทําการเกษตรเพื่อขับเคลื่อนให้ภาคเกษตรกรรมของไทยเรามีความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนตลอดไป ในโอกาส “วันเกษตรกร” ประจําปี 2530 ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้โปรดอภิบาลประทานพรให้ พี่น้องเกษตรกรชาวไทย จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกําลังใจ กําลังกาย ที่เข้มแข็ง เพื่อร่วมกันพัฒนาภาคเกษตรกรรมของไทยให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป --------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3692
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมปันสุข ลงพื้นที่ชุมชนวัดมะกอก ลุยแจกถุงยังชีพกว่า 500 ถุง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน [กระทรวงอุตสาหกรรม]
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563 ก.อุตฯ ร่วมปันสุข ลงพื้นที่ชุมชนวัดมะกอก ลุยแจกถุงยังชีพกว่า 500 ถุง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน [กระทรวงอุตสาหกรรม] ก.อุตฯ ร่วมปันสุข ลงพื้นที่ชุมชนวัดมะกอก ลุยแจกถุงยังชีพกว่า 500 ถุง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน (22 พฤษภาคม 2563) กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้าโครงการอุตสาหกรรมปันสุข มอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุมชนวัดมะกอก ราชเทวี กทม. ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการ แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มุ่งสร้างขวัญกําลังใจให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้าโครงการอุตสาหกรรมปันสุขอย่างต่อเนื่อง หลังจากจัดทําตู้อุตสาหกรรมปันสุข “หยิบพอดี มีก็แบ่งปัน” จํานวน 4 ตู้ ตั้งอยู่ ณ บริเวณริมถนนพระราม 6 ด้านหน้ากระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อร่วมแบ่งปันอาหาร ให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในพื้นที่โดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรมแล้วนั้น วันนี้ก็ได้นําคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่ชุมชนวัดมะกอก มอบถุงยังชีพจํานวน 500 ชุด เพื่อร่วมบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน “กระทรวงอุตสาหกรรมขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งเบาภาระให้ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน จากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยจัดทําโครงการอุตสาหกรรมปันสุข ทั้งตั้งตู้ปันสุขหน้าบริเวณหน้ากระทรวงอุตสาหกรรม และในวันนี้ได้มาร่วมแจกถุงยังชีพ จํานวน 500 ชุดซึ่งเป็นสิ่งของที่ได้รับมอบจากภาคเอกชนและผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันแบ่งปัน เพื่อเป็นการปันน้ําใจ สร้างขวัญกําลังใจเล็กๆน้อยๆ และช่วยแบ่งเบาให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งในถุงยังชีพ ประกอบไปด้วย ข้าวสาร น้ําตาล น้ํามัน บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว ทั้งนี้ ได้สอบถามประชาชนในพื้นที่ว่าได้รับหน้ากากผ้าของกระทรวงอุตสาหกรรมครบถ้วนตามรายชื่อในทะเบียนบ้านหรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่ได้รับครบถ้วน และกล่าวขอบคุณและชื่นชมหน้ากากผ้า ของกระทรวงฯ มีคุณภาพดี หายใจสะดวก นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดเตรียมหน้ากากผ้าเพื่อแจกให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับหน้ากากผ้าด้วย และขอเน้นย้ําให้ประชาชนให้ยังคงรักษามาตรการป้องกันตนเองเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าต่อไป ทั้งการใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ รวมทั้งการรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อลดความเสี่ยง ป้องกันการเกิดโรคโควิด–19 อยู่เสมอเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรค ----------------------------------------- 22 พฤษภาคม 2563 ที่มา: สํานักบริหารกลาง...
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมปันสุข ลงพื้นที่ชุมชนวัดมะกอก ลุยแจกถุงยังชีพกว่า 500 ถุง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน [กระทรวงอุตสาหกรรม] วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563 ก.อุตฯ ร่วมปันสุข ลงพื้นที่ชุมชนวัดมะกอก ลุยแจกถุงยังชีพกว่า 500 ถุง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน [กระทรวงอุตสาหกรรม] ก.อุตฯ ร่วมปันสุข ลงพื้นที่ชุมชนวัดมะกอก ลุยแจกถุงยังชีพกว่า 500 ถุง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน (22 พฤษภาคม 2563) กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้าโครงการอุตสาหกรรมปันสุข มอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุมชนวัดมะกอก ราชเทวี กทม. ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการ แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มุ่งสร้างขวัญกําลังใจให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้าโครงการอุตสาหกรรมปันสุขอย่างต่อเนื่อง หลังจากจัดทําตู้อุตสาหกรรมปันสุข “หยิบพอดี มีก็แบ่งปัน” จํานวน 4 ตู้ ตั้งอยู่ ณ บริเวณริมถนนพระราม 6 ด้านหน้ากระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อร่วมแบ่งปันอาหาร ให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในพื้นที่โดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรมแล้วนั้น วันนี้ก็ได้นําคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่ชุมชนวัดมะกอก มอบถุงยังชีพจํานวน 500 ชุด เพื่อร่วมบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน “กระทรวงอุตสาหกรรมขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งเบาภาระให้ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน จากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยจัดทําโครงการอุตสาหกรรมปันสุข ทั้งตั้งตู้ปันสุขหน้าบริเวณหน้ากระทรวงอุตสาหกรรม และในวันนี้ได้มาร่วมแจกถุงยังชีพ จํานวน 500 ชุดซึ่งเป็นสิ่งของที่ได้รับมอบจากภาคเอกชนและผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันแบ่งปัน เพื่อเป็นการปันน้ําใจ สร้างขวัญกําลังใจเล็กๆน้อยๆ และช่วยแบ่งเบาให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งในถุงยังชีพ ประกอบไปด้วย ข้าวสาร น้ําตาล น้ํามัน บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว ทั้งนี้ ได้สอบถามประชาชนในพื้นที่ว่าได้รับหน้ากากผ้าของกระทรวงอุตสาหกรรมครบถ้วนตามรายชื่อในทะเบียนบ้านหรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่ได้รับครบถ้วน และกล่าวขอบคุณและชื่นชมหน้ากากผ้า ของกระทรวงฯ มีคุณภาพดี หายใจสะดวก นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดเตรียมหน้ากากผ้าเพื่อแจกให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับหน้ากากผ้าด้วย และขอเน้นย้ําให้ประชาชนให้ยังคงรักษามาตรการป้องกันตนเองเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าต่อไป ทั้งการใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ รวมทั้งการรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อลดความเสี่ยง ป้องกันการเกิดโรคโควิด–19 อยู่เสมอเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรค ----------------------------------------- 22 พฤษภาคม 2563 ที่มา: สํานักบริหารกลาง...
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31317
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำแนะนำสำหรับผู้ปกครองเตรียมพร้อมการเปิดเรียน
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563 คําแนะนําสําหรับผู้ปกครองเตรียมพร้อมการเปิดเรียน ตระหนัก ไม่ตระหนก -กลับสู่กิจวัตร กิจกรรม จัดตารางเวลาเหมือนไปโรงเรียน -เตรียมพร้อมการรักษาสุขภาพอนามัยตนเองขณะไปโรงเรียน -ใช้เวลาพูดคุยสื่อสาร ทําความเข้าใจถึงชีวิตวิถีใหม่ เตรียมความพร้อมรับการปรับตัว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำแนะนำสำหรับผู้ปกครองเตรียมพร้อมการเปิดเรียน วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563 คําแนะนําสําหรับผู้ปกครองเตรียมพร้อมการเปิดเรียน ตระหนัก ไม่ตระหนก -กลับสู่กิจวัตร กิจกรรม จัดตารางเวลาเหมือนไปโรงเรียน -เตรียมพร้อมการรักษาสุขภาพอนามัยตนเองขณะไปโรงเรียน -ใช้เวลาพูดคุยสื่อสาร ทําความเข้าใจถึงชีวิตวิถีใหม่ เตรียมความพร้อมรับการปรับตัว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32933
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมช.กลาโหม​ ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้​ เพื่อรับทราบสถานการณ์​และการแก้ไขปัญหา​ยาเสพติดในพื้นที่
วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2562 ​รมช.กลาโหม​ ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้​ เพื่อรับทราบสถานการณ์​และการแก้ไขปัญหา​ยาเสพติดในพื้นที่ เมื่อวันที่ 8 มี.ค.62 พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห./รอง หน.ผทพ. และคณะ ฯ ได้เดินทางมาปฎิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 8 มี.ค.62 พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห./รอง หน.ผทพ. และคณะ ฯ ได้เดินทางมาปฎิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เพื่อรับทราบสถานการณ์ในพื้นที่ จชต.ในห้วงที่ผ่านมา ตลอดจนติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ตามนโยบายของ มทภ.4/ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 สน.โดยเน้นย้ําการปฎิบัติภารกิจของกําลังพลให้มีความระมัดระวัง ไม่ตกอยู่ในความประมาท นอกจากนี้ยังได้รับทราบและให้แนวทางการดําเนินงานของศูนย์บูรณาการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้เป็นเครื่องมือในการช่วยให้การปฎิบัติภารกิจในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมช.กลาโหม​ ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้​ เพื่อรับทราบสถานการณ์​และการแก้ไขปัญหา​ยาเสพติดในพื้นที่ วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2562 ​รมช.กลาโหม​ ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้​ เพื่อรับทราบสถานการณ์​และการแก้ไขปัญหา​ยาเสพติดในพื้นที่ เมื่อวันที่ 8 มี.ค.62 พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห./รอง หน.ผทพ. และคณะ ฯ ได้เดินทางมาปฎิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 8 มี.ค.62 พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห./รอง หน.ผทพ. และคณะ ฯ ได้เดินทางมาปฎิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เพื่อรับทราบสถานการณ์ในพื้นที่ จชต.ในห้วงที่ผ่านมา ตลอดจนติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ตามนโยบายของ มทภ.4/ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 สน.โดยเน้นย้ําการปฎิบัติภารกิจของกําลังพลให้มีความระมัดระวัง ไม่ตกอยู่ในความประมาท นอกจากนี้ยังได้รับทราบและให้แนวทางการดําเนินงานของศูนย์บูรณาการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้เป็นเครื่องมือในการช่วยให้การปฎิบัติภารกิจในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19200
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561 ทส.ร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงความจงรักภักดี ถวายพระราชกุศล และถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่ ทส.ร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงความจงรักภักดี ถวายพระราชกุศล และถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 วันนี้ (12 สิงหาคม 2561) พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 ซึ่งจัดขึ้นโดยรัฐบาล โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีฯ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี และน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย โดยในเวลา 07.00 น. ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จํานวน 243 รูป จากนั้นเวลา 09.00 น. ได้ร่วมพิธีลงนามถวายพระพรฯ ณ พระบรมมหาราชวังหลังจากนั้น ในเวลา 17.00 น. ร่วมพิธีเดินริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะ และเวลา 18.00 น. ร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะ และจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณท้องสนามหลวง หลังจากนั้น ในเวลา 17.00 น. ร่วมพิธีเดินริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะ และเวลา 18.00 น. ร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะ และจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณท้องสนามหลวง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561 ทส.ร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงความจงรักภักดี ถวายพระราชกุศล และถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่ ทส.ร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงความจงรักภักดี ถวายพระราชกุศล และถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 วันนี้ (12 สิงหาคม 2561) พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 ซึ่งจัดขึ้นโดยรัฐบาล โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีฯ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี และน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย โดยในเวลา 07.00 น. ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จํานวน 243 รูป จากนั้นเวลา 09.00 น. ได้ร่วมพิธีลงนามถวายพระพรฯ ณ พระบรมมหาราชวังหลังจากนั้น ในเวลา 17.00 น. ร่วมพิธีเดินริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะ และเวลา 18.00 น. ร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะ และจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณท้องสนามหลวง หลังจากนั้น ในเวลา 17.00 น. ร่วมพิธีเดินริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะ และเวลา 18.00 น. ร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะ และจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณท้องสนามหลวง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14576
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. คิกออฟ “Friendly Design มหาดไทยเพื่อสังคมและคนทั้งมวล” เสริมสร้างนวัตกรรม พร้อมมอบป้ายประกาศเกียรติคุณ 14 สุดยอดสถานที่อารยสถาปัตย์ดีเด่น
วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561 มท. คิกออฟ “Friendly Design มหาดไทยเพื่อสังคมและคนทั้งมวล” เสริมสร้างนวัตกรรม พร้อมมอบป้ายประกาศเกียรติคุณ 14 สุดยอดสถานที่อารยสถาปัตย์ดีเด่น มท. คิกออฟ “Friendly Design มหาดไทยเพื่อสังคมและคนทั้งมวล” เสริมสร้างนวัตกรรม พร้อมมอบป้ายประกาศเกียรติคุณ 14 สุดยอดสถานที่อารยสถาปัตย์ดีเด่น เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 61 เวลา 15.00 น. นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจากนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการคิกออฟ “Friendly Design มหาดไทยเพื่อสังคมและคนทั้งมวล” พร้อมมอบป้ายประกาศเกียรติคุณ 14 สุดยอดสถานที่อารยสถาปัตย์ดีเด่น ในงาน Thailand Friendly Design Expo 2018 : มหกรรมอารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดโดย มูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ เครือข่ายมหามิตร Friendly Design ไทยและนานาชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และจัดแสดงสินค้า ผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการออกแบบเกี่ยวกับอารยสถาปัตย์ที่เป็นมิตรกับคนทั้งมวล ที่เวทีกลาง ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในนามกระทรวงมหาดไทย มีความยินดีที่ได้เข้าร่วมงาน Thailand Friendly Design Expo 2018 : มหกรรมอารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 3 กระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหน้าที่ในการ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” ได้มีนโยบายและกิจกรรมต่างๆ ด้านอารยสถาปัตย์ และมีเทคโนโลยีการออกแบบ Friendly Design และนวัตกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุ ผู้พักฟื้น ผู้พิการ และผู้ที่ใช้รถเข็น สามารถเข้าถึงบริการของรัฐและใช้ประโยชน์สิ่งอํานวยความสะดวกต่างๆ ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานในสังกัด ได้มีการขับเคลื่อนและสนับสนุนการดําเนินงานตามโครงการ Friendly Design มหาดไทยเพื่อสังคมและคนทั้งมวล ดังนี้ 1) กรมการปกครอง มีการให้บริการจัดทําบัตรประชาชน สําหรับคนพิการ ประชาชน และผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ รวมทั้งให้การช่วยเหลือคนพิการและผู้สูงอายุในพื้นที่ และหากมีเรื่องเดือดร้อนที่ต้องแก้ไขจะดําเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง โดยนายอําเภอ ปลัดอําเภอ กํานัน และผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ 2) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีการเชื่อมโยงแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยชาติ สู่แผนปฏิบัติการสําหรับคนพิการ พร้อมทั้งได้จัดทําแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2558 นําแนวคิดการลดความเสี่ยงจากสาธารณภัยมาเป็นปัจจัยหลักในการจัดการสาธารณภัยเชิงรุก เพื่อป้องกันภัยตามหลักสากล และมีการพัฒนานวัตกรรมเพื่องานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ช่วยผู้ประสบภัย ผู้พิการ เช่น เอทีวีพร้อมเปลอัตโนมัติ ซึ่งเป็นนวัตกรรมต้นแบบรถกู้ภัยคันแรกในประเทศไทยสําหรับใช้ ในการกู้ภัยลําเลียง และเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยออกจากพื้นที่ 3) กรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งมีภารกิจในการออกกฎหมายฯ ตามกฎกระทรวงกําหนดสิ่งอํานวยความสะดวกในอาคารสําหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพและคนชรา พ.ศ.2548 ปัจจุบันได้ดําเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงให้ครอบคลุมมากขึ้น และออกแบบอาคารของทางภาครัฐ ให้สอดคล้องกับกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว 4) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้จัดทําฐานข้อมูลผู้สูงอายุ ผู้พิการ และสนับสนุนสิทธิสวัสดิการต่างๆ ให้แก่ผู้สูงอายุและคนพิการ รวมทั้งจัดทําโครงการนวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการแสดงนวัตกรรมของการให้บริการผู้ป่วยติดเตียง ที่ได้รับรางวัลอาเซียน 5) กรมการพัฒนาชุมชนมีการสํารวจข้อมูลความจําเป็นพื้นที่ฐาน (จปฐ.) และนําข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการดําเนินการโครงการสร้างสัมมาชีพชุมชน เพื่อเปิดโอกาสให้คนพิการในชุมชนที่ต้องการฝึกอาชีพ สามารถมาอบรมอาชีพได้ และส่งเสริมโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนต่างๆ เพื่อเป็นทุนในการประกอบอาชีพ รวมถึงเปิดโอกาสให้คนพิการมาออกบูธแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ ในงาน OTOP CITY OTOP Midyear และ OTOP ศิลปาชีพ ประทีปไทย เป็นประจําทุกปี 6) กรมที่ดิน โดยสํานักงานที่ดินทั่วประเทศได้จัดสิ่งอํานวยความสะดวกให้แก่คนพิการและผู้สูงอายุ เช่น มีทางลาด รถเข็น และห้องน้ํา สําหรับไว้บริการให้แก่คนพิการและผู้สูงอายุ และ 7) หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีนวัตกรรมและโครงการต่างๆ ที่สนับสนุนการอํานวยความสะดวกของคนพิการและผู้สูงอายุ โดยการใช้ Mobile Applicationซึ่งผลงานต่างๆ ที่กล่าวมาได้มีการนําเสนอที่บูธของกระทรวงมหาดไทยภายในงานนี้ด้วย เช่น การออกหน่วยบริการจัดทําบัตรประชาชนเคลื่อนที่ (Mobile Unit) สําหรับคนพิการและประชาชนทั่วไป การให้บริการระบบค้นหาตําแหน่งรูปแปลงที่ดินด้วยระบบภูมิสารสนเทศ (LandsMaps) แผนป้องกันบรรเทาสาธารณภัยและนวัตกรรมด้านคนพิการ ตัวอย่างอาคารอารยสถาปัตย์ การแสดงนวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ นิทรรศการโครงการเติมฝัน ปันน้ําใจ ให้คนชราและคนพิการ, บ้าน Smart Home การจําหน่ายและแสดงสินค้า OTOP ด้านสุขภาพ/ผู้สูงอายุ เป็นต้น รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลงานที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า กระทรวงมหาดไทยได้จัดสวัสดิการสังคม สิ่งอํานวยความสะดวก และปรับปรุงสภาพแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างครอบคลุมเพื่อสังคมและคนทั้งมวล เพื่อส่งเสริมสิทธิความเสมอภาค ความเท่าเทียม และขจัดความเหลื่อมล้ําในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และเพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลตามแนวทางประชารัฐ กระทรวงมหาดไทยพร้อมที่จะเป็นกลไกสําคัญในการผลักดันนโยบายและสนับสนุนหน่วยงานภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนงานด้านอารยสถาปัตย์ เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิความเสมอภาค เท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม ตามภารกิจในการบําบัดทุกข์บํารุงสุข เพื่อการพัฒนาสู่ความยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ภายใต้สโลแกน “กระทรวงมหาดไทย ส่งเสริมอารยสถาปัตย์ ขจัดความเหลื่อมล้ําในสังคม” รายชื่อ 14 สุดยอดสถานที่อารยสถาปัตย์ดีเด่น 1. สํานักงานเทศบาลตําบลสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ 2. สํานักงานเทศบาลตําบลท่ายาง จังหวัดชุมพร 3. เทศบาลเมืองแม่เหียะ จังหวัดเชียงใหม่ 4. องค์การบริหารส่วน จังหวัดลําพูน 5. ศาลากลาง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 6. ศาลากลาง จังหวัดบุรีรัมย์ 7. ศาลากลาง จังหวัดนครราชสีมา 8. ศาลากลาง จังหวัดนนทบุรี 9. ศาลากลาง จังหวัดเพชรบุรี 10. ศาลากลาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 11. ศาลากลาง จังหวัดชุมพร 12. ศาลากลาง จังหวัดอุบลราชธานี 13. องค์การบริหารส่วนตําบลเก่าขาม อําเภอน้ํายืน จังหวัดอุบลราชธานี 14. องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านผึ่ง อําเภอเมือง จังหวัดนครพนม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. คิกออฟ “Friendly Design มหาดไทยเพื่อสังคมและคนทั้งมวล” เสริมสร้างนวัตกรรม พร้อมมอบป้ายประกาศเกียรติคุณ 14 สุดยอดสถานที่อารยสถาปัตย์ดีเด่น วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561 มท. คิกออฟ “Friendly Design มหาดไทยเพื่อสังคมและคนทั้งมวล” เสริมสร้างนวัตกรรม พร้อมมอบป้ายประกาศเกียรติคุณ 14 สุดยอดสถานที่อารยสถาปัตย์ดีเด่น มท. คิกออฟ “Friendly Design มหาดไทยเพื่อสังคมและคนทั้งมวล” เสริมสร้างนวัตกรรม พร้อมมอบป้ายประกาศเกียรติคุณ 14 สุดยอดสถานที่อารยสถาปัตย์ดีเด่น เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 61 เวลา 15.00 น. นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจากนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการคิกออฟ “Friendly Design มหาดไทยเพื่อสังคมและคนทั้งมวล” พร้อมมอบป้ายประกาศเกียรติคุณ 14 สุดยอดสถานที่อารยสถาปัตย์ดีเด่น ในงาน Thailand Friendly Design Expo 2018 : มหกรรมอารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดโดย มูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ เครือข่ายมหามิตร Friendly Design ไทยและนานาชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และจัดแสดงสินค้า ผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการออกแบบเกี่ยวกับอารยสถาปัตย์ที่เป็นมิตรกับคนทั้งมวล ที่เวทีกลาง ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในนามกระทรวงมหาดไทย มีความยินดีที่ได้เข้าร่วมงาน Thailand Friendly Design Expo 2018 : มหกรรมอารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 3 กระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหน้าที่ในการ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” ได้มีนโยบายและกิจกรรมต่างๆ ด้านอารยสถาปัตย์ และมีเทคโนโลยีการออกแบบ Friendly Design และนวัตกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุ ผู้พักฟื้น ผู้พิการ และผู้ที่ใช้รถเข็น สามารถเข้าถึงบริการของรัฐและใช้ประโยชน์สิ่งอํานวยความสะดวกต่างๆ ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานในสังกัด ได้มีการขับเคลื่อนและสนับสนุนการดําเนินงานตามโครงการ Friendly Design มหาดไทยเพื่อสังคมและคนทั้งมวล ดังนี้ 1) กรมการปกครอง มีการให้บริการจัดทําบัตรประชาชน สําหรับคนพิการ ประชาชน และผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ รวมทั้งให้การช่วยเหลือคนพิการและผู้สูงอายุในพื้นที่ และหากมีเรื่องเดือดร้อนที่ต้องแก้ไขจะดําเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง โดยนายอําเภอ ปลัดอําเภอ กํานัน และผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ 2) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีการเชื่อมโยงแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยชาติ สู่แผนปฏิบัติการสําหรับคนพิการ พร้อมทั้งได้จัดทําแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2558 นําแนวคิดการลดความเสี่ยงจากสาธารณภัยมาเป็นปัจจัยหลักในการจัดการสาธารณภัยเชิงรุก เพื่อป้องกันภัยตามหลักสากล และมีการพัฒนานวัตกรรมเพื่องานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ช่วยผู้ประสบภัย ผู้พิการ เช่น เอทีวีพร้อมเปลอัตโนมัติ ซึ่งเป็นนวัตกรรมต้นแบบรถกู้ภัยคันแรกในประเทศไทยสําหรับใช้ ในการกู้ภัยลําเลียง และเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยออกจากพื้นที่ 3) กรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งมีภารกิจในการออกกฎหมายฯ ตามกฎกระทรวงกําหนดสิ่งอํานวยความสะดวกในอาคารสําหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพและคนชรา พ.ศ.2548 ปัจจุบันได้ดําเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงให้ครอบคลุมมากขึ้น และออกแบบอาคารของทางภาครัฐ ให้สอดคล้องกับกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว 4) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้จัดทําฐานข้อมูลผู้สูงอายุ ผู้พิการ และสนับสนุนสิทธิสวัสดิการต่างๆ ให้แก่ผู้สูงอายุและคนพิการ รวมทั้งจัดทําโครงการนวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการแสดงนวัตกรรมของการให้บริการผู้ป่วยติดเตียง ที่ได้รับรางวัลอาเซียน 5) กรมการพัฒนาชุมชนมีการสํารวจข้อมูลความจําเป็นพื้นที่ฐาน (จปฐ.) และนําข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการดําเนินการโครงการสร้างสัมมาชีพชุมชน เพื่อเปิดโอกาสให้คนพิการในชุมชนที่ต้องการฝึกอาชีพ สามารถมาอบรมอาชีพได้ และส่งเสริมโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนต่างๆ เพื่อเป็นทุนในการประกอบอาชีพ รวมถึงเปิดโอกาสให้คนพิการมาออกบูธแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ ในงาน OTOP CITY OTOP Midyear และ OTOP ศิลปาชีพ ประทีปไทย เป็นประจําทุกปี 6) กรมที่ดิน โดยสํานักงานที่ดินทั่วประเทศได้จัดสิ่งอํานวยความสะดวกให้แก่คนพิการและผู้สูงอายุ เช่น มีทางลาด รถเข็น และห้องน้ํา สําหรับไว้บริการให้แก่คนพิการและผู้สูงอายุ และ 7) หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีนวัตกรรมและโครงการต่างๆ ที่สนับสนุนการอํานวยความสะดวกของคนพิการและผู้สูงอายุ โดยการใช้ Mobile Applicationซึ่งผลงานต่างๆ ที่กล่าวมาได้มีการนําเสนอที่บูธของกระทรวงมหาดไทยภายในงานนี้ด้วย เช่น การออกหน่วยบริการจัดทําบัตรประชาชนเคลื่อนที่ (Mobile Unit) สําหรับคนพิการและประชาชนทั่วไป การให้บริการระบบค้นหาตําแหน่งรูปแปลงที่ดินด้วยระบบภูมิสารสนเทศ (LandsMaps) แผนป้องกันบรรเทาสาธารณภัยและนวัตกรรมด้านคนพิการ ตัวอย่างอาคารอารยสถาปัตย์ การแสดงนวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ นิทรรศการโครงการเติมฝัน ปันน้ําใจ ให้คนชราและคนพิการ, บ้าน Smart Home การจําหน่ายและแสดงสินค้า OTOP ด้านสุขภาพ/ผู้สูงอายุ เป็นต้น รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลงานที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า กระทรวงมหาดไทยได้จัดสวัสดิการสังคม สิ่งอํานวยความสะดวก และปรับปรุงสภาพแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างครอบคลุมเพื่อสังคมและคนทั้งมวล เพื่อส่งเสริมสิทธิความเสมอภาค ความเท่าเทียม และขจัดความเหลื่อมล้ําในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และเพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลตามแนวทางประชารัฐ กระทรวงมหาดไทยพร้อมที่จะเป็นกลไกสําคัญในการผลักดันนโยบายและสนับสนุนหน่วยงานภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนงานด้านอารยสถาปัตย์ เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิความเสมอภาค เท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม ตามภารกิจในการบําบัดทุกข์บํารุงสุข เพื่อการพัฒนาสู่ความยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ภายใต้สโลแกน “กระทรวงมหาดไทย ส่งเสริมอารยสถาปัตย์ ขจัดความเหลื่อมล้ําในสังคม” รายชื่อ 14 สุดยอดสถานที่อารยสถาปัตย์ดีเด่น 1. สํานักงานเทศบาลตําบลสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ 2. สํานักงานเทศบาลตําบลท่ายาง จังหวัดชุมพร 3. เทศบาลเมืองแม่เหียะ จังหวัดเชียงใหม่ 4. องค์การบริหารส่วน จังหวัดลําพูน 5. ศาลากลาง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 6. ศาลากลาง จังหวัดบุรีรัมย์ 7. ศาลากลาง จังหวัดนครราชสีมา 8. ศาลากลาง จังหวัดนนทบุรี 9. ศาลากลาง จังหวัดเพชรบุรี 10. ศาลากลาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 11. ศาลากลาง จังหวัดชุมพร 12. ศาลากลาง จังหวัดอุบลราชธานี 13. องค์การบริหารส่วนตําบลเก่าขาม อําเภอน้ํายืน จังหวัดอุบลราชธานี 14. องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านผึ่ง อําเภอเมือง จังหวัดนครพนม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17265
