question_id
stringlengths 24
24
| article_id
stringlengths 20
20
| title
stringlengths 1
179
| context
stringlengths 52
7.28k
| question
stringlengths 4
234
| answers
sequence |
---|---|---|---|---|---|
6y8NUujJuG1Baob7W6jz_001 | 6y8NUujJuG1Baob7W6jz | กีฬายิมนาสติกในซีเกมส์ 2017 | การแข่งขัน ยิมนาสติก ในมหกรรมกีฬา ซีเกมส์ 2017 ในกรุง กัวลาลัมเปอร์ จะจัดขึ้นที่ ศูนย์จัดแสดงนิทรรศการและสินค้ามาเทรด ใน เซกัมบัต.[1]
เกมการแข่งขันในปี 2017 ประกอบไปด้วยยี่สิบรายการ (ชาย 7 รายการและหญิง 13 รายการ). | กีฬายิมนาสติก แข่งในเมืองอะไร | {
"text": [
"กรุง กัวลาลัมเปอร์"
],
"answer_start": [
49
],
"answer_end": [
67
]
} |
6y8NUujJuG1Baob7W6jz_002 | 6y8NUujJuG1Baob7W6jz | กีฬายิมนาสติกในซีเกมส์ 2017 | การแข่งขัน ยิมนาสติก ในมหกรรมกีฬา ซีเกมส์ 2017 ในกรุง กัวลาลัมเปอร์ จะจัดขึ้นที่ ศูนย์จัดแสดงนิทรรศการและสินค้ามาเทรด ใน เซกัมบัต.[1]
เกมการแข่งขันในปี 2017 ประกอบไปด้วยยี่สิบรายการ (ชาย 7 รายการและหญิง 13 รายการ). | กีฬายิมนาสติก จัดขึ้นที่ไหน | {
"text": [
"ศูนย์จัดแสดงนิทรรศการและสินค้ามาเทรด"
],
"answer_start": [
81
],
"answer_end": [
117
]
} |
6y8NUujJuG1Baob7W6jz_003 | 6y8NUujJuG1Baob7W6jz | กีฬายิมนาสติกในซีเกมส์ 2017 | การแข่งขัน ยิมนาสติก ในมหกรรมกีฬา ซีเกมส์ 2017 ในกรุง กัวลาลัมเปอร์ จะจัดขึ้นที่ ศูนย์จัดแสดงนิทรรศการและสินค้ามาเทรด ใน เซกัมบัต.[1]
เกมการแข่งขันในปี 2017 ประกอบไปด้วยยี่สิบรายการ (ชาย 7 รายการและหญิง 13 รายการ). | กีฬายิมนาสติก ศูนย์จัดแสดงนิทรรศการและสินค้ามาเทรดที่ไหน | {
"text": [
"เซกัมบัต"
],
"answer_start": [
121
],
"answer_end": [
129
]
} |
6y8NUujJuG1Baob7W6jz_004 | 6y8NUujJuG1Baob7W6jz | กีฬายิมนาสติกในซีเกมส์ 2017 | การแข่งขัน ยิมนาสติก ในมหกรรมกีฬา ซีเกมส์ 2017 ในกรุง กัวลาลัมเปอร์ จะจัดขึ้นที่ ศูนย์จัดแสดงนิทรรศการและสินค้ามาเทรด ใน เซกัมบัต.[1]
เกมการแข่งขันในปี 2017 ประกอบไปด้วยยี่สิบรายการ (ชาย 7 รายการและหญิง 13 รายการ). | กีฬายิมนาสติก ประกอบไปด้วยกี่รายการ | {
"text": [
"ยี่สิบรายการ"
],
"answer_start": [
170
],
"answer_end": [
182
]
} |
6yZuYiVErWChLiw5lke2_000 | 6yZuYiVErWChLiw5lke2 | กรมอู่ทหารเรือ | กรมอู่ทหารเรือ มีทีตั้งอยู่ที่ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700 เป็นหน่วยงานหนึ่งในสังกัดกองทัพเรือ เดิมชื่อ "อู่เรือหลวง" มีหน้าที่ซ่อมสร้างเรือมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นได้เริ่มมีเรือกลไฟใช้แล้ว ต่อมามีเรือมากขึ้นและเรือมีขนาดใหญ่ขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดฯ ให้สร้างอู่ไม้ขนาดใหญ่ เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2433 ซึ่งถือเป็นวันสถาปนากรมอู่ทหารเรือ นับได้ว่าเป็นหน่วยงานทางช่างลำดับต้น ๆ ของประเทศ กรมอู่ทหารเรือซึ่งเดิมตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันได้ย้ายที่ตั้งกองบังคับการ กรมอู่ทหารเรือ ไปอยู่ในพื้นที่อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช สัตหีบ ชลบุรี เจ้ากรมอู่ทหารเรือคนปัจจุบันได้แก่ พล.ร.ท.มิ่ง อิ่มวิทยา
กรมอู่ทหารเรือ ประกอบด้วยหน่วยย่อยดังนี้
กองบังคับการ
กรมแผนการช่าง
กรมพัฒนาการช่าง
อู่ทหารเรือธนบุรี
อู่ทหารเรือพระจุลจอมเกล้า
อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช
ศูนย์พัสดุช่าง
| กรมอู่ทหารเรือตั้งอยู่ที่ไหน | {
"text": [
"ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700 "
],
"answer_start": [
30
],
"answer_end": [
92
]
} |
6yZuYiVErWChLiw5lke2_001 | 6yZuYiVErWChLiw5lke2 | กรมอู่ทหารเรือ | กรมอู่ทหารเรือ มีทีตั้งอยู่ที่ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700 เป็นหน่วยงานหนึ่งในสังกัดกองทัพเรือ เดิมชื่อ "อู่เรือหลวง" มีหน้าที่ซ่อมสร้างเรือมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นได้เริ่มมีเรือกลไฟใช้แล้ว ต่อมามีเรือมากขึ้นและเรือมีขนาดใหญ่ขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดฯ ให้สร้างอู่ไม้ขนาดใหญ่ เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2433 ซึ่งถือเป็นวันสถาปนากรมอู่ทหารเรือ นับได้ว่าเป็นหน่วยงานทางช่างลำดับต้น ๆ ของประเทศ กรมอู่ทหารเรือซึ่งเดิมตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันได้ย้ายที่ตั้งกองบังคับการ กรมอู่ทหารเรือ ไปอยู่ในพื้นที่อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช สัตหีบ ชลบุรี เจ้ากรมอู่ทหารเรือคนปัจจุบันได้แก่ พล.ร.ท.มิ่ง อิ่มวิทยา
กรมอู่ทหารเรือ ประกอบด้วยหน่วยย่อยดังนี้
กองบังคับการ
กรมแผนการช่าง
กรมพัฒนาการช่าง
อู่ทหารเรือธนบุรี
อู่ทหารเรือพระจุลจอมเกล้า
อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช
ศูนย์พัสดุช่าง
| กรมอู่ทหารเรือชื่อเดิมว่าอะไร | {
"text": [
"อู่เรือหลวง"
],
"answer_start": [
138
],
"answer_end": [
149
]
} |
6yZuYiVErWChLiw5lke2_003 | 6yZuYiVErWChLiw5lke2 | กรมอู่ทหารเรือ | กรมอู่ทหารเรือ มีทีตั้งอยู่ที่ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700 เป็นหน่วยงานหนึ่งในสังกัดกองทัพเรือ เดิมชื่อ "อู่เรือหลวง" มีหน้าที่ซ่อมสร้างเรือมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นได้เริ่มมีเรือกลไฟใช้แล้ว ต่อมามีเรือมากขึ้นและเรือมีขนาดใหญ่ขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดฯ ให้สร้างอู่ไม้ขนาดใหญ่ เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2433 ซึ่งถือเป็นวันสถาปนากรมอู่ทหารเรือ นับได้ว่าเป็นหน่วยงานทางช่างลำดับต้น ๆ ของประเทศ กรมอู่ทหารเรือซึ่งเดิมตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันได้ย้ายที่ตั้งกองบังคับการ กรมอู่ทหารเรือ ไปอยู่ในพื้นที่อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช สัตหีบ ชลบุรี เจ้ากรมอู่ทหารเรือคนปัจจุบันได้แก่ พล.ร.ท.มิ่ง อิ่มวิทยา
กรมอู่ทหารเรือ ประกอบด้วยหน่วยย่อยดังนี้
กองบังคับการ
กรมแผนการช่าง
กรมพัฒนาการช่าง
อู่ทหารเรือธนบุรี
อู่ทหารเรือพระจุลจอมเกล้า
อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช
ศูนย์พัสดุช่าง
| เจ้ากรมอู่ทหารเรือคนปัจจุบันคือใคร | {
"text": [
"พล.ร.ท.มิ่ง อิ่มวิทยา"
],
"answer_start": [
756
],
"answer_end": [
777
]
} |
717UK6bpbiY43gyedpu0_000 | 717UK6bpbiY43gyedpu0 | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ พระนามเดิม พระองค์เจ้าชายงอนรถ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 15 ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจาด
พระองค์เจ้างอนรถประสูติวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ขึ้น 5 ค่ำ ปีกุน สัปตศก จ.ศ. 1177 ตรงกับวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2358 สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 เมื่อเดือน 11[1] ปีจอ โทศก จ.ศ. 1212 พ.ศ. 2393 พระชันษา 36 ปี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ ทรงเป็นต้นราชสกุลงอนรถ | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ พระนามเดิมว่าอะไร | {
"text": [
"พระองค์เจ้าชายงอนรถ"
],
"answer_start": [
46
],
"answer_end": [
65
]
} |
717UK6bpbiY43gyedpu0_001 | 717UK6bpbiY43gyedpu0 | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ พระนามเดิม พระองค์เจ้าชายงอนรถ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 15 ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจาด
พระองค์เจ้างอนรถประสูติวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ขึ้น 5 ค่ำ ปีกุน สัปตศก จ.ศ. 1177 ตรงกับวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2358 สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 เมื่อเดือน 11[1] ปีจอ โทศก จ.ศ. 1212 พ.ศ. 2393 พระชันษา 36 ปี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ ทรงเป็นต้นราชสกุลงอนรถ | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ เป็นพระราชโอรสองค์ที่เท่าไร | {
"text": [
"15"
],
"answer_start": [
88
],
"answer_end": [
90
]
} |
717UK6bpbiY43gyedpu0_002 | 717UK6bpbiY43gyedpu0 | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ พระนามเดิม พระองค์เจ้าชายงอนรถ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 15 ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจาด
พระองค์เจ้างอนรถประสูติวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ขึ้น 5 ค่ำ ปีกุน สัปตศก จ.ศ. 1177 ตรงกับวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2358 สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 เมื่อเดือน 11[1] ปีจอ โทศก จ.ศ. 1212 พ.ศ. 2393 พระชันษา 36 ปี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ ทรงเป็นต้นราชสกุลงอนรถ | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ เป็นโอรสของใคร | {
"text": [
"พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว"
],
"answer_start": [
93
],
"answer_end": [
128
]
} |
717UK6bpbiY43gyedpu0_003 | 717UK6bpbiY43gyedpu0 | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ พระนามเดิม พระองค์เจ้าชายงอนรถ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 15 ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจาด
พระองค์เจ้างอนรถประสูติวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ขึ้น 5 ค่ำ ปีกุน สัปตศก จ.ศ. 1177 ตรงกับวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2358 สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 เมื่อเดือน 11[1] ปีจอ โทศก จ.ศ. 1212 พ.ศ. 2393 พระชันษา 36 ปี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ ทรงเป็นต้นราชสกุลงอนรถ | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ ประสูติเมื่อไร | {
"text": [
"วันพฤหัสบดี เดือนยี่ ขึ้น 5 ค่ำ ปีกุน สัปตศก จ.ศ. 1177"
],
"answer_start": [
182
],
"answer_end": [
236
]
} |
717UK6bpbiY43gyedpu0_004 | 717UK6bpbiY43gyedpu0 | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ พระนามเดิม พระองค์เจ้าชายงอนรถ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 15 ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจาด
พระองค์เจ้างอนรถประสูติวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ขึ้น 5 ค่ำ ปีกุน สัปตศก จ.ศ. 1177 ตรงกับวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2358 สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 เมื่อเดือน 11[1] ปีจอ โทศก จ.ศ. 1212 พ.ศ. 2393 พระชันษา 36 ปี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ ทรงเป็นต้นราชสกุลงอนรถ | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้างอนรถ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่เท่าไร | {
"text": [
"รัชกาลที่ 3"
],
"answer_start": [
282
],
"answer_end": [
293
]
} |
7264Z995AEXipsKxaZR4_002 | 7264Z995AEXipsKxaZR4 | ปรง | ปรง (อังกฤษ: Cycad) เป็นพืชที่มีขนาดเล็กคล้ายกับใบของปาล์ม แต่การเรียงตัวของใบนั้นคล้ายกับเฟิร์นข้าหลวง คือมีการเรียงตัวอยู่รอบ ๆ ศูนย์กลางของลำตัว ปรงเป็นพืชที่เลี้ยงง่าย เจริญเติบโตช้ามาก คือ 1 ปีจะเกิดใบเพียงแค่ใบ เดียวเท่านั้น ปรงสามารถทนต่อการขาดน้ำได้เป็นอย่างดีและถ้าขาดน้ำนาน ๆ ใบของปรงจะแห้งเหี่ยวตายไป แต่พอได้รับน้ำอีกครั้งใบก็จะเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ประเภทของปรง
"ปรง" ในอันดับ (Order) Cycadales ทั่วโลกมีอยู่ด้วยกัน 3 วงศ์ คือ Cycadaceae, Stangeriaceae และ Zamiaceae มีสมาชิกรวมแล้วประมาณ 300 ชนิด (อาจมีการแยก ยุบรวม หรือพบชนิดใหม่เพิ่มเติมอยู่ตามความเห็นนักพฤกษศาสตร์แต่ละท่าน) โดยในวงศ์แรก Cycadaceae มีเพียง 1 สกุล คือ Cycas มีประมาณ 90 ชนิด กระจายพันธุ์กว้างขวางในเขตโลกเก่า ตั้งแต่ฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา มาจนถึงเอเชีย ออสเตรเลีย และตามหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ปรงที่พบในไทยทั้งสิบกว่าชนิดก็ล้วนอยู่ในสกุล Cycas นี้ วงศ์ Stangeriaceae แยกเป็น 2 วงศ์ย่อย คือ Stangerioideae และ Bowenioideae ซึ่งแต่ละวงศ์ย่อยก็มีเพียงหนึ่งสกุล วงศ์ย่อยแรก คือสกุล Stangeria มีเพียง 1 ชนิด พบในแอฟริกาใต้ ส่วนวงศ์ย่อยที่ 2 คือสกุล Bowenia มี 2 ชนิด พบทางฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย วงศ์ Zamiaceae เป็นวงศ์ใหญ่สุดของปรง แยกออกเป็น 2 วงศ์ย่อย อันได้แก่
วงศ์ย่อย Encephalartoideae
ประกอบด้วยสกุลต่างๆ 4 สกุลคือ
สกุล Dioon มีประมาณ 10 ชนิด พบในเม็กซิโกและอเมริกากลาง
สกุล Encephalartos มีประมาณ 60 ชนิด ส่วนใหญ่พบทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา
สกุล Macrozamia มีประมาณ 30 ชนิด พบในออสเตรเลีย
สกุล Lepidozamia มีเพียง 2 ชนิด พบทางฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย
วงศ์ย่อย Zamioideae
ประกอบด้วยสกุลต่างๆ 4 สกุล คือ
สกุล Ceratozamia พบ 16 ชนิด อยู่ทางตอนใต้ของเม็กซิโก และอเมริกากลาง
สกุล Microcycas มีเพียง 1 ชนิด พบในประเทศคิวบา
สกุล Chigua มี 2 ชนิด พบในประเทศโคลัมเบีย
สกุล Zamia มีประมาณ 60 ชนิด พบตั้งแต่ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ลงไปจนถึงประเทศโบลิเวีย
ส่วนปรงที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับแพร่หลายกันอยู่ในบ้านเราคือ ปรงญี่ปุ่น (Cycas revoluta) มีประโยชน์ในการเป็นไม้ประดับ
ข้อมูลจำเพาะ
การดูแลรักษา
แสง ชอบแสงแดดจัด
น้ำ ปรงเป็นพืชที่ทนต่อการขาดน้ำและต้องการน้ำพอประมาณ
ดิน ปลูกได้ในดินแทบทุกชนิดแต่จะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนทราย
ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักบริเวณโคนต้น ปีละ 2 ครั้ง
การขยายพันธ์
โดยการเพาะเมล็ดและการแยกหน่อ
โรคและแมลง
โรคนั้นไม่ค่อยมีรบกวนจะมีก็แต่แมลงจำพวกไรแดงและเพลี้ยหอย
การป้องกันกำจัด
การกำจัดควรใช้ยาประเภทดูดซึมเพราะปรงมีใบเล็กและลื่น โดยใช้ยาไซกอนในอัตรา 20 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร ราดให้ทั่วบริเวณโคนต้น | ปรงที่นิยมปลูกในไทยคือปรงชนิดไหน | {
"text": [
"ปรงญี่ปุ่น (Cycas revoluta)"
],
"answer_start": [
1828
],
"answer_end": [
1855
]
} |
72dL0cFV95sjRVMFHI5N_000 | 72dL0cFV95sjRVMFHI5N | ป้อมเพชร | ป้อมเพชร เป็นป้อมที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมืองอยุธยา ในตำบลหอรัตนไชย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่บริเวณบางกะจะ จุดบรรจบของแม่น้ำ 3 สายคือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ป้อมเพชร เป็นป้อมสำคัญที่สุดในบรรดา 29 ป้อม ที่ในปัจจุบันหลงเหลืออยู่ 2 ป้อม ทำหน้าที่ป้องกันข้าศึก ที่มาทางน้ำตรงมุมพระนคร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา พ.ศ. 2123
กรุงศรีอยุธยา สถาปนาเป็นราชธานีเมื่อ พ.ศ. 1893 กำแพงเมืองและป้อมเมื่อเริ่มสร้างนั้นทำจากไม้ ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ขยายขอบเขตราชธานีไปถึงตลิ่งแม่น้ำ จึงได้มีการสร้างกำแพงด้วยอิฐและศิลาแลงขึ้น โดยใช้อิฐก่ออยู่บนคานไม้ ที่ทำหน้าที่เป็นฐานรองรับอยู่ด้านล่าง ป้อมเพชรก่อด้วยอิฐและศิลาแลง หนา 14 เมตร มีเชิงเทินใบเสมารวม 6.50 เมตร มีช่องปืนใหญ่ 8 ช่อง ที่ก่อเป็นรูปโค้งมนครึ่งวงกลม ลักษณะรูปทรงป้อม เป็นแบบ 6 เหลี่ยม ยื่นออกไปจากแนวกำแพงเมือง
คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม บรรยายถึงป้อมเพชรไว้ว่า "ป้อมปืนใหญ่ก่อด้วยศิลาแลงมั่งคงแข็งแรง สูง 3 วา 2 ศอก ป้อมนี้สูงกว่ากำแพงกรุง 2 ศอก มีชานชาลารอบป้อมกว้าง 3 วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบชานป้อม มีประตูช่องกุฎข้างซ้ายป้อมประตู 1 ข้างขวาป้อมประตู 1 ประตูทั้งสองนั้นเดินออกตามชานป้อมใหญ่ได้รอบป้อม มีปืนแซกตามช่อง 8 กระบอก ชั้นล่างปืนใหญ่รางเกวียนบันจุทุกช่อง 16 กระบอก ป้อมใหญ่นี้มีชื่อ ป้อมเพชร ตั้งอยู่ตรงแม่น้ำตะลาดบางกระจะ" ป้อมเพชรมีรูปร่างเหมือนหัวสำเภา คนแต่ก่อนเรียกย่านหัวสาระภา บริเวณนี้ยังเป็นย่านการค้าของชาวจีนตั้งแต่ป้อมเพชร มีตลาดใหญ่ (ย่านในไก่) ต่อเนื่องตลาดน้อย จนถึงวัดสุวรรณดาราราม (วัดทอง) ยังเป็นที่ตั้งหลักแหล่งเดิมของรัชกาลที่ 1 มีบรรพชนชื่อทอง
หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ป้อมเพชรยังคงเป็นด่านปราการสำคัญของเมือง พอถึงสมัยรัชกาลที่ 1 สร้างราชธานีแห่งใหม่ที่กรุงรัตนโกสินทร์ โปรดให้รื้อป้อม กำแพง นำอิฐเหล่านั้นมาสร้างเมืองใหม่ แต่ยังคงเหลือป้อมเพชรไว้ เพราะป้อมเพชรสร้างด้วยศิลาแลง จึงรื้อถอนลำบาก พระยาโบราณราชธานินทร์อธิบายไว้ว่า "จึงยังคงเหลืออยู่แต่ป้อมเพชร์กับป้อมประตูข้าวเปลือกข้างวัดท่าทราย แลเศษกำแพงที่หน้าวัดญาณเสนแห่งหนึ่ง เศษกำแพงมีประตูช่องกุฏิ์ที่ข้างวัดจีนตรงวัดพนัญเชิงข้ามแห่งหนึ่งเท่านั้น ตามสันเชิงเทินรากกำแพงที่รื้ออิฐไปราษฎรที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำก็ถือเอาเป็นที่หลังบ้านของตนทั่วกัน"
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุล ณ ป้อมเพชร์ให้แก่ พระสมุทบุรานุรักษ์ (ขำ) ขณะประทับแรมที่อ่างศิลา พ.ศ. 2456 ด้วยบรรพบุรุษของพระสมุทฯ มีถิ่นฐานอยู่บริเวณป้อมเพชร | ป้อมเพชรอยู่บริเวณแม่น้ำใดบ้าง | {
"text": [
"แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี"
],
"answer_start": [
175
],
"answer_end": [
219
]
} |
72dL0cFV95sjRVMFHI5N_001 | 72dL0cFV95sjRVMFHI5N | ป้อมเพชร | ป้อมเพชร เป็นป้อมที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมืองอยุธยา ในตำบลหอรัตนไชย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่บริเวณบางกะจะ จุดบรรจบของแม่น้ำ 3 สายคือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ป้อมเพชร เป็นป้อมสำคัญที่สุดในบรรดา 29 ป้อม ที่ในปัจจุบันหลงเหลืออยู่ 2 ป้อม ทำหน้าที่ป้องกันข้าศึก ที่มาทางน้ำตรงมุมพระนคร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา พ.ศ. 2123
กรุงศรีอยุธยา สถาปนาเป็นราชธานีเมื่อ พ.ศ. 1893 กำแพงเมืองและป้อมเมื่อเริ่มสร้างนั้นทำจากไม้ ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ขยายขอบเขตราชธานีไปถึงตลิ่งแม่น้ำ จึงได้มีการสร้างกำแพงด้วยอิฐและศิลาแลงขึ้น โดยใช้อิฐก่ออยู่บนคานไม้ ที่ทำหน้าที่เป็นฐานรองรับอยู่ด้านล่าง ป้อมเพชรก่อด้วยอิฐและศิลาแลง หนา 14 เมตร มีเชิงเทินใบเสมารวม 6.50 เมตร มีช่องปืนใหญ่ 8 ช่อง ที่ก่อเป็นรูปโค้งมนครึ่งวงกลม ลักษณะรูปทรงป้อม เป็นแบบ 6 เหลี่ยม ยื่นออกไปจากแนวกำแพงเมือง
คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม บรรยายถึงป้อมเพชรไว้ว่า "ป้อมปืนใหญ่ก่อด้วยศิลาแลงมั่งคงแข็งแรง สูง 3 วา 2 ศอก ป้อมนี้สูงกว่ากำแพงกรุง 2 ศอก มีชานชาลารอบป้อมกว้าง 3 วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบชานป้อม มีประตูช่องกุฎข้างซ้ายป้อมประตู 1 ข้างขวาป้อมประตู 1 ประตูทั้งสองนั้นเดินออกตามชานป้อมใหญ่ได้รอบป้อม มีปืนแซกตามช่อง 8 กระบอก ชั้นล่างปืนใหญ่รางเกวียนบันจุทุกช่อง 16 กระบอก ป้อมใหญ่นี้มีชื่อ ป้อมเพชร ตั้งอยู่ตรงแม่น้ำตะลาดบางกระจะ" ป้อมเพชรมีรูปร่างเหมือนหัวสำเภา คนแต่ก่อนเรียกย่านหัวสาระภา บริเวณนี้ยังเป็นย่านการค้าของชาวจีนตั้งแต่ป้อมเพชร มีตลาดใหญ่ (ย่านในไก่) ต่อเนื่องตลาดน้อย จนถึงวัดสุวรรณดาราราม (วัดทอง) ยังเป็นที่ตั้งหลักแหล่งเดิมของรัชกาลที่ 1 มีบรรพชนชื่อทอง
หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ป้อมเพชรยังคงเป็นด่านปราการสำคัญของเมือง พอถึงสมัยรัชกาลที่ 1 สร้างราชธานีแห่งใหม่ที่กรุงรัตนโกสินทร์ โปรดให้รื้อป้อม กำแพง นำอิฐเหล่านั้นมาสร้างเมืองใหม่ แต่ยังคงเหลือป้อมเพชรไว้ เพราะป้อมเพชรสร้างด้วยศิลาแลง จึงรื้อถอนลำบาก พระยาโบราณราชธานินทร์อธิบายไว้ว่า "จึงยังคงเหลืออยู่แต่ป้อมเพชร์กับป้อมประตูข้าวเปลือกข้างวัดท่าทราย แลเศษกำแพงที่หน้าวัดญาณเสนแห่งหนึ่ง เศษกำแพงมีประตูช่องกุฏิ์ที่ข้างวัดจีนตรงวัดพนัญเชิงข้ามแห่งหนึ่งเท่านั้น ตามสันเชิงเทินรากกำแพงที่รื้ออิฐไปราษฎรที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำก็ถือเอาเป็นที่หลังบ้านของตนทั่วกัน"
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุล ณ ป้อมเพชร์ให้แก่ พระสมุทบุรานุรักษ์ (ขำ) ขณะประทับแรมที่อ่างศิลา พ.ศ. 2456 ด้วยบรรพบุรุษของพระสมุทฯ มีถิ่นฐานอยู่บริเวณป้อมเพชร | ป้อมเพชรตั้งอยู่ที่จังหวัดอะไรในปัจจุบัน | {
"text": [
"จังหวัดพระนครศรีอยุธยา"
],
"answer_start": [
107
],
"answer_end": [
129
]
} |
72dL0cFV95sjRVMFHI5N_002 | 72dL0cFV95sjRVMFHI5N | ป้อมเพชร | ป้อมเพชร เป็นป้อมที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมืองอยุธยา ในตำบลหอรัตนไชย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่บริเวณบางกะจะ จุดบรรจบของแม่น้ำ 3 สายคือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ป้อมเพชร เป็นป้อมสำคัญที่สุดในบรรดา 29 ป้อม ที่ในปัจจุบันหลงเหลืออยู่ 2 ป้อม ทำหน้าที่ป้องกันข้าศึก ที่มาทางน้ำตรงมุมพระนคร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา พ.ศ. 2123
กรุงศรีอยุธยา สถาปนาเป็นราชธานีเมื่อ พ.ศ. 1893 กำแพงเมืองและป้อมเมื่อเริ่มสร้างนั้นทำจากไม้ ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ขยายขอบเขตราชธานีไปถึงตลิ่งแม่น้ำ จึงได้มีการสร้างกำแพงด้วยอิฐและศิลาแลงขึ้น โดยใช้อิฐก่ออยู่บนคานไม้ ที่ทำหน้าที่เป็นฐานรองรับอยู่ด้านล่าง ป้อมเพชรก่อด้วยอิฐและศิลาแลง หนา 14 เมตร มีเชิงเทินใบเสมารวม 6.50 เมตร มีช่องปืนใหญ่ 8 ช่อง ที่ก่อเป็นรูปโค้งมนครึ่งวงกลม ลักษณะรูปทรงป้อม เป็นแบบ 6 เหลี่ยม ยื่นออกไปจากแนวกำแพงเมือง
คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม บรรยายถึงป้อมเพชรไว้ว่า "ป้อมปืนใหญ่ก่อด้วยศิลาแลงมั่งคงแข็งแรง สูง 3 วา 2 ศอก ป้อมนี้สูงกว่ากำแพงกรุง 2 ศอก มีชานชาลารอบป้อมกว้าง 3 วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบชานป้อม มีประตูช่องกุฎข้างซ้ายป้อมประตู 1 ข้างขวาป้อมประตู 1 ประตูทั้งสองนั้นเดินออกตามชานป้อมใหญ่ได้รอบป้อม มีปืนแซกตามช่อง 8 กระบอก ชั้นล่างปืนใหญ่รางเกวียนบันจุทุกช่อง 16 กระบอก ป้อมใหญ่นี้มีชื่อ ป้อมเพชร ตั้งอยู่ตรงแม่น้ำตะลาดบางกระจะ" ป้อมเพชรมีรูปร่างเหมือนหัวสำเภา คนแต่ก่อนเรียกย่านหัวสาระภา บริเวณนี้ยังเป็นย่านการค้าของชาวจีนตั้งแต่ป้อมเพชร มีตลาดใหญ่ (ย่านในไก่) ต่อเนื่องตลาดน้อย จนถึงวัดสุวรรณดาราราม (วัดทอง) ยังเป็นที่ตั้งหลักแหล่งเดิมของรัชกาลที่ 1 มีบรรพชนชื่อทอง
หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ป้อมเพชรยังคงเป็นด่านปราการสำคัญของเมือง พอถึงสมัยรัชกาลที่ 1 สร้างราชธานีแห่งใหม่ที่กรุงรัตนโกสินทร์ โปรดให้รื้อป้อม กำแพง นำอิฐเหล่านั้นมาสร้างเมืองใหม่ แต่ยังคงเหลือป้อมเพชรไว้ เพราะป้อมเพชรสร้างด้วยศิลาแลง จึงรื้อถอนลำบาก พระยาโบราณราชธานินทร์อธิบายไว้ว่า "จึงยังคงเหลืออยู่แต่ป้อมเพชร์กับป้อมประตูข้าวเปลือกข้างวัดท่าทราย แลเศษกำแพงที่หน้าวัดญาณเสนแห่งหนึ่ง เศษกำแพงมีประตูช่องกุฏิ์ที่ข้างวัดจีนตรงวัดพนัญเชิงข้ามแห่งหนึ่งเท่านั้น ตามสันเชิงเทินรากกำแพงที่รื้ออิฐไปราษฎรที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำก็ถือเอาเป็นที่หลังบ้านของตนทั่วกัน"
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุล ณ ป้อมเพชร์ให้แก่ พระสมุทบุรานุรักษ์ (ขำ) ขณะประทับแรมที่อ่างศิลา พ.ศ. 2456 ด้วยบรรพบุรุษของพระสมุทฯ มีถิ่นฐานอยู่บริเวณป้อมเพชร | ป้อมเพชรถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ ใด | {
"text": [
"พ.ศ. 2123"
],
"answer_start": [
395
],
"answer_end": [
404
]
} |
72dL0cFV95sjRVMFHI5N_003 | 72dL0cFV95sjRVMFHI5N | ป้อมเพชร | ป้อมเพชร เป็นป้อมที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมืองอยุธยา ในตำบลหอรัตนไชย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่บริเวณบางกะจะ จุดบรรจบของแม่น้ำ 3 สายคือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ป้อมเพชร เป็นป้อมสำคัญที่สุดในบรรดา 29 ป้อม ที่ในปัจจุบันหลงเหลืออยู่ 2 ป้อม ทำหน้าที่ป้องกันข้าศึก ที่มาทางน้ำตรงมุมพระนคร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา พ.ศ. 2123
กรุงศรีอยุธยา สถาปนาเป็นราชธานีเมื่อ พ.ศ. 1893 กำแพงเมืองและป้อมเมื่อเริ่มสร้างนั้นทำจากไม้ ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ขยายขอบเขตราชธานีไปถึงตลิ่งแม่น้ำ จึงได้มีการสร้างกำแพงด้วยอิฐและศิลาแลงขึ้น โดยใช้อิฐก่ออยู่บนคานไม้ ที่ทำหน้าที่เป็นฐานรองรับอยู่ด้านล่าง ป้อมเพชรก่อด้วยอิฐและศิลาแลง หนา 14 เมตร มีเชิงเทินใบเสมารวม 6.50 เมตร มีช่องปืนใหญ่ 8 ช่อง ที่ก่อเป็นรูปโค้งมนครึ่งวงกลม ลักษณะรูปทรงป้อม เป็นแบบ 6 เหลี่ยม ยื่นออกไปจากแนวกำแพงเมือง
คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม บรรยายถึงป้อมเพชรไว้ว่า "ป้อมปืนใหญ่ก่อด้วยศิลาแลงมั่งคงแข็งแรง สูง 3 วา 2 ศอก ป้อมนี้สูงกว่ากำแพงกรุง 2 ศอก มีชานชาลารอบป้อมกว้าง 3 วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบชานป้อม มีประตูช่องกุฎข้างซ้ายป้อมประตู 1 ข้างขวาป้อมประตู 1 ประตูทั้งสองนั้นเดินออกตามชานป้อมใหญ่ได้รอบป้อม มีปืนแซกตามช่อง 8 กระบอก ชั้นล่างปืนใหญ่รางเกวียนบันจุทุกช่อง 16 กระบอก ป้อมใหญ่นี้มีชื่อ ป้อมเพชร ตั้งอยู่ตรงแม่น้ำตะลาดบางกระจะ" ป้อมเพชรมีรูปร่างเหมือนหัวสำเภา คนแต่ก่อนเรียกย่านหัวสาระภา บริเวณนี้ยังเป็นย่านการค้าของชาวจีนตั้งแต่ป้อมเพชร มีตลาดใหญ่ (ย่านในไก่) ต่อเนื่องตลาดน้อย จนถึงวัดสุวรรณดาราราม (วัดทอง) ยังเป็นที่ตั้งหลักแหล่งเดิมของรัชกาลที่ 1 มีบรรพชนชื่อทอง
หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ป้อมเพชรยังคงเป็นด่านปราการสำคัญของเมือง พอถึงสมัยรัชกาลที่ 1 สร้างราชธานีแห่งใหม่ที่กรุงรัตนโกสินทร์ โปรดให้รื้อป้อม กำแพง นำอิฐเหล่านั้นมาสร้างเมืองใหม่ แต่ยังคงเหลือป้อมเพชรไว้ เพราะป้อมเพชรสร้างด้วยศิลาแลง จึงรื้อถอนลำบาก พระยาโบราณราชธานินทร์อธิบายไว้ว่า "จึงยังคงเหลืออยู่แต่ป้อมเพชร์กับป้อมประตูข้าวเปลือกข้างวัดท่าทราย แลเศษกำแพงที่หน้าวัดญาณเสนแห่งหนึ่ง เศษกำแพงมีประตูช่องกุฏิ์ที่ข้างวัดจีนตรงวัดพนัญเชิงข้ามแห่งหนึ่งเท่านั้น ตามสันเชิงเทินรากกำแพงที่รื้ออิฐไปราษฎรที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำก็ถือเอาเป็นที่หลังบ้านของตนทั่วกัน"
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุล ณ ป้อมเพชร์ให้แก่ พระสมุทบุรานุรักษ์ (ขำ) ขณะประทับแรมที่อ่างศิลา พ.ศ. 2456 ด้วยบรรพบุรุษของพระสมุทฯ มีถิ่นฐานอยู่บริเวณป้อมเพชร | ป้อมเพชรมีช่องปืนใหญ่กี่ช่อง | {
"text": [
"8 ช่อง"
],
"answer_start": [
761
],
"answer_end": [
767
]
} |
7GSLQWFgEWbR8bPuDt72_000 | 7GSLQWFgEWbR8bPuDt72 | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์ | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์ (สวีเดน: Carl Gustaf Mosander; 10 กันยายน ค.ศ. 1797 – 15 ตุลาคม ค.ศ. 1858) เป็นนักเคมีชาวสวีเดน เกิดที่เมืองคาลมาร์ เป็นบุตรของไอแซก โมแซนเดอร์และคริสตินา แมเรีย[1] ต่อมาย้ายมาอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์มกับมารดาเมื่ออายุได้ 12 ปี ที่นั่นโมแซนเดอร์ฝึกงานในร้านขายยา ก่อนจะหันมาสนใจด้านการแพทย์และเข้าเรียนที่สถาบันแคโรลินสกา โมแซนเดอร์เรียนจบปริญญาโทด้านศัลยศาสตร์ในปี ค.ศ. 1824 หลังจากนั้นเขาทำงานเป็นครูสอนวิชาเคมีและเป็นผู้ช่วยด้านวิทยาแร่ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสวีเดน ในปี ค.ศ. 1836 โมแซนเดอร์ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านเคมีและเภสัชศาสตร์ที่สถาบันแคโรลินสกาต่อจากเยินส์ ยาคอบ แบร์ซีเลียส และค้นพบธาตุแลนทานัมในปี ค.ศ. 1838 สี่ปีต่อมา เขาค้นพบธาตุเออร์เบียมและเทอร์เบียม[2]
ด้านชีวิตส่วนตัว โมแซนเดอร์แต่งงานกับฮัลดา ฟิลิปปินา ฟอร์สสตรอม มีบุตรด้วยกัน 4 คน โมแซนเดอร์เสียชีวิตที่เมืองโลวอนในปี ค.ศ. 1858 | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์ เกิดที่เมืองใด | {
"text": [
"เกิดที่เมืองคาลมาร์ "
],
"answer_start": [
120
],
"answer_end": [
140
]
} |
7GSLQWFgEWbR8bPuDt72_001 | 7GSLQWFgEWbR8bPuDt72 | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์ | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์ (สวีเดน: Carl Gustaf Mosander; 10 กันยายน ค.ศ. 1797 – 15 ตุลาคม ค.ศ. 1858) เป็นนักเคมีชาวสวีเดน เกิดที่เมืองคาลมาร์ เป็นบุตรของไอแซก โมแซนเดอร์และคริสตินา แมเรีย[1] ต่อมาย้ายมาอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์มกับมารดาเมื่ออายุได้ 12 ปี ที่นั่นโมแซนเดอร์ฝึกงานในร้านขายยา ก่อนจะหันมาสนใจด้านการแพทย์และเข้าเรียนที่สถาบันแคโรลินสกา โมแซนเดอร์เรียนจบปริญญาโทด้านศัลยศาสตร์ในปี ค.ศ. 1824 หลังจากนั้นเขาทำงานเป็นครูสอนวิชาเคมีและเป็นผู้ช่วยด้านวิทยาแร่ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสวีเดน ในปี ค.ศ. 1836 โมแซนเดอร์ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านเคมีและเภสัชศาสตร์ที่สถาบันแคโรลินสกาต่อจากเยินส์ ยาคอบ แบร์ซีเลียส และค้นพบธาตุแลนทานัมในปี ค.ศ. 1838 สี่ปีต่อมา เขาค้นพบธาตุเออร์เบียมและเทอร์เบียม[2]
ด้านชีวิตส่วนตัว โมแซนเดอร์แต่งงานกับฮัลดา ฟิลิปปินา ฟอร์สสตรอม มีบุตรด้วยกัน 4 คน โมแซนเดอร์เสียชีวิตที่เมืองโลวอนในปี ค.ศ. 1858 | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์เป็นบุตรของใคร | {
"text": [
"เป็นบุตรของไอแซก โมแซนเดอร์และคริสตินา แมเรีย"
],
"answer_start": [
140
],
"answer_end": [
185
]
} |
7GSLQWFgEWbR8bPuDt72_002 | 7GSLQWFgEWbR8bPuDt72 | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์ | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์ (สวีเดน: Carl Gustaf Mosander; 10 กันยายน ค.ศ. 1797 – 15 ตุลาคม ค.ศ. 1858) เป็นนักเคมีชาวสวีเดน เกิดที่เมืองคาลมาร์ เป็นบุตรของไอแซก โมแซนเดอร์และคริสตินา แมเรีย[1] ต่อมาย้ายมาอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์มกับมารดาเมื่ออายุได้ 12 ปี ที่นั่นโมแซนเดอร์ฝึกงานในร้านขายยา ก่อนจะหันมาสนใจด้านการแพทย์และเข้าเรียนที่สถาบันแคโรลินสกา โมแซนเดอร์เรียนจบปริญญาโทด้านศัลยศาสตร์ในปี ค.ศ. 1824 หลังจากนั้นเขาทำงานเป็นครูสอนวิชาเคมีและเป็นผู้ช่วยด้านวิทยาแร่ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสวีเดน ในปี ค.ศ. 1836 โมแซนเดอร์ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านเคมีและเภสัชศาสตร์ที่สถาบันแคโรลินสกาต่อจากเยินส์ ยาคอบ แบร์ซีเลียส และค้นพบธาตุแลนทานัมในปี ค.ศ. 1838 สี่ปีต่อมา เขาค้นพบธาตุเออร์เบียมและเทอร์เบียม[2]
ด้านชีวิตส่วนตัว โมแซนเดอร์แต่งงานกับฮัลดา ฟิลิปปินา ฟอร์สสตรอม มีบุตรด้วยกัน 4 คน โมแซนเดอร์เสียชีวิตที่เมืองโลวอนในปี ค.ศ. 1858 | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์เรียนจบปริญญาโทด้านใด | {
"text": [
"เรียนจบปริญญาโทด้านศัลยศาสตร์"
],
"answer_start": [
352
],
"answer_end": [
381
]
} |
7GSLQWFgEWbR8bPuDt72_003 | 7GSLQWFgEWbR8bPuDt72 | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์ | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์ (สวีเดน: Carl Gustaf Mosander; 10 กันยายน ค.ศ. 1797 – 15 ตุลาคม ค.ศ. 1858) เป็นนักเคมีชาวสวีเดน เกิดที่เมืองคาลมาร์ เป็นบุตรของไอแซก โมแซนเดอร์และคริสตินา แมเรีย[1] ต่อมาย้ายมาอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์มกับมารดาเมื่ออายุได้ 12 ปี ที่นั่นโมแซนเดอร์ฝึกงานในร้านขายยา ก่อนจะหันมาสนใจด้านการแพทย์และเข้าเรียนที่สถาบันแคโรลินสกา โมแซนเดอร์เรียนจบปริญญาโทด้านศัลยศาสตร์ในปี ค.ศ. 1824 หลังจากนั้นเขาทำงานเป็นครูสอนวิชาเคมีและเป็นผู้ช่วยด้านวิทยาแร่ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสวีเดน ในปี ค.ศ. 1836 โมแซนเดอร์ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านเคมีและเภสัชศาสตร์ที่สถาบันแคโรลินสกาต่อจากเยินส์ ยาคอบ แบร์ซีเลียส และค้นพบธาตุแลนทานัมในปี ค.ศ. 1838 สี่ปีต่อมา เขาค้นพบธาตุเออร์เบียมและเทอร์เบียม[2]
ด้านชีวิตส่วนตัว โมแซนเดอร์แต่งงานกับฮัลดา ฟิลิปปินา ฟอร์สสตรอม มีบุตรด้วยกัน 4 คน โมแซนเดอร์เสียชีวิตที่เมืองโลวอนในปี ค.ศ. 1858 | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์ค้นพบธาตุค้นพบธาตุชื่อว่าอะไรบ้าง | {
"text": [
"ค้นพบธาตุแลนทานัมในปี ค.ศ. 1838 สี่ปีต่อมา เขาค้นพบธาตุเออร์เบียมและเทอร์เบียม"
],
"answer_start": [
622
],
"answer_end": [
700
]
} |
7GSLQWFgEWbR8bPuDt72_004 | 7GSLQWFgEWbR8bPuDt72 | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์ | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์ (สวีเดน: Carl Gustaf Mosander; 10 กันยายน ค.ศ. 1797 – 15 ตุลาคม ค.ศ. 1858) เป็นนักเคมีชาวสวีเดน เกิดที่เมืองคาลมาร์ เป็นบุตรของไอแซก โมแซนเดอร์และคริสตินา แมเรีย[1] ต่อมาย้ายมาอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์มกับมารดาเมื่ออายุได้ 12 ปี ที่นั่นโมแซนเดอร์ฝึกงานในร้านขายยา ก่อนจะหันมาสนใจด้านการแพทย์และเข้าเรียนที่สถาบันแคโรลินสกา โมแซนเดอร์เรียนจบปริญญาโทด้านศัลยศาสตร์ในปี ค.ศ. 1824 หลังจากนั้นเขาทำงานเป็นครูสอนวิชาเคมีและเป็นผู้ช่วยด้านวิทยาแร่ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสวีเดน ในปี ค.ศ. 1836 โมแซนเดอร์ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านเคมีและเภสัชศาสตร์ที่สถาบันแคโรลินสกาต่อจากเยินส์ ยาคอบ แบร์ซีเลียส และค้นพบธาตุแลนทานัมในปี ค.ศ. 1838 สี่ปีต่อมา เขาค้นพบธาตุเออร์เบียมและเทอร์เบียม[2]
ด้านชีวิตส่วนตัว โมแซนเดอร์แต่งงานกับฮัลดา ฟิลิปปินา ฟอร์สสตรอม มีบุตรด้วยกัน 4 คน โมแซนเดอร์เสียชีวิตที่เมืองโลวอนในปี ค.ศ. 1858 | คาร์ล กุสตาฟ โมแซนเดอร์มีบุตรกี่คน | {
"text": [
"มีบุตรด้วยกัน 4 คน"
],
"answer_start": [
769
],
"answer_end": [
787
]
} |
7KRd8ii9WSlhuaRkLG12_000 | 7KRd8ii9WSlhuaRkLG12 | ปลาฉลามครีบดำ | ปลาฉลามครีบดำ หรือ ปลาฉลามหูดำ (อังกฤษ: Blacktip reef shark)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Carcharhinus melanopterus เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง มีรูปร่างเพรียวยาว ปากกว้าง มีแถบดำที่ครีบหลัง ครีบไขมัน ครีบก้น และครีบหางตอนล่าง เป็นที่มาของชื่อ กินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร มีนิสัยไม่ดุร้ายเมื่อเทียบกับปลาฉลามชนิดอื่น ๆ นิยมอยู่รวมเป็นฝูงบริเวณใกล้ชายฝั่ง และอาจเข้ามาในบริเวณน้ำกร่อย หรือปากแม่น้ำ โดยสามารถเข้ามาหากินใกล้ชายฝั่ง แม้กระทั่งในพื้นที่ ๆ มีน้ำสูงเพียง 1 ฟุต เป็นปลาหากินในเวลากลางคืน ในเวลากลางวันจะหลบซ่อนตัวพักผ่อนตามแนวปะการัง โดยจะหากินอยู่ในระดับน้ำความลึกไม่เกิน 100 เมตร ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 2 เมตร ตัวเมียตั้งท้องนาน 18 เดือน ออกลูกเป็นตัว ครั้งละ 2-4 ตัว เมื่อโตขึ้นมาแล้วสีดำตรงที่ครีบหลังจะหายไป คงเหลือไว้แต่ตรงครีบอกและครีบส่วนอื่น ปลาฉลามครีบดำ นับเป็นปลาฉลามชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในทะเล และเป็นต้นแบบของปลาฉลามในสกุลปลาฉลามปะการัง มีนิสัยเชื่องคน สามารถว่ายเข้ามาขออาหารได้จากมือ เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาผู้ที่นิยมการดำน้ำ พบทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน นิยมใช้บริโภคโดยเฉพาะปรุงเป็นหูฉลาม เมนูอาหารจีนราคาแพง และนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามอีกด้วย | ปลาฉลามครีบดำมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าอย่างไร | {
"text": [
"ชื่อวิทยาศาสตร์: Carcharhinus melanopterus"
],
"answer_start": [
62
],
"answer_end": [
104
]
} |
7KRd8ii9WSlhuaRkLG12_001 | 7KRd8ii9WSlhuaRkLG12 | ปลาฉลามครีบดำ | ปลาฉลามครีบดำ หรือ ปลาฉลามหูดำ (อังกฤษ: Blacktip reef shark)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Carcharhinus melanopterus เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง มีรูปร่างเพรียวยาว ปากกว้าง มีแถบดำที่ครีบหลัง ครีบไขมัน ครีบก้น และครีบหางตอนล่าง เป็นที่มาของชื่อ กินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร มีนิสัยไม่ดุร้ายเมื่อเทียบกับปลาฉลามชนิดอื่น ๆ นิยมอยู่รวมเป็นฝูงบริเวณใกล้ชายฝั่ง และอาจเข้ามาในบริเวณน้ำกร่อย หรือปากแม่น้ำ โดยสามารถเข้ามาหากินใกล้ชายฝั่ง แม้กระทั่งในพื้นที่ ๆ มีน้ำสูงเพียง 1 ฟุต เป็นปลาหากินในเวลากลางคืน ในเวลากลางวันจะหลบซ่อนตัวพักผ่อนตามแนวปะการัง โดยจะหากินอยู่ในระดับน้ำความลึกไม่เกิน 100 เมตร ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 2 เมตร ตัวเมียตั้งท้องนาน 18 เดือน ออกลูกเป็นตัว ครั้งละ 2-4 ตัว เมื่อโตขึ้นมาแล้วสีดำตรงที่ครีบหลังจะหายไป คงเหลือไว้แต่ตรงครีบอกและครีบส่วนอื่น ปลาฉลามครีบดำ นับเป็นปลาฉลามชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในทะเล และเป็นต้นแบบของปลาฉลามในสกุลปลาฉลามปะการัง มีนิสัยเชื่องคน สามารถว่ายเข้ามาขออาหารได้จากมือ เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาผู้ที่นิยมการดำน้ำ พบทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน นิยมใช้บริโภคโดยเฉพาะปรุงเป็นหูฉลาม เมนูอาหารจีนราคาแพง และนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามอีกด้วย | ปลาฉลามครีบดำมีชื่อเรียกทางสามัญว่าอย่างไร | {
"text": [
"Blacktip reef shark"
],
"answer_start": [
40
],
"answer_end": [
59
]
} |
