title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ชี้แจง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นอำนาจตามกฎหมายเชิงป้องกัน ในการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ | วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563
โฆษก ศบค. ชี้แจง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นอํานาจตามกฎหมายเชิงป้องกัน ในการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ
โฆษก ศบค. ชี้แจง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นอํานาจตามกฎหมายเชิงป้องกัน ในการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ
วันนี้ (22 ก.ค. 63) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ศบค.ชุดใหญ่วันนี้ว่า ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขได้รายงานการตรวจตัวอย่าง COVID-19 ในกรณีสอบสวนโรคเพิ่มเติม จังหวัดระยองและกรุงเทพมหานคร จํานวน 7,207 ราย ทุกรายตรวจไม่พบเชื้อ ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับสองจังหวัดนี้ ทําให้เกิดการเรียนรู้และต้องมีมาตรการอย่างละเอียดเพื่อที่จะดูแลกันต่อไป
สถานการณ์ประจําวันในประเทศวันนี้ พบผู้ป่วยติดเชื้อ 6 ราย อยู่ที่สถานกักกันที่รัฐจัดให้ ทําให้มีผู้ป่วยรวม 3,261 ราย หายป่วยแล้ว 3,105 ราย เสียชีวิตคงเดิมที่ 58 ราย พักรักษาตัวในโรงพยาบาล 98 ราย ขณะที่สถานการณ์โลกพบผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันที่ 15,093,712 ราย สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 4,028,569 ราย ซึ่งแตะ 4 ล้านรายเป็นวันแรก ผู้เสียชีวิตรวมทั่วโลก 619,467 ราย โดยไทยมีจํานวนผู้ติดเชื้ออยู่อันดับที่ 103 ของโลก
ด้านความก้าวหน้าของการผลิตวัคซีน ในการร่วมมือกับต่างประเทศ ซึ่งสนับสนุนให้โรงงานสยามไบโอไซเอนซ์พัฒนาต่อยอดการผลิตวัคซีน โดยที่ประชุมได้อนุมัติหลักการที่จะนําไปสู่ความร่วมมือกับประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตวัคซีนโดยเร็ว เพื่อทําให้เกิดความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขต่อไป
โฆษก ศบค. รายงานว่า ที่ประชุม ศบค. ได้พิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ในภาพรวมทั่วโลกยังคงมีการระบาดที่รุนแรง อีกทั้งมีคนไทยจากต่างประเทศและชาวต่างชาติที่ได้รับการผ่อนผันเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับจะมีการอนุญาตชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพิ่มเติม นอกจากนี้ มาตรการผ่อนคลายภายในประเทศที่ดําเนินการอยู่ เป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของโรค จึงจําเป็นต้องมีการกํากับดูแลโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคภายในประเทศ โดย 1. จําเป็นต้องมีอํานาจตามกฎหมายเชิงป้องกันในการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ อาทิ 1) การควบคุมการเดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักรในทุกช่องทาง 2) การจัดทําระบบติดตามตัว การกักตัว และการเฝ้าระวังบุคคลต้องสงสัย และ 3) มาตรการการควบคุมโรคที่สามารถบังคับใช้ได้อย่างครอบคลุมในทุกกิจกรรม/กิจการที่เกี่ยวข้อง 2. จําเป็นต้องมีระบบการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ในลักษณะการรวมศูนย์ที่ปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็ว เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีการบูรณาการกําลังพลเรือน ตํารวจ และทหารเข้าร่วมปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 3. อํานาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะเป็นเครื่องมือที่สําคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับประเทศในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ฐานชีวิตใหม่ (New Normal) จนกว่าจะมีกฎหมายฉบับอื่นมารองรับในอนาคต
กรณีการเดินทางภายใต้ข้อตกลงพิเศษ (Special Arrestment) และมาตรการสําหรับบุคคลในคณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศ ผู้แทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ และนักการทูต ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย จะต้องกักตัว 14 วัน
การพิจารณาแนวทางมาตรการหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติ สําหรับการนําแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว และกัมพูชา เข้ามาในประเทศ โดยกระทรวงแรงงานได้เสนอให้มี Organizational Quarantine ที่หน่วยงานจัดพื้นที่เพื่อให้แรงงานได้ทําการกักตัว 14 วัน และเพื่อเป็นการลดต้นทุนต่าง ๆ อาจจะให้ทําการกักตัวอย่างน้อยห้องละสองคน เพื่อให้คนกลุ่มนี้ได้อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับการตรวจตามมาตรฐาน ทั้งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขและฝ่ายมั่นคง
การพิจารณาการเตรียมความพร้อมเพื่อผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายในอนาคต ซึ่งจะมี 4 กลุ่มที่เกี่ยวข้อง คือการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาจัดแสดงสินค้าในราชอาณาจักร ที่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจพอสมควร ได้มีการเสนอถึงแนวปฏิบัติในการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าสําหรับชาวต่างชาติ ตั้งแต่ก่อนเข้ามาในราชอาณาจักร การกํากับดูแลเมื่อเข้ามาแล้ว โดยมีการหารือในรายละเอียด ซึ่งที่ประชุมได้รับในหลักการ รับฟังข้อเสนอและมีการพิจารณาร่วมกันเป็นอย่างดีให้เห็นภาพของการควบคุมดูแล โดยสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการจะเป็นผู้ให้ข่าวในรายละเอียดต่อไป
ด้านการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาถ่ายทําภาพยนตร์ในประเทศ ในแต่ละปีมีภาพยนตร์เข้ามาถ่ายทํามากมาย มีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงเรื่อง Medical and Wellness โปรแกรมแพ็คเกจทัวร์ที่เชื่อมโยงเข้าไป เพื่อให้ผู้มีศักยภาพได้เข้ามาทําการรักษาได้เที่ยวต่อหลังจากอยู่ รพ. แล้ว 14 วัน และเรื่องผู้ถือบัตร Thailand Elite Card มีสมาชิก 10,363 ราย อยู่ในไทย 3,108 ราย นอกราชอาณาจักร 7,255 ราย โดยมีกลุ่มที่จะนําร่องให้เดินทางเข้าราชอาณาจักรอยู่จํานวน 200 ราย ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้นําเสนอในข้อปฏิบัติต่าง ๆ และการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้ที่ประชุม ศบค. ชุดใหญ่ได้รับทราบและอนุมัติในหลักการให้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จัดทํารายละเอียดต่อไป
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ชี้แจง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นอำนาจตามกฎหมายเชิงป้องกัน ในการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563
โฆษก ศบค. ชี้แจง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นอํานาจตามกฎหมายเชิงป้องกัน ในการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ
โฆษก ศบค. ชี้แจง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นอํานาจตามกฎหมายเชิงป้องกัน ในการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ
วันนี้ (22 ก.ค. 63) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ศบค.ชุดใหญ่วันนี้ว่า ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขได้รายงานการตรวจตัวอย่าง COVID-19 ในกรณีสอบสวนโรคเพิ่มเติม จังหวัดระยองและกรุงเทพมหานคร จํานวน 7,207 ราย ทุกรายตรวจไม่พบเชื้อ ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับสองจังหวัดนี้ ทําให้เกิดการเรียนรู้และต้องมีมาตรการอย่างละเอียดเพื่อที่จะดูแลกันต่อไป
สถานการณ์ประจําวันในประเทศวันนี้ พบผู้ป่วยติดเชื้อ 6 ราย อยู่ที่สถานกักกันที่รัฐจัดให้ ทําให้มีผู้ป่วยรวม 3,261 ราย หายป่วยแล้ว 3,105 ราย เสียชีวิตคงเดิมที่ 58 ราย พักรักษาตัวในโรงพยาบาล 98 ราย ขณะที่สถานการณ์โลกพบผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันที่ 15,093,712 ราย สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 4,028,569 ราย ซึ่งแตะ 4 ล้านรายเป็นวันแรก ผู้เสียชีวิตรวมทั่วโลก 619,467 ราย โดยไทยมีจํานวนผู้ติดเชื้ออยู่อันดับที่ 103 ของโลก
ด้านความก้าวหน้าของการผลิตวัคซีน ในการร่วมมือกับต่างประเทศ ซึ่งสนับสนุนให้โรงงานสยามไบโอไซเอนซ์พัฒนาต่อยอดการผลิตวัคซีน โดยที่ประชุมได้อนุมัติหลักการที่จะนําไปสู่ความร่วมมือกับประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตวัคซีนโดยเร็ว เพื่อทําให้เกิดความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขต่อไป
โฆษก ศบค. รายงานว่า ที่ประชุม ศบค. ได้พิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ในภาพรวมทั่วโลกยังคงมีการระบาดที่รุนแรง อีกทั้งมีคนไทยจากต่างประเทศและชาวต่างชาติที่ได้รับการผ่อนผันเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับจะมีการอนุญาตชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพิ่มเติม นอกจากนี้ มาตรการผ่อนคลายภายในประเทศที่ดําเนินการอยู่ เป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของโรค จึงจําเป็นต้องมีการกํากับดูแลโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคภายในประเทศ โดย 1. จําเป็นต้องมีอํานาจตามกฎหมายเชิงป้องกันในการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ อาทิ 1) การควบคุมการเดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักรในทุกช่องทาง 2) การจัดทําระบบติดตามตัว การกักตัว และการเฝ้าระวังบุคคลต้องสงสัย และ 3) มาตรการการควบคุมโรคที่สามารถบังคับใช้ได้อย่างครอบคลุมในทุกกิจกรรม/กิจการที่เกี่ยวข้อง 2. จําเป็นต้องมีระบบการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ในลักษณะการรวมศูนย์ที่ปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็ว เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีการบูรณาการกําลังพลเรือน ตํารวจ และทหารเข้าร่วมปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 3. อํานาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะเป็นเครื่องมือที่สําคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับประเทศในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ฐานชีวิตใหม่ (New Normal) จนกว่าจะมีกฎหมายฉบับอื่นมารองรับในอนาคต
กรณีการเดินทางภายใต้ข้อตกลงพิเศษ (Special Arrestment) และมาตรการสําหรับบุคคลในคณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศ ผู้แทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ และนักการทูต ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย จะต้องกักตัว 14 วัน
การพิจารณาแนวทางมาตรการหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติ สําหรับการนําแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว และกัมพูชา เข้ามาในประเทศ โดยกระทรวงแรงงานได้เสนอให้มี Organizational Quarantine ที่หน่วยงานจัดพื้นที่เพื่อให้แรงงานได้ทําการกักตัว 14 วัน และเพื่อเป็นการลดต้นทุนต่าง ๆ อาจจะให้ทําการกักตัวอย่างน้อยห้องละสองคน เพื่อให้คนกลุ่มนี้ได้อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับการตรวจตามมาตรฐาน ทั้งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขและฝ่ายมั่นคง
การพิจารณาการเตรียมความพร้อมเพื่อผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายในอนาคต ซึ่งจะมี 4 กลุ่มที่เกี่ยวข้อง คือการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาจัดแสดงสินค้าในราชอาณาจักร ที่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจพอสมควร ได้มีการเสนอถึงแนวปฏิบัติในการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าสําหรับชาวต่างชาติ ตั้งแต่ก่อนเข้ามาในราชอาณาจักร การกํากับดูแลเมื่อเข้ามาแล้ว โดยมีการหารือในรายละเอียด ซึ่งที่ประชุมได้รับในหลักการ รับฟังข้อเสนอและมีการพิจารณาร่วมกันเป็นอย่างดีให้เห็นภาพของการควบคุมดูแล โดยสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการจะเป็นผู้ให้ข่าวในรายละเอียดต่อไป
ด้านการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาถ่ายทําภาพยนตร์ในประเทศ ในแต่ละปีมีภาพยนตร์เข้ามาถ่ายทํามากมาย มีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงเรื่อง Medical and Wellness โปรแกรมแพ็คเกจทัวร์ที่เชื่อมโยงเข้าไป เพื่อให้ผู้มีศักยภาพได้เข้ามาทําการรักษาได้เที่ยวต่อหลังจากอยู่ รพ. แล้ว 14 วัน และเรื่องผู้ถือบัตร Thailand Elite Card มีสมาชิก 10,363 ราย อยู่ในไทย 3,108 ราย นอกราชอาณาจักร 7,255 ราย โดยมีกลุ่มที่จะนําร่องให้เดินทางเข้าราชอาณาจักรอยู่จํานวน 200 ราย ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้นําเสนอในข้อปฏิบัติต่าง ๆ และการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้ที่ประชุม ศบค. ชุดใหญ่ได้รับทราบและอนุมัติในหลักการให้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จัดทํารายละเอียดต่อไป
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33589 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ประชุมทางไกล ซักซ้อมความพร้อมเฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพประชาชนจากฝุ่นขนาดเล็ก | วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562
สธ.ประชุมทางไกล ซักซ้อมความพร้อมเฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพประชาชนจากฝุ่นขนาดเล็ก
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอ ซักซ้อมการเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็กต่อสุขภาพ เน้นให้ความรู้ประชาชน เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง กําชับให้หน่วยงานเป็นต้นแบบเรื่องความสะอาดลดฝุ่น
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอ ซักซ้อมการเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็กต่อสุขภาพ เน้นให้ความรู้ประชาชน เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง กําชับให้หน่วยงานเป็นต้นแบบเรื่องความสะอาดลดฝุ่น
วันนี้ (18 มีนาคม 2562) ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) ชั้น 7 อาคาร 5 ตึกสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ซักซ้อมแนวทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขในการดูแลสุขภาพประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจากฝุ่นละออง โดยให้จังหวัดที่มีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่า 3 วัน ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ตลอดจนประสานงานกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หน่วยงานราชการต่าง ๆ ในการดูแลพี่น้องประชาชน และบางพื้นที่อาจต้องนําพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 มาควบคุมเพื่อลดปัจจัยที่เป็นต้นเหตุของเหตุรําคาญ
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ได้ให้สถานบริการได้เตรียมยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ พร้อมให้บริการผู้ป่วย จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกคัดกรองผู้ป่วยและดูแลสุขภาพ เฝ้าระวังสถานการณ์การเจ็บป่วยใน 4 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบผิวหนัง และโรคเกี่ยวกับตา ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบผู้เจ็บป่วยรุนแรงจากปัญหาฝุ่นละออง รวมทั้งให้สํานักงานสาธารณสุขและสถานบริการสาธารณสุขทุกระดับเป็นต้นแบบจัดกิจกรรมทําความสะอาด (Big Cleaning Day) รณรงค์ให้ท้องถิ่นและประชาชนร่วมทําความสะอาดอาคารบ้านเรือนให้ปราศจากฝุ่น นอกจากนี้ ยังเตรียมขยายคลินิกมลพิษ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคจากสิ่งแวดล้อมไปยังโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปในพื้นที่มีปัญหาฝุ่นละออง ขณะนี้ส่วนกลางมีต้นแบบที่โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี
“กระทรวงสาธารณสุขมีกลไกหลายอย่างในการลดผลกระทบด้านสุขภาพจากปัญหาฝุ่นละออง ทั้งการให้ความรู้ประชาชน การเฝ้าระวังการเจ็บป่วย รวมทั้งใช้กลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) ที่มีฝ่ายปกครองท้องถิ่น สาธารณสุข ประชาชน เอกชน ร่วมมือกันทําให้ประชาชนมีความปลอดภัยมากขึ้น ในส่วนของใช้หน้ากากอนามัยจะเน้นสนับสนุนในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งขณะนี้สนับสนุนหน้ากากอนามัยแล้ว 39,100 ชิ้น”นายแพทย์สุขุม กล่าว
ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ค่าฝุ่นละอองว่าตนเองอยู่ในพื้นที่เสี่ยงหรือไม่ หากอยู่ในพื้นที่สีเหลือง สีส้ม สีแดง ซึ่งเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพขอให้ปฏิบัติตามข้อแนะนําของทางราชการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงควรพักผ่อนอยู่ในบ้าน ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด เตรียมยาและอุปกรณ์ที่จําเป็นให้พร้อมงดสูบบุหรี่ เผาหญ้า ต้นไม้ หรือขยะต่าง ๆ ใช้หน้ากากอนามัยปิดปากและจมูก หากมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจลําบาก ระคายเคืองตา ไอ ตาอักเสบ แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ขอให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน
********************* 18 มีนาคม 2562 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ประชุมทางไกล ซักซ้อมความพร้อมเฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพประชาชนจากฝุ่นขนาดเล็ก
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562
สธ.ประชุมทางไกล ซักซ้อมความพร้อมเฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพประชาชนจากฝุ่นขนาดเล็ก
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอ ซักซ้อมการเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็กต่อสุขภาพ เน้นให้ความรู้ประชาชน เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง กําชับให้หน่วยงานเป็นต้นแบบเรื่องความสะอาดลดฝุ่น
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอ ซักซ้อมการเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็กต่อสุขภาพ เน้นให้ความรู้ประชาชน เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง กําชับให้หน่วยงานเป็นต้นแบบเรื่องความสะอาดลดฝุ่น
วันนี้ (18 มีนาคม 2562) ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) ชั้น 7 อาคาร 5 ตึกสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ซักซ้อมแนวทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขในการดูแลสุขภาพประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจากฝุ่นละออง โดยให้จังหวัดที่มีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่า 3 วัน ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ตลอดจนประสานงานกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หน่วยงานราชการต่าง ๆ ในการดูแลพี่น้องประชาชน และบางพื้นที่อาจต้องนําพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 มาควบคุมเพื่อลดปัจจัยที่เป็นต้นเหตุของเหตุรําคาญ
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ได้ให้สถานบริการได้เตรียมยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ พร้อมให้บริการผู้ป่วย จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกคัดกรองผู้ป่วยและดูแลสุขภาพ เฝ้าระวังสถานการณ์การเจ็บป่วยใน 4 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบผิวหนัง และโรคเกี่ยวกับตา ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบผู้เจ็บป่วยรุนแรงจากปัญหาฝุ่นละออง รวมทั้งให้สํานักงานสาธารณสุขและสถานบริการสาธารณสุขทุกระดับเป็นต้นแบบจัดกิจกรรมทําความสะอาด (Big Cleaning Day) รณรงค์ให้ท้องถิ่นและประชาชนร่วมทําความสะอาดอาคารบ้านเรือนให้ปราศจากฝุ่น นอกจากนี้ ยังเตรียมขยายคลินิกมลพิษ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคจากสิ่งแวดล้อมไปยังโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปในพื้นที่มีปัญหาฝุ่นละออง ขณะนี้ส่วนกลางมีต้นแบบที่โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี
“กระทรวงสาธารณสุขมีกลไกหลายอย่างในการลดผลกระทบด้านสุขภาพจากปัญหาฝุ่นละออง ทั้งการให้ความรู้ประชาชน การเฝ้าระวังการเจ็บป่วย รวมทั้งใช้กลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) ที่มีฝ่ายปกครองท้องถิ่น สาธารณสุข ประชาชน เอกชน ร่วมมือกันทําให้ประชาชนมีความปลอดภัยมากขึ้น ในส่วนของใช้หน้ากากอนามัยจะเน้นสนับสนุนในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งขณะนี้สนับสนุนหน้ากากอนามัยแล้ว 39,100 ชิ้น”นายแพทย์สุขุม กล่าว
ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ค่าฝุ่นละอองว่าตนเองอยู่ในพื้นที่เสี่ยงหรือไม่ หากอยู่ในพื้นที่สีเหลือง สีส้ม สีแดง ซึ่งเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพขอให้ปฏิบัติตามข้อแนะนําของทางราชการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงควรพักผ่อนอยู่ในบ้าน ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด เตรียมยาและอุปกรณ์ที่จําเป็นให้พร้อมงดสูบบุหรี่ เผาหญ้า ต้นไม้ หรือขยะต่าง ๆ ใช้หน้ากากอนามัยปิดปากและจมูก หากมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจลําบาก ระคายเคืองตา ไอ ตาอักเสบ แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ขอให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน
********************* 18 มีนาคม 2562 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19420 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานวันสถาปนากระทรวงฯ ครบรอบ 15 ปี พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ ให้แก่หน่วยงานในสังกัด และบริษัทภาคเอกชนที่มีผลงาน CSR ในการรับผิดชอบต่อสังคม | วันอังคารที่ 3 ตุลาคม 2560
พม. จัดงานวันสถาปนากระทรวงฯ ครบรอบ 15 ปี พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ ให้แก่หน่วยงานในสังกัด และบริษัทภาคเอกชนที่มีผลงาน CSR ในการรับผิดชอบต่อสังคม
พม. จัดงานวันสถาปนากระทรวงฯ ครบรอบ 15 ปี พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ ให้แก่หน่วยงานในสังกัด และบริษัทภาคเอกชนที่มีผลงาน CSR ในการรับผิดชอบต่อสังคม
วันนี้ (3 ต.ค. 60) นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า เวลา 07.00 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีสงฆ์และบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ครบรอบ 15 ปี จากนั้น เวลา 13.30 น. รมว.พม. เป็นประธานมอบโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ ให้แก่หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม.ที่มีผลงานเป็นเลิศจํานวน 15 รางวัล และบริษัทหรือภาคเอกชนที่มีผลงาน CSR ที่มีความเป็นเลิศ จํานวน 15 รางวัล รวมจํานวนทั้งสิ้น 30 รางวัล นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมนิทรรศการ ผลิตภัณฑ์สินค้าจากบูธหน่วยงานต่างๆ การประมูลทรัพย์หลุดจํานํา และการแสดงของศิลปินวง S2S (From Street To Stars) ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า เนื่องด้วยประเทศไทยมีการปฏิรูประบบราชการในปี พ.ศ. 2545 ส่งผลให้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 และวันนี้ (3 ต.ค. 60) ตรงกับวันคล้ายวันสถาปนากระทรวง พม. ครบรอบ 15 ปี โดยที่ผ่านมา กระทรวง พม. เป็นหน่วยงานหลักด้านสังคมในการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน สตรี ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ มีความมั่นคงในการดํารงชีวิต ซึ่งได้บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในสังคม ตามวิสัยทัศน์ที่ว่า “เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาคนและสังคม เพื่อความอยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืน” ภายใต้เจตนารมณ์ของตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มุ่งเน้นการดําเนินงานอย่างมีระบบและมีคุณภาพ ผลลัพธ์สู่ประชาชนที่ประสบปัญหาให้สามารถดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข และสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งแก้ปัญหา พัฒนา สร้างความเป็นเลิศ ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และขับเคลื่อนภารกิจเร่งด่วน ตลอดจนการวางรากฐานการพัฒนาในระยะยาว ให้โอกาส เกียรติ กําลังใจแก่กลุ่มเป้าหมายต่างๆ ให้ตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง และสามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า การไปสู่เป้าหมายดังกล่าวนั้น ต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจทั้งจากบุคลากรของกระทรวงที่สามารถบริการประชาชนอย่างมืออาชีพ และจากภาคีเครือข่ายการพัฒนาที่เกี่ยวข้อง ในการเข้ามามีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมทําร่วมรับประโยชน์ในการทํางาน โดยเฉพาะความร่วมมือจากองค์กรที่ทํา CSR (Corporate Social Responsibility) ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการดําเนินกิจกรรมที่ให้ความสําคัญและคํานึงถึงผลกระทบต่อสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสําเร็จที่จะบูรณาการภารกิจไปสู่เป้าหมายที่กําหนด โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศของภาคีเครือข่ายที่เข้ามามีส่วนร่วมในงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวง พม. ได้พิจารณาคัดเลือกผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ เป็นผู้เข้ารับรางวัล เนื่องในโอกาส วันคล้ายวันสถาปนากระทรวง ครบรอบ 15 ปี ในวันนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทๆ ละ 15 รางวัล ได้แก่ 1) ประเภทหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ที่มีผลงานเป็นเลิศ โดยพิจารณาองค์กรที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นที่ยอมรับของคนในองค์กรเชิงประจักษ์ว่าเป็นองค์กรแห่งความสุข และผู้ปฏิบัติงานมีความสุขกาย สุขใจ สุขกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง มีจํานวนเครือข่ายร่วมทํางานด้วย และมีสวัสดิการอื่นๆ สําหรับบุคลากรนอกเหนือจากสิทธิของทางราชการ และ 2) ประเภทบริษัทหรือภาคเอกชนที่มีผลงาน CSR ที่มีความเป็นเลิศ โดยพิจารณาบริษัทหรือภาคเอกชนที่มีผลการดําเนินงานรับผิดชอบต่อสังคมในเชิงรุก และดําเนินงานเพื่อส่งเสริม ช่วยเหลือ พัฒนากลุ่มเป้าหมายในสังคมอย่างเหมาะสม ในทุกประเด็นรวมถึงด้านการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า อย่างไรก็ตาม นโยบายเร่งด่วนของกระทรวง พม. ซึ่งได้ขับเคลื่อนให้เกิดเป็นรูปธรรมนั้น ในปี 2560 ได้เน้นภารกิจสําคัญ 9 เรื่อง ได้แก่ 1) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ 2) การพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ คนพิการ 3) การเตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ 4) การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 5)การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน 6) การสร้างความเข้มแข็งของสตรีและครอบครัว 7) การพัฒนาระบบสวัสดิการสังคม 8) การพัฒนาบทบาทประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน และ 9) การส่งเสริมพลังประชารัฐ สําหรับทิศทางการดําเนินงานของกระทรวง พม. ในปี 2561 ยังมุ่งเน้น “การเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาคนและสังคม เพื่อความอยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืน” โดยมีนโยบายเร่งด่วนที่ต้องขับเคลื่อนการดําเนินงานเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การส่งเสริมพลังประชารัฐ” จะเพิ่มความเข้มข้น มุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์แก่ประชาชนให้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นทุกภาคส่วนสามารถเข้ามาหนุนเสริมร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมให้มีความมั่นคง มีคุณภาพ และยั่งยืนต่อไป
“การให้ความสําคัญ สนใจดูแล และสร้างแรงบันดาลใจที่จะดําเนินธุรกิจการงานเพื่อพัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพ และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง นับเป็นสิ่งที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง ขอแสดงความชื่นชมและยินดีกับผู้รับโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศในครั้งนี้ และขอให้ทุกคนได้ร่วมภาคภูมิใจในความดีที่ทํา และยึดแนวทางนี้ขยายผลไปสู่การดําเนินทุกธุรกิจการงาน และร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านพัฒนาสังคมใน ปี 2561 ของกระทรวง พม. ต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานวันสถาปนากระทรวงฯ ครบรอบ 15 ปี พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ ให้แก่หน่วยงานในสังกัด และบริษัทภาคเอกชนที่มีผลงาน CSR ในการรับผิดชอบต่อสังคม
วันอังคารที่ 3 ตุลาคม 2560
พม. จัดงานวันสถาปนากระทรวงฯ ครบรอบ 15 ปี พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ ให้แก่หน่วยงานในสังกัด และบริษัทภาคเอกชนที่มีผลงาน CSR ในการรับผิดชอบต่อสังคม
พม. จัดงานวันสถาปนากระทรวงฯ ครบรอบ 15 ปี พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ ให้แก่หน่วยงานในสังกัด และบริษัทภาคเอกชนที่มีผลงาน CSR ในการรับผิดชอบต่อสังคม
วันนี้ (3 ต.ค. 60) นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า เวลา 07.00 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีสงฆ์และบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ครบรอบ 15 ปี จากนั้น เวลา 13.30 น. รมว.พม. เป็นประธานมอบโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ ให้แก่หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม.ที่มีผลงานเป็นเลิศจํานวน 15 รางวัล และบริษัทหรือภาคเอกชนที่มีผลงาน CSR ที่มีความเป็นเลิศ จํานวน 15 รางวัล รวมจํานวนทั้งสิ้น 30 รางวัล นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมนิทรรศการ ผลิตภัณฑ์สินค้าจากบูธหน่วยงานต่างๆ การประมูลทรัพย์หลุดจํานํา และการแสดงของศิลปินวง S2S (From Street To Stars) ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า เนื่องด้วยประเทศไทยมีการปฏิรูประบบราชการในปี พ.ศ. 2545 ส่งผลให้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 และวันนี้ (3 ต.ค. 60) ตรงกับวันคล้ายวันสถาปนากระทรวง พม. ครบรอบ 15 ปี โดยที่ผ่านมา กระทรวง พม. เป็นหน่วยงานหลักด้านสังคมในการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน สตรี ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ มีความมั่นคงในการดํารงชีวิต ซึ่งได้บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในสังคม ตามวิสัยทัศน์ที่ว่า “เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาคนและสังคม เพื่อความอยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืน” ภายใต้เจตนารมณ์ของตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มุ่งเน้นการดําเนินงานอย่างมีระบบและมีคุณภาพ ผลลัพธ์สู่ประชาชนที่ประสบปัญหาให้สามารถดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข และสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งแก้ปัญหา พัฒนา สร้างความเป็นเลิศ ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และขับเคลื่อนภารกิจเร่งด่วน ตลอดจนการวางรากฐานการพัฒนาในระยะยาว ให้โอกาส เกียรติ กําลังใจแก่กลุ่มเป้าหมายต่างๆ ให้ตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง และสามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า การไปสู่เป้าหมายดังกล่าวนั้น ต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจทั้งจากบุคลากรของกระทรวงที่สามารถบริการประชาชนอย่างมืออาชีพ และจากภาคีเครือข่ายการพัฒนาที่เกี่ยวข้อง ในการเข้ามามีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมทําร่วมรับประโยชน์ในการทํางาน โดยเฉพาะความร่วมมือจากองค์กรที่ทํา CSR (Corporate Social Responsibility) ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการดําเนินกิจกรรมที่ให้ความสําคัญและคํานึงถึงผลกระทบต่อสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสําเร็จที่จะบูรณาการภารกิจไปสู่เป้าหมายที่กําหนด โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศของภาคีเครือข่ายที่เข้ามามีส่วนร่วมในงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวง พม. ได้พิจารณาคัดเลือกผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ เป็นผู้เข้ารับรางวัล เนื่องในโอกาส วันคล้ายวันสถาปนากระทรวง ครบรอบ 15 ปี ในวันนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทๆ ละ 15 รางวัล ได้แก่ 1) ประเภทหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ที่มีผลงานเป็นเลิศ โดยพิจารณาองค์กรที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นที่ยอมรับของคนในองค์กรเชิงประจักษ์ว่าเป็นองค์กรแห่งความสุข และผู้ปฏิบัติงานมีความสุขกาย สุขใจ สุขกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง มีจํานวนเครือข่ายร่วมทํางานด้วย และมีสวัสดิการอื่นๆ สําหรับบุคลากรนอกเหนือจากสิทธิของทางราชการ และ 2) ประเภทบริษัทหรือภาคเอกชนที่มีผลงาน CSR ที่มีความเป็นเลิศ โดยพิจารณาบริษัทหรือภาคเอกชนที่มีผลการดําเนินงานรับผิดชอบต่อสังคมในเชิงรุก และดําเนินงานเพื่อส่งเสริม ช่วยเหลือ พัฒนากลุ่มเป้าหมายในสังคมอย่างเหมาะสม ในทุกประเด็นรวมถึงด้านการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า อย่างไรก็ตาม นโยบายเร่งด่วนของกระทรวง พม. ซึ่งได้ขับเคลื่อนให้เกิดเป็นรูปธรรมนั้น ในปี 2560 ได้เน้นภารกิจสําคัญ 9 เรื่อง ได้แก่ 1) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ 2) การพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ คนพิการ 3) การเตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ 4) การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 5)การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน 6) การสร้างความเข้มแข็งของสตรีและครอบครัว 7) การพัฒนาระบบสวัสดิการสังคม 8) การพัฒนาบทบาทประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน และ 9) การส่งเสริมพลังประชารัฐ สําหรับทิศทางการดําเนินงานของกระทรวง พม. ในปี 2561 ยังมุ่งเน้น “การเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาคนและสังคม เพื่อความอยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืน” โดยมีนโยบายเร่งด่วนที่ต้องขับเคลื่อนการดําเนินงานเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การส่งเสริมพลังประชารัฐ” จะเพิ่มความเข้มข้น มุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์แก่ประชาชนให้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นทุกภาคส่วนสามารถเข้ามาหนุนเสริมร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมให้มีความมั่นคง มีคุณภาพ และยั่งยืนต่อไป
“การให้ความสําคัญ สนใจดูแล และสร้างแรงบันดาลใจที่จะดําเนินธุรกิจการงานเพื่อพัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพ และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง นับเป็นสิ่งที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง ขอแสดงความชื่นชมและยินดีกับผู้รับโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศในครั้งนี้ และขอให้ทุกคนได้ร่วมภาคภูมิใจในความดีที่ทํา และยึดแนวทางนี้ขยายผลไปสู่การดําเนินทุกธุรกิจการงาน และร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านพัฒนาสังคมใน ปี 2561 ของกระทรวง พม. ต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7150 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แจง "กรณีการก่อสร้างบ้านประชารัฐริมคลอง ล่าช้า" | วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม 2560
พม. แจง "กรณีการก่อสร้างบ้านประชารัฐริมคลอง ล่าช้า"
พม. แจง "กรณีการก่อสร้างบ้านประชารัฐริมคลอง ล่าช้า"
วันที่ 16 ก.ค.60เวลา 17.30 น.นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อมวลชนได้นําเสนอข่าวการดําเนินงานโครงการ "บ้านประชารัฐ ริมคลอง” ของชุมชนแจ้งวัฒนะ 5 และชุมชนคนรักถิ่น เขตหลักสี่ มีปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน นั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ได้ตรวจสอบข้อมูลแล้ว พบว่า ชุมชนแจ้งวัฒนะ 5 ริมคลองเปรมประชากร เขตหลักสี่ เดิมชุมชนแห่งนี้ชาวบ้านปลูกสร้างบ้านบนที่ดินริมคลองประชากร ซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุโดยไม่ได้เช่าอย่างถูกต้อง อยู่อาศัยกันมานานไม่ต่ํากว่า 30 ปี ชาวบ้านมีแผนงานที่จะทําโครงการบ้านมั่นคงมาตั้งแต่ปี 2551 เพื่อจะได้เช่าที่ดินอย่างถูกต้องกับกรมธนารักษ์ โดยรวมกลุ่มจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุนก่อสร้างบ้าน มีสมาชิก 93 ครัวเรือน
เมื่อมีข่าวว่า กทม.จะมีการก่อสร้างเขื่อนฯ ในคลองลาดพร้าว คลองบางซื่อ และคลองเปรมประชากร ในช่วงปี 2558 โดย พอช. จะสนับสนุนชาวบ้านเรื่องการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลอง ชาวบ้านในชุมชนแจ้งวัฒนะ 5 จึงอยากที่จะทําโครงการนี้ เพื่อที่จะได้เช่าที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมายกับกรมธนารักษ์ เนื่องจากที่ตั้งของชุมชนอยู่ติดถนนใหญ่ และเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการหลายแห่ง สามารถทํามาค้าขายได้ โดยการรื้อบ้านที่รุกล้ําแนวคลองแล้วก่อสร้างบ้านใหม่ในที่ดินเดิม เริ่มก่อสร้างบ้านเฟสแรกในเดือนพฤศจิกายน 2558 จํานวน 9 หลัง (เฟสแรกมีทั้งหมด 17 หลัง) ซึ่งชาวบ้านใช้เงินออมของตัวเองมาเป็นทุนในการก่อสร้างบ้าน (จ้างบริษัทรับเหมาหลังละประมาณ 310,000 บาท และค่าก่อสร้างฐานรากอีกหลังละ 40,000 บาท) วางเงินมัดจําให้บริษัทก่อสร้างงวดแรกจํานวน 500,000 บาท เมื่อเริ่มก่อสร้างบ้านได้ไม่นาน ได้มีกลุ่มชาวบ้านและอดีตผู้สมัคร ส.ส.ในเขตหลักสี่ มาคัดค้านการก่อสร้างบ้านและไปแจ้งเรื่องร้องเรียนกับทางสํานักงานเขตหลักสี่ว่าชาวบ้านแจ้งวัฒนะ 5 ก่อสร้างบ้านโดยไม่ได้ขออนุญาตการก่อสร้าง สํานักงานเขตหลักสี่ จึงนําคําสั่งมาปิดประกาศห้ามก่อสร้างบ้าน ส่วนเหตุผลในการคัดค้านของกลุ่มชาวบ้านและอดีตผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งไม่ใช่เป็นผู้เสียหายโดยตรงนั้น คาดว่าชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวกลัวว่าหากโครงการสร้างเขื่อนฯ และสร้างบ้านริมคลองเดินหน้าไปได้ บ้านเรือนของตัวเองก็จะต้องถูกรื้อย้ายและเสียผลประโยชน์ด้วย เพราะโครงการบ้านประชารัฐริมคลองจะให้สิทธิ์เฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่จริงและจะได้ขนาดที่ดินเท่ากัน จึงต้องคัดค้านขัดขวางการสร้างบ้านประชารัฐริมคลองทุกวิถีทาง
นอกจากนี้ ตามแผนงานการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ําของ กทม. ในช่วงแรก (ปี 2559-2562) จะดําเนินการในคลองลาดพร้าวและคลองบางซื่อก่อน ส่วนคลองเปรมประชากร คาดว่าจะดําเนินการในช่วงต่อไป ประกอบกับมติของคณะขับเคลื่อน 5 (คณะกรรมการอํานวยการกําหนดนโยบายการบริหารจัดการสิ่งล่วงล้ําลําน้ําสาธารณะ โดยมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน) ในเดือนสิงหาคม 2559 ให้ชะลอโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในคลองเปรมประชากรออกไปก่อนจนกว่าจะดําเนินการในคลองลาดพร้าวแล้วเสร็จ ดังนั้นสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนจึงยังไม่ได้สนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในคลองเปรมประชากร ขณะที่ชาวบ้านก็ยังไม่ได้สร้างบ้านให้แล้วเสร็จ เนื่องจากถูกคําสั่งระงับการก่อสร้างจากทางเขตหลักสี่ และยังค้างค่าก่อสร้างกับบริษัทรับเหมาสร้างบ้าน
นายณรงค์กล่าวต่อไปว่า สําหรับชุมชนคนรักถิ่น เขตหลักสี่ ได้เริ่มก่อสร้างบ้านจํานวน 4 หลัง เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2558 และถูกกลุ่มคัดค้านกลุ่มเดียวกันไปแจ้งเรื่องร้องเรียนที่สํานักงานเขตหลักสี่ ต่อมาสํานักงานเขตหลักสี่ได้นําคําสั่งปิดประกาศห้ามก่อสร้างมาปิดประกาศ ชาวบ้านจึงหยุดก่อสร้าง แต่ก็ได้ต่อเติมมาเรื่อยๆ จนพอเข้าอยู่อาศัยได้ ส่วนประเด็นการมีหนี้สิน จากเมื่อก่อนอยู่อาศัยโดยไม่เสียเงินนั้น ที่ผ่านมาชาวบ้านทั้งหมดที่อาศัยอยู่ริมคลอง ปลูกสร้างบ้านเรือนในที่ดินราชพัสดุ จึงถือว่าเป็นการอยู่อาศัยโดยไม่ถูกต้อง หรือบุกรุกที่ดินราชพัสดุ แต่เมื่อมีโครงการบ้านประชารัฐริมคลอง กรมธนารักษ์จะให้ชาวบ้านเช่าที่ดินอย่างถูกต้อง ระยะเวลา 30 ปี ในอัตราผ่อนปรน ตารางวาละ 1.50 - 3.00 บาทต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ต่ํามาก
อย่างไรก็ตาม ในการผ่อนส่งบ้านจากการใช้สินเชื่อของ พอช. ก่อนการดําเนินโครงการบ้านมั่นคง รวมทั้งโครงการบ้านประชารัฐริมคลองในพื้นที่ต่างๆ พอช. จะส่งเจ้าหน้าที่ไปสํารวจข้อมูลครัวเรือน รายได้-รายจ่าย รวมทั้งความสามารถในการผ่อนชําระค่าก่อสร้างบ้าน ซึ่งผลจากการสํารวจส่วนใหญ่พบว่า ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนสามารถผ่อนชําระค่าก่อสร้างบ้านได้ครัวเรือนละ 2,000-2,500 บาทต่อเดือน ดังนั้นงบประมาณในการก่อสร้างบ้านจึงใช้ฐานรายได้ของชาวบ้านเป็นหลัก โดยชาวบ้านได้มีส่วนร่วมในการออกแบบบ้านและสามารถเลือกขนาดและแบบบ้านได้ตรงกับขนาดของครอบครัว และความสามารถในการผ่อนชําระ ตัวอย่างเช่น ที่ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ คือ 1)บ้านชั้นเดียว ขนาด 4 x 6 เมตร ราคาประมาณ 183,000 บาท 2)บ้านสองชั้น ขนาด 4 x 6 เมตร ราคาประมาณ 285,000 บาท และ 3)บ้านสองชั้น ขนาด 6 x 6 เมตร ราคาประมาณ 360,000 บาท ผ่อนส่งประมาณเดือนละ 1,388-2,500 บาทเศษ ระยะเวลาผ่อนส่ง 15 ปี ทั้งนี้ พอช. ยังได้จัดงบประมาณสนับสนุนชาวบ้านในการพัฒนาสาธารณูปโภค งบอุดหนุน งบช่วยเหลือ ฯลฯ เฉลี่ยครัวเรือนหนึ่งประมาณ 140,000 บาท นอกจากนี้ในการก่อสร้างบ้านใหม่ชาวบ้านสามารถนําวัสดุเก่า เช่น ไม้ ประตู หน้าต่าง ฯลฯ มาใช้ในการก่อสร้างจะทําให้ช่วยลดค่าก่อสร้างได้ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แจง "กรณีการก่อสร้างบ้านประชารัฐริมคลอง ล่าช้า"
วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม 2560
พม. แจง "กรณีการก่อสร้างบ้านประชารัฐริมคลอง ล่าช้า"
พม. แจง "กรณีการก่อสร้างบ้านประชารัฐริมคลอง ล่าช้า"
วันที่ 16 ก.ค.60เวลา 17.30 น.นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อมวลชนได้นําเสนอข่าวการดําเนินงานโครงการ "บ้านประชารัฐ ริมคลอง” ของชุมชนแจ้งวัฒนะ 5 และชุมชนคนรักถิ่น เขตหลักสี่ มีปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน นั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ได้ตรวจสอบข้อมูลแล้ว พบว่า ชุมชนแจ้งวัฒนะ 5 ริมคลองเปรมประชากร เขตหลักสี่ เดิมชุมชนแห่งนี้ชาวบ้านปลูกสร้างบ้านบนที่ดินริมคลองประชากร ซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุโดยไม่ได้เช่าอย่างถูกต้อง อยู่อาศัยกันมานานไม่ต่ํากว่า 30 ปี ชาวบ้านมีแผนงานที่จะทําโครงการบ้านมั่นคงมาตั้งแต่ปี 2551 เพื่อจะได้เช่าที่ดินอย่างถูกต้องกับกรมธนารักษ์ โดยรวมกลุ่มจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุนก่อสร้างบ้าน มีสมาชิก 93 ครัวเรือน
เมื่อมีข่าวว่า กทม.จะมีการก่อสร้างเขื่อนฯ ในคลองลาดพร้าว คลองบางซื่อ และคลองเปรมประชากร ในช่วงปี 2558 โดย พอช. จะสนับสนุนชาวบ้านเรื่องการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลอง ชาวบ้านในชุมชนแจ้งวัฒนะ 5 จึงอยากที่จะทําโครงการนี้ เพื่อที่จะได้เช่าที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมายกับกรมธนารักษ์ เนื่องจากที่ตั้งของชุมชนอยู่ติดถนนใหญ่ และเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการหลายแห่ง สามารถทํามาค้าขายได้ โดยการรื้อบ้านที่รุกล้ําแนวคลองแล้วก่อสร้างบ้านใหม่ในที่ดินเดิม เริ่มก่อสร้างบ้านเฟสแรกในเดือนพฤศจิกายน 2558 จํานวน 9 หลัง (เฟสแรกมีทั้งหมด 17 หลัง) ซึ่งชาวบ้านใช้เงินออมของตัวเองมาเป็นทุนในการก่อสร้างบ้าน (จ้างบริษัทรับเหมาหลังละประมาณ 310,000 บาท และค่าก่อสร้างฐานรากอีกหลังละ 40,000 บาท) วางเงินมัดจําให้บริษัทก่อสร้างงวดแรกจํานวน 500,000 บาท เมื่อเริ่มก่อสร้างบ้านได้ไม่นาน ได้มีกลุ่มชาวบ้านและอดีตผู้สมัคร ส.ส.ในเขตหลักสี่ มาคัดค้านการก่อสร้างบ้านและไปแจ้งเรื่องร้องเรียนกับทางสํานักงานเขตหลักสี่ว่าชาวบ้านแจ้งวัฒนะ 5 ก่อสร้างบ้านโดยไม่ได้ขออนุญาตการก่อสร้าง สํานักงานเขตหลักสี่ จึงนําคําสั่งมาปิดประกาศห้ามก่อสร้างบ้าน ส่วนเหตุผลในการคัดค้านของกลุ่มชาวบ้านและอดีตผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งไม่ใช่เป็นผู้เสียหายโดยตรงนั้น คาดว่าชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวกลัวว่าหากโครงการสร้างเขื่อนฯ และสร้างบ้านริมคลองเดินหน้าไปได้ บ้านเรือนของตัวเองก็จะต้องถูกรื้อย้ายและเสียผลประโยชน์ด้วย เพราะโครงการบ้านประชารัฐริมคลองจะให้สิทธิ์เฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่จริงและจะได้ขนาดที่ดินเท่ากัน จึงต้องคัดค้านขัดขวางการสร้างบ้านประชารัฐริมคลองทุกวิถีทาง
นอกจากนี้ ตามแผนงานการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ําของ กทม. ในช่วงแรก (ปี 2559-2562) จะดําเนินการในคลองลาดพร้าวและคลองบางซื่อก่อน ส่วนคลองเปรมประชากร คาดว่าจะดําเนินการในช่วงต่อไป ประกอบกับมติของคณะขับเคลื่อน 5 (คณะกรรมการอํานวยการกําหนดนโยบายการบริหารจัดการสิ่งล่วงล้ําลําน้ําสาธารณะ โดยมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน) ในเดือนสิงหาคม 2559 ให้ชะลอโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในคลองเปรมประชากรออกไปก่อนจนกว่าจะดําเนินการในคลองลาดพร้าวแล้วเสร็จ ดังนั้นสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนจึงยังไม่ได้สนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในคลองเปรมประชากร ขณะที่ชาวบ้านก็ยังไม่ได้สร้างบ้านให้แล้วเสร็จ เนื่องจากถูกคําสั่งระงับการก่อสร้างจากทางเขตหลักสี่ และยังค้างค่าก่อสร้างกับบริษัทรับเหมาสร้างบ้าน
นายณรงค์กล่าวต่อไปว่า สําหรับชุมชนคนรักถิ่น เขตหลักสี่ ได้เริ่มก่อสร้างบ้านจํานวน 4 หลัง เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2558 และถูกกลุ่มคัดค้านกลุ่มเดียวกันไปแจ้งเรื่องร้องเรียนที่สํานักงานเขตหลักสี่ ต่อมาสํานักงานเขตหลักสี่ได้นําคําสั่งปิดประกาศห้ามก่อสร้างมาปิดประกาศ ชาวบ้านจึงหยุดก่อสร้าง แต่ก็ได้ต่อเติมมาเรื่อยๆ จนพอเข้าอยู่อาศัยได้ ส่วนประเด็นการมีหนี้สิน จากเมื่อก่อนอยู่อาศัยโดยไม่เสียเงินนั้น ที่ผ่านมาชาวบ้านทั้งหมดที่อาศัยอยู่ริมคลอง ปลูกสร้างบ้านเรือนในที่ดินราชพัสดุ จึงถือว่าเป็นการอยู่อาศัยโดยไม่ถูกต้อง หรือบุกรุกที่ดินราชพัสดุ แต่เมื่อมีโครงการบ้านประชารัฐริมคลอง กรมธนารักษ์จะให้ชาวบ้านเช่าที่ดินอย่างถูกต้อง ระยะเวลา 30 ปี ในอัตราผ่อนปรน ตารางวาละ 1.50 - 3.00 บาทต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ต่ํามาก
อย่างไรก็ตาม ในการผ่อนส่งบ้านจากการใช้สินเชื่อของ พอช. ก่อนการดําเนินโครงการบ้านมั่นคง รวมทั้งโครงการบ้านประชารัฐริมคลองในพื้นที่ต่างๆ พอช. จะส่งเจ้าหน้าที่ไปสํารวจข้อมูลครัวเรือน รายได้-รายจ่าย รวมทั้งความสามารถในการผ่อนชําระค่าก่อสร้างบ้าน ซึ่งผลจากการสํารวจส่วนใหญ่พบว่า ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนสามารถผ่อนชําระค่าก่อสร้างบ้านได้ครัวเรือนละ 2,000-2,500 บาทต่อเดือน ดังนั้นงบประมาณในการก่อสร้างบ้านจึงใช้ฐานรายได้ของชาวบ้านเป็นหลัก โดยชาวบ้านได้มีส่วนร่วมในการออกแบบบ้านและสามารถเลือกขนาดและแบบบ้านได้ตรงกับขนาดของครอบครัว และความสามารถในการผ่อนชําระ ตัวอย่างเช่น ที่ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ คือ 1)บ้านชั้นเดียว ขนาด 4 x 6 เมตร ราคาประมาณ 183,000 บาท 2)บ้านสองชั้น ขนาด 4 x 6 เมตร ราคาประมาณ 285,000 บาท และ 3)บ้านสองชั้น ขนาด 6 x 6 เมตร ราคาประมาณ 360,000 บาท ผ่อนส่งประมาณเดือนละ 1,388-2,500 บาทเศษ ระยะเวลาผ่อนส่ง 15 ปี ทั้งนี้ พอช. ยังได้จัดงบประมาณสนับสนุนชาวบ้านในการพัฒนาสาธารณูปโภค งบอุดหนุน งบช่วยเหลือ ฯลฯ เฉลี่ยครัวเรือนหนึ่งประมาณ 140,000 บาท นอกจากนี้ในการก่อสร้างบ้านใหม่ชาวบ้านสามารถนําวัสดุเก่า เช่น ไม้ ประตู หน้าต่าง ฯลฯ มาใช้ในการก่อสร้างจะทําให้ช่วยลดค่าก่อสร้างได้ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5254 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ยืนยันข่าวปลอม กรณีมัคคุเทศก์ตกงานจะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000฿ จาก พมจ. | วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
พม. ยืนยันข่าวปลอม กรณีมัคคุเทศก์ตกงานจะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000฿ จาก พมจ.
พม. ยืนยันข่าวปลอม กรณีมัคคุเทศก์ตกงานจะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000฿ จาก พมจ.
เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 63 เวลา 16.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการแชร์ข้อความส่งต่อทางกลุ่มไลน์และสื่อโซเชียลต่างๆ ว่า "เรียนแจ้งพี่น้องมัคคุเทศก์ทุกท่าน ท่านสังกัด หรือ มีภูมิลําเนาจังหวัดไหน ตามที่อยู่บัตรประชาชน ท่านสามารถ ไปแจ้งความจํานง ว่าขาดรายได้ หรือตกงานได้ที่สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ทุกจังหวัด น่ะครับ แจ้งรายละเอียด เกี่ยวกับประวัติส่วนตัว และจะมีเงิน สมทบช่วยเหลือ 2,000฿ ให้กับทุกท่านด้วย" ทั้งนี้ จากการตรวจสอบแล้วพบว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง และขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนงดส่งต่อข้อความดังกล่าว เนื่องจากจะทําให้เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 และต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐ หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร.1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและดําเนินการช่วยเหลือต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ยืนยันข่าวปลอม กรณีมัคคุเทศก์ตกงานจะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000฿ จาก พมจ.
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
พม. ยืนยันข่าวปลอม กรณีมัคคุเทศก์ตกงานจะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000฿ จาก พมจ.
พม. ยืนยันข่าวปลอม กรณีมัคคุเทศก์ตกงานจะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000฿ จาก พมจ.
เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 63 เวลา 16.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการแชร์ข้อความส่งต่อทางกลุ่มไลน์และสื่อโซเชียลต่างๆ ว่า "เรียนแจ้งพี่น้องมัคคุเทศก์ทุกท่าน ท่านสังกัด หรือ มีภูมิลําเนาจังหวัดไหน ตามที่อยู่บัตรประชาชน ท่านสามารถ ไปแจ้งความจํานง ว่าขาดรายได้ หรือตกงานได้ที่สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ทุกจังหวัด น่ะครับ แจ้งรายละเอียด เกี่ยวกับประวัติส่วนตัว และจะมีเงิน สมทบช่วยเหลือ 2,000฿ ให้กับทุกท่านด้วย" ทั้งนี้ จากการตรวจสอบแล้วพบว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง และขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนงดส่งต่อข้อความดังกล่าว เนื่องจากจะทําให้เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 และต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐ หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร.1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและดําเนินการช่วยเหลือต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28490 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สหรัฐฯ ชมไทยแก้โควิด-19 ได้เยี่ยม ยันพร้อมหนุนเอกชนย้ายฐานการผลิตมาลงทุนเพิ่ม [กระทรวงพาณิชย์] | วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563
สหรัฐฯ ชมไทยแก้โควิด-19 ได้เยี่ยม ยันพร้อมหนุนเอกชนย้ายฐานการผลิตมาลงทุนเพิ่ม [กระทรวงพาณิชย์]
สหรัฐฯ ชมไทยแก้โควิด-19 ได้เยี่ยม ยันพร้อมหนุนเอกชนย้ายฐานการผลิตมาลงทุนเพิ่ม
“จุรินทร์”ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจําประเทศไทยคนใหม่ พร้อมคณะ เผยชมไทยจัดการปัญหาโควิด-19 ได้ดีเยี่ยม พร้อมหนุนเอกชนย้ายฐานการผลิตมาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น และจะร่วมมือในการดําเนินการด้านทรัพย์สินทางปัญญากับไทย สบช่องขอสหรัฐฯ ซื้อวัตถุดิบจากไทย แก้ปัญหาสินค้าสินค้าตกค้างที่ท่าเรือ ดูเรื่องการขายสินค้าละเมิดและเชิญร่วมงานแสดงสินค้าดิจิทัลคอนเทนต์
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังนายไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจําประเทศไทย พร้อมคณะเข้าพบในโอกาสเข้ามารับตําแหน่งใหม่ ว่า ในการหารือกันครั้งนี้ สหรัฐฯ ได้ชื่นชมไทยในการแก้ปัญหาโควิด และเห็นว่าไทยคุมการแพร่ระบาดได้ดี โดยยินดีที่จะสนับสนุนให้นักลงทุนย้ายฐานผลิตมาตั้งที่ไทยเพิ่มขึ้น และยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับการดําเนินการด้านทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อให้ไทยหลุดพ้นจากบัญชีประเทศที่ถูกจับตามอง (WL) รวมทั้งยังมองว่าไทยสามารถที่จะมีบทบาทในด้านการท่องเที่ยว เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน หลังผ่านช่วงวิกฤตโควิด-19 ไปแล้ว
ทั้งนี้ ในส่วนของไทย ได้ใช้โอกาสนี้ ขอให้สหรัฐฯ ดําเนินการใน 4 เรื่อง ได้แก่ 1.ขอให้สหรัฐฯ สนับสนุนผลักดันให้ภาคผลิตในสหรัฐฯ ใช้วัตถุดิบจากไทยให้มากขึ้น เช่น ยางพารา ข้าว ผลิตผลทางการเกษตร อาหาร รวมไปถึงดิจิทัลคอนเทนต์ ที่ไทยมีศักยภาพการผลิตระดับโลก และโดยเฉพาะอาหาร ซึ่งสหรัฐฯ ถือว่าเป็นแหล่งบริโภคอาหารสําคัญของโลก โดยไทยสามารถตอบสนองความต้องการด้านอาหารได้เป็นอย่างดี เพราะอาหารไทยมีคุณภาพและปลอดภัย ปลอดโควิด-19
2.ขอให้สหรัฐฯ มีการอํานวยความสะดวกในการส่งสินค้าไทยไปสหรัฐฯ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม น้ําผลไม้ หรือสินค้าที่เสียง่าย โดยให้ได้รับความสะดวกในการตรวจปล่อยสินค้าในท่าเรือบางแห่งของสหรัฐฯ ที่ยังมีความขัดข้องอยู่บ้าง เช่น ท่าเรือลองบีช แคลิฟอร์เนีย ที่อาจจะมีปัญหาเรื่องการลดแรงงาน ซึ่งทูตสหรัฐฯ ได้รับที่จะไปตรวจสอบและดูแลให้
3.ขอให้สหรัฐฯ ช่วยเข้าไปประสานงานกับแพลตฟอร์มที่สําคัญ เช่น Facebook Instagram และทวิตเตอร์ เพื่อไม่ให้มีการเปิดช่องทางจําหน่ายสินค้าผิดกฎหมายของไทย รวมถึงการจําหน่ายหน้ากากอนามัย
4.ขอให้ทูตสหรัฐฯ เชิญชวนภาคเอกชนของสหรัฐฯ ให้เข้ามาร่วมงานการแสดงสินค้าดิจิทัลคอนเทนต์ ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 25-27 พ.ค.2563 โดยถือเป็นการจัดดิจิทัลคอนเทนต์ออนไลน์ครั้งแรกของโลก โดยจะเป็นเวทีพบปะกันระหว่างผู้นําเข้าต่างประเทศทั่วโลกกับผู้ส่งออกดิจิทัลของไทยผ่านระบบออนไลน์ มีสินค้าและบริการสําคัญที่นํามาจัดแสดง เช่น ภาพยนตร์ การ์ตูน แอนิเมชัน และการออกแบบโฆษณา เป็นต้น
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สหรัฐฯ ชมไทยแก้โควิด-19 ได้เยี่ยม ยันพร้อมหนุนเอกชนย้ายฐานการผลิตมาลงทุนเพิ่ม [กระทรวงพาณิชย์]
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563
สหรัฐฯ ชมไทยแก้โควิด-19 ได้เยี่ยม ยันพร้อมหนุนเอกชนย้ายฐานการผลิตมาลงทุนเพิ่ม [กระทรวงพาณิชย์]
สหรัฐฯ ชมไทยแก้โควิด-19 ได้เยี่ยม ยันพร้อมหนุนเอกชนย้ายฐานการผลิตมาลงทุนเพิ่ม
“จุรินทร์”ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจําประเทศไทยคนใหม่ พร้อมคณะ เผยชมไทยจัดการปัญหาโควิด-19 ได้ดีเยี่ยม พร้อมหนุนเอกชนย้ายฐานการผลิตมาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น และจะร่วมมือในการดําเนินการด้านทรัพย์สินทางปัญญากับไทย สบช่องขอสหรัฐฯ ซื้อวัตถุดิบจากไทย แก้ปัญหาสินค้าสินค้าตกค้างที่ท่าเรือ ดูเรื่องการขายสินค้าละเมิดและเชิญร่วมงานแสดงสินค้าดิจิทัลคอนเทนต์
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังนายไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจําประเทศไทย พร้อมคณะเข้าพบในโอกาสเข้ามารับตําแหน่งใหม่ ว่า ในการหารือกันครั้งนี้ สหรัฐฯ ได้ชื่นชมไทยในการแก้ปัญหาโควิด และเห็นว่าไทยคุมการแพร่ระบาดได้ดี โดยยินดีที่จะสนับสนุนให้นักลงทุนย้ายฐานผลิตมาตั้งที่ไทยเพิ่มขึ้น และยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับการดําเนินการด้านทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อให้ไทยหลุดพ้นจากบัญชีประเทศที่ถูกจับตามอง (WL) รวมทั้งยังมองว่าไทยสามารถที่จะมีบทบาทในด้านการท่องเที่ยว เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน หลังผ่านช่วงวิกฤตโควิด-19 ไปแล้ว
ทั้งนี้ ในส่วนของไทย ได้ใช้โอกาสนี้ ขอให้สหรัฐฯ ดําเนินการใน 4 เรื่อง ได้แก่ 1.ขอให้สหรัฐฯ สนับสนุนผลักดันให้ภาคผลิตในสหรัฐฯ ใช้วัตถุดิบจากไทยให้มากขึ้น เช่น ยางพารา ข้าว ผลิตผลทางการเกษตร อาหาร รวมไปถึงดิจิทัลคอนเทนต์ ที่ไทยมีศักยภาพการผลิตระดับโลก และโดยเฉพาะอาหาร ซึ่งสหรัฐฯ ถือว่าเป็นแหล่งบริโภคอาหารสําคัญของโลก โดยไทยสามารถตอบสนองความต้องการด้านอาหารได้เป็นอย่างดี เพราะอาหารไทยมีคุณภาพและปลอดภัย ปลอดโควิด-19
2.ขอให้สหรัฐฯ มีการอํานวยความสะดวกในการส่งสินค้าไทยไปสหรัฐฯ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม น้ําผลไม้ หรือสินค้าที่เสียง่าย โดยให้ได้รับความสะดวกในการตรวจปล่อยสินค้าในท่าเรือบางแห่งของสหรัฐฯ ที่ยังมีความขัดข้องอยู่บ้าง เช่น ท่าเรือลองบีช แคลิฟอร์เนีย ที่อาจจะมีปัญหาเรื่องการลดแรงงาน ซึ่งทูตสหรัฐฯ ได้รับที่จะไปตรวจสอบและดูแลให้
3.ขอให้สหรัฐฯ ช่วยเข้าไปประสานงานกับแพลตฟอร์มที่สําคัญ เช่น Facebook Instagram และทวิตเตอร์ เพื่อไม่ให้มีการเปิดช่องทางจําหน่ายสินค้าผิดกฎหมายของไทย รวมถึงการจําหน่ายหน้ากากอนามัย
4.ขอให้ทูตสหรัฐฯ เชิญชวนภาคเอกชนของสหรัฐฯ ให้เข้ามาร่วมงานการแสดงสินค้าดิจิทัลคอนเทนต์ ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 25-27 พ.ค.2563 โดยถือเป็นการจัดดิจิทัลคอนเทนต์ออนไลน์ครั้งแรกของโลก โดยจะเป็นเวทีพบปะกันระหว่างผู้นําเข้าต่างประเทศทั่วโลกกับผู้ส่งออกดิจิทัลของไทยผ่านระบบออนไลน์ มีสินค้าและบริการสําคัญที่นํามาจัดแสดง เช่น ภาพยนตร์ การ์ตูน แอนิเมชัน และการออกแบบโฆษณา เป็นต้น
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30800 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดตัวศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สร้างการรับรู้ข้อมูลที่ถูก | วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562
เปิดตัวศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สร้างการรับรู้ข้อมูลที่ถูก
วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเปิดศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม หรือ Anti-Fake News Center เพื่อตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์และระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง เช่น โรคระบาด ภัยพิบัติ ข่าวที่สร้างความแตกแยกในสังคม ตลอดจนทําลายภาพลักษณ์ของประเทศ และสร้างการรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว โดยศูนย์ดังกล่าวจะทําหน้าที่รับแจ้งข้อมูล และส่งต่อเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบและแก้ไขปัญหา โดยตั้งเป้าให้ประชาชนสามารถตรวจเช็คข่าวปลอมหลังรับแจ้งได้ภายใน 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ หากประชาชนพบข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ ศูนย์รับแจ้งข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ชั้น6) ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ หรือ www.antifakenewscenter.com และหมายเลขโทรศัพท์ 0 2288 8000
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดตัวศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สร้างการรับรู้ข้อมูลที่ถูก
วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562
เปิดตัวศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สร้างการรับรู้ข้อมูลที่ถูก
วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเปิดศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม หรือ Anti-Fake News Center เพื่อตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์และระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง เช่น โรคระบาด ภัยพิบัติ ข่าวที่สร้างความแตกแยกในสังคม ตลอดจนทําลายภาพลักษณ์ของประเทศ และสร้างการรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว โดยศูนย์ดังกล่าวจะทําหน้าที่รับแจ้งข้อมูล และส่งต่อเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบและแก้ไขปัญหา โดยตั้งเป้าให้ประชาชนสามารถตรวจเช็คข่าวปลอมหลังรับแจ้งได้ภายใน 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ หากประชาชนพบข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ ศูนย์รับแจ้งข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ชั้น6) ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ หรือ www.antifakenewscenter.com และหมายเลขโทรศัพท์ 0 2288 8000
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24586 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 | วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 14 พฤษภาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย วันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย (มีประวัติเดินทางไปสถานที่ชุมนุมชน จ.ภูเก็ต ค้นพบจากการลงพื้นที่เคาะประตูบ้านของอสม. จ.เชียงใหม่) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ร้อยละ 94.43 ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 6 ราย รว
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่14 พฤษภาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย วันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย (มีประวัติเดินทางไปสถานที่ชุมนุมชน จ.ภูเก็ต ค้นพบจากการลงพื้นที่เคาะประตูบ้านของอสม. จ.เชียงใหม่) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ร้อยละ 94.43 ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 6 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,850 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 112 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 3.71 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิต 56 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,018 ราย
จากรายงานผู้ติดเชื้อพบว่า การไปในสถานที่ชุมชน ที่มีคนรวมกันจํานวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยมีการระบาดของโรคยังมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ แนะนําประชาชนหากมีความจําเป็นต้องเดินทางไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง เช่น ตลาด ห้างสรรพสินค้า หรือพื้นที่ที่มีความแออัด คนรวมกันจํานวนมาก ขอให้ป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร พูดคุยกันเท่าที่จําเป็น จดรายการสินค้าที่ต้องซื้อ รีบไปรีบกลับ พกแอลกอฮอล์เจลสําหรับล้างมือ และไม่นํามือมาสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก เมื่อกลับถึงบ้านให้ล้างมือ อาบน้ําทําความสะอาดร่างกายทันที เว้นระยะห่าง ไม่คลุกคลี ใกล้ชิดกับคนในบ้านโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ที่มีโรคประจําตัว คนชรา เด็กเล็ก เพราะหากป่วยอาจมีอาการรุนแรงได้
นอกจากนี้ยังพบว่ามาตรการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง เช่น กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ภูเก็ต ยะลา ของหน่วยงานด้านการปกครอง รวมถึงการลงพื้นที่เคาะประตูบ้าน ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อเฝ้าระวังสังเกตอาการผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงนั้นทําให้ค้นพบผู้ติดเชื้อและนําเข้าสู่ระบบการรักษาได้อย่างทันท่วงทีป้องกันการแพร่เชื้อเป็นวงกว้างในชุมชน
กระทรวงสาธารณสุข ขอแนะนําหน่วยงาน ประชาชนผู้มีน้ําใจ ที่จัดตั้งตู้ปันสุข ขอความร่วมมือให้ทําความสะอาดตู้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นผิวที่มีผู้สัมผัสมาก เช่น บริเวณมือจับ ฝาตู้ โต๊ะ ทุก 2-3 ชั่วโมง หรือตามความเหมาะสม และจัดตั้งจุดวางแอลกอฮอล์เจลล้างมือใกล้ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่และสัมผัสเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้
****************************** 14 พฤษภาคม2563
******************************************** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2563
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 14 พฤษภาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย วันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย (มีประวัติเดินทางไปสถานที่ชุมนุมชน จ.ภูเก็ต ค้นพบจากการลงพื้นที่เคาะประตูบ้านของอสม. จ.เชียงใหม่) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ร้อยละ 94.43 ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 6 ราย รว
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่14 พฤษภาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย วันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย (มีประวัติเดินทางไปสถานที่ชุมนุมชน จ.ภูเก็ต ค้นพบจากการลงพื้นที่เคาะประตูบ้านของอสม. จ.เชียงใหม่) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ร้อยละ 94.43 ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 6 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,850 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 112 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 3.71 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิต 56 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,018 ราย
จากรายงานผู้ติดเชื้อพบว่า การไปในสถานที่ชุมชน ที่มีคนรวมกันจํานวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยมีการระบาดของโรคยังมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ แนะนําประชาชนหากมีความจําเป็นต้องเดินทางไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง เช่น ตลาด ห้างสรรพสินค้า หรือพื้นที่ที่มีความแออัด คนรวมกันจํานวนมาก ขอให้ป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร พูดคุยกันเท่าที่จําเป็น จดรายการสินค้าที่ต้องซื้อ รีบไปรีบกลับ พกแอลกอฮอล์เจลสําหรับล้างมือ และไม่นํามือมาสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก เมื่อกลับถึงบ้านให้ล้างมือ อาบน้ําทําความสะอาดร่างกายทันที เว้นระยะห่าง ไม่คลุกคลี ใกล้ชิดกับคนในบ้านโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ที่มีโรคประจําตัว คนชรา เด็กเล็ก เพราะหากป่วยอาจมีอาการรุนแรงได้
นอกจากนี้ยังพบว่ามาตรการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง เช่น กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ภูเก็ต ยะลา ของหน่วยงานด้านการปกครอง รวมถึงการลงพื้นที่เคาะประตูบ้าน ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อเฝ้าระวังสังเกตอาการผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงนั้นทําให้ค้นพบผู้ติดเชื้อและนําเข้าสู่ระบบการรักษาได้อย่างทันท่วงทีป้องกันการแพร่เชื้อเป็นวงกว้างในชุมชน
กระทรวงสาธารณสุข ขอแนะนําหน่วยงาน ประชาชนผู้มีน้ําใจ ที่จัดตั้งตู้ปันสุข ขอความร่วมมือให้ทําความสะอาดตู้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นผิวที่มีผู้สัมผัสมาก เช่น บริเวณมือจับ ฝาตู้ โต๊ะ ทุก 2-3 ชั่วโมง หรือตามความเหมาะสม และจัดตั้งจุดวางแอลกอฮอล์เจลล้างมือใกล้ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่และสัมผัสเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้
****************************** 14 พฤษภาคม2563
******************************************** | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30826 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการ ESCAP เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เพื่ออำลาในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่ | วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2561
เลขาธิการ ESCAP เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เพื่ออําลาในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่
เลขาธิการ ESCAP เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เพื่ออําลาในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่
วันนี้ (31 พ.ค.61) เวลา 11.00 น. นางสาวชามฉัด อัคตาร์ (Ms. Shamshad Akhtar) เลขาธิการบริหาร คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสําหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP-เอสแคป) เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล เพื่ออําลาในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบกับเลขาธิการ ESCAP อีกครั้ง และได้ชื่นชมบทบาทของเลขาธิการ ESCAP ตลอดระยะเวลาที่ดํารงตําแหน่ง ซึ่งได้สร้างความเข้มแข็งให้กับ ESCAP โดยเฉพาะในเรื่องการบรรลุ SDGs ทุกเป้าหมาย โดยน้อมนําแนวทางการพัฒนาตามหลัก SEP มาใช้ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับการขจัดความไม่เท่าเทียมและการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึง เช่นการศึกษา สาธารณสุข ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ระบบประกันสังคม เป็นต้น โดยบรรจุในยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และแผนปฏิรูปประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs
ในการนี้ เลขาธิการ ESCAP รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ ณ สํานักเลขาธิการ ESCAP ซึ่งตั้งอยู่ ณ ประเทศไทย และแสดงความขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนการทํางานของ ESCAP มาโดยตลอด โดยปัจจุบัน ESCAP มีบทบาทสําคัญทั้งในระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและระดับโลก ซึ่งนอกจากทางด้าน SDGs แล้ว ESCAP ยังให้ความสําคัญในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ตลอดจนด้านเศรษฐกิจและการเงินด้วย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันยืนยันที่จะสนับสนุนการทํางานของ ESCAP ดังเช่นที่ผ่านมา เพื่อประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกต่อไป
************* | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการ ESCAP เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เพื่ออำลาในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่
วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2561
เลขาธิการ ESCAP เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เพื่ออําลาในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่
เลขาธิการ ESCAP เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เพื่ออําลาในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่
วันนี้ (31 พ.ค.61) เวลา 11.00 น. นางสาวชามฉัด อัคตาร์ (Ms. Shamshad Akhtar) เลขาธิการบริหาร คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสําหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP-เอสแคป) เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล เพื่ออําลาในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบกับเลขาธิการ ESCAP อีกครั้ง และได้ชื่นชมบทบาทของเลขาธิการ ESCAP ตลอดระยะเวลาที่ดํารงตําแหน่ง ซึ่งได้สร้างความเข้มแข็งให้กับ ESCAP โดยเฉพาะในเรื่องการบรรลุ SDGs ทุกเป้าหมาย โดยน้อมนําแนวทางการพัฒนาตามหลัก SEP มาใช้ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับการขจัดความไม่เท่าเทียมและการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึง เช่นการศึกษา สาธารณสุข ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ระบบประกันสังคม เป็นต้น โดยบรรจุในยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และแผนปฏิรูปประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs
ในการนี้ เลขาธิการ ESCAP รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ ณ สํานักเลขาธิการ ESCAP ซึ่งตั้งอยู่ ณ ประเทศไทย และแสดงความขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนการทํางานของ ESCAP มาโดยตลอด โดยปัจจุบัน ESCAP มีบทบาทสําคัญทั้งในระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและระดับโลก ซึ่งนอกจากทางด้าน SDGs แล้ว ESCAP ยังให้ความสําคัญในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ตลอดจนด้านเศรษฐกิจและการเงินด้วย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันยืนยันที่จะสนับสนุนการทํางานของ ESCAP ดังเช่นที่ผ่านมา เพื่อประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกต่อไป
************* | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12664 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แสดงความเสียใจต่อครอบครัวและครูอาจารย์ของนักเรียนเหยื่ออาวุธสงคราม จ.นราธิวาส สั่งฝ่ายความมั่นคง เร่งไล่ล่าคนร้าย พร้อมกำชับผู้เกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ | วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม 2560
นายกฯ แสดงความเสียใจต่อครอบครัวและครูอาจารย์ของนักเรียนเหยื่ออาวุธสงคราม จ.นราธิวาส สั่งฝ่ายความมั่นคง เร่งไล่ล่าคนร้าย พร้อมกําชับผู้เกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย นายกรัฐมนตรี ฝากแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวและครูอาจารย์ของนักเรียนที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ระหว่างเดินทางไปโรงเรียน โดยได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง เร่งติดตามตัวคนร้าย มาดําเนินคดีโดยเร็ว
วันที่ 2 มีนาคม 2560 พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีคนร้ายใช้อาวุธสงครามลอบโจมตีรถนักเรียนในพื้นที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เช้าวันนี้ ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวและครูอาจารย์ของนักเรียนที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ระหว่างเดินทางไปโรงเรียน โดยได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง เร่งติดตามตัวคนร้าย มาดําเนินคดีโดยเร็ว เนื่องจากเป็นการกระทําที่อุกอาจ ไม่สมควรเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์
"ท่านนายกฯ ยังได้กําชับให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลือครอบครัวของนักเรียนแต่ละรายอย่างเต็มที่ และย้ําว่า รัฐบาลเป็นห่วงสวัสดิภาพและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงขอให้ เจ้าหน้าที่ทหาร ตํารวจ ฝ่ายปกครอง บูรณาการ ความร่วมมืออย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจในการดําเนินชีวิตแก่ประชาชนทุกคน
ทั้งนี้ สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่มีพัฒนาการดีขึ้นตามลําดับ โดยมีสถิติการเกิดเหตุความรุนแรงน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงไม่เกิดผลดีกับใครโดยเฉพาะคนในพื้นที่เอง และยังทําให้ประชาชนนอกพื้นที่เกิดความไม่เชื่อมั่นที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจ จึงขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกันประณามและกดดันผู้ก่อความไม่สงบ โดยหากพบเบาะแสหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อ จะได้ติดตามผู้ก่อเหตุมาดําเนินคดีให้ได้โดยเร็ว
------------------------ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แสดงความเสียใจต่อครอบครัวและครูอาจารย์ของนักเรียนเหยื่ออาวุธสงคราม จ.นราธิวาส สั่งฝ่ายความมั่นคง เร่งไล่ล่าคนร้าย พร้อมกำชับผู้เกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม 2560
นายกฯ แสดงความเสียใจต่อครอบครัวและครูอาจารย์ของนักเรียนเหยื่ออาวุธสงคราม จ.นราธิวาส สั่งฝ่ายความมั่นคง เร่งไล่ล่าคนร้าย พร้อมกําชับผู้เกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย นายกรัฐมนตรี ฝากแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวและครูอาจารย์ของนักเรียนที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ระหว่างเดินทางไปโรงเรียน โดยได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง เร่งติดตามตัวคนร้าย มาดําเนินคดีโดยเร็ว
วันที่ 2 มีนาคม 2560 พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีคนร้ายใช้อาวุธสงครามลอบโจมตีรถนักเรียนในพื้นที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เช้าวันนี้ ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวและครูอาจารย์ของนักเรียนที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ระหว่างเดินทางไปโรงเรียน โดยได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง เร่งติดตามตัวคนร้าย มาดําเนินคดีโดยเร็ว เนื่องจากเป็นการกระทําที่อุกอาจ ไม่สมควรเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์
"ท่านนายกฯ ยังได้กําชับให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลือครอบครัวของนักเรียนแต่ละรายอย่างเต็มที่ และย้ําว่า รัฐบาลเป็นห่วงสวัสดิภาพและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงขอให้ เจ้าหน้าที่ทหาร ตํารวจ ฝ่ายปกครอง บูรณาการ ความร่วมมืออย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจในการดําเนินชีวิตแก่ประชาชนทุกคน
ทั้งนี้ สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่มีพัฒนาการดีขึ้นตามลําดับ โดยมีสถิติการเกิดเหตุความรุนแรงน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงไม่เกิดผลดีกับใครโดยเฉพาะคนในพื้นที่เอง และยังทําให้ประชาชนนอกพื้นที่เกิดความไม่เชื่อมั่นที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจ จึงขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกันประณามและกดดันผู้ก่อความไม่สงบ โดยหากพบเบาะแสหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อ จะได้ติดตามผู้ก่อเหตุมาดําเนินคดีให้ได้โดยเร็ว
------------------------ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2162 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะผู้แทน OIC ยกย่องไทยเป็นแบบอย่างที่ดี แสดงให้เห็นทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ | วันพุธที่ 28 มีนาคม 2561
คณะผู้แทน OIC ยกย่องไทยเป็นแบบอย่างที่ดี แสดงให้เห็นทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
คณะผู้แทน OIC ยกย่องไทยเป็นแบบอย่างที่ดี แสดงให้เห็นทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
8 คณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และผู้แทนจากสํานักเลขาธิการ OIC เดินทางเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคม 2561 โดยในระหว่างการเยือน คณะผู้แทน OIC ได้เดินทางไปยังจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเยี่ยมชมและเรียนรู้วิถีชีวิตท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ร่วมกัน
คณะผู้แทน OIC แสดงความชื่นชมรัฐบาลไทยที่ใช้แนวทางการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี สนับสนุนให้ชาวไทยมุสลิมได้รับโอกาสทางการศึกษาและศาสนกิจ รวมทั้งได้รับประโยชน์จากแผนพัฒนาของรัฐบาลในด้านต่างๆ อย่างเท่าเทียม เป็นตัวอย่างให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะโครงการพาคนกลับบ้าน ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความเห็นต่างจากรัฐหรือเคยต่อสู้กับรัฐได้กลับมาแก้ปัญหาร่วมกับรัฐบาล
รัฐบาลไทยสามารถทําให้รู้สึกว่าพี่น้องมุสลิมทุกคนเป็นเสมือนพี่น้องและได้พยายามทําสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อชาวมุสลิม คณะผู้แทน OIC ยังได้กล่าวขอให้ชาวมุสลิมภูมิใจที่ได้เกิดบนแผ่นดินไทยและร่วมมือกันสร้างสันติสุข รวมทั้งให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหา
คณะผู้แทน OIC เห็นว่า การทําให้เยาวชนรู้จักหน้าที่พลเมือง มีจริยธรรม และเคารพกฎหมาย เป็นสิ่งสําคัญที่ทําให้การพัฒนาของรัฐบาลสัมฤทธิ์ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการน้อมนําแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรมาเป็นหลักปฏิบัติ จะช่วยแก้ปัญหาในพื้นที่ได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ คณะผู้แทน OIC ยังกล่าวชื่นชมรัฐบาลไทยในการดําเนินการด้านศาสนาอิสลาม รวมถึงนโยบายและความพยายามของรัฐบาลในการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา และยินดีที่ได้เห็นพี่น้องชาวไทยมุสลิมใช้ชีวิตเป็นปกติสุข และพร้อมสนับสนุนไทยในการแก้ไขปัญหา โดยเห็นว่าเป็นเรื่องภายในของไทย โดยจะนําผลการเยือนของคณะในครั้งนี้ไปขยายผล สร้างการรับรู้และเผยแพร่ด้านการข่าวต่อไป
ทั้งนี้ ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ นายกรัฐมนตรีย้ําเสมอว่า แนวทางการแก้ไขอย่างยั่งยืนนั้นควรลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาสทางการศึกษา โดยทุกคนทุกฝ่ายต้องช่วยกันดูแลพื้นที่ด้วยสันติวิธีมากกว่าที่จะใช้ความรุนแรง เพื่อผลสัมฤทธิ์ร่วมกันในการทําให้จังหวัดชายแดนใต้เกิดสันติสุข และประเทศชาติยั่งยืน
************************* | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะผู้แทน OIC ยกย่องไทยเป็นแบบอย่างที่ดี แสดงให้เห็นทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
วันพุธที่ 28 มีนาคม 2561
คณะผู้แทน OIC ยกย่องไทยเป็นแบบอย่างที่ดี แสดงให้เห็นทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
คณะผู้แทน OIC ยกย่องไทยเป็นแบบอย่างที่ดี แสดงให้เห็นทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
8 คณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และผู้แทนจากสํานักเลขาธิการ OIC เดินทางเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคม 2561 โดยในระหว่างการเยือน คณะผู้แทน OIC ได้เดินทางไปยังจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเยี่ยมชมและเรียนรู้วิถีชีวิตท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ร่วมกัน
คณะผู้แทน OIC แสดงความชื่นชมรัฐบาลไทยที่ใช้แนวทางการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี สนับสนุนให้ชาวไทยมุสลิมได้รับโอกาสทางการศึกษาและศาสนกิจ รวมทั้งได้รับประโยชน์จากแผนพัฒนาของรัฐบาลในด้านต่างๆ อย่างเท่าเทียม เป็นตัวอย่างให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะโครงการพาคนกลับบ้าน ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความเห็นต่างจากรัฐหรือเคยต่อสู้กับรัฐได้กลับมาแก้ปัญหาร่วมกับรัฐบาล
รัฐบาลไทยสามารถทําให้รู้สึกว่าพี่น้องมุสลิมทุกคนเป็นเสมือนพี่น้องและได้พยายามทําสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อชาวมุสลิม คณะผู้แทน OIC ยังได้กล่าวขอให้ชาวมุสลิมภูมิใจที่ได้เกิดบนแผ่นดินไทยและร่วมมือกันสร้างสันติสุข รวมทั้งให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหา
คณะผู้แทน OIC เห็นว่า การทําให้เยาวชนรู้จักหน้าที่พลเมือง มีจริยธรรม และเคารพกฎหมาย เป็นสิ่งสําคัญที่ทําให้การพัฒนาของรัฐบาลสัมฤทธิ์ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการน้อมนําแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรมาเป็นหลักปฏิบัติ จะช่วยแก้ปัญหาในพื้นที่ได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ คณะผู้แทน OIC ยังกล่าวชื่นชมรัฐบาลไทยในการดําเนินการด้านศาสนาอิสลาม รวมถึงนโยบายและความพยายามของรัฐบาลในการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา และยินดีที่ได้เห็นพี่น้องชาวไทยมุสลิมใช้ชีวิตเป็นปกติสุข และพร้อมสนับสนุนไทยในการแก้ไขปัญหา โดยเห็นว่าเป็นเรื่องภายในของไทย โดยจะนําผลการเยือนของคณะในครั้งนี้ไปขยายผล สร้างการรับรู้และเผยแพร่ด้านการข่าวต่อไป
ทั้งนี้ ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ นายกรัฐมนตรีย้ําเสมอว่า แนวทางการแก้ไขอย่างยั่งยืนนั้นควรลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาสทางการศึกษา โดยทุกคนทุกฝ่ายต้องช่วยกันดูแลพื้นที่ด้วยสันติวิธีมากกว่าที่จะใช้ความรุนแรง เพื่อผลสัมฤทธิ์ร่วมกันในการทําให้จังหวัดชายแดนใต้เกิดสันติสุข และประเทศชาติยั่งยืน
************************* | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11137 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมขับเคลื่อนเชิงนโยบายเรือนจำสุขภาวะ พัฒนาเครือข่ายพันธมิตรและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง “คืนคนดีสู่สังคม” | วันพุธที่ 25 มกราคม 2560
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมขับเคลื่อนเชิงนโยบายเรือนจําสุขภาวะ พัฒนาเครือข่ายพันธมิตรและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง “คืนคนดีสู่สังคม”
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนเชิงนโยบายเรือนจําสุขภาวะ ครั้งที่ ๒ เรื่อง“สานพลังชุมชนเพื่อคืนคนดีสู่สังคม แต่กฎหมายกลับห้ามคนพ้นโทษทํางาน”
เมื่อวันพุธที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น.