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เข้มงวด ควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้ ขอประชาชนเชื่อมั่นและปฏิบัติตนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563 นายกรัฐมนตรีย้ํา มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เข้มงวด ควบคุมจํานวนผู้ติดเชื้อได้ ขอประชาชนเชื่อมั่นและปฏิบัติตนตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข นายกรัฐมนตรีย้ํา มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เข้มงวด ควบคุมจํานวนผู้ติดเชื้อได้ ขอประชาชนเชื่อมั่นและปฏิบัติตนตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข วันนี้ (6 มีนาคม 2563) เวลา 15.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงมาตรการตรวจคัดกรองผู้เดินทาง จากประเทศกลุ่มเสี่ยง และประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ ในรายการ Government Weekly สรุปประเด็น ดังนี้ ช่วงแรกนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยรัฐบาลได้มีมาตรการควบคุมที่เข้มข้นขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบัน ตั้งแต่การคัดกรอง ตรวจสอบ การเข้ารักษาที่มีมาตรฐานระดับสูง ทําให้สามารถควบคุมจํานวนผู้ติดเชื้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่กระจายในประเทศ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีการตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง สนามบิน ท่าเรือ ชายแดน ด่านตรวจ จุดสกัดทุกด่าน โดยหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่ ในส่วนจังหวัดต่างๆ เข้ามาช่วยดูแล นอกจากนี้ได้มีการเตรียมมาตรการรองรับแรงงานไทยที่กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะแรงงานไทยจากประเทศเกาหลีใต้ ถือว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนไทยที่รัฐบาลต้องดูแล แต่ต้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่น โดยมีมาตรการต้นทาง กักกัน 14 วัน ก่อนเดินทาง และคัดกรองอีกครั้งก่อนออกนอกประเทศ ปลายทางเมื่อผู้ที่กลับจากพื้นที่เสี่ยงและประเทศกลุ่มเสี่ยง จะต้องถูกกักตัวในพื้นที่ควบคุมโรคไม่น้อยกว่า 14 วัน ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคโควิด-19 ที่ทําเนียบรัฐบาล เป็นศูนย์กลางการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ ชี้แจงข้อมูลข่าวสาร ขั้นตอนการเฝ้าระวังและป้องกันการติดเชื้อ รวมทั้งมาตรการบรรเทาผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรค ทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การเกษตร รวมถึงผู้มีรายได้น้อย โดยแบ่งมาตรการออกเป็น 2 ส่วนคือ 1. มาตรการช่วยเหลือประชาชน และ 2. มาตรการการเงินการคลังของรัฐ เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือจากส่วนราชการให้ระงับหรือเลื่อนการเดินทางไปประชุม ศึกษาดูงาน ในประเทศที่มีการระบาด ให้ข้าราชการที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงสังเกตอาการและทํางานที่บ้าน 14 วัน และขอความร่วมมือจากเอกชนหลีกเลี่ยงหรือเลื่อนกิจกรรมที่มีประชาชนรวมตัวกันเป็นจํานวนมาก เช่น การแข่งขันกีฬา การจัดคอนเสิร์ต และมหรสพต่าง ๆ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ขณะเดียวกันรัฐบาลได้บริหารจัดการหน้ากากอนามัย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลน โดยเข้ามาดูแลตั้งแต่การผลิต การกระจาย การส่งออก การจับกุมผู้ฝ่าฝืนที่จําหน่ายเกินราคา สนับสนุนผู้ผลิต ซึ่งพบว่ามีการขาดแคลนวัตถุดิบจากประเทศต้นทางจึงได้มีการส่งเสริมให้ผลิตหน้ากากอนามัยทางเลือก สําหรับบุคคลทั่วไปที่สุขภาพปกติใช้ป้องกันตนเองและลดปริมาณขยะ ระหว่างดําเนินรายการ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเตือนถึงการเสนอข่าวที่เกินกว่าความจริง ที่อาจทําให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก โดยย้ําให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้อง ตามข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้เกิดการสร้างความรับรู้ที่ผิดซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อด้านอื่น ๆ ของประเทศได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เข้มงวด ควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้ ขอประชาชนเชื่อมั่นและปฏิบัติตนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563 นายกรัฐมนตรีย้ํา มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เข้มงวด ควบคุมจํานวนผู้ติดเชื้อได้ ขอประชาชนเชื่อมั่นและปฏิบัติตนตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข นายกรัฐมนตรีย้ํา มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เข้มงวด ควบคุมจํานวนผู้ติดเชื้อได้ ขอประชาชนเชื่อมั่นและปฏิบัติตนตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข วันนี้ (6 มีนาคม 2563) เวลา 15.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงมาตรการตรวจคัดกรองผู้เดินทาง จากประเทศกลุ่มเสี่ยง และประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ ในรายการ Government Weekly สรุปประเด็น ดังนี้ ช่วงแรกนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยรัฐบาลได้มีมาตรการควบคุมที่เข้มข้นขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบัน ตั้งแต่การคัดกรอง ตรวจสอบ การเข้ารักษาที่มีมาตรฐานระดับสูง ทําให้สามารถควบคุมจํานวนผู้ติดเชื้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่กระจายในประเทศ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีการตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง สนามบิน ท่าเรือ ชายแดน ด่านตรวจ จุดสกัดทุกด่าน โดยหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่ ในส่วนจังหวัดต่างๆ เข้ามาช่วยดูแล นอกจากนี้ได้มีการเตรียมมาตรการรองรับแรงงานไทยที่กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะแรงงานไทยจากประเทศเกาหลีใต้ ถือว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนไทยที่รัฐบาลต้องดูแล แต่ต้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่น โดยมีมาตรการต้นทาง กักกัน 14 วัน ก่อนเดินทาง และคัดกรองอีกครั้งก่อนออกนอกประเทศ ปลายทางเมื่อผู้ที่กลับจากพื้นที่เสี่ยงและประเทศกลุ่มเสี่ยง จะต้องถูกกักตัวในพื้นที่ควบคุมโรคไม่น้อยกว่า 14 วัน ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคโควิด-19 ที่ทําเนียบรัฐบาล เป็นศูนย์กลางการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ ชี้แจงข้อมูลข่าวสาร ขั้นตอนการเฝ้าระวังและป้องกันการติดเชื้อ รวมทั้งมาตรการบรรเทาผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรค ทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การเกษตร รวมถึงผู้มีรายได้น้อย โดยแบ่งมาตรการออกเป็น 2 ส่วนคือ 1. มาตรการช่วยเหลือประชาชน และ 2. มาตรการการเงินการคลังของรัฐ เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือจากส่วนราชการให้ระงับหรือเลื่อนการเดินทางไปประชุม ศึกษาดูงาน ในประเทศที่มีการระบาด ให้ข้าราชการที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงสังเกตอาการและทํางานที่บ้าน 14 วัน และขอความร่วมมือจากเอกชนหลีกเลี่ยงหรือเลื่อนกิจกรรมที่มีประชาชนรวมตัวกันเป็นจํานวนมาก เช่น การแข่งขันกีฬา การจัดคอนเสิร์ต และมหรสพต่าง ๆ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ขณะเดียวกันรัฐบาลได้บริหารจัดการหน้ากากอนามัย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลน โดยเข้ามาดูแลตั้งแต่การผลิต การกระจาย การส่งออก การจับกุมผู้ฝ่าฝืนที่จําหน่ายเกินราคา สนับสนุนผู้ผลิต ซึ่งพบว่ามีการขาดแคลนวัตถุดิบจากประเทศต้นทางจึงได้มีการส่งเสริมให้ผลิตหน้ากากอนามัยทางเลือก สําหรับบุคคลทั่วไปที่สุขภาพปกติใช้ป้องกันตนเองและลดปริมาณขยะ ระหว่างดําเนินรายการ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเตือนถึงการเสนอข่าวที่เกินกว่าความจริง ที่อาจทําให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก โดยย้ําให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้อง ตามข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้เกิดการสร้างความรับรู้ที่ผิดซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อด้านอื่น ๆ ของประเทศได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27265
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร้านอาหาร ที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดกิจการได้ ต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างไรบ้าง ??
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน 2563 ร้านอาหาร ที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดกิจการได้ ต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างไรบ้าง ?? ร้านอาหาร ต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างไรบ้าง ?? Q :ร้านอาหาร ที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดกิจการได้ ต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างไรบ้าง?? A :เปิดให้บริการได้ถึงเวลาเที่ยงคืน สามารถเปิดดนตรีในร้านได้ แต่ห้ามมีการเล่นดนตรีสด และสามารถจําหน่ายสุราได้ โดยต้องมีมาตรการและแนวทางป้องกันไวรัสโควิด-19 ควบคู่ด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร้านอาหาร ที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดกิจการได้ ต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างไรบ้าง ?? วันอังคารที่ 16 มิถุนายน 2563 ร้านอาหาร ที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดกิจการได้ ต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างไรบ้าง ?? ร้านอาหาร ต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างไรบ้าง ?? Q :ร้านอาหาร ที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดกิจการได้ ต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างไรบ้าง?? A :เปิดให้บริการได้ถึงเวลาเที่ยงคืน สามารถเปิดดนตรีในร้านได้ แต่ห้ามมีการเล่นดนตรีสด และสามารถจําหน่ายสุราได้ โดยต้องมีมาตรการและแนวทางป้องกันไวรัสโควิด-19 ควบคู่ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32375
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมเวทีประชาคมหมู่บ้านตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน จ.หนองบัวลำภู
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรีร่วมเวทีประชาคมหมู่บ้านตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน จ.หนองบัวลําภู นายกรัฐมนตรีร่วมเวทีประชาคมหมู่บ้านตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน จ.หนองบัวลําภู เผยลงพื้นที่เพื่อมารับทราบ-หาทางแก้ไขปัญหา ระบุไทยนิยม ยั่งยืน ช่วยสร้างหลักคิดที่ถูกต้อง ย้ํารัฐบาลดูแลผู้มีรายได้น้อย สร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนและประเทศ วันนี้ (22 มีนาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บ้านนาคําไฮ ตําบลนาคําไฮ อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะ ประกอบด้วย พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ร่วมเวทีประชาคมหมู่บ้านตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ซึ่งมีผู้นําท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่กว่า 300 คนเข้าร่วมและให้การต้อนรับ โดยนายกรัฐมนตรีได้รับทราบรายงานความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องน้ํากินน้ําใช้ ความต้องการประปาหมู่บ้าน รวมทั้งการขุดลอกคูคลอง ขุดเจาะบ่อน้ําบาดาลเพื่อการเกษตรนอกฤดูกาล และตัวแทนประชาชนกล่าวขอสัญญาณไฟฟ้าจราจรหลังจากมีถนนเข้าถึงชุมชนแล้วเพื่อความปลอดภัย ขณะที่กลุ่มทอผ้าได้ขอให้จัดหาสถานที่แสดงสินค้าด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มารอให้การต้อนรับ ความต้องการที่มาที่หนองบัวลําภูเพราะเป็นจังหวัดที่มีรายได้น้อยที่สุด จึงอยากมารับทราบปัญหา เพื่อหาทางแก้ไขและขับเคลื่อนตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน พร้อมกับติดตามการทํางาน เพราะหลักการโครงการไทยนิยม ยั่งยืน คือการบริหารสองทางทั้งจากบนลงล่าง และรับฟังปัญหาจากพื้นที่ ซึ่งตลอดสามปีที่ผ่านมา รัฐบาลทําทุกเรื่อง ทั้งแก้ไขกฎหมาย ริเริ่มกิจกรรม บูรณาการหน่วยงาน กระทรวง เพื่อยกระดับรายได้ของชาวหนองบัวลําภู นายกรัฐมนตรียังเน้นว่าการพัฒนาไทยนิยมยั่งยืน จะเป็นตัวนําประเทศแทนการเมือง เพราะแกนกลางสําคัญคือประชาชน ซึ่งคนไทยทุกคนต้องช่วยกัน ทั้งนี้ รัฐบาลกําลังสร้างสถาปัตยกรรมในการแก้ปัญหาความยากจน ไทยนิยม ยั่งยืน จะช่วยสร้างหลักคิดที่ถูกต้อง ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างรายได้โดยผ่านการเสียภาษีและภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งประชาชนต้องใส่ใจสิทธิของตัวเองเพื่อมิให้เกิดช่องทางทุจริต รัฐบาลมีหน้าที่ทํางานเพื่อประชาชน โดยเฉพาะการดูแลผู้มีรายได้น้อย เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ประชาชนและประเทศ นายกรัฐมนตรียังอยากเห็นเกษตรกรมีการปลูกพืชเกษตรที่หลากหลายแทนการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เพื่อลดปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ํา และนายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องน้ําบาดาลร่วมกับกระทรวงพลังงาน ในเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งให้ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน สร้างอัตลักษณ์ประจําถิ่น และรัฐบาลจะเน้นดูแลความปลอดภัยในการเดินทางตลอดทั้งปี ไม่เฉพาะในช่วงเทศกาลเท่านั้น ทั้งนี้ จังหวัดหนองบัวลําภูดําเนินการลงพื้นที่ปฏิบัติงานตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา ครั้งที่ 1 “เวทีปรับทุกข์ ผูกมิตร” แล้วเสร็จครบทุกอําเภอ จํานวน 720 หมู่บ้าน/ชุมชน โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวมทั้งสิ้น 88,038 คน จากการสํารวจความต้องการของประชาชน พบความต้องการจํานวน 1,817 เรื่องใน 6 ด้าน ดังนี้ 1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย ถนนภายในหมู่บ้าน และถนนเชื่อมระหว่างหมู่บ้าน ไฟฟ้าที่ขยายออกจากเขตหมู่บ้าน และไฟฟ้าเพื่อการเกษตร แหล่งน้ําและน้ําเพื่อการเกษตร เป็นต้น 2) ด้านการเกษตร ได้แก่ การดูแลราคาสินค้าการเกษตร 3) สาธารณสุข เช่น การควบคุมโรคระบาดของสัตว์เลี้ยง เป็นต้น 4) ความมั่นคง ได้แก่ การแก้ปัญหายาเสพติดในชุมชน 5) การส่งเสริมอาชีพ โดยเฉพาะ การพัฒนากลุ่มอาชีพ และการจัดหาตลาดเพื่อรองรับสินค้าชุมชน และ 6) การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การสร้างแนวกันไฟป่าในหมู่บ้าน เป็นต้น -------------------------------- สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมเวทีประชาคมหมู่บ้านตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน จ.หนองบัวลำภู วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรีร่วมเวทีประชาคมหมู่บ้านตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน จ.หนองบัวลําภู นายกรัฐมนตรีร่วมเวทีประชาคมหมู่บ้านตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน จ.หนองบัวลําภู เผยลงพื้นที่เพื่อมารับทราบ-หาทางแก้ไขปัญหา ระบุไทยนิยม ยั่งยืน ช่วยสร้างหลักคิดที่ถูกต้อง ย้ํารัฐบาลดูแลผู้มีรายได้น้อย สร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนและประเทศ วันนี้ (22 มีนาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บ้านนาคําไฮ ตําบลนาคําไฮ อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะ ประกอบด้วย พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ร่วมเวทีประชาคมหมู่บ้านตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ซึ่งมีผู้นําท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่กว่า 300 คนเข้าร่วมและให้การต้อนรับ โดยนายกรัฐมนตรีได้รับทราบรายงานความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องน้ํากินน้ําใช้ ความต้องการประปาหมู่บ้าน รวมทั้งการขุดลอกคูคลอง ขุดเจาะบ่อน้ําบาดาลเพื่อการเกษตรนอกฤดูกาล และตัวแทนประชาชนกล่าวขอสัญญาณไฟฟ้าจราจรหลังจากมีถนนเข้าถึงชุมชนแล้วเพื่อความปลอดภัย ขณะที่กลุ่มทอผ้าได้ขอให้จัดหาสถานที่แสดงสินค้าด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มารอให้การต้อนรับ ความต้องการที่มาที่หนองบัวลําภูเพราะเป็นจังหวัดที่มีรายได้น้อยที่สุด จึงอยากมารับทราบปัญหา เพื่อหาทางแก้ไขและขับเคลื่อนตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน พร้อมกับติดตามการทํางาน เพราะหลักการโครงการไทยนิยม ยั่งยืน คือการบริหารสองทางทั้งจากบนลงล่าง และรับฟังปัญหาจากพื้นที่ ซึ่งตลอดสามปีที่ผ่านมา รัฐบาลทําทุกเรื่อง ทั้งแก้ไขกฎหมาย ริเริ่มกิจกรรม บูรณาการหน่วยงาน กระทรวง เพื่อยกระดับรายได้ของชาวหนองบัวลําภู นายกรัฐมนตรียังเน้นว่าการพัฒนาไทยนิยมยั่งยืน จะเป็นตัวนําประเทศแทนการเมือง เพราะแกนกลางสําคัญคือประชาชน ซึ่งคนไทยทุกคนต้องช่วยกัน ทั้งนี้ รัฐบาลกําลังสร้างสถาปัตยกรรมในการแก้ปัญหาความยากจน ไทยนิยม ยั่งยืน จะช่วยสร้างหลักคิดที่ถูกต้อง ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างรายได้โดยผ่านการเสียภาษีและภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งประชาชนต้องใส่ใจสิทธิของตัวเองเพื่อมิให้เกิดช่องทางทุจริต รัฐบาลมีหน้าที่ทํางานเพื่อประชาชน โดยเฉพาะการดูแลผู้มีรายได้น้อย เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ประชาชนและประเทศ นายกรัฐมนตรียังอยากเห็นเกษตรกรมีการปลูกพืชเกษตรที่หลากหลายแทนการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เพื่อลดปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ํา และนายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องน้ําบาดาลร่วมกับกระทรวงพลังงาน ในเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งให้ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน สร้างอัตลักษณ์ประจําถิ่น และรัฐบาลจะเน้นดูแลความปลอดภัยในการเดินทางตลอดทั้งปี ไม่เฉพาะในช่วงเทศกาลเท่านั้น ทั้งนี้ จังหวัดหนองบัวลําภูดําเนินการลงพื้นที่ปฏิบัติงานตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา ครั้งที่ 1 “เวทีปรับทุกข์ ผูกมิตร” แล้วเสร็จครบทุกอําเภอ จํานวน 720 หมู่บ้าน/ชุมชน โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวมทั้งสิ้น 88,038 คน จากการสํารวจความต้องการของประชาชน พบความต้องการจํานวน 1,817 เรื่องใน 6 ด้าน ดังนี้ 1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย ถนนภายในหมู่บ้าน และถนนเชื่อมระหว่างหมู่บ้าน ไฟฟ้าที่ขยายออกจากเขตหมู่บ้าน และไฟฟ้าเพื่อการเกษตร แหล่งน้ําและน้ําเพื่อการเกษตร เป็นต้น 2) ด้านการเกษตร ได้แก่ การดูแลราคาสินค้าการเกษตร 3) สาธารณสุข เช่น การควบคุมโรคระบาดของสัตว์เลี้ยง เป็นต้น 4) ความมั่นคง ได้แก่ การแก้ปัญหายาเสพติดในชุมชน 5) การส่งเสริมอาชีพ โดยเฉพาะ การพัฒนากลุ่มอาชีพ และการจัดหาตลาดเพื่อรองรับสินค้าชุมชน และ 6) การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การสร้างแนวกันไฟป่าในหมู่บ้าน เป็นต้น -------------------------------- สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10964
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. โชว์ผลงาน สธค. ทำกิจกรรมเพื่อสังคม พร้อมมอบทุนการศึกษาแก่บุตรของลูกค้าและผู้มีรายได้น้อย
วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 รมว.พม. โชว์ผลงาน สธค. ทํากิจกรรมเพื่อสังคม พร้อมมอบทุนการศึกษาแก่บุตรของลูกค้าและผู้มีรายได้น้อย รมว.พม. โชว์ผลงาน สธค. ทํากิจกรรมเพื่อสังคม พร้อมมอบทุนการศึกษาแก่บุตรของลูกค้าและผู้มีรายได้น้อย วันนี้ (28 ส.ค. 62) เวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ CSR Day : ส่งเสริมความรู้สู่ความรับผิดชอบต่อสังคมของชาว สธค. พร้อมมอบทุนการศึกษาแก่บุตรผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมตามความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสํานักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) โดยมีนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และประชาชนผู้ใช้บริการ เข้าร่วมงาน นายจุติ กล่าวว่า สํานักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวง พม. ทําหน้าที่เป็นกลไกในการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางการเงิน โดยรับจํานําในอัตราดอกเบี้ยต่ํา และตรึงระดับอัตราดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้โรงรับจํานําเอกชนเรียกค่าบริการสูงกว่าที่กฎหมายกําหนด ทั้งนี้ ได้กําหนดจัดโครงการ CSR Day : ส่งเสริมความรู้สู่ความรับผิดชอบต่อสังคมของชาว สธค. และพิธีมอบทุนการศึกษาแก่บุตรผู้มีรายได้น้อย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างจิตสํานึกแห่งความรับผิดชอบต่อสังคม ตามหลักการบริหารจัดการที่ดี (Good Governance) ด้วยวิธีการสร้างการรับรู้ ปลูกฝังจิตสํานึกอย่างเป็นรูปธรรมผ่านกระบวนการ "เปลี่ยนความเชื่อและทัศนคติ” "ปรับ ความคิด” และ "ปรับปรุงพฤติกรรม” ส่งเสริม และปลูกจิตสํานึกให้พนักงานรับรู้และเข้าใจในเรื่องการแสดง ความรับผิดชอบต่อสังคม นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับพิธีมอบทุนการศึกษาแก่บุตรผู้มีรายได้น้อย ทาง กระทรวง พม. โดย สธค. เป็นการช่วย แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรผู้มีรายได้น้อยตามนโยบายโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ และสนับสนุนให้เยาวชนที่เรียนดีและมีความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ได้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา อีกทั้งเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจให้กับครอบครัวของผู้มีรายได้น้อย ในการส่งเสริมให้บุตรหลานได้มีกําลังใจและความมุมานะตั้งใจในการเรียนเพื่ออนาคตที่มั่นคง และที่สําคัญ คือ พนักงาน สธค. ทุกแห่งได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมสู่ชุมชนเพื่อการส่งเสริมสังคมที่ดีอย่างยั่งยืน เป็นการสร้างเสริมภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร สําหรับปี 2562 มีการมอบทุนการศึกษา จํานวน 67 ทุนๆ ละ 3,000 บาท โดยมีหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก ดังนี้ 1) บุตรของผู้มีรายได้น้อยในชุมชนบริเวณใกล้เคียง สธค. ในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัด จํานวน 39 สาขา 2) นักเรียนที่อยู่ระหว่างศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ตอนปลาย และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 3) นักเรียนที่มีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมล่าสุด (ปีงบประมาณ 2561) ไม่ต่ํากว่าระดับ 3.00 และ 4) นักเรียนที่มีรายได้รวมของครอบครัวไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน "ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมโครงการ CSR Day : ส่งเสริมความรู้สู่ความรับผิดชอบต่อสังคมของชาว สธค. และโครงการมอบทุนการศึกษา เป็นการสร้างจิตสํานึกแห่งความรับผิดชอบต่อสังคมให้กับพนักงาน สธค. เพื่อการบริการที่ดีและสร้าง ความประทับใจแก่ผู้มาใช้บริการ อีกทั้งเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาด้านการเงินให้สามารถดํารงตนอยู่ในสังคม ได้อย่างมั่นคงต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. โชว์ผลงาน สธค. ทำกิจกรรมเพื่อสังคม พร้อมมอบทุนการศึกษาแก่บุตรของลูกค้าและผู้มีรายได้น้อย วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 รมว.พม. โชว์ผลงาน สธค. ทํากิจกรรมเพื่อสังคม พร้อมมอบทุนการศึกษาแก่บุตรของลูกค้าและผู้มีรายได้น้อย รมว.พม. โชว์ผลงาน สธค. ทํากิจกรรมเพื่อสังคม พร้อมมอบทุนการศึกษาแก่บุตรของลูกค้าและผู้มีรายได้น้อย วันนี้ (28 ส.ค. 62) เวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ CSR Day : ส่งเสริมความรู้สู่ความรับผิดชอบต่อสังคมของชาว สธค. พร้อมมอบทุนการศึกษาแก่บุตรผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมตามความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสํานักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) โดยมีนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และประชาชนผู้ใช้บริการ เข้าร่วมงาน นายจุติ กล่าวว่า สํานักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวง พม. ทําหน้าที่เป็นกลไกในการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางการเงิน โดยรับจํานําในอัตราดอกเบี้ยต่ํา และตรึงระดับอัตราดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้โรงรับจํานําเอกชนเรียกค่าบริการสูงกว่าที่กฎหมายกําหนด ทั้งนี้ ได้กําหนดจัดโครงการ CSR Day : ส่งเสริมความรู้สู่ความรับผิดชอบต่อสังคมของชาว สธค. และพิธีมอบทุนการศึกษาแก่บุตรผู้มีรายได้น้อย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างจิตสํานึกแห่งความรับผิดชอบต่อสังคม ตามหลักการบริหารจัดการที่ดี (Good Governance) ด้วยวิธีการสร้างการรับรู้ ปลูกฝังจิตสํานึกอย่างเป็นรูปธรรมผ่านกระบวนการ "เปลี่ยนความเชื่อและทัศนคติ” "ปรับ ความคิด” และ "ปรับปรุงพฤติกรรม” ส่งเสริม และปลูกจิตสํานึกให้พนักงานรับรู้และเข้าใจในเรื่องการแสดง ความรับผิดชอบต่อสังคม นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับพิธีมอบทุนการศึกษาแก่บุตรผู้มีรายได้น้อย ทาง กระทรวง พม. โดย สธค. เป็นการช่วย แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรผู้มีรายได้น้อยตามนโยบายโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ และสนับสนุนให้เยาวชนที่เรียนดีและมีความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ได้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา อีกทั้งเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจให้กับครอบครัวของผู้มีรายได้น้อย ในการส่งเสริมให้บุตรหลานได้มีกําลังใจและความมุมานะตั้งใจในการเรียนเพื่ออนาคตที่มั่นคง และที่สําคัญ คือ พนักงาน สธค. ทุกแห่งได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมสู่ชุมชนเพื่อการส่งเสริมสังคมที่ดีอย่างยั่งยืน เป็นการสร้างเสริมภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร สําหรับปี 2562 มีการมอบทุนการศึกษา จํานวน 67 ทุนๆ ละ 3,000 บาท โดยมีหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก ดังนี้ 1) บุตรของผู้มีรายได้น้อยในชุมชนบริเวณใกล้เคียง สธค. ในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัด จํานวน 39 สาขา 2) นักเรียนที่อยู่ระหว่างศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ตอนปลาย และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 3) นักเรียนที่มีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมล่าสุด (ปีงบประมาณ 2561) ไม่ต่ํากว่าระดับ 3.00 และ 4) นักเรียนที่มีรายได้รวมของครอบครัวไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน "ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมโครงการ CSR Day : ส่งเสริมความรู้สู่ความรับผิดชอบต่อสังคมของชาว สธค. และโครงการมอบทุนการศึกษา เป็นการสร้างจิตสํานึกแห่งความรับผิดชอบต่อสังคมให้กับพนักงาน สธค. เพื่อการบริการที่ดีและสร้าง ความประทับใจแก่ผู้มาใช้บริการ อีกทั้งเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาด้านการเงินให้สามารถดํารงตนอยู่ในสังคม ได้อย่างมั่นคงต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22592
