ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
894
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
36
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Medical_23139
Medical
การมีจุดประสานประสาท (Synapse) จำนวนมาก ส่งผลต่อความฉลาดของเด็กหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: จุดประสานประสาท: เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท เปรียบเสมือนสายไฟที่ส่งสัญญาณข้อมูลไปยังเซลล์อื่น ๆ ในสมอง จำนวน: เด็กทารกแรกเกิดมีจุดประสานประสาทประมาณ 2.5 ล้านล้านจุด และจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีแรกของชีวิต การพัฒนา: จุดประสานประสาทมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมอง การเรียนรู้ และความทรงจำ ความฉลาด: เด็กที่มีจุดประสานประสาทจำนวนมาก มักจะมีความฉลาดมากกว่าเด็กที่มีจุดประสานประสาทจำนวนน้อย งานวิจัย มีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนจุดประสานประสาทกับความฉลาด ตัวอย่างเช่น งานวิจัย ในปี 2013 พบว่า เด็กที่มีจุดประสานประสาทในเปลือกสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) มาก มีคะแนน IQ สูงกว่าเด็กที่มีจุดประสานประสาทน้อย งานวิจัย ในปี 2016 พบว่า เด็กที่มีจุดประสานประสาทในฮิปโปแคมปัส (hippocampus) มาก มีทักษะความจำที่ดีกว่าเด็กที่มีจุดประสานประสาทน้อย ปัจจัย: จำนวนจุดประสานประสาท ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อความฉลาด ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดู และโภชนาการ การเพิ่มจำนวนจุดประสานประสาท: เด็กสามารถเพิ่มจำนวนจุดประสานประสาทได้ผ่านประสบการณ์และการเรียนรู้ เช่น การเล่น การอ่าน การทำกิจกรรมต่าง ๆ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น สรุป: การมีจุดประสานประสาทจำนวนมาก ส่งผลต่อความฉลาดของเด็ก เด็กสามารถเพิ่มจำนวนจุดประสานประสาทได้ผ่านประสบการณ์และการเรียนรู้ ข้อควรระวัง: งานวิจัยเกี่ยวกับจุดประสานประสาทยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่ชัดเจน จำนวนจุดประสานประสาท ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ความฉลาดเพียงอย่างเดียว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกที่ส่งผลต่อความฉลาด
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_27114
Medical
ช่วยสรุปบทความ Vaginal Laser นวัตกรรมดูแล รักษา จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง
Vaginal Laser นวัตกรรมดูแล รักษา จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง ในต่างประเทศได้มีการศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัย และผลที่ได้รับจากนวัตกรรมการรักษาด้วยเลเซอร์ตัวใหม่ ที่ใช้กระชับช่องคลอดหย่อนคล้อย (Vaginal Relaxation Syndrome) นั้นคือวิธีการที่เรียกว่า “IntimalLase" จากการวิจัยนำร่องมีคนไข้ทั้งหมด 21 รายที่ได้เข้ารับการรักษาด้วย IntimaLase เพื่อทำการกระชับช่องคลอดด้วยเลเซอร์ Fotona (Er: YAG 2940 nm) คนไข้ทุกคนเข้ารับการรักษา 2 ครั้งโดยมีการเว้นระยะห่างระหว่างการทำแต่ละครั้งประมาณ 15-30 วัน ผลการวิจัย Result พบว่ามีคนไข้จำนวน 20 คนจาก 21 คน (95%) รายงานว่าช่องคลอดมีความกระชับขึ้น (ปานกลางและมาก) และได้รับการยืนยันจากคู่นอนว่าช่องคลอดกระชับขึ้นระหว่างมีเพศสัมพันธ์ (85% มีความฟื้นฟูมากและ 15% มีผลเล็กน้อย) คนไข้เกือบทุกรายรายงานถึงการมีเพศสัมพันธ์ที่ดีขึ้นภายหลังการเข้ารับการรักษา IntimaLase กระชับช่องคลอด เป็นการรักษาด้วย Laser Er: YAG (Fotona)เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้ช่วยเพิ่มการหดกระชับของผิวช่องคลอดทั้งเยื่อบุทำให้แก้ปัญหาช่องคลอดแห้ง ป้องกันปัญหาช่องคลอดหย่อนคล้อย เพิ่มความกระชับมีเพศสัมพันธ์ที่ดีขึ้น พึงพอใจทางเพศมากขึ้น IncontiLase ปัสสาวะเล็ด เป็นการรักษาด้วย Laser ที่มีความหนาแน่นกว่าช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อช่องคลอด ทำให้ท่อปัสสาวะที่มีปัญหากลับมาใช้งานได้ตามปกติ กลั้นปัสสาวะได้ดีขึ้นลดปัญหาเข้าห้องน้ำบ่อย ลดอาการปัสสาวะเล็ดขณะไอหรือจาม การเตรียมตัวก่อนการรักษา ควรได้รับการตรวจมะเร็งปากมดลูก (Thin Pap Smear) ก่อนทำ ควรรักษาก่อนมีประจำเดือน หรือหลังมีประจำเดือนวันสุดท้ายไปแล้ว 1 สัปดาห์ การรักษา จะรู้สึกอุ่นๆ หรือร้อนเพียงเล็กน้อย ซึ่งแพทย์จะดูแลอย่างใกล้ชิด ผลการรักษาขึ้นอยู่กับระดับความหย่อยคล้อยเดิมที่มีอยู่ ควรเข้ารับการรักษา 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 4-6 สัปดาห์ จะรู้สึกช่องคลอดกระชับขึ้น ทั้งในเยื่อบุและผนังรอบนอก ผลที่เกิดขึ้นทันทีเกิดจากความร้อนของเลเซอร์ ส่วนคอลลาเจนที่เกิดใหม่จะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ และเห็นผลชัดเจนใน 2 สัปดาห์ หลังทำการรักษา ไม่มีแผล ไม่มีเลือดออก ไม่มีตกขาว ในบางครั้งอาจมีน้ำเมือกใสๆ เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นได้ ควรใช้แผ่นรองซับ งดมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังการรักษา งดแช่น้ำร้อน ว่ายน้ำ ซาวน่า ออนเซน 24 ชั่วโมง การดูแลตัวเองหลังทำการรักษา หลังจากทำการกระชับช่องคลอดด้วยเลเซอร์ เนื่องจากภาวะแทรกซ้อนค่อนข้างต่ำมาก จึงไม่มีอะไรที่ต้องดูแลจำเพาะเจาะจงเป็นพิเศษ แพทย์จะแจ้งคนไข้เกี่ยวกับโอกาสที่จะเกิดอาการข้างเคียง เช่น คนไข้อาจรู้สึกอาการร้อนขณะทำการรักษา และควรงดการมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 4-5 วันหลังการรักษา
Vaginal Laser นวัตกรรมใหม่ในการดูแลและรักษาช่องคลอดผู้หญิง, IntimaLase เป็นเทคนิคการใช้เลเซอร์ Fotona เพื่อกระชับช่องคลอดหย่อนคล้อย ผลการศึกษาพบว่า 95% ของผู้รับการรักษารายงานถึงการกระชับของช่องคลอด และ 85% รายงานว่ามีการฟื้นฟูในการมีเพศสัมพันธ์หลังการรักษา IntimaLase ใช้เลเซอร์ Er: YAG (Fotona) เพื่อกระชับช่องคลอด กระตุ้นคอลลาเจนและการไหลเวียนเลือด เพิ่มความหล่อเลี้ยงให้กับช่องคลอด ลดปัญหาช่องคลอดแห้งและช่องคลอดหย่อน ทำให้การมีเพศสัมพันธ์ดีขึ้น IncontiLase ใช้เลเซอร์เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อช่องคลอด ปรับปรุงท่อปัสสาวะให้ทำงานได้ตามปกติ ลดปัญหาปัสสาวะเล็ด และป้องกันการเข้าห้องน้ำบ่อย การรักษาโดยใช้เลเซอร์จะทำให้รู้สึกอุ่นๆ หรือร้อนเล็กน้อย ต้องเข้ารับการรักษา 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 4-6 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มความหล่อเลี้ยงในช่องคลอด ผลที่เกิดขึ้นทันทีเกิดจากความร้อนของเลเซอร์ และคอลลาเจนที่เกิดใหม่จะดีขึ้นเรื่อยๆ และเห็นผลชัดเจนใน 2 สัปดาห์ หลังทำการรักษาไม่มีแผลหรือเลือดออก อาจมีน้ำเมือกใสๆ เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น ควรใช้แผ่นรองซับ ต้องงดมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 1 สัปดาห์ และงดแช่น้ำร้อน ว่ายน้ำ ซาวน่า ออนเซน 24 ชั่วโมงหลังการรักษา การดูแลตัวเองหลังทำการรักษา หลังจากทำเลเซอร์ เนื่องจากภาวะแทรกซ้อนค่อนข้างต่ำ จึงไม่มีอะไรที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และควรงดการมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 4-5 วันหลังการรักษา
นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_12250
Medical
สรุปบทความเรื่อง ยาไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควิน ให้หน่อย
อโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควิน Iodochlorhydroxyquin ไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินมีสรรพคุณ คุณสมบัติ อย่างไร ไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร ไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร ไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินมีขนาดการบริหารยาอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร หากลืมทายาควรทำอย่างไร ไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร มีข้อควรระวังการใช้ไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินอย่างไร ไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร ควรเก็บรักษาไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินอย่างไร ไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินมีชื่ออื่นอีกไหม ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง ยารักษาโรค Pharmaceutical drug ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด โรคผิวหนัง Skin disorder สังคัง โรคสังคัง Tinea cruris โรคน้ำกัดเท้า Athletes foot ตกขาว Leucorrhea ท้องเสีย Diarrhea โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ Infectious disease ยาไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควิน Iodochlorhydroxyquin เป็นหนึ่งในสารเคมีประเภทไฮ ดรอกซีควิโนลีน Hydroxyquinolines สารเคมีที่มีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อและยาฆ่าแมลง อาจเรียกยานี้อีกชื่อหนึ่งว่า ไคลโอควินอล Clioquinol สามารถนำมาใช้เป็นยาต้านเชื้อรา แบคที เรีย เชื้อโปโตซัว Protozoa และไวรัส ซึ่งหากร่างกายได้รับยานี้เป็นปริมาณมากอาจทำให้เกิดพิษต่อระบบประสาทได้ รูปแบบยาแผนปัจจุบันของไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินส่วนมากจะเป็นยาทาเฉพาะที่และยาใช้ภายนอก มีบางสูตรตำรับเท่านั้นที่เตรียมเป็นยาสำหรับรับประทานเพื่อรักษาอาการท้องเสีย ไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินมีสรรพคุณ คุณสมบัติ อย่างไร ไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินมีสรรพคุณข้อบ่งใช้ เช่น รักษาอาการติดเชื้อราที่ผิวหนัง เช่น สังคัง Tinea crusis โรคน้ำกัดเท้า Tinea pedis เป็นส่วนประกอบของยารับประทานแก้ท้องเสีย เป็นส่วนประกอบของยาเหน็บช่องคลอดรักษาอาการตกขาว ไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร กลไกการออกฤทธิ์ของยาไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควินคือ ตัวยาจะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการจำลองสารพันธุกรรม ดีเอ็นเอ DNA ของเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคดังกล่าวหยุดการเจริญเติบโตและตายลงในที่สุด
ยาไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควิน เป็นสารเคมีประเภทไฮ ดรอกซีควิโนลีนมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อและยาฆ่าแมลง นำมาใช้เป็นยาต้านเชื้อรา แบคที เรีย เชื้อโปโตซัวและไวรัส เช่น ใช้รักษาอาการติดเชื้อราที่ผิวหนัง หากร่างกายได้รับในปริมาณมากอาจทำให้เกิดพิษต่อระบบประสาท โดยส่วนมากจะเป็นยาทาเฉพาะที่และยาใช้ภายนอก บางครั้งพบเป็นยากินแก้ท้องเสีย ยาไอโอโดคลอร์ไฮดรอกซีควิน จะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการจำลองสารพันธุกรรม ดีเอ็นเอ ของเชื้อโรค หยุดการเจริญเติบโตและตายในที่สุด
เภสัชวิทยา Pharmacology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_24643
Medical
อธิบายกลไกทางชีวภาพที่อธิบายว่าทำไมความคิดแบบโง่ๆ หรืออวิชชา จึงนำไปสู่ความทุกข์ทางจิตใจ?
Instant Happiness ความสุขฉับพลัน ความสุขเป็นที่ต้องการของมนุษย์ทุกคนทั่วโลก แต่แปลกที่การศึกษาไม่มีวิชาความสุขเลย ล้วนแต่เรียนโดยเอาวิชาต่าง ๆ เป็นตัวตั้ง แต่ไม่มีวิชาความสุข เพราะการศึกษาไม่ได้เอาชีวิตเป็นตัวตั้ง จึงทอดทิ้งให้ชีวิตระหกระเหิน เกิดเรื่องเกิดราว มีความเครียดและวิกฤติกันไปทั่วโลก การปฏิรูปการศึกษาก็ดูเหมือนไม่ได้นำประเด็นนี้มาพิจารณาอย่างจริงจังแต่ประการใด แท้ที่จริงมนุษย์ทุกคนควรเรียนวิชาความสุข ปฏิบัติให้เกิดความสุขและเกิดความสุขขึ้นจริง กล่าวคือครบเครื่องทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ปฏิเวธที่เกิดขึ้น ถ้าเกิดผลดีแปลว่าปริยัติและปฏิบัติถูกต้อง ความทุกข์เกิดจากความคิด เราสักกี่คนจะรู้ว่าความทุกข์เกิดจากความคิด หมายถึงความคิดการคิดแบบผิด ๆ หรือคิดด้วยความโง่ อวิชชา เราไปฟังพระสวดด้วยกันทุกคน และเคยได้ยินท่านสวด ปฏิจจสมุปทาน แต่ไม่เข้าใจ นั่นแหละท่านสวดบทที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าความทุกข์เกิดจากเหตุปัจจัยที่ผลักดันกันต่อ ๆ ไป 12 ขั้นตอน บทแรกท่านสวดว่า อวิชชา ปัจจยา สังขารา ปัจจัยของความทุกข์เริ่มจากอวิชชา หรือความไม่รู้ หรือความโง่ หรือว่า การคิดแบบโง่ ๆ ทำให้เกิดความทุกข์ ในเมื่อความทุกข์เกิดจากการคิด แบบโง่ ถ้าเรารู้เท่าทันความคิดพั้วะ เราก็มีความสุขฉับพลันทันที ใช่แล้วครับ ถ้าเราคิดเป็นเราหายทุกข์ เกิดความสุขอย่างฉับพลันทันที ถ้าเพียงแค่คิดก็สุขแล้ว มันก็วิเศษสิ เงินทองไม่ต้องเสีย เป็นความสุขที่ราคาถูก Happiness at low cost อุตส่าห์ไปเสียเงินแพง ๆ ไขว่คว้าหาความสุข แต่ไม่ค่อยจะเจอ ได้แต่ทุกข์และปัญหากลับมา เวรกรรมจริง ๆ ก็เพราะการหาความสุขราคาแพงกันนี่แหละครับ จึงเดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า ที่โฆษณาบ้าเลือดกันเกือบ 24 ชั่วโมง ก็ล้วนเป็นเรื่องของความสุขราคาแพงกันทั้งสิ้น เหมือนสร้างบาปกรรมกันไปทั้งเมือง นี่แหละครับที่พระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ในเรื่อง พระมหาชนก ถึง เมืองอวิชชา และการที่คนทั้งหลายล้วนตกอยู่ใน โมหภูมิ ฉะนั้น การที่เราพูดถึง ความสุขฉับพลัน และ ความสุขราคาถูก จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าเข้าใจก็จะหลุดพ้นจากโมหภูมิ สร้างชีวิตและเมืองแห่งความสุขได้ ที่ว่า รู้เท่าทันความคิด แล้วจะมีความสุขนั้นเป็นอย่างไร ที่จริงมนุษย์เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่จะรู้ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้ แต่การศึกษากระแสหลักทั่วโลกศึกษาแต่สิ่งนอกตัว เกือบไม่มีเลยที่จะศึกษาให้รู้ตัวเอง เมื่อไม่รู้ตัวก็ก่อทุกข์แก่ตัวเองและผู้อื่น ดูประธานาธิบดีคลินตันเป็นตัวอย่าง แกมีความรู้สารพัด แต่แกไม่รู้ตัวเองเมื่อเห็นโมนิกา ลูวินสกี การฝึกให้รู้ตัวเองจึงเป็นการศึกษาที่สำคัญยิ่ง การรู้ตัวเองคือรู้กายและความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ถ้าฝึกดูความคิดของตัวเองบ่อย ๆ ก็จะรู้เท่าทัน ความคิดของตัวเอง ความสุขก็จะมากขึ้น ๆ และถ้ารู้ทันความคิด เมื่อมีอะไรมากระทบก็จะไม่ทุกข์ ความสุขฉับพลันก็จะเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้ การรู้ตัวเองที่กล่าวมานี้พระท่านเรียกว่า สติครับ การมีสติทำให้มีความสุข การสร้างความสุขฉับพลันอีกวิธีหนึ่งเรียกว่า ยุทธวิถีพลิกเหรียญ คือคนเรานั้นเปรียบเหมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน คือด้านความเห็นแก่ตัว และด้านความดี คนเราไม่ได้มีแต่ด้านความเห็นแก่ตัวด้านเดียวนะครับ ยังมีอีกด้านหนึ่งคือด้านความดีด้วย อยู่ในตัวเรานั่นแหละ โลกทุกวันนี้มันกระตุ้นแต่ด้านความเห็นแก่ตัว จึงทุกข์ระงมกันไปทั้งโลก ถ้าเราฝึกเอาอีกด้านขึ้นมาใช้บ่อย ๆ ความสุขและความสงบจะเกิดขึ้นทั้งโลก ยุทธวิธีพลิกเหรียญ สร้างความสุขฉับพลันได้ และขอให้ท่านมีความสุขฉับพลันในวันปีใหม่ทั่วกัน
1. ความคิดส่งผลต่อสมอง: เมื่อเรามีความคิด สมองจะหลั่งสารเคมีต่างๆ ออกมา ความคิดแบบโง่ๆ หรืออวิชชา มักกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล คอร์ติซอลส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า หงุดหงิด ฮอร์โมนความเครียดเรื้อรัง กระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน อวัยวะภายใน และสุขภาพโดยรวม 2. ความคิดส่งผลต่อร่างกาย: ความคิดแบบโง่ๆ หรืออวิชชา มักทำให้กล้ามเนื้อตึง เกิดอาการปวดหัว ปวดท้อง ใจสั่น นอนไม่หลับ ร่างกายที่อ่อนแอ ส่งผลต่ออารมณ์และความคิด ทำให้รู้สึกแย่ลง 3. วัฏจักรความคิด-อารมณ์-ร่างกาย: ความคิดแบบโง่ๆ หรืออวิชชา ➡️ หลั่งฮอร์โมนความเครียด ➡️ ส่งผลต่อร่างกาย ➡️ รู้สึกแย่ลง ➡️ กลับมาคิดแบบโง่ๆ หรืออวิชชา วัฏจักรนี้หมุนเวียน ทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจเรื้อรัง ตัวอย่าง: คิดว่าตัวเองไม่มีค่า ➡️ หลั่งฮอร์โมนความเครียด ➡️ รู้สึกเศร้า หดหู่ ➡️ เบื่อหน่ายไม่อยากทำอะไร ➡️ คิดว่าตัวเองไม่มีค่า อย่างไรก็ตาม: การฝึกสติ ‍♀️ ช่วยให้รู้เท่าทันความคิด เมื่อรู้ทันความคิด ➡️ ควบคุมความคิดได้ ➡️ ลดฮอร์โมนความเครียด ➡️ รู้สึกดีขึ้น ➡️ มีความสุขมากขึ้น สรุป: ความคิดแบบโง่ๆ หรืออวิชชา ส่งผลต่อระบบประสาท ฮอร์โมน และร่างกาย ทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ การฝึกสติช่วยให้รู้เท่าทันความคิด ควบคุมความคิด ลดฮอร์โมนความเครียด และมีความสุขมากขึ้น
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Legal_45640
Legal
TFRS for NPAEs ฉบับปรับปรุง 2565 มีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง? และ NPAEs ต้องเตรียมตัวอย่างไรสำหรับปี 2566?
TFRS for NPAEs ฉบับปรับปรุง 2565 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของ NPAEs หรือกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียต่อสาธารณะ โดยสำหรับปี 2566 นี้คาดว่าคงต้องมีการปรับตัวกับข้อกำหนดเพิ่มเติม ตลอดจนข้อกำหนดที่มีเพิ่มขึ้นบนหลักการที่มีอยู่เดิม สรุปรายรายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามกันได้ครับ บางส่วนจากบทความ “ Update ประเด็นสำคัญทางบัญชีและภาษี เพื่อนักบัญชีปิดงานปี 65” (วารสาร CPD&ACCOUNT ฉบับเดือนธันวาคม 2565 ) สนใจสมัครสมาชิก รับวารสาร 12 ฉบับ/ปี (เฉลี่ย 50.-/ฉบับ) ได้ที่ สิทธิประโยชน์สำหรับสมาชิกวารสาร CPD&Account : รับส่วนลดในการอบรมสัมมนาของบริษัท ฝึกอบรมและสัมมนาธรรมนิติ จำกัด รับสิทธิเข้าสัมมนาพิเศษฟรี ปีละ 1 ครั้ง รับส่วนลดในการซื้อหนังสือของธรรมนิติ รับส่วนลดในการลงประกาศหนังสือพิมพ์ข่าวผู้ถือหุ้น TFRS for NPAEs ฉบับปรับปรุง 2565 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของ NPAEs หรือกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียต่อสาธารณะ โดยสำหรับปี 2566 นี้คาดว่าคงต้องมีการปรับตัวกับข้อกำหนดเพิ่มเติม ตลอดจนข้อกำหนดที่มีเพิ่มขึ้นบนหลักการที่มีอยู่เดิม สรุปรายรายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามกันได้ครับ บางส่วนจากบทความ “ Update ประเด็นสำคัญทางบัญชีและภาษี เพื่อนักบัญชีปิดงานปี 65” (วารสาร CPD&ACCOUNT ฉบับเดือนธันวาคม 2565 ) สนใจสมัครสมาชิก รับวารสาร 12 ฉบับ/ปี (เฉลี่ย 50.-/ฉบับ) ได้ที่ สิทธิประโยชน์สำหรับสมาชิกวารสาร CPD&Account : รับส่วนลดในการอบรมสัมมนาของบริษัท ฝึกอบรมและสัมมนาธรรมนิติ จำกัด รับสิทธิเข้าสัมมนาพิเศษฟรี ปีละ 1 ครั้ง รับส่วนลดในการซื้อหนังสือของธรรมนิติ รับส่วนลดในการลงประกาศหนังสือพิมพ์ข่าวผู้ถือหุ้น TFRS for NPAEs ฉบับปรับปรุง 2565 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของ NPAEs หรือกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียต่อสาธารณะ โดยสำหรับปี 2566 นี้คาดว่าคงต้องมีการปรับตัวกับข้อกำหนดเพิ่มเติม ตลอดจนข้อกำหนดที่มีเพิ่มขึ้นบนหลักการที่มีอยู่เดิม สรุปรายรายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามกันได้ครับ บางส่วนจากบทความ “ Update ประเด็นสำคัญทางบัญชีและภาษี เพื่อนักบัญชีปิดงานปี 65” (วารสาร CPD&ACCOUNT ฉบับเดือนธันวาคม 2565 ) สนใจสมัครสมาชิก รับวารสาร 12 ฉบับ/ปี (เฉลี่ย 50.-/ฉบับ) ได้ที่ สิทธิประโยชน์สำหรับสมาชิกวารสาร CPD&Account : TAG CPD Dharmniti DharmnitiMagazine NPAEs TFRS ธรรมนิติ บัญชี มาตรฐานชุดเล็ก มาตรฐานบัญชี วารสารธรรมนิติ
TFRS for NPAEs ฉบับปรับปรุง 2565 มีการเปลี่ยนแปลงหลักๆ ดังนี้: 1. เพิ่มเติมบทบัญชีใหม่ 6 บท บทที่ 1A: ข้อมูลเปิดเผยเกี่ยวกับตัวตนและธุรกรรมที่สำคัญ บทที่ 1B: การประเมินมูลค่า บทที่ 1C: การแปลงสกุลเงิน บทที่ 31: ธุรกรรมระหว่างกลุ่ม บทที่ 33: รายได้จากสัญญาที่มีการให้บริการ บทที่ 48: ข้อมูลเปิดเผยเกี่ยวกับธุรกรรมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2. แก้ไขบทบัญชีที่มีอยู่ ปรับปรุงคำนิยามและหลักการบัญชีให้มีความชัดเจนมากขึ้น เพิ่มเติมข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูล เปลี่ยนแปลงวิธีการบัญชีสำหรับธุรกรรมบางประเภท 3. ปรับปรุงแนวทางการตีความ ออกแนวทางการตีความใหม่สำหรับบทบัญชีบางบท อัปเดตแนวทางการตีความที่มีอยู่ NPAEs ต้องเตรียมตัวอย่างไรสำหรับปี 2566? NPAEs จำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงใน TFRS for NPAEs ฉบับปรับปรุง 2565 as follows: ประเมินผลกระทบ: พิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงส่งผลต่อธุรกิจของตนอย่างไร ปรับระบบบัญชี: ปรับระบบบัญชีให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่ เตรียมข้อมูล: รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม ฝึกอบรมพนักงาน: ฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีหากมีคำถามหรือข้อสงสัย ตัวอย่างคำอธิบายเพิ่มเติม: การเปลี่ยนแปลงใน TFRS for NPAEs ฉบับปรับปรุง 2565 นี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 NPAEs ทุกแห่งจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่เหล่านี้ การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่นี้อาจส่งผลให้ถูกลงโทษ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายนิติบุคคล,กฎหมายภาษี,กฎหมายหลักทรัพย์,กฎหมายหุ้นส่วน-บริษัท
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_42841
Finance
อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อขนาดของธนาคาร และทำไมธนาคารจีนถึงมีจำนวนมากใน Top 10 ธนาคารที่มีสินทรัพย์มากที่สุดในโลก?
null
ปัจจัยที่ส่งผลต่อขนาดของธนาคารมีหลายประการ ดังนี้: 1. ขนาดเศรษฐกิจ: ธนาคารในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มักจะมีสินทรัพย์และฐานลูกค้าที่ใหญ่กว่าธนาคารในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็ก 2. กลยุทธ์ทางธุรกิจ: ธนาคารที่มีกลยุทธ์การขยายธุรกิจอย่างเชิงบวก มักจะมีขนาดใหญ่กว่าธนาคารที่มีกลยุทธ์การขยายธุรกิจแบบ conservative 3. การควบรวมกิจการ: ธนาคารที่เข้าควบรวมกิจการกับธนาคารอื่น มักจะมีขนาดใหญ่ขึ้น 4. กฎระเบียบ: กฎระเบียบของภาครัฐสามารถส่งผลต่อขนาดของธนาคารได้ เช่น กฎระเบียบที่จำกัดการขยายสาขาของธนาคาร 5. เทคโนโลยี: เทคโนโลยีใหม่ ๆ สามารถช่วยให้ธนาคารขยายธุรกิจและเพิ่มฐานลูกค้า สำหรับกรณีของธนาคารจีนที่มีจำนวนมากใน Top 10 ธนาคารที่มีสินทรัพย์มากที่สุดในโลก มีหลายปัจจัยที่ส่งผล ดังนี้: - ขนาดเศรษฐกิจ: จีนมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก GDP ของจีนมีขนาดใหญ่กว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียรวมกัน - การสนับสนุนจากรัฐบาล: รัฐบาลจีนสนับสนุนให้ธนาคารจีนขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ - การควบรวมกิจการ: ธนาคารจีนมีการควบรวมกิจการกันหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ขนาดของธนาคารใหญ่ขึ้น - ประชากร: จีนมีประชากรมากที่สุดในโลก ธนาคารจีนจึงมีฐานลูกค้าที่ใหญ่ - การออม: ประชาชนจีนมีอัตราการออมที่สูง เงินออมเหล่านี้เป็นแหล่งเงินทุนสำคัญของธนาคารจีน อย่างไรก็ตาม ธนาคารจีนยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น: หนี้เสีย: ธนาคารจีนมีหนี้เสียในระบบธนาคารที่สูง การแข่งขัน: ธนาคารจีนต้องเผชิญกับการแข่งขันจากธนาคารต่างประเทศ กฎระเบียบ: กฎระเบียบของภาครัฐในจีนอาจจำกัดการขยายธุรกิจของธนาคาร สรุป: ขนาดของธนาคารนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ธนาคารจีนมีจำนวนมากใน Top 10 ธนาคารที่มีสินทรัพย์มากที่สุดในโลก เนื่องมาจากขนาดเศรษฐกิจ การสนับสนุนจากรัฐบาล การควบรวมกิจการ ประชากร และการออม อย่างไรก็ตาม ธนาคารจีนยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น หนี้เสีย การแข่งขัน และกฎระเบียบ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_11290
Medical
สาเหตุของโรคเฮอร์แปงไจนาคืออะไร
a. เป็นโรคติดต่อที่มาด้วยอาการไข้ ออกผื่น พบมากในเด็ก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา-ซอสเตอร์ b. เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเตอโรไวรัส มีหลายสายพันธุ์ c. โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มคอกแซกกีไวรัสกรุ๊ปเอ Coxsackieviruses A serotype 1 ถึง 10 16 เละ 22 นอกจากนี้อาจเกิดจากคอกแซกกีไวรัสกรุ๊ปบี 1 ถึง 5 เอคโคไวรัส Echovirus กลุ่ม 3 6 16 17 25 และ 30 รวมทั้งมีข้อมูลว่าเกิดจากเอนเทอโรไวรัส 71 Enterovirus 71 ด้วย d. เป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่ง เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง
ข้อที่ถูกต้องคือ c. เนื่องจาก เฮอร์แปงไจนา Herpangina โรคเฮอร์แปงไจนา มักระบาดในช่วงฤดูร้อน และพบบ่อยในเด็กอายุ 3 ถึง 10 ปี เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงพบเท่าๆ กัน พบน้อยลงในวัยรุ่น หรือผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาว ไม่ค่อยพบในวัยกลางคน หรือในผู้สูงอายุ ความชุกและอัตราการเกิดโรคไม่ชัดเจนเนื่องจากอาการของโรคแยกยากจากโรคมือ เท้าปาก จึงมักมีรายงานโรครวมๆกัน อะไรเป็นสาเหตุของโรคเฮอร์แปงไจนา โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มคอกแซกกีไวรัสกรุ๊ปเอ Coxsackieviruses A serotype 1 ถึง 10 16 เละ 22 นอกจากนี้อาจเกิดจากคอกแซกกีไวรัสกรุ๊ปบี 1 ถึง 5 เอคโคไวรัส Echovirus กลุ่ม 3 6 16 17 25 และ 30 รวมทั้งมีข้อมูลว่าเกิดจากเอนเทอโรไวรัส 71 Enterovirus 71 ด้วย ในกรณีหลังเป็นการรายงานจากไต้หวัน ไม่ได้แยกโรคมือเท้าปากกับเฮอร์แปงไจนาออกจากกัน โรคเฮอร์แปงใจนาติดต่อได้อย่างไร โรคเฮอร์แปงไจนาเป็นโรคติดต่อได้ง่ายมาก เป็นโรคติดต่อจากการคลุกคลีกับผู้ป่วย จากน้ำลาย ละอองน้ำมูก น้ำลายจากการไอ จาม จากอุจจาระ และจากมือ เข้าสู่ปาก Fecal-oral route ทั้งนี้ผู้ป่วยจะมีอาการหลังได้รับเชื้อประมาณ 4-14 วัน ระยะฝักตัวของโรค ซึ่งผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะแพร่เชื้อได้ตั้งแต่วันแรกที่ติดเชื้อ ไปจนกว่าจะหายจากโรค คือ ประมาณ 1-2 สัปดาห์นับจากติดเชื้อ
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_27446
Medical
เทคโนโลยีการผ่าตัดผ่านกล้องเอ็นโดสโคป (Endoscope) มีข้อดีอย่างไร
null
เทคโนโลยีการผ่าตัดผ่านกล้องเอ็นโดสโคป (Endoscope) มีข้อดีมากมาย ดังนี้: 1. แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก: - แผลผ่าตัดมีขนาดเพียง 7.9 มิลลิเมตร - ลดการบอบช้ำของเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อ - ลดความเจ็บปวดหลังผ่าตัด ลดรอยแผลเป็น 2. ฟื้นตัวได้เร็ว: - ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ภายใน 24 ชม. - กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น 3. ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน: - เทคโนโลยี Endoscope ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำ - ลดโอกาสการติดเชื้อ - ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ 4. เหมาะกับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว: - เทคโนโลยี Endoscope ช่วยให้การผ่าตัดมี minimally invasive - เหมาะกับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด - ลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด 5. มองเห็นภาพได้ชัดเจน: - เลนส์ของเอ็นโดสโคปเปรียบเสมือนดวงตาของศัลยแพทย์อยู่ในตัวผู้ป่วย ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นความผิดปกติได้อย่างชัดเจน แม่นยำ - เลือกตัดออกเฉพาะส่วนที่ทำให้เกิดปัญหาได้โดยไม่ต้องตัดเลาะกล้ามเนื้อส่วนที่ดีออก 6. ผ่าตัดได้หลายโรค: เทคโนโลยี Endoscope สามารถใช้รักษาโรคกระดูกสันหลังได้หลายโรค เช่น - หมอนรองกระดูกเคลื่อน - โรคโพรงประสาทตีบแคบ โดยสรุป: เทคโนโลยี Endoscope เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัย มีข้อดีมากมาย ช่วยให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ฟื้นตัวได้เร็ว ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เหมาะกับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว มองเห็นภาพได้ชัดเจน และผ่าตัดได้หลายโรค
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_22562
Medical
การสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร?
สุขบัญญัติของผู้ใหญ่ในวันนี้ สุขบัญญัติของผู้ใหญ่ในวันนี้ ลองมาดูกันนะครับว่า 10 ข้อนั้นมีอะไรบ้าง และขณะนี้ท่านทำอยู่แล้วกี่ข้อ หรือจะมีข้ออื่นๆ ที่ควรเพิ่มเข้าไปให้เหมาะสมกับเมืองไทยมากขึ้นอีกหรือไม่ 1 กินดีมีสุข คงไม่ต้องย้ำว่าในแต่ละวันท่านควรได้กินอาหารครบทั้งเนื้อ ผัก ข้าว ผลไม้ ฯลฯ แต่ขอเน้นเรื่องการกินที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพที่สำคัญ 2 ประการ ที่เกิดกับคนในเมืองและในชนบทได้แก่ การกินของดิบหรือสุกๆ ดิบๆ ในชนบทที่ทำให้เกิดโรคพยาธิ โดยเฉพาะโรคใบไม้ตับซึ่งทำให้เกิดมะเร็งในท่อน้ำดีตามมา ดังนั้น สำหรับชาวชนบทแล้วคงต้องย้ำว่าการกินแต่ของสุก ลดทุกข์ได้หลาย สำหรับในเมือง ปัญหากลับเป็นเรื่องของการกินมากเกินไป เกิดโรคอ้วน โรคหัวใจตามมา ในหัวข้อนี้ควรจะเตือนให้กินแต่พอดี และควรชั่งน้ำหนักตรวจสอบทุกสัปดาห์ ซึ่งเป็นการติดตามว่าเราเริ่มจะอ้วนเกินไปหรือไม่ 2 งดเหล้าได้ละเป็นดี ผมหวังว่าท่านอ่านแล้วคงไม่หัวเราะนะครับว่าเสนอสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทุกคนก็รู้ว่าสุราที่แปลว่าเหล้านั้นมันไม่ดี แต่คนก็ยังดื่มกันเต็มบ้านเต็มเมือง ถ้าดื่มตามงานสังคมนานๆ ทีคงไม่เป็นไร แต่ถ้าดื่มจนติดคงไม่ดีแน่ นี่ก็ใกล้จะเข้าพรรษาแล้ว ความพยายามจะงดดื่มเหล้าในช่วงนี้เป็นสิ่งดี และเชื่อว่าจะเป็นกำลังใจที่สำคัญเพื่องดในโอกาสอื่นๆ เช่น งดในกรณีที่ต้องขับรถ เป็นต้น 3 บุหรี่หรือชีวิต เลือกชีวิตไว้ก่อน การสูบบุหรี่เป็นการเชื้อเชิญโรคมะเร็งปอด โรคหลอดลมอักเสบ โรคหัวใจ ฯลฯ ให้มาอยู่ในตัวท่าน และยังมีผลต่อสุขภาพของคนรอบข้างด้วย ยังไม่เคยปรากฏว่ามีใครที่ตายจากการอดบุหรี่ แต่ที่ไม่อดบุหรี่นั้นตายกันมามากแล้ว ข้อสำคัญท่านที่สูบบุหรี่กำลังเป็นตัวอย่างให้ลูกหลานริเริ่มสูบบุหรี่ หรือมีส่วนส่งเสริมให้เกิดการสูบบุหรี่ 4 ออกกำลังกายวันละนิด ชีวิตจะปลอดโรค การออกกำลังกาย เช่น เดิน วิ่ง เต้นอยู่กับที่ กระโดดเชือก ว่ายน้ำ เล่นกีฬา ฯลฯ เป็นพฤติกรรมที่สำคัญในการป้องกันการตายด้วยโรคหัวใจ และยังทำให้อวัยวะทุกส่วนแข็งแรง กระปรี้กระเปร่า จิตใจสดใส เข้มแข็ง ขอให้ท่านเข้มแข็งพอที่จะเริ่มต้นทำวันละ 15-20 นาที ไม่ช้าท่านจะรู้สึกขาดการออกกำลังกายไม่ได้ 5 อย่าลืมพักผ่อน ลองดูสักหน่อยว่าบกพร่องในเรื่องนี้หรือไม่ วิธีง่ายๆ คือ ทบทวนดูว่าวันนี้ขณะกินข้าว ขณะขับรถ ขณะเดิน หรือแม้แต่กลับมาบ้านแล้ว ท่านคิดถึงเรื่องงานตลอดเวลาหรือเปล่า ถ้าใช่ควรจะต้องลดลงมา ยังมีสิ่งต่างๆ ที่น่าสนใจอีกมากในชีวิตนอกเหนือจากเรื่องงาน เปลี่ยนบรรยากาศด้วยการพักผ่อนกับครอบครัวบ้าง ทำกิจกรรมร่วมกัน พูดคุย หัวเราะ หยอกล้อ ไปเที่ยวชมธรรมชาติ ฯลฯ และการพักผ่อนกับครอบครัวเป็นสิ่งที่ดีที่สุด นอกจากได้พักผ่อนแล้วยังเป็นการเสริมสร้างสถาบันครอบครัวด้วย 6 มองโลกในด้านดีเข้าไว้ จริงอยู่แม้ว่าสิ่งแวดล้อมจะมีส่วนกำหนดสภาวะจิตใจของคนไว้ค่อนข้างมากแต่ไม่ใช่ทั้งหมด การยิ้มแย้มพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาจะไม่ทำให้สถานการณ์ต่างๆเลวร้ายลง แต่ตรงข้ามจะช่วยทำให้ดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อย เมื่อท่านยิ้มกับโลก โลกก็จะยิ้มกับท่าน ลองเริ่มต้นยิ้มแย้มกับครอบครัว คนที่ทำงาน และทุกคนที่พบปะด้วย แล้วท่านจะรู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่ขึ้นมาก 7 ปลอดภัยไว้ก่อน เตือนตัวเองไว้เสมอว่าอุบัติเหตุจะเกิดได้ตลอดเวลา คอยระวังว่าจะมีอะไรที่จะเป็นต้นตอของอุบัติเหตุได้บ้าง พยายามฝึกนิสัยการป้องกันอุบัติเหตุ เช่น สวมหมวกกันน็อกขณะขับรถมอเตอร์ไซค์ สวมเข็มขัดนิรภัยระหว่างขับรถ และอย่าขับรถภายหลังดื่มสุรา หรือขณะง่วง เป็นต้น อุบัติเหตุเลี่ยงได้แน่ถ้าไม่ประมาท 8 อย่าผิดลูกเมียผู้อื่น ต้นฉบับในภาษาอังกฤษถ้าแปลตรงตัวเขาจะบอกว่า ให้มีคู่นอนเพียงคนเดียว ถ้าจะมีหลายคนก็ต้องสวมถุงยางอนามัย หัวใจหลักของข้อนี้ที่ทางองค์การอนามัยโลกเสนอคงเพื่อให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อเอดส์ ซึ่งสาเหตุที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การเที่ยวสำส่อน ผมอยากขยายความให้ชัดเจนกว่าเดิมว่า ควรมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ คือ ชายกับหญิง และอย่าผิดลูกเมียผู้อื่น นอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังจะดีต่อสังคมด้วย 9 ยาเสพติดเป็นภัยต่อชีวิตเป็นพิษต่อสังคม ข้อนี้คงไม่ต้องขยายความใดๆ ทั้งสิ้น ความจริงแล้วมี 10 ข้อ แต่มีหัวข้อเรื่องการออกกำลังกายที่ต้นฉบับขององค์การอนามัยโลกแยกเป็นเรื่องการเดิน และการเล่นกีฬา และเพื่อให้ครบ 10 ผมขอเพิ่มเองนะครับ 10 ศึกษาและพยายามปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา อย่างน้อยที่สุด หลักธรรมของศาสนาทำให้เรารู้จักการดำเนินชีวิตที่ดีงาม และอยู่ในทางสงบสันติ จะทำให้เรากระวนกระวายใจน้อยลง เซ็งน้อยลง เป็นโรคตึงเครียดน้อยลง และเป็นโรคประสาทน้อยลง ฯลฯ ในเกือบทุกศาสนาจะมีคำสอนที่คล้ายๆ กันว่า ชีวิตดำรงอยู่ได้มิใช่ด้วยอาหารเท่านั้น แต่ด้วยหลักธรรมของศาสนา ดังนั้น สุขภาพทางกายและใจที่ดี มิใช่เพียงการปฏิบัติตามข้อ 1 ถึง 9 เท่านั้น จะต้องมีข้อ 10 สุดท้ายนี้ด้วย
การสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนี้ ผลเสียทางตรง: - โรคมะเร็งปอด: เป็นผลเสียที่พบบ่อยที่สุดและร้ายแรงที่สุดของการสูบบุหรี่ สารเคมีในควันบุหรี่มีมากกว่า 7,000 ชนิด หลายชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปอด คิดเป็น 80-90% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดทั้งหมด การสูบบุหรี่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งชนิดอื่นๆ เช่น มะเร็งหลอดลม มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งช่องปาก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งไต มะเร็งตับอ่อน มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งไต มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งไต มะเร็งลำไส้ใหญ่ - โรคหัวใจและหลอดเลือด: การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด สารเคมีในควันบุหรี่ทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดหลอดเลือดแข็ง (atherosclerosis) ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองอัมพฤกษ์อัมพาต และความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (peripheral artery disease) ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียแขนหรือขา - โรคระบบทางเดินหายใจ: การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคหลอดลมหดเกร็ง การสูบบุหรี่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เช่น ปอดอักเสบ และวัณโรค - โรคกระดูกพรุน: การสูบบุหรี่ลดความหนาแน่นของกระดูก ทำให้กระดูกพรุนและหักง่าย การสูบบุหรี่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกสะโพกหัก - โรคเบาหวาน: การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 - ระบบภูมิคุ้มกัน: การสูบบุหรี่ทำให้อ่อนแอลงของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายไวต่อการติดเชื้อ - สุขภาพสืบพันธุ์: การสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อสุขภาพสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิง ชายที่สูบบุหรี่จะมีจำนวนและคุณภาพของอสุจิลดลง ผู้หญิงที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก การแท้งบุตร และคลอดก่อนกำหนด ผลเสียทางอ้อม: - การสูญเสียการได้ยิน: การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยิน - โรคตา: การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคตาหลายชนิด เช่น ต้อกระจก โรคจอประสาทตาเสื่อม และโรคต้อหิน - ความเสื่อมของผิว: การสูบบุหรี่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย - โรคทางจิต: การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และโรคจิตเภท การเลิกสูบบุหรี่: การเลิกสูบบุหรี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ผู้สูบบุหรี่สามารถทำได้เพื่อสุขภาพของตนเอง การเลิกสูบบุหรี่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_19429
Medical
ความแตกต่างระหว่างการรักษามะเร็งเต้านมด้วยวิธีผ่าตัดเก็บเต้านมฉายรังสีและการผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมดคืออะไร?
คุยกับหมอรักษาโรคมะเร็ง ตอน อัตราเกิดมะเร็งที่มีปัจจัยเสี่ยงจากติดเชื้อเอชพีวี คุยกับหมอรักษาโรคมะเร็ง ตอน อัตราเกิดมะเร็งที่มีปัจจัยเสี่ยงจากติดเชื้อเอชพีวี คุยกับหมอรักษาโรคมะเร็ง ตอน อัตราเกิดมะเร็งที่มีปัจจัยเสี่ยงจากติดเชื้อเอชพีวี การติดเชื้อไวรัสเอชพีวีHPVHuman papilloma virusของอวัยวะต่างๆในร่างกายเป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดมะเร็งของอวัยวะนั้นๆได้ ซึ่งซีดีซีCDC ของสหรัฐอเมริกาศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกาUS CDCUnited States Centers of Diseases Control and Preventionได้ระบุถึงชนิดของมะเร็งที่มีสาเหตุปัจจัยเสี่ยงจากไวรัสนี้ได้แก่ มะเร็งชนิด เอสซีซีสแควมัสเซลล์คาร์ซิโนมาSCC Squamous cell carcinomaของอวัยวะต่อไปนี้ คือ คอหอยส่วนปาก ทวารหนัก ไส้ตรง อวัยวะเพศภายนอกของสตรีโยนี ช่องคลอด ปากมดลูก และอวัยวะเพศชาย การศึกษาใช้ข้อมูลจาก the United States Cancer Statistics program ช่วงปี 2001-2017 และใช้สถิติการศึกษา ผลการศึกษา เพศหญิง ในปี 2017 อัตราเกิดมะเร็งที่มีปัจจัยเสี่ยงจากติดเชื้อเอชพีวี68100000ราย ใน16 ปีที่ผ่านมา อัตราเกิดมะเร็งปากมดลูกลดลงปีละ03 p 0.001 ในขณะที่ มะเร็งคอหอยส่วนปาก อัตราเพิ่มปีละ77 p 0.001 มะเร็งทวารหนักและไส้ตรง เพิ่มปีละ75 p 0.001 มะเร็งโยนีเพิ่มปีละ 27 p 0.001 สถิติคาดการไปข้างหน้าพบว่ามะเร็งทวารหนักและไส้ตรงจะพบสูงกว่ามะเร็งปากมดลูกในปี 2025 ในผู้หญิงกลุ่มอายุ55ปีขึ้น เพศชาย ในปี 2017 อัตราเกิดมะเร็งที่มีปัจจัยเสี่ยงจากติดเชื้อเอชพีวี11.0100000ราย โดย81เป็นมะเร็งคอหอยส่วนปาก ใน16ปีที่ผ่านมา อัตราเกิดมะเร็งที่มีปัจจัยเสี่ยงจากเอชพีวีปีเพิ่ม2.36p 0.001 ที่พบสูงสุดคือ มะเร็งคอหอยส่วนปาก 71ปี p 0.001 ซึ่งพบสูงมากในช่วงอายุ 65-69ปี พบเป็น 36.5100000 ราย คิดเป็นอัตราเพิ่ม 4.24ปี p 0.001 ส่วนมะเร็งทวารหนักและไส้ตรง1.71ปี p 0.001 คณะผู้ศึกษาสรุปว่า มะเร็งที่มีปัจจัยเสี่ยงจากติดเชื้อเอชพีวี อัตราเกิดมะเร็งปากมดลูกปีลดลงอย่างต่อเนื่องในรอบ15ปี อาจเพราะจากมีการตรวจคัดกรองร่วมกับการฉีดวัคซีนเอชพีวี ในขณะที่อัตราเกิดมะเร็งอวัยวะอื่นที่ไม่มีการตรวจคัดกรองและฉีดวัคซีน มีอัตราเกิดปีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งผู้เกี่ยวข้องควรตระหนักเพราะมะเร็งเหล่านี้เป็นมะเร็งที่ป้องกันได้จากการตรวจคัดกรองและการฉีดวัคซีน ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์ วว.รังสีรักษา และเวชศาสตร์นิวเคลียร์ เปรียบเทียบผลการรักษามะเร็งเต้านมระหว่างวิธีผ่าตัดเก็บเต้านมฉายรังสีกับผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด-ฉายรังสี เว็บไซต์ haamor.com หาหมอ.com ใช้คุกกี้ Cookie เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของคุณและนำเสนอเนื้อหาแบบเฉพาะบุคคล หากคุณใช้งานเว็บไซต์ของเราต่อจากนี้ไป โดยไม่ปฏิเสธ เราถือว่าคุณยินยอมให้มีการใช้งานคุกกี้ ข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้งานเว็บไซต์ และ นโยบายความเป็นส่วนตัวสำหรับการใช้งานเว็บไซต์ ยอมรับ ปฏิเสธ ข้อตกลงการใช้งาน สมาชิกที่ใช้งานอยู่ขณะนี้ 0 คน ข้อตกลงการใช้งาน ขอสงวนสิทธิ์ในข้อความ เนื้อหา รูปภาพ องค์ประกอบและสิ่งต่างๆที่ปรากฏใน website หาหมอ.com ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ทำซ้ำ คัดลอก ลอกเลียน ดัดแปลง ตีพิมพ์ เผยแพร่ส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของ website หาหมอ.com ก่อน และบทความ ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ องค์ประกอบและสิ่งต่างๆที่ปรากฏใน website หาหมอ.com เป็นเพียงความคิดเห็นของผู้เขียน ไม่สามารถนำไปเป็นหลักฐานในการฟ้องร้อง หรือใช้ทดแทนคำวินิจฉัย และ หรือ การรักษาจากแพทย์ได้ ข้อความใน เนื้อที่โฆษณา ก็เช่นกัน เป็นการกล่าวอ้างของผู้ลงโฆษณา ไม่สามารถนำไปเป็นหลักฐานในการฟ้องร้อง หรือใช้ทดแทนคำวินิจฉัย และ หรือ การรักษาจากแพทย์ได้ แนะแนวทุกโรค แนะนำทุกหมอ หมวดบทความต่างๆ ข่าวบล็อก โรคที่คนไทยค้นหาบ่อย ยาที่คนไทยค้นหาบ่อย สิว ท้องเสีย ประจำเดือน ริดสีดวง ซึมเศร้า กรดไหลย้อน นิ่ว งูสวัด ความดัน ไข้หวัด ไข้เลือดออก ตากระตุก หูด กล้ามเนื้อ ภูมิแพ้ คลื่นไส้ เวียนหัว ลมพิษ วัณโรค กระดูกสันหลัง มือเท้าปาก วิตามินอี ยาแก้ภูมิแพ้ ยารักษาหูด หงอนไก่ ยาทาแผลเป็น ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาพาราเซตามอล ยารักษาสิว ยาแก้แพ้ ยาทาแก้คัน ยาคุมฉุกเฉิน วิตามินซี วิตามินบี ยาแก้อักเสบ ยาบํารุงเลือด ยาทาเชื้อรา ยาแก้ปวดประจําเดือน ยากรดไหลย้อน ยาแก้ริดสีดวง ยาลดความดัน ยาแก้ปวดท้อง
การรักษามะเร็งเต้านมด้วยวิธีผ่าตัดเก็บเต้านมฉายรังสีและการผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด (มาสเตคโตมี) มีความแตกต่างหลักๆ ดังนี้: 1. การผ่าตัดเก็บเต้านม (Breast-Conserving Surgery หรือ Lumpectomy) และการฉายรังสี - หลักการ: การผ่าตัดจะตัดเฉพาะก้อนเนื้อมะเร็งและเนื้อเยื่อรอบๆ ที่ปนเปื้อนมะเร็งออกเท่านั้น ส่วนเนื้อเยื่อเต้านมส่วนที่ปกติจะถูกเก็บไว้ - การฉายรังสี : หลังจากผ่าตัดมักจะมีการฉายรังสีไปยังบริเวณที่มีเนื้องอกเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่ ลดความเสี่ยงการกลับเป็นซ้ำของมะเร็ง - ข้อดี : รักษาเต้านมไว้ได้ ส่วนใหญ่จะทำให้ผู้ป่วยรักษาส่วนของร่างกายที่สำคัญไว้ได้ - ข้อเสีย : ต้องใช้การฉายรังสีร่วมด้วย ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงจากรังสี เช่น ผิวหนังอักเสบ, อาการปวด และความเหนื่อยล้า 2. การผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด (Mastectomy) - หลักการ: ตัดเต้านมออกทั้งหมด รวมถึงเนื้อเยื่อรอบๆ หัวนมและบางครั้งอาจรวมถึงต่อมน้ำเหลืองใต้วงแขน - ไม่มีการฉายรังสี: ในกรณีที่ไม่จำเป็นต้องมีการฉายรังสีเพิ่มเติม - ข้อดี: การผ่าตัดนี้สามารถกำจัดมะเร็งออกได้ทั้งหมด รวมถึงป้องกันการกลับเป็นซ้ำในบริเวณที่ตัดออก - ข้อเสีย: ไม่สามารถรักษาเต้านมไว้ได้ ผู้ป่วยอาจต้องเผชิญกับการสูญเสียความมั่นใจและต้องผ่านการทำศัลยกรรมเสริมเต้านมเพื่อฟื้นฟูรูปร่างเต้านม การตัดสินใจเลือกระหว่างสองวิธีนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดของก้อนมะเร็ง, ระยะของมะเร็ง, ความต้องการส่วนบุคคล และคำแนะนำจากทีมแพทย์ที่ดูแล**. บางกรณีอาจเลือกใช้การรักษาด้วยวิธีผสมผสานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษามะเร็งเต้านม.
รังสีวิทยา (รังสีวิทยา) - Radiology,ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_3344
Finance
หลักในการเลือกลงทุนได้แก่อะไรบ้าง
การลงทุนมีหลายประเภท ทั้งการลงทุนในตัวเอง การลงทุนในสินทรัพย์จับต้องได้ และการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน หลักในการเลือกลงทุนจึงมีอยู่ว่า… 1) ไม่ควรลงทุนเพียงมิติเดียว 1) ไม่ควรลงทุนเพียงมิติเดียว คนทำงานประจำก็ไม่ควรทำแต่งานเก็บเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์เพียงอย่างเดียว แต่ควรนำเงินที่มีสะสมเพิ่มขึ้นจากการทำงานนั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในระยะยาว หรือแม้แต่กับคนที่มีสินทรัพย์ทางการเงิน ก็ไม่ควรจำกัดขอบเขตการลงทุนอยู่เพียงแค่นั้น แต่ควรพิจารณาถึงการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ รวมถึงการจัดสรรเวลาไปลงทุนในตัวเองด้วย ซึ่งในที่สุดแล้วการพัฒนาตัวขึ้นมานั้น ก็จะยิ่งเปิดโอกาสใหเรามีความรู้และความกล้าที่จะไปลงทุนในด้านอื่น ๆ ได้อย่างกว้างขวางขึ้น ซึ่งอาจกล่าวโดยย่อได้ว่า คนที่รักจะลงทุนต้อง “ครบเครื่อง” 2) ช่วงอายุต่างกันก็ลงทุนต่างกัน 2) ช่วงอายุต่างกันก็ลงทุนต่างกัน วัยรุ่นซึ่งมักจะมีความรู้และประสบการณ์จำกัด รวมทั้งมีเงินลงทุนไม่มาก ก็ควรลงทุนในเรื่องที่มีความซับซ้อนไม่มาก และไม่ต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเยอะ เน้นไปที่การศึกษาหาความรู้ สั่งสมประสบการณ์ หรือแม้แต่จะลอง เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นแบบจำลอง เพื่อให้มีความคุ้นเคยกับระบบการทำงานของตลาดหุ้นและจริตการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ก่อนที่จะเอาเงินไปลงสนามจริง เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นแบบจำลอง คนวัยทำงานที่รายได้เริ่มจะเติบโตไปตามตำแหน่งและประสบการณ์ หรือคนที่เริ่มจะมีเงินออมมากพอสมควรแล้ว ก็ควรขยับไปลงทุนในเรื่องที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น ต้องใช้เงินเป็นก้อนมากขึ้น เช่นการลงทุนในหุ้น หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยคนในช่วงวัยนี้ ควรเน้นไปที่สร้างฐานะให้เติบโตอย่างเต็มที่ ส่วนคนทำงานรุ่นอาวุโสที่มีเงินออมมากแล้ว และยังมีรายได้ประจำ แม้จะยังต้องให้ความสำคัญกับการเติบโตของฐานะ แต่ก็ควรจะเริ่มปรับตัวเข้าสู่วัยเกษียณ โดยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนที่มีความแน่นอนให้มากขึ้น และเมื่อเข้าสู่วัยอาวุโสที่มักจะไม่มีรายได้ประจำจากการทำงานเข้ามาเพิ่มแล้ว แต่มีเงินออมจำนวนมาก ก็ควรจะนำออกมาใช้จ่ายให้สำราญ ไปเที่ยวรอบโลกให้คุ้มกับที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต ไม่ต้องไปคิดถึงตอนเจ็บป่วย ก็ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนสม่ำเสมอ สร้างรายได้ประจำจากเงินลงทุน เพื่อใช้จ่ายในการดำรงชีวิตให้สะดวกสบายและการรักษาพยาบาล และเป็นสิ่งประกันให้ลูกหลานต้องมาดูแล นอกจากนั้น การเลือกลงทุน… 3) ต้องจัดสรรให้เหมาะสมกับระดับความรู้ความเข้าใจ 3) ต้องจัดสรรให้เหมาะสมกับระดับความรู้ความเข้าใจ เช่นเคยฝากแต่ออมทรัพย์ ก็ไม่ใช่อยู่ดี ๆ จะวิ่งไปเปิดบัญชีซื้อขายอนุพันธุ์ หรือคนที่ลงทุนในหุ้นมาตลอด ก็ไม่ใช่ว่าเมื่อมีใครมาชวนซื้อที่ดินแปลงใหญ่ แล้วจะสามารถขายหุ้นล้างพอร์ตออกมาซื้อได้ทันที เพราะการฝืนลงทุนในสิ่งที่ยังไม่รู้จริง ถ้าได้กำไรก็คือโชคดี แต่ถ้าขาดทุนก็คงต้องโทษตัวเอง และการเลือกลงทุนยังต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับจริตความชอบของเราด้วย เช่น เราเป็นคนกลัวความเสี่ยงมาก ชีวิตเจอความไม่แน่นอนเมื่อไหร่ถึงกับนอนไม่หลับ ก็ควรจะรู้ตัวว่าเราไม่เหมาะกับหุ้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมพิจารณาถึงเป้าหมายการสร้างฐานะของเรา หากหวังสูงแต่ลงทุนเฉพาะสิ่งที่ให้ผลตอบแทนต่ำมากก็ไม่มีโอกาสไปถึงเป้าหมายได้ 4) ความจำเป็นในชีวิต 4) ความจำเป็นในชีวิต ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเลือกลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง เช่น ต้องผ่อนรถ แต่กลับเอาเงินไปซื้อที่ดินเปล่า ซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้ เมื่อถึงกำหนดจ่ายหนี้ ก็ไม่สามารถหาเงินสดได้พอ หรือ กำลังผ่อนบ้านอยู่ แต่ออกจากงานประจำเพื่อมาเป็นนักเทรดหุ้นรายวันแต่เพียงอย่างเดียว ในยุคที่ตลาดหุ้นสดใสก็พอจะสามารถเอากำไรไปผ่อนบ้านได้ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าความไม่แน่นอนอยู่คู่ตลาดหุ้นเสมอ ต้องมีช่วงที่ตลาดซบเซา และในอดีตพบว่ามีหลายครั้งที่กินเวลานานเป็นปี นักเทรดหุ้นรายวันก็จะต้องเผชิญความยากลำบากในการหาเงินไปผ่อนบ้าน จึงอาจพูดได้ว่า การเลือกลงทุน ต้องพิจารณาทั้ง “willingness” (ความชอบที่จะลงทุน) และ “ability” (ความสามารถในการลงทุน) ไปพร้อมกัน … ลงทุนแบบที่เหมาะกับตัวเรา ไม่ฝืน สุดท้ายตัวเราเองนั่นแหละที่จะได้ประโยชน์เต็ม ๆ ครับ
หลักในการเลือกลงทุนได้แก่ 1) ไม่ควรลงทุนเพียงมิติเดียว คนทำงานประจำก็ไม่ควรทำแต่งานเก็บเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์เพียงอย่างเดียว แต่ควรนำเงินที่มีสะสมเพิ่มขึ้นจากการทำงานนั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในระยะยาว หรือแม้แต่กับคนที่มีสินทรัพย์ทางการเงิน ก็ไม่ควรจำกัดขอบเขตการลงทุนอยู่เพียงแค่นั้น แต่ควรพิจารณาถึงการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ รวมถึงการจัดสรรเวลาไปลงทุนในตัวเองด้วย ซึ่งในที่สุดแล้วการพัฒนาตัวขึ้นมานั้น ก็จะยิ่งเปิดโอกาสใหเรามีความรู้และความกล้าที่จะไปลงทุนในด้านอื่น ๆ ได้อย่างกว้างขวางขึ้น ซึ่งอาจกล่าวโดยย่อได้ว่า คนที่รักจะลงทุนต้อง “ครบเครื่อง” 2) ช่วงอายุต่างกันก็ลงทุนต่างกัน วัยรุ่นซึ่งมักจะมีความรู้และประสบการณ์จำกัด รวมทั้งมีเงินลงทุนไม่มาก ก็ควรลงทุนในเรื่องที่มีความซับซ้อนไม่มาก และไม่ต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเยอะ เน้นไปที่การศึกษาหาความรู้ สั่งสมประสบการณ์ หรือแม้แต่จะลอง เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นแบบจำลอง เพื่อให้มีความคุ้นเคยกับระบบการทำงานของตลาดหุ้นและจริตการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ก่อนที่จะเอาเงินไปลงสนามจริง คนวัยทำงานที่รายได้เริ่มจะเติบโตไปตามตำแหน่งและประสบการณ์ หรือคนที่เริ่มจะมีเงินออมมากพอสมควรแล้ว ก็ควรขยับไปลงทุนในเรื่องที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น ต้องใช้เงินเป็นก้อนมากขึ้น เช่นการลงทุนในหุ้น หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยคนในช่วงวัยนี้ ควรเน้นไปที่สร้างฐานะให้เติบโตอย่างเต็มที่ ส่วนคนทำงานรุ่นอาวุโสที่มีเงินออมมากแล้ว และยังมีรายได้ประจำ แม้จะยังต้องให้ความสำคัญกับการเติบโตของฐานะ แต่ก็ควรจะเริ่มปรับตัวเข้าสู่วัยเกษียณ โดยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนที่มีความแน่นอนให้มากขึ้น และเมื่อเข้าสู่วัยอาวุโสที่มักจะไม่มีรายได้ประจำจากการทำงานเข้ามาเพิ่มแล้ว แต่มีเงินออมจำนวนมาก ก็ควรจะนำออกมาใช้จ่ายให้สำราญ ไปเที่ยวรอบโลกให้คุ้มกับที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต ไม่ต้องไปคิดถึงตอนเจ็บป่วย ก็ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนสม่ำเสมอ สร้างรายได้ประจำจากเงินลงทุน เพื่อใช้จ่ายในการดำรงชีวิตให้สะดวกสบายและการรักษาพยาบาล และเป็นสิ่งประกันให้ลูกหลานต้องมาดูแล นอกจากนั้น การเลือกลงทุน… 3) ต้องจัดสรรให้เหมาะสมกับระดับความรู้ความเข้าใจ เช่นเคยฝากแต่ออมทรัพย์ ก็ไม่ใช่อยู่ดี ๆ จะวิ่งไปเปิดบัญชีซื้อขายอนุพันธุ์ หรือคนที่ลงทุนในหุ้นมาตลอด ก็ไม่ใช่ว่าเมื่อมีใครมาชวนซื้อที่ดินแปลงใหญ่ แล้วจะสามารถขายหุ้นล้างพอร์ตออกมาซื้อได้ทันที เพราะการฝืนลงทุนในสิ่งที่ยังไม่รู้จริง ถ้าได้กำไรก็คือโชคดี แต่ถ้าขาดทุนก็คงต้องโทษตัวเอง และการเลือกลงทุนยังต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับจริตความชอบของเราด้วย เช่น เราเป็นคนกลัวความเสี่ยงมาก ชีวิตเจอความไม่แน่นอนเมื่อไหร่ถึงกับนอนไม่หลับ ก็ควรจะรู้ตัวว่าเราไม่เหมาะกับหุ้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมพิจารณาถึงเป้าหมายการสร้างฐานะของเรา หากหวังสูงแต่ลงทุนเฉพาะสิ่งที่ให้ผลตอบแทนต่ำมากก็ไม่มีโอกาสไปถึงเป้าหมายได้ 4) ความจำเป็นในชีวิต ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเลือกลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง เช่น ต้องผ่อนรถ แต่กลับเอาเงินไปซื้อที่ดินเปล่า ซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้ เมื่อถึงกำหนดจ่ายหนี้ ก็ไม่สามารถหาเงินสดได้พอ หรือ กำลังผ่อนบ้านอยู่ แต่ออกจากงานประจำเพื่อมาเป็นนักเทรดหุ้นรายวันแต่เพียงอย่างเดียว ในยุคที่ตลาดหุ้นสดใสก็พอจะสามารถเอากำไรไปผ่อนบ้านได้ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าความไม่แน่นอนอยู่คู่ตลาดหุ้นเสมอ ต้องมีช่วงที่ตลาดซบเซา และในอดีตพบว่ามีหลายครั้งที่กินเวลานานเป็นปี นักเทรดหุ้นรายวันก็จะต้องเผชิญความยากลำบากในการหาเงินไปผ่อนบ้าน จึงอาจพูดได้ว่า การเลือกลงทุน ต้องพิจารณาทั้ง “willingness” (ความชอบที่จะลงทุน) และ “ability” (ความสามารถในการลงทุน) ไปพร้อมกัน … ลงทุนแบบที่เหมาะกับตัวเรา ไม่ฝืน สุดท้ายตัวเราเองนั่นแหละที่จะได้ประโยชน์เต็ม ๆ
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_30476
Medical
ทารกที่กินนมแม่เพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องได้รับวิตามินเสริมหรือไม่?