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนเชิงนโยบายเรือนจําสุขภาวะ ครั้งที่ ๒
เรื่อง“สานพลังชุมชนเพื่อคืนคนดีสู่สังคม แต่กฎหมายกลับห้ามคนพ้นโทษทํางาน”
เพื่อพัฒนาเครือข่ายพันธมิตรและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้เข้ามามีส่วนร่วมในงานราชทัณฑ์
เพื่อลดอคติทางสังคม และให้ผู้ต้องขัง/ผู้พ้นโทษ ได้รับการยอมรับในฐานะพลเมืองที่มีบทบาทหน้าที่รับผิดชอบในสังคม
จัดโดยสมาคมนักวิจัยประชากรและสังคม สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ และกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม
สนับสนุนโดยสํานักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.)
โดยมีนายชาติชาย สุทธิกลม กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
และรองศาสตราจารย์ ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล นายกสมาคมนักวิจัยประชากรและสังคม
พร้อมด้วยผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องประชุม ๗๐๙ สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมขับเคลื่อนเชิงนโยบายเรือนจำสุขภาวะ พัฒนาเครือข่ายพันธมิตรและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง “คืนคนดีสู่สังคม”
วันพุธที่ 25 มกราคม 2560
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมขับเคลื่อนเชิงนโยบายเรือนจําสุขภาวะ พัฒนาเครือข่ายพันธมิตรและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง “คืนคนดีสู่สังคม”
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนเชิงนโยบายเรือนจําสุขภาวะ ครั้งที่ ๒ เรื่อง“สานพลังชุมชนเพื่อคืนคนดีสู่สังคม แต่กฎหมายกลับห้ามคนพ้นโทษทํางาน”
เมื่อวันพุธที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น.
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนเชิงนโยบายเรือนจําสุขภาวะ ครั้งที่ ๒
เรื่อง“สานพลังชุมชนเพื่อคืนคนดีสู่สังคม แต่กฎหมายกลับห้ามคนพ้นโทษทํางาน”
เพื่อพัฒนาเครือข่ายพันธมิตรและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้เข้ามามีส่วนร่วมในงานราชทัณฑ์
เพื่อลดอคติทางสังคม และให้ผู้ต้องขัง/ผู้พ้นโทษ ได้รับการยอมรับในฐานะพลเมืองที่มีบทบาทหน้าที่รับผิดชอบในสังคม
จัดโดยสมาคมนักวิจัยประชากรและสังคม สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ และกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม
สนับสนุนโดยสํานักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.)
โดยมีนายชาติชาย สุทธิกลม กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
และรองศาสตราจารย์ ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล นายกสมาคมนักวิจัยประชากรและสังคม
พร้อมด้วยผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องประชุม ๗๐๙ สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1473 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.ห่วงใยปัญหาสภาพคล่องผู้มีรายได้น้อยช่วงใกล้เปิดเทอม ย้ำรัฐมีแหล่งทุนเป็นทางเลือกหลากหลาย เตือนอย่านำความเดือดร้อนประชาชนเชื่อมโยงการเมือง แนะคนไทยสร้างวินัยการออม | วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม 2561
นรม.ห่วงใยปัญหาสภาพคล่องผู้มีรายได้น้อยช่วงใกล้เปิดเทอม ย้ํารัฐมีแหล่งทุนเป็นทางเลือกหลากหลาย เตือนอย่านําความเดือดร้อนประชาชนเชื่อมโยงการเมือง แนะคนไทยสร้างวินัยการออม
นรม.ห่วงใยปัญหาสภาพคล่องผู้มีรายได้น้อยช่วงใกล้เปิดเทอม ย้ํารัฐมีแหล่งทุนเป็นทางเลือกหลากหลาย เตือนอย่านําความเดือดร้อนประชาชนเชื่อมโยงการเมือง แนะคนไทยสร้างวินัยการออม
วันนี้ (12 พฤษภาคม 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่มีปัญหาสภาพคล่องช่วงใกล้เปิดเทอม ว่า รัฐบาลห่วงใยและมีทางเลือกให้ประชาชนที่มีความจําเป็นต้องใช้จ่ายฉุกเฉิน เช่น ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างหลากหลาย โดยไม่ต้องไปใช้บริการสินเชื่อนอกระบบ ทั้งโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินของ ธ.ก.ส. และธ.ออมสิน รายละไม่เกิน 50,000 บาท โครงการสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) รายละไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งมีประชาชนไปใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และยังให้สถานธนานุบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศเตรียมเงินให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดภาระผู้ปกครอง ในระหว่างวันที่ 1 เม.ย.– 31 พ.ค. 61 โดยหากเงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท จะคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.25 ต่อเดือน ส่วนเงินต้นเกินกว่า 5,000 บาท จะคิดดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน
นายกรัฐมนตรี ยังให้ความสนใจข่าวที่เกษตรกรนําหัวรถไถไปจํานําที่โรงรับจํานําของเทศบาลเมืองชุมแสง จ.นครสวรรค์ และมีคนฉวยโอกาสนําไปอ้างว่า รัฐบาลบริหารงานไม่ดีจึงทําให้เศรษฐกิจย่ําแย่ โดยนายกฯ ไม่อยากให้นําความเดือดร้อนของประชาชนไปเชื่อมโยงกับประเด็นการเมือง หากจะวิพากษ์วิจารณ์ก็ขอให้อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง
“การนําทรัพย์สินไปจํานําถือเป็นทางเลือกหนึ่งของประชาชนที่ต้องการใช้เงินฉุกเฉิน ซึ่งเกิดขึ้นมานานแล้ว และช่วงใกล้เปิดเทอมจะมีปริมาณการใช้บริการมาก ถือเป็นเรื่องปกติ และยังขึ้นอยู่กับความต้องการในแต่ละช่วงด้วย เช่น หลังเกิดเหตุน้ําท่วมเกษตรกรก็จะนําหัวรถไถไปจํานํากันมาก เป็นต้น ส่วนภาพที่เห็นว่าขณะนี้มีหัวรถไถถูกนําไปจํานําเป็นจํานวนมากนั้น เนื่องจากโรงรับจํานําของพื้นที่ใกล้เคียงในอ.บางมูลนาก และตะพานหิน จ.พิจิตร ไม่ได้รับจํานําอุปกรณ์ทางเกษตร เพราะเป็นอุปกรณ์ขนาดใหญ่ เกษตรกรจึงต้องนําไปจํานําที่ อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์”
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ทอง นาก เพชร และเครื่องรูปพรรณ เงินรูปพรรณ นาฬิกาข้อมือ เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ เป็นทรัพย์สินที่มีการนําไปจํานํามากที่สุดตามลําดับ ส่วนเครื่องมืออุปกรณ์ทางการเกษตรมีจํานวนน้อยที่สุด และมีปริมาณการจํานําใกล้เคียงกับทุกปี อีกทั้งรัฐบาลชุดนี้ได้เปิดโอกาสให้เกษตรกรนําอุปกรณ์ทางการเกษตรไปจํานําได้ เพิ่มเติมจากทรัพย์สินประเภทอื่น อย่างไรก็ตาม นายกฯ อยากให้คนไทยทุกคนสร้างวินัยการออมเพื่ออนาคตในระยะยาวด้วย
------------------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.ห่วงใยปัญหาสภาพคล่องผู้มีรายได้น้อยช่วงใกล้เปิดเทอม ย้ำรัฐมีแหล่งทุนเป็นทางเลือกหลากหลาย เตือนอย่านำความเดือดร้อนประชาชนเชื่อมโยงการเมือง แนะคนไทยสร้างวินัยการออม
วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม 2561
นรม.ห่วงใยปัญหาสภาพคล่องผู้มีรายได้น้อยช่วงใกล้เปิดเทอม ย้ํารัฐมีแหล่งทุนเป็นทางเลือกหลากหลาย เตือนอย่านําความเดือดร้อนประชาชนเชื่อมโยงการเมือง แนะคนไทยสร้างวินัยการออม
นรม.ห่วงใยปัญหาสภาพคล่องผู้มีรายได้น้อยช่วงใกล้เปิดเทอม ย้ํารัฐมีแหล่งทุนเป็นทางเลือกหลากหลาย เตือนอย่านําความเดือดร้อนประชาชนเชื่อมโยงการเมือง แนะคนไทยสร้างวินัยการออม
วันนี้ (12 พฤษภาคม 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่มีปัญหาสภาพคล่องช่วงใกล้เปิดเทอม ว่า รัฐบาลห่วงใยและมีทางเลือกให้ประชาชนที่มีความจําเป็นต้องใช้จ่ายฉุกเฉิน เช่น ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างหลากหลาย โดยไม่ต้องไปใช้บริการสินเชื่อนอกระบบ ทั้งโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินของ ธ.ก.ส. และธ.ออมสิน รายละไม่เกิน 50,000 บาท โครงการสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) รายละไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งมีประชาชนไปใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และยังให้สถานธนานุบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศเตรียมเงินให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดภาระผู้ปกครอง ในระหว่างวันที่ 1 เม.ย.– 31 พ.ค. 61 โดยหากเงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท จะคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.25 ต่อเดือน ส่วนเงินต้นเกินกว่า 5,000 บาท จะคิดดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน
นายกรัฐมนตรี ยังให้ความสนใจข่าวที่เกษตรกรนําหัวรถไถไปจํานําที่โรงรับจํานําของเทศบาลเมืองชุมแสง จ.นครสวรรค์ และมีคนฉวยโอกาสนําไปอ้างว่า รัฐบาลบริหารงานไม่ดีจึงทําให้เศรษฐกิจย่ําแย่ โดยนายกฯ ไม่อยากให้นําความเดือดร้อนของประชาชนไปเชื่อมโยงกับประเด็นการเมือง หากจะวิพากษ์วิจารณ์ก็ขอให้อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง
“การนําทรัพย์สินไปจํานําถือเป็นทางเลือกหนึ่งของประชาชนที่ต้องการใช้เงินฉุกเฉิน ซึ่งเกิดขึ้นมานานแล้ว และช่วงใกล้เปิดเทอมจะมีปริมาณการใช้บริการมาก ถือเป็นเรื่องปกติ และยังขึ้นอยู่กับความต้องการในแต่ละช่วงด้วย เช่น หลังเกิดเหตุน้ําท่วมเกษตรกรก็จะนําหัวรถไถไปจํานํากันมาก เป็นต้น ส่วนภาพที่เห็นว่าขณะนี้มีหัวรถไถถูกนําไปจํานําเป็นจํานวนมากนั้น เนื่องจากโรงรับจํานําของพื้นที่ใกล้เคียงในอ.บางมูลนาก และตะพานหิน จ.พิจิตร ไม่ได้รับจํานําอุปกรณ์ทางเกษตร เพราะเป็นอุปกรณ์ขนาดใหญ่ เกษตรกรจึงต้องนําไปจํานําที่ อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์”
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ทอง นาก เพชร และเครื่องรูปพรรณ เงินรูปพรรณ นาฬิกาข้อมือ เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ เป็นทรัพย์สินที่มีการนําไปจํานํามากที่สุดตามลําดับ ส่วนเครื่องมืออุปกรณ์ทางการเกษตรมีจํานวนน้อยที่สุด และมีปริมาณการจํานําใกล้เคียงกับทุกปี อีกทั้งรัฐบาลชุดนี้ได้เปิดโอกาสให้เกษตรกรนําอุปกรณ์ทางการเกษตรไปจํานําได้ เพิ่มเติมจากทรัพย์สินประเภทอื่น อย่างไรก็ตาม นายกฯ อยากให้คนไทยทุกคนสร้างวินัยการออมเพื่ออนาคตในระยะยาวด้วย
------------------------------------- | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12198 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนตุลาคม 2562 | วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน 2562
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจําเดือนตุลาคม 2562
เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือน ต.ค.2562 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะกรุงเทพและปริมณฑล และภาคเหนือ อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในภาคกลาง และภาคตะวันออก
“เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนตุลาคม 2562 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะกรุงเทพและปริมณฑล และภาคเหนือ อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี”
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนตุลาคม ปี 2562 ว่า “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนตุลาคม 2562 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะกรุงเทพและปริมณฑล และภาคเหนือ อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
กทม.และปริมณฑล เศรษฐกิจขยายตัว การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยว แต่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่า ณ ระดับราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ขยายตัวร้อยละ 7.9 ต่อปี จากการขยายตัวในกรุงเทพมหาคร และนครปฐม เป็นต้น สอดคล้องกับการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน จํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 7.1 และ 1.7 ต่อปี ตามลําดับ จากการขยายตัวในจังหวัดสมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน ทั้งจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ อย่างไรก็ดีเงินลงทุนในโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ 2,711 ล้านบาท ขยายตัวที่ร้อยละ 16.2 ต่อปี จากการลงทุนในจังหวัดปทุมธานีและนครปฐม เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 8.6 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 1.6 จากการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนต่างประเทศและคนไทยขยายตัวร้อยละ 10.8 และ 4.4 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในสะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ -0.2 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคเหนือ เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว แต่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 11.3 ต่อปี ตามการขยายตัวในหลายจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดสุโขทัย กําแพงเพชร และเพชรบูรณ์ เป็นต้น สอดคล้องกับจํานวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี อย่างไรก็ดีจํานวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 หดตัวร้อยละ -1.2 และ -15.1 ต่อปี ตามลําดับ ทั้งนี้เงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ 1,471 ล้านบาท จากการลงทุนในโรงงานผลิตยารักษาโรคในจังหวัดเชียงรายเป็นสําคัญ สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 0.4 จากการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนต่างประเทศและคนไทยขยายตัวร้อยละ 9.8 และ 3.5 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคตะวันออก เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น โดยจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 3.5 และ 9.2 ต่อปี ตามลําดับ จากการขยายตัวในจังหวัดฉะเชิงเทรา และจันทบุรี เป็นต้น สอดคล้องกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ ในเดือนตุลาคม 2562 ที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 36.4 หรือ 20,837 ล้านบาท จากการลงทุนในโรงงานผลิตเส้นใยธรรมชาติจากเยื่อไม้ในจังหวัดปราจีนบุรี และโรงงานผลิตกรดอะมิโนสําหรับใช้ในกระบวนการผลิตอาหาร เครื่องสําอางค์ และเภสัชกรรมในจังหวัดระยอง เป็นต้น ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชน ในเดือนตุลาคม 2562 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคงที่ และจํานวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ที่หดตัวลง อย่างไรก็ดี จํานวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.4 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ร้อยละ 5.7 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 5.4 จากการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนไทยและคนต่างประเทศที่ร้อยละ 7.6 และ 4.7 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ในเดือนตุลาคม 2562 ที่ยังคงอยู่เหนือระดับ 100 เป็นเดือนที่ 24 ติดต่อกัน มาอยู่ที่ 111.9 ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมอลูมิเนียม และ อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.01 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.5 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคใต้ เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว แต่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะด้านการบริโภคในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ระดับฐานราก สะท้อนจากจํานวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 11.4 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดชุมพร สงขลา ยะลา และตรัง เป็นต้น สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 3.3 ต่อปี อย่างไรก็ดี จํานวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ปรับตัวลดลง เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนเช่นกัน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่หดตัวร้อยละ -3.1 และ -15.7 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่เงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในเดือนตุลาคม 2562 พลิกกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ร้อยละ 26.1 หรือ 1,020 ล้านบาท จากการลงทุนในจังหวัดสงขลา กระบี่ และสุราษฎร์ธานี เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ร้อยละ 6.7 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 4.3 ตามการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนต่างประเทศและคนไทยขยายตัวร้อยละ 8.0 และ 2.2 ต่อปี ตามลําดับ ส่วนด้านเสถียรภาพภายใน สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ -0.5 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.6 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคตะวันตก เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว แต่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 9.8 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี เป็นต้น สอดคล้องกับจํานวนรถจักรยานยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.7 ต่อปี อย่างไรก็ดีจํานวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 หดตัวร้อยละ -4.6 ต่อปี เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่หดตัวร้อยละ -6.5 และ -3.1 ต่อปี ตามลําดับ อย่างไรก็ดีเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 126.5 หรือ 827 ล้านบาท จากการลงทุนในจังหวัดสุพรรณบุรี ราชบุรี และสมุทรสงคราม เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนกลับมาขยายตัวในอัตราเร่งร้อยละ 8.6 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ -0.6 ตามการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนต่างประเทศและคนไทยขยายตัวร้อยละ 5.9 และ 9.1 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในสะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ -0.8 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคกลาง เศรษฐกิจทรงตัว จากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนภาคเอกชน แต่การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 5.5 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ -0.6 ตามการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนต่างประเทศและคนไทยขยายตัวร้อยละ 4.4 และ 5.7 ต่อปี ตามลําดับ สําหรับเศรษฐกิจด้านอุปสงค์ พบว่าการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 16.0 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดอ่างทอง ลพบุรี และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น สอดคล้องกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการซึ่งขยายตัวต่อเนื่องในระดับสูงที่ร้อยละ 614.9 หรือ 1,441 ล้านบาท จากการลงทุนในโรงงานปูนซีเมนต์ผสมและขึ้นรูปผลิตภัณฑ์คอนกรีตในจังหวัดสระบุรี อย่างไรก็ดี จํานวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และจํานวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 หดตัวร้อยละ -0.8 และ -7.7 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในสะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ -0.6 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.4 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจชะลอตัว การปรับตัวลดลงของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน แต่ภาคการท่องเที่ยวยังคงช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ -12.3 และ -2.6 ต่อปี ตามลําดับ อย่างไรก็ดีภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 3.9 ต่อปี ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 หดตัวร้อยละ -1.2 และ -15.1 ต่อปี ตามลําดับ อย่างไรก็ดี เงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในเดือนตุลาคม 2562 ยังคงขยายตัวต่อเนื่องในระดับสูงที่ร้อยละ 552.8 หรือ 5,531 ล้านบาท จากการลงทุนในโรงงานสีข้าวและโรงงานผลิตยางแท่ง เอสทีอาร์ 20, ผลิตยางแท่งคอมปาวด์ในจังหวัดบุรีรัมย์ สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 4.9 ต่อปี จากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -0.6 ตามการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนต่างประเทศและคนไทยขยายตัวร้อยละ 7.6 และ 4.8 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนตุลาคม 2562
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน 2562
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจําเดือนตุลาคม 2562
เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือน ต.ค.2562 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะกรุงเทพและปริมณฑล และภาคเหนือ อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในภาคกลาง และภาคตะวันออก
“เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนตุลาคม 2562 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะกรุงเทพและปริมณฑล และภาคเหนือ อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี”
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนตุลาคม ปี 2562 ว่า “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนตุลาคม 2562 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะกรุงเทพและปริมณฑล และภาคเหนือ อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
กทม.และปริมณฑล เศรษฐกิจขยายตัว การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยว แต่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่า ณ ระดับราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ขยายตัวร้อยละ 7.9 ต่อปี จากการขยายตัวในกรุงเทพมหาคร และนครปฐม เป็นต้น สอดคล้องกับการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน จํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 7.1 และ 1.7 ต่อปี ตามลําดับ จากการขยายตัวในจังหวัดสมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน ทั้งจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ อย่างไรก็ดีเงินลงทุนในโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ 2,711 ล้านบาท ขยายตัวที่ร้อยละ 16.2 ต่อปี จากการลงทุนในจังหวัดปทุมธานีและนครปฐม เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 8.6 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 1.6 จากการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนต่างประเทศและคนไทยขยายตัวร้อยละ 10.8 และ 4.4 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในสะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ -0.2 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคเหนือ เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว แต่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 11.3 ต่อปี ตามการขยายตัวในหลายจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดสุโขทัย กําแพงเพชร และเพชรบูรณ์ เป็นต้น สอดคล้องกับจํานวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี อย่างไรก็ดีจํานวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 หดตัวร้อยละ -1.2 และ -15.1 ต่อปี ตามลําดับ ทั้งนี้เงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ 1,471 ล้านบาท จากการลงทุนในโรงงานผลิตยารักษาโรคในจังหวัดเชียงรายเป็นสําคัญ สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 0.4 จากการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนต่างประเทศและคนไทยขยายตัวร้อยละ 9.8 และ 3.5 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคตะวันออก เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น โดยจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 3.5 และ 9.2 ต่อปี ตามลําดับ จากการขยายตัวในจังหวัดฉะเชิงเทรา และจันทบุรี เป็นต้น สอดคล้องกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ ในเดือนตุลาคม 2562 ที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 36.4 หรือ 20,837 ล้านบาท จากการลงทุนในโรงงานผลิตเส้นใยธรรมชาติจากเยื่อไม้ในจังหวัดปราจีนบุรี และโรงงานผลิตกรดอะมิโนสําหรับใช้ในกระบวนการผลิตอาหาร เครื่องสําอางค์ และเภสัชกรรมในจังหวัดระยอง เป็นต้น ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชน ในเดือนตุลาคม 2562 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคงที่ และจํานวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ที่หดตัวลง อย่างไรก็ดี จํานวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.4 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ร้อยละ 5.7 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 5.4 จากการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนไทยและคนต่างประเทศที่ร้อยละ 7.6 และ 4.7 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ในเดือนตุลาคม 2562 ที่ยังคงอยู่เหนือระดับ 100 เป็นเดือนที่ 24 ติดต่อกัน มาอยู่ที่ 111.9 ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมอลูมิเนียม และ อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.01 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.5 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคใต้ เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว แต่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะด้านการบริโภคในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ระดับฐานราก สะท้อนจากจํานวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 11.4 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดชุมพร สงขลา ยะลา และตรัง เป็นต้น สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 3.3 ต่อปี อย่างไรก็ดี จํานวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ปรับตัวลดลง เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนเช่นกัน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่หดตัวร้อยละ -3.1 และ -15.7 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่เงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในเดือนตุลาคม 2562 พลิกกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ร้อยละ 26.1 หรือ 1,020 ล้านบาท จากการลงทุนในจังหวัดสงขลา กระบี่ และสุราษฎร์ธานี เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ร้อยละ 6.7 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 4.3 ตามการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนต่างประเทศและคนไทยขยายตัวร้อยละ 8.0 และ 2.2 ต่อปี ตามลําดับ ส่วนด้านเสถียรภาพภายใน สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ -0.5 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.6 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคตะวันตก เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว แต่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 9.8 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี เป็นต้น สอดคล้องกับจํานวนรถจักรยานยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.7 ต่อปี อย่างไรก็ดีจํานวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 หดตัวร้อยละ -4.6 ต่อปี เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่หดตัวร้อยละ -6.5 และ -3.1 ต่อปี ตามลําดับ อย่างไรก็ดีเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 126.5 หรือ 827 ล้านบาท จากการลงทุนในจังหวัดสุพรรณบุรี ราชบุรี และสมุทรสงคราม เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนกลับมาขยายตัวในอัตราเร่งร้อยละ 8.6 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ -0.6 ตามการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนต่างประเทศและคนไทยขยายตัวร้อยละ 5.9 และ 9.1 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในสะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ -0.8 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคกลาง เศรษฐกิจทรงตัว จากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนภาคเอกชน แต่การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 5.5 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ -0.6 ตามการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนต่างประเทศและคนไทยขยายตัวร้อยละ 4.4 และ 5.7 ต่อปี ตามลําดับ สําหรับเศรษฐกิจด้านอุปสงค์ พบว่าการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 16.0 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดอ่างทอง ลพบุรี และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น สอดคล้องกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการซึ่งขยายตัวต่อเนื่องในระดับสูงที่ร้อยละ 614.9 หรือ 1,441 ล้านบาท จากการลงทุนในโรงงานปูนซีเมนต์ผสมและขึ้นรูปผลิตภัณฑ์คอนกรีตในจังหวัดสระบุรี อย่างไรก็ดี จํานวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลง สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และจํานวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 หดตัวร้อยละ -0.8 และ -7.7 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในสะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ -0.6 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.4 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจชะลอตัว การปรับตัวลดลงของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน แต่ภาคการท่องเที่ยวยังคงช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ -12.3 และ -2.6 ต่อปี ตามลําดับ อย่างไรก็ดีภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนตุลาคม 2562 ขยายตัวร้อยละ 3.9 ต่อปี ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2562 หดตัวร้อยละ -1.2 และ -15.1 ต่อปี ตามลําดับ อย่างไรก็ดี เงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในเดือนตุลาคม 2562 ยังคงขยายตัวต่อเนื่องในระดับสูงที่ร้อยละ 552.8 หรือ 5,531 ล้านบาท จากการลงทุนในโรงงานสีข้าวและโรงงานผลิตยางแท่ง เอสทีอาร์ 20, ผลิตยางแท่งคอมปาวด์ในจังหวัดบุรีรัมย์ สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2562 พบว่ารายได้จากการเยี่ยมเยือนกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 4.9 ต่อปี จากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -0.6 ตามการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนต่างประเทศและคนไทยขยายตัวร้อยละ 7.6 และ 4.8 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24910 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการต้านทุจริตและประพฤติมิชอบ | วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561
มาตรการต้านทุจริตและประพฤติมิชอบ
รัฐบาลออกมาตรการเพื่อป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในหน่วยงานรัฐทุกระดับ
มาตรการต้านทุจริตและประพฤติมิชอบ
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลออกมาตรการเพื่อป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในหน่วยงานรัฐทุกระดับ โดยหากมีการร้องเรียนเกิดขึ้น ให้หัวหน้าส่วนราชการตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนข้อเท็จจริงภายใน 7 วัน และต้องดําเนินการสอบให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน และหากมีแนวโน้มว่าข้าราชการที่ถูกร้องเรียนนั้นมีความผิดจริงให้ปรับย้ายไปยังตําแหน่งอื่นเป็นการชั่วคราวก่อน เพื่อให้การสอบสวนพยานและหาหลักฐานเป็นไปอย่างโปร่งใส และเมื่อตรวจสอบพบว่ามีการทุจริตจริงให้หัวหน้าส่วนราชการนั้นดําเนินการทางวินัยทันทีโดยไม่ต้องรอผลทางคดีอาญา พร้อมส่งข้อมูลให้กับศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ดําเนินการทางคดีอาญาทันที
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการต้านทุจริตและประพฤติมิชอบ
วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561
มาตรการต้านทุจริตและประพฤติมิชอบ
รัฐบาลออกมาตรการเพื่อป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในหน่วยงานรัฐทุกระดับ
มาตรการต้านทุจริตและประพฤติมิชอบ
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลออกมาตรการเพื่อป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในหน่วยงานรัฐทุกระดับ โดยหากมีการร้องเรียนเกิดขึ้น ให้หัวหน้าส่วนราชการตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนข้อเท็จจริงภายใน 7 วัน และต้องดําเนินการสอบให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน และหากมีแนวโน้มว่าข้าราชการที่ถูกร้องเรียนนั้นมีความผิดจริงให้ปรับย้ายไปยังตําแหน่งอื่นเป็นการชั่วคราวก่อน เพื่อให้การสอบสวนพยานและหาหลักฐานเป็นไปอย่างโปร่งใส และเมื่อตรวจสอบพบว่ามีการทุจริตจริงให้หัวหน้าส่วนราชการนั้นดําเนินการทางวินัยทันทีโดยไม่ต้องรอผลทางคดีอาญา พร้อมส่งข้อมูลให้กับศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ดําเนินการทางคดีอาญาทันที
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11356 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2562 | วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2562
รัฐบาลจัดพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2562
วันนี้ (24 กรกฎาคม2562) เวลา 08.15 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีทางศาสนามหามงคล5ศาสนาเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2562 โดยมี ผู้นําและผู้ประกอบพิธีทางศาสนา คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ผู้แทนข้าราชการทุกหมู่เหล่า และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธี
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เปิดกรวยดอกไม้ธูปเทียนแพ ถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมกล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติถวายพระพรชัยมงคล โดยได้กล่าวน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อสร้างความสุขสวัสดีให้พสกนิกรชาวไทยถ้วนหน้าและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนอีกทั้ง ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกทรงทํานุบํารุงทุกศาสนาในพระราชอาณาจักรให้มีความเจริญรุ่งเรืองปวงข้าพระพุทธเจ้าจักเทิดทูนสถิตเสถียรไว้ในดวงใจสืบไปดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี
จากนั้น นายกรัฐมนตรี จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เริ่มพิธีทางศาสนา 5 ศาสนา ประกอบด้วยพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศล โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยาราม เป็นผู้นําประกอบพิธีศาสนาพุทธ นายวุฒิ ฐิตะลักขณะ ผู้แทนจุฬาราชมนตรี ประกอบพิธีดุอาอ์ขอพร (ศาสนาอิสลาม) บาทหลวงเสนอ ดําเนินสดวก สภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย อธิษฐานภาวนาขอพร (ศาสนาคริสต์) พระครูสุริยาเทเวศร์ สํานักพราหมณ์พระราชครู ในสํานักพระราชวัง สวดมนต์ถวายพระพร (ศาสนาพราหมณ์–ฮินดู) และพิธีสวดอัรดาสขอพรจากพระศาสดา โดยMr.Satpal Singhสมาคมศรีคุรุสิงห์สภา เป็นผู้นําสวดของศาสนาซิกข์ เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีได้ถวายและมอบของที่ระลึกให้กับผู้นําศาสนา 5 ศาสนา และกราบลาพระรัตนตรัย พร้อมถวายความเคารพเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันเสร็จพิธี
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2562
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2562
รัฐบาลจัดพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2562
วันนี้ (24 กรกฎาคม2562) เวลา 08.15 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีทางศาสนามหามงคล5ศาสนาเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2562 โดยมี ผู้นําและผู้ประกอบพิธีทางศาสนา คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ผู้แทนข้าราชการทุกหมู่เหล่า และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธี
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เปิดกรวยดอกไม้ธูปเทียนแพ ถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมกล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติถวายพระพรชัยมงคล โดยได้กล่าวน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อสร้างความสุขสวัสดีให้พสกนิกรชาวไทยถ้วนหน้าและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนอีกทั้ง ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกทรงทํานุบํารุงทุกศาสนาในพระราชอาณาจักรให้มีความเจริญรุ่งเรืองปวงข้าพระพุทธเจ้าจักเทิดทูนสถิตเสถียรไว้ในดวงใจสืบไปดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี
จากนั้น นายกรัฐมนตรี จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เริ่มพิธีทางศาสนา 5 ศาสนา ประกอบด้วยพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศล โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยาราม เป็นผู้นําประกอบพิธีศาสนาพุทธ นายวุฒิ ฐิตะลักขณะ ผู้แทนจุฬาราชมนตรี ประกอบพิธีดุอาอ์ขอพร (ศาสนาอิสลาม) บาทหลวงเสนอ ดําเนินสดวก สภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย อธิษฐานภาวนาขอพร (ศาสนาคริสต์) พระครูสุริยาเทเวศร์ สํานักพราหมณ์พระราชครู ในสํานักพระราชวัง สวดมนต์ถวายพระพร (ศาสนาพราหมณ์–ฮินดู) และพิธีสวดอัรดาสขอพรจากพระศาสดา โดยMr.Satpal Singhสมาคมศรีคุรุสิงห์สภา เป็นผู้นําสวดของศาสนาซิกข์ เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีได้ถวายและมอบของที่ระลึกให้กับผู้นําศาสนา 5 ศาสนา และกราบลาพระรัตนตรัย พร้อมถวายความเคารพเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันเสร็จพิธี
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21718 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อาเซียน ร่วมรณรงค์ไข้เลือดออกหยุดระบาดเริ่มที่ตัวเรา | วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2563
อาเซียน ร่วมรณรงค์ไข้เลือดออกหยุดระบาดเริ่มที่ตัวเรา
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรณรงค์วันไข้เลือดออกอาเซียน 15 มิ.ย. ยึดคําขวัญ “หยุดไข้เลือดออก:เริ่มต้นที่ตัวเราป้องกันไข้เลือดออกระบาดในปีนี้ เผยสถิติมีผู้ป่วยสะสมในประเทศไทย 16,924 ราย เสียชีวิต 11 ราย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรณรงค์วันไข้เลือดออกอาเซียน 15 มิ.ย. ยึดคําขวัญ “หยุดไข้เลือดออก:เริ่มต้นที่ตัวเราป้องกันไข้เลือดออกระบาดในปีนี้ เผยสถิติมีผู้ป่วยสะสมในประเทศไทย 16,924 ราย เสียชีวิต 11 ราย กลุ่มเด็กอายุ 5-14 ปี มีภาวะอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยง ประชาชนร่วมใจตัดวงจรลูกน้ํายุงลาย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ได้มีข้อตกลงร่วมกันที่กําหนดให้วันที่ 15 มิถุนายนของทุกปี เป็น “วันไข้เลือดออกอาเซียน” (ASEAN Dengue Day) เนื่องจากภูมิภาคอาเซียนเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ที่พบโรคไข้เลือดออก โดยจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพหลัก สําหรับปี 2020 นี้ เว้นปีประเทศเจ้าภาพเนื่องจากเกิดสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ใช้แนวคิดเดิมของปีที่ผ่านมา “End Dengue: Starts with me” หรือ “หยุดไข้เลือดออก: เริ่มต้นที่ตัวเรา” และให้จัดกิจกรรมตามบริบทของแต่ละประเทศเพราะมีปัญหาที่แตกต่างกัน
จากข้อมูลการระบาดขององค์การอนามัยโลก Dengue Situation Update Number 594 (21 May 2020) พบว่า การระบาดในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกตะวันตก ส่วนใหญ่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มีเพียงประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ที่มีรายงานจํานวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วร้อยละ 5.6 และร้อยละ 23 ตามลําดับ ขณะที่ประเทศจีนมีรายงานจํานวนผู้ป่วยน้อยกว่าปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกันถึงร้อยละ 65 สําหรับประเทศไทย จากรายงานสํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2563 มีรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสะสม 16,924 ราย (อัตราป่วย 25.53 ต่อแสนประชากร) มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 1,539 ราย น้อยกว่าปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน มียอดผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว 11 ราย
ในช่วง 4 สัปดาห์ล่าสุด (3-30 พฤษภาคม 2563) พบจังหวัดที่มีอัตราผู้ป่วยสูงสุด 10 อันดับแรก ดังนี้ ชัยภูมิ ขอนแก่น แม่ฮ่องสอน ระยอง บึงกาฬ เลย มหาสารคาม จันทบุรี ร้อยเอ็ด และเชียงราย ตามลําดับ พิจารณาพบว่ากระจายทั่วทุกภูมิภาค กลุ่มเสี่ยงของผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังเป็นเด็กนักเรียนอายุ 5 – 14 ปี โดยมีภาวะอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย ส่วนกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตจะเกิดจากการมีโรคประจําตัว ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิต โรคอ้วนหรือภาวะน้ําหนักเกิน รวมทั้งการได้รับยา Ibuprofen/ยาฉีดแก้ปวด นอกจากนี้ ผลการสํารวจลูกน้ํายุงลายในปี 2563 พบว่า มีค่าดัชนีลูกน้ํายุงลายสูงในทุกสถานที่ ทั้งชุมชน วัด โรงเรียน โรงพยาบาล และมีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝน
“แม้ว่าจะมีการป้องกันไข้เลือดออกด้วยการฉีดวัคซีนไข้เลือดออกแต่ราคาอาจยังสูงอยู่ วิธีการง่ายๆทุกคนช่วย ป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกยุงกัด ดูแลความสะอาดรอบบ้านทั้งการจัดบ้านให้โปร่งโล่งเปลี่ยนถ่ายน้ําในภาชนะที่มีน้ําขังทุก 7 วัน ปิดฝาภาชนะใส่น้ํา หรือใช้สารเคมีกําจัดลูกน้ํา ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย” นายอนุทิน กล่าว
ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าไข้เลือดออกเป็นโรคติดเชื้อซึ่งระบาดในเขตร้อนที่เกิดจากเชื้อไวรัสอีกชนิดหนึ่งชื่อว่า เด็งกี่ มี 4 สายพันธุ์ แต่ละปีมีการระบาดของแต่ละสายพันธุ์แตกต่างกันทําให้เมื่อผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อไปแล้วและได้เชื้อสายพันธุ์อื่นอาจเกิดอาการรุนแรงได้ โดยทั่วไปอาการจะเริ่มจากมีไข้สูงและอาจสูงเกิน 38 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และมีผื่นแดงลักษณะคล้ายผื่นของโรคหัด และหากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงจะทําให้มีเลือดออกง่าย มีเกล็ดเลือดต่ํา และมีการรั่วของพลาสมาหรือรุนแรงมากขึ้น เป็นกลุ่มอาการไข้เลือดออกช็อก ซึ่งมีความดันโลหิตต่ําอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
*********************************14มิถุนายน2563 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อาเซียน ร่วมรณรงค์ไข้เลือดออกหยุดระบาดเริ่มที่ตัวเรา
วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2563
อาเซียน ร่วมรณรงค์ไข้เลือดออกหยุดระบาดเริ่มที่ตัวเรา
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรณรงค์วันไข้เลือดออกอาเซียน 15 มิ.ย. ยึดคําขวัญ “หยุดไข้เลือดออก:เริ่มต้นที่ตัวเราป้องกันไข้เลือดออกระบาดในปีนี้ เผยสถิติมีผู้ป่วยสะสมในประเทศไทย 16,924 ราย เสียชีวิต 11 ราย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรณรงค์วันไข้เลือดออกอาเซียน 15 มิ.ย. ยึดคําขวัญ “หยุดไข้เลือดออก:เริ่มต้นที่ตัวเราป้องกันไข้เลือดออกระบาดในปีนี้ เผยสถิติมีผู้ป่วยสะสมในประเทศไทย 16,924 ราย เสียชีวิต 11 ราย กลุ่มเด็กอายุ 5-14 ปี มีภาวะอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยง ประชาชนร่วมใจตัดวงจรลูกน้ํายุงลาย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ได้มีข้อตกลงร่วมกันที่กําหนดให้วันที่ 15 มิถุนายนของทุกปี เป็น “วันไข้เลือดออกอาเซียน” (ASEAN Dengue Day) เนื่องจากภูมิภาคอาเซียนเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ที่พบโรคไข้เลือดออก โดยจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพหลัก สําหรับปี 2020 นี้ เว้นปีประเทศเจ้าภาพเนื่องจากเกิดสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ใช้แนวคิดเดิมของปีที่ผ่านมา “End Dengue: Starts with me” หรือ “หยุดไข้เลือดออก: เริ่มต้นที่ตัวเรา” และให้จัดกิจกรรมตามบริบทของแต่ละประเทศเพราะมีปัญหาที่แตกต่างกัน
จากข้อมูลการระบาดขององค์การอนามัยโลก Dengue Situation Update Number 594 (21 May 2020) พบว่า การระบาดในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกตะวันตก ส่วนใหญ่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มีเพียงประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ที่มีรายงานจํานวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วร้อยละ 5.6 และร้อยละ 23 ตามลําดับ ขณะที่ประเทศจีนมีรายงานจํานวนผู้ป่วยน้อยกว่าปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกันถึงร้อยละ 65 สําหรับประเทศไทย จากรายงานสํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2563 มีรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสะสม 16,924 ราย (อัตราป่วย 25.53 ต่อแสนประชากร) มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 1,539 ราย น้อยกว่าปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน มียอดผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว 11 ราย
ในช่วง 4 สัปดาห์ล่าสุด (3-30 พฤษภาคม 2563) พบจังหวัดที่มีอัตราผู้ป่วยสูงสุด 10 อันดับแรก ดังนี้ ชัยภูมิ ขอนแก่น แม่ฮ่องสอน ระยอง บึงกาฬ เลย มหาสารคาม จันทบุรี ร้อยเอ็ด และเชียงราย ตามลําดับ พิจารณาพบว่ากระจายทั่วทุกภูมิภาค กลุ่มเสี่ยงของผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังเป็นเด็กนักเรียนอายุ 5 – 14 ปี โดยมีภาวะอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย ส่วนกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตจะเกิดจากการมีโรคประจําตัว ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิต โรคอ้วนหรือภาวะน้ําหนักเกิน รวมทั้งการได้รับยา Ibuprofen/ยาฉีดแก้ปวด นอกจากนี้ ผลการสํารวจลูกน้ํายุงลายในปี 2563 พบว่า มีค่าดัชนีลูกน้ํายุงลายสูงในทุกสถานที่ ทั้งชุมชน วัด โรงเรียน โรงพยาบาล และมีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝน
“แม้ว่าจะมีการป้องกันไข้เลือดออกด้วยการฉีดวัคซีนไข้เลือดออกแต่ราคาอาจยังสูงอยู่ วิธีการง่ายๆทุกคนช่วย ป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกยุงกัด ดูแลความสะอาดรอบบ้านทั้งการจัดบ้านให้โปร่งโล่งเปลี่ยนถ่ายน้ําในภาชนะที่มีน้ําขังทุก 7 วัน ปิดฝาภาชนะใส่น้ํา หรือใช้สารเคมีกําจัดลูกน้ํา ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย” นายอนุทิน กล่าว
ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าไข้เลือดออกเป็นโรคติดเชื้อซึ่งระบาดในเขตร้อนที่เกิดจากเชื้อไวรัสอีกชนิดหนึ่งชื่อว่า เด็งกี่ มี 4 สายพันธุ์ แต่ละปีมีการระบาดของแต่ละสายพันธุ์แตกต่างกันทําให้เมื่อผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อไปแล้วและได้เชื้อสายพันธุ์อื่นอาจเกิดอาการรุนแรงได้ โดยทั่วไปอาการจะเริ่มจากมีไข้สูงและอาจสูงเกิน 38 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และมีผื่นแดงลักษณะคล้ายผื่นของโรคหัด และหากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงจะทําให้มีเลือดออกง่าย มีเกล็ดเลือดต่ํา และมีการรั่วของพลาสมาหรือรุนแรงมากขึ้น เป็นกลุ่มอาการไข้เลือดออกช็อก ซึ่งมีความดันโลหิตต่ําอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
*********************************14มิถุนายน2563 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32316 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ 9 องค์กรเอกชน กลุ่มขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จังหวัดอุบลราชธานี | วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561
ประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ 9 องค์กรเอกชน กลุ่มขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จังหวัดอุบลราชธานี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพร้อมรับฟังปัญหากับ 9 องค์กรเอกชน กลุ่มขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จังหวัดอุบลราชธานี ณ ห้องประชุมผาแต้ม ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7
วันนี้ (25 พฤษภาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพร้อมรับฟังปัญหากับ 9 องค์กรเอกชน กลุ่มขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย นายจารุพันธุ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายรังสรร บุญสะอาด อุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานี ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และ 9 องค์กรเอกชน ที่เข้าร่วมนําโดย นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ ประธานสภาอุตสาหกรรม นายสมชาติ พงคพนาไกร ประธานหอการค้า ประธานชมรมธนาคาร นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว บจก.ประชารัฐรักสามัคคีอุบลราชธานี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) สภาทนาย สมาคมสื่อมวลชน Biz Club และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ ประธานสมาพันธ์ SME ไทย จังหวัดอุบลราชธานี ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมผาแต้ม ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ 9 องค์กรเอกชน กลุ่มขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จังหวัดอุบลราชธานี
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561
ประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ 9 องค์กรเอกชน กลุ่มขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จังหวัดอุบลราชธานี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพร้อมรับฟังปัญหากับ 9 องค์กรเอกชน กลุ่มขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จังหวัดอุบลราชธานี ณ ห้องประชุมผาแต้ม ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7
วันนี้ (25 พฤษภาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพร้อมรับฟังปัญหากับ 9 องค์กรเอกชน กลุ่มขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย นายจารุพันธุ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายรังสรร บุญสะอาด อุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานี ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และ 9 องค์กรเอกชน ที่เข้าร่วมนําโดย นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ ประธานสภาอุตสาหกรรม นายสมชาติ พงคพนาไกร ประธานหอการค้า ประธานชมรมธนาคาร นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว บจก.ประชารัฐรักสามัคคีอุบลราชธานี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) สภาทนาย สมาคมสื่อมวลชน Biz Club และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ ประธานสมาพันธ์ SME ไทย จังหวัดอุบลราชธานี ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมผาแต้ม ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12550 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท.สั่งการทุกจังหวัดจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวสอดคล้องมาตรการผ่อนคลายให้เหมาะสมกับพื้นที่ | วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2563
ศบค.มท.สั่งการทุกจังหวัดจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวสอดคล้องมาตรการผ่อนคลายให้เหมาะสมกับพื้นที่
ศบค.มท.สั่งการทุกจังหวัดจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวสอดคล้องมาตรการผ่อนคลายให้เหมาะสมกับพื้นที่
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 63 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวชายหาด ด้วยการกําหนดการใช้พื้นที่ให้มีความชัดเจน มุ่งเน้นความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและประชาชน ไม่เกิดความแออัด รวมทั้งให้มีการดูแลรักษาความสะอาดของสถานที่ท่องเที่ยวและบริเวณโดยรอบ
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินการตามความเหมาะสมกับพื้นที่ ได้แก่ 1) สํารวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวชุมชน แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนควบคู่กับมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคของกระทรวงสาธารณสุข 2) จัดระเบียบและแบ่งสัดส่วนการใช้พื้นที่สถานที่ท่องเที่ยวให้มีความชัดเจน อาทิ พื้นที่ร้านค้า สถานประกอบการ พื้นที่สําหรับพักผ่อน พื้นที่จัดกิจกรรม พื้นที่จอดรถ หรือพื้นที่อื่น ๆ ให้สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม กําหนดมาตรการควบคุมจํานวนผู้เข้ามาท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เกิดความแออัดและเป็นไปตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม โดยถือหลักหลีกเลี่ยงติดต่อสัมผัสระหว่างกัน 3) อํานวยความสะดวกและบริหารจัดการระบบการจราจร รวมทั้งประชาสัมพันธ์การใช้เส้นทางให้แก่ประชาชนเพื่อลดความแออัดของพื้นที่ 4) กําหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ทั้งการรักษาความสะอาดบริเวณแหล่งท่องเที่ยวโดยเฉพาะจุดที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อกําหนด และให้มีจุดล้างมือด้วยสบู่ แอลกอฮอล์เจล หรือน้ํายาฆ่าเชื้อโรค รวมทั้งกําจัดขยะในพื้นที่โดยรอบแหล่งท่องเที่ยว 5) รณรงค์ให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวใช้แอปพลิเคชัน "ไทยชนะ" ให้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตปกติ และสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วน ให้ตระหนักถึงความสําคัญและประโยชน์ของแอปพลิเคชันในการสอบสวนโรคย้อนหลังได้ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท.สั่งการทุกจังหวัดจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวสอดคล้องมาตรการผ่อนคลายให้เหมาะสมกับพื้นที่
วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2563
ศบค.มท.สั่งการทุกจังหวัดจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวสอดคล้องมาตรการผ่อนคลายให้เหมาะสมกับพื้นที่
ศบค.มท.สั่งการทุกจังหวัดจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวสอดคล้องมาตรการผ่อนคลายให้เหมาะสมกับพื้นที่
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 63 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวชายหาด ด้วยการกําหนดการใช้พื้นที่ให้มีความชัดเจน มุ่งเน้นความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและประชาชน ไม่เกิดความแออัด รวมทั้งให้มีการดูแลรักษาความสะอาดของสถานที่ท่องเที่ยวและบริเวณโดยรอบ
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินการตามความเหมาะสมกับพื้นที่ ได้แก่ 1) สํารวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวชุมชน แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนควบคู่กับมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคของกระทรวงสาธารณสุข 2) จัดระเบียบและแบ่งสัดส่วนการใช้พื้นที่สถานที่ท่องเที่ยวให้มีความชัดเจน อาทิ พื้นที่ร้านค้า สถานประกอบการ พื้นที่สําหรับพักผ่อน พื้นที่จัดกิจกรรม พื้นที่จอดรถ หรือพื้นที่อื่น ๆ ให้สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม กําหนดมาตรการควบคุมจํานวนผู้เข้ามาท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เกิดความแออัดและเป็นไปตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม โดยถือหลักหลีกเลี่ยงติดต่อสัมผัสระหว่างกัน 3) อํานวยความสะดวกและบริหารจัดการระบบการจราจร รวมทั้งประชาสัมพันธ์การใช้เส้นทางให้แก่ประชาชนเพื่อลดความแออัดของพื้นที่ 4) กําหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ทั้งการรักษาความสะอาดบริเวณแหล่งท่องเที่ยวโดยเฉพาะจุดที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อกําหนด และให้มีจุดล้างมือด้วยสบู่ แอลกอฮอล์เจล หรือน้ํายาฆ่าเชื้อโรค รวมทั้งกําจัดขยะในพื้นที่โดยรอบแหล่งท่องเที่ยว 5) รณรงค์ให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวใช้แอปพลิเคชัน "ไทยชนะ" ให้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตปกติ และสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วน ให้ตระหนักถึงความสําคัญและประโยชน์ของแอปพลิเคชันในการสอบสวนโรคย้อนหลังได้ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32315 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการค้าภายในชี้แจงกรณีร้านจำหน่ายอาหาร บริเวณชายหาดหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำหน่ายอาหารราคาแพงผิดปกติ | วันพุธที่ 3 มกราคม 2561
กรมการค้าภายในชี้แจงกรณีร้านจําหน่ายอาหาร บริเวณชายหาดหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จําหน่ายอาหารราคาแพงผิดปกติ
กรมการค้าภายในชี้แจงกรณีร้านจําหน่ายอาหาร บริเวณชายหาดหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จําหน่ายอาหารราคาแพงผิดปกติ
วันที่ 25 ธันวาคม 2560 นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงกรณีสื่อมวลชนเสนอข่าวร้านจําหน่ายอาหารบริเวณชายหาดหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จําหน่ายอาหารราคาแพงผิดปกติ ตามที่ในสื่อโซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่ภาพและข้อความจากผู้ใช้ชื่อเฟซบุ๊ก “Ploynapas Lukthongmak” แสดงความไม่พอใจหลังเจอราคาอาหารซีฟู้ด และค่าเครื่องดื่ม รวม 7,380 บาท ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นร้านเตียงผ้าใบบริเวณชายหาดหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จําหน่ายอาหารทุกอย่างราคาสูงผิดปกติ โดยเฉพาะเมนูทะเลเผาและทะเลลวกจานละ 700 บาท ต้มยําหม้อละ 300 บาท ส้มตํากุ้งสดจานละ 150 บาท ข้าวผัดจานใหญ่ 300 บาท ข้าวเปล่าโถละ 100 บาท น้ําขวดละ 50 บาท ไก่ย่างจานละ 250 บาท กุ้งชุบแป้งทอดจานละ 350 บาท นั้น
กรมการค้าภายในได้ประสานสํานักงานพาณิชย์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามประเด็นดังกล่าวโดยเร่งด่วนแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่า สถานที่ตามที่ปรากฏในสื่อดังกล่าวเป็นร้านจําหน่ายอาหาร ตั้งอยู่บริเวณชายหาดหัวหิน ล็อคที่ 17 ถนนชายหาดหัวหิน ตําบลหัวหิน อําเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีนางภาวนา เปี่ยมทวี เป็นเจ้าของร้าน ซึ่งจากการตรวจสอบราคาจําหน่ายอาหารตามรายการที่ปรากฏอยู่ในสื่อ รวมราคาอาหารจํานวน 7,380 บาทนั้น พบว่า อาหารและเครื่องดื่มทุกรายการ มีการแสดงราคาจําหน่ายไว้อย่างชัดเจน และจําหน่ายไม่เกินราคาที่แสดงไว้ นอกจากนี้ยังได้มีการตรวจสอบราคาจําหน่ายอาหารของร้านบริเวณใกล้เคียง เพื่อเทียบเคียงราคาจําหน่าย พบว่า มีราคาจําหน่ายใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะเมนูทะเลเผาและทะเลลวก ส่วนใหญ่จําหน่ายราคาชุดละ 500-800 บาท
กรมการค้าภายในจะประสานสํานักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด ให้ตรวจสอบผู้ประกอบการร้านอาหารบริเวณสถานีขนส่งและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีการปิดป้ายแสดงราคาจําหน่ายสินค้า และจําหน่ายสินค้าให้ตรงกับราคาที่แสดงไว้ รวมทั้งมิให้ฉวยโอกาสจําหน่ายสินค้าในราคาที่สูงเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 หากพบว่ามีการกระทําความผิดจะดําเนินการตามกฎหมาย อย่างเคร่งครัด หากผู้บริโภคพบว่ามีการจําหน่ายอาหารในราคาสูงเกินสมควร หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้าหรือบริการ สามารถแจ้งข้อมูลมาได้ที่สายด่วน 1569 กรมการค้าภายในหรือสํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการค้าภายในชี้แจงกรณีร้านจำหน่ายอาหาร บริเวณชายหาดหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำหน่ายอาหารราคาแพงผิดปกติ
วันพุธที่ 3 มกราคม 2561
กรมการค้าภายในชี้แจงกรณีร้านจําหน่ายอาหาร บริเวณชายหาดหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จําหน่ายอาหารราคาแพงผิดปกติ
กรมการค้าภายในชี้แจงกรณีร้านจําหน่ายอาหาร บริเวณชายหาดหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จําหน่ายอาหารราคาแพงผิดปกติ
วันที่ 25 ธันวาคม 2560 นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงกรณีสื่อมวลชนเสนอข่าวร้านจําหน่ายอาหารบริเวณชายหาดหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จําหน่ายอาหารราคาแพงผิดปกติ ตามที่ในสื่อโซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่ภาพและข้อความจากผู้ใช้ชื่อเฟซบุ๊ก “Ploynapas Lukthongmak” แสดงความไม่พอใจหลังเจอราคาอาหารซีฟู้ด และค่าเครื่องดื่ม รวม 7,380 บาท ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นร้านเตียงผ้าใบบริเวณชายหาดหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จําหน่ายอาหารทุกอย่างราคาสูงผิดปกติ โดยเฉพาะเมนูทะเลเผาและทะเลลวกจานละ 700 บาท ต้มยําหม้อละ 300 บาท ส้มตํากุ้งสดจานละ 150 บาท ข้าวผัดจานใหญ่ 300 บาท ข้าวเปล่าโถละ 100 บาท น้ําขวดละ 50 บาท ไก่ย่างจานละ 250 บาท กุ้งชุบแป้งทอดจานละ 350 บาท นั้น
กรมการค้าภายในได้ประสานสํานักงานพาณิชย์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามประเด็นดังกล่าวโดยเร่งด่วนแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่า สถานที่ตามที่ปรากฏในสื่อดังกล่าวเป็นร้านจําหน่ายอาหาร ตั้งอยู่บริเวณชายหาดหัวหิน ล็อคที่ 17 ถนนชายหาดหัวหิน ตําบลหัวหิน อําเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีนางภาวนา เปี่ยมทวี เป็นเจ้าของร้าน ซึ่งจากการตรวจสอบราคาจําหน่ายอาหารตามรายการที่ปรากฏอยู่ในสื่อ รวมราคาอาหารจํานวน 7,380 บาทนั้น พบว่า อาหารและเครื่องดื่มทุกรายการ มีการแสดงราคาจําหน่ายไว้อย่างชัดเจน และจําหน่ายไม่เกินราคาที่แสดงไว้ นอกจากนี้ยังได้มีการตรวจสอบราคาจําหน่ายอาหารของร้านบริเวณใกล้เคียง เพื่อเทียบเคียงราคาจําหน่าย พบว่า มีราคาจําหน่ายใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะเมนูทะเลเผาและทะเลลวก ส่วนใหญ่จําหน่ายราคาชุดละ 500-800 บาท
กรมการค้าภายในจะประสานสํานักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด ให้ตรวจสอบผู้ประกอบการร้านอาหารบริเวณสถานีขนส่งและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีการปิดป้ายแสดงราคาจําหน่ายสินค้า และจําหน่ายสินค้าให้ตรงกับราคาที่แสดงไว้ รวมทั้งมิให้ฉวยโอกาสจําหน่ายสินค้าในราคาที่สูงเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 หากพบว่ามีการกระทําความผิดจะดําเนินการตามกฎหมาย อย่างเคร่งครัด หากผู้บริโภคพบว่ามีการจําหน่ายอาหารในราคาสูงเกินสมควร หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้าหรือบริการ สามารถแจ้งข้อมูลมาได้ที่สายด่วน 1569 กรมการค้าภายในหรือสํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
------------------- | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9051 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. Kick off มาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิต พร้อมเปิดตัว “บัตรเกษตรสุขใจ” | วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561
ธ.ก.ส. Kick off มาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิต พร้อมเปิดตัว “บัตรเกษตรสุขใจ”
ธ.ก.ส. Kick off มาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร พร้อมเปิดตัว “บัตรเกษตรสุขใจ” บัตรเอกสิทธิ์พิเศษสําหรับเกษตรกร วงเงินรายละไม่เกิน 30,000 บาท เป้าหมายเกษตรกรทั่วประเทศ 3 ล้านราย
ธ.ก.ส. Kick off มาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร พร้อมเปิดตัว “บัตรเกษตรสุขใจ” บัตรเอกสิทธิ์พิเศษสําหรับเกษตรกร วงเงินรายละไม่เกิน 30,000 บาท เป้าหมายเกษตรกรทั่วประเทศ 3 ล้านราย เพื่อนําไปซื้อปัจจัยการผลิตที่มีมาตรฐาน ราคาเป็นธรรม และสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสังคมไร้เงินสดของภาครัฐ
(วันนี้ 19 พฤษภาคม 2561 ) นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดโครงการขับเคลื่อนมาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร โดยสนับสนุนการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดผ่านสถาบันเกษตรกร พร้อมมอบ “บัตรเกษตรสุขใจ” ให้กับเกษตรกร เพื่อนําไปใช้ซื้อปัจจัยการผลิตแทนการใช้เงินสด ผ่านแอปพลิเคชั่น ธ.ก.ส. A-Shop กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการกว่า 17,000 ร้านค้าทั่วประเทศ ซึ่งนอกจากจะสะดวกสบายปลอดภัยแล้วยังช่วยลดต้นทุนในเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่รัฐบาลได้สนับสนุนอีกด้วย โดยมีนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) พร้อมผู้บริหารและเกษตรกรในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม ณ สหกรณ์การเกษตรคลองเขื่อน จํากัด อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดําเนินมาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จํานวน 2 โครงการ วงเงิน 93,600 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อลดต้นทุนปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร ซึ่งดําเนินการในรูปแบบบัตรสวัสดิการสินเชื่อแห่งรัฐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อปัจจัยการผลิตผ่านร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เป้าหมายเกษตรกร 3 ล้านราย รายละไม่เกิน 30,000 บาท วงเงินสินเชื่อรวม 90,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MRR-3 ต่อปี(ปัจจุบัน MRR เท่ากับร้อยละ 7 ต่อปี) และโครงการสนับสนุนการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดผ่านสถาบันเกษตรกร เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่สถาบันเกษตรกรในการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดเพื่อจําหน่ายให้แก่สมาชิกของสถาบันเกษตรกรและเกษตรกรทั่วไป เป้าหมายสถาบันเกษตรกร จํานวน 500 แห่ง วงเงินสินเชื่อ 3,600 ล้านบาท ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตรและกลุ่มเกษตรกร 300 แห่ง วงเงินกู้แห่งละไม่เกิน 10 ล้านบาท ตามศักยภาพและความจําเป็นในการใช้เงินกู้ และวิสาหกิจชุมชน 200 แห่ง วงเงินกู้แห่งละไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MLR-3 ต่อปี(ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 5 ต่อปี) โดยทั้ง 2 โครงการมีระยะเวลาในการจ่ายเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2562 กําหนดชําระหนี้คืนไม่เกิน 12 เดือน และไม่เกินวันที่ 30 เมษายน 2563 ทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯจะสนับสนุนการให้ความรู้ ในการใช้ปัจจัยการผลิต ที่เหมาะสมแก่เกษตรกรด้วย
ด้านนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า พร้อมดําเนินงานตามมาตรการเกษตรประชารัฐเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ตามนโยบายของรัฐบาล โดยโครงการลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรนั้น ธ.ก.ส. ได้จัดทํา “บัตรเกษตรสุขใจ” ซึ่งเป็นบัตรที่มี QR Code โดยเกษตรกรสามารถนําบัตรดังกล่าวไปใช้จ่ายเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต ได้แก่ ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช เมล็ดพันธุ์ น้ํามันเชื้อเพลิง เครื่องจักรกลหรือเครื่องมือการเกษตรขนาดเล็ก และปัจจัยอื่นๆ ที่จําเป็น ได้แก่ ข้าวสาร ผ่านแอปพลิเคชั่น ธ.ก.ส. A-Shop กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการกว่า 17,000 ร้านค้าทั่วประเทศ ประกอบด้วย ร้านจําหน่ายปัจจัยการผลิตของสหกรณ์การเกษตร ร้านที่ขึ้นทะเบียนไว้กับโครงการบัตรสินเชื่อเกษตรกรของ ธ.ก.ส. ร้านจําหน่ายปัจจัยการผลิตคุณภาพประชารัฐ และร้าน Q-Shop ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมวิชาการเกษตร ทั้งนี้ บัตรแต่ละใบมีวงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 30,000 บาท บัตรเกษตรสุขใจจึงมีความสะดวกปลอดภัย ช่วยลดต้นทุนเรื่องอัตราดอกเบี้ย ทําให้เกษตรกรมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น รวมถึงสามารถเข้าถึงปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ในราคาที่เป็นธรรมจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ และยังเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสังคมไร้เงินสดของภาครัฐ
ในส่วนของโครงการสนับสนุนการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดผ่านสถาบันเกษตรกร เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรมีการดําเนินธุรกิจที่หลากหลาย มีประโยชน์และตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิก ซึ่งการทําธุรกิจผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดเพื่อจําหน่าย ถือเป็นการพัฒนารูปแบบการผลิตที่เหมาะสมกับสภาพการเพาะปลูก ช่วยให้เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยสั่งตัดที่มีคุณภาพดีตรงกับสภาพของดิน และทําให้พืชที่ปลูกได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนในปริมาณที่เหมาะสม เจริญเติบโตดี ลดปัญหาโรคแมลง และให้ผลตอบแทนสูง จึงเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิต | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. Kick off มาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิต พร้อมเปิดตัว “บัตรเกษตรสุขใจ”
วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561
ธ.ก.ส. Kick off มาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิต พร้อมเปิดตัว “บัตรเกษตรสุขใจ”
ธ.ก.ส. Kick off มาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร พร้อมเปิดตัว “บัตรเกษตรสุขใจ” บัตรเอกสิทธิ์พิเศษสําหรับเกษตรกร วงเงินรายละไม่เกิน 30,000 บาท เป้าหมายเกษตรกรทั่วประเทศ 3 ล้านราย
ธ.ก.ส. Kick off มาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร พร้อมเปิดตัว “บัตรเกษตรสุขใจ” บัตรเอกสิทธิ์พิเศษสําหรับเกษตรกร วงเงินรายละไม่เกิน 30,000 บาท เป้าหมายเกษตรกรทั่วประเทศ 3 ล้านราย เพื่อนําไปซื้อปัจจัยการผลิตที่มีมาตรฐาน ราคาเป็นธรรม และสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสังคมไร้เงินสดของภาครัฐ
(วันนี้ 19 พฤษภาคม 2561 ) นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดโครงการขับเคลื่อนมาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร โดยสนับสนุนการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดผ่านสถาบันเกษตรกร พร้อมมอบ “บัตรเกษตรสุขใจ” ให้กับเกษตรกร เพื่อนําไปใช้ซื้อปัจจัยการผลิตแทนการใช้เงินสด ผ่านแอปพลิเคชั่น ธ.ก.ส. A-Shop กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการกว่า 17,000 ร้านค้าทั่วประเทศ ซึ่งนอกจากจะสะดวกสบายปลอดภัยแล้วยังช่วยลดต้นทุนในเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่รัฐบาลได้สนับสนุนอีกด้วย โดยมีนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) พร้อมผู้บริหารและเกษตรกรในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม ณ สหกรณ์การเกษตรคลองเขื่อน จํากัด อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดําเนินมาตรการเกษตรประชารัฐ เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จํานวน 2 โครงการ วงเงิน 93,600 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อลดต้นทุนปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร ซึ่งดําเนินการในรูปแบบบัตรสวัสดิการสินเชื่อแห่งรัฐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อปัจจัยการผลิตผ่านร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เป้าหมายเกษตรกร 3 ล้านราย รายละไม่เกิน 30,000 บาท วงเงินสินเชื่อรวม 90,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MRR-3 ต่อปี(ปัจจุบัน MRR เท่ากับร้อยละ 7 ต่อปี) และโครงการสนับสนุนการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดผ่านสถาบันเกษตรกร เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่สถาบันเกษตรกรในการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดเพื่อจําหน่ายให้แก่สมาชิกของสถาบันเกษตรกรและเกษตรกรทั่วไป เป้าหมายสถาบันเกษตรกร จํานวน 500 แห่ง วงเงินสินเชื่อ 3,600 ล้านบาท ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตรและกลุ่มเกษตรกร 300 แห่ง วงเงินกู้แห่งละไม่เกิน 10 ล้านบาท ตามศักยภาพและความจําเป็นในการใช้เงินกู้ และวิสาหกิจชุมชน 200 แห่ง วงเงินกู้แห่งละไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MLR-3 ต่อปี(ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 5 ต่อปี) โดยทั้ง 2 โครงการมีระยะเวลาในการจ่ายเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2562 กําหนดชําระหนี้คืนไม่เกิน 12 เดือน และไม่เกินวันที่ 30 เมษายน 2563 ทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯจะสนับสนุนการให้ความรู้ ในการใช้ปัจจัยการผลิต ที่เหมาะสมแก่เกษตรกรด้วย
ด้านนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า พร้อมดําเนินงานตามมาตรการเกษตรประชารัฐเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ตามนโยบายของรัฐบาล โดยโครงการลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรนั้น ธ.ก.ส. ได้จัดทํา “บัตรเกษตรสุขใจ” ซึ่งเป็นบัตรที่มี QR Code โดยเกษตรกรสามารถนําบัตรดังกล่าวไปใช้จ่ายเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต ได้แก่ ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช เมล็ดพันธุ์ น้ํามันเชื้อเพลิง เครื่องจักรกลหรือเครื่องมือการเกษตรขนาดเล็ก และปัจจัยอื่นๆ ที่จําเป็น ได้แก่ ข้าวสาร ผ่านแอปพลิเคชั่น ธ.ก.ส. A-Shop กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการกว่า 17,000 ร้านค้าทั่วประเทศ ประกอบด้วย ร้านจําหน่ายปัจจัยการผลิตของสหกรณ์การเกษตร ร้านที่ขึ้นทะเบียนไว้กับโครงการบัตรสินเชื่อเกษตรกรของ ธ.ก.ส. ร้านจําหน่ายปัจจัยการผลิตคุณภาพประชารัฐ และร้าน Q-Shop ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมวิชาการเกษตร ทั้งนี้ บัตรแต่ละใบมีวงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 30,000 บาท บัตรเกษตรสุขใจจึงมีความสะดวกปลอดภัย ช่วยลดต้นทุนเรื่องอัตราดอกเบี้ย ทําให้เกษตรกรมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น รวมถึงสามารถเข้าถึงปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ในราคาที่เป็นธรรมจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ และยังเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสังคมไร้เงินสดของภาครัฐ
ในส่วนของโครงการสนับสนุนการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดผ่านสถาบันเกษตรกร เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรมีการดําเนินธุรกิจที่หลากหลาย มีประโยชน์และตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิก ซึ่งการทําธุรกิจผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดเพื่อจําหน่าย ถือเป็นการพัฒนารูปแบบการผลิตที่เหมาะสมกับสภาพการเพาะปลูก ช่วยให้เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยสั่งตัดที่มีคุณภาพดีตรงกับสภาพของดิน และทําให้พืชที่ปลูกได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนในปริมาณที่เหมาะสม เจริญเติบโตดี ลดปัญหาโรคแมลง และให้ผลตอบแทนสูง จึงเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิต | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12392 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การขับเคลื่อน Digital Local Government สู่ Digital Thailand” | วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การขับเคลื่อน Digital Local Government สู่ Digital Thailand”
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “GovChannel Roadshow 2018 : Digital Local Government ขับเคลื่อนราชการทันสมัย บริการประชาชนรวดเร็ว ทันใจ” พร้อมปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การขับเคลื่อน Digital Local Government สู่ Digital Thailand” โดยสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ EGA หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ จัดขึ้น เพื่อเร่งรัดพัฒนาบริการภาครัฐภายใต้กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของรัฐบาล มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิต และการเข้าถึงบริการสาธารณะของประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกท้องถิ่น อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยได้พัฒนา “ศูนย์กลางบริการภาครัฐสําหรับประชาชน” หรือ GovChannel ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเข้าถึงข้อมูลและบริการอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ได้จากจุดเดียว รวมทั้งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถเชิงดิจิทัลให้หน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคมีประสิทธิภาพการทํางานสูงขึ้น สามารถบริการประชาชนให้ได้ประโยชน์สูงสุด ดังนั้น การผลักดันให้เกิด Digital Local Government จึงเป็นการขับเคลื่อนผ่านนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี เพื่อนําพาประเทศสู่ Thailand 4.0 ก่อให้เกิดความร่วมมือในการจัดงานสัมมนาดังกล่าว เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงแรมสุนีย์ แกรนด์ โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
*********************** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การขับเคลื่อน Digital Local Government สู่ Digital Thailand”
วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การขับเคลื่อน Digital Local Government สู่ Digital Thailand”
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “GovChannel Roadshow 2018 : Digital Local Government ขับเคลื่อนราชการทันสมัย บริการประชาชนรวดเร็ว ทันใจ” พร้อมปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การขับเคลื่อน Digital Local Government สู่ Digital Thailand” โดยสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ EGA หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ จัดขึ้น เพื่อเร่งรัดพัฒนาบริการภาครัฐภายใต้กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของรัฐบาล มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิต และการเข้าถึงบริการสาธารณะของประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกท้องถิ่น อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยได้พัฒนา “ศูนย์กลางบริการภาครัฐสําหรับประชาชน” หรือ GovChannel ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเข้าถึงข้อมูลและบริการอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ได้จากจุดเดียว รวมทั้งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถเชิงดิจิทัลให้หน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคมีประสิทธิภาพการทํางานสูงขึ้น สามารถบริการประชาชนให้ได้ประโยชน์สูงสุด ดังนั้น การผลักดันให้เกิด Digital Local Government จึงเป็นการขับเคลื่อนผ่านนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี เพื่อนําพาประเทศสู่ Thailand 4.0 ก่อให้เกิดความร่วมมือในการจัดงานสัมมนาดังกล่าว เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงแรมสุนีย์ แกรนด์ โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
*********************** | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10390 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิด 3 ขั้นตอน 4 ระดับ รับมือปัญหาฝุ่น | วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2562
เปิด 3 ขั้นตอน 4 ระดับ รับมือปัญหาฝุ่น
--
สถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 เกินค่ามาตรฐานบริเวณกรุงเทพและปริมณฑล เป็นปัญหาสําคัญที่อาจส่งผลต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน
โดยตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 รัฐบาลโดยหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมการป้องกันเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติ 3 ขั้นตอน ได้แก่
“ขั้นเตรียมการ” สร้างความเข้าใจทุกหน่วยงาน หากเกิดฝุ่นละอองขึ้นในพื้นที่ใด จะต้องมีแนวทางดําเนินการไว้
“ขั้นปฏิบัติการ” เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 4 ระดับ ตามความรุนแรงของสถานการณ์ คือ
ระดับที่ 1.....หากมีค่าฝุ่นน้อยกว่า 50 มคก./ลบ.ม. ทุกหน่วยราชการจะต้องดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ และกฎหมายที่มีอยู่ในสภาวะปกติ เพื่อให้กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลสะอาดและมีสิ่งแวดล้อมที่ดี
ระดับที่ 2.....ค่าฝุ่นระหว่าง 50 – 75 มคก./ลบ.ม. หน่วยงานทุกหน่วยจะต้องมีมาตรการต่าง ๆ ให้เข้มข้นขึ้น เช่น การตรวจวัดควันดํา ตรวจสภาพรถยนต์ การปรับเปลี่ยนน้ํามันเชื้อเพลิงเป็น B20 การงดเว้นกิจกรรมในเส้นทางสร้างทางรถไฟฟ้าที่ส่งผลทําให้เกิดฝุ่นละออง การทําฝนหลวง เป็นต้น
ระดับที่ 3.....ค่าฝุ่นระหว่าง 75 - 100 มคก./ลบ.ม. จะให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและปริมณฑลประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมเหตุรําคาญ ยุติกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษได้ทันที เพื่อให้สภาพอากาศกลับมาได้เหมือนเดิม