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ปล่อยน้ำเข้า 12 ทุ่งลุ่มต่ำเจ้าพระยาตอนล่าง ดีเดย์ 1 พ.ค. นี้
วันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2561 รัฐมนตรีเกษตรฯ ปล่อยน้ําเข้า 12 ทุ่งลุ่มต่ําเจ้าพระยาตอนล่าง ดีเดย์ 1 พ.ค. นี้ รัฐมนตรีเกษตรฯ ปล่อยน้ําเข้า 12 ทุ่งลุ่มต่ําเจ้าพระยาตอนล่าง ดีเดย์ 1 พ.ค. นี้ เริ่มต้นฤดูกาลผลิตข้าวนาปี พร้อมตรวจเยี่ยมการดําเนินงานแปลงใหญ่ จ.ชัยนาท นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีส่งน้ําเข้าพื้นที่ลุ่มต่ํา 12 ทุ่ง ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ณ โครงการส่งน้ําและบํารุงรักษาบรมธาตุ จังหวัดชัยนาท ว่า วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 เป็นกําหนดเวลาเริ่มต้นฤดูการเพาะปลูกที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมชลประทาน จะได้ส่งน้ําให้กับเกษตรกรเพื่อทําการเพาะปลูกข้าวนาปี ในพื้นที่ลุ่มต่ํา 12 ทุ่ง ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ครอบคลุมพื้นที่ 1.15 ล้านไร่ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะใช้เป็นพื้นที่แก้มลิงรองรับปริมาณน้ําในช่วงฤดูน้ําหลากในเดือนกันยายน - ตุลาคม เพื่อลดผลกระทบจากอุทกภัยในลุ่มน้ําจ้าพระยาและพื้นที่ข้างเคียง "ผลจากการปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าวนาปี เมื่อปี 2560 ประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี สามารถลดความเสียหายในหลาย ๆ ด้าน จึงต้องสร้างความตระหนักรู้ให้กลุ่มผู้ใช้น้ําเข้าใจถึงความสําคัญของการบริหารจัดการน้ําอย่างต่อเนื่อง สําหรับการส่งน้ําให้เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ําเร็วขึ้นนั้น จะช่วยลดผลกระทบความเสียหายจากน้ําท่วม ใช้พื้นที่เป็นแก้มลิงธรรมชาติในการเก็บกักน้ําในฤดูน้ําหลาก ช่วยชะลอน้ําได้ 1,500 ล้าน ลบ.ม. แล้ว เกษตรกรยังจะมีรายได้เสริมจากการประกอบอาชีพประมง ด้วย ซึ่งหลังจากนี้จะใช้โมเดลดังกล่าว ขยายผลไปดําเนินการในภาคอีสาน และภาคใต้ต่อไป" นายกฤษฎา กล่าว นอกจากนี้ ยังได้ถือโอกาสตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าการดําเนินงานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) จังหวัดชัยนาท ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรประจําอําเภอ จํานวน 8 ศูนย์ ซึ่งตัวอย่างกลุ่มเกษตรกรที่ประสบความสําเร็จ ได้แก่ กลุ่มแปลงใหญ่ข้าวบ้านหนองตาดํา-โพธิ์เจริญ เป็นกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวจําหน่ายในชุมชน โดยมีเป้าหมายในการลดต้นทุนการผลิต และผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว และข้าวคุณภาพดี ปัจจุบันมีสมาชิก 56 ราย พื้นที่ 1,379 ไร่ สินค้าหลัก ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ข้าว และข้าวบริโภค โดยปัจจุบันผลการดําเนินงานในปีการผลิต 2560/61 สมาชิกร้อยละ 70 สามารถลดต้นทุนการผลิตจาก 4,850 บาท/ไร่ เหลือ 3,952 บาท/ไร่ ลดลงเฉลี่ยไร่ละ 898 บาท (ร้อยละ 18.51) ทั้งนี้ ผลจากการรวมกลุ่มผลิตเป็นแปลงใหญ่ จะทําให้กลุ่มเกษตรกรเข้าถึงการสนับสนุนของภาครัฐในด้านต่างๆได้มากขึ้น เช่น การรับการถ่ายทอดความรู้ การสนับสนุนปัจจัยการผลิตที่เหมาะสม การสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อเป็นศูนย์ให้บริการเครื่องจักรกลเกษตรในชุมชน รวมถึงมีโอกาสในการพัฒนาต่อยอดในเชิงธุรกิจจากการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ําของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรอีกด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews60@gmail.com moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ปล่อยน้ำเข้า 12 ทุ่งลุ่มต่ำเจ้าพระยาตอนล่าง ดีเดย์ 1 พ.ค. นี้ วันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2561 รัฐมนตรีเกษตรฯ ปล่อยน้ําเข้า 12 ทุ่งลุ่มต่ําเจ้าพระยาตอนล่าง ดีเดย์ 1 พ.ค. นี้ รัฐมนตรีเกษตรฯ ปล่อยน้ําเข้า 12 ทุ่งลุ่มต่ําเจ้าพระยาตอนล่าง ดีเดย์ 1 พ.ค. นี้ เริ่มต้นฤดูกาลผลิตข้าวนาปี พร้อมตรวจเยี่ยมการดําเนินงานแปลงใหญ่ จ.ชัยนาท นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีส่งน้ําเข้าพื้นที่ลุ่มต่ํา 12 ทุ่ง ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ณ โครงการส่งน้ําและบํารุงรักษาบรมธาตุ จังหวัดชัยนาท ว่า วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 เป็นกําหนดเวลาเริ่มต้นฤดูการเพาะปลูกที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมชลประทาน จะได้ส่งน้ําให้กับเกษตรกรเพื่อทําการเพาะปลูกข้าวนาปี ในพื้นที่ลุ่มต่ํา 12 ทุ่ง ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ครอบคลุมพื้นที่ 1.15 ล้านไร่ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะใช้เป็นพื้นที่แก้มลิงรองรับปริมาณน้ําในช่วงฤดูน้ําหลากในเดือนกันยายน - ตุลาคม เพื่อลดผลกระทบจากอุทกภัยในลุ่มน้ําจ้าพระยาและพื้นที่ข้างเคียง "ผลจากการปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าวนาปี เมื่อปี 2560 ประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี สามารถลดความเสียหายในหลาย ๆ ด้าน จึงต้องสร้างความตระหนักรู้ให้กลุ่มผู้ใช้น้ําเข้าใจถึงความสําคัญของการบริหารจัดการน้ําอย่างต่อเนื่อง สําหรับการส่งน้ําให้เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ําเร็วขึ้นนั้น จะช่วยลดผลกระทบความเสียหายจากน้ําท่วม ใช้พื้นที่เป็นแก้มลิงธรรมชาติในการเก็บกักน้ําในฤดูน้ําหลาก ช่วยชะลอน้ําได้ 1,500 ล้าน ลบ.ม. แล้ว เกษตรกรยังจะมีรายได้เสริมจากการประกอบอาชีพประมง ด้วย ซึ่งหลังจากนี้จะใช้โมเดลดังกล่าว ขยายผลไปดําเนินการในภาคอีสาน และภาคใต้ต่อไป" นายกฤษฎา กล่าว นอกจากนี้ ยังได้ถือโอกาสตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าการดําเนินงานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) จังหวัดชัยนาท ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรประจําอําเภอ จํานวน 8 ศูนย์ ซึ่งตัวอย่างกลุ่มเกษตรกรที่ประสบความสําเร็จ ได้แก่ กลุ่มแปลงใหญ่ข้าวบ้านหนองตาดํา-โพธิ์เจริญ เป็นกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวจําหน่ายในชุมชน โดยมีเป้าหมายในการลดต้นทุนการผลิต และผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว และข้าวคุณภาพดี ปัจจุบันมีสมาชิก 56 ราย พื้นที่ 1,379 ไร่ สินค้าหลัก ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ข้าว และข้าวบริโภค โดยปัจจุบันผลการดําเนินงานในปีการผลิต 2560/61 สมาชิกร้อยละ 70 สามารถลดต้นทุนการผลิตจาก 4,850 บาท/ไร่ เหลือ 3,952 บาท/ไร่ ลดลงเฉลี่ยไร่ละ 898 บาท (ร้อยละ 18.51) ทั้งนี้ ผลจากการรวมกลุ่มผลิตเป็นแปลงใหญ่ จะทําให้กลุ่มเกษตรกรเข้าถึงการสนับสนุนของภาครัฐในด้านต่างๆได้มากขึ้น เช่น การรับการถ่ายทอดความรู้ การสนับสนุนปัจจัยการผลิตที่เหมาะสม การสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อเป็นศูนย์ให้บริการเครื่องจักรกลเกษตรในชุมชน รวมถึงมีโอกาสในการพัฒนาต่อยอดในเชิงธุรกิจจากการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ําของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรอีกด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews60@gmail.com moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11823
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” พื้นที่ภาคตะวันออก ณ สวนพฤกษศาสตร์บ้านเพ จังหวัดระยอง
วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2561 ทส. เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” พื้นที่ภาคตะวันออก ณ สวนพฤกษศาสตร์บ้านเพ จังหวัดระยอง ทส. เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” พื้นที่ภาคตะวันออก ณ สวนพฤกษศาสตร์บ้านเพ จังหวัดระยอง ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรป่าไม้ การรักษาและเพิ่มพื้นที่ป่า และมีนโยบายให้พัฒนาป่าในเขตเมืองขึ้น จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกันจัดทําโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีพื้นที่ดําเนินโครงการป่าในเมืองจํานวน ๙๙แห่ง อยู่ในความรับผิดชอบของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ๕๑แห่ง กรมป่าไม้ ๒๘แห่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๒๐แห่ง และพร้อมเปิดเพิ่มอีกหลายแห่ง หากพื้นที่มีความเหมาะสม โดยหวังให้ประชาชนภายในเขตเมืองได้มีสถานที่ออกกําลังกายมีแหล่งศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติ ระบบนิเวศ เพิ่มสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ช่วยลดมลภาวะและสร้างสภาพแวดล้อมภายในเมืองให้ดีขึ้น การดําเนินโครงการ "สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย" จะใช้พื้นที่ของวนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์ สวนรุกขชาติ หรือพื้นที่อื่น ๆ ที่อยู่ในการดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติฯ โดยได้มีการกําหนดรูปแบบพื้นที่เพื้อให้ประชาชนได้มาใช้ประโยชน์ มีการปรับปรุงสิ่งอํานวยความสะดวก เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ป้ายสื่อความหมาย ลานกีฬา ลานกิจกรรม ลานดนตรี ตลาดประชารัฐ เส้นทางจักรยาน ทางเดิน วิ่ง หรือการออกกําลังกายรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งกําหนดพื้นที่ไว้ ๕๑ แห่ง และกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้มีการเปิดโครงการไปแล้ว ๑๕ แห่ง (รวมสวนพฤกษศาสตร์บ้านเพ) และจะทยอยเปิดจนกว่าจะครบจํานวน โดยในครั้งนี้ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดโครงการฯ พร้อมทั้งมอบโล่เกียรติคุณแก่ผู้สนับสนุนโครงการป่าในเมือง กิจกรรมปั่นจักรยานจากสวนพฤกษศาสตร์บ้านเพ ไปยังที่ทําการอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด กิจกรรมเก็บขยะบริเวณชายหาด การสาธิตการกู้ชีพทางทะเล กิจกรรมปล่อยสัตว์น้ํา ฯลฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” พื้นที่ภาคตะวันออก ณ สวนพฤกษศาสตร์บ้านเพ จังหวัดระยอง วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2561 ทส. เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” พื้นที่ภาคตะวันออก ณ สวนพฤกษศาสตร์บ้านเพ จังหวัดระยอง ทส. เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” พื้นที่ภาคตะวันออก ณ สวนพฤกษศาสตร์บ้านเพ จังหวัดระยอง ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรป่าไม้ การรักษาและเพิ่มพื้นที่ป่า และมีนโยบายให้พัฒนาป่าในเขตเมืองขึ้น จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกันจัดทําโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีพื้นที่ดําเนินโครงการป่าในเมืองจํานวน ๙๙แห่ง อยู่ในความรับผิดชอบของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ๕๑แห่ง กรมป่าไม้ ๒๘แห่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๒๐แห่ง และพร้อมเปิดเพิ่มอีกหลายแห่ง หากพื้นที่มีความเหมาะสม โดยหวังให้ประชาชนภายในเขตเมืองได้มีสถานที่ออกกําลังกายมีแหล่งศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติ ระบบนิเวศ เพิ่มสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ช่วยลดมลภาวะและสร้างสภาพแวดล้อมภายในเมืองให้ดีขึ้น การดําเนินโครงการ "สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย" จะใช้พื้นที่ของวนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์ สวนรุกขชาติ หรือพื้นที่อื่น ๆ ที่อยู่ในการดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติฯ โดยได้มีการกําหนดรูปแบบพื้นที่เพื้อให้ประชาชนได้มาใช้ประโยชน์ มีการปรับปรุงสิ่งอํานวยความสะดวก เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ป้ายสื่อความหมาย ลานกีฬา ลานกิจกรรม ลานดนตรี ตลาดประชารัฐ เส้นทางจักรยาน ทางเดิน วิ่ง หรือการออกกําลังกายรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งกําหนดพื้นที่ไว้ ๕๑ แห่ง และกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้มีการเปิดโครงการไปแล้ว ๑๕ แห่ง (รวมสวนพฤกษศาสตร์บ้านเพ) และจะทยอยเปิดจนกว่าจะครบจํานวน โดยในครั้งนี้ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดโครงการฯ พร้อมทั้งมอบโล่เกียรติคุณแก่ผู้สนับสนุนโครงการป่าในเมือง กิจกรรมปั่นจักรยานจากสวนพฤกษศาสตร์บ้านเพ ไปยังที่ทําการอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด กิจกรรมเก็บขยะบริเวณชายหาด การสาธิตการกู้ชีพทางทะเล กิจกรรมปล่อยสัตว์น้ํา ฯลฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11789
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธาน JETRO กรุงเทพฯ เข้าพบรองปลัดภานุวัฒน์ฯ เพื่อรายงานผลสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย
วันอังคารที่ 10 มีนาคม 2563 ประธาน JETRO กรุงเทพฯ เข้าพบรองปลัดภานุวัฒน์ฯ เพื่อรายงานผลสํารวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ ประธาน JETRO กรุงเทพฯ เข้าพบ เพื่อรายงานผลสํารวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (10 มีนาคม 2563) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ Mr.Taketani Atsushi ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) และคณะเข้าพบ เพื่อรายงานผลสํารวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจําครึ่งปีหลัง พ.ศ. 2562 (สํารวจในเดือน พฤศจิกายน – ธันวาคม 2562) ทําการสํารวจโดยหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCCB) เป็นประจําทุกปี ปีละ 2 ครั้ง เพื่อสะท้อนสภาพธุรกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยอย่างครอบคลุม 9 ด้าน ได้แก่ 1. สภาพธุรกิจโดยสะท้อนจากค่าดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจ 2. การลงทุนด้านโรงงานและเครื่องจักร 3. การส่งออกและตลาดส่งออกที่มีศักยภาพในอนาคต 4. อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ใช้ในการวางแผนธุรกิจ 5. ประเด็นปัญหาด้านการบริหารองค์กร 6. ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย 7. สงครามการค้าสหรัฐ-จีน 8. นโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และ 9. การขาดแคลนบุคลากรและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พร้อมกันนี้ ยังมีการรายงานผลสํารวจเร่งด่วนเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ต่อบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ได้มีการเข้มงวดให้ผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงงานและบุคคลภายนอกที่มาติดต่อในโรงงานดูแลสุขภาพ ทําความสะอาดมือด้วยการล้างด้วยน้ําและสบู่ หรือแอลกอฮอล์ เจลล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยอยู่เสมอ กรณีผู้ที่มีอาการไอ จาม ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค และติดตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิบัติตามอย่างใกล้ชิด ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธาน JETRO กรุงเทพฯ เข้าพบรองปลัดภานุวัฒน์ฯ เพื่อรายงานผลสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย วันอังคารที่ 10 มีนาคม 2563 ประธาน JETRO กรุงเทพฯ เข้าพบรองปลัดภานุวัฒน์ฯ เพื่อรายงานผลสํารวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ ประธาน JETRO กรุงเทพฯ เข้าพบ เพื่อรายงานผลสํารวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (10 มีนาคม 2563) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ Mr.Taketani Atsushi ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) และคณะเข้าพบ เพื่อรายงานผลสํารวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจําครึ่งปีหลัง พ.ศ. 2562 (สํารวจในเดือน พฤศจิกายน – ธันวาคม 2562) ทําการสํารวจโดยหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCCB) เป็นประจําทุกปี ปีละ 2 ครั้ง เพื่อสะท้อนสภาพธุรกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยอย่างครอบคลุม 9 ด้าน ได้แก่ 1. สภาพธุรกิจโดยสะท้อนจากค่าดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจ 2. การลงทุนด้านโรงงานและเครื่องจักร 3. การส่งออกและตลาดส่งออกที่มีศักยภาพในอนาคต 4. อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ใช้ในการวางแผนธุรกิจ 5. ประเด็นปัญหาด้านการบริหารองค์กร 6. ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย 7. สงครามการค้าสหรัฐ-จีน 8. นโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และ 9. การขาดแคลนบุคลากรและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พร้อมกันนี้ ยังมีการรายงานผลสํารวจเร่งด่วนเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ต่อบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ได้มีการเข้มงวดให้ผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงงานและบุคคลภายนอกที่มาติดต่อในโรงงานดูแลสุขภาพ ทําความสะอาดมือด้วยการล้างด้วยน้ําและสบู่ หรือแอลกอฮอล์ เจลล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยอยู่เสมอ กรณีผู้ที่มีอาการไอ จาม ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค และติดตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิบัติตามอย่างใกล้ชิด ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27043
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ แถลงผลการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญของ อก. และติดตามการดำเนินงานในปี 2561
วันพุธที่ 19 กันยายน 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ แถลงผลการขับเคลื่อนการดําเนินงานที่สําคัญของ อก. และติดตามการดําเนินงานในปี 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ แถลงผลการขับเคลื่อนการดําเนินงานที่สําคัญของ อก. และติดตามการดําเนินงานในปี 2561 วันนี้ (19 กันยายน 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม แถลงผลการขับเคลื่อนการดําเนินงานที่สําคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม และติดตามการดําเนินงานในปี 2561 ใน 5 Agenda ที่สําคัญได้แก่ การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย การม่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ 4.0 การพัฒนาเชิงพื้นที่ การยกระดับอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงระเบียบและการให้บริการ โดยในปี 2562 จะดําเนินการขยายผลใน 5 Agenda ข้างต้นให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ แถลงผลการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญของ อก. และติดตามการดำเนินงานในปี 2561 วันพุธที่ 19 กันยายน 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ แถลงผลการขับเคลื่อนการดําเนินงานที่สําคัญของ อก. และติดตามการดําเนินงานในปี 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ แถลงผลการขับเคลื่อนการดําเนินงานที่สําคัญของ อก. และติดตามการดําเนินงานในปี 2561 วันนี้ (19 กันยายน 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม แถลงผลการขับเคลื่อนการดําเนินงานที่สําคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม และติดตามการดําเนินงานในปี 2561 ใน 5 Agenda ที่สําคัญได้แก่ การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย การม่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ 4.0 การพัฒนาเชิงพื้นที่ การยกระดับอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงระเบียบและการให้บริการ โดยในปี 2562 จะดําเนินการขยายผลใน 5 Agenda ข้างต้นให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15537
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน เผยผลสำรวจการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562
วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2561 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน เผยผลสํารวจการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธ.ออมสิน ทําการสํารวจการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลปีใหม่ จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ทั่วประเทศ จํานวน 2,150 ตัวอย่าง นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า “ศูนย์วิจัยฯ ได้ทําการสํารวจการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลปีใหม่ จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ทั่วประเทศ จํานวน 2,150 ตัวอย่าง พบว่า ภาพรวมการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลปีใหม่ คาดว่าจะมีการจับจ่ายใช้สอยประมาณ 30,200 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 2,150 บาทลดลงจากปีก่อน เนื่องจากประชาชนฐานรากต้องการออมเงินเพิ่มขึ้น และระมัดระวังการใช้จ่าย สําหรับแหล่งที่มาของเงินที่นํามาจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาล ปีใหม่ พบว่าส่วนใหญ่มาจากรายได้ (ร้อยละ 61.4) เงินออม (ร้อยละ 26.0) เงินกู้ยืม ซึ่งมีทั้งเงินกู้ในระบบและ นอกระบบ (ร้อยละ 6.2) ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนจะพบว่าประชาชนฐานรากมีสัดส่วนการใช้เงินในช่วงเทศกาลปีใหม่จากการกู้ยืมน้อยกว่าปีก่อนและเป็นเงินกู้ยืมจากในระบบมากกว่าเงินกู้นอกระบบ นอกจากนี้ยังมีสัดส่วนการใช้จ่าย จากเงินสนับสนุนภาครัฐในช่วงปีใหม่ที่เข้ามาช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย (ร้อยละ 6.0) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เมื่อสํารวจลักษณะการทํากิจกรรม และการจับจ่ายใช้สอยเฉลี่ยต่อคนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พบว่า กิจกรรม 3 อันดับแรกที่ประชาชนฐานรากนิยม คือ (1) สังสรรค์ เลี้ยงฉลอง ร้อยละ 54.0 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,100 บาท (2) ทําบุญ/ ไหว้พระ/สวดมนต์ และให้เงินคนในครอบครัวร้อยละ 53.4 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 450 บาท และ 2,000 บาท ตามลําดับ (3) ซื้อของขวัญ/ของฝาก ร้อยละ 45.0 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,300 บาท ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนแต่ละกิจกรรมกับปีก่อน พบว่า กิจกรรมที่ให้ความสําคัญกับคนในครอบครัวในการสังสรรค์ เลี้ยงฉลองให้เงินคนในครอบครัว และกลับภูมิลําเนา/เยี่ยมญาติมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ในขณะที่วงเงินใช้จ่ายใกล้เคียงกับปีก่อน ส่วนของขวัญ/ของฝากที่ประชาชนฐานราก คาดว่าจะซื้อในช่วงเทศกาลปีใหม่ พบว่า 3 อันดับแรก คือ อาหาร/ผัก/ผลไม้/ขนม (ร้อยละ 66.4) เสื้อผ้า/เครื่องนุ่งห่ม (ร้อยละ 50.2) และเครื่องดื่มบํารุงสุขภาพ (ร้อยละ 41.5) ซึ่งสอดคล้องกับปีที่ผ่านมา แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าประชาชนฐานรากมีการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นของขวัญลดลงกว่าปีก่อน ซึ่งมีสูงถึงร้อยละ 24.6 ในขณะที่ปีนี้มีเพียงร้อยละ 6.1 ของผู้ตอบแบบสอบถาม สําหรับสถานที่ซื้อ และบุคคลที่ต้องการให้ของขวัญของฝาก พบว่า สถานที่ซื้อ 3 อันดับแรก คือ ห้างสรรพสินค้า (ร้อยละ 45.0) ตลาด/ร้านค้าทั่วไป (ร้อยละ 35.5) และร้านสะดวกซื้อ (ร้อยละ 22.5) อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าการเลือกซื้อสินค้าผ่านร้านค้า Online ถือเป็นช่องทางที่เริ่มเข้ามามีบทบาทที่น่าสนใจของคนฐานราก โดยการสั่งซื้อที่ได้รับความนิยม คือ Lazada Shopee และ Facebook ส่วนบุคคล ที่ต้องการให้ของขวัญ คือ คนในครอบครัว (ร้อยละ 88.8) ผู้ใหญ่ที่เคารพ (ร้อยละ 37.9) ตนเอง (ร้อยละ 36.2) เพื่อน (ร้อยละ 10.6) และคู่รัก/แฟน (ร้อยละ 6.8) เมื่อสอบถามถึงเป้าหมาย ที่จะทําในปีใหม่นี้ พบว่า ประชาชนฐานรากตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาชีวิตตนเองให้ดีขึ้น โดยจะออมเงิน (ร้อยละ 66.3) ลดรายจ่าย (ร้อยละ 47.2) และดูแลสุขภาพ เช่น ออกกําลังกาย เลิกเหล้า/บุหรี่ (ร้อยละ 42.4) สิ่งที่ประชาชนฐานรากต้องการจากรัฐบาลเป็นของขวัญปีใหม่ 2562 พบว่า 3 อันดับแรก คือ ลดค่าครองชีพ (ร้อยละ 60.3) ลดราคาค่าเชื้อเพลิง (ร้อยละ 53.7) และให้มีการเลือกตั้ง (ร้อยละ 33.7)” นายชาติชายฯ กล่าว ในภาพรวมจะพบว่า ประชาชนฐานรากมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนในช่วงเทศกาลปีใหม่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังมีการตั้งเป้าหมายที่จะออมเงิน และลดรายจ่าย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาชนฐานรากมีการระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น สําหรับการซื้อของขวัญของฝากจะเน้นเป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องดื่มบํารุงสุขภาพเหมือนปีที่ผ่านมา แต่พบว่าสัดส่วนการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงอย่างมาก นอกจากนี้เป็นที่ น่าสังเกตว่าประชาชนฐานรากเริ่มมีความสนใจการซื้อสินค้าผ่านร้านค้า Online ซึ่งหากภาครัฐมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพและทั่วถึง ก็จะเป็นช่องทางให้คนฐานรากสามารถเข้ามาเป็นผู้ซื้อ/ขาย ได้มากขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน เผยผลสำรวจการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2561 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน เผยผลสํารวจการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธ.ออมสิน ทําการสํารวจการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลปีใหม่ จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ทั่วประเทศ จํานวน 2,150 ตัวอย่าง นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า “ศูนย์วิจัยฯ ได้ทําการสํารวจการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลปีใหม่ จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ทั่วประเทศ จํานวน 2,150 ตัวอย่าง พบว่า ภาพรวมการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลปีใหม่ คาดว่าจะมีการจับจ่ายใช้สอยประมาณ 30,200 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 2,150 บาทลดลงจากปีก่อน เนื่องจากประชาชนฐานรากต้องการออมเงินเพิ่มขึ้น และระมัดระวังการใช้จ่าย สําหรับแหล่งที่มาของเงินที่นํามาจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาล ปีใหม่ พบว่าส่วนใหญ่มาจากรายได้ (ร้อยละ 61.4) เงินออม (ร้อยละ 26.0) เงินกู้ยืม ซึ่งมีทั้งเงินกู้ในระบบและ นอกระบบ (ร้อยละ 6.2) ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนจะพบว่าประชาชนฐานรากมีสัดส่วนการใช้เงินในช่วงเทศกาลปีใหม่จากการกู้ยืมน้อยกว่าปีก่อนและเป็นเงินกู้ยืมจากในระบบมากกว่าเงินกู้นอกระบบ นอกจากนี้ยังมีสัดส่วนการใช้จ่าย จากเงินสนับสนุนภาครัฐในช่วงปีใหม่ที่เข้ามาช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย (ร้อยละ 6.0) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เมื่อสํารวจลักษณะการทํากิจกรรม และการจับจ่ายใช้สอยเฉลี่ยต่อคนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พบว่า กิจกรรม 3 อันดับแรกที่ประชาชนฐานรากนิยม คือ (1) สังสรรค์ เลี้ยงฉลอง ร้อยละ 54.0 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,100 บาท (2) ทําบุญ/ ไหว้พระ/สวดมนต์ และให้เงินคนในครอบครัวร้อยละ 53.4 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 450 บาท และ 2,000 บาท ตามลําดับ (3) ซื้อของขวัญ/ของฝาก ร้อยละ 45.0 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,300 บาท ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนแต่ละกิจกรรมกับปีก่อน พบว่า กิจกรรมที่ให้ความสําคัญกับคนในครอบครัวในการสังสรรค์ เลี้ยงฉลองให้เงินคนในครอบครัว และกลับภูมิลําเนา/เยี่ยมญาติมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ในขณะที่วงเงินใช้จ่ายใกล้เคียงกับปีก่อน ส่วนของขวัญ/ของฝากที่ประชาชนฐานราก คาดว่าจะซื้อในช่วงเทศกาลปีใหม่ พบว่า 3 อันดับแรก คือ อาหาร/ผัก/ผลไม้/ขนม (ร้อยละ 66.4) เสื้อผ้า/เครื่องนุ่งห่ม (ร้อยละ 50.2) และเครื่องดื่มบํารุงสุขภาพ (ร้อยละ 41.5) ซึ่งสอดคล้องกับปีที่ผ่านมา แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าประชาชนฐานรากมีการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นของขวัญลดลงกว่าปีก่อน ซึ่งมีสูงถึงร้อยละ 24.6 ในขณะที่ปีนี้มีเพียงร้อยละ 6.1 ของผู้ตอบแบบสอบถาม สําหรับสถานที่ซื้อ และบุคคลที่ต้องการให้ของขวัญของฝาก พบว่า สถานที่ซื้อ 3 อันดับแรก คือ ห้างสรรพสินค้า (ร้อยละ 45.0) ตลาด/ร้านค้าทั่วไป (ร้อยละ 35.5) และร้านสะดวกซื้อ (ร้อยละ 22.5) อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าการเลือกซื้อสินค้าผ่านร้านค้า Online ถือเป็นช่องทางที่เริ่มเข้ามามีบทบาทที่น่าสนใจของคนฐานราก โดยการสั่งซื้อที่ได้รับความนิยม คือ Lazada Shopee และ Facebook ส่วนบุคคล ที่ต้องการให้ของขวัญ คือ คนในครอบครัว (ร้อยละ 88.8) ผู้ใหญ่ที่เคารพ (ร้อยละ 37.9) ตนเอง (ร้อยละ 36.2) เพื่อน (ร้อยละ 10.6) และคู่รัก/แฟน (ร้อยละ 6.8) เมื่อสอบถามถึงเป้าหมาย ที่จะทําในปีใหม่นี้ พบว่า ประชาชนฐานรากตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาชีวิตตนเองให้ดีขึ้น โดยจะออมเงิน (ร้อยละ 66.3) ลดรายจ่าย (ร้อยละ 47.2) และดูแลสุขภาพ เช่น ออกกําลังกาย เลิกเหล้า/บุหรี่ (ร้อยละ 42.4) สิ่งที่ประชาชนฐานรากต้องการจากรัฐบาลเป็นของขวัญปีใหม่ 2562 พบว่า 3 อันดับแรก คือ ลดค่าครองชีพ (ร้อยละ 60.3) ลดราคาค่าเชื้อเพลิง (ร้อยละ 53.7) และให้มีการเลือกตั้ง (ร้อยละ 33.7)” นายชาติชายฯ กล่าว ในภาพรวมจะพบว่า ประชาชนฐานรากมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนในช่วงเทศกาลปีใหม่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังมีการตั้งเป้าหมายที่จะออมเงิน และลดรายจ่าย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาชนฐานรากมีการระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น สําหรับการซื้อของขวัญของฝากจะเน้นเป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องดื่มบํารุงสุขภาพเหมือนปีที่ผ่านมา แต่พบว่าสัดส่วนการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงอย่างมาก นอกจากนี้เป็นที่ น่าสังเกตว่าประชาชนฐานรากเริ่มมีความสนใจการซื้อสินค้าผ่านร้านค้า Online ซึ่งหากภาครัฐมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพและทั่วถึง ก็จะเป็นช่องทางให้คนฐานรากสามารถเข้ามาเป็นผู้ซื้อ/ขาย ได้มากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17800
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สสวท.ลงนามร่วมกับ มรภ. 38 แห่ง เพื่อยกระดับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ยุคใหม่
วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562 สสวท.ลงนามร่วมกับ มรภ. 38 แห่ง เพื่อยกระดับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ สสวท.ลงนามร่วมกับ มรภ. 38 แห่ง เพื่อยกระดับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ผศ.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) กับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เรื่อง "ความร่วมมือในการพัฒนาอาจารย์และนักศึกษา หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตของมหาวิทยาลัยราชภัฏ เพื่อยกระดับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ยุคใหม่" โดยมี ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจํานงค์ ผู้อํานวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.), ผศ.ดร.เรืองเดช วงศ์หล้า ประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (ทปอ.มรภ.) ตลอดจนอธิการบดี คณบดี และคณาจารย์ เข้าร่วมงานเมื่อวันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ ม.ล.ปิ่น มาลากุล อาคารรัชมังคลาภิเษก ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทรกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายในการยกระดับและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ให้เป็นเศรษฐกิจฐานความรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและสามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ ซึ่งการพัฒนานี้จะเชื่อมโยงกับพื้นฐานการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ (Competency-based) ตามหลักสากล เพื่อตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงและบริบทสังคมโลกในอนาคต สําหรับการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับ STEM Educationประกอบด้วย 2 มิติ คือ“มิติด้านวิชาการ”ซึ่งเป็นเนื้อหาและองค์ความรู้ต่าง ๆ และ“มิติที่เป็นทักษะ”ที่จะต้องปลูกฝังและบ่มเพาะทักษะผ่าน STEM Education เช่น ความมีเหตุผล, มีตรรกกะในการคิดแก้ปัญหา, คิดเป็นและมีหลักคิดที่ถูกต้อง, คิดแบบมีเหตุผล, รู้จักตั้งคําถามและคิดวิเคราะห์ เพื่อนําไปสู่การสร้างนวัตกรรม เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้จะใช้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ โดยมีเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบที่สําคัญ ดังนั้น ความร่วมมือระหว่าง สสวท. และ มรภ. ในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีในการยกระดับสมรรถนะในการผลิตบัณฑิตครู ในการที่จะเป็นต้นแบบและสอนนักเรียนทั่วประเทศให้มีแนวคิด หลักคิด และทัศนคติแบบใหม่ ผศ.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือระหว่าง มรภ. ทั้ง 38 แห่ง กับ สสวท. ในครั้งนี้ มีความสําคัญอย่างยิ่งทั้งในระดับประเทศ ระดับองค์กร และในระดับการจัดการเรียนการสอนในพื้นที่ เนื่องจากเป็นการขยายความร่วมมืออย่างเป็นระบบ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาด้านวิชาการในการผลิตบัณฑิตครูจํานวนมากของ มรภ. พร้อมทั้งยกระดับสมรรถนะด้านวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เกี่ยวกับ STEM Education และวิทยาการคํานวณ (Coding) ที่จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาบัณฑิตครูให้เป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพสูงตามความมุ่งหวังของ มรภ. และเป็นไปตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของประเทศ รวมทั้งเป็นการสร้างกําลังคนที่มีสมรรถนะ นําไปสู่การสร้างคนไทย 4.0 ต่อไปในอนาคต คาดหวังว่าผู้ที่จบการศึกษาครุศาสตรบัณฑิตจาก มรภ. จะเป็นครูที่มีความพร้อมทั้งด้านวิชาการและสมรรถนะในการจัดการเรียนการสอนในวิชาต่าง ๆ ในโรงเรียน และสามารถเป็นแกนนําหรือผู้ช่วยวิทยากรให้กับอาจารย์ มรภ. เพื่อขยายผลการอบรมและยกระดับสมรรถนะของครูในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ผศ.ดร.เรืองเดช วงศ์หล้ากล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นมิติที่สําคัญสําหรับการเปลี่ยนแลงรูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในประเทศไทย ตามภารกิจของ มรภ. ในการเป็นสถาบันผลิตบัณฑิตครูโดยตรง ที่จะต้องปรับปรุงและพัฒนาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงเป็นแนวทางใหม่ที่จะช่วยส่งเสริมการสอนและพัฒนาครูวิทยาศาสตร์ให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง มรภ. ทั้ง 38 แห่ง ก็มีสถานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ทั่วประเทศ จึงสามารถเป็นหน่วยงานที่จะทําหน้าที่ผลิตและพัฒนาครูของประเทศให้มีประสิทธิภาพ มีทักษะด้านเทคโนโลยีในยุคประเทศไทย 4.0 และสามารถถ่ายทอดความรู้และทักษะให้กับอาจารย์และนักศึกษาสู่รุ่นต่อไปได้ ผศ.ดร.รัฐกรณ์ คิดการ ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ (สครภ.)กล่าวว่า ขณะนี้ มรภ. ทั่วประเทศได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต 4 ปี ซึ่งเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยบัณฑิตที่สําเร็จการศึกษาจะมีความรู้และทักษะตามมาตรฐานสากล พร้อมทั้งมีมาตรฐานวิชาชีพครูและเป็นครูมืออาชีพที่มีคุณภาพ สําหรับความร่วมมือกับ สสวท. ในครั้งนี้ เพื่อร่วมกันพัฒนาสมรรถนะของอาจารย์ผู้สอน มรภ. และนักศึกษาในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตของ มรภ. ผ่านแผนงานที่ทําความตกลงร่วมกัน อาทิ การจัดทําหลักสูตรวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่สอดคล้องกับ STEM Education และวิทยาการคํานวณ, การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้, การอบรมพัฒนาอาจารย์ มรภ. ให้มีสมรรถนะในการพัฒนาครูในพื้นที่ เป็นต้น เชื่อว่าความร่วมมือระหว่าง มรภ. และ สสวท. จะเป็นประโยชน์กับครูและเด็กโดยตรง รวมทั้งทําให้เกิดพลังในการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ให้มีคุณภาพต่อไป ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจํานงค์กล่าวว่า การนําวิธีการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์แนวใหม่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก มาปรับใช้ในประเทศไทยตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้สําหรับนักศึกษาที่จะจบไปเป็นครู สอดคล้องกับการเรียนรู้ของเด็กในปัจจุบัน ที่สามารถค้นคว้าสิ่งที่ครูสอนได้จากอินเทอร์เน็ต ดังนั้น ครูในอนาคตต้องปรับวิธีเรียน เปลี่ยนวิธีสอน เป็นผู้อํานวยความสะดวก ผ่านการเรียนรู้แบบ STEM Education พร้อม ๆ กับให้เด็กมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองมากขึ้น จึงคาดหวังว่าความร่วมมือระหว่าง สสวท. และ มรภ. จะช่วยให้อาจารย์ของ มรภ. ถ่ายทอดความรู้สู่ลูกศิษย์ และนักศึกษา มรภ. ทั่วประเทศ เมื่อจบการศึกษาแล้วสามารถออกไปเป็นครูที่มีคุณภาพ ตามเจตจํานงของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศสู่ประเทศไทย 4.0 Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สสวท.ลงนามร่วมกับ มรภ. 38 แห่ง เพื่อยกระดับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562 สสวท.ลงนามร่วมกับ มรภ. 38 แห่ง เพื่อยกระดับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ สสวท.ลงนามร่วมกับ มรภ. 38 แห่ง เพื่อยกระดับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ผศ.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) กับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เรื่อง "ความร่วมมือในการพัฒนาอาจารย์และนักศึกษา หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตของมหาวิทยาลัยราชภัฏ เพื่อยกระดับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ยุคใหม่" โดยมี ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจํานงค์ ผู้อํานวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.), ผศ.ดร.เรืองเดช วงศ์หล้า ประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (ทปอ.มรภ.) ตลอดจนอธิการบดี คณบดี และคณาจารย์ เข้าร่วมงานเมื่อวันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ ม.ล.ปิ่น มาลากุล อาคารรัชมังคลาภิเษก ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทรกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายในการยกระดับและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ให้เป็นเศรษฐกิจฐานความรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและสามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ ซึ่งการพัฒนานี้จะเชื่อมโยงกับพื้นฐานการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ (Competency-based) ตามหลักสากล เพื่อตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงและบริบทสังคมโลกในอนาคต สําหรับการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับ STEM Educationประกอบด้วย 2 มิติ คือ“มิติด้านวิชาการ”ซึ่งเป็นเนื้อหาและองค์ความรู้ต่าง ๆ และ“มิติที่เป็นทักษะ”ที่จะต้องปลูกฝังและบ่มเพาะทักษะผ่าน STEM Education เช่น ความมีเหตุผล, มีตรรกกะในการคิดแก้ปัญหา, คิดเป็นและมีหลักคิดที่ถูกต้อง, คิดแบบมีเหตุผล, รู้จักตั้งคําถามและคิดวิเคราะห์ เพื่อนําไปสู่การสร้างนวัตกรรม เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้จะใช้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ โดยมีเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบที่สําคัญ ดังนั้น ความร่วมมือระหว่าง สสวท. และ มรภ. ในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีในการยกระดับสมรรถนะในการผลิตบัณฑิตครู ในการที่จะเป็นต้นแบบและสอนนักเรียนทั่วประเทศให้มีแนวคิด หลักคิด และทัศนคติแบบใหม่ ผศ.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือระหว่าง มรภ. ทั้ง 38 แห่ง กับ สสวท. ในครั้งนี้ มีความสําคัญอย่างยิ่งทั้งในระดับประเทศ ระดับองค์กร และในระดับการจัดการเรียนการสอนในพื้นที่ เนื่องจากเป็นการขยายความร่วมมืออย่างเป็นระบบ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาด้านวิชาการในการผลิตบัณฑิตครูจํานวนมากของ มรภ. พร้อมทั้งยกระดับสมรรถนะด้านวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เกี่ยวกับ STEM Education และวิทยาการคํานวณ (Coding) ที่จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาบัณฑิตครูให้เป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพสูงตามความมุ่งหวังของ มรภ. และเป็นไปตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของประเทศ รวมทั้งเป็นการสร้างกําลังคนที่มีสมรรถนะ นําไปสู่การสร้างคนไทย 4.0 ต่อไปในอนาคต คาดหวังว่าผู้ที่จบการศึกษาครุศาสตรบัณฑิตจาก มรภ. จะเป็นครูที่มีความพร้อมทั้งด้านวิชาการและสมรรถนะในการจัดการเรียนการสอนในวิชาต่าง ๆ ในโรงเรียน และสามารถเป็นแกนนําหรือผู้ช่วยวิทยากรให้กับอาจารย์ มรภ. เพื่อขยายผลการอบรมและยกระดับสมรรถนะของครูในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ผศ.ดร.เรืองเดช วงศ์หล้ากล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นมิติที่สําคัญสําหรับการเปลี่ยนแลงรูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในประเทศไทย ตามภารกิจของ มรภ. ในการเป็นสถาบันผลิตบัณฑิตครูโดยตรง ที่จะต้องปรับปรุงและพัฒนาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงเป็นแนวทางใหม่ที่จะช่วยส่งเสริมการสอนและพัฒนาครูวิทยาศาสตร์ให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง มรภ. ทั้ง 38 แห่ง ก็มีสถานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ทั่วประเทศ จึงสามารถเป็นหน่วยงานที่จะทําหน้าที่ผลิตและพัฒนาครูของประเทศให้มีประสิทธิภาพ มีทักษะด้านเทคโนโลยีในยุคประเทศไทย 4.0 และสามารถถ่ายทอดความรู้และทักษะให้กับอาจารย์และนักศึกษาสู่รุ่นต่อไปได้ ผศ.ดร.รัฐกรณ์ คิดการ ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ (สครภ.)กล่าวว่า ขณะนี้ มรภ. ทั่วประเทศได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต 4 ปี ซึ่งเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยบัณฑิตที่สําเร็จการศึกษาจะมีความรู้และทักษะตามมาตรฐานสากล พร้อมทั้งมีมาตรฐานวิชาชีพครูและเป็นครูมืออาชีพที่มีคุณภาพ สําหรับความร่วมมือกับ สสวท. ในครั้งนี้ เพื่อร่วมกันพัฒนาสมรรถนะของอาจารย์ผู้สอน มรภ. และนักศึกษาในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตของ มรภ. ผ่านแผนงานที่ทําความตกลงร่วมกัน อาทิ การจัดทําหลักสูตรวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่สอดคล้องกับ STEM Education และวิทยาการคํานวณ, การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้, การอบรมพัฒนาอาจารย์ มรภ. ให้มีสมรรถนะในการพัฒนาครูในพื้นที่ เป็นต้น เชื่อว่าความร่วมมือระหว่าง มรภ. และ สสวท. จะเป็นประโยชน์กับครูและเด็กโดยตรง รวมทั้งทําให้เกิดพลังในการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ให้มีคุณภาพต่อไป ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจํานงค์กล่าวว่า การนําวิธีการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์แนวใหม่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก มาปรับใช้ในประเทศไทยตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้สําหรับนักศึกษาที่จะจบไปเป็นครู สอดคล้องกับการเรียนรู้ของเด็กในปัจจุบัน ที่สามารถค้นคว้าสิ่งที่ครูสอนได้จากอินเทอร์เน็ต ดังนั้น ครูในอนาคตต้องปรับวิธีเรียน เปลี่ยนวิธีสอน เป็นผู้อํานวยความสะดวก ผ่านการเรียนรู้แบบ STEM Education พร้อม ๆ กับให้เด็กมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองมากขึ้น จึงคาดหวังว่าความร่วมมือระหว่าง สสวท. และ มรภ. จะช่วยให้อาจารย์ของ มรภ. ถ่ายทอดความรู้สู่ลูกศิษย์ และนักศึกษา มรภ. ทั่วประเทศ เมื่อจบการศึกษาแล้วสามารถออกไปเป็นครูที่มีคุณภาพ ตามเจตจํานงของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศสู่ประเทศไทย 4.0 Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19069
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ปลื้ม 17 ผลงานในสังกัด รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2561
วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2561 สธ. ปลื้ม 17 ผลงานในสังกัด รับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี 2561 กระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมและแสดงความยินดีกับ 17 ผลงาน หน่วยงานในสังกัดรับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี 2561 จากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ยกระดับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม วันนี้ (6 พฤศจิกายน 2561) นายแพทย์บุญชัย ธีระกาญจน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดประชุมเชิงปฏิบัติการ “ส่งเสริมหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจัดทําผลงานส่งสมัครรับรางวัลเลิศรัฐ สาขาบริการภาครัฐ ประจําปี พ.ศ. 2562” ว่า กระทรวงสาธารณสุข ขอชื่นชมและแสดงความยินดีกับหน่วยงานในสังกัดที่ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี 2561 ในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม เป็นที่พึงพอใจ ซึ่งได้รับรางวัลจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในงานสัมมนาวิชาการ (GOOD GOVERNANCE FOR BETTER LIFE) ประจําปี พ.ศ. 2561 “ภาครัฐ เพื่อประชาชน” จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา หน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งผลงานสมัครรับรางวัลและผ่านการพิจารณาให้ได้รับรางวัลเลิศรัฐ จํานวน 17 ผลงาน แบ่งเป็นสาขาบริการภาครัฐ จํานวน 16 ผลงาน สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม จํานวน 1 ผลงาน รางวัลประเภทนวัตกรรมการบริการ “ระดับดีเด่น” ได้แก่ โรงพยาบาลเซกา จังหวัดบึงกาฬ เรื่องนวัตกรรมที่นอนลมป้องกันแผลกดทับจากถุงน้ํายาล้างไต และโรงพยาบาลสุรินทร์ เรื่องโปรแกรม Thai COC เพื่อการดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องอย่างไร้รอยต่อ รางวัลประเภทพัฒนาการบริการ “ระดับดีเด่น” ได้แก่ โรงพยาบาลระยอง เรื่อง Smart ER โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลท่าคา และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านคลองพลับ เรื่องกลไกประชารัฐเชิงรุกบุกที่ก้นครัวลดโรคเรื้อรัง นายแพทย์บุญชัยกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มอบเกียรติบัตรเพื่อเชิดชูเกียรติทุกหน่วยงาน ทั้งที่ได้รับรางวัล 17 ผลงาน และหน่วยงานที่มุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการอีก 44 ผลงาน รวมทั้งสิ้น 61 ผลงาน เพื่อเป็นกําลังใจให้กับทุกหน่วยงานที่มีความตั้งใจ เสียสละ มุ่งมั่นพัฒนางานให้มีคุณภาพ ประชาชนพึงพอใจ เกิดความภาคภูมิใจของหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงาน ขอให้พัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่อง เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับหน่วยงานอื่น และขอเชิญชวนทุกหน่วยงานร่วมส่งผลงานการพัฒนานวัตกรรมการให้บริการที่ตอบสนองและสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้รับบริการ เพื่อเสนอขอรับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี พ.ศ. 2562 ******************************************* 6 พฤศจิกายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ปลื้ม 17 ผลงานในสังกัด รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2561 วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2561 สธ. ปลื้ม 17 ผลงานในสังกัด รับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี 2561 กระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมและแสดงความยินดีกับ 17 ผลงาน หน่วยงานในสังกัดรับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี 2561 จากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ยกระดับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม วันนี้ (6 พฤศจิกายน 2561) นายแพทย์บุญชัย ธีระกาญจน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดประชุมเชิงปฏิบัติการ “ส่งเสริมหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจัดทําผลงานส่งสมัครรับรางวัลเลิศรัฐ สาขาบริการภาครัฐ ประจําปี พ.ศ. 2562” ว่า กระทรวงสาธารณสุข ขอชื่นชมและแสดงความยินดีกับหน่วยงานในสังกัดที่ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี 2561 ในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม เป็นที่พึงพอใจ ซึ่งได้รับรางวัลจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในงานสัมมนาวิชาการ (GOOD GOVERNANCE FOR BETTER LIFE) ประจําปี พ.ศ. 2561 “ภาครัฐ เพื่อประชาชน” จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา หน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งผลงานสมัครรับรางวัลและผ่านการพิจารณาให้ได้รับรางวัลเลิศรัฐ จํานวน 17 ผลงาน แบ่งเป็นสาขาบริการภาครัฐ จํานวน 16 ผลงาน สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม จํานวน 1 ผลงาน รางวัลประเภทนวัตกรรมการบริการ “ระดับดีเด่น” ได้แก่ โรงพยาบาลเซกา จังหวัดบึงกาฬ เรื่องนวัตกรรมที่นอนลมป้องกันแผลกดทับจากถุงน้ํายาล้างไต และโรงพยาบาลสุรินทร์ เรื่องโปรแกรม Thai COC เพื่อการดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องอย่างไร้รอยต่อ รางวัลประเภทพัฒนาการบริการ “ระดับดีเด่น” ได้แก่ โรงพยาบาลระยอง เรื่อง Smart ER โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลท่าคา และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านคลองพลับ เรื่องกลไกประชารัฐเชิงรุกบุกที่ก้นครัวลดโรคเรื้อรัง นายแพทย์บุญชัยกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มอบเกียรติบัตรเพื่อเชิดชูเกียรติทุกหน่วยงาน ทั้งที่ได้รับรางวัล 17 ผลงาน และหน่วยงานที่มุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการอีก 44 ผลงาน รวมทั้งสิ้น 61 ผลงาน เพื่อเป็นกําลังใจให้กับทุกหน่วยงานที่มีความตั้งใจ เสียสละ มุ่งมั่นพัฒนางานให้มีคุณภาพ ประชาชนพึงพอใจ เกิดความภาคภูมิใจของหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงาน ขอให้พัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่อง เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับหน่วยงานอื่น และขอเชิญชวนทุกหน่วยงานร่วมส่งผลงานการพัฒนานวัตกรรมการให้บริการที่ตอบสนองและสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้รับบริการ เพื่อเสนอขอรับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี พ.ศ. 2562 ******************************************* 6 พฤศจิกายน 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16588
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตำบลสันกลาง จ.เชียงราย ใช้กลไกการไกล่เกลี่ยแก้ไขความขัดแย้งในชุมชน
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560 ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตําบลสันกลาง จ.เชียงราย ใช้กลไกการไกล่เกลี่ยแก้ไขความขัดแย้งในชุมชน ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตําบลสันกลาง จังหวัดเชียงราย ให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยใช้กลไกการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชุมชน เมื่อวันพุธที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตําบลสันกลาง จังหวัดเชียงราย ให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยใช้กลไกการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชุมชน กรณีท่อระบายน้ําปิดกั้นทางน้ําไหลส่งผลให้น้ําท่วมขังในนาข้าวของประชาชน ในพื้นที่ หมู่ ๑๓ บ้านร่องลึก ตําบลสันกลาง อําเภอพาน จังหวัดเชียงราย ทั้งนี้ การไกล่เกลี่ยดังกล่าวประสบผลสําเร็จ โดยคู่กรณียินยอมย้ายท่อระบายน้ําที่ปิดกั้นทางน้ําไหลดังกล่าว ซึ่งจะดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๗ วัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตำบลสันกลาง จ.เชียงราย ใช้กลไกการไกล่เกลี่ยแก้ไขความขัดแย้งในชุมชน วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560 ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตําบลสันกลาง จ.เชียงราย ใช้กลไกการไกล่เกลี่ยแก้ไขความขัดแย้งในชุมชน ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตําบลสันกลาง จังหวัดเชียงราย ให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยใช้กลไกการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชุมชน เมื่อวันพุธที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตําบลสันกลาง จังหวัดเชียงราย ให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยใช้กลไกการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชุมชน กรณีท่อระบายน้ําปิดกั้นทางน้ําไหลส่งผลให้น้ําท่วมขังในนาข้าวของประชาชน ในพื้นที่ หมู่ ๑๓ บ้านร่องลึก ตําบลสันกลาง อําเภอพาน จังหวัดเชียงราย ทั้งนี้ การไกล่เกลี่ยดังกล่าวประสบผลสําเร็จ โดยคู่กรณียินยอมย้ายท่อระบายน้ําที่ปิดกั้นทางน้ําไหลดังกล่าว ซึ่งจะดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๗ วัน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5189
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิดชูครู กศน.
วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562 เชิดชูครู กศน. นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณ กศน. ประจําปี 2562 และเข็มเชิดชูเกียรติแก่ครู กศน.ประจําปี 2562 เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 8 กันยายน 2562 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณ กศน. ประจําปี 2562 และเข็มเชิดชูเกียรติแก่ครู กศน.ประจําปี 2562 จํานวน 994 ราย ในโอกาสงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ ปี 2562” ณ อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: สรุป/ถ่ายภาพ/รายงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิดชูครู กศน. วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562 เชิดชูครู กศน. นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณ กศน. ประจําปี 2562 และเข็มเชิดชูเกียรติแก่ครู กศน.ประจําปี 2562 เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 8 กันยายน 2562 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณ กศน. ประจําปี 2562 และเข็มเชิดชูเกียรติแก่ครู กศน.ประจําปี 2562 จํานวน 994 ราย ในโอกาสงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ ปี 2562” ณ อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: สรุป/ถ่ายภาพ/รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22976
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. จัดแพคเกจสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0% ต่อปี 6 เดือน ในงาน Money Expo Korat พิเศษ! ช่วงนาทีทอง Golden minute ดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรกไม่ถึง 1 % ต่อปี
วันพุธที่ 5 สิงหาคม 2563 ธอส. จัดแพคเกจสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0% ต่อปี 6 เดือน ในงาน Money Expo Korat พิเศษ! ช่วงนาทีทอง Golden minute ดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรกไม่ถึง 1 % ต่อปี ธอส.จัดแพคเกจสินเชื่อบ้าน “ธอส. ดีต่อใจ ดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 6 เดือน” เฉลี่ย 3 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยเพียง 2.58% ต่อปี นอกจากนั้น ยังเตรียมวงเงิน 900 ล้านบาท “ช่วงนาทีทอง Golden minute” สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเฉลี่ยปีแรกไม่ถึง 1% ต่อปี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารบ้านของคนไทย จัดแพคเกจสินเชื่อบ้าน “ธอส. ดีต่อใจ ดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 6 เดือน” เฉลี่ย 3 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยเพียง 2.58% ต่อปี นอกจากนั้น ยังเตรียมวงเงิน 900 ล้านบาท “ช่วงนาทีทอง Golden minute” สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเฉลี่ยปีแรกไม่ถึง 1% ต่อปี สลากออมทรัพย์ ธอส.ชุดพิมานมาศ หน่วยละ 50,000 บาท เงินต้นครบ ดอกเบี้ยดี ลุ้นรางวัล 2 ต่อ และบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ลดราคาสูงสุดถึง 60% ราคาต่ําสุดเพียง 80,000 บาท ที่งาน “มหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 14 Money Expo Korat 2020” วันที่ 7-9 สิงหาคม 2563 ณ เดอะมอลล์ โคราช นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินในยุค New Normal ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ นายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการ ธอส. จึงได้มีนโยบายให้ ธอส. ธนาคารบ้านของคนไทย ซึ่งมีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จัดทําแพคเกจผลิตภัณฑ์ทางการเงินสําหรับงาน “มหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 14 Money Expo Korat 2020” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 สิงหาคม 2563 ณ เอ็มซีซี ฮอลล์ เดอะมอลล์ โคราช จ.นครราชสีมา ได้แก่ 1.แพคเกจสินเชื่อบ้าน ธอส. ดีต่อใจ ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน โดยอัตราดอกเบี้ยเดือนที่ 1-12 คงที่ 2.34% ต่อปี เดือนที่ 13-24 อัตราดอกเบี้ย 3.25% ต่อปี เดือนที่ 25-36 อัตราดอกเบี้ย MRR ลบ 2.70% (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.150% ต่อปี) พิเศษ!! เดือนที่ 37-42 อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี (เดือนที่ 43 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่ธนาคารกําหนด) เฉลี่ย 3 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยเพียง 2.58% ต่อปี เท่านั้น ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทํานิติกรรม ให้กู้เพื่อวัตถุประสงค์ อาทิ ซื้อบ้านหรือห้องชุด ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น เฉพาะที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ อํานาจเจริญ สุรินทร์ และยโสธรเท่านั้น โดยต้องจองสิทธิ์สินเชื่อภายในงาน ยื่นคําขอกู้ระหว่างวันที่ 7 สิงหาคม - 9 กันยายน 2563 อนุมัติและทํานิติกรรมภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 นอกจากนั้น ยังเตรียมวงเงิน 900 ล้านบาท จัด ช่วงนาทีทอง Golden minute สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเฉลี่ยปีแรกไม่ถึง 1% ต่อปี จองสิทธิ์ นาทีทองผ่าน Application : GHB ALL ในวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 12.09 น. เป็นต้นไปจนกว่าจะเต็มกรอบวงเงิน (จองก่อนได้ก่อนแบบ New Normal โดยไม่ต้องเดินทางมาที่งาน Money Expo Korat) 2.สลากออมทรัพย์ เงินต้นครบ ดอกเบี้ยดี ลุ้นรางวัล 2 ต่อ กับผลิตภัณฑ์สลากออมทรัพย์ ธอส.ชุด “พิมานมาศ” หน่วยละ 50,000 บาท ฝากครบกําหนด 3 ปี รับผลตอบแทน 0.9% ต่อปี พ่วงโอกาสลุ้นรางวัลต่อที่ 1 มูลค่า50,000 บาท หมวดละ 10 รางวัล ได้ลุ้นทุกเดือนรวม 36 งวด และต่อที่ 2 ได้ลุ้นรางวัล Jackpot มูลค่ารางวัลละ 500,000 บาททุกไตรมาส หมวดละ 2 รางวัล คิดเป็นโอกาสในการถูกรางวัล 0.01% สูงกว่าสลากทั่วไป พิเศษ! ได้สิทธิ์สะสมคะแนนตามโครงการ GHB Reward เพื่อลุ้นรับทองคําหรือใช้สําหรับแลกของรางวัลตามที่ธนาคารกําหนดได้อีกด้วย 3.บ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ลดราคาสูงสุดถึง 60% คัดทรัพย์รายการเด็ดทั้งประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า ที่ตั้งอยู่ใน จ.นครราชสีมา และจังหวัดใกล้เคียงมาจําหน่ายด้วยส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 60% จากราคาปกติ โดยมีราคาจําหน่ายต่ําสุดเพียง 80,000 บาทเท่านั้น คือ ที่ดินเปล่าในโครงการหัวแหวนคันทรีวิลล์ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา ผู้ซื้อสามารถผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% ต่อปี นานสูงสุดถึง 48 เดือน ไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน ผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี และเข้าอยู่อาศัยในช่วง ผ่อนดาวน์ได้เพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้ออีกด้วย ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือwww.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. จัดแพคเกจสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0% ต่อปี 6 เดือน ในงาน Money Expo Korat พิเศษ! ช่วงนาทีทอง Golden minute ดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรกไม่ถึง 1 % ต่อปี วันพุธที่ 5 สิงหาคม 2563 ธอส. จัดแพคเกจสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0% ต่อปี 6 เดือน ในงาน Money Expo Korat พิเศษ! ช่วงนาทีทอง Golden minute ดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรกไม่ถึง 1 % ต่อปี ธอส.จัดแพคเกจสินเชื่อบ้าน “ธอส. ดีต่อใจ ดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 6 เดือน” เฉลี่ย 3 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยเพียง 2.58% ต่อปี นอกจากนั้น ยังเตรียมวงเงิน 900 ล้านบาท “ช่วงนาทีทอง Golden minute” สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเฉลี่ยปีแรกไม่ถึง 1% ต่อปี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารบ้านของคนไทย จัดแพคเกจสินเชื่อบ้าน “ธอส. ดีต่อใจ ดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 6 เดือน” เฉลี่ย 3 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยเพียง 2.58% ต่อปี นอกจากนั้น ยังเตรียมวงเงิน 900 ล้านบาท “ช่วงนาทีทอง Golden minute” สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเฉลี่ยปีแรกไม่ถึง 1% ต่อปี สลากออมทรัพย์ ธอส.ชุดพิมานมาศ หน่วยละ 50,000 บาท เงินต้นครบ ดอกเบี้ยดี ลุ้นรางวัล 2 ต่อ และบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ลดราคาสูงสุดถึง 60% ราคาต่ําสุดเพียง 80,000 บาท ที่งาน “มหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 14 Money Expo Korat 2020” วันที่ 7-9 สิงหาคม 2563 ณ เดอะมอลล์ โคราช นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินในยุค New Normal ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ นายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการ ธอส. จึงได้มีนโยบายให้ ธอส. ธนาคารบ้านของคนไทย ซึ่งมีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จัดทําแพคเกจผลิตภัณฑ์ทางการเงินสําหรับงาน “มหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 14 Money Expo Korat 2020” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 สิงหาคม 2563 ณ เอ็มซีซี ฮอลล์ เดอะมอลล์ โคราช จ.นครราชสีมา ได้แก่ 1.แพคเกจสินเชื่อบ้าน ธอส. ดีต่อใจ ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน โดยอัตราดอกเบี้ยเดือนที่ 1-12 คงที่ 2.34% ต่อปี เดือนที่ 13-24 อัตราดอกเบี้ย 3.25% ต่อปี เดือนที่ 25-36 อัตราดอกเบี้ย MRR ลบ 2.70% (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.150% ต่อปี) พิเศษ!! เดือนที่ 37-42 อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี (เดือนที่ 43 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่ธนาคารกําหนด) เฉลี่ย 3 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยเพียง 2.58% ต่อปี เท่านั้น ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทํานิติกรรม ให้กู้เพื่อวัตถุประสงค์ อาทิ ซื้อบ้านหรือห้องชุด ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น เฉพาะที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ อํานาจเจริญ สุรินทร์ และยโสธรเท่านั้น โดยต้องจองสิทธิ์สินเชื่อภายในงาน ยื่นคําขอกู้ระหว่างวันที่ 7 สิงหาคม - 9 กันยายน 2563 อนุมัติและทํานิติกรรมภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 นอกจากนั้น ยังเตรียมวงเงิน 900 ล้านบาท จัด ช่วงนาทีทอง Golden minute สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเฉลี่ยปีแรกไม่ถึง 1% ต่อปี จองสิทธิ์ นาทีทองผ่าน Application : GHB ALL ในวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 12.09 น. เป็นต้นไปจนกว่าจะเต็มกรอบวงเงิน (จองก่อนได้ก่อนแบบ New Normal โดยไม่ต้องเดินทางมาที่งาน Money Expo Korat) 2.สลากออมทรัพย์ เงินต้นครบ ดอกเบี้ยดี ลุ้นรางวัล 2 ต่อ กับผลิตภัณฑ์สลากออมทรัพย์ ธอส.ชุด “พิมานมาศ” หน่วยละ 50,000 บาท ฝากครบกําหนด 3 ปี รับผลตอบแทน 0.9% ต่อปี พ่วงโอกาสลุ้นรางวัลต่อที่ 1 มูลค่า50,000 บาท หมวดละ 10 รางวัล ได้ลุ้นทุกเดือนรวม 36 งวด และต่อที่ 2 ได้ลุ้นรางวัล Jackpot มูลค่ารางวัลละ 500,000 บาททุกไตรมาส หมวดละ 2 รางวัล คิดเป็นโอกาสในการถูกรางวัล 0.01% สูงกว่าสลากทั่วไป พิเศษ! ได้สิทธิ์สะสมคะแนนตามโครงการ GHB Reward เพื่อลุ้นรับทองคําหรือใช้สําหรับแลกของรางวัลตามที่ธนาคารกําหนดได้อีกด้วย 3.บ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ลดราคาสูงสุดถึง 60% คัดทรัพย์รายการเด็ดทั้งประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า ที่ตั้งอยู่ใน จ.นครราชสีมา และจังหวัดใกล้เคียงมาจําหน่ายด้วยส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 60% จากราคาปกติ โดยมีราคาจําหน่ายต่ําสุดเพียง 80,000 บาทเท่านั้น คือ ที่ดินเปล่าในโครงการหัวแหวนคันทรีวิลล์ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา ผู้ซื้อสามารถผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% ต่อปี นานสูงสุดถึง 48 เดือน ไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน ผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี และเข้าอยู่อาศัยในช่วง ผ่อนดาวน์ได้เพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้ออีกด้วย ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือwww.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33943
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กห.สาธารณรัฐเกาหลี (กล.ต.) และคณะ เข้าเยี่ยมคำนับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห.
วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 รมว.กห.สาธารณรัฐเกาหลี (กล.ต.) และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. รมว.กห.สาธารณรัฐเกาหลี (กล.ต.) และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. นาย Song Young – moo (ซง ยอง-มู)รมว.กห.สาธารณรัฐเกาหลี (กล.ต.) และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. ณ ศาลาว่าการกลาโหม ในโอกาสที่เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของ กห. ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกัน โดยกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศที่ใกล้ชิดในทุกระดับ โดยเข้าสู่ปีที่ 60 ของความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ทั้งความร่วมมือด้านการทหาร เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะด้านการทหารที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด นับตั้งแต่การส่งกําลังทหารของไทยเข้าร่วมรบในสงครามเกาหลี ซึ่งเป็นส่วนสําคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ไทย และ กล.ต.ต่างเห็นพ้องร่วมกันในการส่งเสริมให้เกิดสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลีและพร้อมให้การสนับสนุนในความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งด้านการทหาร การฝึก ศึกษา อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การท่องเที่ยว รวมถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และในโอกาสที่ กล.ต.จะเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมการสวนสนามทางเรือนานาชาติในเดือน ต.ค.61 ไทยจะส่งเรือรบเข้าร่วมกิจกรรมด้วย เมื่อ 1 ก.พ.61
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กห.สาธารณรัฐเกาหลี (กล.ต.) และคณะ เข้าเยี่ยมคำนับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 รมว.กห.สาธารณรัฐเกาหลี (กล.ต.) และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. รมว.กห.สาธารณรัฐเกาหลี (กล.ต.) และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. นาย Song Young – moo (ซง ยอง-มู)รมว.กห.สาธารณรัฐเกาหลี (กล.ต.) และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. ณ ศาลาว่าการกลาโหม ในโอกาสที่เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของ กห. ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกัน โดยกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศที่ใกล้ชิดในทุกระดับ โดยเข้าสู่ปีที่ 60 ของความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ทั้งความร่วมมือด้านการทหาร เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะด้านการทหารที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด นับตั้งแต่การส่งกําลังทหารของไทยเข้าร่วมรบในสงครามเกาหลี ซึ่งเป็นส่วนสําคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ไทย และ กล.ต.ต่างเห็นพ้องร่วมกันในการส่งเสริมให้เกิดสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลีและพร้อมให้การสนับสนุนในความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งด้านการทหาร การฝึก ศึกษา อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การท่องเที่ยว รวมถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และในโอกาสที่ กล.ต.จะเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมการสวนสนามทางเรือนานาชาติในเดือน ต.ค.61 ไทยจะส่งเรือรบเข้าร่วมกิจกรรมด้วย เมื่อ 1 ก.พ.61
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9771
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.วชิระภูเก็ต คว้ารางวัลเลิศรัฐ ปี 2561 นวัตกรรมเก้าอี้ผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตา
วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 รพ.วชิระภูเก็ต คว้ารางวัลเลิศรัฐ ปี 2561 นวัตกรรมเก้าอี้ผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตา โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี 2561 สาขาบริการภาครัฐ จากนวัตกรรมเก้าอี้สําหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตาหลุดลอกที่ต้องนั่งก้มหน้าหรือนอนคว่ําให้ถูกต้องตามแผนการรักษา ลดภาวะแทรกซ้อน เกิดความพึงพอใจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี 2561 สาขาบริการภาครัฐ จากนวัตกรรมเก้าอี้สําหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตาหลุดลอกที่ต้องนั่งก้มหน้าหรือนอนคว่ําให้ถูกต้องตามแผนการรักษา ลดภาวะแทรกซ้อน เกิดความพึงพอใจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนให้โรงพยาบาลทุกระดับ คิดค้นนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย ลดค่าใช้จ่ายในการนําเข้าจากต่างประเทศ เช่น ที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ได้พัฒนานวัตกรรม ฮอร์ส ชูส์ วีล แชร์ (Horse Shoes Wheel Chair) เป็นเก้าอี้สําหรับเคลื่อนย้ายกลุ่มผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตาหลุดลอกที่ใส่แก๊สหรือซิลิโคน ลดความรําคาญ ไม่สบายตัวจากการที่ผู้ป่วยต้องนั่งก้มหน้าหรือนอนคว่ําขนานกับพื้น เพื่อให้แก๊สหรือซิลิโคนลอยขึ้นไปกดตําแหน่งที่มีการหลุดลอกของจอตา ช่วยให้การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปพักที่หอผู้ป่วย เป็นไปในท่าที่ถูกต้องตามแผนการรักษา ลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังผ่าตัด ทําให้ได้รับรางวัลเลิศรัฐ สาขาบริการภาครัฐ ประเภทนวัตกรรมบริการระดับดี ประจําปี 2561 ด้านนายแพทย์เฉลิมพงษ์ สุคนธผล ผู้อํานวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต กล่าวว่า ผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตาหลุดลอกที่ใส่แก๊สหรือซิลิโคน ต้องเคลื่อนย้ายจากหอผู้ป่วยมาตรวจซ้ําที่ห้องตรวจตา ในท่าก้มหน้าหรือนอนคว่ําขนานกับพื้นตลอดเวลา ซึ่งพบว่ามีการเคลื่อนย้ายไม่ถูกต้องถึงร้อยละ 90 อาจทําให้จอตาหลุดลอกซ้ําได้ ทีมจักษุแพทย์และพยาบาล ได้ร่วมกันดัดแปลงรถเข็น โดยเสริมเหล็กด้านหน้า (ลักษณะคล้ายโต๊ะเลคเชอร์) เย็บเบาะเป็นหมอนรูปเกือกม้า ให้ผู้ป่วยก้มหน้าบนเบาะ ทําให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น ผลการทดสอบกับผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตาที่ใส่แก๊สหรือซิลิโคน ที่มาตรวจซ้ําหลังผ่าตัด จํานวน 20 คน พบว่า มีประสิทธิภาพดี ราคาไม่แพง ชุดละประมาณ 2 พันบาท ลดค่าใช้จ่ายราคาถูกกว่า 4 เท่า ส่งผลให้การผ่าตัดมีความสําเร็จสูงสุด ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ไม่มีการผ่าตัดซ้ํา นอนโรงพยาบาลลดลง ผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตามีความพึงพอใจร้อยละ 95 ผู้ป่วยและญาติมีความสุข ทุกคนเกิดความพึงพอใจ และกลับบ้านได้เร็วขึ้น *******************************************16 กุมภาพันธ์ 2562 *******************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.วชิระภูเก็ต คว้ารางวัลเลิศรัฐ ปี 2561 นวัตกรรมเก้าอี้ผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตา วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 รพ.วชิระภูเก็ต คว้ารางวัลเลิศรัฐ ปี 2561 นวัตกรรมเก้าอี้ผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตา โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี 2561 สาขาบริการภาครัฐ จากนวัตกรรมเก้าอี้สําหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตาหลุดลอกที่ต้องนั่งก้มหน้าหรือนอนคว่ําให้ถูกต้องตามแผนการรักษา ลดภาวะแทรกซ้อน เกิดความพึงพอใจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี 2561 สาขาบริการภาครัฐ จากนวัตกรรมเก้าอี้สําหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตาหลุดลอกที่ต้องนั่งก้มหน้าหรือนอนคว่ําให้ถูกต้องตามแผนการรักษา ลดภาวะแทรกซ้อน เกิดความพึงพอใจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนให้โรงพยาบาลทุกระดับ คิดค้นนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย ลดค่าใช้จ่ายในการนําเข้าจากต่างประเทศ เช่น ที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ได้พัฒนานวัตกรรม ฮอร์ส ชูส์ วีล แชร์ (Horse Shoes Wheel Chair) เป็นเก้าอี้สําหรับเคลื่อนย้ายกลุ่มผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตาหลุดลอกที่ใส่แก๊สหรือซิลิโคน ลดความรําคาญ ไม่สบายตัวจากการที่ผู้ป่วยต้องนั่งก้มหน้าหรือนอนคว่ําขนานกับพื้น เพื่อให้แก๊สหรือซิลิโคนลอยขึ้นไปกดตําแหน่งที่มีการหลุดลอกของจอตา ช่วยให้การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปพักที่หอผู้ป่วย เป็นไปในท่าที่ถูกต้องตามแผนการรักษา ลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังผ่าตัด ทําให้ได้รับรางวัลเลิศรัฐ สาขาบริการภาครัฐ ประเภทนวัตกรรมบริการระดับดี ประจําปี 2561 ด้านนายแพทย์เฉลิมพงษ์ สุคนธผล ผู้อํานวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต กล่าวว่า ผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตาหลุดลอกที่ใส่แก๊สหรือซิลิโคน ต้องเคลื่อนย้ายจากหอผู้ป่วยมาตรวจซ้ําที่ห้องตรวจตา ในท่าก้มหน้าหรือนอนคว่ําขนานกับพื้นตลอดเวลา ซึ่งพบว่ามีการเคลื่อนย้ายไม่ถูกต้องถึงร้อยละ 90 อาจทําให้จอตาหลุดลอกซ้ําได้ ทีมจักษุแพทย์และพยาบาล ได้ร่วมกันดัดแปลงรถเข็น โดยเสริมเหล็กด้านหน้า (ลักษณะคล้ายโต๊ะเลคเชอร์) เย็บเบาะเป็นหมอนรูปเกือกม้า ให้ผู้ป่วยก้มหน้าบนเบาะ ทําให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น ผลการทดสอบกับผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตาที่ใส่แก๊สหรือซิลิโคน ที่มาตรวจซ้ําหลังผ่าตัด จํานวน 20 คน พบว่า มีประสิทธิภาพดี ราคาไม่แพง ชุดละประมาณ 2 พันบาท ลดค่าใช้จ่ายราคาถูกกว่า 4 เท่า ส่งผลให้การผ่าตัดมีความสําเร็จสูงสุด ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ไม่มีการผ่าตัดซ้ํา นอนโรงพยาบาลลดลง ผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอตามีความพึงพอใจร้อยละ 95 ผู้ป่วยและญาติมีความสุข ทุกคนเกิดความพึงพอใจ และกลับบ้านได้เร็วขึ้น *******************************************16 กุมภาพันธ์ 2562 *******************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18837
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องปรับระบบการจ่ายเงินบำเหน็จดำรงชีพ
วันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2562 กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องปรับระบบการจ่ายเงินบําเหน็จดํารงชีพ กรมบัญชีกลางร่างหลักเกณฑ์การขอรับเงินบําเหน็จดํารงชีพ และประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อให้ผู้รับบํานาญได้รับความสะดวกในการใช้สิทธิขอรับบําเหน็จดํารงชีพเพิ่ม กรมบัญชีกลางร่างหลักเกณฑ์การขอรับเงินบําเหน็จดํารงชีพ และประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อให้ผู้รับบํานาญได้รับความสะดวกในการใช้สิทธิขอรับบําเหน็จดํารงชีพเพิ่ม เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับกฎหมายเกี่ยวกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญ (ช.ค.บ.) และการจ่ายบําเหน็จดํารงชีพ นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญ (ช.ค.บ.) และการจ่ายบําเหน็จดํารงชีพ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยกรมบัญชีกลางได้ร่างหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขอรับบําเหน็จดํารงชีพที่ได้ขยายเพดานของวงเงินบําเหน็จดํารงชีพให้แก่ผู้รับบํานาญซึ่งมีอายุตั้งแต่ 70 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพิ่มอีก 100,000 บาท จากเดิมที่ให้ขอรับได้ ในอัตรา 15 เท่าของบํานาญรายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน 400,000 บาท เป็น ให้ขอรับได้ในอัตรา 15 เท่าของบํานาญรายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ทั้งนี้ ผู้รับบํานาญที่มีสิทธิขอรับบําเหน็จดํารงชีพเพิ่มให้ติดต่อส่วนราชการต้นสังกัด เพื่อกรอกแบบฟอร์มการขอรับเงินและยินยอมให้หักเงินชําระหนี้ จากนั้น กรมบัญชีกลางจะประสานความร่วมมือกับธนาคารทุกแห่ง ขอให้ธนาคารตรวจสอบข้อมูลผู้รับบํานาญที่ได้ยื่นใช้สิทธิบําเหน็จค้ําประกันในการกู้เงินกับสถาบันการเงินว่าผู้มีสิทธิ แต่ละรายที่ยื่นความประสงค์ มียอดเงินกู้คงเหลือจํานวนเท่าใด และส่งข้อมูลกลับมายังกรมบัญชีกลาง เพื่อนําข้อมูลหนี้คงเหลือมาหักกลบลบกันกับบําเหน็จดํารงชีพที่มีสิทธิได้รับ เพื่อชําระหนี้บําเหน็จค้ําประกันคืนให้กับธนาคารก่อน เช่น ในกรณียอดหนี้เกินกว่าจํานวนเงินบําเหน็จดํารงชีพที่ได้รับเพิ่ม เงินจํานวนดังกล่าวจะถูกนํามาหักชําระหนี้ที่คงเหลือทั้งหมด แต่ถ้ายอดหนี้ไม่เกินจํานวนเงินบําเหน็จดํารงชีพที่ได้รับเพิ่ม จะนําเงินดังกล่าวไปชําระหนี้ให้กับธนาคารก่อนแล้วจึงจะได้รับเงินส่วนที่เหลือ และเพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกให้กับผู้รับบํานาญ กรมบัญชีกลางได้ขอให้ธนาคารเปิดบัญชีให้กับผู้รับบํานาญตามข้อมูลที่กรมส่งให้ โดยไม่ต้องไปติดต่อกับธนาคารด้วยตนเอง ในเรื่องของการเปิดบัญชีธนาคาร กรมบัญชีกลางจะหารือกับสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ดําเนินการผ่อนคลายเงื่อนไขนี้เช่นเดียวกับการเปิดบัญชีให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เคยดําเนินการไปก่อนหน้านี้ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ในส่วนของผู้รับบํานาญที่ประสงค์ขอรับบําเหน็จดํารงชีพเพิ่ม ขอให้ไปติดต่อ ส่วนราชการต้นสังกัดของผู้รับบํานาญ และกรอกแบบฟอร์มการขอรับเงินบําเหน็จดํารงชีพ เมื่อตรวจสอบข้อมูลแล้ว กรมบัญชีกลางจะดําเนินการจ่ายเงินดังกล่าวเข้าบัญชีธนาคารโดยตรง กฎหมายดังกล่าวต้องการช่วยเหลือผู้รับบํานาญ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้คงที่ได้บรรเทาความเดือดร้อนจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ให้สามารถดํารงชีพอยู่ได้อย่างเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องปรับระบบการจ่ายเงินบำเหน็จดำรงชีพ วันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2562 กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องปรับระบบการจ่ายเงินบําเหน็จดํารงชีพ กรมบัญชีกลางร่างหลักเกณฑ์การขอรับเงินบําเหน็จดํารงชีพ และประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อให้ผู้รับบํานาญได้รับความสะดวกในการใช้สิทธิขอรับบําเหน็จดํารงชีพเพิ่ม กรมบัญชีกลางร่างหลักเกณฑ์การขอรับเงินบําเหน็จดํารงชีพ และประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อให้ผู้รับบํานาญได้รับความสะดวกในการใช้สิทธิขอรับบําเหน็จดํารงชีพเพิ่ม เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับกฎหมายเกี่ยวกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญ (ช.ค.บ.) และการจ่ายบําเหน็จดํารงชีพ นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญ (ช.ค.บ.) และการจ่ายบําเหน็จดํารงชีพ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยกรมบัญชีกลางได้ร่างหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขอรับบําเหน็จดํารงชีพที่ได้ขยายเพดานของวงเงินบําเหน็จดํารงชีพให้แก่ผู้รับบํานาญซึ่งมีอายุตั้งแต่ 70 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพิ่มอีก 100,000 บาท จากเดิมที่ให้ขอรับได้ ในอัตรา 15 เท่าของบํานาญรายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน 400,000 บาท เป็น ให้ขอรับได้ในอัตรา 15 เท่าของบํานาญรายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ทั้งนี้ ผู้รับบํานาญที่มีสิทธิขอรับบําเหน็จดํารงชีพเพิ่มให้ติดต่อส่วนราชการต้นสังกัด เพื่อกรอกแบบฟอร์มการขอรับเงินและยินยอมให้หักเงินชําระหนี้ จากนั้น กรมบัญชีกลางจะประสานความร่วมมือกับธนาคารทุกแห่ง ขอให้ธนาคารตรวจสอบข้อมูลผู้รับบํานาญที่ได้ยื่นใช้สิทธิบําเหน็จค้ําประกันในการกู้เงินกับสถาบันการเงินว่าผู้มีสิทธิ แต่ละรายที่ยื่นความประสงค์ มียอดเงินกู้คงเหลือจํานวนเท่าใด และส่งข้อมูลกลับมายังกรมบัญชีกลาง เพื่อนําข้อมูลหนี้คงเหลือมาหักกลบลบกันกับบําเหน็จดํารงชีพที่มีสิทธิได้รับ เพื่อชําระหนี้บําเหน็จค้ําประกันคืนให้กับธนาคารก่อน เช่น ในกรณียอดหนี้เกินกว่าจํานวนเงินบําเหน็จดํารงชีพที่ได้รับเพิ่ม เงินจํานวนดังกล่าวจะถูกนํามาหักชําระหนี้ที่คงเหลือทั้งหมด แต่ถ้ายอดหนี้ไม่เกินจํานวนเงินบําเหน็จดํารงชีพที่ได้รับเพิ่ม จะนําเงินดังกล่าวไปชําระหนี้ให้กับธนาคารก่อนแล้วจึงจะได้รับเงินส่วนที่เหลือ และเพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกให้กับผู้รับบํานาญ กรมบัญชีกลางได้ขอให้ธนาคารเปิดบัญชีให้กับผู้รับบํานาญตามข้อมูลที่กรมส่งให้ โดยไม่ต้องไปติดต่อกับธนาคารด้วยตนเอง ในเรื่องของการเปิดบัญชีธนาคาร กรมบัญชีกลางจะหารือกับสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ดําเนินการผ่อนคลายเงื่อนไขนี้เช่นเดียวกับการเปิดบัญชีให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เคยดําเนินการไปก่อนหน้านี้ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ในส่วนของผู้รับบํานาญที่ประสงค์ขอรับบําเหน็จดํารงชีพเพิ่ม ขอให้ไปติดต่อ ส่วนราชการต้นสังกัดของผู้รับบํานาญ และกรอกแบบฟอร์มการขอรับเงินบําเหน็จดํารงชีพ เมื่อตรวจสอบข้อมูลแล้ว กรมบัญชีกลางจะดําเนินการจ่ายเงินดังกล่าวเข้าบัญชีธนาคารโดยตรง กฎหมายดังกล่าวต้องการช่วยเหลือผู้รับบํานาญ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้คงที่ได้บรรเทาความเดือดร้อนจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ให้สามารถดํารงชีพอยู่ได้อย่างเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18354