null
ไม่จำเป็น เหตุผล: 1. นมแม่มีสารอาหารครบถ้วน: นมแม่มีสารอาหารครบถ้วนที่ทารกแรกเกิดต้องการสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการ - นมแม่มีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุ ในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของทารก - นมแม่ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ และภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันทารกจากโรคต่างๆ 2. นมแม่ย่อยง่าย: นมแม่ย่อยง่าย ทารกสามารถดูดซึมสารอาหารจากนมแม่ได้ดี นมแม่ช่วยให้ระบบย่อยอาหารของทารกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยป้องกันทารกจากอาการท้องผูก 3. นมแม่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: นมแม่มีภูมิคุ้มกัน ที่ช่วยป้องกันทารกจากโรคต่างๆ เช่น โรคติดเชื้อทางเดินหายใจโรคท้องเสีย และโรคภูมิแพ้ 4. นมแม่ช่วยพัฒนาการสมอง: นมแม่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6ที่ช่วยพัฒนาการสมอง และสายตาของทารก 5. นมแม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแม่: การให้นมบุตร ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และโรคหัวใจ ตัวอย่าง: - ทารกที่กินนมแม่เพียงอย่างเดียวไม่จำเป็นตตองได้รับวิตามินเสริม เว้นแต่แพทย์จะแนะนำ - ทารกที่กินนมผง อาจจำเป็นต้องได้รับวิตามินเสริมเพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน สรุป: ทารกที่กินนมแม่เพียงอย่างเดียวไม่จำเป็นต้องได้รับวิตามินเสริมเพราะนมแม่มีสารอาหารครบถ้วนย่อยง่าย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน พัฒนาการสมองและมีประโยชน์ต่อสุขภาพแม่
สูติศาสตร์ (สูติศาสตร์) - Obstetrics,กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_42765
Finance
จากบทความ "การลงทุนที่ดี: ต้องแลกด้วยอะไร?" อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงทุน
(a) เงินลงทุน (b) เวลา (c) จิตใจ (d) แผนการลงทุน
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ (d) แผนการลงทุน เนื่องจาก เหตุผล: (a) ไม่ถูกต้อง - บทความระบุว่า เงินลงทุนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการลงทุน ยังมีสิ่งอื่น ๆ ที่สำคัญเช่น เวลา จิตใจ และแผนการลงทุน (b) ไม่ถูกต้อง - บทความระบุว่า การใช้เวลากับการลงทุนมากเกินไปอาจไม่คุ้มค่า และควรมีเวลาสำหรับสิ่งอื่น ๆ ในชีวิตด้วย (c) ไม่ถูกต้อง - บทความระบุว่า การควบคุมจิตใจและอารมณ์สำคัญในการลงทุน แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด (d) ถูกต้อง - บทความระบุว่า แผนการลงทุนที่ดีจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินโดยไม่ต้องทุ่มเทเวลา จิตใจ และเงินลงทุนมากเกินไป ข้อสรุป: ตัวเลือกที่ถูกต้องคือ (d) แผนการลงทุน เหตุผลเพิ่มเติม: บทความระบุว่า "การวางแผนให้ดีตั้งแต่แรกแล้วทำตามแผนนั้นไปเรื่อยๆ" เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด บทความระบุว่า "โดยที่ไม่ต้องพยายามเอาชนะมากเกินไป ก็แค่ชนะตัวเองโดยการทำตามแผนให้ได้" บทความระบุว่า "ไปถึงเป้าหมายการเงินของตัวเองให้สำเร็จ"
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_20862
Medical
กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก ALAคืออะไร
null
เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีพันธะคู่หลายตำแหน่ง โดยมีความสำคัญต่อร่างกายคือ เป็นกรดไขมันที่ร่างกายเราไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก ALA เป็นกรดไขมันต้นตอที่ร่างกายนำไปสร้างเป็นกรดไขมันอีพีเอ EPA และกรดไขมันดีเอชเอ DHA ได้ หากเรากินอาหารที่ไม่มีกรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก ALA เลย เราอาจจะขาดกรดไขมันโอเมก้า ๓ ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกรดไขมันโอเมก้า ๓ มีอยู่ในอาหารหลายชนิดด้วยกัน แหล่งของกรดไขมันโอเมก้า ๓ กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก ALA ส่วนใหญ่จะได้จากอาหารที่เป็นไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง หรือน้ำมันอีกหลายๆ ชนิด และน้ำมันรำข้าวซึ่งมีเล็กน้อย หรือในอาหารที่เป็นถั่วโดยตรงก็มีอยู่ในธรรมชาติ ถั่วเมล็ดแห้งหลายชนิด และมาจากน้ำมันพวกอื่นๆ ในอาหาร รวมถึงพืชผักต่างๆ ด้วย ส่วนกรดไขมันอีพีเอ EPA และดีเอชเอ DHA จะได้จากสัตว์ โดยเฉพาะปลาทั้งปลาทะเลและปลาน้ำจืด ทั้งอีพีเอและดีเอชเอจะมีมากน้อยแล้วแต่ชนิดของปลา โดยทั่วไปมีอยู่เล็กน้อย และขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่มีอยู่ในปลาด้วย เมื่อเราย่อยไขมันแล้วก็จะได้กรดไขมัน ซึ่งร่างกายเราจะนำมาย่อย แล้วนำไปใช้ประโยชน์ในลักษณะต่างๆ คนทั่วไปเมื่อพูดถึงกรดไขมันโอเมก้า ๓ แล้วมักคิดว่ามีอยู่แต่ในปลาทะเลน้ำลึกของต่างประเทศเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง มีข้อมูลปริมาณกรดไขมันโอเมก้า ๓ และโอเมก้า ๖ ในปลาทะเลและปลาน้ำจืดไทยเช่นเดียวกัน ดังแสดงไว้ในตารางที่ ๑ และ ๒ ปริมาณกรดไขมันโอเมก้า ๓ มากน้อยแตกต่างกันไปตามชนิดของปลาและปริมาณไขมันทั้งหมดในปลา ตารางที่ ๑ ปริมาณไขมันทั้งหมด กรดไขมันโอเมก้า ๖ และโอเมก้า ๓ ในปลาทะเลไทย ปลาทะเลไทย ส่วนที่กินได้ ๑๐๐ กรัม ไขมันทั้งหมด กรัม ปริมาณกรดไขมัน กรัม โอเมก้า ๖ โอเมก้า ๓ ปลาจะละเม็ดขาว ปลาสำลี ปลากะพงขาว ปลาอินทรี ปลาทู ปลาทูนึ่ง ปลาจะละเม็ดดำ ปลากะพงแดง ปลาเก๋า
เภสัชวิทยา Pharmacology,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43848
Finance
จงสรุปบทความ 2022 US Earnings Recession ควรกังวลหรือไม่ และประเมินผลกระทบต่อหุ้นสหรัฐฯ อย่างไร
จากข้อมูลเงินเฟ้อและตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทั่วโลกล่าสุด โดยเฉพาะในภูมิภาคหลักอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ที่เริ่มส่อให้เห็นถึงโอกาสการที่เงินเฟ้อจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงทั้งปี และนโยบายการเงินที่อาจตึงตัวได้มากขึ้น นักลงทุนกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในสถานการณ์การลงทุนปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อที่สูงในรอบหลายทศวรรษกำลังกัดเซาะกำลังซื้อและมูลค่าพอร์ตการลงทุน และความผันผวนล่าสุดในตลาดทุนทำให้ภูมิทัศน์การลงทุนดูมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้จะมีการพูดถึงกันมากว่าความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในเศรษฐกิจหลัก (Economic Recession) ปีนี้มีโอกาสเกิดต่ำมาก แต่ความเสี่ยงการลดลงของประมาณการผลประกอบการ (Earnings Recession) กลับเริ่มชัดเจนมากขึ้นในบางตลาด เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากข้อมูลเงินเฟ้อและตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทั่วโลกล่าสุด โดยเฉพาะในภูมิภาคหลักอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ที่เริ่มส่อให้เห็นถึงโอกาสการที่เงินเฟ้อจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงทั้งปี และนโยบายการเงินที่อาจตึงตัวได้มากขึ้น นักลงทุนกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในสถานการณ์การลงทุนปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อที่สูงในรอบหลายทศวรรษกำลังกัดเซาะกำลังซื้อและมูลค่าพอร์ตการลงทุน และความผันผวนล่าสุดในตลาดทุนทำให้ภูมิทัศน์การลงทุนดูมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้จะมีการพูดถึงกันมากว่าความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในเศรษฐกิจหลัก (Economic Recession) ปีนี้มีโอกาสเกิดต่ำมาก แต่ความเสี่ยงการลดลงของประมาณการผลประกอบการ (Earnings Recession) กลับเริ่มชัดเจนมากขึ้นในบางตลาด เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ คำถามสำคัญคือ นักลงทุนควรต้องกังวลหรือไม่ และผลกระทบรายอุตสาหกรรมจะเป็นเช่นไร? จากข้อมูลล่าสุดของ FactSet ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 2 ข้อมูลชี้ว่านักวิเคราะห์ได้ทยอยปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 สำหรับไตรมาส 2 โดยตัวเลขกำไรต่อหุ้น หรือ EPS (Earnings Per Share) จากมุมมองการวิเคราะห์จากล่างขึ้นบน หรือ Bottom-Up ซึ่งเป็นการรวมค่า Median EPS โดยประมาณในไตรมาส 2 สำหรับบริษัททั้งหมดในดัชนี ลดลง 1.3% (เป็น 55.36 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 56.06 ดอลลาร์สหรัฐ) ถึงตรงนี้มีข้อสังเกตว่า ตามปกตินักวิเคราะห์มักจะลดประมาณการรายได้ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสเสมอ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (20 ไตรมาส) การลดลงโดยเฉลี่ยของ Bottom-Up EPS ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสอยู่ที่ 1.9% และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (40 ไตรมาส) ค่าเฉลี่ย Bottom-Up EPS ที่ลดลงในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสอยู่ที่ 2.7% ดังนั้นการลดลงของค่า Bottom-Up EPS ที่ราว 1.3% ในรอบนี้ ยังถือว่าน้อยกว่าค่าเฉลี่ย 5 และ 10 ปีในอดีต อย่างไรก็ตามมีข้อพึงระวังว่า การลดลงของประมาณการ Bottom-Up EPS รอบนี้ ถือว่ามากที่สุดของประมาณการกำไรต่อหุ้นในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส นับตั้งแต่ 2Q20 (-35.9%) ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่มีการล็อกดาวน์ในสหรัฐฯ เนื่องจากสถานการณ์โควิด โดยตัวเลขกำไรต่อหุ้น หรือ EPS (Earnings Per Share) จากมุมมองการวิเคราะห์จากล่างขึ้นบน หรือ Bottom-Up ซึ่งเป็นการรวมค่า Median EPS โดยประมาณในไตรมาส 2 สำหรับบริษัททั้งหมดในดัชนี ลดลง 1.3% (เป็น 55.36 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 56.06 ดอลลาร์สหรัฐ) ถึงตรงนี้มีข้อสังเกตว่า ตามปกตินักวิเคราะห์มักจะลดประมาณการรายได้ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสเสมอ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (20 ไตรมาส) การลดลงโดยเฉลี่ยของ Bottom-Up EPS ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสอยู่ที่ 1.9% และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (40 ไตรมาส) ค่าเฉลี่ย Bottom-Up EPS ที่ลดลงในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสอยู่ที่ 2.7% ดังนั้นการลดลงของค่า Bottom-Up EPS ที่ราว 1.3% ในรอบนี้ ยังถือว่าน้อยกว่าค่าเฉลี่ย 5 และ 10 ปีในอดีต อย่างไรก็ตามมีข้อพึงระวังว่า การลดลงของประมาณการ Bottom-Up EPS รอบนี้ ถือว่ามากที่สุดของประมาณการกำไรต่อหุ้นในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส นับตั้งแต่ 2Q20 (-35.9%) ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่มีการล็อกดาวน์ในสหรัฐฯ เนื่องจากสถานการณ์โควิด ในระดับรายอุตสาหกรรมนั้นพบว่า 7 ใน 11 อุตสาหกรรมมีการประมาณตัวเลข Bottom-Up EPS ลดลงสำหรับ 2Q22 ในช่วงวันที่ 31 มีนาคม – 31 พฤษภาคม นำโดยการปรับลดในกลุ่ม Consumer Discretionary (-15.8%) และ Communication Services (-7.3%) ในทางตรงข้าม พบว่ามี 4 อุตสาหกรรมที่มีการปรับเพิ่ม Bottom-Up EPS นำโดยกลุ่ม Energy (+29.4%) และ Materials (+8.7%) อย่างไรก็ดี แม้ว่าในช่วงไตรมาส 2 จะถูกคาดว่าเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการจริงของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จะออกมาแย่เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก แต่นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการ EPS โดยรวมสำหรับ 2 ไตรมาสถัดไป (3Q22 และ 4Q22) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยปรับประมาณการ Bottom-Up EPS สำหรับไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้น 0.4% ในขณะที่สำหรับไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 0.2% ตามลำดับ ในทางตรงข้าม พบว่ามี 4 อุตสาหกรรมที่มีการปรับเพิ่ม Bottom-Up EPS นำโดยกลุ่ม Energy (+29.4%) และ Materials (+8.7%) อย่างไรก็ดี แม้ว่าในช่วงไตรมาส 2 จะถูกคาดว่าเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการจริงของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จะออกมาแย่เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก แต่นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการ EPS โดยรวมสำหรับ 2 ไตรมาสถัดไป (3Q22 และ 4Q22) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยปรับประมาณการ Bottom-Up EPS สำหรับไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้น 0.4% ในขณะที่สำหรับไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 0.2% ตามลำดับ การปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในการประมาณการ Bottom-Up EPS สำหรับไตรมาสที่ 3 และ 4 นี้ มาจากคาดการณ์ที่ว่าบริษัทที่แข็งแกร่งส่วนใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักยังคงความสามารถในการสร้าง Positive Earnings Surprises ได้ต่อ แม้ว่าขนาดการเติบโตของรายได้จะลดลงก็ตาม ทั้งนี้นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้นทั้งหมดในปี 2022 อีกด้วย โดย Bottom-Up EPS สำหรับ CY2022 เพิ่มขึ้น 0.7% เป็น 229.49 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 227.83 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดีสำหรับ CY2022 ในระดับอุตสาหกรรม พบว่ามี 5 อุตสาหกรรมที่กำลังเผชิญ Earnings Downgrade นำโดยกลุ่ม Consumer Discretionary (-10.8%) และ Communication Services (-3.7%) ในทางตรงข้าม มี 5 อุตสาหกรรมเช่นกันที่มี Earnings Upgrade นำโดยกลุ่ม Energy (+24.4%) และ Materials (+9.3%) และกลุ่มที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง Earnings Revision ได้แก่ Utilities ดังนั้นแม้ตัวเลขประมาณ Bottom-Up EPS สำหรับ 2Q22 จะลดลง แต่ EPS สำหรับ CY2022 และ CY2023 ยังเพิ่มขึ้นจากข้อมูลของ FactSet ล่าสุด อย่างไรก็ดีปัจจุบันดัชนี S&P 500 ยังคงปรับลดลงโดยเฉลี่ยอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงราว YTD -18% ส่งผลให้อัตราส่วน Forward P/E ล่วงหน้า 12 เดือนสำหรับ S&P 500 ลดลงเหลือราว 16-17 เท่า จาก 20 เท่าช่วงต้นปี และยังมีความผันผวนสูงต่อเนื่อง ทั้งนี้นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้นทั้งหมดในปี 2022 อีกด้วย โดย Bottom-Up EPS สำหรับ CY2022 เพิ่มขึ้น 0.7% เป็น 229.49 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 227.83 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดีสำหรับ CY2022 ในระดับอุตสาหกรรม พบว่ามี 5 อุตสาหกรรมที่กำลังเผชิญ Earnings Downgrade นำโดยกลุ่ม Consumer Discretionary (-10.8%) และ Communication Services (-3.7%) ในทางตรงข้าม มี 5 อุตสาหกรรมเช่นกันที่มี Earnings Upgrade นำโดยกลุ่ม Energy (+24.4%) และ Materials (+9.3%) และกลุ่มที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง Earnings Revision ได้แก่ Utilities ดังนั้นแม้ตัวเลขประมาณ Bottom-Up EPS สำหรับ 2Q22 จะลดลง แต่ EPS สำหรับ CY2022 และ CY2023 ยังเพิ่มขึ้นจากข้อมูลของ FactSet ล่าสุด อย่างไรก็ดีปัจจุบันดัชนี S&P 500 ยังคงปรับลดลงโดยเฉลี่ยอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงราว YTD -18% ส่งผลให้อัตราส่วน Forward P/E ล่วงหน้า 12 เดือนสำหรับ S&P 500 ลดลงเหลือราว 16-17 เท่า จาก 20 เท่าช่วงต้นปี และยังมีความผันผวนสูงต่อเนื่อง จากการประเมินผลกระทบการเกิด US Earnings Recession ข้างต้น จะทำให้นักลงทุนพอเห็นภาพว่าในปีนี้และปีหน้า โอกาสการเกิด US Earnings Recession ที่รุนแรงยังมีต่ำ เนื่องจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคาดมีการเติบโตกำไรต่อหุ้นอยู่ทั้งในปีนี้และปีหน้า แม้จะเป็นตัวเลขการเติบโตที่น้อยลงก็ตาม
สรุปจากข้อมูลเงินเฟ้อและตัวเลขการคาดการณ์การเติบโตทั่วโลกล่าสุด: 1. โอกาสการที่เงินเฟ้อยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงทั้งปีและนโยบายการเงินต้องตัวได้มากขึ้น: ข้อมูลเส้นทางต่าง ๆ ชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่เงินเฟ้อจะยังคงทรงตัวในระดับสูงตลอดทั้งปี ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับนโยบายการเงินที่อาจต้องตัวมากขึ้นในปีนี้ 2. ความท้าทายในการลงทุน: นักลงทุนเผชิญกับความท้าทายจากอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งอาจกัดกลางกำลังซื้อและมูลค่าพอร์ตการลงทุน 3. ความเสี่ยงของรายได้ที่ลดลง (Earnings Recession): ข้อมูลชี้ว่านักวิเคราะห์ได้ปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 สำหรับไตรมาส 2 โดยมีการลดลงของ Bottom-Up EPS ที่ราว 1.3% 4. การปรับตัวในอุตสาหกรรม: มี 7 ใน 11 อุตสาหกรรมที่มีการปรับลด Bottom-Up EPS สำหรับไตรมาส 2, โดย Consumer Discretionary และ Communication Services ลดลงมาก อย่างตรงข้าม, มี 4 อุตสาหกรรมที่มีการปรับเพิ่ม Bottom-Up EPS, โดย Energy และ Materials มีการเพิ่มขึ้นมาก 5. ผลกระทบของการปรับตัว: การปรับลดในช่วงไตรมาส 2 นั้นแม้จะลดลง, แต่นักวิเคราะห์ได้เพิ่มประมาณการ EPS สำหรับไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้เล็กน้อย 6. สถานะของดัชนี S&P 500: ดัชนี S&P 500 ยังคงปรับลดลงเฉลี่ยอย่างต่อเนื่อง และมีความผันผวนสูง 7. ผลกระทบในอนาคต: นักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนในแวดวงที่มีการปรับลดลง, แต่นำเสนอว่าโอกาสในการเกิด US Earnings Recession ที่รุนแรงยังมีต่ำ การประมาณการของตลาดและบริษัทในช่วงนี้จึงมีความสำคัญ โดยการติดตามข้อมูลล่าสุดและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นประจำ จะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจในการจัดการพอร์ตของตนอย่างมีข้อมูลพื้นฐานและมีสามารถปรับตัวต่อเงื่อนไขตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_42948
Finance
จากบทความ กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการลงทุนในประเทศไทยในปัจจุบันคืออะไร?
(ก) ลงทุนในหุ้นไทยโดยตรง เน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง (ข) ลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทย เน้นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานดีในอดีต (ค) กระจายเงินลงทุนระหว่างหุ้นไทย กองทุนรวม และอสังหาริมทรัพย์ (ง) ลงทุนในธุรกิจส่วนตัว เน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
คำตอบคือ (ค) กระจายเงินลงทุนระหว่างหุ้นไทย กองทุนรวม และอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจาก เหตุผล: (ก) หุ้นขนาดใหญ่มีความเสี่ยงต่ำ คาดหวังผลตอบแทนปานกลาง (ข) กองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพช่วยดูแล ช่วยลดความเสี่ยง (ค) กระจายความเสี่ยง เพิ่มโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี ลดโอกาสขาดทุน (ง) ธุรกิจส่วนตัวมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงสูง สภาพคล่องต่ำ คำตอบที่ถูกต้อง: (ค) กระจายเงินลงทุนระหว่างหุ้นไทย กองทุนรวม และอสังหาริมทรัพย์ เหตุผลเพิ่มเติม: บทความอธิบายว่าประเทศไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เติบโตต่อเนื่อง การลงทุนในหุ้นไทยมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงสูง การลงทุนในกองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพช่วยดูแล ช่วยลดความเสี่ยง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีศักยภาพเติบโตสูง แต่มีความเสี่ยงสูง สภาพคล่องต่ำ การกระจายเงินลงทุนระหว่างหุ้น กองทุนรวม และอสังหาริมทรัพย์ ช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี สรุป: กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการลงทุนในประเทศไทยในปัจจุบันคือ การกระจายเงินลงทุนระหว่างหุ้นไทย กองทุนรวม และอสังหาริมทรัพย์ หมายเหตุ: กลยุทธ์นี้เป็นเพียงแนวทางทั่วไป นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงของการลงทุนอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ สัดส่วนการลงทุนในแต่ละประเภทสินทรัพย์ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ และระยะเวลาการลงทุน ข้อควรระวัง: การลงทุนมีความเสี่ยง ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_12971
Medical
ยาทาซิเมลทีออนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร
A. ยาฉีด B. ยาทา C. ยาน้ำชนิดรับประทาน D. ยาแคปซูลชนิดรับประทาน
ข้อที่ถูกต้องคือ D. เนื่องจาก ยาทาซิเมลทีออนมีรูปแบบการจัดจำหน่าย เช่น ยาแคปซูลชนิดรับประทาน ที่ประกอบด้วยตัวยา Tasimelteon 20 มิลลิกรัมแคปซูล ทาซิเมลทีออนมีขนาดรับประทานอย่างไร ยาทาซิเมลทีออนมีขนาดรับประทาน เช่น ผู้ใหญ่ รับประทานยา 20 มิลลิกรัม ครั้งเดียววัน ก่อนเข้านอน เด็ก ห้ามใช้ยานี้กับเด็ก เพราะยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกในด้านความปลอดภัยของยานี้ในเด็ก อนึ่ง ห้ามรับประทานยานี้พร้อมอาหาร หมายเหตุ ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสม ควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยา ทาซิเมลทีออน ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์พยาบาล และเภสัชกร ดังนี้ ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยาใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัดหายใจลำบาก มีโรคประจำตัวต่างๆ อย่างเช่น โรคตับ รวมทั้งกำลังกินยาใช้ยาอะไรอยู่เพราะยาทาซิเมลทีออนอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กินที่ใช้อยู่ก่อน หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_22722
Medical
เด็กวัย 3-4 ขวบ มักมีของแปลกปลอมเข้าจมูกบ่อย มีวิธีป้องกันและแก้ไขอย่างไร?
null
เด็กวัย 3-4 ขวบ อยู่ในช่วงวัยที่ชอบเล่นและเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เด็กวัยนี้จึงมักหยิบจับสิ่งของต่างๆ ใส่ปากหรือจมูก โดยไม่ทันระวัง วิธีป้องกัน - เก็บของแปลกปลอมที่มีขนาดเล็ก ชิ้นส่วนของเล่น เมล็ดผลไม้ ถั่ว ช็อกโกแลต เหรียญ กระดุม ให้พ้นมือเด็ก - ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเวลาเล่น - สอนให้เด็กรู้จักอันตรายของการเอาสิ่งแปลกปลอมใส่จมูก - ฝึกให้เด็กหยิบจับสิ่งของด้วยความระมัดระวัง วิธีแก้ไข - กรณีสิ่งแปลกปลอมอยู่ไม่ลึก พยายามสั่งน้ำมูกแรงๆ เพื่อให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมา - กรณีสิ่งแปลกปลอมอยู่ลึก ห้ามใช้คีมคีบหรือเข็มแคะจมูกเอง เพราะอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมดันเข้าไปลึกยิ่งขึ้น ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อเอาสิ่งแปลกปลอมออกอย่างถูกวิธี สิ่งที่ควรสังเกต เด็กมีน้ำมูกไหลข้างเดียว เป็นๆ หายๆ น้ำมูกมีกลิ่นเหม็น เด็กหายใจลำบาก เด็กมีอาการไอ เด็กใช้มือปิดจมูกบ่อยๆ ภาวะแทรกซ้อน สิ่งแปลกปลอมอาจอุดตันทางเดินหายใจ ทำให้เด็กหายใจไม่สะดวก สิ่งแปลกปลอมอาจติดเชื้อ ส่งผลต่อโพรงจมูกและไซนัส สิ่งแปลกปลอมอาจหลุดลงไปในหลอดลมหรือปอด ส่งผลร้ายแรงถึงชีวิต การรักษา แพทย์จะใช้เครื่องมือพิเศษในการเอาสิ่งแปลกปลอมออก โดยอาจใช้ยาชาเฉพาะที่หรือดมยาสลบ ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของสิ่งแปลกปลอม คำแนะนำเพิ่มเติม ควรพาเด็กไปพบแพทย์ทันที กรณีสงสัยว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก ห้ามใช้ยาทาแก้ปวดหรือยาแก้อักเสบบริเวณรูจมูกเอง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ สอนให้เด็กรู้วิธีสั่งน้ำมูกอย่างถูกต้องเพื่อป้องกันไม่ให้จมูกไหลย้อนกลับและทำให้เกิดการติดเชื้อ สรุป: เด็กวัย 3-4 ขวบ มักมีของแปลกปลอมเข้าจมูกบ่อย ผู้ปกครองควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด สอนให้เด็กรู้จักอันตรายของการเอาสิ่งแปลกปลอมใส่จมูก และรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที กรณีสงสัยว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_30899
Medical
อะไรคือหลักการ 4 บ ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์?
null
หลักการ 4 บ ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ประกอบด้วย 1. บอกเล่า: บอกผู้ป่วยทราบว่าจะทำหรือให้ทำอะไร ใช้คำพูดที่ชัดเจน เข้าใจง่าย พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล อ่อนโยน พูดซ้ำเมื่อจำเป็น หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่ซับซ้อนหรือก่อให้เกิดความสับสน 2. เบี่ยงเบน: หลีกเลี่ยงการโต้เถียงหรือขัดแย้งกับผู้ป่วย พยายามดึงดูดความสนใจของผู้ป่วยไปสู่กิจกรรมอื่น เลือกกิจกรรมที่ผู้ป่วยคุ้นเคย สนุกสนาน และผ่อนคลาย เปลี่ยนบรรยากาศหรือสถานที่เพื่อลดความเบื่อหน่าย 3. บอกซ้ำ: อธิบายสิ่งที่จะทำต่อไปด้วยท่าทีและน้ำเสียงเป็นมิตร พูดซ้ำเมื่อผู้ป่วยลืมหรือไม่เข้าใจ อดทนและใจเย็น ไม่แสดงท่าทางหงุดหงิด เน้นย้ำข้อมูลสำคัญเป็นระยะ 4. แบ่งเบา/บำบัด: จัดเตรียมสภาพแวดล้อมให้สงบ ปลอดภัย และสะดวกสบาย หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่มากเกินไป จัดกิจวัตรประจำวันให้เป็นระเบียบ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเองเท่าที่จะเป็นไปได้ ดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้ป่วย การดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ จำเป็นต้องอาศัยความอดทน เข้าใจ และความรักจากคนรอบข้าง หลักการ 4 บ นี้เป็นแนวทางเบื้องต้นที่ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีแนวทางอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น พาผู้ป่วยไปพบแพทย์เป็นประจำเพื่อติดตามอาการ เรียนรู้เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์เพิ่มเติม เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนสำหรับผู้ดูแลผู้ป่วย ดูแลสุขภาพของผู้ดูแลเอง การดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ อาจเป็นงานที่ยากลำบาก แต่ด้วยความรัก ความเข้าใจ และการสนับสนุนจากคนรอบข้าง ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_256
Finance
Five Forces Model คืออะไร
null
Five Forces Model คือ การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการแข่งขันของธุรกิจ ถูกคิดค้นโดย Michael E. Porter อาจารย์จากมหาวิทยาลัย Harvard ซึ่งเครื่องมือนี้เป็นแนวคิด เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ภาวะการแข่งขันทางธุรกิจ ประกอบไปด้วย 5 ส่วน ได้แก่ 1. การแข่งขันของผู้เล่นที่อยู่ในอุตสาหกรรม (Competition) เป็นการวิเคราะห์ว่า อุตสาหกรรมนั้น ๆ มีสภาพการแข่งขันเป็นอย่างไร ถ้าจำนวนคู่แข่งในอุตสาหกรรมมีมาก ผู้เล่นในอุตสาหกรรม ก็มีแนวโน้มที่จะทำกำไรได้น้อย นอกจากนี้ อุตสาหกรรมนั้นกำลังอยู่ในช่วงของการเติบโตเร็วหรือถดถอย หากเป็นกรณีหลัง การแข่งขันก็มีแนวโน้มที่จะรุนแรง เพราะผู้เล่นแต่ละรายจะพยายามหาทาง เพื่อทำให้ธุรกิจอยู่รอด 2. การคุกคามของคู่แข่งหน้าใหม่ (Threat of New Entrants) อุตสาหกรรมที่คู่แข่งเข้ามาลำบาก จะทำให้ผู้เล่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดิม มีแนวโน้มที่จะเจอการแข่งขันน้อย และมีโอกาสที่จะทำกำไร มากกว่าอุตสาหกรรมที่คู่แข่งเข้ามาแข่งขันได้ง่าย ซึ่งความยากง่ายนี้ เกิดมาจากหลายปัจจัย เช่น เงินลงทุนในการเริ่มต้นทำธุรกิจ เทคโนโลยีในการผลิต ลิขสิทธิ์ หรือสิทธิบัตร ความเชี่ยวชาญ การประหยัดจากขนาด หรือสัมปทานจากภาครัฐ 3. การคุกคามจากสินค้าหรือการบริการทดแทน (Threat of Substitutes) เป็นการวิเคราะห์ว่า อุตสาหกรรมนั้น มีสินค้าหรือการบริการใดทดแทนได้บ้าง เพราะถ้ามี อาจทำให้ลูกค้าเลือกหันไปซื้อสินค้าและบริการอื่นทดแทนได้ 4. อำนาจการต่อรองของลูกค้า (Bargaining Power of Customers) อุตสาหกรรมที่ลูกค้ามีอำนาจในการต่อรองสูง หมายถึง ลูกค้าหรือผู้ซื้อมีทางเลือกมากมายในการซื้อสินค้าและบริการ กรณีนี้ทำให้ลูกค้าอาจขอซื้อสินค้าในราคาต่ำลงได้ง่าย และผู้ขายก็ต้องยอม ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ลดลง หรือการขอเพิ่มคุณภาพสินค้ามากขึ้น ทำให้บริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน สินค้าและบริการที่ลูกค้ามีทางเลือกน้อย อำนาจการต่อรองของลูกค้าจะต่ำ ซึ่งแม้ว่าจะมีการปรับขึ้นราคา ลูกค้าก็ยอมจ่ายเพิ่มอยู่ดี 5. อำนาจต่อรองจากซัปพลายเออร์ (Bargaining Power of Suppliers) หากซัปพลายเออร์มีอำนาจต่อรองที่สูง จะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการสูง เพราะสามารถขอขึ้นราคาสินค้าได้ตามที่ต้องการ ดังนั้นทางที่ดีควรลดอำนาจซัปพลายเออร์ให้น้อยลง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_44159
Finance
นักลงทุนควรพิจารณาประเด็นใดมากที่สุดก่อนตัดสินใจลงทุนใน Private Assets
a. กรอบระยะเวลาการลงทุนที่ชัดเจนและค่อนข้างยาว b. โอกาสในการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน c. จำนวนเงินลงทุนขั้นต้นที่สูง d. ความเสี่ยงสภาพคล่องที่สูงกว่าการลงทุนใน Public Assets ทั่วไป
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ b. เนื่องจาก แม้ว่าการลงทุนใน Private Assets จะมีข้อจำกัดด้านจำนวนเงินลงทุนขั้นต้น ระยะเวลา และความเสี่ยงสภาพคล่อง แต่บทความมุ่งเน้นไปที่ ข้อดี ของการลงทุนประเภทนี้ ดังนี้ ผลตอบแทนที่คาดหวังสูงกว่า: บทความระบุว่า Private Assets โดยเฉลี่ยมีผลตอบแทนที่สูงกว่า Public Assets ความผันผวนต่ำกว่า: Private Assets มักมีความผันผวนน้อยกว่า Public Assets การกระจายความเสี่ยง: การลงทุนใน Private Assets ช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน โดยไม่ต้องพึ่งพาเพียง Public Assets ดังนั้น ตัวเลือกที่โอกาสในการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน จึงเป็นตัวเลือกที่สอดคล้องกับประเด็นหลักของบทความมากที่สุด หมายเหตุ: คำตอบอื่น ๆ นั้นเป็นข้อจำกัดของการลงทุนใน Private Assets ซึ่งบทความได้กล่าวถึง แต่ไม่ได้เน้นย้ำให้เป็นประเด็นหลัก คำตอบที่ถูกต้องควรมีเนื้อหาอธิบายเพิ่มเติมจากตัวเลือก เพื่อแสดงความเข้าใจประเด็นในบทความอย่างถ่องแท้
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_12131
Medical
ยาเอซีอี อินฮิบิเตอร์ (ACE inhibitor) เหมาะสำหรับใช้รักษาผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีอาการไอเรื้อรังหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ยาเอซีอี อินฮิบิเตอร์ มีผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือ อาการไอเรื้อรัง ซึ่งอาจรบกวนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย อาการไอจากยาเอซีอี อินฮิบิเตอร์ มักเกิดขึ้นภายใน 1 สัปดาห์หลังเริ่มใช้ยา และอาจคงอยู่ตลอดระยะเวลาการรักษา กลไกการออกฤทธิ์ของยาเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยับยั้งการเปลี่ยนแปลง Angiotensin I ไปเป็น Angiotensin II ส่งผลให้ระดับ Bradykinin ในร่างกายสูงขึ้น Bradykinin กระตุ้นต่อมรับความรู้สึกในหลอดลม ทำให้เกิดอาการไอ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีอาการไอเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นในการรักษา เช่น - ยาขับปัสสาวะ - ยาบล็อกตัวรับ β-adrenergic - ยาบล็อกตัวรับแคลเซียม - ยาขยายหลอดเลือด แพทย์อาจพิจารณาปรับขนาดยาเอซีอี อินฮิบิเตอร์ เปลี่ยนตัวยา หรือหยุดยา depending on the severity of the cough and the patient's individual circumstances. ข้อควรระวัง: - ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาเอซีอี อินฮิบิเตอร์ด้วยตนเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ - ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับอาการไอเรื้อรัง หรือยาอื่นๆ ที่ใช้อยู่ สรุป: ยาเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ไม่เหมาะสำหรับใช้รักษาผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีอาการไอเรื้อรัง แพทย์จะพิจารณาทางเลือกอื่นในการรักษา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละบุคคลของผู้ป่วย
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_44213
Finance
จงช่วยสรุปเรื่อง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ปรับพอร์ต 3 ไตรมาส ได้ไหม
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้งสำหรับการลงทุนของนักลงทุนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นหนึ่งในบริษัทให้ผลตอบแทนด้านการลงทุนที่เรียกได้ว่าน่าผิดหวัง โดยหุ้น BRK ปรับตัวลดลงถึง -19% ในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน -3.2% เท่านั้น โดยในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา คุณปู่ได้มีการปรับพอร์ตขนานใหญ่ มีการขายหุ้นสายการบินที่ถือเอาไว้ออกทั้งหมด โดยมองว่าผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะหนักหนาและกินเวลานานกว่าที่คิด และได้มีการขายหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินที่ตัวเขาชอบมากและชอบมาอย่างยาวนาน โดยได้ขายหุ้นอย่าง JPMorgan และ Wells Fargo ออกไปพอสมควร และได้ขายหุ้น Goldman Sachs ออกไปจนหมด ได้เงินไปทั้งสิ้นราว 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ได้มีการเพิ่มการถือครองหุ้น Bank of America เป็นจำนวนเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การปรับตัวลดลงของราคาหุ้น Berkshire Hathaway ที่มากกว่าดัชนี S&P 500 ค่อนข้างมาก ส่งผลให้ตัวคุณปู่เริ่มถูกค่อนขอดจากตลาดว่าน่าจะเป็นนักลงทุนที่ ‘ตกยุค’ ไปแล้วเรียบร้อย เนื่องจากในพอร์ตมีหุ้นในกลุ่ม New Economy อย่างเทคโนโลยีในสัดส่วนที่น้อยเกินไป ทำให้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นบริษัทแพ้ดัชนีมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Berkshire เริ่มมีการฟื้นตัวที่ดี โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ราว 20% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เพียง 8% จากการปรับฐานที่รุนแรงของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่นนับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่หุ้น Apple ที่ทางบริษัทถืออยู่มากที่สุดปรับตัวเพิ่มขึ้น 26% และหุ้น Coca-Cola ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 10% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้งสำหรับการลงทุนของนักลงทุนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นหนึ่งในบริษัทให้ผลตอบแทนด้านการลงทุนที่เรียกได้ว่าน่าผิดหวัง โดยหุ้น BRK ปรับตัวลดลงถึง -19% ในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน -3.2% เท่านั้น โดยในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา คุณปู่ได้มีการปรับพอร์ตขนานใหญ่ มีการขายหุ้นสายการบินที่ถือเอาไว้ออกทั้งหมด โดยมองว่าผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะหนักหนาและกินเวลานานกว่าที่คิด และได้มีการขายหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินที่ตัวเขาชอบมากและชอบมาอย่างยาวนาน โดยได้ขายหุ้นอย่าง JPMorgan และ Wells Fargo ออกไปพอสมควร และได้ขายหุ้น Goldman Sachs ออกไปจนหมด ได้เงินไปทั้งสิ้นราว 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ได้มีการเพิ่มการถือครองหุ้น Bank of America เป็นจำนวนเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การปรับตัวลดลงของราคาหุ้น Berkshire Hathaway ที่มากกว่าดัชนี S&P 500 ค่อนข้างมาก ส่งผลให้ตัวคุณปู่เริ่มถูกค่อนขอดจากตลาดว่าน่าจะเป็นนักลงทุนที่ ‘ตกยุค’ ไปแล้วเรียบร้อย เนื่องจากในพอร์ตมีหุ้นในกลุ่ม New Economy อย่างเทคโนโลยีในสัดส่วนที่น้อยเกินไป ทำให้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นบริษัทแพ้ดัชนีมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Berkshire เริ่มมีการฟื้นตัวที่ดี โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ราว 20% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เพียง 8% จากการปรับฐานที่รุนแรงของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่นนับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่หุ้น Apple ที่ทางบริษัทถืออยู่มากที่สุดปรับตัวเพิ่มขึ้น 26% และหุ้น Coca-Cola ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 10% มาดูกันว่าบัฟเฟตต์ได้ซื้อหุ้นอะไรที่น่าสนใจเข้ามาบ้าง 1. Barrick Gold เป็นที่ทราบกันดีว่าบัฟเฟตต์ไม่ได้ชื่นชอบการซื้อสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ เลยนอกจากหุ้น ในอดีตมากกว่า 10 ปี ตัวคุณปู่ได้เคยซื้อหุ้น PetroChina ที่เป็นหุ้นเกี่ยวกับคอมโมดิตี้ แต่ก็ไม่ได้ถือนานมากนัก มาในปี 2020 ตัวคุณปู่ได้ซื้อหุ้นที่ทำให้ตลาดประหลาดใจอยู่พอสมควร นั่นคือได้เข้าไปซื้อหุ้น Barrick Gold ที่ทำธุรกิจเหมืองทองคำ ที่ผ่านมาตัวคุณปู่มีความเห็นว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้น่าดึงดูดสักเท่าไร ไม่ใช่ธุรกิจ และไม่สามารถสร้างอะไรขึ้นมาได้เลย เงินปันผลก็ไม่มี เป็นสินทรัพย์ที่นั่งอยู่เฉยๆ แต่ต้องหาที่เก็บให้มัน และจะมีใช้จ่ายตามมาอีกต่างหาก แต่การซื้อเหมืองทองคำถือว่าเป็นการซื้อธุรกิจ ไม่ได้ซื้อคอมโมดิตี้โดยตรง แต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างแปลกอยู่ดี ดังนั้นตลาดจึงคาดว่าการลงทุนในครั้งนี้น่าจะเป็นฝีมือของ ทอดด์ คอมบ์ส และเท็ด เวชเลอร์ ที่เป็นผู้จัดการด้านการลงทุนของบริษัทมากกว่า แต่การเข้าซื้อหุ้นจำนวน 20.92 ล้านหุ้น มูลค่า 536.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐก็น่าจะได้ไฟเขียวจากทางคุณปู่บัฟเฟตต์ด้วย ซึ่งถ้ามองในมุมของเศรษฐกิจมหภาคแล้ว การลงทุนในเหมืองทองคำก็ถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เนื่องจากในช่วง 1-2 ปีนับจากนี้ไป ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงดอกเบี้ยในระดับต่ำ และรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วก็น่าจะยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่อง ปริมาณของพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนติดลบทั่วโลกก็คงจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำยังพอมีอัพไซด์ ดังนั้นการซื้อหุ้นเหมืองทองเลยก็เป็นการลงทุนที่น่าสนใจ 2. Bank of America อันนี้ถือว่าน่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน เนื่องจากทางบริษัทได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นสถาบันการเงินถึง 9 แห่ง และได้ขายหุ้น Goldman Sachs ออกไปจนหมด แต่มีการถือครองหุ้น Bank of America เพิ่มมากขึ้น โดยทาง Berkshire ได้ซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ถือหุ้นของธนาคารแห่งนี้เป็นสัดส่วน 12% ตลาดคาดว่าปัจจัยหลักที่ทำให้คุณปู่เข้าซื้อธนาคารแห่งนี้มาจากมูลค่าที่น่าสนใจ โดยหุ้นในกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่ราคาปรับตัวลดลงมาแรงมากจากผลกระทบของโควิด-19 แต่ Bank of America มีพอร์ตสินเชื่อที่คุณภาพสูง และเป็นบริษัทที่เปรียบเสมือนเครื่องพิมพ์ธนบัตรดีๆ นี่เอง ในช่วงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2019 ถึงมิถุนายน 2020 บริษัทได้ให้ผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเป็นจำนวนเงินสูงถึง 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านการจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืน อีกปัจจัยมาจากความอ่อนไหวต่อดอกเบี้ยนโยบาย จากการทดสอบย้อนหลังพบว่าราคาของหุ้น Bank of America มีความอ่อนไหวต่อดอกเบี้ยนโยบายสูงเป็นอันดับต้นๆ การเข้าซื้อหุ้น Bank of America ของ Berkshire เกิดขึ้นในตอนที่ดอกเบี้ยนโยบายลงมาสู่พื้นแล้วที่ 0-0.25% มันแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่ดอกเบี้ยจะต่ำกว่านี้ ถึงแม้ดอกเบี้ยน่าจะยังอยู่ในระดับต่ำแบบนี้ไปอีกพักใหญ่ แต่ถึงจุดหนึ่งมันก็จะต้องค่อยๆ ปรับตัวขึ้น และ Bank of America จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ 3. Berkshire Hathaway บริษัทนี้ถือว่าไม่ค่อยน่าแปลกใจนัก เพราะตัวคุณปู่ก็เคยพูดหลายครั้งว่าถ้าหาโอกาสที่น่าลงทุนไม่ได้ การซื้อหุ้นคืนในบริษัท Berkshire เองก็เป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจเพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น โดยทางบริษัทได้ซื้อหุ้นคืนเป็นจำนวนเงิน 6,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งปีแรก และได้ซื้อเพิ่มขึ้นอีกถึง 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งมากกว่า 2 ไตรมาสแรกของปีรวมกันเสียอีก และส่งผลให้ยอดรวมในการซื้อหุ้นคืนสูงถึง 15,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยหลักที่ทำให้ตัวคุณปู่เข้าซื้อบริษัทตัวเองสูงขนาดนี้มาจากสัดส่วนทางการเงินตัวหนึ่ง นั่นคือราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี หรือ Price to Book ของบริษัทที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 8 ปี เป็นที่ทราบกันดีว่าคุณปู่บัฟเฟตต์เป็นคนที่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของสหรัฐฯ มากที่สุด มากกว่าประเทศไหนๆ ในโลก และการที่ Berkshire ได้ถือครองหุ้นทั้งที่อยู่ในตลาดหุ้นและไม่ได้อยู่มากกว่า 60 บริษัท เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ดีจากผลกระทบของการแพร่ระบาด ก็เชื่อว่าราคาหุ้นของ Berkshire น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีพอสมควรเลย เป็นที่ทราบกันดีว่าบัฟเฟตต์ไม่ได้ชื่นชอบการซื้อสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ เลยนอกจากหุ้น ในอดีตมากกว่า 10 ปี ตัวคุณปู่ได้เคยซื้อหุ้น PetroChina ที่เป็นหุ้นเกี่ยวกับคอมโมดิตี้ แต่ก็ไม่ได้ถือนานมากนัก มาในปี 2020 ตัวคุณปู่ได้ซื้อหุ้นที่ทำให้ตลาดประหลาดใจอยู่พอสมควร นั่นคือได้เข้าไปซื้อหุ้น Barrick Gold ที่ทำธุรกิจเหมืองทองคำ ที่ผ่านมาตัวคุณปู่มีความเห็นว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้น่าดึงดูดสักเท่าไร ไม่ใช่ธุรกิจ และไม่สามารถสร้างอะไรขึ้นมาได้เลย เงินปันผลก็ไม่มี เป็นสินทรัพย์ที่นั่งอยู่เฉยๆ แต่ต้องหาที่เก็บให้มัน และจะมีใช้จ่ายตามมาอีกต่างหาก แต่การซื้อเหมืองทองคำถือว่าเป็นการซื้อธุรกิจ ไม่ได้ซื้อคอมโมดิตี้โดยตรง แต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างแปลกอยู่ดี ดังนั้นตลาดจึงคาดว่าการลงทุนในครั้งนี้น่าจะเป็นฝีมือของ ทอดด์ คอมบ์ส และเท็ด เวชเลอร์ ที่เป็นผู้จัดการด้านการลงทุนของบริษัทมากกว่า แต่การเข้าซื้อหุ้นจำนวน 20.92 ล้านหุ้น มูลค่า 536.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐก็น่าจะได้ไฟเขียวจากทางคุณปู่บัฟเฟตต์ด้วย ซึ่งถ้ามองในมุมของเศรษฐกิจมหภาคแล้ว การลงทุนในเหมืองทองคำก็ถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เนื่องจากในช่วง 1-2 ปีนับจากนี้ไป ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงดอกเบี้ยในระดับต่ำ และรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วก็น่าจะยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่อง ปริมาณของพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนติดลบทั่วโลกก็คงจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำยังพอมีอัพไซด์ ดังนั้นการซื้อหุ้นเหมืองทองเลยก็เป็นการลงทุนที่น่าสนใจ อันนี้ถือว่าน่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน เนื่องจากทางบริษัทได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นสถาบันการเงินถึง 9 แห่ง และได้ขายหุ้น Goldman Sachs ออกไปจนหมด แต่มีการถือครองหุ้น Bank of America เพิ่มมากขึ้น โดยทาง Berkshire ได้ซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ถือหุ้นของธนาคารแห่งนี้เป็นสัดส่วน 12% ตลาดคาดว่าปัจจัยหลักที่ทำให้คุณปู่เข้าซื้อธนาคารแห่งนี้มาจากมูลค่าที่น่าสนใจ โดยหุ้นในกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่ราคาปรับตัวลดลงมาแรงมากจากผลกระทบของโควิด-19 แต่ Bank of America มีพอร์ตสินเชื่อที่คุณภาพสูง และเป็นบริษัทที่เปรียบเสมือนเครื่องพิมพ์ธนบัตรดีๆ นี่เอง ในช่วงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2019 ถึงมิถุนายน 2020 บริษัทได้ให้ผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเป็นจำนวนเงินสูงถึง 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านการจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืน อีกปัจจัยมาจากความอ่อนไหวต่อดอกเบี้ยนโยบาย จากการทดสอบย้อนหลังพบว่าราคาของหุ้น Bank of America มีความอ่อนไหวต่อดอกเบี้ยนโยบายสูงเป็นอันดับต้นๆ การเข้าซื้อหุ้น Bank of America ของ Berkshire เกิดขึ้นในตอนที่ดอกเบี้ยนโยบายลงมาสู่พื้นแล้วที่ 0-0.25% มันแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่ดอกเบี้ยจะต่ำกว่านี้ ถึงแม้ดอกเบี้ยน่าจะยังอยู่ในระดับต่ำแบบนี้ไปอีกพักใหญ่ แต่ถึงจุดหนึ่งมันก็จะต้องค่อยๆ ปรับตัวขึ้น และ Bank of America จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ บริษัทนี้ถือว่าไม่ค่อยน่าแปลกใจนัก เพราะตัวคุณปู่ก็เคยพูดหลายครั้งว่าถ้าหาโอกาสที่น่าลงทุนไม่ได้ การซื้อหุ้นคืนในบริษัท Berkshire เองก็เป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจเพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น โดยทางบริษัทได้ซื้อหุ้นคืนเป็นจำนวนเงิน 6,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งปีแรก และได้ซื้อเพิ่มขึ้นอีกถึง 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งมากกว่า 2 ไตรมาสแรกของปีรวมกันเสียอีก และส่งผลให้ยอดรวมในการซื้อหุ้นคืนสูงถึง 15,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยหลักที่ทำให้ตัวคุณปู่เข้าซื้อบริษัทตัวเองสูงขนาดนี้มาจากสัดส่วนทางการเงินตัวหนึ่ง นั่นคือราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี หรือ Price to Book ของบริษัทที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 8 ปี เป็นที่ทราบกันดีว่าคุณปู่บัฟเฟตต์เป็นคนที่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของสหรัฐฯ มากที่สุด มากกว่าประเทศไหนๆ ในโลก และการที่ Berkshire ได้ถือครองหุ้นทั้งที่อยู่ในตลาดหุ้นและไม่ได้อยู่มากกว่า 60 บริษัท เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ดีจากผลกระทบของการแพร่ระบาด ก็เชื่อว่าราคาหุ้นของ Berkshire น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีพอสมควรเลย Berkshire Hathaway ได้มีการซื้อหุ้นคืนเป็นจำนวนสูงมาก ในไตรมาส 2 และ 3 ที่ผ่านมา ภาพ:Bloomberg Berkshire Hathaway ได้มีการซื้อหุ้นคืนเป็นจำนวนสูงมาก ในไตรมาส 2 และ 3 ที่ผ่านมา ภาพ:Bloomberg Berkshire Hathaway ได้มีการซื้อหุ้นคืนเป็นจำนวนสูงมาก ในไตรมาส 2 และ 3 ที่ผ่านมา ภาพ:Bloomberg สรุป การมองว่าคุณปู่เป็นนักลงทุนที่เหลือแต่ตำนานแล้วและเป็นนักลงทุนที่ตกยุคดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยยุติธรรมกับตัวเขาสักเท่าไร ถึงแม้ในช่วงหลังๆ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น Berkshire อาจจะสู้ดัชนีอย่าง S&P 500 ไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรมากนัก อย่างในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาก็สามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีมากกว่าเท่าตัว การลงทุนของบริษัทก็พยายามลงทุนไปที่บริษัทในกลุ่มธุรกิจใหม่ หรือ New Economy มากขึ้น อย่างล่าสุดที่เข้าไปซื้อหุ้น Snowflake ที่ทำธุรกิจ Cloud Computing ในราคา IPO และได้มีการออกไปซื้อหุ้นต่างประเทศด้วย ผ่านการซื้อหุ้นเทรดดิ้งขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น 5 แห่ง แห่งละไม่ต่ำกว่า 5% ของสัดส่วนในการเป็นเจ้าของในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพราะมองว่าจะเป็นธุรกิจที่อย่างไรก็อยู่ได้ และจะฟื้นตัวได้ดีในช่วงหลังการแพร่ระบาด ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาหุ้นของ Berkshire ค่อนข้าง Underperform ดัชนีในภาพรวมมาจากเงินสดก้อนมหาศาลที่รอลงทุน ตัวเลขล่าสุดเมื่อสิ้นไตรมาส 3 เงินสดของบริษัทมีปริมาณสูงถึง 145,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินก้อนนี้ถือเป็นโจทย์ก้อนใหญ่ที่จะต้องนำไปลงทุนให้เกิดผลตอบแทน เนื่องจากดอกเบี้ยที่อยู่ต่ำมากในปัจจุบัน การถือครองเงินสดไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนอะไร แต่โอกาสในการลงทุนค่อนข้างที่จะหายาก เพราะบริษัทจะต้องลงทุนในดีลที่ค่อนข้างใหญ่และมีราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งหาได้ยากในช่วงต่อจากนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และทางธนาคารกลางก็เข้ามาช่วยเหลือเศรษฐกิจผ่านการทำ QE ทำให้บริษัทต่างๆ สามารถประคองตัวผ่านช่วงเวลาที่ย่ำแย่มาได้ ต้องมาดูกันว่าผลตอบแทนของหุ้น Berkshire Hathaway ในไตรมาส 4 จะยังสามารถเอาชนะตลาดในภาพรวมได้อีกครั้งหรือไม่ เพราะถ้านับตั้งแต่เข้าปี 2020 ราคาหุ้นของ Berkshire Hathaway จนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายนยังคงติดลบอยู่ -0.8% แพ้ดัชนี S&P 500 ที่ให้ผลตอบแทน +9.5% อยู่พอสมควรครับ การมองว่าคุณปู่เป็นนักลงทุนที่เหลือแต่ตำนานแล้วและเป็นนักลงทุนที่ตกยุคดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยยุติธรรมกับตัวเขาสักเท่าไร ถึงแม้ในช่วงหลังๆ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น Berkshire อาจจะสู้ดัชนีอย่าง S&P 500 ไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรมากนัก อย่างในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาก็สามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีมากกว่าเท่าตัว การลงทุนของบริษัทก็พยายามลงทุนไปที่บริษัทในกลุ่มธุรกิจใหม่ หรือ New Economy มากขึ้น อย่างล่าสุดที่เข้าไปซื้อหุ้น Snowflake ที่ทำธุรกิจ Cloud Computing ในราคา IPO และได้มีการออกไปซื้อหุ้นต่างประเทศด้วย ผ่านการซื้อหุ้นเทรดดิ้งขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น 5 แห่ง แห่งละไม่ต่ำกว่า 5% ของสัดส่วนในการเป็นเจ้าของในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพราะมองว่าจะเป็นธุรกิจที่อย่างไรก็อยู่ได้ และจะฟื้นตัวได้ดีในช่วงหลังการแพร่ระบาด ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาหุ้นของ Berkshire ค่อนข้าง Underperform ดัชนีในภาพรวมมาจากเงินสดก้อนมหาศาลที่รอลงทุน ตัวเลขล่าสุดเมื่อสิ้นไตรมาส 3 เงินสดของบริษัทมีปริมาณสูงถึง 145,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินก้อนนี้ถือเป็นโจทย์ก้อนใหญ่ที่จะต้องนำไปลงทุนให้เกิดผลตอบแทน เนื่องจากดอกเบี้ยที่อยู่ต่ำมากในปัจจุบัน การถือครองเงินสดไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนอะไร แต่โอกาสในการลงทุนค่อนข้างที่จะหายาก เพราะบริษัทจะต้องลงทุนในดีลที่ค่อนข้างใหญ่และมีราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งหาได้ยากในช่วงต่อจากนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และทางธนาคารกลางก็เข้ามาช่วยเหลือเศรษฐกิจผ่านการทำ QE ทำให้บริษัทต่างๆ สามารถประคองตัวผ่านช่วงเวลาที่ย่ำแย่มาได้ ต้องมาดูกันว่าผลตอบแทนของหุ้น Berkshire Hathaway ในไตรมาส 4 จะยังสามารถเอาชนะตลาดในภาพรวมได้อีกครั้งหรือไม่ เพราะถ้านับตั้งแต่เข้าปี 2020 ราคาหุ้นของ Berkshire Hathaway จนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายนยังคงติดลบอยู่ -0.8% แพ้ดัชนี S&P 500 ที่ให้ผลตอบแทน +9.5% อยู่พอสมควรครับ พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์ พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
หุ้น BRK ปรับตัวลดลงถึง -19% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน -3.2% การปรับตัวลดลงของราคาหุ้น Berkshire Hathaway ที่มากกว่าดัชนี S&P 500 ค่อนข้างมาก ส่งผลให้ตัวคุณปู่เริ่มถูกค่อนขอดจากตลาดว่าน่าจะเป็นนักลงทุนที่ ‘ตกยุค’ ไปแล้วเรียบร้อย เนื่องจากในพอร์ตมีหุ้นในกลุ่ม New Economy อย่างเทคโนโลยีในสัดส่วนที่น้อยเกินไป ทำให้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นบริษัทแพ้ดัชนีมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา บัฟเฟตต์ได้ซื้อหุ้นอะไรที่น่าสนใจเข้ามา 1. Barrick Gold การลงทุนในเหมืองทองคำก็ถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เนื่องจากในช่วง 1-2 ปีนับจากนี้ไป ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงดอกเบี้ยในระดับต่ำ และรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วก็น่าจะยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่อง ปริมาณของพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนติดลบทั่วโลกก็คงจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำยังพอมีอัพไซด์ ดังนั้นการซื้อหุ้นเหมืองทองเลยก็เป็นการลงทุนที่น่าสนใจ 2. Bank of America จากการทดสอบย้อนหลังพบว่าราคาของหุ้น Bank of America มีความอ่อนไหวต่อดอกเบี้ยนโยบายสูงเป็นอันดับต้นๆ การเข้าซื้อหุ้น Bank of America ของ Berkshire เกิดขึ้นในตอนที่ดอกเบี้ยนโยบายลงมาสู่พื้นแล้วที่ 0-0.25% มันแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่ดอกเบี้ยจะต่ำกว่านี้ ถึงแม้ดอกเบี้ยน่าจะยังอยู่ในระดับต่ำแบบนี้ไปอีกพักใหญ่ แต่ถึงจุดหนึ่งมันก็จะต้องค่อยๆ ปรับตัวขึ้น 3. Berkshire Hathaway การซื้อหุ้นคืนในบริษัท Berkshire เองก็เป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจเพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น โดยทางบริษัทได้ซื้อหุ้นคืนเป็นจำนวนเงิน 6,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งปีแรก และได้ซื้อเพิ่มขึ้นอีกถึง 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งมากกว่า 2 ไตรมาสแรกของปีรวมกันเสียอีก และส่งผลให้ยอดรวมในการซื้อหุ้นคืนสูงถึง 15,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยหลักที่ทำให้ตัวคุณปู่เข้าซื้อบริษัทตัวเองสูงขนาดนี้มาจากสัดส่วนทางการเงินตัวหนึ่ง นั่นคือราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี หรือ Price to Book ของบริษัทที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 8 ปี
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_25682
Medical
โยทะกามีสรรพคุณทางยาหรือไม่ จงอธิบาย
null
"โยทะกา น้องเล็กของสามใบเถา" ไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับสรรพคุณทางยาของโยทะกาโดยตรง อย่างไรก็ตาม ต้นไม้สกุล Bauhinia หลายชนิดมีสรรพคุณทางยา เช่น Bauhinia variegata L. (กาหลง) ใบมีรสเย็น แก้ไอ แก้เจ็บคอ แก้ท้องเสีย ต้มน้ำดื่ม Bauhinia purpurea L. (ชงโค) ใบมีรสฝาด แก้ท้องเสีย แก้บิดมูกเลือด ต้มน้ำดื่ม Bauhinia tomentosa L. (ปอลิง) เปลือกลำต้นมีรสฝาด แก้ท้องเสีย แก้บิด ต้มน้ำดื่ม ดังนั้น เป็นไปได้ว่าโยทะกา (Bauhinia monandra Kurz) อาจมีสรรพคุณทางยาคล้ายคลึงกับต้นไม้สกุล Bauhinia ชนิดอื่นๆ แต่ยังไม่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันสรรพคุณทางยาของโยทะกาโดยเฉพาะ งานวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณทางยาของต้นไม้สกุล Bauhinia: Antibacterial and antifungal activities of Bauhinia species Anti-inflammatory and analgesic activities of Bauhinia species Antidiabetic and antihyperlipidemic activities of Bauhinia species ข้อควรระวัง: ไม่ควรนำส่วนใดของต้นโยทะกามารับประทานเองโดยไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้สมุนไพรใดๆ สรุป: ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันสรรพคุณทางยาของโยทะกาโดยเฉพาะ เป็นไปได้ว่าโยทะกาอาจมีสรรพคุณทางยาคล้ายคลึงกับต้นไม้สกุล Bauhinia ชนิดอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้สมุนไพรใดๆ
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_10706
Medical
จงสรุปบทความ ความหมายของผลบวกจริง ผลบวกปลอม และผลบวกลวงในทางการแพทย์
ผลบวกจริง True positive ผลบวกปลอม ผลบวกลวง False positive ผลลบจริง True negative ผลลบปลอม ผลลบลวง False negative ผลตรวจเป็นบวกTest positive ผลตรวจเป็นลบ Test negative การวินิจฉัยโรคหรือการวินิจฉัยภาวะผิดปกติต่างๆ ด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือห้องแลป Laboratory หรือ ย่อว่า Lab เช่น การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ การตรวจอุจจาระ การรายงานผลตรวจวิธีการหนึ่ง คือ รายงานว่า ผลตรวจเป็นบวก หรือ ผลตรวจเป็นลบ ผลตรวจเป็นบวก หมายความว่า มีโอกาสเป็นโรคนั้น หรือ มีภาวะนั้นๆ แต่อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจทุกอย่างมีความผิดพลาดได้เสมอ ทั้งนี้อาจเนื่องจากลักษณะการดำเนินโรคเอง โรคภาวะผิดปกติอื่นๆที่ส่งผลรบกวนการตรวจ เช่น การกินยาบางชนิด และหรือความผิดพลาดทางเทคนิค เช่น จากความผิดพลาดของเครื่องตรวจเอง หรือจากประสิทธิภาพของน้ำยาที่ใช้ตรวจ ดังนั้นในการวินิจฉัยโรค แพทย์จะไม่ใช้ผลจากการตรวจเพียงวิธีการเดียว แต่อย่างน้อยจะใช้ 2-3 วิธีร่วมกัน โดยที่ 2 วิธีสำคัญที่สุด คือ ประวัติอาการประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย และการตรวจร่างกาย ส่วนวิธีที่ 3 คือ ผลจากการตรวจสืบค้นเพิ่มเติม ซึ่งในโรคที่รุน แรงถ้าการตรวจทางห้องปฏิบัติการให้ผลบวก แพทย์มักต้องมีหลักฐานจากประวัติทางการ แพทย์ การตรวจร่างกาย และการตรวจสืบค้นซ้ำด้วยเทคนิคที่ 2 ซึ่งเป็นวิธีที่ซับซ้อน มีค่าใช้ จ่ายสูงกว่าวิธีแรก เป็นวิธีที่ใช้เฉพาะเพื่อการยืนยันผลตรวจครั้งแรก ซึ่งถ้าทั้ง 3 ปัจจัยให้ผลตรงกัน การตรวจครั้งแรก เรียกว่า ผลบวกจริง แต่ถ้าให้ผลว่าผู้ป่วยไม่มีโรคไม่มีภาวะนั้นๆ เรียกผลการตรวจนั้นๆว่า ผลบวกปลอม หรือ ผลบวกลวง คือให้ผลว่าเป็นโรคมีภาวะนั้นๆ ทั้งที่ความเป็นจริง คือ ปกติ ตัวอย่างเช่น ตรวจเลือดครั้งแรกดูการติดเชื้อ เอชไอวี ถ้าให้ผลบวก แพทย์ต้องดูประวัติเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ของผู้ป่วย และมีการตรวจเลือดซ้ำด้วยอีกเทคนิคหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ว่า การตรวจครั้งแรก เป็นผลบวกจริง ไม่ใช่ ผลบวกปลอม หรือ ผลบวกลวง ผลตรวจเป็นลบ มีความหมายตรงข้ามกับผลตรวจเป็นบวก คือ ไม่เป็นโรค หรือไม่มีภาวะนั้นๆ ทั้งนี้เช่นเดียวกัน ในการตรวจครั้งแรก ถ้าได้ผลเป็นลบ และตรงกับประวัติทางการ แพทย์และการตรวจร่างกายว่า ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แพทย์จะสรุปได้ว่า ผลตรวจนั้นเป็น ผลลบจริง แต่ถ้าจากประวัติทางการแพทย์และการตรวจร่างกาย ผู้นั้นอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ผลตรวจนั้น อาจผิดได้ คือ แท้จริงมีโรคมีภาวะผิดปกติแต่ผลตรวจไม่สามารถตรวจพบได้ เรียกว่า เป็น ผลลบปลอม หรือ ผลลบลวง คือ มีโรคมีความผิดปกติ แต่ตรวจไม่พบตรวจให้ผลว่าไม่เป็นโรคไม่ผิดปกติ ดังนั้นถ้าประวัติทางการแพทย์และการตรวจร่างกายเป็นกลุ่มเสี่ยง แพทย์จะต้องตรวจซ้ำด้วยการตรวจเทคนิคเดิม หรืออีกเทคนิคที่มีความแม่นยำสูงกว่า ถ้ามีวิธีตรวจนั้นๆ เพื่อพิสูจน์ว่า เป็นผลลบจริง หรือ ผลลบลวง ทั้งนี้ เหตุผลที่ทำให้เกิดการตรวจผิดพลาดเป็นผลลบล่วง เช่นเดียวกับในการตรวจแล้วเกิด ผลบวกลวง นอกจากนั้น อาจเกิดจากในการตรวจขณะนั้น ร่างกายยังสร้างสารที่จะใช้วินิจฉัยโรคได้ในปริมาณน้อยจนไม่สามารถตรวจพบได้ เช่น ฮอร์โมนการตั้งครรภ์ ในคนที่เพิ่งขาดประจำเดือนได้ 1-2 สัปดาห์ หรือ สารภูมิต้านทานต่างๆ เช่น เพิ่งสัมผัสเชื้อเอชไอวีได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ เพราะร่างกายจำเป็นต้องใช้ระ ยะเวลาในการสร้างสารเหล่านี้ ให้ได้ปริมาณมากพอที่จะตรวจพบได้ ซึ่งทั่วไปมักประมาณ 4 สัปดาห์หลังจากสัมผัสโรค หรือในการสร้างฮอร์โมนต่างๆ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น การตรวจเลือดดูการติดเชื้อ เอชไอวี ถ้าผลเป็นลบในคนที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง ผลลบนั้น เป็นผลลบจริง แต่ถ้าการตรวจให้ผลลบในผู้มีปัจจัยเสี่ยง แพทย์จะต้องนึกถึงว่า อาจเป็นผลลบลวงได้ ผู้นั้นจึงต้องตรวจเลือดซ้ำอีกครั้ง ประมาณ 3 เดือนนับจากวันสัมผัสเชื้อ ซึ่งจะให้ผลบวกจริง หรือ ผลลบจริงได้สูงถึง 97
การวินิจฉัยโรค หรือการวินิจฉัยภาวะผิดปกติต่างๆ ด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือห้องแลป เช่น การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ การตรวจอุจจาระ จะมีหนึ่งในวิธีรายงานผลตรวจ คือ การรายงานว่า ผลตรวจเป็นบวก หรือ ผลตรวจเป็นลบ โดยผลตรวจเป็นบวก จะใช้หมายความว่า มีโอกาสเป็นโรคนั้นๆ ทว่าผลการตรวจอาจผิดพลาดได้ สาเหตุทั้งจากลักษณะการดำเนินโรค โรคภาวะผิดปกติอื่นๆ ที่รบกวนการตรวจ การกินยาบางชนิด หรือความผิดพลาดทางเทคนิค แพทย์จึงจำเป็นต้องใช้ผลจากการตรวจอย่างน้อย 2-3 วิธีร่วมกัน นั่นก็คือ การใช้ประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยและการตรวจร่างกาย กับผลจากการตรวจสืบค้นเพิ่มเติม ซึ่งในโรคที่รุนแรงและได้รับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเป็นบวก แพทย์จะทำการตรวจสืบค้นซ้ำด้วยเทคนิคที่ 2 เพื่อใช้ยืนยันผลตรวจครั้งแรก โดยหากผลการตรวจทั้งหมดตรงกัน การตรวจครั้งแรกจะถูกเรียกว่าผลบวกจริง ตรงข้ามหากการตรวจครั้งหลังให้ผลว่าผู้ป่วยไม่มีโรคหรือไม่มีภาวะนั้นๆ จะเรียกผลการตรวจนั้นๆ ว่า ผลบวกปลอม หรือผลบวกลวง คือให้ผลว่าเป็นโรคหรือมีภาวะนั้นๆ ทั้งที่ความจริงปกติ เช่นเดียวกัน หากผลตรวจเป็นลบ คือ ไม่เป็นโรค หรือไม่มีภาวะนั้นๆ ในการตรวจครั้งแรก และตรงกับประวัติทางการแพทย์และการตรวจร่างกาย ผลตรวจนั้นจะเป็นผลลบจริง แต่หากประวัติทางการแพทย์และการตรวจร่างกายพบว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือบ่งบอกว่ามีโรคมีภาวะผิดปกติ ก็จะเรียกว่าผลตรวจครั้งแรกว่า เป็นผลลบปลอมหรือผลลบลวง คือ มีโรคมีความผิดปกติ แต่ตรวจไม่พบ
ภาควิชาระบาดวิทยา Epidemiology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_25967
Medical
เด็กอายุ 1 ขวบ มีไข้สูง คอแข็ง อาเจียน ซึมลงเรื่อยๆ เป็นอาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือไม่?