ระดับที่ 4.....ค่าฝุ่น เกิน 100 มคก./ลบ.ม. ให้มีการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นกรณีเร่งด่วนพิเศษ และพิจารณาเฉพาะวาระเดียวเพื่อพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่ง
“ขั้นฟื้นฟู” หลังจากสิ้นสุดเหตุการณ์ และปัญหาได้รับการแก้ไข จะมีการประชุมเพื่อถอดบทเรียน สําหรับเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองให้มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในปีต่อ ๆ ไป
สําหรับมาตรการระยะเร่งด่วน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและ กระทรวงพลังงานจะรณรงค์ให้รถบรรทุกขนาดใหญ่ใช้น้ํามันดีเซล บี 20 เพิ่มขึ้น โดยขอให้ในสถานีบริการน้ํามัน ปตท. และบางจาก ในเขตพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล เปิดจุดให้บริการเติมน้ํามันบี 20 แทนดีเซลปกติ โดยกระทรวงพลังงานจะชดเชย ส่วนต่างให้สามารถจําหน่ายในราคาถูกกว่าน้ํามันดีเซล จากเดิมลิตรละ 3 บาท เป็น 5 บาท
นอกจากนี้ จะขอความร่วมมือภาคเอกชนให้ทดลองใช้ระบบฉีดน้ําจากตึกสูง เพื่อแก้ ปัญหาฝุ่น โดยจะเริ่มที่บริเวณดาดฟ้าตึกกรมควบคุมมลพิษก่อน
ส่วนในระยะยาว รัฐบาลจะเพิ่มระบบขนส่งมวลชนทางรางให้มากขึ้น โดยใช้ระยะเวลา 3 - 5 ปี นับจากนี้จะสมบูรณ์ทั้งระบบ รวมทั้งส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าด้วย
ประเทศไทยได้เข้าร่วมความตกลงอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความตกลงปารีสเมื่อปี 2559 โดยมีเป้าหมายว่า เฟสแรกจะลดก๊าซเรือน กระจกให้ได้ 7% ในปี 2565 แต่ขณะนี้ไทยสามารถลดได้ 12% สูงกว่าเป้าหมายที่ให้ ความผูกพันไว้
ส่วนในเฟส 2 ตั้งเป้าหมายจะลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20 ถึง 25% ในปี 2573 โดยมีแผนปฏิบัติการ ปี 2564 - 2573 เรียบร้อยแล้ว หากทําได้สําเร็จคาดว่าจะลด ก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 28%
อย่างไรก็ตาม ปีนี้เป็นปีแรกที่ประเทศไทยเริ่มวัดค่าฝุ่นละอองขนาด PM2.5 ทุกคนจึงตื่นตัวและให้ความสนใจกันมาก ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและดําเนินการแก้ไขอย่างเต็มที่ตามความรุนแรงของปัญหา โดยคํานึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพ อนามัยของประชาชนควบคู่ไปกับผลกระทบด้านอื่น ๆ เช่น ด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศด้วย
ด้วยความห่วงใยทุกคน....จึงขอให้ประชาชนติดตามข่าวสาร ตรวจสอบค่าฝุ่นละออง ปฏิบัติตามคําแนะนํา เพื่อป้องกันตนเอง สําหรับกลุ่มเสี่ยง ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัว จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ทันที
----------------------
ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิด 3 ขั้นตอน 4 ระดับ รับมือปัญหาฝุ่น
วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2562
เปิด 3 ขั้นตอน 4 ระดับ รับมือปัญหาฝุ่น
--
สถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 เกินค่ามาตรฐานบริเวณกรุงเทพและปริมณฑล เป็นปัญหาสําคัญที่อาจส่งผลต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน
โดยตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 รัฐบาลโดยหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมการป้องกันเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติ 3 ขั้นตอน ได้แก่
“ขั้นเตรียมการ” สร้างความเข้าใจทุกหน่วยงาน หากเกิดฝุ่นละอองขึ้นในพื้นที่ใด จะต้องมีแนวทางดําเนินการไว้
“ขั้นปฏิบัติการ” เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 4 ระดับ ตามความรุนแรงของสถานการณ์ คือ
ระดับที่ 1.....หากมีค่าฝุ่นน้อยกว่า 50 มคก./ลบ.ม. ทุกหน่วยราชการจะต้องดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ และกฎหมายที่มีอยู่ในสภาวะปกติ เพื่อให้กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลสะอาดและมีสิ่งแวดล้อมที่ดี
ระดับที่ 2.....ค่าฝุ่นระหว่าง 50 – 75 มคก./ลบ.ม. หน่วยงานทุกหน่วยจะต้องมีมาตรการต่าง ๆ ให้เข้มข้นขึ้น เช่น การตรวจวัดควันดํา ตรวจสภาพรถยนต์ การปรับเปลี่ยนน้ํามันเชื้อเพลิงเป็น B20 การงดเว้นกิจกรรมในเส้นทางสร้างทางรถไฟฟ้าที่ส่งผลทําให้เกิดฝุ่นละออง การทําฝนหลวง เป็นต้น
ระดับที่ 3.....ค่าฝุ่นระหว่าง 75 - 100 มคก./ลบ.ม. จะให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและปริมณฑลประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมเหตุรําคาญ ยุติกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษได้ทันที เพื่อให้สภาพอากาศกลับมาได้เหมือนเดิม
ระดับที่ 4.....ค่าฝุ่น เกิน 100 มคก./ลบ.ม. ให้มีการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นกรณีเร่งด่วนพิเศษ และพิจารณาเฉพาะวาระเดียวเพื่อพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่ง
“ขั้นฟื้นฟู” หลังจากสิ้นสุดเหตุการณ์ และปัญหาได้รับการแก้ไข จะมีการประชุมเพื่อถอดบทเรียน สําหรับเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองให้มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในปีต่อ ๆ ไป
สําหรับมาตรการระยะเร่งด่วน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและ กระทรวงพลังงานจะรณรงค์ให้รถบรรทุกขนาดใหญ่ใช้น้ํามันดีเซล บี 20 เพิ่มขึ้น โดยขอให้ในสถานีบริการน้ํามัน ปตท. และบางจาก ในเขตพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล เปิดจุดให้บริการเติมน้ํามันบี 20 แทนดีเซลปกติ โดยกระทรวงพลังงานจะชดเชย ส่วนต่างให้สามารถจําหน่ายในราคาถูกกว่าน้ํามันดีเซล จากเดิมลิตรละ 3 บาท เป็น 5 บาท
นอกจากนี้ จะขอความร่วมมือภาคเอกชนให้ทดลองใช้ระบบฉีดน้ําจากตึกสูง เพื่อแก้ ปัญหาฝุ่น โดยจะเริ่มที่บริเวณดาดฟ้าตึกกรมควบคุมมลพิษก่อน
ส่วนในระยะยาว รัฐบาลจะเพิ่มระบบขนส่งมวลชนทางรางให้มากขึ้น โดยใช้ระยะเวลา 3 - 5 ปี นับจากนี้จะสมบูรณ์ทั้งระบบ รวมทั้งส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าด้วย
ประเทศไทยได้เข้าร่วมความตกลงอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความตกลงปารีสเมื่อปี 2559 โดยมีเป้าหมายว่า เฟสแรกจะลดก๊าซเรือน กระจกให้ได้ 7% ในปี 2565 แต่ขณะนี้ไทยสามารถลดได้ 12% สูงกว่าเป้าหมายที่ให้ ความผูกพันไว้
ส่วนในเฟส 2 ตั้งเป้าหมายจะลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20 ถึง 25% ในปี 2573 โดยมีแผนปฏิบัติการ ปี 2564 - 2573 เรียบร้อยแล้ว หากทําได้สําเร็จคาดว่าจะลด ก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 28%
อย่างไรก็ตาม ปีนี้เป็นปีแรกที่ประเทศไทยเริ่มวัดค่าฝุ่นละอองขนาด PM2.5 ทุกคนจึงตื่นตัวและให้ความสนใจกันมาก ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและดําเนินการแก้ไขอย่างเต็มที่ตามความรุนแรงของปัญหา โดยคํานึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพ อนามัยของประชาชนควบคู่ไปกับผลกระทบด้านอื่น ๆ เช่น ด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศด้วย
ด้วยความห่วงใยทุกคน....จึงขอให้ประชาชนติดตามข่าวสาร ตรวจสอบค่าฝุ่นละออง ปฏิบัติตามคําแนะนํา เพื่อป้องกันตนเอง สําหรับกลุ่มเสี่ยง ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัว จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ทันที
----------------------
ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18340 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เผยผลการดำเนินงานสัปดาห์ตรวจเข้มสินค้าเกษตรปลอดภัย | วันพุธที่ 12 เมษายน 2560
กระทรวงเกษตรฯ เผยผลการดําเนินงานสัปดาห์ตรวจเข้มสินค้าเกษตรปลอดภัย
กระทรวงเกษตรฯ เผยผลการดําเนินงานสัปดาห์ตรวจเข้มสินค้าเกษตรปลอดภัย ระหว่างวันที่ 1 – 7 เม.ย. 60 สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคก่อนเทศกาลสงกรานต์
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่ได้กําหนดให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืน และเพื่อปกป้องสุขภาพของพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์ กรมประมง และกรมวิชาการเกษตร ตรวจสอบสินค้าเกษตรในตลาดสดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 - 7 เม.ย. 2560 และเพิ่มการตรวจในวันที่ 8 เม.ย. 2560 เฉพาะส่วนกลางในพื้นที่ กทม. ด้วยการสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าปศุสัตว์ สินค้าประมง และสินค้าเกษตรด้านพืชให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กําหนด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตรและปศุสัตว์อย่างแท้จริง โดยได้ร่วมกับหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขและท้องถิ่น บูรณาการงานตรวจสอบสินค้าเกษตร โดยลงพื้นที่สุ่มเก็บตัวอย่าง ผัก ผลไม้ สินค้าประมง และเนื้อสัตว์ ณ สถานที่จําหน่ายที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร จากหน่วยงานของของกระทรวงเกษตรฯ ทั้ง “สินค้า Q” และ “ปศุสัตว์ OK”
นายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ในส่วนของกรมปศุสัตว์ ได้สุ่มตรวจสินค้าทั่วประเทศ ในตลาดสด 539 แห่ง โดยเก็บตัวอย่าง 1,617 ตัวอย่าง ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อสุกร และเนื้อโค นอกจากนี้ยังตรวจใบอนุญาตในการตั้งเขียงหรือสถานที่จําหน่าย และสุขลักษณะของสถานที่จําหน่าย โดยผลการตรวจเบื้องต้น พบว่า ในเรื่องของใบอนุญาต มีใบอนุญาตทั้งหมด 97% และในส่วนที่เหลือพบว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีการเลี้ยงสัตว์และนํามาจําหน่ายเอง ซึ่งเป็นการยกเว้นที่ไม่ต้องมีใบอนุญาตได้ สําหรับการประเมินด้านสุขลักษณะภายนอกของสถานที่จําหน่าย ผ่านเกณฑ์ 96% โดยในส่วนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ได้มีการชี้แนะให้ปรับปรุงเรียบร้อย ทั้งนี้ ผลตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการหาสารตกค้าง (ยาปฏิชีวนะ/สารเร่งเนื้อแดง) จะเสร็จในอีก 2 – 3 วัน ในเบื้องต้นได้ตรวจด้วยชุดทดสอบ (Test Kit) ไม่พบยาปฏิชีวนะ และสารเร่งเนื้อแดง ที่พบมีเพียงแบคทีเรียทั่วไปที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว
ด้าน นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ด้านการตรวจในส่วนของพืช ได้ตรวจตลอดทั้งปี 9,483 ตัวอย่าง โดยมีหลักเกณฑ์จากผลการติดตามที่ผ่านมาว่าพืชชนิดใดมีความเสี่ยงสูง ก็จะใช้พืชตัวนั้นในการสุ่มตัวอย่าง รวมถึงผลการแจ้งเตือนจากต่างประเทศด้วย นอกจากนี้ ยังใช้ข้อมูลเครือข่ายจากภาคประชาสังคมที่มีความกังวลต่อสินค้านั้น ๆ มาเป็นตัวกําหนดชนิดที่จะใช้สุ่มสินค้าเกษตร ทั้งนี้ กรมวิชาการเกษตรได้ดําเนินการมาโดยตลอด โดยเฉพาะในหน้าฝนจะมีการเก็บตัวอย่างและวิเคราะห์จุลินทรีย์ด้วย โดยสําหรับการสุ่มตรวจในครั้งนี้ ได้เก็บตัวอย่างพืชผัก จํานวน 88 ตัวอย่าง ตัวอย่างผลไม้ จํานวน 45 ตัวอย่าง จะนําเข้าตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการหาสารตกค้างทั้งหมด
นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กรมประมงจะดูจากการส่งออก การร่วมกับสมาคมแช่เยือกแข็ง โดยบริษัทที่เป็นสมาชิกจะตรวจสัตว์ก่อนนําเข้า และการตรวจในภาพรวม ซึ่งเป็นการสุ่มทั่วประเทศ ซึ่งจากการสุ่มตรวจระหว่างวันที่ 1 – 7 เม.ย. 60 ที่ผ่านมา ได้สุ่มตรวจในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาค ได้แก่ กรุงเทพฯ สงขลา สุราษฏร์ธานี พังงา พิษณุโลก ขอนแก่น อุบลราชธานี ชัยนาท จันทบุรี และเชียงใหม่ มีการตรวจใน 2 ส่วน คือ ฟอมาลิน จํานวน 85 ตัวอย่าง ตรวจพบ 2 ตัวอย่างในสินค้าปลาหมึก ส่วนการตรวจสารตกค้าง ยังไม่พบสารตกค้าง และยังเหลือตัวอย่างในห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาสารตกค้างอีกไม่มาก ซึ่งคิดว่าไม่น่ามีสารตกค้าง
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เผยผลการดำเนินงานสัปดาห์ตรวจเข้มสินค้าเกษตรปลอดภัย
วันพุธที่ 12 เมษายน 2560
กระทรวงเกษตรฯ เผยผลการดําเนินงานสัปดาห์ตรวจเข้มสินค้าเกษตรปลอดภัย
กระทรวงเกษตรฯ เผยผลการดําเนินงานสัปดาห์ตรวจเข้มสินค้าเกษตรปลอดภัย ระหว่างวันที่ 1 – 7 เม.ย. 60 สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคก่อนเทศกาลสงกรานต์
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่ได้กําหนดให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืน และเพื่อปกป้องสุขภาพของพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์ กรมประมง และกรมวิชาการเกษตร ตรวจสอบสินค้าเกษตรในตลาดสดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 - 7 เม.ย. 2560 และเพิ่มการตรวจในวันที่ 8 เม.ย. 2560 เฉพาะส่วนกลางในพื้นที่ กทม. ด้วยการสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าปศุสัตว์ สินค้าประมง และสินค้าเกษตรด้านพืชให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กําหนด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตรและปศุสัตว์อย่างแท้จริง โดยได้ร่วมกับหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขและท้องถิ่น บูรณาการงานตรวจสอบสินค้าเกษตร โดยลงพื้นที่สุ่มเก็บตัวอย่าง ผัก ผลไม้ สินค้าประมง และเนื้อสัตว์ ณ สถานที่จําหน่ายที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร จากหน่วยงานของของกระทรวงเกษตรฯ ทั้ง “สินค้า Q” และ “ปศุสัตว์ OK”
นายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ในส่วนของกรมปศุสัตว์ ได้สุ่มตรวจสินค้าทั่วประเทศ ในตลาดสด 539 แห่ง โดยเก็บตัวอย่าง 1,617 ตัวอย่าง ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อสุกร และเนื้อโค นอกจากนี้ยังตรวจใบอนุญาตในการตั้งเขียงหรือสถานที่จําหน่าย และสุขลักษณะของสถานที่จําหน่าย โดยผลการตรวจเบื้องต้น พบว่า ในเรื่องของใบอนุญาต มีใบอนุญาตทั้งหมด 97% และในส่วนที่เหลือพบว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีการเลี้ยงสัตว์และนํามาจําหน่ายเอง ซึ่งเป็นการยกเว้นที่ไม่ต้องมีใบอนุญาตได้ สําหรับการประเมินด้านสุขลักษณะภายนอกของสถานที่จําหน่าย ผ่านเกณฑ์ 96% โดยในส่วนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ได้มีการชี้แนะให้ปรับปรุงเรียบร้อย ทั้งนี้ ผลตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการหาสารตกค้าง (ยาปฏิชีวนะ/สารเร่งเนื้อแดง) จะเสร็จในอีก 2 – 3 วัน ในเบื้องต้นได้ตรวจด้วยชุดทดสอบ (Test Kit) ไม่พบยาปฏิชีวนะ และสารเร่งเนื้อแดง ที่พบมีเพียงแบคทีเรียทั่วไปที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว
ด้าน นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ด้านการตรวจในส่วนของพืช ได้ตรวจตลอดทั้งปี 9,483 ตัวอย่าง โดยมีหลักเกณฑ์จากผลการติดตามที่ผ่านมาว่าพืชชนิดใดมีความเสี่ยงสูง ก็จะใช้พืชตัวนั้นในการสุ่มตัวอย่าง รวมถึงผลการแจ้งเตือนจากต่างประเทศด้วย นอกจากนี้ ยังใช้ข้อมูลเครือข่ายจากภาคประชาสังคมที่มีความกังวลต่อสินค้านั้น ๆ มาเป็นตัวกําหนดชนิดที่จะใช้สุ่มสินค้าเกษตร ทั้งนี้ กรมวิชาการเกษตรได้ดําเนินการมาโดยตลอด โดยเฉพาะในหน้าฝนจะมีการเก็บตัวอย่างและวิเคราะห์จุลินทรีย์ด้วย โดยสําหรับการสุ่มตรวจในครั้งนี้ ได้เก็บตัวอย่างพืชผัก จํานวน 88 ตัวอย่าง ตัวอย่างผลไม้ จํานวน 45 ตัวอย่าง จะนําเข้าตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการหาสารตกค้างทั้งหมด
นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กรมประมงจะดูจากการส่งออก การร่วมกับสมาคมแช่เยือกแข็ง โดยบริษัทที่เป็นสมาชิกจะตรวจสัตว์ก่อนนําเข้า และการตรวจในภาพรวม ซึ่งเป็นการสุ่มทั่วประเทศ ซึ่งจากการสุ่มตรวจระหว่างวันที่ 1 – 7 เม.ย. 60 ที่ผ่านมา ได้สุ่มตรวจในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาค ได้แก่ กรุงเทพฯ สงขลา สุราษฏร์ธานี พังงา พิษณุโลก ขอนแก่น อุบลราชธานี ชัยนาท จันทบุรี และเชียงใหม่ มีการตรวจใน 2 ส่วน คือ ฟอมาลิน จํานวน 85 ตัวอย่าง ตรวจพบ 2 ตัวอย่างในสินค้าปลาหมึก ส่วนการตรวจสารตกค้าง ยังไม่พบสารตกค้าง และยังเหลือตัวอย่างในห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาสารตกค้างอีกไม่มาก ซึ่งคิดว่าไม่น่ามีสารตกค้าง
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3073 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เปิดบ้านพักผู้ป่วยมะเร็ง “บ้านปันน้ำใจ ไทยเพิ่มพูล” โรงพยาบาลร้อยเอ็ด | วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2562
สธ. เปิดบ้านพักผู้ป่วยมะเร็ง “บ้านปันน้ําใจ ไทยเพิ่มพูล” โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดบ้านพักผู้ป่วยมะเร็ง “บ้านปันน้ําใจ ไทยเพิ่มพูล” โรงพยาบาลร้อยเอ็ด เป็นที่พักผู้ป่วยและญาติ ที่จําเป็นต้องได้รับการฉายแสงเป็นระยะเวลานานตั้งแต่ 15 วันถึง 2 เดือน ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไป-กลับ
วันนี้ (24 มกราคม 2562) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิด “บ้านปันน้ําใจ ไทยเพิ่มพูล” บ้านพักผู้ป่วยมะเร็ง โรงพยาบาลร้อยเอ็ด รองรับผู้ป่วยที่ต้องรับการฉายแสง ตั้งแต่ 15 วันถึง 2 เดือน ช่วยลดปัญหาและลดความลําบากให้ผู้ป่วยและญาติ ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเช่าที่พัก และไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไป-กลับทุกวัน
สําหรับบ้านพักหลังนี้ สร้างขึ้นในที่ดินราชพัสดุ ของกรมธนารักษ์ เนื้อที่ 1 ไร่ 98 ตารางวา อยู่ห่างจากอาคารศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติ จุฬาภรณ์ 400 เมตร ได้รับสนับสนุนก่อสร้างบ้านพักจากกลุ่มบริษัทไทยเพิ่มพูลร้อยเอ็ด จํากัด และจากกองทุนสงฆ์เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา รวมทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน ประชาชนในพื้นที่ ร่วมบริจาคจัดซื้อเครื่องใช้จําเป็น สามารถรองรับผู้ป่วยมะเร็งได้ 20 คนต่อวัน มีการจัดระบบความปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการ
ทั้งนี้ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด ได้พัฒนาศักยภาพเป็นศูนย์เชี่ยวชาญการรักษาสาขา มะเร็ง โดยความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ สานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกระทรวงสาธารณสุข เริ่มให้บริการเมือเดือนสิงหาคม 2560 มีความพร้อมในการบริการแบบครบวงจร มีหน่วยบริการรังสีรักษาด้วยเครื่องฉายแสงชนิด 3 มิติ (LINAC) ที่มีคุณภาพและประสิทธิการรักษาขั้นสูง เป็นการจัดบริการแบบผู้ป่วยนอก ศักยภาพในการฉายรังสี 1,000 ราย/ปี พร้อมด้วย เครื่องเอกซเรย์จําลองการรักษา Brachytherapy (การใส่แร่) ขณะนี้มีผู้ป่วยรับการฉายแสง ประมาณ 60 ราย/วัน เป็นประชาชนจังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และจังหวัดอื่นๆ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ให้บริการโดยมีทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ ความสามารถ และผ่านการอบรมเฉพาะทางหลายสาขา โดยมะเร็งที่พบอันดับ 1 คือมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ําดี ปีละ 500-700 ราย อันดับ 2 คือ มะเร็งเต้านม อันดับ 3 คือ มะเร็งลําไส้ใหญ่และไส้ตรง
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจแทนพี่น้องชาวจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดใกล้เคียง ที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ดมีศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติจุฬาภรณ์ ที่มีศักยภาพใน การรักษาโรคมะเร็งอย่างครบวงจร ทันสมัย มีประสิทธิภาพการรักษาสูง ไม่ต้องเดินทางไปรักษาไกลถึงกรุงเทพมหานคร ประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และการมีบ้านพัก ที่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทุนทรัพย์เพื่อก่อสร้าง และจัดหาอุปกรณ์ให้พร้อม ถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสาหรับผู้ป่วยมะเร็งอย่างมาก ประชาชนที่มารับการรักษา จะได้มี ที่พักพิง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ถือเป็นการร่วมแรงร่วมใจที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง” นายแพทย์สุขุม กล่าว
*****************************24 มกราคม 2562 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เปิดบ้านพักผู้ป่วยมะเร็ง “บ้านปันน้ำใจ ไทยเพิ่มพูล” โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2562
สธ. เปิดบ้านพักผู้ป่วยมะเร็ง “บ้านปันน้ําใจ ไทยเพิ่มพูล” โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดบ้านพักผู้ป่วยมะเร็ง “บ้านปันน้ําใจ ไทยเพิ่มพูล” โรงพยาบาลร้อยเอ็ด เป็นที่พักผู้ป่วยและญาติ ที่จําเป็นต้องได้รับการฉายแสงเป็นระยะเวลานานตั้งแต่ 15 วันถึง 2 เดือน ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไป-กลับ
วันนี้ (24 มกราคม 2562) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิด “บ้านปันน้ําใจ ไทยเพิ่มพูล” บ้านพักผู้ป่วยมะเร็ง โรงพยาบาลร้อยเอ็ด รองรับผู้ป่วยที่ต้องรับการฉายแสง ตั้งแต่ 15 วันถึง 2 เดือน ช่วยลดปัญหาและลดความลําบากให้ผู้ป่วยและญาติ ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเช่าที่พัก และไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไป-กลับทุกวัน
สําหรับบ้านพักหลังนี้ สร้างขึ้นในที่ดินราชพัสดุ ของกรมธนารักษ์ เนื้อที่ 1 ไร่ 98 ตารางวา อยู่ห่างจากอาคารศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติ จุฬาภรณ์ 400 เมตร ได้รับสนับสนุนก่อสร้างบ้านพักจากกลุ่มบริษัทไทยเพิ่มพูลร้อยเอ็ด จํากัด และจากกองทุนสงฆ์เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา รวมทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน ประชาชนในพื้นที่ ร่วมบริจาคจัดซื้อเครื่องใช้จําเป็น สามารถรองรับผู้ป่วยมะเร็งได้ 20 คนต่อวัน มีการจัดระบบความปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการ
ทั้งนี้ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด ได้พัฒนาศักยภาพเป็นศูนย์เชี่ยวชาญการรักษาสาขา มะเร็ง โดยความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ สานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกระทรวงสาธารณสุข เริ่มให้บริการเมือเดือนสิงหาคม 2560 มีความพร้อมในการบริการแบบครบวงจร มีหน่วยบริการรังสีรักษาด้วยเครื่องฉายแสงชนิด 3 มิติ (LINAC) ที่มีคุณภาพและประสิทธิการรักษาขั้นสูง เป็นการจัดบริการแบบผู้ป่วยนอก ศักยภาพในการฉายรังสี 1,000 ราย/ปี พร้อมด้วย เครื่องเอกซเรย์จําลองการรักษา Brachytherapy (การใส่แร่) ขณะนี้มีผู้ป่วยรับการฉายแสง ประมาณ 60 ราย/วัน เป็นประชาชนจังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และจังหวัดอื่นๆ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ให้บริการโดยมีทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ ความสามารถ และผ่านการอบรมเฉพาะทางหลายสาขา โดยมะเร็งที่พบอันดับ 1 คือมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ําดี ปีละ 500-700 ราย อันดับ 2 คือ มะเร็งเต้านม อันดับ 3 คือ มะเร็งลําไส้ใหญ่และไส้ตรง
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจแทนพี่น้องชาวจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดใกล้เคียง ที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ดมีศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติจุฬาภรณ์ ที่มีศักยภาพใน การรักษาโรคมะเร็งอย่างครบวงจร ทันสมัย มีประสิทธิภาพการรักษาสูง ไม่ต้องเดินทางไปรักษาไกลถึงกรุงเทพมหานคร ประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และการมีบ้านพัก ที่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทุนทรัพย์เพื่อก่อสร้าง และจัดหาอุปกรณ์ให้พร้อม ถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสาหรับผู้ป่วยมะเร็งอย่างมาก ประชาชนที่มารับการรักษา จะได้มี ที่พักพิง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ถือเป็นการร่วมแรงร่วมใจที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง” นายแพทย์สุขุม กล่าว
*****************************24 มกราคม 2562 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18336 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทย์ฯ ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดป้อมวิเชียรโชติการาม (พระอารามหลวง) | วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2560
กระทรวงวิทย์ฯ ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดป้อมวิเชียรโชติการาม (พระอารามหลวง)
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กร สมาคม มูลนิธิ บริษัท ห้างร้าน และประชาชนทั่วไป นําไปถวายพระสงฆ์จําพรรษา ณ วัดพระอารามหลวงทั่วราชอาณาจักร ในปีพุทธศักราช 2560
21 ตุลาคม 2560 เวลา 09.30 น. ณ วัดป้อมวิเชียรโชติการาม (พระอารามหลวง) จ.สมุทรสาคร / สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กร สมาคม มูลนิธิ บริษัท ห้างร้าน และประชาชนทั่วไป นําไปถวายพระสงฆ์จําพรรษา ณ วัดพระอารามหลวงทั่วราชอาณาจักร ในปีพุทธศักราช 2560 กําหนดกฐินกาล เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคมพุทธศักราช 2560 ตรงกับวันแรม 1 ค่ํา เดือน 11 ถึงวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2560 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ําเดือน 12 (กําหนดเริ่มพระกฐินหลวงตั้งแต่วันพุธที่ 11 ตุลาคมพุทธศักราช 2560 ตรงกับวันแรม 6 ค่ําเดือน 11)
ในโอกาสนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้นําผ้าพระกฐินพระราชทานไปถวายแด่พระสงฆ์วัดป้อมวิเชียรโชติการาม (พระอารามหลวง) จังหวัดสมุทรสาคร พร้อมจตุปัจจัยถวายเป็นพระราชกุศลจํานวน 1,294,756 บาท โดยมี ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รศ.นพ. สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชน ร่วมในพิธี
วัดป้อมวิเชียรโชติการาม(พระอารามหลวง) เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดมหานิกาย ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ําท่าจีน ตําบลมหาชัย อําเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เป็นวัตเก่าแกไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างอย่างแน่ชัดสันนิษฐานว่าที่ตั้งวัดป้อมวิเซียรโชติการาม เดิมเป็นชุมชนของชาวรามัญจึงอพยพเข้ามาอยูในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาเพราะความที่ชาวรามัญเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดเมี่ออยู่รวมกันจึงได้สร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาและให้ตั้งชื่อวัดตามชื่อหมู่บ้านหรืออาจสร้างวัดขึ้นพร้อมกับป้อมปราการซึ่งก็คือป้อมวิเชียรโชฎก
ปูชนียวัตถุ
1. พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปเนื้อโลหะ สร้างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
2. พระพุทธรูปศิลาแรง ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ หลวงพ่อแดง ”
3. พระพุทธวชิรปราการ (หลวงพ่อเพชร) ซึ่งทางวัดได้หล่อขึ้นเป็นพระประธานประจําพระอุโบสถหลังใหม่
การบริหารและการปกครอง
มีเจ้าอาวาสเป็นผู้ปกครอง แต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาสและพระภิกษุในวัดให้มีหน้าที่ต่าง ๆ โดยแบ่งออกเป็นการปกครอง การศึกษา การเผยแผ่ การสาธารณูปการ และการสงเคราะห์ โดยยึดหลักให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย ระเบียบ กฎ คําสั่งของมหาเถรสมาคม ในการบริหารและการปกครองมีเจ้าอาวาสเท่าที่ทราบนามดังนี้
1. พระอุปัชฌาย์ทอง -
2. พระครูสาครคุณาธาร -
3. พระมหาเข็ม โชติปาโล -
4. พระรามัญมุนี (สมัย กมโล) พ.ศ. 2489 - 2537
5. พระปริยัติกิจโกศล (สมพงษ์ สุวโจ) พ.ศ.2537 - ปัจจุบัน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทย์ฯ ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดป้อมวิเชียรโชติการาม (พระอารามหลวง)
วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2560
กระทรวงวิทย์ฯ ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดป้อมวิเชียรโชติการาม (พระอารามหลวง)
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กร สมาคม มูลนิธิ บริษัท ห้างร้าน และประชาชนทั่วไป นําไปถวายพระสงฆ์จําพรรษา ณ วัดพระอารามหลวงทั่วราชอาณาจักร ในปีพุทธศักราช 2560
21 ตุลาคม 2560 เวลา 09.30 น. ณ วัดป้อมวิเชียรโชติการาม (พระอารามหลวง) จ.สมุทรสาคร / สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กร สมาคม มูลนิธิ บริษัท ห้างร้าน และประชาชนทั่วไป นําไปถวายพระสงฆ์จําพรรษา ณ วัดพระอารามหลวงทั่วราชอาณาจักร ในปีพุทธศักราช 2560 กําหนดกฐินกาล เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคมพุทธศักราช 2560 ตรงกับวันแรม 1 ค่ํา เดือน 11 ถึงวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2560 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ําเดือน 12 (กําหนดเริ่มพระกฐินหลวงตั้งแต่วันพุธที่ 11 ตุลาคมพุทธศักราช 2560 ตรงกับวันแรม 6 ค่ําเดือน 11)
ในโอกาสนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้นําผ้าพระกฐินพระราชทานไปถวายแด่พระสงฆ์วัดป้อมวิเชียรโชติการาม (พระอารามหลวง) จังหวัดสมุทรสาคร พร้อมจตุปัจจัยถวายเป็นพระราชกุศลจํานวน 1,294,756 บาท โดยมี ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รศ.นพ. สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชน ร่วมในพิธี
วัดป้อมวิเชียรโชติการาม(พระอารามหลวง) เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดมหานิกาย ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ําท่าจีน ตําบลมหาชัย อําเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เป็นวัตเก่าแกไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างอย่างแน่ชัดสันนิษฐานว่าที่ตั้งวัดป้อมวิเซียรโชติการาม เดิมเป็นชุมชนของชาวรามัญจึงอพยพเข้ามาอยูในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาเพราะความที่ชาวรามัญเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดเมี่ออยู่รวมกันจึงได้สร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาและให้ตั้งชื่อวัดตามชื่อหมู่บ้านหรืออาจสร้างวัดขึ้นพร้อมกับป้อมปราการซึ่งก็คือป้อมวิเชียรโชฎก
ปูชนียวัตถุ
1. พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปเนื้อโลหะ สร้างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
2. พระพุทธรูปศิลาแรง ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ หลวงพ่อแดง ”
3. พระพุทธวชิรปราการ (หลวงพ่อเพชร) ซึ่งทางวัดได้หล่อขึ้นเป็นพระประธานประจําพระอุโบสถหลังใหม่
การบริหารและการปกครอง
มีเจ้าอาวาสเป็นผู้ปกครอง แต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาสและพระภิกษุในวัดให้มีหน้าที่ต่าง ๆ โดยแบ่งออกเป็นการปกครอง การศึกษา การเผยแผ่ การสาธารณูปการ และการสงเคราะห์ โดยยึดหลักให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย ระเบียบ กฎ คําสั่งของมหาเถรสมาคม ในการบริหารและการปกครองมีเจ้าอาวาสเท่าที่ทราบนามดังนี้
1. พระอุปัชฌาย์ทอง -
2. พระครูสาครคุณาธาร -
3. พระมหาเข็ม โชติปาโล -
4. พระรามัญมุนี (สมัย กมโล) พ.ศ. 2489 - 2537
5. พระปริยัติกิจโกศล (สมพงษ์ สุวโจ) พ.ศ.2537 - ปัจจุบัน | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7566 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชรา นอนป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ปูเสื่ออาศัยหลับนอนริมถนนเพียงลำพัง เนื่องจากถูกลูกแท้ๆทั้ง 5 คน ทอดทิ้ง ที่ย่านถนนนวมินทร์ 78 กรุงเทพฯ | วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2560
พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชรา นอนป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ปูเสื่ออาศัยหลับนอนริมถนนเพียงลําพัง เนื่องจากถูกลูกแท้ๆทั้ง 5 คน ทอดทิ้ง ที่ย่านถนนนวมินทร์ 78 กรุงเทพฯ
พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชรา นอนป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ปูเสื่ออาศัยหลับนอนริมถนนเพียงลําพัง เนื่องจากถูกลูกแท้ๆทั้ง 5 คน ทอดทิ้ง ที่ย่านถนนนวมินทร์ 78 กรุงเทพฯ พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สงขลา
วันนี้ (6 มี.ค. 60) เวลา 07.45 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 585/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงชราวัยประมาณ 70 ปี นอนป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ต้องปูเสื่อเพื่ออาศัยหลับนอนข้างริมถนนเพียงลําพัง เนื่องจากลูกแท้ๆทั้ง 5 คน ทอดทิ้งเกี่ยงกันดูแล และไม่ให้อาศัยอยู่ในบ้านด้วย มีเพียงชาวบ้านที่เวทนาแบ่งข้าวแบ่งน้ําให้กินประทังชีวิตในวันๆ เป็นที่น่าเวทนาต่อผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ที่ย่านถนนนวมินทร์ 78 กรุงเทพฯ ตนได้กําชับให้กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมหญิงชราดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น รวมทั้ง ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลด้านการส่งเสริมสวัสดิการสังคมที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว อาทิ การตรวจสุขภาพและรักษาพยาบาลในระยะยาว การแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องบริการสวัสดิการสังคมตามสิทธิผู้สูงอายุตามกฎหมาย รวมทั้ง การช่วยเหลือในเรื่องการติดตาม หาญาติ เพื่อมารับไปดูแล ทั้งนี้ หากพบว่าไม่มีญาติรับไปดูแล กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มีหน่วยงานในสังกัด พร้อมให้การดูแล ในระยะยาวต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า สําหรับกรณีเด็กชายวัย 12 ปี และเด็กหญิงวัย 6 ขวบ สองพี่น้องต้องกลายเป็นเด็กกําพร้า เนื่องจากพ่อและแม่ถูกคนร้ายฆ่าชิงทรัพย์อย่างโหดเหี้ยม ต้องมาอาศัยอยู่กับยายที่แก่ชรา ไม่มีรายได้ ด้านเด็กชายเปิดเผยว่า ยังรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเกรงว่าจะไม่มีคนส่งเสียตนเองกับน้องสาวให้ได้เรียนหนังสือ ที่ อําเภอเทพา จังหวัดสงขลา ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา (พมจ.สงขลา) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวง การพัฒนาสังคมฯ ลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก ของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา รวมทั้ง ประสานความร่วมมือ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลด้านการส่งเสริมสวัสดิการสังคมที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาของเด็กทั้ง 2 คน ในระยะยาว และการแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องบริการสวัสดิการสังคมตามสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมาย เป็นต้น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีเด็กชายวัย 11 ขวบ สู้ชีวิต อาศัยเวลาว่างหลังเลิกเรียนและในวันหยุด เดินเร่ขายไข่นกกระทาต้ม เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว และเลี้ยงดูผู้เป็นแม่วัย 43 ปี ที่ป่วยเป็นอัมพาตครึ่งตัว ช่วยเหลือตัวเอง ไม่ค่อยได้ ทั้ง 2 ชีวิต อาศัยในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช นั้น ตนขอชื่นชมในความกตัญญูที่เลี้ยงดูผู้เป็นแม่ ไม่ทอดทิ้ง และยังมีความขยันหมั่นเพียร ขายของหาเลี้ยงชีพและครอบครัว ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในชีวิต น่ายกย่องเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชนสู้ชีวิต ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครศรีธรรมราช (พมจ.นครศรีธรรมราช) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง การพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา รวมทั้ง ประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลด้านการส่งเสริมสวัสดิการสังคมที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว โดยเฉพาะการศึกษาเล่าเรียนของเด็กชายในระยะยาว การตรวจสุขภาพผู้ป่วย การปรับปรุงซ่อมแซมที่พักอาศัยให้มีสภาพแข็งแรง มั่นคง ถูกสุขลักษณะ เหมาะสมสําหรับการใช้ชีวิตประจําวันของเด็กและผู้ป่วย และการแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องบริการสวัสดิการสังคมตามสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมาย เป็นต้น | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชรา นอนป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ปูเสื่ออาศัยหลับนอนริมถนนเพียงลำพัง เนื่องจากถูกลูกแท้ๆทั้ง 5 คน ทอดทิ้ง ที่ย่านถนนนวมินทร์ 78 กรุงเทพฯ
วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2560
พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชรา นอนป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ปูเสื่ออาศัยหลับนอนริมถนนเพียงลําพัง เนื่องจากถูกลูกแท้ๆทั้ง 5 คน ทอดทิ้ง ที่ย่านถนนนวมินทร์ 78 กรุงเทพฯ
พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชรา นอนป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ปูเสื่ออาศัยหลับนอนริมถนนเพียงลําพัง เนื่องจากถูกลูกแท้ๆทั้ง 5 คน ทอดทิ้ง ที่ย่านถนนนวมินทร์ 78 กรุงเทพฯ พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สงขลา
วันนี้ (6 มี.ค. 60) เวลา 07.45 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 585/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงชราวัยประมาณ 70 ปี นอนป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ต้องปูเสื่อเพื่ออาศัยหลับนอนข้างริมถนนเพียงลําพัง เนื่องจากลูกแท้ๆทั้ง 5 คน ทอดทิ้งเกี่ยงกันดูแล และไม่ให้อาศัยอยู่ในบ้านด้วย มีเพียงชาวบ้านที่เวทนาแบ่งข้าวแบ่งน้ําให้กินประทังชีวิตในวันๆ เป็นที่น่าเวทนาต่อผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ที่ย่านถนนนวมินทร์ 78 กรุงเทพฯ ตนได้กําชับให้กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมหญิงชราดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น รวมทั้ง ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลด้านการส่งเสริมสวัสดิการสังคมที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว อาทิ การตรวจสุขภาพและรักษาพยาบาลในระยะยาว การแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องบริการสวัสดิการสังคมตามสิทธิผู้สูงอายุตามกฎหมาย รวมทั้ง การช่วยเหลือในเรื่องการติดตาม หาญาติ เพื่อมารับไปดูแล ทั้งนี้ หากพบว่าไม่มีญาติรับไปดูแล กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มีหน่วยงานในสังกัด พร้อมให้การดูแล ในระยะยาวต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า สําหรับกรณีเด็กชายวัย 12 ปี และเด็กหญิงวัย 6 ขวบ สองพี่น้องต้องกลายเป็นเด็กกําพร้า เนื่องจากพ่อและแม่ถูกคนร้ายฆ่าชิงทรัพย์อย่างโหดเหี้ยม ต้องมาอาศัยอยู่กับยายที่แก่ชรา ไม่มีรายได้ ด้านเด็กชายเปิดเผยว่า ยังรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเกรงว่าจะไม่มีคนส่งเสียตนเองกับน้องสาวให้ได้เรียนหนังสือ ที่ อําเภอเทพา จังหวัดสงขลา ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา (พมจ.สงขลา) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวง การพัฒนาสังคมฯ ลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก ของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา รวมทั้ง ประสานความร่วมมือ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลด้านการส่งเสริมสวัสดิการสังคมที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาของเด็กทั้ง 2 คน ในระยะยาว และการแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องบริการสวัสดิการสังคมตามสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมาย เป็นต้น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีเด็กชายวัย 11 ขวบ สู้ชีวิต อาศัยเวลาว่างหลังเลิกเรียนและในวันหยุด เดินเร่ขายไข่นกกระทาต้ม เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว และเลี้ยงดูผู้เป็นแม่วัย 43 ปี ที่ป่วยเป็นอัมพาตครึ่งตัว ช่วยเหลือตัวเอง ไม่ค่อยได้ ทั้ง 2 ชีวิต อาศัยในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช นั้น ตนขอชื่นชมในความกตัญญูที่เลี้ยงดูผู้เป็นแม่ ไม่ทอดทิ้ง และยังมีความขยันหมั่นเพียร ขายของหาเลี้ยงชีพและครอบครัว ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในชีวิต น่ายกย่องเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชนสู้ชีวิต ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครศรีธรรมราช (พมจ.นครศรีธรรมราช) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง การพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา รวมทั้ง ประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลด้านการส่งเสริมสวัสดิการสังคมที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว โดยเฉพาะการศึกษาเล่าเรียนของเด็กชายในระยะยาว การตรวจสุขภาพผู้ป่วย การปรับปรุงซ่อมแซมที่พักอาศัยให้มีสภาพแข็งแรง มั่นคง ถูกสุขลักษณะ เหมาะสมสําหรับการใช้ชีวิตประจําวันของเด็กและผู้ป่วย และการแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องบริการสวัสดิการสังคมตามสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมาย เป็นต้น | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2214 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 16 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข) | วันอังคารที่ 16 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 16 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข)
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 16 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจําวันที่16 มิถุนายน 2563
วันนี้ (16 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 6 ราย ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,993 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.47 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 84 ราย หรือร้อยละ 2.68 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,135 ราย
สถานการณ์การติดเชื้อโควิด 19 ของประเทศไทยขณะนี้ผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และยังคงทยอยเดินทางกลับมาอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลได้มีการกําหนดจํานวนผู้ที่เดินทางเข้าประเทศอย่างเหมาะสมเพื่อการบริหารจัดการสถานที่เฝ้าระวังกักตัวและการดูแลของบุคลากรทางการแพทย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จากข้อมูลผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคของกรมควบคุมโรค ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึง 15 มิถุนายน 2563 มีคนไทยเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวสะสม 28,574 ราย โดยในวันนี้จะมีคนไทยเดินทางกลับจากประเทศแอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น อุซเบกิสถาน และกาตาร์ รวม 545 ราย
ภายหลังรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 (15 มิถุนายน 2563) ให้ยกเลิกการจํากัดเวลาออกนอกเคหะสถาน อนุญาตร้านอาหารสามารถจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ จึงมีประชาชนบางส่วนออกมารวมกลุ่มสังสรรค์เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้สถานที่ท่องเที่ยว เช่น สวนสัตว์ สวนน้ํา มีผู้เข้าใช้บริการจํานวนมาก บางแห่งเกิดความแออัด ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสําคัญที่อาจทําให้เกิดการติดเชื้อได้
ดังนั้น ความร่วมมือผู้ประกอบการและประชาชนมีส่วนสําคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 โดยผู้ประกอบการ จะต้องจัดระบบคัดกรองผู้เข้ารับบริการ บริหารจัดการพื้นที่เพื่อลดความแออัด จัดลงทะเบียนผู้ที่เข้าใช้บริการเข้า – ออกพื้นที่ ผ่านแพลทฟอร์มและแอปพลิเคชั่น “ไทยชนะ” ที่ภาครัฐจัดทําขึ้น เพื่อนําไปพัฒนากิจการและสถานที่ให้เป็นไปตามมาตรฐาน และหากพบผู้ติดเชื้อ กรมควบคุมโรคจะใช้เป็นข้อมูลในการติดตามผู้สัมผัสเพื่อนําเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค ส่วนประชาชนขอให้ตระหนักและระมัดระวังตนเองมากขึ้น ออกนอกบ้านทุกครั้งต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า งดการเอามือสัมผัสใบหน้า จมูก ปาก พกแอลกอฮอล์เจลล้างมือ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการเข้าไปสถานที่แออัด คนรวมกันมากๆ เพื่อความปลอดภัย หากมีไข้หรืออาการทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม หอบเหนื่อยให้หยุดพักรักษาตัว ไม่ออกไปในที่สาธารณะ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้พบแพทย์ตรวจรักษา
****************************** 16 มิถุนายน 2563 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 16 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข)
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 16 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข)
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 16 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจําวันที่16 มิถุนายน 2563
วันนี้ (16 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 6 ราย ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,993 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.47 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 84 ราย หรือร้อยละ 2.68 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,135 ราย
สถานการณ์การติดเชื้อโควิด 19 ของประเทศไทยขณะนี้ผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และยังคงทยอยเดินทางกลับมาอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลได้มีการกําหนดจํานวนผู้ที่เดินทางเข้าประเทศอย่างเหมาะสมเพื่อการบริหารจัดการสถานที่เฝ้าระวังกักตัวและการดูแลของบุคลากรทางการแพทย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จากข้อมูลผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคของกรมควบคุมโรค ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึง 15 มิถุนายน 2563 มีคนไทยเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวสะสม 28,574 ราย โดยในวันนี้จะมีคนไทยเดินทางกลับจากประเทศแอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น อุซเบกิสถาน และกาตาร์ รวม 545 ราย
ภายหลังรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 (15 มิถุนายน 2563) ให้ยกเลิกการจํากัดเวลาออกนอกเคหะสถาน อนุญาตร้านอาหารสามารถจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ จึงมีประชาชนบางส่วนออกมารวมกลุ่มสังสรรค์เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้สถานที่ท่องเที่ยว เช่น สวนสัตว์ สวนน้ํา มีผู้เข้าใช้บริการจํานวนมาก บางแห่งเกิดความแออัด ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสําคัญที่อาจทําให้เกิดการติดเชื้อได้
ดังนั้น ความร่วมมือผู้ประกอบการและประชาชนมีส่วนสําคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 โดยผู้ประกอบการ จะต้องจัดระบบคัดกรองผู้เข้ารับบริการ บริหารจัดการพื้นที่เพื่อลดความแออัด จัดลงทะเบียนผู้ที่เข้าใช้บริการเข้า – ออกพื้นที่ ผ่านแพลทฟอร์มและแอปพลิเคชั่น “ไทยชนะ” ที่ภาครัฐจัดทําขึ้น เพื่อนําไปพัฒนากิจการและสถานที่ให้เป็นไปตามมาตรฐาน และหากพบผู้ติดเชื้อ กรมควบคุมโรคจะใช้เป็นข้อมูลในการติดตามผู้สัมผัสเพื่อนําเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค ส่วนประชาชนขอให้ตระหนักและระมัดระวังตนเองมากขึ้น ออกนอกบ้านทุกครั้งต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า งดการเอามือสัมผัสใบหน้า จมูก ปาก พกแอลกอฮอล์เจลล้างมือ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการเข้าไปสถานที่แออัด คนรวมกันมากๆ เพื่อความปลอดภัย หากมีไข้หรืออาการทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม หอบเหนื่อยให้หยุดพักรักษาตัว ไม่ออกไปในที่สาธารณะ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้พบแพทย์ตรวจรักษา
****************************** 16 มิถุนายน 2563 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32377 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 สั่งการให้พัฒนาพืชสมุนไพรใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ | วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560
นายกรัฐมนตรีประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 สั่งการให้พัฒนาพืชสมุนไพรใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรีประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 สั่งการให้พัฒนาพืชสมุนไพรใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วันนี้ (30 มิถุนายน 2560) เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 โดยมีคณะกรรมการ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
สําหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 เพื่อให้การดําเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การจัดการด้านสมุนไพรไทยของประเทศมีความต่อเนื่อง เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ทั้งนี้ ก่อนการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมการจัดนิทรรศการสมุนไพรไทยจากหน่วยงานต่าง ๆ โดยได้สั่งการให้พัฒนาพืชสมุนไพรให้สามารถ ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรไทย นําสมุนไพรจากในป่ามาใช้ประโยชน์ กําหนดพื้นที่ในการปลูกสมุนไพรให้เหมาะสม รวมทั้งให้ควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐาน เร่งนําผลิตภัณฑ์ขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องต่อไป
โดยที่ประชุมรับทราบภาพรวมแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับทที่ 1 พ.ศ. 2560 – 2564 และรับทราบรายงานความก้าวหน้าแผนงานบูรณาการขับเคลื่อนสมุนไพรเชิงเศรษฐกิจและโครงการเมืองสมุนไพรกลุ่มจังหวัด ปีงบประมาณ 2560 พร้อมรับทราบรายงานความก้าวหน้า (ร่าง) พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. ....
-------------------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 สั่งการให้พัฒนาพืชสมุนไพรใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560
นายกรัฐมนตรีประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 สั่งการให้พัฒนาพืชสมุนไพรใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรีประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 สั่งการให้พัฒนาพืชสมุนไพรใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วันนี้ (30 มิถุนายน 2560) เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 โดยมีคณะกรรมการ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
สําหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 เพื่อให้การดําเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การจัดการด้านสมุนไพรไทยของประเทศมีความต่อเนื่อง เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ทั้งนี้ ก่อนการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมการจัดนิทรรศการสมุนไพรไทยจากหน่วยงานต่าง ๆ โดยได้สั่งการให้พัฒนาพืชสมุนไพรให้สามารถ ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรไทย นําสมุนไพรจากในป่ามาใช้ประโยชน์ กําหนดพื้นที่ในการปลูกสมุนไพรให้เหมาะสม รวมทั้งให้ควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐาน เร่งนําผลิตภัณฑ์ขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องต่อไป
โดยที่ประชุมรับทราบภาพรวมแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับทที่ 1 พ.ศ. 2560 – 2564 และรับทราบรายงานความก้าวหน้าแผนงานบูรณาการขับเคลื่อนสมุนไพรเชิงเศรษฐกิจและโครงการเมืองสมุนไพรกลุ่มจังหวัด ปีงบประมาณ 2560 พร้อมรับทราบรายงานความก้าวหน้า (ร่าง) พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. ....
-------------------------------------- | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4920 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมผลักดันให้เกลือทะเลไทยเป็นมรดกทางการเกษตรโลก | วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมผลักดันให้เกลือทะเลไทยเป็นมรดกทางการเกษตรโลก
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมผลักดันให้เกลือทะเลไทยเป็นมรดกทางการเกษตรโลก
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย ครั้งที่ 4/2563 ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย ได้มีมติที่จะดําเนินการเสนอให้เกลือทะเลไทยเข้าสู่ระบบมรดกทางการเกษตรโลก ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟ เอ โอ (Food and Agriculture Organization of the United Nations- FAO) ซึ่งได้ตระหนักถึงความสําคัญของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมการเกษตรเพื่อความมั่นคงด้านอาหารและการพัฒนาที่ยั่งยืน และการกินดีอยู่ดีของชุมชนเกษตรกร จึงได้เริ่มจัดให้มี “ระบบมรดกทางการเกษตรโลก” หรือ GIAHS (Globally Important Agricultural Heritage System) ขึ้นเมื่อปี 2545 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์มรดกทางการเกษตร เพื่อความมั่นคงทางอาหารและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ปกป้องและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรทางชีวภาพให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลอดจนเป็นการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
“เกลือทะเลไทยถือเป็นมรดกไทย มรดกโลกที่มีประวัติความเป็นมากว่า 900 ปี โดยมีวิถีชีวิต ระบบนิเวศน์ วัฒนธรรม การค้า และการเกษตร ที่เกี่ยวเนื่องกับความหลากหลายทางชีวภาพและวิถีชีวิตชุมชนจนเป็นวัฒนธรรมที่คู่ขนานมากับวัฒนธรรมข้าว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งประเทศไทยมีการผลิตเกลือทะเลเป็นลําดับต้น ๆ ของโลก และตั้งแต่ยุคสุโขทัยเป็นราชธานี เกลือทะเลถือเป็นสินค้าส่งออกที่สําคัญ ประกอบกับตั้งแต่ปี 2545 ที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟ เอ โอ เริ่มจัดให้มี “ระบบมรดกทางการเกษตรโลก” หรือ GIAHS จนถึงปัจจุบันมีการขึ้นทะเบียนไปแล้ว 22 ประเทศ 59 พื้นที่ อยู่ในเอเชีย 7 ประเทศ 36 พื้นที่ แต่ยังไม่มีประเทศไทยเลย ดังนั้น คณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทยจึงมีมติที่จะผลักดันให้เกลือทะเลไทยเป็นมรดกทางการเกษตรโลก ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟ เอ โอ” นายอลงกรณ์ กล่าว
สําหรับ “ระบบมรดกทางการเกษตรโลก” หรือ GIAHS หมายถึง ระบบการทําการเกษตรที่สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสังคมและสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และภูมิทัศน์ และมีการพัฒนาขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยเป็นลําดับ ตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ซึ่ง GIAHS เป็นระบบที่มีชีวิต หรือมรดกแห่งอนาคตที่มีการพัฒนาให้ดีขึ้นเป็นลําดับ โดยรักษาสมดุลของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกิจกรรมในการดํารงชีวิตมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องต่อข้อจํากัดของสภาพแวดล้อมซึ่งนําไปสู่การสั่งสมประสบการณ์รุ่นต่อรุ่นในการเพิ่มพูนความรู้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ก่อนจะได้รับการขึ้นทะเบียน “ระบบมรดกทางการเกษตรโลก” หรือ GIAHS นั้น มีหลักเกณฑ์การพิจารณาสําคัญ 5 ประการ ประกอบด้วย 1) ความมั่นคงด้านอาหาร (Food Security) และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี (Livelihood) ของประชากร 2) ความหลากหลายทางชีวภาพการเกษตร (Agro-Biodiversity) 3) ระบบความรู้ท้องถิ่นและมีมาแต่ดั้งเดิม (Local and Traditional Knowledge System) 4) วัฒนธรรม (Cultures) ระบบค่านิยม (Value Systems) และองค์กรทางสังคม (Social Organizations) และ 5) ภูมิทัศน์ทางบกและทางทะเล (Landscapes and Seascapes Features) ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางและเตรียมข้อมูลเพื่อดําเนินการในลําดับต่อไป. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมผลักดันให้เกลือทะเลไทยเป็นมรดกทางการเกษตรโลก
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมผลักดันให้เกลือทะเลไทยเป็นมรดกทางการเกษตรโลก
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมผลักดันให้เกลือทะเลไทยเป็นมรดกทางการเกษตรโลก
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย ครั้งที่ 4/2563 ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย ได้มีมติที่จะดําเนินการเสนอให้เกลือทะเลไทยเข้าสู่ระบบมรดกทางการเกษตรโลก ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟ เอ โอ (Food and Agriculture Organization of the United Nations- FAO) ซึ่งได้ตระหนักถึงความสําคัญของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมการเกษตรเพื่อความมั่นคงด้านอาหารและการพัฒนาที่ยั่งยืน และการกินดีอยู่ดีของชุมชนเกษตรกร จึงได้เริ่มจัดให้มี “ระบบมรดกทางการเกษตรโลก” หรือ GIAHS (Globally Important Agricultural Heritage System) ขึ้นเมื่อปี 2545 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์มรดกทางการเกษตร เพื่อความมั่นคงทางอาหารและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ปกป้องและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรทางชีวภาพให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลอดจนเป็นการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
“เกลือทะเลไทยถือเป็นมรดกไทย มรดกโลกที่มีประวัติความเป็นมากว่า 900 ปี โดยมีวิถีชีวิต ระบบนิเวศน์ วัฒนธรรม การค้า และการเกษตร ที่เกี่ยวเนื่องกับความหลากหลายทางชีวภาพและวิถีชีวิตชุมชนจนเป็นวัฒนธรรมที่คู่ขนานมากับวัฒนธรรมข้าว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งประเทศไทยมีการผลิตเกลือทะเลเป็นลําดับต้น ๆ ของโลก และตั้งแต่ยุคสุโขทัยเป็นราชธานี เกลือทะเลถือเป็นสินค้าส่งออกที่สําคัญ ประกอบกับตั้งแต่ปี 2545 ที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟ เอ โอ เริ่มจัดให้มี “ระบบมรดกทางการเกษตรโลก” หรือ GIAHS จนถึงปัจจุบันมีการขึ้นทะเบียนไปแล้ว 22 ประเทศ 59 พื้นที่ อยู่ในเอเชีย 7 ประเทศ 36 พื้นที่ แต่ยังไม่มีประเทศไทยเลย ดังนั้น คณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทยจึงมีมติที่จะผลักดันให้เกลือทะเลไทยเป็นมรดกทางการเกษตรโลก ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟ เอ โอ” นายอลงกรณ์ กล่าว
สําหรับ “ระบบมรดกทางการเกษตรโลก” หรือ GIAHS หมายถึง ระบบการทําการเกษตรที่สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสังคมและสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และภูมิทัศน์ และมีการพัฒนาขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยเป็นลําดับ ตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ซึ่ง GIAHS เป็นระบบที่มีชีวิต หรือมรดกแห่งอนาคตที่มีการพัฒนาให้ดีขึ้นเป็นลําดับ โดยรักษาสมดุลของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกิจกรรมในการดํารงชีวิตมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องต่อข้อจํากัดของสภาพแวดล้อมซึ่งนําไปสู่การสั่งสมประสบการณ์รุ่นต่อรุ่นในการเพิ่มพูนความรู้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ก่อนจะได้รับการขึ้นทะเบียน “ระบบมรดกทางการเกษตรโลก” หรือ GIAHS นั้น มีหลักเกณฑ์การพิจารณาสําคัญ 5 ประการ ประกอบด้วย 1) ความมั่นคงด้านอาหาร (Food Security) และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี (Livelihood) ของประชากร 2) ความหลากหลายทางชีวภาพการเกษตร (Agro-Biodiversity) 3) ระบบความรู้ท้องถิ่นและมีมาแต่ดั้งเดิม (Local and Traditional Knowledge System) 4) วัฒนธรรม (Cultures) ระบบค่านิยม (Value Systems) และองค์กรทางสังคม (Social Organizations) และ 5) ภูมิทัศน์ทางบกและทางทะเล (Landscapes and Seascapes Features) ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางและเตรียมข้อมูลเพื่อดําเนินการในลําดับต่อไป. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29548 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับมอบไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน นวัตกรรมคนไทย ช่วยผู้สูงอายุที่มีปัญหาการเดินและผู้ป่วยพาร์กินสัน | วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563
รมว.พม. รับมอบไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน นวัตกรรมคนไทย ช่วยผู้สูงอายุที่มีปัญหาการเดินและผู้ป่วยพาร์กินสัน
รมว.พม. รับมอบไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน นวัตกรรมคนไทย ช่วยผู้สูงอายุที่มีปัญหาการเดินและผู้ป่วยพาร์กินสัน
วันนี้ (15 มิ.ย. 63) เวลา 11.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการรับมอบไม้เท้าเลเซอร์พระราชทานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จํานวน 100 ชิ้น จากสภากาชาดไทย เพื่อนําไปแจกจ่ายให้กับผู้สูงอายุที่มีปัญหาการเดิน โดยมีนายขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อํานวยการสํานักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย นางสุจิตรา พิทยานรเศรษฐ์ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ศ.นพ.รื่นเริง ลีลานุกรม รองผู้อํานวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ฝ่ายบริการ ศ.นพ.รุ่งโรจน์ พิทยศิริ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสัน และกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติแห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ผู้บริหารกระทรวง พม. และสภากาชาดไทย เข้าร่วมงาน ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวง พม. สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กทม.
นายจุติ กล่าวว่า ไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นับเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการออกแบบและผลิตคิดค้นโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นคนไทย โดย ศ.นพ.รุ่งโรจน์ พิทยศิริ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสัน และกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติแห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งนับว่าเป็นนวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยพาร์กินสันและผู้สูงอายุที่มีปัญหาการเดินติด ก้าวขาไม่ออก โดยอาศัยหลักการของสิ่งกระตุ้นทางสายตา (Visual cues) ใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยเพิ่มความมั่นคงในการก้าวเดิน และใช้แสงเลเซอร์ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยก้าวเดินได้ง่ายยิ่งขึ้น ส่งผลในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ด้วยการดําเนินชีวิตประจําวันอย่างมั่นใจ ทั้งนี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกผู้อํานวยการสภากาชาดไทย พระราชทานนามว่า “ไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน” หรือชื่อไม้เท้าเลเซอร์ช่วยเดินพระราชทานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตามโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สํานักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย และกระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ ภายใต้แผนงานบูรณาการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ประจําปีงบประมาณ 2562 และ 2563 ซึ่งในวันนี้ ตนได้รับมอบไม้เท้าเลเซอร์พระราชทานฯ จํานวน 100 ชิ้น จากสภากาชาดไทย เพื่อส่งให้กรมกิจการผู้สูงอายุ นําไปแจกจ่ายให้กับผู้สูงอายุทั่วประเทศที่มีปัญหาการเดินต่อไป
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน นับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของโครงการฯ และจะมีการพัฒนาเพื่อแจกจ่ายให้ผู้สูงอายุ รวมทั้งผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน และกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติ ที่มีความจําเป็นต้องใช้ไม้เท้า โดยการบริจาคจากภาคส่วนต่างๆ จะสามารถเป็นทุนในการผลิตเพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนที่มีความจําเป็นได้ใช้ประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งยังได้บุญจากอานิสงฆ์ในการช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งนี้ ตนขอขอบคุณคณะแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และสภากาชาดไทย ที่ช่วยคิดค้นและผลิตนวัตกรรมที่ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถก้าวเดินได้สะดวกยิ่งขึ้น เกิดความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจําวัน
ศ.นพ.รุ่งโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับประชาชนที่ประสงค์จะรับไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน ต้องเป็นผู้ป่วยพาร์กินสัน หรือผู้ป่วยทางระบบประสาทที่ปัญหาทางการเคลื่อนไหว โดยมีใบรับรองแพทย์แสดงว่าผู้ป่วยนั้นได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้ทําการรักษาว่า มีอาการเดินซอยเท้าถี่ และอาการเดินติดขัด ก้าวขาไม่ออก และยินดีให้ความร่วมมือกับศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสันฯ ในการเก็บข้อมูลการใช้งาน เพื่อนําไปพัฒนาต่อยอดสร้างนวัตกรรมสําหรับผู้ป่วยในอนาคต ทั้งนี้ สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าที่เว็บไซต์ www.chulapd.org และนําบัตรประชาชนตัวจริง พร้อมใบรับรองแพทย์ว มาติดต่อขอรับไม้เท้าเลเซอร์พระราชทานฯ ได้ที่ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสันฯ อาคาร สธ ชั้น 12 ในวันอังคาร พุธ และศุกร์ เวลา 13.00-15.30 น. ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป นอกจากนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทางหมายเลขโทรศัพท์ 0-2256-4000 ต่อ 70704 และ 08-1107-9999 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับมอบไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน นวัตกรรมคนไทย ช่วยผู้สูงอายุที่มีปัญหาการเดินและผู้ป่วยพาร์กินสัน
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563
รมว.พม. รับมอบไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน นวัตกรรมคนไทย ช่วยผู้สูงอายุที่มีปัญหาการเดินและผู้ป่วยพาร์กินสัน
รมว.พม. รับมอบไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน นวัตกรรมคนไทย ช่วยผู้สูงอายุที่มีปัญหาการเดินและผู้ป่วยพาร์กินสัน
วันนี้ (15 มิ.ย. 63) เวลา 11.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการรับมอบไม้เท้าเลเซอร์พระราชทานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จํานวน 100 ชิ้น จากสภากาชาดไทย เพื่อนําไปแจกจ่ายให้กับผู้สูงอายุที่มีปัญหาการเดิน โดยมีนายขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อํานวยการสํานักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย นางสุจิตรา พิทยานรเศรษฐ์ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ศ.นพ.รื่นเริง ลีลานุกรม รองผู้อํานวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ฝ่ายบริการ ศ.นพ.รุ่งโรจน์ พิทยศิริ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสัน และกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติแห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ผู้บริหารกระทรวง พม. และสภากาชาดไทย เข้าร่วมงาน ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวง พม. สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กทม.
นายจุติ กล่าวว่า ไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นับเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการออกแบบและผลิตคิดค้นโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นคนไทย โดย ศ.นพ.รุ่งโรจน์ พิทยศิริ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสัน และกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติแห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งนับว่าเป็นนวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยพาร์กินสันและผู้สูงอายุที่มีปัญหาการเดินติด ก้าวขาไม่ออก โดยอาศัยหลักการของสิ่งกระตุ้นทางสายตา (Visual cues) ใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยเพิ่มความมั่นคงในการก้าวเดิน และใช้แสงเลเซอร์ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยก้าวเดินได้ง่ายยิ่งขึ้น ส่งผลในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ด้วยการดําเนินชีวิตประจําวันอย่างมั่นใจ ทั้งนี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกผู้อํานวยการสภากาชาดไทย พระราชทานนามว่า “ไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน” หรือชื่อไม้เท้าเลเซอร์ช่วยเดินพระราชทานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตามโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สํานักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย และกระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ ภายใต้แผนงานบูรณาการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ประจําปีงบประมาณ 2562 และ 2563 ซึ่งในวันนี้ ตนได้รับมอบไม้เท้าเลเซอร์พระราชทานฯ จํานวน 100 ชิ้น จากสภากาชาดไทย เพื่อส่งให้กรมกิจการผู้สูงอายุ นําไปแจกจ่ายให้กับผู้สูงอายุทั่วประเทศที่มีปัญหาการเดินต่อไป
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน นับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของโครงการฯ และจะมีการพัฒนาเพื่อแจกจ่ายให้ผู้สูงอายุ รวมทั้งผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน และกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติ ที่มีความจําเป็นต้องใช้ไม้เท้า โดยการบริจาคจากภาคส่วนต่างๆ จะสามารถเป็นทุนในการผลิตเพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนที่มีความจําเป็นได้ใช้ประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งยังได้บุญจากอานิสงฆ์ในการช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งนี้ ตนขอขอบคุณคณะแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และสภากาชาดไทย ที่ช่วยคิดค้นและผลิตนวัตกรรมที่ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถก้าวเดินได้สะดวกยิ่งขึ้น เกิดความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจําวัน
ศ.นพ.รุ่งโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับประชาชนที่ประสงค์จะรับไม้เท้าเลเซอร์พระราชทาน ต้องเป็นผู้ป่วยพาร์กินสัน หรือผู้ป่วยทางระบบประสาทที่ปัญหาทางการเคลื่อนไหว โดยมีใบรับรองแพทย์แสดงว่าผู้ป่วยนั้นได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้ทําการรักษาว่า มีอาการเดินซอยเท้าถี่ และอาการเดินติดขัด ก้าวขาไม่ออก และยินดีให้ความร่วมมือกับศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสันฯ ในการเก็บข้อมูลการใช้งาน เพื่อนําไปพัฒนาต่อยอดสร้างนวัตกรรมสําหรับผู้ป่วยในอนาคต ทั้งนี้ สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าที่เว็บไซต์ www.chulapd.org และนําบัตรประชาชนตัวจริง พร้อมใบรับรองแพทย์ว มาติดต่อขอรับไม้เท้าเลเซอร์พระราชทานฯ ได้ที่ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสันฯ อาคาร สธ ชั้น 12 ในวันอังคาร พุธ และศุกร์ เวลา 13.00-15.30 น. ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป นอกจากนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทางหมายเลขโทรศัพท์ 0-2256-4000 ต่อ 70704 และ 08-1107-9999 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32340 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.ชื่นชมยินดี เจ้าแหลม ศรีสะเกษ ชกชนะผู้ท้าชิง รักษาแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตสำเร็จ ชี้เป็นนักชกที่แข็งแกร่ง ช่วยสร้างความสุขให้คนไทย แนะเยาวชนพัฒนาฝีมือตามแบบอย่าง | วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561
นรม.ชื่นชมยินดี เจ้าแหลม ศรีสะเกษ ชกชนะผู้ท้าชิง รักษาแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตสําเร็จ ชี้เป็นนักชกที่แข็งแกร่ง ช่วยสร้างความสุขให้คนไทย แนะเยาวชนพัฒนาฝีมือตามแบบอย่าง
นายกฯ ชื่นชมยินดี เจ้าแหลม ศรีสะเกษ ชกชนะผู้ท้าชิงจากเม็กซิโก รักษาแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตสําเร็จ ชี้เป็นนักชกที่แข็งแกร่ง ช่วยสร้างความสุขให้คนไทย แนะเยาวชนพัฒนาฝีมือตามแบบอย่าง
วันนี้ (25 กุมภาพันธ์ 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความชื่นชมยินดีที่เจ้าแหลม ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น สามารถชกเอาชนะผู้ท้าชิง ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า จากประเทศเม็กซิโก ทําให้รักษาเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวต (115 ปอนด์) ของสภามวยโลก WBC ครั้งที่ 2 ได้สําเร็จ
“นายกฯ กล่าวว่า เจ้าแหลมเป็นนักมวยที่มีหัวใจแข็งแกร่ง เนื่องจากผู้ท้าชิงจากเม็กซิโกเป็นนักมวยที่มีฝีมือดี มีความทรหดอดทนสูงเช่นกัน ดังนั้น การคว้าชัยชนะในครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความอดทน มุ่งมั่น และไหวพริบในการชกมวยของเจ้าแหลมอย่างแท้จริง”
นายกรัฐมนตรีเห็นว่าความสําเร็จวันนี้ทําให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับชมการแข่งขัน และคนไทยทั่วประเทศรู้สึกดีใจ มีความสุข และภาคภูมิใจในตัวเจ้าแหลม และยังทําให้ผู้ชมทั่วโลกประทับใจในฝีมือของนักชกไทยและชื่อเสียงของประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ ยังอยากให้ทุกคนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ประสบการณ์ของเจ้าแหลม และนําแรงบันดาลใจไปฝึกฝนและพัฒนาตนเองในทางที่แต่ละคนถนัดให้ดีที่สุดต่อไป
---------------------------------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.ชื่นชมยินดี เจ้าแหลม ศรีสะเกษ ชกชนะผู้ท้าชิง รักษาแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตสำเร็จ ชี้เป็นนักชกที่แข็งแกร่ง ช่วยสร้างความสุขให้คนไทย แนะเยาวชนพัฒนาฝีมือตามแบบอย่าง
วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561
นรม.ชื่นชมยินดี เจ้าแหลม ศรีสะเกษ ชกชนะผู้ท้าชิง รักษาแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตสําเร็จ ชี้เป็นนักชกที่แข็งแกร่ง ช่วยสร้างความสุขให้คนไทย แนะเยาวชนพัฒนาฝีมือตามแบบอย่าง
นายกฯ ชื่นชมยินดี เจ้าแหลม ศรีสะเกษ ชกชนะผู้ท้าชิงจากเม็กซิโก รักษาแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตสําเร็จ ชี้เป็นนักชกที่แข็งแกร่ง ช่วยสร้างความสุขให้คนไทย แนะเยาวชนพัฒนาฝีมือตามแบบอย่าง
วันนี้ (25 กุมภาพันธ์ 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความชื่นชมยินดีที่เจ้าแหลม ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น สามารถชกเอาชนะผู้ท้าชิง ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า จากประเทศเม็กซิโก ทําให้รักษาเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวต (115 ปอนด์) ของสภามวยโลก WBC ครั้งที่ 2 ได้สําเร็จ
“นายกฯ กล่าวว่า เจ้าแหลมเป็นนักมวยที่มีหัวใจแข็งแกร่ง เนื่องจากผู้ท้าชิงจากเม็กซิโกเป็นนักมวยที่มีฝีมือดี มีความทรหดอดทนสูงเช่นกัน ดังนั้น การคว้าชัยชนะในครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความอดทน มุ่งมั่น และไหวพริบในการชกมวยของเจ้าแหลมอย่างแท้จริง”
นายกรัฐมนตรีเห็นว่าความสําเร็จวันนี้ทําให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับชมการแข่งขัน และคนไทยทั่วประเทศรู้สึกดีใจ มีความสุข และภาคภูมิใจในตัวเจ้าแหลม และยังทําให้ผู้ชมทั่วโลกประทับใจในฝีมือของนักชกไทยและชื่อเสียงของประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ ยังอยากให้ทุกคนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ประสบการณ์ของเจ้าแหลม และนําแรงบันดาลใจไปฝึกฝนและพัฒนาตนเองในทางที่แต่ละคนถนัดให้ดีที่สุดต่อไป
---------------------------------------------------- | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10345 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เสริมแกร่ง ตั้ง “ฐิติพงศ์ นันทาภิวัฒน์” บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ | วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562
บสย. เสริมแกร่ง ตั้ง “ฐิติพงศ์ นันทาภิวัฒน์” บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
บสย.สริมความแกร่งด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่งตั้ง ดร.ฐิติพงศ์ นันทาภิวัฒน์ ดํารงตําแหน่ง รองผู้จัดการทั่วไป สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามมติเห็นชอบของคณะกรรมการ บสย. มีผลตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เสริมความแกร่งด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่งตั้ง ดร.ฐิติพงศ์ นันทาภิวัฒน์ ดํารงตําแหน่ง รองผู้จัดการทั่วไป สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามมติเห็นชอบของคณะกรรมการ บสย. มีผลตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ภายใต้ภารกิจและความรับผิดชอบ ได้แก่ การดําเนินโครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้สนับสนุนการดําเนินธุรกิจ และการเติบโตขององค์กร การพัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบปฎิบัติการ ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานโดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการขับเคลื่อน กําหนดกลยุทธ์ เป้าหมายและแผนงาน และการจัดทํานโยบายแนวทางการดําเนินการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กร
ดร.ฐิติพงศ์ นันทาภิวัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2519 สําเร็จการศึกษา ปริญญาเอก เทคโนโลยีสารสนเทศดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยเมอร์ดอค เมืองเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย ( Murdoch University, Perth, Australia ) ปริญญาโท วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา (University of Pittsburgh, Pittsburgh, PA, USA.) ปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยไวกาโต้ แฮมิลตัน ประเทศนิวซีแลนด์ (University of Waikato, Hamilton, New Zealand)
ประสบการณ์การทํางาน
พ.ศ. 2561–2562 กรรมการ และ กรรมการตรวจสอบ บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน) และ บริษัท บริส-เทล จํากัด (มหาชน)
พ.ศ. 2560– 2562 กรรมการ กรรมการตรวจสอบ และ ประธานกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2557– 2562 กรรมการ กรรมการตรวจสอบ และ ประธานอนุกรรมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท.)
พ.ศ. 2560–2561 ที่ปรึกษาผู้บัญชาการ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง
พ.ศ. 2559–2560 กรรมการ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จํากัด
พ.ศ. 2554–2556 ผู้ช่วยประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม (ผู้ช่วยรองประธาน กสทช.) สํานักงาน กสทช.
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เสริมแกร่ง ตั้ง “ฐิติพงศ์ นันทาภิวัฒน์” บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562
บสย. เสริมแกร่ง ตั้ง “ฐิติพงศ์ นันทาภิวัฒน์” บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
บสย.สริมความแกร่งด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่งตั้ง ดร.ฐิติพงศ์ นันทาภิวัฒน์ ดํารงตําแหน่ง รองผู้จัดการทั่วไป สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามมติเห็นชอบของคณะกรรมการ บสย. มีผลตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เสริมความแกร่งด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่งตั้ง ดร.ฐิติพงศ์ นันทาภิวัฒน์ ดํารงตําแหน่ง รองผู้จัดการทั่วไป สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามมติเห็นชอบของคณะกรรมการ บสย. มีผลตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ภายใต้ภารกิจและความรับผิดชอบ ได้แก่ การดําเนินโครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้สนับสนุนการดําเนินธุรกิจ และการเติบโตขององค์กร การพัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบปฎิบัติการ ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานโดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการขับเคลื่อน กําหนดกลยุทธ์ เป้าหมายและแผนงาน และการจัดทํานโยบายแนวทางการดําเนินการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กร
ดร.ฐิติพงศ์ นันทาภิวัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2519 สําเร็จการศึกษา ปริญญาเอก เทคโนโลยีสารสนเทศดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยเมอร์ดอค เมืองเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย ( Murdoch University, Perth, Australia ) ปริญญาโท วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา (University of Pittsburgh, Pittsburgh, PA, USA.) ปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยไวกาโต้ แฮมิลตัน ประเทศนิวซีแลนด์ (University of Waikato, Hamilton, New Zealand)
ประสบการณ์การทํางาน
พ.ศ. 2561–2562 กรรมการ และ กรรมการตรวจสอบ บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน) และ บริษัท บริส-เทล จํากัด (มหาชน)
พ.ศ. 2560– 2562 กรรมการ กรรมการตรวจสอบ และ ประธานกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2557– 2562 กรรมการ กรรมการตรวจสอบ และ ประธานอนุกรรมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท.)
พ.ศ. 2560–2561 ที่ปรึกษาผู้บัญชาการ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง
พ.ศ. 2559–2560 กรรมการ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จํากัด
พ.ศ. 2554–2556 ผู้ช่วยประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม (ผู้ช่วยรองประธาน กสทช.) สํานักงาน กสทช.