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ นำคณะนายกรัฐมนตรีเวียดนามเยี่ยมเยือนชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในจังหวัดนครพนม
วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 รมว.ดิจิทัลฯ นําคณะนายกรัฐมนตรีเวียดนามเยี่ยมเยือนชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในจังหวัดนครพนม รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะรัฐมนตรีเกียรติยศ ได้เดินทางร่วมคณะ นายเหวียน ซวน ฟุก (Nguyen Xuan Phuc) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม พร้อมภริยา เพื่อเข้าสักการะและวางพวงมาลารูปปั้นประธานาธิบดีโฮจิมินห์ และปลูกต้นจําปีเป็นที่ระลึก ณ อนุสรณ์สถานประธานาธิบดีโฮจิมินห์ หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม หมู่บ้านนาจอก ตําบลหนองญาติ อําเภอเมือง จังหวัดนครพนม พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ยังได้มีโอกาสพบปะกับประชาชนชาวไทยเชื้อสายเวียดนามจากจังหวัดต่างๆ ที่พร้อมกันแต่งกายด้วยชุดประจําชาติเวียดนามมาต้อนรับ โดยนายรัฐมนตรีเวียดนาม ได้ทักทายกับพี่น้องชาวไทยเชื้อสายเวียดนามตลอดการเยี่ยมเยือน จากนั้นได้เดินทางไปที่ศูนย์มิตรภาพนครพนม – ฮานอย ตําบลในเมือง อําเภอเมือง จังหวัดนครพนม เพื่อเยี่ยมชมการเรียนการสอนภาษาเวียดนามให้กับเด็กนักเรียนในจังหวัดนครพนม ส่งเสริมความร่วมมือในการสอนภาษาไทยและเวียดนาม ก่อนเดินทางกลับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2560 *************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ นำคณะนายกรัฐมนตรีเวียดนามเยี่ยมเยือนชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในจังหวัดนครพนม วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 รมว.ดิจิทัลฯ นําคณะนายกรัฐมนตรีเวียดนามเยี่ยมเยือนชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในจังหวัดนครพนม รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะรัฐมนตรีเกียรติยศ ได้เดินทางร่วมคณะ นายเหวียน ซวน ฟุก (Nguyen Xuan Phuc) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม พร้อมภริยา เพื่อเข้าสักการะและวางพวงมาลารูปปั้นประธานาธิบดีโฮจิมินห์ และปลูกต้นจําปีเป็นที่ระลึก ณ อนุสรณ์สถานประธานาธิบดีโฮจิมินห์ หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม หมู่บ้านนาจอก ตําบลหนองญาติ อําเภอเมือง จังหวัดนครพนม พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ยังได้มีโอกาสพบปะกับประชาชนชาวไทยเชื้อสายเวียดนามจากจังหวัดต่างๆ ที่พร้อมกันแต่งกายด้วยชุดประจําชาติเวียดนามมาต้อนรับ โดยนายรัฐมนตรีเวียดนาม ได้ทักทายกับพี่น้องชาวไทยเชื้อสายเวียดนามตลอดการเยี่ยมเยือน จากนั้นได้เดินทางไปที่ศูนย์มิตรภาพนครพนม – ฮานอย ตําบลในเมือง อําเภอเมือง จังหวัดนครพนม เพื่อเยี่ยมชมการเรียนการสอนภาษาเวียดนามให้กับเด็กนักเรียนในจังหวัดนครพนม ส่งเสริมความร่วมมือในการสอนภาษาไทยและเวียดนาม ก่อนเดินทางกลับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2560 *************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6147
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคาซัคสถานประจำประเทศไทยในโอกาสเข้ารับหน้าที่
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคาซัคสถานประจําประเทศไทยในโอกาสเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรี ก.อุตฯ ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคาซัคสถานประจําประเทศไทยในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องรับรอง 1 กระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (19 มกราคม 2561) นางสาวราอูชัน เยสบูลาโตวา (Ms. Raushan Yesbulatova) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถานประจําประเทศไทย ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องรับรอง 1 กระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคาซัคสถานประจำประเทศไทยในโอกาสเข้ารับหน้าที่ วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคาซัคสถานประจําประเทศไทยในโอกาสเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรี ก.อุตฯ ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคาซัคสถานประจําประเทศไทยในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องรับรอง 1 กระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (19 มกราคม 2561) นางสาวราอูชัน เยสบูลาโตวา (Ms. Raushan Yesbulatova) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถานประจําประเทศไทย ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องรับรอง 1 กระทรวงอุตสาหกรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9506
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ เสริมสร้างความรู้แก่นักบริหารการคมนาคม รุ่นที่ ๑๐ ย้ำความรับผิดชอบที่พึงมีต่อสังคมและประเทศชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561 ม.ล.ปนัดดาฯ เสริมสร้างความรู้แก่นักบริหารการคมนาคม รุ่นที่ ๑๐ ย้ําความรับผิดชอบที่พึงมีต่อสังคมและประเทศชาติ ม.ล.ปนัดดาฯ เสริมสร้างความรู้แก่นักบริหารการคมนาคม รุ่นที่ ๑๐ ย้ําความรับผิดชอบที่พึงมีต่อสังคมและประเทศชาติ เมื่อวันพุธที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษ เรื่อง “ศาสตร์พระราชา แนวคิดและคําสอนของพ่อ” แก่ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจของกระทรวงคมนาคม ที่เข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตร “'นักบริหารการคมนาคม รุ่นที่ ๑๐การสร้างผู้นําคมนาคมรุ่นใหม่สู่การเปลี่ยนแปลง” ณ ห้องชมนภา (ชั้น ๒) โรงแรมเอสดี อเวนิว ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า “ศาสตร์พระราชาและหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙และพระราชดํารัสคําสอนของสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ ๑๐สอนให้เราทุกคนผู้เป็นข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ รู้ซึ้งถึงความหมายของความรับผิดชอบที่ตนพึงมีต่อสังคมและประเทศชาติ เป็นคนดีที่ต้องรักษาความดีที่เกิดขึ้นแก่ตัวให้มีความสม่ําเสมอ แบบอย่างแห่งพระองค์ท่าน คือ ความสง่างามอย่างที่สุดของผู้เป็นข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ กล่าวคือ ความเพียร ความซื่อตรง การวางตัวที่เหมาะสม ไม่มาก ไม่น้อย มีความเสมอต้นเสมอปลายในการรักษาชื่อเสียงเกียรติคุณ ขององค์กรและประเทศชาติ การกระทําที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กลับกลายเป็นความเสียหายเสียชื่อเสียงแก่ส่วนราชการ ย่อมยังผลกระทบต่อความรู้สึกของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกภาคส่วน หาใช่กระทรวงใคร กระทรวงเขา กรมใครกรมเขา รัฐวิสาหกิจใครรัฐวิสาหกิจเขา หรือแม้แต่จังหวัดใครจังหวัดเขา อําเภอใครอําเภอเขา อปท.ใคร อปท.เขา เสียที่ไหนกัน ในเมื่อความรับผิดชอบมีความหมายถึง ความเกี่ยวพันกันทั้งระบบ ดีครบถ้วนก็คือความดีอันสมบูรณ์แบบทั้งระบบ เราทุกหน่วยต้องช่วยกัน ตรวจตราดูแลไม่ให้เกิดความผิดพลาดทั้งทางยุทธศาสตร์ที่เป็นหัวใจ ยุทธวิธีที่เป็นธงชัยนําทาง และผลลัพธ์จากการปฏิบัติที่ปรากฏ ความเป็นเอกภาพของระบบราชการ คือ ความเป็นแบบอย่างแก่กัน ในทางที่ถูกที่ควร ไม่ใช่แบบอย่างของการกระทําผิด หรือความบกพร่องเสียหาย ผู้บังคับบัญชาของวิทยากรเคยสั่งสอนอบรมข้าราชการ รุ่นเดียวกับวิทยากรว่า ปฏิบัติงานใดๆ ความรับผิดชอบต้องนําหน้าการใช้อํานาจ ผู้บริหารที่ประสบความสําเร็จ แต่ครั้งอดีต คือ การมีความรับผิดชอบเป็นธงชัย ในทางตรงข้าม การใช้อํานาจที่มากมายเกินเหตุจะทําให้ ตัวเราหลงทางและไม่ประสบความสําเร็จ หลักคิดว่าด้วยศาสตร์พระราชา คือ ความเรียบง่าย ความพอเพียง ความซื่อตรง และมีความสุจริตต่อหน้าที่รับผิดชอบ ความสุจริตของทุกภาคส่วน ถือเป็นหน้าเป็นตา (remarkable) แก่ระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ปราศจากหลักคิดนี้อย่างเคร่งครัด คือ ความยากลําบากอย่างที่สุดในการขับเคลื่อนองค์กรและบ้านเมือง แนวคิดดังกล่าวนี้ อารยประเทศจึงถือว่า มีความสําคัญเป็นอันดับแรก”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ เสริมสร้างความรู้แก่นักบริหารการคมนาคม รุ่นที่ ๑๐ ย้ำความรับผิดชอบที่พึงมีต่อสังคมและประเทศชาติ วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561 ม.ล.ปนัดดาฯ เสริมสร้างความรู้แก่นักบริหารการคมนาคม รุ่นที่ ๑๐ ย้ําความรับผิดชอบที่พึงมีต่อสังคมและประเทศชาติ ม.ล.ปนัดดาฯ เสริมสร้างความรู้แก่นักบริหารการคมนาคม รุ่นที่ ๑๐ ย้ําความรับผิดชอบที่พึงมีต่อสังคมและประเทศชาติ เมื่อวันพุธที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษ เรื่อง “ศาสตร์พระราชา แนวคิดและคําสอนของพ่อ” แก่ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจของกระทรวงคมนาคม ที่เข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตร “'นักบริหารการคมนาคม รุ่นที่ ๑๐การสร้างผู้นําคมนาคมรุ่นใหม่สู่การเปลี่ยนแปลง” ณ ห้องชมนภา (ชั้น ๒) โรงแรมเอสดี อเวนิว ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า “ศาสตร์พระราชาและหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙และพระราชดํารัสคําสอนของสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ ๑๐สอนให้เราทุกคนผู้เป็นข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ รู้ซึ้งถึงความหมายของความรับผิดชอบที่ตนพึงมีต่อสังคมและประเทศชาติ เป็นคนดีที่ต้องรักษาความดีที่เกิดขึ้นแก่ตัวให้มีความสม่ําเสมอ แบบอย่างแห่งพระองค์ท่าน คือ ความสง่างามอย่างที่สุดของผู้เป็นข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ กล่าวคือ ความเพียร ความซื่อตรง การวางตัวที่เหมาะสม ไม่มาก ไม่น้อย มีความเสมอต้นเสมอปลายในการรักษาชื่อเสียงเกียรติคุณ ขององค์กรและประเทศชาติ การกระทําที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กลับกลายเป็นความเสียหายเสียชื่อเสียงแก่ส่วนราชการ ย่อมยังผลกระทบต่อความรู้สึกของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกภาคส่วน หาใช่กระทรวงใคร กระทรวงเขา กรมใครกรมเขา รัฐวิสาหกิจใครรัฐวิสาหกิจเขา หรือแม้แต่จังหวัดใครจังหวัดเขา อําเภอใครอําเภอเขา อปท.ใคร อปท.เขา เสียที่ไหนกัน ในเมื่อความรับผิดชอบมีความหมายถึง ความเกี่ยวพันกันทั้งระบบ ดีครบถ้วนก็คือความดีอันสมบูรณ์แบบทั้งระบบ เราทุกหน่วยต้องช่วยกัน ตรวจตราดูแลไม่ให้เกิดความผิดพลาดทั้งทางยุทธศาสตร์ที่เป็นหัวใจ ยุทธวิธีที่เป็นธงชัยนําทาง และผลลัพธ์จากการปฏิบัติที่ปรากฏ ความเป็นเอกภาพของระบบราชการ คือ ความเป็นแบบอย่างแก่กัน ในทางที่ถูกที่ควร ไม่ใช่แบบอย่างของการกระทําผิด หรือความบกพร่องเสียหาย ผู้บังคับบัญชาของวิทยากรเคยสั่งสอนอบรมข้าราชการ รุ่นเดียวกับวิทยากรว่า ปฏิบัติงานใดๆ ความรับผิดชอบต้องนําหน้าการใช้อํานาจ ผู้บริหารที่ประสบความสําเร็จ แต่ครั้งอดีต คือ การมีความรับผิดชอบเป็นธงชัย ในทางตรงข้าม การใช้อํานาจที่มากมายเกินเหตุจะทําให้ ตัวเราหลงทางและไม่ประสบความสําเร็จ หลักคิดว่าด้วยศาสตร์พระราชา คือ ความเรียบง่าย ความพอเพียง ความซื่อตรง และมีความสุจริตต่อหน้าที่รับผิดชอบ ความสุจริตของทุกภาคส่วน ถือเป็นหน้าเป็นตา (remarkable) แก่ระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ปราศจากหลักคิดนี้อย่างเคร่งครัด คือ ความยากลําบากอย่างที่สุดในการขับเคลื่อนองค์กรและบ้านเมือง แนวคิดดังกล่าวนี้ อารยประเทศจึงถือว่า มีความสําคัญเป็นอันดับแรก”
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13041
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีน้อมรําลึกพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยภริยา ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร เพื่อบําเพ็ญกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระลานพระราชวังดุสิต กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2561 โดยมีนางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยผู้บริหารของสํานักงานปลัดกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัดฯ เข้าร่วมพิธีฯ จากนั้น รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันปิยมหาราช ซึ่งตรงกับวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ และน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย จากพระราชกรณียกิจต่างๆ โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีฯ ณ พระบรมราชานุสรณ์ พระลานพระราชวังดุสิต กรุงเทพฯ *************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีน้อมรําลึกพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยภริยา ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร เพื่อบําเพ็ญกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระลานพระราชวังดุสิต กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2561 โดยมีนางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยผู้บริหารของสํานักงานปลัดกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัดฯ เข้าร่วมพิธีฯ จากนั้น รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันปิยมหาราช ซึ่งตรงกับวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ และน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย จากพระราชกรณียกิจต่างๆ โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีฯ ณ พระบรมราชานุสรณ์ พระลานพระราชวังดุสิต กรุงเทพฯ *************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16279
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จัดสัมมนาร่างแผนยุทธศาสตร์การศึกษาจังหวัดปัตตานี 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560 ศธ.จัดสัมมนาร่างแผนยุทธศาสตร์การศึกษาจังหวัดปัตตานี 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับฟังผลการประชุมสัมมนาเพื่อจัดทําแผนยุทธศาสตร์การศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 20 ปี พ.ศ.2560-2579 ระดับจังหวัด ครั้งที่ 1 (จังหวัดปัตตานี)จ โดยนายอรรถสิทธิ์ รัตนแคล้ว ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต1ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี พร้อมด้วยข้าราชการครูและผู้บริหารทุกสังกัด เข้าร่วมการประชุมสัมมนาและนําเสนอร่างแผนยุทธศาสตร์การศึกษาจังหวัดปัตตานี20ปี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า จากการที่กระทรวงศึกษาธิการได้แถลง(ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ของกระทรวงศึกษาธิการเมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ณ หอประชุมค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่ได้จัดทําขึ้นโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยยึดตามยุทธศาสตร์พระราชทานคือ "การเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" ให้บรรลุตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) คือ ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และสอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2579) นโยบายการบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2560-2562 รวมทั้งแผนยุทธศาสตร์แบบบูรณาการด้านการศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ด้วยนั้น กลไกสําคัญในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 20 ปี มี 2 ระดับคือ1) ระดับอํานวยการโดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธาน2) ระดับการขับเคลื่อนแผนการปฏิบัติงานมีนายบุญรักษ์ ยอดเพชร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) เป็นประธาน ได้กําหนดให้มีการติดตามการทํางานตามแผนงานของแต่ละจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยกําหนดให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดทําแผนยุทธศาสตร์การศึกษาระดับจังหวัดทั้ง5จังหวัดชายแดนภาคใต้ และนําเสนอร่างแผนดังกล่าวเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้แผนจัดการศึกษาของแต่ละจังหวัดมีความสมบูรณ์ที่สุด สอดคล้องกับแผนใหญ่ในภาพรวม ก่อนที่จะมีการประกาศใช้ต่อไป ดังนั้น จึงได้จัดการประชุมสัมมนาเพื่อจัดทําร่างแผนยุทธศาสตร์การศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้20 ปี พ.ศ.2560-2579 ระดับจังหวัดขึ้นโดยเริ่มที่จังหวัดปัตตานีในครั้งนี้ จากนั้นจะจัดที่จังหวัดสงขลา/สตูล นราธิวาส และยะลา ตามลําดับต่อไป ร่างแผนยุทธศาสตร์การศึกษาจังหวัดปัตตานี20ปี(พ.ศ.2560-2579)ได้กําหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจเป้าประสงค์ และยุทธศาสตร์ ดังนี้ วิสัยทัศน์ "ประชาชนในจังหวัดปัตตานีได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างเป็นสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21" พันธกิจ 1. เสริมสร้างความมั่นคงแก่สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคมพหุวัฒนธรรมบนพื้นฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. พัฒนาคุณภาพการศึกษาทุกระดับสู่มาตรฐานสากล และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน 3. พัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษาแบบบูรณาการในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพตามหลักธรรมาภิบาล และรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 เป้าประสงค์ 1. ประชาชนในจังหวัดปัตตานียึดมั่นสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมือง มีคุณธรรม จริยธรรม อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม 2. ประชาชนในจังหวัดปัตตานีมีทักษะการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นทักษะการเรียนรู้ ทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน รวมทั้งทักษะการสื่อสาร และเทคโนโลยี สามารถพึ่งพาตนเองได้ 3. กําลังคนมีคุณภาพมีทักษะที่สําคัญและมีสมรรถนะตรงความต้องการของตลาดงาน เป็นฐานรองรับการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 4. หน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษามีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทันสมัย โปร่งใส มีการบูรณาการการทํางานทุกระดับในพื้นที่และมีส่วนร่วมจากประชาชน 5. ผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมายได้รับบริการทางการศึกษาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม 6. ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยุทธศาสตร์ 1. การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง 2. การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ 3. การผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะในการแข่งขัน 4. การสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางการศึกษา 5. การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 6. การพัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษา พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ได้กล่าวให้ข้อคิดในการจัดทําแผนด้วยว่าหากหน่วยงานใดมี"แผนดี-ปฏิบัติดี"ถือเป็นความสําเร็จและเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นอันดับ 1 แต่หาก"แผนไม่ดี-ปฏิบัติดี"ก็จะถือเป็นลําดับรองลงมา แต่หาก"แผนดี-ปฏิบัติไม่ดี"หรือไม่ตั้งใจทํางานกันก็เป็นลําดับที่ 3 แต่หาก"แผนไม่ดี-ปฏิบัติไม่ดีด้วย"ก็คือจะคาดหวังอะไรไม่ได้เลย ไม่มีอนาคต ซึ่งคงไม่อยากให้เกิดเช่นนั้น จึงขอให้ทุกท่านที่เข้าร่วมประชุมสัมมนาได้ร่วมกันกําหนดแผนบูรณาการจัดการศึกษาและแผนยุทธศาสตร์เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นความจําเป็นอย่างยิ่งยวดมากกว่าคิดวางแผนแต่ทฤษฎี ทั้งนี้ ส่วนตัวถือคติในการทํางาน"จงทํานามธรรมในความฝัน ให้เป็นรูปธรรมในความจริง"โดยการจัดทําแผนก็เหมือนกุศโลบายอย่างหนึ่ง ที่จะให้ทํานามธรรมหรือความใฝ่ฝันเพื่อนําไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งก็คือเป็นรูปธรรมจับต้องได้ นั่นคือประชาชนได้ประโยชน์ นักเรียนนักศึกษามีผลการเรียนสูงขึ้น เป็นต้น อย่างไรก็ตามอย่ากังวลเกี่ยวกับผลการทดสอบ O-NET ในปีนี้ของจังหวัดต่าง ๆ ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ซึ่งลดต่ําลงมาจากปีที่แล้วเพราะเกิดเหตุวิกฤตน้ําท่วมก่อนการสอบนานกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการนําปัจจัยทั้งเชิงบวกและเชิงลบมาวิเคราะห์อย่างละเอียด โดยภาพรวมแม้ผลสอบอาจจะต่ําลง แต่ในบางวิชาที่สําคัญ คือ ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ กลับมีคะแนนสูงขึ้น ซึ่งทําให้เห็นว่าการเรียนการสอนของโรงเรียนมีพัฒนาตามแนวทางที่ สพฐ.วางไว้ ซึ่งเป็นการทํางานร่วมกันมาอย่างใกล้ชิดจนส่งผลให้ตัวเลขเด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ และเด็กเขียนไม่คล่องลดลง ดังนั้น คะแนนการสอบที่ลดลงจึงไม่ใช่ลดลงแบบเสียหายโดยสิ้นเชิง แต่สิ่งที่สําคัญกว่าคือ ผลคะแนนการสอบเป็นความจริงที่ทําให้เห็นการลดช่องว่างที่ห่างจากพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ จึงได้ย้ํากับหน่วยงานทางการศึกษาว่า หากจะรายงานข้อเท็จจริง ต้องพูดให้หมดว่า"แม้การศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้จะยังคงอยู่รั้งท้ายของประเทศ แต่ก็มีระดับคะแนนที่ดีขึ้นเป็นห้วง ๆ และช่องว่างห่างจากพื้นที่ปกติลดลงเรื่อย ๆ"ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทุกท่านได้ร่วมแรงร่วมใจกันยกระดับคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ สิ่งสําคัญที่สุดซึ่ง สพฐ.ดําเนินการจนเห็นผลชัดเจนถึงการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน คือ "กิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Active Learning"ที่ส่งผลให้คุณภาพการเรียนการสอนดีขึ้นทุกวิชา จึงขอแจ้งเป็นนโยบายให้ สพฐ. เร่งดําเนินการอย่างเต็มที่เต็มระบบในเทอมหน้า นอกจากนี้เมื่อนําเสนอร่างแผนการศึกษาจังหวัดปัตตานี20ปี ให้ กศจ.ปัตตานี ได้เห็นชอบการดําเนินงานตามแผนแล้วจะต้องมีการทบทวนแผนเป็นห้วง ๆ ละ 5 ปี แต่หลังจากดําเนินการไปแล้ว 1 ปี ขอให้มีการทบทวนแผน เพราะหากก้าวแรกมีความมั่นคง จะนําไปสู่ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง จึงย้ําว่า"การขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ" เป็นส่วนที่สําคัญมาก รวมทั้ง"การสร้างการรับรู้และการสร้างความเข้าใจ" ถือเป็นเรื่องจําเป็นอย่างยิ่ง โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ต้องไปถ่ายทอด บอกเล่าให้บุคลากรในโรงเรียน หรือผู้ปกครอง ชุมชนได้รับทราบเกี่ยวกับแผนฯ ซึ่งเราร่วมกันจัดทําขึ้น ดังนั้น การสร้างการรับรู้จึงไม่ใช่เพียงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การออกข่าวลงเว็บไซต์ต่าง ๆ เท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการสื่อสาร แต่ตัวท่านจะเป็นคนที่มีบทบาทสําคัญที่สุดต่อการสร้างการรับรู้และการสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น โอกาสนี้พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ ได้ขอให้หน่วยงานและสถานศึกษาต่าง ๆ น้อมนําเรื่องของศาสตร์พระราชา หลักการทรงงาน เกษตรทฤษฎีใหม่ และยุทธศาสตร์พระราชทานที่ให้คนไทย "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" ซึ่งถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง นําไปใช้ปรับปรุงแผนจัดการศึกษาและนําไปสู่การปฏิบัติในการจัดการศึกษาของแต่ละพื้นที่ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยง และเห็นภาพรวมของการจัดการศึกษาในแต่ละพื้นที่ให้เกิดขึ้นและนําไปสู่การปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จัดสัมมนาร่างแผนยุทธศาสตร์การศึกษาจังหวัดปัตตานี 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560 ศธ.