7KRd8ii9WSlhuaRkLG12_002 | 7KRd8ii9WSlhuaRkLG12 | ปลาฉลามครีบดำ | ปลาฉลามครีบดำ หรือ ปลาฉลามหูดำ (อังกฤษ: Blacktip reef shark)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Carcharhinus melanopterus เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง มีรูปร่างเพรียวยาว ปากกว้าง มีแถบดำที่ครีบหลัง ครีบไขมัน ครีบก้น และครีบหางตอนล่าง เป็นที่มาของชื่อ กินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร มีนิสัยไม่ดุร้ายเมื่อเทียบกับปลาฉลามชนิดอื่น ๆ นิยมอยู่รวมเป็นฝูงบริเวณใกล้ชายฝั่ง และอาจเข้ามาในบริเวณน้ำกร่อย หรือปากแม่น้ำ โดยสามารถเข้ามาหากินใกล้ชายฝั่ง แม้กระทั่งในพื้นที่ ๆ มีน้ำสูงเพียง 1 ฟุต เป็นปลาหากินในเวลากลางคืน ในเวลากลางวันจะหลบซ่อนตัวพักผ่อนตามแนวปะการัง โดยจะหากินอยู่ในระดับน้ำความลึกไม่เกิน 100 เมตร ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 2 เมตร ตัวเมียตั้งท้องนาน 18 เดือน ออกลูกเป็นตัว ครั้งละ 2-4 ตัว เมื่อโตขึ้นมาแล้วสีดำตรงที่ครีบหลังจะหายไป คงเหลือไว้แต่ตรงครีบอกและครีบส่วนอื่น ปลาฉลามครีบดำ นับเป็นปลาฉลามชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในทะเล และเป็นต้นแบบของปลาฉลามในสกุลปลาฉลามปะการัง มีนิสัยเชื่องคน สามารถว่ายเข้ามาขออาหารได้จากมือ เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาผู้ที่นิยมการดำน้ำ พบทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน นิยมใช้บริโภคโดยเฉพาะปรุงเป็นหูฉลาม เมนูอาหารจีนราคาแพง และนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามอีกด้วย | ปลาฉลามครีบดำมีรูปร่างและลักษณะเป็นอย่างไร | {
"text": [
"มีรูปร่างเพรียวยาว ปากกว้าง มีแถบดำที่ครีบหลัง ครีบไขมัน ครีบก้น และครีบหางตอนล่าง "
],
"answer_start": [
126
],
"answer_end": [
209
]
} |
7KRd8ii9WSlhuaRkLG12_003 | 7KRd8ii9WSlhuaRkLG12 | ปลาฉลามครีบดำ | ปลาฉลามครีบดำ หรือ ปลาฉลามหูดำ (อังกฤษ: Blacktip reef shark)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Carcharhinus melanopterus เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง มีรูปร่างเพรียวยาว ปากกว้าง มีแถบดำที่ครีบหลัง ครีบไขมัน ครีบก้น และครีบหางตอนล่าง เป็นที่มาของชื่อ กินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร มีนิสัยไม่ดุร้ายเมื่อเทียบกับปลาฉลามชนิดอื่น ๆ นิยมอยู่รวมเป็นฝูงบริเวณใกล้ชายฝั่ง และอาจเข้ามาในบริเวณน้ำกร่อย หรือปากแม่น้ำ โดยสามารถเข้ามาหากินใกล้ชายฝั่ง แม้กระทั่งในพื้นที่ ๆ มีน้ำสูงเพียง 1 ฟุต เป็นปลาหากินในเวลากลางคืน ในเวลากลางวันจะหลบซ่อนตัวพักผ่อนตามแนวปะการัง โดยจะหากินอยู่ในระดับน้ำความลึกไม่เกิน 100 เมตร ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 2 เมตร ตัวเมียตั้งท้องนาน 18 เดือน ออกลูกเป็นตัว ครั้งละ 2-4 ตัว เมื่อโตขึ้นมาแล้วสีดำตรงที่ครีบหลังจะหายไป คงเหลือไว้แต่ตรงครีบอกและครีบส่วนอื่น ปลาฉลามครีบดำ นับเป็นปลาฉลามชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในทะเล และเป็นต้นแบบของปลาฉลามในสกุลปลาฉลามปะการัง มีนิสัยเชื่องคน สามารถว่ายเข้ามาขออาหารได้จากมือ เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาผู้ที่นิยมการดำน้ำ พบทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน นิยมใช้บริโภคโดยเฉพาะปรุงเป็นหูฉลาม เมนูอาหารจีนราคาแพง และนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามอีกด้วย | ปลาฉลามครีบดำเพศเมียมีการตั้งท้องนานกี่เดือน | {
"text": [
"ตัวเมียตั้งท้องนาน 18 เดือน"
],
"answer_start": [
608
],
"answer_end": [
635
]
} |
7KRd8ii9WSlhuaRkLG12_004 | 7KRd8ii9WSlhuaRkLG12 | ปลาฉลามครีบดำ | ปลาฉลามครีบดำ หรือ ปลาฉลามหูดำ (อังกฤษ: Blacktip reef shark)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Carcharhinus melanopterus เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง มีรูปร่างเพรียวยาว ปากกว้าง มีแถบดำที่ครีบหลัง ครีบไขมัน ครีบก้น และครีบหางตอนล่าง เป็นที่มาของชื่อ กินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร มีนิสัยไม่ดุร้ายเมื่อเทียบกับปลาฉลามชนิดอื่น ๆ นิยมอยู่รวมเป็นฝูงบริเวณใกล้ชายฝั่ง และอาจเข้ามาในบริเวณน้ำกร่อย หรือปากแม่น้ำ โดยสามารถเข้ามาหากินใกล้ชายฝั่ง แม้กระทั่งในพื้นที่ ๆ มีน้ำสูงเพียง 1 ฟุต เป็นปลาหากินในเวลากลางคืน ในเวลากลางวันจะหลบซ่อนตัวพักผ่อนตามแนวปะการัง โดยจะหากินอยู่ในระดับน้ำความลึกไม่เกิน 100 เมตร ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 2 เมตร ตัวเมียตั้งท้องนาน 18 เดือน ออกลูกเป็นตัว ครั้งละ 2-4 ตัว เมื่อโตขึ้นมาแล้วสีดำตรงที่ครีบหลังจะหายไป คงเหลือไว้แต่ตรงครีบอกและครีบส่วนอื่น ปลาฉลามครีบดำ นับเป็นปลาฉลามชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในทะเล และเป็นต้นแบบของปลาฉลามในสกุลปลาฉลามปะการัง มีนิสัยเชื่องคน สามารถว่ายเข้ามาขออาหารได้จากมือ เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาผู้ที่นิยมการดำน้ำ พบทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน นิยมใช้บริโภคโดยเฉพาะปรุงเป็นหูฉลาม เมนูอาหารจีนราคาแพง และนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามอีกด้วย | ปลาฉลามครีบดำหากินในระดับน้ำลึกไม่เกินกี่เมตร | {
"text": [
"หากินอยู่ในระดับน้ำความลึกไม่เกิน 100 เมตร"
],
"answer_start": [
538
],
"answer_end": [
580
]
} |
7NLYGhnUXo9rKjwkk9Wd_000 | 7NLYGhnUXo9rKjwkk9Wd | หมากพน | หมากพน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Orania sylvicola) หรือ พน เป็นปาล์มลำเดี่ยวขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางต้น 15-25 เซนติเมตร ใบประกอบแบบขนนก 15-20 ทาง กาบใบยาว 60 เซนติเมตร ก้านใบยาว 50-75 เซนติเมตร มีใบย่อยด้านละ 60-75 ใบ ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ 3-5 ช่อ รวมยาว 75-90 เซนติเมตร ผลทรงกลมขนาด 3.5-4 เซนติเมตร สีเหลืองหรือสีเหลืองอมเขียว[2] กระจายพันธุ์อยู่ทางตอนใต้ของไทย มาเลเซีย สิงคโปร์และอินโดนีเซีย[3] ลำต้นของหมากพนใช้เป็นวัสดุก่อสร้างและใบใช้มุงหลังคาได้ แต่ยอดอ่อนและผลมีพิษ[4] | ผลของหมากพนมีสีอะไร | {
"text": [
"สีเหลืองหรือสีเหลืองอมเขียว"
],
"answer_start": [
312
],
"answer_end": [
339
]
} |
7SYYZ4w0Qp19QlajXKCE_000 | 7SYYZ4w0Qp19QlajXKCE | ปลากริมมุก | ปลากริมมุก หรือ ปลากริมสี ชื่ออังกฤษ: Pygmy gourami
ชื่อวิทยาศาสตร์: Trichopsis pumila ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่งอยู่ใน
วงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae
มีรูปร่างเรียวยาว แบนข้าง ปากมีขนาดเล็ก พื้นลำตัวสีน้ำตาลอมเขียว เกล็ดข้างลำตัวสะท้อนแสงแวววาว ข้างลำตัวมีแถบสีคล้ำพาดยาวตามความยาวลำตัว 1 แถบ เหนือแถบมีจุดสีน้ำตาลกระจายเรียงเป็นแถว ครีบมีลักษณะโปร่งใสและมีจุดสีน้ำตาลขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่ว ปลายหางมน ตรงกลางเป็นติ่งยื่นยาวเล็กน้อย ปลายขอบครีบมีสีแดงสด มีขนาดความยาวไม่เกิน 4 เซนติเมตร
จัดเป็นปลากริมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
พฤติกรรมชอบอยู่รวมเป็นฝูงในแหล่งน้ำนิ่งตื้น ๆ ขนาดเล็ก เช่น หนองหรือบึงน้ำ พบได้ในประเทศไทยทุกภาค และพบทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีนิสัยก้าวร้าวชอบกัดกันเองในฝูงอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ขั้นกัดกันจนตายเหมือนปลากัด สามารถฮุบอากาศเหนือผิวน้ำได้โดยไม่ต้องผ่านเหงือกเหมือนปลาชนิดอื่น ปลาตัวผู้มีสีสดกว่าตัวเมีย แพร่พันธุ์ด้วยการก่อหวอดใต้ร่มไม้หรือติดกับพืชน้ำ ใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 2 วัน โดยตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลไข่และตัวอ่อน โดยไม่ให้ตัวเมียเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเลย นิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม | ปลากริมมุกมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าอย่างไร | {
"text": [
"ชื่อวิทยาศาสตร์: Trichopsis pumila"
],
"answer_start": [
53
],
"answer_end": [
87
]
} |
7SYYZ4w0Qp19QlajXKCE_001 | 7SYYZ4w0Qp19QlajXKCE | ปลากริมมุก | ปลากริมมุก หรือ ปลากริมสี ชื่ออังกฤษ: Pygmy gourami
ชื่อวิทยาศาสตร์: Trichopsis pumila ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่งอยู่ใน
วงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae
มีรูปร่างเรียวยาว แบนข้าง ปากมีขนาดเล็ก พื้นลำตัวสีน้ำตาลอมเขียว เกล็ดข้างลำตัวสะท้อนแสงแวววาว ข้างลำตัวมีแถบสีคล้ำพาดยาวตามความยาวลำตัว 1 แถบ เหนือแถบมีจุดสีน้ำตาลกระจายเรียงเป็นแถว ครีบมีลักษณะโปร่งใสและมีจุดสีน้ำตาลขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่ว ปลายหางมน ตรงกลางเป็นติ่งยื่นยาวเล็กน้อย ปลายขอบครีบมีสีแดงสด มีขนาดความยาวไม่เกิน 4 เซนติเมตร
จัดเป็นปลากริมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
พฤติกรรมชอบอยู่รวมเป็นฝูงในแหล่งน้ำนิ่งตื้น ๆ ขนาดเล็ก เช่น หนองหรือบึงน้ำ พบได้ในประเทศไทยทุกภาค และพบทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีนิสัยก้าวร้าวชอบกัดกันเองในฝูงอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ขั้นกัดกันจนตายเหมือนปลากัด สามารถฮุบอากาศเหนือผิวน้ำได้โดยไม่ต้องผ่านเหงือกเหมือนปลาชนิดอื่น ปลาตัวผู้มีสีสดกว่าตัวเมีย แพร่พันธุ์ด้วยการก่อหวอดใต้ร่มไม้หรือติดกับพืชน้ำ ใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 2 วัน โดยตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลไข่และตัวอ่อน โดยไม่ให้ตัวเมียเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเลย นิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม | ปลากริมมุกถือว่าเป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดเล็กจัดอยู่ในวงศ์ใด | {
"text": [
"วงศ์ Macropodinae"
],
"answer_start": [
122
],
"answer_end": [
139
]
} |
7SYYZ4w0Qp19QlajXKCE_003 | 7SYYZ4w0Qp19QlajXKCE | ปลากริมมุก | ปลากริมมุก หรือ ปลากริมสี ชื่ออังกฤษ: Pygmy gourami
ชื่อวิทยาศาสตร์: Trichopsis pumila ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่งอยู่ใน
วงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae
มีรูปร่างเรียวยาว แบนข้าง ปากมีขนาดเล็ก พื้นลำตัวสีน้ำตาลอมเขียว เกล็ดข้างลำตัวสะท้อนแสงแวววาว ข้างลำตัวมีแถบสีคล้ำพาดยาวตามความยาวลำตัว 1 แถบ เหนือแถบมีจุดสีน้ำตาลกระจายเรียงเป็นแถว ครีบมีลักษณะโปร่งใสและมีจุดสีน้ำตาลขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่ว ปลายหางมน ตรงกลางเป็นติ่งยื่นยาวเล็กน้อย ปลายขอบครีบมีสีแดงสด มีขนาดความยาวไม่เกิน 4 เซนติเมตร
จัดเป็นปลากริมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
พฤติกรรมชอบอยู่รวมเป็นฝูงในแหล่งน้ำนิ่งตื้น ๆ ขนาดเล็ก เช่น หนองหรือบึงน้ำ พบได้ในประเทศไทยทุกภาค และพบทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีนิสัยก้าวร้าวชอบกัดกันเองในฝูงอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ขั้นกัดกันจนตายเหมือนปลากัด สามารถฮุบอากาศเหนือผิวน้ำได้โดยไม่ต้องผ่านเหงือกเหมือนปลาชนิดอื่น ปลาตัวผู้มีสีสดกว่าตัวเมีย แพร่พันธุ์ด้วยการก่อหวอดใต้ร่มไม้หรือติดกับพืชน้ำ ใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 2 วัน โดยตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลไข่และตัวอ่อน โดยไม่ให้ตัวเมียเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเลย นิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม | ปลากริมมุกเป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกโดยมีความยาวเท่าไร | {
"text": [
"ความยาวไม่เกิน 4 เซนติเมตร"
],
"answer_start": [
482
],
"answer_end": [
508
]
} |
7SYYZ4w0Qp19QlajXKCE_004 | 7SYYZ4w0Qp19QlajXKCE | ปลากริมมุก | ปลากริมมุก หรือ ปลากริมสี ชื่ออังกฤษ: Pygmy gourami
ชื่อวิทยาศาสตร์: Trichopsis pumila ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่งอยู่ใน
วงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae
มีรูปร่างเรียวยาว แบนข้าง ปากมีขนาดเล็ก พื้นลำตัวสีน้ำตาลอมเขียว เกล็ดข้างลำตัวสะท้อนแสงแวววาว ข้างลำตัวมีแถบสีคล้ำพาดยาวตามความยาวลำตัว 1 แถบ เหนือแถบมีจุดสีน้ำตาลกระจายเรียงเป็นแถว ครีบมีลักษณะโปร่งใสและมีจุดสีน้ำตาลขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่ว ปลายหางมน ตรงกลางเป็นติ่งยื่นยาวเล็กน้อย ปลายขอบครีบมีสีแดงสด มีขนาดความยาวไม่เกิน 4 เซนติเมตร
จัดเป็นปลากริมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
พฤติกรรมชอบอยู่รวมเป็นฝูงในแหล่งน้ำนิ่งตื้น ๆ ขนาดเล็ก เช่น หนองหรือบึงน้ำ พบได้ในประเทศไทยทุกภาค และพบทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีนิสัยก้าวร้าวชอบกัดกันเองในฝูงอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ขั้นกัดกันจนตายเหมือนปลากัด สามารถฮุบอากาศเหนือผิวน้ำได้โดยไม่ต้องผ่านเหงือกเหมือนปลาชนิดอื่น ปลาตัวผู้มีสีสดกว่าตัวเมีย แพร่พันธุ์ด้วยการก่อหวอดใต้ร่มไม้หรือติดกับพืชน้ำ ใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 2 วัน โดยตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลไข่และตัวอ่อน โดยไม่ให้ตัวเมียเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเลย นิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม | ปลากริมมุกเป็นปลาน้ำจืดที่มีพฤติกรรมเป็นอย่างไีรอธิบาย | {
"text": [
"พฤติกรรมชอบอยู่รวมเป็นฝูงในแหล่งน้ำนิ่งตื้น ๆ ขนาดเล็ก เช่น หนองหรือบึงน้ำ"
],
"answer_start": [
549
],
"answer_end": [
623
]
} |
7W6zEXZzrvoc0vGhGdWN_000 | 7W6zEXZzrvoc0vGhGdWN | เจ้าหงิญ | เจ้าหงิญ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นทั้ง 8 เรื่อง ของบินหลา สันกาลาคีรี ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2548 เรื่องสั้นในเล่มจะนำโลกของจินตนาการมาผสานกับโลกของความจริงโดยใช้รูปแบบนิทาน เสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ประสบการณ์ทางอารมณ์ การเผชิญกับปัญหาและอุปสรรค การแสวงหาความหมายและความสุขของชีวิต แต่ด้วยความเขลา มนุษย์จึงดิ้นรนและหลงอยู่ในมายา ในที่สุด ผู้อ่านจะรับรู้ได้ว่าในโลกของความเป็นจริงนั้น โลกมีหลากหลายทางเลือกที่จะไปสู่วิถีชีวิตที่เรียบง่ายและพอดี อาจอ่านแยกกันเป็นเรื่อง ๆ แต่ด้วยการเรียงร้อยเข้าด้วยกัน ทำให้เรื่องสั้นแต่ละเรื่องกลายเป็นเรื่องสั้นในเรื่องยาว เป็นนิทานซ้อนนิทาน ที่เรื่องต้นกับเรื่องท้ายมาบรรจบกันอย่างแนบเนียน ผู้ประพันธ์สร้างตัวละครหลากหลาย ทั้งคน สัตว์ สิ่งของแบบนิทานเปรียบเทียบที่อุดมด้วยสีสัน รวมทั้งการเล่นคำ โดยเฉพาะชื่อ เจ้าหงิญ ที่สื่อความหลายนัยและอารมณ์ขัน มีลีลาภาษาที่รุ่มรวยด้วยโวหารเร้าจินตนาการและความคิด
เจ้าหงิญเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและอ่อนโยน ให้เรารู้ว่าในโลกความเป็นจริง ชีวิตไม่ได้เป็นไปดังหวัง หากดำรงอยู่ได้อย่างสันติ ก็ด้วยพลังของความดีงาม ซึ่งกระตุ้นจิตใต้สำนึกของผู้อ่านให้มองโลกในแง่ดี เข้าใจและรักเพื่อนมนุษย์
| เจ้าหงิญ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นทั้งกี่เรื่อง | {
"text": [
"8 เรื่อง"
],
"answer_start": [
38
],
"answer_end": [
46
]
} |
7W6zEXZzrvoc0vGhGdWN_001 | 7W6zEXZzrvoc0vGhGdWN | เจ้าหงิญ | เจ้าหงิญ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นทั้ง 8 เรื่อง ของบินหลา สันกาลาคีรี ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2548 เรื่องสั้นในเล่มจะนำโลกของจินตนาการมาผสานกับโลกของความจริงโดยใช้รูปแบบนิทาน เสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ประสบการณ์ทางอารมณ์ การเผชิญกับปัญหาและอุปสรรค การแสวงหาความหมายและความสุขของชีวิต แต่ด้วยความเขลา มนุษย์จึงดิ้นรนและหลงอยู่ในมายา ในที่สุด ผู้อ่านจะรับรู้ได้ว่าในโลกของความเป็นจริงนั้น โลกมีหลากหลายทางเลือกที่จะไปสู่วิถีชีวิตที่เรียบง่ายและพอดี อาจอ่านแยกกันเป็นเรื่อง ๆ แต่ด้วยการเรียงร้อยเข้าด้วยกัน ทำให้เรื่องสั้นแต่ละเรื่องกลายเป็นเรื่องสั้นในเรื่องยาว เป็นนิทานซ้อนนิทาน ที่เรื่องต้นกับเรื่องท้ายมาบรรจบกันอย่างแนบเนียน ผู้ประพันธ์สร้างตัวละครหลากหลาย ทั้งคน สัตว์ สิ่งของแบบนิทานเปรียบเทียบที่อุดมด้วยสีสัน รวมทั้งการเล่นคำ โดยเฉพาะชื่อ เจ้าหงิญ ที่สื่อความหลายนัยและอารมณ์ขัน มีลีลาภาษาที่รุ่มรวยด้วยโวหารเร้าจินตนาการและความคิด
เจ้าหงิญเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและอ่อนโยน ให้เรารู้ว่าในโลกความเป็นจริง ชีวิตไม่ได้เป็นไปดังหวัง หากดำรงอยู่ได้อย่างสันติ ก็ด้วยพลังของความดีงาม ซึ่งกระตุ้นจิตใต้สำนึกของผู้อ่านให้มองโลกในแง่ดี เข้าใจและรักเพื่อนมนุษย์
| หนังสือ เจ้าหงิญ ใครเป็นผู้เขียน | {
"text": [
"บินหลา สันกาลาคีรี"
],
"answer_start": [
50
],
"answer_end": [
68
]
} |
7W6zEXZzrvoc0vGhGdWN_002 | 7W6zEXZzrvoc0vGhGdWN | เจ้าหงิญ | เจ้าหงิญ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นทั้ง 8 เรื่อง ของบินหลา สันกาลาคีรี ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2548 เรื่องสั้นในเล่มจะนำโลกของจินตนาการมาผสานกับโลกของความจริงโดยใช้รูปแบบนิทาน เสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ประสบการณ์ทางอารมณ์ การเผชิญกับปัญหาและอุปสรรค การแสวงหาความหมายและความสุขของชีวิต แต่ด้วยความเขลา มนุษย์จึงดิ้นรนและหลงอยู่ในมายา ในที่สุด ผู้อ่านจะรับรู้ได้ว่าในโลกของความเป็นจริงนั้น โลกมีหลากหลายทางเลือกที่จะไปสู่วิถีชีวิตที่เรียบง่ายและพอดี อาจอ่านแยกกันเป็นเรื่อง ๆ แต่ด้วยการเรียงร้อยเข้าด้วยกัน ทำให้เรื่องสั้นแต่ละเรื่องกลายเป็นเรื่องสั้นในเรื่องยาว เป็นนิทานซ้อนนิทาน ที่เรื่องต้นกับเรื่องท้ายมาบรรจบกันอย่างแนบเนียน ผู้ประพันธ์สร้างตัวละครหลากหลาย ทั้งคน สัตว์ สิ่งของแบบนิทานเปรียบเทียบที่อุดมด้วยสีสัน รวมทั้งการเล่นคำ โดยเฉพาะชื่อ เจ้าหงิญ ที่สื่อความหลายนัยและอารมณ์ขัน มีลีลาภาษาที่รุ่มรวยด้วยโวหารเร้าจินตนาการและความคิด
เจ้าหงิญเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและอ่อนโยน ให้เรารู้ว่าในโลกความเป็นจริง ชีวิตไม่ได้เป็นไปดังหวัง หากดำรงอยู่ได้อย่างสันติ ก็ด้วยพลังของความดีงาม ซึ่งกระตุ้นจิตใต้สำนึกของผู้อ่านให้มองโลกในแง่ดี เข้าใจและรักเพื่อนมนุษย์
| หนังสือ เจ้าหงิญ ได้รางวัลอะไรบ้าง | {
"text": [
"วรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน"
],
"answer_start": [
81
],
"answer_end": [
119
]
} |
7W6zEXZzrvoc0vGhGdWN_004 | 7W6zEXZzrvoc0vGhGdWN | เจ้าหงิญ | เจ้าหงิญ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นทั้ง 8 เรื่อง ของบินหลา สันกาลาคีรี ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2548 เรื่องสั้นในเล่มจะนำโลกของจินตนาการมาผสานกับโลกของความจริงโดยใช้รูปแบบนิทาน เสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ประสบการณ์ทางอารมณ์ การเผชิญกับปัญหาและอุปสรรค การแสวงหาความหมายและความสุขของชีวิต แต่ด้วยความเขลา มนุษย์จึงดิ้นรนและหลงอยู่ในมายา ในที่สุด ผู้อ่านจะรับรู้ได้ว่าในโลกของความเป็นจริงนั้น โลกมีหลากหลายทางเลือกที่จะไปสู่วิถีชีวิตที่เรียบง่ายและพอดี อาจอ่านแยกกันเป็นเรื่อง ๆ แต่ด้วยการเรียงร้อยเข้าด้วยกัน ทำให้เรื่องสั้นแต่ละเรื่องกลายเป็นเรื่องสั้นในเรื่องยาว เป็นนิทานซ้อนนิทาน ที่เรื่องต้นกับเรื่องท้ายมาบรรจบกันอย่างแนบเนียน ผู้ประพันธ์สร้างตัวละครหลากหลาย ทั้งคน สัตว์ สิ่งของแบบนิทานเปรียบเทียบที่อุดมด้วยสีสัน รวมทั้งการเล่นคำ โดยเฉพาะชื่อ เจ้าหงิญ ที่สื่อความหลายนัยและอารมณ์ขัน มีลีลาภาษาที่รุ่มรวยด้วยโวหารเร้าจินตนาการและความคิด