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24759 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. ย้ำบทบาทหัวหน้าสำนักงานจังหวัดเสมือนเสนาธิการของผู้ว่าราชการจังหวัด | วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561
มท. ย้ําบทบาทหัวหน้าสํานักงานจังหวัดเสมือนเสนาธิการของผู้ว่าราชการจังหวัด
มท. ย้ําบทบาทหัวหน้าสํานักงานจังหวัดเสมือนเสนาธิการของผู้ว่าราชการจังหวัด
วันนี้ (21 พ.ค. 61) เวลา 09.00 น. นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจากนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้ทําหน้าที่แทนเพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาอบรม "โครงการเสริมสมรรถนะในการขับเคลื่อนงานของหัวหน้าสํานักงานจังหวัด” ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ณ ห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย จัดขึ้นโดย วิทยาลัยมหาดไทย สถาบันดํารงราชานุภาพ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ระหว่างวันที่ 21-25 พฤษภาคม 2561 ณ กรุงเทพมหานคร และวิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยมีหัวหน้าสํานักงานจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด เข้าร่วมการอบรม
ในโอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวต้อนรับหัวหน้าสํานักงานจังหวัดทุกจังหวัด พร้อมมอบโอวาทในการปฏิบัติหน้าที่ โดยขอให้ทุกคนพึงตระหนักไว้อยู่เสมอว่า “หัวหน้าสํานักงานจังหวัดเป็นหัวหน้าส่วนราชการที่มีบทบาทหน้าที่สําคัญอย่างมาก เนื่องจากต้องรับผิดชอบด้านอํานวยการและประสานการปฏิบัติราชการอันเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด หรือตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย อีกทั้งยังทําหน้าที่สําคัญในการจัดทํายุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด กลุ่มจังหวัด และภาค การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารและการตัดสินใจของผู้ว่าราชการจังหวัด ตลอดจนสนับสนุนผู้ว่าราชการจังหวัดในเรื่องกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์การปฏิบัติราชการ และการบริหารทรัพยากรบุคคลในอํานาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับทุกภาคส่วนในจังหวัด ทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือในภาพรวมของจังหวัด ด้วยเหตุนี้หัวหน้าสํานักงานจังหวัดจึงต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจ ความละเอียดรอบคอบ รู้เท่าทันในเรื่องต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และลึกซึ้ง อีกทั้งต้องมีความสามารถในการสื่อสาร มีศาสตร์และศิลป์ในการประสานงานกับทุกภาคส่วนด้วย”
พร้อมกันนี้ ยังขอให้หัวหน้าสํานักงานจังหวัดพึงระลึกในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมเอาไว้ให้มาก เพราะถือได้ว่าเป็นรากฐานสําคัญสําหรับการพัฒนาคน เพื่อเป็นคนดี มีความรู้ และสามารถใช้ความรู้เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาและสร้างสรรค์พัฒนาประเทศชาติให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงท่ามกลางกระแสโลกในยุคปัจจุบัน
จากนั้น รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ข้อคิดในการปฏิบัติหน้าที่แก่หัวหน้าสํานักงานจังหวัดว่า ในฐานะเสนาธิการของผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น สิ่งสําคัญใกล้ตัวที่สุดประการหนึ่ง นั่นก็คือ การพิจารณารายละเอียดในหนังสือสั่งการของผู้ว่าราชการจังหวัด อย่าให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ในภายหลัง เพราะจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดและรัฐบาลได้ นอกจากนี้จะต้องให้ความสําคัญกับการบูรณาการและประสานเครือข่ายเอาไว้ให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารราชการในยุคดิจิทัล กลไกการทํางานแบบประชารัฐถือเป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้การทํางานดําเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการให้เห็นความสําคัญของการจัดเก็บข้อมูลผ่านระบบ Big Data หมั่นตรวจสอบข้อมูลที่จัดเก็บไว้อยู่เป็นระยะ และปรับปรุงให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์จริง รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการบริหารให้ทันต่อกระแสโลกในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคที่ดิจิทัลได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสําคัญในทุกมิติ ทั้งนี้ จังหวัดควรรู้จักใช้ช่องทางในสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook ให้เกิดประโยชน์ ทั้งในส่วนของการประชาสัมพันธ์การดําเนินงานของจังหวัด ตลอดจนรับฟังข้อเสนอและปัญหาร้องเรียนจากประชาชนในช่องทางดังกล่าวด้วย.
ครั้งที่ 109/2561 วันที่ 21 พ.ค. 2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-22224131-2 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. ย้ำบทบาทหัวหน้าสำนักงานจังหวัดเสมือนเสนาธิการของผู้ว่าราชการจังหวัด
วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561
มท. ย้ําบทบาทหัวหน้าสํานักงานจังหวัดเสมือนเสนาธิการของผู้ว่าราชการจังหวัด
มท. ย้ําบทบาทหัวหน้าสํานักงานจังหวัดเสมือนเสนาธิการของผู้ว่าราชการจังหวัด
วันนี้ (21 พ.ค. 61) เวลา 09.00 น. นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจากนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้ทําหน้าที่แทนเพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาอบรม "โครงการเสริมสมรรถนะในการขับเคลื่อนงานของหัวหน้าสํานักงานจังหวัด” ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ณ ห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย จัดขึ้นโดย วิทยาลัยมหาดไทย สถาบันดํารงราชานุภาพ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ระหว่างวันที่ 21-25 พฤษภาคม 2561 ณ กรุงเทพมหานคร และวิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยมีหัวหน้าสํานักงานจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด เข้าร่วมการอบรม
ในโอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวต้อนรับหัวหน้าสํานักงานจังหวัดทุกจังหวัด พร้อมมอบโอวาทในการปฏิบัติหน้าที่ โดยขอให้ทุกคนพึงตระหนักไว้อยู่เสมอว่า “หัวหน้าสํานักงานจังหวัดเป็นหัวหน้าส่วนราชการที่มีบทบาทหน้าที่สําคัญอย่างมาก เนื่องจากต้องรับผิดชอบด้านอํานวยการและประสานการปฏิบัติราชการอันเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด หรือตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย อีกทั้งยังทําหน้าที่สําคัญในการจัดทํายุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด กลุ่มจังหวัด และภาค การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารและการตัดสินใจของผู้ว่าราชการจังหวัด ตลอดจนสนับสนุนผู้ว่าราชการจังหวัดในเรื่องกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์การปฏิบัติราชการ และการบริหารทรัพยากรบุคคลในอํานาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับทุกภาคส่วนในจังหวัด ทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือในภาพรวมของจังหวัด ด้วยเหตุนี้หัวหน้าสํานักงานจังหวัดจึงต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจ ความละเอียดรอบคอบ รู้เท่าทันในเรื่องต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และลึกซึ้ง อีกทั้งต้องมีความสามารถในการสื่อสาร มีศาสตร์และศิลป์ในการประสานงานกับทุกภาคส่วนด้วย”
พร้อมกันนี้ ยังขอให้หัวหน้าสํานักงานจังหวัดพึงระลึกในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมเอาไว้ให้มาก เพราะถือได้ว่าเป็นรากฐานสําคัญสําหรับการพัฒนาคน เพื่อเป็นคนดี มีความรู้ และสามารถใช้ความรู้เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาและสร้างสรรค์พัฒนาประเทศชาติให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงท่ามกลางกระแสโลกในยุคปัจจุบัน
จากนั้น รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ข้อคิดในการปฏิบัติหน้าที่แก่หัวหน้าสํานักงานจังหวัดว่า ในฐานะเสนาธิการของผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น สิ่งสําคัญใกล้ตัวที่สุดประการหนึ่ง นั่นก็คือ การพิจารณารายละเอียดในหนังสือสั่งการของผู้ว่าราชการจังหวัด อย่าให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ในภายหลัง เพราะจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดและรัฐบาลได้ นอกจากนี้จะต้องให้ความสําคัญกับการบูรณาการและประสานเครือข่ายเอาไว้ให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารราชการในยุคดิจิทัล กลไกการทํางานแบบประชารัฐถือเป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้การทํางานดําเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการให้เห็นความสําคัญของการจัดเก็บข้อมูลผ่านระบบ Big Data หมั่นตรวจสอบข้อมูลที่จัดเก็บไว้อยู่เป็นระยะ และปรับปรุงให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์จริง รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการบริหารให้ทันต่อกระแสโลกในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคที่ดิจิทัลได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสําคัญในทุกมิติ ทั้งนี้ จังหวัดควรรู้จักใช้ช่องทางในสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook ให้เกิดประโยชน์ ทั้งในส่วนของการประชาสัมพันธ์การดําเนินงานของจังหวัด ตลอดจนรับฟังข้อเสนอและปัญหาร้องเรียนจากประชาชนในช่องทางดังกล่าวด้วย.
ครั้งที่ 109/2561 วันที่ 21 พ.ค. 2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-22224131-2 | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12408 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.ต.อ. อดุลย์ สานสัมพันธ์ World Bank ขยายความร่วมมือด้านแรงงาน | วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
พล.ต.อ. อดุลย์ สานสัมพันธ์ World Bank ขยายความร่วมมือด้านแรงงาน
รมว.แรงงาน ให้การต้อนรับ ดร. อูลริค ซาเกา ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หารือขยายความร่วมมือด้านแรงงาน พร้อมสนับสนุนการวิเคราะห์ระบบ Big Data แรงงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารด้านแรงงานในประเทศไทย
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ ดร.อูลริค ซาเกา ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ดร. เมาโร เทสเทอเวอร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายแรงงาน ที่มาเข้าเยี่ยมคารวะและหารือถึงความร่วมมือในการทํางานด้านแรงงานร่วมกันระหว่างธนาคารโลกกับกระทรวงแรงงาน ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ อาคารกระทรวงแรงงาน โดยกล่าวว่า การหารือในวันนี้เป็นการแลกเปลี่ยนความร่วมมือในการทํางานร่วมกัน ซึ่งทางธนาคารโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้านแรงงานในประเทศไทย ในประเด็นที่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนในปัจจุบัน อีกทั้งยังชื่นชมการทํางานของรัฐบาล ในความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว การให้ความสําคัญเกี่ยวกับการเพิ่มทักษะให้แก่แรงงานไทย เพื่อรองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) การดูแลคุ้มครองแรงงานไทยในต่างประเทศ รวมถึงการดูแลแรงงานผู้สูงอายุ
พล.ต.อ. อดุลย์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ธนาคารโลกฯ ยังได้กล่าวถึงความสําคัญของ การจัดทําฐานข้อมูล Big Data ซึ่งเป็นระบบที่สามารถรวบรวมข้อมูลจากตลาดแรงงาน สําหรับใช้ในการหาทักษะที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในขณะนั้น รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานในด้านต่างๆ อันเป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาล ที่กระทรวงแรงงานได้เร่งดําเนินการจัดการฐานข้อมูลของระบบ เพื่อให้ครอบคลุมข้อมูลด้านแรงงานในทุกมิติ โดยธนาคารโลกฯ พร้อมที่จะให้คําปรึกษาและให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการจัดทําฐานข้อมูล Big Data ในภาพรวมของประเทศ ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลสําคัญในการนํามาใช้วิเคราะห์สถานการณ์ด้านแรงงาน เพื่อนํามาใช้ประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านแรงงานในประเทศไทยต่อไป
+++++++++++++++++++ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.ต.อ. อดุลย์ สานสัมพันธ์ World Bank ขยายความร่วมมือด้านแรงงาน
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
พล.ต.อ. อดุลย์ สานสัมพันธ์ World Bank ขยายความร่วมมือด้านแรงงาน
รมว.แรงงาน ให้การต้อนรับ ดร. อูลริค ซาเกา ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หารือขยายความร่วมมือด้านแรงงาน พร้อมสนับสนุนการวิเคราะห์ระบบ Big Data แรงงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารด้านแรงงานในประเทศไทย
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ ดร.อูลริค ซาเกา ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ดร. เมาโร เทสเทอเวอร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายแรงงาน ที่มาเข้าเยี่ยมคารวะและหารือถึงความร่วมมือในการทํางานด้านแรงงานร่วมกันระหว่างธนาคารโลกกับกระทรวงแรงงาน ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ อาคารกระทรวงแรงงาน โดยกล่าวว่า การหารือในวันนี้เป็นการแลกเปลี่ยนความร่วมมือในการทํางานร่วมกัน ซึ่งทางธนาคารโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้านแรงงานในประเทศไทย ในประเด็นที่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนในปัจจุบัน อีกทั้งยังชื่นชมการทํางานของรัฐบาล ในความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว การให้ความสําคัญเกี่ยวกับการเพิ่มทักษะให้แก่แรงงานไทย เพื่อรองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) การดูแลคุ้มครองแรงงานไทยในต่างประเทศ รวมถึงการดูแลแรงงานผู้สูงอายุ
พล.ต.อ. อดุลย์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ธนาคารโลกฯ ยังได้กล่าวถึงความสําคัญของ การจัดทําฐานข้อมูล Big Data ซึ่งเป็นระบบที่สามารถรวบรวมข้อมูลจากตลาดแรงงาน สําหรับใช้ในการหาทักษะที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในขณะนั้น รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานในด้านต่างๆ อันเป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาล ที่กระทรวงแรงงานได้เร่งดําเนินการจัดการฐานข้อมูลของระบบ เพื่อให้ครอบคลุมข้อมูลด้านแรงงานในทุกมิติ โดยธนาคารโลกฯ พร้อมที่จะให้คําปรึกษาและให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการจัดทําฐานข้อมูล Big Data ในภาพรวมของประเทศ ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลสําคัญในการนํามาใช้วิเคราะห์สถานการณ์ด้านแรงงาน เพื่อนํามาใช้ประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านแรงงานในประเทศไทยต่อไป
+++++++++++++++++++ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9925 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. แนะสมาชิกออมต่อได้ แม้ผันตัวเป็นแรงงานในระบบ | วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560
กอช. แนะสมาชิกออมต่อได้ แม้ผันตัวเป็นแรงงานในระบบ
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. แนะนําสมาชิกเมื่อเปลี่ยนอาชีพเข้าสู่การเป็นแรงงานในระบบยังสามารถออมเงินกับ กอช. ต่อได้ หากอายุครบ 60 ปี มีโอกาสรับเงินบํานาญจาก กอช.
นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า กอช. เป็นเครื่องมือการออมระยะยาวเพื่อให้มีเงินใช้จ่ายยามชราภาพ ซึ่งเป็นสวัสดิการทางสังคมภายใต้การกํากับดูแลของรัฐที่เป็นที่พึ่งพาของกลุ่มคนทํางานอิสระหรือแรงงานนอกระบบซึ่งไม่ได้รับความคุ้มครองหรือไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการทํางาน อย่างไรก็ดี สําหรับผู้ที่เคยเป็นสมาชิก กอช. แล้ว และได้ผันตนเองไปเป็นแรงงานในระบบ ไม่ว่าจะรับราชการหรือเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ก็ยังคงรักษาสถานภาพการเป็นสมาชิก กอช. ต่อไปได้ เพียงแต่ในขณะที่สมาชิกเป็นแรงงานในระบบนั้น จะไม่ได้รับเงินในส่วนที่รัฐบาลสมทบให้ แต่ยังสามารถส่งเงินสะสมและได้รับดอกผลอย่างต่อเนื่อง และเมื่ออายุครบ 60 ปี ก็มีโอกาสได้รับเงินบํานาญเช่นเดียวกัน
“นักเรียนนักศึกษาที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถสมัครเป็นสมาชิก กอช. ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าการออมจะสูญเปล่าเมื่อเรียนจบและได้เข้าทํางานเป็นแรงงานในระบบ เนื่องจากเงินที่สะสมและเงินที่รัฐสมทบที่ผ่านมาจะถูกนําไปลงทุนในตราสารประเภทที่ให้ผลประโยชน์อย่างมั่นคงในระยะยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนแก่การออมระยะยาวของสมาชิก ทั้งนี้สมาชิกควรมีวินัยทางการออม เมื่อมีการออมที่สม่ําเสมอบวกกับระยะเวลาในการเก็บออมและอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ย่อมส่งผลให้มีหลักประกันขั้นพื้นฐาน มีเงินใช้จ่ายในยามชราภาพอย่างแน่นอน”นายสมพรกล่าว
อย่างไรก็ดี ยังมีสมาชิกจํานวนหนึ่งที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ ของ กอช. ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจออม จึงขอให้ประชาชนศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ กอช. ให้ถี่ถ้วน โดยสามารถศึกษาข้อมูลเบื้องต้นผ่านทาง www.nsf.or.th เฟซบุ๊ก (Facebook) กองทุนการออมแห่งชาติ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านทาง สายด่วนเงินออม 02-017-0789 เพื่อประโยชน์ต่อตนเอง
สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร :
โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224
Email : info@nsf.or.th | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. แนะสมาชิกออมต่อได้ แม้ผันตัวเป็นแรงงานในระบบ
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560
กอช. แนะสมาชิกออมต่อได้ แม้ผันตัวเป็นแรงงานในระบบ
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. แนะนําสมาชิกเมื่อเปลี่ยนอาชีพเข้าสู่การเป็นแรงงานในระบบยังสามารถออมเงินกับ กอช. ต่อได้ หากอายุครบ 60 ปี มีโอกาสรับเงินบํานาญจาก กอช.
นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า กอช. เป็นเครื่องมือการออมระยะยาวเพื่อให้มีเงินใช้จ่ายยามชราภาพ ซึ่งเป็นสวัสดิการทางสังคมภายใต้การกํากับดูแลของรัฐที่เป็นที่พึ่งพาของกลุ่มคนทํางานอิสระหรือแรงงานนอกระบบซึ่งไม่ได้รับความคุ้มครองหรือไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการทํางาน อย่างไรก็ดี สําหรับผู้ที่เคยเป็นสมาชิก กอช. แล้ว และได้ผันตนเองไปเป็นแรงงานในระบบ ไม่ว่าจะรับราชการหรือเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ก็ยังคงรักษาสถานภาพการเป็นสมาชิก กอช. ต่อไปได้ เพียงแต่ในขณะที่สมาชิกเป็นแรงงานในระบบนั้น จะไม่ได้รับเงินในส่วนที่รัฐบาลสมทบให้ แต่ยังสามารถส่งเงินสะสมและได้รับดอกผลอย่างต่อเนื่อง และเมื่ออายุครบ 60 ปี ก็มีโอกาสได้รับเงินบํานาญเช่นเดียวกัน
“นักเรียนนักศึกษาที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถสมัครเป็นสมาชิก กอช. ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าการออมจะสูญเปล่าเมื่อเรียนจบและได้เข้าทํางานเป็นแรงงานในระบบ เนื่องจากเงินที่สะสมและเงินที่รัฐสมทบที่ผ่านมาจะถูกนําไปลงทุนในตราสารประเภทที่ให้ผลประโยชน์อย่างมั่นคงในระยะยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนแก่การออมระยะยาวของสมาชิก ทั้งนี้สมาชิกควรมีวินัยทางการออม เมื่อมีการออมที่สม่ําเสมอบวกกับระยะเวลาในการเก็บออมและอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ย่อมส่งผลให้มีหลักประกันขั้นพื้นฐาน มีเงินใช้จ่ายในยามชราภาพอย่างแน่นอน”นายสมพรกล่าว
อย่างไรก็ดี ยังมีสมาชิกจํานวนหนึ่งที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ ของ กอช. ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจออม จึงขอให้ประชาชนศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ กอช. ให้ถี่ถ้วน โดยสามารถศึกษาข้อมูลเบื้องต้นผ่านทาง www.nsf.or.th เฟซบุ๊ก (Facebook) กองทุนการออมแห่งชาติ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านทาง สายด่วนเงินออม 02-017-0789 เพื่อประโยชน์ต่อตนเอง
สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร :
โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224
Email : info@nsf.or.th | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4263 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการแห่งชาติสมาคมกฎหมายอาเซียนประจำประเทศไทย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ | วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562
กระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการแห่งชาติสมาคมกฎหมายอาเซียนประจําประเทศไทย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
กระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการแห่งชาติสมาคมกฎหมายอาเซียนประจําประเทศไทย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
ในวันพุธที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมอาคารศาลยุติธรรม ชั้น ๓ อาคารศาลยุติธรรม ศาลฎีกา
ถนนราชดําเนินใน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ
ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ นายอัสนีย์
สังขเนตร ผู้อํานวยการกองการต่างประเทศ
เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการแห่งชาติสมาคมกฎหมายอาเซียนประจําประเทศไทย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
โดยมี นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานการประชุม
เพื่อรับทราบผลการดําเนินงานที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม
คณะกรรมการบริหารและคณะกรรมาธิการถาวรของสมาคมกฎหมายอาเซียน ครั้งที่ ๔๑ ประจําปี ๒๕๖๒
และทราบกําหนดการต่างๆในการจัดงานการประชุมฯในครั้งนี้
ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
ณ ภูเก็ต แมริออท รีสอร์ทแอนด์สปา เมอร์ลินบีช
รวมถึงการพิจารณามอบหมายผู้แทนหน่วยงาน
เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการถาวร (Standing Committee) เพื่อหารือ
กิจกรรมทางวิชาการและความร่วมมือด้านต่างประเทศ ระหว่างประเทศสมาชิก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการแห่งชาติสมาคมกฎหมายอาเซียนประจำประเทศไทย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562
กระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการแห่งชาติสมาคมกฎหมายอาเซียนประจําประเทศไทย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
กระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการแห่งชาติสมาคมกฎหมายอาเซียนประจําประเทศไทย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
ในวันพุธที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมอาคารศาลยุติธรรม ชั้น ๓ อาคารศาลยุติธรรม ศาลฎีกา
ถนนราชดําเนินใน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ
ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ นายอัสนีย์
สังขเนตร ผู้อํานวยการกองการต่างประเทศ
เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการแห่งชาติสมาคมกฎหมายอาเซียนประจําประเทศไทย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
โดยมี นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานการประชุม
เพื่อรับทราบผลการดําเนินงานที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม
คณะกรรมการบริหารและคณะกรรมาธิการถาวรของสมาคมกฎหมายอาเซียน ครั้งที่ ๔๑ ประจําปี ๒๕๖๒
และทราบกําหนดการต่างๆในการจัดงานการประชุมฯในครั้งนี้
ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
ณ ภูเก็ต แมริออท รีสอร์ทแอนด์สปา เมอร์ลินบีช
รวมถึงการพิจารณามอบหมายผู้แทนหน่วยงาน
เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการถาวร (Standing Committee) เพื่อหารือ
กิจกรรมทางวิชาการและความร่วมมือด้านต่างประเทศ ระหว่างประเทศสมาชิก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24391 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'บิ๊กบี้' รับมอบศูนย์ฝึกอบรมช่างสีรถยนต์ พัฒนาฝีมือทหารเข้าสู่ตลาดแรงงาน | วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560
'บิ๊กบี้' รับมอบศูนย์ฝึกอบรมช่างสีรถยนต์ พัฒนาฝีมือทหารเข้าสู่ตลาดแรงงาน
รมว.แรงงาน รับมอบศูนย์ฝึกอบรมช่างสีรถยนต์ จาก บริษัท นิปปอนด์เพ้นท์ ประเทศไทย จํากัด พร้อมเยี่ยมชมโครงการความร่วมมือระหว่าง ก.แรงงาน กับ ก.กลาโหม มุ่งพัฒนาฝีมือทหารก่อนปลดประจําการ เพื่อสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบกิจการ
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานพิธีรับมอบศูนย์ฝึกอบรมช่างสีรถยนต์ จาก บริษัท นิปปอนด์เพ้นท์ (ประเทศไทย) จํากัด ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 8 นครสวรรค์ วันนี้ (23 มิ.ย. 60) โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า "ขอขอบคุณ บริษัท นิปปอนด์เพ้นท์ (ประเทศไทย) จํากัด ที่ได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาศักยภาพแรงงาน ซึ่งถือเป็นหัวใจสําคัญต่อความสําเร็จ ไม่ว่าจะเป็นในระดับธุรกิจหรือการพัฒนาประเทศในภาพรวม โดยการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมช่างสีรถยนต์ เป็นการทํางานร่วมกันแบบประชารัฐ ระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อมุ่งพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม เพราะวัสดุอุปกรณ์และสีทุกชนิดของบริษัท เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นส่วนช่วยในการสนับสนุนการพัฒนาและปรับปรุงทักษะของแรงงานไปสู่งานสีเขียว หรือ Green Jobs ได้เป็นอย่างดี" พร้อมเยี่ยมชมการฝึกยกระดับฝีมือช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ โดยความร่วมมือกับ ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ และเยี่ยมชมโครงการความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กับ มณฑลทหารบกที่ 31 กระทรวงกลาโหม ที่มุ่งเน้นพัฒนาฝีมือให้แก่ทหารก่อนปลดประจําการ เพื่อสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบกิจการ ซึ่งมี 4 หลักสูตร ได้แก่ สาขาการบํารุงรักษารถยนต์เบื้องต้น สาขาช่างประกอบโครงอลูมิเนียมและการติดตั้งฝ้าเพดานยิปซั่ม สาขาช่างเดินสายไฟฟ้าในอาคาร และสาขาช่างเครื่องปรับอากาศ
จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เยี่ยมชมกิจการและให้กําลังใจแรงงานในสถานประกอบกิจการ บริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์ พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ จํากัด ตําบลหนองโพ อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อยฟอกขาวรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีกําลังการผลิตสูงสุด 100,000 ตันต่อปี ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากใช้วัตถุดิบจากชานอ้อยหลังจากการหีบอ้อยจากโรงงานน้ําตาล สามารถลดการตัดไม้ได้ถึงปีละ 33 ล้านต้นต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้ความสําคัญเกี่ยวกับเรื่อง Green Jobs ในประเทศไทย ซึ่งการทํางานจะคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยถือเป็นแนวปฏิบัติของทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานอีกด้วย
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ข่าว
สมภพ ศีลบุตร ภาพ
23 มิถุนายน 2560 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'บิ๊กบี้' รับมอบศูนย์ฝึกอบรมช่างสีรถยนต์ พัฒนาฝีมือทหารเข้าสู่ตลาดแรงงาน
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560
'บิ๊กบี้' รับมอบศูนย์ฝึกอบรมช่างสีรถยนต์ พัฒนาฝีมือทหารเข้าสู่ตลาดแรงงาน
รมว.แรงงาน รับมอบศูนย์ฝึกอบรมช่างสีรถยนต์ จาก บริษัท นิปปอนด์เพ้นท์ ประเทศไทย จํากัด พร้อมเยี่ยมชมโครงการความร่วมมือระหว่าง ก.แรงงาน กับ ก.กลาโหม มุ่งพัฒนาฝีมือทหารก่อนปลดประจําการ เพื่อสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบกิจการ
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานพิธีรับมอบศูนย์ฝึกอบรมช่างสีรถยนต์ จาก บริษัท นิปปอนด์เพ้นท์ (ประเทศไทย) จํากัด ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 8 นครสวรรค์ วันนี้ (23 มิ.ย. 60) โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า "ขอขอบคุณ บริษัท นิปปอนด์เพ้นท์ (ประเทศไทย) จํากัด ที่ได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาศักยภาพแรงงาน ซึ่งถือเป็นหัวใจสําคัญต่อความสําเร็จ ไม่ว่าจะเป็นในระดับธุรกิจหรือการพัฒนาประเทศในภาพรวม โดยการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมช่างสีรถยนต์ เป็นการทํางานร่วมกันแบบประชารัฐ ระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อมุ่งพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม เพราะวัสดุอุปกรณ์และสีทุกชนิดของบริษัท เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นส่วนช่วยในการสนับสนุนการพัฒนาและปรับปรุงทักษะของแรงงานไปสู่งานสีเขียว หรือ Green Jobs ได้เป็นอย่างดี" พร้อมเยี่ยมชมการฝึกยกระดับฝีมือช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ โดยความร่วมมือกับ ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ และเยี่ยมชมโครงการความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กับ มณฑลทหารบกที่ 31 กระทรวงกลาโหม ที่มุ่งเน้นพัฒนาฝีมือให้แก่ทหารก่อนปลดประจําการ เพื่อสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบกิจการ ซึ่งมี 4 หลักสูตร ได้แก่ สาขาการบํารุงรักษารถยนต์เบื้องต้น สาขาช่างประกอบโครงอลูมิเนียมและการติดตั้งฝ้าเพดานยิปซั่ม สาขาช่างเดินสายไฟฟ้าในอาคาร และสาขาช่างเครื่องปรับอากาศ
จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เยี่ยมชมกิจการและให้กําลังใจแรงงานในสถานประกอบกิจการ บริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์ พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ จํากัด ตําบลหนองโพ อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อยฟอกขาวรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีกําลังการผลิตสูงสุด 100,000 ตันต่อปี ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากใช้วัตถุดิบจากชานอ้อยหลังจากการหีบอ้อยจากโรงงานน้ําตาล สามารถลดการตัดไม้ได้ถึงปีละ 33 ล้านต้นต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้ความสําคัญเกี่ยวกับเรื่อง Green Jobs ในประเทศไทย ซึ่งการทํางานจะคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยถือเป็นแนวปฏิบัติของทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานอีกด้วย
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ข่าว
สมภพ ศีลบุตร ภาพ
23 มิถุนายน 2560 | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4755 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หากพบบุคลากรในบริษัทได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องดำเนินการเช่นไร ?? | วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563
หากพบบุคลากรในบริษัทได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องดําเนินการเช่นไร ??
บุคลากรในบริษัทติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องดําเนินการเช่นไร ?
Q : หากพบบุคลากรในบริษัทได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องดําเนินการเช่นไร ??
A : สิ่งสําคัญที่ต้องปฏิบัติเป็นลําดับแรกคือการสืบหากลุ่มคนที่ผู้ป่วยติดต่อใกล้ชิดและให้คนกลุ่มนี้ดําเนินการกักตัวในที่พักอาศัยอย่างน้อย 14 วัน โดยหากผู้ใดมีอาการป่วยให้รีบเข้ารับการรักษาโดยทันที | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หากพบบุคลากรในบริษัทได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องดำเนินการเช่นไร ??
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563
หากพบบุคลากรในบริษัทได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องดําเนินการเช่นไร ??
บุคลากรในบริษัทติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องดําเนินการเช่นไร ?
Q : หากพบบุคลากรในบริษัทได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องดําเนินการเช่นไร ??
A : สิ่งสําคัญที่ต้องปฏิบัติเป็นลําดับแรกคือการสืบหากลุ่มคนที่ผู้ป่วยติดต่อใกล้ชิดและให้คนกลุ่มนี้ดําเนินการกักตัวในที่พักอาศัยอย่างน้อย 14 วัน โดยหากผู้ใดมีอาการป่วยให้รีบเข้ารับการรักษาโดยทันที | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29568 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง | วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563
พาณิชย์ เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง
“ปลัดพาณิชย์” เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง ล่าสุด ณ วันที่ 8 มี.ค. 63 จับดําเนินคดีไปแล้ว 102 ราย
ซึ่งมีทั้งผู้ค้าที่เป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ และผู้ค้ารายย่อย ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคา และจําหน่ายราคาเกินสมควรหรือแพงเกินจริง ซึ่งมีโทษสูงสุดจําคุกสูงสุด 7 ปี หรือปรับเงิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
วันนี้ (9 มี.ค.63) นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการจับกุมผู้ค้าหน้ากากอนามัยที่กระทําความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ว่ากระทรวงฯ ได้จัดส่งสายตรวจออกตรวจสอบทุกวันนับตั้งแต่วันที่ 31 มกราคมเป็นต้นมา โดยปัจจุบันได้มีการจับกุมดําเนินคดีไปแล้ว 102 ราย โดยแบ่งเป็นกรุงเทพฯ 74 ราย ส่วนต่างจังหวัดอีก 28 ราย ในความผิด 2 ข้อหาคือ มาตรา 28 ไม่ปิดป้ายแสดงราคา ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และความผิดตามมาตรา 29 และ 30 คือการค้ากําไรเกินควรและกักตุนสินค้า ซึ่งมีโทษหนักจําคุก 7 ปี ปรับสูงสุด 1.4 แสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ในส่วนการจับกุมผู้ค้าออนไลน์ ทั้ง facebook Line Instagram กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันได้จับกุมไปทั้งหมด 14 ราย
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันนี้ คือวันที่ 9 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป กระทรวงจะได้ดําเนินการตรวจสอบและจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยที่จําหน่ายเกินราคาที่กฎหมายกําหนดไว้คือชิ้นละ 2.50 บาท ซึ่งหากพบผู้กระทําความผิด จะถูกดําเนินคดีในข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคาที่กฎหมายกําหนดซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 25 โดยมีอัตราโทษจําคุกสูงสุด 5 ปี ปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งหากพบว่าผู้กระทําผิดขายแพงเกินจริงและมีการกักตุนสินค้าด้วย จะเป็นความผิดทั้ง 2 กระทง โดยจะได้รับโทษหนักกว่า คือจําคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
โดยหากผู้พบเห็นการกระทําความผิดดังกล่าว โปรดแจ้งข้อมูลและหลักฐานมายังกรมการค้าภายใน โดยใช้สายด่วน 1569 หรือสื่อโซเชียลของกรมการค้าภายในเพื่อเป็นข้อมูลในการตรวจสอบและจับกุมต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง
วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563
พาณิชย์ เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง
“ปลัดพาณิชย์” เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง ล่าสุด ณ วันที่ 8 มี.ค. 63 จับดําเนินคดีไปแล้ว 102 ราย
ซึ่งมีทั้งผู้ค้าที่เป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ และผู้ค้ารายย่อย ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคา และจําหน่ายราคาเกินสมควรหรือแพงเกินจริง ซึ่งมีโทษสูงสุดจําคุกสูงสุด 7 ปี หรือปรับเงิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
วันนี้ (9 มี.ค.63) นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการจับกุมผู้ค้าหน้ากากอนามัยที่กระทําความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ว่ากระทรวงฯ ได้จัดส่งสายตรวจออกตรวจสอบทุกวันนับตั้งแต่วันที่ 31 มกราคมเป็นต้นมา โดยปัจจุบันได้มีการจับกุมดําเนินคดีไปแล้ว 102 ราย โดยแบ่งเป็นกรุงเทพฯ 74 ราย ส่วนต่างจังหวัดอีก 28 ราย ในความผิด 2 ข้อหาคือ มาตรา 28 ไม่ปิดป้ายแสดงราคา ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และความผิดตามมาตรา 29 และ 30 คือการค้ากําไรเกินควรและกักตุนสินค้า ซึ่งมีโทษหนักจําคุก 7 ปี ปรับสูงสุด 1.4 แสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ในส่วนการจับกุมผู้ค้าออนไลน์ ทั้ง facebook Line Instagram กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันได้จับกุมไปทั้งหมด 14 ราย
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันนี้ คือวันที่ 9 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป กระทรวงจะได้ดําเนินการตรวจสอบและจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยที่จําหน่ายเกินราคาที่กฎหมายกําหนดไว้คือชิ้นละ 2.50 บาท ซึ่งหากพบผู้กระทําความผิด จะถูกดําเนินคดีในข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคาที่กฎหมายกําหนดซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 25 โดยมีอัตราโทษจําคุกสูงสุด 5 ปี ปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งหากพบว่าผู้กระทําผิดขายแพงเกินจริงและมีการกักตุนสินค้าด้วย จะเป็นความผิดทั้ง 2 กระทง โดยจะได้รับโทษหนักกว่า คือจําคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
โดยหากผู้พบเห็นการกระทําความผิดดังกล่าว โปรดแจ้งข้อมูลและหลักฐานมายังกรมการค้าภายใน โดยใช้สายด่วน 1569 หรือสื่อโซเชียลของกรมการค้าภายในเพื่อเป็นข้อมูลในการตรวจสอบและจับกุมต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27020 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนงานพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก | วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563
แผนงานพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก
สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๓
เรื่อง แผนงานพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก
ผู้ตั้งกระทู้ถาม พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช
ถาม นายกรัฐมนตรี
ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ผู้ถาม : พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้
ด้วยอําเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นพื้นที่ชายแดนที่เป็นที่ตั้งจุดผ่านแดนถาวร เชื่อมต่อกับจังหวัดเมียวดี ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจสําคัญของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา อําเภอแม่สอด จึงเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเป็นประตูเศรษฐกิจที่จะเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบกับในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบจัดตั้งอําเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และต่อมาได้มีการจัดตั้งสํานักงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก รวมถึงได้มีการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคหลายโครงการ อย่างไรก็ดีแม้ว่าภาครัฐจะพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การสื่อสาร การคมนาคม และเทคโนโลยีในอําเภอแม่สอดมาโดยตลอด แต่การขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากกลับเป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากประสบปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศตัดสินใจที่จะลงทุนในจังหวัดเมียวดีมากกว่า ที่อําเภอแม่สอด ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากในอนาคต สมควรที่ภาครัฐจะเร่งแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่ทําให้การขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากเป็นไปอย่างล่าช้า ขอเรียนถามว่า รัฐบาลมีแผนงานพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากหรือไม่ อย่างไร และมีนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากหรือไม่ อย่างไร
ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า แผนงานพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ความเห็นชอบ “ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. ....” ของคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่รองรับแนวคิดการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในระดับพื้นที่ภาค นอกจากนี้ได้กําหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.)
ซึ่งคณะกรรมการคณะนี้มีอํานาจหน้าที่กําหนดนโยบายมาตรการการบริหารพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษซึ่งมีลักษณะเป็นแผนการกําหนดแนวทางการพัฒนาการวางมาตรการที่สอดคล้องและจําเป็น การกําหนดลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่ รวมทั้งการกําหนดแผนงานโครงการที่จะสามารถขับเคลื่อนให้บรรลุผลสําเร็จ การดําเนินการที่ผ่านมาหลังจากที่ได้มีการประกาศพื้นที่เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ระดมสรรพกําลังเพื่อพัฒนาพื้นที่ให้มีความพร้อมในการรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในรูปแบบที่หลากหลายที่กําลังจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามภายใต้ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษฯ ที่ได้กําหนดให้มีการจัดทําแผนงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้น ทําให้ส่วนราชการสามารถจัดทําแผนงานโครงการเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณในการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้กรอบนโยบายของรัฐบาลได้คล่องตัวมากขึ้น โดยระเบียบดังกล่าวได้กําหนดให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อให้เป็นไปตามแผนพัฒนา
และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
(โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง) | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนงานพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563
แผนงานพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก
สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๓
เรื่อง แผนงานพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก
ผู้ตั้งกระทู้ถาม พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช
ถาม นายกรัฐมนตรี
ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ผู้ถาม : พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้
ด้วยอําเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นพื้นที่ชายแดนที่เป็นที่ตั้งจุดผ่านแดนถาวร เชื่อมต่อกับจังหวัดเมียวดี ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจสําคัญของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา อําเภอแม่สอด จึงเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเป็นประตูเศรษฐกิจที่จะเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบกับในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบจัดตั้งอําเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และต่อมาได้มีการจัดตั้งสํานักงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก รวมถึงได้มีการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคหลายโครงการ อย่างไรก็ดีแม้ว่าภาครัฐจะพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การสื่อสาร การคมนาคม และเทคโนโลยีในอําเภอแม่สอดมาโดยตลอด แต่การขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากกลับเป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากประสบปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศตัดสินใจที่จะลงทุนในจังหวัดเมียวดีมากกว่า ที่อําเภอแม่สอด ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากในอนาคต สมควรที่ภาครัฐจะเร่งแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่ทําให้การขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากเป็นไปอย่างล่าช้า ขอเรียนถามว่า รัฐบาลมีแผนงานพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากหรือไม่ อย่างไร และมีนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากหรือไม่ อย่างไร
ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า แผนงานพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ความเห็นชอบ “ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. ....” ของคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่รองรับแนวคิดการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในระดับพื้นที่ภาค นอกจากนี้ได้กําหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.)
ซึ่งคณะกรรมการคณะนี้มีอํานาจหน้าที่กําหนดนโยบายมาตรการการบริหารพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษซึ่งมีลักษณะเป็นแผนการกําหนดแนวทางการพัฒนาการวางมาตรการที่สอดคล้องและจําเป็น การกําหนดลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่ รวมทั้งการกําหนดแผนงานโครงการที่จะสามารถขับเคลื่อนให้บรรลุผลสําเร็จ การดําเนินการที่ผ่านมาหลังจากที่ได้มีการประกาศพื้นที่เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ระดมสรรพกําลังเพื่อพัฒนาพื้นที่ให้มีความพร้อมในการรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในรูปแบบที่หลากหลายที่กําลังจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามภายใต้ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษฯ ที่ได้กําหนดให้มีการจัดทําแผนงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้น ทําให้ส่วนราชการสามารถจัดทําแผนงานโครงการเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณในการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้กรอบนโยบายของรัฐบาลได้คล่องตัวมากขึ้น โดยระเบียบดังกล่าวได้กําหนดให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อให้เป็นไปตามแผนพัฒนา
และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
(โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง) | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33962 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” พิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชนตาม พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม | วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2561
“ยุติธรรม” พิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชนตาม พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานครและที่เกินอํานาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจําจังหวัด ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
ในวันพุธที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมสํานักงานกองทุนยุติธรรม อาคารซอฟต์แวร์ปาร์ค ชั้น ๒๒ ถนนแจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานคร
และที่เกินอํานาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจําจังหวัด ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
เพื่อพิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือเสนอคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานครฯ
ประจําเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๐ ประกอบด้วย
๑) คําขอรับความช่วยเหลือชะลอการพิจารณาของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานครฯ
จํานวน ๑ ราย ๒ เรื่อง โดยผลการพิจารณาเห็นชอบไม่อนุมัติคําขอดังกล่าว
๒) คําขอรับความช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี จํานวน ๑๐ ราย ๒๗ เรื่อง
โดยผลการพิจารณาเห็นชอบอนุมัติ จํานวน ๑ ราย ๒ เรื่อง ไม่อนุมัติ จํานวน ๖ ราย ๑๘ เรื่อง
และยุติคําขอ จํานวน ๓ ราย ๗ เรื่อง
๓) คําขอรับความช่วยเหลือการขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจําเลย จํานวน ๒๕ ราย ๒๕ เรื่อง
โดยผลการพิจารณาเห็นชอบอนุมัติ จํานวน ๒ ราย ๒ เรื่อง และยุติคําขอ จํานวน ๒๓ ราย ๒๓ เรื่อง
ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ.๒๕๕๘ และระเบียบคณะกรรมการ
กองทุนยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี พ.ศ.๒๕๕๙
รวมทั้งระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจําเลย พ.ศ.๒๕๕๙
สําหรับผลการให้ความช่วยเหลือประชาชนของสํานักงานกองทุนยุติธรรมในช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา
(ช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม ๒๕๖๐) มีการรับคําขอ รวมทั้งสิ้น ๓๓๑ ราย
โดยส่งเรื่องไปยังสํานักงานยุติธรรมจังหวัด จํานวน ๓๔ ราย
และอยู่ในความรับผิดชอบของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานครฯ จํานวน ๒๕๙ ราย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” พิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชนตาม พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2561
“ยุติธรรม” พิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชนตาม พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานครและที่เกินอํานาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจําจังหวัด ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
ในวันพุธที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมสํานักงานกองทุนยุติธรรม อาคารซอฟต์แวร์ปาร์ค ชั้น ๒๒ ถนนแจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานคร
และที่เกินอํานาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจําจังหวัด ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
เพื่อพิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือเสนอคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานครฯ
ประจําเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๐ ประกอบด้วย
๑) คําขอรับความช่วยเหลือชะลอการพิจารณาของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานครฯ
จํานวน ๑ ราย ๒ เรื่อง โดยผลการพิจารณาเห็นชอบไม่อนุมัติคําขอดังกล่าว
๒) คําขอรับความช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี จํานวน ๑๐ ราย ๒๗ เรื่อง
โดยผลการพิจารณาเห็นชอบอนุมัติ จํานวน ๑ ราย ๒ เรื่อง ไม่อนุมัติ จํานวน ๖ ราย ๑๘ เรื่อง
และยุติคําขอ จํานวน ๓ ราย ๗ เรื่อง
๓) คําขอรับความช่วยเหลือการขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจําเลย จํานวน ๒๕ ราย ๒๕ เรื่อง
โดยผลการพิจารณาเห็นชอบอนุมัติ จํานวน ๒ ราย ๒ เรื่อง และยุติคําขอ จํานวน ๒๓ ราย ๒๓ เรื่อง
ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ.๒๕๕๘ และระเบียบคณะกรรมการ
กองทุนยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี พ.ศ.๒๕๕๙
รวมทั้งระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจําเลย พ.ศ.๒๕๕๙
สําหรับผลการให้ความช่วยเหลือประชาชนของสํานักงานกองทุนยุติธรรมในช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา
(ช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม ๒๕๖๐) มีการรับคําขอ รวมทั้งสิ้น ๓๓๑ ราย
โดยส่งเรื่องไปยังสํานักงานยุติธรรมจังหวัด จํานวน ๓๔ ราย
และอยู่ในความรับผิดชอบของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกรุงเทพมหานครฯ จํานวน ๒๕๙ ราย | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9604 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในวันที่ 13 ตุลาคม 2561 | วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561
รัฐบาลเตรียมจัดพิธีบําเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรําลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในวันที่ 13 ตุลาคม 2561
ผุ้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลเตรียมจัดพิธีบําเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรําลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในวันที่ 13 ตุลาคม 2561
วันนี้ ( 10 ต.ค. 61 ) เวลา 14.20 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการจัดพิธีบําเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรําลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรว่า สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้มีกําหนดจะจัดกิจกรรมในวันที่ 12 และ 13 ตุลาคม 2561 หลังจากนั้นได้มีกําหนดการของทางสํานักพระราชวังออกมา คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรว่าเพื่อให้การจัดการงานดังกล่าวสอดคล้องและเป็นไปในแนวทางปฏิบัติเดียวกัน และยึดถือปฏิบัติสืบต่อไปตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป จึงเห็นควรให้งดการจัดงานของทําเนียบรัฐบาลที่เดิมกําหนดจะจัดในวันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561 ให้ไปจัดงานในวันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2561 ในวันเดียวกัน โดยมีกิจกรรมที่สําคัญ ประกอบด้วย กิจกรรมทําบุญตักบาตร (ระหว่างเวลา 05.30 น. – 07.30 น.) ณ พระลานพระราชวังดุสิต ซึ่งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี พร้อมคู่สมรส จะเข้าร่วมกิจกรรมฯ โดยการแต่งกายสุภาพบุรุษ แต่งกายชุดปกติขาว สุภาพสตรี แต่งกายด้วยชุดไทยอมรินทร์หรือชุดไทยจิตรลดา (โทนสีเหลือง)
จากนั้น เวลาประมาณ 08.45 น. – 09.00 น. จะมีพิธีวางพวงมาลาและถวายบังคมหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ ท้องสนามหลวง และในช่วงเย็นเวลาประมาณ 18.45 น. ณ ท้องสนามหลวง จะมีพิธีถวายบังคมและจุดเทียนเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ รวมทั้งจะมีการยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 89 วินาที พร้อมเปิดเพลงพระผู้ทรงเป็นนิรันดร์ โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี พร้อมภริยา เข้าร่วมพิธีฯ ด้วย
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในวันที่ 13 ตุลาคม 2561
วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561
รัฐบาลเตรียมจัดพิธีบําเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรําลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในวันที่ 13 ตุลาคม 2561
ผุ้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลเตรียมจัดพิธีบําเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรําลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในวันที่ 13 ตุลาคม 2561
วันนี้ ( 10 ต.ค. 61 ) เวลา 14.20 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการจัดพิธีบําเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรําลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรว่า สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้มีกําหนดจะจัดกิจกรรมในวันที่ 12 และ 13 ตุลาคม 2561 หลังจากนั้นได้มีกําหนดการของทางสํานักพระราชวังออกมา คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรว่าเพื่อให้การจัดการงานดังกล่าวสอดคล้องและเป็นไปในแนวทางปฏิบัติเดียวกัน และยึดถือปฏิบัติสืบต่อไปตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป จึงเห็นควรให้งดการจัดงานของทําเนียบรัฐบาลที่เดิมกําหนดจะจัดในวันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561 ให้ไปจัดงานในวันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2561 ในวันเดียวกัน โดยมีกิจกรรมที่สําคัญ ประกอบด้วย กิจกรรมทําบุญตักบาตร (ระหว่างเวลา 05.30 น. – 07.30 น.) ณ พระลานพระราชวังดุสิต ซึ่งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี พร้อมคู่สมรส จะเข้าร่วมกิจกรรมฯ โดยการแต่งกายสุภาพบุรุษ แต่งกายชุดปกติขาว สุภาพสตรี แต่งกายด้วยชุดไทยอมรินทร์หรือชุดไทยจิตรลดา (โทนสีเหลือง)
จากนั้น เวลาประมาณ 08.45 น. – 09.00 น. จะมีพิธีวางพวงมาลาและถวายบังคมหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ ท้องสนามหลวง และในช่วงเย็นเวลาประมาณ 18.45 น. ณ ท้องสนามหลวง จะมีพิธีถวายบังคมและจุดเทียนเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ รวมทั้งจะมีการยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 89 วินาที พร้อมเปิดเพลงพระผู้ทรงเป็นนิรันดร์ โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี พร้อมภริยา เข้าร่วมพิธีฯ ด้วย
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16007 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำชับโรงพยาบาลดูแลประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม | วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561
สธ. กําชับโรงพยาบาลดูแลประชาชนในพื้นที่น้ําท่วม
กระทรวงสาธารณสุข ติดตามการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์น้ําท่วมที่จังหวัดเพชรบุรี กําชับโรงพยาบาลทุกแห่งเตรียมแผนป้องกันน้ําท่วม แผนจัดบริการประชาชน และจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ สํารวจผู้ป่วยติดเตียง พร้อมสํารองยาให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เพิ่ม 1 เดือน
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีให้กําลังใจและติดตามความพร้อมรับสถานการณ์น้ําท่วม ที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า และโรงพยาบาลท่ายาง จากการตรวจเยี่ยมพบว่า มีแผนการทํางานตามนโยบายที่ให้ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สั่งการให้โรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดได้เตรียมแผนป้องกันน้ําท่วม แผนจัดบริการนอกสถานที่ แผนอพยพผู้ป่วย รวมทั้งสํารวจผู้ป่วยติดเตียง พร้อมให้แนะนําญาติให้ย้ายผู้ป่วยไปนอกพื้นที่ชั่วคราว ในส่วนของผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องรับยาต่อเนื่อง ได้จ่ายยาสํารองเพิ่มอีก 1 เดือน เพื่อไม่ให้ขาดยา จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชนในพื้นที่น้ําท่วม และให้สุขศึกษาประชาชนในการป้องกันโรคและภัยสุขภาพ พร้อมทั้งดูแลด้านสุขาภิบาลอาหารและสิ่งแวดล้อมในช่วงน้ําท่วมและภายหลังน้ําลด
ทั้งนี้ จากการประเมิน มีโรงพยาบาลเสี่ยงน้ําท่วม 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพระจอมเกล้า ได้ย้ายเวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ ออกซิเจน เครื่องสํารองไฟ เตรียมเครื่องสูบน้ํา กระสอบทราย สําหรับกั้นห้องเอกซเรย์ และเตรียมห้องไอซียูสํารองสําหรับย้ายผู้ป่วยไอซียูศัลยกรรม และได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน ประชาชน จัดเรือ รถ 6 ล้อ ประจําที่โรงพยาบาล เพื่อรับส่งผู้ป่วยมารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอกกรณีน้ําท่วมเส้นทาง และการเตรียมรับการส่งต่อจากโรงพยาบาลลูกข่ายในจังหวัดเพชรบุรี ส่วนโรงพยาบาลท่ายาง ได้เตรียมเครื่องสูบน้ํา เพื่อเตรียมการระบายน้ํา ทําพนังกั้นน้ํากระสอบทราย และเตรียมจุดบริการประชาชนที่เทศบาลท่ายาง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลท่าวาย ได้วางแผนรับมือสถานการณ์น้ําท่วมและการดูแลประชาชนในพื้นที่ ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านในพื้นที่
************************** 8 สิงหาคม 2561 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำชับโรงพยาบาลดูแลประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม
วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561
สธ. กําชับโรงพยาบาลดูแลประชาชนในพื้นที่น้ําท่วม
กระทรวงสาธารณสุข ติดตามการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์น้ําท่วมที่จังหวัดเพชรบุรี กําชับโรงพยาบาลทุกแห่งเตรียมแผนป้องกันน้ําท่วม แผนจัดบริการประชาชน และจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ สํารวจผู้ป่วยติดเตียง พร้อมสํารองยาให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เพิ่ม 1 เดือน
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีให้กําลังใจและติดตามความพร้อมรับสถานการณ์น้ําท่วม ที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า และโรงพยาบาลท่ายาง จากการตรวจเยี่ยมพบว่า มีแผนการทํางานตามนโยบายที่ให้ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สั่งการให้โรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดได้เตรียมแผนป้องกันน้ําท่วม แผนจัดบริการนอกสถานที่ แผนอพยพผู้ป่วย รวมทั้งสํารวจผู้ป่วยติดเตียง พร้อมให้แนะนําญาติให้ย้ายผู้ป่วยไปนอกพื้นที่ชั่วคราว ในส่วนของผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องรับยาต่อเนื่อง ได้จ่ายยาสํารองเพิ่มอีก 1 เดือน เพื่อไม่ให้ขาดยา จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชนในพื้นที่น้ําท่วม และให้สุขศึกษาประชาชนในการป้องกันโรคและภัยสุขภาพ พร้อมทั้งดูแลด้านสุขาภิบาลอาหารและสิ่งแวดล้อมในช่วงน้ําท่วมและภายหลังน้ําลด
ทั้งนี้ จากการประเมิน มีโรงพยาบาลเสี่ยงน้ําท่วม 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพระจอมเกล้า ได้ย้ายเวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ ออกซิเจน เครื่องสํารองไฟ เตรียมเครื่องสูบน้ํา กระสอบทราย สําหรับกั้นห้องเอกซเรย์ และเตรียมห้องไอซียูสํารองสําหรับย้ายผู้ป่วยไอซียูศัลยกรรม และได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน ประชาชน จัดเรือ รถ 6 ล้อ ประจําที่โรงพยาบาล เพื่อรับส่งผู้ป่วยมารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอกกรณีน้ําท่วมเส้นทาง และการเตรียมรับการส่งต่อจากโรงพยาบาลลูกข่ายในจังหวัดเพชรบุรี ส่วนโรงพยาบาลท่ายาง ได้เตรียมเครื่องสูบน้ํา เพื่อเตรียมการระบายน้ํา ทําพนังกั้นน้ํากระสอบทราย และเตรียมจุดบริการประชาชนที่เทศบาลท่ายาง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลท่าวาย ได้วางแผนรับมือสถานการณ์น้ําท่วมและการดูแลประชาชนในพื้นที่ ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านในพื้นที่
************************** 8 สิงหาคม 2561 | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14453 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน เปิด Line Official : Service Workpermit ให้ข้อมูลเรื่องแรงงานต่างด้าว ในยุค Social Distancing [กระทรวงแรงงาน] | วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
กรมการจัดหางาน เปิด Line Official : Service Workpermit ให้ข้อมูลเรื่องแรงงานต่างด้าว ในยุค Social Distancing [กระทรวงแรงงาน]
กรมการจัดหางาน ผุดไอเดียเจ๋ง เปิด Line Official ชื่อ Service Workpermit ให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว เชื่อมหน่วยงานรัฐ กับประชาชน ในยุค Social Distancing
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยปัจจุบัน ซึ่งคนไทยให้ความสําคัญ และระมัดระวังในการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนเป็นจํานวนมาก ประกอบกับ หน่วยงานภาครัฐได้ดําเนินมาตรการตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด และมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing กันมากขึ้น และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน นายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน จึงได้เพิ่มช่องทางให้บริการ โดยเปิด Line Official ชื่อ Service Workpermit เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว กฎหมายและระเบียบต่างๆ และเป็นช่องทางในการแจ้งข้อมูลที่เชื่อถือได้ให้กับประชาชน รวมทั้ง เปิดช่องทางให้กับประชาชน สามารถแจ้งข่าวสาร และแจ้งปัญหาการใช้แรงงานต่างด้าว เพื่อให้ความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว
โดยสามารถเข้าไปติดตามกันได้ที่ Line Official ชื่อ Service Workpermit ID @ Service_Workpermit หรือที่ QR CODE | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน เปิด Line Official : Service Workpermit ให้ข้อมูลเรื่องแรงงานต่างด้าว ในยุค Social Distancing [กระทรวงแรงงาน]
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
กรมการจัดหางาน เปิด Line Official : Service Workpermit ให้ข้อมูลเรื่องแรงงานต่างด้าว ในยุค Social Distancing [กระทรวงแรงงาน]
กรมการจัดหางาน ผุดไอเดียเจ๋ง เปิด Line Official ชื่อ Service Workpermit ให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว เชื่อมหน่วยงานรัฐ กับประชาชน ในยุค Social Distancing
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยปัจจุบัน ซึ่งคนไทยให้ความสําคัญ และระมัดระวังในการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนเป็นจํานวนมาก ประกอบกับ หน่วยงานภาครัฐได้ดําเนินมาตรการตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด และมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing กันมากขึ้น และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน นายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน จึงได้เพิ่มช่องทางให้บริการ โดยเปิด Line Official ชื่อ Service Workpermit เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว กฎหมายและระเบียบต่างๆ และเป็นช่องทางในการแจ้งข้อมูลที่เชื่อถือได้ให้กับประชาชน รวมทั้ง เปิดช่องทางให้กับประชาชน สามารถแจ้งข่าวสาร และแจ้งปัญหาการใช้แรงงานต่างด้าว เพื่อให้ความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว
โดยสามารถเข้าไปติดตามกันได้ที่ Line Official ชื่อ Service Workpermit ID @ Service_Workpermit หรือที่ QR CODE | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28613 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี ผู้นำเหล่าทัพ องค์กรอิสระ หน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมถึงภาคเอกชนร่วมวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันปิยมหาราช | วันอังคารที่ 23 ตุลาคม 2561
นายกรัฐมนตรี นําคณะรัฐมนตรี ผู้นําเหล่าทัพ องค์กรอิสระ หน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมถึงภาคเอกชนร่วมวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันปิยมหาราช
นายกรัฐมนตรี นําคณะรัฐมนตรี ผู้นําเหล่าทัพ องค์กรอิสระ หน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมถึงภาคเอกชนร่วมวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันปิยมหาราช
วันนี้ (23 ตุลาคม 2561) เวลา 09.00 น.ณ พระลานพระราชวังดุสิตพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ผู้นําเหล่าทัพ องค์กรอิสระ หน่วยงานราชการต่างๆ รวมถึงภาคเอกชน กลุ่มองค์กรภาคประชาชน และนิสิตนักศึกษา ร่วมวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันปิยมหาราช ซึ่งตรงกับวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ และน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย จากพระราชกรณียกิจต่างๆ
-------------------------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี ผู้นำเหล่าทัพ องค์กรอิสระ หน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมถึงภาคเอกชนร่วมวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันปิยมหาราช
วันอังคารที่ 23 ตุลาคม 2561
นายกรัฐมนตรี นําคณะรัฐมนตรี ผู้นําเหล่าทัพ องค์กรอิสระ หน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมถึงภาคเอกชนร่วมวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันปิยมหาราช
นายกรัฐมนตรี นําคณะรัฐมนตรี ผู้นําเหล่าทัพ องค์กรอิสระ หน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมถึงภาคเอกชนร่วมวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันปิยมหาราช
วันนี้ (23 ตุลาคม 2561) เวลา 09.00 น.ณ พระลานพระราชวังดุสิตพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ผู้นําเหล่าทัพ องค์กรอิสระ หน่วยงานราชการต่างๆ รวมถึงภาคเอกชน กลุ่มองค์กรภาคประชาชน และนิสิตนักศึกษา ร่วมวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันปิยมหาราช ซึ่งตรงกับวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ และน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย จากพระราชกรณียกิจต่างๆ
-------------------------------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16251 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร | วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560
โครงการก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร
กรมธนารักษ์ขอชี้แจงกรณีมีข้อวิจารณ์โครงการหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร สาระสําคัญ คือ : นายวิลาส จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกต กรณีโครงการก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร ถนนเจริญนคร ริมแม่น้ําเจ้าพระยา
กรมธนารักษ์ขอชี้แจงกรณีมีข้อวิจารณ์โครงการหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร สาระสําคัญ คือ : นายวิลาส จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกต กรณีโครงการก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร ถนนเจริญนคร ริมแม่น้ําเจ้าพระยา พบว่าเป็นที่ดินตาบอด ไม่มีทางเข้าออก มีเพียงทางคนเดินที่เข้าถึง และรอบข้างเป็นชุมชนที่รถขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าออกได้ หากมีการก่อสร้างจะผิดกฎหมายถึง 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร และกฎหมายว่าด้วยการก่อสร้าง รุกล้ําลําน้ํา เสนอให้ใช้พื้นที่ราชพัสดุที่เหมาะสมในการก่อสร้างให้มีความโดดเด่น
คําชี้แจง
1) ที่ดินราชพัสดุแปลงก่อสร้างหอชมเมือง เป็นที่ดินริมแม่น้ําเจ้าพระยา มีหลักฐานเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 3346 เนื้อที่ 4-2-34 ไร่ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีด้านกว้างประมาณ 53 เมตร และด้านยาวประมาณ 140 เมตร ผลการศึกษาความเป็นไปของโครงการด้านรูปแบบในเบื้องต้นปรากฏว่า อาคารหอชมเมืองที่มีส่วนที่สูงที่สุด 459 เมตร มีความเป็นไปได้ในการก่อสร้าง เนื่องจากอยู่ไม่เกินสองเท่าของระยะราบคือ 230 เมตร วัดจากด้านตรงข้ามของถนนสาธารณะหรือเขตทางของถนนเจริญนครมาตั้งฉาก โดยส่วนที่สูงที่สุดของอาคารนี้ไม่อยู่ในระยะร่นห้ามก่อสร้างจากแม่น้ําเจ้าพระยาเข้ามาเกิน 45 เมตร ทั้งนี้ ที่ดินแปลงนี้มีข้อจํากัดคือ ไม่มีทางให้รถสัญจรเข้าออก ซึ่งตามผลการศึกษาการก่อสร้างอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีพื้นที่รวมกันทุกชั้นไม่เกิน 30,000 ตารางเมตร ต้องมีด้านหนึ่งด้านใดของที่ดิน ยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร และที่ดินด้านที่ติดถนนสาธารณะต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 12 เมตร จึงจะสามารถปลูกสร้างอาคารได้ตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร ดังนั้น ในการดําเนินจะต้องจัดให้มีทางเข้า - ออกโครงการถนนผิวจราจรไม่น้อยกว่า 12 เมตร
2) กรมธนารักษ์ได้ดําเนินการโครงการนี้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด มีการผ่านพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้กระบวนการมีความชัดเจนและโปร่งใสเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งนี้ ก่อนการดําเนินการโครงการ มูลนิธิฯ จะต้องจัดเตรียมรายละเอียดของโครงการ โดยขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หากมีข้อขัดข้องก็ต้องปรับปรุงโครงการจนได้รับอนุญาตหรือหากไม่สามารถปรับปรุงได้ก็จะต้องพิจารณายกเลิกโครงการต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร
วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560
โครงการก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร
กรมธนารักษ์ขอชี้แจงกรณีมีข้อวิจารณ์โครงการหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร สาระสําคัญ คือ : นายวิลาส จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกต กรณีโครงการก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร ถนนเจริญนคร ริมแม่น้ําเจ้าพระยา
กรมธนารักษ์ขอชี้แจงกรณีมีข้อวิจารณ์โครงการหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร สาระสําคัญ คือ : นายวิลาส จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกต กรณีโครงการก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร ถนนเจริญนคร ริมแม่น้ําเจ้าพระยา พบว่าเป็นที่ดินตาบอด ไม่มีทางเข้าออก มีเพียงทางคนเดินที่เข้าถึง และรอบข้างเป็นชุมชนที่รถขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าออกได้ หากมีการก่อสร้างจะผิดกฎหมายถึง 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร และกฎหมายว่าด้วยการก่อสร้าง รุกล้ําลําน้ํา เสนอให้ใช้พื้นที่ราชพัสดุที่เหมาะสมในการก่อสร้างให้มีความโดดเด่น
คําชี้แจง
1) ที่ดินราชพัสดุแปลงก่อสร้างหอชมเมือง เป็นที่ดินริมแม่น้ําเจ้าพระยา มีหลักฐานเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 3346 เนื้อที่ 4-2-34 ไร่ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีด้านกว้างประมาณ 53 เมตร และด้านยาวประมาณ 140 เมตร ผลการศึกษาความเป็นไปของโครงการด้านรูปแบบในเบื้องต้นปรากฏว่า อาคารหอชมเมืองที่มีส่วนที่สูงที่สุด 459 เมตร มีความเป็นไปได้ในการก่อสร้าง เนื่องจากอยู่ไม่เกินสองเท่าของระยะราบคือ 230 เมตร วัดจากด้านตรงข้ามของถนนสาธารณะหรือเขตทางของถนนเจริญนครมาตั้งฉาก โดยส่วนที่สูงที่สุดของอาคารนี้ไม่อยู่ในระยะร่นห้ามก่อสร้างจากแม่น้ําเจ้าพระยาเข้ามาเกิน 45 เมตร ทั้งนี้ ที่ดินแปลงนี้มีข้อจํากัดคือ ไม่มีทางให้รถสัญจรเข้าออก ซึ่งตามผลการศึกษาการก่อสร้างอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีพื้นที่รวมกันทุกชั้นไม่เกิน 30,000 ตารางเมตร ต้องมีด้านหนึ่งด้านใดของที่ดิน ยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร และที่ดินด้านที่ติดถนนสาธารณะต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 12 เมตร จึงจะสามารถปลูกสร้างอาคารได้ตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร ดังนั้น ในการดําเนินจะต้องจัดให้มีทางเข้า - ออกโครงการถนนผิวจราจรไม่น้อยกว่า 12 เมตร
2) กรมธนารักษ์ได้ดําเนินการโครงการนี้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด มีการผ่านพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้กระบวนการมีความชัดเจนและโปร่งใสเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งนี้ ก่อนการดําเนินการโครงการ มูลนิธิฯ จะต้องจัดเตรียมรายละเอียดของโครงการ โดยขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หากมีข้อขัดข้องก็ต้องปรับปรุงโครงการจนได้รับอนุญาตหรือหากไม่สามารถปรับปรุงได้ก็จะต้องพิจารณายกเลิกโครงการต่อไป | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4945 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กบข. แนะสมาชิกเปลี่ยนแผนลงทุนรับภาวะเศรษฐกิจผันผวน” | วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561
“กบข. แนะสมาชิกเปลี่ยนแผนลงทุนรับภาวะเศรษฐกิจผันผวน”
กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) แนะสมาชิกที่มีความกังวลใจต่อภาวะเศรษฐกิจที่กําลังผันผวนอยู่ในขณะนี้ สามารถปรับเปลี่ยนแผนลงทุนไปเป็นแผนที่มีความผันผวนต่ํา ความเสี่ยงต่ํา เช่น แผนตลาดเงิน หรือแผนตราสารหนี้ ได้ โดยสมาชิกสามารถดําเนินการเปลี่ยนแผนลงทุนได้
นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่านับแต่ต้นปีที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนมีความผันผวนต่อเนื่องหลังจากเกิดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศอภิมหาอํานาจยักษ์ใหญ่จีนและสหรัฐตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา นับถึงวันนี้ยังไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่าจะจบลงเมื่อไรและอย่างไร เมื่อประกอบกับแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มากกว่าตลาดคาดการณ์ทําให้ตลาดเกิดการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มประเทศกําลังพัฒนาซึ่งในนั้นก็รวมประเทศไทยด้วย ทําให้ตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนมิถุนายนลดลงประมาณ 5.3% ตลาดเกิดใหม่ลดลงประมาณ 4.6%
นายวิทัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของ กบข. ได้ปรับกลยุทธ์ลงทุนระยะสั้นด้วยการลดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงและลดอายุพันธบัตรเหลือประมาณ 2 ปี เพื่อลดผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้วบางส่วน แต่ก็คาดการณ์ว่าสถานการณ์ผันผวนจะคงต่อเนื่องไปอีกระยะ ส่งผลให้แนวโน้มผลตอบแทนการลงทุน กบข. ในระยะสั้นอาจไม่ดีนัก แม้ กบข. จะเป็นกองทุนระยะยาว สมาชิกจะนําเงินออกจาก กบข. ได้ก็ต่อเมื่อออกจากราชการหรือเกษียณอายุราชการเท่านั้น แต่สําหรับสมาชิกที่มีความกังวลใจต่อภาวะเศรษฐกิจที่กําลังผันผวนอยู่ในขณะนี้ สามารถปรับเปลี่ยนแผนลงทุนไปเป็นแผนที่มีความผันผวนต่ํา ความเสี่ยงต่ํา เช่น แผนตลาดเงิน หรือแผนตราสารหนี้ ได้ โดยสมาชิกสามารถดําเนินการเปลี่ยนแผนลงทุนได้ด้วยตนเองผ่าน GPF web service, Personal web, GPF Mobile Application สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ Call center กบข. 1179 กด 6
เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 865,288 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 พ.ค. 2561)
ฝ่ายสื่อสารและกิจกรรม
ผู้ประสานงาน : รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , มือถือ 099-465-6249 , อีเมล raviwan@gpf.or.th | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กบข. แนะสมาชิกเปลี่ยนแผนลงทุนรับภาวะเศรษฐกิจผันผวน”
วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561
“กบข. แนะสมาชิกเปลี่ยนแผนลงทุนรับภาวะเศรษฐกิจผันผวน”
กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) แนะสมาชิกที่มีความกังวลใจต่อภาวะเศรษฐกิจที่กําลังผันผวนอยู่ในขณะนี้ สามารถปรับเปลี่ยนแผนลงทุนไปเป็นแผนที่มีความผันผวนต่ํา ความเสี่ยงต่ํา เช่น แผนตลาดเงิน หรือแผนตราสารหนี้ ได้ โดยสมาชิกสามารถดําเนินการเปลี่ยนแผนลงทุนได้
นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่านับแต่ต้นปีที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนมีความผันผวนต่อเนื่องหลังจากเกิดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศอภิมหาอํานาจยักษ์ใหญ่จีนและสหรัฐตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา นับถึงวันนี้ยังไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่าจะจบลงเมื่อไรและอย่างไร เมื่อประกอบกับแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มากกว่าตลาดคาดการณ์ทําให้ตลาดเกิดการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มประเทศกําลังพัฒนาซึ่งในนั้นก็รวมประเทศไทยด้วย ทําให้ตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนมิถุนายนลดลงประมาณ 5.3% ตลาดเกิดใหม่ลดลงประมาณ 4.6%
นายวิทัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของ กบข. ได้ปรับกลยุทธ์ลงทุนระยะสั้นด้วยการลดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงและลดอายุพันธบัตรเหลือประมาณ 2 ปี เพื่อลดผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้วบางส่วน แต่ก็คาดการณ์ว่าสถานการณ์ผันผวนจะคงต่อเนื่องไปอีกระยะ ส่งผลให้แนวโน้มผลตอบแทนการลงทุน กบข. ในระยะสั้นอาจไม่ดีนัก แม้ กบข. จะเป็นกองทุนระยะยาว สมาชิกจะนําเงินออกจาก กบข. ได้ก็ต่อเมื่อออกจากราชการหรือเกษียณอายุราชการเท่านั้น แต่สําหรับสมาชิกที่มีความกังวลใจต่อภาวะเศรษฐกิจที่กําลังผันผวนอยู่ในขณะนี้ สามารถปรับเปลี่ยนแผนลงทุนไปเป็นแผนที่มีความผันผวนต่ํา ความเสี่ยงต่ํา เช่น แผนตลาดเงิน หรือแผนตราสารหนี้ ได้ โดยสมาชิกสามารถดําเนินการเปลี่ยนแผนลงทุนได้ด้วยตนเองผ่าน GPF web service, Personal web, GPF Mobile Application สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ Call center กบข. 1179 กด 6
เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 865,288 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 พ.ค. 2561)
ฝ่ายสื่อสารและกิจกรรม
ผู้ประสานงาน : รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , มือถือ 099-465-6249 , อีเมล raviwan@gpf.or.th | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13365 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์เผยเปรูบริโภคข้าวสูงสุดในลาติน นำเข้าข้าวไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ชี้ผู้ส่งออกเร่งทำตลาด | วันอังคารที่ 18 เมษายน 2560
พาณิชย์เผยเปรูบริโภคข้าวสูงสุดในลาติน นําเข้าข้าวไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ชี้ผู้ส่งออกเร่งทําตลาด
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงซันติอาโก ประเทศชิลี ว่า เปรูเป็นประเทศที่บริโภคข้าวสูงที่สุดในภูมิภาคลาตินอเมริกา
โดยกระทรวงเกษตรของเปรูระบุตัวเลขการบริโภคข้าวภายในประเทศประจําปี 2559 ว่ามีปริมาณการบริโภคที่ 1.8 ล้านตัน ซึ่งเป็นการบริโภคผลผลิตภายในประเทศที่ร้อยละ 88 และนําเข้าจากต่างประเทศที่ร้อยละ 12 ทั้งนี้เป็นการนําเข้าข้าวจากอุรุกวัยมากที่สุดที่สัดส่วนร้อยละ 65 รองลงมาคือ บราซิล (ร้อยละ 22) และไทย (ร้อยละ 9)
“จากสถิติการนําเข้าข้าวของเปรูในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า เปรูมีการนําเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 2 ปีล่าสุดไทยได้ขยับจากประเทศที่เปรูนําเข้าข้าวสําคัญเป็นลําดับที่ 4 ขึ้นเป็นลําดับที่ 3 ซึ่งมีมูลค่าการนําเข้าในปี 2559 อยู่ที่ 15.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 72.57” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
สําหรับแนวโน้มการนําเข้าข้าวของเปรู คาดว่าเปรูจะมีการนําเข้าข้าวในปีนี้เพิ่มสูงขึ้นกว่าทุกปี เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกสินค้าเกษตรและข้าวได้รับความเสียหาย ส่งผลให้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ นับเป็นโอกาสของผู้ส่งออกไทยที่จะขยายตลาดส่งออกข้าวสู่เปรูได้มากขึ้น
ด้าน นางมาลี โชคล้ําเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะได้เร่งจัดโครงการส่งเสริมการตลาดข้าวไทย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการนําเข้าข้าวจากไทยเพิ่มมากขึ้น และได้มอบหมายให้สํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกาพิจารณาเสนอโครงการที่เหมาะสมและเร่งประชาสัมพันธ์ข้าวไทยให้แก่ผู้นําเข้าข้าวรายสําคัญต่อไป
มูลค่าการนําเข้าข้าวไทยของเปรูมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ยกเว้นในปี 2556 ที่เปรูมีการนําเข้าข้าวจากทุกประเทศลดลง เนื่องจากผลผลิตข้าวในประเทศประจําปีสูงถึง 3.1 ล้านตัน ทําให้ความต้องการนําเข้าข้าวลดลง โดยในปี 2555 เปรูนําเข้าข้าวไทยมูลค่า 4.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปี 2556 นําเข้ามูลค่า 2.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปี 2557 นําเข้ามูลค่า 5.63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปี 2558 นําเข้ามูลค่า 8.87 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และปี 2559 นําเข้ามูลค่า 15.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า เปรูนําเข้าสินค้าข้าวจากทั่วโลกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการนําเข้าข้าวขาวที่ผ่านการขัดสําเร็จหรือกึ่งสําเร็จมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.98 ของการนําเข้าข้าวทั้งหมด นอกจากนี้ตัวเลขจากสํานักงานสถิติแห่งชาติเปรูระบุว่า ตัวเลขการบริโภคข้าวต่อหัวของประเทศประจําปี 2559 อยู่ที่ 55 กิโลกรัม ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในภูมิภาค โดยผู้บริโภคชาวเปรูส่วนมากนิยมหุงข้าวโดยใส่ผลเครื่องเทศหรือผักชนิดต่างๆ ลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ ทั้งนี้ ขนาดบรรจุที่เป็นที่นิยมในการเลือกซื้อมากที่สุดของผู้บริโภคชาวเปรูคือ ขนาดถุงละ 1 กิโลกรัม ซึ่งจะวางจําหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อทั่วไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์เผยเปรูบริโภคข้าวสูงสุดในลาติน นำเข้าข้าวไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ชี้ผู้ส่งออกเร่งทำตลาด
วันอังคารที่ 18 เมษายน 2560
พาณิชย์เผยเปรูบริโภคข้าวสูงสุดในลาติน นําเข้าข้าวไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ชี้ผู้ส่งออกเร่งทําตลาด
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงซันติอาโก ประเทศชิลี ว่า เปรูเป็นประเทศที่บริโภคข้าวสูงที่สุดในภูมิภาคลาตินอเมริกา
โดยกระทรวงเกษตรของเปรูระบุตัวเลขการบริโภคข้าวภายในประเทศประจําปี 2559 ว่ามีปริมาณการบริโภคที่ 1.8 ล้านตัน ซึ่งเป็นการบริโภคผลผลิตภายในประเทศที่ร้อยละ 88 และนําเข้าจากต่างประเทศที่ร้อยละ 12 ทั้งนี้เป็นการนําเข้าข้าวจากอุรุกวัยมากที่สุดที่สัดส่วนร้อยละ 65 รองลงมาคือ บราซิล (ร้อยละ 22) และไทย (ร้อยละ 9)
“จากสถิติการนําเข้าข้าวของเปรูในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า เปรูมีการนําเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 2 ปีล่าสุดไทยได้ขยับจากประเทศที่เปรูนําเข้าข้าวสําคัญเป็นลําดับที่ 4 ขึ้นเป็นลําดับที่ 3 ซึ่งมีมูลค่าการนําเข้าในปี 2559 อยู่ที่ 15.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 72.57” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
สําหรับแนวโน้มการนําเข้าข้าวของเปรู คาดว่าเปรูจะมีการนําเข้าข้าวในปีนี้เพิ่มสูงขึ้นกว่าทุกปี เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกสินค้าเกษตรและข้าวได้รับความเสียหาย ส่งผลให้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ นับเป็นโอกาสของผู้ส่งออกไทยที่จะขยายตลาดส่งออกข้าวสู่เปรูได้มากขึ้น
ด้าน นางมาลี โชคล้ําเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะได้เร่งจัดโครงการส่งเสริมการตลาดข้าวไทย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการนําเข้าข้าวจากไทยเพิ่มมากขึ้น และได้มอบหมายให้สํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกาพิจารณาเสนอโครงการที่เหมาะสมและเร่งประชาสัมพันธ์ข้าวไทยให้แก่ผู้นําเข้าข้าวรายสําคัญต่อไป
มูลค่าการนําเข้าข้าวไทยของเปรูมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ยกเว้นในปี 2556 ที่เปรูมีการนําเข้าข้าวจากทุกประเทศลดลง เนื่องจากผลผลิตข้าวในประเทศประจําปีสูงถึง 3.1 ล้านตัน ทําให้ความต้องการนําเข้าข้าวลดลง โดยในปี 2555 เปรูนําเข้าข้าวไทยมูลค่า 4.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปี 2556 นําเข้ามูลค่า 2.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปี 2557 นําเข้ามูลค่า 5.63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปี 2558 นําเข้ามูลค่า 8.87 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และปี 2559 นําเข้ามูลค่า 15.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า เปรูนําเข้าสินค้าข้าวจากทั่วโลกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการนําเข้าข้าวขาวที่ผ่านการขัดสําเร็จหรือกึ่งสําเร็จมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.98 ของการนําเข้าข้าวทั้งหมด นอกจากนี้ตัวเลขจากสํานักงานสถิติแห่งชาติเปรูระบุว่า ตัวเลขการบริโภคข้าวต่อหัวของประเทศประจําปี 2559 อยู่ที่ 55 กิโลกรัม ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในภูมิภาค โดยผู้บริโภคชาวเปรูส่วนมากนิยมหุงข้าวโดยใส่ผลเครื่องเทศหรือผักชนิดต่างๆ ลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ ทั้งนี้ ขนาดบรรจุที่เป็นที่นิยมในการเลือกซื้อมากที่สุดของผู้บริโภคชาวเปรูคือ ขนาดถุงละ 1 กิโลกรัม ซึ่งจะวางจําหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อทั่วไป | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3106 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชฟรอน ผนึกกำลัง กระทรวง อว. ร่วมสร้างอนาคตแห่งทศวรรษใหม่ในงาน “MAKER FAIRE BANGKOK 2020” | วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
เชฟรอน ผนึกกําลัง กระทรวง อว. ร่วมสร้างอนาคตแห่งทศวรรษใหม่ในงาน “MAKER FAIRE BANGKOK 2020”
เชฟรอน ผนึกกําลัง กระทรวง อว. ร่วมสร้างอนาคตแห่งทศวรรษใหม่ในงาน “MAKER FAIRE BANGKOK 2020”
(18 มกราคม 2563)บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสํารวจและผลิต จํากัด ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และกลุ่มเมกเกอร์ในประเทศไทย จัดงาน “Maker Faire Bangkok 2020 : THE FUTURE WE MAKE”มหกรรมการแสดงผลงานสิ่งประดิษฐ์และการรวมตัวของเมกเกอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเมกเกอร์ชาวไทยและต่างประเทศร่วมแสดงผลงาน สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมหลากหลายแขนง กว่า 60 บูธ พร้อมด้วยเวิร์คช็อปอีกมากมายที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้สัมผัสวัฒนธรรมเมกเกอร์และเข้ามามีส่วนร่วมในการเนรมิตอนาคตที่ดีให้แก่ประเทศไทยและโลกใบนี้ด้วยตัวคุณเอง โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 19 มกราคม 2563 ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเดอะสตรีท รัชดา
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกล่าวว่า “กระทรวง อว. มีเป้าหมายในการเตรียมความพร้อมให้กับคนไทยในการก้าวไปสู่ศตวรรษที่ 21 ด้วยการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเข้ามามีบทบาทสําคัญในการพัฒนาประเทศไทยในปัจจุบัน โดยองค์ประกอบที่จะทําให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย และช่วยวางรากฐานประเทศสู่อนาคตได้นั้น คือ การสร้างและพัฒนาคนให้เป็น Smart Citizen ซึ่งไม่ใช่เพียงทําให้เยาวชนเก่งขึ้น แต่ต้องปลูกฝังลักษณะนิสัยและความรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาสะเต็ม เพื่อให้พร้อมรับมือกับโลกในศตวรรษที่ 21 รวมทั้งการส่งเสริมการสร้างและพัฒนานวัตกรรมไปสู่ประเทศฐานนวัตกรรม หรือ Innovation Nation ซึ่งเป็นการแปลงนวัตกรรมเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางสังคม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความสุขของประชาชนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีโครงการ “ยุวชนสร้างชาติ” ที่มีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาความยากจนและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยอาศัยพลังของยุวชนวัยหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัย และบัณฑิตจบใหม่ มาช่วยขับเคลื่อนประเทศ ด้วยการเป็นตัวกลางในการนําความรู้และเทคโนโลยีไปถ่ายทอดให้ชุมชนพัฒนาพื้นที่ชนบท ซึ่งวันนี้ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นหน่วยงานรัฐและเอกชนร่วมมือกันบูรณาการโครงการ Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต ให้มีประโยชน์ต่อเยาวชนและประชาชนไทยในหลายมิติ เรียกได้ว่าสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยของเราให้ก้าวไปสู่ศตวรรษที่ 21 ได้อย่างยั่งยืน”