จัดสัมมนาร่างแผนยุทธศาสตร์การศึกษาจังหวัดปัตตานี 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับฟังผลการประชุมสัมมนาเพื่อจัดทําแผนยุทธศาสตร์การศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 20 ปี พ.ศ.2560-2579 ระดับจังหวัด ครั้งที่ 1 (จังหวัดปัตตานี)จ โดยนายอรรถสิทธิ์ รัตนแคล้ว ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต1ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี พร้อมด้วยข้าราชการครูและผู้บริหารทุกสังกัด เข้าร่วมการประชุมสัมมนาและนําเสนอร่างแผนยุทธศาสตร์การศึกษาจังหวัดปัตตานี20ปี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า จากการที่กระทรวงศึกษาธิการได้แถลง(ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ของกระทรวงศึกษาธิการเมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ณ หอประชุมค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่ได้จัดทําขึ้นโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยยึดตามยุทธศาสตร์พระราชทานคือ "การเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" ให้บรรลุตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) คือ ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และสอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2579) นโยบายการบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2560-2562 รวมทั้งแผนยุทธศาสตร์แบบบูรณาการด้านการศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ด้วยนั้น กลไกสําคัญในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 20 ปี มี 2 ระดับคือ1) ระดับอํานวยการโดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธาน2) ระดับการขับเคลื่อนแผนการปฏิบัติงานมีนายบุญรักษ์ ยอดเพชร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) เป็นประธาน ได้กําหนดให้มีการติดตามการทํางานตามแผนงานของแต่ละจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยกําหนดให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดทําแผนยุทธศาสตร์การศึกษาระดับจังหวัดทั้ง5จังหวัดชายแดนภาคใต้ และนําเสนอร่างแผนดังกล่าวเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้แผนจัดการศึกษาของแต่ละจังหวัดมีความสมบูรณ์ที่สุด สอดคล้องกับแผนใหญ่ในภาพรวม ก่อนที่จะมีการประกาศใช้ต่อไป ดังนั้น จึงได้จัดการประชุมสัมมนาเพื่อจัดทําร่างแผนยุทธศาสตร์การศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้20 ปี พ.ศ.2560-2579 ระดับจังหวัดขึ้นโดยเริ่มที่จังหวัดปัตตานีในครั้งนี้ จากนั้นจะจัดที่จังหวัดสงขลา/สตูล นราธิวาส และยะลา ตามลําดับต่อไป ร่างแผนยุทธศาสตร์การศึกษาจังหวัดปัตตานี20ปี(พ.ศ.2560-2579)ได้กําหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจเป้าประสงค์ และยุทธศาสตร์ ดังนี้ วิสัยทัศน์ "ประชาชนในจังหวัดปัตตานีได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างเป็นสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21" พันธกิจ 1. เสริมสร้างความมั่นคงแก่สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคมพหุวัฒนธรรมบนพื้นฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. พัฒนาคุณภาพการศึกษาทุกระดับสู่มาตรฐานสากล และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน 3. พัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษาแบบบูรณาการในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพตามหลักธรรมาภิบาล และรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 เป้าประสงค์ 1. ประชาชนในจังหวัดปัตตานียึดมั่นสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมือง มีคุณธรรม จริยธรรม อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม 2. ประชาชนในจังหวัดปัตตานีมีทักษะการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นทักษะการเรียนรู้ ทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน รวมทั้งทักษะการสื่อสาร และเทคโนโลยี สามารถพึ่งพาตนเองได้ 3. กําลังคนมีคุณภาพมีทักษะที่สําคัญและมีสมรรถนะตรงความต้องการของตลาดงาน เป็นฐานรองรับการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 4. หน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษามีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทันสมัย โปร่งใส มีการบูรณาการการทํางานทุกระดับในพื้นที่และมีส่วนร่วมจากประชาชน 5. ผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมายได้รับบริการทางการศึกษาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม 6. ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยุทธศาสตร์ 1. การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง 2. การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ 3. การผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะในการแข่งขัน 4. การสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางการศึกษา 5. การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 6. การพัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษา พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ได้กล่าวให้ข้อคิดในการจัดทําแผนด้วยว่าหากหน่วยงานใดมี"แผนดี-ปฏิบัติดี"ถือเป็นความสําเร็จและเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นอันดับ 1 แต่หาก"แผนไม่ดี-ปฏิบัติดี"ก็จะถือเป็นลําดับรองลงมา แต่หาก"แผนดี-ปฏิบัติไม่ดี"หรือไม่ตั้งใจทํางานกันก็เป็นลําดับที่ 3 แต่หาก"แผนไม่ดี-ปฏิบัติไม่ดีด้วย"ก็คือจะคาดหวังอะไรไม่ได้เลย ไม่มีอนาคต ซึ่งคงไม่อยากให้เกิดเช่นนั้น จึงขอให้ทุกท่านที่เข้าร่วมประชุมสัมมนาได้ร่วมกันกําหนดแผนบูรณาการจัดการศึกษาและแผนยุทธศาสตร์เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นความจําเป็นอย่างยิ่งยวดมากกว่าคิดวางแผนแต่ทฤษฎี ทั้งนี้ ส่วนตัวถือคติในการทํางาน"จงทํานามธรรมในความฝัน ให้เป็นรูปธรรมในความจริง"โดยการจัดทําแผนก็เหมือนกุศโลบายอย่างหนึ่ง ที่จะให้ทํานามธรรมหรือความใฝ่ฝันเพื่อนําไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งก็คือเป็นรูปธรรมจับต้องได้ นั่นคือประชาชนได้ประโยชน์ นักเรียนนักศึกษามีผลการเรียนสูงขึ้น เป็นต้น อย่างไรก็ตามอย่ากังวลเกี่ยวกับผลการทดสอบ O-NET ในปีนี้ของจังหวัดต่าง ๆ ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ซึ่งลดต่ําลงมาจากปีที่แล้วเพราะเกิดเหตุวิกฤตน้ําท่วมก่อนการสอบนานกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการนําปัจจัยทั้งเชิงบวกและเชิงลบมาวิเคราะห์อย่างละเอียด โดยภาพรวมแม้ผลสอบอาจจะต่ําลง แต่ในบางวิชาที่สําคัญ คือ ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ กลับมีคะแนนสูงขึ้น ซึ่งทําให้เห็นว่าการเรียนการสอนของโรงเรียนมีพัฒนาตามแนวทางที่ สพฐ.วางไว้ ซึ่งเป็นการทํางานร่วมกันมาอย่างใกล้ชิดจนส่งผลให้ตัวเลขเด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ และเด็กเขียนไม่คล่องลดลง ดังนั้น คะแนนการสอบที่ลดลงจึงไม่ใช่ลดลงแบบเสียหายโดยสิ้นเชิง แต่สิ่งที่สําคัญกว่าคือ ผลคะแนนการสอบเป็นความจริงที่ทําให้เห็นการลดช่องว่างที่ห่างจากพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ จึงได้ย้ํากับหน่วยงานทางการศึกษาว่า หากจะรายงานข้อเท็จจริง ต้องพูดให้หมดว่า"แม้การศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้จะยังคงอยู่รั้งท้ายของประเทศ แต่ก็มีระดับคะแนนที่ดีขึ้นเป็นห้วง ๆ และช่องว่างห่างจากพื้นที่ปกติลดลงเรื่อย ๆ"ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทุกท่านได้ร่วมแรงร่วมใจกันยกระดับคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ สิ่งสําคัญที่สุดซึ่ง สพฐ.ดําเนินการจนเห็นผลชัดเจนถึงการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน คือ "กิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Active Learning"ที่ส่งผลให้คุณภาพการเรียนการสอนดีขึ้นทุกวิชา จึงขอแจ้งเป็นนโยบายให้ สพฐ. เร่งดําเนินการอย่างเต็มที่เต็มระบบในเทอมหน้า นอกจากนี้เมื่อนําเสนอร่างแผนการศึกษาจังหวัดปัตตานี20ปี ให้ กศจ.ปัตตานี ได้เห็นชอบการดําเนินงานตามแผนแล้วจะต้องมีการทบทวนแผนเป็นห้วง ๆ ละ 5 ปี แต่หลังจากดําเนินการไปแล้ว 1 ปี ขอให้มีการทบทวนแผน เพราะหากก้าวแรกมีความมั่นคง จะนําไปสู่ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง จึงย้ําว่า"การขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ" เป็นส่วนที่สําคัญมาก รวมทั้ง"การสร้างการรับรู้และการสร้างความเข้าใจ" ถือเป็นเรื่องจําเป็นอย่างยิ่ง โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ต้องไปถ่ายทอด บอกเล่าให้บุคลากรในโรงเรียน หรือผู้ปกครอง ชุมชนได้รับทราบเกี่ยวกับแผนฯ ซึ่งเราร่วมกันจัดทําขึ้น ดังนั้น การสร้างการรับรู้จึงไม่ใช่เพียงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การออกข่าวลงเว็บไซต์ต่าง ๆ เท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการสื่อสาร แต่ตัวท่านจะเป็นคนที่มีบทบาทสําคัญที่สุดต่อการสร้างการรับรู้และการสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น โอกาสนี้พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ ได้ขอให้หน่วยงานและสถานศึกษาต่าง ๆ น้อมนําเรื่องของศาสตร์พระราชา หลักการทรงงาน เกษตรทฤษฎีใหม่ และยุทธศาสตร์พระราชทานที่ให้คนไทย "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" ซึ่งถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง นําไปใช้ปรับปรุงแผนจัดการศึกษาและนําไปสู่การปฏิบัติในการจัดการศึกษาของแต่ละพื้นที่ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยง และเห็นภาพรวมของการจัดการศึกษาในแต่ละพื้นที่ให้เกิดขึ้นและนําไปสู่การปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3234
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ จัดพิธีถวายราชสดุดี และถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560
วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2560 กระทรวงดิจิทัลฯ จัดพิธีถวายราชสดุดี และถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560 กระทรวงดิจิทัลฯ นางสาวรัจนา เนตรแสงทิพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีถวายราชสดุดี และถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560 พร้อมทั้งร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคลฯ เพื่อเป็นการน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความจงรักภักดีถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคลฯ ดังกล่าว โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมพิธีฯ อย่างพร้อมเพรียง เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2560 ณ บริเวณลานอเนกประสงค์ชั้น 6 กระทรวงดิจิทัลฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ *************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ จัดพิธีถวายราชสดุดี และถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560 วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2560 กระทรวงดิจิทัลฯ จัดพิธีถวายราชสดุดี และถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560 กระทรวงดิจิทัลฯ นางสาวรัจนา เนตรแสงทิพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีถวายราชสดุดี และถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560 พร้อมทั้งร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคลฯ เพื่อเป็นการน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความจงรักภักดีถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคลฯ ดังกล่าว โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมพิธีฯ อย่างพร้อมเพรียง เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2560 ณ บริเวณลานอเนกประสงค์ชั้น 6 กระทรวงดิจิทัลฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ *************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5938
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน "มหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง"
วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน "มหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน "มหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" พร้อมทั้งร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี487/2560 มหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน "มหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" พร้อมทั้งร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยพลังของนิสิตนักศึกษา ร่วมกับสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการในระยะที่ 2 เมื่อวันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2560 ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี ม.ร.ว. ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานมูลนิธิรากแก้ว, นายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ ตลอดจนคณาจารย์ และนิสิตนักศึกษา เข้าร่วมงาน ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานมูลนิธิรากแก้วกล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานให้แก่ประชาชนชาวไทยนั้น เป็นหลักปรัชญาที่เป็นที่ประจักษ์ทั้งในหมู่ประชาชนชาวไทยและนานาประเทศ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดําเนินชีวิต โดยมุ่งหวังให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในช่วงที่ผ่านมา สามารถทําได้ในระดับหนึ่งรัฐบาลจึงได้เพิ่มประสิทธิภาพด้วยการจัดทําแผนยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (พ.ศ.2557-2560) เพื่อเป็นแนวทางในการดํารงชีวิตของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน จนถึงระดับรัฐ และเพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายของหลักการดังกล่าว สถาบันการศึกษาถือเป็นกลไกที่มีความสําคัญต่อการขับเคลื่อนทั้งในด้านองค์ความรู้ บุคลากร พลังนิสิตนักศึกษา ในการสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งภารกิจเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างมีประสิทธิภาพจากกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ มูลนิธิรากแก้วในฐานะองค์กรที่มีพันธกิจในการสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพบนพื้นฐานของความเข้าใจปัญหาสังคมได้ดําเนินงานร่วมกับทุกฝ่าย และพร้อมที่จะร่วมบูรณาการกับกระทรวงศึกษาธิการในการส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษามีจิตอาสา และร่วมพัฒนาชุมชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยที่ผ่านมามูลนิธิฯ ได้รับอนุมัติให้ดําเนินการ “โครงการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยพลังนิสิตนักศึกษา” และได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ 4 สถาบันการศึกษา ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เพื่อขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามหลักการที่กําหนด ซึ่งการดําเนินงานได้มุ่งเน้นการนําศาสตร์พระราชามาผสมผสานกับความรู้ทางเศรษฐกิจ ทฤษฏี และความรู้ทางภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยได้ดําเนินโครงการพัฒนาชุมชนจนบังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ความสําเร็จที่เกิดขึ้นได้รับการสนับสนุนและร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งกระทรวงมหาดไทย, จังหวัดที่เป็นพื้นที่เป้าหมาย และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สําหรับการดําเนินงานในระยะต่อไป มูลนิธิรากแก้วมีแนวทางความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการในการขยายผลการขับเคลื่อนการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพิ่มขึ้นอีก 7 สถาบันการศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี, มหาวิทยาลัยพะเยา, มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และมหาวิทยาลัยทักษิณ โดยจะลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือของ 7 สถาบันการศึกษาดังกล่าว พร้อมทั้งส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการได้มีโอกาสนําเสนอผลการดําเนินงานและร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันประสบการณ์ เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดและขยายผลแก่สาธารณชนต่อไป นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า งานมหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าและขยายผลไปไกลกว่าเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวคือกิจกรรมนี้เป็นการวางรากฐานของอุปนิสัยที่ดีงาม (Character) ของนักเรียนนักศึกษาเพื่อให้เป็นพลเมืองที่ดีและมีทัศนคติที่ถูกต้องตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่10 โดยภาครัฐต้องร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษาร่วมกิจกรรมกับคนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมจิตอาสาหรือโครงการต่าง ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนการรับใช้ชุมชน เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยพัฒนาอุปนิสัยที่ดีงามซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ได้ในห้องเรียนได้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เน้นย้ําถึงการปลูกฝังให้เด็กทุกวัย รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ เนื่องจากปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตอยู่แล้ว อีกทั้งจะต้องสอนให้เด็กรู้จักคําว่า “พอเพียง” ด้วยการเรียนจากของจริง หรือเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ไม่ใช่เรียนจากคําที่เป็นนามธรรม โดยต้องส่งเสริมให้เด็กได้มีประสบการณ์ความพอเพียงด้วยตนเอง อาทิ การสอนให้เด็กเล็กซึมซับความพอเพียงจากพ่อแม่ ไม่ใช่ให้เด็กนั่งจินตนาการว่าความพอเพียงคืออะไร หรือการดําเนินชีวิต เพราะเมื่อเด็กโตขึ้นก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในชุมชนที่ไม่ใช่คนในครอบครัว จึงมีความจําเป็นต้องสอนให้เด็กรู้ว่าการใช้ชีวิตในสังคมจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร เป็นต้น อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน "มหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน "มหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน "มหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" พร้อมทั้งร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี487/2560 มหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน "มหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" พร้อมทั้งร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยพลังของนิสิตนักศึกษา ร่วมกับสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการในระยะที่ 2 เมื่อวันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2560 ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี ม.ร.ว. ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานมูลนิธิรากแก้ว, นายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ ตลอดจนคณาจารย์ และนิสิตนักศึกษา เข้าร่วมงาน ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานมูลนิธิรากแก้วกล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานให้แก่ประชาชนชาวไทยนั้น เป็นหลักปรัชญาที่เป็นที่ประจักษ์ทั้งในหมู่ประชาชนชาวไทยและนานาประเทศ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดําเนินชีวิต โดยมุ่งหวังให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในช่วงที่ผ่านมา สามารถทําได้ในระดับหนึ่งรัฐบาลจึงได้เพิ่มประสิทธิภาพด้วยการจัดทําแผนยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (พ.ศ.2557-2560) เพื่อเป็นแนวทางในการดํารงชีวิตของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน จนถึงระดับรัฐ และเพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายของหลักการดังกล่าว สถาบันการศึกษาถือเป็นกลไกที่มีความสําคัญต่อการขับเคลื่อนทั้งในด้านองค์ความรู้ บุคลากร พลังนิสิตนักศึกษา ในการสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งภารกิจเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างมีประสิทธิภาพจากกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ มูลนิธิรากแก้วในฐานะองค์กรที่มีพันธกิจในการสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพบนพื้นฐานของความเข้าใจปัญหาสังคมได้ดําเนินงานร่วมกับทุกฝ่าย และพร้อมที่จะร่วมบูรณาการกับกระทรวงศึกษาธิการในการส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษามีจิตอาสา และร่วมพัฒนาชุมชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยที่ผ่านมามูลนิธิฯ ได้รับอนุมัติให้ดําเนินการ “โครงการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยพลังนิสิตนักศึกษา” และได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ 4 สถาบันการศึกษา ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เพื่อขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามหลักการที่กําหนด ซึ่งการดําเนินงานได้มุ่งเน้นการนําศาสตร์พระราชามาผสมผสานกับความรู้ทางเศรษฐกิจ ทฤษฏี และความรู้ทางภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยได้ดําเนินโครงการพัฒนาชุมชนจนบังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ความสําเร็จที่เกิดขึ้นได้รับการสนับสนุนและร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งกระทรวงมหาดไทย, จังหวัดที่เป็นพื้นที่เป้าหมาย และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สําหรับการดําเนินงานในระยะต่อไป มูลนิธิรากแก้วมีแนวทางความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการในการขยายผลการขับเคลื่อนการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพิ่มขึ้นอีก 7 สถาบันการศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี, มหาวิทยาลัยพะเยา, มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และมหาวิทยาลัยทักษิณ โดยจะลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือของ 7 สถาบันการศึกษาดังกล่าว พร้อมทั้งส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการได้มีโอกาสนําเสนอผลการดําเนินงานและร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันประสบการณ์ เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดและขยายผลแก่สาธารณชนต่อไป นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า งานมหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าและขยายผลไปไกลกว่าเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวคือกิจกรรมนี้เป็นการวางรากฐานของอุปนิสัยที่ดีงาม (Character) ของนักเรียนนักศึกษาเพื่อให้เป็นพลเมืองที่ดีและมีทัศนคติที่ถูกต้องตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่10 โดยภาครัฐต้องร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษาร่วมกิจกรรมกับคนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมจิตอาสาหรือโครงการต่าง ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนการรับใช้ชุมชน เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยพัฒนาอุปนิสัยที่ดีงามซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ได้ในห้องเรียนได้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เน้นย้ําถึงการปลูกฝังให้เด็กทุกวัย รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ เนื่องจากปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตอยู่แล้ว อีกทั้งจะต้องสอนให้เด็กรู้จักคําว่า “พอเพียง” ด้วยการเรียนจากของจริง หรือเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ไม่ใช่เรียนจากคําที่เป็นนามธรรม โดยต้องส่งเสริมให้เด็กได้มีประสบการณ์ความพอเพียงด้วยตนเอง อาทิ การสอนให้เด็กเล็กซึมซับความพอเพียงจากพ่อแม่ ไม่ใช่ให้เด็กนั่งจินตนาการว่าความพอเพียงคืออะไร หรือการดําเนินชีวิต เพราะเมื่อเด็กโตขึ้นก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในชุมชนที่ไม่ใช่คนในครอบครัว จึงมีความจําเป็นต้องสอนให้เด็กรู้ว่าการใช้ชีวิตในสังคมจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร เป็นต้น อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6741
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม มอบน้ำตาลทราย ครั้งที่ 4 จำนวน 4,200 กิโลกรัม เพื่อนำไปประกอบอาหารและแจกจ่ายประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพฯ
วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2560 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม มอบน้ําตาลทราย ครั้งที่ 4 จํานวน 4,200 กิโลกรัม เพื่อนําไปประกอบอาหารและแจกจ่ายประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพฯ รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม มอบน้ําตาลทราย ครั้งที่ 4 จํานวน 4,200 กิโลกรัม เพื่อนําไปประกอบอาหารและแจกจ่ายประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพฯ ณ บริเวณเต็นท์ กอร.รส. ท้องสนามหลวง วันนี้ (25 สิงหาคม 2560) รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม นําโดยนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบน้ําตาลทราย ครั้งที่ 4 จํานวน 4,200 กิโลกรัม ให้กับผู้แทน กอร.รส เพื่อนําไปประกอบอาหารและแจกจ่ายประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ บริเวณเต็นท์ กอร.รส. ท้องสนามหลวง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม มอบน้ำตาลทราย ครั้งที่ 4 จำนวน 4,200 กิโลกรัม เพื่อนำไปประกอบอาหารและแจกจ่ายประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพฯ วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2560 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม มอบน้ําตาลทราย ครั้งที่ 4 จํานวน 4,200 กิโลกรัม เพื่อนําไปประกอบอาหารและแจกจ่ายประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพฯ รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม มอบน้ําตาลทราย ครั้งที่ 4 จํานวน 4,200 กิโลกรัม เพื่อนําไปประกอบอาหารและแจกจ่ายประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพฯ ณ บริเวณเต็นท์ กอร.รส. ท้องสนามหลวง วันนี้ (25 สิงหาคม 2560) รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม นําโดยนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบน้ําตาลทราย ครั้งที่ 4 จํานวน 4,200 กิโลกรัม ให้กับผู้แทน กอร.รส เพื่อนําไปประกอบอาหารและแจกจ่ายประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ บริเวณเต็นท์ กอร.รส. ท้องสนามหลวง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6203