เจ้าหงิญเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและอ่อนโยน ให้เรารู้ว่าในโลกความเป็นจริง ชีวิตไม่ได้เป็นไปดังหวัง หากดำรงอยู่ได้อย่างสันติ ก็ด้วยพลังของความดีงาม ซึ่งกระตุ้นจิตใต้สำนึกของผู้อ่านให้มองโลกในแง่ดี เข้าใจและรักเพื่อนมนุษย์
| หนังสือ เจ้าหงิญ ได้รับรางวัลในปีอะไร | {
"text": [
"พ.ศ. 2548"
],
"answer_start": [
150
],
"answer_end": [
159
]
} |
7X2vswsqOl0mDRseLPK5_000 | 7X2vswsqOl0mDRseLPK5 | เจ้าหญิงโซเฟีย เดสตาแห่งเอธิโอเปีย | เจ้าหญิงโซเฟีย เดสตาแห่งเอธิโอเปีย (อังกฤษ: Her Royal Highness Princess Sophia Desta) ประสูติเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2477 ณ ประเทศเอธิโอเปีย เป็นพระบรมวงศานุวงศ์เอธิโอเปัยพระองค์หนึ่ง โดยทรงเป็นพระธิดาพระองค์ที่ 4 ใน เจ้าหญิงเทเน็คเนเวิก กับ เดสตา ดามทิว พระมารดาเป็นพระราชธิดาใน สมเด็จพระจักรพรรดิเฮลี เซลาสซีที่ 1 แห่งเอธิโอเปีย นับเป็นพระญาติชั้นที่ 1 ใน เจ้าชายเซรา ยาคอบ อัมฮา เซลาสซี มกุฎราชกุมารแห่งเอธิโอเปีย ทรงได้รับการสถนาปนาเป็นเจ้าพร้อมกับพระเชษฐา พระภคินี และพระขนิษฐาทั้ง 5 พระองค์ ตามพระบรมราชโองการพิเศษของ สมเด็จพระจักรพรรดิเฮลี เซลาสซีที่ 1 แห่งเอธิโอเปีย พระราชอัยกาในปี 2483 โดยมีฐานันดรศักดิ์ต่างกันดังนี้
ฐานันดร รอยัลไฮเนส ได้แก่ เจ้าหญิงโซฟี เดสตาแห่งเอธิโอเปีย
ฐานันดร ไฮเนส ได้แก่ เจ้าชายฮัมซา โซโลมอน เดสตา เจ้าชายอิงกาดา เดสตา เจ้าหญิงไอดา เดสตา เจ้าหญิงเซเบล เดสตาแห่งเอธิโอเปีย เจ้าหญิงไฮรุต เดสตาแห่งเอธิโอเปีย
พระองค์ทรงเสกสมรสกับ เดเจีย ไฮลี มาเรียม เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2503 มีพระโอรสคนเดียวคือ
ฮันนา มาเรียม มาเนตเต เซลาสซี เดจี
อนึ่ง พระองค์ทรงเคยถูกจองจำคุกและเป็นที่น่าอับอายกับพระราชวงศ์ตั้งแต่ปี 2517 - 2531 | เจ้าหญิงโซเฟีย เดสตาแห่งเอธิโอเปีย ประสูติเมื่อใด | {
"text": [
"1 มกราคม 2477"
],
"answer_start": [
105
],
"answer_end": [
118
]
} |
7X2vswsqOl0mDRseLPK5_001 | 7X2vswsqOl0mDRseLPK5 | เจ้าหญิงโซเฟีย เดสตาแห่งเอธิโอเปีย | เจ้าหญิงโซเฟีย เดสตาแห่งเอธิโอเปีย (อังกฤษ: Her Royal Highness Princess Sophia Desta) ประสูติเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2477 ณ ประเทศเอธิโอเปีย เป็นพระบรมวงศานุวงศ์เอธิโอเปัยพระองค์หนึ่ง โดยทรงเป็นพระธิดาพระองค์ที่ 4 ใน เจ้าหญิงเทเน็คเนเวิก กับ เดสตา ดามทิว พระมารดาเป็นพระราชธิดาใน สมเด็จพระจักรพรรดิเฮลี เซลาสซีที่ 1 แห่งเอธิโอเปีย นับเป็นพระญาติชั้นที่ 1 ใน เจ้าชายเซรา ยาคอบ อัมฮา เซลาสซี มกุฎราชกุมารแห่งเอธิโอเปีย ทรงได้รับการสถนาปนาเป็นเจ้าพร้อมกับพระเชษฐา พระภคินี และพระขนิษฐาทั้ง 5 พระองค์ ตามพระบรมราชโองการพิเศษของ สมเด็จพระจักรพรรดิเฮลี เซลาสซีที่ 1 แห่งเอธิโอเปีย พระราชอัยกาในปี 2483 โดยมีฐานันดรศักดิ์ต่างกันดังนี้
ฐานันดร รอยัลไฮเนส ได้แก่ เจ้าหญิงโซฟี เดสตาแห่งเอธิโอเปีย
ฐานันดร ไฮเนส ได้แก่ เจ้าชายฮัมซา โซโลมอน เดสตา เจ้าชายอิงกาดา เดสตา เจ้าหญิงไอดา เดสตา เจ้าหญิงเซเบล เดสตาแห่งเอธิโอเปีย เจ้าหญิงไฮรุต เดสตาแห่งเอธิโอเปีย
พระองค์ทรงเสกสมรสกับ เดเจีย ไฮลี มาเรียม เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2503 มีพระโอรสคนเดียวคือ
ฮันนา มาเรียม มาเนตเต เซลาสซี เดจี
อนึ่ง พระองค์ทรงเคยถูกจองจำคุกและเป็นที่น่าอับอายกับพระราชวงศ์ตั้งแต่ปี 2517 - 2531 | ทรงเป็นพระธิดาพระองค์ที่เท่าไร | {
"text": [
"พระองค์ที่ 4"
],
"answer_start": [
198
],
"answer_end": [
210
]
} |
7X2vswsqOl0mDRseLPK5_002 | 7X2vswsqOl0mDRseLPK5 | เจ้าหญิงโซเฟีย เดสตาแห่งเอธิโอเปีย | เจ้าหญิงโซเฟีย เดสตาแห่งเอธิโอเปีย (อังกฤษ: Her Royal Highness Princess Sophia Desta) ประสูติเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2477 ณ ประเทศเอธิโอเปีย เป็นพระบรมวงศานุวงศ์เอธิโอเปัยพระองค์หนึ่ง โดยทรงเป็นพระธิดาพระองค์ที่ 4 ใน เจ้าหญิงเทเน็คเนเวิก กับ เดสตา ดามทิว พระมารดาเป็นพระราชธิดาใน สมเด็จพระจักรพรรดิเฮลี เซลาสซีที่ 1 แห่งเอธิโอเปีย นับเป็นพระญาติชั้นที่ 1 ใน เจ้าชายเซรา ยาคอบ อัมฮา เซลาสซี มกุฎราชกุมารแห่งเอธิโอเปีย ทรงได้รับการสถนาปนาเป็นเจ้าพร้อมกับพระเชษฐา พระภคินี และพระขนิษฐาทั้ง 5 พระองค์ ตามพระบรมราชโองการพิเศษของ สมเด็จพระจักรพรรดิเฮลี เซลาสซีที่ 1 แห่งเอธิโอเปีย พระราชอัยกาในปี 2483 โดยมีฐานันดรศักดิ์ต่างกันดังนี้
ฐานันดร รอยัลไฮเนส ได้แก่ เจ้าหญิงโซฟี เดสตาแห่งเอธิโอเปีย
ฐานันดร ไฮเนส ได้แก่ เจ้าชายฮัมซา โซโลมอน เดสตา เจ้าชายอิงกาดา เดสตา เจ้าหญิงไอดา เดสตา เจ้าหญิงเซเบล เดสตาแห่งเอธิโอเปีย เจ้าหญิงไฮรุต เดสตาแห่งเอธิโอเปีย
พระองค์ทรงเสกสมรสกับ เดเจีย ไฮลี มาเรียม เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2503 มีพระโอรสคนเดียวคือ
ฮันนา มาเรียม มาเนตเต เซลาสซี เดจี
อนึ่ง พระองค์ทรงเคยถูกจองจำคุกและเป็นที่น่าอับอายกับพระราชวงศ์ตั้งแต่ปี 2517 - 2531 | พระมารดาของเจ้าหญิงคือใคร | {
"text": [
"เจ้าหญิงเทเน็คเนเวิก"
],
"answer_start": [
214
],
"answer_end": [
234
]
} |
7X2vswsqOl0mDRseLPK5_003 | 7X2vswsqOl0mDRseLPK5 | เจ้าหญิงโซเฟีย เดสตาแห่งเอธิโอเปีย | เจ้าหญิงโซเฟีย เดสตาแห่งเอธิโอเปีย (อังกฤษ: Her Royal Highness Princess Sophia Desta) ประสูติเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2477 ณ ประเทศเอธิโอเปีย เป็นพระบรมวงศานุวงศ์เอธิโอเปัยพระองค์หนึ่ง โดยทรงเป็นพระธิดาพระองค์ที่ 4 ใน เจ้าหญิงเทเน็คเนเวิก กับ เดสตา ดามทิว พระมารดาเป็นพระราชธิดาใน สมเด็จพระจักรพรรดิเฮลี เซลาสซีที่ 1 แห่งเอธิโอเปีย นับเป็นพระญาติชั้นที่ 1 ใน เจ้าชายเซรา ยาคอบ อัมฮา เซลาสซี มกุฎราชกุมารแห่งเอธิโอเปีย ทรงได้รับการสถนาปนาเป็นเจ้าพร้อมกับพระเชษฐา พระภคินี และพระขนิษฐาทั้ง 5 พระองค์ ตามพระบรมราชโองการพิเศษของ สมเด็จพระจักรพรรดิเฮลี เซลาสซีที่ 1 แห่งเอธิโอเปีย พระราชอัยกาในปี 2483 โดยมีฐานันดรศักดิ์ต่างกันดังนี้
ฐานันดร รอยัลไฮเนส ได้แก่ เจ้าหญิงโซฟี เดสตาแห่งเอธิโอเปีย
ฐานันดร ไฮเนส ได้แก่ เจ้าชายฮัมซา โซโลมอน เดสตา เจ้าชายอิงกาดา เดสตา เจ้าหญิงไอดา เดสตา เจ้าหญิงเซเบล เดสตาแห่งเอธิโอเปีย เจ้าหญิงไฮรุต เดสตาแห่งเอธิโอเปีย
พระองค์ทรงเสกสมรสกับ เดเจีย ไฮลี มาเรียม เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2503 มีพระโอรสคนเดียวคือ
ฮันนา มาเรียม มาเนตเต เซลาสซี เดจี
อนึ่ง พระองค์ทรงเคยถูกจองจำคุกและเป็นที่น่าอับอายกับพระราชวงศ์ตั้งแต่ปี 2517 - 2531 | พระโอรสของเจ้าหญิงโซเฟียมีชื่อว่าอะไร | {
"text": [
"ฮันนา มาเรียม มาเนตเต เซลาสซี เดจี"
],
"answer_start": [
932
],
"answer_end": [
966
]
} |
7YSxs0bKxHgGhZiFg4I7_000 | 7YSxs0bKxHgGhZiFg4I7 | จีเอฟพีที | บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ: GFPT PUBLIC COMPANY LIMITED ชื่อย่อ:GFPT) [4] ก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 ดำเนินธุรกิจการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ไก่สดแช่แข็งและไก่แปรรูป ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท และของลูกค้า โดยจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประกอบด้วยธุรกิจอุตสาหกรรมการเกษตรครบวงจร คือ สายธุรกิจอาหารสัตว์ สายธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่ปู่ย่าพันธุ์ สายธุรกิจโรงฟักไข่และเลี้ยงไก่พ่อแม่พันธุ์ สายธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อ สายธุรกิจชำแหละและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อไก่ และเริ่มเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2535 โดยมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ทุนเรียกชำระแล้ว 570 ล้านบาท[5]
| บริษัท จีเอฟพีที ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด | {
"text": [
"วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524"
],
"answer_start": [
98
],
"answer_end": [
127
]
} |
7YSxs0bKxHgGhZiFg4I7_001 | 7YSxs0bKxHgGhZiFg4I7 | จีเอฟพีที | บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ: GFPT PUBLIC COMPANY LIMITED ชื่อย่อ:GFPT) [4] ก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 ดำเนินธุรกิจการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ไก่สดแช่แข็งและไก่แปรรูป ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท และของลูกค้า โดยจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประกอบด้วยธุรกิจอุตสาหกรรมการเกษตรครบวงจร คือ สายธุรกิจอาหารสัตว์ สายธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่ปู่ย่าพันธุ์ สายธุรกิจโรงฟักไข่และเลี้ยงไก่พ่อแม่พันธุ์ สายธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อ สายธุรกิจชำแหละและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อไก่ และเริ่มเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2535 โดยมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ทุนเรียกชำระแล้ว 570 ล้านบาท[5]
| ดำเนินธุรกิจด้านใด | {
"text": [
"การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ไก่สดแช่แข็งและไก่แปรรูป"
],
"answer_start": [
140
],
"answer_end": [
194
]
} |
7YSxs0bKxHgGhZiFg4I7_003 | 7YSxs0bKxHgGhZiFg4I7 | จีเอฟพีที | บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ: GFPT PUBLIC COMPANY LIMITED ชื่อย่อ:GFPT) [4] ก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 ดำเนินธุรกิจการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ไก่สดแช่แข็งและไก่แปรรูป ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท และของลูกค้า โดยจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประกอบด้วยธุรกิจอุตสาหกรรมการเกษตรครบวงจร คือ สายธุรกิจอาหารสัตว์ สายธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่ปู่ย่าพันธุ์ สายธุรกิจโรงฟักไข่และเลี้ยงไก่พ่อแม่พันธุ์ สายธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อ สายธุรกิจชำแหละและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อไก่ และเริ่มเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2535 โดยมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ทุนเรียกชำระแล้ว 570 ล้านบาท[5]
| บริษัทจดทะเบียนในตลาดทรัพย์เมื่อใด | {
"text": [
"วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2535"
],
"answer_start": [
560
],
"answer_end": [
586
]
} |
7YSxs0bKxHgGhZiFg4I7_004 | 7YSxs0bKxHgGhZiFg4I7 | จีเอฟพีที | บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ: GFPT PUBLIC COMPANY LIMITED ชื่อย่อ:GFPT) [4] ก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 ดำเนินธุรกิจการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ไก่สดแช่แข็งและไก่แปรรูป ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท และของลูกค้า โดยจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประกอบด้วยธุรกิจอุตสาหกรรมการเกษตรครบวงจร คือ สายธุรกิจอาหารสัตว์ สายธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่ปู่ย่าพันธุ์ สายธุรกิจโรงฟักไข่และเลี้ยงไก่พ่อแม่พันธุ์ สายธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อ สายธุรกิจชำแหละและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อไก่ และเริ่มเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2535 โดยมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ทุนเรียกชำระแล้ว 570 ล้านบาท[5]
| ทุนจดทะเบียนมีจำนวนเท่าไร | {
"text": [
"1,000 ล้านบาท"
],
"answer_start": [
605
],
"answer_end": [
618
]
} |
7bb2dP1BRNHXvogmML0A_000 | 7bb2dP1BRNHXvogmML0A | ปลากระมัง | ปลากระมัง (อังกฤษ: Smith's barb; ชื่อวิทยาศาสตร์: Puntioplites proctozysron) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเหมือนปลาตะเพียนทั่วไป แต่ลำตัวแบนข้างกว่ามาก มีครีบหลังยกสูง ก้านครีบอันแรกและครีบก้นเป็นรอยหยัก เกล็ดเล็กละเอียดสีเงิน ครีบท้องและครีบอกสีเหลืองอ่อน ครีบหางเว้าลึก ตาโต หัวมนกลม ไม่มีหนวด ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30-45 เซนติเมตร
พบในแม่น้ำและแหล่งน้ำต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย นิยมใช้เนื้อบริโภคเหมือนปลาตะเพียนทั่วไป และพบเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย
ปลากระมัง ยังมีชื่อเรียกที่แตกต่างออกไปตามถิ่นต่าง ๆ ด้วย เช่น "มัง" ที่บึงบอระเพ็ด "วี" ที่เชียงราย "เหลี่ยม" หรือ ปากน้ำโพ "เลียม" ขณะที่ภาคใต้เรียก "แพะ" และภาคอีสานเรียก "สะกาง"
| ปลากระมังมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าอย่างไร | {
"text": [
"ชื่อวิทยาศาสตร์: Puntioplites proctozysron"
],
"answer_start": [
33
],
"answer_end": [
75
]
} |
7bb2dP1BRNHXvogmML0A_001 | 7bb2dP1BRNHXvogmML0A | ปลากระมัง | ปลากระมัง (อังกฤษ: Smith's barb; ชื่อวิทยาศาสตร์: Puntioplites proctozysron) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเหมือนปลาตะเพียนทั่วไป แต่ลำตัวแบนข้างกว่ามาก มีครีบหลังยกสูง ก้านครีบอันแรกและครีบก้นเป็นรอยหยัก เกล็ดเล็กละเอียดสีเงิน ครีบท้องและครีบอกสีเหลืองอ่อน ครีบหางเว้าลึก ตาโต หัวมนกลม ไม่มีหนวด ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30-45 เซนติเมตร
พบในแม่น้ำและแหล่งน้ำต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย นิยมใช้เนื้อบริโภคเหมือนปลาตะเพียนทั่วไป และพบเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย
ปลากระมัง ยังมีชื่อเรียกที่แตกต่างออกไปตามถิ่นต่าง ๆ ด้วย เช่น "มัง" ที่บึงบอระเพ็ด "วี" ที่เชียงราย "เหลี่ยม" หรือ ปากน้ำโพ "เลียม" ขณะที่ภาคใต้เรียก "แพะ" และภาคอีสานเรียก "สะกาง"
| ปลากระมังเป็นสัตว์น้ำที่อยู่ในวงศ์ประเภทใด | {
"text": [
"วงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae)"
],
"answer_start": [
102
],
"answer_end": [
129
]
} |
7bb2dP1BRNHXvogmML0A_003 | 7bb2dP1BRNHXvogmML0A | ปลากระมัง | ปลากระมัง (อังกฤษ: Smith's barb; ชื่อวิทยาศาสตร์: Puntioplites proctozysron) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเหมือนปลาตะเพียนทั่วไป แต่ลำตัวแบนข้างกว่ามาก มีครีบหลังยกสูง ก้านครีบอันแรกและครีบก้นเป็นรอยหยัก เกล็ดเล็กละเอียดสีเงิน ครีบท้องและครีบอกสีเหลืองอ่อน ครีบหางเว้าลึก ตาโต หัวมนกลม ไม่มีหนวด ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30-45 เซนติเมตร
พบในแม่น้ำและแหล่งน้ำต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย นิยมใช้เนื้อบริโภคเหมือนปลาตะเพียนทั่วไป และพบเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย
ปลากระมัง ยังมีชื่อเรียกที่แตกต่างออกไปตามถิ่นต่าง ๆ ด้วย เช่น "มัง" ที่บึงบอระเพ็ด "วี" ที่เชียงราย "เหลี่ยม" หรือ ปากน้ำโพ "เลียม" ขณะที่ภาคใต้เรียก "แพะ" และภาคอีสานเรียก "สะกาง"
| ปลากระมังมีขนาดโตเต็มวัยกี่เซนติเมตร | {
"text": [
"โตเต็มที่ประมาณ 30-45 เซนติเมตร"
],
"answer_start": [
333
],
"answer_end": [
364
]
} |
7coIq2ptYltTZ0a6Tjx3_000 | 7coIq2ptYltTZ0a6Tjx3 | แด่เธอ...ด้วยดวงใจ | แด่เธอ...ด้วยดวงใจ (ญี่ปุ่น: 愛し君へ) , อังกฤษ: To The One I Love) เป็นละครที่ออกอากาศในช่วงเวลาไพร์มไทม์ของญี่ปุ่น คือ ละครวันจันทร์ เวลา 21:00 น. เรียกว่า "เกะสุคุ ดราม่า" (ญี่ปุ่น: 月9ドラマ) มีการนำเข้ามาออกอากาศในประเทศไทย ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย กำหนดแพร่ภาพทุกวันพฤหัสบดี และวันศุกร์ เวลา 22:10 ~ 23:10 เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2552
เนื้อเรื่อง
ชิกิ ได้พบกับชุนสุเกะในงานศพของโทชิยะ เธอรู้สึกประหลาดใจกับบุคลิกทีท่าที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างพี่น้องทั้งสองคน ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้งภายหลัง เมื่อได้รู้ว่าชุนสุเกะจะไม่สามารถมองเห็นได้อีก เธอก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเขา แต่เมื่ออาการของโรคทรุดหนักลง ชุนสุเกะตัดสินใจบอกเลิกกับเธอ เพราะไม่ต้องการให้เธอทิ้งอนาคตการเป็นแพทย์เด็กที่เธอฝันไว้ไป โดยไม่รู้ว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ลูกของเขาทั้งสองอยู่ เรื่องยิ่งเลวร้ายลงเมื่อชิกิล้มป่วย และอาการป่วยครั้งนี้ส่งผลอันตรายอย่างยิ่งต่อชีวิตของชิกิและลูก
ตัวละคร
ชิกิ โทโมะกาว่า - มิโฮะ คันโนะ แพทย์แผนกกุมารเวช เป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่ดี เมื่อได้รู้ว่าชุนสุเกะป่วยเป็นโรคร้าย ก็พยายามให้กำลังใจและช่วยเหลือ
ชุนสุเกะ อะสึมิ - นาโอฮิโตะ ฟุจิกิ เป็นพี่ชายของโทชิยะ ช่างภาพมืออาชีพที่กำลังเข้าใกล้ความฝันที่จะเป็นช่างภาพที่มีชื่อเสียง แต่ต้องป่วยเป็นโรคร้ายที่ทำให้ตาค่อยๆ มองไม่เห็นไปทีละน้อย จนบอดสนิท โรคนี้ยังไม่มีทางรักษา
ไอ อาซากุระ - มิซากิ อิโต้ เพื่อนรักของชิกิ เป็นแม่ที่พยายามทำงานเพื่อเลี้ยงลูกเพียงลำพัง แอบมีใจให้ชินโกะ
ชินโกะ โอริฮาร่า - ฮิโรชิ ทามากิ เพื่อนของชิกิ ทำงานเป็นพ่อครัวฝึกหัด ห่วงใยชิกิมาก ชอบชิกิมานาน ในตอนท้ายเมื่อได้รู้ความในใจของชิกิ จึงยอมให้ชิกิไปหาชุนสุเกะ
โทชิยะ อะสึมิ - โยชิโนริ โอคะดะเพื่อนในกลุ่มของชิกิ,ไอ และชินโกะ น้องชายของชุนสุเกะ เสียชีวิตด้วยโรคร้ายไปตามลำพัง ไม่ยอมบอกใครถึงอาการป่วยของตนเอง
เคสุเกะ ฟุรุยะ - ซาบุโร่ โทคิโท นายแพทย์แผนกกุมารเวช คอยให้คำปรึกษาชิกิ ห่วงใยชิกิมากกว่าแพทย์คนอื่น
เทสุโอะ โทโมะกาว่า - ชิเงรุ อิซึมิยะ พ่อของชิกิ รักและเป็นห่วงลูกสาวมาก มีนิสัยชอบโวยวาย เป็นเจ้าของร้านขายข้าวสาร
มิสุโอะ โทโมะกาว่า - มิระอิ โมริยาม่า น้องชายของชิกิ | แด่เธอ...ด้วยดวงใจเริ่มฉายในไทยเมื่อไหร่ | {
"text": [
"วันที่ 29 มกราคม 2552"
],
"answer_start": [
315
],
"answer_end": [
336
]
} |
7eNfvVcOTTJixL7T4fCl_000 | 7eNfvVcOTTJixL7T4fCl | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน (เยอรมัน: Schlacht im Hürtgenwald) เป็นหนึ่งในการสู้รบอย่างดุเดือด ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน ถึง วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1944 ระหว่างกองทัพอเมริกันและกองทัพเยอรมันบนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในป่าเฮือร์ทเกิน พื้นที่ประมาณ 140 ตารางกิโลเมตร (54 ตารางไมล์) ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร (3.1 ไมล์) บนทางด้านตะวันออกของชายแดนเบลเยียม-เยอรมนี [1]มันเป็นการสู้รบที่ยาวนานที่สุดบนพื้นที่ของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและเป็นการสู้รบเพียงลำพังที่ยาวนานที่สุดที่กองทัพสหรัฐเคยสู้รบ | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน คืออะไร | {