null
ใช่ อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของเยื่อหุ้มสมองอักเสบในเด็กอายุ 1 ขวบ เหตุผล: ไข้สูง: เด็กอายุ 1 ขวบที่มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ ซึ่งรวมถึงเยื่อหุ้มสมองอักเสบ คอแข็ง: อาการคอแข็งเกิดจากการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง เด็กอาจรู้สึกเจ็บหรือตึงคอ ทำให้ก้มศีรษะลงได้ยาก อาเจียน: อาเจียนอาจเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ในเด็กอายุ 1 ขวบ อาเจียนอาจเป็นสัญญาณของความดันในสมองที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึมลงเรื่อยๆ: เด็กที่ซึมลงเรื่อยๆ นิ่งเฉย ไม่สนใจสิ่งรอบตัว หรือตอบสนองช้าลง อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในกระแสเลือด หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ข้อควรระวัง: อาการเหล่านี้อาจเกิดจากสาเหตุอื่นนอกเหนือจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไม่สามารถวินิจฉัยเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง คำแนะนำ: หากเด็กอายุ 1 ขวบมีอาการไข้สูง คอแข็ง อาเจียน ซึมลงเรื่อยๆ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโดยซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และอาจทำการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อหาเชื้อ การรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ มักใช้ยาปฏิชีวนะ ยาต้านไวรัส หรือยาต้านการอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบเป็นโรคร้ายแรงที่อาจส่งผลร้ายแรงต่อเด็ก สรุป: อาการไข้สูง คอแข็ง อาเจียน ซึมลงเรื่อยๆ ในเด็กอายุ 1 ขวบ อาจเป็นสัญญาณเตือนของเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จำเป็นต้องพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องทันที
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_44236
Finance
ช่วยสรุป "ทีเอ็มบี คว้า 2 รางวัลใหญ่จากเวที Asian Banking & Finance Awards 2018" ให้หน่อยสิคะ
ทีเอ็มบีหรือ ธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย ได้รับ 2 รางวัลจากเวทีAsian Banking & Finance Awards 2018รางวัลระดับนานาชาติที่มอบให้แก่สถาบันการเงินที่สร้างผลงานนวัตกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ รางวัล Mobile Banking Initiative of the Year สำหรับ TMB WOW ลอยัลตี้โปรแกรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในรูปแบบของการเล่นเกมส์ (gamification)ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับลูกค้าที่ใช้ TMB TOUCH โมบายแอปพลิเคชันและ รางวัล Wealth Management Platform of the Year สำหรับ TMB Advisoryซึ่งทั้ง 2รางวัลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นธนาคารชั้นนำที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการควบคู่กับการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรม ทำให้การทำธุรกรรมเป็นเรื่องที่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป พร้อมตอกย้ำพันธกิจของทีเอ็มบีที่พร้อมให้ลูกค้าได้มากกว่ากับทุกความต้องการด้านการเงิน มิ่งขวัญ พัฒนวงศ์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารส่งเสริมการตลาดลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบี พร้อมตัวแทนคณะทำงาน เข้ารับมอบ 2 รางวัลจากเวที Asian Banking & Finance Awards 2018 ได้แก่ รางวัลMobile Banking Initiative of the Year สำหรับTMB WOW และ รางวัล Wealth Management Platform of the Year สำหรับTMB Advisory โดยมี วีระยุทธ ศัลยประดิษฐ์(ขวา) เจ้าหน้าที่บริหาร บริหารการตลาดลูกค้าบุคคลและ ต่อศักดิ์ รัตนนาคินทร์ (ซ้าย) ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสบริหารการตลาดลูกค้าบุคคลร่วมรับมอบ ณ โรงแรมแชงกรี-ลา สิงค์โปร์ เมื่อเร็วๆ นี้ สำหรับรางวัล Asian Banking and Finance Awards 2018 ถือเป็นรางวัลระดับนานาชาติที่มอบให้แก่สถาบันทางการเงินทั้งที่สร้างสรรค์นวัตกรรมที่โดดเด่นและขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค ในปีนี้มีองค์กรชั้นนำกว่า 200 แห่งจาก40 ประเทศได้รับรางวัล โดยคณะกรรมการตัดสินเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินและธนาคารจากองค์กรที่ปรึกษาระดับโลกอย่างดีลอยท์ เอินส์ทแอนด์ยัง เคพีเอ็มจี และไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส ทีเอ็มบีหรือ ธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย ได้รับ 2 รางวัลจากเวทีAsian Banking & Finance Awards 2018รางวัลระดับนานาชาติที่มอบให้แก่สถาบันการเงินที่สร้างผลงานนวัตกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ รางวัล Mobile Banking Initiative of the Year สำหรับ TMB WOW ลอยัลตี้โปรแกรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในรูปแบบของการเล่นเกมส์ (gamification)ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับลูกค้าที่ใช้ TMB TOUCH โมบายแอปพลิเคชันและ รางวัล Wealth Management Platform of the Year สำหรับ TMB Advisoryซึ่งทั้ง 2รางวัลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นธนาคารชั้นนำที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการควบคู่กับการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรม ทำให้การทำธุรกรรมเป็นเรื่องที่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป พร้อมตอกย้ำพันธกิจของทีเอ็มบีที่พร้อมให้ลูกค้าได้มากกว่ากับทุกความต้องการด้านการเงิน ทีเอ็มบีหรือ ธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย ได้รับ 2 รางวัลจากเวทีAsian Banking & Finance Awards 2018รางวัลระดับนานาชาติที่มอบให้แก่สถาบันการเงินที่สร้างผลงานนวัตกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ รางวัล Mobile Banking Initiative of the Year สำหรับ TMB WOW ลอยัลตี้โปรแกรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในรูปแบบของการเล่นเกมส์ (gamification)ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับลูกค้าที่ใช้ TMB TOUCH โมบายแอปพลิเคชันและ รางวัล Wealth Management Platform of the Year สำหรับ TMB Advisoryซึ่งทั้ง 2รางวัลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นธนาคารชั้นนำที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการควบคู่กับการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรม ทำให้การทำธุรกรรมเป็นเรื่องที่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป พร้อมตอกย้ำพันธกิจของทีเอ็มบีที่พร้อมให้ลูกค้าได้มากกว่ากับทุกความต้องการด้านการเงิน มิ่งขวัญ พัฒนวงศ์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารส่งเสริมการตลาดลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบี พร้อมตัวแทนคณะทำงาน เข้ารับมอบ 2 รางวัลจากเวที Asian Banking & Finance Awards 2018 ได้แก่ รางวัลMobile Banking Initiative of the Year สำหรับTMB WOW และ รางวัล Wealth Management Platform of the Year สำหรับTMB Advisory โดยมี วีระยุทธ ศัลยประดิษฐ์(ขวา) เจ้าหน้าที่บริหาร บริหารการตลาดลูกค้าบุคคลและ ต่อศักดิ์ รัตนนาคินทร์ (ซ้าย) ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสบริหารการตลาดลูกค้าบุคคลร่วมรับมอบ ณ โรงแรมแชงกรี-ลา สิงค์โปร์ เมื่อเร็วๆ นี้ มิ่งขวัญ พัฒนวงศ์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารส่งเสริมการตลาดลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบี พร้อมตัวแทนคณะทำงาน เข้ารับมอบ 2 รางวัลจากเวที Asian Banking & Finance Awards 2018 ได้แก่ รางวัลMobile Banking Initiative of the Year สำหรับTMB WOW และ รางวัล Wealth Management Platform of the Year สำหรับTMB Advisory โดยมี วีระยุทธ ศัลยประดิษฐ์(ขวา) เจ้าหน้าที่บริหาร บริหารการตลาดลูกค้าบุคคลและ ต่อศักดิ์ รัตนนาคินทร์ (ซ้าย) ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสบริหารการตลาดลูกค้าบุคคลร่วมรับมอบ ณ โรงแรมแชงกรี-ลา สิงค์โปร์ เมื่อเร็วๆ นี้ สำหรับรางวัล Asian Banking and Finance Awards 2018 ถือเป็นรางวัลระดับนานาชาติที่มอบให้แก่สถาบันทางการเงินทั้งที่สร้างสรรค์นวัตกรรมที่โดดเด่นและขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค ในปีนี้มีองค์กรชั้นนำกว่า 200 แห่งจาก40 ประเทศได้รับรางวัล โดยคณะกรรมการตัดสินเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินและธนาคารจากองค์กรที่ปรึกษาระดับโลกอย่างดีลอยท์ เอินส์ทแอนด์ยัง เคพีเอ็มจี และไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส สำหรับรางวัล Asian Banking and Finance Awards 2018 ถือเป็นรางวัลระดับนานาชาติที่มอบให้แก่สถาบันทางการเงินทั้งที่สร้างสรรค์นวัตกรรมที่โดดเด่นและขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค ในปีนี้มีองค์กรชั้นนำกว่า 200 แห่งจาก40 ประเทศได้รับรางวัล โดยคณะกรรมการตัดสินเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินและธนาคารจากองค์กรที่ปรึกษาระดับโลกอย่างดีลอยท์ เอินส์ทแอนด์ยัง เคพีเอ็มจี และไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส
ทีเอ็มบี (TMB) หรือ ธนาคารทหารไทย ได้รับ 2 รางวัลจากงาน Asian Banking & Finance Awards 2018 ซึ่งเป็นรางวัลระดับนานาชาติที่มอบให้กับสถาบันการเงินที่มีผลงานนวัตกรรมที่โดดเด่นในการบริการลูกค้า รางวัลทั้งสองคือ "Mobile Banking Initiative of the Year" สำหรับ TMB WOW และ "Wealth Management Platform of the Year" สำหรับ TMB Advisory. สำหรับรางวัล Asian Banking and Finance Awards 2018 ถือเป็นรางวัลระดับนานาชาติที่มอบให้แก่สถาบันทางการเงินทั้งที่สร้างสรรค์นวัตกรรมที่โดดเด่นและขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค ในปีนี้มีองค์กรชั้นนำกว่า 200 แห่งจาก40 ประเทศได้รับรางวัล ในที่เฉพาะ, TMB WOW เป็นโปรแกรมลอยัลตี้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในรูปแบบของการเล่นเกม (gamification) ที่ออกแบบมาเพื่อลูกค้าที่ใช้ TMB TOUCH โมบายแอปพลิเคชัน. ส่วน TMB Advisory ได้รับรางวัลในสาขา "Wealth Management Platform" ซึ่งทำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ TMB ในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรม. การได้รับรางวัลนี้ยืนยันธนาคาร TMB ว่าเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ทันสมัย, ทำให้การทำธุรกรรมเงินกลายเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจและไม่เบื่อ. รางวัลก็เป็นการยืนยันพันธกิจของ TMB ที่พร้อมให้บริการลูกค้าทุกความต้องการด้านการเงิน.
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_1
Finance
งบกระแสเงินสดจะมี 3 ส่วนสำคัญที่จะมอง ได้แก่อะไรบ้าง
วิเคราะห์การบริหารเงินใช้หลังเกษียณ ด้วยงบกระแสเงินสด* ไม่ว่าจะหยุดทำงานตามอายุเกษียณที่ 60 ปี หรือหยุดทำงานจากการเกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retirement) เช่น อายุ 55 ปี จำเป็นต้องวางแผนการใช้เงินหลังเกษียณอย่างดียิ่ง นี่คือสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ของวัยเกษียณ ที่อาจจะสำคัญไม่แพ้เรื่องสุขภาพและความรักในครอบครัว เงินก้อนสุดท้ายมักจะเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ได้จากการทำงานและเก็บออมในหลากหลายรูปแบบ เช่น กองทุนสำรองลี้ยงชีพ กบข. กองทุนประหยัดภาษี LTF RMF ที่ครบอายุ เงินฝากสหกรณ์หน่วยงาน ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ครบอายุ ฯลฯ การบริหารจัดการเงินก้อนสุดท้ายนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องมั่นใจว่ามันจะเพียงพอต่อการใช้จ่ายแบบไม่ลดคุณภาพชีวิต ตลอดระยะเวลาอย่างน้อย 20 ปีที่จะไม่ได้ทำงาน ดังนั้นการบริหารจัดการเงิน ควบคุมดูแลแบบใกล้ชิดจึงเป็นเรื่องจำเป็น เหมือนเราเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน(Chief Finance Officer) ของชีวิตเราเอง สิ่งที่พบเจอบ่อยๆ คือคนวัยเกษียณมักจะใช้ “งบกำไรขาดทุน” ในการติดตามข้อมูลการเงิน ซึ่งก็คือ มองจากเงินก้อนที่ได้จัดสรรงบรายเดือนไว้ใช้จ่ายจำนวนนึง แล้วนำมาใช้จ่ายรายเดือนต่างๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าไฟฟ้าประปาโทรศัพท์อินเตอร์เน็ต ค่าเดินทาง ค่าแชมพูสบู่ยาสีฟัน ค่าท่องเที่ยว และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่างๆ ฯลฯ ถ้ารวมสุทธิแล้วยังอยู่ในงบรายเดือน ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ในความเป็นจริงคิดว่าควรใช้หลักการของ “งบกระแสเงินสด” ซึ่งมีหลายมิติกว่า ในการติดตามข้อมูลการเงินมากกว่า สมมติว่าตัวเราคือบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง งบกระแสเงินสดจะมี 3 ส่วนสำคัญที่จะมอง คือ 1. กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน (CFO : Cashflow From Operating Activities) ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFO คือเงินสดสุทธิที่คงเหลือจากงบประมาณใช้จ่ายประจำปี (รวมถึงรายรับอื่นๆ ที่อาจจะมีเงินสดไหลเข้ามา เช่น เงินปันผล ค่าเช่า) หักด้วย ค่าใช้จ่ายประจำวันทั้งหมดที่ใช้จ่ายออกไป เช่น ตั้งใจใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท งบปี คือ 360,000 บาท หักออกด้วยค่าใช้จ่ายประจำวันต่างๆ ตลอดทั้งปี สมมติเป็นเงิน 300,000 บาท ดังนั้น CFO ยังเป็นบวก (คงเหลือ = +60,000 บาท) ซึ่งนับว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่ารอดแล้ว อันที่จริงต้องดูที่ข้อ 2 ต่อ 2. กระแสเงินสดสุทธิจากการลงทุน (CFI : Cashflow From Investing Activities) กรณีงบบริษัท ส่วนนี้คือกระแสเงินสดที่แสดงการใช้เงินสดออกไปลงทุน เช่น ซื้อเครื่องจักร ขยายสาขา ขยายโครงข่าย ฯลฯ ซึ่งเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอายุใช้งานระยะยาวเพื่อให้เกิดดอกผลจากการลงทุน ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFI คือเงินสดลงทุนซื้อของที่ใช้ในระยะยาว(เช่น เกิน 3 ปี) เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า รถยนต์ ฯลฯ หรือในบางกรณีอาจจะต้องซ่อมบ้านครั้งใหญ่ หรือซื้อคอนโดใหม่ หรืออาจจะเป็นค่ารักษาสุขภาพก้อนใหญ่ก็เป็นได้ ทั้งหมดนี้นับเป็นรายจ่ายลงทุน ซึ่งนับเป็นเงินสดไหลออกทั้งสิ้น 3. กระแสเงินสดสุทธิจากการจัดหาเงิน (CFF : Cashflow From Financing Activities) ในกรณีงบบริษัท ถ้าเป็นลบ แสดงว่าใช้เงินสดจ่ายปันผลหรือชำระหนี้ (จ่ายเงินออก) แต่ถ้าส่วนนี้เป็นบวกแปลว่ามีการกู้เงินหรือเรียกเพิ่มทุนเข้ามา (รับเงินเข้า) ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFF เงินสดจ่ายออก คือ การให้อั่งเปาลูกหลานประจำปี (เหมือนเงินปันผล) แต่ถ้ากรณีฉุกเฉินใดๆ หากก่อหนี้หยิบยืมเงิน ก็จะเป็นเงินสดไหลเข้าจากการกู้เงินก่อหนี้ กรณีที่ 1 : มีเงินใช้หลังเกษียณอย่างแท้จริง ถ้ากระแสเงินสดในข้อ 1) CFO เป็นบวก 2) CFI ติดลบ 3) CFF ติดลบ แปลว่าชีวิตเกษียณสามารถใช้จ่ายเงินได้ตามงบประมาณที่ตั้งไว้รายปี สามารถซื้อของใช้ที่เป็นงบลงทุนได้ อีกทั้งยังสามารถให้อั่งเปาลูกหลานทุกปี ทำได้แบบนี้คือสุดยอด กรณีที่ 2 : มีเงินใช้หลังเกษียณ แต่อาจจะต้องระมัดระวังการซื้อของชิ้นใหญ่ ถ้ากระแสเงินสดในข้อ 1) CFO เป็นบวก 2) CFI ติดลบ 3) CFF เป็น 0 แปลว่าชีวิตเกษียณสามารถใช้จ่ายเงินได้ตามงบประมาณที่ตั้งไว้รายปี แต่ไม่สามารถซื้อของใช้ที่เป็นงบลงทุนก้อนใหญ่ๆ ตามใจได้ทุกอย่าง ต้องบริหารเงินลงทุนข้อ 2) CFI ให้ดี ก็จะผ่านได้ ข้อ 3) CFF ถึงแม้ไม่ได้ให้อั่งเปาลูกหลาน (อันที่จริงควรเป็นลูกๆ ที่นำเงินอั่งเปามาให้ผู้สูงวัย) แต่ถือว่ามีเงินใช้เป็นของตนเอง ไม่ต้องกู้ยืมใคร กรณีที่ 3 : มีเงินใช้ไม่พอหลังเกษียณ แม้แต่รายเดือนยังติดลบ ถ้ากระแสเงินสดในข้อ 1) CFO ติดลบ และ 2) CFI ติดลบ อีก นั่นแปลว่าชีวิตเกษียณมีเงินออมไม่พอใช้ ต้องลดคุณภาพชีวิตการใช้จ่ายลงเพื่อให้ 1) CFO และ 2) CFI ติดลบน้อยที่สุด ซึ่งอาจจะต้องอาศัยเงินสดไหลเข้าจากข้อ 3) CFF ด้วยการพึ่งพาลูกหลานในการดำรงชีพ หรือแม้กระทั่งหยิบยืมก่อหนี้ ซึ่งอันตรายและจะไม่สบายใจ
งบกระแสเงินสดจะมี 3 ส่วนสำคัญที่จะมอง คือ 1. กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน (CFO : Cashflow From Operating Activities) ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFO คือ เงินสดสุทธิที่คงเหลือจากงบประมาณใช้จ่ายประจำปี (รวมถึงรายรับอื่นๆ ที่อาจจะมีเงินสดไหลเข้ามา เช่น เงินปันผล ค่าเช่า) หักด้วย ค่าใช้จ่ายประจำวันทั้งหมดที่ใช้จ่ายออกไป เช่น ตั้งใจใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท งบปี คือ 360,000 บาท หักออกด้วยค่าใช้จ่ายประจำวันต่างๆ ตลอดทั้งปี สมมติเป็นเงิน 300,000 บาท ดังนั้น CFO ยังเป็นบวก (คงเหลือ = +60,000 บาท) ซึ่งนับว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่ารอดแล้ว อันที่จริงต้องดูที่ข้อ 2 ต่อ 2. กระแสเงินสดสุทธิจากการลงทุน (CFI : Cashflow From Investing Activities) กรณีงบบริษัท ส่วนนี้คือกระแสเงินสดที่แสดงการใช้เงินสดออกไปลงทุน เช่น ซื้อเครื่องจักร ขยายสาขา ขยายโครงข่าย ฯลฯ ซึ่งเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอายุใช้งานระยะยาวเพื่อให้เกิดดอกผลจากการลงทุน ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFI คือเงินสดลงทุนซื้อของที่ใช้ในระยะยาว (เช่น เกิน 3 ปี) เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า รถยนต์ ฯลฯ หรือในบางกรณีอาจจะต้องซ่อมบ้านครั้งใหญ่ หรือซื้อคอนโดใหม่ หรืออาจจะเป็นค่ารักษาสุขภาพก้อนใหญ่ก็เป็นได้ ทั้งหมดนี้นับเป็นรายจ่ายลงทุน ซึ่งนับเป็นเงินสดไหลออกทั้งสิ้น 3. กระแสเงินสดสุทธิจากการจัดหาเงิน (CFF : Cashflow From Financing Activities) ในกรณีงบบริษัท ถ้าเป็นลบ แสดงว่าใช้เงินสดจ่ายปันผลหรือชำระหนี้ (จ่ายเงินออก) แต่ถ้าส่วนนี้เป็นบวกแปลว่ามีการกู้เงินหรือเรียกเพิ่มทุนเข้ามา (รับเงินเข้า) ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFF เงินสดจ่ายออก คือ การให้อั่งเปาลูกหลานประจำปี (เหมือนเงินปันผล) แต่ถ้ากรณีฉุกเฉินใดๆ หากก่อหนี้หยิบยืมเงิน ก็จะเป็นเงินสดไหลเข้าจากการกู้เงินก่อหนี้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21107
Medical
จากบทความ พี่เล็กมีวิธีจัดการกับปัญหาการกินเยอะ กินได้ทั้งวัน อย่างไร?
(ก) กินอาหารคลีนทุกมื้อ (ข) อดอาหารมื้อเย็น (ค) กินตามใจปาก แต่ออกกำลังกายหนักขึ้น (ง) กินอย่างมีสติ รู้ว่ากินอะไรไปเท่าไหร่แล้ว
คำตอบที่ถูกต้องคือ (ง) กินอย่างมีสติ รู้ว่ากินอะไรไปเท่าไหร่แล้ว เนื่องจาก เหตุผล: (ก) กินอาหารคลีนทุกมื้อ - ไม่ถูกต้อง พี่เล็กไม่ได้พูดถึงการกินอาหารคลีน (ข) อดอาหารมื้อเย็น - ไม่ถูกต้อง พี่เล็กบอกว่าต้องกินทุกมื้อ (ค) กินตามใจปาก แต่ออกกำลังกายหนักขึ้น - ไม่ถูกต้อง พี่เล็กบอกว่ากินตามใจปากจะได้สุขภาพที่แย่ (ง) กินอย่างมีสติ รู้ว่ากินอะไรไปเท่าไหร่แล้ว - ถูกต้อง พี่เล็กบอกว่ากินให้มีสติ รู้ว่ากินอะไรไปเท่าไหร่แล้ว ข้อที่ถูก: (ง) กินอย่างมีสติ รู้ว่ากินอะไรไปเท่าไหร่แล้ว เหตุผล: พี่เล็กบอกว่า "กินให้มีสติ คือต้องรู้ว่าในแต่ละวันกินอะไรไปเท่าไหร่แล้ว ถ้าตอนเที่ยงกินแป้งเยอะไป ตอนเย็นต้องไม่กินอีกแล้ว ต้องหันไปกินผัก ผลไม้แทน หากกินทุกอย่างตามใจตัวก็จะได้สุขภาพที่แย่ตามมา" สรุป: วิธีจัดการกับปัญหาการกินเยอะ กินได้ทั้งวัน ของพี่เล็ก คือ กินอย่างมีสติ รู้ว่ากินอะไรไปเท่าไหร่แล้ว เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และหลีกเลี่ยงการกินตามใจปาก
โภชนวิทยา
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_43913
Finance
หลักการของ Dollar Cost Average เป็นลักษณะใด
1. ไม่มีลักษณะ 2. การลงทุนแบบถ่วงน้ำหนัก 3. การลงทุนแบบเหมาะสมกับตัวเอง 4. การลงทุนแบบถั่วเฉลี่ย
คำตอบที่ถูกต้องคือ 2. เพราะว่า หลักการของ Dollar Cost Average เป็นลักษณะการลงทุนแบบถ่วงน้ำหนัก โดยการปรับต้นทุนให้ต่ำลงในช่วงเวลาที่มีความผันผวน ด้วยวิธีการลงทุนจำนวนเท่าๆ กันในแต่ละเดือน หรือในความถี่ตามระยะเวลาที่กำหนด และเมื่อลงทุนแบบ DCA แล้ว จะได้รับหลักทรัพย์จำนวนมากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงเวลาที่ได้ลงทุนด้วยเงินจำนวนเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ได้ราคาต้นทุนแบบถัวเฉลี่ย จึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ได้กำไรสูงสุด แต่ก็ไม่มีทางขาดทุนแบบกู่ไม่กลับ ที่สำคัญยังช่วยลดความเสี่ยงของการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนอย่างหลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญและกองทุนรวมหุ้นได้เป็นอย่างดี
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_10679
Medical
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจมีอะไรบ้าง และมีวิธีการป้องกันหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้?
null
โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary heart disease) เป็นหนึ่งในโรคที่มีความเสี่ยงสูงและส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจสามารถแบ่งออกเป็น ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ และปัจจัยเสี่ยงรอง 1. ปัจจัยเสี่ยงสำคัญได้แก่ มีไขมันในเลือดสูง: ไขมัน LDL ที่สูงเกินไปสามารถสะสมในหลอดเลือดและทำให้เกิดการอุดตัน - โรคความดันโลหิตสูง: ความดันโลหิตสูงสามารถทำให้หลอดเลือดเสียหายและทำให้การไหลเวียนของเลือดยากขึ้น - การสูบบุหรี่: สารพิษในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลงและเพิ่มโอกาสเกิดการอุดตัน - โรคเบาหวาน: ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงสามารถทำให้หลอดเลือดเสียหาย - น้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน: ภาวะนี้เพิ่มความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด - ขาดการออกกำลังกาย: การไม่ออกกำลังกายทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดี - การกินอาหารไม่มีประโยชน์: อาหารที่มีไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตสูง หรือเค็มเกินไปสามารถเพิ่มความเสี่ยง - อายุ: ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้ชายที่อายุมากกว่า 45 ปีและผู้หญิงที่อายุมากกว่า 55 ปี - พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้มีโอกาสเสี่ยงสูงกว่า 2. ปัจจัยเสี่ยงรองได้แก่ มีไขมันชนิดไตรกลีเซรายด์ (Triglyceride) ในเลือดสูง: ไขมันชนิดนี้สามารถสะสมในหลอดเลือดได้เช่นกัน - โรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ: สภาวะนี้ทำให้เกิดความเครียดต่อหัวใจ - มีความเครียดสูง: ความเครียดสามารถกระตุ้นการปล่อยฮอร์โมนที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น - การดื่มสุรา: การดื่มสุรามากเกินไปสามารถเพิ่มความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด การป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังนี้: 1. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของเลือดและลดไขมันในเลือด 2. การควบคุมอาหาร: เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารเค็มและไขมันสูง 3. การลดน้ำหนัก: หากมีน้ำหนักตัวเกิน ควรลดน้ำหนักเพื่อควบคุมระดับไขมันและความดันโลหิต 4. การเลิกสูบบุหรี่: การหยุดสูบบุหรี่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด 5. การจัดการความเครียด: การทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ หรือโยคะ ช่วยลดความเครียดและความดันโลหิต 6. การตรวจสุขภาพเป็นประจำ: การตรวจสุขภาพประจำปีช่วยให้ทราบระดับไขมันและความดันโลหิต และสามารถจัดการปัจจัยเสี่ยงได้ทันท่วงทีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการรักษาสุขภาพที่ดีเป็นวิธีสำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นในระยะยาว
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_124
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "เงินเฟ้อ (Inflation) คืออะไร? เข้าใจสาเหตุพร้อมผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน" ให้หน่อยค่ะ
เงินเฟ้อคืออะไร? ทำไมถึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการลงทุน ​ 10 ตุลาคม 2566 2 นาที 10 ตุลาคม 2566 2 นาที เงินเฟ้อคืออะไร? ทำไมถึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการลงทุน “ • เงินเฟ้อคือการดูว่าราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้น แพงกว่าเดิม มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับปีก่อน • เงินเฟ้อทำให้กำไรของธุรกิจลดลง เพราะราคาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น และถ้าเป็นธุรกิจที่ขึ้นราคาสินค้าได้ยาก ก็จะยิ่งกระทบกำไรบริษัท ทำให้ช่วงเกิดเงินเฟ้อสูง นักลงทุนไม่ค่อยชอบ ตลาดหุ้นจึงปรับตัวขึ้นได้ยาก • สำหรับหลายคนที่ไม่มีเวลามานั่งติดตามตลาดการลงทุน อยากมีมืออาชีพมาคอยดูแลพอร์ตการลงทุนให้เติบโต แนะนำ กองทุนผสม “ เงินเฟ้อ หรือ Inflation เป็นคำศัพท์ที่เมื่อฟังข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการลงทุน หรือฟังนักวิเคราะห์การลงทุนเล่า ก็เป็นคำยอดฮิตที่มักถูกพูดถึง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง วันนี้ KWEALTH มาอธิบายให้หมดเปลือกเกี่ยวกับคำว่า “เงินเฟ้อ” แล้วสถานการณ์เงินเฟ้อ ณ ขณะนี้ ควรที่จะลงทุนอย่างไร เงินเฟ้อคืออะไร ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน เงินเฟ้อคือการดูว่าราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้น แพงกว่าเดิม มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่ถูกนำมาคำนวณเงินเฟ้อของไทย ก็จะเป็นสินค้าและบริการที่เราใช้จ่ายอยู่เป็นประจำ เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมแอลกอฮอล์) น้ำหนักในการคำนวณเงินเฟ้ออยู่ที่ 42% ค่าเดินทาง 23% ค่าที่อยู่อาศัย 22% ความบันเทิง และการศึกษา 4% อื่นๆ อีก 9% แล้วจึงคำนวณออกมาเป็นตัวเลขเงินเฟ้อ สาเหตุของเงินเฟ้อ ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือแปลง่ายๆว่าสินค้าและบริการแพงขึ้นนั้น สาเหตุที่ทำให้สินค้าแพงขึ้นแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย ได้แก่ 1.ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้น (Cost Push Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้ผลิต ราคาวัตถุดิบ หรือต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตสินค้าแพงขึ้น เช่น น้ำมันแพงทำให้ต้นทุนการผลิต การขนส่งสูงขึ้น ผู้ผลิตจึงเพิ่มราคาขายสินค้า ทำให้ราคาขายสินค้าแพงขึ้น เงินเฟ้อก็เพิ่มสูงขึ้นตาม 2.ความต้องการสินค้าสูงขึ้น (Demand Pull Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้บริโภค ความต้องการซื้อสูง หรือต้องการซื้อจนทำให้สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ราคาสินค้าจึงสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ช่วงเกิด Covid-19 หน้ากากอนามัยขาดแคลน ผลิตไม่ทัน เพราะความต้องการซื้อสูง ราคาหน้ากากอนามัยช่วงนั้นก็ปรับตัวขึ้นสูงตาม เป็นต้น ผลกระทบเงินเฟ้อ 1.มุมผู้บริโภค เงินเฟ้อทำให้เราต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ ในราคาที่แพงขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว 15 ปีที่แล้วชามละ 20 บาท วันนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 บาท 2.มุมผู้ผลิต จะได้รับผลกระทบจากกำไรที่ลดลง เพราะราคาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น และถ้าเป็นธุรกิจที่ขึ้นราคาสินค้าได้ยาก ก็จะยิ่งกระทบกำไรบริษัท ทำให้ช่วงเกิดเงินเฟ้อสูง นักลงทุนไม่ค่อยชอบ ตลาดหุ้นจึงปรับตัวขึ้นได้ยาก เงินเฟ้อไม่ได้แย่เสมอไป หากใครติดตามข่าวเศรษฐกิจในช่วงนี้น่าจะเคยได้ยินคำว่า “กรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย” ซึ่งเป็นเป้าที่หลายประเทศ ตั้งใจจะลดเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ระดับอ่อนๆ เช่น สหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อให้ลงมาอยู่ที่ 2% ไทยตั้งกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 1-3% เพราะการเกิดเงินเฟ้อแบบอ่อนๆ เป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจ ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น สินค้าราคาสูงขึ้นตามความต้องการ ผู้ผลิตได้กำไรมากขึ้น เกิดการขยายธุรกิจ ลงทุนซื้อเครื่องจักร ลงทุนสร้างโรงงาน ซื้อวัตถุดิบมาผลิต จ้างแรงงานเพิ่มขึ้น คนมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตมากขึ้น ไม่อยากปวดหัว ให้มืออาชีพช่วยดูแล สำหรับหลายคนที่ไม่มีเวลามานั่งติดตามตลาดการลงทุน อยากมีมืออาชีพมาคอยดูแลพอร์ตการลงทุนให้เติบโต แนะนำลงทุนที่กระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ มีจังหวะปรับเพิ่มหรือลดตามสถานการณ์ที่เหมาะสม ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร หรือเงินเฟ้อจะสูง ต่ำ หรือมีความน่ากังวลแค่ไหน โดยให้ลงทุนผ่านกองทุนผสม ตัวอย่างกองทุนผสมหลากหลายสินทรัพย์ที่น่าสนใจ และมีการจัดการที่ดี คือ กองทุน Wealth Plus ที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนแบบ DCA ลงทุนแบบสม่ำเสมอเท่ากันทุกเดือน หรือจะเลือกลงทุนตามโอกาสที่ต้องการสะสมเงินลงทุนเป็นรายครั้งได้ นอกจากนี้ในระหว่างการลงทุนจะมีผู้เชี่ยวชาญมาคอยปรับสัดส่วนการลงทุนให้เข้ากับสภาวะช่วงนั้น โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ว่าจะมีเป้าหมายการลงทุนอย่างไร Wealth Plus ก็ช่วยวางแผน ช่วยเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเราได้ ง่าย ครบ จบในตัวเดียว เงินเฟ้อ หรือ Inflation เป็นคำศัพท์ที่เมื่อฟังข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการลงทุน หรือฟังนักวิเคราะห์การลงทุนเล่า ก็เป็นคำยอดฮิตที่มักถูกพูดถึง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง วันนี้ KWEALTH มาอธิบายให้หมดเปลือกเกี่ยวกับคำว่า “เงินเฟ้อ” แล้วสถานการณ์เงินเฟ้อ ณ ขณะนี้ ควรที่จะลงทุนอย่างไร เงินเฟ้อคืออะไร ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน เงินเฟ้อคือการดูว่าราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้น แพงกว่าเดิม มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่ถูกนำมาคำนวณเงินเฟ้อของไทย ก็จะเป็นสินค้าและบริการที่เราใช้จ่ายอยู่เป็นประจำ เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมแอลกอฮอล์) น้ำหนักในการคำนวณเงินเฟ้ออยู่ที่ 42% ค่าเดินทาง 23% ค่าที่อยู่อาศัย 22% ความบันเทิง และการศึกษา 4% อื่นๆ อีก 9% แล้วจึงคำนวณออกมาเป็นตัวเลขเงินเฟ้อ สาเหตุของเงินเฟ้อ ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือแปลง่ายๆว่าสินค้าและบริการแพงขึ้นนั้น สาเหตุที่ทำให้สินค้าแพงขึ้นแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย ได้แก่ 1.ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้น (Cost Push Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้ผลิต ราคาวัตถุดิบ หรือต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตสินค้าแพงขึ้น เช่น น้ำมันแพงทำให้ต้นทุนการผลิต การขนส่งสูงขึ้น ผู้ผลิตจึงเพิ่มราคาขายสินค้า ทำให้ราคาขายสินค้าแพงขึ้น เงินเฟ้อก็เพิ่มสูงขึ้นตาม 2.ความต้องการสินค้าสูงขึ้น (Demand Pull Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้บริโภค ความต้องการซื้อสูง หรือต้องการซื้อจนทำให้สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ราคาสินค้าจึงสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ช่วงเกิด Covid-19 หน้ากากอนามัยขาดแคลน ผลิตไม่ทัน เพราะความต้องการซื้อสูง ราคาหน้ากากอนามัยช่วงนั้นก็ปรับตัวขึ้นสูงตาม เป็นต้น ผลกระทบเงินเฟ้อ 1.มุมผู้บริโภค เงินเฟ้อทำให้เราต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ ในราคาที่แพงขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว 15 ปีที่แล้วชามละ 20 บาท วันนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 บาท 2.มุมผู้ผลิต จะได้รับผลกระทบจากกำไรที่ลดลง เพราะราคาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น และถ้าเป็นธุรกิจที่ขึ้นราคาสินค้าได้ยาก ก็จะยิ่งกระทบกำไรบริษัท ทำให้ช่วงเกิดเงินเฟ้อสูง นักลงทุนไม่ค่อยชอบ ตลาดหุ้นจึงปรับตัวขึ้นได้ยาก เงินเฟ้อไม่ได้แย่เสมอไป หากใครติดตามข่าวเศรษฐกิจในช่วงนี้น่าจะเคยได้ยินคำว่า “กรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย” ซึ่งเป็นเป้าที่หลายประเทศ ตั้งใจจะลดเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ระดับอ่อนๆ เช่น สหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อให้ลงมาอยู่ที่ 2% ไทยตั้งกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 1-3% เพราะการเกิดเงินเฟ้อแบบอ่อนๆ เป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจ ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น สินค้าราคาสูงขึ้นตามความต้องการ ผู้ผลิตได้กำไรมากขึ้น เกิดการขยายธุรกิจ ลงทุนซื้อเครื่องจักร ลงทุนสร้างโรงงาน ซื้อวัตถุดิบมาผลิต จ้างแรงงานเพิ่มขึ้น คนมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตมากขึ้น ไม่อยากปวดหัว ให้มืออาชีพช่วยดูแล สำหรับหลายคนที่ไม่มีเวลามานั่งติดตามตลาดการลงทุน อยากมีมืออาชีพมาคอยดูแลพอร์ตการลงทุนให้เติบโต แนะนำลงทุนที่กระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ มีจังหวะปรับเพิ่มหรือลดตามสถานการณ์ที่เหมาะสม ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร หรือเงินเฟ้อจะสูง ต่ำ หรือมีความน่ากังวลแค่ไหน โดยให้ลงทุนผ่านกองทุนผสม ตัวอย่างกองทุนผสมหลากหลายสินทรัพย์ที่น่าสนใจ และมีการจัดการที่ดี คือ กองทุน Wealth Plus ที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนแบบ DCA ลงทุนแบบสม่ำเสมอเท่ากันทุกเดือน หรือจะเลือกลงทุนตามโอกาสที่ต้องการสะสมเงินลงทุนเป็นรายครั้งได้ นอกจากนี้ในระหว่างการลงทุนจะมีผู้เชี่ยวชาญมาคอยปรับสัดส่วนการลงทุนให้เข้ากับสภาวะช่วงนั้น โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ว่าจะมีเป้าหมายการลงทุนอย่างไร Wealth Plus ก็ช่วยวางแผน ช่วยเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเราได้ ง่าย ครบ จบในตัวเดียว เงินเฟ้อ หรือ Inflation เป็นคำศัพท์ที่เมื่อฟังข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการลงทุน หรือฟังนักวิเคราะห์การลงทุนเล่า ก็เป็นคำยอดฮิตที่มักถูกพูดถึง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง วันนี้ KWEALTH มาอธิบายให้หมดเปลือกเกี่ยวกับคำว่า “เงินเฟ้อ” แล้วสถานการณ์เงินเฟ้อ ณ ขณะนี้ ควรที่จะลงทุนอย่างไร เงินเฟ้อคืออะไร เงินเฟ้อคืออะไร ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน เงินเฟ้อคือการดูว่าราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้น แพงกว่าเดิม มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่ถูกนำมาคำนวณเงินเฟ้อของไทย ก็จะเป็นสินค้าและบริการที่เราใช้จ่ายอยู่เป็นประจำ เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมแอลกอฮอล์) น้ำหนักในการคำนวณเงินเฟ้ออยู่ที่ 42% ค่าเดินทาง 23% ค่าที่อยู่อาศัย 22% ความบันเทิง และการศึกษา 4% อื่นๆ อีก 9% แล้วจึงคำนวณออกมาเป็นตัวเลขเงินเฟ้อ สาเหตุของเงินเฟ้อ สาเหตุของเงินเฟ้อ ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือแปลง่ายๆว่าสินค้าและบริการแพงขึ้นนั้น สาเหตุที่ทำให้สินค้าแพงขึ้นแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย ได้แก่ 1.ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้น (Cost Push Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้ผลิต ราคาวัตถุดิบ หรือต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตสินค้าแพงขึ้น เช่น น้ำมันแพงทำให้ต้นทุนการผลิต การขนส่งสูงขึ้น ผู้ผลิตจึงเพิ่มราคาขายสินค้า ทำให้ราคาขายสินค้าแพงขึ้น เงินเฟ้อก็เพิ่มสูงขึ้นตาม 2.ความต้องการสินค้าสูงขึ้น (Demand Pull Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้บริโภค ความต้องการซื้อสูง หรือต้องการซื้อจนทำให้สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ราคาสินค้าจึงสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ช่วงเกิด Covid-19 หน้ากากอนามัยขาดแคลน ผลิตไม่ทัน เพราะความต้องการซื้อสูง ราคาหน้ากากอนามัยช่วงนั้นก็ปรับตัวขึ้นสูงตาม เป็นต้น ผลกระทบเงินเฟ้อ ผลกระทบเงินเฟ้อ 1.มุมผู้บริโภค เงินเฟ้อทำให้เราต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ ในราคาที่แพงขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว 15 ปีที่แล้วชามละ 20 บาท วันนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 บาท 2.มุมผู้ผลิต จะได้รับผลกระทบจากกำไรที่ลดลง เพราะราคาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น และถ้าเป็นธุรกิจที่ขึ้นราคาสินค้าได้ยาก ก็จะยิ่งกระทบกำไรบริษัท ทำให้ช่วงเกิดเงินเฟ้อสูง นักลงทุนไม่ค่อยชอบ ตลาดหุ้นจึงปรับตัวขึ้นได้ยาก เงินเฟ้อไม่ได้แย่เสมอไป เงินเฟ้อไม่ได้แย่เสมอไป หากใครติดตามข่าวเศรษฐกิจในช่วงนี้น่าจะเคยได้ยินคำว่า “กรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย” ซึ่งเป็นเป้าที่หลายประเทศ ตั้งใจจะลดเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ระดับอ่อนๆ เช่น สหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อให้ลงมาอยู่ที่ 2% ไทยตั้งกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 1-3% เพราะการเกิดเงินเฟ้อแบบอ่อนๆ เป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจ ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น สินค้าราคาสูงขึ้นตามความต้องการ ผู้ผลิตได้กำไรมากขึ้น เกิดการขยายธุรกิจ ลงทุนซื้อเครื่องจักร ลงทุนสร้างโรงงาน ซื้อวัตถุดิบมาผลิต จ้างแรงงานเพิ่มขึ้น คนมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตมากขึ้น ไม่อยากปวดหัว ให้มืออาชีพช่วยดูแล ไม่อยากปวดหัว ให้มืออาชีพช่วยดูแล สำหรับหลายคนที่ไม่มีเวลามานั่งติดตามตลาดการลงทุน อยากมีมืออาชีพมาคอยดูแลพอร์ตการลงทุนให้เติบโต แนะนำลงทุนที่กระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ มีจังหวะปรับเพิ่มหรือลดตามสถานการณ์ที่เหมาะสม ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร หรือเงินเฟ้อจะสูง ต่ำ หรือมีความน่ากังวลแค่ไหน โดยให้ลงทุนผ่านกองทุนผสม ตัวอย่างกองทุนผสมหลากหลายสินทรัพย์ที่น่าสนใจ และมีการจัดการที่ดี คือ กองทุน Wealth Plus ที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนแบบ DCA ลงทุนแบบสม่ำเสมอเท่ากันทุกเดือน หรือจะเลือกลงทุนตามโอกาสที่ต้องการสะสมเงินลงทุนเป็นรายครั้งได้ นอกจากนี้ในระหว่างการลงทุนจะมีผู้เชี่ยวชาญมาคอยปรับสัดส่วนการลงทุนให้เข้ากับสภาวะช่วงนั้น โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ว่าจะมีเป้าหมายการลงทุนอย่างไร Wealth Plus ก็ช่วยวางแผน ช่วยเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเราได้ ง่าย ครบ จบในตัวเดียว บทความโดย K WEALTH Trainer มนัสวี เด็ดอนันต์กุล AFPT K WEALTH Trainer มนัสวี เด็ดอนันต์กุล AFPT
เงินเฟ้อ คือ การดูว่าราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้น แพงกว่าเดิม มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านๆ มา โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่ถูกนำมาคำนวณเงินเฟ้อของไทย จะเป็นสินค้าและบริการที่ใช้จ่ายอยู่เป็นประจำ เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมแอลกอฮอล์) น้ำหนักในการคำนวณเงินเฟ้ออยู่ที่ 42% ค่าเดินทาง 23% ค่าที่อยู่อาศัย 22% ความบันเทิง และการศึกษา 4% อื่นๆ อีก 9% แล้วจึงคำนวณออกมาเป็นตัวเลขเงินเฟ้อ สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย ได้แก่ 1. ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้น (Cost Push Inflation) คือ ภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้ผลิต ราคาวัตถุดิบ หรือต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตสินค้าแพงขึ้น เช่น น้ำมันแพงทำให้ต้นทุนการผลิต การขนส่งสูงขึ้น ผู้ผลิตจึงเพิ่มราคาขายสินค้า ทำให้ราคาขายสินค้าแพงขึ้น เงินเฟ้อก็เพิ่มสูงขึ้นตาม 2. ความต้องการสินค้าสูงขึ้น (Demand Pull Inflation) คือ ภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้บริโภค ความต้องการซื้อสูง หรือต้องการซื้อจนทำให้สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ราคาสินค้าจึงสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ช่วงเกิด Covid-19 หน้ากากอนามัยขาดแคลน ผลิตไม่ทัน เพราะความต้องการซื้อสูง ราคาหน้ากากอนามัยช่วงนั้นก็ปรับตัวขึ้นสูงตาม เป็นต้น ในส่วนของผลกระทบเงินเฟ้อ แบ่งออกเป็น 2 มุมมอง ได้แก่ 1. มุมผู้บริโภค เงินเฟ้อทำให้ต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ ในราคาที่แพงขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว 15 ปีที่แล้วชามละ 20 บาท วันนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 บาท 2. มุมผู้ผลิต จะได้รับผลกระทบจากกำไรที่ลดลง เพราะราคาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น และถ้าเป็นธุรกิจที่ขึ้นราคาสินค้าได้ยาก ก็จะยิ่งกระทบกำไรบริษัท ทำให้ช่วงเกิดเงินเฟ้อสูง นักลงทุนไม่ค่อยชอบ ตลาดหุ้นจึงปรับตัวขึ้นได้ยาก
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_11610
Medical
ยาพ่นจมูก Intranasal corticosteroids ชนิดใดที่สามารถใช้ในหญิงตั้งครรภ์ได้บ้าง?
null
ในปัจจุบัน ยังไม่มีข้อมูลการใช้ยา Intranasal corticosteroids ชนิดใดในหญิงตั้งครรภ์ แม้การศึกษาจะพบว่า ยาพ่นจมูกถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ แต่ในปริมาณน้อยมาก แต่หญิงตั้งครรภ์ควรใช้ยานี้ก็ต่อเมื่อแพทย์พิจารณาแล้วว่าประโยชน์ที่มารดาจะได้รับ มีมากกว่าอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับทารกในครรภ์เท่านั้น กลไกการออกฤทธิ์ของยา Intranasal corticosteroids ยา Intranasal corticosteroids ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการอักเสบ (anti-inflammatory) ของเยื่อบุโพรงจมูก โดยยามีผลไปยับยั้งการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ช่วยลดการหลั่งสารเคมีอักเสบ (inflammatory mediators) โดยทั่วไป ยา Intranasal corticosteroids มีผลข้างเคียงน้อย แต่ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ จมูกแห้ง เลือดกำเดาไหล จาม ผื่นคัน แผลที่ผนังกั้นช่องจมูก (rare) การใช้ยา Intranasal corticosteroids ในหญิงตั้งครรภ์ ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม แพทย์อาจพิจารณาใช้ยา Intranasal corticosteroids ในหญิงตั้งครรภ์ หากอาการของโรคภูมิแพ้จมูก (rhinitis) รุนแรงมาก และไม่สามารถควบคุมด้วยวิธีอื่นๆ แพทย์จะพิจารณาความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยาร่วมกับผู้ป่วยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทางเลือกการรักษาอื่นๆ ในหญิงตั้งครรภ์ หากไม่สามารถใช้ยา Intranasal corticosteroids ในหญิงตั้งครรภ์ แพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาอื่นๆ เช่น การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน การสะกดจมูก (nasal packing) สรุป การใช้ยา Intranasal corticosteroids ในหญิงตั้งครรภ์ ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาที่ชัดเจน หญิงตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยาร่วมกัน
สูติศาสตร์ (สูติศาสตร์) - Obstetrics,เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_40204
Finance
การซื้อบ้านมือสองผ่านการประมูลจากกรมบังคับคดีนั้น น่าสนใจอย่างไรในแง่ของ Finance
null
1. โอกาสได้ราคาถูก: บ้านมือสองที่กรมบังคับคดีนำมาประมูลนั้น โดยทั่วไปจะมีราคาถูกกว่าราคาตลาด 30-50% ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ทำเล สภาพบ้าน อายุการใช้งาน เป็นต้น ตัวอย่าง: จากบทความ ระบุว่า ราคาบ้านเดี่ยวเฉลี่ยในปี 2563 อยู่ที่ 8 ล้านบาท หากซื้อบ้านมือสองผ่านการประมูลจากกรมบังคับคดี มีโอกาสได้ราคา 4-5 ล้านบาท ซึ่งประหยัดเงินได้ถึง 4 ล้านบาท 2. เงินดาวน์น้อย: การประมูลบ้านมือสองจากกรมบังคับคดีนั้น ผู้ประมูลที่ชนะจะต้องวางเงินมัดจำเพียง 5% ของราคาประมูลเท่านั้น ซึ่งถือว่าเงินดาวน์น้อยมาก เมื่อเทียบกับการซื้อบ้านทั่วไปที่ต้องวางเงินดาวน์ 10-30% 3. ระยะเวลาผ่อนยาว: โดยทั่วไปแล้ว สถาบันการเงินจะเสนอสินเชื่อบ้านมือสองที่มีระยะเวลาผ่อนยาวสูงสุด 30 ปี ซึ่งช่วยให้ผ่อนชำระได้สบายขึ้น 4. โอกาสได้บ้านในทำเลดี: กรมบังคับคดีมีบ้านมือสองที่ตั้งอยู่ในทำเลดีๆ ให้ประมูลอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งโอกาสที่จะหาบ้านมือสองในทำเลดีๆ ที่มีราคาถูกนั้น ค่อนข้างยาก อย่างไรก็ตาม การซื้อบ้านมือสองผ่านการประมูลจากกรมบังคับคดีนั้น ก็มีความเสี่ยงบางประการ ดังนี้ 1. บ้านอาจมีสภาพชำรุดทรุดโทรม: ผู้ประมูลไม่มีโอกาสได้เข้าชมบ้านก่อนการประมูล จึงอาจจะได้บ้านที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรม ซึ่งต้องเสียเงินซ่อมแซมเพิ่มเติม 2. บ้านอาจมีปัญหาเรื่องสิทธิ์ครอบครอง: ผู้ประมูลควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบ้าน และตรวจสอบสิทธิ์ครอบครองให้ละเอียดก่อนการประมูล เพื่อป้องกันปัญหาในภายหลัง 3. บ้านอาจมีผู้เช่าอาศัยอยู่: กรณีที่บ้านมีผู้เช่าอาศัยอยู่ ผู้ประมูลที่ชนะการประมูลอาจจะต้องดำเนินการเพิกถอนสัญญาเช่า และขับไล่ผู้เช่าออกจากบ้าน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่าย โดยสรุปแล้ว การซื้อบ้านมือสองผ่านการประมูลจากกรมบังคับคดีนั้น เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้บ้านในราคาถูก แต่ผู้ซื้อควรศึกษาข้อมูล และเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_3909
Finance
ในฐานะผู้บริโภค เราจะมีวิธีการป้องกันตัวเองอย่างไร เมื่อเกิดธุรกรรมออนไลน์ที่ถูกฉ้อโกง โดยที่เราไม่ได้เป็นผู้ก่อการ?
null
1. ตรวจสอบรายการธุรกรรมอย่างสม่ำเสมอ: - ควรตรวจสอบรายการธุรกรรมผ่านบัญชีธนาคารและบัตรเครดิต/เดบิตของเราอย่างสม่ำเสมอ เป็นประจำทุกวัน - สังเกตว่ามีรายการธุรกรรมที่เราจำไม่ได้ หรือไม่เคยทำหรือไม่ - หากพบรายการที่สงสัย ให้รีบติดต่อธนาคารผู้ออกบัตรทันที เพื่อทำการระงับการชำระเงิน และแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ 2. ตั้งรหัสผ่านที่คาดเดายาก: - ควรตั้งรหัสผ่านที่คาดเดายาก - ไม่ควรใช้ข้อมูลส่วนตัว เช่น วันเกิด เบอร์โทรศัพท์ - ควรใช้รหัสผ่านที่ยาวอย่างน้อย 8 ตัวอักษร ประกอบไปด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ ตัวอักษรพิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ - ไม่ควรใช้รหัสผ่านเดียวกันกับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันอื่น 3. ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว: - ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร รหัส PIN รหัส OTP แก่บุคคลอื่น - ไม่ควรคลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์จากบุคคลที่ไม่รู้จัก - ระวังการหลอกลวงทางออนไลน์ รูปแบบต่างๆ เช่น Phishing, Smishing, Vishing 4. เลือกใช้บริการจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ: - เลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ที่น่าเชอถือ มีรีวิวที่ดี - ตรวจสอบข้อมูลสินค้าและราคาอย่างละเอียด - เลือกใช้บริการชำระเงินผ่านช่องทางที่มีความปลอดภัย - ไม่ควรโอนเงินโดยตรงไปยังบัญชีบุคคล 5. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์: - ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์บนอุปกรณ์ที่ใช้ทำธุรกรรมออนไลน์ - อัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์อยู่เสมอ - ระวังการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากแหล่งที่มาที่ไม่น่าเชื่อถือ 6. เรียนรู้เกี่ยวกับกลโกงทางออนไลน์: - ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกลโกงทางออนไลน์ รูปแบบต่างๆ อยู่เสมอ - ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวจากหน่วยงานทีเกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย - แจ้งเตือนคนรอบข้างให้ระวังภัยจากกลโกงทางออนไลน์ 7. เก็บหลักฐาน: - เก็บหลักฐานการทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น อีเมล ใบเสร็จ ข้อความ - เก็บหลักฐานการติดต่อสื่อสารกับร้านค้าหรือผู้ขาย - เก็บหลักฐานการแจ้งความลงบันทึกประจำวัน 8. แจ้งธนาคารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: - แจ้งธนาคารผู้ออกบัตรทันที เมื่อพบธุรกรรมที่สงสัยว่าถูกฉ้อโกง - แจ้งความลงบันทึกประจำวัน - แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค 9. รักษาสิทธิ์ของตัวเอง: - ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิ์ของผู้บริโภค - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย - ดำเนินการตามกฎหมายเพื่อเอาผิดผู้กระทำผิด 10. แบ่งปันประสบการณ์: - แบ่งปันประสบการณ์ของเราให้กับผู้อื่น เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ - ร่วมรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับภัยจากกลโกงทางออนไลน์ 11. สนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ๆ: สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถช่วยป้องกันได้
เครื่องมือทางการเงิน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_26201
Medical
โยคะคืออะไร
ความจำเป็นของการวิจัยโยคะ และการนำโยคะให้เป็นแบบแผนของการศึกษา ความจำเป็นของการวิจัยโยคะ และการนำโยคะให้เป็นแบบแผนของการศึกษา โยคะเป็นศาสตร์ที่มีมาแต่โบราณอันเปี่ยมไปด้วยคุณค่า เกิดจากความพิถีพิถันในการเฝ้าสังเกต ศึกษาเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของตนเอง สืบทอดอย่างเป็นระบบจากโยคีรุ่นหนึ่งตกทอดไปยังโยคีรุ่นถัดไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จากอดีตจนถึงปัจจุบัน โยคะคือศาสตร์แห่งชีวิตที่นำพามนุษย์ไปสู่ศักยภาพสูงสุด โยคะ คือ ศาสตร์แห่งการยกระดับความเป็นมนุษย์ ในทุกๆ มิติ ผ่านทางการพัฒนาจิตที่ปราศจากการรบกวน ซึ่งอาศัยเทคนิควิธีทางกาย-จิตสัมพันธ์ที่หลากหลาย เช่น ท่าอาสนะ ปราณยามะ พันธะ มุทรา กริยา และ สมาธิ ซึ่งเทคนิคเหล่านี้เอง ก็ยังมีรายละเอียดลึกลงไปอีกเป็นจำนวนมากตลอดเวลาที่ผ่านมา โยคะเป็นศาสตร์ที่ถูกเก็บงำ ถูกมองว่าเป็นเรื่องลี้ลับ โยคะเพิ่งจะเปิดเผยสู่สาธารณะเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 นี่เอง จึงไม่เป็นที่แปลกใจที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโยคะเป็นจำนวนมากหลายๆ ประเด็นคนก็ยังเข้าใจผิดอยู่ แม้กระทั่งในการวิจัยเกี่ยวกับโยคะ บางคนเข้าใจว่าการวิจัยโยคะไม่ใช่สิ่งจำเป็น ทั้งนี้เพราะว่าศาสตร์ดังกล่าวมีความสมบูรณ์เพียบพร้อมในตัวอยู่แล้ว บ้างเห็นว่าการนำโยคะไปใช้เพื่อประโยชน์อื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากการแสวงหาทางจิตวิญญาณ เป็นการบิดเบือนโยคะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเห็นเหล่านี้ล้วนเกิดจากการขาดความเข้าใจต่อธรรมชาติและขอบเขตของการวิจัยนั่นเอง การวิจัย คือ ความมุมานะอย่างเป็นระบบในการสืบสวน เพื่อค้นหาหรือพิจารณาข้อเท็จจริง ทฤษฎี ตลอดจนประโยชน์ของมัน ดังนั้น ความพยายามใดๆ ที่จะเรียนรู้ข้อเท็จจริงใหม่ๆ ตลอดจนแสวงหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโยคะจึงควรได้รับการส่งเสริม เพื่อขจัดความเข้าใจผิด เพื่อเข้าใจโยคะให้มากขึ้น การวิจัยอย่างเป็นระบบจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง แม้การวิจัยเป็นเรื่องของการแยกแยะ แจกแจงเป็นส่วนๆ แต่เราก็ควรนำมันมาใช้ทำความเข้าใจความเป็นองค์รวมของโยคะ เป้าหมายของการวิจัยในโยคะ คือทำความเข้าใจเทคนิคโยคะที่หลากหลายอย่างเป็นเหตุเป็นผล อธิบายเทคนิคโยคะด้วยภาษาของศาสตร์ร่วมสมัย และค้นหาคุณค่าของเทคนิคเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาตินั่นเอง การวิจัยจะช่วยให้เรามีความเข้าใจต่อกระบวนการปฏิบัติได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อมีความเข้าใจมากขึ้น ก็จะเกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติ การปฏิบัติซึ่งถือเป็นพื้นฐานทั้งหมดของการเรียนรู้โยคะ สวามีกุลวัลยนันท์ คือ ผู้มีวิสัยทัศน์อย่างยิ่งในงานวิจัยโยคะ ท่านแบ่งกลุ่มการวิจัยออกเป็น การวิจัยรากฐาน และการวิจัยเชิงประยุกต์ในการวิจัยรากฐาน แบ่งออกได้เป็นการวิจัยเชิงปรัชญา ประวัติศาสตร์ และการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งแบ่งแยกย่อยลงไปอีก เป็นการวิจัยทางกายภาพ จิตวิทยาและที่เหนือไปจากจิตวิทยา ในปี พศ 2467 สวามีกุลวัลยนันท์ริเริ่มทำวิจัย เชิงวิทยาศาสตร์กับเทคนิคโยคะ เช่น อุทธิยานะ และ นาอุลิ ในห้องทดลอง โดยอาศัยเครื่องเอกซเรย์ เครื่องมาโนมิเตอร์ช่วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นยุคของการวิจัยโยคะ การวิจัยของท่านดำเนินมา 25 ปี กว่าที่การวิจัยจะเป็นที่แพร่หลายในวงการโยคะ คุณูปการของท่านสวามีกุลวัลยนันท์ คือ ท่านแสดงให้เห็นว่าเทคนิคโยคะสามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ทุกวันนี้ การวิจัยโยคะมุ่งเน้นไปทางด้านเชิงประยุกต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านสุขภาพ มีการวิจัยเชิงบำบัดโรคมากกว่าการส่งเสริมสุขภาพ ส่วนการวิจัยด้านป้องกันโรคแทบจะไม่มีใครคำนึงถึง ข้อสังเกตต่องานวิจัยโยคะที่มีอยู่ในปัจจุบัน 1 งานวิจัยจำนวนมากยังขาดความเข้าใจต่อแนวความคิดพื้นฐานของโยคะ เช่น งานวิจัยที่แยกโยคะออกจากสมาธิ ว่าเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งสร้างความคลาดเคลื่อนต่อโยคะ 2 ยังไม่สามารถอธิบายเทคนิคโยคะที่ทำวิจัยได้อย่างเพียงพอ 3 บ่อยครั้ง มีการนำเทคนิคที่ไม่ใช่ของโยคะมาปนกับเทคนิคโยคะ 4 งานวิจัยทางด้านบำบัดเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ที่มีการติดตามประเมินผลภายหลังอย่างเพียงพอเหมาะสม แนวทางการวิจัยที่น่าจะช่วยกันทำเพิ่มเติม 1 งานวิจัยเชิงรากฐานต่อเทคนิคโยคะต่างๆ ซึ่งยังมีอยู่อีกมากมายที่ยังไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจัง 2 การพัฒนามาตรฐานของเทคนิคโยคะ 3 ผลของการควบคุมการหายใจ ปราณยามะ ที่มีต่อกลไก กาย-จิตสัมพันธ์ 4 การวิจัยหาช่องทางต่างๆ ในความเป็นมนุษย์ เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเอง 5 การจัดทำตำราอ้างอิง เช่น สารานุกรม พจนานุกรม ดรรชนี บทวิเคราะห์ งานวิจารณ์ ตำราโยคะดั้งเดิม 6 คุณค่าของโยคะบำบัด ต่อความผิดปกติทางกาย-จิตสัมพันธ์ต่างๆ 7 การวิจัยถึงความเหมาะสมของเทคนิคโยคะต่างๆ ต่อธรรมชาติมนุษย์ที่แตกต่างกัน เช่น เทคนิคโยคะ ต่อคนในวัยที่ต่างกัน ต่อเพศที่ต่างกัน ต่อกีฬาประเภทต่างๆ การวิจัยโยคะจะทำให้เรามีข้อสรุป ข้อคิดเห็นคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งนั่นหมายความว่า ในแต่ละกรณี เราควรจะมีข้อมูลที่มากพอ ขณะเดียวกันก็เกิดจากมุมมองที่หลากหลาย โยคะโดยมันเอง ก็เต็มไปด้วยประเด็นที่จะทำการวิจัยได้อย่างหลากหลาย โยคะยังมีคุณค่ายิ่งในระบบการศึกษา และองค์กรทางด้านการส่งเสริมสุขภาพ นี่คือยุคสมัยที่เหมาะอย่างยิ่งในการปฏิวัติการศึกษาด้วยโยคะ แก่นของการศึกษาคือการดึงเอาศักยภาพสูงสุด ที่มีอยู่แล้วในตัวมนุษย์ทุกคนออกมา ศักยภาพที่ว่านี้ คือสภาวะแห่งความสมดุลระหว่าง ทัศนคติ การกระทำ พฤติกรรม บุคลิก ทักษะ วิธีคิด และความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ โยคะเน้นที่คุณค่าของจิตที่มีการรวมศูนย์พร้อมแก่งาน พลังของจิตที่มีการรวมศูนย์นี้เองคือกุญแจที่จะเอาชนะสภาวะของกาย-ใจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย โยคะช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ ช่วยเพิ่มสมาธิ พัฒนาความสามารถในการปรับตัว ในการควบคุมอารมณ์ ให้กับนักเรียน ทางด้านสุขภาพ หลักการของโยคะตั้งอยู่บนพื้นฐานว่า โรคต่างๆ ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากอิริยาบถที่ไม่ถูกต้อง อาหารที่ผิด และทัศนคติที่ไม่เหมาะสม ความไม่ลงตัวเหล่านี้ล้วนสามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง และมีแต่ตนเองเท่านั้นที่จะควบคุมมันได้ เราควรนำเทคนิคที่หลากหลายของโยคะมาใช้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ไม่เพียงในสถาบันการศึกษา แต่ครอบคลุมไปยังประชาชนส่วนใหญ่ผ่านองค์กรที่ทำหน้าที่ ส่งเสริมสุขภาพ โดยครูโยคะผู้เชี่ยวชาญทำการอบรมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ด้วยการอบรม สัมมนา ในเวลาพอสมควร การอบรมควรเน้นที่การรู้วิธีปฏิบัติเทคนิคโยคะอันหลากหลาย ประกอบกับการเรียนทฤษฎี ทำความเข้าใจ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ควบคู่กับความรู้ด้านการส่งเสริมสุขภาพอื่นๆ ดรเอ็ม แอล กาโรเต้ ครูโยคะชาวอินเดีย ีเคเอส ไอเยนการ์ ลูกศิษย์ของกฤษณะมาจารยา
ศาสตร์แห่งชีวิตที่นำพามนุษย์ไปสู่ศักยภาพสูงสุด โยคะ คือ ศาสตร์แห่งการยกระดับความเป็นมนุษย์ ในทุกๆ มิติ ผ่านทางการพัฒนาจิตที่ปราศจากการรบกวน ซึ่งอาศัยเทคนิควิธีทางกาย-จิตสัมพันธ์ที่หลากหลาย เช่น ท่าอาสนะ ปราณยามะ พันธะ มุทรา กริยา และ สมาธิ ซึ่งเทคนิคเหล่านี้เอง ก็ยังมีรายละเอียดลึกลงไปอีกเป็นจำนวนมากตลอดเวลาที่ผ่านมา โยคะเป็นศาสตร์ที่ถูกเก็บงำ ถูกมองว่าเป็นเรื่องลี้ลับ โยคะเพิ่งจะเปิดเผยสู่สาธารณะเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 นี่เอง จึงไม่เป็นที่แปลกใจที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโยคะเป็นจำนวนมากหลายๆ ประเด็นคนก็ยังเข้าใจผิดอยู่ แม้กระทั่งในการวิจัยเกี่ยวกับโยคะ บางคนเข้าใจว่าการวิจัยโยคะไม่ใช่สิ่งจำเป็น ทั้งนี้เพราะว่าศาสตร์ดังกล่าวมีความสมบูรณ์เพียบพร้อมในตัวอยู่แล้ว บ้างเห็นว่าการนำโยคะไปใช้เพื่อประโยชน์อื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากการแสวงหาทางจิตวิญญาณ เป็นการบิดเบือนโยคะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเห็นเหล่านี้ล้วนเกิดจากการขาดความเข้าใจต่อธรรมชาติและขอบเขตของการวิจัยนั่นเอง การวิจัย คือ ความมุมานะอย่างเป็นระบบในการสืบสวน เพื่อค้นหาหรือพิจารณาข้อเท็จจริง ทฤษฎี ตลอดจนประโยชน์ของมัน ดังนั้น ความพยายามใดๆ ที่จะเรียนรู้ข้อเท็จจริงใหม่ๆ ตลอดจนแสวงหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโยคะจึงควรได้รับการส่งเสริม เพื่อขจัดความเข้าใจผิด เพื่อเข้าใจโยคะให้มากขึ้น การวิจัยอย่างเป็นระบบจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_3914
Finance
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับ "การเปลี่ยนแปลงโลกทางการแพทย์ผ่านกองทุน Healthcare Innovation ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย"
null
"เกาะเทรนด์กองทุน Healthcare Innovation เทคโนโลยีสุดล้ำ สู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมการแพทย์" ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำอย่างรวดเร็วและอุตสาหกรรมการแพทย์ต้องการการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยและผู้ให้บริการทางการแพทย์ เกิดขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ช่วยปรับปรุงการรักษาโรคและรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ก่อให้เกิดกองทุน Healthcare Innovation ที่เน้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่สามารถเปลี่ยนแปลงการดูแลสุขภาพและอุตสาหกรรมการแพทย์อย่างรุนแรงได้ แนวคิดหลักของกองทุนนี้คือการสนับสนุนและลงทุนในบริษัทหรือโครงการที่มีศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่น่าสนใจ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสุดล้ำ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์และช่วยในการวินิจฉัยโรคอย่างรวดเร็วและแม่นยำขึ้น หรือการนำเทคโนโลยีเชิงชีวภาพมาใช้ในการสร้างยาหรือวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้ยังมีการให้การสนับสนุนในการพัฒนาอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น หุ่นยนต์ที่ช่วยในการดำเนินการทางการแพทย์อย่างแม่นยำและนวัตกรรมในการสร้างเครื่องมือการแพทย์พกพาที่ช่วยในการวินิจฉัยและรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น กองทุนนี้จะเป็นแรงผลักดันให้บริษัทและนักวิจัยที่มีแนวคิดนวัตกรรมทางการแพทย์สามารถสร้างและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยในการปฏิวัติอุตสาหกรรมการแพทย์ให้ก้าวไปสู่ขั้นตอน ใหม่ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงคุณภาพการดูแลสุขภาพ การเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรค และการทำให้การดูแลสุขภาพเป็นไปอย่างยั่งยืนและคุ้มค่ายิ่งขึ้นสำหรับผู้รับบริการและผู้ให้บริการทางการแพทย์ต่างๆ ในสังคม
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_20578
Medical
อาการของโรคไอกรนในระยะแรกจะเป็นอย่างไร ระหว่าง มีอาการไอเล็กน้อยคล้ายเป็นหวัดต่อมาจะมากขึ้น หรือ มีโรคแทรกของทางเดินหายใจ
null
มีอาการไอเล็กน้อยคล้ายเป็นหวัด ต่อมาจะมากขึ้น เพราะอาการของโรคไอกรน ระยะแรกจะมีอาการไอเล็กน้อยคล้ายเป็นหวัดต่อมาจะมากขึ้น และอาจมีอาการแทรกซ้อนดังที่ได้บรรยายในผู้ป่วยที่อำเภอสองพี่น้องดังกล่าวที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ในเด็กที่ฟื้นไข้แล้ว ถ้ามองดูใต้ลิ้นอาจเห็นพังผืดใต้ลิ้นขาดหรือเป็นแผล เนื่องจากเวลาไอมากๆ ฟันจะมากระทบกับพังผืดให้ลิ้นทำให้ขาดหรือเป็นแผลได้ โรคนี้มักเกิดในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ในเด็กทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี เป็นระยะที่อันตรายมาก เนื่องจากเกิดความผิดปกติที่สมอง ทำให้ชักและหยุดหายใจได้ ส่วนการมีมีโรคแทรกของทางเดินหายใจ เป็นอาการของโรคไอกรน โดยมีสาเหตุที่อาจจะไอต่อไปอีก 1-2 เดือนก็ได้ โรคนี้เมื่อเป็นแล้วรักษายากมาก การใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ เพื่อรักษาโรคนี้มักจะไม่ได้ผล นอกจากในระยะหลังที่มีโรคแทรกซ้อนทางปอด โดยทั่วไปเด็กจะมีอาการไอประมาณเดือนครึ่งถึงสองเดือนแล้วหายไปเอง แต่ถ้ามีโรคแทรกของทางเดินหายใจ เช่น หลอดลมอักเสบ หรือ ปอดอักเสบ อาจจะไอต่อไปอีก 1-2 เดือนก็ได้ คนจีนจึงเรียกว่า ไอร้อยวัน ผู้ป่วยที่เป็นโรคบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว เช่น วัณโรค โรคหัวใจ หรือ ไส้เลื่อน จะทำให้โรคเหล่านี้กำเริบขึ้น อาจเป็นอันตรายได้ โรคนี้สำคัญอยู่ที่การป้องกัน คือ การวัคซีน มีวัคซีนรวม 3 อย่าง คือ วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน และบาดทะยัก เริ่มฉีดเมื่อเด็กอายุ 2 เดือน และฉีดซ้ำอีก 1 ครั้ง หลังจากฉีดครั้งแรก 2 เดือน บางแห่งอาจฉีด 3 ครั้ง เพื่อให้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้น หลังฉีดแล้วระยะหนึ่งภูมิคุ้มกันจะต่ำลง จึงต้องฉีดกระตุ้นเมื่อเด็กอายุได้ปีครึ่งและสี่ปี
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_426
Finance
ขอคำแนะนำหน่อย กระบวนการการรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตมีอะไรบ้าง
null
การรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต คือ การขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินเดิมหรือสถาบันการเงินใหม่ที่จ่ายดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิมแล้วนำมาชำระหนี้บัตรเครดิตเดิมทั้งหมด ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ หรือเรียกว่า... โปะหนี้บัตรหรือปิดบัตรเครดิต หากมีหนี้จากบัตรเครดิตหลายบัตร การรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตจะเป็นการรวมหนี้มาไว้ด้วยกันในแหล่งเดียว แล้วผ่อนชำระด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง วิธีนี้จึงช่วยแบ่งเบาภาระการผ่อนต่อเดือน และใช้ระยะเวลาในการผ่อนชำระนานขึ้น ทำให้ช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินมากยิ่งขึ้น โดยมีกระบวนการ ดังนี้ - ประมาณการหนี้บัตรเครดิตที่มีทั้งหมด เพื่อนำไปขอสินเชื่อส่วนบุคคล โดยการตั้งวงเงินสินเชื่อควรตั้งเผื่อให้มากกว่าหนี้สินที่มีอยู่ เนื่องจากบางครั้งสถาบันการเงินอาจพิจารณาให้สินเชื่อไม่เต็มจำนวน ทั้งนี้ หากวงเงินขอสินเชื่อส่วนบุคคลที่ได้ต่ำกว่าหนี้สินทั้งหมด วิธีการ คือ ให้เลือกนำเงินขอสินเชื่อที่ได้ไปชำระหนี้หรือปิดบัตรเครดิตที่มีดอกเบี้ยที่แพงที่สุดก่อน เพื่อป้องกันดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มพูนในอนาคต - ยื่นสมัครขอสินเชื่อส่วนบุคคลกับธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยควรเลือกจากแหล่งที่ดอกเบี้ยต่ำที่สุด พิจารณาโปรโมชัน ระยะเวลาการผ่อนชำระ และเงื่อนไขอื่นๆ ประกอบ เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์และความสามารถในการผ่อนชำระของตนเอง ระยะเวลาในการผ่อนมีตั้งแต่ 18 - 60 เดือน ทำให้ผู้กู้สามารถยืดหยุ่นการผ่อนชำระได้ตามกำลังความสามารถ - เปรียบเทียบโปรโมชั่นของแต่ละที่ เลือกที่ๆ ให้โปรโมชั่นที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด ปัจจุบันมีธนาคารหรือสถาบันการเงินหลายแห่ง มีโปรโมชั่นสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อจูงใจลูกค้าให้มาสมัคร เช่น ให้วงเงินกู้สูงสุด 3 - 5 เท่าของรายได้ ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน การลดดอกเบี้ยพิเศษ หรือฟรีค่าธรรมเนียม เป็นต้น การรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตเป็นทางออกที่ช่วยให้สามารถจัดการหนี้สินที่เกินความสามารถในการจ่าย ให้สามารถผ่อนชำระต่อเดือนได้ลดลง ทำให้การใช้จ่ายในครัวเรือนมีสภาพคล่องมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรมีการวางแผนใช้จ่ายเงินในอนาคตต่อไปด้วย เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวและไม่เกิดปัญหาการมีหนี้สินท่วมตัวอีก
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Legal_45498
Legal
กรณีซื้อบ้านหลังแรกในราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างเพื่อขอลดหย่อนภาษี?