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีและบริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีและบริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย กรมบังคับคดีและบริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย ในวันพฤหัสบดีที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. กรมบังคับคดีร่วมกับบริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย โดยมีนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี และนายอากิระ สึโบอิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย ณ ห้องประชุมคชสาร ๒ ชั้น ๓ อาคารกรมบังคับคดี นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างกรมบังคับคดี และบริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบยืนยันข้อมูลบุคคลล้มละลาย ความสามารถในการทํานิติกรรมของลูกค้า และ/หรือลูกหนี้ เนื่องจากลูกหนี้ที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์อํานาจในการจัดกิจการทรัพย์สินจะตกอยู่กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว ลูกหนี้ไม่สามารถทํานิติกรรมใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินได้ทั้งสิ้น ในการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลายครั้งนี้ กรมบังคับคดีและบริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด จะได้ร่วมกันประเมินการใช้ระบบเพื่อปรับปรุงระบบงานให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการต่อไป ปัจจุบันกรมบังคับคดีได้ทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลายกับหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนที่ต้องการนําข้อมูลบุคคลล้มละลายไปใช้ตรวจสอบยืนยันข้อมูล จํานวน ๓๖ หน่วยงาน ทั้งนี้ การเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลายเป็นการดําเนินการตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องการบูรณาการข้อมูล ระหว่างหน่วยงานภาครัฐให้สามารถอํานวยความสะดวกให้กับหน่วยงานและผู้รับบริการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีและบริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีและบริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย กรมบังคับคดีและบริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย ในวันพฤหัสบดีที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. กรมบังคับคดีร่วมกับบริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย โดยมีนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี และนายอากิระ สึโบอิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย ณ ห้องประชุมคชสาร ๒ ชั้น ๓ อาคารกรมบังคับคดี นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างกรมบังคับคดี และบริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบยืนยันข้อมูลบุคคลล้มละลาย ความสามารถในการทํานิติกรรมของลูกค้า และ/หรือลูกหนี้ เนื่องจากลูกหนี้ที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์อํานาจในการจัดกิจการทรัพย์สินจะตกอยู่กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว ลูกหนี้ไม่สามารถทํานิติกรรมใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินได้ทั้งสิ้น ในการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลายครั้งนี้ กรมบังคับคดีและบริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด จะได้ร่วมกันประเมินการใช้ระบบเพื่อปรับปรุงระบบงานให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการต่อไป ปัจจุบันกรมบังคับคดีได้ทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลายกับหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนที่ต้องการนําข้อมูลบุคคลล้มละลายไปใช้ตรวจสอบยืนยันข้อมูล จํานวน ๓๖ หน่วยงาน ทั้งนี้ การเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลายเป็นการดําเนินการตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องการบูรณาการข้อมูล ระหว่างหน่วยงานภาครัฐให้สามารถอํานวยความสะดวกให้กับหน่วยงานและผู้รับบริการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16664
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กป้อม” กำชับ! ๓๑ มี.ค. ๒๕๖๑ ปลอดแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย สร้างความเข้าใจการใช้แรงงานถูกกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2560 “บิ๊กป้อม” กําชับ! ๓๑ มี.ค. ๒๕๖๑ ปลอดแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย สร้างความเข้าใจการใช้แรงงานถูกกฎหมายอย่างต่อเนื่อง รองนายกฯ ประวิตร เน้นย้ําในที่ประชุม กนร. ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ต้องไม่มีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๐๐ น. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (กนร.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น ๕ อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน คณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมการประชุม ซึ่งในครั้งนี้คณะกรรมการฯ ได้ร่วมกันพิจารณา การจัดระบบฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย ที่แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ แรงงานต่างด้าวทํางานในกิจการประมงทะเลและกิจการแปรรูปสัตว์น้ํา กลุ่มที่ ๒ แรงงานที่ผ่านการตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้าง – ลูกจ้าง (กลุ่มตามคําสั่ง คสช. ที่ ๓๓/๒๕๖๐) และกลุ่มที่ ๓ แรงงานต่างด้าวที่ถือบัตรประจําตัวผู้ซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบให้กระทรวงแรงงานนําเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีอํานาจในการกําหนดเลขประจําตัว ๑๓ หลัก ให้กับแรงงานต่างด้าว โดยพลเอกประวิตรฯ ได้สั่งการต่อที่ประชุมฯ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับประเทศต้นทางในการเร่งตรวจสัญชาติให้กับแรงงาน เพื่อสิทธิประโยชน์และการคุ้มครองที่แรงงานจะได้รับเมื่อผ่านการตรวจสัญชาติเรียบร้อยแล้ว ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการตามแนวทางที่คณะกรรมการฯ เห็นชอบ เพื่อให้การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ในด้านบวกของประเทศไทยในระดับสากล ๓. ให้กระทรวงแรงงานประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารการจ้างงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้นายจ้าง แรงงาน และประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้และเกิดความรับผิดชอบต่อส่วนรวมร่วมกัน ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมว่า รัฐบาลมีนโยบายสําคัญในการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวให้หมดสิ้น โดยภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ จะต้องไม่มีแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายอีกต่อไป และในการบริหารจัดการควรมีฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวฐานเดียวที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานจะพิจารณาการจ้างงานแรงงานต่างด้าว โดยคํานึงถึงความเหมาะสมกับความต้องการของตลาดแรงงานในแต่ละกลุ่มอาชีพ หากสถานประกอบการหรือนักลงทุนมีความต้องการแรงงานต่างด้าวเพิ่ม จะต้องดําเนินการในรูปแบบการนําเข้าแรงงานต่างด้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) หรือการทําข้อตกลงระหว่างบริษัทจัดหางานที่ถูกต้องตามกฎหมายของทั้งสองประเทศดําเนินการร่วมกัน (MOU) “ทั้งนี้ เราต้องให้ความสําคัญกับแรงงานไทยเป็นอันดับแรก เนื่องจากปัจจุบันมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่สามารถวางแผนส่งเสริมให้คนไทยมีงานทําเพิ่มมากขึ้น จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนตามแนวทางประชารัฐ เพื่อให้คนไทยได้ทํางานอย่างมีศักดิ์ศรี” นายจรินทร์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กป้อม” กำชับ! ๓๑ มี.ค. ๒๕๖๑ ปลอดแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย สร้างความเข้าใจการใช้แรงงานถูกกฎหมายอย่างต่อเนื่อง วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2560 “บิ๊กป้อม” กําชับ! ๓๑ มี.ค. ๒๕๖๑ ปลอดแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย สร้างความเข้าใจการใช้แรงงานถูกกฎหมายอย่างต่อเนื่อง รองนายกฯ ประวิตร เน้นย้ําในที่ประชุม กนร. ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ต้องไม่มีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๐๐ น. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (กนร.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น ๕ อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน คณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมการประชุม ซึ่งในครั้งนี้คณะกรรมการฯ ได้ร่วมกันพิจารณา การจัดระบบฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย ที่แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ แรงงานต่างด้าวทํางานในกิจการประมงทะเลและกิจการแปรรูปสัตว์น้ํา กลุ่มที่ ๒ แรงงานที่ผ่านการตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้าง – ลูกจ้าง (กลุ่มตามคําสั่ง คสช. ที่ ๓๓/๒๕๖๐) และกลุ่มที่ ๓ แรงงานต่างด้าวที่ถือบัตรประจําตัวผู้ซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบให้กระทรวงแรงงานนําเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีอํานาจในการกําหนดเลขประจําตัว ๑๓ หลัก ให้กับแรงงานต่างด้าว โดยพลเอกประวิตรฯ ได้สั่งการต่อที่ประชุมฯ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับประเทศต้นทางในการเร่งตรวจสัญชาติให้กับแรงงาน เพื่อสิทธิประโยชน์และการคุ้มครองที่แรงงานจะได้รับเมื่อผ่านการตรวจสัญชาติเรียบร้อยแล้ว ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการตามแนวทางที่คณะกรรมการฯ เห็นชอบ เพื่อให้การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ในด้านบวกของประเทศไทยในระดับสากล ๓. ให้กระทรวงแรงงานประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารการจ้างงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้นายจ้าง แรงงาน และประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้และเกิดความรับผิดชอบต่อส่วนรวมร่วมกัน ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมว่า รัฐบาลมีนโยบายสําคัญในการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวให้หมดสิ้น โดยภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ จะต้องไม่มีแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายอีกต่อไป และในการบริหารจัดการควรมีฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวฐานเดียวที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานจะพิจารณาการจ้างงานแรงงานต่างด้าว โดยคํานึงถึงความเหมาะสมกับความต้องการของตลาดแรงงานในแต่ละกลุ่มอาชีพ หากสถานประกอบการหรือนักลงทุนมีความต้องการแรงงานต่างด้าวเพิ่ม จะต้องดําเนินการในรูปแบบการนําเข้าแรงงานต่างด้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) หรือการทําข้อตกลงระหว่างบริษัทจัดหางานที่ถูกต้องตามกฎหมายของทั้งสองประเทศดําเนินการร่วมกัน (MOU) “ทั้งนี้ เราต้องให้ความสําคัญกับแรงงานไทยเป็นอันดับแรก เนื่องจากปัจจุบันมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่สามารถวางแผนส่งเสริมให้คนไทยมีงานทําเพิ่มมากขึ้น จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนตามแนวทางประชารัฐ เพื่อให้คนไทยได้ทํางานอย่างมีศักดิ์ศรี” นายจรินทร์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8314
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุมข้อราชการและติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับผู้ว่าฯ 5 จังหวัด
วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562 มท.1 ประชุมข้อราชการและติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับผู้ว่าฯ 5 จังหวัด มท.1 ประชุมข้อราชการและติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับผู้ว่าฯ 5 จังหวัด วันนี้ (6 ธ.ค. 62) เวลา 09.00 น.ที่ศาลากลางจังหวัดนราธิวาส พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมข้อราชการและติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส โดยมี นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พลโท พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาค4 เลขาธิการ ศอ.บต. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี สตูล สงขลา และนายอําเภอ ผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดนราธิวาส เข้าร่วมการประชุม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ในขณะนี้จังหวัดในภาคใต้กําลังเผชิญกับอุทกภัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจึงมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยมาเยี่ยมให้กําลังใจพี่น้องประชาชนในเรื่องอุทกภัย และจะถือโอกาสได้พบปะพูดคุยกับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ด้วย และกระทรวงมหาดไทยพร้อมที่จะสนับสนุนในทุกด้าน ขอให้พื้นที่ได้เสนอมา จากนั้น แม่ทัพภาคที่ 4 เลขาธิการ ศอ.บต. ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 5 จังหวัด และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รายงานสถานการณ์ทั้งด้านอุทกภัย ความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และข้อเสนอในการขอรับการสนับสนุนด้านต่าง ๆ จากกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า ในด้านความมั่นคง เรื่องเร่งด่วนที่ต้องดําเนินการ คือ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อลด demand และ supply ไปพร้อมกัน การลงทะเบียนผู้เข้าออกในพื้นที่เพื่อรักษาความสงบในพื้นที่ การดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่ โดยเจ้าหน้าที่ชุดต่าง ๆ เช่น ชรบ. อส. และ ชคบ.ฯลฯ และเรื่องบุคคลสองสัญชาติ เป็นต้น ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ ต้องรู้ความต้องการของประชาชน โดยใช้กลไกสภาตําบล เพื่อตอบสนองต่อประชาชนในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด รวมถึงการเร่งให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ ด้านความเหลื่อมล้ํา ในเรื่องการเข้าถึงที่ดิน การเร่งรัดการพิสูจน์สิทธิ์ การเร่งจัดสรรที่ดินทํากินให้พี่น้องประชาชน และด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้ดําเนินการตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยให้มีการทํางานอย่างเป็นระบบตั้งแต่การติดตาม ป้องกัน แก้ไข และฟื้นฟู ด้าน นายนิพนธ์ บุญญามณี กล่าวว่า ขอให้ทุกหน่วยงานดําเนินการขับเคลื่อนศูนย์ความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเตรียมเจ้าหน้าที่และงบประมาณเพื่อรองรับภารกิจนี้เพื่อให้ลดความสูญเสียจากเหตุทางถนนให้ได้ ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมาพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) การจัดตั้งเทศบาล และจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตําบล(อบต.) ให้ดูแลความสงบเรียบร้อย ดูแลด้านการจราจร ซึ่งท้องถิ่นสามารถตั้งงบประมาณในการดูแลเรื่องดังกล่าวได้ . กองสารนิเทศ สป.มท ครั้งที่ 207/2562 วันที่ 6 ธ.ค.2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุมข้อราชการและติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับผู้ว่าฯ 5 จังหวัด วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562 มท.1 ประชุมข้อราชการและติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับผู้ว่าฯ 5 จังหวัด มท.1 ประชุมข้อราชการและติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับผู้ว่าฯ 5 จังหวัด วันนี้ (6 ธ.ค. 62) เวลา 09.00 น.ที่ศาลากลางจังหวัดนราธิวาส พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมข้อราชการและติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส โดยมี นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พลโท พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาค4 เลขาธิการ ศอ.บต. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี สตูล สงขลา และนายอําเภอ ผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดนราธิวาส เข้าร่วมการประชุม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ในขณะนี้จังหวัดในภาคใต้กําลังเผชิญกับอุทกภัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจึงมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยมาเยี่ยมให้กําลังใจพี่น้องประชาชนในเรื่องอุทกภัย และจะถือโอกาสได้พบปะพูดคุยกับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ด้วย และกระทรวงมหาดไทยพร้อมที่จะสนับสนุนในทุกด้าน ขอให้พื้นที่ได้เสนอมา จากนั้น แม่ทัพภาคที่ 4 เลขาธิการ ศอ.บต. ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 5 จังหวัด และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รายงานสถานการณ์ทั้งด้านอุทกภัย ความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และข้อเสนอในการขอรับการสนับสนุนด้านต่าง ๆ จากกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า ในด้านความมั่นคง เรื่องเร่งด่วนที่ต้องดําเนินการ คือ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อลด demand และ supply ไปพร้อมกัน การลงทะเบียนผู้เข้าออกในพื้นที่เพื่อรักษาความสงบในพื้นที่ การดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่ โดยเจ้าหน้าที่ชุดต่าง ๆ เช่น ชรบ. อส. และ ชคบ.ฯลฯ และเรื่องบุคคลสองสัญชาติ เป็นต้น ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ ต้องรู้ความต้องการของประชาชน โดยใช้กลไกสภาตําบล เพื่อตอบสนองต่อประชาชนในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด รวมถึงการเร่งให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ ด้านความเหลื่อมล้ํา ในเรื่องการเข้าถึงที่ดิน การเร่งรัดการพิสูจน์สิทธิ์ การเร่งจัดสรรที่ดินทํากินให้พี่น้องประชาชน และด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้ดําเนินการตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยให้มีการทํางานอย่างเป็นระบบตั้งแต่การติดตาม ป้องกัน แก้ไข และฟื้นฟู ด้าน นายนิพนธ์ บุญญามณี กล่าวว่า ขอให้ทุกหน่วยงานดําเนินการขับเคลื่อนศูนย์ความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเตรียมเจ้าหน้าที่และงบประมาณเพื่อรองรับภารกิจนี้เพื่อให้ลดความสูญเสียจากเหตุทางถนนให้ได้ ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมาพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) การจัดตั้งเทศบาล และจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตําบล(อบต.) ให้ดูแลความสงบเรียบร้อย ดูแลด้านการจราจร ซึ่งท้องถิ่นสามารถตั้งงบประมาณในการดูแลเรื่องดังกล่าวได้ . กองสารนิเทศ สป.มท ครั้งที่ 207/2562 วันที่ 6 ธ.ค.2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25073
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมว.เกษตรฯ’ คุมเข้มมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ลุยฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อซ้ำทั่วกระทรวงฯ
วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 ‘รมว.เกษตรฯ’ คุมเข้มมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ลุยฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อซ้ําทั่วกระทรวงฯ ‘รมว.เกษตรฯ’ คุมเข้มมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ลุยฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อซ้ําทั่วกระทรวงฯ !! สร้างความมั่นใจให้กับผู้มาติดต่อราชการ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการ Kickoff จัดกิจกรรมทําความสะอาด Big Cleaning เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมาเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นนั้น เพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นใจให้กับข้าราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเกษตรกรที่มาติดต่อประสานงานเพื่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน รวมถึงประชาชนทั่วไป ตลอดจนมีความห่วงใยจึงได้สั่งการฆ่าเชื้ออย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 63 และ 28 มี.ค. 63 เพื่อสร้างความสะอาดตามมาตรการป้องกันและแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามนโยบายของรัฐบาล โดยดําเนินการฉีดพ่นน้ํายาทั่วบริเวณพื้นที่ภายในและรอบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อฆ่าเชื้อไวรัสต่าง ๆ เป็นการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มาติดต่อราชการและบุคลากรภายในหน่วยงาน โดยในการดําเนินการครั้งนี้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากบริษัทเอกชนผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนวัตกรรมล่าสุดจากเยอรมันที่มีประสิทธิภาพสูง อันประกอบด้วยเครื่องพ่นฝอยละเอียดเพื่อกําจัดเชื้อโรคและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในการกําจัดเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกําจัดได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์มาร่วมดําเนินการฉีดพ่นเพื่อกําจัดเชื้อโควิด-19 เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับทุกฝ่ายในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้มีมาตรการตั้งจุดคัดกรอง (จุดวัดไข้) ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้ากระทรวง โดยขอความร่วมมือผู้ที่มาติดต่อราชการ แบ่งเป็น 1) กรณีนํารถยนต์ส่วนตัวมา หากมีผู้โดยสารน้อยสามารถลดกระจกลงเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจวัดไข้ แต่หากนํารถตู้และมีผู้โดยสารหลายคน ขอความร่วมมือให้ลงจากรถเพื่อตรวจคัดกรอง และ 2) กรณีเดินทางมาเอง ต้องผ่านจุดคัดกรองที่ ประตู 1 และ ประตู 3 อีกทั้งอํานวยความสะดวกในการจัดวางเจลล้างมือฆ่าเชื้อโรคตามจุดต่าง ๆ ทั้งนี้ได้มีการเตรียมพร้อมที่จะดําเนินการด้านอื่น ๆ ตามแนวทางหรือคําแนะของกระทรวงสาธารณสุขต่อไป อย่างไรก็ตาม กรณีนักข่าวที่ร่วมเดินทางลงพื้นที่ซึ่งอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเมื่อช่วงต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมาจํานวน 11 คน และเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีก 11 คน รวม 22 คน นั้น รมว.เกษตรฯ ได้สั่งการให้ทั้งหมดเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สถาบันราชประชาสมาสัย อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา และผลการตรวจระบุว่าไม่พบเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้ง 22 คน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมว.เกษตรฯ’ คุมเข้มมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ลุยฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อซ้ำทั่วกระทรวงฯ วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 ‘รมว.เกษตรฯ’ คุมเข้มมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ลุยฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อซ้ําทั่วกระทรวงฯ ‘รมว.เกษตรฯ’ คุมเข้มมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ลุยฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อซ้ําทั่วกระทรวงฯ !! สร้างความมั่นใจให้กับผู้มาติดต่อราชการ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการ Kickoff จัดกิจกรรมทําความสะอาด Big Cleaning เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมาเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นนั้น เพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นใจให้กับข้าราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเกษตรกรที่มาติดต่อประสานงานเพื่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน รวมถึงประชาชนทั่วไป ตลอดจนมีความห่วงใยจึงได้สั่งการฆ่าเชื้ออย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 63 และ 28 มี.ค. 63 เพื่อสร้างความสะอาดตามมาตรการป้องกันและแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามนโยบายของรัฐบาล โดยดําเนินการฉีดพ่นน้ํายาทั่วบริเวณพื้นที่ภายในและรอบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อฆ่าเชื้อไวรัสต่าง ๆ เป็นการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มาติดต่อราชการและบุคลากรภายในหน่วยงาน โดยในการดําเนินการครั้งนี้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากบริษัทเอกชนผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนวัตกรรมล่าสุดจากเยอรมันที่มีประสิทธิภาพสูง อันประกอบด้วยเครื่องพ่นฝอยละเอียดเพื่อกําจัดเชื้อโรคและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในการกําจัดเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกําจัดได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์มาร่วมดําเนินการฉีดพ่นเพื่อกําจัดเชื้อโควิด-19 เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับทุกฝ่ายในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้มีมาตรการตั้งจุดคัดกรอง (จุดวัดไข้) ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้ากระทรวง โดยขอความร่วมมือผู้ที่มาติดต่อราชการ แบ่งเป็น 1) กรณีนํารถยนต์ส่วนตัวมา หากมีผู้โดยสารน้อยสามารถลดกระจกลงเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจวัดไข้ แต่หากนํารถตู้และมีผู้โดยสารหลายคน ขอความร่วมมือให้ลงจากรถเพื่อตรวจคัดกรอง และ 2) กรณีเดินทางมาเอง ต้องผ่านจุดคัดกรองที่ ประตู 1 และ ประตู 3 อีกทั้งอํานวยความสะดวกในการจัดวางเจลล้างมือฆ่าเชื้อโรคตามจุดต่าง ๆ ทั้งนี้ได้มีการเตรียมพร้อมที่จะดําเนินการด้านอื่น ๆ ตามแนวทางหรือคําแนะของกระทรวงสาธารณสุขต่อไป อย่างไรก็ตาม กรณีนักข่าวที่ร่วมเดินทางลงพื้นที่ซึ่งอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเมื่อช่วงต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมาจํานวน 11 คน และเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีก 11 คน รวม 22 คน นั้น รมว.เกษตรฯ ได้สั่งการให้ทั้งหมดเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สถาบันราชประชาสมาสัย อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา และผลการตรวจระบุว่าไม่พบเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้ง 22 คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28059