"text": [
"เป็นหนึ่งในการสู้รบอย่างดุเดือด"
],
"answer_start": [
60
],
"answer_end": [
91
]
} |
7eNfvVcOTTJixL7T4fCl_001 | 7eNfvVcOTTJixL7T4fCl | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน (เยอรมัน: Schlacht im Hürtgenwald) เป็นหนึ่งในการสู้รบอย่างดุเดือด ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน ถึง วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1944 ระหว่างกองทัพอเมริกันและกองทัพเยอรมันบนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในป่าเฮือร์ทเกิน พื้นที่ประมาณ 140 ตารางกิโลเมตร (54 ตารางไมล์) ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร (3.1 ไมล์) บนทางด้านตะวันออกของชายแดนเบลเยียม-เยอรมนี [1]มันเป็นการสู้รบที่ยาวนานที่สุดบนพื้นที่ของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและเป็นการสู้รบเพียงลำพังที่ยาวนานที่สุดที่กองทัพสหรัฐเคยสู้รบ | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน สู้รบวันที่เท่าไร | {
"text": [
"19 กันยายน ถึง วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1944"
],
"answer_start": [
106
],
"answer_end": [
148
]
} |
7eNfvVcOTTJixL7T4fCl_002 | 7eNfvVcOTTJixL7T4fCl | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน (เยอรมัน: Schlacht im Hürtgenwald) เป็นหนึ่งในการสู้รบอย่างดุเดือด ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน ถึง วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1944 ระหว่างกองทัพอเมริกันและกองทัพเยอรมันบนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในป่าเฮือร์ทเกิน พื้นที่ประมาณ 140 ตารางกิโลเมตร (54 ตารางไมล์) ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร (3.1 ไมล์) บนทางด้านตะวันออกของชายแดนเบลเยียม-เยอรมนี [1]มันเป็นการสู้รบที่ยาวนานที่สุดบนพื้นที่ของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและเป็นการสู้รบเพียงลำพังที่ยาวนานที่สุดที่กองทัพสหรัฐเคยสู้รบ | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน รบกันระหว่างกองทัพอะไร | {
"text": [
"กองทัพอเมริกันและกองทัพเยอรมัน"
],
"answer_start": [
156
],
"answer_end": [
186
]
} |
7eNfvVcOTTJixL7T4fCl_003 | 7eNfvVcOTTJixL7T4fCl | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน (เยอรมัน: Schlacht im Hürtgenwald) เป็นหนึ่งในการสู้รบอย่างดุเดือด ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน ถึง วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1944 ระหว่างกองทัพอเมริกันและกองทัพเยอรมันบนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในป่าเฮือร์ทเกิน พื้นที่ประมาณ 140 ตารางกิโลเมตร (54 ตารางไมล์) ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร (3.1 ไมล์) บนทางด้านตะวันออกของชายแดนเบลเยียม-เยอรมนี [1]มันเป็นการสู้รบที่ยาวนานที่สุดบนพื้นที่ของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและเป็นการสู้รบเพียงลำพังที่ยาวนานที่สุดที่กองทัพสหรัฐเคยสู้รบ | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน รบกันบนแนวรบอะไร | {
"text": [
"แนวรบด้านตะวันตกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง"
],
"answer_start": [
188
],
"answer_end": [
230
]
} |
7eNfvVcOTTJixL7T4fCl_004 | 7eNfvVcOTTJixL7T4fCl | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน (เยอรมัน: Schlacht im Hürtgenwald) เป็นหนึ่งในการสู้รบอย่างดุเดือด ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน ถึง วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1944 ระหว่างกองทัพอเมริกันและกองทัพเยอรมันบนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในป่าเฮือร์ทเกิน พื้นที่ประมาณ 140 ตารางกิโลเมตร (54 ตารางไมล์) ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร (3.1 ไมล์) บนทางด้านตะวันออกของชายแดนเบลเยียม-เยอรมนี [1]มันเป็นการสู้รบที่ยาวนานที่สุดบนพื้นที่ของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและเป็นการสู้รบเพียงลำพังที่ยาวนานที่สุดที่กองทัพสหรัฐเคยสู้รบ | ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน พิ้นที่ทำการรบกี่ตารางกิโลเมตร | {
"text": [
"140 ตารางกิโลเมตร"
],
"answer_start": [
261
],
"answer_end": [
278
]
} |
7eSdV7s66MzmDWYz5mxJ_000 | 7eSdV7s66MzmDWYz5mxJ | ปลาตะกรับ | ปลาตะกรับ (อังกฤษ: Spotted scats, Green scats, Common scats, Argusfishes; ชื่อวิทยาศาสตร์: Scatophagus argus) ปลาน้ำเค็มชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะกรับ (Scatophagidae) มีรูปร่างสั้น ด้านข้างแบนและกว้างมาก หัวทู่ ปากเล็ก หางมน เกล็ดเป็นแบบสากขนาดเล็ก สีพื้นลำตัวมีสีแตกต่างกันมากอาจเป็นสีเขียว, สีเทาหรือสีน้ำตาล ครึ่งบนของลำตัวสีเข้มกว่าและมีแถบสีเทาเข้มหรือดำพาดขวางหลายแนวและแตกเป็นจุดที่ด้านล่างหรือเป็นแต้มเป็นจุดทั่วตัวดูล้ายเสือดาว ครีบต่าง ๆ มีสีเหลืองอ่อนอมเทา
ปลาตัวผู้จะมีหน้าผากโหนกนูนกว่าตัวเมียแต่ขนาดลำตัวจะเล็กกว่าเล็กน้อย เส้นก้านครีบหลังชิ้นที่ 4 จะยาวที่สุด ขณะที่ตัวเมียเส้นก้านครีบหลังเส้นที่ 3 จะยาวที่สุด ก้านครีบแข็งที่หลังรวมถึงที่ท้องมีความแข็งและมีพิษแบบอ่อน ๆ เป็นอันตรายได้เมื่อไปสัมผัสถูกก่อให้เกิดความเจ็บปวด บริเวณส่วนหัวของตัวเมียบางตัวจะเป็นสีแดง โดยลักษณะดังกล่าวจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อปลามีความยาวมากกว่า 4 นิ้วขึ้นไป ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 38 เซนติเมตร
ปลาตะกรับเป็นปลาทะเลที่สามารถปรับตัวให้อาศัยอยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดสนิทได้ โดยปกติจะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลใกล้ปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน มีการกระจายพันธุ์กว้างขวางตั้งแต่ตะวันออกกลาง, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียตะวันออกไปจนถึงเขตโอเชียเนีย
สำหรับปลาในบางพื้นที่มีความหลากหลายทางสีมาก เช่น ปลาบางกลุ่มจะมีลายพาดสีดำเห็นชัดเจนตั้งแต่ส่วนหัว และลำตัวมีสีแดงเข้มจนเห็นได้ชัด ถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยที่มีชื่อเรียกว่า "ปลาตะกรับหน้าแดง" (S. a. var. rubifrons)
เป็นปลาที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่ม กินอาหารได้ทั้งพืชน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็ก นิยมตกเป็นเกมกีฬาและใช้รับประทานเป็นอาหารเป็นที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะในภาคใต้ สามารถนำไปปรุงเป็นแกงส้มแต่เมื่อรับประทานต้องระวังก้านครีบ นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามอีกด้วย โดยในที่เลี้ยง ปลาตะกรับเป็นปลาที่สามารถทำความสะอาดตู้ได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถกินตะไคร่น้ำและสาหร่ายบางชนิดได้ แต่เป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าวพอสมควร ปัจจุบันกรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วด้วยวิธีการผสมเทียม โดยฤดูผสมพันธุ์มีตั้งแต่เดือนสิงหาคม-พฤษภาคม ของอีกปีหนึ่ง
ชื่ออื่น ๆ เรียกว่า "ปลากระทะ" หรือ "ปลาแปบลาย" ในภาษาใต้เรียกว่า "ปลาขี้ตัง" และชื่อในแวดวงปลาสวยงามจะเรียกว่า "ปลาเสือดาว" ตามลักษณะลวดลายบนลำตัว แต่ปลาตะกรับมีครีบหลังและครีบก้นที่มีหนามแหลม ซึ่งอาจแทงถูกมือมนุษย์ได้ โดยมักจะเกิดขึ้นเมื่อปลดปลาออกจากเครื่องมือประมง แต่ก่อให้เกิดพิษน้อยมาก | ปลาตะกรับมีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่าอย่างไร | {
"text": [
"ชื่อวิทยาศาสตร์: Scatophagus argus"
],
"answer_start": [
74
],
"answer_end": [
108
]
} |
7eSdV7s66MzmDWYz5mxJ_001 | 7eSdV7s66MzmDWYz5mxJ | ปลาตะกรับ | ปลาตะกรับ (อังกฤษ: Spotted scats, Green scats, Common scats, Argusfishes; ชื่อวิทยาศาสตร์: Scatophagus argus) ปลาน้ำเค็มชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะกรับ (Scatophagidae) มีรูปร่างสั้น ด้านข้างแบนและกว้างมาก หัวทู่ ปากเล็ก หางมน เกล็ดเป็นแบบสากขนาดเล็ก สีพื้นลำตัวมีสีแตกต่างกันมากอาจเป็นสีเขียว, สีเทาหรือสีน้ำตาล ครึ่งบนของลำตัวสีเข้มกว่าและมีแถบสีเทาเข้มหรือดำพาดขวางหลายแนวและแตกเป็นจุดที่ด้านล่างหรือเป็นแต้มเป็นจุดทั่วตัวดูล้ายเสือดาว ครีบต่าง ๆ มีสีเหลืองอ่อนอมเทา
ปลาตัวผู้จะมีหน้าผากโหนกนูนกว่าตัวเมียแต่ขนาดลำตัวจะเล็กกว่าเล็กน้อย เส้นก้านครีบหลังชิ้นที่ 4 จะยาวที่สุด ขณะที่ตัวเมียเส้นก้านครีบหลังเส้นที่ 3 จะยาวที่สุด ก้านครีบแข็งที่หลังรวมถึงที่ท้องมีความแข็งและมีพิษแบบอ่อน ๆ เป็นอันตรายได้เมื่อไปสัมผัสถูกก่อให้เกิดความเจ็บปวด บริเวณส่วนหัวของตัวเมียบางตัวจะเป็นสีแดง โดยลักษณะดังกล่าวจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อปลามีความยาวมากกว่า 4 นิ้วขึ้นไป ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 38 เซนติเมตร
ปลาตะกรับเป็นปลาทะเลที่สามารถปรับตัวให้อาศัยอยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดสนิทได้ โดยปกติจะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลใกล้ปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน มีการกระจายพันธุ์กว้างขวางตั้งแต่ตะวันออกกลาง, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียตะวันออกไปจนถึงเขตโอเชียเนีย
สำหรับปลาในบางพื้นที่มีความหลากหลายทางสีมาก เช่น ปลาบางกลุ่มจะมีลายพาดสีดำเห็นชัดเจนตั้งแต่ส่วนหัว และลำตัวมีสีแดงเข้มจนเห็นได้ชัด ถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยที่มีชื่อเรียกว่า "ปลาตะกรับหน้าแดง" (S. a. var. rubifrons)
เป็นปลาที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่ม กินอาหารได้ทั้งพืชน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็ก นิยมตกเป็นเกมกีฬาและใช้รับประทานเป็นอาหารเป็นที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะในภาคใต้ สามารถนำไปปรุงเป็นแกงส้มแต่เมื่อรับประทานต้องระวังก้านครีบ นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามอีกด้วย โดยในที่เลี้ยง ปลาตะกรับเป็นปลาที่สามารถทำความสะอาดตู้ได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถกินตะไคร่น้ำและสาหร่ายบางชนิดได้ แต่เป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าวพอสมควร ปัจจุบันกรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วด้วยวิธีการผสมเทียม โดยฤดูผสมพันธุ์มีตั้งแต่เดือนสิงหาคม-พฤษภาคม ของอีกปีหนึ่ง
ชื่ออื่น ๆ เรียกว่า "ปลากระทะ" หรือ "ปลาแปบลาย" ในภาษาใต้เรียกว่า "ปลาขี้ตัง" และชื่อในแวดวงปลาสวยงามจะเรียกว่า "ปลาเสือดาว" ตามลักษณะลวดลายบนลำตัว แต่ปลาตะกรับมีครีบหลังและครีบก้นที่มีหนามแหลม ซึ่งอาจแทงถูกมือมนุษย์ได้ โดยมักจะเกิดขึ้นเมื่อปลดปลาออกจากเครื่องมือประมง แต่ก่อให้เกิดพิษน้อยมาก | ปลาตะกรับนั้นเป็นปลาน้ำเค็มที่จัดอยู่ในวงศ์ใด | {
"text": [
"วงศ์ปลาตะกรับ (Scatophagidae)"
],
"answer_start": [
132
],
"answer_end": [
161
]
} |
7eSdV7s66MzmDWYz5mxJ_003 | 7eSdV7s66MzmDWYz5mxJ | ปลาตะกรับ | ปลาตะกรับ (อังกฤษ: Spotted scats, Green scats, Common scats, Argusfishes; ชื่อวิทยาศาสตร์: Scatophagus argus) ปลาน้ำเค็มชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะกรับ (Scatophagidae) มีรูปร่างสั้น ด้านข้างแบนและกว้างมาก หัวทู่ ปากเล็ก หางมน เกล็ดเป็นแบบสากขนาดเล็ก สีพื้นลำตัวมีสีแตกต่างกันมากอาจเป็นสีเขียว, สีเทาหรือสีน้ำตาล ครึ่งบนของลำตัวสีเข้มกว่าและมีแถบสีเทาเข้มหรือดำพาดขวางหลายแนวและแตกเป็นจุดที่ด้านล่างหรือเป็นแต้มเป็นจุดทั่วตัวดูล้ายเสือดาว ครีบต่าง ๆ มีสีเหลืองอ่อนอมเทา
ปลาตัวผู้จะมีหน้าผากโหนกนูนกว่าตัวเมียแต่ขนาดลำตัวจะเล็กกว่าเล็กน้อย เส้นก้านครีบหลังชิ้นที่ 4 จะยาวที่สุด ขณะที่ตัวเมียเส้นก้านครีบหลังเส้นที่ 3 จะยาวที่สุด ก้านครีบแข็งที่หลังรวมถึงที่ท้องมีความแข็งและมีพิษแบบอ่อน ๆ เป็นอันตรายได้เมื่อไปสัมผัสถูกก่อให้เกิดความเจ็บปวด บริเวณส่วนหัวของตัวเมียบางตัวจะเป็นสีแดง โดยลักษณะดังกล่าวจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อปลามีความยาวมากกว่า 4 นิ้วขึ้นไป ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 38 เซนติเมตร
ปลาตะกรับเป็นปลาทะเลที่สามารถปรับตัวให้อาศัยอยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดสนิทได้ โดยปกติจะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลใกล้ปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน มีการกระจายพันธุ์กว้างขวางตั้งแต่ตะวันออกกลาง, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียตะวันออกไปจนถึงเขตโอเชียเนีย
สำหรับปลาในบางพื้นที่มีความหลากหลายทางสีมาก เช่น ปลาบางกลุ่มจะมีลายพาดสีดำเห็นชัดเจนตั้งแต่ส่วนหัว และลำตัวมีสีแดงเข้มจนเห็นได้ชัด ถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยที่มีชื่อเรียกว่า "ปลาตะกรับหน้าแดง" (S. a. var. rubifrons)
เป็นปลาที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่ม กินอาหารได้ทั้งพืชน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็ก นิยมตกเป็นเกมกีฬาและใช้รับประทานเป็นอาหารเป็นที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะในภาคใต้ สามารถนำไปปรุงเป็นแกงส้มแต่เมื่อรับประทานต้องระวังก้านครีบ นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามอีกด้วย โดยในที่เลี้ยง ปลาตะกรับเป็นปลาที่สามารถทำความสะอาดตู้ได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถกินตะไคร่น้ำและสาหร่ายบางชนิดได้ แต่เป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าวพอสมควร ปัจจุบันกรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วด้วยวิธีการผสมเทียม โดยฤดูผสมพันธุ์มีตั้งแต่เดือนสิงหาคม-พฤษภาคม ของอีกปีหนึ่ง
ชื่ออื่น ๆ เรียกว่า "ปลากระทะ" หรือ "ปลาแปบลาย" ในภาษาใต้เรียกว่า "ปลาขี้ตัง" และชื่อในแวดวงปลาสวยงามจะเรียกว่า "ปลาเสือดาว" ตามลักษณะลวดลายบนลำตัว แต่ปลาตะกรับมีครีบหลังและครีบก้นที่มีหนามแหลม ซึ่งอาจแทงถูกมือมนุษย์ได้ โดยมักจะเกิดขึ้นเมื่อปลดปลาออกจากเครื่องมือประมง แต่ก่อให้เกิดพิษน้อยมาก | ปลาตะกรับมีช่วงฤดูผสมพันธุ์ตั้งแต่เดือนอะไร ถึงเดือนอะไร | {
"text": [
"ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-พฤษภาคม"
],
"answer_start": [
1819
],
"answer_end": [
1846
]
} |
7fX22S8CPP1B1fDDc40A_001 | 7fX22S8CPP1B1fDDc40A | การวัดเวลา | การวัดเวลา
เวลา (Time) เป็นหนึ่งในปริมาณพื้นฐานซึ่งมีอยู่น้อยนิด ปริมาณมูลฐานเหล่านี้ไม่สามารถถูกนิยามได้จากปริมาณอื่น ๆ ด้วยเพราะความเป็นพื้นฐานที่สุดของปริมาณต่าง ๆ ที่เรารู้ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องวัดปริมาณเหล่านี้แทนการนิยาม ในอดีตประมาณ 2000 ปี ก่อนคริสตกาล อารยธรรมสุเมเรียนได้ใช้ระบบเลขฐานหกสิบ (sexagesimal) เป็นหลักในการวัดเวลาในบางปริมาณ เช่น 60 วินาที เท่ากับ 1 นาที และ 60 นาที เท่ากับ 1 ชั่วโมง ทว่าบางปริมาณก็ยึดเลข 12 และ 24 เป็นหลัก คือชั่วโมง ซึ่ง 12 ชั่วโมง เท่ากับ 1 กลางวัน (โดยประมาณ) และ 1 กลางคืน (โดยประมาณ) และ 24 ชั่วโมง เท่ากับ 1 วัน ซึ่งเราก็ได้ใช้ระบบที่ชาวสุเมเรียนคิดไว้มาจนถึงปัจจุบันนี้
ในอดีต มีการใช้นาฬิกาแดด ซึ่งประกอบด้วยแท่งวัตถุรูปสามเหลี่ยม (gnomon) ซึ่งจะทำให้เกิดเงาบนขีดที่ขีดไว้บนแท่นของนาฬิกาแดด แต่นาฬิกาแดดต้องอาศัยการปรับเทียบกับละติจูด จึงจะสามารถบอกเวลาท้องถิ่นได้ถูกต้อง นักเขียนในอดีตนามว่า ไกอุส ไพลนิอุส เซกันดุส (Gaius Plinius Secundus) ชาวอิตาลี บันทึกว่านาฬิกาแดดเรือนแรกในกรุงโรมถูกปล้นมาจากเมืองกาตาเนีย (Catania) ที่เกาะซิซิลี (Sicily) ทางตอนใต้ของอิตาลี เมื่อ 264 ปี ก่อนคริสตกาล แต่ให้เวลาไม่ถูกต้อง จนกระทั่งมีการปรับเทียบกับละติจูดของกรุงโรมเมื่อ 164 ปี ก่อนคริสตกาล[6] จากนั้น จึงมีการยึดเวลาเที่ยงตรง คือเวลาที่เงาของนาฬิกาแดดสั้นที่สุดเป็นเวลาเปิดศาลสถิตยุติธรรมในกรุงโรม
เครื่องมือวัดเวลาอีกชนิดหนึ่งที่แม่นยำก็คือ นาฬิกาน้ำ ซึ่งคิดค้นครั้งแรกในอียิปต์ ต่อมาก็เป็นที่แพร่หลายเนื่องจากสามารถใช้วัดเวลาในตอนกลางคืนได้ ทว่าต้องมียามรักษาเวลาคอยเติมน้ำมิให้พร่องอยู่เสมอ กล่าวกันว่า เพลโต ได้ประดิษฐ์นาฬิกาน้ำสำหรับปลุกนักเรียนของเขาให้ตื่นขึ้น โดยอาศัยหลักการเติมน้ำลงในภาชนะทรงกระบอก โดยในภาชนะนั้นจะมีภาชนะใส่ลูกตะกั่วหลาย ๆ ลูก ซึ่งถ้าน้ำมีมากจนล้น ลูกตะกั่วก็จะตกลงใส่ถาดทองแดง เกิดเสียงดังขึ้น
เครื่องมือวัดเวลาอีกชนิดหนึ่งคือ นาฬิกาทราย นิยมใช้ในการสำรวจเป็นระยะทางไกล ๆ เพราะพกพาง่าย ไม่คลาดเคลื่อน เฟอร์ดินันด์ มาเจลลัน นักสำรวจชาวโปรตุเกส ได้ใช้นาฬิกาชนิดนี้ในการสำรวจของเขามาแล้ว ธูป หรือเทียน สามารถที่จะใช้เป็นนาฬิกาได้ โดยเฉพาะก่อนที่จะมีนาฬิกาที่มีกลไกที่ชัดเจนดังเช่นในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน เราใช้นาฬิกาแบบมีกลไก ซึ่งก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น ใช้ไฟฟ้า สปริง หรือลูกตุ้ม ขับเคลื่อนเข็มนาฬิกาให้บอกเวลาได้ ทั้งนี้ยังต้องมีโครโนมิเตอร์ (chronometer) สำหรับปรับเทียบเวลา โดยเฉพาะนาฬิกาข้อมือแบบใช้กลไก ในปัจจุบัน นาฬิกาที่แม่นยำที่สุดก็คือ นาฬิกาอะตอม ซึ่งใช้ปรับเทียบนาฬิกาชนิดอื่น ๆ และรักษาเวลามาตรฐาน
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ปัจจุบันเราสามารถใช้ระบบชี้ตำแหน่งบนผิวโลก (global positioning system) ร่วมกับโพรโทคอลเวลาเครือข่าย (network time protocol) เพื่อช่วยให้การรักษาเวลาทั่วโลกเป็นไปในทางเดียวกัน | เครื่องมือวัดเวลา ที่แม่นยำอีกชนิดคือ | {
"text": [
"นาฬิกาน้ำ "
],
"answer_start": [
1285
],
"answer_end": [
1295
]
} |
7hSXoHF1E9KtvbU1LUTg_000 | 7hSXoHF1E9KtvbU1LUTg | ปลาซิวควายข้างเงิน | ปลาซิวควายข้างเงิน (อังกฤษ: Silver rasbora) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rasbora argyrotaenia อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาซิวควาย (R. torieri) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันมาก เป็นปลาผิวน้ำ ชอบอยู่กันเป็นฝูง ลำตัวยาวเรียว ว่ายน้ำได้ปราดเปรียวว่องไว ข้างลำตัวมีแถบสีเงิน และสีเหลืองสดอมส้มพาดคู่ขนานไปกับแถบสีเงินตามยาวลำตัว พบในแหล่งน้ำนิ่งและน้ำไหล พบอยู่ทั่วทุกภาค กินอาหารได้แก่ ลูกน้ำ ตัวอ่อนของแมลง และแมลงน้ำ รวมทั้งแมลงที่บินตามผิวน้ำ มีขนาดความยาวตั้งแต่ 5 เซนติเมตร ถึง 17 เซนติเมตร
นิยมบริโภคด้วยการปรุงสด ตากแห้งและทำปลาร้า และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม | ปลาซิวควายข้างเงินมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าอย่างไีร | {
"text": [
"ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rasbora argyrotaenia"
],
"answer_start": [
69
],
"answer_end": [
108
]
} |