ใกล้ถึงเวลายื่นภาษีประจำปี 2562 เข้ามาทุกขณะ ก็ถึงช่วงที่ผู้เสียภาษีทุกคนต้องเตรียมเอกสารเพื่อขอลดหย่อนภาษี และปีนี้ก็มีรายการลดหย่อนมากมายที่ช่วยให้ประหยัดภาษีมากขึ้น บทความนี้จึงรวบรวมมาตรการลดหย่อนภาษีปี 2562 มาให้อย่างครบถ้วน เพื่อให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนยื่นภาษีแบบม้วนเดียวจบ โดยไม่ขาดตกรายการลดหย่อนใด ๆ ลดหย่อนภาษีโครงการบ้านหลังแรก หากซื้อบ้านระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึง 31 ธันวาคม 2562 ในราคาไม่เกิน 5,000,000 บาท ผู้ซื้อจะลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยใช้ลดหย่อนได้ปีเดียวเต็มจำนวน ซึ่งโครงการนี้เป็นหนึ่งในมาตรการรัฐเพื่อช่วยคนซื้อบ้านในปี 2562 ส่วนผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรกระหว่างวันที่ 13 ตุลาคม 2558 ถึง 31 ธันวาคม 2559 ในราคาไม่เกิน 3,000,000 บาท ก็ยังใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุดปีละไม่เกิน 120,000 บาทได้ในปีนี้ โดยจะใช้ได้จนถึงปี 2562-2563 ขึ้นอยู่กับปีที่ซื้อบ้าน หมายเหตุ บ้านหลังแรก คือ บ้าน ทาวน์โฮม หรือคอนโดที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นแห่งแรก แต่จะเป็นบ้านใหม่หรือบ้านมือสองก็ได้ โดยต้องใช้หลักฐานในการขอลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก ดังนี้ ลดหย่อนภาษีโครงการช้อปช่วยชาติ ช้อปช่วยชาติเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เปิดให้ผู้ซื้อหนังสือ (รวมทั้งอีบุ๊ก) สินค้าโอทอป และยางรถยนต์ที่ผลิตภายในประเทศระหว่างวันที่ 1-16 มกราคม 2562 สามารถนำใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบมาลดหย่อนภาษีปี 62 ได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท ลดหย่อนภาษีโครงการโอทอป (OTOP) สำหรับผู้ซื้อสินค้าโอทอปที่ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว โดยซื้อกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึง 30 มิถุนายน 2562 สามารถนำใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท ลดหย่อนภาษีโครงการท่องเที่ยว มาตรการลดหย่อนภาษีปี 2562 สำหรับนักท่องเที่ยวระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึง 30 มิถุนายน 2562 โดยผู้ที่ท่องเที่ยวเมืองหลัก 22 จังหวัด สามารถลดหย่อนตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท ส่วนผู้ที่ท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 20,000 บาท และเมื่อรวมทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 20,000 บาท หมายเหตุ ค่าใช้จ่ายที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้คือ ค่าแพ็คเกจท่องเที่ยว ค่ามัคคุเทศก์ ค่าโรงแรมที่พักหรือโฮมสเตย์ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการท่องเที่ยวแล้วเท่านั้น ไม่รวมถึงค่าเดินทางทุกประเภท ลดหย่อนภาษีเพื่อช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการลดหย่อนภาษีระหว่างวันที่ 3 มกราคม ถึง 31 มีนาคม 2562 เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนปาบึก จนทรัพย์สินเสียหายหรือถูกน้ำท่วม โดยแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้ ลดหย่อนภาษีสินค้าเพื่อการศึกษาและกีฬา สำหรับผู้ซื้อสินค้าหรือเครื่องแต่งกายเพื่อการศึกษาและกีฬา เช่น เครื่องเขียน ชุดนักเรียน ลูกฟุตบอล ไม้แบดมินตัน และรองเท้ากีฬาระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 30 มิถุนายน 2562 สามารถนำใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท ลดหย่อนภาษีเงินลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ (Startup) หากมีการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2561 ถึง 31 ธันวาคม 2562 ผู้ลงทุนสามารถนำสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และหนังสือรับรองการลงทุนจากกรรมการผู้จัดการ มาขอลดหย่อนภาษีได้ตามที่ลงทุนจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยบริษัทสตาร์ทอัพต้องอยู่ในเงื่อนไข ดังนี้ ลดหย่อนภาษีค่าหนังสือและอีบุ๊ก (e-book) สำหรับผู้ซื้อหนังสือและอีบุ๊กระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2562 สามารถนำใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท และเมื่อรวมกับหนังสือในโครงการช้อปช่วยชาติแล้วต้องไม่เกิน 15,000 บาท มาตรการลดหย่อนภาษีปี 2562 นั้นมีหลายรายการ และเป็นสิทธิ์พิเศษในช่วงเวลาจำกัดเท่านั้น หากใครมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับรายการข้างต้น ก็เตรียมเอกสารขอลดหย่อนไว้ได้เลย ส่วนใครที่สนใจซื้อบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ก็ต้องรีบตัดสินใจซื้อก่อนสิ้นปี จะได้มีสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีด้วย สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า
สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรกในราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึง 31 ธันวาคม 2562 จะสามารถขอลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท โดยสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้ปีเดียวเต็มจำนวน และต้องใช้เอกสารประกอบดังต่อไปนี้: 1. สำเนาบัตรประชาชน 2. สำเนาทะเบียนบ้าน 3. สัญญาซื้อขายบ้าน 4. หนังสือสัญญาจดจำนอง (กรณีมีการกู้ซื้อบ้าน) 5. ใบเสร็จรับเงินค่าซื้อบ้าน 6. ใบรับรองการโอนกรรมสิทธิ์ 7. หนังสือรับรองการจดทะเบียนบ้าน 8. สำเนาหนังสือรับรองจากสรรพากร แสดงรายได้สุทธิประจำปี 2562 หมายเหตุ: -เอกสารทุกฉบับต้องเป็นสำเนาที่ชัดเจน ครบถ้วน และถูกต้อง -กรณีซื้อบ้านเป็นชื่อร่วมกับผู้อื่น ต้องแนบสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของทุกคน -กรณีซื้อบ้านจากบริษัท ต้องแนบสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท -กรณีซื้อบ้านผ่านนายหน้า ต้องแนบสำเนาใบอนุญาตประกอบธุรกิจของนายหน้า -กรณีซื้อบ้านมือสอง ต้องแนบสำเนาทะเบียนบ้านเก่า (ก่อนโอนกรรมสิทธิ์) ขั้นตอนการยื่นขอลดหย่อนภาษี: -กรอกแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.พ.20) -แนบเอกสารประกอบครบถ้วน ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.พ.20) ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้ -ยื่นด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ -ยื่นผ่านทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ -ยื่นผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ระยะเวลาการยื่นขอลดหย่อนภาษี: -ผู้เสียภาษีทั่วไป: 1 พฤษภาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563 -นิติบุคคล: 1 มีนาคม ถึง 30 กันยายน 2563 ตัวอย่างคำอธิบายเพิ่มเติม: -ผู้เสียภาษีสามารถขอลดหย่อนภาษีได้เฉพาะบ้านที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นแห่งแรกเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบ้านใหม่หรือบ้านมือสองก็ได้ -กรณีซื้อบ้านร่วมกับผู้อื่น จะสามารถขอลดหย่อนภาษีได้คนละไม่เกิน 200,000 บาท รวมกันแล้วไม่เกิน 400,000 บาท -กรณีซื้อบ้านโดยกู้เงินจากธนาคาร จะสามารถนำดอกเบี้ยที่จ่ายจริงมาลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท -ผู้เสียภาษีที่ไม่เคยยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.พ.20) มาก่อน จะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.พ.20) ดังกล่าว พร้อมกับเอกสารประกอบเพื่อขอลดหย่อนภาษี คำแนะนำ: -ผู้เสียภาษีควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรกอย่างละเอียดก่อนยื่นขอลดหย่อน -เตรียมเอกสารประกอบให้ครบถ้วนถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาการยื่นขอลดหย่อนไม่สำเร็จ -ยื่นขอลดหย่อนภาษีภายในระยะเวลาที่กำหนด
กฎหมายภาษี
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21598
Medical
ช่วยสรุปเรื่อง "การควบคุมการเคลื่อนไหวและประสิทธิภาพในการเล่นกีฬา: มุมมองทางสรีรวิทยาและสภาพประสงค์ของร่างกาย" ให้หน่อยคะ
การควบคุมการเคลื่อนไหว การควบคุมการเคลื่อนไหว นักกีฬาที่เกิดอุบัติเหตุในการเล่นกีฬา จนกระดูกหักและต้องได้รับการผ่าตัดหรือเข้าเฝือก มักพบว่า หลังจากผ่าตัดใหม่ๆ หรือเข้าเฝือกแล้ว อาจเคลื่อนไหวส่วนนั้นไม่ได้ หรือเคลื่อนไหวด้วยความลำบาก ทั้งๆ ที่กระดูกก็ต่อกันดีแล้ว กล้ามเนื้อไม่ได้สูญเสียไป และข้อต่อก็ไม่ได้ติดขัดเลย บางครั้งอาจพบว่า ความรู้สึกบนผิวหนังก็เสียไปด้วย สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากอาจมีเส้นประสาทเล็กๆ ถูกตัดขาดไประหว่างผ่าตัดหรือเฝือกที่เข้าไว้ไปกดทับถูกเส้นประสาทที่ทอดผ่านส่วนผิวหนังของกระดูก อาการเหล่านี้ไม่น่าวิตก เพราะจะหายไปได้เมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า หรือฝึกกล้ามเนื้ออื่นๆ และเมื่อเส้นประสาทงอกจากส่วนที่ขาดไปมายังกล้ามเนื้อแล้ว หรือฟื้นจากภาวะถูกกดทับแล้ว เราจะใช้ส่วนนั้นได้อีก แต่ในบางกรณี เช่น กระดูกสันหลังหัก ทำให้ขาเป็นอัมพาตทั้ง 2 ข้าง หรือเส้นเลือดในสมองตีบตันหรือแตก ทำให้เนื้อสมองถูกกดทับ หรือขาดเลือดจนตายไป จะเกิดเป็นอัมพาตครึ่งซีกที่ขาและแขนข้างเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นข้างซ้ายหรือขวา ขึ้นอยู่กับสมองซีกที่อยู่ตรงข้ามแขนขาข้างนั้นเสียไป ใน 2 กรณีนี้ ถึงแม้กล้ามเนื้อกระดูก และข้อต่อยังมีอยู่เหมือนเดิม ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวส่วนนั้นได้ และต้องทำการรักษาเป็นเวลานานทีเดียวกว่าจะให้เคลื่อนไหวได้เหมือนเดิม ในรายที่เป็นมากอาจไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกเลย จะเห็นได้ว่า การที่มีแต่กล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อ เราก็ยังไม่สามารถเคลื่อนไหว เล่นกีฬา หรือออกกำลังกายได้ ระบบประสาทต่างหากที่เป็นตัวสั่งให้เกิดการเคลื่อนไหวได้ หมอชาวบ้านครั้งที่แล้ว ได้กล่าวถึงเส้นประสาทซึ่งประกอบด้วยเส้นใยแอกซอนของเซลล์ประสาททอดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อเพื่อสั่งให้เกิดการหดตัว หรือไปยังอวัยวะต่างๆ เพื่อรับความรู้สึกการเคลื่อนไหวทุกชนิดจะเกิดขึ้นจะเกิดขึ้นได้จึงต้องอาศัยการประสานงานของเส้นประสาททั้ง 2 ระบบนี้ คือ ระบบรับความรู้สึกและระบบยนต์ที่ออกคำสั่งให้กล้ามเนื้อหดตัว เมื่อเหยียบถูกของแหลมขณะเดินด้วยเท้าเปล่า สิ่งแรกที่เกิดขึ้น คือ เราจะงอขาขึ้นแล้วก้มหน้ามองดูว่าเหยียบถูกอะไร ก่อนที่จะก้าวต่อไปหรือทำการดึงของแหลมนั้นออก ทั้งนี้เมื่อเหยียบถูกของแหลม จะเกิดกระแสประสาทที่ปลายประสาทรับความรู้สึกที่อยู่ตามฝ่าเท้าวิ่งไปตามเส้นประสาทรับความรู้สึก เข้าสู่ไขสันหลัง กระแสประสาทวิ่งไปกระตุ้นเซลล์ประสาทยนต์ทางหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้เกิดกระแสประสาทวิ่งไปตามเส้นประสาทยนต์ ไปยังกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่งอข้อสะโพกและข้อเข่าและข้อเท้า เพื่อให้กระดกเท้ายกขาขึ้นด้วยความรวดเร็ว ขณะเดียวกันกระแสประสาทจากประสาทรับความรู้สึก จะวิ่งขึ้นตามเส้นทางของไขสันหลังอีกทางหนึ่งไปยังสมองใหญ่ที่ตำแหน่งรับความรู้สึก เพื่อรายงานว่าส่วนใดของร่างกายถูกของแหลมตำ เพื่อให้สมองสั่งการลงมาตามเส้นประสาทยนต์ที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อคอให้ก้มลง กล้ามเนื้อตาให้จ้องหาสิ่งที่เหยียบถูก และกล้ามเนื้อของแขนขาเพื่อให้กระทำสิ่งอื่นๆ ที่เหมาะสม การกระทำดังกล่าวจะเกิดขึ้นช้ากว่าการยกขาในตอนแรกซึ่งกระทำไปโดยยังไม่ทันได้รู้ตัวเสียอีก เราจึงเรียกว่ารีแฟลกซ์ หรือการตอบสนองแบบฉับพลัน ส่วนการเคลื่อนไหวในระยะหลังเราเรียกว่า ถูกควบคุมภายใต้จิตใจ สมอง นั่นเอง แน่นอนถ้าความรู้สึกชนิดต่างๆ เสียไป เราจะเกิดการเคลื่อนไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ในผู้ที่สูญเสียความรู้สึกตามผิวหนังของนิ้ว แล้วจับบุหรี่อยู่จะไม่ทิ้งบุหรี่ออกถึงแม้ไฟบุหรี่ได้ไหม้ตามมาถึงนิ้วแล้ว ทำให้นิ้วมือพองถูกไหม้หลุดไปด้วย ซึ่งพบได้ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือโรคเรื้อน ผู้ที่ตาบอด จะเคลื่อนไหวไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้ว่าข้างหน้ามีหลุมมีบ่อหรือไม่ และผู้ที่หูหนวกแต่กำเนิดจะเป็นใบ้ไปด้วยทั้งๆ ที่กล่องเสียงยังดีอยู่ นักกีฬาที่ดีจึงจำเป็นต้องมีความรู้สึกที่ไว เมื่อได้ยินเสียงเป็นสัญญาณ จะพุ่งตัวออกทันทีไม่ว่าในการวิ่งแข่งหรือว่ายน้ำ ตาที่ดีจะทำให้เล่นกีฬาประเภทลูกบอลได้ดีมีความแม่นยำพิเศษในการยิงปืน ยิงธนู ความรู้สึกในต่อและกล้ามเนื้อดีจะเก่งในการเล่นสเกต สกี เต้นรำ ยิมนาสติก อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาทุกชนิด ย่อมต้องอาศัยความรู้สึกเกือบทุกชนิดประสานงานกันเพื่อคอยรายงานให้สมองใหญ่และสมองน้อยทราบถึงสภาพการงอของข้อต่อ การหดตัวของกล้ามเนื้อ สภาพแวดล้อมของสนามกีฬา และการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ เพื่อสมองจะได้ทำการตัดสินใจ ส่งคำสั่งลงมาตามเส้นประสาทยนต์ให้กล้ามเนื้อหดตัวมากหรือน้อย ช้าหรือเร็ว และกล้ามเนื้อมัดควรจะหด มัดไหนควรจะผ่อน เพื่อเกิดการเคลื่อนไหวที่ราบรื่นรวมถึงและมั่นคงได้ กระแสประสาทที่ลงมาที่เส้นประสาทยนต์จึงมีความสลับซับซ้อนมาก แม้แต่มนุษย์ในปัจจุบันไม่สามารถคิดค้นประดิษฐ์หุ่นยนต์ที่เคลื่อนไหวได้เหมือนมนุษย์ทีเดียว หุ่นยนต์เวลาเดินจะทื่อและเก้งก้างไม่สง่าเหมือนมนุษย์เดิน เวลายกแขนไปจับสิ่งของจะเชื่องช้าและกระตุก เวลาหันศีรษะไปมาจะไม่ว่องไวและกระฉับกระเฉง อาจมีคนแย้งว่า ในอนาคต หุ่นยนต์อาจจะมีความสามารถดีกว่าหรือเท่าเทียมมนุษย์ได้ แต่อย่าลืมว่าธรรมชาติได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาจากการวิวัฒนาการนับหลายหมื่นปี เพื่อให้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ และตราบใดที่เราสร้างหุ่นยนต์ได้เหมือนมนุษย์ในขณะนี้ได้ ตราบนั้นมนุษย์ก็คงได้เปลี่ยนวิธีการเคลื่อนไหวที่แตกต่างออกไปอีกแล้ว ในการฝึกนักกีฬาหรือออกกำลังกาย สิ่งที่สำคัญมากที่สุดจึงเป็นทักษะในการเล่นกีฬาชนิดนั้นๆ การที่จะเกิดทักษะขึ้นนั้นย่อมเกี่ยวข้องกับการควบคุมของระบบประสาท การเกิดทักษะการเคลื่อนไหวต่างๆ ต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหมายถึงการเคลื่อนไหนนั้นนั้นจะต้องเหมาะกับกาลเวลาและสถานที่ ตัวอย่างเช่น การตีลูกเทนนิสที่วิ่งมาหาเราจากคู่ต่อสู้ เราต้องรู้ว่าลูกเทนนิสมาจากทิศทางไหนด้วยความเร็วเท่าไร โดยการรับรู้ของสมองจากลูกตาและจากประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากการฝึกซ้อมในอดีต ผู้ที่เล่นเทนนิสไม่เป็นอาจจะมองไม่เห็นว่าลูกถูกตีมาจากทิศทางไหนด้วยช้ำ จากนั้นผู้เล่นต้องยกแขนชูไม้ตีเทนนิสเพื่อรับลูกและตีกลับไป ถ้าเคลื่อนไหวเร็วไปหรือช้าไปอาจทำให้รับลูกเทนนิสไม่ได้ และถ้าออกแรงมากไปหรือน้อยไป อาจทำให้ตีลูกออกนอกสนามหรือหล่นใกล้ไป และยังต้องคาดคะเนจากแรงที่กระทบว่าลูกที่มานั้นเป็นลูกตรงหรือลูกหมุน เพื่อจะได้เอียงมุมของไม้ตีเทนนิสได้ถูกต้อง
การควบคุมการเคลื่อนไหวเป็นกระบวนที่ซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาททั้งสอง ทั้งระบบรับความรู้สึกและระบบยนต์ที่ส่งสัญญาณให้กล้ามเนื้อหดตัวหรือผ่อนตัวในการเคลื่อนไหวของร่างกาย การเสียหายทางประสาทหลายประการ เช่น อุบัติเหตุที่ทำให้กระดูกหักหรือการเข้าเฝือก สามารถทำให้เกิดปัญหาในการเคลื่อนไหวหรือควบคุมร่างกายได้ อาการที่เกิดจากเส้นประสาทที่ถูกตัดหรือกดทับอาจทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ โดยทั้งกระดูกและกล้ามเนื้อยังคงอยู่ แต่การเคลื่อนไหวอาจเป็นไปได้ด้วยความลำบากหรือไม่สมบูรณ์ การเสริมความรู้สึกที่สูญเสียด้วยการใช้ไฟฟ้าหรือการฝึกกล้ามเนื้ออื่นๆ อาจช่วยในการฟื้นฟูบางกรณี อาการที่เกิดจากการสูญเสียความรู้สึกบนผิวหนังยังสามารถทำให้เกิดปัญหาในการควบคุมการเคลื่อนไหวได้ ตัวอย่างเช่น การสูญเสียความรู้สึกตามผิวหนังของนิ้วอาจทำให้ไม่สามารถรับรู้การเหยียบถูกของแหลมหรือสิ่งของบนพื้น ทำให้การเคลื่อนไหวไม่สมบูรณ์หรือไม่ตอบสนองได้อย่างปกติ ในบางกรณี เมื่อเส้นประสาทในสมองหรือที่กระดูกสันหลังถูกทำลาย อาจอัมพาตที่เป็นข้างเดียว หรืออัมพาตที่มีผลกระทบทั้งแขนและขาทั้ง 2 ข้าง ขึ้นอยู่กับส่วนที่ถูกทำลาย การฟื้นฟูหรือการทำกิจกรรมกายภาพอาจช่วยในการเรียนรู้ใหม่เพื่อทำให้ร่างกายสามารถดำเนินการได้เท่าที่เป็นไปได้ นอกจากนี้ การอธิบายถึงกระบวนการทางประสาทที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อเรียนรู้ทักษะในการเล่นกีฬาหรือการออกกำลังกาย การมีความรู้สึกที่แม่นยำ และการตัดสินใจที่รวดเร็ว เป็นสิ่งสำคัญที่สมองต้องทำในการส่งสัญญาณควบคุมการเคลื่อนไหว การควบคุมร่างกายในระดับที่ยอดเยี่ยมต้องการทักษะทางร่างกายและทางจิตใจ เพื่อให้สามารถปรับตัวตนให้เหมาะสมกับสถานการณ์และทำกิจกรรมได้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการตีลูกเทนนิสหรือกระโดดสูงในกีฬาต่างๆ การฝึกซ้อมและออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพจึงต้องตั้งฐานที่การควบคุมการเคลื่อนไหวที่ดี การเรียนรู้ทักษะทางร่างกายที่เหมาะสมและการปรับตัวตนตามสภาพแวดล้อม และการปรับความรู้สึกในการเคลื่อนไหว เช่น การรับรู้จากสิ่งแวดล้อมโดยใช้ตาและหู ส่วนการเรียนรู้ทางจิตใจจะช่วยในการตัดสินใจที่ถูกต้องในทุกสถานการณ์ การควบคุมร่างกายในละเว้นเวลายาวๆ จะต้องได้รับการส่งเสริมด้วยความรู้และทักษะที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
Physiology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_12593
Medical
ยาแคทิคอล-โอ-เมทิลทรานสเฟอเรส ซีโอเอ็มที อินฮิบิเตอร์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร
ก. ยาน้ำชนิดรับประทาน ข. ยาเม็ดชนิดรับประทาน ค. ยาทา ง. ยาฉีด
ข้อที่ถูกต้องคือ ข. เพราะว่า ยาแคทิคอล-โอ-เมทิลทรานสเฟอเรส-อินฮิบิเตอร์ มีรูปแบบจัดจำหน่าย เช่น ยาเม็ดชนิดรับประทานในรูปแบบยาเดี่ยว ยาเม็ดชนิดรับประทานที่ผสมร่วมกับยา Levodopa และ Carbidopa แคทิคอล-โอ-เมทิลทรานสเฟอเรส ซีโอเอ็มที อินฮิบิเตอร์มีขนาดรับประทานอย่างไร การใช้ยาแคทิคอล-โอ-เมทิลทรานสเฟอเรส ซีโอเอ็มที-อินฮิบิเตอร์กับผู้ป่วย ขึ้นอยู่กับ อาการ ความรุนแรงของโรค รวมถึงอายุของผู้ป่วย ขนาดรับประทานจึงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษาแต่เพียงผู้เดียว เมื่อมีการสั่งยา ควรแจ้งแพทย์พยาบาล และเภสัชกรอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาแคทิคอล-โอ-เมทิลทรานสเฟอเรส ซีโอเอ็มที - อินฮิบิเตอร์ ผู้ป่วยควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เช่น ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยาใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัดหายใจลำบากหอบเหนื่อย มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยาใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาแคทิคอล-โอ-เมทิลทรานสเฟอเรส ซีโอเอ็มที-อินฮิบิเตอร์ อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กินที่ใช้อยู่ก่อน หากเป็นสุภาพสตรี ควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนม หรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร หากลืมรับประทานยาแคทิคอล-โอ-เมทิลทรานสเฟอเรส ซีโอเอ็มที-อินฮิบิเตอร์ สามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดรับประทานเป็น 2 เท่า
เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_365
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "Target Date Fund อีกทางเลือกเพื่อเก็บเงินไว้ใช้หลังเกษียณ" ให้หน่อยค่ะ
กองทุน Target Date Fund เป็นการลงทุนในระยะยาวที่มีเป้าหมายเพื่อการวางแผนเกษียณ หากผู้ลงทุนไม่มีเวลาในการดูแลพอร์ตลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงอายุ นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ปัญหาหนึ่งของคนที่จะวางแผนเกษียณ โดยเฉพาะถ้าจะวางแผนเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนเกษียณที่ดี เนื่องจากมีระยะเวลาในการเก็บออมและลงทุนได้ยาว แต่มักจะเจอปัญหาว่า ไม่รู้ว่าจะวางแผนเกษียณยังไง จะลงทุนอะไรเพื่อให้มีเงินพอใช้หลังเกษียณ จะจัดพอร์ตลงทุนอย่างไร และจะกระจายความเสี่ยงหรือแบ่งสัดส่วนการลงทุนเท่าไหร่ การลงทุนเพื่อเกษียณเป็นการลงทุนระยะยาว ซึ่งตัวช่วยวางแผนเกษียณชั้นดี ที่อยากแนะนำให้รู้จัก นั่นคือ Target Date Fund กองทุนแบบสมดุลตามอายุเพื่อเน้นเกษียณ กองทุนประเภท Target Date Fund เป็นหนึ่งในทางเลือกการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณ โดยมีหลักการ คือ บริหารสินทรัพย์ลงทุนและผลตอบแทนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ลดลงตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้นของผู้ลงทุนจนถึงวัยเกษียณ เพื่อให้มีเงินใช้หลังวัยเกษียณอย่างเพียงพอ โดยที่ผู้ลงทุนไม่ต้องจัดสรรเงินลงทุนด้วยตัวเอง กลยุทธ์การลงทุนของกองทุนประเภทนี้ คือ ผู้จัดการกองทุนจะกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ (Asset Allocation) ที่กำหนด ประกอบไปด้วยสินทรัพย์ลงทุนหลากหลาย เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ หุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ หรือทองคำ เป็นต้น และปรับเปลี่ยนสัดส่วนของแต่ละสินทรัพย์ตามช่วงอายุที่เปลี่ยนไปให้กับผู้ลงทุน และให้เหมาะสมกับช่วงปีที่ผู้ลงทุนจะเกษียณ ส่วนใหญ่แล้วกองทุน Target Date Fund จะมีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้เป็นพื้นฐานเพื่อให้กองทุนมีรายรับเข้ามาแบบสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการกองทุนสามารถแบ่งสัดส่วนเงินลงทุน ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ด้วย โดยผู้จัดการกองทุนจะค่อย ๆ ทยอยลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงลง เมื่อกองทุนใกล้ถึงระยะเวลาที่กำหนดด้วยการเน้นไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือเงินฝากธนาคารในสัดส่วนที่สูงขึ้นเมื่อใกล้วัยเกษียณ สำหรับการเลือกแผนการลงทุนของ Target Date Fund จะใช้การกำหนดช่วงปีเป้าหมายที่ผู้ลงทุนจะเกษียณอายุ โดยมีหลักการคำนวณ เช่น ปี 2564 ผู้ลงทุนมีอายุ 30 ปี ตั้งใจจะเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี ระยะเวลาในการลงทุนจึงเหลืออีก 30 ปี เมื่อนำมาบวกกับปีปัจจุบัน จึงทราบปีที่คาดว่าจะเกษียณ คือ ปี 2594 และนำปี 2594 ไปเลือกแผนการลงทุนที่ตรงกับตัวเลือกที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นำเสนอไว้เป็นแผนการลงทุนเพื่อเกษียณต่อไป ดังนั้น กองทุนแบบ Target Date Fund จึงตอบโจทย์ผู้ลงทุนตามแผนการลงทุนที่เลือกไว้ได้อย่างสะดวก เข้าใจง่าย โดยเลือกแผนเมื่อเริ่มต้นลงทุนเพียงครั้งเดียวตามหลักการเลือกแผนที่คำนวณหาระยะเวลาที่จะเกษียณและแผนการลงทุนที่มี เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเวลาและอายุที่จะเกษียณ หลังจากนั้นผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้ดูแลพอร์ตการลงทุนให้ โดยจะปรับสัดส่วนสินทรัพย์ลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการลดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนตามอายุของผู้ลงทุนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยจับจังหวะการลงทุนให้มีความเหมาะสมตามสถานการณ์อีกด้วย ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ลงทุนอาจใช้อารมณ์ ความรู้สึกในการตัดสินใจลงทุน การจับจังหวะลงทุน (Market Timing) อาจทำให้แผนการลงทุนไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงและแผนการออมในระยะยาวของตนเอง หรือบางคนก็คงสัดส่วนการลงทุนที่คงที่ตลอดระยะเวลาลงทุน โดยเฉพาะในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอาจทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนมีความผันผวนสูงและอาจไม่ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมหรือเพียงพอกับการเกษียณ จนกระทั่งในปีที่กำลังจะเกษียณ หากเกิดวิกฤติขึ้นมา เงินลงทุนสำหรับวัยเกษียณอาจสูญไปเพราะความผันผวนของการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูง เป็นต้น ดังนั้น กองทุน Target Date Fund จะช่วยเพิ่มวินัยในการลงทุนและลดความผันผวนดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้กองทุนแบบ Target Date Fund จะมีผู้จัดการกองทุนช่วยดูแลและจัดพอร์ตลงทุนให้ แต่ผู้ลงทุนต้องไม่ลืมพิจารณาปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ในการตัดสินใจลงทุนด้วยเช่นกัน ซึ่งหลักการจะคล้าย ๆ กับการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวมทั่วไป เช่น ดูนโยบายการลงทุนของกองทุนรวมนั้น ๆ ว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงและวัตถุประสงค์ในการลงทุนหรือไม่ ค่าใช้จ่ายที่กองทุนเรียกเก็บเป็นอย่างไร ที่สำคัญ คือ เลือกกองทุนที่มีอายุกองทุนที่ตรงหรือใกล้เคียงกับช่วงอายุที่ตนเองตั้งใจจะเกษียณอายุมากที่สุด เพราะเงินลงทุนและดอกผลที่ได้จากการลงทุนทั้งหมด จะเป็นเงินที่เตรียมเอาไว้สำหรับการเกษียณอย่างมีคุณภาพของเราต่อไปในอนาคต
Target Date Fund เป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อเก็บเงินไว้ใช้หลังเกษียณ เหตุผล: 1. กองทุน Target Date Fund เป็นการลงทุนระยะยาวที่มีเป้าหมายเพื่อวางแผนเกษียณ หากผู้ลงทุนไม่มีเวลาดูแลพอร์ตลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงอายุ นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการเป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ปัญหาของคนที่จะวางแผนเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนเกษียณที่ดี เนื่องจากมีระยะเวลาเก็บออมและลงทุนยาว แต่มักเจอปัญหาว่าไม่รู้ว่าจะวางแผนเกษียณยังไง จะลงทุนอะไรเพื่อให้มีเงินพอใช้หลังเกษียณ จะจัดพอร์ตลงทุนอย่างไร และกระจายความเสี่ยงการลงทุนเท่าไหร่ 2. การลงทุนเพื่อเกษียณเป็นการลงทุนระยะยาว ซึ่งตัวช่วยวางแผนเกษียณคือ Target Date Fund กองทุนแบบสมดุลตามอายุเพื่อเน้นเกษียณ 2.1 กองทุน Target Date Fund เป็นทางเลือกการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณ มีหลักการคือ - บริหารสินทรัพย์ลงทุนและผลตอบแทนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ลดลงตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้นของผู้ลงทุนถึงวัยเกษียณ เพื่อให้มีเงินใช้หลังวัยเกษียณอย่างเพียงพอ - โดยผู้ลงทุนไม่ต้องจัดสรรเงินลงทุนด้วยตัวเอง 3. กลยุทธ์การลงทุน คือ - ผู้จัดการกองทุนจะกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ที่กำหนด - และปรับเปลี่ยนสัดส่วนของสินทรัพย์ตามช่วงอายุที่เปลี่ยนไปให้ผู้ลงทุน และเหมาะสมกับช่วงปีที่ผู้ลงทุนจะเกษียณ ส่วนใหญ่จะมีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ตราสารหนี้เป็นพื้นฐาน เพื่อให้กองทุนมีรายรับเข้ามาสม่ำเสมอ - ผู้จัดการกองทุนสามารถแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยจะค่อย ๆ ทยอยลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงลง เมื่อกองทุนใกล้ถึงระยะเวลาที่กำหนดด้วยการเน้นไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ 4. สำหรับการเลือกแผนการลงทุนของ Target Date Fund จะใช้การกำหนดช่วงปีเป้าหมายที่ผู้ลงทุนจะเกษียณอายุไปเลือกแผนการลงทุนที่ตรงกับตัวเลือกที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน นำเสนอเป็นแผนการลงทุนเพื่อเกษียณต่อไป 5. ดังนั้น กองทุน Target Date Fund จึงตอบโจทย์ผู้ลงทุนตามแผนการลงทุนที่เลือกไว้ได้อย่างสะดวก เข้าใจง่าย โดยเลือกแผนเมื่อเริ่มต้นลงทุนเพียงครั้งเดียวตามหลักการเลือกแผนที่คำนวณหาระยะเวลาที่จะเกษียณและแผนการลงทุนที่มี เพื่อสอดคล้องกับช่วงเวลาและอายุที่จะเกษียณ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_21943
Medical
นิ่วในไตและในกระเพาะปัสสาวะ ควรจะจัดเป็นคนละโรค ด้วยเหตุผลที่ว่าอย่างไรบ้าง
null
นิ่วในไตและในกระเพาะปัสสาวะ ควรจะจัดเป็นคนละโรค ด้วยเหตุผลที่ว่า 1. ลักษณะของการเกิดโรคนิ่วนั้น นิ่วในไตมีอยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน แต่นิ่วในกระเพาะปัสสาวะมีอยู่ในประเทศแถบตะวันออกกลางและเอเชีย 2. นิ่วในไตจะเกิดในผู้ใหญ่เกือบทั้งหมด นิ่วในกระเพาะปัสสาวะครึ่งหนึ่งเกิดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กลายเป็นโรคเด็กเสียมากกว่า 3. โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะมักเกิดกับประชาชนที่มีภาวะเศรษฐกิจต่ำหรือในชนบทเป็นส่วนมาก ในประเทศไทยมีมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ( อีสาน ) หรือภาคเหนือ แต่ภาคกลางและภาคใต้พบค่อนข้างน้อย จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคนิ่วในไตหรือในทางเดินปัสสาวะ อาการที่จะกล่าวนี้จะเป็นมากหรือเป็นน้อยขึ้นกับระยะเวลาและขนาดของนิ่วที่เป็น อาการของนิ่วในไต มีอาการปวดบริเวณเอวด้านหลังที่เป็นตำแหน่งของไต เวลาที่ก้อนนิ่วมันหลุดมาอยู่ในท่อไต จะปวดชนิดที่รุนแรงเหลือเกิน เหงื่อตก เกิดเป็นพักๆ ปัสสาวะอาจมีเลือดหรือเป็นสีน้ำล้างเนื้อร่วมด้วยได้ เรื่องปวดหลังต้องเข้าใจว่า ถ้าปวดเพราะทำงานหนักหรือนั่งทำงานมานานๆ กล้ามเนื้อหลังอาจล้า หรือปวดได้ อันนี้เป็นเรื่องของการปวดเมื่อยซึ่งเป็นกันมาก อาการของนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะจะขัด ถ่ายเจ็บ ไม่สะดวก บางทีออกกะปริดกะปรอยหรือออกเป็นหยดขุ่นหรือขาวเหมือนมีผงแป้งอยู่ บางครั้งมีเลือดหรือเป็นสีน้ำล้างเนื้อ อาจมีสิ่งที่คล้ายกรวดทรายปนออกมากับปัสสาวะ ถ้านิ่วไปอุดท่อทางเดินปัสสาวะก็จะทำให้เกิดการอยากถ่ายปัสสาวะอยู่เสมอ แต่ก็ถ่ายไม่ออก ยังมีโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากนิ่วในทางเดินปัสสาวะอีก นิ่วจะเป็นก้อนแข็ง ซึ่งเหมือนหินมีทั้งเล็กและใหญ่ หากเกิดไปสีหรือรบกวนผนังของไตหรือกระเพาะปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะ จนเป็นแผลขึ้นมาก็ได้ก็มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อน ปกติปัสสาวะจะมีเชื้อแบคทีเรียปะปนอยู่แล้ว เมื่อมีแผลก็ทำให้เกิดโรคแทรกได้ง่าย ทำให้มีไข้หรือปัสสาวะมีเลือดหรือมีหนองออกมาให้เห็นได้
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_45490
Legal
ปี 2558 มีการออก พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ฉบับที่ 4 ออกมา โดยมี 2 เรื่องใหญ่ที่ปรับปรุงแก้ไขคือเรื่องใดบ้าง
3 ข้อที่ต้องเคลียร์เพื่อให้การย้ายจาก PVD ไป RMF ได้ประโยชน์สูงสุด จะมีอะไรบ้างนั้น มาศึกษาได้ผ่านบทความนี้ เมื่อปี 2558 มีการออก พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ฉบับที่ 4 ออกมา โดยมี 2 เรื่องใหญ่ที่ปรับปรุงแก้ไขคือ ข้อกำหนด อัตราสะสม (ส่วนลูกจ้างสะสม) ออมได้สูงกว่า อัตราสมทบ (ส่วนนายจ้างสมทบ) เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกจ้างเลือกออมเพิ่มขึ้นได้ และกรณีที่นายจ้างปิดกิจการ หรือยกเลิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลูกจ้างสามารถย้ายเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาเข้ากองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ทำให้นับอายุสมาชิกต่อเนื่องได้ ทั้งนี้เองเพื่อเพิ่มช่องทางในการจัดการเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้น ทางเลือกที่จะย้ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) มายัง กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จึงเป็นการจัดการเงินประเภทหนึ่ง แต่ก่อนตัดสินใจย้ายเงินมา มีหลายเรื่องที่หลายคนยังอาจเข้าใจผิดอยู่ จึงมีเรื่องที่ต้องเคลียร์หรือทำความเข้าใจก่อน 3 เรื่องด้วยกัน ซึ่ง K-Expert มีคำแนะนำในเรื่องนี้มาฝาก 3 ข้อที่ต้องรู้ก่อนย้าย PVD ไป RMF วัตถุประสงค์หลักของทางเลือกให้มีการย้าย PVD ไป RMF เพื่อให้สมาชิก PVD มีทางเลือกในการจัดการเงินของตนเองเพิ่มขึ้น นอกจากทางเลือกในการนำเงินออกจากกองทุน PVD เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เหตุผลในการไม่อยากให้เงินอยู่ในกองทุน PVD ก็อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สมาชิกอยากจะย้ายไปกองทุน RMF ซึ่งมีปัจจัยที่ต้องพิจารณา คือ 1.1 เมื่อย้ายไปกองทุน RMF แล้วจะไม่สามารถย้ายกลับมากองทุน PVD ได้อีก และหากต้องการย้ายออกจากกองทุน RMF จะย้ายหรือสับเปลี่ยนไปได้เฉพาะกองทุน RMF ด้วยกันเท่านั้น 1.2 กองทุน RMF แม้เลือกสัดส่วนการลงทุนได้ง่ายกว่า PVD เนื่องจากกองทุน RMF มีนโยบายการลงทุนหลากหลายและสามารถกำหนดสัดส่วนการลงทุนได้ด้วยตนเอง แต่กองทุน PVD ก็อาจจะมีนโยบายให้สมาชิกเลือก (Employee’s choice) ได้ขึ้นอยู่กับนายจ้าง ดังนั้น การย้ายไปกองทุน RMF แม้สามารถจัดสัดส่วนการลงทุนได้ด้วยตนเอง แต่อย่าลืมตรวจสอบ Employee’s choice ของนายจ้างด้วยว่ามีทางเลือกที่มีสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองหรือไม่ 1.3 ระยะเวลาในการถือครองในกองทุน RMF (ย้ายจาก PVD) ควรจะถือครองจนถึงอายุ 55 ปี เพื่อให้ได้ประโยชน์ทางภาษี ดังนั้น กรณีมีอายุประมาณ 45 ปี หากย้าย PVD ไป RMF จะต้องทิ้งไว้อย่างน้อย 10 ปี จนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ จึงขายออกได้ และจะได้รับยกเว้นภาษีจากกำไรที่เกิดขึ้นในกองทุน กองทุน RMF ที่ย้ายมาจาก PVD นั้นจะมีการแยกบัญชีต่างหากจากกองทุน RMF ทั่วไป ดังนั้น – กรณีไม่เคยลงทุน RMF ทั่วไปมาก่อน เมื่อย้าย PVD ไป RMF แล้ว ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องจนกระทั่งอายุ 55 ปี เพราะถือเป็นคนละส่วนกับกองทุน RMF ทั่วไป ให้คิดแยกส่วนกันจะเข้าใจง่ายกว่า – กรณีเคยลงทุน RMF ทั่วไปมาก่อน ไม่ว่าจะย้าย PVD ไป RMF หรือไม่ จะต้องซื้อ RMF ต่อเนื่องจนถึงอายุ 55 ปี ตามเงื่อนไขที่ว่า “ต้องไม่ระงับการลงทุนเกินกว่า 1 ปี” กรณีอายุไม่ถึง 55 ปี หากอยากย้าย PVD ไป RMF ต้องพิจารณาเรื่องสภาพคล่องที่ควรนำเงินออกหลังอายุ 55 ปี (เอาเงินออกก่อนอายุ 55 ปีก็ได้ แต่อาจจะมีค่าปรับหรือบทลงโทษเกี่ยวกับภาษีได้) ในกรณีอายุเกิน 55 ปี หากอยากย้าย PVD ไป RMF ขอให้ตรวจสอบเงื่อนไขว่า เงินจาก PVD จำเป็นต้องใช้หลังเกษียณเมื่อใด ถ้ายังไม่จำเป็นต้องใช้ในระยะเวลา 1-2 ปี ก็สามารถย้าย PVD ไป RMF ได้ ทั้งนี้ ควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมการจัดการก่อนตัดสินใจย้ายไป RMF ด้วย 5 วิธีปล่อยเช่าบ้าน คอนโดฯ แบบมืออาชีพ 5 วิธีปล่อยเช่าบ้าน คอนโดฯ แบบมืออาชีพ 5 วิธีปล่อยเช่าบ้าน คอนโดฯ แบบมืออาชีพ จาก 3 ข้อต้องเคลียร์เพื่อให้การย้ายจาก PVD ไป RMF ได้ประโยชน์สูงสุด เมื่อมีวัตถุประสงค์หลักคือ ไม่มีทางเลือกและต้องนำเงินออกจากกองทุน PVD แต่หากเป็นวัตถุประสงค์รอง เช่น อยากได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ขอให้เปรียบเทียบความคุ้มค่าเรื่องภาษี และสภาพคล่องที่จะนำเงินออกมาจากกองทุนได้โดยไม่ผิดเงื่อนไขทางภาษี จะทำให้การย้ายจากกองทุน PVD ไป RMF ได้ประโยชน์สูงสุด สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า
ปี 2558 มีการออก พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ฉบับที่ 4 ออกมา โดยมี 2 เรื่องใหญ่ที่ปรับปรุงแก้ไข คือ ข้อกำหนด อัตราสะสม (ส่วนลูกจ้างสะสม) ออมได้สูงกว่า อัตราสมทบ (ส่วนนายจ้างสมทบ) เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกจ้างเลือกออมเพิ่มขึ้นได้ และกรณีที่นายจ้างปิดกิจการ หรือยกเลิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลูกจ้างสามารถย้ายเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาเข้ากองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ทำให้นับอายุสมาชิกต่อเนื่องได้
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ,กฎหมายหลักทรัพย์
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21997
Medical
โรคหัวใจอ่อน หรือบางคนอาจะเรียกว่า โรคประสาทหัวใจ ใช่หรือไม่
null
ใช่ 1.)โรคหัวในอ่อน “โรคหัวใจอ่อน” หรือบางคนอาจะเรียกว่า “โรคประสาทหัวใจ” หรือบางครั้งก็อาจจะมีชื่อแปลก ๆออกไป ทำให้คิดว่าเป็นเรื่องอื่น ๆ เช่น “โรคหัวใจวาย” “โรคความดันเลือดต่ำ” “โรคเลือดน้อย” เป็นต้น อาจจะกล่าวได้ว่าโรคนี้ หรือภาวะอย่างนี้พบบ่อยที่สุดในบรรดาโรคหัวใจทั้งหลาย ทั้ง ๆที่หัวใจเองไม่มีอะไรผิดปกติและไม่ได้อ่อนแรงลงเลย ที่ผิดปกติคือจิตใจหรือประสาท จากความโกรธ ความกลัว ความห่วงกังวล หรือความเครียดต่าง ๆ ⇔ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร สาเหตุของโรคนี้เกิดขึ้นจากความกังวล ความเคร่งเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ อันอาจจะสืบเนื่องมาจากการงาน ภาวะทางเศรษฐกิจสังคม ความยุ่งยากในครอบครัว ความโลภ โกรธ เกลียด หลง ที่สะสมไว้นาน ๆ หรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ ⇔อาการที่เราควรรู้ รู้สึกอ่อนเพลีย เวียนศีรษะง่าย รู้สึกคล้ายจะเป็นลมอยู่เสมอ (แต่ไม่เคยหมดสติหรือชัก) ใจเต้น ใจสั่น ใจหวิว อาจจะรู้สึกหัวใจเบา ๆ ลอย ๆ หรือรู้สึกว่าหัวใจหนักและเปลี้ยไปหมด ทำงานอะไรสักนิดหรืออยู่เฉย ๆ ก็เหนื่อย หายใจขัด หายใจไม่สะดวก หายใจเข้าได้ไม่เต็มที่ หายใจไม่อิ่ม หงุดหงิดง่าย โมโหง่าย เจ็บแปลบปลาบตามหน้าอก อาจมีอาการแน่นท้อง ท้องขึ้นจนต้องเรอและผ่ายลมร่วมด้วย อาจนอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับแล้วฝันบ่อย ๆ โดยเฉพาะฝันร้าย ๆ เสียด้วย ผู้ที่มีอาการต่าง ๆดังกล่าวจะเกิดความกังวลมากขึ้น และมักจะเปลี่ยนหมอคนแล้วคนเล่า เพราะรู้สึกไม่ดีขึ้นหลังจากโดนฉีดยาและกินยาแล้วหลายขนาน ทั้งนี้เพราะยาฉีดและยากิน ส่วนใหญ่ไม่สามารถจะช่วยแก้ไขสาเหตุดั้งเดิมคือความยุ่งยากในครอบครัว ความลำบากในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่และการทำมาหากิน หรือความโลภ โกรธ เกลียด หลง อันเกินขอบเขตในจิตใจของตน
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_2758
Finance
จงเสนอไอเดีย 3 หุ้น IPO ปี 2018 ที่น่าสนใจมีอะไรบ้าง
null
1) ABM: บริษัท เอเชีย ไบโอแมส จำกัด มหาชน (IPO แล้ว) ธุรกิจ: ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจัดหาและจัดจำหน่ายสามารถแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ดังนี้ กะลาปาล์ม (Palm Kernel Shell) ไม้สับและส่วนอื่นๆ ของไม้ (Woodchip and others) ขี้กบ ขี้เลื่อย และฝุ่นไม้ (Wood Shavings, Sawdust, Wood Dust) ชีวมวลอัดแท่ง (Biomass Pellet) สินค้าอื่นๆ นำเงิน IPO ไปลงทุนใน: การขยายพื้นที่เก็บรวบรวมกะลาปาล์มเพิ่มเติมในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย การจัดตั้งโรงงานผลิตชีวมวลอัดแท่งกับบริษัทร่วมทุนบริเวณภาคใต้ การจัดตั้งโรงงานผลิตไม้สับ และโรงงานผลิตชีวมวลอัดแท่งที่ตำบลบางกุ้ง อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2) CHAYO: บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด มหาชน (IPO แล้ว) ธุรกิจ: ลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้ ศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า นำเงิน IPO ไปลงทุนใน: การประมูลซื้อกองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน การจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน การใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน 3) CHIC: บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) ธุรกิจ: ขายสินค้าผ่านหน้าร้านของบริษัท เป็นศูนย์รวมจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน โคมไฟตกแต่ง ที่นอนและเครื่องนอนอย่างครบวงจร ขายงานโครงการ เป็นการขายสินค้าเฟอร์นิเจอร์พร้อมติดตั้งให้กับโครงการต่าง ๆ ในลักษณะเฟอร์นิเจอร์แบบติดผนัง (Built-in) และเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัว (Loose Furniture) ให้บริการพื้นที่เช่าสำหรับร้านค้าเช่า เป็นการแบ่งพื้นที่ให้เช่าภายในสาขาของบริษัทสำหรับร้านค้าเช่าต่างๆ นำเงิน IPO ไปลงทุนใน: การขยายสาขา การชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวกับสถาบันการเงิน การใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_10716
Medical
ผื่นผิวหนัง คืออะไร
null
ผื่นผิวหนัง หรือ ผื่น (Skin rash) เป็นอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง อาจเกิดเพียงผิวหนังจุดเดียวหรือหลายจุดหรือทั้งตัว อาจร่วมกับอาการคันหรือไม่ก็ได้ ผื่นผิวหนัง/ผื่น มีหลายลักษณะ ซึ่งลักษณะของผื่น แพทย์ใช้ช่วยในการวินิจฉัยหาสาเหตุของผื่นได้ สาเหตุของผื่นผิวหนัง/ผื่นมีมากมาย ที่พบบ่อย เช่น - มีไข้ - การติดเชื้อ เช่น โรคหัด โรคหัดเยอรมัน โรคเริม โรคงูสวัด โรคเอดส์ - โรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง - การแพ้ต่างๆ เช่น การแพ้ยา แพ้อาหาร โรคภูมิแพ้ ลมพิษ - พิษแมลง กัด ต่อย (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com เรื่อง ผึ้ง ต่อ มด กัดต่อย) - อาการอื่นๆ: ผื่นผิวหนัง/ผื่นมักเกิดร่วมกับอีกหลายๆ อาการทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ เช่น มีไข้, ซีด, บวม, อ่อนเพลีย, คัน และเมื่อคันและเกาอาจติดเชื้อทำให้เกิดเป็นแผลอักเสบหรือเกิดหนอง นอกจากนี้บางครั้งผื่นผิวหนัง/ผื่น มักมีสารคัดหลั่งจากผื่นจึงมีเชื้อโรคอยู่ การสัมผัสผื่น/สารคัดหลั่งจากผื่นของผู้ป่วยจึงอาจส่งผลให้ติดเชื้อจากผู้ป่วยได้ เช่น โรคอีสุกอีใส, โรคเอดส์ เมื่อมีผื่นผิวหนัง/ผื่นทั้งตัวร่วมกับมี ไข้ บวม หรือมีผื่นที่เกิดภายหลังกินยาหรือกินอาหาร หรือแมลงกัด ต่อย หรือร่วมกับมีอาการทางการหายใจ เช่น แน่นหน้าอก/หายใจลำบาก/ หอบเหนื่อย ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลฉุกเฉิน/ทันทีเพราะอาจเกิดจากการแพ้สารต่างๆ/การแพ้ยาที่รุนแรงที่เรียกว่า แอแนฟิแล็กซิส (Anaphylaxis) ที่อาจเป็นเหตุให้ถึงตายได้ถ้าได้รับการรักษาล่าช้า
ผิวหนัง Dermatology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_45998
Legal
เงินเดือนของลูกหนี้ที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์ ลูกหนี้จะได้รับเต็มจำนวนหรือไม่
(a) ได้รับเต็มจำนวน (b) ได้รับไม่เกิน 20,000 บาท (c) ได้รับไม่เกิน 70% ของเงินเดือน (d) ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ (d) ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เหตุผล: การกำหนดค่าเลี้ยงชีพของลูกหนี้ในคดีล้มละลาย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดังนี้ จำนวนเงินเดือนของลูกหนี้: -เงินเดือนไม่น้อยกว่า 20,000 บาท จะได้รับค่าเลี้ยงชีพไม่น้อยกว่า 20,000 บาท รายได้อื่นๆ ของลูกหนี้: -เงินเบี้ยขยัน ค่าล่วงเวลา เงินปันผล ฯลฯ รวมกับค่าเลี้ยงชีพจากเงินเดือน ไม่เกิน 50% ค่าใช้จ่ายของลูกหนี้: -เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์จะพิจารณาค่าใช้จ่ายของลูกหนี้และครอบครัว จำนวนเงินที่ลูกหนี้ต้องคืนกองทรัพย์สิน: -เงินที่ลูกหนี้เคยได้รับไปก่อนพิทักษ์ทรัพย์ -เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมด และกำหนดจำนวนค่าเลี้ยงชีพที่เหมาะสม ตัวอย่าง: -ลูกหนี้มีเงินเดือน 30,000 บาท ภรรยาไม่มีรายได้ มีลูก 2 คน อาศัยอยู่ในบ้านเช่า เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์อาจกำหนดค่าเลี้ยงชีพ 25,000 บาท -ลูกหนี้มีเงินเดือน 100,000 บาท มีธุรกิจส่วนตัว ภรรยาทำงาน มีลูก 1 คน อาศัยอยู่ในบ้านที่ผ่อนอยู่ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์อาจกำหนดค่าเลี้ยงชีพ 50,000 บาท เพิ่มเติม: -ลูกหนี้สามารถยื่นขอปรับจำนวนค่าเลี้ยงชีพได้หากมีเหตุจำเป็น -เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจในการตรวจสอบรายรับ-รายจ่ายของลูกหนี้ -ลูกหนี้มีหน้าที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ สรุป: เงินเดือนของลูกหนี้ที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์ ลูกหนี้จะได้รับเต็มจำนวนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งจะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนเงินเดือน รายได้อื่นๆ ค่าใช้จ่าย และจำนวนเงินที่ลูกหนี้ต้องคืนกองทรัพย์สิน
กฎหมายลักษณะหนี้,กฎหมายล้มละลาย-ฟื้นฟูกิจการ
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Legal_6085
Legal
ข้อใด "ไม่ใช่" เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัว เพื่อฟ้องขอให้จดทะเบียนรับรองบุตร?