ทางด้านนายไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยฯกล่าวว่า “เชฟรอนให้ความสําคัญกับการพัฒนาคน ซึ่งเป็นพลังสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศ เราจึงมุ่งส่งเสริมให้วัฒนธรรมเมกเกอร์ในประเทศไทยเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกําลังหลักของการพัฒนาประเทศในอนาคต ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความสนใจในวัฒนธรรมเมกเกอร์ให้กับเยาวชน ภายใต้โครงการ Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต เช่น การประกวดสิ่งประดิษฐ์สําหรับเมกเกอร์เยาวชน Young Makers Contest เวิร์กช็อปนักประดิษฐ์รุ่นเยาว์ Enjoy Maker Space และการจัดงานเมกเกอร์แฟร์ ซึ่งได้รับความสนใจจากเมกเกอร์ และเยาวชนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นงานเมกเกอร์แฟร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเชฟรอนเชื่อว่ากิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียนเหล่านี้ จะมีส่วนช่วยจุดประกายความสนใจและแรงบันดาลใจในการเป็นเมกเกอร์ให้กับเยาวชน ให้พวกเขากล้าคิด และลงมือเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์สู่ผลงานจริง ตลอดจนเกิดความสนใจศึกษาในสาขาสะเต็ม อันเป็นสาขาที่มีความสําคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในระยะยาว อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของโครงการ”
ด้าน ดร.กฤษชัย สมสมาน หนึ่งในเมกเกอร์คนไทยผู้ร่วมผลักดันเมกเกอร์แฟร์ กล่าวเสริมว่า “งานเมกเกอร์แฟร์มีบทบาทสําคัญมากในการสนับสนุนให้คนไทยมีความกล้าที่จะลงมือทําหรือสร้างสรรค์ผลงานด้วยตัวเอง นอกจากนี้ งานเมกเกอร์แฟร์ยังถือเป็นโอกาสครั้งสําคัญที่เมกเกอร์จากทั่วประเทศไทยและจากต่างประเทศมารวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดประสบการณ์ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นคุณสมบัติของเมกเกอร์แล้ว ยังเป็นปัจจัยสําคัญที่จะทําให้วงการเมกเกอร์มีการเติบโตอีกด้วย จากที่ผ่านมา เราได้เห็นผลกระทบที่สําคัญ คือผู้ที่เคยมาร่วมงานเมกเกอร์แฟร์ในฐานะผู้ชมจะกลายมาเป็นผู้นําเสนอผลงานภายในงานปีต่อไป แล้วช่วยกันเผยแพร่แนวคิดของตัวเองเพื่อจุดประกายสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เข้าร่วมงานอยากมาเป็นเมกเกอร์กันมากยิ่งขึ้น ผมจึงอยากขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ช่วยกันสนับสนุนให้เกิดงานเมกเกอร์แฟร์ขึ้นในทุกปีมา ณ ที่นี้ด้วย”
สําหรับงาน Maker Faire Bangkok 2020 นั้นจะมีการแสดงผลงานของเมกเกอร์ชาวไทยและต่างประเทศกว่า 60 บูธ อาทิ การแข่งขันรถจิ๋ว AI การประลองหุ่นเห่ย HEBOCON ดาบอัศวินเจได หุ่นยนต์แปลงร่าง และโดรนดําน้ํา ฯลฯ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ขบวนอิเล็กทริคพาเหรด ที่เปรียบเสมือนไฮไลท์สําคัญประจํางาน Maker Faire Bangkok ที่จะมาสร้างบรรยากาศความสนุกสนานและแสงสีอันน่าตื่นเต้นในยามค่ําคืนแก่ผู้มาร่วมงานทุกคน พร้อมด้วยกิจกรรมเวิร์กช็อปอีกหลายรูปแบบให้เลือกเข้าร่วมได้ตามอัธยาศัย นอกเหนือจากนี้ ยังมีการประกาศผลและมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะเลิศโครงการ Young Makers Contest ปี 4 การประกวดผลงานสิ่งประดิษฐ์ของนักเรียนสายสามัญและอาชีวะ ภายใต้หัวข้อ Social Innovations: นวัตกรรมเพื่อสังคมที่ยั่งยืน โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษาและสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานเมกเกอร์แฟร์ระดับโลกที่ต่างประเทศอีกด้วย
ดูรายละเอียดและเงื่อนไขของกิจกรรมเวิร์กช็อปเพิ่มเติมได้ที่www.makerfairebangkok.com
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชฟรอน ผนึกกำลัง กระทรวง อว. ร่วมสร้างอนาคตแห่งทศวรรษใหม่ในงาน “MAKER FAIRE BANGKOK 2020”
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
เชฟรอน ผนึกกําลัง กระทรวง อว. ร่วมสร้างอนาคตแห่งทศวรรษใหม่ในงาน “MAKER FAIRE BANGKOK 2020”
เชฟรอน ผนึกกําลัง กระทรวง อว. ร่วมสร้างอนาคตแห่งทศวรรษใหม่ในงาน “MAKER FAIRE BANGKOK 2020”
(18 มกราคม 2563)บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสํารวจและผลิต จํากัด ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และกลุ่มเมกเกอร์ในประเทศไทย จัดงาน “Maker Faire Bangkok 2020 : THE FUTURE WE MAKE”มหกรรมการแสดงผลงานสิ่งประดิษฐ์และการรวมตัวของเมกเกอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเมกเกอร์ชาวไทยและต่างประเทศร่วมแสดงผลงาน สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมหลากหลายแขนง กว่า 60 บูธ พร้อมด้วยเวิร์คช็อปอีกมากมายที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้สัมผัสวัฒนธรรมเมกเกอร์และเข้ามามีส่วนร่วมในการเนรมิตอนาคตที่ดีให้แก่ประเทศไทยและโลกใบนี้ด้วยตัวคุณเอง โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 19 มกราคม 2563 ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเดอะสตรีท รัชดา
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกล่าวว่า “กระทรวง อว. มีเป้าหมายในการเตรียมความพร้อมให้กับคนไทยในการก้าวไปสู่ศตวรรษที่ 21 ด้วยการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเข้ามามีบทบาทสําคัญในการพัฒนาประเทศไทยในปัจจุบัน โดยองค์ประกอบที่จะทําให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย และช่วยวางรากฐานประเทศสู่อนาคตได้นั้น คือ การสร้างและพัฒนาคนให้เป็น Smart Citizen ซึ่งไม่ใช่เพียงทําให้เยาวชนเก่งขึ้น แต่ต้องปลูกฝังลักษณะนิสัยและความรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาสะเต็ม เพื่อให้พร้อมรับมือกับโลกในศตวรรษที่ 21 รวมทั้งการส่งเสริมการสร้างและพัฒนานวัตกรรมไปสู่ประเทศฐานนวัตกรรม หรือ Innovation Nation ซึ่งเป็นการแปลงนวัตกรรมเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางสังคม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความสุขของประชาชนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีโครงการ “ยุวชนสร้างชาติ” ที่มีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาความยากจนและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยอาศัยพลังของยุวชนวัยหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัย และบัณฑิตจบใหม่ มาช่วยขับเคลื่อนประเทศ ด้วยการเป็นตัวกลางในการนําความรู้และเทคโนโลยีไปถ่ายทอดให้ชุมชนพัฒนาพื้นที่ชนบท ซึ่งวันนี้ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นหน่วยงานรัฐและเอกชนร่วมมือกันบูรณาการโครงการ Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต ให้มีประโยชน์ต่อเยาวชนและประชาชนไทยในหลายมิติ เรียกได้ว่าสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยของเราให้ก้าวไปสู่ศตวรรษที่ 21 ได้อย่างยั่งยืน”
ทางด้านนายไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยฯกล่าวว่า “เชฟรอนให้ความสําคัญกับการพัฒนาคน ซึ่งเป็นพลังสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศ เราจึงมุ่งส่งเสริมให้วัฒนธรรมเมกเกอร์ในประเทศไทยเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกําลังหลักของการพัฒนาประเทศในอนาคต ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความสนใจในวัฒนธรรมเมกเกอร์ให้กับเยาวชน ภายใต้โครงการ Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต เช่น การประกวดสิ่งประดิษฐ์สําหรับเมกเกอร์เยาวชน Young Makers Contest เวิร์กช็อปนักประดิษฐ์รุ่นเยาว์ Enjoy Maker Space และการจัดงานเมกเกอร์แฟร์ ซึ่งได้รับความสนใจจากเมกเกอร์ และเยาวชนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นงานเมกเกอร์แฟร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเชฟรอนเชื่อว่ากิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียนเหล่านี้ จะมีส่วนช่วยจุดประกายความสนใจและแรงบันดาลใจในการเป็นเมกเกอร์ให้กับเยาวชน ให้พวกเขากล้าคิด และลงมือเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์สู่ผลงานจริง ตลอดจนเกิดความสนใจศึกษาในสาขาสะเต็ม อันเป็นสาขาที่มีความสําคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในระยะยาว อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของโครงการ”
ด้าน ดร.กฤษชัย สมสมาน หนึ่งในเมกเกอร์คนไทยผู้ร่วมผลักดันเมกเกอร์แฟร์ กล่าวเสริมว่า “งานเมกเกอร์แฟร์มีบทบาทสําคัญมากในการสนับสนุนให้คนไทยมีความกล้าที่จะลงมือทําหรือสร้างสรรค์ผลงานด้วยตัวเอง นอกจากนี้ งานเมกเกอร์แฟร์ยังถือเป็นโอกาสครั้งสําคัญที่เมกเกอร์จากทั่วประเทศไทยและจากต่างประเทศมารวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดประสบการณ์ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นคุณสมบัติของเมกเกอร์แล้ว ยังเป็นปัจจัยสําคัญที่จะทําให้วงการเมกเกอร์มีการเติบโตอีกด้วย จากที่ผ่านมา เราได้เห็นผลกระทบที่สําคัญ คือผู้ที่เคยมาร่วมงานเมกเกอร์แฟร์ในฐานะผู้ชมจะกลายมาเป็นผู้นําเสนอผลงานภายในงานปีต่อไป แล้วช่วยกันเผยแพร่แนวคิดของตัวเองเพื่อจุดประกายสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เข้าร่วมงานอยากมาเป็นเมกเกอร์กันมากยิ่งขึ้น ผมจึงอยากขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ช่วยกันสนับสนุนให้เกิดงานเมกเกอร์แฟร์ขึ้นในทุกปีมา ณ ที่นี้ด้วย”
สําหรับงาน Maker Faire Bangkok 2020 นั้นจะมีการแสดงผลงานของเมกเกอร์ชาวไทยและต่างประเทศกว่า 60 บูธ อาทิ การแข่งขันรถจิ๋ว AI การประลองหุ่นเห่ย HEBOCON ดาบอัศวินเจได หุ่นยนต์แปลงร่าง และโดรนดําน้ํา ฯลฯ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ขบวนอิเล็กทริคพาเหรด ที่เปรียบเสมือนไฮไลท์สําคัญประจํางาน Maker Faire Bangkok ที่จะมาสร้างบรรยากาศความสนุกสนานและแสงสีอันน่าตื่นเต้นในยามค่ําคืนแก่ผู้มาร่วมงานทุกคน พร้อมด้วยกิจกรรมเวิร์กช็อปอีกหลายรูปแบบให้เลือกเข้าร่วมได้ตามอัธยาศัย นอกเหนือจากนี้ ยังมีการประกาศผลและมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะเลิศโครงการ Young Makers Contest ปี 4 การประกวดผลงานสิ่งประดิษฐ์ของนักเรียนสายสามัญและอาชีวะ ภายใต้หัวข้อ Social Innovations: นวัตกรรมเพื่อสังคมที่ยั่งยืน โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษาและสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานเมกเกอร์แฟร์ระดับโลกที่ต่างประเทศอีกด้วย
ดูรายละเอียดและเงื่อนไขของกิจกรรมเวิร์กช็อปเพิ่มเติมได้ที่www.makerfairebangkok.com
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26416 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำแผนฟื้นฟู บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ต้องควบคู่กับการปรับโครงสร้างองค์กรและความร่วมมือพนักงานทุกภาคส่วน | วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีย้ําแผนฟื้นฟู บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ต้องควบคู่กับการปรับโครงสร้างองค์กรและความร่วมมือพนักงานทุกภาคส่วน
นายกรัฐมนตรีย้ําแผนฟื้นฟู บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ต้องควบคู่กับการปรับโครงสร้างองค์กรและความร่วมมือพนักงานทุกภาคส่วน
วันนี้ (5 พ.ค.63) เวลา 12.15 น. ณ โถงบัญชาการ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงเหตุผลและความจําเป็นในการฟื้นฟู บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจที่ต้องฟื้นฟูอยู่แล้ว
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเหตุผลและความจําเป็นในการฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการบิน เพื่อไม่ให้ธุรกิจได้รับผลกระทบไปมากกว่านี้ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วนขององค์การ ทั้งคณะกรรมการ ผู้บริหาร ลูกจ้าง พนักงานรวมถึงสหภาพแรงงานต้องปฏิบัติตามแผนการฟื้นฟู ทั้งการปรับโครงสร้างบุคลากร ลดรายจ่ายในส่วนที่เกินความจําเป็น รวมถึงการนําเงินกู้ไปใช้จ่ายต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ เหมาะสม คํานึงถึงกฎเกณฑ์ตามกฎหมายด้วย ย้ําว่าบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ยังมีความสามารถและโอกาสสามารถดําเนินทางธุรกิจต่อไปได้ ทั้งการบริการอาหาร (Catering) การขายตั๋วโดยสาร ซึ่งจะนําแผนฟื้นฟูหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป
................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำแผนฟื้นฟู บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ต้องควบคู่กับการปรับโครงสร้างองค์กรและความร่วมมือพนักงานทุกภาคส่วน
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีย้ําแผนฟื้นฟู บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ต้องควบคู่กับการปรับโครงสร้างองค์กรและความร่วมมือพนักงานทุกภาคส่วน
นายกรัฐมนตรีย้ําแผนฟื้นฟู บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ต้องควบคู่กับการปรับโครงสร้างองค์กรและความร่วมมือพนักงานทุกภาคส่วน
วันนี้ (5 พ.ค.63) เวลา 12.15 น. ณ โถงบัญชาการ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงเหตุผลและความจําเป็นในการฟื้นฟู บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจที่ต้องฟื้นฟูอยู่แล้ว
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเหตุผลและความจําเป็นในการฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการบิน เพื่อไม่ให้ธุรกิจได้รับผลกระทบไปมากกว่านี้ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วนขององค์การ ทั้งคณะกรรมการ ผู้บริหาร ลูกจ้าง พนักงานรวมถึงสหภาพแรงงานต้องปฏิบัติตามแผนการฟื้นฟู ทั้งการปรับโครงสร้างบุคลากร ลดรายจ่ายในส่วนที่เกินความจําเป็น รวมถึงการนําเงินกู้ไปใช้จ่ายต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ เหมาะสม คํานึงถึงกฎเกณฑ์ตามกฎหมายด้วย ย้ําว่าบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ยังมีความสามารถและโอกาสสามารถดําเนินทางธุรกิจต่อไปได้ ทั้งการบริการอาหาร (Catering) การขายตั๋วโดยสาร ซึ่งจะนําแผนฟื้นฟูหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป
................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30330 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานสัมมนาภายใต้โครงการส่งเสริมความรู้เรื่องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับ SMEs ของสมาคมธนาคารไทย | วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560
งานสัมมนาภายใต้โครงการส่งเสริมความรู้เรื่องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสําหรับ SMEs ของสมาคมธนาคารไทย
งานสัมมนาภายใต้โครงการส่งเสริมความรู้เรื่องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสําหรับ SMEs ของสมาคมธนาคารไทย ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพคเมืองทองธานี
วันนี้ (6 พฤศจิกายน 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ ในงานสัมมนาภายใต้โครงการส่งเสริมความรู้เรื่องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสําหรับ SMEs ของสมาคมธนาคารไทย โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพคเมืองทองธานี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานสัมมนาภายใต้โครงการส่งเสริมความรู้เรื่องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับ SMEs ของสมาคมธนาคารไทย
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560
งานสัมมนาภายใต้โครงการส่งเสริมความรู้เรื่องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสําหรับ SMEs ของสมาคมธนาคารไทย
งานสัมมนาภายใต้โครงการส่งเสริมความรู้เรื่องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสําหรับ SMEs ของสมาคมธนาคารไทย ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพคเมืองทองธานี
วันนี้ (6 พฤศจิกายน 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ ในงานสัมมนาภายใต้โครงการส่งเสริมความรู้เรื่องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสําหรับ SMEs ของสมาคมธนาคารไทย โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพคเมืองทองธานี | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7865 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อถอดบทเรียน (After Action Review: AAR) | วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2560
ทส. ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อถอดบทเรียน (After Action Review: AAR)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมควบคุมมลพิษ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อถอดบทเรียน (After Action Review: AAR) ในวันนี้ (31 พฤษภาคม 2560) ณ ห้องแกรนด์วิว 3 โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่
ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในแต่ละปี ส่งผลความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน สุขภาพ ความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีผลต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอีกด้วย สถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือถือเป็นภัยธรรมชาติที่เป็นปัญหามลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน สาเหตุหลักของปัญหาเกิดจาก
- การเผาป่าเพื่อหาของป่าและล่าสัตว์
- การเผาป่าเพื่อบุกรุกพื้นที่
- การเผาพื้นที่เกษตร โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
- การเผาริมทาง และพื้นที่ชุมชน
การติดตามและประเมินพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ จึงมีความจําเป็นและเร่งด่วน เพื่อนํามาใช้ป้องกันและฟื้นฟู เยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยที่เกิดขึ้น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมควบคุมมลพิษ จึงได้ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อถอดบทเรียน (After Action Review: AAR) ในวันนี้ (31 พฤษภาคม 2560) ณ ห้องแกรนด์วิว 3 โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทบทวนผลการดําเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันที่ผ่านมา ในแง่มุมต่างๆ ทั้งความสําเร็จและล้มเหลว รวมถึงการวิเคราะห์จุดแข็ง/จุดอ่อน ข้อเสนอแนะ และช่วยกันระดมสมอง บอกกล่าวประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการทํางาน เพื่อกําหนดแนวทางในการแก้ไขได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ บูรณาการทุกหน่วยงานเพื่อลดความซ้ําซ้อนและสร้างความร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงมาตรการ/การดําเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันในปี ๒๕๖๑ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมี พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม พร้อมมอบแนวทางการดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือปี 2561 ดังนี้
1. ระดมมาตรการเพื่อป้องกันก่อนเกิดไฟเพื่อควบคุมไม่ให้คนจุดไฟ และป้องกันก่อนลุกลามจนยากต่อการควบคุม
2. การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันจะประสบความสําเร็จได้ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รณรงค์สร้างจิตสํานึกในการแก้ไขปัญหาร่วมกันทั้งคนจุดไฟและเครือข่ายเฝ้าระวัง ด้วยการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และร่วมดับไฟ ภายใต้แนวคิด "ประชารัฐร่วมใจ เพื่อฟ้าใสไร้หมอกควัน”
3. ช่วยกันประณามคนจุดไฟเผาป่า และให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ดับไฟในพื้นที่
4. แก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันด้วยความตั้งใจจริง เพื่อนําไปสู่การคืนอากาศบริสุทธิ์ให้พี่น้อง 9 จังหวัดภาคเหนือ
5. มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและตามสมควร
6. การทํางานร่วมกันโดยไร้เส้นแบ่ง ไม่เลือกปฏิบัติ
7. ใช้บทเรียนที่พบเห็นและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นองค์ความรู้
ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศ ภายใต้แผนปฏิบัติการเชียงราย 2017 สําหรับความสําเร็จของการดําเนินงาน ปี 2560 ที่สามารถลดจุดความร้อนได้มากกว่าร้อยละ 40 เกิดจากความร่วมมือของทุกส่วนราชการ ภายใต้กลไกของ พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ปี 2550 กํากับดูแล โดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจังหวัด อําเภอ หมู่บ้าน ดําเนินการอย่างเข้มข้น มีการให้รางวัลหมู่บ้านดีเด่น และบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทําผิด กรมควบคุมมลพิษ และสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารเสนเทศให้การสนับสนุนข้อมูลในการกําหนดแผนรับมือปัญหา มีการระดมสรรพกําลังจากกองทัพภาคที่ 3 ตํารวจ เครือข่ายอาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ กรมป่าไม้เข้าดับไฟก่อนเกิดการลุกลาม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมควบคุมมลพิษ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อแลกเปลี่ยนบทเรียนความสําเร็จและปรับแผนเผชิญเหตุให้เหมาะสมกับสถานการณ์จริงในพื้นที่
นอกจากนี้ ปี 2560 เป็นที่น่ายินดีที่ กระทรวงมหาดไทย รับเป็นเจ้าภาพอย่างเต็มตัวในการแก้ไขปัญหาหมอกควัน ภายใต้กลไกของพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ตามแนวทาง "3 มาตรการเชิงพื้นที่4 มาตรการบริหารจัดการ” โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุน โดยได้ระดมสรรพกําลังเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง เร่งจัดการเชื้อเพลิงและทําแนวกันไฟ ลดการปลูกข้าวโพดในพื้นที่ป่า กําหนดช่วงเวลาห้ามเผาและบังคับใช้กฎหมายกับผู้ลักลอบเผา จัดชุดลาดตระเวนร่วมเพื่อเฝ้าระวังและดับไฟ บูรณาการเครื่องมือดับเพลิงและอุปกรณ์ของทุกหน่วยงาน สร้างการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อเฝ้าระวังการเผาและลดการเผาในพื้นที่ และส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
สําหรับปี 2561 กระทรวงหมาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักบูรณาการสั่งการและการจัดสรรงบประมาณให้ 9 จังหวัดภาคเหนือ เน้นมาตการป้องกันที่เข้าถึงคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเผาซ้ําซาก Single Command โดยผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอ ระดมสรรพกําลังเจ้าหน้าที่ เครือข่ายภาคประชาชน ชุมชน หมู่บ้าน เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงไม่ให้เกิดไฟ และให้จังหวัดบริหารจัดการเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และช่วงเวลา | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อถอดบทเรียน (After Action Review: AAR)
วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2560
ทส. ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อถอดบทเรียน (After Action Review: AAR)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมควบคุมมลพิษ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อถอดบทเรียน (After Action Review: AAR) ในวันนี้ (31 พฤษภาคม 2560) ณ ห้องแกรนด์วิว 3 โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่
ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในแต่ละปี ส่งผลความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน สุขภาพ ความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีผลต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอีกด้วย สถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือถือเป็นภัยธรรมชาติที่เป็นปัญหามลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน สาเหตุหลักของปัญหาเกิดจาก
- การเผาป่าเพื่อหาของป่าและล่าสัตว์
- การเผาป่าเพื่อบุกรุกพื้นที่
- การเผาพื้นที่เกษตร โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
- การเผาริมทาง และพื้นที่ชุมชน
การติดตามและประเมินพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ จึงมีความจําเป็นและเร่งด่วน เพื่อนํามาใช้ป้องกันและฟื้นฟู เยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยที่เกิดขึ้น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมควบคุมมลพิษ จึงได้ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อถอดบทเรียน (After Action Review: AAR) ในวันนี้ (31 พฤษภาคม 2560) ณ ห้องแกรนด์วิว 3 โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทบทวนผลการดําเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันที่ผ่านมา ในแง่มุมต่างๆ ทั้งความสําเร็จและล้มเหลว รวมถึงการวิเคราะห์จุดแข็ง/จุดอ่อน ข้อเสนอแนะ และช่วยกันระดมสมอง บอกกล่าวประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการทํางาน เพื่อกําหนดแนวทางในการแก้ไขได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ บูรณาการทุกหน่วยงานเพื่อลดความซ้ําซ้อนและสร้างความร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงมาตรการ/การดําเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันในปี ๒๕๖๑ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมี พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม พร้อมมอบแนวทางการดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือปี 2561 ดังนี้
1. ระดมมาตรการเพื่อป้องกันก่อนเกิดไฟเพื่อควบคุมไม่ให้คนจุดไฟ และป้องกันก่อนลุกลามจนยากต่อการควบคุม
2. การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันจะประสบความสําเร็จได้ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รณรงค์สร้างจิตสํานึกในการแก้ไขปัญหาร่วมกันทั้งคนจุดไฟและเครือข่ายเฝ้าระวัง ด้วยการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และร่วมดับไฟ ภายใต้แนวคิด "ประชารัฐร่วมใจ เพื่อฟ้าใสไร้หมอกควัน”
3. ช่วยกันประณามคนจุดไฟเผาป่า และให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ดับไฟในพื้นที่
4. แก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันด้วยความตั้งใจจริง เพื่อนําไปสู่การคืนอากาศบริสุทธิ์ให้พี่น้อง 9 จังหวัดภาคเหนือ
5. มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและตามสมควร
6. การทํางานร่วมกันโดยไร้เส้นแบ่ง ไม่เลือกปฏิบัติ
7. ใช้บทเรียนที่พบเห็นและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นองค์ความรู้
ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศ ภายใต้แผนปฏิบัติการเชียงราย 2017 สําหรับความสําเร็จของการดําเนินงาน ปี 2560 ที่สามารถลดจุดความร้อนได้มากกว่าร้อยละ 40 เกิดจากความร่วมมือของทุกส่วนราชการ ภายใต้กลไกของ พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ปี 2550 กํากับดูแล โดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจังหวัด อําเภอ หมู่บ้าน ดําเนินการอย่างเข้มข้น มีการให้รางวัลหมู่บ้านดีเด่น และบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทําผิด กรมควบคุมมลพิษ และสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารเสนเทศให้การสนับสนุนข้อมูลในการกําหนดแผนรับมือปัญหา มีการระดมสรรพกําลังจากกองทัพภาคที่ 3 ตํารวจ เครือข่ายอาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ กรมป่าไม้เข้าดับไฟก่อนเกิดการลุกลาม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมควบคุมมลพิษ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อแลกเปลี่ยนบทเรียนความสําเร็จและปรับแผนเผชิญเหตุให้เหมาะสมกับสถานการณ์จริงในพื้นที่
นอกจากนี้ ปี 2560 เป็นที่น่ายินดีที่ กระทรวงมหาดไทย รับเป็นเจ้าภาพอย่างเต็มตัวในการแก้ไขปัญหาหมอกควัน ภายใต้กลไกของพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ตามแนวทาง "3 มาตรการเชิงพื้นที่4 มาตรการบริหารจัดการ” โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุน โดยได้ระดมสรรพกําลังเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง เร่งจัดการเชื้อเพลิงและทําแนวกันไฟ ลดการปลูกข้าวโพดในพื้นที่ป่า กําหนดช่วงเวลาห้ามเผาและบังคับใช้กฎหมายกับผู้ลักลอบเผา จัดชุดลาดตระเวนร่วมเพื่อเฝ้าระวังและดับไฟ บูรณาการเครื่องมือดับเพลิงและอุปกรณ์ของทุกหน่วยงาน สร้างการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อเฝ้าระวังการเผาและลดการเผาในพื้นที่ และส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
สําหรับปี 2561 กระทรวงหมาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักบูรณาการสั่งการและการจัดสรรงบประมาณให้ 9 จังหวัดภาคเหนือ เน้นมาตการป้องกันที่เข้าถึงคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเผาซ้ําซาก Single Command โดยผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอ ระดมสรรพกําลังเจ้าหน้าที่ เครือข่ายภาคประชาชน ชุมชน หมู่บ้าน เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงไม่ให้เกิดไฟ และให้จังหวัดบริหารจัดการเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และช่วงเวลา | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4171 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลแจงข้อเท็จจริงกรณีชาวบ้านโคกสูง จ.สระแก้ว ร้องเรียนเจ้าหน้าที่รัฐตัดน้ำตัดไฟ หลังนายกฯ เดินทางกลับจากตรวจราชการ | วันเสาร์ที่ 2 กันยายน 2560
รัฐบาลแจงข้อเท็จจริงกรณีชาวบ้านโคกสูง จ.สระแก้ว ร้องเรียนเจ้าหน้าที่รัฐตัดน้ําตัดไฟ หลังนายกฯ เดินทางกลับจากตรวจราชการ
รัฐบาลแจงข้อเท็จจริงกรณีชาวบ้านโคกสูง จ.สระแก้ว ร้องเรียนเจ้าหน้าที่รัฐตัดน้ําตัดไฟ หลังนายกฯ เดินทางกลับจากตรวจราชการ ย้ําเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน พร้อมลงพื้นที่ชี้แจงข้อมูลวันนี้
วันนี้(2กันยายน2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่สื่อมวลชนบางสํานักนําเสนอข่าวชาวบ้าน ม.14 ต.หนองม่วง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่า ก่อนหน้าที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปมอบหนังสืออนุญาตให้สถาบันเกษตรกรเข้าทําประโยชน์ในเขตที่ของ ส.ป.ก. เมื่อวันที่ 28 ส.ค.60 นั้น ได้มีการสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน พร้อมกับติดตั้งระบบไฟฟ้าและน้ําประปา แต่หลังจากที่นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับ เสาไฟฟ้าได้ถูกรื้อถอน และระบบประปาถูกตัดขาด ว่า
“เรื่องดังกล่าวอาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของผู้ร้องเรียน ซึ่งไม่ถือว่าผิดหรือถูก แต่เจ้าหน้าที่จําเป็นต้องชี้แจงอธิบายความให้เกิดความกระจ่าง โดยทางจังหวัดสระแก้วได้รายงานว่า ขณะนี้พื้นที่จัดสรรที่ดิน ส.ป.ก. ม.14 ต.หนองม่วง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ยังไม่มีการขยายเขตไฟฟ้าและประปาเข้าไปในพื้นที่แต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มีประชาชนหรือเกษตรกรตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยในบริเวณนั้น
กรณีที่มีกระแสไฟฟ้าใช้ในวันที่นายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่นั้น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอรัญประเทศได้ปักเสาไฟฟ้าและพาดสายไฟฟ้าชั่วคราว พร้อมทั้งนําเครื่องกําเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่ไปติดตั้งสําหรับการใช้งาน ส่วนระบบน้ําที่นํามาใช้เป็นเพียงการต่อท่อลงในแปลงเกษตร เพื่อสาธิตให้เห็นถึงต้นแบบการดํารงชีวิตของเกษตรกรที่เหมาะสมว่าควรเป็นเช่นไร โดยนําน้ํามาจากถังน้ําที่รถบรรทุกขนส่งน้ําไปเติมไว้ก่อนแล้ว ร่วมกับการใช้กระแสไฟฟ้าจากเครื่องกําเนิดไฟฟ้าสูบน้ําไปใช้ในพื้นที่ และเมื่อเสร็จภารกิจเจ้าหน้าที่จึงได้รื้อถอนระบบกลับคืน”
สําหรับกรณีวัวประชารัฐขาดน้ํากินนั้น สํานักงานปศุสัตว์ จ.สระแก้ว ยืนยันว่า วัวประชารัฐทุกตัวได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทั้งในเรื่องอาหารและน้ํา
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ผวจ.สระแก้ว ได้นําคณะเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาอรัญประเทศ นายอําเภอโคกสูง นายก อบต.หนองม่วง กํานัน ต.หนองม่วง ไปพบชาวบ้าน เกษตรกร และผู้สื่อข่าวในพื้นที่ เพื่อชี้แจงทําความเข้าใจในรายละเอียดทั้งหมด ณ หอประชุมอําเภอโคกสูง พร้อมกับยืนยันว่าหากมีประชาชนปลูกที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวและมีเลขที่บ้านแล้ว ก็สามารถยื่นความจํานงขอติดตั้งระบบไฟฟ้าและประปาถาวรได้ตามระเบียบของทางราชการ
ท้ายที่สุดต่อเรื่องดังกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยทั้งการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และความรู้สึกของพี่น้องประชาชนจึงได้กําชับว่า ในโอกาสต่อไป ขอให้เจ้าหน้าที่เตรียมการเท่าที่จําเป็นและดําเนินการด้วยความระมัดระวัง หากมีการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือกระทบความรู้สึกของประชาชน ก็จะต้องชี้แจงทําความเข้าใจด้วยความรัดกุม ทั้งก่อนและหลังการปฏิบัติงาน เพราะการทํางานจริงมีการบูรณาการ ของหลายหน่วยงาน ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเช่นเดียวกันนี้อีก
....................................................... | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลแจงข้อเท็จจริงกรณีชาวบ้านโคกสูง จ.สระแก้ว ร้องเรียนเจ้าหน้าที่รัฐตัดน้ำตัดไฟ หลังนายกฯ เดินทางกลับจากตรวจราชการ
วันเสาร์ที่ 2 กันยายน 2560
รัฐบาลแจงข้อเท็จจริงกรณีชาวบ้านโคกสูง จ.สระแก้ว ร้องเรียนเจ้าหน้าที่รัฐตัดน้ําตัดไฟ หลังนายกฯ เดินทางกลับจากตรวจราชการ
รัฐบาลแจงข้อเท็จจริงกรณีชาวบ้านโคกสูง จ.สระแก้ว ร้องเรียนเจ้าหน้าที่รัฐตัดน้ําตัดไฟ หลังนายกฯ เดินทางกลับจากตรวจราชการ ย้ําเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน พร้อมลงพื้นที่ชี้แจงข้อมูลวันนี้
วันนี้(2กันยายน2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่สื่อมวลชนบางสํานักนําเสนอข่าวชาวบ้าน ม.14 ต.หนองม่วง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่า ก่อนหน้าที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปมอบหนังสืออนุญาตให้สถาบันเกษตรกรเข้าทําประโยชน์ในเขตที่ของ ส.ป.ก. เมื่อวันที่ 28 ส.ค.60 นั้น ได้มีการสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน พร้อมกับติดตั้งระบบไฟฟ้าและน้ําประปา แต่หลังจากที่นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับ เสาไฟฟ้าได้ถูกรื้อถอน และระบบประปาถูกตัดขาด ว่า
“เรื่องดังกล่าวอาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของผู้ร้องเรียน ซึ่งไม่ถือว่าผิดหรือถูก แต่เจ้าหน้าที่จําเป็นต้องชี้แจงอธิบายความให้เกิดความกระจ่าง โดยทางจังหวัดสระแก้วได้รายงานว่า ขณะนี้พื้นที่จัดสรรที่ดิน ส.ป.ก. ม.14 ต.หนองม่วง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ยังไม่มีการขยายเขตไฟฟ้าและประปาเข้าไปในพื้นที่แต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มีประชาชนหรือเกษตรกรตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยในบริเวณนั้น
กรณีที่มีกระแสไฟฟ้าใช้ในวันที่นายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่นั้น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอรัญประเทศได้ปักเสาไฟฟ้าและพาดสายไฟฟ้าชั่วคราว พร้อมทั้งนําเครื่องกําเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่ไปติดตั้งสําหรับการใช้งาน ส่วนระบบน้ําที่นํามาใช้เป็นเพียงการต่อท่อลงในแปลงเกษตร เพื่อสาธิตให้เห็นถึงต้นแบบการดํารงชีวิตของเกษตรกรที่เหมาะสมว่าควรเป็นเช่นไร โดยนําน้ํามาจากถังน้ําที่รถบรรทุกขนส่งน้ําไปเติมไว้ก่อนแล้ว ร่วมกับการใช้กระแสไฟฟ้าจากเครื่องกําเนิดไฟฟ้าสูบน้ําไปใช้ในพื้นที่ และเมื่อเสร็จภารกิจเจ้าหน้าที่จึงได้รื้อถอนระบบกลับคืน”
สําหรับกรณีวัวประชารัฐขาดน้ํากินนั้น สํานักงานปศุสัตว์ จ.สระแก้ว ยืนยันว่า วัวประชารัฐทุกตัวได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทั้งในเรื่องอาหารและน้ํา
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ผวจ.สระแก้ว ได้นําคณะเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาอรัญประเทศ นายอําเภอโคกสูง นายก อบต.หนองม่วง กํานัน ต.หนองม่วง ไปพบชาวบ้าน เกษตรกร และผู้สื่อข่าวในพื้นที่ เพื่อชี้แจงทําความเข้าใจในรายละเอียดทั้งหมด ณ หอประชุมอําเภอโคกสูง พร้อมกับยืนยันว่าหากมีประชาชนปลูกที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวและมีเลขที่บ้านแล้ว ก็สามารถยื่นความจํานงขอติดตั้งระบบไฟฟ้าและประปาถาวรได้ตามระเบียบของทางราชการ
ท้ายที่สุดต่อเรื่องดังกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยทั้งการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และความรู้สึกของพี่น้องประชาชนจึงได้กําชับว่า ในโอกาสต่อไป ขอให้เจ้าหน้าที่เตรียมการเท่าที่จําเป็นและดําเนินการด้วยความระมัดระวัง หากมีการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือกระทบความรู้สึกของประชาชน ก็จะต้องชี้แจงทําความเข้าใจด้วยความรัดกุม ทั้งก่อนและหลังการปฏิบัติงาน เพราะการทํางานจริงมีการบูรณาการ ของหลายหน่วยงาน ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเช่นเดียวกันนี้อีก
....................................................... | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6371 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยกำหนดการนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 พร้อมลงพื้นที่และประชุม ครม. สัญจร จ. ระยอง-จันทบุรี สัปดาห์หน้า | วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563
โฆษกรัฐบาลเผยกําหนดการนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 พร้อมลงพื้นที่และประชุม ครม. สัญจร จ. ระยอง-จันทบุรี สัปดาห์หน้า
โฆษกรัฐบาลเผยกําหนดการนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 พร้อมลงพื้นที่และประชุม ครม. สัญจร จ. ระยอง-จันทบุรี สัปดาห์หน้า
วันนี้ (21 สิงหาคม 2563) เวลา 8.30 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภารกิจพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในสัปดาห์หน้าว่า ประกอบด้วยการเข้าร่วมประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 (Mekong-Lancang Cooperation: MLC) ผ่านระบบการประชุมทางไกล และการลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดระยองและจังหวัดจันทบุรี พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563 ณ จังหวัดระยอง ระหว่าง 24 - 25 สิงหาคม 2563
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 ว่า เป็นการประชุมที่พัฒนามาจากข้อริเริ่มของไทยเมื่อปี 2555 ที่ต้องการส่งเสริมความร่วมมือในอนุภูมิภาคให้เข้มแข็ง ซึ่งเช้าวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม นี้ นายกรัฐมนตรีจะร่วมการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 ร่วมกับผู้นํา 6 ประเทศสมาชิก ประกอบด้วย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และจีน ภายใต้หัวข้อ “การยกระดับความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” โดยนายกรัฐมนตรีจะใช้โอกาสนี้ย้ําเจตนารมณ์ความร่วมมือในกลุ่มประเทศสมาชิกแม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน พร้อมนําเสนอ 4 ประเด็นสําคัญ คือ การบริหารจัดการน้ําในแม่น้ําโขง การยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุข ความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค รวมทั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 (Post Covid-19 Economic Recovery) ด้วย
เมื่อเสร็จสิ้นการประชุม ช่วงสาย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะเตรียมเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดระยองและจังหวัดจันทบุรี พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563 ณ จังหวัดระยอง ระหว่าง 24 - 25 สิงหาคม 2563 เพื่อเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ ฟื้นฟูการท่องเที่ยว ส่งเสริมการลงทุนระยะยาว และการพัฒนาเกษตรปลอดภัย โดยจะตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองผู้โดยสาร ณ อาคารผู้โดยสารแห่งที่ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา และเป็นประธานเปิดให้บริการทางหลวงระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงพัทยา – มาบตาพุด เยี่ยมชมตลาดสินค้าครบวงจร เทศบาลบ้านเพ (ตลาด 100 เสา) พบปะตัวแทนผู้ประกอบการการท่องเที่ยว และเยี่ยมชมวิถีกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านสวนสน - แกลง 1
โดยในวันอังคารที่ 25 สิงหาคม ช่วงเช้าจะประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) และการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563 ณ โรงแรมสตาร์ คอนเวนชั่น พร้อมเป็นสักขีพยานในมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํา กินให้ชุมชนให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราและผู้ว่าราชการจังหวัดระยองด้วย
หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้น จะตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการนําร่องการนํายางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัย ทางถนน (Kick off) ณ ทางหลวงหมายเลข 3249 และชมการสาธิตการติดตั้งกําแพงคอนกรีตหุ้มแผ่นยางพารา (Rubber Fender Barrier : RFB) ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในช่วงเย็นวันเดียวกัน
********************* | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยกำหนดการนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 พร้อมลงพื้นที่และประชุม ครม. สัญจร จ. ระยอง-จันทบุรี สัปดาห์หน้า
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563
โฆษกรัฐบาลเผยกําหนดการนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 พร้อมลงพื้นที่และประชุม ครม. สัญจร จ. ระยอง-จันทบุรี สัปดาห์หน้า
โฆษกรัฐบาลเผยกําหนดการนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 พร้อมลงพื้นที่และประชุม ครม. สัญจร จ. ระยอง-จันทบุรี สัปดาห์หน้า
วันนี้ (21 สิงหาคม 2563) เวลา 8.30 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภารกิจพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในสัปดาห์หน้าว่า ประกอบด้วยการเข้าร่วมประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 (Mekong-Lancang Cooperation: MLC) ผ่านระบบการประชุมทางไกล และการลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดระยองและจังหวัดจันทบุรี พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563 ณ จังหวัดระยอง ระหว่าง 24 - 25 สิงหาคม 2563
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 ว่า เป็นการประชุมที่พัฒนามาจากข้อริเริ่มของไทยเมื่อปี 2555 ที่ต้องการส่งเสริมความร่วมมือในอนุภูมิภาคให้เข้มแข็ง ซึ่งเช้าวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม นี้ นายกรัฐมนตรีจะร่วมการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 ร่วมกับผู้นํา 6 ประเทศสมาชิก ประกอบด้วย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และจีน ภายใต้หัวข้อ “การยกระดับความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” โดยนายกรัฐมนตรีจะใช้โอกาสนี้ย้ําเจตนารมณ์ความร่วมมือในกลุ่มประเทศสมาชิกแม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน พร้อมนําเสนอ 4 ประเด็นสําคัญ คือ การบริหารจัดการน้ําในแม่น้ําโขง การยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุข ความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค รวมทั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 (Post Covid-19 Economic Recovery) ด้วย
เมื่อเสร็จสิ้นการประชุม ช่วงสาย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะเตรียมเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดระยองและจังหวัดจันทบุรี พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563 ณ จังหวัดระยอง ระหว่าง 24 - 25 สิงหาคม 2563 เพื่อเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ ฟื้นฟูการท่องเที่ยว ส่งเสริมการลงทุนระยะยาว และการพัฒนาเกษตรปลอดภัย โดยจะตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองผู้โดยสาร ณ อาคารผู้โดยสารแห่งที่ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา และเป็นประธานเปิดให้บริการทางหลวงระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงพัทยา – มาบตาพุด เยี่ยมชมตลาดสินค้าครบวงจร เทศบาลบ้านเพ (ตลาด 100 เสา) พบปะตัวแทนผู้ประกอบการการท่องเที่ยว และเยี่ยมชมวิถีกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านสวนสน - แกลง 1
โดยในวันอังคารที่ 25 สิงหาคม ช่วงเช้าจะประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) และการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563 ณ โรงแรมสตาร์ คอนเวนชั่น พร้อมเป็นสักขีพยานในมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํา กินให้ชุมชนให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราและผู้ว่าราชการจังหวัดระยองด้วย
หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้น จะตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการนําร่องการนํายางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัย ทางถนน (Kick off) ณ ทางหลวงหมายเลข 3249 และชมการสาธิตการติดตั้งกําแพงคอนกรีตหุ้มแผ่นยางพารา (Rubber Fender Barrier : RFB) ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในช่วงเย็นวันเดียวกัน
********************* | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34394 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยติวเข้ม SME เสริมความแกร่งบุกตลาด CLMV | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560
กรุงไทยติวเข้ม SME เสริมความแกร่งบุกตลาด CLMV
ธนาคารกรุงไทย จับมือกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม จัดติวเข้มด้านธุรกิจส่งออกให้กับลูกค้าและผู้ประกอบการ SME รุ่นที่ 2 เพื่อบุกตลาด CLMV โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย พร้อมสิทธิ์เป็นสมาชิกกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และร่วมออกบูธในงาน Thailand Industr
นายปฏิเวช สันตะวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานธุรกิจขนาดกลาง ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากที่ธนาคารได้ร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดหลักสูตร SMEs Genius Exporter รุ่นที่ 1 ตะลุยตลาดจีน โดยนําลูกค้าและผู้ประกอบการ SME ไปสํารวจตลาดสินค้าที่เมืองเซี่ยงไฮ้ และกวางโจว ปรากฏว่า ประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ลูกค้าและผู้ประกอบการมีโอกาสเรียนรู้และขยายตลาดส่งออก ในปีนี้ ธนาคารจึงได้จัดหลักสูตร SMEs Genius Exporter รุ่นที่ 2 โดยมุ่งตลาด CLMV เพราะเป็นตลาดการค้าที่สําคัญและได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก เพื่อพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ให้พร้อมแข่งขันในตลาดโลก
คุณสมบัติของผู้เข้าอบรมต้องเป็นนิติบุคคล เจ้าของธุรกิจ หรือทายาทที่มี Brand สินค้าของตนเอง จดทะเบียนธุรกิจไม่ต่ํากว่า 3 ปี มีประสบการณ์ด้านการส่งออกไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยหลักอบรมสูตรเน้นให้สอดรับกับทิศทางตลาดการค้าของกลุ่มประเทศเป้าหมายในด้านต่างๆ เช่น กฎหมาย ภาษีการจัดตั้งกิจการ การผลิตเพื่อการส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารอัตราแลกเปลี่ยน กลยุทธ์การทํา Joint Venture อบรมทุกวันศุกร์-เสาร์ วันที่ 3 มีนาคม – 1 เมษายน 2560 ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ รัชดาภิเษก โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าอบรม
นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการอบรมจะได้เข้าร่วมสํารวจตลาดสินค้าในกลุ่มประเทศ CLMV รวมทั้งได้เป็นสมาชิกและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และร่วมออกบูธแสดงสินค้า ในงาน Thailand Industry Expo 2017 ของกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมรับคําปรึกษาด้านเอกสารการค้าระหว่างประเทศและการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนจากผู้เชี่ยวชาญของธนาคาร รวมถึงเข้าร่วมงานสัมมนาและกิจกรรมต่างๆ ด้านการส่งออกของธนาคารด้วย
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4174-7
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยติวเข้ม SME เสริมความแกร่งบุกตลาด CLMV
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560
กรุงไทยติวเข้ม SME เสริมความแกร่งบุกตลาด CLMV
ธนาคารกรุงไทย จับมือกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม จัดติวเข้มด้านธุรกิจส่งออกให้กับลูกค้าและผู้ประกอบการ SME รุ่นที่ 2 เพื่อบุกตลาด CLMV โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย พร้อมสิทธิ์เป็นสมาชิกกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และร่วมออกบูธในงาน Thailand Industr
นายปฏิเวช สันตะวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานธุรกิจขนาดกลาง ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากที่ธนาคารได้ร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดหลักสูตร SMEs Genius Exporter รุ่นที่ 1 ตะลุยตลาดจีน โดยนําลูกค้าและผู้ประกอบการ SME ไปสํารวจตลาดสินค้าที่เมืองเซี่ยงไฮ้ และกวางโจว ปรากฏว่า ประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ลูกค้าและผู้ประกอบการมีโอกาสเรียนรู้และขยายตลาดส่งออก ในปีนี้ ธนาคารจึงได้จัดหลักสูตร SMEs Genius Exporter รุ่นที่ 2 โดยมุ่งตลาด CLMV เพราะเป็นตลาดการค้าที่สําคัญและได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก เพื่อพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ให้พร้อมแข่งขันในตลาดโลก
คุณสมบัติของผู้เข้าอบรมต้องเป็นนิติบุคคล เจ้าของธุรกิจ หรือทายาทที่มี Brand สินค้าของตนเอง จดทะเบียนธุรกิจไม่ต่ํากว่า 3 ปี มีประสบการณ์ด้านการส่งออกไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยหลักอบรมสูตรเน้นให้สอดรับกับทิศทางตลาดการค้าของกลุ่มประเทศเป้าหมายในด้านต่างๆ เช่น กฎหมาย ภาษีการจัดตั้งกิจการ การผลิตเพื่อการส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารอัตราแลกเปลี่ยน กลยุทธ์การทํา Joint Venture อบรมทุกวันศุกร์-เสาร์ วันที่ 3 มีนาคม – 1 เมษายน 2560 ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ รัชดาภิเษก โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าอบรม
นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการอบรมจะได้เข้าร่วมสํารวจตลาดสินค้าในกลุ่มประเทศ CLMV รวมทั้งได้เป็นสมาชิกและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และร่วมออกบูธแสดงสินค้า ในงาน Thailand Industry Expo 2017 ของกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมรับคําปรึกษาด้านเอกสารการค้าระหว่างประเทศและการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนจากผู้เชี่ยวชาญของธนาคาร รวมถึงเข้าร่วมงานสัมมนาและกิจกรรมต่างๆ ด้านการส่งออกของธนาคารด้วย
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4174-7
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2000 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมัครเข้าร่วมโครงการ STARTUP VOUCHER ปีที่ 5 | วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563
สมัครเข้าร่วมโครงการ STARTUP VOUCHER ปีที่ 5
สมัครเข้าร่วมโครงการ STARTUP VOUCHER ปีที่ 5
ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอเชิญเจ้าของธุรกิจสมัครเข้าร่วมโครงการ Startup Voucher ปีที่ 5 เพื่อคว้าเงินสนับสนุนสูงสุด 800,000 บาทเพื่อสร้างโอกาสในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เร่งเพิ่มรายได้ และขยายธุรกิจให้เติบโต เพียงคุณมีสินค้าหรือบริการที่ใช่ มีแผนการตลาดที่ชัด โอกาสในการเปิดตลาด และสร้างรายได้อย่างก้าวกระโดด
อย่าช้า !!! ทุนมีจํานวนจํากัดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2563
สอบถามเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 81498 (คุณชญานันท์) , 5544 (คุณปาทินันท์), 81486 (คุณดวงธิดา) หรือ สมัครได้ทาง Email:suv@nstda.or.th
-ดาวน์โหลดเอกสารโครงการ Startup Voucher 2563
-ดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัคร SUV2020
-ดาวน์โหลดโบรชัวร์โครงการ Startup Voucher 2563
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมัครเข้าร่วมโครงการ STARTUP VOUCHER ปีที่ 5
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563
สมัครเข้าร่วมโครงการ STARTUP VOUCHER ปีที่ 5
สมัครเข้าร่วมโครงการ STARTUP VOUCHER ปีที่ 5
ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอเชิญเจ้าของธุรกิจสมัครเข้าร่วมโครงการ Startup Voucher ปีที่ 5 เพื่อคว้าเงินสนับสนุนสูงสุด 800,000 บาทเพื่อสร้างโอกาสในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เร่งเพิ่มรายได้ และขยายธุรกิจให้เติบโต เพียงคุณมีสินค้าหรือบริการที่ใช่ มีแผนการตลาดที่ชัด โอกาสในการเปิดตลาด และสร้างรายได้อย่างก้าวกระโดด
อย่าช้า !!! ทุนมีจํานวนจํากัดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2563
สอบถามเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 81498 (คุณชญานันท์) , 5544 (คุณปาทินันท์), 81486 (คุณดวงธิดา) หรือ สมัครได้ทาง Email:suv@nstda.or.th
-ดาวน์โหลดเอกสารโครงการ Startup Voucher 2563
-ดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัคร SUV2020
-ดาวน์โหลดโบรชัวร์โครงการ Startup Voucher 2563
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26040 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดย ก.ท่องเที่ยวฯ ร่วมแถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “พูดคุยเก๋ไก๋ สไตล์รมต.” ระบุการบริหารจัดการด้านการกีฬาต้องยึดหลักธรรมาภิบาลเป็นสำคัญ | วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
รัฐบาลโดย ก.ท่องเที่ยวฯ ร่วมแถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “พูดคุยเก๋ไก๋ สไตล์รมต.” ระบุการบริหารจัดการด้านการกีฬาต้องยึดหลักธรรมาภิบาลเป็นสําคัญ
รัฐบาลโดย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมแถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “พูดคุยเก๋ไก๋ สไตล์รมต.” รมว.ก.ท่องเที่ยวฯ ระบุการดําเนินการบริหารจัดการด้านการกีฬาต้องยึดหลักธรรมาภิบาลเป็นสําคัญ
วันนี้ (1 ก.พ. 61) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ร่วมแถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “พูดคุยเก๋ไก๋ สไตล์รมต.” โดยมีมีสื่อมวลชนสาขาต่าง ๆ เข้าร่วมซักถาม
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวถึงการปฏิรูปกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาว่า ที่ผ่านมาได้เห็นถึงความพยายามที่จะให้มีการแยกการท่องเที่ยวกับกีฬาออกจากกัน ซึ่งหากจะแยกออกจากกันจริง ในส่วนของกระทรวงกีฬาคงสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ เพราะมีบุคลากรด้านกีฬาจํานวนมากรองรับ แต่ขณะที่ด้านการท่องเที่ยวนั้น กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ไม่เคยมีข้าราชการด้านการท่องเที่ยวมาก่อนเลย จึงมีคําถามแล้วจะตั้งกระทรวงท่องเที่ยวโดยมีใครเป็นข้าราชการในกระทรวง ซึ่งได้ส่งคําถามดังกล่าวนี้กลับไปให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณาถึงความเป็นไปได้และความเหมาะสม รวมทั้งให้พิจารณาศึกษาถึงการดําเนินการด้านการท่องเที่ยวในหลายประเทศที่ไม่มีกระทรวงการท่องเที่ยวโดยตรงแต่สามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนนําความคิดเห็นของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาด้วย
สําหรับนโยบายการพัฒนาด้านกีฬานั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวว่า เมื่อย้อนกลับไป 9 ปี การกีฬาแห่งประเทศไทย หางบประมาณสนับสนุนยากมากเนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีไทยพรีเมียร์ลีก และไทยไฟท์ สมาคมต้องไปหาผู้สนับสนุนหรือสปอนเซอร์เอง แต่หลังจากวันนั้นตนเองและอดีตผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันก่อตั้งไทยพรีเมียร์ลีกขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งตนเองถือเป็นรัฐมนตรีคนแรกที่เป็นผู้ไปมอบถ้วยไทยพรีเมียร์ลีกใบแรก หลังจากนั้นก็มีไทยไฟท์ และไทยพรีเมียร์ลีกไม่ต้องมาขอเงินสนับสนุนจากรัฐอีก เพราะสามารถหาเงินได้เองมากกว่าที่รัฐสนับสนุน ขณะเดียวกันก็ทําให้เกิดวัฒนธรรมกีฬาและวัฒนธรรมเพลงเชียร์แห่งชาติ ที่ส่งผลให้เกิดพัฒนาการของวงการกีฬาที่คนดูกีฬามีมากกว่าคนเล่นทําให้เกิดเศรษฐกิจกีฬา ซึ่งปัจจุบันได้มีเงินจากกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ในการที่จะสนับสนุนด้านกีฬาแล้ว อย่างไรก็ตามสิ่งสําคัญในการพัฒนากีฬาขณะนี้ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของการมีธรรมาภิบาลที่ใช้ในการบริหารจัดการต่างๆ ทั้งเรื่องการบริหารเงิน บริหารงาน และทิศทางให้ถูกต้อง
พร้อมทั้ง ได้กล่าวถึงพระราชบัญญัติ และกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกีฬาว่า ในอดีตกฎหมายดังกล่าวกําหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย แต่เมื่อมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วทําให้ปัจจุบัน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นรองประธานฯ ซึ่งถือเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รวมถึง พ.ร.บ. การกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งขณะนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติผ่านพระราชบัญญัตินโยบายการกีฬาแห่งชาติแล้ว โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ และสนับสนุนด้านกีฬา ทั้งนี้การที่อํานาจต่าง ๆ ทั้งในเรื่องคน งานและงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับกีฬาไปรวมอยู่ที่นายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นกําลังใจสําหรับคนที่เกี่ยวข้องกับด้านกีฬา โดยสิ่งสําคัญที่จะต้องพัฒนาดําเนินการต่อจากนี้คือ การบริหารจัดการและการดําเนินการบนหลักธรรมาภิบาลเป็นสําคัญ
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย กับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ''ฟีฟ่า' นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า การดําเนินการในเรื่องดังกล่าวไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ โดยตรง แต่กระทรวงพร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยขณะนี้ภาคธุรกิจเอกชนได้ร่วมมือกันเพื่อเจรจาประสานกับฟีฟ่าแล้ว ซึ่งระหว่างนี้ต้องรอผลการเจรจาและลงนามให้ได้ก่อน เพื่อไม่ให้ส่งกระทบต่อราคาและเงื่อนไขในการเจรจาดังกล่าว
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวถึงการส่งเสริมเยาวชนเรื่องความเป็นเลิศทางกีฬาว่า “ช้างเผือกทางการกีฬา”หรือเด็กเยาวชนที่มีความสามารถทางด้านการกีฬามีจํานวนมาก แต่ยังหาไม่พบ เพราะฉะนั้นสมาคมกีฬาจังหวัดและสมาคมกีฬาแต่ละประเภท จึงต้องมีการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนเหล่านั้นได้แสดงตัวออกมา เพื่อจะได้เตรียมความพร้อมและพัฒนาทักษะด้านกีฬาของเด็กและเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 13 – 14 ปี ในระยะยาวอย่างน้อย 4 - 8 ปี แต่ทั้งนี้จะต้องมีการสนับสนุนส่งเสริมการศึกษาด้านวิชาการที่เหมาะสมควบคู่ไปด้วย เพื่อก้าวไปสู่การแข่งขันกีฬาในระดับชาติและโอลิมปิกต่อไป โดยในสัปดาห์หน้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะไปชี้แจงร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งจะเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สําคัญที่จะทําให้เด็กและเยาวชนที่กําลังจะจบการศึกษาระดับมัธยมปลายได้ไปต่อทั้งการเรียนและความสามารถด้านกีฬาในวิถีทางที่ครอบครัวสบายใจและตนเองชื่นชอบ
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดย ก.ท่องเที่ยวฯ ร่วมแถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “พูดคุยเก๋ไก๋ สไตล์รมต.” ระบุการบริหารจัดการด้านการกีฬาต้องยึดหลักธรรมาภิบาลเป็นสำคัญ
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
รัฐบาลโดย ก.ท่องเที่ยวฯ ร่วมแถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “พูดคุยเก๋ไก๋ สไตล์รมต.” ระบุการบริหารจัดการด้านการกีฬาต้องยึดหลักธรรมาภิบาลเป็นสําคัญ
รัฐบาลโดย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมแถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “พูดคุยเก๋ไก๋ สไตล์รมต.” รมว.ก.ท่องเที่ยวฯ ระบุการดําเนินการบริหารจัดการด้านการกีฬาต้องยึดหลักธรรมาภิบาลเป็นสําคัญ
วันนี้ (1 ก.พ. 61) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ร่วมแถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “พูดคุยเก๋ไก๋ สไตล์รมต.” โดยมีมีสื่อมวลชนสาขาต่าง ๆ เข้าร่วมซักถาม
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวถึงการปฏิรูปกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาว่า ที่ผ่านมาได้เห็นถึงความพยายามที่จะให้มีการแยกการท่องเที่ยวกับกีฬาออกจากกัน ซึ่งหากจะแยกออกจากกันจริง ในส่วนของกระทรวงกีฬาคงสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ เพราะมีบุคลากรด้านกีฬาจํานวนมากรองรับ แต่ขณะที่ด้านการท่องเที่ยวนั้น กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ไม่เคยมีข้าราชการด้านการท่องเที่ยวมาก่อนเลย จึงมีคําถามแล้วจะตั้งกระทรวงท่องเที่ยวโดยมีใครเป็นข้าราชการในกระทรวง ซึ่งได้ส่งคําถามดังกล่าวนี้กลับไปให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณาถึงความเป็นไปได้และความเหมาะสม รวมทั้งให้พิจารณาศึกษาถึงการดําเนินการด้านการท่องเที่ยวในหลายประเทศที่ไม่มีกระทรวงการท่องเที่ยวโดยตรงแต่สามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนนําความคิดเห็นของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาด้วย
สําหรับนโยบายการพัฒนาด้านกีฬานั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวว่า เมื่อย้อนกลับไป 9 ปี การกีฬาแห่งประเทศไทย หางบประมาณสนับสนุนยากมากเนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีไทยพรีเมียร์ลีก และไทยไฟท์ สมาคมต้องไปหาผู้สนับสนุนหรือสปอนเซอร์เอง แต่หลังจากวันนั้นตนเองและอดีตผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันก่อตั้งไทยพรีเมียร์ลีกขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งตนเองถือเป็นรัฐมนตรีคนแรกที่เป็นผู้ไปมอบถ้วยไทยพรีเมียร์ลีกใบแรก หลังจากนั้นก็มีไทยไฟท์ และไทยพรีเมียร์ลีกไม่ต้องมาขอเงินสนับสนุนจากรัฐอีก เพราะสามารถหาเงินได้เองมากกว่าที่รัฐสนับสนุน ขณะเดียวกันก็ทําให้เกิดวัฒนธรรมกีฬาและวัฒนธรรมเพลงเชียร์แห่งชาติ ที่ส่งผลให้เกิดพัฒนาการของวงการกีฬาที่คนดูกีฬามีมากกว่าคนเล่นทําให้เกิดเศรษฐกิจกีฬา ซึ่งปัจจุบันได้มีเงินจากกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ในการที่จะสนับสนุนด้านกีฬาแล้ว อย่างไรก็ตามสิ่งสําคัญในการพัฒนากีฬาขณะนี้ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของการมีธรรมาภิบาลที่ใช้ในการบริหารจัดการต่างๆ ทั้งเรื่องการบริหารเงิน บริหารงาน และทิศทางให้ถูกต้อง
พร้อมทั้ง ได้กล่าวถึงพระราชบัญญัติ และกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกีฬาว่า ในอดีตกฎหมายดังกล่าวกําหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย แต่เมื่อมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วทําให้ปัจจุบัน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นรองประธานฯ ซึ่งถือเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รวมถึง พ.ร.บ. การกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งขณะนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติผ่านพระราชบัญญัตินโยบายการกีฬาแห่งชาติแล้ว โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ และสนับสนุนด้านกีฬา ทั้งนี้การที่อํานาจต่าง ๆ ทั้งในเรื่องคน งานและงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับกีฬาไปรวมอยู่ที่นายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นกําลังใจสําหรับคนที่เกี่ยวข้องกับด้านกีฬา โดยสิ่งสําคัญที่จะต้องพัฒนาดําเนินการต่อจากนี้คือ การบริหารจัดการและการดําเนินการบนหลักธรรมาภิบาลเป็นสําคัญ
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย กับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ''ฟีฟ่า' นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า การดําเนินการในเรื่องดังกล่าวไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ โดยตรง แต่กระทรวงพร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยขณะนี้ภาคธุรกิจเอกชนได้ร่วมมือกันเพื่อเจรจาประสานกับฟีฟ่าแล้ว ซึ่งระหว่างนี้ต้องรอผลการเจรจาและลงนามให้ได้ก่อน เพื่อไม่ให้ส่งกระทบต่อราคาและเงื่อนไขในการเจรจาดังกล่าว
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวถึงการส่งเสริมเยาวชนเรื่องความเป็นเลิศทางกีฬาว่า “ช้างเผือกทางการกีฬา”หรือเด็กเยาวชนที่มีความสามารถทางด้านการกีฬามีจํานวนมาก แต่ยังหาไม่พบ เพราะฉะนั้นสมาคมกีฬาจังหวัดและสมาคมกีฬาแต่ละประเภท จึงต้องมีการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนเหล่านั้นได้แสดงตัวออกมา เพื่อจะได้เตรียมความพร้อมและพัฒนาทักษะด้านกีฬาของเด็กและเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 13 – 14 ปี ในระยะยาวอย่างน้อย 4 - 8 ปี แต่ทั้งนี้จะต้องมีการสนับสนุนส่งเสริมการศึกษาด้านวิชาการที่เหมาะสมควบคู่ไปด้วย เพื่อก้าวไปสู่การแข่งขันกีฬาในระดับชาติและโอลิมปิกต่อไป โดยในสัปดาห์หน้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะไปชี้แจงร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งจะเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สําคัญที่จะทําให้เด็กและเยาวชนที่กําลังจะจบการศึกษาระดับมัธยมปลายได้ไปต่อทั้งการเรียนและความสามารถด้านกีฬาในวิถีทางที่ครอบครัวสบายใจและตนเองชื่นชอบ
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10584 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลอนุมัติโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางเพิ่มเติม | วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
รัฐบาลอนุมัติโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางเพิ่มเติม
ให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ที่มีกําลังซื้อไม่มาก สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพดี สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐาน
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลอนุมัติโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางเพิ่มเติมเพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อบ้านเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองได้ ประกอบด้วย โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนต.ห้วยกะปิ อ.เมือง จ.ชลบุรีเป็นอาคารสูง 4 ชั้น 1,104 ยูนิตออกแบบตามหลักอารยสถาปัตย์เพื่อให้ผู้พิการและผู้สูงอายุสามารถเข้าใช้งานพื้นที่ได้สะดวก และโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ จ.สงขลา491 ยูนิต และปัตตานี 115 ยูนิต ซึ่งมีทั้งบ้านเดียวและบ้านแฝด โดยคุณสมบัติของประชาชนที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ต้องมีรายได้ตั้งแต่ 14,000 – 33,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ คาดว่าทั้ง 2 โครงการจะดําเนินการแล้วเสร็จในปี 2562 ซึ่งจะทําให้ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางมีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลอนุมัติโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางเพิ่มเติม
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
รัฐบาลอนุมัติโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางเพิ่มเติม
ให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ที่มีกําลังซื้อไม่มาก สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพดี สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐาน
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลอนุมัติโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางเพิ่มเติมเพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อบ้านเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองได้ ประกอบด้วย โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนต.ห้วยกะปิ อ.เมือง จ.ชลบุรีเป็นอาคารสูง 4 ชั้น 1,104 ยูนิตออกแบบตามหลักอารยสถาปัตย์เพื่อให้ผู้พิการและผู้สูงอายุสามารถเข้าใช้งานพื้นที่ได้สะดวก และโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ จ.สงขลา491 ยูนิต และปัตตานี 115 ยูนิต ซึ่งมีทั้งบ้านเดียวและบ้านแฝด โดยคุณสมบัติของประชาชนที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ต้องมีรายได้ตั้งแต่ 14,000 – 33,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ คาดว่าทั้ง 2 โครงการจะดําเนินการแล้วเสร็จในปี 2562 ซึ่งจะทําให้ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางมีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9195 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “Thailand 2019 Empowering ASEAN 4.0” | วันอังคารที่ 22 มกราคม 2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “Thailand 2019 Empowering ASEAN 4.0”
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมงานสัมมนา “Thailand 2019 Empowering ASEAN 4.0” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Digital Infrastructure in ASEAN” เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2562 ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ จัดโดยสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN BAC) ซึ่งในปี 2019 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพอาเซียน ภายใต้แนวคิด "Enhancing Partnership with Sustainability" ซึ่งงานนี้ถือเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสมาชิกอาเซียนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้เมื่อธันวาคมปีที่ผ่านมา รัฐมนตรีอาเซียนให้ความเห็นชอบแผนงานที่ไทยเสนอเรื่อง ASEAN Digital Agility 2019 ประกอบด้วย Cyber Security, Smart City, Digital Economy, Connectivity & Mobility and Manpower เป็นต้น จะเห็นได้ว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้าน Digital Infrastructure เป็นรากฐานที่สําคัญสําหรับการผลักดันแผนงาน ASEAN Digital Agility 2019 ให้เกิดผลสําเร็จเป็นรูปธรรม และในปี 2019 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพอาเซียนนี้ นับเป็นโอกาสอันดีในการแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านดิจิทัลของประเทศไทย โดยเฉพาะ "Thailand Broadband Connectivity" ซึ่งหมู่บ้านทั่วไทย 75,000 หมู่บ้าน โรงเรียน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) จะสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึงในปีนี้
************************ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “Thailand 2019 Empowering ASEAN 4.0”
วันอังคารที่ 22 มกราคม 2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “Thailand 2019 Empowering ASEAN 4.0”
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมงานสัมมนา “Thailand 2019 Empowering ASEAN 4.0” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Digital Infrastructure in ASEAN” เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2562 ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ จัดโดยสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN BAC) ซึ่งในปี 2019 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพอาเซียน ภายใต้แนวคิด "Enhancing Partnership with Sustainability" ซึ่งงานนี้ถือเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสมาชิกอาเซียนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้เมื่อธันวาคมปีที่ผ่านมา รัฐมนตรีอาเซียนให้ความเห็นชอบแผนงานที่ไทยเสนอเรื่อง ASEAN Digital Agility 2019 ประกอบด้วย Cyber Security, Smart City, Digital Economy, Connectivity & Mobility and Manpower เป็นต้น จะเห็นได้ว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้าน Digital Infrastructure เป็นรากฐานที่สําคัญสําหรับการผลักดันแผนงาน ASEAN Digital Agility 2019 ให้เกิดผลสําเร็จเป็นรูปธรรม และในปี 2019 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพอาเซียนนี้ นับเป็นโอกาสอันดีในการแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านดิจิทัลของประเทศไทย โดยเฉพาะ "Thailand Broadband Connectivity" ซึ่งหมู่บ้านทั่วไทย 75,000 หมู่บ้าน โรงเรียน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) จะสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึงในปีนี้
************************ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18272 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.พิพัฒน์ เปิดวิ่งรันระยอง ตัวอย่างงานวิ่งวิถีใหม่ นักวิ่งเข้าร่วมกันอย่างคึกคัก | วันอังคารที่ 11 สิงหาคม 2563
รมต.พิพัฒน์ เปิดวิ่งรันระยอง ตัวอย่างงานวิ่งวิถีใหม่ นักวิ่งเข้าร่วมกันอย่างคึกคัก
" รัน ระยอง " มีระยะทาง 3 และ 10 กม. ซึ่งถือว่าเป็นการวิ่งรายการแรกอย่างเป็นทางการภายใต้รูปแบบนิวนอร์มอล หลังจากที่ประเทศไทยเจอวิกฤติโควิด-19
วันที่9สิงหาคม2563 (ช่วงเช้า) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดวิ่งรายการ "รันระยอง" ร่วมด้วย นายเขมพล อุ้ยตยะกุลเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย และนายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ณ สวนศรีเมือง จังหวัดระยอง
การจัดการแข่งขันวิ่งถนน"รัน ระยอง"มีระยะทาง3และ10กม. ซึ่งถือว่าเป็นการวิ่งรายการแรกอย่างเป็นทางการภายใต้รูปแบบนิวนอร์มอล หลังจากที่ประเทศไทยเจอวิกฤติโควิด-19โดย มีผู้เข้าร่วมวิ่งประมาณ2,000คนบรรยากาศการวิ่งเป็นไปอย่างคึกคัก ท่ามกลางการวิ่งแบบวิถีใหม่ ตามที่ได้มีการทดลองการวิ่งที่ จ.ราชบุรี มาก่อนหน้านี้ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.พิพัฒน์ เปิดวิ่งรันระยอง ตัวอย่างงานวิ่งวิถีใหม่ นักวิ่งเข้าร่วมกันอย่างคึกคัก
วันอังคารที่ 11 สิงหาคม 2563
รมต.พิพัฒน์ เปิดวิ่งรันระยอง ตัวอย่างงานวิ่งวิถีใหม่ นักวิ่งเข้าร่วมกันอย่างคึกคัก
" รัน ระยอง " มีระยะทาง 3 และ 10 กม. ซึ่งถือว่าเป็นการวิ่งรายการแรกอย่างเป็นทางการภายใต้รูปแบบนิวนอร์มอล หลังจากที่ประเทศไทยเจอวิกฤติโควิด-19
วันที่9สิงหาคม2563 (ช่วงเช้า) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดวิ่งรายการ "รันระยอง" ร่วมด้วย นายเขมพล อุ้ยตยะกุลเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย และนายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ณ สวนศรีเมือง จังหวัดระยอง
การจัดการแข่งขันวิ่งถนน"รัน ระยอง"มีระยะทาง3และ10กม. ซึ่งถือว่าเป็นการวิ่งรายการแรกอย่างเป็นทางการภายใต้รูปแบบนิวนอร์มอล หลังจากที่ประเทศไทยเจอวิกฤติโควิด-19โดย มีผู้เข้าร่วมวิ่งประมาณ2,000คนบรรยากาศการวิ่งเป็นไปอย่างคึกคัก ท่ามกลางการวิ่งแบบวิถีใหม่ ตามที่ได้มีการทดลองการวิ่งที่ จ.ราชบุรี มาก่อนหน้านี้ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34125 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสรุปผลผู้มาแสดงความคิดเห็นประเด็นคำถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี 10 วันแรก มีประชาชนร่วมตอบคำถามแล้วกว่า 2.2 แสนคน | วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560
มหาดไทยสรุปผลผู้มาแสดงความคิดเห็นประเด็นคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี 10 วันแรก มีประชาชนร่วมตอบคําถามแล้วกว่า 2.2 แสนคน
มหาดไทยสรุปผลผู้มาแสดงความคิดเห็นประเด็นคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี 10 วันแรก มีประชาชนร่วมตอบคําถามแล้วกว่า 2.2 แสนคน
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 60 ที่กระทรวงมหาดไทยนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด และศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ รวมทั้งขอความร่วมมือกรุงเทพมหานครและสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดสถานที่รับฟังความคิดเห็นต่อคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2560 เป็นต้นมา และได้ดําเนินการเพิ่มช่องทางให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นเพิ่มทั้งที่ห้างสรรพสินค้าหรือจุดบริการเคลื่อนที่ต่าง ๆ ทําให้ประชาชนมีความสะดวกในการร่วมแสดงความเห็นและตอบคําถามได้มากขึ้นนั้น
สําหรับภาพรวมหลังเปิดให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นและตอบคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรีผ่านช่องทางต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยยอดสะสมผู้เดินทางมาแสดงความคิดเห็นและตอบคําถาม ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2560 (ครบ 10 วันแรก)มีจํานวนรวมทั้งสิ้น 220,804 คนจังหวัดที่มีผู้แสดงความคิดเห็นมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ จังหวัดอุบลราชธานี 27,843 คน ขอนแก่น 20,658 คน และสกลนคร 16,658 คน
ในด้านการรวบรวมความคิดเห็นของประชาชน ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ซึ่งทางศูนย์ดํารงธรรมอําเภอจะดําเนินการรวบรวมความคิดเห็นและคําตอบจัดส่งไปที่จังหวัดเพื่อให้คณะทํางานกลั่นกรองสรุปผลการตอบคําถามและการแสดงความคิดเห็นระดับจังหวัดทําการประมวลผลโดยแบ่งเป็นส่วนที่แสดงความคิดเห็นเพื่อแยกเป็นประเด็นย่อยได้ และส่วนที่ให้เลือกคําตอบใช่หรือไม่ แล้วจึงจัดส่งมาที่กระทรวงมหาดไทยประมวลและสรุปภาพรวมกระทรวง เพื่อจัดส่งข้อมูลไปยังสํานักนายกรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน
ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการกําหนดวันปิดรับฟังความคิดเห็นและคําตอบต่อ 4 ข้อคําถามของนายกรัฐมนตรีจากประชาชน กระทรวงมหาดไทยจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นและตอบคําถามของนายกรัฐมนตรีได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ณ ศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ ศูนย์บริการประชาชน สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (1111) ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กรุงเทพมหานคร ศูนย์บริการประชาชนสํานักงานเขตทุกเขต ศูนย์บริการร่วมจังหวัด (One Stop Service) และจุดบริการด่วนมหานคร (Bangkok Express Service) | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสรุปผลผู้มาแสดงความคิดเห็นประเด็นคำถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี 10 วันแรก มีประชาชนร่วมตอบคำถามแล้วกว่า 2.2 แสนคน
วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560
มหาดไทยสรุปผลผู้มาแสดงความคิดเห็นประเด็นคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี 10 วันแรก มีประชาชนร่วมตอบคําถามแล้วกว่า 2.2 แสนคน
มหาดไทยสรุปผลผู้มาแสดงความคิดเห็นประเด็นคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี 10 วันแรก มีประชาชนร่วมตอบคําถามแล้วกว่า 2.2 แสนคน
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 60 ที่กระทรวงมหาดไทยนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด และศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ รวมทั้งขอความร่วมมือกรุงเทพมหานครและสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดสถานที่รับฟังความคิดเห็นต่อคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2560 เป็นต้นมา และได้ดําเนินการเพิ่มช่องทางให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นเพิ่มทั้งที่ห้างสรรพสินค้าหรือจุดบริการเคลื่อนที่ต่าง ๆ ทําให้ประชาชนมีความสะดวกในการร่วมแสดงความเห็นและตอบคําถามได้มากขึ้นนั้น
สําหรับภาพรวมหลังเปิดให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นและตอบคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรีผ่านช่องทางต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยยอดสะสมผู้เดินทางมาแสดงความคิดเห็นและตอบคําถาม ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2560 (ครบ 10 วันแรก)มีจํานวนรวมทั้งสิ้น 220,804 คนจังหวัดที่มีผู้แสดงความคิดเห็นมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ จังหวัดอุบลราชธานี 27,843 คน ขอนแก่น 20,658 คน และสกลนคร 16,658 คน
ในด้านการรวบรวมความคิดเห็นของประชาชน ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ซึ่งทางศูนย์ดํารงธรรมอําเภอจะดําเนินการรวบรวมความคิดเห็นและคําตอบจัดส่งไปที่จังหวัดเพื่อให้คณะทํางานกลั่นกรองสรุปผลการตอบคําถามและการแสดงความคิดเห็นระดับจังหวัดทําการประมวลผลโดยแบ่งเป็นส่วนที่แสดงความคิดเห็นเพื่อแยกเป็นประเด็นย่อยได้ และส่วนที่ให้เลือกคําตอบใช่หรือไม่ แล้วจึงจัดส่งมาที่กระทรวงมหาดไทยประมวลและสรุปภาพรวมกระทรวง เพื่อจัดส่งข้อมูลไปยังสํานักนายกรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน
ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการกําหนดวันปิดรับฟังความคิดเห็นและคําตอบต่อ 4 ข้อคําถามของนายกรัฐมนตรีจากประชาชน กระทรวงมหาดไทยจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นและตอบคําถามของนายกรัฐมนตรีได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ณ ศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ ศูนย์บริการประชาชน สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (1111) ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กรุงเทพมหานคร ศูนย์บริการประชาชนสํานักงานเขตทุกเขต ศูนย์บริการร่วมจังหวัด (One Stop Service) และจุดบริการด่วนมหานคร (Bangkok Express Service) | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4768 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมคณะกับนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมคณะกับนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
span.s2 {font: 16.0px Times; font-kerning: none}
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมคณะกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 27 - 29 พฤศจิกายน 2561 โดยมีวัตถุประสงค์สําคัญเพื่อเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ไทยและเยอรมนี ภายหลังจากที่สหภาพยุโรปปรับข้อมติต่อไทยและเป็นการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนที่ยั่งยืน ซึ่งการเดินทางมาครั้งนี้เป็นไปตามคําเชิญของนางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี นอกจากนี้ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ประชุมหารือกับประเทศไทยในหลากหลายประเด็น รวมทั้งการที่ประเทศไทยจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 ซึ่งมีโอกาสสานสัมพันธ์กับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสหภาพยุโรป ความมั่นคงในภูมิภาค ความปลอดภัยต่างๆ ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ถ่ายทอดผลการดําเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ทั้งกรอบด้านเศรษฐกิจและสังคมในประเทศและการดําเนินการกับนานาประเทศ ทั้งยังได้ร่วมหารือกับนักธุรกิจชาวไทยที่มาดําเนินธุรกิจในเยอรมนีอย่างเข้มแข็ง โดยใช้จุดแข็งที่มีความเชื่อมโยงกับประเทศไทยนําเข้าสินค้าต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นทั้งตลาดของเยอรมนีและสหภาพยุโรป โดยนายกรัฐมนตรีได้รับฟัง พร้อมให้กําลังใจผู้ประกอบการ และพบปะ พูดคุยกับพี่น้องชาวไทยในกรุงเบอร์ลินอย่างเป็นกันเอง พร้อมทั้งได้รับชมการแสดงศิลปะไทยของชาวไทยในเยอรมนีอีกด้วย
******************** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมคณะกับนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมคณะกับนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
span.s2 {font: 16.0px Times; font-kerning: none}
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมคณะกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 27 - 29 พฤศจิกายน 2561 โดยมีวัตถุประสงค์สําคัญเพื่อเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ไทยและเยอรมนี ภายหลังจากที่สหภาพยุโรปปรับข้อมติต่อไทยและเป็นการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนที่ยั่งยืน ซึ่งการเดินทางมาครั้งนี้เป็นไปตามคําเชิญของนางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี นอกจากนี้ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ประชุมหารือกับประเทศไทยในหลากหลายประเด็น รวมทั้งการที่ประเทศไทยจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 ซึ่งมีโอกาสสานสัมพันธ์กับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสหภาพยุโรป ความมั่นคงในภูมิภาค ความปลอดภัยต่างๆ ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ถ่ายทอดผลการดําเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ทั้งกรอบด้านเศรษฐกิจและสังคมในประเทศและการดําเนินการกับนานาประเทศ ทั้งยังได้ร่วมหารือกับนักธุรกิจชาวไทยที่มาดําเนินธุรกิจในเยอรมนีอย่างเข้มแข็ง โดยใช้จุดแข็งที่มีความเชื่อมโยงกับประเทศไทยนําเข้าสินค้าต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นทั้งตลาดของเยอรมนีและสหภาพยุโรป โดยนายกรัฐมนตรีได้รับฟัง พร้อมให้กําลังใจผู้ประกอบการ และพบปะ พูดคุยกับพี่น้องชาวไทยในกรุงเบอร์ลินอย่างเป็นกันเอง พร้อมทั้งได้รับชมการแสดงศิลปะไทยของชาวไทยในเยอรมนีอีกด้วย
******************** | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17202 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เชิญชวนประชาชนร่วมทำหน้ากากผ้าไว้ใช้เองฟรี 18 - 24 มี.ค.นี้ ที่สยามพารากอน | วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563
รมว.พม. เชิญชวนประชาชนร่วมทําหน้ากากผ้าไว้ใช้เองฟรี 18 - 24 มี.ค.นี้ ที่สยามพารากอน
รมว.พม. เชิญชวนประชาชนร่วมทําหน้ากากผ้าไว้ใช้เองฟรี 18 - 24 มี.ค.นี้ ที่สยามพารากอน
วันที่ 18 มี.ค. 63 เวลา 15.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดกิจกรรม "ไทยช่วยไทย รณรงค์ใช้หน้ากากผ้า" โดยมี นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานกระทรวง พม. และประชาชนจิตอาสา เข้าร่วมงาน ณ แฟชั่นแกลลอรี่ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับสยามพารากอนและไอคอนสยาม จัดกิจกรรม ไทยช่วยไทย รณรงค์ใช้หน้ากากผ้า เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทําหน้ากากผ้า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการบ้านโมกุลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จังหวัดลพบุรี สังกัดกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวง พม. ร่วมฝึกสอนทํากากผ้าด้วยตนเอง พร้อมวัสดุอุปกรณ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เมื่อทําหน้ากากผ้าเสร็จแล้ว สามารถนํากลับบ้านไปใช้และส่งมอบให้กับผู้ที่ต้องการต่อไป เพื่อลดภาวะขาดแคลนหน้ากากอนามัย
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม ไทยช่วยไทย รณรงค์ใช้หน้ากากผ้า ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 24 มีนาคม 2563 ณ แฟชั่นแกลลอรี่ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน และตั้งแต่วันที่ 25 - 31 มีนาคม 2563 ณ บริเวณหน้าร้านนารายา ชั้น G ไอคอนสยาม ซึ่งกิจกรรมการเย็บผ้าแบ่งออกเป็น 5 รอบๆ ละ 40 คน ได้แก่ รอบที่ 1 เวลา 10.30 - 12.30 น. รอบที่ 2 เวลา 13.00-15.00 น. รอบที่ 3 เวลา 15.00-17.00 น. รอบที่4 เวลา 17.00-19.00 น. และรอบสุดท้าย เวลา 19.00-21.00 น. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เชิญชวนประชาชนร่วมทำหน้ากากผ้าไว้ใช้เองฟรี 18 - 24 มี.ค.นี้ ที่สยามพารากอน
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563
รมว.พม. เชิญชวนประชาชนร่วมทําหน้ากากผ้าไว้ใช้เองฟรี 18 - 24 มี.ค.นี้ ที่สยามพารากอน
รมว.พม. เชิญชวนประชาชนร่วมทําหน้ากากผ้าไว้ใช้เองฟรี 18 - 24 มี.ค.นี้ ที่สยามพารากอน
วันที่ 18 มี.ค. 63 เวลา 15.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดกิจกรรม "ไทยช่วยไทย รณรงค์ใช้หน้ากากผ้า" โดยมี นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานกระทรวง พม. และประชาชนจิตอาสา เข้าร่วมงาน ณ แฟชั่นแกลลอรี่ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับสยามพารากอนและไอคอนสยาม จัดกิจกรรม ไทยช่วยไทย รณรงค์ใช้หน้ากากผ้า เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทําหน้ากากผ้า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการบ้านโมกุลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จังหวัดลพบุรี สังกัดกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวง พม. ร่วมฝึกสอนทํากากผ้าด้วยตนเอง พร้อมวัสดุอุปกรณ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เมื่อทําหน้ากากผ้าเสร็จแล้ว สามารถนํากลับบ้านไปใช้และส่งมอบให้กับผู้ที่ต้องการต่อไป เพื่อลดภาวะขาดแคลนหน้ากากอนามัย
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม ไทยช่วยไทย รณรงค์ใช้หน้ากากผ้า ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 24 มีนาคม 2563 ณ แฟชั่นแกลลอรี่ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน และตั้งแต่วันที่ 25 - 31 มีนาคม 2563 ณ บริเวณหน้าร้านนารายา ชั้น G ไอคอนสยาม ซึ่งกิจกรรมการเย็บผ้าแบ่งออกเป็น 5 รอบๆ ละ 40 คน ได้แก่ รอบที่ 1 เวลา 10.30 - 12.30 น. รอบที่ 2 เวลา 13.00-15.00 น. รอบที่ 3 เวลา 15.00-17.00 น. รอบที่4 เวลา 17.00-19.00 น. และรอบสุดท้าย เวลา 19.00-21.00 น. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27504 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ญี่ปุ่นจับมือเดินหน้าหุ้นส่วนการพัฒนาเศรษฐกิจ | วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2560
ไทย-ญี่ปุ่นจับมือเดินหน้าหุ้นส่วนการพัฒนาเศรษฐกิจ
ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม High Level Joint Commission (ระดับรองนายกรัฐมนตรี) ครั้งที่ 3 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการเศรษฐกิจต่างๆ ประกอบด้วย
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมหารือกับนายโยะชิฮิเดะ สึกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น พร้อมด้วยรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหรรม (เมติ) รัฐมนตรีกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยว และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายฮิโระโตะ อิสุมิ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีอาเบะ เป็นต้น เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2560 ณ กรุงโตเกียว
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การหารือภายใต้ HLJC เต็มไปด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตร โดยสองฝ่ายได้หารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันหลายเรื่อง โดยในส่วน ที่เกี่ยวกับกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่
ภาพรวม สองฝ่ายเห็นว่า กลไกการหารือระดับสูง HLJC ส่งผลให้เกิดการดําเนินการที่เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบราง และการพัฒนาบุคลากรของไทยและ CLMV เป็นต้น ญี่ปุ่นได้ติดตามนโยบายรัฐบาลไทยอย่างใกล้ชิดและยินดีให้การสนับสนุนไทยในยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 และการพัฒนาประเทศสู่ Knowledge based economy ญี่ปุ่นให้ความสําคัญกับไทยอย่างมาก เนื่องจากที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขงและความหลากหลายของอุตสาหกรรมพื้นฐานในประเทศไทย ส่งผลให้มีบริษัทญี่ปุ่นกว่า 4,500 บริษัท ประกอบธุรกิจอยู่ในไทย และมีคนญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในไทยมากกว่า 70,000 คน
การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของไทย (EEC) จะนําไปสู่การขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน และการขนส่ง ด้วยเงินลงทุนจํานวนมหาศาล ญี่ปุ่นให้ความสนใจและจะสนับสนุนไทยในการพัฒนา EEC ญี่ปุ่นจะสนับสนุนให้นักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนใน EEC และยกระดับภาคการผลิตอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ของไทยใน EEC ซึ่งสอดคล้องกับความสนใจของภาคเอกชนญี่ปุ่น ได้แก่ ยานยนต์แห่งอนาคต อากาศยาน เครื่องมือแพทย์ หุ่นยนต์ อุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี เป็นต้น โดยญี่ปุ่นจะใช้โมเดลการเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรม (Connected Industry Model) โดยจะเริ่มจากการเชื่อมโยงฐานข้อมูลรายอุตสาหกรรม (ทักษะ มาตรฐาน และข้อมูลพื้นฐานต่างๆ) และการพัฒนาบุคลากรผ่านระบบดิจิทัล เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของไทย ยกระดับภาคการผลิตและห่วงโซ่อุปทานของไทยให้สามารถรวมเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าระดับโลก ในการนี้ BOI ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จะทํางานร่วมกับเจโทรอย่างใกล้ชิดเพื่อจัดงานสัมมนาใหญ่ประชาสัมพันธ์โอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ศกนี้
ความร่วมมือด้านระบบราง ไทยและญี่ปุ่นยืนยันตกลงที่จะเดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ด้วยระบบรถไฟชิงคันเซน นอกจากนี้ ญี่ปุ่นจะให้การสนับสนุนการพัฒนาระบบรางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ตลอดเส้นทาง ซึ่งจะเชื่อมเวียดนาม-ลาว-ไทย-เมียนมา-อินเดีย เชื่อมโยงการค้า การลงทุน เส้นทางการคมนาคมขนส่งในภูมิภาคอาเซียนเข้ากับภูมิภาคเอเชียใต้/ BIMESTEC นอกจากนี้ ญี่ปุ่นได้แสดงความสนใจในเส้นทางกรุงเทพฯ- ระยอง ซึ่งจะเชื่อมโยงสนามบินพาณิชย์ 3 แห่งและเชื่อมโยงต่อไปยัง EEC อีกทางหนึ่ง
CLMVT Master Plan ไทยในฐานะประธาน ACMEC (มิถุนายน 60 - มิถุนายน 61) อยู่ระหว่างการจัดทําแผนแม่บท ACMECS Master Plan เพื่อกําหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของ CLMVT ในระยะกลาง-ยาว ให้มีการเติบโตไปด้วยกัน ยกระดับห่วงโซ่อุปทานและพัฒนาเป็นตลาดเดียวกัน โดยเน้นใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ ความเชื่อมโยง (กายภาพและดิจิทัล) การตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยญี่ปุ่นให้ความสําคัญกับ CLMVT และยินดีเข้ามาร่วมทําแผนฯ ดังกล่าวตั้งแต่เริ่มต้น รวมถึงการจัดทํายุทธศาสตร์การพัฒนา (Joint Development Strategy) ร่วมกับประเทศลุ่มน้ําโขงแบบทวิภาคี ซึ่งไทยกําลังเริ่มทํากับลาว และจะทํากับประเทศสมาชิก ACMECS ทุกประเทศ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเห็นว่า ควรใช้จุดแข็งของแต่ละประเทศมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในแต่ละประเทศ สําหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ไทยและญี่ปุ่นต่างสนใจที่จะร่วมกันการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ CLMVT ในสาขา เช่น Smart Devices (Internet of Things, electronics, mechatronics) / Smart Famers (Agro Business and Food Industry) / Smart SMEs (เช่น สินค้าพื้นบ้าน/ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และ e-Commerce) ในการนี้ ญี่ปุ่นพร้อมสนับสนุนไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาบุคลากรในอนุภูมิภาคลุ่มแม้น้ําโขง โดยไทยจะเร่งจัดประชุมหารือในระดับผู้นําขับเคลื่อน Master Plan ต่อไป ในการนี้ กระทรวงพาณิชย์จะทํางานร่วมกับกับกระทรวงการต่างประเทศในการยกร่าง CLMVT Master Plan
การทบทวนความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือเจเทปปา ญี่ปุ่นและไทยได้ตกลงที่จะเดินหน้าทบทวนความตกลงเจเทปปา พร้อมหารือประเด็นคงค้างต่างๆ (สินค้า บริการ การลงทุน กฎถิ่นกําเนิดสินค้า และความร่วมมือด้านต่างๆ เป็นต้น) เพื่อปรับปรุงความตกลงให้ทันสมัยและสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ทํางานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเจรจากับญี่ปุ่นต่อไป
ปีแห่งการครบรอบ 130 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - ญี่ปุ่น (ปี 2560) รัฐบาลญี่ปุ่นยินดีจะสนับสนุนให้คณะนักธุรกิจญี่ปุ่น (ทั้ง Keidanren และ SMEs) เยือนไทยในช่วงครึ่งปีหลังของ 2560 เพื่อร่วมและศึกษาดูงานการพัฒนา EEC รวมทั้งหารือและมีกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจกับภาคเอกชนของไทย ในการนี้ ฝ่ายไทยได้เชิญนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเดินทางไปเยือนไทยอย่างเป็นทางการในช่วงเดียวกันด้วย
ในปี 2559 ญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนอันดับ 1 และคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย (รองจากจีน) โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2555-2559) มีมูลค่าการค้าเฉลี่ยปีละ 70,510.61 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และในปี 2559 การค้ารวมระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมีมูลค่า 51,241 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราการเติบโตลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 0.11 สําหรับสินค้าส่งออกสําคัญของไทยไปญี่ปุ่น ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์พลาสติก เม็ดพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น ส่วนสินค้านําเข้าสําคัญของไทยจากญี่ปุ่น ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ และเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เป็นต้น | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ญี่ปุ่นจับมือเดินหน้าหุ้นส่วนการพัฒนาเศรษฐกิจ
วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2560
ไทย-ญี่ปุ่นจับมือเดินหน้าหุ้นส่วนการพัฒนาเศรษฐกิจ
ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม High Level Joint Commission (ระดับรองนายกรัฐมนตรี) ครั้งที่ 3 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการเศรษฐกิจต่างๆ ประกอบด้วย
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมหารือกับนายโยะชิฮิเดะ สึกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น พร้อมด้วยรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหรรม (เมติ) รัฐมนตรีกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยว และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายฮิโระโตะ อิสุมิ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีอาเบะ เป็นต้น เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2560 ณ กรุงโตเกียว
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การหารือภายใต้ HLJC เต็มไปด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตร โดยสองฝ่ายได้หารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันหลายเรื่อง โดยในส่วน ที่เกี่ยวกับกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่
ภาพรวม สองฝ่ายเห็นว่า กลไกการหารือระดับสูง HLJC ส่งผลให้เกิดการดําเนินการที่เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบราง และการพัฒนาบุคลากรของไทยและ CLMV เป็นต้น ญี่ปุ่นได้ติดตามนโยบายรัฐบาลไทยอย่างใกล้ชิดและยินดีให้การสนับสนุนไทยในยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 และการพัฒนาประเทศสู่ Knowledge based economy ญี่ปุ่นให้ความสําคัญกับไทยอย่างมาก เนื่องจากที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขงและความหลากหลายของอุตสาหกรรมพื้นฐานในประเทศไทย ส่งผลให้มีบริษัทญี่ปุ่นกว่า 4,500 บริษัท ประกอบธุรกิจอยู่ในไทย และมีคนญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในไทยมากกว่า 70,000 คน
การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของไทย (EEC) จะนําไปสู่การขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน และการขนส่ง ด้วยเงินลงทุนจํานวนมหาศาล ญี่ปุ่นให้ความสนใจและจะสนับสนุนไทยในการพัฒนา EEC ญี่ปุ่นจะสนับสนุนให้นักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนใน EEC และยกระดับภาคการผลิตอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ของไทยใน EEC ซึ่งสอดคล้องกับความสนใจของภาคเอกชนญี่ปุ่น ได้แก่ ยานยนต์แห่งอนาคต อากาศยาน เครื่องมือแพทย์ หุ่นยนต์ อุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี เป็นต้น โดยญี่ปุ่นจะใช้โมเดลการเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรม (Connected Industry Model) โดยจะเริ่มจากการเชื่อมโยงฐานข้อมูลรายอุตสาหกรรม (ทักษะ มาตรฐาน และข้อมูลพื้นฐานต่างๆ) และการพัฒนาบุคลากรผ่านระบบดิจิทัล เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของไทย ยกระดับภาคการผลิตและห่วงโซ่อุปทานของไทยให้สามารถรวมเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าระดับโลก ในการนี้ BOI ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จะทํางานร่วมกับเจโทรอย่างใกล้ชิดเพื่อจัดงานสัมมนาใหญ่ประชาสัมพันธ์โอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ศกนี้
ความร่วมมือด้านระบบราง ไทยและญี่ปุ่นยืนยันตกลงที่จะเดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ด้วยระบบรถไฟชิงคันเซน นอกจากนี้ ญี่ปุ่นจะให้การสนับสนุนการพัฒนาระบบรางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ตลอดเส้นทาง ซึ่งจะเชื่อมเวียดนาม-ลาว-ไทย-เมียนมา-อินเดีย เชื่อมโยงการค้า การลงทุน เส้นทางการคมนาคมขนส่งในภูมิภาคอาเซียนเข้ากับภูมิภาคเอเชียใต้/ BIMESTEC นอกจากนี้ ญี่ปุ่นได้แสดงความสนใจในเส้นทางกรุงเทพฯ- ระยอง ซึ่งจะเชื่อมโยงสนามบินพาณิชย์ 3 แห่งและเชื่อมโยงต่อไปยัง EEC อีกทางหนึ่ง
CLMVT Master Plan ไทยในฐานะประธาน ACMEC (มิถุนายน 60 - มิถุนายน 61) อยู่ระหว่างการจัดทําแผนแม่บท ACMECS Master Plan เพื่อกําหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของ CLMVT ในระยะกลาง-ยาว ให้มีการเติบโตไปด้วยกัน ยกระดับห่วงโซ่อุปทานและพัฒนาเป็นตลาดเดียวกัน โดยเน้นใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ ความเชื่อมโยง (กายภาพและดิจิทัล) การตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยญี่ปุ่นให้ความสําคัญกับ CLMVT และยินดีเข้ามาร่วมทําแผนฯ ดังกล่าวตั้งแต่เริ่มต้น รวมถึงการจัดทํายุทธศาสตร์การพัฒนา (Joint Development Strategy) ร่วมกับประเทศลุ่มน้ําโขงแบบทวิภาคี ซึ่งไทยกําลังเริ่มทํากับลาว และจะทํากับประเทศสมาชิก ACMECS ทุกประเทศ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเห็นว่า ควรใช้จุดแข็งของแต่ละประเทศมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในแต่ละประเทศ สําหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ไทยและญี่ปุ่นต่างสนใจที่จะร่วมกันการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ CLMVT ในสาขา เช่น Smart Devices (Internet of Things, electronics, mechatronics) / Smart Famers (Agro Business and Food Industry) / Smart SMEs (เช่น สินค้าพื้นบ้าน/ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และ e-Commerce) ในการนี้ ญี่ปุ่นพร้อมสนับสนุนไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาบุคลากรในอนุภูมิภาคลุ่มแม้น้ําโขง โดยไทยจะเร่งจัดประชุมหารือในระดับผู้นําขับเคลื่อน Master Plan ต่อไป ในการนี้ กระทรวงพาณิชย์จะทํางานร่วมกับกับกระทรวงการต่างประเทศในการยกร่าง CLMVT Master Plan
การทบทวนความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือเจเทปปา ญี่ปุ่นและไทยได้ตกลงที่จะเดินหน้าทบทวนความตกลงเจเทปปา พร้อมหารือประเด็นคงค้างต่างๆ (สินค้า บริการ การลงทุน กฎถิ่นกําเนิดสินค้า และความร่วมมือด้านต่างๆ เป็นต้น) เพื่อปรับปรุงความตกลงให้ทันสมัยและสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ทํางานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเจรจากับญี่ปุ่นต่อไป
ปีแห่งการครบรอบ 130 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - ญี่ปุ่น (ปี 2560) รัฐบาลญี่ปุ่นยินดีจะสนับสนุนให้คณะนักธุรกิจญี่ปุ่น (ทั้ง Keidanren และ SMEs) เยือนไทยในช่วงครึ่งปีหลังของ 2560 เพื่อร่วมและศึกษาดูงานการพัฒนา EEC รวมทั้งหารือและมีกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจกับภาคเอกชนของไทย ในการนี้ ฝ่ายไทยได้เชิญนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเดินทางไปเยือนไทยอย่างเป็นทางการในช่วงเดียวกันด้วย
ในปี 2559 ญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนอันดับ 1 และคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย (รองจากจีน) โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2555-2559) มีมูลค่าการค้าเฉลี่ยปีละ 70,510.61 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และในปี 2559 การค้ารวมระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมีมูลค่า 51,241 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราการเติบโตลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 0.11 สําหรับสินค้าส่งออกสําคัญของไทยไปญี่ปุ่น ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์พลาสติก เม็ดพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น ส่วนสินค้านําเข้าสําคัญของไทยจากญี่ปุ่น ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ และเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เป็นต้น | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4468 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.จัดการประชุมคณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน ครั้งที่ 1/2560 | วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560
ทส.จัดการประชุมคณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน ครั้งที่ 1/2560
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมคณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน ครั้งที่ 1/2560
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม คณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน ครั้งที่ 1/2560 โดยมีนายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายชลธิศ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ นางสาวสุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ พร้อมด้วยผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะอนุกรรมการฯเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 202 ชั้น 2 อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การประชุมคณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน ครั้งที่ 1/2560 จะพิจารณาเรื่องต่างๆดังนี้
1) เพื่อกําหนดพื้นที่เป้าหมายดําเนินการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ปีงบประมาณ 2560 (เพิ่มเติม)
2) พิจารณาแผนการจัดหาที่ดินของคณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน เพื่อดําเนินการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล
3) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ขอแก้ไขพื้นที่เป้าหมายที่จะดําเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ.2560 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.จัดการประชุมคณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน ครั้งที่ 1/2560
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560
ทส.จัดการประชุมคณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน ครั้งที่ 1/2560
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมคณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน ครั้งที่ 1/2560
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม คณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน ครั้งที่ 1/2560 โดยมีนายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายชลธิศ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ นางสาวสุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ พร้อมด้วยผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะอนุกรรมการฯเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 202 ชั้น 2 อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การประชุมคณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน ครั้งที่ 1/2560 จะพิจารณาเรื่องต่างๆดังนี้
1) เพื่อกําหนดพื้นที่เป้าหมายดําเนินการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ปีงบประมาณ 2560 (เพิ่มเติม)
2) พิจารณาแผนการจัดหาที่ดินของคณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน เพื่อดําเนินการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล
3) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ขอแก้ไขพื้นที่เป้าหมายที่จะดําเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ.2560 | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1512 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกเทศมนตรีและรองผู้ว่าการกรุงเวียนนาเข้าพบรองนายกรัฐมนตรีเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้าน Smart City | วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2561
รองนายกเทศมนตรีและรองผู้ว่าการกรุงเวียนนาเข้าพบรองนายกรัฐมนตรีเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้าน Smart City
รองนายกเทศมนตรีและรองผู้ว่าการกรุงเวียนนาเข้าพบรองนายกรัฐมนตรีเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้าน Smart City
วันนี้ (29 มี.ค. 61) เวลา 11.00 น. นางมาเรีย วาสสิลาโก (Ms.Maria Vassilakou) รองนายกเทศมนตรีและรองผู้ว่าการกรุงเวียนนาและคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
รองนายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบรองนายกเทศมนตรีฯ เวียนนา ในโอกาสเดินทางเยือนไทย เนื่องในโอกาสที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเวียนนา ได้จัดโครงการสนับสนุนนโยบาย Thailand 4.0 กับสาธารณรัฐออสเตรียในด้านการส่งเสริมและพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน โดยในวันนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นายศิระ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าร่วมหารือด้วย
รองนายกเทศมนตรีฯ เวียนนา กล่าวว่ายินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านการขนส่งระบบราง การวางผังเมือง Smart City เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อนํามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนากรุงเทพฯ ให้ไปสู่การเป็น Smart City โดยเห็นว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีความสวยงาม และมีศักยภาพในการเติบโตด้านเศรษฐกิจ ทั้งนี้ Smart City ตั้งอยู่บนแนวคิดว่าจะทําอย่างไรที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรในเมืองให้ดีขึ้น โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จํากัด การพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ต้องไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมกรุงเวียนนาที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ของโลก 9 ปีติดต่อกันและเป็นเมือง Smart City มีความโดดเด่นด้านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและคมนาคมทุกรูปแบบ ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีประสงค์ให้มีการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การลงทุนอุตสาหกรรมขั้นสูง และโครงสร้างพื้นฐาน โดยในเฟสแรกประเทศไทยจะเริ่มการพัฒนา 7 จังหวัดไปสู่การเป็น Smart City ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น และจังหวัดพื้นที่ EEC
ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยเห็นว่าการพัฒนาไปสู่การเป็น Smart City แม้ต้องใช้เวลาเป็นปีหรือหลายสิบปี แต่เป็นสิ่งที่จําเป็นต้องทํา เพราะเชื่อได้ว่า Smart City จะทําให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นอย่างแน่นอน
************** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกเทศมนตรีและรองผู้ว่าการกรุงเวียนนาเข้าพบรองนายกรัฐมนตรีเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้าน Smart City
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2561
รองนายกเทศมนตรีและรองผู้ว่าการกรุงเวียนนาเข้าพบรองนายกรัฐมนตรีเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้าน Smart City
รองนายกเทศมนตรีและรองผู้ว่าการกรุงเวียนนาเข้าพบรองนายกรัฐมนตรีเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้าน Smart City
วันนี้ (29 มี.ค. 61) เวลา 11.00 น. นางมาเรีย วาสสิลาโก (Ms.Maria Vassilakou) รองนายกเทศมนตรีและรองผู้ว่าการกรุงเวียนนาและคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
รองนายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบรองนายกเทศมนตรีฯ เวียนนา ในโอกาสเดินทางเยือนไทย เนื่องในโอกาสที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเวียนนา ได้จัดโครงการสนับสนุนนโยบาย Thailand 4.0 กับสาธารณรัฐออสเตรียในด้านการส่งเสริมและพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน โดยในวันนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นายศิระ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าร่วมหารือด้วย
รองนายกเทศมนตรีฯ เวียนนา กล่าวว่ายินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านการขนส่งระบบราง การวางผังเมือง Smart City เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อนํามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนากรุงเทพฯ ให้ไปสู่การเป็น Smart City โดยเห็นว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีความสวยงาม และมีศักยภาพในการเติบโตด้านเศรษฐกิจ ทั้งนี้ Smart City ตั้งอยู่บนแนวคิดว่าจะทําอย่างไรที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรในเมืองให้ดีขึ้น โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จํากัด การพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ต้องไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมกรุงเวียนนาที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ของโลก 9 ปีติดต่อกันและเป็นเมือง Smart City มีความโดดเด่นด้านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและคมนาคมทุกรูปแบบ ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีประสงค์ให้มีการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การลงทุนอุตสาหกรรมขั้นสูง และโครงสร้างพื้นฐาน โดยในเฟสแรกประเทศไทยจะเริ่มการพัฒนา 7 จังหวัดไปสู่การเป็น Smart City ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น และจังหวัดพื้นที่ EEC
ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยเห็นว่าการพัฒนาไปสู่การเป็น Smart City แม้ต้องใช้เวลาเป็นปีหรือหลายสิบปี แต่เป็นสิ่งที่จําเป็นต้องทํา เพราะเชื่อได้ว่า Smart City จะทําให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นอย่างแน่นอน
************** | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11158 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา | วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีพบชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา
นายกรัฐมนตรีพบชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา
วันนี้ (22 กันยายน 2559) เวลา 15.00 น. ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี นครนิวยอร์ก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยชุมชนไทยในนิวยอ์รก ผู้แทนจาก 10 สมาคมในนครนิวยอร์กและรัฐใกล้เคียง ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 โดยพลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวรู้สึกอบอุ่นและหวังว่าการพบกันในวันนี้จะเป็นโอกาสให้ชุมชนไทยในสหรัฐฯ และทีมประเทศไทยในสหรัฐฯ ได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในบรรยากาศที่เป็นกันเอง ซึ่งสถิติของทางการสหรัฐอเมริการะบุว่า มีคนไทยอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ประมาณสองแสนกว่าคน หากนับรวมชาวไทยรุ่นที่สองที่เกิดและโตที่นี่เพราะพ่อแม่และญาติมาตั้งรกรากในสหรัฐฯ เมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อนด้วย อาจมีจํานวนมากถึงสามแสนคน ซึ่งประกอบอาชีพและธุรกิจที่ได้รับการยอมรับ และมีสิทธิเสรีภาพทัดเทียมกับชาวอเมริกัน สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐฯ หรือสามารถสื่อสารกับนักการเมืองสหรัฐฯ ในพื้นที่ต่าง ๆ ในส่วนของพัฒนาการภายในประเทศทุกวันนี้ สังคมไทยมีเสถียรภาพ มีการบังคับใช้กฎหมาย และมาตรการต่างๆ ที่ถูกนําออกมาใช้ก็เพื่อบูรณาการการทํางาน แก้ปัญ่่หาความขัดแย้ง และเพื่อการวางอนาคตร่วมกัน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ําการทํางานของรัฐบาลว่า คือ ต้องการเห็นประเทศไทยก้าวหน้า มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตลอดสองปีรัฐบาลพยายามฟื้นฟูปฏิรูปประเทศ ทุกหน่วยงานดําเนินการอย่างจริงจังเพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
รัฐบาลส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรม รวมทั้ง ป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ โดยมีการปรับปรุงกฎหมายและส่งเสริมกระบวนการยุติธรรม ผ่านร่างกฎหมายต่าง ๆ รวมกว่า 190 ฉบับ อาทิ กฎหมายว่าด้วยกองทุนยุติธรรม พ.ร.บ. อํานวยความสะดวกกับประชาชน พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร กฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจและการลงทุน การปรับระบบภาษีอากรประเทศไทยอยู่ระหว่างการปฏิรูป รัฐบาลมียุทธศาสตร์ระยะยาว และเดินหน้าตามแผนพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังมีความแตกต่างทางรายได้ รัฐบาลจึงมุ่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ วางระบบโครงสร้างพื้นฐานประเทศและคมนาคม รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมดั้งเดิม (5 S curve) และส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ (new 5 S curve) ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง พร้อมๆ ไปกับการพัฒนาศักยภาพแรงงาน ขณะเดียวกัน รัฐบาลให้ความสําคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและป้องกันการละเมิดสาธารณสมบัติ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อพัฒนาประเทศโดยมีตัวบทกฎหมายรองรับและช่วยแก้ไขปัญหาที่ติดขัด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้นตอของปัญหาหลายอย่างในประเทศไทยมาจากความเหลื่อมล้ําในสังคม รัฐบาลจึงให้ความสําคัญในการขจัดความเหลื่อมล้ํา เพิ่มรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 40 ให้มีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ ถือเป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาล รวมทั้งการลดช่องว่างและความแตกต่างในสังคม โดยเฉพาะระหว่างคนเมืองและคนชนบท และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น นําเทคโนโลยีและความเจริญในชนบท นอกจากนี้ ยังมีโครงการส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกพืชแบบผสมผสานแทนการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคง มีกองทุนสนับสนุนเกษตรกร และยกระดับผลผลิตของเกษตรกรด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การปรับปรุงคุณภาพสินค้าอุปโภค บริโภค อาทิ ข้าว ผ้าไทย เพื่อให้เข้าถึงตลาดต่าง ๆ และเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและรายได้ของเกษตรกรไทยรัฐบาลยังดําเนินโครงการด้านสวัสดิการเพื่อดูแลค้ําจุนผู้ด้อยโอกาส เด็ก คนชรา ผู้มีรายได้น้อย อาทิ เบี้ยผู้สูงอายุ มีกองทุนประกันสังคม โดยที่ทุกคนเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา กระจายความเจริญออกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เป้าหมายเพื่อให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ปรับปรุงระบบการศึกษาใหม่ทั้งหมด พัฒนาครู สร้างระบบราชการที่มีคุณธรรม เป็นองค์กรที่มีจริยธรรม ซึ่งประเทศไทยได้น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ในการดําเนินการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ โดยให้ คนเป็นศูนย์กลางด้่านเศรษฐกิจ ปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุนของสํานักงานส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทย เพื่อลดช่องว่างรายได้ สนับสนุนนโยบายการลงทุนของรัฐในโครงสร้างพื้นฐาน ระบบราง การขนส่ง สาธารณูปโภครัฐบาลยังรณรงค์การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนผ่านการเสริมสร้างกลไกประชารัฐ ซึ่งคือการมีส่วนร่วมของภาครัฐ เอกชน ประชาชนและภาคประชาสังคม และให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการขับเคลื่อนประเทศมิติต่าง ๆ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความสําเร็จในการเดินทางเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งนี้ ว่า ประเทศไทยได้รับการยอมรับและนานาชาติชื่นชมบทบาทความมุ่งมั่นของไทย ในการแก้ปัญหาและความท้าทายระดับโลกร่วมกับประชาคมโลกทั้งปัญหาผู้หนีภัย แก้ปัญหาค้ามนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมกล่าวชื่นชมคนไทยในต่างแดน ที่จะเป็นอีกหนึ่งคลัสเตอร์ในต่างประเทศ โดยเอกอัครราชทูต ณ ประเทศต่างๆ เป็นหัวหน้าคลัสเตอร์ ถือเป็นอีกหนึ่งพลังในการพัฒนาประเทศร่วมกับรัฐบาล
________________ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีพบชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา
นายกรัฐมนตรีพบชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา
วันนี้ (22 กันยายน 2559) เวลา 15.00 น. ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี นครนิวยอร์ก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยชุมชนไทยในนิวยอ์รก ผู้แทนจาก 10 สมาคมในนครนิวยอร์กและรัฐใกล้เคียง ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 โดยพลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวรู้สึกอบอุ่นและหวังว่าการพบกันในวันนี้จะเป็นโอกาสให้ชุมชนไทยในสหรัฐฯ และทีมประเทศไทยในสหรัฐฯ ได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในบรรยากาศที่เป็นกันเอง ซึ่งสถิติของทางการสหรัฐอเมริการะบุว่า มีคนไทยอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ประมาณสองแสนกว่าคน หากนับรวมชาวไทยรุ่นที่สองที่เกิดและโตที่นี่เพราะพ่อแม่และญาติมาตั้งรกรากในสหรัฐฯ เมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อนด้วย อาจมีจํานวนมากถึงสามแสนคน ซึ่งประกอบอาชีพและธุรกิจที่ได้รับการยอมรับ และมีสิทธิเสรีภาพทัดเทียมกับชาวอเมริกัน สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐฯ หรือสามารถสื่อสารกับนักการเมืองสหรัฐฯ ในพื้นที่ต่าง ๆ ในส่วนของพัฒนาการภายในประเทศทุกวันนี้ สังคมไทยมีเสถียรภาพ มีการบังคับใช้กฎหมาย และมาตรการต่างๆ ที่ถูกนําออกมาใช้ก็เพื่อบูรณาการการทํางาน แก้ปัญ่่หาความขัดแย้ง และเพื่อการวางอนาคตร่วมกัน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ําการทํางานของรัฐบาลว่า คือ ต้องการเห็นประเทศไทยก้าวหน้า มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตลอดสองปีรัฐบาลพยายามฟื้นฟูปฏิรูปประเทศ ทุกหน่วยงานดําเนินการอย่างจริงจังเพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
รัฐบาลส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรม รวมทั้ง ป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ โดยมีการปรับปรุงกฎหมายและส่งเสริมกระบวนการยุติธรรม ผ่านร่างกฎหมายต่าง ๆ รวมกว่า 190 ฉบับ อาทิ กฎหมายว่าด้วยกองทุนยุติธรรม พ.ร.บ. อํานวยความสะดวกกับประชาชน พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร กฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจและการลงทุน การปรับระบบภาษีอากรประเทศไทยอยู่ระหว่างการปฏิรูป รัฐบาลมียุทธศาสตร์ระยะยาว และเดินหน้าตามแผนพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังมีความแตกต่างทางรายได้ รัฐบาลจึงมุ่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ วางระบบโครงสร้างพื้นฐานประเทศและคมนาคม รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมดั้งเดิม (5 S curve) และส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ (new 5 S curve) ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง พร้อมๆ ไปกับการพัฒนาศักยภาพแรงงาน ขณะเดียวกัน รัฐบาลให้ความสําคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและป้องกันการละเมิดสาธารณสมบัติ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อพัฒนาประเทศโดยมีตัวบทกฎหมายรองรับและช่วยแก้ไขปัญหาที่ติดขัด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้นตอของปัญหาหลายอย่างในประเทศไทยมาจากความเหลื่อมล้ําในสังคม รัฐบาลจึงให้ความสําคัญในการขจัดความเหลื่อมล้ํา เพิ่มรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 40 ให้มีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ ถือเป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาล รวมทั้งการลดช่องว่างและความแตกต่างในสังคม โดยเฉพาะระหว่างคนเมืองและคนชนบท และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น นําเทคโนโลยีและความเจริญในชนบท นอกจากนี้ ยังมีโครงการส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกพืชแบบผสมผสานแทนการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคง มีกองทุนสนับสนุนเกษตรกร และยกระดับผลผลิตของเกษตรกรด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การปรับปรุงคุณภาพสินค้าอุปโภค บริโภค อาทิ ข้าว ผ้าไทย เพื่อให้เข้าถึงตลาดต่าง ๆ และเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและรายได้ของเกษตรกรไทยรัฐบาลยังดําเนินโครงการด้านสวัสดิการเพื่อดูแลค้ําจุนผู้ด้อยโอกาส เด็ก คนชรา ผู้มีรายได้น้อย อาทิ เบี้ยผู้สูงอายุ มีกองทุนประกันสังคม โดยที่ทุกคนเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา กระจายความเจริญออกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เป้าหมายเพื่อให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ปรับปรุงระบบการศึกษาใหม่ทั้งหมด พัฒนาครู สร้างระบบราชการที่มีคุณธรรม เป็นองค์กรที่มีจริยธรรม ซึ่งประเทศไทยได้น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ในการดําเนินการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ โดยให้ คนเป็นศูนย์กลางด้่านเศรษฐกิจ ปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุนของสํานักงานส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทย เพื่อลดช่องว่างรายได้ สนับสนุนนโยบายการลงทุนของรัฐในโครงสร้างพื้นฐาน ระบบราง การขนส่ง สาธารณูปโภครัฐบาลยังรณรงค์การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนผ่านการเสริมสร้างกลไกประชารัฐ ซึ่งคือการมีส่วนร่วมของภาครัฐ เอกชน ประชาชนและภาคประชาสังคม และให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการขับเคลื่อนประเทศมิติต่าง ๆ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความสําเร็จในการเดินทางเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งนี้ ว่า ประเทศไทยได้รับการยอมรับและนานาชาติชื่นชมบทบาทความมุ่งมั่นของไทย ในการแก้ปัญหาและความท้าทายระดับโลกร่วมกับประชาคมโลกทั้งปัญหาผู้หนีภัย แก้ปัญหาค้ามนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมกล่าวชื่นชมคนไทยในต่างแดน ที่จะเป็นอีกหนึ่งคลัสเตอร์ในต่างประเทศ โดยเอกอัครราชทูต ณ ประเทศต่างๆ เป็นหัวหน้าคลัสเตอร์ ถือเป็นอีกหนึ่งพลังในการพัฒนาประเทศร่วมกับรัฐบาล
________________ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/500 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ "เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน รุ่นที่ 1 | วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ "เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน รุ่นที่ 1
นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ "เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน รุ่นที่ 1
วันที่ 2 กันยายน 2562 เวลา 09.00 น. นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ "เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน รุ่นที่ 1 โดยมี ดร.ศิริธัช โรจนพฤกษ์ กรรมการคุณวัฒน์และเลขาธิการมูลนิธิสถาบันพลังจิตตานุภาพ พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน เข้าร่วม ณ วัดศรีสุดารามฯ กรุงเทพฯ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ "เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน รุ่นที่ 1
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ "เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน รุ่นที่ 1
นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ "เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน รุ่นที่ 1
วันที่ 2 กันยายน 2562 เวลา 09.00 น. นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ "เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน รุ่นที่ 1 โดยมี ดร.ศิริธัช โรจนพฤกษ์ กรรมการคุณวัฒน์และเลขาธิการมูลนิธิสถาบันพลังจิตตานุภาพ พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน เข้าร่วม ณ วัดศรีสุดารามฯ กรุงเทพฯ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22721 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน ๖ เดินทางด้วยเครื่องบินสายการบินไทยเสด็จไปยังท่าอากาศยานฮาเนดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น | วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน ๖ เดินทางด้วยเครื่องบินสายการบินไทยเสด็จไปยังท่าอากาศยานฮาเนดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน ๖ เดินทางด้วยเครื่องบินสายการบินไทยเสด็จไปยังท่าอากาศยานฮาเนดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๑๕ น.สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส" (His Holiness Pope Francis) ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน ๖ เดินทางด้วยเครื่องบินสายการบินไทยเสด็จไปยังท่าอากาศยานฮาเนดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยมี ผู้แทนรัฐบาลไทย ประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะรัฐมนตรีเกียรติยศ ผู้แทนจากสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย เครือข่ายองค์กรด้านศาสนา ร่วมส่งเสด็จ ณ ท่าอากาศยาน ๒ กองบิน ๖ ดอนเมือง กรุงเทพฯ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน ๖ เดินทางด้วยเครื่องบินสายการบินไทยเสด็จไปยังท่าอากาศยานฮาเนดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน ๖ เดินทางด้วยเครื่องบินสายการบินไทยเสด็จไปยังท่าอากาศยานฮาเนดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน ๖ เดินทางด้วยเครื่องบินสายการบินไทยเสด็จไปยังท่าอากาศยานฮาเนดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๑๕ น.สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส" (His Holiness Pope Francis) ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน ๖ เดินทางด้วยเครื่องบินสายการบินไทยเสด็จไปยังท่าอากาศยานฮาเนดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยมี ผู้แทนรัฐบาลไทย ประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะรัฐมนตรีเกียรติยศ ผู้แทนจากสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย เครือข่ายองค์กรด้านศาสนา ร่วมส่งเสด็จ ณ ท่าอากาศยาน ๒ กองบิน ๖ ดอนเมือง กรุงเทพฯ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24801 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยลงพื้นที่ จ.เลย เร่งช่วยเหลือประชาชน เหตุน้ำป่าไหลท่วมบ้านเรือน กำชับ ให้เร่งอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย | วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยลงพื้นที่ จ.เลย เร่งช่วยเหลือประชาชน เหตุน้ําป่าไหลท่วมบ้านเรือน กําชับ ให้เร่งอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย
นายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยลงพื้นที่ จ.เลย เร่งช่วยเหลือประชาชน เหตุน้ําป่าไหลท่วมบ้านเรือน กําชับ ให้เร่งอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย
วันนี้ (2 สิงหาคม 2563) นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์น้ําป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ อ.เมือง อ.เชียงคาน และ อ.ปากชม จ.เลย โดยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเลย หน่วยทหารในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ระดมกําลังลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัด ประกอบด้วย อ.เมือง ต.น้ําสวย รวม 7 หมู่บ้าน อ.เชียงคาน จํานวน 2 ตําบล ได้แก่ ต.เขาแก้ว รวม 2 หมู่บ้าน และ ต.ธาตุ รวม 9 หมู่บ้าน และ อ.ปากชม จํานวน 3 ตําบล ได้แก่ ต.เชียงกลม ต.ห้วยบ่อซืน และ ต.ชมเจริญ ซึ่งเป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนักตลอดทั้งคืนทําให้เกิดน้ําป่าไหลหลากทะลักเข้าท่วมถนนและบ้านเรือนของประชาชนเมื่อคืนที่ผ่านมา
โดยนายกรัฐมนตรีกําชับให้ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเบื้องต้น รวมทั้งให้เร่งสํารวจความเสียหาย อย่าปล่อยให้ชาวบ้านเดือดร้อน เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนสัตว์เลี้ยง พร้อมกับให้เคลื่อนย้ายชาวบ้านและสัตว์เลี้ยงไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย จัดหาอาหาร น้ําดื่ม น้ําใช้ ให้กับชาวบ้านอย่างพอเพียง ขอให้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังคํานึงถึงความปลอดภัยชีวิตเป็นสําคัญ และย้ําเตือนให้ชาวบ้านติดตามข่าวสารรวมถึงการแจ้งเตือนจากส่วนราชการอย่างใกล้ชิด | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยลงพื้นที่ จ.เลย เร่งช่วยเหลือประชาชน เหตุน้ำป่าไหลท่วมบ้านเรือน กำชับ ให้เร่งอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย
วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยลงพื้นที่ จ.เลย เร่งช่วยเหลือประชาชน เหตุน้ําป่าไหลท่วมบ้านเรือน กําชับ ให้เร่งอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย
นายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยลงพื้นที่ จ.เลย เร่งช่วยเหลือประชาชน เหตุน้ําป่าไหลท่วมบ้านเรือน กําชับ ให้เร่งอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย
วันนี้ (2 สิงหาคม 2563) นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์น้ําป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ อ.เมือง อ.เชียงคาน และ อ.ปากชม จ.เลย โดยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเลย หน่วยทหารในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ระดมกําลังลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัด ประกอบด้วย อ.เมือง ต.น้ําสวย รวม 7 หมู่บ้าน อ.เชียงคาน จํานวน 2 ตําบล ได้แก่ ต.เขาแก้ว รวม 2 หมู่บ้าน และ ต.ธาตุ รวม 9 หมู่บ้าน และ อ.ปากชม จํานวน 3 ตําบล ได้แก่ ต.เชียงกลม ต.ห้วยบ่อซืน และ ต.ชมเจริญ ซึ่งเป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนักตลอดทั้งคืนทําให้เกิดน้ําป่าไหลหลากทะลักเข้าท่วมถนนและบ้านเรือนของประชาชนเมื่อคืนที่ผ่านมา
โดยนายกรัฐมนตรีกําชับให้ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเบื้องต้น รวมทั้งให้เร่งสํารวจความเสียหาย อย่าปล่อยให้ชาวบ้านเดือดร้อน เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนสัตว์เลี้ยง พร้อมกับให้เคลื่อนย้ายชาวบ้านและสัตว์เลี้ยงไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย จัดหาอาหาร น้ําดื่ม น้ําใช้ ให้กับชาวบ้านอย่างพอเพียง ขอให้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังคํานึงถึงความปลอดภัยชีวิตเป็นสําคัญ และย้ําเตือนให้ชาวบ้านติดตามข่าวสารรวมถึงการแจ้งเตือนจากส่วนราชการอย่างใกล้ชิด | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33853 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 28 มีนาคม 2560 | วันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 28 มีนาคม 2560
วันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560 | |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล กระตุ้นทุกภาคส่วนไม่ทนต่อการทุจริต | วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล กระตุ้นทุกภาคส่วนไม่ทนต่อการทุจริต
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล กระตุ้นทุกภาคส่วนไม่ทนต่อการทุจริต
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2562 นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล ณ อิมแพ็คเอ็กซิบิชั่นฮอลล์ 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อกระตุ้นทุกภาคส่วนไม่ทนต่อการทุจริต ภายใต้แนวคิด “Zero Tolerance คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สํานักงาน ป.ป.ช.) ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สํานักงาน ป.ป.ท) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่าย โดยมุ่งแก้ไขปัญหาทุจริตในการต่อสู้กับปัญหา เพื่อประกาศให้ประชาชนชาวไทยและนานาประเทศทราบถึงการดําเนินการต่อสู้กับปัญหาการทุจริตของประเทศไทยและเจตจํานงของคนไทยไม่ทนต่อการทุจริต ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ฯ กล่าวในงานว่า “หากการทุจริตในประเทศไทยลดลงจนหมดไปได้ ประเทศไทยจะก้าวไปสู่ความเข้มแข็งและความยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยการสร้างจิตสํานึก การมีส่วนร่วมของประชาชนชาวไทยบวกกับข้อกฎหมายที่ต้องมีการปรับปรุง แก้ไขให้ทันสมัย” พร้อมนําผู้ร่วมงานประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านการทุจริต ทั้งนี้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ได้รับรางวัลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ที่มีผลคะแนนสูงสุดในประเภทรัฐวิสาหกิจ อันดับที่ 6 ด้วย
************** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล กระตุ้นทุกภาคส่วนไม่ทนต่อการทุจริต
วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล กระตุ้นทุกภาคส่วนไม่ทนต่อการทุจริต
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล กระตุ้นทุกภาคส่วนไม่ทนต่อการทุจริต
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2562 นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล ณ อิมแพ็คเอ็กซิบิชั่นฮอลล์ 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อกระตุ้นทุกภาคส่วนไม่ทนต่อการทุจริต ภายใต้แนวคิด “Zero Tolerance คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สํานักงาน ป.ป.ช.) ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สํานักงาน ป.ป.ท) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่าย โดยมุ่งแก้ไขปัญหาทุจริตในการต่อสู้กับปัญหา เพื่อประกาศให้ประชาชนชาวไทยและนานาประเทศทราบถึงการดําเนินการต่อสู้กับปัญหาการทุจริตของประเทศไทยและเจตจํานงของคนไทยไม่ทนต่อการทุจริต ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ฯ กล่าวในงานว่า “หากการทุจริตในประเทศไทยลดลงจนหมดไปได้ ประเทศไทยจะก้าวไปสู่ความเข้มแข็งและความยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยการสร้างจิตสํานึก การมีส่วนร่วมของประชาชนชาวไทยบวกกับข้อกฎหมายที่ต้องมีการปรับปรุง แก้ไขให้ทันสมัย” พร้อมนําผู้ร่วมงานประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านการทุจริต ทั้งนี้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ได้รับรางวัลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ที่มีผลคะแนนสูงสุดในประเภทรัฐวิสาหกิจ อันดับที่ 6 ด้วย
************** | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25142 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.มอบของขวัญส่งท้ายปี 60 จัดทรัพย์ NPA ออกประมูลขายพร้อมกันทั่วประเทศ พิเศษ!! คัดทรัพย์กว่า 2,605 รายการ พร้อมชูแคมเปญดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน และผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี | วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560
ธอส.มอบของขวัญส่งท้ายปี 60 จัดทรัพย์ NPA ออกประมูลขายพร้อมกันทั่วประเทศ พิเศษ!! คัดทรัพย์กว่า 2,605 รายการ พร้อมชูแคมเปญดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน และผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มอบของขวัญส่งท้ายปี 60 จัดงานประมูลทรัพย์สินธนาคาร ครั้งที่ 4/2560 หวังสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้าน โดยนําทรัพย์กว่า 2,605 รายการ ออกประมูลขายพร้อมกันทั่วประเทศ
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มอบของขวัญส่งท้ายปี 60 จัดงานประมูลทรัพย์สินธนาคาร ครั้งที่ 4/2560 หวังสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้าน โดยนําทรัพย์กว่า 2,605 รายการ ออกประมูลขายพร้อมกันทั่วประเทศ เป็นทรัพย์ที่คุณภาพดี ทําเลเด่น ราคาเหมาะสม จูงใจด้วยแคมเปญพิเศษสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% นานถึง 48 เดือน และผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี พร้อมมอบส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นประมูลต่ําสุดเพียง 45,000 บาท
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ทรัพย์สินรอการขาย หรือ ทรัพย์ NPA ของ ธอส. ถือเป็นที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมจากประชาชน สะท้อนได้จาก 3 ไตรมาสที่ผ่านมาธนาคารสามารถจําหน่ายทรัพย์ได้แล้วจํานวน 4,836 รายการ คิดเป็นมูลค่า 2,830.12 ล้านบาท สาเหตุสําคัญเกิดจากราคาของทรัพย์ NPA ที่ถูกกว่าบ้านใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกัน รวมถึงธนาคารยังได้จัดทําแคมเปญพิเศษสินเชื่อบ้านมือสอง อัตราดอกเบี้ย 0% นานถึง 48 เดือน และผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี นับเป็นอัตราดอกเบี้ยที่จูงใจ สําหรับการจัดงานในครั้งนี้ ธนาคารยังคงเชื่อมั่นว่าทรัพย์ NPA ของธนาคารจะยังคงได้รับความสนใจจากผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยคุณภาพดีทําเลเด่นในราคาที่เหมาะสมเช่นเดิม
และเพื่อเป็นการสร้างโอกาส “ทําให้คนไทยมีบ้าน” ตามพันธกิจของธนาคาร ล่าสุดธนาคารได้กําหนดจัดงานประมูลทรัพย์สินธนาคาร ครั้งที่ 4/2560 โดยคัดทรัพย์ NPA คุณภาพดี ทําเลเด่น จํานวน 2,605 รายการ มาเปิดประมูลในราคาพิเศษ แบ่งเป็นทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 905 รายการ ซึ่งให้ส่วนลดสูงสุดถึง 50% จากราคาปกติ จํานวน 40 รายการ ส่วนทรัพย์ที่ราคาต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 45,000 บาท เป็นห้องชุดโครงการแฟลตปลาทอง อําเภอเมืองจังหวัดปทุมธานี ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาคที่นําออกประมูลมีจํานวน 1,700 รายการ เป็นทรัพย์ที่ให้ส่วนลดสูงสุด 50% มากกว่า 600 รายการ และทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นแค่ 50,000 บาทเท่านั้น โดยเป็นทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า ในโครงการราชพฤกษ์การ์เด้นโฮม จังหวัดนครราชสีมา และโครงการสวนผลไม้หนองนกกระเรียน จังหวัดราชบุรี โครงการกนกกาญจน์คันทรีโฮม โครงการบ้านสวนดอกไม้ จังหวัดเพชรบุรี โครงการหัวหินริมธาร โครงการพรหมสุข จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น พิเศษ!!! ผู้ที่ชนะการประมูลยังมีสิทธิ์รับแคมเปญพิเศษผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 48 เดือน(เฉพาะทรัพย์รายการที่เข้าเงื่อนไขตามที่ธนาคารกําหนด)
งานประมูลทรัพย์สินธนาคาร ครั้งที่ 4/2560 จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2560 โดยทรัพย์ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลจัดขึ้น ณ ห้องประชุมพิมานมาศ อาคารจอดรถ ชั้น 11 ธอส. สํานักงานใหญ่ พระราม 9 ส่วนทรัพย์ในภูมิภาคจัดประมูล ณ ที่ทําการสาขาของธนาคารทั่วประเทศ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.มอบของขวัญส่งท้ายปี 60 จัดทรัพย์ NPA ออกประมูลขายพร้อมกันทั่วประเทศ พิเศษ!! คัดทรัพย์กว่า 2,605 รายการ พร้อมชูแคมเปญดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน และผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี
วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560
ธอส.มอบของขวัญส่งท้ายปี 60 จัดทรัพย์ NPA ออกประมูลขายพร้อมกันทั่วประเทศ พิเศษ!! คัดทรัพย์กว่า 2,605 รายการ พร้อมชูแคมเปญดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน และผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มอบของขวัญส่งท้ายปี 60 จัดงานประมูลทรัพย์สินธนาคาร ครั้งที่ 4/2560 หวังสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้าน โดยนําทรัพย์กว่า 2,605 รายการ ออกประมูลขายพร้อมกันทั่วประเทศ
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มอบของขวัญส่งท้ายปี 60 จัดงานประมูลทรัพย์สินธนาคาร ครั้งที่ 4/2560 หวังสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้าน โดยนําทรัพย์กว่า 2,605 รายการ ออกประมูลขายพร้อมกันทั่วประเทศ เป็นทรัพย์ที่คุณภาพดี ทําเลเด่น ราคาเหมาะสม จูงใจด้วยแคมเปญพิเศษสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% นานถึง 48 เดือน และผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี พร้อมมอบส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นประมูลต่ําสุดเพียง 45,000 บาท
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ทรัพย์สินรอการขาย หรือ ทรัพย์ NPA ของ ธอส. ถือเป็นที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมจากประชาชน สะท้อนได้จาก 3 ไตรมาสที่ผ่านมาธนาคารสามารถจําหน่ายทรัพย์ได้แล้วจํานวน 4,836 รายการ คิดเป็นมูลค่า 2,830.12 ล้านบาท สาเหตุสําคัญเกิดจากราคาของทรัพย์ NPA ที่ถูกกว่าบ้านใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกัน รวมถึงธนาคารยังได้จัดทําแคมเปญพิเศษสินเชื่อบ้านมือสอง อัตราดอกเบี้ย 0% นานถึง 48 เดือน และผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี นับเป็นอัตราดอกเบี้ยที่จูงใจ สําหรับการจัดงานในครั้งนี้ ธนาคารยังคงเชื่อมั่นว่าทรัพย์ NPA ของธนาคารจะยังคงได้รับความสนใจจากผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยคุณภาพดีทําเลเด่นในราคาที่เหมาะสมเช่นเดิม
และเพื่อเป็นการสร้างโอกาส “ทําให้คนไทยมีบ้าน” ตามพันธกิจของธนาคาร ล่าสุดธนาคารได้กําหนดจัดงานประมูลทรัพย์สินธนาคาร ครั้งที่ 4/2560 โดยคัดทรัพย์ NPA คุณภาพดี ทําเลเด่น จํานวน 2,605 รายการ มาเปิดประมูลในราคาพิเศษ แบ่งเป็นทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 905 รายการ ซึ่งให้ส่วนลดสูงสุดถึง 50% จากราคาปกติ จํานวน 40 รายการ ส่วนทรัพย์ที่ราคาต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 45,000 บาท เป็นห้องชุดโครงการแฟลตปลาทอง อําเภอเมืองจังหวัดปทุมธานี ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาคที่นําออกประมูลมีจํานวน 1,700 รายการ เป็นทรัพย์ที่ให้ส่วนลดสูงสุด 50% มากกว่า 600 รายการ และทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นแค่ 50,000 บาทเท่านั้น โดยเป็นทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า ในโครงการราชพฤกษ์การ์เด้นโฮม จังหวัดนครราชสีมา และโครงการสวนผลไม้หนองนกกระเรียน จังหวัดราชบุรี โครงการกนกกาญจน์คันทรีโฮม โครงการบ้านสวนดอกไม้ จังหวัดเพชรบุรี โครงการหัวหินริมธาร โครงการพรหมสุข จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น พิเศษ!!! ผู้ที่ชนะการประมูลยังมีสิทธิ์รับแคมเปญพิเศษผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 48 เดือน(เฉพาะทรัพย์รายการที่เข้าเงื่อนไขตามที่ธนาคารกําหนด)
งานประมูลทรัพย์สินธนาคาร ครั้งที่ 4/2560 จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2560 โดยทรัพย์ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลจัดขึ้น ณ ห้องประชุมพิมานมาศ อาคารจอดรถ ชั้น 11 ธอส. สํานักงานใหญ่ พระราม 9 ส่วนทรัพย์ในภูมิภาคจัดประมูล ณ ที่ทําการสาขาของธนาคารทั่วประเทศ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8745 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อาเซียนร่วมรับมือ ตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19 พร้อมถอดบทเรียนรับความท้าทาย ใหม่ในอนาคต | วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563
อาเซียนร่วมรับมือ ตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19 พร้อมถอดบทเรียนรับความท้าทาย ใหม่ในอนาคต
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุม สุดยอดอาเซียนสมัยพิเศษ ว่าด้วยการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผ่าน ระบบการประชุมทางไกล
วันนี้ (14 เมษายน 2563) เวลา 08.00 น. ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน สมัยพิเศษ ว่าด้วยการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก ส่งผล กระทบต่อทั้งชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงต่อเศรษฐกิจและสังคมด้วย โดยสถาบันวิจัย เอกชนชั้นนําอย่างแม็กคินซี่ได้คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของจีดีพีโลกในปีนี้อาจจะติดลบถึง ร้อยละ 1.5 และหากวิกฤตโควิด-19 ยืดเยื้อต่อไป ก็อาจจะติดลบไปถึงร้อยละ 4.7 ซึ่ง UNDP ระบุว่า ประเทศกําลังพัฒนาจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยอาจสูญเสียรายได้กว่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ประเทศไทยเห็นว่า ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด ลดจํานวนผู้ติดเชื้อ ตลอดจนหาแนวทางร่วมกันในการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรอบด้าน โดยเมื่อคํานึงถึงสถานการณ์ภายในประเทศไทย จึงได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม - 30 เมษายน 2563 และจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ให้ความสําคัญกับการรับมือและแก้ไขปัญหา ทั้งต้นทาง ที่เน้นควบคุมการเดินทางและคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศ กลางทาง โดยการรณรงค์มาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” และปลายทาง ให้ความสําคัญกับการรักษาผู้ป่วย และเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลยังได้สนับสนุนการวิจัยเชิงรุกเพื่อพัฒนาและจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ การพัฒนาวัคซีนสําหรับโควิด-19 และการพัฒนาระบบสนับสนุนโดยนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีย้ําว่า ไม่มีประเทศใดสามารถต่อสู้กับภัยคุกคามนี้ได้โดยลําพัง พร้อมได้กล่าว เสนอแนวทางที่สําคัญ 5 ประการ ดังนี้
1. อาเซียนต้องร่วมมือกันในทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาแบบองค์รวม พร้อมเสนอให้อาเซียน และประเทศบวกสามร่วมกันจัดตั้ง “กองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19” โดยจัดสรรเงิน ที่มีอยู่แล้วเท่าที่สามารถตกลงกันได้ มาใช้ในการรับมือกับโควิด-19 ซึ่งรวมถึงการจัดซื้อชุดตรวจ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และอุปกรณ์การแพทย์ ตลอดจนเพื่อการศึกษาวิจัยคิดค้นยาและวัคซีน ให้อาเซียนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว
2. อาเซียนควรต้องร่วมกันในการอํานวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ การผ่านพิธีการศุลกากร และการค้าชายแดนระหว่างกัน เพื่อให้ผู้บริโภคของเราได้เข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสินค้าที่จําเป็นในช่วงวิกฤติอย่างเพียงพอและทันท่วงที
3. เราควรสนับสนุนให้อาเซียนใช้เศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีใหม่ๆ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคให้มากขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีเสนอให้เร่งรัดการเชื่อมโยงการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการใช้มาตรฐานรหัสคิวอาร์ที่เชื่อมโยงกันได้ ให้การค้าภายในภูมิภาคของเรามีความ คล่องตัวมากขึ้น
4. ขอเสนอให้อาเซียนถอดบทเรียนและประสบการณ์จากการต่อสู้กับโควิด-19 เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับ ความท้าทายต่างๆ ที่อาจคุกคามชีวิตของประชาชนในอนาคต โดยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากภายในและการพึ่งพาตนเองของภูมิภาคในระยะยาวให้มากขึ้น
5. เราควรเสริมสร้างบทบาทของท่านเลขาธิการอาเซียนในการเป็นผู้ประสานงานการให้ความช่วยเหลือให้ครอบคลุมถึงสถานการณ์วิกฤตอื่นๆ ให้เป็นไปอย่างมีระบบ และทันเหตุการณ์
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้ใช้โอกาสนี้กล่าวขอบคุณเลขาธิการอาเซียนที่ได้ช่วยจัดการหารือ ระหว่างไทยกับประเทศสมาชิกอาเซียนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาไฟป่าและ หมอกควัน ข้ามแดน พร้อมย้ําว่า อาเซียนควรใช้โอกาสนี้มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งของภูมิภาคนิยมและ พหุภาคีนิยม โดยเน้นความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภายในอาเซียน และกับภาคีภายนอกใน วันนี้เราต้องรอด วันหน้าเราต้องเข้มแข็ง
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมเวียดนาม ในฐานะประธานอาเซียนที่มีบทบาทในการเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียนในการตอบสนองต่อโควิด-19 อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้กล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเข้าสู่ครอบครัวอาเซียนอีกด้วย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อาเซียนร่วมรับมือ ตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19 พร้อมถอดบทเรียนรับความท้าทาย ใหม่ในอนาคต
วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563
อาเซียนร่วมรับมือ ตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19 พร้อมถอดบทเรียนรับความท้าทาย ใหม่ในอนาคต
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุม สุดยอดอาเซียนสมัยพิเศษ ว่าด้วยการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผ่าน ระบบการประชุมทางไกล
วันนี้ (14 เมษายน 2563) เวลา 08.00 น. ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน สมัยพิเศษ ว่าด้วยการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก ส่งผล กระทบต่อทั้งชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงต่อเศรษฐกิจและสังคมด้วย โดยสถาบันวิจัย เอกชนชั้นนําอย่างแม็กคินซี่ได้คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของจีดีพีโลกในปีนี้อาจจะติดลบถึง ร้อยละ 1.5 และหากวิกฤตโควิด-19 ยืดเยื้อต่อไป ก็อาจจะติดลบไปถึงร้อยละ 4.7 ซึ่ง UNDP ระบุว่า ประเทศกําลังพัฒนาจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยอาจสูญเสียรายได้กว่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ประเทศไทยเห็นว่า ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด ลดจํานวนผู้ติดเชื้อ ตลอดจนหาแนวทางร่วมกันในการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรอบด้าน โดยเมื่อคํานึงถึงสถานการณ์ภายในประเทศไทย จึงได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม - 30 เมษายน 2563 และจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ให้ความสําคัญกับการรับมือและแก้ไขปัญหา ทั้งต้นทาง ที่เน้นควบคุมการเดินทางและคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศ กลางทาง โดยการรณรงค์มาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” และปลายทาง ให้ความสําคัญกับการรักษาผู้ป่วย และเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลยังได้สนับสนุนการวิจัยเชิงรุกเพื่อพัฒนาและจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ การพัฒนาวัคซีนสําหรับโควิด-19 และการพัฒนาระบบสนับสนุนโดยนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีย้ําว่า ไม่มีประเทศใดสามารถต่อสู้กับภัยคุกคามนี้ได้โดยลําพัง พร้อมได้กล่าว เสนอแนวทางที่สําคัญ 5 ประการ ดังนี้
1. อาเซียนต้องร่วมมือกันในทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาแบบองค์รวม พร้อมเสนอให้อาเซียน และประเทศบวกสามร่วมกันจัดตั้ง “กองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19” โดยจัดสรรเงิน ที่มีอยู่แล้วเท่าที่สามารถตกลงกันได้ มาใช้ในการรับมือกับโควิด-19 ซึ่งรวมถึงการจัดซื้อชุดตรวจ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และอุปกรณ์การแพทย์ ตลอดจนเพื่อการศึกษาวิจัยคิดค้นยาและวัคซีน ให้อาเซียนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว
2. อาเซียนควรต้องร่วมกันในการอํานวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ การผ่านพิธีการศุลกากร และการค้าชายแดนระหว่างกัน เพื่อให้ผู้บริโภคของเราได้เข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสินค้าที่จําเป็นในช่วงวิกฤติอย่างเพียงพอและทันท่วงที
3. เราควรสนับสนุนให้อาเซียนใช้เศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีใหม่ๆ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคให้มากขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีเสนอให้เร่งรัดการเชื่อมโยงการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการใช้มาตรฐานรหัสคิวอาร์ที่เชื่อมโยงกันได้ ให้การค้าภายในภูมิภาคของเรามีความ คล่องตัวมากขึ้น
4. ขอเสนอให้อาเซียนถอดบทเรียนและประสบการณ์จากการต่อสู้กับโควิด-19 เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับ ความท้าทายต่างๆ ที่อาจคุกคามชีวิตของประชาชนในอนาคต โดยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากภายในและการพึ่งพาตนเองของภูมิภาคในระยะยาวให้มากขึ้น
5. เราควรเสริมสร้างบทบาทของท่านเลขาธิการอาเซียนในการเป็นผู้ประสานงานการให้ความช่วยเหลือให้ครอบคลุมถึงสถานการณ์วิกฤตอื่นๆ ให้เป็นไปอย่างมีระบบ และทันเหตุการณ์
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้ใช้โอกาสนี้กล่าวขอบคุณเลขาธิการอาเซียนที่ได้ช่วยจัดการหารือ ระหว่างไทยกับประเทศสมาชิกอาเซียนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาไฟป่าและ หมอกควัน ข้ามแดน พร้อมย้ําว่า อาเซียนควรใช้โอกาสนี้มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งของภูมิภาคนิยมและ พหุภาคีนิยม โดยเน้นความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภายในอาเซียน และกับภาคีภายนอกใน วันนี้เราต้องรอด วันหน้าเราต้องเข้มแข็ง
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมเวียดนาม ในฐานะประธานอาเซียนที่มีบทบาทในการเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียนในการตอบสนองต่อโควิด-19 อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้กล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเข้าสู่ครอบครัวอาเซียนอีกด้วย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28999 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] | วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 19 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 19 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจําวันที่ 19 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย เป็นผู้เดินทางกลับจากประเทศซาอุดิอาระเบียและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 11 ราย ทําให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,008 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.61 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 80 ราย หรือร้อยละ 2.54 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,146 ราย
จากบทเรียนในต่างประเทศกรณีที่พบเชื้อโควิด 19 ปนเปื้อนอยู่ในตลาดค้าส่ง ตลาดสด แผนกอาหารทะเล แผนกขายเนื้อสัตว์ หรือในโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ จนทําให้เกิดผู้ติดเชื้อ และผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจํานวนมากตามมา ดังนั้น ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ผู้แล่เนื้อสัตว์ พนักงานให้บริการ จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด 19 ตามที่กรมอนามัยกําหนดอย่างเข้มงวด เช่น การสวมหน้ากากผ้า/ หน้ากากอนามัย ทําความสะอาดแผงจําหน่ายอาหารทุก 2 ชั่วโมง กรณีขายอาหารทะเล อาหารสด เนื้อสัตว์ ต้องระวังการสัมผัสอาหารสดโดยตรง ล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังการทํางาน ควรใช้ถุงมือหรือที่คีบอาหารเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค ผู้จําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จจะต้องปกปิดอาหาร อุ่นอาหารทุก 2 ชั่วโมง ให้ผู้จําหน่ายสินค้าต้องล้างมือด้วยน้ําและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ การส่งเงินหรือทอนเงินผ่านตะกร้าด้ามยาว เว้นระยะห่าง ระมัดระวังไม่ให้มือสัมผัสใบหน้า ปาก ตา และจมูก หากป่วยต้องหยุดปฏิบัติงานแล้วไปพบแพทย์ทันที ในส่วนผู้บริโภคขอให้รับประทานที่ปรุงสุกใหม่ และสะอาด เลี่ยงอาหารดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ และเคร่งครัดในมาตรการป้องกันตัวเองเมื่อไปในสถานที่ต่างๆ โดยสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เว้นระยะห่าง เลี่ยงบริเวณที่มีคนอยู่มาก ล้างมือบ่อยๆ และงดการเอามือสัมผัสใบหน้า จมูก ปาก และลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ ผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้งหากทุกภาคส่วนร่วมมือกันจะช่วยให้ประเทศไทยปลอดภัยปลอดโรคโควิด 19
******************************
19 มิถุนายน 2563 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 19 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 19 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจําวันที่ 19 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย เป็นผู้เดินทางกลับจากประเทศซาอุดิอาระเบียและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 11 ราย ทําให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,008 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.61 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 80 ราย หรือร้อยละ 2.54 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,146 ราย
จากบทเรียนในต่างประเทศกรณีที่พบเชื้อโควิด 19 ปนเปื้อนอยู่ในตลาดค้าส่ง ตลาดสด แผนกอาหารทะเล แผนกขายเนื้อสัตว์ หรือในโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ จนทําให้เกิดผู้ติดเชื้อ และผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจํานวนมากตามมา ดังนั้น ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ผู้แล่เนื้อสัตว์ พนักงานให้บริการ จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด 19 ตามที่กรมอนามัยกําหนดอย่างเข้มงวด เช่น การสวมหน้ากากผ้า/ หน้ากากอนามัย ทําความสะอาดแผงจําหน่ายอาหารทุก 2 ชั่วโมง กรณีขายอาหารทะเล อาหารสด เนื้อสัตว์ ต้องระวังการสัมผัสอาหารสดโดยตรง ล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังการทํางาน ควรใช้ถุงมือหรือที่คีบอาหารเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค ผู้จําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จจะต้องปกปิดอาหาร อุ่นอาหารทุก 2 ชั่วโมง ให้ผู้จําหน่ายสินค้าต้องล้างมือด้วยน้ําและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ การส่งเงินหรือทอนเงินผ่านตะกร้าด้ามยาว เว้นระยะห่าง ระมัดระวังไม่ให้มือสัมผัสใบหน้า ปาก ตา และจมูก หากป่วยต้องหยุดปฏิบัติงานแล้วไปพบแพทย์ทันที ในส่วนผู้บริโภคขอให้รับประทานที่ปรุงสุกใหม่ และสะอาด เลี่ยงอาหารดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ และเคร่งครัดในมาตรการป้องกันตัวเองเมื่อไปในสถานที่ต่างๆ โดยสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เว้นระยะห่าง เลี่ยงบริเวณที่มีคนอยู่มาก ล้างมือบ่อยๆ และงดการเอามือสัมผัสใบหน้า จมูก ปาก และลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ ผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้งหากทุกภาคส่วนร่วมมือกันจะช่วยให้ประเทศไทยปลอดภัยปลอดโรคโควิด 19
******************************
19 มิถุนายน 2563 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32543 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ก.อุตฯ ให้ รมต.ก.การค้า อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวของซูรินาเม เข้าพบ | วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2561
รมช.ก.อุตฯ ให้ รมต.ก.การค้า อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวของซูรินาเม เข้าพบ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวของซูรินาเม เข้าพบ ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 กระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (28 พฤษภาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายสตีเฟน ซาง (H.E. Mr Stephen Tsang) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวของซูรินาเม เข้าพบ เพื่อพูดคุยความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างกัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นสิ่งที่เขาสนใจมากเช่น ผลไม้กระป๋อง เครื่องดื่มกระป๋องและผลิตภัณฑ์จากข้าว อีกทั้ง ซูรินาเมยังมีทรัพยากรธรรมชาติด้านไม้ เหล็ก อะลูมิเนียม อัญมณี ซึ่งเป็นวัตถุดิบสําหรับไทยได้ จึงมีความสนใจที่จะเรียนรู้และแลกเปลี่ยนกับภาคอุตสาหกรรมของไทย ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 กระทรวงอุตสาหกรรม | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ก.อุตฯ ให้ รมต.ก.การค้า อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวของซูรินาเม เข้าพบ
วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2561
รมช.ก.อุตฯ ให้ รมต.ก.การค้า อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวของซูรินาเม เข้าพบ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวของซูรินาเม เข้าพบ ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 กระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (28 พฤษภาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายสตีเฟน ซาง (H.E. Mr Stephen Tsang) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวของซูรินาเม เข้าพบ เพื่อพูดคุยความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างกัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นสิ่งที่เขาสนใจมากเช่น ผลไม้กระป๋อง เครื่องดื่มกระป๋องและผลิตภัณฑ์จากข้าว อีกทั้ง ซูรินาเมยังมีทรัพยากรธรรมชาติด้านไม้ เหล็ก อะลูมิเนียม อัญมณี ซึ่งเป็นวัตถุดิบสําหรับไทยได้ จึงมีความสนใจที่จะเรียนรู้และแลกเปลี่ยนกับภาคอุตสาหกรรมของไทย ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 กระทรวงอุตสาหกรรม | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12599 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การปฏิบัติตนในช่วงเทศกาล พิธีทางศาสนา ป้องกันไวรัสโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563
การปฏิบัติตนในช่วงเทศกาล พิธีทางศาสนา ป้องกันไวรัสโควิด-19
วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลกําหนดมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล ประเพณี และพิธีทางศาสนา โดยงดเว้น หรือเลื่อนจัดงานที่มีการรวมตัวของคนหมู่มากไปก่อน สําหรับประเพณีสงกรานต์ปีนี้นั้น ให้จัดเฉพาะภายในครัวเรือน เช่น ทําบุญตักบาตร สรงน้ําพระพุทธรูป รดน้ําขอพรผู้ใหญ่ สําหรับประชาชนที่ทํางานต่างถิ่นและไม่ได้เดินทางกลับบ้านอาจเปลี่ยนเป็นการรดน้ํา ขอพรผ่านโทรศัพท์หรือสื่อสังคมออนไลน์แทน และแนะนําให้ทุกคนแต่งกายให้มิดชิด สวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือน้ําสะอาดและสบู่บ่อย ๆ และปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การปฏิบัติตนในช่วงเทศกาล พิธีทางศาสนา ป้องกันไวรัสโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563
การปฏิบัติตนในช่วงเทศกาล พิธีทางศาสนา ป้องกันไวรัสโควิด-19
วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลกําหนดมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล ประเพณี และพิธีทางศาสนา โดยงดเว้น หรือเลื่อนจัดงานที่มีการรวมตัวของคนหมู่มากไปก่อน สําหรับประเพณีสงกรานต์ปีนี้นั้น ให้จัดเฉพาะภายในครัวเรือน เช่น ทําบุญตักบาตร สรงน้ําพระพุทธรูป รดน้ําขอพรผู้ใหญ่ สําหรับประชาชนที่ทํางานต่างถิ่นและไม่ได้เดินทางกลับบ้านอาจเปลี่ยนเป็นการรดน้ํา ขอพรผ่านโทรศัพท์หรือสื่อสังคมออนไลน์แทน และแนะนําให้ทุกคนแต่งกายให้มิดชิด สวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือน้ําสะอาดและสบู่บ่อย ๆ และปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27871 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม "หารือการบูรณาการความร่วมมือจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช 2561" | วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2560
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม "หารือการบูรณาการความร่วมมือจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช 2561"
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม "หารือการบูรณาการความร่วมมือจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช 2561"
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2560 เวลา 14.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม "หารือการบูรณาการความร่วมมือจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช 2561"ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล
โดยมี นางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา นายสมเกียรติ ธงศรี ผู้ตรวจราชการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมในการประชุม | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม "หารือการบูรณาการความร่วมมือจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช 2561"
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2560
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม "หารือการบูรณาการความร่วมมือจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช 2561"
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม "หารือการบูรณาการความร่วมมือจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช 2561"
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2560 เวลา 14.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม "หารือการบูรณาการความร่วมมือจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช 2561"ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล
โดยมี นางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา นายสมเกียรติ ธงศรี ผู้ตรวจราชการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมในการประชุม | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8317 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561
มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ําประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2561 ครม.มีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังโดย บสย. ดําเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกลไกการค้ําประกันของ บสย. ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ SMEs
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ดําเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกลไกการค้ําประกันของ บสย. ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ SMEs และเพิ่มโอกาสให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น โดยมาตรการดังกล่าวประกอบด้วย 2 โครงการ ดังนี้
1. โครงการค้ําประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 3 วงเงินค้ําประกันรวม 15,000 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินผ่านกลไกการค้ําประกันของ บสย. ซึ่งจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ําและลดต้นทุนในการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพื่อแก้ไขปัญหาการกู้เงินนอกระบบของผู้ประกอบการรายย่อย โดย บสย. รับค้ําประกันสูงสุดต่อรายไม่เกิน 200,000 บาท ค่าธรรมเนียมการค้ําประกันร้อยละ 1 - 2 ต่อปี โดยคิดตามระดับความเสี่ยงของผู้ประกอบการรายย่อย ระยะเวลาการค้ําประกันสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 10 ปี จ่ายค่าประกันชดเชยสูงสุดไม่เกินร้อยละ 38 และรัฐบาลจ่ายค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการในปีแรก ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นคําขอค้ําประกันได้จนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2563
2. โครงการค้ําประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 7 วงเงินค้ําประกันรวม 50,000 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการสินเชื่อจากสถาบันการเงินแต่มีหลักประกันไม่เพียงพอ โดย บสย. รับค้ําประกันสูงสุดต่อรายไม่เกิน 40 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมค้ําประกันไม่เกินร้อยละ 1.75 ต่อปี ระยะเวลาค้ําประกันสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 10 ปี และ บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 24.25 และรัฐบาลจ่ายค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการไม่เกินร้อยละ 2.25 ตลอดอายุการค้ําประกัน ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นคําขอค้ําประกันได้จนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2563
ทั้งนี้ การดําเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ในครั้งนี้ จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนและการบริโภคของผู้ประกอบการซึ่งจะก่อให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและการจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยโครงการค้ําประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 3 คาดว่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ประมาณ 150,000 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อ
ในระบบสถาบันการเงินไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท และโครงการค้ําประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 7 คาดว่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ประมาณ 43,000 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินไม่น้อยกว่า 240,000 ล้านบาท และช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ SMEs ไทย เพื่อเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป
สํานักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3233 โทรสาร 02 618 3374 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561
มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ําประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2561 ครม.มีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังโดย บสย. ดําเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกลไกการค้ําประกันของ บสย. ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ SMEs
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ดําเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกลไกการค้ําประกันของ บสย. ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ SMEs และเพิ่มโอกาสให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น โดยมาตรการดังกล่าวประกอบด้วย 2 โครงการ ดังนี้
1. โครงการค้ําประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 3 วงเงินค้ําประกันรวม 15,000 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินผ่านกลไกการค้ําประกันของ บสย. ซึ่งจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ําและลดต้นทุนในการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพื่อแก้ไขปัญหาการกู้เงินนอกระบบของผู้ประกอบการรายย่อย โดย บสย. รับค้ําประกันสูงสุดต่อรายไม่เกิน 200,000 บาท ค่าธรรมเนียมการค้ําประกันร้อยละ 1 - 2 ต่อปี โดยคิดตามระดับความเสี่ยงของผู้ประกอบการรายย่อย ระยะเวลาการค้ําประกันสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 10 ปี จ่ายค่าประกันชดเชยสูงสุดไม่เกินร้อยละ 38 และรัฐบาลจ่ายค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการในปีแรก ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นคําขอค้ําประกันได้จนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2563
2. โครงการค้ําประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 7 วงเงินค้ําประกันรวม 50,000 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการสินเชื่อจากสถาบันการเงินแต่มีหลักประกันไม่เพียงพอ โดย บสย. รับค้ําประกันสูงสุดต่อรายไม่เกิน 40 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมค้ําประกันไม่เกินร้อยละ 1.75 ต่อปี ระยะเวลาค้ําประกันสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 10 ปี และ บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 24.25 และรัฐบาลจ่ายค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการไม่เกินร้อยละ 2.25 ตลอดอายุการค้ําประกัน ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นคําขอค้ําประกันได้จนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2563
ทั้งนี้ การดําเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ในครั้งนี้ จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนและการบริโภคของผู้ประกอบการซึ่งจะก่อให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและการจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยโครงการค้ําประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 3 คาดว่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ประมาณ 150,000 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อ
ในระบบสถาบันการเงินไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท และโครงการค้ําประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 7 คาดว่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ประมาณ 43,000 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินไม่น้อยกว่า 240,000 ล้านบาท และช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ SMEs ไทย เพื่อเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป
สํานักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3233 โทรสาร 02 618 3374 | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14133 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ปมท. ประชุมหารือภาคีเครือข่ายเตรียมจัดโครงการพัฒนายุวมหาดไทย ปลูกฝังเด็กและเยาวชนไทย เรียนรู้การเป็นผู้ให้ ทำงานรับใช้สังคม และรู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน | วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560
รอง ปมท. ประชุมหารือภาคีเครือข่ายเตรียมจัดโครงการพัฒนายุวมหาดไทย ปลูกฝังเด็กและเยาวชนไทย เรียนรู้การเป็นผู้ให้ ทํางานรับใช้สังคม และรู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ประชุมหารือภาคีเครือข่ายเตรียมจัดโครงการพัฒนายุวมหาดไทย ปลูกฝังเด็กและเยาวชนไทย เรียนรู้การเป็นผู้ให้ ทํางานรับใช้สังคม และรู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
วันนี้ (13 ก.ค. 60) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุม 3 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมเตรียมการเพื่อดําเนินโครงการพัฒนายุวมหาดไทย ซึ่งจัดขึ้นโดย สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับมูลนิธิรัฐบุรุษ (พลเอก เปรม ติณสูลานนท์) สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อสร้างเครือข่ายเยาวชนต้นแบบที่มีจิตสํานึกสาธารณะ ตระหนักถึงส่วนรวม ฝึกฝนการเป็นผู้นํา และการเป็นผู้ให้แก่สังคม รวมทั้งรู้จักตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน เพื่อเป็นแบบอย่างเยาวชนที่มีคุณภาพและมีความพร้อมในการดูแลบ้านเมืองในอนาคต โดยมีพลเอก ดร.ศรุต นาควัชระ กรรมการบริหารมูลนิธิรัฐบุรุษฯ ผศ.นาวาอากาศโทหญิง ดร.งามละมัย ผิวเหลือง รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นางสุภาภรณ์ ดอกแก้วดี ผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา นิสิตจากมหาวิทยาลัยต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าตามที่รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลโดยเฉพาะเยาวชนซึ่งเป็นกําลังสําคัญของชาติ โดยส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมโครงการเพื่อพัฒนาบุคลากรทั้งระดับประเทศ ภูมิภาค และท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเสริมสร้างความมีวินัยของคนในชาติ เช่น การจัดระเบียบสังคม การส่งเสริมความสามัคคี และความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ตระหนักถึงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข ไม่มีความขัดแย้ง โดยการปลูกฝังแนวคิดหลักการในเรื่องดังกล่าวให้แก่เยาวชนไทย ได้เรียนรู้พระบรมราโชวาท หลักการทรงงาน และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งใช้เป็นแนวทางในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ตามหลักการ“รู้ รัก สามัคคี”กระทรวงมหาดไทยจึงได้จัดทําโครงการพัฒนายุวมหาดไทยขึ้น ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้เยาวชน ได้แก่ นักเรียน นิสิต นักศึกษาจากหลายสถาบันการศึกษา ได้เรียนรู้และเข้าใจการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การทํางานร่วมกัน การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสมานฉันท์ และนําไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและสังคม
สําหรับรูปแบบการดําเนินโครงการพัฒนายุวมหาดไทย กระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกับมูลนิธิรัฐบุรุษฯ สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกิจกรรมค่ายพัฒนายุวมหาดไทย โดยแบ่งกิจกรรมเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วยส่วนที่ 1 กิจกรรมค่ายพี่เลี้ยงยุวมหาดไทยโดยมีกลุ่มเป้าหมาย เป็นนิสิต นักศึกษาจากสถาบันการศึกษา จํานวน 40 คน จะทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในการดําเนินการจัดค่ายยุวมหาดไทย มีกระบวนการและหลักการในการขับเคลื่อนโครงการฯ ในลักษณะ“พี่สอนน้อง”เน้นการให้คําปรึกษาแนวทางการจัดกิจกรรมภายในค่ายฯการแนะนําดูแลซึ่งกันและกันของกลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่วนที่2 กิจกรรมค่ายยุวมหาดไทยมีกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หรือ 5 จากโรงเรียนในพื้นที่ที่จัดกิจกรรม จํานวน 100 คน
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าการจัดกิจกรรมให้กับกลุ่มเยาวชนครั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจะดําเนินการภายใต้การจัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ มูลนิธิรัฐบุรุษฯ สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อร่วมกันสร้างเครือข่ายเยาวชนต้นแบบ เพื่อเป็นแบบอย่างเยาวชนที่มีคุณภาพและมีความพร้อมในการดูแลบ้านเมืองในอนาคต อันเป็นการสนองพระบรมราโชวาท“รู้ รัก สามัคคี”และอุดมการณ์“เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน”ซึ่งกระทรวงมหาดไทยคาดหวังว่า เยาวชนเหล่านี้จะเป็นกําลังสําคัญที่จะนําพาสังคมและประเทศชาติ ให้มีความสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองได้ในอนาคต.