7hSXoHF1E9KtvbU1LUTg_001 | 7hSXoHF1E9KtvbU1LUTg | ปลาซิวควายข้างเงิน | ปลาซิวควายข้างเงิน (อังกฤษ: Silver rasbora) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rasbora argyrotaenia อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาซิวควาย (R. torieri) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันมาก เป็นปลาผิวน้ำ ชอบอยู่กันเป็นฝูง ลำตัวยาวเรียว ว่ายน้ำได้ปราดเปรียวว่องไว ข้างลำตัวมีแถบสีเงิน และสีเหลืองสดอมส้มพาดคู่ขนานไปกับแถบสีเงินตามยาวลำตัว พบในแหล่งน้ำนิ่งและน้ำไหล พบอยู่ทั่วทุกภาค กินอาหารได้แก่ ลูกน้ำ ตัวอ่อนของแมลง และแมลงน้ำ รวมทั้งแมลงที่บินตามผิวน้ำ มีขนาดความยาวตั้งแต่ 5 เซนติเมตร ถึง 17 เซนติเมตร
นิยมบริโภคด้วยการปรุงสด ตากแห้งและทำปลาร้า และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม | ปลาซิวควายข้างเงินจัดว่าเป็นปลาที่อยู่วงศ์ใด | {
"text": [
"วงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae)"
],
"answer_start": [
115
],
"answer_end": [
142
]
} |
7hSXoHF1E9KtvbU1LUTg_002 | 7hSXoHF1E9KtvbU1LUTg | ปลาซิวควายข้างเงิน | ปลาซิวควายข้างเงิน (อังกฤษ: Silver rasbora) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rasbora argyrotaenia อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาซิวควาย (R. torieri) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันมาก เป็นปลาผิวน้ำ ชอบอยู่กันเป็นฝูง ลำตัวยาวเรียว ว่ายน้ำได้ปราดเปรียวว่องไว ข้างลำตัวมีแถบสีเงิน และสีเหลืองสดอมส้มพาดคู่ขนานไปกับแถบสีเงินตามยาวลำตัว พบในแหล่งน้ำนิ่งและน้ำไหล พบอยู่ทั่วทุกภาค กินอาหารได้แก่ ลูกน้ำ ตัวอ่อนของแมลง และแมลงน้ำ รวมทั้งแมลงที่บินตามผิวน้ำ มีขนาดความยาวตั้งแต่ 5 เซนติเมตร ถึง 17 เซนติเมตร
นิยมบริโภคด้วยการปรุงสด ตากแห้งและทำปลาร้า และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม | ปลาซิวควายข้างเงินมีรูปร่างเป็นอย่างไรอธิบายพอความเข้าใจ | {
"text": [
"ข้างลำตัวมีแถบสีเงิน และสีเหลืองสดอมส้มพาดคู่ขนานไปกับแถบสีเงินตามยาวลำตัว"
],
"answer_start": [
280
],
"answer_end": [
354
]
} |
7hSXoHF1E9KtvbU1LUTg_003 | 7hSXoHF1E9KtvbU1LUTg | ปลาซิวควายข้างเงิน | ปลาซิวควายข้างเงิน (อังกฤษ: Silver rasbora) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rasbora argyrotaenia อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาซิวควาย (R. torieri) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันมาก เป็นปลาผิวน้ำ ชอบอยู่กันเป็นฝูง ลำตัวยาวเรียว ว่ายน้ำได้ปราดเปรียวว่องไว ข้างลำตัวมีแถบสีเงิน และสีเหลืองสดอมส้มพาดคู่ขนานไปกับแถบสีเงินตามยาวลำตัว พบในแหล่งน้ำนิ่งและน้ำไหล พบอยู่ทั่วทุกภาค กินอาหารได้แก่ ลูกน้ำ ตัวอ่อนของแมลง และแมลงน้ำ รวมทั้งแมลงที่บินตามผิวน้ำ มีขนาดความยาวตั้งแต่ 5 เซนติเมตร ถึง 17 เซนติเมตร
นิยมบริโภคด้วยการปรุงสด ตากแห้งและทำปลาร้า และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม | ปลาซิวควายข้างเงินมีขนาดตัวเต็มที่กี่เซนติเมตร | {
"text": [
"มีขนาดความยาวตั้งแต่ 5 เซนติเมตร ถึง 17 เซนติเมตร"
],
"answer_start": [
473
],
"answer_end": [
522
]
} |
7hSXoHF1E9KtvbU1LUTg_004 | 7hSXoHF1E9KtvbU1LUTg | ปลาซิวควายข้างเงิน | ปลาซิวควายข้างเงิน (อังกฤษ: Silver rasbora) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rasbora argyrotaenia อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาซิวควาย (R. torieri) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันมาก เป็นปลาผิวน้ำ ชอบอยู่กันเป็นฝูง ลำตัวยาวเรียว ว่ายน้ำได้ปราดเปรียวว่องไว ข้างลำตัวมีแถบสีเงิน และสีเหลืองสดอมส้มพาดคู่ขนานไปกับแถบสีเงินตามยาวลำตัว พบในแหล่งน้ำนิ่งและน้ำไหล พบอยู่ทั่วทุกภาค กินอาหารได้แก่ ลูกน้ำ ตัวอ่อนของแมลง และแมลงน้ำ รวมทั้งแมลงที่บินตามผิวน้ำ มีขนาดความยาวตั้งแต่ 5 เซนติเมตร ถึง 17 เซนติเมตร
นิยมบริโภคด้วยการปรุงสด ตากแห้งและทำปลาร้า และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม | ปลาซิวควายข้างเงินมีชื่อทางสามัญว่าอย่างไร | {
"text": [
"Silver rasbora"
],
"answer_start": [
28
],
"answer_end": [
42
]
} |
7hlV2O0FgdsYKZJDyPlD_000 | 7hlV2O0FgdsYKZJDyPlD | จัง เหิง | จัง เหิง (จีนตัวย่อ: 张衡; จีนตัวเต็ม: 張衡; พินอิน: Zhāng Héng; เวด-ไจลส์: Chang Hêng; อังกฤษ: Zhang Heng; ค.ศ. 78, มณฑลเหอหนาน - ค.ศ. 139, ลั่วหยาง) ปราชญ์ชาวจีน นักพรต สังฆราชศาสนาเต๋า ในราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เป็นบุคคลผู้มีความรู้ในหลายๆ ด้านสาขา ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์หรือวรรณคดี | จัง เหิง เกิดขึ้นปีค.ศ อะไร | {
"text": [
"ค.ศ. 78"
],
"answer_start": [
104
],
"answer_end": [
111
]
} |
7hlV2O0FgdsYKZJDyPlD_001 | 7hlV2O0FgdsYKZJDyPlD | จัง เหิง | จัง เหิง (จีนตัวย่อ: 张衡; จีนตัวเต็ม: 張衡; พินอิน: Zhāng Héng; เวด-ไจลส์: Chang Hêng; อังกฤษ: Zhang Heng; ค.ศ. 78, มณฑลเหอหนาน - ค.ศ. 139, ลั่วหยาง) ปราชญ์ชาวจีน นักพรต สังฆราชศาสนาเต๋า ในราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เป็นบุคคลผู้มีความรู้ในหลายๆ ด้านสาขา ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์หรือวรรณคดี | จัง เหิง เสียชีวิตปีค.ศ อะไร | {
"text": [
"ค.ศ. 139"
],
"answer_start": [
127
],
"answer_end": [
135
]
} |
7hlV2O0FgdsYKZJDyPlD_002 | 7hlV2O0FgdsYKZJDyPlD | จัง เหิง | จัง เหิง (จีนตัวย่อ: 张衡; จีนตัวเต็ม: 張衡; พินอิน: Zhāng Héng; เวด-ไจลส์: Chang Hêng; อังกฤษ: Zhang Heng; ค.ศ. 78, มณฑลเหอหนาน - ค.ศ. 139, ลั่วหยาง) ปราชญ์ชาวจีน นักพรต สังฆราชศาสนาเต๋า ในราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เป็นบุคคลผู้มีความรู้ในหลายๆ ด้านสาขา ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์หรือวรรณคดี | จัง เหิง เกิดขึ้นที่ไหน | {
"text": [
"มณฑลเหอหนาน"
],
"answer_start": [
113
],
"answer_end": [
124
]
} |
7hlV2O0FgdsYKZJDyPlD_004 | 7hlV2O0FgdsYKZJDyPlD | จัง เหิง | จัง เหิง (จีนตัวย่อ: 张衡; จีนตัวเต็ม: 張衡; พินอิน: Zhāng Héng; เวด-ไจลส์: Chang Hêng; อังกฤษ: Zhang Heng; ค.ศ. 78, มณฑลเหอหนาน - ค.ศ. 139, ลั่วหยาง) ปราชญ์ชาวจีน นักพรต สังฆราชศาสนาเต๋า ในราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เป็นบุคคลผู้มีความรู้ในหลายๆ ด้านสาขา ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์หรือวรรณคดี | จัง เหิง อยู่ราชวงศ์อะไร | {
"text": [
"ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก"
],
"answer_start": [
186
],
"answer_end": [
205
]
} |
7k2T2phlxdHCmX1172D3_000 | 7k2T2phlxdHCmX1172D3 | ภาษาเอิร์สยา | ภาษาเอิร์สยา มีผู้พูด 360,000 คนทางเหนือและทางตะวนออกของสาธารณรัฐมอร์โดเวียในประเทศรัสเซียและบริเวณใกล้เคียง เขียนด้วยอักษรซีริลลิก อยู่ในตระกูลฟินโน-ยูริก | ภาษาเอิร์สยา มีผู้พูดกี่คน | {
"text": [
"360,000 คน"
],
"answer_start": [
22
],
"answer_end": [
32
]
} |
7k2T2phlxdHCmX1172D3_001 | 7k2T2phlxdHCmX1172D3 | ภาษาเอิร์สยา | ภาษาเอิร์สยา มีผู้พูด 360,000 คนทางเหนือและทางตะวนออกของสาธารณรัฐมอร์โดเวียในประเทศรัสเซียและบริเวณใกล้เคียง เขียนด้วยอักษรซีริลลิก อยู่ในตระกูลฟินโน-ยูริก | ภาษาเอิร์สยา อยู่ในตระกูลอะไร | {
"text": [
"ตระกูลฟินโน-ยูริก"
],
"answer_start": [
138
],
"answer_end": [
155
]
} |
7k2T2phlxdHCmX1172D3_002 | 7k2T2phlxdHCmX1172D3 | ภาษาเอิร์สยา | ภาษาเอิร์สยา มีผู้พูด 360,000 คนทางเหนือและทางตะวนออกของสาธารณรัฐมอร์โดเวียในประเทศรัสเซียและบริเวณใกล้เคียง เขียนด้วยอักษรซีริลลิก อยู่ในตระกูลฟินโน-ยูริก | ภาษาเอิร์สยา อยู่รัฐอะไร | {
"text": [
"สาธารณรัฐมอร์โดเวีย"
],
"answer_start": [
56
],
"answer_end": [
75
]
} |
7k2T2phlxdHCmX1172D3_003 | 7k2T2phlxdHCmX1172D3 | ภาษาเอิร์สยา | ภาษาเอิร์สยา มีผู้พูด 360,000 คนทางเหนือและทางตะวนออกของสาธารณรัฐมอร์โดเวียในประเทศรัสเซียและบริเวณใกล้เคียง เขียนด้วยอักษรซีริลลิก อยู่ในตระกูลฟินโน-ยูริก | ภาษาเอิร์สยา อยู่ประเทศอะไร | {
"text": [
"ประเทศรัสเซีย"
],
"answer_start": [
77
],
"answer_end": [
90
]
} |
7k2T2phlxdHCmX1172D3_004 | 7k2T2phlxdHCmX1172D3 | ภาษาเอิร์สยา | ภาษาเอิร์สยา มีผู้พูด 360,000 คนทางเหนือและทางตะวนออกของสาธารณรัฐมอร์โดเวียในประเทศรัสเซียและบริเวณใกล้เคียง เขียนด้วยอักษรซีริลลิก อยู่ในตระกูลฟินโน-ยูริก | ภาษาเอิร์สยา เขียนด้วยอักษรอะไร | {
"text": [
"อักษรซีริลลิก"
],
"answer_start": [
118
],
"answer_end": [
131
]
} |
7krwjseVXkmDLoxSk7KL_000 | 7krwjseVXkmDLoxSk7KL | ต้นคูน | ต้นคูน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia fistula L.
วงศ์ : Leguminosae
ชื่อสามัญ : Golden Shower Tree/ Purging Cassia
ชื่ออื่น : ราชพฤกษ์ ลมแล้ง
ลักษณะ : ไม้ยืนต้น สูง 5-15 เมตร ใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ใบย่อยรูปไข่หรือรูปวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 7-12 ซม. ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง ห้อยเป็นโคมระย้า กลีบดอกสีเหลือง ผลเป็นฝักกลม สีน้ำตาลเข้มหรือดำ เปลือกแข็ง ผิวเรียบ ภายในมีผนังกั้นเป็นห้อง แต่ละห้องมีเมล็ด 1 เมล็ด หุ้มด้วยเนื้อสีดำเหนียว
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้เนื้อหุ้มเมล็ดแก้ท้องผูก ขับเสมหะ ดอกแก้ไข้ เป็นยาระบาย แก่นขับพยาธิไส้เดือน พบว่าเนื้อหุ้มเมล็ดมีสารกลุ่มแอนทราควิโนน จึงมีสรรพคุณเป็นยาระบาย โดยนำเนื้อหุ้มเมล็ดซึ่งมีสีดำเหนียว ขนาดก้อนเท่าหัวแม่มือ (ประมาณ 4 กรัม) ต้มกับน้ำ ใส่เกลือเล็กน้อย ดื่มก่อนน้ำ ดื่มก่อนนอน มีข้อควรระวังเช่นเดียวกับชุมเห็ดเทศ | ต้นคูนมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าอย่างไร | {
"text": [
"ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia fistula L."
],
"answer_start": [
8
],
"answer_end": [
43
]
} |
7krwjseVXkmDLoxSk7KL_001 | 7krwjseVXkmDLoxSk7KL | ต้นคูน | ต้นคูน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia fistula L.
วงศ์ : Leguminosae
ชื่อสามัญ : Golden Shower Tree/ Purging Cassia
ชื่ออื่น : ราชพฤกษ์ ลมแล้ง
ลักษณะ : ไม้ยืนต้น สูง 5-15 เมตร ใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ใบย่อยรูปไข่หรือรูปวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 7-12 ซม. ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง ห้อยเป็นโคมระย้า กลีบดอกสีเหลือง ผลเป็นฝักกลม สีน้ำตาลเข้มหรือดำ เปลือกแข็ง ผิวเรียบ ภายในมีผนังกั้นเป็นห้อง แต่ละห้องมีเมล็ด 1 เมล็ด หุ้มด้วยเนื้อสีดำเหนียว
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้เนื้อหุ้มเมล็ดแก้ท้องผูก ขับเสมหะ ดอกแก้ไข้ เป็นยาระบาย แก่นขับพยาธิไส้เดือน พบว่าเนื้อหุ้มเมล็ดมีสารกลุ่มแอนทราควิโนน จึงมีสรรพคุณเป็นยาระบาย โดยนำเนื้อหุ้มเมล็ดซึ่งมีสีดำเหนียว ขนาดก้อนเท่าหัวแม่มือ (ประมาณ 4 กรัม) ต้มกับน้ำ ใส่เกลือเล็กน้อย ดื่มก่อนน้ำ ดื่มก่อนนอน มีข้อควรระวังเช่นเดียวกับชุมเห็ดเทศ | ต้นคูนเป็นต้นไม้จัดอยู่ในวงศ์ของพรรณไม้ชนิดใด | {
"text": [
"วงศ์ : Leguminosae"
],
"answer_start": [
45
],
"answer_end": [
63
]
} |
7m51gRNvH7KwvbJk90e2_000 | 7m51gRNvH7KwvbJk90e2 | กุกบุยโป้ว | กุกบุยโป้ว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Drynaria roosii; จีน: 骨碎補, "กู่ซุ่ยปู่" หรือ "กุกบุยโป้ว" ในภาษาจีนแต้จิ๋ว) เป็นเฟินชนิดหนึ่งในวงศ์ Polypodiaceae เป็นพืชท้องถิ่นในเอเชียตะวันออก รวมทั้งจีนตะวันออก ภายนอกเป็นสีแดงอมน้ำตาล มีเกล็ดเล็กคล้ายขนอ่อนปกคลุมทั่วไป ด้านในเป็นสีแดงอมน้ำตาล ใช้เป็นยาในแพทย์แผนจีน ในเอเชียนิยมอ้างถึงพืชชนิดนี้ด้วยชื่อพ้อง Drynaria fortunei[1] รากใช้ทำยาบำรุงกระดูก บำรุงไตแก้ปวด แก้อักเสบ[2] สารออกฤทธิ์ที่สำคัญในเหง้าคือ Flavan-3-ol และpropelargonidin[3] | ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของกุกบุยโป้วคืออะไร | {
"text": [
"Drynaria roosii"
],
"answer_start": [
29
],
"answer_end": [
44
]
} |
7m51gRNvH7KwvbJk90e2_001 | 7m51gRNvH7KwvbJk90e2 | กุกบุยโป้ว | กุกบุยโป้ว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Drynaria roosii; จีน: 骨碎補, "กู่ซุ่ยปู่" หรือ "กุกบุยโป้ว" ในภาษาจีนแต้จิ๋ว) เป็นเฟินชนิดหนึ่งในวงศ์ Polypodiaceae เป็นพืชท้องถิ่นในเอเชียตะวันออก รวมทั้งจีนตะวันออก ภายนอกเป็นสีแดงอมน้ำตาล มีเกล็ดเล็กคล้ายขนอ่อนปกคลุมทั่วไป ด้านในเป็นสีแดงอมน้ำตาล ใช้เป็นยาในแพทย์แผนจีน ในเอเชียนิยมอ้างถึงพืชชนิดนี้ด้วยชื่อพ้อง Drynaria fortunei[1] รากใช้ทำยาบำรุงกระดูก บำรุงไตแก้ปวด แก้อักเสบ[2] สารออกฤทธิ์ที่สำคัญในเหง้าคือ Flavan-3-ol และpropelargonidin[3] | กุกบุยโป้วมีสีอะไร | {
"text": [
"สีแดงอมน้ำตาล"
],
"answer_start": [
204
],
"answer_end": [
217
]
} |
7nNLUjZq20W1cqgJLjXE_000 | 7nNLUjZq20W1cqgJLjXE | เลตอิตบี | เลตอิตบี (อังกฤษ: Let It Be) เป็นผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 12 และเป็นสตูดิโอลำดับสุดท้ายของวงร็อกอังกฤษ เดอะบีตเทิลส์ ออกขายเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1970 ภายใต้สังกัดแอปเปิล หลังจากนั้นไม่นานวงได้ประกาศแยกวง
เพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้ม เลตอิตบี บันทึกเสียงเดือนมกราคม 1969 ก่อนที่จะบันทึกเสียงและออกอัลบั้ม Abbey Road เสียอีก แต่ด้วยเหตุผลบางประการจึงไม่ได้ออก นักวิจารณ์และแฟนบางคนอย่าง มาร์ก เลวิสโอห์น แย้งว่า Abbey Road ควรจะถือว่าเป็นอัลบั้มชุดสุดท้ายของวง เลตอิตบี เดิมตั้งใจไว้ว่าจะออกก่อนอัลบั้ม Abbey Road แต่แล้วกลางปี 1969 ตั้งชื่อไว้ว่า Get Back แต่เนื่องจากเดอะบีตเทิลส์ไม่พอใจกับผลงานอัลบั้มนี้ ที่มิกซ์และรวบรวมโดยกลีน จอห์นส แล้วเวอร์ชันใหม่ที่สร้างสรรค์จากเทปสตูดิโอโดยฟิล สเปกเตอร์ในปี 1970 จนออกมาในชุด เลตอิตบี ในที่สุด | เลตอิตบี เป็นผลงานชุดอัมบั้มที่เท่าไร | {
"text": [
"12"
],
"answer_start": [
59
],
"answer_end": [
61
]
} |
7nNLUjZq20W1cqgJLjXE_001 | 7nNLUjZq20W1cqgJLjXE | เลตอิตบี | เลตอิตบี (อังกฤษ: Let It Be) เป็นผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 12 และเป็นสตูดิโอลำดับสุดท้ายของวงร็อกอังกฤษ เดอะบีตเทิลส์ ออกขายเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1970 ภายใต้สังกัดแอปเปิล หลังจากนั้นไม่นานวงได้ประกาศแยกวง
เพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้ม เลตอิตบี บันทึกเสียงเดือนมกราคม 1969 ก่อนที่จะบันทึกเสียงและออกอัลบั้ม Abbey Road เสียอีก แต่ด้วยเหตุผลบางประการจึงไม่ได้ออก นักวิจารณ์และแฟนบางคนอย่าง มาร์ก เลวิสโอห์น แย้งว่า Abbey Road ควรจะถือว่าเป็นอัลบั้มชุดสุดท้ายของวง เลตอิตบี เดิมตั้งใจไว้ว่าจะออกก่อนอัลบั้ม Abbey Road แต่แล้วกลางปี 1969 ตั้งชื่อไว้ว่า Get Back แต่เนื่องจากเดอะบีตเทิลส์ไม่พอใจกับผลงานอัลบั้มนี้ ที่มิกซ์และรวบรวมโดยกลีน จอห์นส แล้วเวอร์ชันใหม่ที่สร้างสรรค์จากเทปสตูดิโอโดยฟิล สเปกเตอร์ในปี 1970 จนออกมาในชุด เลตอิตบี ในที่สุด | เลตอิตบี เป็นลำดับที่เท่าไรของวง | {
"text": [
"สุดท้ายของวงร็อกอังกฤษ"
],
"answer_start": [
81
],
"answer_end": [
103
]
} |
7nNLUjZq20W1cqgJLjXE_002 | 7nNLUjZq20W1cqgJLjXE | เลตอิตบี | เลตอิตบี (อังกฤษ: Let It Be) เป็นผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 12 และเป็นสตูดิโอลำดับสุดท้ายของวงร็อกอังกฤษ เดอะบีตเทิลส์ ออกขายเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1970 ภายใต้สังกัดแอปเปิล หลังจากนั้นไม่นานวงได้ประกาศแยกวง
เพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้ม เลตอิตบี บันทึกเสียงเดือนมกราคม 1969 ก่อนที่จะบันทึกเสียงและออกอัลบั้ม Abbey Road เสียอีก แต่ด้วยเหตุผลบางประการจึงไม่ได้ออก นักวิจารณ์และแฟนบางคนอย่าง มาร์ก เลวิสโอห์น แย้งว่า Abbey Road ควรจะถือว่าเป็นอัลบั้มชุดสุดท้ายของวง เลตอิตบี เดิมตั้งใจไว้ว่าจะออกก่อนอัลบั้ม Abbey Road แต่แล้วกลางปี 1969 ตั้งชื่อไว้ว่า Get Back แต่เนื่องจากเดอะบีตเทิลส์ไม่พอใจกับผลงานอัลบั้มนี้ ที่มิกซ์และรวบรวมโดยกลีน จอห์นส แล้วเวอร์ชันใหม่ที่สร้างสรรค์จากเทปสตูดิโอโดยฟิล สเปกเตอร์ในปี 1970 จนออกมาในชุด เลตอิตบี ในที่สุด | เลตอิตบี ออกขายเมื่อวันที่เท่าไร | {
"text": [
"8 พฤษภาคม ค.ศ. 1970 "
],
"answer_start": [
136
],
"answer_end": [
156
]
} |
7nNLUjZq20W1cqgJLjXE_003 | 7nNLUjZq20W1cqgJLjXE | เลตอิตบี | เลตอิตบี (อังกฤษ: Let It Be) เป็นผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 12 และเป็นสตูดิโอลำดับสุดท้ายของวงร็อกอังกฤษ เดอะบีตเทิลส์ ออกขายเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1970 ภายใต้สังกัดแอปเปิล หลังจากนั้นไม่นานวงได้ประกาศแยกวง
เพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้ม เลตอิตบี บันทึกเสียงเดือนมกราคม 1969 ก่อนที่จะบันทึกเสียงและออกอัลบั้ม Abbey Road เสียอีก แต่ด้วยเหตุผลบางประการจึงไม่ได้ออก นักวิจารณ์และแฟนบางคนอย่าง มาร์ก เลวิสโอห์น แย้งว่า Abbey Road ควรจะถือว่าเป็นอัลบั้มชุดสุดท้ายของวง เลตอิตบี เดิมตั้งใจไว้ว่าจะออกก่อนอัลบั้ม Abbey Road แต่แล้วกลางปี 1969 ตั้งชื่อไว้ว่า Get Back แต่เนื่องจากเดอะบีตเทิลส์ไม่พอใจกับผลงานอัลบั้มนี้ ที่มิกซ์และรวบรวมโดยกลีน จอห์นส แล้วเวอร์ชันใหม่ที่สร้างสรรค์จากเทปสตูดิโอโดยฟิล สเปกเตอร์ในปี 1970 จนออกมาในชุด เลตอิตบี ในที่สุด | เลตอิตบี อยู่ภายใต้สังกัดของใคร | {
"text": [
"สังกัดแอปเปิล"
],
"answer_start": [
162
],
"answer_end": [
175
]
} |
7nNLUjZq20W1cqgJLjXE_004 | 7nNLUjZq20W1cqgJLjXE | เลตอิตบี | เลตอิตบี (อังกฤษ: Let It Be) เป็นผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 12 และเป็นสตูดิโอลำดับสุดท้ายของวงร็อกอังกฤษ เดอะบีตเทิลส์ ออกขายเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1970 ภายใต้สังกัดแอปเปิล หลังจากนั้นไม่นานวงได้ประกาศแยกวง
เพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้ม เลตอิตบี บันทึกเสียงเดือนมกราคม 1969 ก่อนที่จะบันทึกเสียงและออกอัลบั้ม Abbey Road เสียอีก แต่ด้วยเหตุผลบางประการจึงไม่ได้ออก นักวิจารณ์และแฟนบางคนอย่าง มาร์ก เลวิสโอห์น แย้งว่า Abbey Road ควรจะถือว่าเป็นอัลบั้มชุดสุดท้ายของวง เลตอิตบี เดิมตั้งใจไว้ว่าจะออกก่อนอัลบั้ม Abbey Road แต่แล้วกลางปี 1969 ตั้งชื่อไว้ว่า Get Back แต่เนื่องจากเดอะบีตเทิลส์ไม่พอใจกับผลงานอัลบั้มนี้ ที่มิกซ์และรวบรวมโดยกลีน จอห์นส แล้วเวอร์ชันใหม่ที่สร้างสรรค์จากเทปสตูดิโอโดยฟิล สเปกเตอร์ในปี 1970 จนออกมาในชุด เลตอิตบี ในที่สุด | เลตอิตบี บันทึกเสียงเมื่อไร | {
"text": [
"เดือนมกราคม 1969"
],
"answer_start": [
253
],
"answer_end": [
269
]
} |
7nvv7sX6jm2LhzeWpYtj_000 | 7nvv7sX6jm2LhzeWpYtj | เดอะเฟซเมนไทยแลนด์ ซีซัน 2 | เดอะเฟซเมนไทยแลนด์ ซีซัน 2 (อังกฤษ: The Face Men Thailand (season2)) รายการเรียลลิตีเพื่อค้นหาสุดยอดนายแบบ และนักแสดง โดยมี หมู อาซาว่า, พิม ซอนย่า และ โทนี่ รากแก่น เป็นเมนเทอร์ในรายการ[4]
ในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561 ได้มีการแถลงข่าวเปิดตัวรายการอย่างเป็นทางการ ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งได้มีการเปิดตัวเมนเทอร์คนใหม่ของซีซันนี้ ได้แก่ ซอนย่า คูลลิ่ง และ โทนี่ รากแก่น ส่วน พลพัฒน์ อัศวะประภา ยังคงเป็นเมนเทอร์ต่อไป นอกจากนี้ยังมี อองตวน ปินโต มารับหน้าที่เป็นพิธีกรคนใหม่ของรายการ[4] พร้อมเปิดตัว เมทินี กิ่งโพยม ซึ่งจะมาเป็น มาสเตอร์ เมนเทอร์ เมนเทอร์พิเศษในซีซันนี้[5] โดยรายการกำหนดออกอากาศครั้งแรกในวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม ปีเดียวกัน[4]
ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561 ก็ได้ผู้ชนะคนที่สองของรายการคือ ลูอิส เมซา | เดอะเฟซเมนไทยแลนด์ ซีซัน 2 เป็นรายการอะไร | {
"text": [
"รายการเรียลลิตี"
],
"answer_start": [
69
],
"answer_end": [
84
]
} |
7nvv7sX6jm2LhzeWpYtj_003 | 7nvv7sX6jm2LhzeWpYtj | เดอะเฟซเมนไทยแลนด์ ซีซัน 2 | เดอะเฟซเมนไทยแลนด์ ซีซัน 2 (อังกฤษ: The Face Men Thailand (season2)) รายการเรียลลิตีเพื่อค้นหาสุดยอดนายแบบ และนักแสดง โดยมี หมู อาซาว่า, พิม ซอนย่า และ โทนี่ รากแก่น เป็นเมนเทอร์ในรายการ[4]
ในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561 ได้มีการแถลงข่าวเปิดตัวรายการอย่างเป็นทางการ ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งได้มีการเปิดตัวเมนเทอร์คนใหม่ของซีซันนี้ ได้แก่ ซอนย่า คูลลิ่ง และ โทนี่ รากแก่น ส่วน พลพัฒน์ อัศวะประภา ยังคงเป็นเมนเทอร์ต่อไป นอกจากนี้ยังมี อองตวน ปินโต มารับหน้าที่เป็นพิธีกรคนใหม่ของรายการ[4] พร้อมเปิดตัว เมทินี กิ่งโพยม ซึ่งจะมาเป็น มาสเตอร์ เมนเทอร์ เมนเทอร์พิเศษในซีซันนี้[5] โดยรายการกำหนดออกอากาศครั้งแรกในวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม ปีเดียวกัน[4]
ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561 ก็ได้ผู้ชนะคนที่สองของรายการคือ ลูอิส เมซา | เดอะเฟซเมนไทยแลนด์ ซีซัน 2 เปิดตัวรายการเมื่อวันที่เท่าไร | {
"text": [
"24 กันยายน พ.ศ. 2561"
],
"answer_start": [
200
],
"answer_end": [
220
]
} |
7nvv7sX6jm2LhzeWpYtj_004 | 7nvv7sX6jm2LhzeWpYtj | เดอะเฟซเมนไทยแลนด์ ซีซัน 2 | เดอะเฟซเมนไทยแลนด์ ซีซัน 2 (อังกฤษ: The Face Men Thailand (season2)) รายการเรียลลิตีเพื่อค้นหาสุดยอดนายแบบ และนักแสดง โดยมี หมู อาซาว่า, พิม ซอนย่า และ โทนี่ รากแก่น เป็นเมนเทอร์ในรายการ[4]
ในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561 ได้มีการแถลงข่าวเปิดตัวรายการอย่างเป็นทางการ ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งได้มีการเปิดตัวเมนเทอร์คนใหม่ของซีซันนี้ ได้แก่ ซอนย่า คูลลิ่ง และ โทนี่ รากแก่น ส่วน พลพัฒน์ อัศวะประภา ยังคงเป็นเมนเทอร์ต่อไป นอกจากนี้ยังมี อองตวน ปินโต มารับหน้าที่เป็นพิธีกรคนใหม่ของรายการ[4] พร้อมเปิดตัว เมทินี กิ่งโพยม ซึ่งจะมาเป็น มาสเตอร์ เมนเทอร์ เมนเทอร์พิเศษในซีซันนี้[5] โดยรายการกำหนดออกอากาศครั้งแรกในวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม ปีเดียวกัน[4]
ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561 ก็ได้ผู้ชนะคนที่สองของรายการคือ ลูอิส เมซา | เดอะเฟซเมนไทยแลนด์ ซีซัน 2 ได้มีการแถลงข่าวเปิดตัวรายการอย่างเป็นทางการ ณ ศูนย์การค้าอะไร | {
"text": [
"ศูนย์การค้าสยามพารากอน"
],
"answer_start": [
268
],
"answer_end": [
290
]
} |
7qchja5oSpOEYHbor4Ja_000 | 7qchja5oSpOEYHbor4Ja | ออสติน มาโฮน | ออสติน คาร์เตอร์ มาโฮน (อังกฤษ: Austin Carter Mahone) หรือที่รู้จักในชื่อของ ออสติน มาโฮน เกิดวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 เวลา 10.14 นาที เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงป็อป ชาวอเมริกัน เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Young Money Entertainment, Cash Money Records และ Republic Records.
ชีวิตส่วนตัว
ออสติน มาโฮน เกิดที่เมือง แซนแอนโทนีโอ, รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง เมื่อเขาอายุได้เพียง 1 ขวบ 4 เดือนเท่านั้น ออสตินเลยได้รับการเลี้ยงดูจาก มิเชลล์ มาโฮน (อังกฤษ: Michelle Mahone) แม่เพียงคนเดียวของเขา และต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนมัธยมเลดี้เบิร์ดจอห์นสัน (อังกฤษ: Lady Bird Johnson High School) ออสตินกับเพื่อนของเขา Alex Constancio เริ่มโพสต์วิดีโอลงยูทูปครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 และต่อมาได้โพสต์มิวสิควิดีโอในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 และเขาก็ได้สร้างโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่ออัปเดตข่าวสาร ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง ออสตินได้โพสต์วิดีโอที่เขาโคฟเวอร์เพลง Mistltoe ของ จัสติน บีเบอร์ ผู้คนมากมายได้เข้ามาดูโคฟเวอร์ของเขา ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้รับฉายาว่าเป็น Second Coming Of Justin Bieber
เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 ชื่อของออสตินได้ปรากฏใน Billboard Social 50 chart ในลำดับที่ 38 นับว่าออสตินเป็นบุคคลที่มีอายุที่น้อยสุดที่มีชื่อปรากฏในชาร์ตนี้ และได้อันดับที่ 28 ในวันที่ 2 ธันวาคม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 ออสตินมีผู้ติดตามในทวิตเตอร์กว่า 780,000 คน และผู้ติดตามในยูทูปกว่า 350,000 คน
ซิงเกิลแรกของเขาที่มีชื่อว่า '11:11' ขึ้นสู่ลำดับที่ 19 Billboard Heatseekers Songs chart และในวันที่ 5 มกราคม 2012 ออสตินได้ปล่อยซิงเกิลที่ 2 'say somethin' ซึ่งได้ขึ้นสู่ลำดับที่ 34 ของ Billboard Pop Songs chart วันที่ 21 มิถุนายน 2012 ออสตินได้ไปให้สัมภาษณ์กับ Elvis Duran ในรายการ Morning Show เป็นครั้งแรก และเขาก็ได้พบกับ จัสติน บีเบอร์ ที่อยู่ที่นั่นพอดี
วันที่ 28 สิงหาคม 2012 ออสตินได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงดัง Chase/Universal Republic Records ในปี 2013 ออสตินก็ได้เป็น 1 ในศิลปินที่ได้ทัวร์ MTV's Artists To Watch และออสตินก็ยังได้รับเลือกให้เป็นศิลปินที่เล่นเปิดคอนเสิร์ตให้กับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ใน Red Tour คอนเสิร์ตอีกด้วย
| ออสติน มาโฮน ชื่อเต็ม | {
"text": [
"ออสติน คาร์เตอร์ มาโฮน (อังกฤษ: Austin Carter Mahone)"
],
"answer_start": [
0
],
"answer_end": [
53
]
} |
7qchja5oSpOEYHbor4Ja_001 | 7qchja5oSpOEYHbor4Ja | ออสติน มาโฮน | ออสติน คาร์เตอร์ มาโฮน (อังกฤษ: Austin Carter Mahone) หรือที่รู้จักในชื่อของ ออสติน มาโฮน เกิดวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 เวลา 10.14 นาที เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงป็อป ชาวอเมริกัน เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Young Money Entertainment, Cash Money Records และ Republic Records.
ชีวิตส่วนตัว
ออสติน มาโฮน เกิดที่เมือง แซนแอนโทนีโอ, รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง เมื่อเขาอายุได้เพียง 1 ขวบ 4 เดือนเท่านั้น ออสตินเลยได้รับการเลี้ยงดูจาก มิเชลล์ มาโฮน (อังกฤษ: Michelle Mahone) แม่เพียงคนเดียวของเขา และต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนมัธยมเลดี้เบิร์ดจอห์นสัน (อังกฤษ: Lady Bird Johnson High School) ออสตินกับเพื่อนของเขา Alex Constancio เริ่มโพสต์วิดีโอลงยูทูปครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 และต่อมาได้โพสต์มิวสิควิดีโอในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 และเขาก็ได้สร้างโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่ออัปเดตข่าวสาร ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง ออสตินได้โพสต์วิดีโอที่เขาโคฟเวอร์เพลง Mistltoe ของ จัสติน บีเบอร์ ผู้คนมากมายได้เข้ามาดูโคฟเวอร์ของเขา ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้รับฉายาว่าเป็น Second Coming Of Justin Bieber
เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 ชื่อของออสตินได้ปรากฏใน Billboard Social 50 chart ในลำดับที่ 38 นับว่าออสตินเป็นบุคคลที่มีอายุที่น้อยสุดที่มีชื่อปรากฏในชาร์ตนี้ และได้อันดับที่ 28 ในวันที่ 2 ธันวาคม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 ออสตินมีผู้ติดตามในทวิตเตอร์กว่า 780,000 คน และผู้ติดตามในยูทูปกว่า 350,000 คน
ซิงเกิลแรกของเขาที่มีชื่อว่า '11:11' ขึ้นสู่ลำดับที่ 19 Billboard Heatseekers Songs chart และในวันที่ 5 มกราคม 2012 ออสตินได้ปล่อยซิงเกิลที่ 2 'say somethin' ซึ่งได้ขึ้นสู่ลำดับที่ 34 ของ Billboard Pop Songs chart วันที่ 21 มิถุนายน 2012 ออสตินได้ไปให้สัมภาษณ์กับ Elvis Duran ในรายการ Morning Show เป็นครั้งแรก และเขาก็ได้พบกับ จัสติน บีเบอร์ ที่อยู่ที่นั่นพอดี
วันที่ 28 สิงหาคม 2012 ออสตินได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงดัง Chase/Universal Republic Records ในปี 2013 ออสตินก็ได้เป็น 1 ในศิลปินที่ได้ทัวร์ MTV's Artists To Watch และออสตินก็ยังได้รับเลือกให้เป็นศิลปินที่เล่นเปิดคอนเสิร์ตให้กับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ใน Red Tour คอนเสิร์ตอีกด้วย
| ออสติน มาโฮน เกิดวันที่เท่าไหร่ | {
"text": [
"4 เมษายน ค.ศ. 1996"
],
"answer_start": [
101
],
"answer_end": [
119
]
} |
7qchja5oSpOEYHbor4Ja_002 | 7qchja5oSpOEYHbor4Ja | ออสติน มาโฮน | ออสติน คาร์เตอร์ มาโฮน (อังกฤษ: Austin Carter Mahone) หรือที่รู้จักในชื่อของ ออสติน มาโฮน เกิดวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 เวลา 10.14 นาที เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงป็อป ชาวอเมริกัน เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Young Money Entertainment, Cash Money Records และ Republic Records.
ชีวิตส่วนตัว
ออสติน มาโฮน เกิดที่เมือง แซนแอนโทนีโอ, รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง เมื่อเขาอายุได้เพียง 1 ขวบ 4 เดือนเท่านั้น ออสตินเลยได้รับการเลี้ยงดูจาก มิเชลล์ มาโฮน (อังกฤษ: Michelle Mahone) แม่เพียงคนเดียวของเขา และต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนมัธยมเลดี้เบิร์ดจอห์นสัน (อังกฤษ: Lady Bird Johnson High School) ออสตินกับเพื่อนของเขา Alex Constancio เริ่มโพสต์วิดีโอลงยูทูปครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 และต่อมาได้โพสต์มิวสิควิดีโอในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 และเขาก็ได้สร้างโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่ออัปเดตข่าวสาร ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง ออสตินได้โพสต์วิดีโอที่เขาโคฟเวอร์เพลง Mistltoe ของ จัสติน บีเบอร์ ผู้คนมากมายได้เข้ามาดูโคฟเวอร์ของเขา ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้รับฉายาว่าเป็น Second Coming Of Justin Bieber
เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 ชื่อของออสตินได้ปรากฏใน Billboard Social 50 chart ในลำดับที่ 38 นับว่าออสตินเป็นบุคคลที่มีอายุที่น้อยสุดที่มีชื่อปรากฏในชาร์ตนี้ และได้อันดับที่ 28 ในวันที่ 2 ธันวาคม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 ออสตินมีผู้ติดตามในทวิตเตอร์กว่า 780,000 คน และผู้ติดตามในยูทูปกว่า 350,000 คน
ซิงเกิลแรกของเขาที่มีชื่อว่า '11:11' ขึ้นสู่ลำดับที่ 19 Billboard Heatseekers Songs chart และในวันที่ 5 มกราคม 2012 ออสตินได้ปล่อยซิงเกิลที่ 2 'say somethin' ซึ่งได้ขึ้นสู่ลำดับที่ 34 ของ Billboard Pop Songs chart วันที่ 21 มิถุนายน 2012 ออสตินได้ไปให้สัมภาษณ์กับ Elvis Duran ในรายการ Morning Show เป็นครั้งแรก และเขาก็ได้พบกับ จัสติน บีเบอร์ ที่อยู่ที่นั่นพอดี
วันที่ 28 สิงหาคม 2012 ออสตินได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงดัง Chase/Universal Republic Records ในปี 2013 ออสตินก็ได้เป็น 1 ในศิลปินที่ได้ทัวร์ MTV's Artists To Watch และออสตินก็ยังได้รับเลือกให้เป็นศิลปินที่เล่นเปิดคอนเสิร์ตให้กับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ใน Red Tour คอนเสิร์ตอีกด้วย
| เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง | {
"text": [
"Young Money Entertainment, Cash Money Records และ Republic Records."
],
"answer_start": [
203
],
"answer_end": [
270
]
} |
7qchja5oSpOEYHbor4Ja_003 | 7qchja5oSpOEYHbor4Ja | ออสติน มาโฮน | ออสติน คาร์เตอร์ มาโฮน (อังกฤษ: Austin Carter Mahone) หรือที่รู้จักในชื่อของ ออสติน มาโฮน เกิดวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 เวลา 10.14 นาที เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงป็อป ชาวอเมริกัน เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Young Money Entertainment, Cash Money Records และ Republic Records.
ชีวิตส่วนตัว
ออสติน มาโฮน เกิดที่เมือง แซนแอนโทนีโอ, รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง เมื่อเขาอายุได้เพียง 1 ขวบ 4 เดือนเท่านั้น ออสตินเลยได้รับการเลี้ยงดูจาก มิเชลล์ มาโฮน (อังกฤษ: Michelle Mahone) แม่เพียงคนเดียวของเขา และต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนมัธยมเลดี้เบิร์ดจอห์นสัน (อังกฤษ: Lady Bird Johnson High School) ออสตินกับเพื่อนของเขา Alex Constancio เริ่มโพสต์วิดีโอลงยูทูปครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 และต่อมาได้โพสต์มิวสิควิดีโอในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 และเขาก็ได้สร้างโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่ออัปเดตข่าวสาร ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง ออสตินได้โพสต์วิดีโอที่เขาโคฟเวอร์เพลง Mistltoe ของ จัสติน บีเบอร์ ผู้คนมากมายได้เข้ามาดูโคฟเวอร์ของเขา ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้รับฉายาว่าเป็น Second Coming Of Justin Bieber
เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 ชื่อของออสตินได้ปรากฏใน Billboard Social 50 chart ในลำดับที่ 38 นับว่าออสตินเป็นบุคคลที่มีอายุที่น้อยสุดที่มีชื่อปรากฏในชาร์ตนี้ และได้อันดับที่ 28 ในวันที่ 2 ธันวาคม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 ออสตินมีผู้ติดตามในทวิตเตอร์กว่า 780,000 คน และผู้ติดตามในยูทูปกว่า 350,000 คน
ซิงเกิลแรกของเขาที่มีชื่อว่า '11:11' ขึ้นสู่ลำดับที่ 19 Billboard Heatseekers Songs chart และในวันที่ 5 มกราคม 2012 ออสตินได้ปล่อยซิงเกิลที่ 2 'say somethin' ซึ่งได้ขึ้นสู่ลำดับที่ 34 ของ Billboard Pop Songs chart วันที่ 21 มิถุนายน 2012 ออสตินได้ไปให้สัมภาษณ์กับ Elvis Duran ในรายการ Morning Show เป็นครั้งแรก และเขาก็ได้พบกับ จัสติน บีเบอร์ ที่อยู่ที่นั่นพอดี
วันที่ 28 สิงหาคม 2012 ออสตินได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงดัง Chase/Universal Republic Records ในปี 2013 ออสตินก็ได้เป็น 1 ในศิลปินที่ได้ทัวร์ MTV's Artists To Watch และออสตินก็ยังได้รับเลือกให้เป็นศิลปินที่เล่นเปิดคอนเสิร์ตให้กับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ใน Red Tour คอนเสิร์ตอีกด้วย
| ออสติน มาโฮน เกิดที่เมือง | {
"text": [
"แซนแอนโทนีโอ, รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา"
],
"answer_start": [
310
],
"answer_end": [
348
]
} |
7qchja5oSpOEYHbor4Ja_004 | 7qchja5oSpOEYHbor4Ja | ออสติน มาโฮน | ออสติน คาร์เตอร์ มาโฮน (อังกฤษ: Austin Carter Mahone) หรือที่รู้จักในชื่อของ ออสติน มาโฮน เกิดวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 เวลา 10.14 นาที เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงป็อป ชาวอเมริกัน เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Young Money Entertainment, Cash Money Records และ Republic Records.
ชีวิตส่วนตัว
ออสติน มาโฮน เกิดที่เมือง แซนแอนโทนีโอ, รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง เมื่อเขาอายุได้เพียง 1 ขวบ 4 เดือนเท่านั้น ออสตินเลยได้รับการเลี้ยงดูจาก มิเชลล์ มาโฮน (อังกฤษ: Michelle Mahone) แม่เพียงคนเดียวของเขา และต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนมัธยมเลดี้เบิร์ดจอห์นสัน (อังกฤษ: Lady Bird Johnson High School) ออสตินกับเพื่อนของเขา Alex Constancio เริ่มโพสต์วิดีโอลงยูทูปครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 และต่อมาได้โพสต์มิวสิควิดีโอในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 และเขาก็ได้สร้างโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่ออัปเดตข่าวสาร ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง ออสตินได้โพสต์วิดีโอที่เขาโคฟเวอร์เพลง Mistltoe ของ จัสติน บีเบอร์ ผู้คนมากมายได้เข้ามาดูโคฟเวอร์ของเขา ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้รับฉายาว่าเป็น Second Coming Of Justin Bieber
เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 ชื่อของออสตินได้ปรากฏใน Billboard Social 50 chart ในลำดับที่ 38 นับว่าออสตินเป็นบุคคลที่มีอายุที่น้อยสุดที่มีชื่อปรากฏในชาร์ตนี้ และได้อันดับที่ 28 ในวันที่ 2 ธันวาคม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 ออสตินมีผู้ติดตามในทวิตเตอร์กว่า 780,000 คน และผู้ติดตามในยูทูปกว่า 350,000 คน
ซิงเกิลแรกของเขาที่มีชื่อว่า '11:11' ขึ้นสู่ลำดับที่ 19 Billboard Heatseekers Songs chart และในวันที่ 5 มกราคม 2012 ออสตินได้ปล่อยซิงเกิลที่ 2 'say somethin' ซึ่งได้ขึ้นสู่ลำดับที่ 34 ของ Billboard Pop Songs chart วันที่ 21 มิถุนายน 2012 ออสตินได้ไปให้สัมภาษณ์กับ Elvis Duran ในรายการ Morning Show เป็นครั้งแรก และเขาก็ได้พบกับ จัสติน บีเบอร์ ที่อยู่ที่นั่นพอดี
วันที่ 28 สิงหาคม 2012 ออสตินได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงดัง Chase/Universal Republic Records ในปี 2013 ออสตินก็ได้เป็น 1 ในศิลปินที่ได้ทัวร์ MTV's Artists To Watch และออสตินก็ยังได้รับเลือกให้เป็นศิลปินที่เล่นเปิดคอนเสิร์ตให้กับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ใน Red Tour คอนเสิร์ตอีกด้วย
| พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง เมื่อเขาอายุได้เพียง | {
"text": [
"1 ขวบ 4 เดือน"
],
"answer_start": [
420
],
"answer_end": [
433
]
} |
7qchja5oSpOEYHbor4Ja_005 | 7qchja5oSpOEYHbor4Ja | ออสติน มาโฮน | ออสติน คาร์เตอร์ มาโฮน (อังกฤษ: Austin Carter Mahone) หรือที่รู้จักในชื่อของ ออสติน มาโฮน เกิดวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 เวลา 10.14 นาที เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงป็อป ชาวอเมริกัน เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Young Money Entertainment, Cash Money Records และ Republic Records.