ก. หนังสือแสดงเจตนาให้ความยินยอมของทั้งภรรยาและสามีใหม่ (ถ้ามี) ข. หนังสือแสดงเจตนาให้ความยินยอมของมารดา กรณีพ่อเป็นผู้ร้อง ค. ภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ถึงการเป็นพ่อและแม่เด็ก ง. สำเนาสูติบัตรบุตร จ. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของพ่อและแม่เด็ก
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ ก. เพราะว่า เอกสารทั่วไปที่ต้องใช้ในการยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัว เพื่อฟ้องขอให้จดทะเบียนรับรองบุตร มีดังนี้ 1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของพ่อและแม่เด็ก 2. สำเนาสูติบัตรบุตร 3. สำเนาใบเปลี่ยนชื่อสกุลพ่อ แม่ และเด็ก (ถ้ามี) 4. หนังสือแสดงเจตนาให้ความยินยอมของมารดา (กรณีบิดาเป็นผู้ร้อง) 5. ภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ถึงการเป็นพ่อและแม่เด็ก เช่น ภาพถ่ายตอนไป เยี่ยมที่โรงพยาบาลตอนคลอดบุตร รูปคู่พ่อเด็ก กับเด็ก รูปครอบครัวฯลฯ 6. เอกสารการส่งเสียเล่าเรียน 7. ผลตรวจดีเอ็นเอ (ถ้ามี) 8. เอกสารหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและแม่เด็ก 9. เอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_23638
Medical
ข้อใดเป็นข้อเสียของบริการฝากครรภ์ของศูนย์อนามัยแม่และเด็ก
1. มีผลกระทบต่อความไม่มั่นใจในการดูแลที่ได้รับ 2. ถ้าเกิดความไม่พึงพอใจแพทย์ จะไม่มีโอกาสเลือกหรือเปลี่ยนแปลง 3. เกิดความสับสนในการเลือกข้อมูล 4. ถ้ามีปัญหาแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์เกิดขึ้น จะถูกเปลี่ยนไปอยู่ในความดูแลของสูติแพทย์
คำตอบได้แก่ 4. เนื่องจาก เพราะข้อเสียของบริการฝากครรภ์ของศูนย์อนามัยแม่และเด็ก คือ ถ้ามีปัญหาแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์เกิดขึ้น จะถูกเปลี่ยนไปอยู่ในความดูแลของสูติแพทย์ที่ทำให้ต้องเริ่มต้นสร้างสัมพันธภาพใหม่กับแพทย์ผู้ดูแล หรือระหว่างการคลอดอาจจะต้องคลอดในมือสูติแพทย์ที่ถูกเชิญมาโดยที่มิได้คาดการณ์มาก่อน ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นข้อเสียของบริการฝากครรภ์โดยทีมการแพทย์ คือ ถ้าเกิดความไม่พึงพอใจแพทย์คนใดคนหนึ่งจะไม่มีโอกาสเลือกหรือเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความไม่มั่นใจในการดูแลที่ได้รับ และการได้รับข้อมูลหลายๆ ประการจากแพทย์หลายคนในทางหนึ่ง คือ เป็นความคิดเห็นที่หลากหลายให้เลือก แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะทำให้เกิดความสับสนในการเลือกข้อมูล
สูติศาสตร์ (สูติศาสตร์) - Obstetrics
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_44005
Finance
นักลงทุนจะรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Risk) ที่ส่งผลต่อพอร์ตการลงทุนได้อย่างไร?
null
"กลยุทธ์การลงทุนแบบยั่งยืน Climate Change Strategy" มีแนวทางการรับมือกับ Climate Change Risk ดังนี้ 1. กำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก (Setting on emission reduction goal) วิเคราะห์ Portfolio ว่ามีหลักทรัพย์ที่มี Climate Change Risk สูงหรือไม่ บริหารจัดการ Portfolio เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว สนับสนุนธุรกิจที่มีแผนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ลงทุนในตราสารหนี้ประเภท Climate Bonds 2. เลือกธุรกิจที่มีแนวทางลดโลกร้อน (Well positioned for climate change) ศึกษาข้อมูลว่าธุรกิจมีแอ็กชันลดโลกร้อนอย่างไร เลือกธุรกิจที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ด้าน Climate Change สนับสนุนธุรกิจที่มี Climate Change – related shareholder resolution ร่วมเสนอแนะแนวทางลดโลกร้อนกับบริษัท 3. สนับสนุนโครงการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม พิจารณา Green Process ในโครงการสร้างพื้นฐาน สนับสนุน Green Building ที่ได้มาตรฐาน LEED หรือ BREEAM 4. เลือกสินค้าเกษตรและโลหะมีค่าที่ผลิตอย่างยั่งยืน พิจารณาที่มาของสินค้า สนับสนุนสินค้าที่ผลิตโดยไม่รุกล้ำเขตป่าไม้ สนับสนุนสินค้าที่ลดการใช้สารเคมี 5. ศึกษาข้อมูลและติดตามความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Risks) เรียนรู้เกี่ยวกับ Climate Change Risk และ ESG Risks ติดตามผลงานของบริษัทในเรื่อง Climate Change เลือกผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้ด้าน Climate Change 6. ร่วมผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สนับสนุนนโยบายที่ส่งเสริมการลดโลกร้อน ร่วมรณรงค์ให้ผู้บริโภคตระหนักถึง Climate Change แบ่งปันความรู้เรื่อง Climate Change ให้ผู้อื่น ตัวอย่างการนำไปใช้: - กองทุนรวมบางแห่งมีนโยบายลงทุนเฉพาะในธุรกิจที่มี Climate Change Risk ต่ำ - ธนาคารบางแห่งเสนอสินเชื่อเพื่อการพัฒนาโครงการสีเขียว - นักลงทุนสถาบันบางแห่งร่วมลงทุนในโครงการ Conservation Finance ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม: 1. พัฒนาเครื่องมือและข้อมูลเพื่อช่วยให้นักลงทุนวิเคราะห์ Climate Change Risk 2. พัฒนากลไกกำกับดูแลเพื่อให้ธุรกิจเปิดเผยขขอมูลด้าน Climate Change 3. ส่งเสริมการศึกษาและสร้างความรู้ด้าน Climate Change ให้กับนักลงทุน สรุป: Climate Change Risk เป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญ มีหลายวิธีที่นักลงทุนสามารถรับมือกับความเสี่ยงนี้ โดยการศึกษาข้อมูล เลือกธุรกิจที่ยั่งยืน สนับสนุนโครงการสีเขียว และร่วมผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การลงทุนแบบ Responsible Investment จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมความยั่งยืน และสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_11561
Medical
ในผู้สูงอายุ การใช้ยาขยายรูม่านตาชนิด Phenylephrine มีข้อควรระวังอะไรบ้าง และทำไมผู้สูงอายุจึงมีความเสี่ยงต่ออาการไม่พึงประสงค์จากยานี้มากกว่าวัยอื่นๆ?
null
ความเสี่ยงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: ยา Phenylephrine ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือดอยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ความเสี่ยงต่อภาวะต้อหินมุมปิด: ยา Phenylephrine อาจทำให้ม่านตาขยายกว้างมากขึ้น ส่งผลให้ม่านตาไปขวางท่อระบายน้ำตาในตา ทำให้ความดันในลูกตาสูงขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะต้อหินมุมปิดเฉียบพลันในผู้ที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว เหตุผลที่ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่ออาการไม่พึงประสงค์จากยานี้มากกว่าวัยอื่นๆ: การเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามวัย: ผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาท ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อยาได้ไวขึ้น ส่งผลข้างเคียงจากยาได้ง่ายขึ้น โรคประจำตัว: ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ซึ่งยา Phenylephrine อาจไปซ้ำเติมอาการของโรคเหล่านี้ให้รุนแรงขึ้น การใช้ยาหลายชนิด: ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักต้องใช้ยาหลายชนิดเพื่อรักษาโรคประจำตัว ยา Phenylephrine อาจไปเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ส่งผลข้างเคียงที่รุนแรง ตัวอย่างกรณี: คุณยายวัย 72 ปี มีโรคความดันโลหิตสูงมานาน 5 ปี ทานยาควบคุมความดันโลหิตอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งคุณยายไปตรวจตา แพทย์สั่งยาขยายรูม่านตาชนิด Phenylephrine หยอดเพื่อตรวจจอตา หลังหยอดยา คุณยายรู้สึกใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้ อาเจียน แพทย์จึงวินิจฉัยว่าคุณยายมีอาการไม่พึงประสงค์จากยา Phenylephrine สรุป: การใช้ยาขยายรูม่านตาชนิด Phenylephrine ในผู้สูงอายุควรทำด้วยความระมัดระวัง ผู้สูงอายุควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่ทานประจำ และอาการแพ้ยาต่างๆ ก่อนใช้ยา แพทย์หรือเภสัชกรจะประเมินความเสี่ยงและเลือกยาที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละราย
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11272
Medical
สายตายาวเกิดจากอะไร
A. เป็นไวรัสก่อการติดเชื้อทางเดินหายใจของเด็กทั่วโลก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และมีการระบาดเกือบทุกปี B. เป็นภาวะที่กำลังหักเหแสงของกระจกตาและของแก้วตา มีน้อย เกินไป หรือลูกตาเล็กเกินไป ทำให้แสงจากวัตถุทั้งระยะไกลและใกล้ไม่ไปโฟกัสบนจอประสาทตา จอตา กลับไปโฟกัสหลังลูกตาหรือหลังจอประสาทตาแทน จึงทำให้ผู้นั้นมองไม่ชัดทั้งไกลและใกล้ C. เกิดจากการที่กระจกตามีความโค้งไม่เท่ากันในแต่ละแกน ทำให้เกิดจุดโฟกัส 2 จุดไม่รวมเป็นภาพเดียว D. เป็นภาวะค่าสายตาผิดปกติ ที่เกิดจากเลนส์ตาหักเหแสงจากวัตถุมากเกินไปจากการที่กระจกตามีความโค้งมากกว่าปกติหรือลูกตายาวผิดปกติ
คำตอบที่ถูกต้องคือ B. เนื่องจาก สายตายาว Farsighted นิยามสายตายาว คนสายตายาวมีอาการอย่างไร มีวิธีแก้ไขรักษาสายตายาวอย่างไร ควรพบหมอตาเมื่อไร โรคตา โรคทางตา Eye disease สายตาผิดปกติ Refractive error สายตาสั้น Nearsighted สายตาเอียง Astigmatism สายตาผู้สูงอายุ Presbyopia ตาเหล่ ตาเข Strabismus ปวดหัว ปวดศีรษะ Headache กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา Anatomy and physiology of the eye นิยามสายตายาว สายตายาว Farsighted เป็นภาวะที่กำลังหักเหแสงของกระจกตาและของแก้วตา มีน้อย เกินไป หรือลูกตาเล็กเกินไป ทำให้แสงจากวัตถุทั้งระยะไกลและใกล้ไม่ไปโฟกัสบนจอประสาทตา จอตา กลับไปโฟกัสหลังลูกตาหรือหลังจอประสาทตาแทน จึงทำให้ผู้นั้นมองไม่ชัดทั้งไกลและใกล้ ผู้ที่สายตายาวมักจะมีดวงตาที่เล็ก แม้แต่กระจกตาก็อาจจะมีขนาดเล็กกว่าคนทั่วไปเล็ก น้อย ดวงตาที่เล็กยังทำให้ผู้ที่สายตายาวมีโอกาสเกิดต้อหินเฉียบพลันขึ้นได้ง่ายกว่าคนทั่วไป คำว่า สายตายาว ในทางการแพทย์หมายถึง อาการสายตายาวที่เกิดตั้งแต่อายุยังน้อย ยัง ไม่ถึงวัยสูงอายุ เมื่อสูงอายุมักตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไปและมีสายตายาวเกิดขึ้น ทางแพทย์เรียกว่า สายตาผู้สูงอายุ แก้ไขด้วยแว่นเลนส์นูนซึ่งเป็นการเพิ่มกำลังหักเหของแสง และต้องใช้แว่นทั้งชนิดมองไกลและชนิดมองใกล้ ซึ่งต่างจากสายตาผู้สูงอายุที่แก้ไขด้วยเลนส์นูนเหมือนกัน แต่ใช้เฉพาะมองใกล้เท่านั้น โดยความเป็นจริง ผู้ที่สายตายาวจะมองชัดหรือไม่ขึ้นกับขนาดสายตาที่ยาวและกำลังการเพ่งของตา กำลังการปรับรูปร่างของแก้วตา ซึ่งขึ้นกับอายุ ตัวอย่างเช่น กำลังหักเหแสงของคนปกติประมาณ 63 ไดออปเตอร์ เกิดจากกระจกตา 43 ไดออปเตอร์ และจากแก้วตา 20 ไดออปเตอร์ ถ้าผู้ป่วยมีกำลังหักเหของแสงเพียง 60 ไดออปเตอร์ขาดไป 3 ไดออปเตอร์ หรือมีสายตายาว 3 ไดออปเตอร์ ในขณะที่มีอายุ 10 ปีมีกำลังเพ่งปกติสูงถึง 8 ไดออปเตอร์ ซึ่งหมายถึงสามารถเพิ่มกำลังของแก้วตาจาก 20 เป็น 28 ไดออปเตอร์
จักษุวิทยา (จักษุวิทยา) - Ophthalmology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_26594
Medical
น้ำตาลมีประโยชน์และโทษอย่างไร
น้ำตาล น้ำตาล ขณะนี้คุณอาจเป็นผู้หนึ่งที่กินน้ำตาลมากเกินความต้องการของร่างกาย และนั่นก็แสดงว่าตัวคุณเองมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคที่คุณเคยคิดว่าไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้กับตัวคุณ เชื่อหรือไม่ว่าเครื่องดื่มรสอร่อยที่คุณชื่นชอบ ที่วันหนึ่งต้องขอดื่มสัก ๑-๒ ขวด เพื่อเพิ่มความสดชื่น ภายใน ๑ ขวดนั้นอาจมีส่วนประกอบของน้ำตาลถึง ๑๒ ช้อนชา หมายถึงเมื่อคุณดื่มหมด ๑ ขวด คุณจะได้รับน้ำตาลเกินจากข้อกำหนดที่แนะนำให้กินต่อวันถึง ๒ เท่าตัวทีเดียว เพียงแค่ ๑ ขวดเท่านั้นยังไม่นับรวมถึงน้ำตาลที่แฝงอยู่ในอาหารอื่นๆ ที่คุณได้รับใน ๑ วัน ทั้งขนมหวาน ลูกอม น้ำตาลที่คุณเติมเองในก๋วยเตี๋ยว กาแฟ รวมถึงอาหาร ๓ มื้อที่คุณซื้อกินอยู่ทุกวัน กล่าวถึงตรงนี้ก็แทบไม่อยากคิดเลยว่า วันหนึ่งๆ คุณจะได้รับน้ำตาลมากเป็นปริมาณเท่าไหร่ น้ำตาลมีประโยชน์หรือไม่เหตุใดเน้นให้กินแต่น้อย น้ำตาลเป็นสารให้ความหวานที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้านของการให้พลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลูโคสซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการให้พลังงานแก่สมอง และช่วยกระตุ้นการหลั่งของสารเคมีในสมอง ทำให้รู้สึก สดชื่น และช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย น้ำตาลมีประโยชน์ก็จริง แต่ให้พลังงาน ไม่ให้คุณค่าทางโภชนาการ และคนส่วนใหญ่ก็ได้รับน้ำตาลจากธรรมชาติมากเกินความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว จากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่กินอยู่ทุกวัน เช่น ข้าว แป้ง ก๋วยเตี๋ยว ผัก และผลไม้ เป็นต้น ดังนั้น การได้รับน้ำตาลเพิ่มขึ้นก็เหมือนกับเป็น การนำสิ่งที่ร่างกายได้รับมากเกินพออยู่แล้วเข้าสู่ร่างกาย อีก ซึ่งแน่นอนว่าน้ำตาลที่เข้าสู่ร่างกายปริมาณมากแล้วไม่ถูกใช้ย่อมส่งผลร้ายต่อร่างกาย และนำมาซึ่งโรคเรื้อรังต่างๆ ตามมา การกินน้ำตาลที่มากเกินไปจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ในระยะยาว โดยปัญหาสุขภาพอย่างแรกที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนก็คือ ปัญหาฟันผุ ทั้งนี้เพราะน้ำตาลจะเป็นอาหารอย่างดีของแบคทีเรียในปาก โดยแบคทีเรียจะนำน้ำตาลไปใช้และเปลี่ยนเป็นกรดแล็กติก ซึ่งเป็นสาเหตุของการทำลายเคลือบฟัน ทำให้ฟันกร่อนเร็วขึ้นแล้วส่งผลทำให้เกิดฟันผุ นอกจากนี้ การกินน้ำตาลปริมาณมาก เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นไขมันสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อไขมัน ผนังหลอดเลือด และส่วนต่างๆ ของร่าง-กายซึ่งการสะสมของไขมันนี้จะทำให้ร่างกายขยายขนาด ขึ้น ทำให้เกิดโรคอ้วนซึ่งจะนำไปสู่โรคร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคเบาหวานประเภท ๒ ที่เกิดจากการดื้อต่ออินซูลิน โรคหัวใจและหลอดเลือดตีบ โรคไขข้อเสื่อม และโรคอื่นๆ ตามมาอีกมาก โรคเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องมีการรักษาอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาในการรักษานาน มีค่าใช้จ่ายที่สูง และที่น่ากลัวก็คือเป็นโรคที่มีอัตราการตายสูงอีกด้วย การกินน้ำตาล มากเกินไปทำให้เกินผลเสียต่อสุขภาพถึงขนาดนี้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าที่จะกินเป็นปริมาณเท่าไหร่ใน ๑ วันถึงจะไม่มากเกินไป องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้ปริมาณน้ำตาลไม่ควรเกินร้อยละ ๑๐ ของปริมาณพลังงานที่ได้รับใน ๑ วัน สำหรับคนไทยข้อแนะนำการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยก็ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า น้ำมัน เกลือ น้ำตาลให้กินแต่น้อยเท่าที่จำเป็น ทั้งนี้ได้มีการกำหนดปริมาณน้ำตาลว่าไม่ควรเกิน ๔ ๖ และ ๘ ช้อนชา สำหรับผู้ต้องการพลังงาน ๑๖๐๐ ๒๐๐๐ และ ๒๔๐๐ กิโลแคลอรี ซึ่งเท่ากับประมาณร้อยละ ๕ โดยเฉลี่ย โดยส่วนที่เหลือได้เผื่อไว้สำหรับน้ำตาลที่ได้รับจากอาหารอื่นซึ่งไม่ทราบปริมาณ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันจึงแนะนำปริมาณน้ำตาลสำหรับประชากรโดยทั่วไปคือ ควรกินไม่เกิน ๖ ช้อนชา หรือ ๒๔ กรัม ใน ๑ วัน ตัวเลข ๖ ช้อนชาต่อวัน เมื่อรู้แล้วอย่าเพิ่งตกใจ หรือยึดติดกับตัวเลขนี้ให้มากนัก เพราะหลังจากอ่านบทความนี้จบ เป้าหมายของคุณไม่ได้อยู่ที่การกินน้ำตาล ให้ไม่เกิน ๖ ช้อนชาต่อวัน แต่อยู่ที่การลดการกินน้ำตาล ต่อวันต่างหาก พึงระลึกไว้เสมอว่าการกินน้ำตาล แม้ลดลงเพียงช้อน เดียวก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้แล้ว ดีกว่าที่คุณจะไม่เริ่มทำอะไรเลยและบอกกับตัวเองว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะกินน้ำตาลให้ไม่เกิน ๖ ช้อนชา จะทำอย่างไร หากติดน้ำตาลเสียแล้ว การติดน้ำตาล หรือที่เรียกว่าการติดรสหวานนั้นพัฒนามาจากนิสัยการกินตั้งแต่วัยเด็ก โดยพบว่าเด็กที่ถูกพ่อแม่เลี้ยงด้วยนมรสหวาน หรือมีการบริโภคน้ำหวาน และขนมหวานปริมาณมากโดยที่ไม่มีการควบคุม จะส่งผลให้เด็กจะคุ้นเคยกับรสชาติหวาน และมีแนวโน้มที่จะกินน้ำตาล หรือของหวานเพิ่มมากขึ้นเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ลักษณะของคนติดหวานจะมีความต้องการและมีความอยากของหวานอยู่เสมอ ซึ่งช่วงที่มีภาวะน้ำตาล ในเลือดต่ำ หรือไม่ได้รับน้ำตาล อาจเกิดอาการซึมเศร้า อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย และขาดสมาธิ อย่างไรก็ตาม การที่จะบอกให้คนติดหวานเลิกกินน้ำตาลคงเป็นเรื่องยาก ทางออกที่ง่ายกว่าคือการค่อยๆ ลดปริมาณน้ำตาลให้ได้รับน้อยลงจากเดิมใน ๑ วัน โดยการลดการกินน้ำตาลนี้จะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะหากเลือกที่จะงดแทนที่จะลดอาจทำให้เกิดอาการอยากของหวานมากขึ้นอีกซึ่งจะส่งผลให้กินน้ำตาลมากกว่าเดิม และอาจทำให้เกิดความท้อใจ สุดท้ายกลายเป็นว่าไม่สามารถที่จะลดน้ำตาลได้ การลดการกินน้ำตาลใน ๑ วันเราสามารถทำได้หลายวิธี โดยอาจเริ่มจากการลดการเติมน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มจากปริมาณเดิมสักครึ่งช้อนชา และค่อยๆ ลดลงในวันต่อๆ มา ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าอาหาร และเครื่องดื่มที่ซื้อมานั้นในหนึ่งจาน หรือหนึ่งแก้ว จะมีน้ำตาลไม่ต่ำกว่าครึ่งช้อนชา บางร้านเติมน้ำตาลมากถึง ๒ ช้อนชา ถ้าไม่เชื่อต้องลองสังเกตขณะที่เขาตักเครื่องปรุงลงในอาหาร หันมากินผลไม้โดยไม่ต้องจิ้มเกลือน้ำตาล ลดการ บริโภคน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีรสหวาน เลือกใช้สารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล หรืออาจเลือกวิธีเพิ่มการออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้เกิดการเผาผลาญน้ำตาลส่วนเกินไม่ให้มีการเปลี่ยนรูปและสะสมอยู่ในร่างกาย นอกจากวิธีดังกล่าว อีกวิธีหนึ่งที่มีความสำคัญในการลดและควบคุมปริมาณน้ำตาลอย่างได้ผลก็คือการอ่านฉลากโภชนาการ เพราะฉลากโภชนาการจะบอกให้ทราบถึงปริมาณที่แน่นอนของน้ำตาลในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ทำให้เราสามารถ ลดหรือหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง รวมถึงสามารถเปรียบเทียบ และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย มาทำความรู้จักกับฉลากโภชนาการ เพื่อหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลสูงกันเถอะ ฉลากโภชนาการจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการของอาหารนั้นๆ ต่อ ๑ หน่วยบริโภค และมีการแสดงถึงปริมาณร้อยละของสารอาหารนั้นๆ ที่ร่างกายควรได้รับใน ๑ วัน ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนทั่วไปในการเปรียบเทียบสินค้า และสามารถเลือกกินอาหารเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีได้ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นจะขอยกตัวอย่างฉลากโภชนาการของเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด และวิธีการคำนวณปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์นี้ ฉลากโภชนาการบอกอะไรบ้าง ๑ หน่วยบริโภค คือปริมาณที่ผู้ผลิต แนะนำให้ผู้บริโภคกิน ซึ่งเมื่อกินในปริมาณดังกล่าวแล้วผู้บริโภคก็จะได้รับสารอาหาร ตามที่ระบุอยู่ในช่วงต่อไปของกรอบข้อมูลโภชนาการ ตัวอย่างนี้ ๑ หน่วยบริโภคเท่ากับครึ่งขวด ๒๕๐ มิลลิลิตร นั่นก็คือดื่มครึ่งขวดถึงจะได้ปริมาณสารอาหาร ตามที่ระบุไว้ในกรอบด้านล่าง ซึ่งความเป็นจริงคนทั่วไปดื่มทั้งขวดไม่ใช่ครึ่งขวด ถ้าสังเกตฉลากโภชนาการ ให้ดี ก็จะพบว่าปริมาณน้ำตาลที่เป็นส่วนประกอบมีมากกว่าที่ระบุไว้ในฉลากจริงถึงสองเท่า จำนวนหน่วยบริโภคต่อภาชนะบรรจุ ตัวอย่างนี้จำนวนหน่วยบริโภคต่อ ๑ ขวด เท่ากับ ๒ นั่นก็คือ ถ้าดื่มทั้งขวด สารอาหารที่จะได้รับที่ถูกระบุ ไว้ในกรอบด้านล่างในส่วนของคุณค่าทางโภชนาการต่อหนึ่งหน่วยบริโภคจะต้องถูกคูณด้วย ๒ ทั้งหมด เช่น กรอบด้านล่างระบุปริมาณน้ำตาลไว้ ๓๑ กรัม ต่อ ๑ หน่วยบริโภค หรือต่อครึ่งขวด ดังนั้นถ้าดื่มหมดทั้งขวด น้ำตาลที่คุณจะได้รับก็คือ ๓๑ x ๒ ๖๒ กรัม ซึ่งจะคิดเป็นน้ำตาล ๑๕๕ ช้อนชา น้ำตาล ๔ กรัมเท่ากับหนึ่งช้อนชา สารอาหารอื่นก็สามารถคำนวณได้เช่นเดียวกัน โดยจากฉลากข้างต้นจะคำนวณคาร์โบไฮเดรต ทั้งหมด และโซเดียมได้ ๗๕ กรัม และ ๓๒๐ กรัม ร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน คือสารอาหารที่มีในอาหารต่อ ๑ หน่วยบริโภคเมื่อคิดเทียบกับที่ควรได้รับแล้ว คิดเป็นร้อยละเท่าไร ตัวอย่างนี้เครื่องดื่ม A ให้คาร์โบไฮเดรตร้อยละ ๑๒ ของที่ต้องการต่อวัน ก็หมายความว่าเราต้องการคาร์โบไฮเดรตจากอาหารอื่นอีกร้อยละ ๘๘ น้ำตาล นั้น ได้แสดงร้อยละเป็นส่วนหนึ่งของคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดแล้ว สารอาหารอื่น ไขมัน โปรตีน และโซเดียม ก็สามารถคำนวณได้ในลักษณะเดียวกัน ร้อยละของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวันจะระบุสำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ ๖ ปีขึ้นไป Thai RDI โดยคิดจากความต้องการพลังงานวันละ ๒๐๐๐ กิโลแคลอรี ซึ่งสำหรับคนที่มีความต้องการพลังงานมากหรือน้อยกว่าค่าของพลังงานดังกล่าวปริมาณสารอาหารที่แนะนำ ก็จะแตกต่างออกไป สรุปแล้วการคำนวณปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ ให้พิจารณาจาก จำนวน ๑ หน่วยบริโภค จำนวนหน่วยบริโภคต่อผลิตภัณฑ์ และปริมาณน้ำตาล กรัม ที่ระบุไว้ในผลิตภัณฑ์ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทราบว่าในผลิตภัณฑ์นั้นมีน้ำตาลอยู่ปริมาณเท่าไหร่ และเราควรที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นหรือไม่ จากตัวอย่างการคำนวณปริมาณน้ำตาลของผลิตภัณฑ์ของเครื่องดื่มยี่ห้อ A จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในหนึ่งขวดมีน้ำตาลสูงถึง ๑๕๕ ช้อนชาซึ่งเมื่อเทียบ กับปริมาณ ๖ ช้อนชาที่กำหนด เป็นที่น่าตกใจว่าการดื่ม
เป็นสารให้ความหวานที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้านของการให้พลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลูโคสซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการให้พลังงานแก่สมอง และช่วยกระตุ้นการหลั่งของสารเคมีในสมอง ทำให้รู้สึก สดชื่น และช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย น้ำตาลมีประโยชน์ก็จริง แต่ให้พลังงาน ไม่ให้คุณค่าทางโภชนาการ และคนส่วนใหญ่ก็ได้รับน้ำตาลจากธรรมชาติมากเกินความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว จากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่กินอยู่ทุกวัน เช่น ข้าว แป้ง ก๋วยเตี๋ยว ผัก และผลไม้ เป็นต้น ดังนั้น การได้รับน้ำตาลเพิ่มขึ้นก็เหมือนกับเป็น การนำสิ่งที่ร่างกายได้รับมากเกินพออยู่แล้วเข้าสู่ร่างกาย อีก ซึ่งแน่นอนว่าน้ำตาลที่เข้าสู่ร่างกายปริมาณมากแล้วไม่ถูกใช้ย่อมส่งผลร้ายต่อร่างกาย และนำมาซึ่งโรคเรื้อรังต่างๆ ตามมา การกินน้ำตาลที่มากเกินไปจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ในระยะยาว โดยปัญหาสุขภาพอย่างแรกที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนก็คือ ปัญหาฟันผุ ทั้งนี้เพราะน้ำตาลจะเป็นอาหารอย่างดีของแบคทีเรียในปาก โดยแบคทีเรียจะนำน้ำตาลไปใช้และเปลี่ยนเป็นกรดแล็กติก ซึ่งเป็นสาเหตุของการทำลายเคลือบฟัน ทำให้ฟันกร่อนเร็วขึ้นแล้วส่งผลทำให้เกิดฟันผุ นอกจากนี้ การกินน้ำตาลปริมาณมาก เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นไขมันสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อไขมัน ผนังหลอดเลือด และส่วนต่างๆ ของร่างกายซึ่งการสะสมของไขมันนี้จะทำให้ร่างกายขยายขนาดขึ้น ทำให้เกิดโรคอ้วนซึ่งจะนำไปสู่โรคร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคเบาหวานประเภท ๒ ที่เกิดจากการดื้อต่ออินซูลิน โรคหัวใจและหลอดเลือดตีบ โรคไขข้อเสื่อม และโรคอื่นๆ ตามมาอีกมาก โรคเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องมีการรักษาอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาในการรักษานาน มีค่าใช้จ่ายที่สูง และที่น่ากลัวก็คือเป็นโรคที่มีอัตราการตายสูงอีกด้วย
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_42951
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง ขายหมู ได้ไหม
ขายหมูคืออะไร? คำว่า “ขายหมู” หมายถึง การที่เราขายหุ้นเมื่อได้กำไรออกมาเร็วเกินไป ซึ่งราคาหุ้นตัวนั้นยังขึ้นต่อไปจากราคาที่คุณขายอีกมากมาย ส่งผลให้เราได้กำไรน้อยกว่าที่ควรจะได้จากหุ้นตัวนั้น เช่น คุณซื้อหุ้นที่ราคา 10 บาท และขายทำกำไรออกมาตอนราคา 12 บาท แต่ต่อมา หุ้นตัวนั้นราคาวิ่งขึ้นไปได้ถึง 20 บาท!! หากคุณเจอสถานการณ์แบบนี้ก็จำไว้เลยว่าคุณได้ “ขายหมู” ไปแล้ว สาเหตุส่วนใหญ่ที่คนขายหมู สาเหตุหลักๆที่ทำให้คนส่วนใหญ่กระทำการขายหมูนั้นพออธิบายโดยสังเขปได้ดังนี้ ไม่มีการวางแผนในการซื้อขาย หลายๆคนที่เข้าซื้อหุ้นโดยไม่มีแผนการ มักจะอดใจไม่ไหวเมื่อเห็นหุ้นที่ซื้อมานั้นกำไร ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าราคาหุ้นยังมีโอกาสที่สามารถวิ่งขึ้นไปได้อีกหรือไม่ ก็จะรีบขายทำกำไรออกมาแบบรีบกำขี้ดีกว่ากำตด! กลัว และโลภ เกินไป อาการนี้เป็นผลมาจากข้อแรก เมื่อเราไม่มีแผนการว่าจะทำอะไรต่อ จะถือถึงไหน หรือขายแล้วจะไปวางเงินไว้ตรง สิ่งนี้จะทำให้ความกลัว และความโลภในตัวเราผุดขึ้นมา ให้เรารู้สึกกลัวว่าตัวเลขกำไรที่บวกอยู่มันจะลดลง หรือกลายเป็นลบ ทำให้เรารีบขายหุ้นออกมาเมื่อพึ่งจะได้กำไร คนเหล่านี้มักจะถือหุ้นที่กำไรไม่ได้นาน แต่จะสามารถถือหุ้นที่ขาดทุนได้ยาวไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่า ทนรวยไม่ค่อยได้! ผลที่มักจะตามหลังจากขายหมู สิ่งนี้จะทำให้เราเกิดอาการเสียดาย และเสียโอกาสที่จะได้กำไรก้อนโต ซึ่งบางคนเสียดายหมูที่ขายไปยิ่งกว่าตอนยอมคัทลอสตัดขาดทุนซะอีก หนำซ้ำบางคนยังมีอาการทนเสียดายไม่ไหวกระโดดตามกลับเข้าไปซื้อใหม่ เพราะคิดว่าราคามันจะวิ่งไปต่อ ซึ่งเจ้ากรรมเมื่อนักลงทุนทำสิ่งนี้ ราคาหุ้นก็มักจะวิ่งกลับลงมาให้คุณขาดทุนจนกำไรที่ขายหมูได้มา ก็คืนกลับไปหมด สุดท้ายทั้งขายหมู ทั้งขาดทุน ทำเอาไปไม่เป็นเลยทีเดียว วิธีป้องกันการขายหมู วิธีแก้อาการขายหมูจริงๆ แล้วเราเพียงต้องวางแผนก่อนเทรดให้ชัดเจน ซึ่งมีหลากหลายวิธี ไม่มีวิธีที่ตายตัว และไม่มีวิธีใดเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่จะขอยกตัวอย่างวิธีที่คนนิยมใช้กัน ดังนี้ ทยอยขายเป็นไม้ๆ อย่าพึ่งขายหมดในไม้เดียว เช่น คุณอาจจะขายทีละ 50% ไปเรื่อยๆ ตามระดับราคาเป้าหมาย ทีละระดับราคา อาจใช้แนวต้านต่างๆ เป็นเป้าหมายทยอยขายทำกำไรก็ได้ แล้วขายทั้งหมดเมื่อราคาตกลงมาต่ำกว่าราคาที่ขายล่าสุด เช่น ขายที่ 10 บาท 50% ขายที่ 11 บาท อีก 50% ของที่เหลือ และขายที่ 12 บาท อีก 50% พอราคาตกกลับลงมาที่ 11 บาท ก็ขายที่เหลือออกทั้งหมด เป็นต้น แบบนี้จะทำให้คุณสามารถถือกำไรได้นานขึ้นช่วยลดการขายหมูแต่เนิ่นๆได้ด้วย ขยับจุดขายทำกำไรให้ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ตามไปเรื่อยๆ ในกรณีที่หุ้นที่คุณซื้อวิ่งขึ้นไปให้คุณได้กำไรอยู่ คุณอาจจะกำหนดจุดขายออกหมดเมื่อราคาถอยกลับลงมา เช่น ต้นทุน 10 บาท ราคาปัจจุบัน 12 บาท คุณอาจจะเตรียมขายเมื่อราคาลงมาเหลือ 11 บาท และถ้าราคาวิ่งไปต่อที่ 13 บาท คุณก็ขยับราคาที่จะเตรียมขายไปที่ 12 บาท ขยับตามแบบนี้ไปเรื่อยๆ (นักเทคนิคอลเรียกสิ่งนี้ว่า Trailing stop) ก็ช่วยลดอาการขายหมูได้เช่นกัน ขายทุนออกมา ถือแต่กำไรเอาไว้ วิธีนี้อาจจะใช้ได้ในกรณีที่คุณมีกำไรมากพอสมควร เมื่อคุณถอนทุนออกมาหมดแล้ว ก็เหมือนหุ้นที่คุณมีอยู่ได้มาแบบไม่มีต้นทุน ทำให้คุณสามารถถือต่อไปแบบไม่มีทางขาดทุน ยิ่งเป็นหุ้นที่มีปันผลด้วยแล้ว แบบนี้ก็เหมือนคุณได้ Passive Income มาแบบฟรีๆ เลยล่ะ ยังไงซะขายหมูก็ยังดีกว่าขาดทุน ถึงจะเสียดายอย่างไร แต่ราก็ยังไม่เสียตังค์ เพราะการขายหมูไม่ใช่การขาดทุน เป็นเพียงแค่การเสียโอกาสได้กำไรเพิ่มขึ้นเฉยๆ จงคิดซะว่ากำไรน้อยแต่ก็ยังกำไร สะสมไปเรื่อยๆ สักวันก็กลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้ คิดบวกเข้าไว้ดีกว่าครับ เพราะสิ่งสำคัญในการลงทุน คือเราต้องมีความสุขกับการลงทุนของเรา
คำว่า “ขายหมู” หมายถึง การที่เราขายหุ้นเมื่อได้กำไรออกมาเร็วเกินไป ซึ่งราคาหุ้นตัวนั้นยังขึ้นต่อไปจากราคาที่คุณขายอีกมากมาย สาเหตุหลักๆที่ทำให้คนส่วนใหญ่กระทำการขายหมูนั้นพออธิบายโดยสังเขปได้ดังนี้ ไม่มีการวางแผนในการซื้อขาย หลายๆคนที่เข้าซื้อหุ้นโดยไม่มีแผนการ มักจะอดใจไม่ไหวเมื่อเห็นหุ้นที่ซื้อมานั้นกำไร ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าราคาหุ้นยังมีโอกาสที่สามารถวิ่งขึ้นไปได้อีกหรือไม่ ก็จะรีบขายทำกำไรออกมาแบบรีบกำขี้ดีกว่ากำตด กลัว และโลภ เกินไป อาการนี้เป็นผลมาจากข้อแรก บางคนเสียดายหมูที่ขายไปยิ่งกว่าตอนยอมคัทลอสตัดขาดทุนซะอีก หนำซ้ำบางคนยังมีอาการทนเสียดายไม่ไหวกระโดดตามกลับเข้าไปซื้อใหม่ พราะคิดว่าราคามันจะวิ่งไปต่อ ซึ่งเจ้ากรรมเมื่อนักลงทุนทำสิ่งนี้ ราคาหุ้นก็มักจะวิ่งกลับลงมาให้คุณขาดทุนจนกำไรที่ขายหมูได้มา ก็คืนกลับไปหมด สุดท้ายทั้งขายหมู ทั้งขาดทุน ทำเอาไปไม่เป็นเลยทีเดียว วิธีป้องกันการขายหมู วิธีแก้อาการขายหมูจริงๆ แล้วเราเพียงต้องวางแผนก่อนเทรดให้ชัดเจน ซึ่งมีหลากหลายวิธี ไม่มีวิธีที่ตายตัว และไม่มีวิธีใดเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่จะขอยกตัวอย่างวิธีที่คนนิยมใช้กัน ดังนี้ ทยอยขายเป็นไม้ๆ อย่าพึ่งขายหมดในไม้เดียว ขยับจุดขายทำกำไรให้ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ตามไปเรื่อยๆ ในกรณีที่หุ้นที่คุณซื้อวิ่งขึ้นไปให้คุณได้กำไรอยู่ คุณอาจจะกำหนดจุดขายออกหมดเมื่อราคาถอยกลับลงมา เช่น ต้นทุน 10 บาท ราคาปัจจุบัน 12 บาท คุณอาจจะเตรียมขายเมื่อราคาลงมาเหลือ 11 บาท และถ้าราคาวิ่งไปต่อที่ 13 บาท คุณก็ขยับราคาที่จะเตรียมขายไปที่ 12 บาท ขยับตามแบบนี้ไปเรื่อยๆ (นักเทคนิคอลเรียกสิ่งนี้ว่า Trailing stop) ก็ช่วยลดอาการขายหมูได้เช่นกันขายทุนออกมา ถือแต่กำไรเอาไว้ วิธีนี้อาจจะใช้ได้ในกรณีที่คุณมีกำไรมากพอสมควร เมื่อคุณถอนทุนออกมาหมดแล้ว ก็เหมือนหุ้นที่คุณมีอยู่ได้มาแบบไม่มีต้นทุน ทำให้คุณสามารถถือต่อไปแบบไม่มีทางขาดทุน ยิ่งเป็นหุ้นที่มีปันผลด้วยแล้ว แบบนี้ก็เหมือนคุณได้ Passive Income มาแบบฟรีๆ เลยล่ะ ยังไงซะขายหมูก็ยังดีกว่าขาดทุน ถึงจะเสียดายอย่างไร แต่ราก็ยังไม่เสียตังค์ เพราะการขายหมูไม่ใช่การขาดทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_10734
Medical
สรุปบทความเรื่อง แผลไหม้ แผลน้ำร้อนลวก ให้หน่อย
แผลไหม้ แผลน้ำร้อนลวก Burn แผลไหม้ แผลน้ำร้อนลวก Burn คือ แผลเปิด ที่เกิดจากผิวหนังและหรือเนื้อเยื่อบาด เจ็บจากความร้อน เช่น แผลจากเตารีด แผลไฟไหม้ แผลน้ำร้อนลวก แผลโดนสารเคมี แผลไหม้จากกระแสไฟฟ้า หรือ แผลจากรังสีต่างๆ แผลไหม้ มีความรุนแรงได้หลายระดับ ตั้งแต่ไม่รุนแรง ดูแลตนเองได้ที่บ้าน ซึ่งแผลจะหายได้ภายในระยะเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ไปจนถึงแผลรุนแรง จำเป็นต้องรักษาตัวในโรง พยาบาล อาจต้องอยู่โรงพยาบาลนานเป็นเดือน ร่วมกับการปลูกถ่ายผิวหนัง ทั้งนี้ขึ้นกับ สาเหตุ ขนาด และความลึกของแผล เมื่อเกิดแผลไหม้จากเครื่องใช้ในบ้าน เป็นแผลเล็กๆ เช่น แผลเตารีด การดูแลแผล คือ ทาแผลด้วยยาปฏิชีวนะ โดยไม่จำเป็นต้องปิดแผล แต่ต้องระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ ไม่จำเป็นต้องเจาะตุ่มพองเอาน้ำออก แต่ถ้าแผลกว้าง หรือ เกิดในเด็กเล็ก ควรต้องไปโรงพยาบาลเสมอ เมื่อแผลไหม้ มีขนาดใหญ่ ลึก หรือไม่ได้เกิดจากเครื่องใช้ในบ้าน ควรไปโรงพยาบาลเสมอ
แผลไหม้ แผลน้ำร้อนลวก คือ แผลเปิด ที่เกิดจากผิวหนังและหรือเนื้อเยื่อบาดเจ็บจากความร้อน มีความรุนแรงได้หลายระดับ ตั้งแต่ไม่รุนแรง ดูแลตนเองได้ที่บ้าน ซึ่งแผลจะหายได้ภายในระยะเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ไปจนถึงแผลรุนแรง จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ร่วมกับการปลูกถ่ายผิวหนัง ควรระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ ไม่เจาะตุ่มพองเอาน้ำออก
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Summarization
cc-by-nc-4.0
Legal_45566
Legal
ในกรณีเพื่อนบ้านจอดรถขวางหน้าบ้าน เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่?
1. ใช่ เป็นการละเมิดสิทธิในการใช้ที่สาธารณะ เข้าข่ายมาตรา 397 ประมวลกฎหมายอาญา 2. ไม่เกี่ยวข้อง กับกฎหมาย 3. ไม่แน่ใจ ขึ้นอยู่กับบริบทของเหตุการณ์ 4. ไม่ใช่ ไม่ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
คำตอบคือ ข้อ 1. เพราะว่า เหตุผล: การไปเตือนเพื่อนบ้านครั้งแรกถือเป็นการห้ามไม่ให้จอดรถขวางหน้าบ้าน หากเพื่อนบ้านยังจอดรถขวางทางอีก แสดงว่าเป็นการละเมิดสิทธิในการใช้ที่สาธารณะของเรา - ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 ระบุว่า "ผู้ใดในที่สาธารณสถานหรือต่อหน้าธารกำนัล กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นที่การรังแกหรือข่มเหงผู้อื่น หรือกระทำให้ผู้อื่นได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" การจอดรถขวางหน้าบ้าน ถือเป็นการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนรำคาญ เข้าข่ายมาตรา 397 นี้ ตัวเลือกอื่นๆ ผิดเพราะ: ข้อ4.ไม่ใช่ ไม่ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย: ตัวเลือกนี้ขัดแย้งกับบทความที่ระบุว่า การจอดรถขวางหน้าบ้านเป็นการละเมิดสิทธิ ข้อ3. ไม่แน่ใจ ขึ้นอยู่กับบริบทของเหตุการณ์: บทความไม่ได้ระบุเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ทำให้การจอดรถขวางหน้าบ้านไม่ผิดกฎหมาย ข้อ2. ไม่เกี่ยวข้อง กับกฎหมาย: บทความพูดถึงกฎหมายมาตรา 397 ประมวลกฎหมายอาญา หมายเหตุ: - บทความนี้ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายเท่านั้น - ไม่ควรนำไปใช้แทนคำแนะนำจากทนายความ - กรณีเพื่อนบ้านจอดรถขวางหน้าบ้าน ควรพยายามพูดคุยตกลงกันก่อน หากการพูดคุยไม่เป็นผล สามารถแจ้งความดำเนินคดีกับเพื่อนบ้านได้
ประมวลกฎหมายอาญา
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_24289
Medical
ยา Nizoral Cream ดีพอที่จะรักษาโรคด่างขาวให้หายขาดหรือไม่?
null
ได้ในบางกรณี เหตุผล: 1. ยา Nizoral Cream เป็นยาฆ่าเชื้อรา ไม่ได้ช่วยรักษาโรคด่างขาวโดยตรง 2. โรคด่างขาวมีหลายสาเหตุ ยา Nizoral Cream จะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคด่างขาวก็ต่อเมื่อโรคด่างขาวนั้นเกิดจากเชื้อราเท่านั้น เหตุผลหลักที่ยา Nizoral Cream อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาโรคด่างขาวของคุณ: 1. ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคด่างขาว: ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าโรคด่างขาวของคุณเกิดจากอะไร 2. ยา Nizoral Cream ไม่ได้กระตุ้นการสร้างเม็ดสี: ยานี้ฆ่าเชื้อรา ไม่ได้ช่วยกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีผิวทำงาน 3. มีทางเลือกอื่นที่มีประสิทธิภาพมากกว่า: - ครีมสตีรอยด์: ครีมเพร็ดนิซิล (Prednisil cream) มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคด่างขาวบางชนิด - การรักษาด้วยแสง: การฉายแสง Excimer laser หรือ แสง PUVA - ยาอื่นๆ: ยาทา Tacrolimus หรือ Pimecrolimus คำแนะนำ: 1. ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง: แพทย์จะวินิจฉัยสาเหตุของโรคด่างขาวของคุณ และ 2. แนะนำวิธีรักษาที่เหมาะสม 3. พิจารณาทางเลือกอื่น: - ครีมสตีรอยด์ - การรักษาด้วยแสง - ยาทา Tacrolimus หรือ Pimecrolimus หมายเหตุ: - การรักษาโรคด่างขาวอาจต้องใช้เวลา - ผลลัพธ์ของการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล - ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาใดๆ
เภสัชวิทยา Pharmacology,ผิวหนัง Dermatology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43685
Finance
นักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นกู้ High Yield หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ความเสี่ยงสูง: หุ้นกู้ High Yield มีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นกู้ Investment Grade เพราะบริษัทที่ออกหุ้นกู้ประเภทนี้มักมีสถานะทางการเงินที่ไม่แข็งแกร่ง มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ได้มากกว่า 2. ผลตอบแทนไม่แน่นอน: ผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นกู้ Investment Grade นั้น ไม่ได้เป็นการรับประกันว่านักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจริง 3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลตอบแทน: มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อผลตอบแทนของหุ้นกู้ High Yield เช่น - สภาพเศรษฐกิจ - อัตราดอกเบี้ย - นโยบายการเงิน 4. ความเหมาะสมกับนักลงทุน: หุ้นกู้ High Yield ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม: 1. เป้าหมายการลงทุน: นักลงทุนควรพิจารณาเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเอง 2. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นกู้ High Yield เพียงอย่างเดียว ควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ 3. ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน วิเคราะห์ความเสี่ยงของบริษัทที่ออกหุ้นกู้ 4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน ตัวอย่าง: กรณีบริษัท XYZ ออกหุ้นกู้ High Yield อัตราดอกเบี้ย 8% ต่อปี บริษัท XYZ มีสถานะทางการเงินที่ไม่แข็งแกร่ง มีหนี้สินสูง สภาพเศรษฐกิจถดถอย อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น จากตัวอย่างข้างต้น มีโอกาสสูงที่บริษัท XYZ จะผิดนัดชำระหนี้ นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุน สรุป: การลงทุนในหุ้นกู้ High Yield นั้นมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด พิจารณาความเสี่ยง และความเหมาะสมกับตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_27236
Medical
ผู้หญิงทุกคนที่ประจำเดือนมามากผิดปกติ จำเป็นต้องได้รับการตรวจหาเนื้องอกในมดลูกหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. สาเหตุของประจำเดือนมามากผิดปกติ: มีหลายสาเหตุ เนื้องอกในมดลูกเป็นเพียงสาเหตุหนึ่ง สาเหตุอื่นๆ ที่พบบ่อย คือ - ฮอร์โมนไม่สมดุล - เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ - ภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ - โรคทางโลหิตวิทยา - ยาบางชนิด 2. การวินิจฉัย: แพทย์จะวินิจฉัยหาสาเหตุ - ซักประวัติ - ตรวจร่างกาย - ตรวจปัสสาวะ - ตรวจเลือด - อัลตราซาวด์ แพทย์จะพิจารณาว่า จำเป็นต้องตรวจหาเนื้องอกในมดลูกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ - สาเหตุที่สงสัย - ความรุนแรงของอาการ - สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย 3. กรณีที่ไม่จำเป็นต้องตรวจหาเนื้องอกในมดลูก: - ประจำเดือนมามากผิดปกติเพียงเล็กน้อย ไม่มีอาการอื่นๆ - สาเหตุที่สงสัยไม่ใช่เนื้องอกในมดลูก 4. กรณีที่จำเป็นต้องตรวจหาเนื้องอกในมดลูก: - ประจำเดือนมามากผิดปกติอย่างมาก - มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดท้องน้อย ปัสสาวะบ่อย ท้องผูก - สาเหตุที่สงสัยเป็นเนื้องอกในมดลูก สรุป: - ผู้หญิงทุกคนที่ประจำเดือนมามากผิดปกติ ไม่จำเป็นต้องได้รับการตรวจหาเนื้องอกในมดลูก - แพทย์จะพิจารณาว่า จำเป็นต้องตรวจหาเนื้องอกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ สาเหตุที่สงสัย ความรุนแรงของอาการ และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย - ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำ เกี่ยวกับวิธีการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม
นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_40446
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นเกี่ยวกับชื่อเรื่อง"สีสันของการลงทุน ด้วยการเข้าสู่ความสุขและความสงบใจในวัยเกษียณ"
null
ในช่วงเวลาที่หนุ่มสาวมุ่งมั่นสู่วัยเรียน และวัยหนุ่มสาวมุ่งหน้าสู่อนาคตที่สดใสอันส่งแรงบันดาลใจ มีความท้าทายใหญ่ในการตัดสินใจเกี่ยวกับลงทุนสำหรับวันที่ยังคงอยู่ห่างไกลอยู่ หลังจากที่ทุกความพยายามและความตั้งใจในการสร้างผลตอบแทนให้กับตัวเองในช่วงปีหนึ่งที่ผ่านมา แม้ว่าความสำเร็จบางอย่างจะถูกสร้างขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ยังมีความกังวลที่สั่นสะเทือนเกี่ยวกับอนาคตที่กำลังมองมองไกลเป็นพ้นเส้นป่ายประจำวัน มีครูบาอยู่คนหนึ่ง ชื่อคุณประพันธ์ มีประสบการณ์อยู่หลายปีในการทำงานและชีวิตพื้นฐานที่มั่นคง คุณประพันธ์มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาต้องการเล่าให้ฟังกับเพื่อนๆ ในสนามกอล์ฟที่ชอบเล่น ครั้งหนึ่งเมื่อเขากำลังหยิบไม้กอล์ฟเข้าไปในถุง เขาเริ่มสนทนากับเพื่อนร่วมสนาม เรื่องที่เขาเล่านั้นก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนที่เขาเสนอให้กับครอบครัวของเขา "เป็นเรื่องนึงที่อยู่ในเรื่องที่อยากจะแบ่งปันกับทุกคน," คุณประพันธ์เริ่มพูด "คุณแม่ของฉันเคยถามฉันว่า 'ลงทุนทางไหนที่ทำให้เราสบายใจเมื่อถึงวัยเกษียณ?' ฉันคิดแล้วฉันตอบเธอว่า 'คุณต้องลงทุนในความสุขของคุณ และนี่คือเรื่องที่ฉันเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเอง'" คุณประพันธ์อธิบายต่อว่าเขามีความตั้งใจที่จะออกไปเดินทางอย่างระมัดระวังในช่วงเวลาวัยเยาว์ เขาลงทุนในการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ที่จะทำให้เขามีโอกาสที่ดีในอนาคต เขาไม่ได้ลงทุนเพียงแค่ในทรัพย์สินเท่านั้น แต่เขายังลงทุนในความสุขและความเป็นอิสระของตัวเอง โดยการใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง และการเรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันอีกด้วย "ลงทุนทางเลือกที่ทำให้เราสบายใจวัยเกษียณ ไม่ใช่เรื่องของเงินทองเป็นหลัก แต่เป็นเรื่องของความสุข ความอิสระ และความทรงจำที่มีค่ามากมาย," คุณประพันธ์สรุปเรื่องราวของเขาด้วยความประณีตในสมอง เขาคลานในความพอใจและความสุขที่เขาเคยเริ่มต้นมองหาอย่างมากในชีวิตของตนเองและครอบครัวของเขาและเพื่อนฝูงในสนามกอล์ฟ ที่ร่วมเล่นกันอยู่ บทเรียนนี้ถือเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายคนในการเลือกลงทุนในความสุขและคุณค่าที่แท้จริงในชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขและความพึงพอใจทุกๆ วัน
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_43690
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นโดยมีข้อคิดว่า...การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยการพัฒนาทักษะแรงงาน การเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ และนโยบายที่เอื้อต่อทุกภาคส่วน
null
แรงงาน ธุรกิจ และอนาคต: เกมเศรษฐกิจบนความสมดุล ณ เมืองสมมติแห่งหนึ่ง 'นลิน' หญิงสาวผู้เปี่ยมไปด้วยความฝัน กำลังก้าวเข้าสู่โลกการทำงานอย่างเต็มตัว เธอใฝ่ฝันอยากมีชีวิตที่ดี มีบ้านหลังใหญ่ และรถยนต์สักคัน แต่เธอรู้ดีว่าหนทางข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ นลินเริ่มต้นทำงานในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เงินเดือนของเธออยู่ที่ค่าแรงขั้นต่ำ เธอก้มหน้าก้มตาทำงาน เก็บหอมรอมริบ หวังสักวันจะพอมีเงินซื้อบ้าน แต่เธอก็ได้ยินข่าวลือว่าค่าแรงขั้นต่ำอาจจะขึ้น ในอีกฟากฝั่ง 'คุณสมชาย' เจ้าของร้านอาหาร กำลังกังวลใจกับข่าวลือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำเช่นกัน เขารู้ดีว่าหากค่าแรงขึ้น ธุรกิจของเขาจะต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น เขาจำเป็นต้องหาทางออกเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการอยู่รอดของธุรกิจ และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ในขณะเดียวกัน 'ดร. กิตติ' นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง กำลังศึกษาผลกระทบของค่าแรงขั้นต่ำ เขาตระหนักดีว่านโยบายนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ด้านหนึ่ง มันช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน แต่ในอีกด้าน มันอาจส่งผลต่อการจ้างงานและความยืดหยุ่นของธุรกิจ เรื่องราวของนลิน คุณสมชาย และดร. กิตติ สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของประเด็นค่าแรงขั้นต่ำ มันเป็นเกมเศรษฐกิจบนความสมดุลที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย นลินในฐานะแรงงาน มองค่าแรงขั้นต่ำเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเธอ เธอหวังว่านโยบายนี้จะช่วยให้เธอมีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต และบรรลุเป้าหมายในอนาคต คุณสมชายในฐานะเจ้าของธุรกิจ กังวลว่าค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้นจะส่งผลต่อต้นทุนและความยืดหยุ่นของธุรกิจ เขาจำเป็นต้องหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนอื่นๆ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการอยู่รอดของธุรกิจ และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ดร. กิตติในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ มองประเด็นนี้ด้วยมุมมองที่กว้างขึ้น เขาพยายามหาจุดสมดุลระหว่างการช่วยเหลือแรงงาน และการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจโดยรวม เรื่องราวนี้ยังไม่มีบทสรุป ทุกฝ่ายกำลังพยายามหาทางออกที่ดีที่สุด เกมเศรษฐกิจบนความสมดุลนี้ ยังคงดำเนินต่อไป
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_918
Finance
เขียนบทสนทนาเรื่อง "คำศัพท์ที่สำคัญในโลกคริปโต: แพ็คคู่คำสำหรับนักลงทุนมือใหม่" ให้หน่อยได้ไหม?