ครั้งที่ 98/2560 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ปมท. ประชุมหารือภาคีเครือข่ายเตรียมจัดโครงการพัฒนายุวมหาดไทย ปลูกฝังเด็กและเยาวชนไทย เรียนรู้การเป็นผู้ให้ ทำงานรับใช้สังคม และรู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560
รอง ปมท. ประชุมหารือภาคีเครือข่ายเตรียมจัดโครงการพัฒนายุวมหาดไทย ปลูกฝังเด็กและเยาวชนไทย เรียนรู้การเป็นผู้ให้ ทํางานรับใช้สังคม และรู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ประชุมหารือภาคีเครือข่ายเตรียมจัดโครงการพัฒนายุวมหาดไทย ปลูกฝังเด็กและเยาวชนไทย เรียนรู้การเป็นผู้ให้ ทํางานรับใช้สังคม และรู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
วันนี้ (13 ก.ค. 60) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุม 3 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมเตรียมการเพื่อดําเนินโครงการพัฒนายุวมหาดไทย ซึ่งจัดขึ้นโดย สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับมูลนิธิรัฐบุรุษ (พลเอก เปรม ติณสูลานนท์) สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อสร้างเครือข่ายเยาวชนต้นแบบที่มีจิตสํานึกสาธารณะ ตระหนักถึงส่วนรวม ฝึกฝนการเป็นผู้นํา และการเป็นผู้ให้แก่สังคม รวมทั้งรู้จักตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน เพื่อเป็นแบบอย่างเยาวชนที่มีคุณภาพและมีความพร้อมในการดูแลบ้านเมืองในอนาคต โดยมีพลเอก ดร.ศรุต นาควัชระ กรรมการบริหารมูลนิธิรัฐบุรุษฯ ผศ.นาวาอากาศโทหญิง ดร.งามละมัย ผิวเหลือง รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นางสุภาภรณ์ ดอกแก้วดี ผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา นิสิตจากมหาวิทยาลัยต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าตามที่รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลโดยเฉพาะเยาวชนซึ่งเป็นกําลังสําคัญของชาติ โดยส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมโครงการเพื่อพัฒนาบุคลากรทั้งระดับประเทศ ภูมิภาค และท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเสริมสร้างความมีวินัยของคนในชาติ เช่น การจัดระเบียบสังคม การส่งเสริมความสามัคคี และความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ตระหนักถึงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข ไม่มีความขัดแย้ง โดยการปลูกฝังแนวคิดหลักการในเรื่องดังกล่าวให้แก่เยาวชนไทย ได้เรียนรู้พระบรมราโชวาท หลักการทรงงาน และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งใช้เป็นแนวทางในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ตามหลักการ“รู้ รัก สามัคคี”กระทรวงมหาดไทยจึงได้จัดทําโครงการพัฒนายุวมหาดไทยขึ้น ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้เยาวชน ได้แก่ นักเรียน นิสิต นักศึกษาจากหลายสถาบันการศึกษา ได้เรียนรู้และเข้าใจการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การทํางานร่วมกัน การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสมานฉันท์ และนําไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและสังคม
สําหรับรูปแบบการดําเนินโครงการพัฒนายุวมหาดไทย กระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกับมูลนิธิรัฐบุรุษฯ สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกิจกรรมค่ายพัฒนายุวมหาดไทย โดยแบ่งกิจกรรมเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วยส่วนที่ 1 กิจกรรมค่ายพี่เลี้ยงยุวมหาดไทยโดยมีกลุ่มเป้าหมาย เป็นนิสิต นักศึกษาจากสถาบันการศึกษา จํานวน 40 คน จะทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในการดําเนินการจัดค่ายยุวมหาดไทย มีกระบวนการและหลักการในการขับเคลื่อนโครงการฯ ในลักษณะ“พี่สอนน้อง”เน้นการให้คําปรึกษาแนวทางการจัดกิจกรรมภายในค่ายฯการแนะนําดูแลซึ่งกันและกันของกลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่วนที่2 กิจกรรมค่ายยุวมหาดไทยมีกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หรือ 5 จากโรงเรียนในพื้นที่ที่จัดกิจกรรม จํานวน 100 คน
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าการจัดกิจกรรมให้กับกลุ่มเยาวชนครั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจะดําเนินการภายใต้การจัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ มูลนิธิรัฐบุรุษฯ สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อร่วมกันสร้างเครือข่ายเยาวชนต้นแบบ เพื่อเป็นแบบอย่างเยาวชนที่มีคุณภาพและมีความพร้อมในการดูแลบ้านเมืองในอนาคต อันเป็นการสนองพระบรมราโชวาท“รู้ รัก สามัคคี”และอุดมการณ์“เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน”ซึ่งกระทรวงมหาดไทยคาดหวังว่า เยาวชนเหล่านี้จะเป็นกําลังสําคัญที่จะนําพาสังคมและประเทศชาติ ให้มีความสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองได้ในอนาคต.
ครั้งที่ 98/2560 | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5190 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือภาคธุรกิจโรงแรมเข้มงวดเรื่องความสะอาด เน้นมาตรการป้องกัน คัดกรอง วัดไข้ ผู้เข้าใช้บริการอย่างเข้มงวด | วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือภาคธุรกิจโรงแรมเข้มงวดเรื่องความสะอาด เน้นมาตรการป้องกัน คัดกรอง วัดไข้ ผู้เข้าใช้บริการอย่างเข้มงวด
นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือภาคธุรกิจโรงแรมเข้มงวดเรื่องความสะอาด เน้นมาตรการป้องกัน คัดกรอง วัดไข้ ผู้เข้าใช้บริการอย่างเข้มงวด
วันนี้ (11 มีนาคม 2563) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ COVID-19 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแสดงความห่วงใยต่อการใช้สถานที่สําหรับการจัดประชุม สัมมนา โดยขอความร่วมมือภาคธุรกิจ โรงแรมเข้มงวดเรื่องความสะอาด มีมาตรการป้องกัน คัดกรอง วัดไข้ ผู้เข้าใช้บริการอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วยพยุงภาคธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 เห็นชอบสนับสนุนให้หน่วยงานราชการจัดการอบรมสัมมนาภายในประเทศ ในช่วงหลังจากนี้ คือเมษายน - มิถุนายน เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรมยังคงสามารถประกอบการกระตุ้นการใช้จ่ายทั้งสินค้า อาหารและบริการ และช่วยชะลอการเลิกจ้าง
นายกฯ ย้ํามาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล ที่ต้องการบรรเทาผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม จากปัญหาไวรัส COVID 19 เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้าได้ต่อ ช่วยไม่ให้คนตกงานเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงเข้มงวดมาตรการป้องกัน เฝ้าระวัง เพื่อชะลอหรือยุติการแพร่ระบาด เพราะสุขภาพและความปลอดภัยของทุกคนในประเทศเป็นสําคัญอันดับหนึ่ง ทั้งนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนามีมากขึ้น อาจจําเป็นต้องพิจารณาการจัดอบรมสัมมนาทั้งในด้านการจํากัดจํานวนคน และสถานที่ที่จะจัด เป็นต้น | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือภาคธุรกิจโรงแรมเข้มงวดเรื่องความสะอาด เน้นมาตรการป้องกัน คัดกรอง วัดไข้ ผู้เข้าใช้บริการอย่างเข้มงวด
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือภาคธุรกิจโรงแรมเข้มงวดเรื่องความสะอาด เน้นมาตรการป้องกัน คัดกรอง วัดไข้ ผู้เข้าใช้บริการอย่างเข้มงวด
นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือภาคธุรกิจโรงแรมเข้มงวดเรื่องความสะอาด เน้นมาตรการป้องกัน คัดกรอง วัดไข้ ผู้เข้าใช้บริการอย่างเข้มงวด
วันนี้ (11 มีนาคม 2563) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ COVID-19 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแสดงความห่วงใยต่อการใช้สถานที่สําหรับการจัดประชุม สัมมนา โดยขอความร่วมมือภาคธุรกิจ โรงแรมเข้มงวดเรื่องความสะอาด มีมาตรการป้องกัน คัดกรอง วัดไข้ ผู้เข้าใช้บริการอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วยพยุงภาคธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 เห็นชอบสนับสนุนให้หน่วยงานราชการจัดการอบรมสัมมนาภายในประเทศ ในช่วงหลังจากนี้ คือเมษายน - มิถุนายน เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรมยังคงสามารถประกอบการกระตุ้นการใช้จ่ายทั้งสินค้า อาหารและบริการ และช่วยชะลอการเลิกจ้าง
นายกฯ ย้ํามาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล ที่ต้องการบรรเทาผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม จากปัญหาไวรัส COVID 19 เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้าได้ต่อ ช่วยไม่ให้คนตกงานเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงเข้มงวดมาตรการป้องกัน เฝ้าระวัง เพื่อชะลอหรือยุติการแพร่ระบาด เพราะสุขภาพและความปลอดภัยของทุกคนในประเทศเป็นสําคัญอันดับหนึ่ง ทั้งนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนามีมากขึ้น อาจจําเป็นต้องพิจารณาการจัดอบรมสัมมนาทั้งในด้านการจํากัดจํานวนคน และสถานที่ที่จะจัด เป็นต้น | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27286 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดสัมมนา SME สัญจร ครั้งที่ 1 "เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน" จ.เชียงใหม่ | วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม 2561
รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดสัมมนา SME สัญจร ครั้งที่ 1 "เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน" จ.เชียงใหม่
รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดสัมมนา SME สัญจร ครั้งที่ 1 "เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน" จ.เชียงใหม่
วันนี้ (13 กรกฎาคม 2561) เวลา 13.30 น. นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดสัมมนา SME สัญจร ครั้งที่ 1 เรื่อง "เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน" พร้อมมอบสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs จํานวน 30 ราย มอบสินเชื่อโครงการเงินทุนหมุนเวียน จํานวน 2 ราย และมอบใบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน มอบ Software สําหรับบริหารจัดการธุรกิจ SMEs จาก Chiang Mai Digital Hub จํานวน 10 กิจการ และมอบคูปองตรวจยกระดับมาตรฐาน SME ไทยสู่สากล จาก สสว. และ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย)จํากัด จํานวน 6 กิจการ โดยมีนายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายณพพงศ์ ธีระวร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน โดยมีนายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดสัมมนา SME สัญจร ครั้งที่ 1 "เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน" จ.เชียงใหม่
วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม 2561
รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดสัมมนา SME สัญจร ครั้งที่ 1 "เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน" จ.เชียงใหม่
รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดสัมมนา SME สัญจร ครั้งที่ 1 "เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน" จ.เชียงใหม่
วันนี้ (13 กรกฎาคม 2561) เวลา 13.30 น. นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดสัมมนา SME สัญจร ครั้งที่ 1 เรื่อง "เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน" พร้อมมอบสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs จํานวน 30 ราย มอบสินเชื่อโครงการเงินทุนหมุนเวียน จํานวน 2 ราย และมอบใบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน มอบ Software สําหรับบริหารจัดการธุรกิจ SMEs จาก Chiang Mai Digital Hub จํานวน 10 กิจการ และมอบคูปองตรวจยกระดับมาตรฐาน SME ไทยสู่สากล จาก สสว. และ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย)จํากัด จํานวน 6 กิจการ โดยมีนายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายณพพงศ์ ธีระวร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน โดยมีนายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13852 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยและอินเดีย พร้อมกระชับความร่วมมือในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ | วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2563
ไทยและอินเดีย พร้อมกระชับความร่วมมือในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
ไทยและอินเดีย พร้อมกระชับความร่วมมือในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
วันนี้ (23 ม.ค. 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรับรองรองนายกรัฐมนตรี ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นางสุจิตรา ทุไร (Suchitra Durai) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับเอกอัครราชทูตอินเดียอีกครั้ง และยืนยันความพร้อมของรัฐบาลไทยที่จะทํางานร่วมกับอินเดียอย่างใกล้ชิด เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะร่วมมือกันได้อีกมาก
เอกอัครราชทูตอินเดียยืนยันความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกัน ไทยและอินเดียมีความใกล้ชิดกันทั้งทางด้านศาสนาและวัฒนธรรมมายาวนาน และแสดงความยินดีต่อความสําเร็จของไทยในการเป็นประธานอาเซียนเมื่อปีที่ผ่านมา พร้อมใช้โอกาสนี้เชิญรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานและร่วมงาน North East India Festival 2020 ครั้งที่ 2 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างวันที่ 21 – 23 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรียินดีพิจารณาการเป็นประธานในพิธีเปิดงานดังกล่าวหากภารกิจในวัน และเวลาดังกล่าวเอื้ออํานวย
รองนายกรัฐมนตรีประสงค์ให้อินเดียผลักดันการสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคระหว่างอินเดียกับประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรุกตะวันออก (Act East Policy) ของอินเดีย และหวังจะพบปะกับนักลงทุนอินเดียเพื่อสานต่อความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน พร้อมเชิญชวนภาคเอกชนอินเดียให้มาลงทุนในไทยมากขึ้น ในสาขาที่อินเดียมีศักยภาพ อาทิ วิศวกรรมยานยนต์ ดิจิทัล และเทคโนโลยีอัจฉริยะ
ในการนี้เอกอัครราชทูตอินเดียได้เชิญไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กร International Solar Alliance (ISA) และ Coalition for Disaster Resilient Infrastructure (CDRI) ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีรับจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาการเข้าร่วมเป็นสมาชิกต่อไป
*********** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยและอินเดีย พร้อมกระชับความร่วมมือในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2563
ไทยและอินเดีย พร้อมกระชับความร่วมมือในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
ไทยและอินเดีย พร้อมกระชับความร่วมมือในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
วันนี้ (23 ม.ค. 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรับรองรองนายกรัฐมนตรี ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นางสุจิตรา ทุไร (Suchitra Durai) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับเอกอัครราชทูตอินเดียอีกครั้ง และยืนยันความพร้อมของรัฐบาลไทยที่จะทํางานร่วมกับอินเดียอย่างใกล้ชิด เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะร่วมมือกันได้อีกมาก
เอกอัครราชทูตอินเดียยืนยันความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกัน ไทยและอินเดียมีความใกล้ชิดกันทั้งทางด้านศาสนาและวัฒนธรรมมายาวนาน และแสดงความยินดีต่อความสําเร็จของไทยในการเป็นประธานอาเซียนเมื่อปีที่ผ่านมา พร้อมใช้โอกาสนี้เชิญรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานและร่วมงาน North East India Festival 2020 ครั้งที่ 2 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างวันที่ 21 – 23 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรียินดีพิจารณาการเป็นประธานในพิธีเปิดงานดังกล่าวหากภารกิจในวัน และเวลาดังกล่าวเอื้ออํานวย
รองนายกรัฐมนตรีประสงค์ให้อินเดียผลักดันการสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคระหว่างอินเดียกับประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรุกตะวันออก (Act East Policy) ของอินเดีย และหวังจะพบปะกับนักลงทุนอินเดียเพื่อสานต่อความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน พร้อมเชิญชวนภาคเอกชนอินเดียให้มาลงทุนในไทยมากขึ้น ในสาขาที่อินเดียมีศักยภาพ อาทิ วิศวกรรมยานยนต์ ดิจิทัล และเทคโนโลยีอัจฉริยะ
ในการนี้เอกอัครราชทูตอินเดียได้เชิญไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กร International Solar Alliance (ISA) และ Coalition for Disaster Resilient Infrastructure (CDRI) ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีรับจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาการเข้าร่วมเป็นสมาชิกต่อไป
*********** | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26001 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 แบงก์รัฐ ผนึกกำลัง คิกออฟ “โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ” เพิ่มช่องทางให้บริการลูกค้าเข้าถึงสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ!! | วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
3 แบงก์รัฐ ผนึกกําลัง คิกออฟ “โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ” เพิ่มช่องทางให้บริการลูกค้าเข้าถึงสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ํา!!
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ”
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ” สนับสนุนนโยบายรัฐบาลสร้างความเข้มแข็งในระบบเศรษฐกิจส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสินเชื่อที่อยู่อาศัยในระบบได้ โดยลูกค้า ธอส.ที่ต้องการสร้างอาชีพ สามารถขอสินเชื่อจาก ธพว. โดยมี บสย.ค้ําประกันสินเชื่อ ส่วนลูกค้า ธพว. และบสย.ที่มีอาชีพที่เข้มแข็งต้องการสร้าง ขยาย หรือต่อเติมที่อยู่อาศัย รวมถึงต้องการเป็นผู้ประกอบการแฟลต/อพาร์ทเม้นท์ หรือทําโครงการจัดสรร สามารถขอสินเชื่อกับ ธอส.ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ํา นอกจากนี้ยังร่วมกันส่งเสริมพัฒนาทักษะ เพิ่มพูนความรู้ สร้างโอกาส สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ในท้องถิ่นให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เริ่ม 3 เม.ย. - 28 ธ.ค.61
นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากนโยบายรัฐบาลที่ต้องการสร้างความเข้มแข็งในระบบเศรษฐกิจ เริ่มจากเศรษฐกิจระดับฐานราก ระดับท้องถิ่น ที่เรียกว่า Local Economy ซึ่งเป็นการสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนให้มีความเข้มแข็งและสามารถจัดหาที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) เป็นกลไกสําคัญในการช่วยเหลือประชาชนให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชนให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบ ผ่านธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจ SMEs
“ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จึงได้ร่วมกันจัดทํา “โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ” เพื่อดําเนินกิจกรรมการสร้างองค์ความรู้ และส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ในท้องถิ่น และสร้างความมั่นคงในการดําเนินกิจการ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ โดยลูกค้า ธอส.ที่อยากต่อยอดธุรกิจเพื่อประกอบอาชีพ อาทิ สินค้าเกษตรแปรรูป ท่องเที่ยวชุมชน หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เป็นผู้ประกอบการใหม่หรือมีนวัตกรรมใหม่ สามารถขอสินเชื่อได้ที่ ธพว. โดยมี บสย.ค้ําประกัน สําหรับลูกค้า ธพว.และ บสย.ที่มีอาชีพที่เข้มแข็งแล้ว ต้องการซื้อ สร้าง ขยาย หรือต่อเติมที่อยู่อาศัย หรือแหล่งเงินทุนสําหรับผู้ประกอบการแฟลต/อพาร์ทเม้นท์ หรือสินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) สามารถขอสินเชื่อกับ ธอส.ได้” นายสุรชัย กล่าว
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้กรอบความร่วมมือในครั้งนี้ ธอส.พร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs โดยการเปิดให้บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลที่เป็นลูกค้าของ ธพว. และ บสย. ที่มีความต้องการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ ขอสินเชื่อสําหรับผู้ประกอบการแฟลต/อพาร์ทเม้นท์ หรือขอสินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) สามารถเลือกใช้สินเชื่อของ ธอส.ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจทําให้คนไทยมีบ้าน โดยจะเปิดให้ยื่นกู้และทํานิติกรรมภายในวันที่ 28 ธันวาคม 2561 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด ประกอบด้วย
1.สินเชื่อรายย่อยทุกประเภทที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้กู้ อาทิ
1.1 โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (กรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี คงที่นาน 4 ปีแรก ปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.75% ต่อปี ค่าธรรมเนียม 4 ฟรี ได้แก่ (1)ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินกู้) (2)ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน (3)ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ(4)ฟรีค่าจดทะเบียนนิติกรรมจํานอง (0.5% ของวงเงินจํานอง) ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และไถ่ถอนจํานองที่อยู่อาศัย สําหรับลูกค้ารายย่อยรายได้สุทธิไม่เกิน 25,000 บาท วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 2 ล้านบาท
1.2. โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (บุคลากรภาครัฐ) (กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ย MRR-3.75% ต่อปี ปัจจุบันเท่ากับ 3.00% ต่อปี นาน 4 ปีแรก ปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี และกรณีกู้ชําระหนี้ หรือซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.75% ต่อปี) ค่าธรรมเนียม 3 ฟรี ได้แก่ (1)ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินกู้) (2)ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน และ (3)ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ให้กู้สําหรับลูกค้ารายย่อยเพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติมซ่อมแซม และไถ่ถอนจํานองที่อยู่อาศัย
2.สินเชื่อสําหรับผู้ประกอบการ/แฟลต/อพาร์ทเม้นท์ (กรอบวงเงิน 1,500 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ MLR – 2.00% ต่อปี ปัจจุบันเท่ากับ 4.25% ต่อปี ปีที่ 2-5 ดอกเบี้ยเท่ากับ MLR – ไม่เกิน 1.00% ต่อปี ปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ดอกเบี้ยเท่ากับ MLR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR ธอส. เท่ากับ 6.25% ต่อปี) ค่าธรรมเนียม 2 ฟรี ได้แก่ (1) ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.25% ต่อปี ของวงเงินอนุมัติ) และ (2)ค่าประเมินราคาหลักประกัน ให้กู้เพื่อปลูกสร้าง ไถ่ถอนจํานองอาคารแฟลต/อพาร์ทเม้นท์ ซื้อที่ดินพร้อมอาคารแฟลต และซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคารแฟลต
3.สินเชื่อพัฒนาโครงการหรือ Pre Finance (กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท) วงเงิน Term Loan ระยะเวลากู้ไม่เกิน 5 ปี อัตราดอกเบี้ย เท่ากับ MLR + ไม่เกิน 1.00% ต่อปี และวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 1 ปี ดอกเบี้ยเท่ากับ MOR + ไม่เกิน 1.00% ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MOR ธอส. เท่ากับ 7.00% ต่อปีวงเงินให้กู้ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อโครงการ ให้กู้เพื่อก่อสร้างอาคารพัฒนาสาธารณูปโภค ค่าที่ดิน และการค้ําประกันที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดทําโครงการ สําหรับโครงการที่จัดทําที่อยู่อาศัยทุกประเภทในระดับราคาขายไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย โดยมีสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจํานวนหน่วยขายทั้งหมดของโครงการ
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ ธพว. พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกค้า ธอส. ที่ประสงค์จะสร้างอาชีพในที่อยู่อาศัยเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ําต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว ดอกเบี้ย 3% ใช้ บสย. ค้ําประกันฟรี 4 ปีแรก สําหรับผู้ประกอบธุรกิจในกลุ่มท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง เกษตรแปรรูป ที่อาศัยอยู่ในชุมชนท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 1% ปลอดชําระเงินต้น 3 ปีแรก เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีปัญหาทางการเงินสามารถกู้ได้ (แม้เคยปรับโครงสร้างหนี้ หรือผ่อนชําระไม่ต่อเนื่องมาก็ตาม) และสินเชื่อสร้างอาชีพวัยเก๋า ซึ่งผ่อนปรนเกณฑ์ให้ผู้สูงอายุเข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้นตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป จนถึง 75 ปี เป็นต้น
นางนิภารัตน์ พิสิฐพิทยเสรี รองผู้จัดการทั่วไป สายงานบริหารทั่วไป รักษาการแทนผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า “โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ” เป็นปรากฏการณ์ความร่วมมือและการบูรณาการระหว่างแบงก์รัฐ ในการช่วยผู้ประกอบการและลูกค้า ธอส. ได้เข้าถึงสินเชื่อธุรกิจ และการค้ําประกันสินเชื่อจากบสย.และยังเป็นครั้งแรกที่ 3 สถาบันการเงินเฉพาะกิจได้จับมือกัน สร้างสรรค์และพัฒนาโมเดลสินเชื่อและการค้ําประกันสินเชื่อร่วมกัน เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นลูกค้า ธพว. ที่ต้องการสินเชื่อบ้าน และลูกค้าสินเชื่อบ้านของ ธอส. สามารถเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อจาก 2 สถาบันการเงินดังกล่าว โดยยังมี บสย. เข้าไปช่วยเติมเต็มผู้ประกอบการที่ต้องการสินเชื่อธุรกิจ และขอสินเชื่อจาก ธพว. ด้วย โดยขณะนี้ บสย. มีโครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (PGS 6) ปรับปรุงใหม่ วงเงินสนับสนุนอีกกว่า 30,000 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 4 ปี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 แบงก์รัฐ ผนึกกำลัง คิกออฟ “โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ” เพิ่มช่องทางให้บริการลูกค้าเข้าถึงสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ!!
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
3 แบงก์รัฐ ผนึกกําลัง คิกออฟ “โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ” เพิ่มช่องทางให้บริการลูกค้าเข้าถึงสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ํา!!
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ”
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ” สนับสนุนนโยบายรัฐบาลสร้างความเข้มแข็งในระบบเศรษฐกิจส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสินเชื่อที่อยู่อาศัยในระบบได้ โดยลูกค้า ธอส.ที่ต้องการสร้างอาชีพ สามารถขอสินเชื่อจาก ธพว. โดยมี บสย.ค้ําประกันสินเชื่อ ส่วนลูกค้า ธพว. และบสย.ที่มีอาชีพที่เข้มแข็งต้องการสร้าง ขยาย หรือต่อเติมที่อยู่อาศัย รวมถึงต้องการเป็นผู้ประกอบการแฟลต/อพาร์ทเม้นท์ หรือทําโครงการจัดสรร สามารถขอสินเชื่อกับ ธอส.ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ํา นอกจากนี้ยังร่วมกันส่งเสริมพัฒนาทักษะ เพิ่มพูนความรู้ สร้างโอกาส สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ในท้องถิ่นให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เริ่ม 3 เม.ย. - 28 ธ.ค.61
นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากนโยบายรัฐบาลที่ต้องการสร้างความเข้มแข็งในระบบเศรษฐกิจ เริ่มจากเศรษฐกิจระดับฐานราก ระดับท้องถิ่น ที่เรียกว่า Local Economy ซึ่งเป็นการสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนให้มีความเข้มแข็งและสามารถจัดหาที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) เป็นกลไกสําคัญในการช่วยเหลือประชาชนให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชนให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบ ผ่านธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจ SMEs
“ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จึงได้ร่วมกันจัดทํา “โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ” เพื่อดําเนินกิจกรรมการสร้างองค์ความรู้ และส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ในท้องถิ่น และสร้างความมั่นคงในการดําเนินกิจการ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ โดยลูกค้า ธอส.ที่อยากต่อยอดธุรกิจเพื่อประกอบอาชีพ อาทิ สินค้าเกษตรแปรรูป ท่องเที่ยวชุมชน หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เป็นผู้ประกอบการใหม่หรือมีนวัตกรรมใหม่ สามารถขอสินเชื่อได้ที่ ธพว. โดยมี บสย.ค้ําประกัน สําหรับลูกค้า ธพว.และ บสย.ที่มีอาชีพที่เข้มแข็งแล้ว ต้องการซื้อ สร้าง ขยาย หรือต่อเติมที่อยู่อาศัย หรือแหล่งเงินทุนสําหรับผู้ประกอบการแฟลต/อพาร์ทเม้นท์ หรือสินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) สามารถขอสินเชื่อกับ ธอส.ได้” นายสุรชัย กล่าว
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้กรอบความร่วมมือในครั้งนี้ ธอส.พร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs โดยการเปิดให้บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลที่เป็นลูกค้าของ ธพว. และ บสย. ที่มีความต้องการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ ขอสินเชื่อสําหรับผู้ประกอบการแฟลต/อพาร์ทเม้นท์ หรือขอสินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) สามารถเลือกใช้สินเชื่อของ ธอส.ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจทําให้คนไทยมีบ้าน โดยจะเปิดให้ยื่นกู้และทํานิติกรรมภายในวันที่ 28 ธันวาคม 2561 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด ประกอบด้วย
1.สินเชื่อรายย่อยทุกประเภทที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้กู้ อาทิ
1.1 โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (กรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี คงที่นาน 4 ปีแรก ปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.75% ต่อปี ค่าธรรมเนียม 4 ฟรี ได้แก่ (1)ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินกู้) (2)ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน (3)ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ(4)ฟรีค่าจดทะเบียนนิติกรรมจํานอง (0.5% ของวงเงินจํานอง) ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และไถ่ถอนจํานองที่อยู่อาศัย สําหรับลูกค้ารายย่อยรายได้สุทธิไม่เกิน 25,000 บาท วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 2 ล้านบาท
1.2. โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (บุคลากรภาครัฐ) (กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ย MRR-3.75% ต่อปี ปัจจุบันเท่ากับ 3.00% ต่อปี นาน 4 ปีแรก ปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี และกรณีกู้ชําระหนี้ หรือซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.75% ต่อปี) ค่าธรรมเนียม 3 ฟรี ได้แก่ (1)ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินกู้) (2)ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน และ (3)ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ให้กู้สําหรับลูกค้ารายย่อยเพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติมซ่อมแซม และไถ่ถอนจํานองที่อยู่อาศัย
2.สินเชื่อสําหรับผู้ประกอบการ/แฟลต/อพาร์ทเม้นท์ (กรอบวงเงิน 1,500 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ MLR – 2.00% ต่อปี ปัจจุบันเท่ากับ 4.25% ต่อปี ปีที่ 2-5 ดอกเบี้ยเท่ากับ MLR – ไม่เกิน 1.00% ต่อปี ปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ดอกเบี้ยเท่ากับ MLR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR ธอส. เท่ากับ 6.25% ต่อปี) ค่าธรรมเนียม 2 ฟรี ได้แก่ (1) ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.25% ต่อปี ของวงเงินอนุมัติ) และ (2)ค่าประเมินราคาหลักประกัน ให้กู้เพื่อปลูกสร้าง ไถ่ถอนจํานองอาคารแฟลต/อพาร์ทเม้นท์ ซื้อที่ดินพร้อมอาคารแฟลต และซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคารแฟลต
3.สินเชื่อพัฒนาโครงการหรือ Pre Finance (กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท) วงเงิน Term Loan ระยะเวลากู้ไม่เกิน 5 ปี อัตราดอกเบี้ย เท่ากับ MLR + ไม่เกิน 1.00% ต่อปี และวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 1 ปี ดอกเบี้ยเท่ากับ MOR + ไม่เกิน 1.00% ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MOR ธอส. เท่ากับ 7.00% ต่อปีวงเงินให้กู้ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อโครงการ ให้กู้เพื่อก่อสร้างอาคารพัฒนาสาธารณูปโภค ค่าที่ดิน และการค้ําประกันที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดทําโครงการ สําหรับโครงการที่จัดทําที่อยู่อาศัยทุกประเภทในระดับราคาขายไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย โดยมีสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจํานวนหน่วยขายทั้งหมดของโครงการ
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ ธพว. พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกค้า ธอส. ที่ประสงค์จะสร้างอาชีพในที่อยู่อาศัยเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ําต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว ดอกเบี้ย 3% ใช้ บสย. ค้ําประกันฟรี 4 ปีแรก สําหรับผู้ประกอบธุรกิจในกลุ่มท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง เกษตรแปรรูป ที่อาศัยอยู่ในชุมชนท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 1% ปลอดชําระเงินต้น 3 ปีแรก เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีปัญหาทางการเงินสามารถกู้ได้ (แม้เคยปรับโครงสร้างหนี้ หรือผ่อนชําระไม่ต่อเนื่องมาก็ตาม) และสินเชื่อสร้างอาชีพวัยเก๋า ซึ่งผ่อนปรนเกณฑ์ให้ผู้สูงอายุเข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้นตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป จนถึง 75 ปี เป็นต้น
นางนิภารัตน์ พิสิฐพิทยเสรี รองผู้จัดการทั่วไป สายงานบริหารทั่วไป รักษาการแทนผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า “โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ” เป็นปรากฏการณ์ความร่วมมือและการบูรณาการระหว่างแบงก์รัฐ ในการช่วยผู้ประกอบการและลูกค้า ธอส. ได้เข้าถึงสินเชื่อธุรกิจ และการค้ําประกันสินเชื่อจากบสย.และยังเป็นครั้งแรกที่ 3 สถาบันการเงินเฉพาะกิจได้จับมือกัน สร้างสรรค์และพัฒนาโมเดลสินเชื่อและการค้ําประกันสินเชื่อร่วมกัน เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นลูกค้า ธพว. ที่ต้องการสินเชื่อบ้าน และลูกค้าสินเชื่อบ้านของ ธอส. สามารถเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อจาก 2 สถาบันการเงินดังกล่าว โดยยังมี บสย. เข้าไปช่วยเติมเต็มผู้ประกอบการที่ต้องการสินเชื่อธุรกิจ และขอสินเชื่อจาก ธพว. ด้วย โดยขณะนี้ บสย. มีโครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (PGS 6) ปรับปรุงใหม่ วงเงินสนับสนุนอีกกว่า 30,000 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 4 ปี | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11299 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ซักซ้อมเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลประชาชนที่ร่วมถวายดอกไม้จันทน์ | วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2560
พม. ซักซ้อมเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลประชาชนที่ร่วมถวายดอกไม้จันทน์
พม. ซักซ้อมเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลประชาชนที่ร่วมถวายดอกไม้จันทน์ ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายในกระทรวง พม. สะพานขาว กทม.
วันนี้ (25 ต.ค. 60) เวลา 10.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ร่วมซักซ้อมพิธีถวายดอกไม้จันทน์เสมือนจริง ที่ซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชน ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า เนื่องด้วยรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ (พม.) จัดซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชน ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งเป็นซุ้มขนาดกลาง รองรับประชาชนได้กว่า 30,000 คน ณ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า ตนได้กําชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. บูรณาการความร่วมมือในการจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ พม. จํานวน 855 คน ข้าราชการจิตอาสาและอาสาพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) จํานวน 150 คน และลูกเสือ จํานวน 50 คน รวมทั้งสิ้น 1,055 คน เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุและ คนพิการ พร้อมจัดบริการอาหารที่ปรุงสุกใหม่พร้อมน้ําดื่ม จํานวน 90,000 ชุด นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมจุดบริการปฐมพยาบาลและหน่วยแพทย์ จากโรงพยาบาลวิภารามปากเกร็ด และห้องสุขาภายในอาคาร โดยเฉพาะสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการ อาทิ ทางลาดทางเดินสําหรับคนพิการทางสายตา (Braille Block) และห้องน้ําสําหรับคนพิการ อีกทั้งยังมีบริการรถเข็นสําหรับผู้สูงอายุและคนพิการอีกด้วย
“สําหรับการตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมในการจัดสถานที่และเจ้าหน้าที่เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนของกระทรวง พม. ในวันนี้ พบว่า มีความพร้อมในทุกๆด้าน ทั้งนี้ ได้กําชับเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวกและบริการที่ดีให้กับประชาชนอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ขอเชิญชวนประชาชน โดยเฉพาะคนพิการและผู้สูงอายุได้เข้าร่วมในพิธีวางดอกไม้จันทน์เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายในกระทรวง พม.” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ซักซ้อมเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลประชาชนที่ร่วมถวายดอกไม้จันทน์
วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2560
พม. ซักซ้อมเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลประชาชนที่ร่วมถวายดอกไม้จันทน์
พม. ซักซ้อมเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลประชาชนที่ร่วมถวายดอกไม้จันทน์ ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายในกระทรวง พม. สะพานขาว กทม.
วันนี้ (25 ต.ค. 60) เวลา 10.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ร่วมซักซ้อมพิธีถวายดอกไม้จันทน์เสมือนจริง ที่ซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชน ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า เนื่องด้วยรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ (พม.) จัดซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชน ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งเป็นซุ้มขนาดกลาง รองรับประชาชนได้กว่า 30,000 คน ณ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า ตนได้กําชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. บูรณาการความร่วมมือในการจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ พม. จํานวน 855 คน ข้าราชการจิตอาสาและอาสาพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) จํานวน 150 คน และลูกเสือ จํานวน 50 คน รวมทั้งสิ้น 1,055 คน เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุและ คนพิการ พร้อมจัดบริการอาหารที่ปรุงสุกใหม่พร้อมน้ําดื่ม จํานวน 90,000 ชุด นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมจุดบริการปฐมพยาบาลและหน่วยแพทย์ จากโรงพยาบาลวิภารามปากเกร็ด และห้องสุขาภายในอาคาร โดยเฉพาะสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการ อาทิ ทางลาดทางเดินสําหรับคนพิการทางสายตา (Braille Block) และห้องน้ําสําหรับคนพิการ อีกทั้งยังมีบริการรถเข็นสําหรับผู้สูงอายุและคนพิการอีกด้วย
“สําหรับการตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมในการจัดสถานที่และเจ้าหน้าที่เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนของกระทรวง พม. ในวันนี้ พบว่า มีความพร้อมในทุกๆด้าน ทั้งนี้ ได้กําชับเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวกและบริการที่ดีให้กับประชาชนอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ขอเชิญชวนประชาชน โดยเฉพาะคนพิการและผู้สูงอายุได้เข้าร่วมในพิธีวางดอกไม้จันทน์เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายในกระทรวง พม.” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7619 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “พุทธิพงษ์” นำคณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ รับฟังนโยบายพร้อมสานต่อนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล | วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562
“พุทธิพงษ์” นําคณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ รับฟังนโยบายพร้อมสานต่อนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
“พุทธิพงษ์” นําคณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ รับฟังนโยบายพร้อมสานต่อนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมประชุมชี้แจงนโยบายของรัฐบาลต่อผู้บริหารระดับสูง เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2562 ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์บอลรูม อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมชี้แจงนโยบาย เพื่อให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม รัฐวิสากิจและข้าราชการการเมืองได้รับทราบถึงนโยบายเร่งด่วนและนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญ จากนายกรัฐมนตรีโดยตรง พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรีทุกคน ชี้แจงนโยบายรัฐบาลที่สําคัญเฉพาะด้าน ซึ่งจะช่วยให้ในการจัดลําดับความสําคัญและมุ่งเน้นผลักดันนโยบายไปสู่การปฎิบัติมีความชัดเจนยิ่งขี้น ในการนี้ มีรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ หัวหน้าส่วนราชการระดับสูง และผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศจากทุกหน่วยงานร่วมรับฟัง ในเวทีได้มีการแจงเอกสารคําแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่ได้แถลงต่อรัฐสภาที่ผ่านมา
******************** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “พุทธิพงษ์” นำคณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ รับฟังนโยบายพร้อมสานต่อนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562
“พุทธิพงษ์” นําคณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ รับฟังนโยบายพร้อมสานต่อนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
“พุทธิพงษ์” นําคณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ รับฟังนโยบายพร้อมสานต่อนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมประชุมชี้แจงนโยบายของรัฐบาลต่อผู้บริหารระดับสูง เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2562 ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์บอลรูม อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมชี้แจงนโยบาย เพื่อให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม รัฐวิสากิจและข้าราชการการเมืองได้รับทราบถึงนโยบายเร่งด่วนและนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญ จากนายกรัฐมนตรีโดยตรง พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรีทุกคน ชี้แจงนโยบายรัฐบาลที่สําคัญเฉพาะด้าน ซึ่งจะช่วยให้ในการจัดลําดับความสําคัญและมุ่งเน้นผลักดันนโยบายไปสู่การปฎิบัติมีความชัดเจนยิ่งขี้น ในการนี้ มีรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ หัวหน้าส่วนราชการระดับสูง และผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศจากทุกหน่วยงานร่วมรับฟัง ในเวทีได้มีการแจงเอกสารคําแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่ได้แถลงต่อรัฐสภาที่ผ่านมา
******************** | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22103 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ หารือ USABC ผลักดันบริษัทเอกชนสหรัฐร่วมปฏิรูปเศรษฐกิจไทย | วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ หารือ USABC ผลักดันบริษัทเอกชนสหรัฐร่วมปฏิรูปเศรษฐกิจไทย
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ นายอเล็กซานเดอร์ ซี เฟลด์แมน (Mr. Alexander C. Feldman) ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา–อาเซียน (United States – ASEAN Business Council : USABC) และคณะผู้บริหารของ USABC รวมถึงคณะนักธุรกิจของบริษัทสมาชิกซึ่งเป็นบริษัทชั้นนําของสหรัฐอเมริกาในโอกาสการเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมร่วมหารือเกี่ยวกับการค้า การลงทุน และการส่งเสริมความร่วมมือด้านธุรกิจระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย โดยให้ความสําคัญกับนโยบายของรัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งแนวทางความร่วมมือที่บริษัทเอกชนของสหรัฐอเมริกา ในการสนับสนุนรัฐบาลไทยให้บรรลุเป้าหมายการดําเนินนโยบายและการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0 โดยฝ่ายสหรัฐอเมริกามีความประสงค์ขอรับทราบแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ให้ข้อมูลการดําเนินโครงการสําคัญๆ ของไทยในปัจจุบัน และแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกามีสาขาความร่วมมือที่หลากหลาย สามารถดําเนินความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองประเทศ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านของไทย (CLMV) ร่วมกันได้ พร้อมทั้งได้เชิญชวนนักธุรกิจสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมงาน Digital Thailand Big Bang 2017 ด้วย เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ๒๕๖๐ ณ ห้องไปรษณีย์ภิรมย์ ชั้น 3 อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ
************************ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ หารือ USABC ผลักดันบริษัทเอกชนสหรัฐร่วมปฏิรูปเศรษฐกิจไทย
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ หารือ USABC ผลักดันบริษัทเอกชนสหรัฐร่วมปฏิรูปเศรษฐกิจไทย
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ นายอเล็กซานเดอร์ ซี เฟลด์แมน (Mr. Alexander C. Feldman) ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา–อาเซียน (United States – ASEAN Business Council : USABC) และคณะผู้บริหารของ USABC รวมถึงคณะนักธุรกิจของบริษัทสมาชิกซึ่งเป็นบริษัทชั้นนําของสหรัฐอเมริกาในโอกาสการเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมร่วมหารือเกี่ยวกับการค้า การลงทุน และการส่งเสริมความร่วมมือด้านธุรกิจระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย โดยให้ความสําคัญกับนโยบายของรัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งแนวทางความร่วมมือที่บริษัทเอกชนของสหรัฐอเมริกา ในการสนับสนุนรัฐบาลไทยให้บรรลุเป้าหมายการดําเนินนโยบายและการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0 โดยฝ่ายสหรัฐอเมริกามีความประสงค์ขอรับทราบแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ให้ข้อมูลการดําเนินโครงการสําคัญๆ ของไทยในปัจจุบัน และแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกามีสาขาความร่วมมือที่หลากหลาย สามารถดําเนินความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองประเทศ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านของไทย (CLMV) ร่วมกันได้ พร้อมทั้งได้เชิญชวนนักธุรกิจสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมงาน Digital Thailand Big Bang 2017 ด้วย เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ๒๕๖๐ ณ ห้องไปรษณีย์ภิรมย์ ชั้น 3 อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ
************************ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4814 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผนึก Far East University เกาหลีใต้ ลงนามร่วมมือทางวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ | วันอังคารที่ 5 กันยายน 2560
ก.แรงงาน ผนึก Far East University เกาหลีใต้ ลงนามร่วมมือทางวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ก.แรงงาน ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมมือทางวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กับ Far East University สาธารณรัฐเกาหลี แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างบุคลากร พร้อมเรียนรู้ระบบความก้าวหน้าด้าน Cyber Security เท่าทันสถานการณ์ สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนผู้รับบริการ
ก.แรงงาน ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมมือทางวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กับ Far East University สาธารณรัฐเกาหลี แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างบุคลากร พร้อมเรียนรู้ระบบความก้าวหน้าด้าน Cyber Security เท่าทันสถานการณ์ สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนผู้รับบริการเพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ Dr.LYU KEE ILL ประธานใหญ่คณะกรรมการ Far East University สาธารณรัฐเกาหลี และคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมการสนทนาด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน เล็งเห็นถึงความสําคัญในภารกิจของบุคลากรที่จําเป็นต้องใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน และการดูแลกระบวนการบริหารจัดการระบบข้อมูลสารสนเทศ รวมทั้งเครือข่ายที่ต้องมีความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่น และเป็นที่ไว้วางใจ สามารถให้บริการด้านแรงงานได้อย่างกว้างขวาง บุคลากรของกระทรวงแรงงานจึงจําเป็นต้องรู้เท่าทันสถานการณ์ปัญหา ความก้าวหน้าด้าน Cyber Security เทคนิค วิธีการป้องกันและการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําไปประยุกต์ใช้ในการทํางาน สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน ผู้มาใช้บริการออนไลน์ต่างๆ ของกระทรวงแรงงาน ซึ่งสอดคล้องกับ 8 วาระปฏิรูปแรงงาน และยุทธศาสตร์ 20 ปี ของรัฐบาล และด้านการพัฒนาระบบดิจิทัลของกระทรวงให้สามารถสร้างกําลังคนรองรับไทยแลนด์ 4.0
ทั้งนี้ หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้เป็นประธานลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่าง Far East University สาธารณรัฐเกาหลีกับกระทรวงแรงงาน ร่วมกับ Dr.LYU KEE ILL ประธานใหญ่คณะกรรมการ Far East University ณ ห้อง Executive Operation Room ชั้น ๕ อาคารกระทรวงแรงงานด้วย
สาระสําคัญของบันทึกดังกล่าวเกี่ยวกับการส่งเสริมให้มีความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างกระทรวงแรงงาน และ Far East University สาธารณรัฐเกาหลี การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างบุคลากรทางวิชาการของมหาวิทยาลัยฯ และบุคลากรของกระทรวงแรงงาน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในด้านการทําวิจัย การประชุมทางวิชาการ การประชุมเชิงปฏิบัติการ และการฝึกอบรม สําหรับความร่วมมือทางวิชาการ อาทิ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ เป็นต้น รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนวัสดุศาสตร์ สื่อสิ่งพิมพ์ และข้อมูลข่าวสาร ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณารายละเอียดร่วมกันในการจัดทําแผนการดําเนินการ หลักสูตร และการสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ อีกด้วย
----------------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/
5 กันยายน 2560 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผนึก Far East University เกาหลีใต้ ลงนามร่วมมือทางวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
วันอังคารที่ 5 กันยายน 2560
ก.แรงงาน ผนึก Far East University เกาหลีใต้ ลงนามร่วมมือทางวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ก.แรงงาน ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมมือทางวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กับ Far East University สาธารณรัฐเกาหลี แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างบุคลากร พร้อมเรียนรู้ระบบความก้าวหน้าด้าน Cyber Security เท่าทันสถานการณ์ สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนผู้รับบริการ
ก.แรงงาน ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมมือทางวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กับ Far East University สาธารณรัฐเกาหลี แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างบุคลากร พร้อมเรียนรู้ระบบความก้าวหน้าด้าน Cyber Security เท่าทันสถานการณ์ สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนผู้รับบริการเพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ Dr.LYU KEE ILL ประธานใหญ่คณะกรรมการ Far East University สาธารณรัฐเกาหลี และคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมการสนทนาด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน เล็งเห็นถึงความสําคัญในภารกิจของบุคลากรที่จําเป็นต้องใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน และการดูแลกระบวนการบริหารจัดการระบบข้อมูลสารสนเทศ รวมทั้งเครือข่ายที่ต้องมีความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่น และเป็นที่ไว้วางใจ สามารถให้บริการด้านแรงงานได้อย่างกว้างขวาง บุคลากรของกระทรวงแรงงานจึงจําเป็นต้องรู้เท่าทันสถานการณ์ปัญหา ความก้าวหน้าด้าน Cyber Security เทคนิค วิธีการป้องกันและการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําไปประยุกต์ใช้ในการทํางาน สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน ผู้มาใช้บริการออนไลน์ต่างๆ ของกระทรวงแรงงาน ซึ่งสอดคล้องกับ 8 วาระปฏิรูปแรงงาน และยุทธศาสตร์ 20 ปี ของรัฐบาล และด้านการพัฒนาระบบดิจิทัลของกระทรวงให้สามารถสร้างกําลังคนรองรับไทยแลนด์ 4.0
ทั้งนี้ หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้เป็นประธานลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่าง Far East University สาธารณรัฐเกาหลีกับกระทรวงแรงงาน ร่วมกับ Dr.LYU KEE ILL ประธานใหญ่คณะกรรมการ Far East University ณ ห้อง Executive Operation Room ชั้น ๕ อาคารกระทรวงแรงงานด้วย
สาระสําคัญของบันทึกดังกล่าวเกี่ยวกับการส่งเสริมให้มีความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างกระทรวงแรงงาน และ Far East University สาธารณรัฐเกาหลี การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างบุคลากรทางวิชาการของมหาวิทยาลัยฯ และบุคลากรของกระทรวงแรงงาน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในด้านการทําวิจัย การประชุมทางวิชาการ การประชุมเชิงปฏิบัติการ และการฝึกอบรม สําหรับความร่วมมือทางวิชาการ อาทิ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ เป็นต้น รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนวัสดุศาสตร์ สื่อสิ่งพิมพ์ และข้อมูลข่าวสาร ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณารายละเอียดร่วมกันในการจัดทําแผนการดําเนินการ หลักสูตร และการสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ อีกด้วย
----------------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/
5 กันยายน 2560 | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6443 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ เข้าร่วมประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการประจำปีงบประมาณ 2561 ของจ.นครปฐม | วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ เข้าร่วมประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการประจําปีงบประมาณ 2561 ของจ.นครปฐม
ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ เข้าร่วมประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการประจําปีงบประมาณ 2561 ของจ.นครปฐม
เมื่อวันที่ (6 มีนาคม 2561) นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการประจําปีงบประมาณ 2561 ของจังหวัดนครปฐม โดยมีนายโชคชัย เดชอมรธัญ ผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พร้อมด้วยผู้ตรวจราชการกระทรวง
ในการนี้นายภิญโญ ประกอบผล รองผู้ว่าราชการ จังหวัดนครปฐม และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม และให้การต้อนรับ ณ ศาลากลาง จังหวัดนครปฐม พร้อมกันนี้ นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเป็นประธานประชุมการตรวจราชการรอบที่ 1/2561 ของสํานักงานอุตสาหกรรม จังหวัดนครปฐม โดยมีนายสมคิด ตัณฑศรีสุข อุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมรายงานสภาพปัญหา อุปสรรค และความก้าวหน้าของการดําเนินงาน
นอกจากนี้ยังได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมโครงการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานชุมชน หรือ local economy ณ ชุมชนบ้านศาลาดิน ตําบลมหาสวัสดิ์ อําเภอพุทธมลฑล ซึ่งเป็นหมู่บ้าน CIV ของ จังหวัดนครปฐม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรริมคลองมหาสวัสดิ์ มีผลิตภัณฑ์อันโดดเด่น เช่น ข้าวตัง ไข่เค็ม ชาเกสรบัวหลวง เป็นต้น อีกทั้งยังเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวอีกหลายจุด ไม่ว่าจะเป็น ตลาดน้ําบ้านศาลาดิน นาบัว บ้านฟักข้าว และนากล้วยไม้อีกด้วย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ เข้าร่วมประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการประจำปีงบประมาณ 2561 ของจ.นครปฐม
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ เข้าร่วมประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการประจําปีงบประมาณ 2561 ของจ.นครปฐม
ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ เข้าร่วมประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการประจําปีงบประมาณ 2561 ของจ.นครปฐม
เมื่อวันที่ (6 มีนาคม 2561) นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการประจําปีงบประมาณ 2561 ของจังหวัดนครปฐม โดยมีนายโชคชัย เดชอมรธัญ ผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พร้อมด้วยผู้ตรวจราชการกระทรวง
ในการนี้นายภิญโญ ประกอบผล รองผู้ว่าราชการ จังหวัดนครปฐม และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม และให้การต้อนรับ ณ ศาลากลาง จังหวัดนครปฐม พร้อมกันนี้ นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเป็นประธานประชุมการตรวจราชการรอบที่ 1/2561 ของสํานักงานอุตสาหกรรม จังหวัดนครปฐม โดยมีนายสมคิด ตัณฑศรีสุข อุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมรายงานสภาพปัญหา อุปสรรค และความก้าวหน้าของการดําเนินงาน
นอกจากนี้ยังได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมโครงการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานชุมชน หรือ local economy ณ ชุมชนบ้านศาลาดิน ตําบลมหาสวัสดิ์ อําเภอพุทธมลฑล ซึ่งเป็นหมู่บ้าน CIV ของ จังหวัดนครปฐม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรริมคลองมหาสวัสดิ์ มีผลิตภัณฑ์อันโดดเด่น เช่น ข้าวตัง ไข่เค็ม ชาเกสรบัวหลวง เป็นต้น อีกทั้งยังเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวอีกหลายจุด ไม่ว่าจะเป็น ตลาดน้ําบ้านศาลาดิน นาบัว บ้านฟักข้าว และนากล้วยไม้อีกด้วย | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10589 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ ๖๘ ปี | วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563
รมช.มนัญญา ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ ๖๘ ปี
รมช.มนัญญา ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ ๖๘ ปี ชูวัคซีนคุ้มกันความจนสร้างด้วยการทําบัญชี
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ ๖๘ ปี พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคลากรดีเด่น กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ประจําปี พ.ศ.๒๕๖๒ และมอบนโยบายการปฏิบัติงาน ณ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กรุงเทพฯ
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่ากรมตรวจบัญชีสหกรณ์เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบการบริหารจัดการด้านการเงินและการบัญชีของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เกษตรกร และประชาชน ให้เกิดความโปร่งใส เข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบในการตรวจสอบบัญชีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร กําหนดระบบบัญชีและมาตรฐานการสอบบัญชีให้เหมาะสม ให้คําปรึกษาแนะนํา และให้ความรู้ด้านการบริหารการเงินการบัญชีแก่คณะกรรมการและสมาชิกของสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร มีข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีและมาตรฐานการสอบบัญชี ตลอดจนการถ่ายทอดความรู้และส่งเสริมการจัดทําบัญชีครัวเรือน และบัญชีต้นทุนอาชีพแก่เกษตรกร เยาวชน และประชาชนทั่วไป เพื่อสร้างทักษะและความสามารถในการวางแผนชีวิตของครอบครัวทั้งในด้านการออม การใช้จ่าย การก่อหนี้และการจัดการความเสี่ยง สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างเป็นรูปธรรม อยู่ได้อย่างมีความสุข พอกินพอใช้ สร้างภูมิคุ้มกันความจนด้วยการทําบัญชี
ทั้งนี้ " การดําเนินงานของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์มุ่งเน้นการทํางานไปที่การตรวจสอบเพื่อป้องกันและควบคุมการทุจริตภายในสหกรณ์ เนื่องจากสหกรณ์เป็นสถาบันที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชน หากเกิดการทุจริตจะก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายต่อประชาชนโดยตรง การทํางานของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์จึงเป็นกลไกสําคัญในการตรวจหาหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นถึงการทุจริตของสหกรณ์ ซึ่งหากสามารถตรวจพบแต่เนิ่นๆ และอย่างทันท่วงที ก็จะสามารถระงับยับยั้ง หรือบรรเทาความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นแก่พี่น้องประชาชนได้ นอกจากนี้ ได้มุ่งหวังให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ได้ร่วมกันบูรณาการนําพาสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้ก้าวเดินอย่างมั่นคง สู่ความสําเร็จที่ยั่งยืน รวมทั้งเน้นย้ําความสําคัญของงานด้านการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางบัญชีสู่พี่น้องเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ และประชาชน ให้มีความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ สามารถนําระบบบัญชีไปใช้ในการบริหารจัดการสู่ความสําเร็จ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ตามเป้าหมายยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ ๒๐ปี(พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๗๙) เพื่อนําพาประเทศไทยสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน"รมช. กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ ๖๘ ปี
วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563
รมช.มนัญญา ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ ๖๘ ปี
รมช.มนัญญา ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ ๖๘ ปี ชูวัคซีนคุ้มกันความจนสร้างด้วยการทําบัญชี
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ ๖๘ ปี พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคลากรดีเด่น กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ประจําปี พ.ศ.๒๕๖๒ และมอบนโยบายการปฏิบัติงาน ณ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กรุงเทพฯ
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่ากรมตรวจบัญชีสหกรณ์เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบการบริหารจัดการด้านการเงินและการบัญชีของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เกษตรกร และประชาชน ให้เกิดความโปร่งใส เข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบในการตรวจสอบบัญชีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร กําหนดระบบบัญชีและมาตรฐานการสอบบัญชีให้เหมาะสม ให้คําปรึกษาแนะนํา และให้ความรู้ด้านการบริหารการเงินการบัญชีแก่คณะกรรมการและสมาชิกของสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร มีข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีและมาตรฐานการสอบบัญชี ตลอดจนการถ่ายทอดความรู้และส่งเสริมการจัดทําบัญชีครัวเรือน และบัญชีต้นทุนอาชีพแก่เกษตรกร เยาวชน และประชาชนทั่วไป เพื่อสร้างทักษะและความสามารถในการวางแผนชีวิตของครอบครัวทั้งในด้านการออม การใช้จ่าย การก่อหนี้และการจัดการความเสี่ยง สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างเป็นรูปธรรม อยู่ได้อย่างมีความสุข พอกินพอใช้ สร้างภูมิคุ้มกันความจนด้วยการทําบัญชี
ทั้งนี้ " การดําเนินงานของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์มุ่งเน้นการทํางานไปที่การตรวจสอบเพื่อป้องกันและควบคุมการทุจริตภายในสหกรณ์ เนื่องจากสหกรณ์เป็นสถาบันที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชน หากเกิดการทุจริตจะก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายต่อประชาชนโดยตรง การทํางานของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์จึงเป็นกลไกสําคัญในการตรวจหาหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นถึงการทุจริตของสหกรณ์ ซึ่งหากสามารถตรวจพบแต่เนิ่นๆ และอย่างทันท่วงที ก็จะสามารถระงับยับยั้ง หรือบรรเทาความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นแก่พี่น้องประชาชนได้ นอกจากนี้ ได้มุ่งหวังให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ได้ร่วมกันบูรณาการนําพาสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้ก้าวเดินอย่างมั่นคง สู่ความสําเร็จที่ยั่งยืน รวมทั้งเน้นย้ําความสําคัญของงานด้านการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางบัญชีสู่พี่น้องเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ และประชาชน ให้มีความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ สามารถนําระบบบัญชีไปใช้ในการบริหารจัดการสู่ความสําเร็จ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ตามเป้าหมายยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ ๒๐ปี(พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๗๙) เพื่อนําพาประเทศไทยสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน"รมช. กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27104 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. พัฒนางานนิติวิทยาศาสตร์และนิติเวชศาสตร์กับกระบวนการยุติธรรม | วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2560
ยธ. พัฒนางานนิติวิทยาศาสตร์และนิติเวชศาสตร์กับกระบวนการยุติธรรม
โครงการสัมมนาเรื่อง การพัฒนางานนิติวิทยาศาสตร์และนิติเวชศาสตร์กับกระบวนการยุติธรรม เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาและการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเรื่อง การพัฒนางานนิติวิทยาศาสตร์และนิติเวชศาสตร์กับกระบวนการยุติธรรม
เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาและการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย
โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิติวิทยาศาสตร์จากในประเทศและต่างประเทศ มาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์
เพื่อสร้างมาตรฐานงานนิติวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยให้เป็นสากล ทั้งทางด้านวิชาการและการปฏิบัติงาน
อันจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับกระบวนการยุติธรรมและสามารถเป็นที่พึ่งพาของประชาชน
โดยมีนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
นายสมณ์ พรหมรส ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
พร้อมด้วยผู้เข้าร่วมสัมมนา จํานวนทั้งสิ้น ๒๐๐ คน จากหน่วยงานภายในประเทศ ประกอบด้วย
สถาบันนิติเวชวิทยา และสํานักงานพิสูจน์หลักฐาน สํานักงานตํารวจแห่งชาติ
นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากกระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ
ณ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. พัฒนางานนิติวิทยาศาสตร์และนิติเวชศาสตร์กับกระบวนการยุติธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2560
ยธ. พัฒนางานนิติวิทยาศาสตร์และนิติเวชศาสตร์กับกระบวนการยุติธรรม
โครงการสัมมนาเรื่อง การพัฒนางานนิติวิทยาศาสตร์และนิติเวชศาสตร์กับกระบวนการยุติธรรม เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาและการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเรื่อง การพัฒนางานนิติวิทยาศาสตร์และนิติเวชศาสตร์กับกระบวนการยุติธรรม
เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาและการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย
โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิติวิทยาศาสตร์จากในประเทศและต่างประเทศ มาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์
เพื่อสร้างมาตรฐานงานนิติวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยให้เป็นสากล ทั้งทางด้านวิชาการและการปฏิบัติงาน
อันจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับกระบวนการยุติธรรมและสามารถเป็นที่พึ่งพาของประชาชน
โดยมีนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
นายสมณ์ พรหมรส ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
พร้อมด้วยผู้เข้าร่วมสัมมนา จํานวนทั้งสิ้น ๒๐๐ คน จากหน่วยงานภายในประเทศ ประกอบด้วย
สถาบันนิติเวชวิทยา และสํานักงานพิสูจน์หลักฐาน สํานักงานตํารวจแห่งชาติ
นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากกระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ
ณ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1419 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยติวเข้มผู้ว่าฯ 7 ข้อ เพื่อเร่งบูรณาการพัฒนาและแก้ไขปัญหาพื้นที่ | วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
มหาดไทยติวเข้มผู้ว่าฯ 7 ข้อ เพื่อเร่งบูรณาการพัฒนาและแก้ไขปัญหาพื้นที่
มหาดไทยติวเข้มผู้ว่าฯ 7 ข้อ เพื่อเร่งบูรณาการพัฒนาและแก้ไขปัญหาพื้นที่
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 60 ที่กระทรวงมหาดไทยนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยมีนโยบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการบริหารงานแบบบูรณาการส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมกันพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาจังหวัด (area-based) โดยการบริหารงานดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนสามารถพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ได้ตามความต้องการของประชาชน ซึ่งในขณะนี้ ส่วนราชการด้านการวางแผนพัฒนาและกระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างการเสนอรัฐบาลให้พิจารณาปรับปรุงระเบียบและกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการจัดทําแผนพัฒนาพื้นที่ให้เป็นฉบับเดียวกันซึ่งมีโครงสร้าง กลไก อํานาจหน้าที่สอดคล้องเชื่อมโยงแผนพัฒนาพื้นที่ทุกระดับ มีสาระสําคัญ ดังนี้
- ให้ส่วนราชการในพื้นที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวมทั้งให้มีผู้แทนภาคประชาชนในรูปคณะกรรมการร่วมกันจัดทําแผนพัฒนาตําบล แผนพัฒนาอําเภอ แผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดเป็นแผนเดียวกัน (one plan)
- ให้มีการแบ่งพื้นที่เพื่อการพัฒนาประเทศออกเป็น 6 ภาค
- แผนพัฒนาทุกระดับจะประกอบด้วยปัญหาและความต้องการในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ที่ได้รับการจัดลําดับความสําคัญและความต้องการไว้แล้ว (priority) เพื่อให้จังหวัดและส่วนราชการภูมิภาครวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้เป็นแนวทางในการจัดทํางบประมาณจังหวัด กลุ่มจังหวัด และงบประมาณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (area-based)
- ใช้แผนพัฒนาภาคเป็นเครื่องมือในการกําหนดเป้าหมายและความต้องการด้านพัฒนาพื้นที่ของภาคที่ต้องมีความเชื่อมโยงกันในระดับภูมิภาคและ/หรือระหว่างประเทศเพื่อให้ส่วนราชการระดับกรม และกระทรวง (function) นําไปจัดทําเป็นแผนงานขอรับงบประมาณให้สอดคล้องกับเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สําหรับการบริหารงานตามรูปแบบข้างต้นนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ รวมทั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะเป็นผู้มีบทบาทสําคัญต่อความสมบูรณ์ของการจัดทําแผนพัฒนาและการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัดดําเนินการตามแนวทางการดําเนินงาน ดังนี้
1. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้นําในพื้นที่ น้อมนําหลักการทรงงานและยุทธศาสตร์พระราชทานในเรื่องเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นหลักคิด และใช้ในการบริหารงานแบบบูรณาการ เพื่อค้นหา สร้างความเข้าใจ และมีมุมมองต่อสภาพปัญหาภายในจังหวัดหรือบริหารงานแบบองค์รวมไม่แยกส่วน (holistic approach) ด้วยการคิดและดําเนินการอย่างเป็นระบบ รอบด้าน คํานึงถึงองค์ประกอบที่ซับซ้อน และปัจจัยภายใน-ภายนอกทุกมิติ ทั้งในด้านภูมิศาสตร์ ภูมิสังคม จุดเด่น/จุดด้อยของจังหวัด (strong and weak points) เพื่อนํามาพัฒนาให้จุดเด่นเข้มแข็ง หรือแก้ไขปัญหาจุดด้อยอย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน โดยต้องเปิดโอกาสให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ด้วย (participation) โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง (inclusiveness) ซึ่งมีข้อพิจารณา ประกอบด้วย
- พื้นที่ที่มีจุดเด่นด้านภูมิประเทศที่มีสภาพเหมาะแก่การพัฒนาเป็นเส้นทางหรือสถานีขนส่งทางน้ํา ทางทะเลหรือทางอากาศหรือมีแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ หรือสภาพอากาศดี อาทิ พื้นที่ริมทะเลหาดทราย พื้นที่เลียบแม่น้ําโขงที่มีเกาะแก่งสวยงาม อาจพิจารณาเสนอข้อมูลพื้นที่ดังกล่าวให้หน่วยงานส่วนกลางเข้ามาใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาจังหวัดหรือภูมิภาคระหว่างประเทศหรืออาจพิจารณาใช้งบประมาณจังหวัดหรือองค์กรปกครองท้องถิ่น สร้างสิ่งอํานวยความสะดวก (facilities & infrastructure) เพื่อให้นักท่องเที่ยวประทับใจ ใช้เวลาอยู่ในพื้นที่ให้นานขึ้น เช่น จุดชมวิวแบบ Skywalk ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ของประชาชนในพื้นที่มากขึ้น
- พื้นที่ที่มีจุดเด่นด้านการผลิตสินค้าพื้นเมืองหรือผลิตภัณฑ์ OTOP หรือเป็นแหล่งผลิตอาหาร/ผลไม้ที่มีชื่อเสียง ให้ร่วมกันหาแนวทางต่อยอดนําสินค้านั้นออกสู่ตลาดวงกว้างขึ้น (เช่น มี terminal or caravan) ทําให้สินค้าหรืออาหารเหล่านั้นติดตลาด หรือการนําผู้ซื้อเข้ามาหาผู้ผลิต/ผู้ขาย สร้างให้เป็นจุดที่ต้องเยี่ยมชมซื้อหาของก่อนเดินทางออกจากพื้นที่ เช่น "ตลาดต้องชิม" เป็นต้น
- สําหรับพื้นที่บางแห่งที่ยังไม่เห็นจุดเด่นชัดเจน ให้พยายามเสริมสร้างเรื่องราวหรือตํานานหรือจุดดึงดูด (story/ legend/attraction) ของพื้นที่ ให้นักท่องเที่ยวรู้จักและอยากมาเยี่ยมเยียน หรือนําพื้นที่ที่มีจุดเด่นมาต่อยอดเชื่อมโยงกับพื้นที่ที่ยังไม่มีจุดเด่น โดยให้เน้นสร้าง "ดาวเด่น" ของสินค้า หรือจุดเด่นในพื้นที่ให้เชื่อมโยงหลายพื้นที่เป็นเครือข่ายภายในจังหวัด กลุ่มจังหวัด หรือระดับภูมิภาค รวมทั้งสร้างกระแสประชาสัมพันธ์และดึงดูดผู้บริโภค (CCC - consumers, customers & clients) มาสู่จังหวัด
- ในการจัดงานเทศกาล งานรื่นเริงหรือมหกรรมต่างๆ (carnival or festival) เพื่อให้เกิดการดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงที่มีการเก็บเกี่ยวพืชผลการเกษตรหรือช่วงมีผลไม้ตามฤดูกาล โดยอาจจัดให้มีการประกวดนวัตกรรมแปรรูป หรือการจัดงานตามเทศกาลและประเพณี แล้วสอดแทรกสินค้าเด่น อาหารดัง ของที่ระลึกที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าในการจําหน่ายแก่นักท่องเที่ยว ฯลฯ
2. ให้จังหวัดพิจารณาใช้คณะกรรมการบริหารจังหวัดแบบบูรณาการ (กบจ.) หรือคณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐประจําจังหวัด (คสป.) คณะใดคณะหนึ่ง ซึ่งมีองค์ประกอบจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในพื้นที่ ให้ทําหน้าที่เป็นคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์จังหวัดแบบบูรณาการ (IPSDC - Integrated Provincial Strategy Delivery Committee) ในทํานองเดียวกับสํานักบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (Prime Minister's Delivery Unit) หรือ PMDU โดยกําหนดให้ประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อทําหน้าที่คิดค้นและร่วมกันค้นหาวิธีการ "ขับเคลื่อน" (delivery) การบริหารงานต่างๆ ตามข้อ 1. ให้เกิดผลสําเร็จเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ
3. ให้จังหวัดที่รัฐบาลกําหนดพื้นที่รองรับนโยบายพิเศษหรือมีจุดหมายสําคัญอยู่แล้ว (magnet destination) เช่น กลุ่มจังหวัดระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดเขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดที่มีแหล่งมรดกโลก จังหวัดเมืองท่องเที่ยวห้ามพลาด จังหวัดที่เป็นที่ตั้งของศูนย์ศึกษาการพัฒนาตามพระราชดําริพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นต้น โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องนําจุดเด่นหรือจุดแข็งของจังหวัดมาขยายผลหรือต่อยอดเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับประชาชน ขณะเดียวกันต้องประสานงานเชิงรุก โดยพิจารณาจับคู่กับกระทรวง กรม องค์การระหว่างประเทศ สถานทูตประเทศต่าง ๆ ในประเทศไทย ตลอดจนภาคธุรกิจ ฯลฯ เพื่อส่งเสริมจุดขาย เชื่อมโยงเทคโนโลยี และการดึงดูดความสนใจ ตลอดจนติดต่อประสานงานเชิญผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบแนวคิด (design idea) หรือประกวดแนวคิดสร้างสรรค์ต่อยอดสินค้าและบริการของจังหวัดที่จะสร้างความสนใจให้แก่ชาวต่างประเทศไว้ด้วย
4. สําหรับจังหวัดที่มีปัญหาเฉพาะในบางด้าน เช่น ปัญหาสาธารณภัยตามฤดูกาล ปัญหาชุมชนแออัด ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาบุกรุกที่สาธารณะประเภทต่าง ๆ ยาเสพติด การหลบหนีเข้าเมือง ฯลฯ ให้คณะกรรมการ IPSDC ดําเนินการจัดทําแผนการแก้ไขปัญหาไว้โดยเฉพาะ โดยแผนงานการแก้ไขปัญหา ต้องคํานึงถึงการวางพื้นฐานเพื่อแก้ปัญหาระยะยาวของจังหวัดโดยบรรจุไว้ในแผนพัฒนาพื้นที่เป็นกรณีพิเศษ และต้องมีรายละเอียดการถอดบทเรียนจากปัญหาลักษณะใกล้เคียงกันในพื้นที่ หรือนํากรณีศึกษา (case study) จากแหล่งอื่นๆ มาประยุกต์ใช้ โดยพิจารณาจากต้นเหตุปัญหา ซึ่งในแผนดังกล่าวต้องกําหนดวิธีการป้องกันแก้ไขปัญหาตามขั้นตอนการบริหารสถานการณ์วิกฤติ (crisis management) ทั้งนี้ ให้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และมีการซักซ้อม เพื่อหากเกิดเหตุการณ์จะไม่เกิดความตื่นตระหนก และในบางกรณีที่จําเป็น อาจพิจารณาโดยมีข้อตกลงหรือเงื่อนไขแลกเปลี่ยนชดเชย (trade off/compensation) ตามระเบียบของราชการ พร้อมทั้งกําหนดพื้นที่หรือจุดที่หรือกลุ่มที่มีความเปราะบาง (vulnerable) ที่ต้องดูแลเฝ้าระวังเป็นพิเศษไว้ด้วย
5. ในพื้นที่ที่ประชาชนมีความแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมท้องถิ่น แล้วมีกลุ่มคนพยายามนําความแตกต่างนั้นมาสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้ง จะต้องดําเนินการทุกวิถีทางตามกฎหมายให้เกิดความร่วมมือจากประชาชนกับภาครัฐในการร่วมกันแก้ไขปัญหา และเชิญชวนภาคประชาสังคมร่วมสร้างการรับรู้หรือความเข้าใจที่ดีต่อกันผ่านสื่อศิลปะการแสดง การละเล่น ดนตรี กีฬา ที่ผสมผสานอัตลักษณ์พื้นถิ่นในบริบท "พหุวัฒนธรรม" เชื่อมโยงกับเอกลักษณ์ที่สําคัญของชาติเพื่อสร้างการยอมรับและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยเน้นหนักในการสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องของประชาชนในพื้นที่และเฝ้าระวัง ตรวจสอบป้องกันและระมัดระวังการปล่อยข่าวลือหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้องต่าง ๆ ด้วย
6. ให้จังหวัดพิจารณาใช้งบประมาณจังหวัด กลุ่มจังหวัด และงบประมาณภาคทั้ง 6 ภาค งบอุดหนุนขององค์กรปกครองท้องถิ่น งบประมาณช่วยเหลือสังคม (CSR) ของภาคเอกชน และแหล่งสนับสนุนอื่น ๆ ให้ครอบคลุมแผนพัฒนาพื้นที่ตามยุทธศาสตร์ของจังหวัด เพื่อให้เกิดโอกาส (opportunity) ความเจริญเติบโต (growth) และความสุขมวลรวม (gross happiness) ที่สามารถวัดค่าดัชนีทางสถิติได้ ทั้งนี้ จังหวัดต้องคํานึงไว้เสมอว่าการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนพัฒนาดังกล่าวต้องไม่ทําให้เกิดสภาพ "รวยกระจุกจนกระจาย" และประการสําคัญต้องใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย ด้วยความโปร่งใส ไม่เกิดการทุจริต หรือนําโครงการพัฒนาต่าง ๆ ของพื้นที่ไปแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบอย่างเด็ดขาด
7. เพื่อสร้างสภาวะการทํางานในเชิงบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน ตามแนวทางที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ให้คณะกรรมการ IPSDC อาจแต่งตั้งคณะทํางานย่อย (working group) เพื่อให้มีเจ้าภาพหรือผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาตามยุทธศาสตร์จังหวัดแต่ละด้าน
ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า การบริหารงานแบบบูรณาการเป็นบทบาทหน้าที่ที่สําคัญของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอในการขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ร่วมกับทุกภาคส่วน และต้องสนองตอบความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ หากจังหวัดมีตัวอย่างความสําเร็จ (Best Practice) หรือข้อเสนอแนะ/ปัญหาอุปสรรคใดๆ ให้รายงานมายังกระทรวงมหาดไทยเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยติวเข้มผู้ว่าฯ 7 ข้อ เพื่อเร่งบูรณาการพัฒนาและแก้ไขปัญหาพื้นที่
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
มหาดไทยติวเข้มผู้ว่าฯ 7 ข้อ เพื่อเร่งบูรณาการพัฒนาและแก้ไขปัญหาพื้นที่