ชีวิตส่วนตัว
ออสติน มาโฮน เกิดที่เมือง แซนแอนโทนีโอ, รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง เมื่อเขาอายุได้เพียง 1 ขวบ 4 เดือนเท่านั้น ออสตินเลยได้รับการเลี้ยงดูจาก มิเชลล์ มาโฮน (อังกฤษ: Michelle Mahone) แม่เพียงคนเดียวของเขา และต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนมัธยมเลดี้เบิร์ดจอห์นสัน (อังกฤษ: Lady Bird Johnson High School) ออสตินกับเพื่อนของเขา Alex Constancio เริ่มโพสต์วิดีโอลงยูทูปครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 และต่อมาได้โพสต์มิวสิควิดีโอในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 และเขาก็ได้สร้างโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่ออัปเดตข่าวสาร ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง ออสตินได้โพสต์วิดีโอที่เขาโคฟเวอร์เพลง Mistltoe ของ จัสติน บีเบอร์ ผู้คนมากมายได้เข้ามาดูโคฟเวอร์ของเขา ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้รับฉายาว่าเป็น Second Coming Of Justin Bieber
เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 ชื่อของออสตินได้ปรากฏใน Billboard Social 50 chart ในลำดับที่ 38 นับว่าออสตินเป็นบุคคลที่มีอายุที่น้อยสุดที่มีชื่อปรากฏในชาร์ตนี้ และได้อันดับที่ 28 ในวันที่ 2 ธันวาคม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 ออสตินมีผู้ติดตามในทวิตเตอร์กว่า 780,000 คน และผู้ติดตามในยูทูปกว่า 350,000 คน
ซิงเกิลแรกของเขาที่มีชื่อว่า '11:11' ขึ้นสู่ลำดับที่ 19 Billboard Heatseekers Songs chart และในวันที่ 5 มกราคม 2012 ออสตินได้ปล่อยซิงเกิลที่ 2 'say somethin' ซึ่งได้ขึ้นสู่ลำดับที่ 34 ของ Billboard Pop Songs chart วันที่ 21 มิถุนายน 2012 ออสตินได้ไปให้สัมภาษณ์กับ Elvis Duran ในรายการ Morning Show เป็นครั้งแรก และเขาก็ได้พบกับ จัสติน บีเบอร์ ที่อยู่ที่นั่นพอดี
วันที่ 28 สิงหาคม 2012 ออสตินได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงดัง Chase/Universal Republic Records ในปี 2013 ออสตินก็ได้เป็น 1 ในศิลปินที่ได้ทัวร์ MTV's Artists To Watch และออสตินก็ยังได้รับเลือกให้เป็นศิลปินที่เล่นเปิดคอนเสิร์ตให้กับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ใน Red Tour คอนเสิร์ตอีกด้วย
| ออสตินเลยได้รับการเลี้ยงดูจาก | {
"text": [
"มิเชลล์ มาโฮน (อังกฤษ: Michelle Mahone) แม่เพียงคนเดียวของเขา "
],
"answer_start": [
472
],
"answer_end": [
534
]
} |
7qchja5oSpOEYHbor4Ja_006 | 7qchja5oSpOEYHbor4Ja | ออสติน มาโฮน | ออสติน คาร์เตอร์ มาโฮน (อังกฤษ: Austin Carter Mahone) หรือที่รู้จักในชื่อของ ออสติน มาโฮน เกิดวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 เวลา 10.14 นาที เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงป็อป ชาวอเมริกัน เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Young Money Entertainment, Cash Money Records และ Republic Records.
ชีวิตส่วนตัว
ออสติน มาโฮน เกิดที่เมือง แซนแอนโทนีโอ, รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง เมื่อเขาอายุได้เพียง 1 ขวบ 4 เดือนเท่านั้น ออสตินเลยได้รับการเลี้ยงดูจาก มิเชลล์ มาโฮน (อังกฤษ: Michelle Mahone) แม่เพียงคนเดียวของเขา และต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนมัธยมเลดี้เบิร์ดจอห์นสัน (อังกฤษ: Lady Bird Johnson High School) ออสตินกับเพื่อนของเขา Alex Constancio เริ่มโพสต์วิดีโอลงยูทูปครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 และต่อมาได้โพสต์มิวสิควิดีโอในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 และเขาก็ได้สร้างโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่ออัปเดตข่าวสาร ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง ออสตินได้โพสต์วิดีโอที่เขาโคฟเวอร์เพลง Mistltoe ของ จัสติน บีเบอร์ ผู้คนมากมายได้เข้ามาดูโคฟเวอร์ของเขา ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้รับฉายาว่าเป็น Second Coming Of Justin Bieber
เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 ชื่อของออสตินได้ปรากฏใน Billboard Social 50 chart ในลำดับที่ 38 นับว่าออสตินเป็นบุคคลที่มีอายุที่น้อยสุดที่มีชื่อปรากฏในชาร์ตนี้ และได้อันดับที่ 28 ในวันที่ 2 ธันวาคม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 ออสตินมีผู้ติดตามในทวิตเตอร์กว่า 780,000 คน และผู้ติดตามในยูทูปกว่า 350,000 คน
ซิงเกิลแรกของเขาที่มีชื่อว่า '11:11' ขึ้นสู่ลำดับที่ 19 Billboard Heatseekers Songs chart และในวันที่ 5 มกราคม 2012 ออสตินได้ปล่อยซิงเกิลที่ 2 'say somethin' ซึ่งได้ขึ้นสู่ลำดับที่ 34 ของ Billboard Pop Songs chart วันที่ 21 มิถุนายน 2012 ออสตินได้ไปให้สัมภาษณ์กับ Elvis Duran ในรายการ Morning Show เป็นครั้งแรก และเขาก็ได้พบกับ จัสติน บีเบอร์ ที่อยู่ที่นั่นพอดี
วันที่ 28 สิงหาคม 2012 ออสตินได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงดัง Chase/Universal Republic Records ในปี 2013 ออสตินก็ได้เป็น 1 ในศิลปินที่ได้ทัวร์ MTV's Artists To Watch และออสตินก็ยังได้รับเลือกให้เป็นศิลปินที่เล่นเปิดคอนเสิร์ตให้กับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ใน Red Tour คอนเสิร์ตอีกด้วย
| เข้าเรียนที่ โรงเรียนมัธยมใด | {
"text": [
"เลดี้เบิร์ดจอห์นสัน (อังกฤษ: Lady Bird Johnson High School) "
],
"answer_start": [
574
],
"answer_end": [
634
]
} |
7qchja5oSpOEYHbor4Ja_007 | 7qchja5oSpOEYHbor4Ja | ออสติน มาโฮน | ออสติน คาร์เตอร์ มาโฮน (อังกฤษ: Austin Carter Mahone) หรือที่รู้จักในชื่อของ ออสติน มาโฮน เกิดวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 เวลา 10.14 นาที เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงป็อป ชาวอเมริกัน เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Young Money Entertainment, Cash Money Records และ Republic Records.
ชีวิตส่วนตัว
ออสติน มาโฮน เกิดที่เมือง แซนแอนโทนีโอ, รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง เมื่อเขาอายุได้เพียง 1 ขวบ 4 เดือนเท่านั้น ออสตินเลยได้รับการเลี้ยงดูจาก มิเชลล์ มาโฮน (อังกฤษ: Michelle Mahone) แม่เพียงคนเดียวของเขา และต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนมัธยมเลดี้เบิร์ดจอห์นสัน (อังกฤษ: Lady Bird Johnson High School) ออสตินกับเพื่อนของเขา Alex Constancio เริ่มโพสต์วิดีโอลงยูทูปครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 และต่อมาได้โพสต์มิวสิควิดีโอในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 และเขาก็ได้สร้างโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่ออัปเดตข่าวสาร ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง ออสตินได้โพสต์วิดีโอที่เขาโคฟเวอร์เพลง Mistltoe ของ จัสติน บีเบอร์ ผู้คนมากมายได้เข้ามาดูโคฟเวอร์ของเขา ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้รับฉายาว่าเป็น Second Coming Of Justin Bieber
เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 ชื่อของออสตินได้ปรากฏใน Billboard Social 50 chart ในลำดับที่ 38 นับว่าออสตินเป็นบุคคลที่มีอายุที่น้อยสุดที่มีชื่อปรากฏในชาร์ตนี้ และได้อันดับที่ 28 ในวันที่ 2 ธันวาคม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 ออสตินมีผู้ติดตามในทวิตเตอร์กว่า 780,000 คน และผู้ติดตามในยูทูปกว่า 350,000 คน
ซิงเกิลแรกของเขาที่มีชื่อว่า '11:11' ขึ้นสู่ลำดับที่ 19 Billboard Heatseekers Songs chart และในวันที่ 5 มกราคม 2012 ออสตินได้ปล่อยซิงเกิลที่ 2 'say somethin' ซึ่งได้ขึ้นสู่ลำดับที่ 34 ของ Billboard Pop Songs chart วันที่ 21 มิถุนายน 2012 ออสตินได้ไปให้สัมภาษณ์กับ Elvis Duran ในรายการ Morning Show เป็นครั้งแรก และเขาก็ได้พบกับ จัสติน บีเบอร์ ที่อยู่ที่นั่นพอดี
วันที่ 28 สิงหาคม 2012 ออสตินได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงดัง Chase/Universal Republic Records ในปี 2013 ออสตินก็ได้เป็น 1 ในศิลปินที่ได้ทัวร์ MTV's Artists To Watch และออสตินก็ยังได้รับเลือกให้เป็นศิลปินที่เล่นเปิดคอนเสิร์ตให้กับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ใน Red Tour คอนเสิร์ตอีกด้วย
| ออสตินกับเพื่อนของเขา Alex Constancio เริ่มโพสต์วิดีโอลงยูทูปครั้งแรกเมื่อใด | {
"text": [
"เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010"
],
"answer_start": [
705
],
"answer_end": [
728
]
} |
7qchja5oSpOEYHbor4Ja_008 | 7qchja5oSpOEYHbor4Ja | ออสติน มาโฮน | ออสติน คาร์เตอร์ มาโฮน (อังกฤษ: Austin Carter Mahone) หรือที่รู้จักในชื่อของ ออสติน มาโฮน เกิดวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 เวลา 10.14 นาที เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงป็อป ชาวอเมริกัน เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Young Money Entertainment, Cash Money Records และ Republic Records.
ชีวิตส่วนตัว
ออสติน มาโฮน เกิดที่เมือง แซนแอนโทนีโอ, รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง เมื่อเขาอายุได้เพียง 1 ขวบ 4 เดือนเท่านั้น ออสตินเลยได้รับการเลี้ยงดูจาก มิเชลล์ มาโฮน (อังกฤษ: Michelle Mahone) แม่เพียงคนเดียวของเขา และต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนมัธยมเลดี้เบิร์ดจอห์นสัน (อังกฤษ: Lady Bird Johnson High School) ออสตินกับเพื่อนของเขา Alex Constancio เริ่มโพสต์วิดีโอลงยูทูปครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 และต่อมาได้โพสต์มิวสิควิดีโอในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 และเขาก็ได้สร้างโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่ออัปเดตข่าวสาร ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง ออสตินได้โพสต์วิดีโอที่เขาโคฟเวอร์เพลง Mistltoe ของ จัสติน บีเบอร์ ผู้คนมากมายได้เข้ามาดูโคฟเวอร์ของเขา ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้รับฉายาว่าเป็น Second Coming Of Justin Bieber
เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 ชื่อของออสตินได้ปรากฏใน Billboard Social 50 chart ในลำดับที่ 38 นับว่าออสตินเป็นบุคคลที่มีอายุที่น้อยสุดที่มีชื่อปรากฏในชาร์ตนี้ และได้อันดับที่ 28 ในวันที่ 2 ธันวาคม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 ออสตินมีผู้ติดตามในทวิตเตอร์กว่า 780,000 คน และผู้ติดตามในยูทูปกว่า 350,000 คน
ซิงเกิลแรกของเขาที่มีชื่อว่า '11:11' ขึ้นสู่ลำดับที่ 19 Billboard Heatseekers Songs chart และในวันที่ 5 มกราคม 2012 ออสตินได้ปล่อยซิงเกิลที่ 2 'say somethin' ซึ่งได้ขึ้นสู่ลำดับที่ 34 ของ Billboard Pop Songs chart วันที่ 21 มิถุนายน 2012 ออสตินได้ไปให้สัมภาษณ์กับ Elvis Duran ในรายการ Morning Show เป็นครั้งแรก และเขาก็ได้พบกับ จัสติน บีเบอร์ ที่อยู่ที่นั่นพอดี
วันที่ 28 สิงหาคม 2012 ออสตินได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงดัง Chase/Universal Republic Records ในปี 2013 ออสตินก็ได้เป็น 1 ในศิลปินที่ได้ทัวร์ MTV's Artists To Watch และออสตินก็ยังได้รับเลือกให้เป็นศิลปินที่เล่นเปิดคอนเสิร์ตให้กับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ใน Red Tour คอนเสิร์ตอีกด้วย
| ซิงเกิลแรกของออสตินที่มีชื่อว่า | {
"text": [
"'11:11'"
],
"answer_start": [
1375
],
"answer_end": [
1382
]
} |
7qchja5oSpOEYHbor4Ja_009 | 7qchja5oSpOEYHbor4Ja | ออสติน มาโฮน | ออสติน คาร์เตอร์ มาโฮน (อังกฤษ: Austin Carter Mahone) หรือที่รู้จักในชื่อของ ออสติน มาโฮน เกิดวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 เวลา 10.14 นาที เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงป็อป ชาวอเมริกัน เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Young Money Entertainment, Cash Money Records และ Republic Records.
ชีวิตส่วนตัว
ออสติน มาโฮน เกิดที่เมือง แซนแอนโทนีโอ, รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1996 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง เมื่อเขาอายุได้เพียง 1 ขวบ 4 เดือนเท่านั้น ออสตินเลยได้รับการเลี้ยงดูจาก มิเชลล์ มาโฮน (อังกฤษ: Michelle Mahone) แม่เพียงคนเดียวของเขา และต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนมัธยมเลดี้เบิร์ดจอห์นสัน (อังกฤษ: Lady Bird Johnson High School) ออสตินกับเพื่อนของเขา Alex Constancio เริ่มโพสต์วิดีโอลงยูทูปครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 และต่อมาได้โพสต์มิวสิควิดีโอในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 และเขาก็ได้สร้างโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่ออัปเดตข่าวสาร ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง ออสตินได้โพสต์วิดีโอที่เขาโคฟเวอร์เพลง Mistltoe ของ จัสติน บีเบอร์ ผู้คนมากมายได้เข้ามาดูโคฟเวอร์ของเขา ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้รับฉายาว่าเป็น Second Coming Of Justin Bieber
เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 ชื่อของออสตินได้ปรากฏใน Billboard Social 50 chart ในลำดับที่ 38 นับว่าออสตินเป็นบุคคลที่มีอายุที่น้อยสุดที่มีชื่อปรากฏในชาร์ตนี้ และได้อันดับที่ 28 ในวันที่ 2 ธันวาคม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 ออสตินมีผู้ติดตามในทวิตเตอร์กว่า 780,000 คน และผู้ติดตามในยูทูปกว่า 350,000 คน
ซิงเกิลแรกของเขาที่มีชื่อว่า '11:11' ขึ้นสู่ลำดับที่ 19 Billboard Heatseekers Songs chart และในวันที่ 5 มกราคม 2012 ออสตินได้ปล่อยซิงเกิลที่ 2 'say somethin' ซึ่งได้ขึ้นสู่ลำดับที่ 34 ของ Billboard Pop Songs chart วันที่ 21 มิถุนายน 2012 ออสตินได้ไปให้สัมภาษณ์กับ Elvis Duran ในรายการ Morning Show เป็นครั้งแรก และเขาก็ได้พบกับ จัสติน บีเบอร์ ที่อยู่ที่นั่นพอดี
วันที่ 28 สิงหาคม 2012 ออสตินได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงดัง Chase/Universal Republic Records ในปี 2013 ออสตินก็ได้เป็น 1 ในศิลปินที่ได้ทัวร์ MTV's Artists To Watch และออสตินก็ยังได้รับเลือกให้เป็นศิลปินที่เล่นเปิดคอนเสิร์ตให้กับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ใน Red Tour คอนเสิร์ตอีกด้วย
| ซิงเกิลที่ 2 ของออสตินชื่อว่า | {
"text": [
"say somethin"
],
"answer_start": [
1490
],
"answer_end": [
1502
]
} |
7sRZ6r11iPu7yvXimbdd_000 | 7sRZ6r11iPu7yvXimbdd | จังหวัดคามีกิน | จังหวัดคามีกิน (เซบัวโน: Lalawigan sa Camiguin) เป็นจังหวัดที่เป็นเกาะในประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่ในทะเลโบโฮล อยู่ห่างจากชายฝั่งมินดาเนา 10 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในภูมิภาคฮีลากังมินดาเนา และเคยเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดซีลางังมีซามิส
จังหวัดคามีกิน เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่และประชากรน้อยเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดบาตาเนส เมืองศูนย์กลางประจำจังหวัดคือมัมบาเฮา ซึ่งเป็นเทศบาลที่มีพื้นที่และประชากรมากที่สุดในจังหวัด
จังหวัดมีชื่อเสียงในด้านลองกอง ซึ่งมีการจัดเทศกาลลองกองทุกปี นอกจากนี้ยังมีเขตป่าสงวนในพื้นที่สงวนภูเขาฮีโบก-ฮีโบก ซึ่งถูกจัดให้เป็นอุทยานมรดกอาเซียน | จังหวัดคามีกิน เซบัวโน มีชื่อภาษาอังกฤษว่าอะไร ? | {
"text": [
"Lalawigan sa Camiguin"
],
"answer_start": [
25
],
"answer_end": [
46
]
} |
7sRZ6r11iPu7yvXimbdd_001 | 7sRZ6r11iPu7yvXimbdd | จังหวัดคามีกิน | จังหวัดคามีกิน (เซบัวโน: Lalawigan sa Camiguin) เป็นจังหวัดที่เป็นเกาะในประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่ในทะเลโบโฮล อยู่ห่างจากชายฝั่งมินดาเนา 10 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในภูมิภาคฮีลากังมินดาเนา และเคยเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดซีลางังมีซามิส
จังหวัดคามีกิน เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่และประชากรน้อยเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดบาตาเนส เมืองศูนย์กลางประจำจังหวัดคือมัมบาเฮา ซึ่งเป็นเทศบาลที่มีพื้นที่และประชากรมากที่สุดในจังหวัด
จังหวัดมีชื่อเสียงในด้านลองกอง ซึ่งมีการจัดเทศกาลลองกองทุกปี นอกจากนี้ยังมีเขตป่าสงวนในพื้นที่สงวนภูเขาฮีโบก-ฮีโบก ซึ่งถูกจัดให้เป็นอุทยานมรดกอาเซียน | จังหวัดคามีกิน เป็นจังหวัดที่เป็นเกาะในประเทศอะไร ? | {
"text": [
"ประเทศฟิลิปปินส์"
],
"answer_start": [
72
],
"answer_end": [
88
]
} |
7sRZ6r11iPu7yvXimbdd_002 | 7sRZ6r11iPu7yvXimbdd | จังหวัดคามีกิน | จังหวัดคามีกิน (เซบัวโน: Lalawigan sa Camiguin) เป็นจังหวัดที่เป็นเกาะในประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่ในทะเลโบโฮล อยู่ห่างจากชายฝั่งมินดาเนา 10 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในภูมิภาคฮีลากังมินดาเนา และเคยเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดซีลางังมีซามิส
จังหวัดคามีกิน เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่และประชากรน้อยเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดบาตาเนส เมืองศูนย์กลางประจำจังหวัดคือมัมบาเฮา ซึ่งเป็นเทศบาลที่มีพื้นที่และประชากรมากที่สุดในจังหวัด
จังหวัดมีชื่อเสียงในด้านลองกอง ซึ่งมีการจัดเทศกาลลองกองทุกปี นอกจากนี้ยังมีเขตป่าสงวนในพื้นที่สงวนภูเขาฮีโบก-ฮีโบก ซึ่งถูกจัดให้เป็นอุทยานมรดกอาเซียน | จังหวัดคามีกิน เป็นจังหวัดที่เป็นเกาะในประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่ในทะเลโบโฮล อยู่ห่างจากชายฝั่งมินดาเนา กี่กิโลเมตร ? | {
"text": [
"10 กิโลเมตร"
],
"answer_start": [
136
],
"answer_end": [
147
]
} |
7sRZ6r11iPu7yvXimbdd_004 | 7sRZ6r11iPu7yvXimbdd | จังหวัดคามีกิน | จังหวัดคามีกิน (เซบัวโน: Lalawigan sa Camiguin) เป็นจังหวัดที่เป็นเกาะในประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่ในทะเลโบโฮล อยู่ห่างจากชายฝั่งมินดาเนา 10 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในภูมิภาคฮีลากังมินดาเนา และเคยเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดซีลางังมีซามิส
จังหวัดคามีกิน เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่และประชากรน้อยเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดบาตาเนส เมืองศูนย์กลางประจำจังหวัดคือมัมบาเฮา ซึ่งเป็นเทศบาลที่มีพื้นที่และประชากรมากที่สุดในจังหวัด
จังหวัดมีชื่อเสียงในด้านลองกอง ซึ่งมีการจัดเทศกาลลองกองทุกปี นอกจากนี้ยังมีเขตป่าสงวนในพื้นที่สงวนภูเขาฮีโบก-ฮีโบก ซึ่งถูกจัดให้เป็นอุทยานมรดกอาเซียน | จังหวัดมีชื่อเสียงในด้านจังหวัดมีชื่อเสียงในด้านใด ? | {
"text": [
"ลองกอง"
],
"answer_start": [
443
],
"answer_end": [
449
]
} |
7w2v4r6Erz2ePjJFWEqZ_000 | 7w2v4r6Erz2ePjJFWEqZ | รัฐสตีเรีย | สตีเรีย (อังกฤษ: Styria) หรือ ชไตเออร์มาร์ค (เยอรมัน: Steiermark) เป็นรัฐในประเทศออสเตรียที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ในด้านพื้นที่แล้วถือเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ใน 9 รัฐ มีพื้นที่ครอบคลุม 16,392 ตร.กม. มีพื้นที่ติดกับประเทศสโลวีเนีย เช่นเดียวกับรัฐอื่นอย่างรัฐอัปเปอร์ออสเตรีย รัฐโลเวอร์ออสเตรีย รัฐซาลซ์บูร์ก รัฐบูร์เกนลันด์ และรัฐคารินเทีย รัฐมีประชากร 1,210,971 คน (ข้อมูลปี 2013) มีเมืองหลวงของรัฐคือเมืองกราซ | รัฐสตีเรียมีชื่ออีกชื่อว่าอะไร | {
"text": [
"ชไตเออร์มาร์ค "
],
"answer_start": [
30
],
"answer_end": [
44
]
} |
7w2v4r6Erz2ePjJFWEqZ_001 | 7w2v4r6Erz2ePjJFWEqZ | รัฐสตีเรีย | สตีเรีย (อังกฤษ: Styria) หรือ ชไตเออร์มาร์ค (เยอรมัน: Steiermark) เป็นรัฐในประเทศออสเตรียที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ในด้านพื้นที่แล้วถือเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ใน 9 รัฐ มีพื้นที่ครอบคลุม 16,392 ตร.กม. มีพื้นที่ติดกับประเทศสโลวีเนีย เช่นเดียวกับรัฐอื่นอย่างรัฐอัปเปอร์ออสเตรีย รัฐโลเวอร์ออสเตรีย รัฐซาลซ์บูร์ก รัฐบูร์เกนลันด์ และรัฐคารินเทีย รัฐมีประชากร 1,210,971 คน (ข้อมูลปี 2013) มีเมืองหลวงของรัฐคือเมืองกราซ | รัฐสตีเรีย มีพื้นที่เท่าไหร่ | {
"text": [
"16,392 ตร.กม."
],
"answer_start": [
209
],
"answer_end": [
222
]
} |
7w2v4r6Erz2ePjJFWEqZ_002 | 7w2v4r6Erz2ePjJFWEqZ | รัฐสตีเรีย | สตีเรีย (อังกฤษ: Styria) หรือ ชไตเออร์มาร์ค (เยอรมัน: Steiermark) เป็นรัฐในประเทศออสเตรียที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ในด้านพื้นที่แล้วถือเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ใน 9 รัฐ มีพื้นที่ครอบคลุม 16,392 ตร.กม. มีพื้นที่ติดกับประเทศสโลวีเนีย เช่นเดียวกับรัฐอื่นอย่างรัฐอัปเปอร์ออสเตรีย รัฐโลเวอร์ออสเตรีย รัฐซาลซ์บูร์ก รัฐบูร์เกนลันด์ และรัฐคารินเทีย รัฐมีประชากร 1,210,971 คน (ข้อมูลปี 2013) มีเมืองหลวงของรัฐคือเมืองกราซ | รัฐสตีเรีย มีประชากรทั้งหมดกี่คน | {
"text": [
"1,210,971 คน"
],
"answer_start": [
376
],
"answer_end": [
388
]
} |
Subsets and Splits