null
แนวคิด: การแต่งบทสนทนาเกี่ยวกับ "15 ศัพท์โลกคริปโตฯ ต้องรู้! สำหรับนักลงทุนมือใหม่" ต้องเน้นความเข้าใจง่ายและช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเกี่ยวกับศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับโลกคริปโต. ลองสร้างเนื้อหาดังต่อไปนี้: --- เริ่มต้นบทสนทนา: เพื่อน: สวัสดีครับ ผมได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนในคริปโตค่ะ แต่ผมยังมีคำศัพท์บางคำที่ไม่เข้าใจ คุณสามารถช่วยอธิบายให้ฉันได้ไหม? ชัญญา : ได้สิมอลลี่ ยินดีมากๆเลย งั้นมาเริ่มกันเลย มอลลี่ : โอเค พร้อมจะฟังแล้วหละ!! ชัญญา : ส่วนใหญ่แล้วการลงทุนในคริปโตนั้นเริ่มมีคำศัพท์เฉพาะของมันเองที่ต้องรู้เพื่อเข้าใจและประสบความสำเร็จในการลงทุน มาดูกันว่าคำศัพท์ 15 คำที่สำคัญในโลกคริปโตมีอะไรบ้าง 1. Blockchain (บล็อกเชน): เป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลและการทำธุรกรรมที่ปลอดภัย โดยไม่มีการควบคุมจากศูนย์กลาง 2. Bitcoin (บิตคอยน์): เป็นเหรียญดิจิตอลแรกที่ถูกสร้างขึ้นในโลกและมีค่าตามราคาตลาด 3. Altcoin (อัลต์คอยน์): เหรียญดิจิตอลที่ไม่ใช่บิตคอยน์ 4. Wallet (วอลเล็ท): เก็บเงินสดดิจิตอลและสามารถใช้ในการทำธุรกรรม 5. Exchange (เอกซ์เชนจ์): เว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มที่ให้บริการซื้อ ขาย หรือแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิตอล 6. ICO (Initial Coin Offering): การเริ่มต้นขายเหรียญดิจิตอลใหม่กับผู้ลงทุน 7. FOMO (Fear Of Missing Out) : ความกลัวที่จะพลาดโอกาสที่ดีในการลงทุน 8. HODL: คำที่มาจากคำผิดการสะกดคำว่า "hold" หมายถึงการถือเหรียญดิจิตอลไว้โดยไม่ขาย 9. Whale (วีล): ผู้ถือเหรียญดิจิตอลจำนวนมากที่สามารถกระทำกิจกรรมทางการเงินใหญ่ 10. FUD (Fear, Uncertainty, Doubt): ความกลัว ความไม่แน่ใจ และความสงสัยในตลาด 11. ATH (All-Time High) ราคาสูงสุดที่เหรียญดิจิตอลได้ถึงในขณะนั้น 12. Dip (ดิป): การลดลงของราคาเหรียญดิจิตอล 13. Market Cap (มาร์เก็ตแคป): มูลค่ารวมของเหรียญดิจิตอลทั้งหมดในตลาด 14. Smart Contract (สมาร์ทคอนแทรค): โครงสร้างโปรแกรมที่รันบนบล็อกเชนที่ทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินเป็นไปอัตโนมัติ 15. Mining (ขุดเหรียญ): กระบวนการที่ใช้กำลังคำนวณเพื่อการยืนยันการทำธุรกรรมและสร้างบล็อกใหม่ในบล็อกเชน มอลลี่ : ว้าวมากชัญญา ขอบคุณมาก! คำอธิบายเหล่านี้ทำให้เข้าใจมากขึ้น สุดยอดมากเลย!! ชัญญา : ยินดีมากๆเลยมอลลี่ ถ้ามีคำศัพท์ใดๆ ที่ยังไม่เข้าใจหรือต้องการรายละเอีอดเพิ่มเติม ก็ถามได้เสมอนะ !! ** บทสนทนานี้เป็นการอธิบายคำศัพท์ที่สำคัญในโลกของคริปโตเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจและรู้เรื่องเกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลได้ดียิ่งขึ้น การเน้นความเข้าใจง่ายและการสื่อสารอย่างชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เกิดความมั่นใจและเข้าใจเกี่ยวกับโลกของคริปโตอย่างถูกต้อง โดยยังเน้นให้ความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องในการลงทุนด้วย การสร้างความเข้าใจในรูปแบบนี้จะช่วยให้มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการลงทุนในโลกคริปโตอย่างมั่นใจและระมัดระวัง
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_45
Finance
ทำไมการปรับลด QE ไม่น่ากลัวสำหรับตลาดหุ้นไทยอย่างที่คิดกัน
ตลาดหุ้นตกอีกมากแค่ไหน เมื่อ Fed เริ่มลด QE จริงๆ ตลาดหุ้นตกอีกมากแค่ไหน เมื่อ Fed เริ่มลด QE จริงๆ* สิ่งที่นักลงทุนกังวลที่สุดคือ เมื่อ Fed เริ่มลดวงเงิน QE จริงๆ ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทยจะตกอีกมากแค่ไหน ความเห็นคือราคาหุ้นน่าจะลดลงไม่มาก หากลงมากน่าจะแค่ช่วงแรกๆ ที่นักลงทุนอยู่ในอาการตกใจ หลังจากนั้นตลาดหุ้นทั่วโลกจะกลับสู่ขาขึ้น และน่าจะขึ้นยาวไปอีก 2 ปี โดยมีเหตุผลสนับสนุนแนวคิดอยู่ 5 ข้อ 1. แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกชัดเจนขึ้นมากเมื่อเทียบกับเดือน พ.ค. 56 ตอนที่ Fed ออกมาส่งสัญญาณอาจจะปรับลดวงเงิน QE เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนนัก การประกาศแผนลด QE ของ Fed ช่วงนั้นทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจให้ย่ำแย่ลงอีก เป็นผลทำให้เกิดแรงเทขายครั้งใหญ่ในตลาดหุ้น แต่ตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแรงขึ้นมาก เศรษฐกิจโลกเริ่มเข้าสู่วงจรการฟื้นตัวชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น ยุโรป ญี่ปุ่น จีน จึงเชื่อว่าการลด QE จะไม่ทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้น เพราะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นช่วยให้ภาคธุรกิจมีผลประกอบการดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักให้ราคาหุ้นปรับสูงขึ้น 2. นักลงทุนเริ่มเข้าใจว่าการลด QE ไม่ได้แปลว่า Fed เริ่มใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา Fed พยายามทำให้นักลงทุนแยกแยะระหว่างการลด QE กับการเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน โดยบอกชัดเจนว่ามาตรการ QE มีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือควบคุม Momentum ของเศรษฐกิจระยะสั้น ขณะที่นโยบายด้านดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการบริหารนโยบายการเงิน และรักษาเสถียรภาพทางการเงินระยะยาว แปลง่ายๆ คือ การที่ Fed จะตัดสินใจลด QE ไม่ได้หมายความว่า Fed จะเปลี่ยนไปใช้นโยบายการเงินที่รัดกุมขึ้น แต่แปลว่ามีความมั่นใจมากขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จึงเชื่อว่านักลงทุนเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับมาตรการ QE และการลด QE จะเห็น Panic Selling ลดลงมาก 3. นักลงทุนเริ่มแยกแยะตลาดเกิดใหม่ที่เสี่ยงต่ำออกจากกลุ่มเสี่ยงสูง นักลงทุนแยกแยะตลาดเกิดใหม่ออกจากกันชัดเจนขึ้น ระหว่างกลุ่มเสี่ยงต่ำกับความเสี่ยงสูง ดังนั้นการลด QE ถ้าจะมีผลกระทบทางลบน่าจะเป็นกับกลุ่มเสี่ยงสูง ไม่น่าส่งผลให้สภาพคล่องไหลเข้าสู่ตลาดกลุ่มเสี่ยงต่ำลดลง ซึ่งวิธีดูว่าประเทศไหนเสี่ยงระดับใด ดูจากดุลบัญชีเดินสะพัด ประเทศไหนที่อดีตการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด หรือมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจอ่อนแอ (ส่งออกน้อย แต่นำเข้าสูง) หรือพึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์สูงๆ (ปัจจุบันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ) จะทำให้ถูกจัดอยู่ในประเทศที่เสี่ยงสูง ถัดมาดูทิศทางดอกเบี้ยภายในว่าจะปรับขึ้นเร็วและมากกว่าดอกเบี้ยโลกหรือไม่ ทั้งนี้เชื่อว่าดอกเบี้ยไทยไปในทิศทางเดียวกับดอกเบี้ยโลก เพราะเงินเฟ้อไทยใกล้เคียงกับโลก และสภาพคล่องของไทยสูงมาก ค่าเงินบาทไม่ได้ Overvalued ทำให้เชื่อว่าไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่เสี่ยงต่ำ ปัจจัยเดียวที่จะทำให้ภาพนี้เปลี่ยนไปคือการเมืองที่เลวร้ายลงมากๆ 4. Valuations ของตลาดเกิดใหม่ลดลงมากแล้ว ช่วงก่อนมีคำขู่จาก Fed ว่าจะลด QE ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่บางแห่งมี Valuations แพงกว่าตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว แต่ล่าสุดตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่มีค่า P/E Ratio เฉลี่ย 12 เท่า ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมี P/E Ratio เฉลี่ย 17 เท่า หรือ Valuations ถูกกว่าถึง 40% ซึ่งกระตุ้นให้ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่น่าสนใจ เพราะพฤติกรรมนักลงทุน คือ ชอบของถูก นอกจากนี้ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ยัง Underperformed ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วค่อนข้างมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เงินจะเริ่มไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ 5. เงินลงทุนจะ Rotate ออกจากตราสารหนี้เข้าตลาดหุ้นมากขึ้น การลด QE แม้ยังไม่ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายกลับสู่ขาขึ้น แต่เป็นแรงกดดันทำให้ดอกเบี้ยระยะยาวปรับสูงขึ้นอีก เม็ดเงินส่วนหนึ่งที่ลงทุนอยู่ในตลาดตราสารหนี้จะถูกโยกเข้าสู่ตลาดหุ้น เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องดอกเบี้ย โดยสรุปจากเหตุผลทั้ง 5 ข้อ ทำให้มองว่าการปรับลด QE ไม่น่ากลัวสำหรับตลาดหุ้นไทยอย่างที่คิดกัน โดยเฉพาะการดำเนินการตอนที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างชัดเจนจะทำให้นักลงทุน ตื่นตระหนกน้อยกว่ารอบที่แล้วอย่างแน่นอน
การปรับลด QE ไม่น่ากลัวสำหรับตลาดหุ้นไทยอย่างที่คิดกันเพราะว่า 1. แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกชัดเจนขึ้นมากเมื่อเทียบกับเดือน พ.ค. 56 ตอนที่ Fed ออกมาส่งสัญญาณอาจจะปรับลดวงเงิน QE เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนนัก การประกาศแผนลด QE ของ Fed ช่วงนั้นทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจให้ย่ำแย่ลงอีก เป็นผลทำให้เกิดแรงเทขายครั้งใหญ่ในตลาดหุ้น แต่ตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแรงขึ้นมาก เศรษฐกิจโลกเริ่มเข้าสู่วงจรการฟื้นตัวชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น ยุโรป ญี่ปุ่น จีน จึงเชื่อว่าการลด QE จะไม่ทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้น เพราะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นช่วยให้ภาคธุรกิจมีผลประกอบการดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักให้ราคาหุ้นปรับสูงขึ้น 2. นักลงทุนเริ่มเข้าใจว่าการลด QE ไม่ได้แปลว่า Fed เริ่มใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา Fed พยายามทำให้นักลงทุนแยกแยะระหว่างการลด QE กับการเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน โดยบอกชัดเจนว่ามาตรการ QE มีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือควบคุม Momentum ของเศรษฐกิจระยะสั้น ขณะที่นโยบายด้านดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการบริหารนโยบายการเงิน และรักษาเสถียรภาพทางการเงินระยะยาว แปลง่ายๆ คือ การที่ Fed จะตัดสินใจลด QE ไม่ได้หมายความว่า Fed จะเปลี่ยนไปใช้นโยบายการเงินที่รัดกุมขึ้น แต่แปลว่ามีความมั่นใจมากขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จึงเชื่อว่านักลงทุนเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับมาตรการ QE และการลด QE จะเห็น Panic Selling ลดลงมาก 3. นักลงทุนเริ่มแยกแยะตลาดเกิดใหม่ที่เสี่ยงต่ำออกจากกลุ่มเสี่ยงสูง นักลงทุนแยกแยะตลาดเกิดใหม่ออกจากกันชัดเจนขึ้น ระหว่างกลุ่มเสี่ยงต่ำกับความเสี่ยงสูง ดังนั้นการลด QE ถ้าจะมีผลกระทบทางลบน่าจะเป็นกับกลุ่มเสี่ยงสูง ไม่น่าส่งผลให้สภาพคล่องไหลเข้าสู่ตลาดกลุ่มเสี่ยงต่ำลดลง ซึ่งวิธีดูว่าประเทศไหนเสี่ยงระดับใด ดูจากดุลบัญชีเดินสะพัด ประเทศไหนที่อดีตการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด หรือมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจอ่อนแอ (ส่งออกน้อย แต่นำเข้าสูง) หรือพึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์สูงๆ (ปัจจุบันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ) จะทำให้ถูกจัดอยู่ในประเทศที่เสี่ยงสูง ถัดมาดูทิศทางดอกเบี้ยภายในว่าจะปรับขึ้นเร็วและมากกว่าดอกเบี้ยโลกหรือไม่ ทั้งนี้เชื่อว่าดอกเบี้ยไทยไปในทิศทางเดียวกับดอกเบี้ยโลก เพราะเงินเฟ้อไทยใกล้เคียงกับโลก และสภาพคล่องของไทยสูงมาก ค่าเงินบาทไม่ได้ Overvalued ทำให้เชื่อว่าไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่เสี่ยงต่ำ ปัจจัยเดียวที่จะทำให้ภาพนี้เปลี่ยนไปคือการเมืองที่เลวร้ายลงมากๆ 4. Valuations ของตลาดเกิดใหม่ลดลงมากแล้ว ช่วงก่อนมีคำขู่จาก Fed ว่าจะลด QE ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่บางแห่งมี Valuations แพงกว่าตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว แต่ล่าสุดตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่มีค่า P/E Ratio เฉลี่ย 12 เท่า ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมี P/E Ratio เฉลี่ย 17 เท่า หรือ Valuations ถูกกว่าถึง 40% ซึ่งกระตุ้นให้ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่น่าสนใจ เพราะพฤติกรรมนักลงทุน คือ ชอบของถูก นอกจากนี้ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ยัง Underperformed ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วค่อนข้างมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เงินจะเริ่มไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ 5. เงินลงทุนจะ Rotate ออกจากตราสารหนี้เข้าตลาดหุ้นมากขึ้น การลด QE แม้ยังไม่ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายกลับสู่ขาขึ้น แต่เป็นแรงกดดันทำให้ดอกเบี้ยระยะยาวปรับสูงขึ้นอีก เม็ดเงินส่วนหนึ่งที่ลงทุนอยู่ในตลาดตราสารหนี้จะถูกโยกเข้าสู่ตลาดหุ้น เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องดอกเบี้ย โดยสรุปจากเหตุผลทั้ง 5 ข้อ ทำให้มองว่าการปรับลด QE ไม่น่ากลัวสำหรับตลาดหุ้นไทยอย่างที่คิดกัน โดยเฉพาะการดำเนินการตอนที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างชัดเจนจะทำให้นักลงทุน ตื่นตระหนกน้อยกว่ารอบที่แล้วอย่างแน่นอน
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21366
Medical
กินยา diazepam ตอนท้องมีผลอะไรกับลูกไหม
null
การใช้ยา diazepam ในขณะตั้งครรภ์ มีรายงานว่ามีผลต่อทารกในครรภ์ จากการทดลองในหนูทดลอง โดยพบว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปากแหว่งเพดานโหว่ แขนและขาพิการของทารกได้ แต่จะทำให้เกิดความพิการต่อทารกในครรภ์ของมนุษย์หรือไม่ ยังไม่สามารถสรุปได้ แต่ถึงจะมีผลก็คงมีผล ค่อนข้างน้อยมากต่อทารกในครรภ์ ในกรณีที่ใช้ยาในระยะเวลานาน อาจมีผลทำให้ทารกที่คลอดออกมามีอาการง่วงซึมหรือมีอาการซึมเศร้า หรืออาจมีผลของ withdrawal symptoms ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่มารดาที่ใช้ยาในกลุ่มนี้ร่วมกับสารเสพติดชนิดอื่นขณะตั้งครรภ์ หรือติดสุราขณะตั้งครรภ์จะยิ่งมีผลต่อทารกมากยิ่งขึ้น มารดาที่ได้ยา diazepam ในขณะตั้งครรภ์ใน 2 สัปดาห์แรก น่าจะมีผลต่อทารกในครรภ์ค่อนข้างน้อย แนะนำให้ทำการตั้งครรภ์ต่อไปได้ และหยุดการใช้ยาทันที หรือจะใช้ยาในกรณีที่มีความจำเป็นเท่านั้น ควรทำการตรวจอัลตราซาวนด์เมื่ออายุครรภ์ได้ 18-22 สัปดาห์ เพื่อหาความผิดปกติของทารกว่ามีหรือไม่ ถ้าไม่พบความผิดปกติหรือความพิการของทารก ก็สามารถตั้งครรภ์ต่อไปได้ แต่หากพบความผิดปกติตามคำวินิจฉัยของแพทย์ ควรทำตามคำวินิจฉัยของแพทย์ อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_368
Finance
ขอคำแนะนำหน่อย 5 สิทธิประโยชน์ดีๆ จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีอะไรบ้าง
null
5 สิทธิประโยชน์ดีๆ จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1. ได้รับเงินสะสมและผลประโยชน์จากเงินสะสมเต็มจำนวน เพราะในแต่ละเดือนที่เราจ่ายเงินสะสมไปในกองทุนก็เหมือนกับการเก็บออมและลงทุนไปในตัว เมื่อเราสิ้นสุดการเป็นสมาชิกกองทุนก็จะได้รับเงินสะสมและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด 100% เรียกว่าออมไปเท่าไหร่ ก็ได้เท่านั้น แถมด้วยดอกผลที่เกิดขึ้นจากเงินออมของเรา 2. ได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินสมทบ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละบริษัทมีข้อกำหนดในการจ่ายเงินสมทบอย่างไร โดยส่วนใหญ่เราจะได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินสมทบในอัตราที่มากขึ้นตาม “อายุงาน” เพื่อให้สวัสดิการนี้เป็นแรงจูงใจในการทำงานระยะยาว เช่น - ทำงานไม่ถึง 1 ปี จะไม่ได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินสมทบ - ทำงาน 1-5 ปี จะได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินสมทบ 50% - ทำงาน 10 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินสมทบ 100% 3. ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เมื่อสิ้นสมาชิกภาพ เราจะได้รับเป็น “เงินก้อน” จำนวนหนึ่ง ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ 1) เงินสะสมของเรา 2) เงินสมทบของนายจ้าง 3) ผลประโยชน์ของเงินสะสม 4) ผลประโยชน์ของเงินสมทบ หากเรานำเงินออกจาก PVD ทั้งหมด เงินสะสมของเรา (ส่วนที่ 1) จะได้รับยกเว้นภาษี แต่เงินที่เหลือ (ส่วนที่ 2-4) จะต้องคิดถึงเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย ซึ่งการสิ้นสมาชิกภาพในแต่ละกรณี จะมีเงื่อนไขในการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่แตกต่างกัน โดยแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้ กรณีแรก : ลาออกจากกองทุนโดยไม่ออกจากงาน หรือลาออกเพื่อเปลี่ยนงาน โดยเป็นสมาชิก PVD ไม่ถึง 5 ปี กรณีที่ 2 : ลาออกเพื่อเปลี่ยนงาน โดยเป็นสมาชิก PVD ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป กรณีที่ 3 : ทุพพลภาพ/เสียชีวิต หรือเกษียณโดยมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และเป็นสมาชิก PVD ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป 4. สิทธิในการคงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กรณีลาออกจากงานหรือเกษียณอายุุ หากยังไม่ต้องการใช้เงินหรือต้องการเก็บเงินก้อนนี้ไว้ใช้ยามเกษียณอายุ สามารถขอ “คงเงิน” ไว้ในกองทุนตามนโยบายการลงทุนที่เลือกไว้ โดยติดต่อกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เพื่อแจ้งระยะเวลาคงเงินที่ไม่ขัดกับข้อกำหนดของทางกองทุน กรณีเกษียณอายุ สามารถขอให้กองทุนทยอยจ่ายเงินให้เราเป็นงวดๆ คล้ายเงินบำนาญได้ด้วย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละกองทุน แต่อย่าลืม!!! ตรวจสอบค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องด้วยว่าคุ้มค่าหรือไม่ 5. สิทธิในการโอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปไว้ที่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) การโอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปไว้ที่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ช่วยให้เราได้ออมเงินต่อเนื่องในระยะยาว โดยเรามีอิสระในการเลือกนโยบายการลงทุนได้เอง และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเทียบเท่ากับการคงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พูดง่ายๆ คือ ไม่ถูกบังคับให้ลงทุนต่อเนื่องเหมือนกองทุนรวม RMF ทั่วไป แถมยังสามารถนับอายุสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่อเนื่องกับกองทุนรวม RMF ได้ เพื่อให้ได้รับการ “ยกเว้นภาษี” เมื่อมีคุณสมบัติครบตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด โดยเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่โอนไปกองทุนรวม RMF จะไม่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลประจำปีได้ สิทธิประโยชน์เมื่อสิ้นสุดการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น นอกจากจะได้เงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์จากเงินสะสมและเงินสมทบแล้ว ยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามข้อกำหนดของอายุสมาชิกกองทุนและอายุของตัวเอง รวมถึงสามารถคงเงินเอาไว้ในกองทุนต่อได้ เพื่อรับประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุน แม้จะพ้นสภาพการเป็นสมาชิกแล้วก็ตาม เห็นมั้ยว่า... กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นสวัสดิการดีๆ ของมนุษย์เงินเดือนที่เราไม่ควรพลาด
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_4127
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "การยกระดับทักษะบุคลากรให้ประสบความสำเร็จจากรายงาน Talent Trends 2020 ของ PwC"
สำหรับผู้นำองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐที่กำลังคิดจะเริ่มต้นการยกระดับทักษะบุคลากรให้ประสบความสำเร็จ ผมมีคำแนะนำจากรายงาน Talent Trends 2020 ของ PwC มาแลกเปลี่ยนเพื่อเป็นแนวทางให้ทุกท่านได้นำไปวางแผนและปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ สำหรับผู้นำองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐที่กำลังคิดจะเริ่มต้นการยกระดับทักษะบุคลากรให้ประสบความสำเร็จ ผมมีคำแนะนำจากรายงาน Talent Trends 2020 ของ PwC มาแลกเปลี่ยนเพื่อเป็นแนวทางให้ทุกท่านได้นำไปวางแผนและปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและต้องขับเคลื่อนด้วยผู้นำ การมีแผนการยกระดับทักษะที่ชัดเจนจะช่วยให้พนักงานเข้าใจวัตถุประสงค์และวิสัยทัศน์ของผู้บริหารว่า ทำไมการยกระดับทักษะพนักงานจึงมีความจำเป็นต่อองค์กรและกำลังคนแม้ในยามที่เกิดภาวะวิกฤต ระบุช่องว่างทักษะและทักษะที่องค์กรต้องการ ปัจจุบันผู้บริหารหลายคนไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วองค์กรของตนยังขาดทักษะอะไรบ้าง สิ่งที่ผมอยากแนะนำคือ ให้วิเคราะห์ทักษะที่สามารถใช้ได้ในปัจจุบันและในอนาคต รวมถึงวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมองถึงความจำเป็นในการใช้แรงงานในอนาคต และความสามารถของแรงงานในปัจจุบัน รวมถึงความท้าทายทางวัฒนธรรมและพฤติกรรมในองค์กร เน้นการเสริมทักษะใหม่และปรับปรุงทักษะเดิมควบคู่กัน ในระยะยาว การยกระดับทักษะจะช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการทำงานของพนักงาน และช่วยทำให้สามารถทำงานร่วมกับเครื่องจักรได้มากขึ้น ในทางกลับกัน สำหรับระยะสั้น การปรับปรุงทักษะที่มีอยู่เดิมจะช่วยให้พนักงานสามารถทำงานในตำแหน่งหน้าที่ใหม่ๆ และสร้างความยืดหยุ่นกับองค์กร วางพื้นฐานวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง พนักงานจะเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ได้ก็ต่อเมื่อการยกระดับทักษะและวัฒนธรรมองค์กรมีความสอดคล้องกัน ที่ PwC เราให้พนักงานเป็นผู้กำหนดว่าตนต้องการพัฒนาทักษะใดมากที่สุดเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการทำงานผ่านโปรแกรมการพัฒนาบุคลากร New World, New Skills โดยมีวัตถุประสงค์ในการเพิ่มพูนทักษะให้กับคนของเรา เพื่อสร้างความพร้อมในการทำงานในโลกอนาคต สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ สิ่งที่องค์กรต้องทำคือ ปรับเป้าหมายการเรียนรู้และฝึกอบรมทักษะของพนักงานให้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในแต่ละวัน โดยคำนึงถึงคุณภาพชีวิตและความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว และที่สำคัญต้องทำให้พนักงานเห็นและเข้าใจว่าองค์กรจะอยู่เคียงข้างเพื่อช่วยพัฒนาให้ตนมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ติดตามและวัดผล เมื่อการยกระดับทักษะต้องอาศัยทั้งเวลาและการลงทุน แน่นอนว่าการวัดผลความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้จะมีความสำคัญ ทั้งนี้ องค์กรสามารถวัดผลได้ผ่านการประเมินความพึงพอใจของลูกค้า ความสามารถในการดึงดูดพนักงานที่มีทักษะความสามารถ อีกทั้งยังวัดได้จากผลทางสังคมในแง่ภาพลักษณ์ขององค์กรที่คำนึงในเรื่องของการพัฒนาคนไปสู่โลกการทำงานในอนาคต
การยกระดับทักษะบุคลากรให้ประสบความสำเร็จจากรายงาน Talent Trends 2020 ของ PwC 1. ตั้งเป้าหมายชัดเจนและต้องขับเคลื่อนด้วยผู้นำ ช่วยให้พนักงานเข้าใจวัตถุประสงค์และวิสัยทัศน์ของผู้บริหารว่าทำไมการยกระดับทักษะพนักงานจึงจำเป็นต่อองค์กรและกำลังคนแม้ในยามที่เกิดภาวะวิกฤต 2. ระบุช่องว่างทักษะและทักษะที่องค์กรต้องการ ให้วิเคราะห์ทักษะที่สามารถใช้ได้ในปัจจุบันและอนาคต วิเคราะห์สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป โดยมองถึงความจำเป็นในการใช้แรงงานในอนาคต และความสามารถของแรงงานในปัจจุบัน รวมถึงความท้าทายทางวัฒนธรรมและพฤติกรรมในองค์กร 3. เน้นเสริมทักษะใหม่และปรับปรุงทักษะเดิมควบคู่กัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการทำงานของพนักงาน และสามารถทำงานร่วมกับเครื่องจักรได้มากขึ้น การปรับปรุงทักษะที่มีอยู่เดิมช่วยให้พนักงานสามารถทำงานในหน้าที่ใหม่ๆ และสร้างความยืดหยุ่นกับองค์กร 4. วางพื้นฐานวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง พนักงานจะเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ได้ต่อเมื่อการยกระดับทักษะและวัฒนธรรมองค์กรมีความสอดคล้องกัน พนักงานเป็นผู้กำหนดว่าต้องการพัฒนาทักษะใดมากที่สุด เพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการทำงานผ่านโปรแกรมการพัฒนาบุคลากร เพื่อเพิ่มพูนทักษะให้กับพนักงานและสร้างความพร้อมในการทำงานในอนาคต 5. สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ ปรับเป้าหมายการเรียนรู้และฝึกอบรมทักษะพนักงานให้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน โดยคำนึงถึงคุณภาพชีวิตและความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว และต้องให้พนักงานเห็นและเข้าใจว่า องค์กรจะอยู่เคียงข้างเพื่อช่วยพัฒนาให้มีความก้าวหน้า 6. ติดตามและวัดผล ผ่านการประเมินความพึงพอใจของลูกค้า ความสามารถในการดึงดูดพนักงานที่มีทักษะความสามารถ และวัดได้จากผลทางสังคมในแง่ภาพลักษณ์ขององค์กรที่คำนึงในเรื่องของการพัฒนาคนไปสู่โลกการทำงานในอนาคต
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_27563
Medical
ช่วยสรุปเรื่อง รังสีร่วมรักษาและวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง ด้วย ไบเพลน (Biplane Angiography) ได้ไหม
รังสีร่วมรักษาและวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง ด้วย ไบเพลน (Biplane Angiography) รังสีร่วมรักษา เป็นวิธีรักษาโรคหลอดเลือดสมองโดยใช้เครื่องมือตรวจพิเศษ เช่น เครื่องเอกซเรย์หลอดเลือด (Biplane Angiography) เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography) เครื่องอัลตราซาวน์ (Ultrasound) ส่องให้เห็นพยาธิสภาพภายในร่างกาย ซึ่งช่วยให้แพทย์มองเห็นภายในได้อย่างชัดเจนขึ้น และสามารถนำเครื่องมือขนาดเล็กต่าง ๆ ไปทำการตรวจหรือรักษาพยาธิสภาพอย่างแม่นยำ รังสีร่วมรักษาคืออะไร รังสีร่วมรักษา คือ การตรวจและรักษาโรคโดยทีมรังสีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมด้วยเครื่องมือทางรังสีที่มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย 2 สาขาคือ รังสีร่วมรักษาระบบประสาทและรังสีร่วมรักษาส่วนลำตัว รังสีร่วมรักษาระบบประสาท คือ การตรวจและรักษาโรคทางสมองและประสาทไขสันหลัง เช่น โรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง โรคหลอดเลือดสมองตีบ-อุดตัน โรคหลอดเลือดปานในสมอง ความผิดปกติของเส้นเลือดและกระดูกสันหลังในระบบประสาทไขสันหลัง รังสีร่วมรักษาส่วนลำตัว คือ การตรวจและรักษาโรคในส่วนของลำตัว เช่น การรักษามะเร็งตับ โรคหลอดเลือดโป่งพอง โรคหลอดเลือดตีบ โรคหลอดเลือดแดงและดำผิดปกติ การเจาะระบายของเสียภายในร่างกาย การเจาะระบายถุงน้ำดี ภาวะเลือดออกในระบบทางเดินหายใจ หรือระบบทางเดินอาหาร ภาวะเลือดออกเฉียบพลันจากอุบัติเหตุ และการเจาะชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรว การรักษาของรังสีร่วมรักษาเป็นอย่างไร การรักษาของรังสีร่วมรักษาจะใช้อุปกรณ์เฉพาะทางขนาดเล็ก เช่น การใช้สายสวนหลอดเลือด ซึ่งสามารถใส่ผ่านหลอดเลือดเพื่อไปยังรอยโรคตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้ และทำการตรวจและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งมีอุปกรณ์เฉพาะทางในการรักษาโรคเช่น ขดลวดอุดหลอดเลือด ขดลวดค้ำยันเส้นเลือด สารอุดหลอดเลือด บอลลูนขนาดเล็ก ไปจนถึงสามารถฉีดยาเคมีบำบัดผ่านทางสายสวนหลอดเลือดเพื่อให้ฤทธิ์ยาเกิดขึ้นเฉพาะตำแหน่งรอยโรคที่เดียวได้ และยังมีการรักษาอื่นๆ ที่ไม่ผ่านทางหลอดเลือด เช่น การใช้เข็มเจาะชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ การใช้เข็มให้ความร้อนเพื่อรักษามะเร็งตับ การเจาะระบายของเสียภายในร่างกาย ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กในตรวจและรักษา อุปกรณ์ทางรังสีร่วมรักษา นอกจากอุปกรณ์รักษาขนาดเล็กแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญในงานรังสีร่วมรักษา คือ อุปกรณ์ทางรังสีต่างๆ ได้แก่ เครื่องเอกซเรย์หลอดเลือด (Biplane Angiography) เป็นเครื่องมือสำหรับการตรวจทางรังสีวินิจฉัยหลอดเลือด ถือเป็นหัตถการทางรังสีวินิจฉัยที่เป็นมาตรฐานในการตรวจวินิจฉัยหลอดเลือด ซึ่งให้ความถูกต้องและแม่นยำ เป็นหัตถการอย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์เฉพาะทางโรคหลอดเลือดสมองและระบบประสาท และทางรังสีในการวินิจฉัยรักษา รวมทั้งในผู้ป่วยบางรายที่พบรอยโรคและไม่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด หรือมีความเสี่ยงสูงหากทำการผ่าตัด เช่น ในผู้ป่วยสูงอายุ คนไข้ที่ดมยาสลบนานไม่ได้ ผู้ป่วยโรคปอด ฯลฯ เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography) ให้ภาพเสมือนจริง เป็นภาพ 3 มิติ ช่วยให้เห็นพยาธิสภาพของเส้นเลือดในส่วนต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน เครื่องอัลตราซาวน์ (Ultrasound) ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้สามารถสร้างภาพอวัยวะภายในร่างกายระหว่างการรักษาได้ พร้อมด้วย software ที่ทันสมัยที่สามารถใช้ตรวจหา และวิเคราะห์รอยโรคต่างๆ ได้ ทำให้เกิดความแม่นยำ และ ลดข้อผิดพลาดในการรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้หลังการรักษาจะมีแผลจากการรักษาขนาดเล็ก และภาวะแทรกซ้อนต่ำ ใช้เวลาพักฟื้นสั้น สามารถเป็นทางเลือกการรักษาโดยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ได้ ซึ่งจะใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า
รังสีร่วมรักษาและวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง ด้วย ไบเพลน (Biplane Angiography) รังสีร่วมรักษา คือ การตรวจและรักษาโรคโดยทีมรังสีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมด้วยเครื่องมือทางรังสีที่มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย 2 สาขาคือ รังสีร่วมรักษาระบบประสาทและรังสีร่วมรักษาส่วนลำตัว รังสีร่วมรักษาระบบประสาท คือ การตรวจและรักษาโรคทางสมองและประสาทไขสันหลัง เช่น โรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง โรคหลอดเลือดสมองตีบ-อุดตัน โรคหลอดเลือดปานในสมอง ความผิดปกติของเส้นเลือดและกระดูกสันหลังในระบบประสาทไขสันหลัง การรักษาของรังสีร่วมรักษาจะใช้อุปกรณ์เฉพาะทางขนาดเล็ก เช่น การใช้สายสวนหลอดเลือด ซึ่งสามารถใส่ผ่านหลอดเลือดเพื่อไปยังรอยโรคตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้ และทำการตรวจและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งมีอุปกรณ์เฉพาะทางในการรักษาโรคเช่น ขดลวดอุดหลอดเลือด ขดลวดค้ำยันเส้นเลือด สารอุดหลอดเลือด บอลลูนขนาดเล็ก ไปจนถึงสามารถฉีดยาเคมีบำบัด เครื่องเอกซเรย์หลอดเลือด (Biplane Angiography) เป็นเครื่องมือสำหรับการตรวจทางรังสีวินิจฉัยหลอดเลือด ถือเป็นหัตถการทางรังสีวินิจฉัยที่เป็นมาตรฐานในการตรวจวินิจฉัยหลอดเลือด ซึ่งให้ความถูกต้องและแม่นยำ เป็นหัตถการอย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์เฉพาะทางโรคหลอดเลือดสมองและระบบประสาท และทางรังสีในการวินิจฉัยรักษา รวมทั้งในผู้ป่วยบางรายที่พบรอยโรคและไม่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด หรือมีความเสี่ยงสูงหากทำการผ่าตัด เช่น ในผู้ป่วยสูงอายุ คนไข้ที่ดมยาสลบนานไม่ได้ ผู้ป่วยโรคปอด ฯลฯ
รังสีวิทยา (รังสีวิทยา) - Radiology,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_10383
Medical
โรคลมชักและโรคหลอดเลือดสมอง
โรคลมชักและโรคหลอดเลือดสมองมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ประมาณ 1 ใน 10 ของผู้ป๋วยผู้ใหญ่ที่เป็นโรค ลมชักมีสาเหตุมาจากโรคหลอดเลือดสมอง และมากถึง 1 ใน 4 ของผู้ป๋วยโรคลมชักที่อายุมากกว่า 65 ปีจะมีสาเหตุมาจาก โรคหลอดเลือดสมอง (post-stroke epilepsy) ในทางกลับกันผู้ป๋วยที่เป็นเริ่มเป็นโรคลมชักในวัยกลางคนและวัยสูงอายุ มีโอกาสที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมองในอนาคตสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 2-3 เท่า (pre-stroke epilepsy) สมมติฐานที่ อธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าผู้ป๋วยโรคลมชักอาจมีพยาธิสภาพของเส้นเลือดขนาดเล็ก (microangiopathy) ซึ่งเป็น ป้จจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองในอนาคต และอาการชักอาจนับเป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (biomarker) ของโรคหลอด เลือดสมองประเภทหนึ่ง เมื่อผู้ป๋วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เซลล์ประสาทที่ได้รับอันตรายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและเมแทบอลิซึม ส่งผลให้การทำงานของวงจรประสาทผิดปกติไปเกิดเป็นอาการชักขึ้นมาได้ เราจัดกลุ่มอาการชักประเภทนี้ว่าเป็นอาการชัก ตามอาการเฉียบพลัน (acute symptomatic seizure) ผู้ป๋วยที่มีอาการชักประเภทนี้อาจจะไม่ได้เป็นโรคลมชักในอนาคต โดยทาง International League Against Epilepsy (ILAE) ได้กำหนดให้อาการชักตามอาการเฉียบพลันคืออาการชักเกิด ขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่มีการบาดเจ็บต่อระบบประสาทส่วนกลาง (CNS insult) อุบัติการณ์ของอาการชักตามอาการเฉียบพลันหลังจากที่ผู้ป๋วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3-6 โดยผู้ป๋วยที่มีภาวะเลือดออกในโพรงกะโหลกศีรษะ เช่น เลือดออกในเนื้อสมอง (intraparenchymal hemorrhage) หรือ เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง (subarachnoid hemorrhage) อาจมีอุบัติการณ์ของอาการชักตามอาการเฉียบพลัน ได้สูงถึงร้อยละ 10-16 ทั้งนี้ผู้ป๋วยจำนวนมากอาจไม่มีอาการชักปรากฏให้เห็นชัดเจน (non-convulsive seizures) และ ต้องได้รับการวินิจฉัยด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองต่อเนื่อง (continuous EEG monitoring) เท่านั้น
โรคลมชักและโรคหลอดเลือดสมองมีความสัมพันธ์กัน 1 ใน 10 ผู้ป่วยโรคลมชักเกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง และ 1 ใน 4 ผู้ป่วยโรคลมชักที่มีอายุมากกว่า 65 ปีเกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง (post-stroke epilepsy) ผู้ป่วยโรคลมชักในวัยกลางคนและวัยสูงอายุมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมองในอนาคตสูง 2-3 เท่า (pre-stroke epilepsy) ซึ่งเชื่อว่าพยาธิสภาพของเส้นเลือดขนาดเล็ก (microangiopathy) อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองในอนาคต และอาการชักอาจเป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (biomarker) ของโรคหลอดเลือดสมอง เมื่อผู้ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เซลล์ประสาทที่เสียหายมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและเมแทบอลิซึม ทำให้เกิดอาการชัก ประเภทนี้เรียกว่าอาการชักตามอาการเฉียบพลัน (acute symptomatic seizure) โดย ILAE นิยามว่าเกิดภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากบาดเจ็บต่อระบบประสาทส่วนกลาง (CNS insult) อุบัติการณ์ชักในกรณีโรคหลอดเลือดสมองสามารถเกิดขึ้นในร้อยละ 3-6 แต่ผู้ป่วยบางคนอาจไม่แสดงอาการชักอย่างชัดเจน (non-convulsive seizures) และต้องใช้ continuous EEG monitoring ในการวินิจฉัย
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_22387
Medical
หญ้างวงช้างมีสรรพคุณอะไรบ้าง และใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง?
หญ้างวงช้าง หญ้างวงช้าง ชื่ออื่น หงายงวงช้าง ศรีราชาหญ้างวงช้างน้อย พายัพกุนอกาโม มลายูตานี ไต่บ๋วยเอี้ยวเฉี่ยผี่เช่าเงียวบ๋วยเช่า จีน ชื่อวิทยาศาสตร์ Heliotropium indicum L วงศ์ Boraginaceae ลักษณะต้น เป็นพืชล้มลุกเกิดตอนฤดูฝน ถึงหน้าแล้งตาย สูง 15-50 เซนติเมตร มีขนหยาบๆ ปกคลุมทั้งต้น ใบ ออกสลับกัน ลักษณะทรงกลมรีหรือป้อมๆ ปลายใบแหลมสั้น กลางใบกว้างออก ฐานใบเรียวต่อลงมาถึงก้านใบ ตัวใบยาว 3-8 เซนติเมตร มีขน ผิวใบมีรอยย่นขรุขระ ขอบใบมีรอยหยักเป็นคลื่น ช่อดอกเกิดที่ยอดหรือซอกใบ ยาว 3-10 เซนติเมตร ดอก เกิดอยู่ทางด้านบนด้านเดียว บานจากโคนไปปลายช่อดอก ปลายช่อโค้งงอคล้ายงวงช้างชูขึ้น กลีบเลี้ยงสีเขียว มี 5 กลีบ กลีบดอกสีฟ้าใกล้ขาวติดกันเป็นหลอด ที่ขอบมีรอยแยกตื้นๆ แบ่งเป็น 5 กลีบบานออกกลีบดอก ประมาณ 5 มิลลิเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 3-35 มิลลิเมตร มีเกสรตัวผู้ 5 อันติดอยู่ ด้านในมีก้านเกสรตัวเมีย 1 อัน รังไข่เป็นรูปจานแบนๆ ผลยาว 4-5 มิลลิเมตร เกิดจากการที่รังไข่ 2 อันรวมตัวติดกัน มักพบตามที่ชื้นแฉะ เช่น ตามริมแม่น้ำ ลำคลอง หรือทางน้ำ แหล่งน้ำต่างๆ ท้องนาหรือตามที่รกร้างต่างๆ ตามวัดวาอารามทั่วๆ ไป และมีปลูกเก็บมาขายเป็นยาสดตามสวนยาจีนต่างๆ การเก็บมาใช้ เก็บทั้งต้นที่เจริญเต็มที่ มีดอก ล้างให้สะอาด ใช้สดหรือตากแห้ง เก็บเอาไว้ใช้ก็ได้ สรรพคุณ ทั้งต้น รสขมสุขุม ใช้เป็นยาเย็น แก้กระหายน้ำ ดับร้อนใน ขับปัสสาวะ แก้บวม แก้พิษปอดอักเสบ มีหนองในช่องหุ้มปอด เจ็บคอ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เด็กตกใจในเวลากลางคืนบ่อยๆ ปากเปื่อย แผลบวม มีหนอง และแก้ตาฟาง วิธีและปริมาณที่ใช้ กิน ใช้ยาสดหนัก 30-60 กรัมต้มกิน หรือคั้นเอาน้ำมาผสมน้ำผึ้งกิน ใช้ภายนอก ต้มเอาน้ำชะล้าง หรือคั้นเอาน้ำมาอมบ้วนปาก ข้อห้ามใช้ หญิงมีท้องห้ามกิน ตำรับยา 1 แก้ปวดท้อง ใช้ต้นนี้สดหนัก 30-60 กรัมต้มน้ำกิน 2 แก้ปอดอักเสบปอด มีฝีเป็นหนองมีหนอง ในช่องหุ้มปอด ใช้ทั้งต้นสด 60 กรัม ต้มผสมน้ำผึ้งกิน หรือใช้ทั้งต้นสด 60-120 กรัม ตำคั้น เอาน้ำมาผสมน้ำผึ้งกิน 3 แก้ปากเปื่อยเน่า ใช้ใบสดตำคั้นเอาน้ำอมบ้วนปากวันละ 4-6 ครั้ง 4 แก้แผลฝีเม็ดเล็กๆ มีหนอง ใช้รากสด 60 กรัม ผสมเกลือเล็กน้อย ต้มน้ำกิน แล้วใช้ใบสดตำกับข้าวเย็นพอแผลอีกด้วย รายงานผลทางคลินิกของจีน ใช้แก้แผลมีหนอง ฝีเม็ดเล็กๆ ใช้ทั้งต้นแห้งหนัก 50 กรัม หั่นเป็นฝอยผสมน้ำ 1000 กรัม ใช้ไฟอ่อนต้มจนเหลือ 500 มิลลิกรัม แบ่งกินครั้งละ 20 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เด็กก็ลดปริมาณลงตามส่วน จากคนไข้ 213 ราย กินยา 1-3 วัน หาย 73 ราย กินยา 4-5 วัน หาย 96 ราย กินยา 6-10 วัน หาย 52 รายกินยา 10 วันขึ้นไป หาย 28 ราย จากการทดสอบเบื้องต้น พบว่ายานี้มีผลต่อฝีเล็กๆ ที่เริ่มเป็นหนอง และระยะเริ่มเป็นหนองแล้ว มีเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว แต่ในระยะเริ่มเป็นจะใช้ได้ผลดีกว่า ผลทางเภสัชวิทยา น้ำสกัดจากรากต้นนี้ มีผลลดความดันโลหิตและทำให้หายใจแรงขึ้นเมื่อฉีดเข้าหลอดเลือดดำของแมวที่ทำให้สลบแต่มีผลลดการเต้นของหัวใจคางคกที่แยกออกจากตัว ซึ่งส่วนทีสกัดจากแอลกอฮอล์ไม่มีผลอันนี้ นอกจากนั้นส่วนที่สกัดด้วยน้ำไม่มีผลเด่นชัดต่อกล้ามเนื้อลำไส้เล็กของหนูที่แยกออกมาจากตัว แต่ต่อลำไส้เล็กของกระต่ายที่แยกออกมาจากตัว ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัวลงได้มาก ส่วนที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์มีผลลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบที่ลำไส้เล็กของกระต่ายเท่านั้น ส่วนที่สกัดทั้งสองไม่มีผลต่อกล้ามเนื้อเรียบที่ท้องของคางคก แต่มีฤทธิ์กระตุ้นมดลูกของหนูใ
หญ้างวงช้างมีสรรพคุณดังนี้: แก้กระหายน้ำ ดับร้อนใน: หญ้างวงช้างมีรสขมสุขุม ช่วยดับกระหาย แก้อาการร้อนในร่างกาย ขับปัสสาวะ: ช่วยขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำ แก้พิษปอดอักเสบ: ช่วยรักษาอาการปอดอักเสบที่มีหนอง แก้เจ็บคอ: ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ แก้โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ: ช่วยบรรเทาอาการโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ แก้เด็กตกใจกลางคืน: ช่วยให้นอนหลับสบาย ไม่สะดุ้งตื่นบ่อย แก้ปากเปื่อย แผลบวม มีหนอง: ช่วยรักษาอาการปากเปื่อย แผลบวม มีหนอง แก้ตาฟาง: ช่วยบรรเทาอาการตาฟาง วิธีใช้: กิน: ต้มต้นหญ้างวงช้างสด 30-60 กรัมกับน้ำ ดื่มน้ำต้ม หรือคั้นเอาน้ำผสมน้ำผึ้งกิน ใช้ภายนอก: ต้มต้นหญ้างวงช้างสดกับน้ำ ชะล้างแผล หรือคั้นเอาน้ำอมบ้วนปาก ข้อห้ามใช้: หญิงมีครรภ์ห้ามกิน ตำรับยา: แก้ปวดท้อง: ต้มต้นหญ้างวงช้างสด 30-60 กรัมกับน้ำ ดื่มน้ำต้ม แก้ปอดอักเสบปอด มีฝีเป็นหนองมีหนอง ในช่องหุ้มปอด: ต้มต้นหญ้างวงช้างสด 60 กรัมกับน้ำผึ้ง ดื่มน้ำต้ม หรือต้มต้นหญ้างวงช้างสด 60-120 กรัม คั้นเอาน้ำผสมน้ำผึ้งกิน แก้ปากเปื่อยเน่า: คั้นเอาน้ำจากใบสดอมบ้วนปาก 4-6 ครั้งต่อวัน แก้แผลฝีเม็ดเล็กๆ มีหนอง: ตำรากสด 60 กรัม ผสมเกลือเล็กน้อย ต้มน้ำกิน แล้วใช้ใบสดตำกับข้าวเย็นทาแผล ผลทางคลินิก: รักษาแผลมีหนอง ฝีเม็ดเล็กๆ: ใช้ทั้งต้นแห้ง 50 กรัม หั่นเป็นฝอย ต้มกับน้ำจนเหลือ 500 มิลลิกรัม แบ่งกินครั้งละ 20 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง พบว่า 73% หายภายใน 1-3 วัน 96% หายภายใน 4-5 วัน 52% หายภายใน 6-10 วัน และ 28% หายภายใน 10 วันขึ้นไป ผลทางเภสัชวิทยา: น้ำสกัดจากรากหญ้างวงช้างมีผลลดความดันโลหิตและทำให้หายใจแรงขึ้น น้ำสกัดจากรากหญ้างวงช้างมีผลลดการเต้นของหัวใจ สารสกัดจากแอลกอฮอล์ของหญ้างวงช้างมีผลลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบที่ลำไส้เล็ก
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_26599
Medical
ประสิทธิภาพการปกป้องผิวหนังเรียงจากน้อยไปมากคืออย่างไร
ถ้าเรียงตาม ประสิทธิภาพการปกป้องผิวหนังจากน้อยไปมากจะเป็นดังนี้ โลชั่น ครีม น้ำมัน และขี้ผึ้ง ซึ่งหมายความ ว่า โลชั่นมีคุณสมบัติปกป้องผิวน้อยกว่าครีม ครีมมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวน้อยกว่าน้ำมัน และน้ำมันมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวน้อยกว่าขี้ผึ้ง แสดงว่าถ้าเป็นเล็กๆ น้อยๆ หรือผิวเริ่มแตกหรืออากาศไม่หนาวเย็นแห้งมาก ก็สามารถจะใช้โลชั่นหรือครีมก็ได้ผลดี แต่ถ้าเป็นมากๆ หรือผิวแตก คัน และอักเสบมาก อาจต้องใช้น้ำมันหรือขี้ผึ้ง ที่จะช่วยปกป้องความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้โลชั่นหรือครีมจะมีการปกป้องความชื้นของผิวหนังได้พอควรไม่มากเท่ากับการ ทาผิวหนังด้วยขี้ผึ้งหรือน้ำมัน แต่การใช้ครีมหรือโลชั่นก็ให้ความรู้สึกสบายผิวหนัง ไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนการใช้ขี้ผึ้งหรือน้ำมัน บางกรณีผิวหนังอาจแห้ง แตก คัน และอักเสบได้ ถ้าเป็นเล็กๆ น้อยๆ การดูแลตนเองด้วยการหาครีม โลชั่น ขี้ผึ้ง หรือน้ำมันมาทา ณ ตำแหน่งที่เป็น ก็จะช่วยบรรเทา อาการได้อย่างดี แต่ถ้าอาการเหล่านี้ไม่ดีขึ้นหรืออาการรุนแรงมากขึ้น มีอาการคันอย่างมาก จนอดเกาไม่ได้ และมีการอักเสบ ก็อาจจะต้องใช้ยาทาผิวหนังลดการอักเสบเพื่อรักษาอาการดังกล่าว ยารักษาอาการผิวแห้ง แตก คัน และอักเสบ ถ้ามีอาการรุนแรงมากขึ้นถึงขั้นมีอาการคันรุนแรง จนอดเกาไม่ได้ และมีอาการอักเสบของผิวหนัง โดยสังเกตจากอาการบวม แดง ผิวหนังจะยกตัวนูนขึ้น เป็นผื่นหรือเป็นตุ่ม และอาจมีน้ำเหลืองด้วย กรณีนี้จะแนะนำให้ใช้ยาครีมสเตียรอยด์ ซึ่งมีความแรงของยาแตกต่างกัน เด็กอาจแนะนำให้ใช้ยาครีมสเตียรอยด์ ชื่อครีมเพร็ดนิโซโลน prednisolone cream ทาบริเวณที่ผิวแตก แห้ง คัน และอักเสบ วันละ ๒-๓ ครั้ง หลังอาบน้ำ เช้า-เย็น หลังจากใช้ยาไปประมาณ ๓-๕ วัน อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้น ผู้สูงอายุอาจแนะนำยาครีมเพร็ดนิโซโลนเหมือนกับที่ใช้ในเด็กทาบริเวณที่ผิวแตก แห้ง คัน และอักเสบ วันละ ๒-๓ ครั้ง หลังอาบน้ำ เช้า-เย็น เช่นเดียวกัน ซึ่งหลังจากใช้ยาไปประมาณ ๓-๕ วัน อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่รายที่มีความรุนแรงมากขึ้น มีการอักเสบ บวม แดง คันมากขึ้น ก็อาจใช้ยาครีมสเตียรอยด์ชื่อครีมบีตาเมทาโซน betamethasone cream ก็ได้ผลดียิ่งขึ้น อนึ่ง การใช้ยาครีมสเตียรอยด์ทั้งสองชนิดนี้ เป็นยา ที่ได้ผลดี ลดอาการคันและอักเสบของผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อหายดีแล้วก็ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานๆ โดยไม่จำเป็น เพราะอาจจะเกิดผลเสียต่อผิวหนัง ที่อันตรายได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้ติดต่อกันนานๆ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร ไม่ควรใช้ยาชนิดนี้ติดต่อกันนานๆ ด้วยตนเอง การทำความสะอาดผิวแห้งและแตก อีกปัญหาหนึ่งที่พบได้บ่อยเรื่องผิวหนังแห้งและแตก คือ การดูแลทำความสะอาดของผิวหนัง ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมีความเชื่อว่า มื่อมีอาการคันที่ผิวหนัง แสดงว่าเกิดความผิดปกติของผิวหนังขึ้น และคิดว่า เกิดความไม่สะอาด เกิดการติดเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อรา เมื่อมีความเชื่อเช่นนี้ คนส่วนใหญ่จะแก้ปัญหานี้ ๒ แบบคือเพิ่มการฟอกสบู่และใช้ยาแก้เชื้อรา เพิ่มการฟอกสบู่เพื่อความสะอาดของผิวจริงหรือ เริ่มต้นด้วยการดูแลทำความสะอาดบริเวณที่คันมากยิ่งขึ้น เพื่อทำความสะอาดและขจัดเชื้อโรคนั้นออก ไป ด้วยการฟอกสบู่มากขึ้น หลายครั้งยิ่งขึ้น ในบางคนอาจเปลี่ยนไปใช้สบู่ที่แรงขึ้น เช่น สบู่ยา สบู่ที่มีวิธีส่วนผสมของตัวยา เป็นต้น บางคนอาจนำแอลกอฮอล์มาเช็ดเพื่อทำความสะอาดมากยิ่งขึ้น แปลกแต่จริง ยิ่งทำความสะอาดด้วยการฟอกสบู่ สบู่ยา แอลกอฮอล์มากยิ่งขึ้นเท่าใด ผลปรากฏว่าผิวหนังก็จะยิ่งแห้ง แตก คัน และอักเสบมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ดังนั้น การดูแลตนเองด้วยการฟอกสบู่ สบู่ยา หรือแอลกอฮอล์ เพื่อทำความสะอาดหรือกำจัดเชื้อโรคร้ายออกไป กลับทำให้ผิวแห้ง แตก คัน และอักเสบแย่ลงไป หรือรุนแรงกว่าเดิม ยิ่งทำความสะอาดด้วยวิธีนี้ ยิ่งแห้ง ยิ่งคัน ยิ่งแตก และยิ่งอักเสบ ดังนั้น จึงเสนอให้เลิก การดูแลทำความสะอาดผิวหนังของตนเองด้วยวิธีนี้ ซึ่งเป็นการซ้ำเติมโรคผิวหนังให้แย่ลงไปอีก เมื่อเข้าใจผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการฟอกล้างเช่นนี้ จึงขอให้หยุดการฟอกล้างที่รุนแรง และขอให้ดูแลผิวตามปกติ หรืออาจลดการชะล้างฟอกสบู่ลงบ้างในช่วงที่อากาศแห้ง หรือเลือกใช้สบู่เด็กที่อ่อนกว่า หรือสบู่ที่มีส่วนผสมของครีมในเนื้อของสบู่ หรือหลังอาบน้ำเสร็จก็หาครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวช่วยอีกด้านหนึ่งก็ดี อาการคันของผิวหนัง เกิดจากเชื้อราจริงหรือ อีกความเชื่อหนึ่งคือ อาการคันที่ผิวหนัง น่าจะเกิดจากเชื้อโรค และเชื้อที่เป็นต้นเหตุ คือ เชื้อราŽ ซึ่งเป็น ความเชื่อที่ผิดŽ ไม่ถูกต้องเสมอไป ทั้งนี้เพราะอาการคันที่ผิวหนังมีสาเหตุทั้งเกิดจากเชื้อราและเกิดจากสาเหตุ อื่นๆ ที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อรา กรณีที่ผิวแห้ง แตก คัน และอักเสบจากอาการแห้ง นี้ ไม่ได้มีสาเหตุจากเชื้อราแน่นอน ถ้าผู้ป่วยไปใช้ยาแก้เชื้อราก็อาจจะไม่ได้ผล หรืออาจจะได้ผลเพียงเล็กน้อยจากตัวครีมของยาแก้เชื้อรา ไม่ใช่ได้ผลจากตัวยาแก้เชื้อรา ถ้าเป็นผิวแห้ง แตก คัน ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาแก้เชื้อรา เพราะไม่ใช่สาเหตุและไม่ได้ผลคุ้มค่าการ รักษา สำหรับอาการคันที่ผิวหนังกรณีอื่นๆ อาจเกิดจากเชื้อราหรือไม่ใช่เชื้อราก็ได้ กรณีนี้จะต้องไปปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือเภสัชกร เพื่อให้ได้ใช้ยาที่ถูกต้อง คุ้มค่า บรรเทา รักษาอาการให้ตรงโรค หายไว ทันใจ หยุดการเกาเมื่อเกิดอาการคันที่ผิวหนัง เกา เมื่อมีอาการคัน เป็นสัญชาตญาณของทุกคนที่มักจะเกาเพื่อกำจัดสิ่งผิดปกติที่ผิวหนังออกไปให้ ได้ แต่โรคผิวหนังมันฝังลึกในชั้นผิวหนัง การเกามากๆ บ่อยๆ แรงๆ กลับทำให้เกิดการระคายเคือง เกิดการอักเสบ และอาจเกิดเป็นแผลที่ผิวหนังได้ เป็นการซ้ำเติม ความรุนแรงของโรคให้แย่ลง ลุกลามมากขึ้น ยิ่งคันก็ยิ่งเกา ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน วนเวียนเป็นวัฏจักร ยิ่งลุกลาม รุนแรงมากยิ่งขึ้น จึงควรหยุดวงจรอุบาทว์นี้ ด้วยการตั้งสติ ชะลอการเกา ด้วยการลูบเบาๆ หรือหยุดละเลิกการเกาได้ยิ่งดี เพื่อลดการซ้ำเติมความรุนแรง บรรเทาอาการให้ลดน้อยลง การรักษาจะได้ผลดีขึ้น
โลชั่น ครีม น้ำมัน และขี้ผึ้ง ซึ่งหมายความ ว่า โลชั่นมีคุณสมบัติปกป้องผิวน้อยกว่าครีม ครีมมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวน้อยกว่าน้ำมัน และน้ำมันมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวน้อยกว่าขี้ผึ้ง แสดงว่าถ้าเป็นเล็กๆ น้อยๆ หรือผิวเริ่มแตกหรืออากาศไม่หนาวเย็นแห้งมาก ก็สามารถจะใช้โลชั่นหรือครีมก็ได้ผลดี แต่ถ้าเป็นมากๆ หรือผิวแตก คัน และอักเสบมาก อาจต้องใช้น้ำมันหรือขี้ผึ้ง ที่จะช่วยปกป้องความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้โลชั่นหรือครีมจะมีการปกป้องความชื้นของผิวหนังได้พอควรไม่มากเท่ากับการ ทาผิวหนังด้วยขี้ผึ้งหรือน้ำมัน แต่การใช้ครีมหรือโลชั่นก็ให้ความรู้สึกสบายผิวหนัง ไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนการใช้ขี้ผึ้งหรือน้ำมัน บางกรณีผิวหนังอาจแห้ง แตก คัน และอักเสบได้ ถ้าเป็นเล็กๆ น้อยๆ การดูแลตนเองด้วยการหาครีม โลชั่น ขี้ผึ้ง หรือน้ำมันมาทา ณ ตำแหน่งที่เป็น ก็จะช่วยบรรเทา อาการได้อย่างดี แต่ถ้าอาการเหล่านี้ไม่ดีขึ้นหรืออาการรุนแรงมากขึ้น มีอาการคันอย่างมาก จนอดเกาไม่ได้ และมีการอักเสบ ก็อาจจะต้องใช้ยาทาผิวหนังลดการอักเสบเพื่อรักษาอาการดังกล่าว ยารักษาอาการผิวแห้ง แตก คัน และอักเสบ ถ้ามีอาการรุนแรงมากขึ้นถึงขั้นมีอาการคันรุนแรง จนอดเกาไม่ได้ และมีอาการอักเสบของผิวหนัง โดยสังเกตจากอาการบวม แดง ผิวหนังจะยกตัวนูนขึ้น เป็นผื่นหรือเป็นตุ่ม และอาจมีน้ำเหลืองด้วย
ผิวหนัง Dermatology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_10608
Medical
สรุปบทความเรื่อง ท่อไต ให้หน่อย
ท่อไต หลอดไต Ureter โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ Urinary tract infection นิ่วในท่อไต Ureteric stone ปวดท้อง Abdominal pain กายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบทางเดินปัสสาวะ Anatomy and physiology of Urinary tract ปวดเอว Flank pain ท่อไต หรือ หลอดไตUreter เป็นอวัยวะหนึ่งในระบบทางเดินปัสสาวะ มีลักษณะเป็นท่อเล็กยาวที่มีทั้งดานซ้ายและด้านขวา โดยเป็นท่อเชื่อมต่อระหว่างไตซ้ายกับกระเพาะปัสสาวะด้านซ้าย และไตขวากับกระเพาะปัสสาวะด้านขวา มีขนาดความยาวข้างละประมาณ 25-30 เซนติเมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4 มิลลิเมตร มีหน้าที่ในการนำส่งปัสสาวะจากไตเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ ทั้งนี้ ท่อไต เป็นอวัยวะอยู่หลังสุดของลำตัวส่วนช่องท้อง แต่อยู่ภายนอกโพรงช่องท้อง ซึ่งโรคของท่อไต มักก่ออาการปวดท้องแบบปวดบีบ และหรือปวดหลังที่ร้าวลงมายังหน้าขาด้านที่มีโรคของท่อไต ท่อไต เป็นอวัยวะไม่สำคัญต่อการดำรงชีวิต จึงสามารถผ่าตัดออกได้โดยไม่จำเป็นต้องปลูกถ่ายอวัยวะท่อไตชดเชย โดยแพทย์จะใส่สายท่อจากไตมาเปิดเป็นถุงปัสสาวะเทียมหน้าท้องหรืออยู่ในช่องท้องน้อยแทน โรคของท่อไตที่พบบ่อย คือ โรคนิ่วในท่อไต ส่วนโรคมะเร็งท่อไตเป็นโรคที่พบได้น้อยมากๆ
ท่อไต หรือ หลอดไต อยู่ในระบบทางเดินปัสสาวะ มีลักษณะเป็นท่อเล็กยาวที่มีทั้งดานซ้ายและด้านขวา เป็นท่อเชื่อมต่อระหว่างไตกับกระเพาะปัสสาวะ ยาวข้างละประมาณ 25-30 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4 มิลลิเมตร มีหน้าที่ในการนำส่งปัสสาวะจากไตเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ ท่อไต เป็นอวัยวะไม่สำคัญต่อการดำรงชีวิต จึงสามารถผ่าตัดออกได้โดยไม่จำเป็นต้องปลูกถ่ายอวัยวะท่อไตชดเชย โรคของท่อไตที่พบบ่อย คือ โรคนิ่วในท่อไต
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_10456
Medical
สรุปบทความเรื่อง คอหอยส่วนปาก ให้หน่อย
คอหอยส่วนปาก Oropharynx คอหอยส่วนปาก คือเนื้อเยื่อชนิดต่างๆที่อยู่ในลำคอช่วงเป็นรอยต่อระหว่างช่องปากกับลำคอ โดยประกอบด้วยเนื้อเยื่อสำคัญ คือ ทอนซิล ต่อมทอนซิล เพดานอ่อน ลิ้นไก่ โคนลิ้น นอกจากนั้นยังมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทั่วไปที่มีในทุกอวัยวะ คือ กล้ามเนื้อ หลอดเลือด เส้นประสาท และเนื้อเยื่อระบบน้ำเหลือง คอหอยส่วนปากมีหน้าที่ เป็นทางผ่านของอาหารและอากาศ ช่วยการหายใจ การออกเสียง และการกลืน เนื้อเยื่อส่วนนี้ จัดเป็นเนื้อเยื่อในระบบหูคอจมูก หรือระบบศีรษะและลำคอ โดยพบโรคต่างๆได้เช่นเดียวกับโรคของช่องปาก และระบบทางเดินหายใจ เช่น การอักเสบติดเชื้อ ทั้งจาก แบคทีเรีย เชื้อไวรัส และจากเชื้อรา และโรคมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งต่อมทอนซิล โรคมะเร็งโคนลิ้น เป็นต้น
คอหอยส่วนปาก คือเนื้อเยื่อชนิดต่างๆที่อยู่ในลำคอช่วงเป็นรอยต่อระหว่างช่องปากกับลำคอ ประกอบด้วยเนื้อเยื่อสำคัญ คือ ทอนซิล ต่อมทอนซิล เพดานอ่อน ลิ้นไก่ โคนลิ้น มีหน้าที่ เป็นทางผ่านของอาหารและอากาศ ช่วยการหายใจ การออกเสียง และการกลืน โดยพบโรคต่างๆได้เช่นเดียวกับโรคของช่องปาก และระบบทางเดินหายใจ เช่น การอักเสบติดเชื้อ ทั้งจาก แบคทีเรีย เชื้อไวรัส และจากเชื้อรา และโรคมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งต่อมทอนซิล โรคมะเร็งโคนลิ้น เป็นต้น
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,โสต ศอ นาสิกวิทยา (โสต ศอ นาสิกวิทยา) - Otolaryngology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_10935
Medical
จงสรุปบทความเรื่อง โรคหลอดเลือด โรคของหลอดเลือด (Vascular disease)
Article Detail Home / Article / โรคหลอดเลือด โรคของหลอดเลือด (Vascular Disease) โรคหลอดเลือด โรคของหลอดเลือด (Vascular disease) โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์ 3 สิงหาคม 2558Tweetบทความที่เกี่ยวข้อง โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคท่อเลือดแดงและหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) โรคอัมพาต โรคอัมพฤกษ์ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โรคหัวใจ: โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease) หลอดเลือดขอด หลอดเลือดขาขอด หลอดเลือดดำขอด (Varicose vein) หลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) โรคหลอดเลือด โรคเส้นเลือด (Blood vessel disease) โรคหลอดเลือดขมับอักเสบ (Temporal Arteritis หรือ Giant Cell Arteritis) หลอดเลือดขอด หลอดเลือดขาขอด หลอดเลือดดำขอด (Varicose vein) โรคหลอดเลือด หลอดเลือดแดง (Artery) คือ หลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจ โดยเลือดแดงจะมีส่วนประกอบของออกซิเจนและสารอาหารสูง หลอดเลือดแดงจึงมีหน้าที่นำออกซิเจนและสารอาหารต่างๆเพื่อการหล่อเลี้ยงเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย ในขณะที่ หลอดเลือดดำ (Vein) จะเป็นหลอดเลือดที่มีหน้าที่นำคาร์บอนได้ออกไซด์และของเสียกลับเข้าสู่หัวใจ โรคของหลอดเลือดเป็นโรคที่เกิดกับผนังของหลอดเลือดเช่น ผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้นจนเกิดการอุดตันของทางเดินเลือดหรือผนังหลอดเลือดแข็งขาดการยืดหยุ่นส่งผลให้หลอดเลือดตีบแคบเล็กลง เลือดจึงไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆลดลง หรือผนังหลอดเลือดเกิดการอักเสบจึงเกิดเป็นลิ่มเลือดจึงส่งผลให้หลอดเลือดอุดตัน หรือผนังหลอดเลือดโป่งพองส่งผลให้หลอดเลือดแตก เกิดภาวะเลือดออกรุนแรง หรือผนังหลอดเลือดหย่อนยานจึงส่งผลให้เกิดการคั่งของเลือดในหลอดเลือดส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตไม่ดี เป็นต้น สาเหตุที่ทำให้เกิดพยาธิสภาพของหลอดเลือด สาเหตุที่ทำให้ผนังหลอดเลือดหนาแข็ง (โรคหลอดเลือดแดงแข็ง) เช่น ไขมันในเลือดสูง สาเหตุที่ทำให้ผนังหลอดเลือดอักเสบเช่น โรคเบาหวาน โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง การสูบบุหรี่ สาเหตุที่ทำให้ผนังหลอดเลือดโป่งพองเช่น โรคความดันโลหิตสูงหรือพันธุกรรม สาเหตุที่ทำให้ผนังหลอดเลือดหย่อนยานเช่น สูงอายุ อ้วน อาชีพที่ต้องยืนนานๆ (เช่น โรคหลอดเลือดขอด) ทั้งนี้โรคของหลอดเลือดที่พบบ่อยคือ โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดขอด และโรคหลอดเลือดอักเสบจากโรคเบาหวานและจากโรคออโตอิมมูน การป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดที่สำคัญคือ การป้องกันโรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน และการเลิกบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ ร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวันตามควรกับสุขภาพ บรรณานุกรม Vascular disease http://my.clevelandclinic.org/heart/disorders/vascular/whatis.aspx [2015,July18] Updated 2015, July 18 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์ วว.รังสีรักษา และเวชศาสตร์นิวเคลียร์
หลอดเลือดแดง (Artery) คือ หลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจ โดยเลือดแดงจะมีส่วนประกอบของออกซิเจนและสารอาหารสูง หลอดเลือดแดงจึงมีหน้าที่นำออกซิเจนและสารอาหารต่างๆเพื่อการหล่อเลี้ยงเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ในขณะที่ หลอดเลือดดำ (Vein) จะเป็นหลอดเลือดที่มีหน้าที่นำคาร์บอนได้ออกไซด์และของเสียกลับเข้าสู่หัวใจ โรคของหลอดเลือด เป็นโรคที่เกิดกับผนังของหลอดเลือด เช่น ผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้นจนเกิดการอุดตันของทางเดินเลือด หรือ ผนังหลอดเลือดแข็งขาดการยืดหยุ่น ส่งผลให้หลอดเลือดตีบแคบเล็กลง เลือดจึงไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆ ลดลง หรือ ผนังหลอดเลือดเกิดการอักเสบ จึงเกิดเป็นลิ่มเลือดจึงส่งผลให้หลอดเลือดอุดตัน หรือผนังหลอดเลือดโป่งพองส่งผลให้หลอดเลือดแตก เกิดภาวะเลือดออกรุนแรง หรือผนังหลอดเลือดหย่อนยานจึงส่งผลให้เกิดการคั่งของเลือดในหลอดเลือดส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตไม่ดี เป็นต้น สาเหตุที่ทำให้เกิดพยาธิสภาพของหลอดเลือด - สาเหตุที่ทำให้ผนังหลอดเลือดหนาแข็ง (โรคหลอดเลือดแดงแข็ง) เช่น ไขมันในเลือดสูง - สาเหตุที่ทำให้ผนังหลอดเลือดอักเสบเช่น โรคเบาหวาน โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง การสูบบุหรี่ - สาเหตุที่ทำให้ผนังหลอดเลือดโป่งพองเช่น โรคความดันโลหิตสูงหรือพันธุกรรม - สาเหตุที่ทำให้ผนังหลอดเลือดหย่อนยานเช่น สูงอายุ อ้วน อาชีพที่ต้องยืนนานๆ (เช่น โรคหลอดเลือดขอด) ทั้งนี้โรคของหลอดเลือดที่พบบ่อย คือ โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดขอด และโรคหลอดเลือดอักเสบจากโรคเบาหวานและจากโรคออโตอิมมูน การป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดที่สำคัญ คือ การป้องกันโรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน และการเลิกบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ ร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวันตามควรกับสุขภาพ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_13344
Medical
ข้อใดเป็นผลข้างเคียงของยาฟลูราซีแพมต่อกล้ามเนื้อ ระหว่าง กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ มีผื่นคัน
null