มหาดไทยติวเข้มผู้ว่าฯ 7 ข้อ เพื่อเร่งบูรณาการพัฒนาและแก้ไขปัญหาพื้นที่
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 60 ที่กระทรวงมหาดไทยนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยมีนโยบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการบริหารงานแบบบูรณาการส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมกันพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาจังหวัด (area-based) โดยการบริหารงานดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนสามารถพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ได้ตามความต้องการของประชาชน ซึ่งในขณะนี้ ส่วนราชการด้านการวางแผนพัฒนาและกระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างการเสนอรัฐบาลให้พิจารณาปรับปรุงระเบียบและกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการจัดทําแผนพัฒนาพื้นที่ให้เป็นฉบับเดียวกันซึ่งมีโครงสร้าง กลไก อํานาจหน้าที่สอดคล้องเชื่อมโยงแผนพัฒนาพื้นที่ทุกระดับ มีสาระสําคัญ ดังนี้
- ให้ส่วนราชการในพื้นที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวมทั้งให้มีผู้แทนภาคประชาชนในรูปคณะกรรมการร่วมกันจัดทําแผนพัฒนาตําบล แผนพัฒนาอําเภอ แผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดเป็นแผนเดียวกัน (one plan)
- ให้มีการแบ่งพื้นที่เพื่อการพัฒนาประเทศออกเป็น 6 ภาค
- แผนพัฒนาทุกระดับจะประกอบด้วยปัญหาและความต้องการในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ที่ได้รับการจัดลําดับความสําคัญและความต้องการไว้แล้ว (priority) เพื่อให้จังหวัดและส่วนราชการภูมิภาครวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้เป็นแนวทางในการจัดทํางบประมาณจังหวัด กลุ่มจังหวัด และงบประมาณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (area-based)
- ใช้แผนพัฒนาภาคเป็นเครื่องมือในการกําหนดเป้าหมายและความต้องการด้านพัฒนาพื้นที่ของภาคที่ต้องมีความเชื่อมโยงกันในระดับภูมิภาคและ/หรือระหว่างประเทศเพื่อให้ส่วนราชการระดับกรม และกระทรวง (function) นําไปจัดทําเป็นแผนงานขอรับงบประมาณให้สอดคล้องกับเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สําหรับการบริหารงานตามรูปแบบข้างต้นนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ รวมทั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะเป็นผู้มีบทบาทสําคัญต่อความสมบูรณ์ของการจัดทําแผนพัฒนาและการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัดดําเนินการตามแนวทางการดําเนินงาน ดังนี้
1. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้นําในพื้นที่ น้อมนําหลักการทรงงานและยุทธศาสตร์พระราชทานในเรื่องเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นหลักคิด และใช้ในการบริหารงานแบบบูรณาการ เพื่อค้นหา สร้างความเข้าใจ และมีมุมมองต่อสภาพปัญหาภายในจังหวัดหรือบริหารงานแบบองค์รวมไม่แยกส่วน (holistic approach) ด้วยการคิดและดําเนินการอย่างเป็นระบบ รอบด้าน คํานึงถึงองค์ประกอบที่ซับซ้อน และปัจจัยภายใน-ภายนอกทุกมิติ ทั้งในด้านภูมิศาสตร์ ภูมิสังคม จุดเด่น/จุดด้อยของจังหวัด (strong and weak points) เพื่อนํามาพัฒนาให้จุดเด่นเข้มแข็ง หรือแก้ไขปัญหาจุดด้อยอย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน โดยต้องเปิดโอกาสให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ด้วย (participation) โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง (inclusiveness) ซึ่งมีข้อพิจารณา ประกอบด้วย
- พื้นที่ที่มีจุดเด่นด้านภูมิประเทศที่มีสภาพเหมาะแก่การพัฒนาเป็นเส้นทางหรือสถานีขนส่งทางน้ํา ทางทะเลหรือทางอากาศหรือมีแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ หรือสภาพอากาศดี อาทิ พื้นที่ริมทะเลหาดทราย พื้นที่เลียบแม่น้ําโขงที่มีเกาะแก่งสวยงาม อาจพิจารณาเสนอข้อมูลพื้นที่ดังกล่าวให้หน่วยงานส่วนกลางเข้ามาใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาจังหวัดหรือภูมิภาคระหว่างประเทศหรืออาจพิจารณาใช้งบประมาณจังหวัดหรือองค์กรปกครองท้องถิ่น สร้างสิ่งอํานวยความสะดวก (facilities & infrastructure) เพื่อให้นักท่องเที่ยวประทับใจ ใช้เวลาอยู่ในพื้นที่ให้นานขึ้น เช่น จุดชมวิวแบบ Skywalk ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ของประชาชนในพื้นที่มากขึ้น
- พื้นที่ที่มีจุดเด่นด้านการผลิตสินค้าพื้นเมืองหรือผลิตภัณฑ์ OTOP หรือเป็นแหล่งผลิตอาหาร/ผลไม้ที่มีชื่อเสียง ให้ร่วมกันหาแนวทางต่อยอดนําสินค้านั้นออกสู่ตลาดวงกว้างขึ้น (เช่น มี terminal or caravan) ทําให้สินค้าหรืออาหารเหล่านั้นติดตลาด หรือการนําผู้ซื้อเข้ามาหาผู้ผลิต/ผู้ขาย สร้างให้เป็นจุดที่ต้องเยี่ยมชมซื้อหาของก่อนเดินทางออกจากพื้นที่ เช่น "ตลาดต้องชิม" เป็นต้น
- สําหรับพื้นที่บางแห่งที่ยังไม่เห็นจุดเด่นชัดเจน ให้พยายามเสริมสร้างเรื่องราวหรือตํานานหรือจุดดึงดูด (story/ legend/attraction) ของพื้นที่ ให้นักท่องเที่ยวรู้จักและอยากมาเยี่ยมเยียน หรือนําพื้นที่ที่มีจุดเด่นมาต่อยอดเชื่อมโยงกับพื้นที่ที่ยังไม่มีจุดเด่น โดยให้เน้นสร้าง "ดาวเด่น" ของสินค้า หรือจุดเด่นในพื้นที่ให้เชื่อมโยงหลายพื้นที่เป็นเครือข่ายภายในจังหวัด กลุ่มจังหวัด หรือระดับภูมิภาค รวมทั้งสร้างกระแสประชาสัมพันธ์และดึงดูดผู้บริโภค (CCC - consumers, customers & clients) มาสู่จังหวัด
- ในการจัดงานเทศกาล งานรื่นเริงหรือมหกรรมต่างๆ (carnival or festival) เพื่อให้เกิดการดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงที่มีการเก็บเกี่ยวพืชผลการเกษตรหรือช่วงมีผลไม้ตามฤดูกาล โดยอาจจัดให้มีการประกวดนวัตกรรมแปรรูป หรือการจัดงานตามเทศกาลและประเพณี แล้วสอดแทรกสินค้าเด่น อาหารดัง ของที่ระลึกที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าในการจําหน่ายแก่นักท่องเที่ยว ฯลฯ
2. ให้จังหวัดพิจารณาใช้คณะกรรมการบริหารจังหวัดแบบบูรณาการ (กบจ.) หรือคณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐประจําจังหวัด (คสป.) คณะใดคณะหนึ่ง ซึ่งมีองค์ประกอบจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในพื้นที่ ให้ทําหน้าที่เป็นคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์จังหวัดแบบบูรณาการ (IPSDC - Integrated Provincial Strategy Delivery Committee) ในทํานองเดียวกับสํานักบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (Prime Minister's Delivery Unit) หรือ PMDU โดยกําหนดให้ประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อทําหน้าที่คิดค้นและร่วมกันค้นหาวิธีการ "ขับเคลื่อน" (delivery) การบริหารงานต่างๆ ตามข้อ 1. ให้เกิดผลสําเร็จเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ
3. ให้จังหวัดที่รัฐบาลกําหนดพื้นที่รองรับนโยบายพิเศษหรือมีจุดหมายสําคัญอยู่แล้ว (magnet destination) เช่น กลุ่มจังหวัดระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดเขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดที่มีแหล่งมรดกโลก จังหวัดเมืองท่องเที่ยวห้ามพลาด จังหวัดที่เป็นที่ตั้งของศูนย์ศึกษาการพัฒนาตามพระราชดําริพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นต้น โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องนําจุดเด่นหรือจุดแข็งของจังหวัดมาขยายผลหรือต่อยอดเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับประชาชน ขณะเดียวกันต้องประสานงานเชิงรุก โดยพิจารณาจับคู่กับกระทรวง กรม องค์การระหว่างประเทศ สถานทูตประเทศต่าง ๆ ในประเทศไทย ตลอดจนภาคธุรกิจ ฯลฯ เพื่อส่งเสริมจุดขาย เชื่อมโยงเทคโนโลยี และการดึงดูดความสนใจ ตลอดจนติดต่อประสานงานเชิญผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบแนวคิด (design idea) หรือประกวดแนวคิดสร้างสรรค์ต่อยอดสินค้าและบริการของจังหวัดที่จะสร้างความสนใจให้แก่ชาวต่างประเทศไว้ด้วย
4. สําหรับจังหวัดที่มีปัญหาเฉพาะในบางด้าน เช่น ปัญหาสาธารณภัยตามฤดูกาล ปัญหาชุมชนแออัด ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาบุกรุกที่สาธารณะประเภทต่าง ๆ ยาเสพติด การหลบหนีเข้าเมือง ฯลฯ ให้คณะกรรมการ IPSDC ดําเนินการจัดทําแผนการแก้ไขปัญหาไว้โดยเฉพาะ โดยแผนงานการแก้ไขปัญหา ต้องคํานึงถึงการวางพื้นฐานเพื่อแก้ปัญหาระยะยาวของจังหวัดโดยบรรจุไว้ในแผนพัฒนาพื้นที่เป็นกรณีพิเศษ และต้องมีรายละเอียดการถอดบทเรียนจากปัญหาลักษณะใกล้เคียงกันในพื้นที่ หรือนํากรณีศึกษา (case study) จากแหล่งอื่นๆ มาประยุกต์ใช้ โดยพิจารณาจากต้นเหตุปัญหา ซึ่งในแผนดังกล่าวต้องกําหนดวิธีการป้องกันแก้ไขปัญหาตามขั้นตอนการบริหารสถานการณ์วิกฤติ (crisis management) ทั้งนี้ ให้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และมีการซักซ้อม เพื่อหากเกิดเหตุการณ์จะไม่เกิดความตื่นตระหนก และในบางกรณีที่จําเป็น อาจพิจารณาโดยมีข้อตกลงหรือเงื่อนไขแลกเปลี่ยนชดเชย (trade off/compensation) ตามระเบียบของราชการ พร้อมทั้งกําหนดพื้นที่หรือจุดที่หรือกลุ่มที่มีความเปราะบาง (vulnerable) ที่ต้องดูแลเฝ้าระวังเป็นพิเศษไว้ด้วย
5. ในพื้นที่ที่ประชาชนมีความแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมท้องถิ่น แล้วมีกลุ่มคนพยายามนําความแตกต่างนั้นมาสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้ง จะต้องดําเนินการทุกวิถีทางตามกฎหมายให้เกิดความร่วมมือจากประชาชนกับภาครัฐในการร่วมกันแก้ไขปัญหา และเชิญชวนภาคประชาสังคมร่วมสร้างการรับรู้หรือความเข้าใจที่ดีต่อกันผ่านสื่อศิลปะการแสดง การละเล่น ดนตรี กีฬา ที่ผสมผสานอัตลักษณ์พื้นถิ่นในบริบท "พหุวัฒนธรรม" เชื่อมโยงกับเอกลักษณ์ที่สําคัญของชาติเพื่อสร้างการยอมรับและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยเน้นหนักในการสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องของประชาชนในพื้นที่และเฝ้าระวัง ตรวจสอบป้องกันและระมัดระวังการปล่อยข่าวลือหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้องต่าง ๆ ด้วย
6. ให้จังหวัดพิจารณาใช้งบประมาณจังหวัด กลุ่มจังหวัด และงบประมาณภาคทั้ง 6 ภาค งบอุดหนุนขององค์กรปกครองท้องถิ่น งบประมาณช่วยเหลือสังคม (CSR) ของภาคเอกชน และแหล่งสนับสนุนอื่น ๆ ให้ครอบคลุมแผนพัฒนาพื้นที่ตามยุทธศาสตร์ของจังหวัด เพื่อให้เกิดโอกาส (opportunity) ความเจริญเติบโต (growth) และความสุขมวลรวม (gross happiness) ที่สามารถวัดค่าดัชนีทางสถิติได้ ทั้งนี้ จังหวัดต้องคํานึงไว้เสมอว่าการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนพัฒนาดังกล่าวต้องไม่ทําให้เกิดสภาพ "รวยกระจุกจนกระจาย" และประการสําคัญต้องใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย ด้วยความโปร่งใส ไม่เกิดการทุจริต หรือนําโครงการพัฒนาต่าง ๆ ของพื้นที่ไปแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบอย่างเด็ดขาด
7. เพื่อสร้างสภาวะการทํางานในเชิงบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน ตามแนวทางที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ให้คณะกรรมการ IPSDC อาจแต่งตั้งคณะทํางานย่อย (working group) เพื่อให้มีเจ้าภาพหรือผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาตามยุทธศาสตร์จังหวัดแต่ละด้าน
ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า การบริหารงานแบบบูรณาการเป็นบทบาทหน้าที่ที่สําคัญของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอในการขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ร่วมกับทุกภาคส่วน และต้องสนองตอบความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ หากจังหวัดมีตัวอย่างความสําเร็จ (Best Practice) หรือข้อเสนอแนะ/ปัญหาอุปสรรคใดๆ ให้รายงานมายังกระทรวงมหาดไทยเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต่อไป | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4635 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัด พม. ที่จังหวัดสมุทรปราการ | วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2561
รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัด พม. ที่จังหวัดสมุทรปราการ
รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัด พม. ที่จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมร่วมกิจกรรมออกกําลังกาย “ปั่นปันรักษ์สุขภาพ”
เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 61 เวลา 14.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ได้แก่ สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ และศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมมอบแนวทางการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ อีกทั้งมอบรถสามล้อโยกให้กับสมาคมคนพิการจังหวัดสมุทรปราการ จํานวน 30 คัน นอกจากนี้ ยังเป็นประธานเปิดกิจกรรมออกกําลังกาย "ปั่นปันรักษ์สุขภาพ” พร้อมคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เข้าร่วม ซึ่งเป็นการปั่นจักรยานระยะทาง 12 กิโลเมตร ณ คุ้งบางกระเจ้า อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะเป็นองค์กรหลักในการดําเนินภารกิจด้านสังคมตามนโยบายรัฐบาล "ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และการสร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ” มีภารกิจในการส่งเสริม พัฒนาคุณภาพและความมั่นคงชีวิต ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เด็กและเยาวชน สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส คนไร้ที่พึ่งและขอทาน รวมทั้ง ผู้ที่ประสบปัญหาทางสังคม โดยขับเคลื่อนงานด้วยการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ซึ่งการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในวันนี้ เป็นการติดตามการดําเนินงาน พร้อมทั้งมอบแนวทางการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ รวมทั้งเป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้กับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ สําหรับสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นหน่วยงานในสังกัดกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) มีภารกิจหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู บําบัด รักษา ฟื้นฟู และพัฒนาศักยภาพคนพิการให้สามารถดํารงชีวิตได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถกลับคืนสู่ครอบครัวและสังคมได้ ปัจจุบันมีคนพิการที่เข้ารับบริการจํานวนทั้งสิ้น 497 คน แบ่งเป็น ชาย 251 คน และหญิง 246 คน ส่วนศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นหน่วยงานในสังกัด พก. มีภารกิจหน้าที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพด้านอาชีพให้กับคนพิการ โดยมีโครงการฝึกอบรมวิชาชีพเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมคนพิการเพื่อเข้าสู่สถานประกอบการ และเพื่อประกอบอาชีพอิสระ รวมถึงให้คําแนะนําด้านสิทธิสวัสดิการ การมอบรถโยก กายอุปกรณ์ พร้อมเงินสงเคราะห์ ซึ่งปัจจุบันมีคนพิการที่เข้ารับการฝึกอาชีพจํานวนทั้งสิ้น 40 คน แบ่งเป็น ชาย 23 คน และหญิง 17 คน
บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ เป็นหน่วยงานในสังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) มีภารกิจหน้าที่เป็นศูนย์รับแจ้งเรื่องราว ข่าวสาร ให้คําแนะนําปรึกษา และเป็นศูนย์ประสานงานและบริการให้ความช่วยแก่เด็ก สตรี และครอบครัวที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนไม่มีที่พักอาศัย หรือไม่มีผู้ดูแลรับผิดชอบ รวมทั้งเป็นสถานแรกรับ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทําด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2560 โดยในปี 2561 มีผู้รับบริการจํานวนทั้งสิ้น 56 ราย สําหรับศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสมุทรปราการ เป็นหน่วยงานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) มีภารกิจในการรับแจ้งเหตุตามพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 และ พระราชบัญญัติคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2557 พร้อมทั้งสํารวจและติดตามปัญหาคนไร้ที่พึ่ง สืบเสาะข้อมูลและให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง คัดกรองผู้ทําการขอทาน เป็นศูนย์เรียนรู้การคุ้มครองและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนขอทานและคนไร้ที่พึ่ง โดยในปี 2561 มีผู้รับบริการจํานวนทั้งสิ้น 127 คน แบ่งเป็นคนไร้ที่พึ่ง 95 คน และคนขอทาน จํานวน 32 คน
การลงพื้นที่ครั้งนี้ ได้นําคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมออกกําลังกาย "ปั่นปันรักษ์สุขภาพ” เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ มีสุขภาพแข็งแรงโดยการออกกําลังกายสม่ําเสมอ และให้เกิดการตื่นตัวในการทํางาน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมความสามัคคี โดยเริ่มปั่นจักรยานไปยังซอย 18 วัดบางกระสอบ เพื่อเข้าเส้นทางปั่นจักรยาน ณ คุ้งบางกระเจ้า อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ รวมระยะทาง 12 กิโลเมตร | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัด พม. ที่จังหวัดสมุทรปราการ
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2561
รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัด พม. ที่จังหวัดสมุทรปราการ
รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัด พม. ที่จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมร่วมกิจกรรมออกกําลังกาย “ปั่นปันรักษ์สุขภาพ”
เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 61 เวลา 14.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ได้แก่ สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ และศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมมอบแนวทางการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ อีกทั้งมอบรถสามล้อโยกให้กับสมาคมคนพิการจังหวัดสมุทรปราการ จํานวน 30 คัน นอกจากนี้ ยังเป็นประธานเปิดกิจกรรมออกกําลังกาย "ปั่นปันรักษ์สุขภาพ” พร้อมคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เข้าร่วม ซึ่งเป็นการปั่นจักรยานระยะทาง 12 กิโลเมตร ณ คุ้งบางกระเจ้า อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะเป็นองค์กรหลักในการดําเนินภารกิจด้านสังคมตามนโยบายรัฐบาล "ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และการสร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ” มีภารกิจในการส่งเสริม พัฒนาคุณภาพและความมั่นคงชีวิต ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เด็กและเยาวชน สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส คนไร้ที่พึ่งและขอทาน รวมทั้ง ผู้ที่ประสบปัญหาทางสังคม โดยขับเคลื่อนงานด้วยการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ซึ่งการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในวันนี้ เป็นการติดตามการดําเนินงาน พร้อมทั้งมอบแนวทางการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ รวมทั้งเป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้กับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ สําหรับสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นหน่วยงานในสังกัดกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) มีภารกิจหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู บําบัด รักษา ฟื้นฟู และพัฒนาศักยภาพคนพิการให้สามารถดํารงชีวิตได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถกลับคืนสู่ครอบครัวและสังคมได้ ปัจจุบันมีคนพิการที่เข้ารับบริการจํานวนทั้งสิ้น 497 คน แบ่งเป็น ชาย 251 คน และหญิง 246 คน ส่วนศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นหน่วยงานในสังกัด พก. มีภารกิจหน้าที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพด้านอาชีพให้กับคนพิการ โดยมีโครงการฝึกอบรมวิชาชีพเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมคนพิการเพื่อเข้าสู่สถานประกอบการ และเพื่อประกอบอาชีพอิสระ รวมถึงให้คําแนะนําด้านสิทธิสวัสดิการ การมอบรถโยก กายอุปกรณ์ พร้อมเงินสงเคราะห์ ซึ่งปัจจุบันมีคนพิการที่เข้ารับการฝึกอาชีพจํานวนทั้งสิ้น 40 คน แบ่งเป็น ชาย 23 คน และหญิง 17 คน
บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ เป็นหน่วยงานในสังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) มีภารกิจหน้าที่เป็นศูนย์รับแจ้งเรื่องราว ข่าวสาร ให้คําแนะนําปรึกษา และเป็นศูนย์ประสานงานและบริการให้ความช่วยแก่เด็ก สตรี และครอบครัวที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนไม่มีที่พักอาศัย หรือไม่มีผู้ดูแลรับผิดชอบ รวมทั้งเป็นสถานแรกรับ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทําด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2560 โดยในปี 2561 มีผู้รับบริการจํานวนทั้งสิ้น 56 ราย สําหรับศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสมุทรปราการ เป็นหน่วยงานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) มีภารกิจในการรับแจ้งเหตุตามพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 และ พระราชบัญญัติคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2557 พร้อมทั้งสํารวจและติดตามปัญหาคนไร้ที่พึ่ง สืบเสาะข้อมูลและให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง คัดกรองผู้ทําการขอทาน เป็นศูนย์เรียนรู้การคุ้มครองและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนขอทานและคนไร้ที่พึ่ง โดยในปี 2561 มีผู้รับบริการจํานวนทั้งสิ้น 127 คน แบ่งเป็นคนไร้ที่พึ่ง 95 คน และคนขอทาน จํานวน 32 คน
การลงพื้นที่ครั้งนี้ ได้นําคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมออกกําลังกาย "ปั่นปันรักษ์สุขภาพ” เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ มีสุขภาพแข็งแรงโดยการออกกําลังกายสม่ําเสมอ และให้เกิดการตื่นตัวในการทํางาน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมความสามัคคี โดยเริ่มปั่นจักรยานไปยังซอย 18 วัดบางกระสอบ เพื่อเข้าเส้นทางปั่นจักรยาน ณ คุ้งบางกระเจ้า อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ รวมระยะทาง 12 กิโลเมตร | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12484 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2561 | วันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2561
รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2561
“เศรษฐกิจไทยปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4.2 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นต่อเนื่อง”
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทย ณ เดือนเมษายน 2561 ว่า “เศรษฐกิจไทยในปี 2561 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4.2 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.9 – 4.5) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยมีการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญ ซึ่งสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวอย่างชัดเจน ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญตามกรอบรายจ่ายเพื่อการบริโภคและลงทุนภาครัฐประจําปีงบประมาณ 2561 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และพรบ. จัดทํางบประมาณกลางปีงบประมาณ 2561 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ความคืบหน้าของโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่สําคัญ และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน คาดว่าจะมีส่วนช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจและกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น สําหรับการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นตามการจ้างที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 2 ยังคาดว่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไป
สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในส่วนของเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2561 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.2 (โดยมีช่วงประมาณการที่ร้อยละ 0.9 -1.5) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนตามแนวโน้มต้นทุนจากราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจากการปฏิบัติตามข้อตกลงลดกําลังการผลิตน้ํามันของกลุ่ม OPEC และ non-OPEC ที่ส่งผลให้อุปทานน้ํามันดิบในตลาดโลกเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 46.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 9.1 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.8 – 9.4 ของ GDP)”
ทั้งนี้ รองโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจําเป็นต้องคํานึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความผันผวนของตลาดการเงินโลก”
เอกสารแนบ
รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2561
1. ด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยในปี 2561 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4.2 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.9 – 4.5) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยมีการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญ ซึ่งสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวอย่างชัดเจน ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณส่งออกสินค้าและบริการมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 5.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 5.2 – 5.8) ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญตามกรอบรายจ่ายเพื่อการบริโภคและลงทุนภาครัฐประจําปีงบประมาณ 2561 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และพรบ. จัดทํางบประมาณกลางปีงบประมาณ 2561 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ส่งผลให้การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 8.9 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.6 – 9.2) เช่นเดียวกับการบริโภคภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.0 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.7 – 3.3) นอกจากนี้ ความคืบหน้าของโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่สําคัญ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ คาดว่าจะมีส่วนช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจและกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น โดยคาดว่าการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 3.8 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.5 – 4.1) สําหรับการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นตามการจ้างที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 2 ยังคาดว่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนให้ขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.2 – 3.8) ส่วนปริมาณการนําเข้าสินค้าและบริการคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 5.8 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 5.5 – 6.1) สอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะเร่งขึ้นและการฟื้นตัวของภาคการส่งออก นอกจากนี้ ยังได้รับแรงสนับสนุนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐอีกด้วย
2. ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ
เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2561 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.2 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.9 – 1.5) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และแนวโน้มต้นทุนจากราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจากการปฏิบัติตามข้อตกลงลดกําลังการผลิตน้ํามันของกลุ่ม OPEC และ non-OPEC ที่ส่งผลให้อุปทานน้ํามันดิบในตลาดโลกเพิ่มขึ้นน้อย สําหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 46.6 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นร้อยละ 9.1 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.8 - 9.4 ของ GDP) เนื่องจากดุลการค้าที่คาดว่าจะเกินดุลที่ 25.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 25.0 – 25.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ตามมูลค่าสินค้าส่งออกคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 8.0 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 7.7 – 8.3) ในขณะที่มูลค่าสินค้านําเข้าคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 12.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 12.2 – 12.8)
สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3223 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2561
วันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2561
รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2561
“เศรษฐกิจไทยปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4.2 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นต่อเนื่อง”
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทย ณ เดือนเมษายน 2561 ว่า “เศรษฐกิจไทยในปี 2561 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4.2 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.9 – 4.5) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยมีการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญ ซึ่งสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวอย่างชัดเจน ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญตามกรอบรายจ่ายเพื่อการบริโภคและลงทุนภาครัฐประจําปีงบประมาณ 2561 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และพรบ. จัดทํางบประมาณกลางปีงบประมาณ 2561 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ความคืบหน้าของโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่สําคัญ และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน คาดว่าจะมีส่วนช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจและกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น สําหรับการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นตามการจ้างที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 2 ยังคาดว่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไป
สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในส่วนของเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2561 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.2 (โดยมีช่วงประมาณการที่ร้อยละ 0.9 -1.5) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนตามแนวโน้มต้นทุนจากราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจากการปฏิบัติตามข้อตกลงลดกําลังการผลิตน้ํามันของกลุ่ม OPEC และ non-OPEC ที่ส่งผลให้อุปทานน้ํามันดิบในตลาดโลกเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 46.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 9.1 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.8 – 9.4 ของ GDP)”
ทั้งนี้ รองโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจําเป็นต้องคํานึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความผันผวนของตลาดการเงินโลก”
เอกสารแนบ
รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2561
1. ด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยในปี 2561 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4.2 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.9 – 4.5) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยมีการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญ ซึ่งสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวอย่างชัดเจน ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณส่งออกสินค้าและบริการมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 5.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 5.2 – 5.8) ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญตามกรอบรายจ่ายเพื่อการบริโภคและลงทุนภาครัฐประจําปีงบประมาณ 2561 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และพรบ. จัดทํางบประมาณกลางปีงบประมาณ 2561 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ส่งผลให้การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 8.9 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.6 – 9.2) เช่นเดียวกับการบริโภคภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.0 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.7 – 3.3) นอกจากนี้ ความคืบหน้าของโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่สําคัญ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ คาดว่าจะมีส่วนช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจและกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น โดยคาดว่าการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 3.8 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.5 – 4.1) สําหรับการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นตามการจ้างที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 2 ยังคาดว่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนให้ขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.2 – 3.8) ส่วนปริมาณการนําเข้าสินค้าและบริการคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 5.8 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 5.5 – 6.1) สอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะเร่งขึ้นและการฟื้นตัวของภาคการส่งออก นอกจากนี้ ยังได้รับแรงสนับสนุนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐอีกด้วย
2. ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ
เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2561 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.2 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.9 – 1.5) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และแนวโน้มต้นทุนจากราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจากการปฏิบัติตามข้อตกลงลดกําลังการผลิตน้ํามันของกลุ่ม OPEC และ non-OPEC ที่ส่งผลให้อุปทานน้ํามันดิบในตลาดโลกเพิ่มขึ้นน้อย สําหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 46.6 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นร้อยละ 9.1 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.8 - 9.4 ของ GDP) เนื่องจากดุลการค้าที่คาดว่าจะเกินดุลที่ 25.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 25.0 – 25.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ตามมูลค่าสินค้าส่งออกคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 8.0 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 7.7 – 8.3) ในขณะที่มูลค่าสินค้านําเข้าคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 12.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 12.2 – 12.8)
สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3223 | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11815 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุม รมต. อาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่สิงคโปร์ เดินหน้าบูรณาการร่วมกัน และกำหนดบรรทัดฐานความรับผิดชอบของรัฐบนโลกไซเบอร์ | วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุม รมต. อาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่สิงคโปร์ เดินหน้าบูรณาการร่วมกัน และกําหนดบรรทัดฐานความรับผิดชอบของรัฐบนโลกไซเบอร์
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุม รมต. อาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่สิงคโปร์ เดินหน้าบูรณาการร่วมกัน และกําหนดบรรทัดฐานความรับผิดชอบของรัฐบนโลกไซเบอร์
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ครั้งที่ 4 (The 4th ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity) ระหว่างวันที่ 1 - 3 ตุลาคม 2562 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมี นายเอส อิสวารัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของสาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นประธานการประชุม มีรัฐมนตรีที่ดูแลความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศจากอาเซียน 10 ประเทศ และประเทศคู่เจรจาของอาเซียน รวมทั้งผู้แทนจากสหประชาชาติ เข้าร่วมการประชุมฯ
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ได้หารือประเด็นหลัก คือ แนวทางและกลไกการประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของอาเซียนระหว่างเวทีการประชุมต่างๆ เพื่อบูรณาการและกําหนดทิศทางของอาเซียนในเรื่องนี้ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน รวมถึงหารือเกี่ยวกับบรรทัดฐานความรับผิดชอบของรัฐบนโลกไซเบอร์ (Norms of Responsible State Behaviour in Cyberspace) ภายใต้ความร่วมมือของสหประชาชาชาติ ซึ่งจะช่วยสร้างบรรทัดฐานที่ดีในภูมิภาคอาเซียน โดยจะมีการตั้งคณะทํางานเพื่อศึกษาและหารือในรายละเอียดต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมให้ความสําคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ปัจจุบันไทยได้สนับสนุนการพัฒนาบุคลากรของอาเซียน โดยไทยเป็นที่ตั้งของศูนย์ ASEAN-Japan Cybersecurity Capacity Building Center ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ ภายใต้การดําเนินงานของสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ มีผู้แทนประเทศอาเซียนอาเซียนเดินทางเข้ามาร่วมอบรมเป็นประจําและต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 เป็นต้นมา ซึ่งขณะนี้มีบุคลากรอาเซียนรวมถึงไทยได้รับการอบรมแล้ว 232 คน
ทั้งนี้ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้หารือทวิภาคีกับ Dato Seri Awang Abdul Mutalib รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและสารสนเทศการสื่อสารแห่งบรูไนดารุสซาลาม เพื่อแลกเปลี่ยนแผนและนโยบายการพัฒนาด้านดิจิทัลและการประยุกต์ใช้ของทั้งสองฝ่าย รวมถึงกฎหมายด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อนําไปสู่การจัดทําบันทึกความเข้าใจระหว่างกันต่อไป และมีการหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของสาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวปฏิบัติที่ดี ตลอดจนกฎหมาย กฎระเบียบ ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการตกลงที่จะต่ออายุบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านไอซีทีระหว่างไทยกับสิงคโปร์
********************* | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุม รมต. อาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่สิงคโปร์ เดินหน้าบูรณาการร่วมกัน และกำหนดบรรทัดฐานความรับผิดชอบของรัฐบนโลกไซเบอร์
วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุม รมต. อาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่สิงคโปร์ เดินหน้าบูรณาการร่วมกัน และกําหนดบรรทัดฐานความรับผิดชอบของรัฐบนโลกไซเบอร์
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุม รมต. อาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่สิงคโปร์ เดินหน้าบูรณาการร่วมกัน และกําหนดบรรทัดฐานความรับผิดชอบของรัฐบนโลกไซเบอร์
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ครั้งที่ 4 (The 4th ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity) ระหว่างวันที่ 1 - 3 ตุลาคม 2562 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมี นายเอส อิสวารัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของสาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นประธานการประชุม มีรัฐมนตรีที่ดูแลความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศจากอาเซียน 10 ประเทศ และประเทศคู่เจรจาของอาเซียน รวมทั้งผู้แทนจากสหประชาชาติ เข้าร่วมการประชุมฯ
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ได้หารือประเด็นหลัก คือ แนวทางและกลไกการประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของอาเซียนระหว่างเวทีการประชุมต่างๆ เพื่อบูรณาการและกําหนดทิศทางของอาเซียนในเรื่องนี้ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน รวมถึงหารือเกี่ยวกับบรรทัดฐานความรับผิดชอบของรัฐบนโลกไซเบอร์ (Norms of Responsible State Behaviour in Cyberspace) ภายใต้ความร่วมมือของสหประชาชาชาติ ซึ่งจะช่วยสร้างบรรทัดฐานที่ดีในภูมิภาคอาเซียน โดยจะมีการตั้งคณะทํางานเพื่อศึกษาและหารือในรายละเอียดต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมให้ความสําคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ปัจจุบันไทยได้สนับสนุนการพัฒนาบุคลากรของอาเซียน โดยไทยเป็นที่ตั้งของศูนย์ ASEAN-Japan Cybersecurity Capacity Building Center ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ ภายใต้การดําเนินงานของสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ มีผู้แทนประเทศอาเซียนอาเซียนเดินทางเข้ามาร่วมอบรมเป็นประจําและต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 เป็นต้นมา ซึ่งขณะนี้มีบุคลากรอาเซียนรวมถึงไทยได้รับการอบรมแล้ว 232 คน
ทั้งนี้ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้หารือทวิภาคีกับ Dato Seri Awang Abdul Mutalib รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและสารสนเทศการสื่อสารแห่งบรูไนดารุสซาลาม เพื่อแลกเปลี่ยนแผนและนโยบายการพัฒนาด้านดิจิทัลและการประยุกต์ใช้ของทั้งสองฝ่าย รวมถึงกฎหมายด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อนําไปสู่การจัดทําบันทึกความเข้าใจระหว่างกันต่อไป และมีการหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของสาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวปฏิบัติที่ดี ตลอดจนกฎหมาย กฎระเบียบ ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการตกลงที่จะต่ออายุบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านไอซีทีระหว่างไทยกับสิงคโปร์
********************* | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23673 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยและสหภาพยุโรป เดินหน้าความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ | วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561
ไทยและสหภาพยุโรป เดินหน้าความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ
ไทยและสหภาพยุโรป เดินหน้าความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ
วันนี้(25 เมษายน 2561) เวลา 13.30 น. นายปีร์กะ ตาปีโอละ (H.E. Mr. Pirkka Tapiola) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจําประเทศไทยที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน นับตั้งแต่เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา และมีส่วนสําคัญในการผลักดันฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-สหภาพยุโรป โดยเฉพาะการปรับข้อมติเกี่ยวกับประเทศไทย ทําให้ความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายในด้านต่าง ๆ กลับมามีพัฒนาการอีกครั้ง โดยได้มีบุคคลสําคัญในระดับรัฐมนตรีจากหลายประเทศของสมาชิกสหภาพยุโรปเยือนไทยอย่างเป็นทางการภายหลังการปรับข้อมติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ ของไทยได้เยือนประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปด้วย รวมทั้งในปลายปีนี้ ยังได้ตอบรับเข้าร่วมการประชุมผู้นําเอเชีย-ยุโรป (ASEM) ที่กรุงบรัสเซลส์อีกด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยูโรปและอาเซียน เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองภูมิภาคร่วมกัน สําหรับพัฒนาการทางการเมืองของไทยนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวให้สหภาพยุโรปไว้วางใจได้ว่า รัฐบาลยังคงเดินหน้าตาม Roadmap และ เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย รวมทั้งจะมีการลือกตั้งทั่วไปเพื่อนําประเทศกลับสู่ประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน
โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจําประเทศไทยยินดีที่ทั้งสองฝ่ายมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันมากขึ้น หลังจากการปรับข้อมติเกี่ยวกับประเทศไทย เชื่อว่า ไทย-สหภาพยุโรป ยังมีศักยภาพที่จะกระชับความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ในอนาคตทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงและการร่วมหารือของคณะทํางาน ในสาขาต่างๆ ซึ่งเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย ยังกล่าวถึงบทบาทสําคัญของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกสําคัญของอาเซียน จะสามารถส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป รวมทั้งการเป็นประธานอาเซียนของไทยในปีหน้า จะยังมีส่วนผลักดันประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ของไทยและสหภาพยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น
ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ไม่รายงานและไร้การควบคุม (IUU) ของไทย โดยเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจําประเทศไทยชื่นชมนายกรัฐมนตรี ที่ได้แสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองอย่างชัดเจน และสั่งการให้มีการดําเนินการแก้ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย IUU รวมทั้งปัญหาแรงงาน ซึ่งเข้าใจดีว่า ปัญหาประมงและแรงงานของไทยมีความซับซ้อน เชื่อว่าไทยจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้เกิดความยั่งยืนได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีแสดงความเข้าใจและหวังว่าสหภาพยุโรปจะเห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ไม่ว่าผลการพิจารณาของสหภาพยุโรปในเรื่องการแก้ไขปัญหา IUU จะออกมาในรูปแบบใด รัฐบาลจะยังคงเดินหน้าดําเนินการแก้ไขปัญหาการประมงผิดกฎหมายและปัญหาแรงงานต่อไปอย่างแน่นอน เพื่อให้การประมงของไทยเกิดความยั่งยืน รวมทั้งยังหวังให้เกิดการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ําของไทยและของโลกอีกด้วย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยและสหภาพยุโรป เดินหน้าความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561
ไทยและสหภาพยุโรป เดินหน้าความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ
ไทยและสหภาพยุโรป เดินหน้าความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ
วันนี้(25 เมษายน 2561) เวลา 13.30 น. นายปีร์กะ ตาปีโอละ (H.E. Mr. Pirkka Tapiola) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจําประเทศไทยที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน นับตั้งแต่เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา และมีส่วนสําคัญในการผลักดันฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-สหภาพยุโรป โดยเฉพาะการปรับข้อมติเกี่ยวกับประเทศไทย ทําให้ความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายในด้านต่าง ๆ กลับมามีพัฒนาการอีกครั้ง โดยได้มีบุคคลสําคัญในระดับรัฐมนตรีจากหลายประเทศของสมาชิกสหภาพยุโรปเยือนไทยอย่างเป็นทางการภายหลังการปรับข้อมติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ ของไทยได้เยือนประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปด้วย รวมทั้งในปลายปีนี้ ยังได้ตอบรับเข้าร่วมการประชุมผู้นําเอเชีย-ยุโรป (ASEM) ที่กรุงบรัสเซลส์อีกด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยูโรปและอาเซียน เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองภูมิภาคร่วมกัน สําหรับพัฒนาการทางการเมืองของไทยนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวให้สหภาพยุโรปไว้วางใจได้ว่า รัฐบาลยังคงเดินหน้าตาม Roadmap และ เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย รวมทั้งจะมีการลือกตั้งทั่วไปเพื่อนําประเทศกลับสู่ประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน
โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจําประเทศไทยยินดีที่ทั้งสองฝ่ายมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันมากขึ้น หลังจากการปรับข้อมติเกี่ยวกับประเทศไทย เชื่อว่า ไทย-สหภาพยุโรป ยังมีศักยภาพที่จะกระชับความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ในอนาคตทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงและการร่วมหารือของคณะทํางาน ในสาขาต่างๆ ซึ่งเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย ยังกล่าวถึงบทบาทสําคัญของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกสําคัญของอาเซียน จะสามารถส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป รวมทั้งการเป็นประธานอาเซียนของไทยในปีหน้า จะยังมีส่วนผลักดันประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ของไทยและสหภาพยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น
ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ไม่รายงานและไร้การควบคุม (IUU) ของไทย โดยเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจําประเทศไทยชื่นชมนายกรัฐมนตรี ที่ได้แสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองอย่างชัดเจน และสั่งการให้มีการดําเนินการแก้ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย IUU รวมทั้งปัญหาแรงงาน ซึ่งเข้าใจดีว่า ปัญหาประมงและแรงงานของไทยมีความซับซ้อน เชื่อว่าไทยจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้เกิดความยั่งยืนได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีแสดงความเข้าใจและหวังว่าสหภาพยุโรปจะเห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ไม่ว่าผลการพิจารณาของสหภาพยุโรปในเรื่องการแก้ไขปัญหา IUU จะออกมาในรูปแบบใด รัฐบาลจะยังคงเดินหน้าดําเนินการแก้ไขปัญหาการประมงผิดกฎหมายและปัญหาแรงงานต่อไปอย่างแน่นอน เพื่อให้การประมงของไทยเกิดความยั่งยืน รวมทั้งยังหวังให้เกิดการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ําของไทยและของโลกอีกด้วย | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11758 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย จัดอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้ และพัฒนาบุคลากรด้านกฎหมาย เพิ่มสมรรถนะ และทักษะ ตามแนวทางการบริหารราชการแบบใหม่ | วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561
กระทรวงมหาดไทย จัดอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้ และพัฒนาบุคลากรด้านกฎหมาย เพิ่มสมรรถนะ และทักษะ ตามแนวทางการบริหารราชการแบบใหม่
กระทรวงมหาดไทย จัดอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้ และพัฒนาบุคลากรด้านกฎหมาย
เพิ่มสมรรถนะ และทักษะ ตามแนวทางการบริหารราชการแบบใหม่
วันนี้ (16 ก.ค. 61) ที่กระทรวงมหาดไทยนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายด้านการส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและมีการปฏิรูประบบราชการโดยเน้นการบริหารงานแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ซึ่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ได้กําหนดแนวทางการบริหารราชการไว้ และให้ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ และปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ความคิด เพื่อให้หน่วยงานมีลักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ําเสมอ โดยเปิดรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อนํามาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้งต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์ และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัด ให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ และมีการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติราชการซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการบริหารราชการดังกล่าว ประกอบกับในปัจจุบันมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ทําให้มีกฎหมายฉบับใหม่ๆ ออกมาบังคับใช้เป็นจํานวนมาก
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมแก่บุคลากรของกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะการสร้างบุคลากรด้านกฎหมาย ที่มีการปฏิบัติงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้ได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยจึงได้จัดทําโครงการพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านกฎหมาย ของสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ขึ้น ระหว่างวันที่ 16–20 กรกฎาคม 2561 รวม 5 วัน ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนทักษะ ความรู้ และความชํานาญด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ รวมถึงกฎหมายฉบับใหม่และระเบียบต่างๆ ที่มีผลบังคับใช้แล้ว เพื่อให้บุคลากรได้มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง สามารถนําไปปรับใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติราชการ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและมีคุณภาพ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย นิติกร และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านกฎหมายในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมจํานวนทั้งสิ้น 100 คน
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าการจัดอบรมครั้งนี้มีความสําคัญเป็นอย่างมากที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถให้กับบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านกฎหมายของสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้ได้รับการพัฒนาอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน มีความรู้ ความเข้าใจในหลักกฎหมาย และความชํานาญด้านกฎหมายอย่างถูกต้องและลึกซึ้ง โดยหลักสูตรดังกล่าวมีทั้งการบรรยาย/อภิปราย และการสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน รวมทั้งมีการแบ่งกลุ่มกรณีศึกษา (Group Workshop)ซึ่งเชื่อมั่นว่าผู้เข้ารับการอบรมจะได้เพิ่มพูนองค์ความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญในหน้าที่การงาน จากทีมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและมากด้วยประสบการณ์ สามารถนําความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับส่วนราชการในการปรับเปลี่ยนบทบาทการบริหารส่วนราชการไปสู่การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ ที่ให้ความสําคัญกับผลสัมฤทธิ์ของงาน และสามารถแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติราชการได้ เพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชน และประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย จัดอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้ และพัฒนาบุคลากรด้านกฎหมาย เพิ่มสมรรถนะ และทักษะ ตามแนวทางการบริหารราชการแบบใหม่
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561
กระทรวงมหาดไทย จัดอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้ และพัฒนาบุคลากรด้านกฎหมาย เพิ่มสมรรถนะ และทักษะ ตามแนวทางการบริหารราชการแบบใหม่
กระทรวงมหาดไทย จัดอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้ และพัฒนาบุคลากรด้านกฎหมาย
เพิ่มสมรรถนะ และทักษะ ตามแนวทางการบริหารราชการแบบใหม่
วันนี้ (16 ก.ค. 61) ที่กระทรวงมหาดไทยนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายด้านการส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและมีการปฏิรูประบบราชการโดยเน้นการบริหารงานแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ซึ่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ได้กําหนดแนวทางการบริหารราชการไว้ และให้ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ และปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ความคิด เพื่อให้หน่วยงานมีลักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ําเสมอ โดยเปิดรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อนํามาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้งต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์ และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัด ให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ และมีการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติราชการซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการบริหารราชการดังกล่าว ประกอบกับในปัจจุบันมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ทําให้มีกฎหมายฉบับใหม่ๆ ออกมาบังคับใช้เป็นจํานวนมาก
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมแก่บุคลากรของกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะการสร้างบุคลากรด้านกฎหมาย ที่มีการปฏิบัติงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้ได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยจึงได้จัดทําโครงการพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านกฎหมาย ของสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ขึ้น ระหว่างวันที่ 16–20 กรกฎาคม 2561 รวม 5 วัน ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนทักษะ ความรู้ และความชํานาญด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ รวมถึงกฎหมายฉบับใหม่และระเบียบต่างๆ ที่มีผลบังคับใช้แล้ว เพื่อให้บุคลากรได้มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง สามารถนําไปปรับใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติราชการ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและมีคุณภาพ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย นิติกร และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านกฎหมายในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมจํานวนทั้งสิ้น 100 คน
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าการจัดอบรมครั้งนี้มีความสําคัญเป็นอย่างมากที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถให้กับบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านกฎหมายของสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้ได้รับการพัฒนาอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน มีความรู้ ความเข้าใจในหลักกฎหมาย และความชํานาญด้านกฎหมายอย่างถูกต้องและลึกซึ้ง โดยหลักสูตรดังกล่าวมีทั้งการบรรยาย/อภิปราย และการสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน รวมทั้งมีการแบ่งกลุ่มกรณีศึกษา (Group Workshop)ซึ่งเชื่อมั่นว่าผู้เข้ารับการอบรมจะได้เพิ่มพูนองค์ความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญในหน้าที่การงาน จากทีมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและมากด้วยประสบการณ์ สามารถนําความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับส่วนราชการในการปรับเปลี่ยนบทบาทการบริหารส่วนราชการไปสู่การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ ที่ให้ความสําคัญกับผลสัมฤทธิ์ของงาน และสามารถแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติราชการได้ เพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชน และประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติต่อไป | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13891 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานประกันสังคมชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีการเก็บเงินเงินสมทบผู้ประกันตน | วันพุธที่ 19 กันยายน 2561
สํานักงานประกันสังคมชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีการเก็บเงินเงินสมทบผู้ประกันตน
สํานักงานประกันสังคมชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีการเก็บเงินเงินสมทบผู้ประกันตนเพิ่ม ยืนยันผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ํากว่า 15,000 บาท ยังคงจ่ายเงินสมทบเท่าเดิม ไม่มีผลกระทบใด ๆ
นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม ชี้แจงกรณี นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกระทรวงแรงงานจะเก็บเงินเงินสมทบเพิ่มจากเดือนละ 750 บาท เป็นเดือนละ 1,000 บาท ซึ่งมีประเด็น ดังนี้ 1. การเก็บเงินสมทบเพิ่มเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ประกันตนกว่า 15 ล้านคน 2. ปัจจุบันเงินกองทุนประกันสังคมมีสะสมมากถึง 1,809,225 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 มีนาคม 2561) จึงไม่มีความจําเป็นใด ๆ ที่จะเก็บเงินเพิ่ม 3. รัฐบาลนําเงินกองทุนประกันสังคมไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จนเสียหาย จึงเรียกร้องให้มีการสอบสวนหาผู้รับผิดชอบในอดีตมาลงโทษ และเรียกค่าเสียหายชดใช้คืนกองทุนฯ ด้วย 4. ควรออกกฎหมายห้ามนําเงินกองทุนประกันสังคมมาใช้แบบผิดวัตถุประสงค์ หรือมาใช้หาเสียงเรียกคะแนนนิยมทางการเมือง
สํานักงานประกันสังคม ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้
1. ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ํากว่า 15,000 บาท ยังคงจ่ายเงินสมทบเท่าเดิม ไม่มีผลกระทบใด ๆ ส่วนผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างสูงกว่า 15,000 บาท (ตามฐานข้อมูลประกันสังคม ผู้ประกันตนกลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของผู้ประกันตน ที่มีนายจ้างในระบบประกันสังคม ซึ่งคิดเป็นจํานวน 3,603,866 คน ข้อมูล ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2561) ซึ่งผู้ประกันตนจํานวนประมาณนี้เท่านั้นที่ต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นและการจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ สํานักงานประกันสังคม มีหน้าที่ดูแลผู้ประกันตนให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเพียงพอ อีกประการหนึ่งในเรื่องนี้ เป็นข้อเสนอของผู้แทนฝ่ายลูกจ้างที่เห็นประโยชน์อันจะเกิดแก่ผู้ประกันตน อย่างไรก็ตามในการดําเนินการสํานักงานฯ ก็ต้องดูแลไม่ให้กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ขณะนี้จึงยังไม่ได้ดําเนินการใดเพิ่มเติมเนื่องจากคณะกรรมการประกันสังคม ได้พิจารณาให้สํานักงานฯ ดําเนินการสร้างการรับรู้ และรับฟังความคิดเห็น ของผู้ประกันตน นายจ้าง และสาธารณชน
2. การที่เก็บเงินสมทบเพิ่มไม่ได้หมายความว่ากองทุนประกันสังคมขาดทุนหรือเงินกองทุนลดน้อยลง แต่สํานักงานพิจารณาถึงการเสียโอกาสในการออมและผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนโดยเฉพาะในส่วนเงินทดแทนและเงินบํานาญ
3. เรื่องความเสียหายในการลงทุนที่ผ่านมาในอดีต สํานักงานประกันสังคมได้ดําเนินการทางวินัย ดําเนินการในคดีอาญา ซึ่งการพิจารณาอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม และดําเนินการทางแพ่งเป็นคดีความรับผิดทางละเมิด เพื่อเรียกค่าเสียหายแล้ว
4. การใช้จ่ายเงินกองทุนประกันสังคม ต้องดําเนินการภายใต้กรอบพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 24 และระเบียบคณะกรรมการประกันสังคม ว่าด้วยการรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงินกองทุน พ.ศ. 2555 ซึ่งกําหนดประเภทการใช้จ่ายเงินได้อย่างชัดเจน เช่น การจ่ายเป็นค่าบริการทางการแพทย์ การจ่ายประโยชน์ทดแทน และการจ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของสํานักงาน
----------------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานประกันสังคมชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีการเก็บเงินเงินสมทบผู้ประกันตน
วันพุธที่ 19 กันยายน 2561
สํานักงานประกันสังคมชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีการเก็บเงินเงินสมทบผู้ประกันตน
สํานักงานประกันสังคมชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีการเก็บเงินเงินสมทบผู้ประกันตนเพิ่ม ยืนยันผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ํากว่า 15,000 บาท ยังคงจ่ายเงินสมทบเท่าเดิม ไม่มีผลกระทบใด ๆ
นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม ชี้แจงกรณี นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกระทรวงแรงงานจะเก็บเงินเงินสมทบเพิ่มจากเดือนละ 750 บาท เป็นเดือนละ 1,000 บาท ซึ่งมีประเด็น ดังนี้ 1. การเก็บเงินสมทบเพิ่มเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ประกันตนกว่า 15 ล้านคน 2. ปัจจุบันเงินกองทุนประกันสังคมมีสะสมมากถึง 1,809,225 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 มีนาคม 2561) จึงไม่มีความจําเป็นใด ๆ ที่จะเก็บเงินเพิ่ม 3. รัฐบาลนําเงินกองทุนประกันสังคมไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จนเสียหาย จึงเรียกร้องให้มีการสอบสวนหาผู้รับผิดชอบในอดีตมาลงโทษ และเรียกค่าเสียหายชดใช้คืนกองทุนฯ ด้วย 4. ควรออกกฎหมายห้ามนําเงินกองทุนประกันสังคมมาใช้แบบผิดวัตถุประสงค์ หรือมาใช้หาเสียงเรียกคะแนนนิยมทางการเมือง
สํานักงานประกันสังคม ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้
1. ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ํากว่า 15,000 บาท ยังคงจ่ายเงินสมทบเท่าเดิม ไม่มีผลกระทบใด ๆ ส่วนผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างสูงกว่า 15,000 บาท (ตามฐานข้อมูลประกันสังคม ผู้ประกันตนกลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของผู้ประกันตน ที่มีนายจ้างในระบบประกันสังคม ซึ่งคิดเป็นจํานวน 3,603,866 คน ข้อมูล ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2561) ซึ่งผู้ประกันตนจํานวนประมาณนี้เท่านั้นที่ต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นและการจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ สํานักงานประกันสังคม มีหน้าที่ดูแลผู้ประกันตนให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเพียงพอ อีกประการหนึ่งในเรื่องนี้ เป็นข้อเสนอของผู้แทนฝ่ายลูกจ้างที่เห็นประโยชน์อันจะเกิดแก่ผู้ประกันตน อย่างไรก็ตามในการดําเนินการสํานักงานฯ ก็ต้องดูแลไม่ให้กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ขณะนี้จึงยังไม่ได้ดําเนินการใดเพิ่มเติมเนื่องจากคณะกรรมการประกันสังคม ได้พิจารณาให้สํานักงานฯ ดําเนินการสร้างการรับรู้ และรับฟังความคิดเห็น ของผู้ประกันตน นายจ้าง และสาธารณชน
2. การที่เก็บเงินสมทบเพิ่มไม่ได้หมายความว่ากองทุนประกันสังคมขาดทุนหรือเงินกองทุนลดน้อยลง แต่สํานักงานพิจารณาถึงการเสียโอกาสในการออมและผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนโดยเฉพาะในส่วนเงินทดแทนและเงินบํานาญ
3. เรื่องความเสียหายในการลงทุนที่ผ่านมาในอดีต สํานักงานประกันสังคมได้ดําเนินการทางวินัย ดําเนินการในคดีอาญา ซึ่งการพิจารณาอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม และดําเนินการทางแพ่งเป็นคดีความรับผิดทางละเมิด เพื่อเรียกค่าเสียหายแล้ว
4. การใช้จ่ายเงินกองทุนประกันสังคม ต้องดําเนินการภายใต้กรอบพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 24 และระเบียบคณะกรรมการประกันสังคม ว่าด้วยการรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงินกองทุน พ.ศ. 2555 ซึ่งกําหนดประเภทการใช้จ่ายเงินได้อย่างชัดเจน เช่น การจ่ายเป็นค่าบริการทางการแพทย์ การจ่ายประโยชน์ทดแทน และการจ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของสํานักงาน
----------------------------------- | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15521 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม "รวมพลังแห่งความภักดี" | วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2559
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม "รวมพลังแห่งความภักดี"
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม "รวมพลังแห่งความภักดี"
~วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๐๘.๐๐ น. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม "รวมพลังแห่งความภักดี” ร่วมร้องเพลงชาติไทยตามด้วยกล่าวคําถวายสัตย์ปฏิญาณแสดงความจงรักภักดี หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากนั้นร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีพร้อมกับแปรอักษรเป็นรูปหัวใจและรูปเลข ๙ เพื่อแสดงความภักดีและรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ปกเกล้าปกกระหม่อมให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรชาวไทยตลอดเวลาถึง ๗๐ ปี
โดยในงานดังกล่าวนายเสริมยศ สมมั่น รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ จํานวน ๘๙๐ คน รวมพลังแห่งความภักดีและปลูกต้นราชพฤกษ์ ณ ลานหน้าเสาธงชาติ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
คําถวายสัตย์ปฏิญาณ แสดงความจงรักภักดี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
"ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นายเสริมยศ สมมั่น รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอนําประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า และทุกภาคส่วนซึ่งชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อแสดงความจงรักภักดี และรําลึกถึงพระมหากุณาธิคุณที่ได้ปกเกล้าปกกระหม่อม ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรชาวไทย อีกทั้งทรงบันดาลให้เกิดการพัฒนาประเทศในทุกด้าน ตลอดมาเป็นเวลาถึง 70 ปี แม้บัดนี้จะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ก็ยังทรงสถิตอยู่ในใจของปวงประชาชาวไทยด้วยความวิปโยคอาลัยอย่างไม่มีวันลืมเลือน ณ วาระนี้ ซึ่งปกติเคยเปล่งสัจวาจา (สัด – จะ – วา – จา) ถวายพระพรชัยมงคลเสมอมา จึงขอตั้งสัตยาธิษฐานถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นเครื่องบูชาพระมหากรุณาธิคุณแทนด้วยข้อความดังต่อไปนี้"
(กล่าวตามผู้นําทีละวรรค)
"ข้าพระพุทธเจ้า (ออกชื่อแต่ละคนพร้อมกัน) จะซื่อตรงจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า ทุกพระองค์ ในพระบรมราชจักรีวงศ์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ข้าพระพุทธเจ้า จะปฏิบัติตามหน้าที่พลเมือง เคารพกฎหมาย รักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศ อย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งจะร่วมกันปฏิรูปประเทศ และสนับสนุน ให้มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ปกครองประเทศ ด้วยหลักนิติธรรม และธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สุข แห่งประชาชนชาวไทย ข้าพระพุทธเจ้า จะเป็นคนดี มีคุณธรรม ร่วมกันนําพาประเทศชาติ ไปสู่อนาคต ที่ยั่งยืน สงบสุข สันติสุข จะรู้รักสามัคคี เพื่อชาติ ศาสน์กษัตริย์ และประชาชนตลอดไป ข้าพระพุทธเจ้า ขอปวารณาตัวว่า จะพัฒนาตนเอง เพิ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเป็นพลังที่ยั่งยืน ในการพัฒนาประเทศต่อไป ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายสัจวาจา (สัด – จะ – วา – จา) ว่าจะประพฤติปฏิบัติ ตามรอยพระยุคลบาท และศาสตร์ของพระราชา ผู้ทรงธรรม น้อมนําพระราชดํารัส ดําเนินตามพระราชกรณียกิจ และเชิญพระราชคุณธรรมจรรยา มาเป็นแนวทาง การดํารงชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ เพื่อสืบสานพระบรมราชปณิธาน เพื่อความสุขความเจริญ ของปวงข้าพระพุทธเจ้า และเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของราชอาณาจักรไทยสืบไป"
(จบคําปฏิญาณ)
(ผู้นํากล่าว) ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีพร้อมกัน
~วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๐๘.๐๐ น. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม "รวมพลังแห่งความภักดี” ร่วมร้องเพลงชาติไทยตามด้วยกล่าวคําถวายสัตย์ปฏิญาณแสดงความจงรักภักดี หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากนั้นร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีพร้อมกับแปรอักษรเป็นรูปหัวใจและรูปเลข ๙ เพื่อแสดงความภักดีและรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ปกเกล้าปกกระหม่อมให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรชาวไทยตลอดเวลาถึง ๗๐ ปี
โดยในงานดังกล่าวนายเสริมยศ สมมั่น รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ จํานวน ๘๙๐ คน รวมพลังแห่งความภักดีและปลูกต้นราชพฤกษ์ ณ ลานหน้าเสาธงชาติ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
คําถวายสัตย์ปฏิญาณ แสดงความจงรักภักดี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
"ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นายเสริมยศ สมมั่น รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอนําประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า และทุกภาคส่วนซึ่งชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อแสดงความจงรักภักดี และรําลึกถึงพระมหากุณาธิคุณที่ได้ปกเกล้าปกกระหม่อม ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรชาวไทย อีกทั้งทรงบันดาลให้เกิดการพัฒนาประเทศในทุกด้าน ตลอดมาเป็นเวลาถึง 70 ปี แม้บัดนี้จะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ก็ยังทรงสถิตอยู่ในใจของปวงประชาชาวไทยด้วยความวิปโยคอาลัยอย่างไม่มีวันลืมเลือน ณ วาระนี้ ซึ่งปกติเคยเปล่งสัจวาจา (สัด – จะ – วา – จา) ถวายพระพรชัยมงคลเสมอมา จึงขอตั้งสัตยาธิษฐานถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นเครื่องบูชาพระมหากรุณาธิคุณแทนด้วยข้อความดังต่อไปนี้"
(กล่าวตามผู้นําทีละวรรค)
"ข้าพระพุทธเจ้า (ออกชื่อแต่ละคนพร้อมกัน) จะซื่อตรงจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า ทุกพระองค์ ในพระบรมราชจักรีวงศ์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ข้าพระพุทธเจ้า จะปฏิบัติตามหน้าที่พลเมือง เคารพกฎหมาย รักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศ อย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งจะร่วมกันปฏิรูปประเทศ และสนับสนุน ให้มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ปกครองประเทศ ด้วยหลักนิติธรรม และธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สุข แห่งประชาชนชาวไทย ข้าพระพุทธเจ้า จะเป็นคนดี มีคุณธรรม ร่วมกันนําพาประเทศชาติ ไปสู่อนาคต ที่ยั่งยืน สงบสุข สันติสุข จะรู้รักสามัคคี เพื่อชาติ ศาสน์กษัตริย์ และประชาชนตลอดไป ข้าพระพุทธเจ้า ขอปวารณาตัวว่า จะพัฒนาตนเอง เพิ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเป็นพลังที่ยั่งยืน ในการพัฒนาประเทศต่อไป ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายสัจวาจา (สัด – จะ – วา – จา) ว่าจะประพฤติปฏิบัติ ตามรอยพระยุคลบาท และศาสตร์ของพระราชา ผู้ทรงธรรม น้อมนําพระราชดํารัส ดําเนินตามพระราชกรณียกิจ และเชิญพระราชคุณธรรมจรรยา มาเป็นแนวทาง การดํารงชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ เพื่อสืบสานพระบรมราชปณิธาน เพื่อความสุขความเจริญ ของปวงข้าพระพุทธเจ้า และเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของราชอาณาจักรไทยสืบไป"
(จบคําปฏิญาณ)
(ผู้นํากล่าว) ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีพร้อมกัน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม "รวมพลังแห่งความภักดี"
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2559
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม "รวมพลังแห่งความภักดี"
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม "รวมพลังแห่งความภักดี"
~วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๐๘.๐๐ น. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม "รวมพลังแห่งความภักดี” ร่วมร้องเพลงชาติไทยตามด้วยกล่าวคําถวายสัตย์ปฏิญาณแสดงความจงรักภักดี หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากนั้นร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีพร้อมกับแปรอักษรเป็นรูปหัวใจและรูปเลข ๙ เพื่อแสดงความภักดีและรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ปกเกล้าปกกระหม่อมให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรชาวไทยตลอดเวลาถึง ๗๐ ปี
โดยในงานดังกล่าวนายเสริมยศ สมมั่น รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ จํานวน ๘๙๐ คน รวมพลังแห่งความภักดีและปลูกต้นราชพฤกษ์ ณ ลานหน้าเสาธงชาติ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
คําถวายสัตย์ปฏิญาณ แสดงความจงรักภักดี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
"ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นายเสริมยศ สมมั่น รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอนําประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า และทุกภาคส่วนซึ่งชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อแสดงความจงรักภักดี และรําลึกถึงพระมหากุณาธิคุณที่ได้ปกเกล้าปกกระหม่อม ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรชาวไทย อีกทั้งทรงบันดาลให้เกิดการพัฒนาประเทศในทุกด้าน ตลอดมาเป็นเวลาถึง 70 ปี แม้บัดนี้จะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ก็ยังทรงสถิตอยู่ในใจของปวงประชาชาวไทยด้วยความวิปโยคอาลัยอย่างไม่มีวันลืมเลือน ณ วาระนี้ ซึ่งปกติเคยเปล่งสัจวาจา (สัด – จะ – วา – จา) ถวายพระพรชัยมงคลเสมอมา จึงขอตั้งสัตยาธิษฐานถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นเครื่องบูชาพระมหากรุณาธิคุณแทนด้วยข้อความดังต่อไปนี้"
(กล่าวตามผู้นําทีละวรรค)
"ข้าพระพุทธเจ้า (ออกชื่อแต่ละคนพร้อมกัน) จะซื่อตรงจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า ทุกพระองค์ ในพระบรมราชจักรีวงศ์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ข้าพระพุทธเจ้า จะปฏิบัติตามหน้าที่พลเมือง เคารพกฎหมาย รักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศ อย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งจะร่วมกันปฏิรูปประเทศ และสนับสนุน ให้มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ปกครองประเทศ ด้วยหลักนิติธรรม และธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สุข แห่งประชาชนชาวไทย ข้าพระพุทธเจ้า จะเป็นคนดี มีคุณธรรม ร่วมกันนําพาประเทศชาติ ไปสู่อนาคต ที่ยั่งยืน สงบสุข สันติสุข จะรู้รักสามัคคี เพื่อชาติ ศาสน์กษัตริย์ และประชาชนตลอดไป ข้าพระพุทธเจ้า ขอปวารณาตัวว่า จะพัฒนาตนเอง เพิ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเป็นพลังที่ยั่งยืน ในการพัฒนาประเทศต่อไป ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายสัจวาจา (สัด – จะ – วา – จา) ว่าจะประพฤติปฏิบัติ ตามรอยพระยุคลบาท และศาสตร์ของพระราชา ผู้ทรงธรรม น้อมนําพระราชดํารัส ดําเนินตามพระราชกรณียกิจ และเชิญพระราชคุณธรรมจรรยา มาเป็นแนวทาง การดํารงชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ เพื่อสืบสานพระบรมราชปณิธาน เพื่อความสุขความเจริญ ของปวงข้าพระพุทธเจ้า และเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของราชอาณาจักรไทยสืบไป"
(จบคําปฏิญาณ)
(ผู้นํากล่าว) ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีพร้อมกัน
~วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๐๘.๐๐ น. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม "รวมพลังแห่งความภักดี” ร่วมร้องเพลงชาติไทยตามด้วยกล่าวคําถวายสัตย์ปฏิญาณแสดงความจงรักภักดี หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากนั้นร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีพร้อมกับแปรอักษรเป็นรูปหัวใจและรูปเลข ๙ เพื่อแสดงความภักดีและรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ปกเกล้าปกกระหม่อมให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรชาวไทยตลอดเวลาถึง ๗๐ ปี
โดยในงานดังกล่าวนายเสริมยศ สมมั่น รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ จํานวน ๘๙๐ คน รวมพลังแห่งความภักดีและปลูกต้นราชพฤกษ์ ณ ลานหน้าเสาธงชาติ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
คําถวายสัตย์ปฏิญาณ แสดงความจงรักภักดี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
"ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นายเสริมยศ สมมั่น รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอนําประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า และทุกภาคส่วนซึ่งชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อแสดงความจงรักภักดี และรําลึกถึงพระมหากุณาธิคุณที่ได้ปกเกล้าปกกระหม่อม ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรชาวไทย อีกทั้งทรงบันดาลให้เกิดการพัฒนาประเทศในทุกด้าน ตลอดมาเป็นเวลาถึง 70 ปี แม้บัดนี้จะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ก็ยังทรงสถิตอยู่ในใจของปวงประชาชาวไทยด้วยความวิปโยคอาลัยอย่างไม่มีวันลืมเลือน ณ วาระนี้ ซึ่งปกติเคยเปล่งสัจวาจา (สัด – จะ – วา – จา) ถวายพระพรชัยมงคลเสมอมา จึงขอตั้งสัตยาธิษฐานถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นเครื่องบูชาพระมหากรุณาธิคุณแทนด้วยข้อความดังต่อไปนี้"
(กล่าวตามผู้นําทีละวรรค)
"ข้าพระพุทธเจ้า (ออกชื่อแต่ละคนพร้อมกัน) จะซื่อตรงจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า ทุกพระองค์ ในพระบรมราชจักรีวงศ์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ข้าพระพุทธเจ้า จะปฏิบัติตามหน้าที่พลเมือง เคารพกฎหมาย รักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศ อย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งจะร่วมกันปฏิรูปประเทศ และสนับสนุน ให้มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ปกครองประเทศ ด้วยหลักนิติธรรม และธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สุข แห่งประชาชนชาวไทย ข้าพระพุทธเจ้า จะเป็นคนดี มีคุณธรรม ร่วมกันนําพาประเทศชาติ ไปสู่อนาคต ที่ยั่งยืน สงบสุข สันติสุข จะรู้รักสามัคคี เพื่อชาติ ศาสน์กษัตริย์ และประชาชนตลอดไป ข้าพระพุทธเจ้า ขอปวารณาตัวว่า จะพัฒนาตนเอง เพิ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเป็นพลังที่ยั่งยืน ในการพัฒนาประเทศต่อไป ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายสัจวาจา (สัด – จะ – วา – จา) ว่าจะประพฤติปฏิบัติ ตามรอยพระยุคลบาท และศาสตร์ของพระราชา ผู้ทรงธรรม น้อมนําพระราชดํารัส ดําเนินตามพระราชกรณียกิจ และเชิญพระราชคุณธรรมจรรยา มาเป็นแนวทาง การดํารงชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ เพื่อสืบสานพระบรมราชปณิธาน เพื่อความสุขความเจริญ ของปวงข้าพระพุทธเจ้า และเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของราชอาณาจักรไทยสืบไป"
(จบคําปฏิญาณ)
(ผู้นํากล่าว) ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีพร้อมกัน | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/968 |