กล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะผลข้างเคียงของยาฟลูราซีแพมต่อกล้ามเนื้อ คือ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ส่วนมีผื่นคัน เป็นผลข้างเคียงของยาฟลูราซีแพมต่อผิวหนัง ยาฟลูราซีแพม (Flurazepam หรือ Flurazepam hydrochloride) เป็นยาอนุพันธ์ของยาเบนโซไดอะซิปีน (Benzodiazepine) สามารถออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเป็นระยะเวลานาน ทางคลินิกใช้เป็นยาคลายความวิตกกังวล ยับยั้งอาการโรคลมชัก ช่วยสงบประสาท/ยาคลายเครียด และเป็นยาคลายกล้ามเนื้อ ยานี้มีวางจำหน่ายครั้งแรกในปี ค.ศ. 1970 (พ.ศ.2513) รูปแบบยาแผนปัจจุบันที่พบเห็นของยานี้จะเป็นยาชนิดรับประทาน ด้วยตัวยาสามารถถูกดูดซึมจากระบบทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี ยาฟลูราซีแพมในกระแสเลือดจะจับกับพลาสมาโปรตีนได้ 97 % โดยประมาณ ยานี้สามารถซึมผ่านรกของมารดาได้ และร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 2.3 ชั่วโมง เพื่อกำจัดยานี้ออกจากกระแสเลือด โดยผ่านทิ้งไปกับปัสสาวะ ยาฟลูราซีแพม สามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)ต่อระบบอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ดังนี้ - ผลต่อระบบประสาท: เช่น ง่วงนอน วิงเวียน ปวดศีรษะ สับสน ตัวสั่น พูดไม่ชัด กระสับกระส่าย - ผลต่อการมองเห็น: เช่น มีอาการตาพร่า มองเห็นภาพซ้อน - ผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะ: เช่น มีอาการปัสสาวะขัด - ผลต่อสภาพจิตใจ: เช่น ซึมเศร้า พฤติกรรมเปลี่ยนไป ประสาทหลอน - ผลต่อตับ: ค่าบิลิรูบิน (Bilirubin)ในเลือดเพิ่มขึ้น ตัว/ตาเหลือง เอนไซม์การทำงานบางตัวของตับในเลือดสูงขึ้น เช่น Alkaline phosphatase, SGOT(Serum glutamic-oxaloacetic transaminase), SGPT (Serum glutamic-pyruvic transaminase) - ต่อระบบทางเดินอาหาร: เช่น อาเจียน คลื่นไส้ ท้องเสียหรือท้องผูก แสบร้อนกลางอก ปวดท้อง - ผลต่อผิวหนัง: เช่น เหงื่อออกมาก มีผื่นคัน - ผลต่อระบบเลือด: เช่น มีภาวะ Leukopenia(เม็ดเลือดขาวต่ำ) Granulocytopenia (เม็ดเลือดขาวชนิด Granulocyte ต่ำ) - ผลต่อกล้ามเนื้อ: เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง - อื่นๆ: เช่น ความรู้สึกทางเพศเสื่อม
เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_14560
Medical
การทำแท้ง (Abortion) ในทางการแพทย์ คืออะไร
เครื่องมือทำแท้ง แจ้งเกิดที่ร้านยา ตอนที่ 1 เครื่องมือทำแท้ง แจ้งเกิดที่ร้านยา ตอนที่ 1 ปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่ามีการขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ และยาทำแท้ง โดยไม่ได้รับอนุญาต ผลการตรวจสอบพบว่า มีการกระทำความผิดจริง จึงได้แจ้งข้อหาเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ เข้มงวดในเรื่องการจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ และขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และเพื่อไม่ให้มีการกระทำผิดกฎหมาย และถ้ามีการตรวจพบก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจังต่อไป การทำแท้ง Abortion ในทางการแพทย์ก็คือ การทำให้เกิดขยายตัวออก Dilation และการขับออก Evacuation or Extraction หรือ เรียกย่อๆว่า DE มีความหมายที่แท้จริงคือ การถ่างขยายของปากมดลูก Cervix และการขูดเอาเนื้อเยื่อที่อยู่ในมดลูก Uterus ออก ซึ่งก็คือหัตถการ Procedure ของการทำแท้งเพื่อป้องกันการการติดเชื้อ และเนื้อเยื่อในผนังด้านในของมดลูกถูกขูดออกไปอย่างสมบูรณ์ ในศูนย์ดูแลสุขภาพหลายแห่งอาจจะเรียกสิ่งนี้แตกต่างกัน เช่น การขูดลอกเนื้อเยื่อที่ค้างอยู่ภายในมดลูกออก Evacuation of Retained Product of Conception ERPOC การยุติการตั้งครรภ์ Termination of Pregnancy TOP หรือ STOP Surgical Termination of Pregnancy การทำแท้งโดยปกติส่วนใหญ่หมายถึงการทำให้สิ้นสุดการตั้งครรภ์ในไตรมาตรที่ 2 อย่างไรก็ตาม หลายแหล่งใช้ DE ในความหมายของหัตถการการทำแท้งที่เริ่มตั้งแต่ในไตรมาตรที่ 1 ที่ใช้เครื่องมือและเครื่องดูดสูญญากาศไฟฟ้า Electric vacuum aspiration ในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 11 ของการทำแท้งนั้น ทำกันในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาตรที่ 2 ซึ่งในปี พ.ศ. 2545 มีประมาณ 142000 คน การตั้งครรภ์ไตรมาตรที่ 2 เริ่มจากการตั้งครรภ์สัปดาห์ที่ 13 เป็นต้นไป ส่วนการตั้งครรภ์ไตรมาตรแรกและต้นไตรมาตรที่ 2 อาจยุติการตั้งครรภ์โดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศอย่างเดียว อย่างไรก็ตามบางครั้งในไตรมาตรที่ 2 อาจต้องใช้เครื่องมือเพื่อช่วยนำตัวอ่อนออกมา เครื่องมือในที่นี้คือการทำให้เกิดขยายตัวออก Dilation และการขับออก Evacuation หรือ DE การทำลายทารกในครรภ์ Feticide จะทำก่อนการผ่าตัดโดยการฉีดยาหยุดการเต้นของหัวใจ เนื้อเยื่อของตัวอ่อนที่ตายแล้วจะนุ่มขึ้น การทำ DE จะยากขึ้นหากอายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ เนื่องจากการฝังตัวที่เหนียวของเนื้อเยื่อตัวอ่อน DE จะทำในการตั้งครรภ์ไตรมาตรที่ 2 อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ปกติมีการใช้เครื่องดูดสูญญากาศ ในการขยายDilation และช้อนขูด Curette เรียกย่อๆว่า DC นั้น ใช้เครื่องมือผ่าตัดด้วย เช่น ปากคีบ Forceps แหล่งข้อมูล ภก. กรชัย ฉันทจิรธรรม เภสัชกร
การทำแท้ง (Abortion) ในทางการแพทย์ คือ การทำให้เกิดขยายตัวออก (Dilation) และการขับออก (Evacuation or Extraction) หรือ เรียกย่อๆ ว่า D&E มีความหมายที่แท้จริงคือ การถ่างขยายของปากมดลูก (Cervix) และการขูดเอาเนื้อเยื่อที่อยู่ในมดลูก (Uterus) ออก ซึ่งก็คือหัตถการ (Procedure) ของการทำแท้งเพื่อป้องกันการการติดเชื้อ และเนื้อเยื่อในผนังด้านในของมดลูกถูกขูดออกไปอย่างสมบูรณ์
นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology,สูติศาสตร์ (สูติศาสตร์) - Obstetrics
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11708
Medical
Antipruritic drug คือยาแก้คัน ใช่หรือไม่
null
ใช่ Antipruritic drug ส่วนใหญ่จะเป็นยาในกลุ่มยาต้านฤทธิ์สารที่ก่อให้เกิดอาการคันที่เรียกว่า ฮีสตามีน Histamine ซึ่งยาในกลุ่มนี้เรียกว่า ยาต้าน ฤทธิ์ ฮีสตามีน Antihistamine ซึ่งมีทั้งยากินและยาทา ยาต้านฮีสตามีน ปัจจุบันได้มีการจัดแบ่งประเภทของยาต้านฤทธิ์ฮีสตามีน Anti-Histamine ออกได้เป็น 3 รุ่น ดังนี้ 1. รุ่นที่ 1 First generation Sedating Antihistamine เป็นกลุ่มแอนตี้ฮีสตามีนที่ผ่าน เลือดและสมองได้ดี จึงมีฤทธิ์ข้างเคียง ผลข้างเคียง คือทำให้เกิดอาการง่วงซึม ง่วงนอน และยังมีผลข้างเคียงอื่นๆเช่น คอแห้ง ปากแห้ง ท้องผูก ปัสสาวะลำบากปัสสาวะขัด ตัวยาในกลุ่มนี้เช่น Chlopheniramine Hydroxyzine Tripolidine Brompheniramine ซึ่งข้อดีของยากลุ่มนี้คือ สามารถลดอาการน้ำมูกไหลได้ สามารถลดอาการคันได้ดีกว่ายาในรุ่นอื่นๆ 2. รุ่นที่ 2 Second generation Non-sedating Antihistamines ยากลุ่มนี้ได้พัฒนาเพื่อแก้จุดด้อยของยาในกลุ่มที่ 1 โดยมีจุดเด่น 3 ประการคือ ไม่ง่วง ออกฤทธิ์นานกว่า 12 ชั่วโมงจนถึงหลายวัน ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงกับตัวรับ Receptor ต่อฮีสตามีน ทำให้ได้ผลการรักษาได้ดีกว่ากลุ่มแรก ยากลุ่มนี้เช่น Loratadine Mequitazine Acrivastine Azelastine Ebastine Epinastine 3. รุ่นที่ 3 Third generation ยากลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยมีคุณสมบัติเหมือนรุ่นที่ 2 แต่ตัวยาออกฤทธิ์ได้โดยไม่ต้องผ่านการย่อยสลายที่ตับและลดผลข้างเคียงต่อหัวใจ ยาในกลุ่มนี้เช่น Fexofenadine Certirizine หลักการใช้ยาต้านฮีสตามีน ก. โรคภูมิแพ้ทางจมูก Allergic rhinitis ควรรักษาด้วยยาต้านฮีสตามีนในรุ่นที่ 2 ร่วมกับยาลดอาการคัดจมูก Decongestant และควรให้ยาพ่นจมูกพวก Corticosteroid เสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ข. เยื่อจมูกอักเสบที่ไม่ใช่ภูมิแพ้และโรคหวัด Non-allergic rhinitis Common cold ควรใช้ยาในกลุ่มต้านฮีสตามีนรุ่นที่ 1 เพราะสามารถลดน้ำมูกที่ไม่ได้เกิดจากสารฮีสตามีนได้ดีกว่าโดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับยาลดอาการคัดจมูก ค. การรักษาลมพิษและโรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง Urticaria - Angioedema and Atopic Dermatitis แบ่งออกเป็น ชนิดเฉียบพลัน Acute Urticaria ซึ่งมักเกิดจากการแพ้อาหารหรือยาหรือสารเคมีต่างๆ และชนิดเรื้อรัง Chronic Urticaria ซึ่งมักจะเป็นประเภทไม่ทราบสาเหตุแน่นอน ซึ่งการรักษาอาการคันสาเหตุจากโรคกลุ่มนี้สามารถใช้ยาต้านฮีสตามีนได้ทั้ง 3 รุ่น เพราะไม่มีผลแตกต่างในการรักษา
เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Legal_45621
Legal
ตามประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ เรื่อง “จำนวนครั้งในการติดต่อทวงถามหนี้” (อาศัยอำนาจตามมาตรา 9(3) และ มาตรา 16(1) แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558) หากผู้ทวงหนี้ฝ่าฝืน คณะกรรมการสามารถสั่งให้ระงับได้ หากไม่ปฏิบัติตาม มีโทษปรับไม่เกินกี่บาท
สรุปสาระสำคัญ กฎหมาย ”ทวงหนี้” ฉบับใหม่ (ประกาศใช้ 21 พฤศจิกายน 2562) ​ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ เรื่อง “จำนวนครั้งในการติดต่อทวงถามหนี้” (อาศัยอำนาจตามมาตรา 9(3) และ มาตรา 16(1) แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558) 1. การทวงหนี้ ตาม พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ไม่รวมการทวงหนี้ทั่วไป 2. ผู้ทวงถามหนี้ตามกฎหมายนี้ หมายถึง เจ้าหนี้ผู้ให้สินเชื่อเป็นทางการค้าปกติ, คนที่ซื้อหรือรับโอนหนี้, ผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค, ผู้จัดให้มีการเล่นพนัน เช่น ธนาคาร บริษัทบัตรเครดิต บริษัทเช่าซื้อ เจ้าหนี้จากการพนัน เจ้าหนี้นอกระบบ (หนี้นั้นจะเป็นหนื้ที่ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายก็เข้าข่ายทั้งสิ้น) 3. เจ้าหนี้ติดต่อทวงถามหนี้ไม่เกินวันละ 1 ครั้ง ช่วงเวลาในการทวงถามหนี้ จ-ศ : 8.00 – 20.00 น. ส – อ และวันหยุดราชการ : 8.00 – 18.00 น. 4. ข้อห้ามในการทวงหนี้ ห้ามพูดจาดูหมิ่นลูกหนี้, ห้ามข่มขู่ใช้ความรุนแรง, ห้ามประจาน 5. หากผู้ทวงหนี้ฝ่าฝืน คณะกรรมการสามารถสั่งให้ระงับได้ หากไม่ปฏิบัติตาม มีโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท —– แหล่งที่มา : www.facebook.com/dharmnitigroup ตามประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ เรื่อง “จำนวนครั้งในการติดต่อทวงถามหนี้” (อาศัยอำนาจตามมาตรา 9(3) และ มาตรา 16(1) แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558) 1. การทวงหนี้ ตาม พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ไม่รวมการทวงหนี้ทั่วไป 2. ผู้ทวงถามหนี้ตามกฎหมายนี้ หมายถึง เจ้าหนี้ผู้ให้สินเชื่อเป็นทางการค้าปกติ, คนที่ซื้อหรือรับโอนหนี้, ผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค, ผู้จัดให้มีการเล่นพนัน เช่น ธนาคาร บริษัทบัตรเครดิต บริษัทเช่าซื้อ เจ้าหนี้จากการพนัน เจ้าหนี้นอกระบบ (หนี้นั้นจะเป็นหนื้ที่ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายก็เข้าข่ายทั้งสิ้น) 3. เจ้าหนี้ติดต่อทวงถามหนี้ไม่เกินวันละ 1 ครั้ง ช่วงเวลาในการทวงถามหนี้ จ-ศ : 8.00 – 20.00 น. ส – อ และวันหยุดราชการ : 8.00 – 18.00 น. 4. ข้อห้ามในการทวงหนี้ ห้ามพูดจาดูหมิ่นลูกหนี้, ห้ามข่มขู่ใช้ความรุนแรง, ห้ามประจาน 5. หากผู้ทวงหนี้ฝ่าฝืน คณะกรรมการสามารถสั่งให้ระงับได้ หากไม่ปฏิบัติตาม มีโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
ตามประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ เรื่อง “จำนวนครั้งในการติดต่อทวงถามหนี้” (อาศัยอำนาจตามมาตรา 9(3) และ มาตรา 16(1) แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558) หากผู้ทวงหนี้ฝ่าฝืน คณะกรรมการสามารถสั่งให้ระงับได้ หากไม่ปฏิบัติตาม มีโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายลักษณะหนี้ พรบ
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_474
Finance
ดัชนี SET50 และ ดัชนี VN30 คืออะไร
null
ดัชนี SET50 จัดทำโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand) เริ่มใช้เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 1995 เพื่อแสดงระดับและความเคลื่อนไหวของ หุ้นไทยที่ใหญ่ที่สุด 50 ตัว ตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ปรับด้วย Free Float (Free Float Adjusted Market Capitalization) การซื้อขายมีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ มูลค่าหุ้นใน SET50 คิดเป็นเกือบ 40% ของทั้งตลาดหุ้นไทย (SET) ถือว่าเป็นดัชนีหลัก ของประเทศไทย เป็นภาพสะท้อนตลาดหุ้นในประเทศได้เป็นอย่างดี โดยมีสัดส่วนหลัก ๆ ในอุตสาหกรรมพลังงาน (25%) ธนาคาร (12%) อิเล็กทรอนิกส์ (11%) และขนส่ง (10%) ส่วนดัชนี VN30 จัดทำโดยตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Stock Exchange) เริ่มใช้ครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2014 เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของ หุ้นเวียดนามที่ใหญ่ที่สุด 30 ตัวในตลาดหุ้นโฮจิมินห์ ตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ปรับด้วย Free Float (Free Float Adjusted Market Capitalization) หุ้นในดัชนี VN30 รวมกันมีมูลค่ามากกว่า 70% ของตลาดหุ้นเวียดนามทั้งหมด จึงจัดได้ว่าเป็นดัชนีที่สามารถสะท้อนภาพความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นเวียดนามได้เป็นอย่างดี โดยมีสัดส่วนการลงทุนส่วนมากกระจุกในภาคการเงิน (48.27%)
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_381
Finance
สร้างบทสนทนาระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพอิสระสองคน เกี่ยวกับ 3 ขั้นตอนวางแผนภาษี ที่อาชีพอิสระต้องรู้
null
บทสนทนาระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพอิสระสองคน คนแรกคือ ข้าวสวย ประกอบอาชีพนักบัญชี อีกคนคือ แพรวา ประกอบอาชีพล่ามภาษาจีน ข้าวสวย : แพรวา ทำไมเธอมีเงินเก็บเยอะจัง แพรวา : ช่วงนี้นักท่องเที่ยวจีนมาไทยเยอะมาก เพราะฟรีวีซ่า ข้าวสวย : แล้วเธอจะนำเงินไปทำอะไรเหรอ แพรวา : เก็บไว้ยามจำเป็น แล้วเธอล่ะ ข้าวสวย : เราจะเอาไปวางแผนภาษี แพรวา : ขนาดนั้นเลยเหรอ ข้าวสวย : ก็เราเป็นนักบัญชี ได้รับใบประกอบวิชาชีพเฉพาะทาง และถูกกำหนดไว้ในกฎหมาย เรามีสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างจากฟรีแลนซ์คนอื่น ๆ ก็ขั้นตอนวางแผนภาษีสิ แพรวา : ช่วยอธิบายหน่อยเป็นยังไงบ้าง ข้าวสวย : อย่างแรกต้องเข้าใจประเภทรายได้ของตัวเอง จากนั้นก็จดบันทึกและรวบรวมหลักฐานรายได้และค่าใช้จ่ายให้ครบถ้วน สุดท้ายก็วางแผนใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมไงล่ะ แพรวา : เป็นเธอเนี่ยยากกว่าฉันนะ ฉันไม่ได้ประโยชน์ทางภาษีมากกว่าเธอเลย เก่งจัง ข้าวสวย : ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิตในระยะยาวไงล่ะ แพรวา : สุดยอดไปเลย! สรุปจากบทสนทนา 3 ขั้นตอนวางแผนภาษี ที่อาชีพอิสระต้องรู้ 1. เข้าใจประเภทรายได้ของตัวเอง หากทำงานในวิชาชีพที่กำหนดไว้ โดยไม่ได้เป็นลูกจ้างของบริษัทที่ได้รับเงินเดือน แต่เป็นการประกอบวิชาชีพเพียงลำพัง หรือเป็นการจ้างเป็นงานๆ และมีอิสระในการทำงาน เงินได้ของอาชีพนี้จะเป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรา 40(6) ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ แบบเหมารวม หรือ หักตามจริงแบบมีใบเสร็จ ดังนี้ - การประกอบโรคศิลปะ (แพทย์) หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% หรือ หักตามจริง - ทนาย วิศวกร สถาปนิก นักบัญชี นักประณีต หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 30% หรือ หักตามจริง ทั้งนี้ รายได้ทั้งหมดจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% และถูกนำไปคำนวณเงินได้เพื่อคิดภาษี เช่นเดียวกับอาชีพอื่นๆ 2. จดบันทึกและรวบรวมหลักฐานรายได้และค่าใช้จ่ายให้ครบถ้วน เนื่องจากผู้ประกอบอาชีพอิสระ มีการรับรายได้ไม่สม่ำเสมอคล้ายคลึงกับคนทำฟรีแลนซ์ จึงควรจดบันทึกข้อมูลอย่างละเอียด พร้อมเก็บเอกสารหลักฐานทางการเงินทั้งรายได้และค่าใช้จ่าย เพื่อใช้ตรวจสอบสถานะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการประกอบอาชีพ หากพบว่า ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นสูงกว่า 30% ของรายได้ ก็ควรพิจารณาทางเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริงแทนหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 3. วางแผนใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม เพื่อวางแผนใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม อย่าลืมว่า ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระก็สามารถใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้เหมือนกับอาชีพอื่นๆ ทั้งในส่วนของการลดหย่อนพื้นฐาน และการลดหย่อนด้วยการออมและลงทุนด้วยการซื้อกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือประกันชีวิตที่มีความคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไปก็ได้ โดยคำนวณวงเงินสูงสุดในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีแต่ละประเภทตามฐานเงินได้ จากนั้นก็ทยอยลงทุนตามแผนเพื่อประหยัดภาษีและสร้างความมั่งคั่งในยามเกษียณ
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Legal_6162
Legal
สรุปบทความเรื่อง บทกฎหมาย มาตรา 352 - 356 ให้หน่อย
บทกฎหมาย มาตรา 352 ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่น เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคล ที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์ สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียง กึ่งหนึ่ง มาตรา 353 ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นหรือ ทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วย ประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 354 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 352 หรือ มาตรา 353 ได้กระทำในฐานที่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของ ผู้อื่น ตามคำสั่งของศาล หรือตามพินัยกรรม หรือในฐานเป็นผู้มีอาชีพ หรือธุรกิจ อันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ผู้กระทำต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 355 ผู้ใดเก็บได้ซึ่งสังหาริมทรัพย์อันมีค่า อันซ่อนหรือฝัง ไว้โดยพฤติการณ์ซึ่งไม่มีผู้ใดอ้างว่าเป็นเจ้าของได้ แล้วเบียดบังเอา ทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 356 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้
มาตรา 352 เบียดบังเอาทรัพย์มาเป็นของตน โทษ จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 353 ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สิน แต่กระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต โทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 354 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 352 หรือ มาตรา 353 ได้กระทำในฐานที่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของ ผู้อื่น ตามคำสั่งของศาล หรือตามพินัยกรรม หรือในฐานเป็นผู้มีอาชีพ หรือธุรกิจ โทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 355 เบียดบังเอาทรัพย์ที่เก็บได้ โดยไม่มีผู้ใดอ้างว่าเป็นเจ้าของ โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 356 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้
ประมวลกฎหมายอาญา
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_43963
Finance
บอกความน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง "โอกาสการลงทุนในธีมรักษ์โลก: มุมมองที่เกินกว่าพลังงานทดแทนทั่วไปในประชุม COP26"
null
หัวข้อ เจาะลึกการประชุม COP26 และโอกาสการลงทุนจากธีมรักษ์โลกที่มากกว่าแค่พลังงานทดแทน การประชุม COP26 (Conference of the Parties) เป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจมากในโลกขณะนี้ เนื่องจากเป็นการรวมตัวของประเทศทั่วโลกเพื่อพิจารณาและร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น การประชุมนี้มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อสิ่งมีชีวิตทั่วโลกและเศรษฐกิจโลกทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจจากธีมการรักษาโลกที่ได้รับการเน้นในการประชุม COP26 ไม่เพียงแค่เรื่องของพลังงานทดแทน เช่นพลังงานแสงอาทิตย์และลม แต่ยังรวมถึงธีมอื่นๆ เช่น การลดปริมาณขยะพลาสติกที่ใช้งาน การเพิ่มพื้นที่สีเขียว และการสร้างพื้นที่สีเขียวในการทำเมือง เช่น การสร้างสวนสาธารณะ การจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นต้น การเน้นธีมนี้ไม่เพียงแค่เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญอย่างมาก การลงทุนในธีมรักษ์โลกนี้ไม่เพียงแค่สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ แต่ยังเป็นการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถสร้างงานทำและเพิ่มรายได้ให้กับประชากรในระยะยาว และยังช่วยลดความขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติที่มีขึ้นต่อไปได้ด้วย นอกจากนี้ การลงทุนในธีมรักษ์โลกยังเป็นการสร้างความยั่งยืนและสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนที่สามารถทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมในระยะยาวได้ ดังนั้น การลงทุนในธีมรักษ์โลกมีความสำคัญและน่าสนใจอย่างมากในปัจจุบันและอนาคต. การประชุม COP26 (Conference of the Parties 26) เป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญมากในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการเจาะลึกเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางและกลยุทธ์ที่จะช่วยลดการผลิตก๊าซเรือนกระจก และสร้างพื้นที่สำหรับการสนับสนุนและการลงทุนในโครงการที่ส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนอื่นๆ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Legal_5605
Legal
เลิกจ้างพนักงาน ต้องทำอย่างไรบ้าง
null
สิ่งที่นายจ้างต้องปฏิบัติเมื่อเลิกจ้าง ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ข้อ 1 : บอกกล่าวให้พนักงานทราบล่วงหน้า กรณีสัญญาจ้างไม่กำหนดเวลาจ้างไว้แน่นอน นายจ้างจะต้องบอกกล่าวให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าเมื่อถึงหรือก่อนจะถึง งวดการจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่ง ซึ่งอาจทำด้วยวาจาหรือ ทำเป็นหนังสือก็ได้ ในทางการจัดการที่ดีควรจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อความชัดเจนไม่เกิดการโต้เถียงภายหลัง ข้อ 2 : จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย การนับอายุงานของลูกจ้าง นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มปฏิบัติงานจนถึงวันสุดท้ายของการทำงาน หากครบ 120 วันติดต่อกัน นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย แต่ถ้าไม่ครบ 120 วัน หรือทำครบ 120 วันแต่ไม่ต่อเนื่องกัน นายจ้างจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย กรณีดังนี้ นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย 1. ลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง 2. จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย 3. ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง 4. ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้าง อันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมและนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน (หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด) 5. ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกัน ไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตาม โดยไม่มีเหตุอันสมควร 6. ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ในกรณีนี้ ถ้าเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ต้องเป็นกรณีที่เป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหาย สิทธิที่ลูกจ้างต้องได้รับ เมื่อบริษัทเลิกจ้าง “ค่าชดเชยเลิกจ้าง” ข้อ 1 : เงินค่าตกใจ กรณีเป็นสัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา หากนายจ้างบอกเลิกสัญญา โดยไม่แจ้ง ให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้า นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้าง 1 งวดค่าจ้าง ให้แก่ลูกจ้าง ข้อ 2 : เงินชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง เมื่อถูกให้ออกจากงานโดยไม่มีความผิดและไม่ได้สมัครใจออกเอง ลูกจ้างมีสิทธิจะได้รับค่าชดเชย ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนเงินเดือนและอายุการทำงานของแต่ละคน โดยนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน 2541
กฎหมายแรงงาน,กฎหมายคุ้มครองแรงงาน-แรงงานสัมพันธ์-เงินทดแทน,กฎหมายจ้างแรงงาน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20652
Medical
บุคคลที่เดินทางข้ามจังหวัดโดยรถโดยสารสาธารณะ ควรตรวจ ATK ล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนเดินทาง ใช่หรือไม่
null
ใช่ เหตุผล: 1. ความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ COVID-19 บนรถโดยสารสาธารณะ: รถโดยสารสาธารณะ เป็นสถานที่ปิดที่มีผู้คนแออัด มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น และสัมผัสจุดสัมผัสร่วมบนรถ ซึ่งอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อ COVID-19 บุคคลที่ติดเชื้อ COVID-19 อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ 2. ประโยชน์ของการตรวจ ATK ล่วงหน้า 24 ชั่วโมง: การตรวจ ATK ล่วงหน้า 24 ชั่วโมง ช่วยคัดกรองผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่อาจไม่มีอาการ และป้องกันการแพร่กระจายเชื้อบนรถโดยสารสาธารณะ ผลตรวจ ATK มีความไวในการตรวจจับเชื้อ COVID-19 ที่อยู่ในระยะติดเชื้อ และสามารถแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่นได้ 3. มาตรการป้องกันเพิ่มเติม: นอกจากการตรวจ ATK ล่วงหน้า 24 ชั่วโมงแล้ว บุคคลที่เดินทางข้ามจังหวัดโดยรถโดยสารสาธารณะ ควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอื่นๆ ดังนี้ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ รักษาระยะห่างทางสังคม หลีกเลี่ยงการสัมผัสจุดสัมผัสร่วมบนรถ ไม่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำบนรถ 4. สรุป: บุคคลที่เดินทางข้ามจังหวัดโดยรถโดยสารสาธารณะ ควรตรวจ ATK ล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนเดินทาง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ COVID-19 นอกจากนี้ ยังควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,สาธารณสุข (public health)
Classification
cc-by-nc-4.0
Legal_5552
Legal
“สิทธิสตรี” ในกฎหมายแรงงานไทยคืออย่างไร
null
​ “สิทธิสตรี” ประเทศไทยได้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับลูกจ้างหญิงเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ต่อแรงงานหญิงอย่างเท่าเทียม 1.ลาคลอดบุตร ลูกจ้างที่ตั้งครรภ์ สามารถลาเพื่อคลอดบุตรได้ไม่เกิน 98 วัน โดยรวมถึงวันลาเพื่อตรวจครรภ์ก่อนคลอดบุตรด้วย แบะให้นับรวมวันหยุดที่มีในระหว่างวันลา (มาตรา 41) ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างระหว่างการลาคลอดบุตรเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 45 วัน (มาตรา 59) 2.สิทธิเท่าเทียม ชาย-หญิง นายจ้างต้องกำหนดค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่ลูกจ้าง ในอัตราท่ากันทั้งชายและหญิง ในกรณีที่ลักษณะงาน คุณภาพ ปริมาณงานเท่ากัน (มาตร 53) นายจ้างต้องปฏิบัติต่อลูกจ้างทั้งชายและหญิงเท่าเทียมกันในงานที่จ้างเว้นแต่ลักษณะงานไม่สามารถทำได้ (มาตรา 15) ห้ามนายจ้าง หัวหน้างาน ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ตรวจงาน และทำการล่วงเกิน คุกคาม หรือก่อความเดือดร้อนรำคาญทางเพศต่อลูกจ้าง (มาตรา 1611) 3.การใช้แรงงานหญิง ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างหญิงทำงานต่อไปนี้ (มาตรา 38) 1.1 งานเหมืองแร่หรืองานก่อสร้าง ที่ต้องทำใต้ดิน ใต้น้ำ ในถ้ำ ในอุโมงค์ หรือปล่องในภูเขา เว้นแต่สภาพของงานไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือ ร่างกายของลูกจ้างหญิง 1.2 งานที่ต้องทำบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้นดินตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป 1.3 งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือวัตถุไวไฟ 1.4 งานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง 4.การใช้แรงงานหญิงมีครรภ์ ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งตั้งครรภ์ทำงาน ดังต่อไปนี้ (มาตรา 39) 1.1 งานเกี่ยวกับเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ที่มีความสั่นสะเทือน 1.2 งานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ 1.3 งานยก แบก หาม หาบ ทูน ลาก หรือเข็นของหนักเกิน 15 กิโลกรัม 1.4 งานที่ทำในเรือ 1.5 งานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง “สิทธิสตรี” ประเทศไทยได้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับลูกจ้างหญิงเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ต่อแรงงานหญิงอย่างเท่าเทียม
กฎหมายแรงงาน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_3654
Finance
เขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับเรื่อง "พลังของความมั่นคง: กลยุทธ์การลงทุนหลังจากการล้มละลายของธนาคารในปี 2023"
null
เรื่อง: กลยุทธ์การลงทุนหลังธนาคารล้มในปี 2023 ในปี 2023 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ตลาดการเงินและเศรษฐกิจของโลกถูกสะเทือนกระทบอย่างรุนแรง เนื่องจากการล้มละลายของธนาคารใหญ่อันเป็นหนึ่งในเสาหลักของระบบการเงินโลก ส่งผลให้ผู้ลงทุนทั่วไปต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในการลงทุนและการจัดการเงินตนเอง "ชัญญา" นักลงทุนชาวอเมริกันคนหนึ่ง ที่ถูกความเปลี่ยนแปลงของสภาพการเงินทั่วโลกส่งผลกระทบต่อการลงทุนของชัญญาอย่างเหนียวแน่น ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทำให้เขาตัดสินใจที่จะค้นหากลยุทธ์ใหม่ในการลงทุนที่มั่นคงและปลอดภัย หลังจากพบว่าการลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์มีความเสี่ยงสูงและมีความผันผวนมากเกินไปในช่วงเวลานี้ ชัญญาตัดสินใจที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง และเงินสดในระบบการเงินดิจิทัล กลยุทธ์ของชัญญาเคือการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง เช่น ทองคำและเงินที่เป็นเงินที่มีความคงตัว รวมถึงการลงทุนในบริษัทที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งและมีโครงสร้างองค์กรที่มั่นคง ชัญญายังเริ่มสำรวจและศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเงินดิจิทัล และมองหาโอกาสในการลงทุนในบริษัทที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านนี้ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในโลกของการเงินและเทคโนโลยี ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มั่นคงและการเงินดิจิทัล ชัญญาได้สร้างพื้นฐานทางการเงินที่มั่นคงและปลอดภัยในสภาพการเงินที่ทรุดโทรม และพร้อมที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างมีความมั่นคงในอนาคต
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_20720
Medical
อาการตาแห้งมีสาเหตุจากอะไร และมีวิธีการดูแลป้องกันอย่างไร
null
อาการตาแห้งมีหลายสาเหตุ แต่ที่พบบ่อย ได้แก่ 1. เกิดจากการสร้างน้ำตาลดลงโดยเฉพาะในคนที่มีอายุมากขึ้น 2. เกิดจากการกินยาบางอย่าง เช่น ยาแก้แพ้ ยาคลายเครียด 3. เกิดจากการใส่คอนแท็กเลนส์ที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่ถูกวิธี 4. เกิดจากภูมิแพ้ที่ตา หนังตาหรือเยื่อตาอักเสบเรื้อรัง 5. ผู้ที่เคยทำเลสิก ผ่าตัดตา ผู้มีปัญหาหลับตาไม่สนิท 6. สาเหตุอื่น เช่น ช่วงหน้าหนาวที่อากาศแห้ง ลมแรง ดื่มน้ำน้อย การอ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ก็สามารถทำให้น้ำตาระเหยไปได้เช่นกัน ดังนั้นการดูแลและป้องกันตาแห้ง ควรดูตามสาเหตุ เช่น ผู้ที่ต้องใช้สายตาหรืออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ควรพักสายตาทุก ๓๐-๖๐ นาที ด้วยการหลับตา ๑-๒ นาที กะพริบตาบ่อยๆ ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ก็ไม่ควรใส่นานเกิน ๘ ชั่วโมงต่อวัน ผู้ที่ต้องกินยาแก้แพ้เป็นประจำ อาจจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมช่วย ดื่มน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลมแรง แต่ถ้าต้องการอยู่ในบริเวณที่อากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมพัด ควรสวมแว่นเพื่อกันแดดและลมที่เป็นสาเหตุทำให้ตาแห้ง นอกจากนี้ ถ้ากินอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา พวกผัก ผลไม้ ปลาหรืออาหารทะเลที่มีกรดไขมันที่จำเป็นหรือโอเมก้า ๓ จะช่วยให้น้ำตาระเหยช้าลง อย่างไรก็ตาม เราควรทะนุถนอมดวงตาด้วยการพักสายตาเป็นระยะๆ ไม่ใช้สายตาติดต่อกันนานๆ หลายชั่วโมง และกะพริบตาบ่อยๆ ให้มีน้ำตาเคลือบตาตลอดเวลา เพราะถ้าเราปล่อยให้ตาแห้งมากๆ จะทำให้กระจกตาไม่เรียบใส ผิวกระจกตาอักเสบ จะทำให้มีอาการระคายเคืองและตาพร่ามัวได้
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_44049
Finance
จงเสนอไอเดีย เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป โลกยุคใหม่ต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมของโลกให้ยั่งยืนต่อไปได้
null
จากการพัฒนาเศรษฐกิจ และการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมของนานาประเทศ ทำให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกต่างๆ มากเกินกว่าที่ธรรมชาติจะรักษาสมดุลได้ ส่งผลให้อุณหภูมิผิวโลกสูงขึ้น เป็น ‘ภาวะโลกร้อน’ ที่นำไปสู่การแปรปรวนของสภาพอากาศ เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตบนโลก ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติ หรือที่เรียกกันว่า ‘ภาวะโลกรวน’ ในปัจจุบัน คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) ซึ่งเป็นคณะผู้เชี่ยวชาญนานาชาติในด้านสภาวะโลกร้อน ทำหน้าที่ทบทวนงานวิจัยจากทั่วโลก และรวบรวมเป็นองค์ความรู้ตีพิมพ์เผยแพร่รายงานการประเมิน ที่เรียกว่า IPCC Assessment Report ทุกๆ 5 ปี ระบุว่า หากมนุษย์เรายังคงใช้ชีวิตตามปกติ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปเรื่อยๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ อุณหภูมิเฉลี่ยที่พื้นผิวโลกเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม (ราวศตวรรษที่ 18) จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 3.7-4.8 องศาเซลเซียส ภายในปี 2643 เมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นแล้ว 1.1 องศาเซลเซียส ถึงแม้ว่าระดับการเพิ่มขึ้นอาจจะดูเหมือนไม่มากนัก แต่ก็ก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง จะเห็นได้ว่าตลอดช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทั่วโลกต้องเผชิญกับภัยพิบัติรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตไฟป่าที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย สร้างความเสียหายทั้งชีวิตผู้คน สัตว์ป่า ทรัพย์สินบ้านเรือนอย่างมหาศาล เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปีในอินโดนีเซีย หรือแม้แต่ประเทศไทยที่ต้องเผชิญกับปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งรุนแรงขึ้นด้วย และล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ความแปรปรวนของสภาพอากาศถึงขั้นเกิดเหตุหิมะตกกลางฤดูร้อนในประเทศจีนและแคนาดา เหตุการณ์ดังกล่าวล้วนเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งหากปล่อยให้อุณภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ จะยิ่งสร้างผลกระทบที่รุนแรงขึ้น สร้างความเสียหายทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ซึ่งมีการคาดการณ์จากรายงานของ อิโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (อีไอยู) ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจ ของนิตยสาร The Economist เมื่อปี 2562 ระบุว่า ภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะสร้างความสูญเสียโดยตรงต่อเศรษฐกิจโลกถึง 7.9 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2593 ทั้งนี้ แบบจำลองนักวิจัย เอ็มไอที-คาลเทค ได้ระบุว่าทุกๆ 1 องศาเซลเซียสที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดพายุฝนรุนแรงขึ้น 6% เพราะความร้อนที่เพิ่มขึ้นทำให้ไอน้ำในชั้นบรรยากาศสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนักเขียนชาวอังกฤษ ‘มาร์ค ไลนัส (Mark Lynas)’ ที่ได้รวบรวมข้อมูลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำนวนมาก สรุป และฉายภาพผลกระทบที่เกิดขึ้นหากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 1 ไปถึง 6 องศาฯ ผ่านทางหนังสือ ‘Six Degrees: Our Future on a Hotter Planet’ หากอุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศาฯ ผลที่เกิดขึ้นคือ ทะเลทรายแห้งแล้งมากขึ้น น้ำแข็งที่ปกคลุมเทือกเขาและธารน้ำแข็งละลาย หมู่เกาะมัลดีฟส์และเกาะอื่นๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกจะหายไป สิ่งมีชีวิตบางชนิดจะสูญพันธ์ุ และเกิดน้ำท่วมในเมืองต่างๆ จากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น 2 องศาฯ เกิดคลื่นความร้อน (Heat Wave) ทั่วโลก ประชาชนจะมีอาการช็อกจากความร้อน (Heatstroke) และเสียชีวิตจำนวนมาก เกิดภาวะแห้งแล้งไปทั่ว ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นอย่างมากทั่วโลก และท่วมเมืองชายฝั่งของมหาสมุทรอย่างกว้างขวาง สิ่งมีชีวิตของโลกประมาณ 1 ใน 3 จะสูญพันธุ์ อุณหภูมิสูงขึ้น 3 องศาฯ จะเกิดการอพยพของประชากรโลกครั้งยิ่งใหญ่ (Mass Migration) เกิดสงครามแย่งน้ำและอาหาร เกิดไฟป่าขึ้นมากมาย ป่าไม้ของโลกสูญพันธ์ 10% น้ำแข็งทั้ง 2 ขั้วโลกละลายอย่างมหาศาล เมืองต่างๆ จมอยู่ใต้น้ำ อุณหภูมิสูงขึ้น 4 องศาฯ ห่วงโซ่อาหารของโลกสลายหมดถึงขั้นวิกฤต อุณหภูมิสูงขึ้นถึง 45 องศาฯ แหล่งน้ำแห้งเหือด แผ่นดินหลายส่วนของโลกเกิดการยุบตัว กลับไปสู่ยุคเมื่อหลายล้านปีก่อนอีกครั้ง อุณหภูมิสูงขึ้น 5 องศาฯ ชั้นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและใต้ละลายหมดสิ้น ภูเขาไฟที่คุกรุ่นจะระเบิดลาวาออกมามากมาย พืชผลทางการเกษตรสูญสิ้น สิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์มากมาย เกินกว่าที่มนุษย์จะหาทางแก้ไขได้ โลกจะเหมือนกับเมื่อ 55 ล้านปีก่อน ยุคอีโอซีน (Eocene) และเมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น 6 องศาฯ เหมือนกับโลกเมื่อ 251 ล้านปีก่อน ยุคเพอร์เมียน (Permian) สิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งพืชและสัตว์สูญสิ้นไปมากกว่า 95% (Mass Extinction) โลกจะค่อยๆ ปรับสมดุลใหม่ในอีกหลายล้านล้านปี ก่อนเข้าสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้ง ความเป็นไปได้ดังกล่าวทำให้นานาประเทศหันมาให้ความสำคัญ ดำเนินการยับยั้งไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ออกมาตรการกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรม การขนส่งและคมนาคม การทำเกษตร วิธีการใช้งานทรัพยากร มุ่งมั่นในการลดการปล่อย ‘ก๊าซเรือนกระจก’ ให้เป็นตามความตกลงปารีส หรือ COP21 ที่มีเป้าหมายรักษาระดับอุณหภูมิเฉลี่ยโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 2 องศาฯ เมื่อเทียบกับอุณหภูมิโลกในยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ประเทศมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศนโยบายให้สหรัฐฯ กลับคืนสู่ข้อตกลงปารีส พร้อมตั้งเป้าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 50% ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับระดับก๊าซเรือนกระจกปี 2548 โดยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล และหันไปใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ประเทศจีน เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้ประกาศกลางที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ โดยให้คำมั่นที่จะลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ก่อนปี 2603 ควบคุมโครงการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินหลายร้อยแห่งทั่วประเทศอย่างเคร่งครัด เกาหลีใต้ประกาศนโยบาย ‘ข้อตกลงสีเขียวใหม่’ หรือ ‘Green New Deal’ เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ขณะที่ญี่ปุ่นให้คำมั่นจะบรรลุเป้าหมายในปี 2593 เช่นเดียวกัน แม้กระทั่งเอกชนรายใหญ่ระดับโลกหลายราย ก็ได้มีการประกาศเจตนารมณ์ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างกล้าหาญ ทั้ง เนสท์เล่ ที่รุกขึ้นมาให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปถึงศูนย์ภายในปี 2593 เช่นเดียวกับ Royal Dutch Shell หรือแม้กระทั่ง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งบริษัท Facebook ก็ให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยคาร์บอนไปถึงศูนย์ภายในปี 2573 ประเทศไทย แม้จะไม่ได้อยู่ในกลุ่มของประเทศที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับต้น แต่ไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ปัญหาที่เห็นชัดมากที่สุดของไทยขณะนี้ คือสภาพภัยแล้งที่ยาวนานและรุนแรงมากขึ้น ฝนจะตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 16% ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคการเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจหลักของประเทศ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องตระหนัก และเข้าไปมีส่วนร่วมกับนานาประเทศในการดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ หนทางที่สำคัญของการบรรเทาปัญหาโลกร้อน คือการลดการพึ่งพาการใช้พลังงานจากฟอสซิล ที่เป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และหันมาใช้พลังงานสะอาด พลังงานที่ได้จากธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ เป็นต้น โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ที่หลายประเทศนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยจีนครองอันดับ 1 ของการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุด ด้วยการติดตั้งรวมประมาณ 1.75 แสนเมกะวัตต์ รองลงมาคือญี่ปุ่น กำลังการติดตั้ง 5.5 หมื่นเมกะวัตต์ อันดับ 3 สหรัฐอเมริกา กำลังการติดตั้ง 4.9 หมื่นเมกะวัตต์ อันดับ 4 เยอรมนี กำลังการติดตั้ง 4.5 หมื่นเมกะวัตต์ และอันดับ 5 อินเดีย กำลังการติดตั้ง 2.6 หมื่นเมกะวัตต์ ซึ่งอินเดียเริ่มหันมาใช้โซลาร์เซลล์ได้เพียง 5 ปี แต่พัฒนาแบบก้าวกระโดด เป็นชาติที่มีค่าใช้จ่ายในการผลิตโซลาร์เซลล์ถูกที่สุดในโลก สำหรับประเทศไทย ด้วยภูมิประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มีพื้นที่รับพลังงานแสงอาทิตย์โดยเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่าเขตอื่นๆ ของโลก ส่งผลให้ศักยภาพการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของประเทศไทยมีค่อนข้างมาก ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์หลายโครงการ อาทิ การติดตั้งทุ่นโซลาร์ลอยน้ำ สำหรับผลิตไฟฟ้าขนาด 12.5 เมกะวัตต์ ใช้ในเขตประกอบการอุตสาหกรรม IRPC จังหวัดระยอง โครงการโซลาร์รูฟท็อปภาคประชาชน ซึ่งรับซื้อกระแสไฟฟ้าที่ครัวเรือนผลิตได้จาก​แสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) โดยขายไฟฟ้าเข้าระบบให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (กฟน. และ กฟภ.) หรือ โครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำแบบไฮบริด เขื่อนสิรินธรของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยปัจจุบันตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP2018) และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ได้กำหนดเป้าหมายปริมาณกำลังผลิตตามสัญญาสะสม 10 กิกะวัตต์ ในปี 2580 ส่งผลให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมระบบเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศไทยมีพัฒนาการไปตามการเติบโตของตลาด ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเซลล์หรือแผงเซลล์แสงอาทิตย์ งานวิศวกรรมการออกแบบติดตั้งและการบำรุงรักษา การวิจัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการใช้งานพลังงานแสงอาทิตย์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ การพัฒนาเม็ดพลาสติก HDPE เกรดพิเศษสีเทา สำหรับทุ่นโซลาร์ลอยน้ำ ซึ่งช่วยลดอุณหภูมิใต้แผงโซลาร์เซลล์ได้ถึง 5-8 องศาฯ ส่งผลให้ระบบผลิตกระแสไฟฟ้ามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้มีการวิจัยและพัฒนาไฮโดรเจล หรือที่หลายคนเรียกว่า Water Gel ซึ่งก็คือเจลที่ดูดซับน้ำ และด้วยคุณสมบัตินี้ทำให้มีการนำไฮโดรเจลไปใช้งานในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุทางการแพทย์ วัสดุทางการเกษตร วัสดุทางด้านวิศวกรรม เช่น คอนแทคเลนส์ แผ่นปิดแผลไฟไหม้ สารที่ใช้แทนดินหรือผสมในดิน ตัวนำไฟฟ้าในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการนำมาใช้งานในการลดอุณหภูมิของแผงโซลาร์เซลล์ จากงานวิจัยพบว่าไฮโดรเจลช่วยให้ประสิทธิภาพของโซลาร์เซลล์ดีขึ้นประมาณ 13-15% และอยู่ในระหว่างการทดสอบปรับปรุงอายุการใช้งานของแผ่นไฮโดรเจลให้สามารถใช้ได้ตลอดอายุการใช้งานของแผงโซลาร์เซลล์ กลไกการทำงานของไฮโดรเจลจะเป็นการนำแผ่นไฮโดรเจลไปติดไว้ ที่ด้านหลังของแผงโซลาร์เซลล์ เวลากลางคืนแผ่นไฮโดรเจลจะดูดซับน้ำจากอากาศเก็บไว้ในรูพรุนของไฮโดรเจล เมื่อถึงเวลากลางวันอุณหภูมิสูงขึ้นน้ำจากแผ่นไฮโดรเจลจะระเหยไปหล่อเย็นแผงโซลาร์เซลล์ ทำให้อุณหภูมิของแผงโซลาร์เซลล์ไม่สูงขึ้น จึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตกระแสไฟฟ้าให้สูงขึ้นได้ และจากงานวิจัยเรื่อง Lifetime degradation and regeneration in multi-crystalline silicon under illumination at elevated temperature ที่เผยแพร่ใน AIP Advances สรุปผลว่า อายุการใช้งานของแผงโซลาร์เซลล์จะลดลง จากการใช้งานที่อุณหภูมิสูง ดังนั้นการช่วยลดอุณหภูมิของแผงโซลาร์เซลล์ จึงช่วยยืดอายุการใช้งานของแผงโซลาร์เซลล์ได้ด้วย ประเด็นข้างต้น เป็นเพียงแค่ตัวอย่างงานวิจัยและพัฒนา ที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด นับเป็นนวัตกรรม การดำเนินการเพื่อความยั่งยืน ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและพิษเศรษฐกิจรอบด้าน ที่ล้วนจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน รวมถึงการดำเนินการของธุรกิจ และการสูญเสียงบประมาณในการแก้ปัญหา ดังนั้นทุกฝ่ายต้องตระหนัก ให้ความสำคัญ ร่วมมือกันขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย ไม่ใช่เพียงเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยบรรเทาผลกระทบของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากปัญหาโลกร้อนด้วย เราทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสิ่งแวดล้อมของโลกให้ยั่งยืนต่อไปได้
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_40087
Finance
ความเสี่ยงทางการเงินที่ไม่ควรมองข้าม
null
ความเสี่ยงทางการเงินต่างๆ ที่สำคัญ 10 ประการ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินไว้ดังนี้ 1. ความมั่นคงของรายได้ ถ้าวันหนึ่งเกิดขาดรายได้ขึ้นมา ไม่ว่าจากการถูกให้ออกจากงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่ได้ทำงานประจำ ก็ยิ่งมีความเสี่ยงต่อการขาดรายได้สูง เช่น ขายของไม่ได้ ไม่มีคนว่าจ้าง ย่อมส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายประจำวัน รวมถึงการออมเงินเพื่ออนาคต จึงควรป้องกันด้วยการพยายามหารายได้หลายทาง เพื่อลดภาระการพึ่งพารายได้ทางใดทางหนึ่ง หรือหมั่นพัฒนาศักยภาพความรู้ความสามารถอยู่เสมอ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวเองตลอดเวลา 2. ความเสี่ยงด้านสุขภาพ คือโอกาสการเจ็บป่วยจากโรคภัยหรือจากอุบัติเหตุโดยไม่คาดฝัน ที่อาจจะทำให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินไปกับค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก ทางป้องกันคือ หมั่นดูแลรักษาสุขภาพร่างกายด้วยการออกกำลังกาย ตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดโอกาสเสี่ยงจากการเจ็บป่วย รวมไปถึงการเตรียมเงินสำรอง หรือทำประกันสุขภาพไว้ เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการรักษากรณีฉุกเฉินไว้ด้วยเช่นกัน 3. ภาระทางการเงินที่มีอยู่ ภาระทางการเงินที่สำคัญ ได้แก่ ภาระหนี้สินและภาระค่าเลี้ยงดูบุคคลอื่น เช่น พ่อแม่ ลูก หรือคู่สมรส ที่เรียกว่าเป็นภาระ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ต้องแบกรับไว้ นั่นแปลว่าหากเราจากไปกะทันหัน หรือกลายเป็นคนทุพพลภาพ ภาระเหล่านี้จะต้องถูกส่งต่อไปที่บุคคลอื่น เช่น คนในครอบครัวที่ต้องมาแบกรับภาระหนี้สิน หรือค่าเลี้ยงดูแทนเราต่อไป ซึ่งอาจกระทบการใช้ชีวิตหรือสร้างความเดือดร้อนให้คนที่ต้องมารับภาระแทน รวมถึงคนที่ต้องเลี้ยงดูต่อไปด้วย เราควรรองรับความเสี่ยงเรื่องนี้ด้วยการมีทรัพย์สินให้เพียงพอต่อการจัดการหนี้สิน และให้คนที่เลี้ยงดูอยู่ได้ใช้ต่อไปจนหมดภาระเลี้ยงดู หรือทำประกันชีวิตและประกันเอาไว้ให้ครอบคลุมภาระการเงินส่วนขาด เพื่อโอนความเสี่ยงดังกล่าวให้บริษัทประกันชีวิตมารับผิดชอบแทน 4. ความเสียหายของทรัพย์สิน ทรัพย์สินต่างๆ ที่มีอยู่ โดยเฉพาะทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงไม่ว่าจะเป็น รถ บ้าน โทรศัพท์มือถือ นาฬิการาคาแพง หรือทรัพย์สินอื่นๆ นั้นมีโอกาสเสียหายได้เสมอจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น น้ำท่วม รถชน หรือถูกโจรกรรม เป็นต้น ซึ่งหากเกิดความเสียหายแล้ว ก็ต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเป็นจำนวนมาก จึงควรรองรับความเสี่ยงด้วยการดูแลรักษาและระมัดระวังตัวเวลาใช้ทรัพย์สินนั้น ก็ลดโอกาสเกิดความเสียหาย นอกจากนี้ก็ควรเตรียมเงินสำรองเอาไว้สำหรับการซ่อมบำรุง หรือทำประกันไว้ สำหรับโอกาสเกิดความเสียหายมูลค่าสูง เช่น ประกันอัคคีภัย หรือประกันรถยนต์ด้วยเช่นกัน 5. ความผันผวนของการลงทุน ขึ้นชื่อว่าการลงทุนย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะขาดทุน หรือความผันผวนในระยะสั้นเสมอ ไม่ว่าจะลงทุนในหุ้น กองทุนรวม ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็อาจจะมีโอกาสที่ผู้เช่าจะไม่ทำตามสัญญา หาผู้เช่าไม่ได้ ขายไม่ออก หรือลงทุนทำธุรกิจก็อาจจะมีโอกาสที่ธุรกิจเจ๊ง ถูกหุ้นส่วนโกง และมีโอกาสที่จะมีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาร่วมแข่งด้วยได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นทุกการลงทุนจึงควรมีแผนรองรับว่าถ้าหากสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่คาดแล้ว จะมีวิธีรับมือไว้ล่วงหน้าอย่างไรเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดเสมอ 6. การผิดหรือละเมิดสัญญา ในช่วงชีวิตหนึ่งเราอาจต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำธุรกิจกรรมบางอย่างที่มีสัญญาผูกมัดให้ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งก็มีโอกาสที่อาจจะพลาดพลั้งจนทำให้ไปละเมิดสัญญาที่ทำไว้กับผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเกิดความเสียหาย และมาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ เช่น การค้ำประกันให้บุคคลอื่น การปล่อยกู้ หรือให้บุคคลอื่นยืมเงิน เป็นต้น ซึ่งทางที่ดี หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ควรหลีกเลี่ยง หรือหากเลี่ยงไม่ได้ก็ควรมีมาตรการลดความเสี่ยง เช่น วางเงินมัดจำ บันทึกข้อมูลส่วนตัว หรือประเมินความเสี่ยงของผู้ร่วมทำธุรกรรมให้ดีก่อนตัดสินใจ เป็นต้น 7. พฤติกรรมการใช้จ่ายเกินตัว เป็นพฤติกรรมส่วนตัวที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากจับจ่ายใช้สอยตามอารมณ์ความอยากโดยขาดการยับยั้งชั่งใจ ก็อาจทำให้ไม่เหลือกระแสเงินสดเพียงพอที่จะบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ในการบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่จำเป็น เช่น การออมเพื่อเกษียณ การทำประกันเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงทางการเงินได้ในอนาคต หรือเลวร้ายที่สุดคือใช้จ่ายจนไม่เพียงพอกับรายรับที่หามาได้จนกลายเป็นการก่อหนี้สิน ที่จะเป็นปัญหาทางการเงินระยะยาวขึ้นมาอีกในอนาคต การป้องกันหรือการจัดการที่ดีที่สุด คือการมีสติทุกครั้งก่อนที่จะใช้จ่าย โดยคิดถึงความจำเป็นอยู่เสมอ 8. รายจ่ายเพื่อเป้าหมายที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า บางครั้งในการใช้ชีวิตก็อาจจะเกิดรายจ่ายที่จำเป็นขึ้นโดยที่ไม่ได้คาดคิดหรือวางแผนไว้ล่วงหน้า จนอาจจะทำให้เกิดการติดขัดทางการเงิน หรือไม่มีเงินเพียงพอ ทำให้มีปัญหาทางการเงินตามมาได้ เช่น การมีบุตรโดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า หรือการซื้อรถยนต์คันใหม่กะทันหัน ซึ่งควรจะวางแผนทางการเงิน โดยคำนึงถึงเป้าหมายทางการเงินที่จำเป็น หรืออาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เพื่อให้ได้มีเวลาในการเตรียมเงินและบริหารจัดการทรัพย์สินต่างๆ ไว้ล่วงหน้า ทำให้มีโอกาสที่จะมีเงินเพียงพอเมื่อถึงเวลาที่เป้าหมายนั้นมาถึงได้ 9. ความเสี่ยงจากกิจกรรมที่ทำ สำหรับบางคนงานอดิเรกหรือกิจกรรมที่ชอบทำยามว่าง ก็อาจเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินได้ เช่น ชอบเล่นกีฬาผาดโผน ทำให้เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บและการรักษาพยาบาล หรือบางคนก็อาจจะชอบเล่นการพนัน ก็ทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียทรัพย์สิน จนอาจทำให้หมดเนื้อหมดตัวได้ หากเป็นไปได้ก็ควรเลี่ยงไปทำกิจกรรมอื่นที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า หรือต้องมีการควบคุมความเสี่ยงจากการควบคุมพฤติกรรมของตัวเองอย่างเข้มงวด หรือมีอุปกรณ์ป้องกันการบาดเจ็บ 10. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง เงินสภาพคล่องคือเงินที่ควรเตรียมไว้สำหรับค่าใช้จ่ายประจำ หรือรายจ่ายฉุกเฉินที่จำเป็น จึงต้องอยู่ในที่ที่พร้อมถอนออกมาใช้ได้ตลอดเวลา เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร หรือกองทุนรวมที่มีสภาพคล่องสูง กองทุนรวมตลาดเงิน หรือตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะได้ผลตอบแทนต่ำ ทำให้เสียโอกาสนำเงินมาบริหารการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ดังนั้นเงินสภาพคล่องที่มีจึงควรอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยทั่วไปแนะนำให้อยู่ที่ 3-6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน โดยสรุปทั้งหมดคือความเสี่ยงทางการเงินที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในชีวิต แล้วส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงิน ดังนั้นอย่าลืมถามตัวเองว่าปัจจุบันนี้ได้มีการวางแผนรองรับความเสี่ยงในเรื่องต่างๆ ไว้อย่างรัดกุมแล้วหรือยัง เพื่อให้อนาคตจะได้มีชีวิตที่มั่งคั่งและมั่นคงด้วยความอุ่นใจตลอดไป
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_40253
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง ทางออกการลงทุนเพื่อพิชิตเงินเฟ้อ ให้หน่อยค่ะ
ทางออกการลงทุนเพื่อพิชิตเงินเฟ้อ ​ 10 พฤษภาคม 2565 4 นาที 10 พฤษภาคม 2565 4 นาที ทางออกการลงทุนเพื่อพิชิตเงินเฟ้อ “ • อย่าปล่อยให้เงินเก็บที่มีด้อยค่าลงทุกวัน จากเงินเฟ้อที่ล่าสุดอยู่ที่ 5.73% ด้วยการรับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากเพียง 1.02%ต่อปี • รู้จักแบ่งหน้าที่เงินลงทุน ให้มีส่วนที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนเงินเก็บทั้งหมดในการสร้างผลตอบแทน และส่วนที่เน้นความปลอดภัยเป็นหลักไม่ให้ผันผวนไปตามกระแสโลก • ต้องเช็กทางเลือกที่จะลงทุนให้ดี ว่าที่ผ่านมาผลงานเป็นอย่างไรเทียบกับทางเลือกอื่น มีการแบ่งสัดส่วนและกระจายการลงทุนให้หรือผู้ลงทุนต้องทำเอง เพื่อให้เงินลงทุนของเราที่มีอยู่กับโลกที่ผันผวนนี้ได้ “ “ • อย่าปล่อยให้เงินเก็บที่มีด้อยค่าลงทุกวัน จากเงินเฟ้อที่ล่าสุดอยู่ที่ 5.73% ด้วยการรับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากเพียง 1.02%ต่อปี • รู้จักแบ่งหน้าที่เงินลงทุน ให้มีส่วนที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนเงินเก็บทั้งหมดในการสร้างผลตอบแทน และส่วนที่เน้นความปลอดภัยเป็นหลักไม่ให้ผันผวนไปตามกระแสโลก • ต้องเช็กทางเลือกที่จะลงทุนให้ดี ว่าที่ผ่านมาผลงานเป็นอย่างไรเทียบกับทางเลือกอื่น มีการแบ่งสัดส่วนและกระจายการลงทุนให้หรือผู้ลงทุนต้องทำเอง เพื่อให้เงินลงทุนของเราที่มีอยู่กับโลกที่ผันผวนนี้ได้ “ การลงทุนที่ให้ได้ผลตอบแทนสูง ย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงหรือผันผวนสูง ที่ยากคาดเดาในแต่ละช่วงเวลาได้ ส่วนจะไม่ลงทุนเลย ผลที่ตามมา คือ เงินเก็บที่มีก็ด้อยค่าลงเรื่อยๆ จากราคาข้าวของที่แพงขึ้นทุกปี เงินเก็บที่เคยคิดว่าเยอะ ในอนาคตอาจน้อยลงอย่างน่าใจหาย I : โลกแห่งการลงทุน ราคาสินค้าและบริการ เปลี่ยนแปลงโดยวัดจาก เงินเฟ้อ เช่น อัตราเงินเฟ้อ 2565 ของไทย (ณ มี.ค. 65) อยู่ที่ 5.73% (เทียบกับ มี.ค. 64) แสดงว่าสินค้าที่เคยซื้อได้ด้วยเงิน 10,000 บาท เมื่อ มี.ค. 64 ผ่านมา 1 ปี หากซื้อสินค้าเดิมอีกครั้งต้องจ่ายเงินแพงขึ้นเป็น 10,573 บาท ในขณะที่เงินฝากประจำ 12 เดือนของธนาคารที่จดทะเบียนประเทศไทย ให้ดอกเบี้ยสูงสุดเพียง 1.2%ต่อปี (ข้อมูลจาก ธปท. ณ 27 เม.ย. 65) หลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% แล้ว เหลือดอกเบี้ยสุทธิ 1.02%ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าเงินเฟ้อหลายเท่า ดังนั้นหากนำเงินจำนวน 10,000 บาท ไปฝากประจำผ่านไป 1 ปี เงินจะเพิ่มเป็น 10,102 บาท ซึ่งยังไม่เพียงพอนำไปซื้อสินค้าเดิมที่ราคาสูงขึ้นได้ และหากยิ่งปล่อยเวลานานไป เงินที่ฝากไว้ก็จะยิ่งซื้อของได้น้อยลง แต่หากดูผลตอบแทนการลงทุนย้อนหลัง 1 ปี ณ 31 มี.ค. 65 พบว่ามีหลายทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อได้ในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น การลงทุนหุ้นโลก (อ้างอิงดัชนี MSCI ACWI) ให้ผลตอบแทน 14.14%ต่อปี การลงทุนหุ้นสหรัฐฯ (อ้างอิงดัชนี S&P 500 ที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วน) ให้ผลตอบแทน 17.55%ต่อปี และการลงทุนในหุ้นไทย (อ้างอิงดัชนี SET TRI) ให้ผลตอบแทน 9.90%ต่อปี แต่การลงทุนที่ว่า ก็ใช่ว่าจะกำไรเสมอไป อย่างผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน ณ 31 มี.ค. 65 ก็มีหลายทางเลือกที่ขาดทุน เช่น หุ้นโลกและหุ้นสหรัฐฯ ในช่วง 3 เดือน ขาดทุน -5.50% และ -4.83% ตามลำดับ ในขณะที่หุ้นไทย ในช่วง 3 เดือน กำไร 3.20% การลงทุนให้ชนะเงินเฟ้อ โดยไม่เสี่ยงขาดทุนไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย แต่หากลงทุนโดยจำกัดความเสี่ยง ก็เป็นสิ่งที่ทำได้แลกกับวินัยและระยะเวลาการลงทุน เพื่อให้เงินที่มีไม่ด้อยค่าลง จากเงินเฟ้อที่ต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ II: ลงทุนอย่างไร ในโลกที่ผันผวน ผลตอบแทนคือสิ่งคาดหวัง แต่ต้องแลกกับความผันผวนที่ต้องเผชิญ แล้วจะลงทุนอย่างไรและมีสิ่งใดต้องรู้เพื่อให้ได้ทั้งผลตอบแทนและรับได้กับความผันผวนที่เกิดขึ้น (1) ทุกสิ่งที่ลงทุน ไม่จำเป็นต้องชนะเงินเฟ้อเสมอไป หากเป้าหมายคือสร้างผลตอบแทนให้ชนะเงินเฟ้อ ก็ไม่จำเป็นต้องนำเงินทั้งหมดที่มีไปทุ่มลงทุนในทางเลือกที่ชนะเงินเฟ้อ แต่อาจเลือกใช้เงินแค่บางส่วนเพื่อให้ผลตอบแทนมากพอชดเชยผลของเงินเฟ้อที่กระทบเงินเก็บทั้งหมดที่มี เช่น แบ่งเงิน 40%ของเงินเก็บไปลงทุนในหุ้นโลก เงินลงทุนส่วนนี้ที่ผ่านมาช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับเงินเก็บโดยรวมได้ 5.66%ต่อปี (40% x 14.14%ต่อปี) ซึ่งใกล้เคียงกับเงินเฟ้อ และเงินส่วนที่เหลือนำไปลงทุนในทางเลือกความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนตราสารหนี้หรือเงินฝาก เพื่อให้มั่นใจว่าเงินอีก 60% จะยังคงปลอดภัยหรือผันผวนต่ำกว่าการลงทุนหุ้นโลก (2) ลงทุน ให้หลากหลายพอ ทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูง ไม่ได้มีทางเลือกเดียว และล้วนให้ผลตอบแทนที่ต่างกันในแต่ละช่วงเวลา เช่น - ปี 2563 ที่หุ้นโลกให้ผลตอบแทน 15.74%ต่อปี แต่ในช่วงเวลาเดียวกันหุ้นไทยขาดทุน -5.23%ต่อปี - ปี 2559 ที่หุ้นโลกให้ผลตอบแทน 6.34%ต่อปี แต่ในช่วงเวลาเดียวกันหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 11.20%ต่อปี การลงทุนที่หลากหลายช่วยให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แม้ช่วงเวลาที่บางทางเลือกขาดทุน แต่จะลงทุนทางเลือกไหนเท่าไรบ้าง ถึงหลากหลายพอ และขั้นต่ำในการลงทุนแต่ละทางเลือกจะเป็นข้อจำกัดในการลงทุนของเราไหมก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ (3) ลงทุน ด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม การลงทุนให้หลากหลาย ยังไม่เพียงพอสำหรับโลกการลงทุนที่ผันผวน เช่น การกระจายเงินลงทุนทั้งในหุ้นสหรัฐฯ หุ้นยุโรป และหุ้นจีน แต่หุ้นทั้ง 3 ตลาดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาก็ขาดทุน -4.83% -9.34% -12.71% ตามลำดับ ส่งผลให้เงินลงทุนโดยรวมขาดทุนหรือผันผวนสูงอยู่ดี การกำหนดสัดส่วนการลงทุน (พอร์ตการลงทุน) ในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ไปพร้อมกับการลงทุนที่หลากหลาย จึงสำคัญ เช่น กำหนดสัดส่วนเงินลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง (เช่น หุ้นโลก) ไว้ 40%ของพอร์ต เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ใกล้เคียงเงินเฟ้อ ซึ่งหุ้นโลกที่ผ่านมา 3 เดือนเคยขาดทุน -5.50% และในปี 2561 เคยขาดทุน -10.68%ต่อปีแล้ว หากจินตนาการว่าพอร์ตของตนเองที่มีหุ้นโลก 40% เคยขาดทุน -2.2% (40% x -5.50%) และ -4.27%ต่อปี (40% x -10.68%) ตามลำดับแล้ว จะยอมรับกับความผันผวนนี้ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ต้องลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง แต่ก็ควรคาดหวังผลตอบแทนที่ลดลงด้วย แต่หากยอมรับความผันผวนนี้ได้ และคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อ ก็สามารถเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงสูงให้มากขึ้นได้ แต่ควรกระจายการลงทุนให้หลากหลายด้วย เช่น ผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง อาจลองแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนเป็น ตราสารหนี้ 40%-50% หุ้นประเทศ/ภูมิภาคต่างๆ รวมกัน 45%-55% อสังหาริมทรัพย์ 5%-10% ทองคำ 5%-10% เป็นต้น (4) ลงทุน ในทางเลือกที่เหมาะสม การลงทุนไม่ได้ตอบโจทย์เพียงผลตอบแทนที่วัดด้วย %ต่อปี เท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการอื่นประกอบด้วย เช่น ต้องการเงินคืนระหว่างทางในรูปแบบเงินปันผลหรือเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ต้องการสะสมผลกำไรไว้ลงทุนต่อเนื่องเพื่อเป้าหมายในอนาคต หรือต้องการสิทธิทางภาษีควบคู่ไปกับการลงทุน เป็นต้น แต่ละทางเลือกย่อมตอบโจทย์ต่างกัน เช่น ต้องการเงินคืนระหว่างทางอาจลงทุนกองทุนที่การขายคืนอัตโนมัติ หุ้น/กองทุนที่จ่ายเงินปันผล หรือถ้าต้องการใช้สิทธิทางภาษีก็ต้องเป็นกองทุน SSF/RMF เป็นต้น III: อย่าเพิ่งลงทุน ถ้ายังไม่เช็กสิ่งเหล่านี้ ก่อนการลงทุน ไม่ว่าทางเลือกแบบไหน มีอยู่ 3 สิ่งที่ต้องเช็กหรือคิดก่อนลงทุน โดยขอยกตัวอย่างด้วยกองทุนผสม K-GINCOME-A เพราะเป็นทางเลือกที่เริ่มต้นได้ง่าย มีการกระจายการลงทุน โดยผู้ลงทุนไม่ต้องจัดสรรเอง และมีรูปแบบการลงทุนที่ครอบคลุมทั้ง K-GINCOME-A(A) ที่เน้นสะสมมูลค่า K-GINCOME-A(R) ที่เน้นมีเงินคืนระหว่างทาง และ K-GINCOME-SSF ที่ใช้สิทธิทางภาษีและมีเงินคืนระหว่างทาง แต่ใครที่ลงทุนด้วยทางเลือกอื่น ก็สามารถนำ 3 สิ่งนี้ไปปรับใช้ได้เช่นกัน (1) ที่ผ่านมา ได้ผลตอบแทนเท่าไร? นอกจากการเช็กผลการดำเนินงานของกองทุนแล้ว ควรเช็กเทียบกับกองทุนอื่นที่เป็นกลุ่มเดียวกันด้วย เช่น K-GINCOME-A(R) ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Foreign Investment Allocation หากดูการจัดลำดับ 1-100 หรือ Peer Percentile (เช่น ลำดับที่ 5 เป็นลำดับที่ดีกว่า 75 เป็นต้น) ณ 31 มี.ค. 65 พบว่าผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี ของกองทุนอยู่ในเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 5-25 และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี และ 5 ปี อยู่ในเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 25-50 ซึ่งถือว่าเป็นลำดับที่ดี ส่วนการเติบโตของเงินลงทุน ที่ดูได้จากราคา NAV ย้อนหลัง 5 ปี จนถึง 28 เม.ย. 65 ของ K-GINCOME-A(R) ที่มีการ เพิ่ม/ลด อยู่ทุกวัน แต่ในระยะยาวแล้ว ก็ถือว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นช่วง ปลาย มี.ค. 63 ที่กราฟ NAV ปรับตัวลงอย่างเห็นได้ชัด จาก NAV ประมาณ 11 บาท มาอยู่ที่ประมาณ 9 บาท ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่หุ้นต่างๆ ทั่วโลก ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่มา: ส่วนเงินคืนระหว่างทาง ดูได้จากประวัติการจ่ายเงินปันผลหรือประวัติการจ่ายเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ว่าสม่ำเสมอเพียงใด เช่น K-GINCOME-A(R) ที่จดทะเบียนกองทุน 10 มิ.ย. 58 มีการจ่ายเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติครั้งแรก 11 ส.ค. 58 หน่วยละ 0.0379 บาท และมีการจ่ายทุกเดือนๆ ละ 1 ครั้ง จนถึงล่าสุด 11 เม.ย. 65 ที่จ่ายหน่วยละ 0.0455 บาท ที่มา: สำหรับกองทุนหรือทางเลือกการลงทุนอื่น ก็ควรเช็กผลตอบแทนที่ผ่านมาด้วย โดยดูได้จากหน้าเว็บไซต์ของแต่ละ บลจ. หรือ morningstarthailand เป็นต้น (2) ลงทุนอะไร หลากหลายแค่ไหน? ยิ่งลงทุนหลากหลาย ยิ่งลดผลกระทบที่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งจะขาดทุน สำหรับกองทุนรวมนอกจากดูที่นโยบายการลงทุนว่าลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดบ้างแล้ว ควรเช็ก Top Holding ของกองทุนด้วย เช่น K-GINCOME-A(R) ณ 31 มี.ค. 65 มี Top Holding 10 ลำดับแรกตามรูป โดยสินทรัพย์ที่ลงทุนมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 1.1% และสินทรัพย์ 10 ลำดับแรก มีสัดส่วนรวมกันเพียง 6.9% แสดงให้เห็นถึงจำนวนสินทรัพย์ที่หลากหลายของกองทุนนี้ หากเช็กประเภทสินทรัพย์และภูมิภาคที่ลงทุนแล้ว เห็นได้ว่า K-GINCOME-A(R) มีการลงทุนที่หลากหลาย หากใครต้องการจัดสรรเงินลงทุนเอง แนะนำว่าควรมีการกระจายการลงทุนให้หลากหลาย ทั้งประเทศ/ภูมิภาค ประเภทสินทรัพย์ และหลักทรัพย์ เช่นเดียวกับกองทุนนี้ (3) ติดตามเงินลงทุน อย่างไร? ปัจจุบันการติดตามมูลค่าเงินลงทุนเป็นเรื่องง่าย สามารถเช็กมูลค่าเงินลงทุนล่าสุด สัดส่วนการลงทุนปัจจุบัน กำไร/ขาดทุนที่เป็นจำนวนเงินและ %เทียบกับต้นทุน รวมถึงซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยน ได้เองทุกที่ทุกเวลาบนมือถือตนเอง เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการลงทุน ด้วยแอปพลิเคชัน ของ บลจ. บล. หรือธนาคารต่างๆ เช่น K-My Funds ของ บลจ.กสิกรไทย ลงทุนในโลกที่ผันผวนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การไม่ลงทุนเลยอาจทำให้ชีวิตลำบากมากกว่า ยิ่งช่วงเงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจฝืดเคือง เงินทองหายากขึ้น แต่ด้วยความไม่ง่ายนี้เอง ที่มีผู้พัฒนาเครื่องมือและให้ความรู้การเงินการลงทุนดีๆ เพื่อให้การลงทุนที่ดูเป็นเรื่องยาก สามารถเริ่มต้นได้ง่ายกว่าอดีตที่เคยเป็น การลงทุนที่ให้ได้ผลตอบแทนสูง ย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงหรือผันผวนสูง ที่ยากคาดเดาในแต่ละช่วงเวลาได้ ส่วนจะไม่ลงทุนเลย ผลที่ตามมา คือ เงินเก็บที่มีก็ด้อยค่าลงเรื่อยๆ จากราคาข้าวของที่แพงขึ้นทุกปี เงินเก็บที่เคยคิดว่าเยอะ ในอนาคตอาจน้อยลงอย่างน่าใจหาย I : โลกแห่งการลงทุน ราคาสินค้าและบริการ เปลี่ยนแปลงโดยวัดจาก เงินเฟ้อ เช่น อัตราเงินเฟ้อ 2565 ของไทย (ณ มี.ค. 65) อยู่ที่ 5.73% (เทียบกับ มี.ค. 64) แสดงว่าสินค้าที่เคยซื้อได้ด้วยเงิน 10,000 บาท เมื่อ มี.ค. 64 ผ่านมา 1 ปี หากซื้อสินค้าเดิมอีกครั้งต้องจ่ายเงินแพงขึ้นเป็น 10,573 บาท ในขณะที่เงินฝากประจำ 12 เดือนของธนาคารที่จดทะเบียนประเทศไทย ให้ดอกเบี้ยสูงสุดเพียง 1.2%ต่อปี (ข้อมูลจาก ธปท. ณ 27 เม.ย. 65) หลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% แล้ว เหลือดอกเบี้ยสุทธิ 1.02%ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าเงินเฟ้อหลายเท่า ดังนั้นหากนำเงินจำนวน 10,000 บาท ไปฝากประจำผ่านไป 1 ปี เงินจะเพิ่มเป็น 10,102 บาท ซึ่งยังไม่เพียงพอนำไปซื้อสินค้าเดิมที่ราคาสูงขึ้นได้ และหากยิ่งปล่อยเวลานานไป เงินที่ฝากไว้ก็จะยิ่งซื้อของได้น้อยลง แต่หากดูผลตอบแทนการลงทุนย้อนหลัง 1 ปี ณ 31 มี.ค. 65 พบว่ามีหลายทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อได้ในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น การลงทุนหุ้นโลก (อ้างอิงดัชนี MSCI ACWI) ให้ผลตอบแทน 14.14%ต่อปี การลงทุนหุ้นสหรัฐฯ (อ้างอิงดัชนี S&P 500 ที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วน) ให้ผลตอบแทน 17.55%ต่อปี และการลงทุนในหุ้นไทย (อ้างอิงดัชนี SET TRI) ให้ผลตอบแทน 9.90%ต่อปี แต่การลงทุนที่ว่า ก็ใช่ว่าจะกำไรเสมอไป อย่างผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน ณ 31 มี.ค. 65 ก็มีหลายทางเลือกที่ขาดทุน เช่น หุ้นโลกและหุ้นสหรัฐฯ ในช่วง 3 เดือน ขาดทุน -5.50% และ -4.83% ตามลำดับ ในขณะที่หุ้นไทย ในช่วง 3 เดือน กำไร 3.20% การลงทุนให้ชนะเงินเฟ้อ โดยไม่เสี่ยงขาดทุนไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย แต่หากลงทุนโดยจำกัดความเสี่ยง ก็เป็นสิ่งที่ทำได้แลกกับวินัยและระยะเวลาการลงทุน เพื่อให้เงินที่มีไม่ด้อยค่าลง จากเงินเฟ้อที่ต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ II: ลงทุนอย่างไร ในโลกที่ผันผวน ผลตอบแทนคือสิ่งคาดหวัง แต่ต้องแลกกับความผันผวนที่ต้องเผชิญ แล้วจะลงทุนอย่างไรและมีสิ่งใดต้องรู้เพื่อให้ได้ทั้งผลตอบแทนและรับได้กับความผันผวนที่เกิดขึ้น (1) ทุกสิ่งที่ลงทุน ไม่จำเป็นต้องชนะเงินเฟ้อเสมอไป หากเป้าหมายคือสร้างผลตอบแทนให้ชนะเงินเฟ้อ ก็ไม่จำเป็นต้องนำเงินทั้งหมดที่มีไปทุ่มลงทุนในทางเลือกที่ชนะเงินเฟ้อ แต่อาจเลือกใช้เงินแค่บางส่วนเพื่อให้ผลตอบแทนมากพอชดเชยผลของเงินเฟ้อที่กระทบเงินเก็บทั้งหมดที่มี เช่น แบ่งเงิน 40%ของเงินเก็บไปลงทุนในหุ้นโลก เงินลงทุนส่วนนี้ที่ผ่านมาช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับเงินเก็บโดยรวมได้ 5.66%ต่อปี (40% x 14.14%ต่อปี) ซึ่งใกล้เคียงกับเงินเฟ้อ และเงินส่วนที่เหลือนำไปลงทุนในทางเลือกความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนตราสารหนี้หรือเงินฝาก เพื่อให้มั่นใจว่าเงินอีก 60% จะยังคงปลอดภัยหรือผันผวนต่ำกว่าการลงทุนหุ้นโลก (2) ลงทุน ให้หลากหลายพอ ทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูง ไม่ได้มีทางเลือกเดียว และล้วนให้ผลตอบแทนที่ต่างกันในแต่ละช่วงเวลา เช่น - ปี 2563 ที่หุ้นโลกให้ผลตอบแทน 15.74%ต่อปี แต่ในช่วงเวลาเดียวกันหุ้นไทยขาดทุน -5.23%ต่อปี - ปี 2559 ที่หุ้นโลกให้ผลตอบแทน 6.34%ต่อปี แต่ในช่วงเวลาเดียวกันหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 11.20%ต่อปี การลงทุนที่หลากหลายช่วยให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แม้ช่วงเวลาที่บางทางเลือกขาดทุน แต่จะลงทุนทางเลือกไหนเท่าไรบ้าง ถึงหลากหลายพอ และขั้นต่ำในการลงทุนแต่ละทางเลือกจะเป็นข้อจำกัดในการลงทุนของเราไหมก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ (3) ลงทุน ด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม การลงทุนให้หลากหลาย ยังไม่เพียงพอสำหรับโลกการลงทุนที่ผันผวน เช่น การกระจายเงินลงทุนทั้งในหุ้นสหรัฐฯ หุ้นยุโรป และหุ้นจีน แต่หุ้นทั้ง 3 ตลาดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาก็ขาดทุน -4.83% -9.34% -12.71% ตามลำดับ ส่งผลให้เงินลงทุนโดยรวมขาดทุนหรือผันผวนสูงอยู่ดี การกำหนดสัดส่วนการลงทุน (พอร์ตการลงทุน) ในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ไปพร้อมกับการลงทุนที่หลากหลาย จึงสำคัญ เช่น กำหนดสัดส่วนเงินลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง (เช่น หุ้นโลก) ไว้ 40%ของพอร์ต เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ใกล้เคียงเงินเฟ้อ ซึ่งหุ้นโลกที่ผ่านมา 3 เดือนเคยขาดทุน -5.50% และในปี 2561 เคยขาดทุน -10.68%ต่อปีแล้ว หากจินตนาการว่าพอร์ตของตนเองที่มีหุ้นโลก 40% เคยขาดทุน -2.2% (40% x -5.50%) และ -4.27%ต่อปี (40% x -10.68%) ตามลำดับแล้ว จะยอมรับกับความผันผวนนี้ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ต้องลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง แต่ก็ควรคาดหวังผลตอบแทนที่ลดลงด้วย แต่หากยอมรับความผันผวนนี้ได้ และคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อ ก็สามารถเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงสูงให้มากขึ้นได้ แต่ควรกระจายการลงทุนให้หลากหลายด้วย เช่น ผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง อาจลองแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนเป็น ตราสารหนี้ 40%-50% หุ้นประเทศ/ภูมิภาคต่างๆ รวมกัน 45%-55% อสังหาริมทรัพย์ 5%-10% ทองคำ 5%-10% เป็นต้น (4) ลงทุน ในทางเลือกที่เหมาะสม การลงทุนไม่ได้ตอบโจทย์เพียงผลตอบแทนที่วัดด้วย %ต่อปี เท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการอื่นประกอบด้วย เช่น ต้องการเงินคืนระหว่างทางในรูปแบบเงินปันผลหรือเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ต้องการสะสมผลกำไรไว้ลงทุนต่อเนื่องเพื่อเป้าหมายในอนาคต หรือต้องการสิทธิทางภาษีควบคู่ไปกับการลงทุน เป็นต้น แต่ละทางเลือกย่อมตอบโจทย์ต่างกัน เช่น ต้องการเงินคืนระหว่างทางอาจลงทุนกองทุนที่การขายคืนอัตโนมัติ หุ้น/กองทุนที่จ่ายเงินปันผล หรือถ้าต้องการใช้สิทธิทางภาษีก็ต้องเป็นกองทุน SSF/RMF เป็นต้น III: อย่าเพิ่งลงทุน ถ้ายังไม่เช็กสิ่งเหล่านี้ ก่อนการลงทุน ไม่ว่าทางเลือกแบบไหน มีอยู่ 3 สิ่งที่ต้องเช็กหรือคิดก่อนลงทุน โดยขอยกตัวอย่างด้วยกองทุนผสม K-GINCOME-A เพราะเป็นทางเลือกที่เริ่มต้นได้ง่าย มีการกระจายการลงทุน โดยผู้ลงทุนไม่ต้องจัดสรรเอง และมีรูปแบบการลงทุนที่ครอบคลุมทั้ง K-GINCOME-A(A) ที่เน้นสะสมมูลค่า K-GINCOME-A(R) ที่เน้นมีเงินคืนระหว่างทาง และ K-GINCOME-SSF ที่ใช้สิทธิทางภาษีและมีเงินคืนระหว่างทาง แต่ใครที่ลงทุนด้วยทางเลือกอื่น ก็สามารถนำ 3 สิ่งนี้ไปปรับใช้ได้เช่นกัน (1) ที่ผ่านมา ได้ผลตอบแทนเท่าไร? นอกจากการเช็กผลการดำเนินงานของกองทุนแล้ว ควรเช็กเทียบกับกองทุนอื่นที่เป็นกลุ่มเดียวกันด้วย เช่น K-GINCOME-A(R) ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Foreign Investment Allocation หากดูการจัดลำดับ 1-100 หรือ Peer Percentile (เช่น ลำดับที่ 5 เป็นลำดับที่ดีกว่า 75 เป็นต้น) ณ 31 มี.ค. 65 พบว่าผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี ของกองทุนอยู่ในเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 5-25 และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี และ 5 ปี อยู่ในเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 25-50 ซึ่งถือว่าเป็นลำดับที่ดี ส่วนการเติบโตของเงินลงทุน ที่ดูได้จากราคา NAV ย้อนหลัง 5 ปี จนถึง 28 เม.ย. 65 ของ K-GINCOME-A(R) ที่มีการ เพิ่ม/ลด อยู่ทุกวัน แต่ในระยะยาวแล้ว ก็ถือว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นช่วง ปลาย มี.ค. 63 ที่กราฟ NAV ปรับตัวลงอย่างเห็นได้ชัด จาก NAV ประมาณ 11 บาท มาอยู่ที่ประมาณ 9 บาท ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่หุ้นต่างๆ ทั่วโลก ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่มา: ส่วนเงินคืนระหว่างทาง ดูได้จากประวัติการจ่ายเงินปันผลหรือประวัติการจ่ายเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ว่าสม่ำเสมอเพียงใด เช่น K-GINCOME-A(R) ที่จดทะเบียนกองทุน 10 มิ.ย. 58 มีการจ่ายเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติครั้งแรก 11 ส.ค. 58 หน่วยละ 0.0379 บาท และมีการจ่ายทุกเดือนๆ ละ 1 ครั้ง จนถึงล่าสุด 11 เม.ย. 65 ที่จ่ายหน่วยละ 0.0455 บาท ที่มา: สำหรับกองทุนหรือทางเลือกการลงทุนอื่น ก็ควรเช็กผลตอบแทนที่ผ่านมาด้วย โดยดูได้จากหน้าเว็บไซต์ของแต่ละ บลจ. หรือ morningstarthailand เป็นต้น (2) ลงทุนอะไร หลากหลายแค่ไหน? ยิ่งลงทุนหลากหลาย ยิ่งลดผลกระทบที่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งจะขาดทุน สำหรับกองทุนรวมนอกจากดูที่นโยบายการลงทุนว่าลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดบ้างแล้ว ควรเช็ก Top Holding ของกองทุนด้วย เช่น K-GINCOME-A(R) ณ 31 มี.ค. 65 มี Top Holding 10 ลำดับแรกตามรูป โดยสินทรัพย์ที่ลงทุนมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 1.1% และสินทรัพย์ 10 ลำดับแรก มีสัดส่วนรวมกันเพียง 6.9% แสดงให้เห็นถึงจำนวนสินทรัพย์ที่หลากหลายของกองทุนนี้ หากเช็กประเภทสินทรัพย์และภูมิภาคที่ลงทุนแล้ว เห็นได้ว่า K-GINCOME-A(R) มีการลงทุนที่หลากหลาย หากใครต้องการจัดสรรเงินลงทุนเอง แนะนำว่าควรมีการกระจายการลงทุนให้หลากหลาย ทั้งประเทศ/ภูมิภาค ประเภทสินทรัพย์ และหลักทรัพย์ เช่นเดียวกับกองทุนนี้ (3) ติดตามเงินลงทุน อย่างไร? ปัจจุบันการติดตามมูลค่าเงินลงทุนเป็นเรื่องง่าย สามารถเช็กมูลค่าเงินลงทุนล่าสุด สัดส่วนการลงทุนปัจจุบัน กำไร/ขาดทุนที่เป็นจำนวนเงินและ %เทียบกับต้นทุน รวมถึงซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยน ได้เองทุกที่ทุกเวลาบนมือถือตนเอง เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการลงทุน ด้วยแอปพลิเคชัน ของ บลจ. บล. หรือธนาคารต่างๆ เช่น K-My Funds ของ บลจ.กสิกรไทย ลงทุนในโลกที่ผันผวนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การไม่ลงทุนเลยอาจทำให้ชีวิตลำบากมากกว่า ยิ่งช่วงเงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจฝืดเคือง เงินทองหายากขึ้น แต่ด้วยความไม่ง่ายนี้เอง ที่มีผู้พัฒนาเครื่องมือและให้ความรู้การเงินการลงทุนดีๆ เพื่อให้การลงทุนที่ดูเป็นเรื่องยาก สามารถเริ่มต้นได้ง่ายกว่าอดีตที่เคยเป็น การลงทุนที่ให้ได้ผลตอบแทนสูง ย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงหรือผันผวนสูง ที่ยากคาดเดาในแต่ละช่วงเวลาได้ ส่วนจะไม่ลงทุนเลย ผลที่ตามมา คือ เงินเก็บที่มีก็ด้อยค่าลงเรื่อยๆ จากราคาข้าวของที่แพงขึ้นทุกปี เงินเก็บที่เคยคิดว่าเยอะ ในอนาคตอาจน้อยลงอย่างน่าใจหาย I : โลกแห่งการลงทุน I : โลกแห่งการลงทุน ราคาสินค้าและบริการ เปลี่ยนแปลงโดยวัดจาก เงินเฟ้อ เช่น อัตราเงินเฟ้อ 2565 ของไทย (ณ มี.ค. 65) อยู่ที่ 5.73% (เทียบกับ มี.ค. 64) แสดงว่าสินค้าที่เคยซื้อได้ด้วยเงิน 10,000 บาท เมื่อ มี.ค. 64 ผ่านมา 1 ปี หากซื้อสินค้าเดิมอีกครั้งต้องจ่ายเงินแพงขึ้นเป็น 10,573 บาท ในขณะที่เงินฝากประจำ 12 เดือนของธนาคารที่จดทะเบียนประเทศไทย ให้ดอกเบี้ยสูงสุดเพียง 1.2%ต่อปี (ข้อมูลจาก ธปท. ณ 27 เม.ย. 65) หลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% แล้ว เหลือดอกเบี้ยสุทธิ 1.02%ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าเงินเฟ้อหลายเท่า ดังนั้นหากนำเงินจำนวน 10,000 บาท ไปฝากประจำผ่านไป 1 ปี เงินจะเพิ่มเป็น 10,102 บาท ซึ่งยังไม่เพียงพอนำไปซื้อสินค้าเดิมที่ราคาสูงขึ้นได้ และหากยิ่งปล่อยเวลานานไป เงินที่ฝากไว้ก็จะยิ่งซื้อของได้น้อยลง แต่หากดูผลตอบแทนการลงทุนย้อนหลัง 1 ปี ณ 31 มี.ค. 65 พบว่ามีหลายทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อได้ในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น การลงทุนหุ้นโลก (อ้างอิงดัชนี MSCI ACWI) ให้ผลตอบแทน 14.14%ต่อปี การลงทุนหุ้นสหรัฐฯ (อ้างอิงดัชนี S&P 500 ที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วน) ให้ผลตอบแทน 17.55%ต่อปี และการลงทุนในหุ้นไทย (อ้างอิงดัชนี SET TRI) ให้ผลตอบแทน 9.90%ต่อปี แต่การลงทุนที่ว่า ก็ใช่ว่าจะกำไรเสมอไป อย่างผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน ณ 31 มี.ค. 65 ก็มีหลายทางเลือกที่ขาดทุน เช่น หุ้นโลกและหุ้นสหรัฐฯ ในช่วง 3 เดือน ขาดทุน -5.50% และ -4.83% ตามลำดับ ในขณะที่หุ้นไทย ในช่วง 3 เดือน กำไร 3.20% การลงทุนให้ชนะเงินเฟ้อ โดยไม่เสี่ยงขาดทุนไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย แต่หากลงทุนโดยจำกัดความเสี่ยง ก็เป็นสิ่งที่ทำได้แลกกับวินัยและระยะเวลาการลงทุน เพื่อให้เงินที่มีไม่ด้อยค่าลง จากเงินเฟ้อที่ต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ II: ลงทุนอย่างไร ในโลกที่ผันผวน II: ลงทุนอย่างไร ในโลกที่ผันผวน ผลตอบแทนคือสิ่งคาดหวัง แต่ต้องแลกกับความผันผวนที่ต้องเผชิญ แล้วจะลงทุนอย่างไรและมีสิ่งใดต้องรู้เพื่อให้ได้ทั้งผลตอบแทนและรับได้กับความผันผวนที่เกิดขึ้น (1) ทุกสิ่งที่ลงทุน ไม่จำเป็นต้องชนะเงินเฟ้อเสมอไป หากเป้าหมายคือสร้างผลตอบแทนให้ชนะเงินเฟ้อ ก็ไม่จำเป็นต้องนำเงินทั้งหมดที่มีไปทุ่มลงทุนในทางเลือกที่ชนะเงินเฟ้อ แต่อาจเลือกใช้เงินแค่บางส่วนเพื่อให้ผลตอบแทนมากพอชดเชยผลของเงินเฟ้อที่กระทบเงินเก็บทั้งหมดที่มี เช่น แบ่งเงิน 40%ของเงินเก็บไปลงทุนในหุ้นโลก เงินลงทุนส่วนนี้ที่ผ่านมาช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับเงินเก็บโดยรวมได้ 5.66%ต่อปี (40% x 14.14%ต่อปี) ซึ่งใกล้เคียงกับเงินเฟ้อ และเงินส่วนที่เหลือนำไปลงทุนในทางเลือกความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนตราสารหนี้หรือเงินฝาก เพื่อให้มั่นใจว่าเงินอีก 60% จะยังคงปลอดภัยหรือผันผวนต่ำกว่าการลงทุนหุ้นโลก (2) ลงทุน ให้หลากหลายพอ ทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูง ไม่ได้มีทางเลือกเดียว และล้วนให้ผลตอบแทนที่ต่างกันในแต่ละช่วงเวลา เช่น - ปี 2563 ที่หุ้นโลกให้ผลตอบแทน 15.74%ต่อปี แต่ในช่วงเวลาเดียวกันหุ้นไทยขาดทุน -5.23%ต่อปี - ปี 2559 ที่หุ้นโลกให้ผลตอบแทน 6.34%ต่อปี แต่ในช่วงเวลาเดียวกันหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 11.20%ต่อปี การลงทุนที่หลากหลายช่วยให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แม้ช่วงเวลาที่บางทางเลือกขาดทุน แต่จะลงทุนทางเลือกไหนเท่าไรบ้าง ถึงหลากหลายพอ และขั้นต่ำในการลงทุนแต่ละทางเลือกจะเป็นข้อจำกัดในการลงทุนของเราไหมก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ (3) ลงทุน ด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม การลงทุนให้หลากหลาย ยังไม่เพียงพอสำหรับโลกการลงทุนที่ผันผวน เช่น การกระจายเงินลงทุนทั้งในหุ้นสหรัฐฯ หุ้นยุโรป และหุ้นจีน แต่หุ้นทั้ง 3 ตลาดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาก็ขาดทุน -4.83% -9.34% -12.71% ตามลำดับ ส่งผลให้เงินลงทุนโดยรวมขาดทุนหรือผันผวนสูงอยู่ดี การกำหนดสัดส่วนการลงทุน (พอร์ตการลงทุน) ในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ไปพร้อมกับการลงทุนที่หลากหลาย จึงสำคัญ เช่น กำหนดสัดส่วนเงินลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง (เช่น หุ้นโลก) ไว้ 40%ของพอร์ต เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ใกล้เคียงเงินเฟ้อ ซึ่งหุ้นโลกที่ผ่านมา 3 เดือนเคยขาดทุน -5.50% และในปี 2561 เคยขาดทุน -10.68%ต่อปีแล้ว หากจินตนาการว่าพอร์ตของตนเองที่มีหุ้นโลก 40% เคยขาดทุน -2.2% (40% x -5.50%) และ -4.27%ต่อปี (40% x -10.68%) ตามลำดับแล้ว จะยอมรับกับความผันผวนนี้ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ต้องลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง แต่ก็ควรคาดหวังผลตอบแทนที่ลดลงด้วย แต่หากยอมรับความผันผวนนี้ได้ และคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อ ก็สามารถเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงสูงให้มากขึ้นได้ แต่ควรกระจายการลงทุนให้หลากหลายด้วย เช่น ผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง อาจลองแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนเป็น ตราสารหนี้ 40%-50% หุ้นประเทศ/ภูมิภาคต่างๆ รวมกัน 45%-55% อสังหาริมทรัพย์ 5%-10% ทองคำ 5%-10% เป็นต้น (4) ลงทุน ในทางเลือกที่เหมาะสม การลงทุนไม่ได้ตอบโจทย์เพียงผลตอบแทนที่วัดด้วย %ต่อปี เท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการอื่นประกอบด้วย เช่น ต้องการเงินคืนระหว่างทางในรูปแบบเงินปันผลหรือเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ต้องการสะสมผลกำไรไว้ลงทุนต่อเนื่องเพื่อเป้าหมายในอนาคต หรือต้องการสิทธิทางภาษีควบคู่ไปกับการลงทุน เป็นต้น แต่ละทางเลือกย่อมตอบโจทย์ต่างกัน เช่น ต้องการเงินคืนระหว่างทางอาจลงทุนกองทุนที่การขายคืนอัตโนมัติ หุ้น/กองทุนที่จ่ายเงินปันผล หรือถ้าต้องการใช้สิทธิทางภาษีก็ต้องเป็นกองทุน SSF/RMF เป็นต้น III: อย่าเพิ่งลงทุน ถ้ายังไม่เช็กสิ่งเหล่านี้ III: อย่าเพิ่งลงทุน ถ้ายังไม่เช็กสิ่งเหล่านี้ ก่อนการลงทุน ไม่ว่าทางเลือกแบบไหน มีอยู่ 3 สิ่งที่ต้องเช็กหรือคิดก่อนลงทุน โดยขอยกตัวอย่างด้วยกองทุนผสม K-GINCOME-A เพราะเป็นทางเลือกที่เริ่มต้นได้ง่าย มีการกระจายการลงทุน โดยผู้ลงทุนไม่ต้องจัดสรรเอง และมีรูปแบบการลงทุนที่ครอบคลุมทั้ง K-GINCOME-A(A) ที่เน้นสะสมมูลค่า K-GINCOME-A(R) ที่เน้นมีเงินคืนระหว่างทาง และ K-GINCOME-SSF ที่ใช้สิทธิทางภาษีและมีเงินคืนระหว่างทาง แต่ใครที่ลงทุนด้วยทางเลือกอื่น ก็สามารถนำ 3 สิ่งนี้ไปปรับใช้ได้เช่นกัน (1) ที่ผ่านมา ได้ผลตอบแทนเท่าไร? นอกจากการเช็กผลการดำเนินงานของกองทุนแล้ว ควรเช็กเทียบกับกองทุนอื่นที่เป็นกลุ่มเดียวกันด้วย เช่น K-GINCOME-A(R) ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Foreign Investment Allocation หากดูการจัดลำดับ 1-100 หรือ Peer Percentile (เช่น ลำดับที่ 5 เป็นลำดับที่ดีกว่า 75 เป็นต้น) ณ 31 มี.ค. 65 พบว่าผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี ของกองทุนอยู่ในเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 5-25 และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี และ 5 ปี อยู่ในเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 25-50 ซึ่งถือว่าเป็นลำดับที่ดี ส่วนการเติบโตของเงินลงทุน ที่ดูได้จากราคา NAV ย้อนหลัง 5 ปี จนถึง 28 เม.ย. 65 ของ K-GINCOME-A(R) ที่มีการ เพิ่ม/ลด อยู่ทุกวัน แต่ในระยะยาวแล้ว ก็ถือว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นช่วง ปลาย มี.ค. 63 ที่กราฟ NAV ปรับตัวลงอย่างเห็นได้ชัด จาก NAV ประมาณ 11 บาท มาอยู่ที่ประมาณ 9 บาท ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่หุ้นต่างๆ ทั่วโลก ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่มา: ส่วนเงินคืนระหว่างทาง ดูได้จากประวัติการจ่ายเงินปันผลหรือประวัติการจ่ายเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ว่าสม่ำเสมอเพียงใด เช่น K-GINCOME-A(R) ที่จดทะเบียนกองทุน 10 มิ.ย. 58 มีการจ่ายเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติครั้งแรก 11 ส.ค. 58 หน่วยละ 0.0379 บาท และมีการจ่ายทุกเดือนๆ ละ 1 ครั้ง จนถึงล่าสุด 11 เม.ย. 65 ที่จ่ายหน่วยละ 0.0455 บาท ที่มา: สำหรับกองทุนหรือทางเลือกการลงทุนอื่น ก็ควรเช็กผลตอบแทนที่ผ่านมาด้วย โดยดูได้จากหน้าเว็บไซต์ของแต่ละ บลจ. หรือ morningstarthailand เป็นต้น (2) ลงทุนอะไร หลากหลายแค่ไหน? ยิ่งลงทุนหลากหลาย ยิ่งลดผลกระทบที่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งจะขาดทุน สำหรับกองทุนรวมนอกจากดูที่นโยบายการลงทุนว่าลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดบ้างแล้ว ควรเช็ก Top Holding ของกองทุนด้วย เช่น K-GINCOME-A(R) ณ 31 มี.ค. 65 มี Top Holding 10 ลำดับแรกตามรูป โดยสินทรัพย์ที่ลงทุนมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 1.1% และสินทรัพย์ 10 ลำดับแรก มีสัดส่วนรวมกันเพียง 6.9% แสดงให้เห็นถึงจำนวนสินทรัพย์ที่หลากหลายของกองทุนนี้ หากเช็กประเภทสินทรัพย์และภูมิภาคที่ลงทุนแล้ว เห็นได้ว่า K-GINCOME-A(R) มีการลงทุนที่หลากหลาย หากใครต้องการจัดสรรเงินลงทุนเอง แนะนำว่าควรมีการกระจายการลงทุนให้หลากหลาย ทั้งประเทศ/ภูมิภาค ประเภทสินทรัพย์ และหลักทรัพย์ เช่นเดียวกับกองทุนนี้ (3) ติดตามเงินลงทุน อย่างไร? ปัจจุบันการติดตามมูลค่าเงินลงทุนเป็นเรื่องง่าย สามารถเช็กมูลค่าเงินลงทุนล่าสุด สัดส่วนการลงทุนปัจจุบัน กำไร/ขาดทุนที่เป็นจำนวนเงินและ %เทียบกับต้นทุน รวมถึงซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยน ได้เองทุกที่ทุกเวลาบนมือถือตนเอง เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการลงทุน ด้วยแอปพลิเคชัน ของ บลจ. บล. หรือธนาคารต่างๆ เช่น K-My Funds ของ บลจ.กสิกรไทย ลงทุนในโลกที่ผันผวนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การไม่ลงทุนเลยอาจทำให้ชีวิตลำบากมากกว่า ยิ่งช่วงเงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจฝืดเคือง เงินทองหายากขึ้น แต่ด้วยความไม่ง่ายนี้เอง ที่มีผู้พัฒนาเครื่องมือและให้ความรู้การเงินการลงทุนดีๆ เพื่อให้การลงทุนที่ดูเป็นเรื่องยาก สามารถเริ่มต้นได้ง่ายกว่าอดีตที่เคยเป็น บทความโดย K WEALTH GURU ราชันย์ ตันติจินดา CFP® K WEALTH GURU ราชันย์ ตันติจินดา CFP® แชร์ แชร์
ผลตอบแทนคือ สิ่งคาดหวัง แต่ต้องแลกกับความผันผวนที่ต้องเผชิญ แล้วจะลงทุนอย่างไร เพื่อให้ได้ทั้งผลตอบแทนและรับได้กับความผันผวนที่เกิดขึ้น (1) ทุกสิ่งที่ลงทุน ไม่จำเป็นต้องชนะเงินเฟ้อเสมอไป หากเป้าหมายคือสร้างผลตอบแทนให้ชนะเงินเฟ้อ ก็ไม่จำเป็นต้องนำเงินทั้งหมดที่มีไปทุ่มลงทุนในทางเลือกที่ชนะเงินเฟ้อ แต่อาจเลือกใช้เงินแค่บางส่วน เพื่อให้ผลตอบแทนมากพอชดเชยผลของเงินเฟ้อที่กระทบเงินเก็บทั้งหมดที่มี (2) ลงทุน ให้หลากหลายพอ ทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูง ไม่ได้มีทางเลือกเดียว และล้วนให้ผลตอบแทนที่ต่างกันในแต่ละช่วงเวลา การลงทุนที่หลากหลาย ช่วยให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แม้ช่วงเวลาที่บางทางเลือกขาดทุน แต่จะลงทุนทางเลือกไหนเท่าไรบ้าง ถึงหลากหลายพอ และขั้นต่ำในการลงทุนแต่ละทางเลือกจะเป็นข้อจำกัดในการลงทุนของเราไหมก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ (3) ลงทุนด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม การลงทุนให้หลากหลาย ยังไม่เพียงพอสำหรับโลกการลงทุนที่ผันผวน เช่น การกระจายเงินลงทุนทั้งในหุ้นสหรัฐฯ หุ้นยุโรป และหุ้นจีน แต่หุ้นก็ขาดทุน ส่งผลให้เงินลงทุนโดยรวมขาดทุนหรือผันผวนสูงอยู่ดี การกำหนดสัดส่วนการลงทุน (พอร์ตการลงทุน) ในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ไปพร้อมกับการลงทุนที่หลากหลายจึงสำคัญ เช่น กำหนดสัดส่วนเงินลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง (เช่น หุ้นโลก) ไว้ 40% ของพอร์ต เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ใกล้เคียงเงินเฟ้อ แต่หากยอมรับความผันผวนนี้ได้ และคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อ ก็สามารถเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงสูงให้มากขึ้นได้ แต่ควรกระจายการลงทุนให้หลากหลายด้วย (4) ลงทุนในทางเลือกที่เหมาะสม การลงทุนไม่ได้ตอบโจทย์เพียงผลตอบแทนที่วัดด้วย % ต่อปี เท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการอื่นประกอบด้วย เช่น ต้องการเงินคืนระหว่างทางในรูปแบบเงินปันผลหรือเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ต้องการสะสมผลกำไรไว้ลงทุนต่อเนื่องเพื่อเป้าหมายในอนาคต หรือต้องการสิทธิทางภาษีควบคู่ไปกับการลงทุน เป็นต้น แต่ละทางเลือกย่อมตอบโจทย์ต่างกัน เช่น ต้องการเงินคืนระหว่างทางอาจลงทุนกองทุนที่การขายคืนอัตโนมัติ หุ้น/กองทุนที่จ่ายเงินปันผล หรือถ้าต้องการใช้สิทธิทางภาษีก็ต้องเป็นกองทุน SSF/RMF เป็นต้น
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Legal_49843
Legal
ตามกฎหมายไทย คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสกันได้หรือไม่?
a. ไม่แน่ชัด ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล b. ได้ แต่มีเงื่อนไข c. ไม่ได้ d. ได้
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ c. เนื่องจาก เหตุผลประกอบ: คู่รักเพศเดียวกันที่กล่าวถึงคือ วีรวัฒน์ และคนรัก ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ใช้วิธีการจดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรมของพ่อแม่ของฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้มีสิทธิ์ใกล้เคียงกับการสมรส ได้ - ไม่ถูกต้อง เพราะกฎหมายไทยปัจจุบัน (ณ พ.ศ. 2565) ยังไม่รองรับการจดทะเบียนสมรสสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน ไม่ได้ - ถูกต้อง เพราะกฎหมายไทยปัจจุบัน (ณ พ.ศ. 2565) ยังไม่รองรับการจดทะเบียนสมรสสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน ได้ แต่มีเงื่อนไข - ไม่ถูกต้อง เพราะไม่มีเงื่อนไขใดๆ ในกฎหมายไทยปัจจุบันที่อนุญาตให้คู่รักเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรส ไม่แน่ชัด ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล - ไม่ถูกต้อง เพราะกฎหมายไทยกำหนดเงื่อนไขการสมรสไว้ชัดเจน และไม่เปิดช่องให้ศาลตีความเพื่อรองรับการจดทะเบียนสมรสของคู่รักเพศเดียวกัน
กฎหมายเยาวชนและครอบครัว พรบ
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_23883
Medical
การดูลิ้นเพื่อวินิจฉัยโรคตามทฤษฎีแพทย์จีนนั้น มีความสำคัญอย่างไร?
ลิ้นคือหน้าต่างของร่างกาย ลิ้นคือหน้าต่างของร่างกาย การเกิดและดำเนินของโรคนั้นเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน การดูลิ้นเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจการดำเนินและการเปลี่ยนแปลงของโรคได้ หลักการสำคัญในการดูลิ้นนั้น กล่าวโดยรวมๆแล้วก็คือ การดูตัวลิ้นและฝ้าบนลิ้น โดยทั่วไปแล้วการดูลักษณะของลิ้นจะทำให้เราเข้าใจสภาพร่างกายของผู้ป่วย และความรุนแรงของโรค ซึ่งจะทำให้เราใช้ยาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม การดูลิ้นถือเป็นเนื้อหาสำคัญส่วนหนึ่งในหลักการวินิจฉัยโรคของทฤษฎีแพทย์จีนคือการมอง หลักในการวินิจฉัยโรคของทฤษฎีแพทย์จีนคือ ใช้การมอง ดม ฟัง ถาม จับชีพจร และคลำ การดูลิ้นเพื่อวินิจฉัยโรคนั้นมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ซึ่งมีบันทึกไว้ในคัมภีร์แพทย์จีนคือหวงตี้เน่ยจิง ซางหางจ๋าปิ้งลุ่น ฯลฯ ว่าในช่วงเวลากว่า 2 พันปีมานี้ การดูลิ้นเพื่อวินิจฉัยโรคได้เจริญเติบโตและพัฒนาไปตามการพัฒนาของการแพทย์จีน จนมีเนื้อหาที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 14 หนังสือเกี่ยวกับการดูลิ้นวินิจฉัยโรคชื่อ อ๋าวซื่อซางหางจินจิ้งลู่ ได้เกิดขึ้นครั้งแรก จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ภายใต้การชี้นำของทฤษฎีแพทย์จีน การดูลิ้นเพื่อวินิจฉัยโรคก็ยังคงเป็นวิธีการวินิจฉัยโรคอีกวิธีหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ ที่สามารถนำไปใช้อย่างได้ผลในทางคลินิกของแพทย์จีน การดูลิ้นเพื่อวินิจฉัยโรคจะถูกต้องและแม่นยำได้นั้นจะต้องร่วมกับการปฏิบัติทางด้านคลินิก จากการปฏิบัติที่เป็นจริงสามารถยืนยันได้ว่า การดูลิ้นนั้นมีความหมายยิ่งคือ ทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของร่างกาย อาการหนักเบาของโรค แนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรงหรือทุเลาของโรค การใช้ยาในการรักษาโรคตลอดจนการพยากรณ์อาการของโรค ทั้งนี้เพราะในกระบวนการเกิดพัฒนา เปลี่ยนแปลงของโรคนั้น จะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและชัดเจนเกิดขึ้นบนลิ้น ด้วยเหตุนี้ลิ้นจึงเป็นอวัยวะที่สามารถสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและโรคได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถดูและสังเกตได้ง่าย จึงสรุปได้ว่า ลิ้นเปรียบเสมือนหน้าต่างที่จะทำให้เราสังเกตและมองทะลุอวัยวะภายในของร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีรวิทยาและพยาธิวิทยา เป็นเสมือนภาพสะท้อนที่บ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของชีวิตภายในร่างกาย แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของลิ้นในทางคลินิกนั้นค่อนข้างสลับซับซ้อน แต่ถ้าเราสามารถยึดหลักการในการดูลิ้นได้ เราก็จะยึดวิธีการในการวินิจฉัยโรคได้แม่นยำ ภาพที่1 ลักษณะของลิ้น ตัวลิ้นซีดเล็กน้อย ภาพที่ 3 ลักษณะของลิ้น ตัวลิ้นเเดลเรื่อๆ มีฝ้าสีขาวปกคลุมทั่วลิ้น ตัวลิ้นหยาบมีเม็ด ปลายลิ้นแดงกว่าส่วนอื่นเล็กน้อย ปลาย เล็กๆคล้ายทรายอยู่ทั่วหน้าลิ้น ของลิ้นมีสีม่วงปกคลุมเป็นหย่อมๆและมีฝ้า ขาว ถ้าสังเกตุให้ระเอียดจะเห็นคล้ายเม็ด ทรายอยู่ทั่วหน้าลิ้นปริเวณนั้น โรคที่พบ มักพบในผู้ป่วยติดเชื้อที่มี โรคที่พบ มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง อาการไข้ จากการดื่มเหล้า ท้องมาน บวมน้ำ โรคปอด และหัวใจ ภาพที่2 ลักษณะของลิ้น ตัวลิ้นสีแดงเรื่อๆ แต่สีคล้ำ ขอบลิ้นมีจุดดำและจุดห้อเลือด ฝ้าบนลิ้นบางและน้อย โรคที่พบ มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับตับและถุงน้ำดี
การดูลิ้นเพื่อวินิจฉัยโรคตามทฤษฎีแพทย์จีนมีความสำคัญดังต่อไปนี้: 1. ช่วยให้เข้าใจสภาพร่างกายของผู้ป่วย: ลักษณะของลิ้น เช่น สี ขนาด รูปร่าง รอยหยัก ลิ้นบวม ฯลฯ ล้วนเป็นตัวบ่งบอกถึงสภาพอวัยวะภายในร่างกาย ความสมดุลของธาตุทั้งห้า และสภาวะของชี่ ลมปราณ โดยแพทย์แผนจีนจะวิเคราะห์จากลักษณะเหล่านี้เพื่อประเมินสภาวะสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย 2. บ่งบอกถึงความรุนแรงของโรค: ลักษณะของลิ้น เช่น ฝ้าบนลิ้น สีของลิ้น รอยแตกบนลิ้น ล้วนสามารถบ่งบอกถึงความรุนแรงของโรคได้ ตัวอย่างเช่น ฝ้าหนาสีเหลือง แสดงถึงภาวะร้อนภายในรุนแรง ฝ้าขาวหนา แสดงถึงภาวะ寒邪 ( hàn xié ) สะสม ฝ้าบางใส แสดงถึงอาการป่วยเรื้อรัง 3. ช่วยในการวินิจฉัยโรค: ลักษณะของลิ้นสามารถบ่งบอกถึงโรคบางชนิดได้ ตัวอย่างเช่น ลิ้นแดง แสดงถึงภาวะร้อนภายใน ลิ้นซีด แสดงถึงภาวะเลือดพร่อง ลิ้นบวมใหญ่ แสดงถึงภาวะน้ำคั่ง 4. ช่วยในการติดตามผลการรักษา: การดูลิ้นซ้ำหลังการรักษาสามารถช่วยให้แพทย์ประเมินผลการรักษาและปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม 5. เป็นวิธีการวินิจฉัยโรคที่มีราคาไม่แพง หาซื้อง่าย และสะดวก: การดูลิ้นไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษใดๆ เพียงแค่สังเกตด้วยตาเปล่าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การดูลิ้นเพื่อวินิจฉัยโรคเป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการวินิจฉัยโรคตามทฤษฎีแพทย์จีน แพทย์จะต้องประกอบการวินิจฉัยจากการดูลิ้นร่วมกับการปฏิบัติทางคลินิกอื่นๆ เช่น การถามประวัติ การตรวจร่างกาย การจับชีพจร ฯลฯ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่ถูกต้องและแม่นยำ ตัวอย่างการประยุกต์ใช้การดูลิ้นเพื่อวินิจฉัยโรค: ผู้ป่วยมาด้วยอาการท้องเสีย เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ลิ้นซีด มีฝ้าขาวบางๆ แพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะม้ามพร่อง เลือดพร่อง ผู้ป่วยมาด้วยอาการเจ็บคอ ปวดศีรษะ ไอ มีไข้ ลิ้นแดง มีฝ้าเหลืองหนา แพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะร้อนภายใน ข้อควรระวัง: การดูลิ้นเพื่อวินิจฉัยโรคนั้นต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ ลักษณะของลิ้นอาจเปลี่ยนแปลงได้จากหลายปัจจัย เช่น อาหาร ยา สุขอนามัยช่องปาก ฯลฯ การดูลิ้นเพียงอย่างเดียวไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง แพทย์จะต้องประกอบการวินิจฉัยจากการดูลิ้นร่วมกับการปฏิบัติทางคลินิกอื่นๆ สรุป: การดูลิ้นเพื่อวินิจฉัยโรคตามทฤษฎีแพทย์จีนนั้นเป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรค ช่วยให้แพทย์เข้าใจสภาพร่างกายของผู้ป่วย บ่งบอกถึงความรุนแรงของโรค ช่วยในการวินิจฉัยโรค และติดตามผลการรักษา อย่างไรก็ตาม การดูลิ้นเพียงอย่างเดียวไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง แพทย์จะต้องประกอบการวินิจฉัยจากการดูลิ้นร่วมกับการปฏิบัติทางคลินิกอื่นๆ
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11489
Medical
ในผู้ป่วยโรคขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficiency) การใช้ยาเมทิลีน บลู (Methylene blue) รักษาภาวะเมทฮีโมโกลบินในเลือด (Methemoglobinemia) นั้น ปลอดภัยหรือไม่?
null
การใช้ยาเมทิลีน บลู (Methylene blue) รักษาภาวะเมทฮีโมโกลบินในเลือด (Methemoglobinemia) ในผู้ป่วยโรคขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficiency) นั้น ควรทำด้วยความระมัดระวัง และ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เหตุผล: 1. โรคขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficiency) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายขาดเอนไซม์ G6PD ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องเม็ดเลือดแดงจากการถูกทำลายโดยสารออกซิเดชัน ยาเมทิลีน บลู (Methylene blue) เองก็มีฤทธิ์ในการออกซิเดชันเช่นกัน 2. ในผู้ป่วยโรคขาดเอนไซม์จีซิกพีดี การใช้ยาเมทิลีน บลู อาจทำให้เม็ดเลือดแดงแตกตัว (hemolysis) รุนแรงขึ้น 3. ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกตัว (hemolysis) อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น ภาวะไตวายเฉียบพลัน (acute kidney failure) , ดีซอง (jaundice) และเสียชีวิต แนวทางการรักษาภาวะเมทฮีโมโกลบินในเลือด (Methemoglobinemia) ในผู้ป่วยโรคขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficiency): แพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ตัวเลือกการรักษาอื่นๆ ที่อาจพิจารณาใช้แทนยาเมทิลีน บลู ได้แก่ 1. การให้เลือดแดง (blood transfusion) การให้วิตามินซี (vitamin C) การใช้เครื่องช่วยหายใจ (mechanical ventilation) 2. ผู้ป่วยโรคขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficiency) ทุกคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะเมทฮีโมโกลบินในเลือด (Methemoglobinemia) ควรได้รับการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาล ข้อควรระวังเพิ่มเติม: 1. ผู้ป่วยโรคขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficiency) ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับโรคประจำตัวและยาที่ใช้อยู่ก่อนรับประทานยาเมทิลีน บลู (Methylene blue) 2. หากผู้ป่วยมีอาการของภาวะเม็ดเลือดแดงแตกตตว (hemolysis) เช่น ปัสสาวะสีน้ำตาลเข้ม อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หายใจลำบาก ควรหยุดรับประทานยาเมทิลีน บลู (Methylene blue) และรีบพบแพทย์
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_27682
Medical
ผู้ป่วยโรคตับแข็งจากแอลกอฮอล์ จำเป็นต้องหยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคตับแข็งจากแอลกอฮอล์ การหยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาโรคตับแข็ง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อไปจะทำให้โรคตับแข็งแย่ลง และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น ตับวาย มะเร็งตับ และเสียชีวิต ผลของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อตับ: แอลกอฮอล์จะถูกเผาผลาญที่ตับ กระบวนการเผาผลาญนี้สร้างสารพิษที่สามารถทำลายเซลล์ตับ เซลล์ตับที่เสียหายจะถูกแทนที่ด้วยเนื้อเยื่อพังผืด เนื้อเยื่อพังผืดจะขัดขวางการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงตับ และทำให้ตับทำงานผิดปกติ เมื่อตับทำงานผิดปกติ จะไม่สามารถกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ สารพิษที่สะสมในร่างกายจะส่งผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์: มีการศึกษาหลายชิ้นที่แสดงว่า การหยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของตับ และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยโรคตับแข็ง การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้ป่วยโรคตับแข็งที่หยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีโอกาสรอดชีวิตนานกว่าผู้ป่วยที่ยังคงดื่มอยู่ การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้ป่วยโรคตับแข็งที่หยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีโอกาสเกิดภาวะตับวายน้อยกว่าผู้ป่วยที่ยังคงดื่มอยู่ คำแนะนำ: ผู้ป่วยโรคตับแข็งควรหยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด แพทย์สามารถช่วยผู้ป่วยในการเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีกลุ่มสนับสนุนและทรัพยากรอื่นๆ ที่สามารถช่วยผู้ป่วยในการเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สรุป: การหยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาโรคตับแข็ง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อไปจะทำให้โรคตับแข็งแย่ลง และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง ผู้ป่วยโรคตับแข็งควรหยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด และขอความช่วยเหลือจากแพทย์และกลุ่มสนับสนุน
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_10459
Medical
สรุปบทความเรื่อง คัดจมูก ให้หน่อย
คัดจมูก แน่นจมูก Nasal congestion สิ่งแปลกปลอมในจมูก Nasal foreign body โรคหวัด Common cold โรคภูมิแพ้ Allergy โรคภูมิแพ้หูคอจมูก ENT and Allergy เนื้องอก Tumor มะเร็ง Cancer ไซนัสอักเสบ โพรงอากาศข้างจมูกอักเสบ Sinusitis คัดจมูก แน่นจมูก Nasal congestion เป็นอาการที่เกิดจากเยื่อบุโพรงจมูกบวม จึงส่ง ผลให้เกิดการอุดกั้นทางเดินลมหายใจหรืออาการแน่นคัดจมูก สาเหตุของอาการคัดจมูกมีได้หลายสาเหตุ ที่พบบ่อยคือ จากการติดเชื้อเช่น โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคไซนัสอักเสบ โรคภูมิแพ้ จากมีสิ่งอุดตันโพรงจมูกเช่น น้ำมูก โรคเนื้องอก โรคมะเร็งจมูก หรือเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิดเช่น ยาพ่นหรือยากินเพื่อลดบวมในจมูก คัดจมูกมักเกิดร่วมกับอาการอื่นๆเสมอโดยเฉพาะการมีน้ำมูก หรืออาจมีไข้ ปวดศีรษะ ผื่น คัน ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ เมื่อคัดจมูกจนต้องอ้าปากหายใจ หรือมีเลือดออกทางจมูกร่วมด้วย หรือน้ำมูกมีสีเขียว เหลืองหรือมีกลิ่นเหม็น หรือมีไข้ ควรต้องรีบพบแพทย์ไปโรงพยาบาล
คัดจมูก เป็นอาการที่เกิดจากเยื่อบุโพรงจมูกบวม ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นทางเดินลมหายใจหรืออาการแน่นคัดจมูก เกิดจากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อยคือ จากการติดเชื้อเช่น โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคไซนัสอักเสบ โรคภูมิแพ้ รวมถึงสิ่งอุดตันโพรงจมูกเช่น น้ำมูก โรคเนื้องอก โรคมะเร็งจมูก หรือเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิดเช่น ยาพ่นหรือยากินเพื่อลดบวมในจมูก มักเกิดร่วมกับอาการอื่นๆเสมอโดยเฉพาะการมีน้ำมูก หรืออาจมีไข้ ปวดศีรษะ
โสต ศอ นาสิกวิทยา (โสต ศอ นาสิกวิทยา) - Otolaryngology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_4034
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ปัจจัยที่คาดว่าจะเกิด Herd Immunity ในประเทศไทย
null
จากนโยบายวัคซีนที่เข้ามาในประเทศไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในสถานการณ์โควิด-19 มีปัจจัยที่คาดว่าจะเกิด Herd Immunity ในประเทศไทย อยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ ความร้ายกาจของเชื้อโรคโควิด-19 และอย่างที่สอง คือ ประสิทธิผลของวัคซีน ลองพิจารณาถ้าค่าระดับการติดเชื้อพื้นฐานของโควิด-19 อยู่ที่ 2.5 แล้วมีวัคซีนที่เข้าไทยอยู่ 2 ตัว คือ AstraZeneca และ Sinovac ทีนี้มาพิจารณาประสิทธิผลของวัคซีนทั้งสอง ประสิทธิผลของ AstraZeneca อยู่ที่ 70% ส่วนวัคซีน Sinovac มีประสิทธิผลอยู่ที่ 50% ซึ่งถือว่ายังสู้กับ Pfizer และ Moderna ไม่ได้เพราะประสิทธิผลต่ำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ประเทศไทยใช้ AstraZeneca เป็นวัคซีนตัวหลัก เมื่อลองนำมาคำนวณแล้ว ถ้าอยากให้ประเทศไทยเกิด Herd Immunity ก็ต้องฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมถึง 85% ของประชากรไทยทั้งหมด บทเรียนจากย่อหน้านี้ แล้วไทยจะหวัง Herd Immunity ได้เมื่อไร? การเกิด Herd Immunity ได้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ที่สำคัญคือความร้ายกาจของตัวเชื้อโรคเองในการแพร่ระบาด (R0) และประสิทธิผลของวัคซีนที่เลือกใช้ (E) หากลองตัดปัจจัยอื่นๆ ออกไปก่อน พิจารณาแค่ 2 ปัจจัยนี้ สมมติว่าค่า R0 ของโควิด-19 ที่แพร่ระบาดตอนนี้อยู่ที่ 2.5 วัคซีน 2 ตัวที่รัฐบาลไทยจะจัดซื้อมาให้คนไทยใช้คือ Oxford / AstraZeneca ของอังกฤษ และ Sinovac ของจีน โดย AstraZeneca มีประสิทธิผลอยู่ที่ราว 70% ประสิทธิผลของวัคซีน Sinovac อยู่ที่ประมาณ 50% ถ้าเปรียบเทียบกับวัคซีนตัวอื่นๆ แล้วถือว่ามีประสิทธิผลต่ำกว่า วัคซีนอย่าง Pfizer และ Moderna ที่ใช้กันมากในสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล มีรายงานผลวิจัยว่าประสิทธิผลสูงถึง 95% แต่ตัวเลขประสิทธิผลที่ต่ำกว่านี้ไม่ได้หมายความว่าถ้ามีวัคซีนแล้วไม่ควรฉีดวัคซีน ยังคำนึงถึงผลข้างเคียงและความสามารถของวัคซีนในการช่วยลดความรุนแรงของโรคด้วย AstraZeneca ที่เลือกใช้เป็นวัคซีนหลัก ก็มีปัญหาเรื่องผลข้างเคียงที่เป็นที่ถกเถียงกันในต่างประเทศอีก ซึ่งอาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก แต่ดูเหมือนว่าไม่มีทางเลือกมากนัก ในกรณีที่ R0 เท่ากับ 2.5 และประสิทธิผลของวัคซีน AstraZeneca ที่จะใช้เป็นส่วนใหญ่อยู่ที่ 70% คนไทยต้องฉีดวัคซีนให้ได้ครอบคลุมถึง 85% ของประชากรทั้งหมด ถึงจะเกิด Herd Immunity ได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_43423
Finance
ช่วยสรุปบทความ ปีที่แย่ แม้แต่ปู่บัฟเฟตก็เจอเช่นกัน !! ให้หน่อย
ปรับกลยุทธ์เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน แต่ปัจจุบันกองทุน Berkshire ไม่ใช้แค่เรื่องการเลือกหุ้น (Stock Selection) เพียงอย่างเดียว โดย Buffett กล่าวว่า “พอร์ตการลงทุนจะมีกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง (Diversification) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ล่าสุด ถ้ากางพอร์ตของ Berkshire ดู กองทุนมีสัดส่วนใน Geico และบริษัทประกันอื่นๆ สินค้าบริโภคอย่าง Dairy Queen Fruit of the Loom Oriental Trading และ Benjamin Moore เช่นเดียวกันกับ the Burlington Northern Santa Fe railroad และอีกกลุ่มหนึ่งคือ บริษัทในกอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าและท่อขนส่งแก๊ซธรรมชาติ … ถือว่า Berkshire มาไกลจากจุดเดิมในช่วงเริ่มต้นกองทุนเป็นอย่างมากทีเดียว ในแง่ของวิธีการบริหารการลงทุนของพอร์ต แม้ว่าปรากฎการณ์ราคาพลังงานตกต่ำมีผลกระทบต่อบริษัทขนส่งทางรางอย่าง BNSF และหุ้นบางตัวในกลุ่มพลังงานของ Berkshire แต่รายได้ของกองทุนยังคงปรับตัวขึ้นกว่า 8.6% ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2015 กำไรที่โตกว่า 18% ส่วนหนึ่งมาจากแรงส่งของกำไร 44,000 ล้านเหรียญจากดีลการควบรวม Kraft and Heinz ในเดือนกรกฎาคม โดย Berkshire เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทดังกล่าวและปัจจุบันถือหุ้นกว่า 27% แล้ว นอกเหนือจากดีล Kraft and Heinz แล้ว Bershire ยังคงยึดมั่นอุดมการณ์การขยายตัวต่อเนื่อง โดยในปีนี้ได้ซื้อบริษัทชิ้นส่วนอากาศยาน Precision Castparts ในมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านเหรียญ ดังนั้น Buffett ก็ไม่ได้ถึงกับผิดหวังมากกับผลตอบแทนในปีนี้ แม้จะมีหุ้นใหญ่ในพอร์ตการลงทุนบางตัวที่ปรับตัวลงค่อนข้างรุนแรง เช่นเดียวกับ แฟนพันธ์แท้และผู้ถือหุ้นก็คงไม่ได้โมโหอะไรมากมาย เพราะท้ายที่สุดแล้ว Buffet ก็ไม่ใช้นักลงทุนรายวัน เขาเลือกลงทุนด้วยแผนการลงทุนที่มีระยะเวลาการถือครองที่ยาวมากๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าทำได้ดีมากทีเดียว
Berkshire Hathaway ปัจจุบันไม่เน้นเพียงการเลือกหุ้นเท่านั้น ตามที่ Warren Buffett กล่าวถึง "พอร์ตการลงทุนจะมีกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง" ในปัจจุบัน กองทุนมีสัดส่วนในบริษัทต่าง ๆ เช่น Geico, Dairy Queen, Fruit of the Loom, Oriental Trading, Benjamin Moore, Burlington Northern Santa Fe railroad และบริษัทในกอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าและท่อขนส่งแก๊ซธรรมชาติ โดยมีการปรับตัวขึ้นของรายได้ถึง 8.6% ในช่วงเดือนแรกของปี 2015 กำไรที่เติบโตขึ้น 18% มีบางส่วนมาจากดีลการควบรวม Kraft and Heinz ในกรกฎาคม โดย Berkshire เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และถือหุ้นกว่า 27% นอกจากนี้ Berkshire ยังคงยึดมั่นในการขยายตัว ซื้อ Precision Castparts ในปีนี้ในมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านเหรียญ ผลตอบแทนในปีนี้อาจมีบางหุ้นในพอร์ตที่ปรับตัวลงเนื่องจากเขาเป็นนักลงทุนที่เน้นการถือครองในระยะยาว
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_42808
Finance
"ปัจจุบันนี้ไม่ว่าเราจะไปไหน จะทำอะไร ย่อมมีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกมากขึ้น อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าสนใจและกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในตอนนี้คือ “รถยนต์ไฟฟ้า” มาดูกันว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีที่มาที่ไปอย่างไร และควรเลือกลงทุนอย่างไรกันค่ะ" อะไรคือปัจจัยหลักที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
null
1. ความคืบหน้าทางเทคโนโลยี: เทคโนโลยีแบตเตอรี่: - ความจุแบตเตอรี่ -ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง -ความเร็วในการชาร์จ -อายุการใช้งานแบตเตอรี่ -ต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ เทคโนโลยีมอเตอร์ไฟฟ้า: -ประสิทธิภาพการทำงาน -ต้นทุนการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า เทคโนโลยีสถานีชาร์จ: -จำนวนสถานีชาร์จ -กระจายตัวของสถานีชาร์จ -ความเร็วในการชาร์จ -ค่าบริการชาร์จ 2. นโยบายของภาครัฐ: 2.1 นโยบายสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า: -เงินอุดหนุน -การลดหย่อนภาษี -สิทธิพิเศษต่างๆ 2.2 นโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: -การขยายสถานีชาร์จ -พัฒนา Smart Grid 3. ความต้องการของผู้บริโภค: 3.1ราคาของรถยนต์ไฟฟ้า: -เปรียบเทียบกับราคารถยนต์น้ำมัน -กำลังซื้อของผู้บริโภค -ความกังวลเกี่ยวกับระยะทางวิ่ง -ความกังวลเกี่ยวกับระยะเวลาในการชาร์จ -ความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า 4. สภาวะการแข่งขัน: -จำนวนผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในตลาด -กลยุทธ์การแข่งขันของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า -ความสามารถในการพัฒนาและนวัตกรรม -ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน 5. สภาวะเศรษฐกิจ: -อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ -อัตราดอกเบี้ย -ราคาพลังงาน -ความเสี่ยงทางการเมือง ตัวอย่าง: 1. Tesla: -มีเทคโนโลยีแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้ำหน้า -มีเครือข่ายสถานีชาร์จที่ใหญ่ที่สุดในโลก -มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง -แต่ราคาของรถยนต์ Tesla ค่อนข้างสูง 2. BYD: -เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในจีน -มีเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ล้ำหน้า -มีกลยุทธ์ราคาที่ aggressive -แต่ BYD ยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศมากนัก สรุป: การลงทุนในหุ้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด พิจารณาปัจจัยต่างๆ ทั้งด้านเทคโนโลยี นโยบายของภาครัฐ ความต้องการของผู้บริโภค สภาวะการแข่งขัน และสภาวะเศรษฐกิจ ก่อนตัดสินใจลงทุน
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_5393
Legal
สัญญาเช่าซื้อ คืออะไร
การเช่าซื้อ ​ การเช่าซื้อ การเช่าซื้อ ความหมาย : สัญญาเช่าซื้อคือสัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินเอาทรัพย์สินของตนออกให้ผู้อื่นเช่าเพื่อใช้สอยหรือเพื่อให้ได้ประโยชน์และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์นั้นหรือจะให้ทรัพย์สินที่เช่าตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อเมื่อได้ใช้เงินจนครบตามที่ตกลงไว้โดยการชำระเป็นงวดๆจนครบตามข้อตกลง สัญญาเช่าซื้อมิใช่สัญญาซื้อขายผ่อนส่งแม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันเรื่องชำระราคาเป็นงวดๆ ก็ตามเพราะการซื้อขายผ่อนส่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นของผู้ซื้อทันทีขณะทำสัญญาไม่ต้องรอให้ชำระราคาครบแต่ประการใดส่วนเรื่องสัญญาเช่าซื้อ เมื่อผู้เช่าบอกเลิกสัญญาบรรดาเงินที่ได้ชำระแล้วให้ริบเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าได้ แบบของสัญญาเช่าซื้อ : สัญญาเช่าซื้อจะต้องทำเป็นหนังสือ จะทำด้วยวาจาไม่ได้ มิฉะนั้นจะเป็นโมฆะเสียเปล่าทำให้ไม่มีผลตามกฎหมายที่จะผูกพันผู้เช่าซื้อกับผู้ให้เช่าซื้อได้การทำสัญญาเป็นหนังสือนั้นจะทำกันเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เช่าซื้อจะเขียนสัญญาเอง หรือจะใช้แบบพิมพ์ที่มีไว้กรอกข้อความลงไปก็ได้หรือจะให้ใครเขียนหรือพิมพ์ให้ทั้งฉบับก็ได้แต่สัญญานั้นจะต้องลงลายมือชื่อของผู้เช่าซื้อ และผู้ให้เช่าซื้อทั้งสองฝ่ายหากมีลายช่อของคู่สัญญาแต่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เอกสารนั้นหาใช่สัญญาเช่าซื้อไม่ สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญา : ผู้เช่าซื้อมีสิทธิได้รับมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อในสภาพที่ปลอดจากความชำรุดบกพร่องหรือในสภาพอันซ่อมแซมดีแล้วเพราะผู้ให้เช่าซื้อมีหน้าที่และความรับผิดชอบในเรื่องทรัพย์สินที่ชำรุดบกพร่องแม้ว่า ผู้ให้เช่าซื้อจะทราบถึงความชำรุดบกพร่องหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นในเวลาที่ท่านไปทำสัญญาเช่าซื้อทีวีสีเครื่องหนึ่งเจ้าของร้านมีหน้าที่ต้องส่งมอบทีวีสีในสภาพที่สมบูรณ์ไม่มีส่วนที่ผิดปกติแต่ประการใด ถ้าท่านพบว่าปุ่มปรับสีหลวมหรือปุ่มปรับเสียงก็ดีท่านต้องบอกให้เจ้าของร้านเปลี่ยนทีวีสีเครื่องใหม่แก่ท่านเพราะในเรื่องนี้เป็นสิทธิของตนตามกฎหมายและเจ้าของร้านไม่มีสิทธิที่จะบังคับท่านให้รับทีวีสีที่ชำรุดได้ ผู้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาในเวลาใดก็ได้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อโดยตนเองจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการส่งคืนการที่กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ก็เพราะเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้เช่าซื้อเป็นงวดๆเปรียบเสมือนการชำระค่าเช่า ดังนั้นผู้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาก็ได้การแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจะต้องส่งมอบทรัพย์สินคืนให้แก่เจ้าของถ้ามีการแสดงเจตนาว่า จะคืนทรัพย์สินในภายหลัง หาเป็นการเลิกสัญญาที่สมบูรณ์ไม่การบอกเลิกสัญญาจะต้องควบคู่ไปกับการส่งคืนในขณะเดียวกัน ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินสองคราวติดกันหรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นสาระสำคัญเจ้าของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ได้ส่วนเงินที่ได้ชำระราคามาแล้วแต่ก่อนให้ตกเป็นสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินโดยถือเสมือนว่าเป็นค่าเช่า ผู้เช่าซื้อไม่มีสิทธิเรียกคืนจากเจ้าของได้และเจ้าของทรัพย์สินไม่มีสิทธิเรียกเงินที่ค้างชำระได้การผิดนัดไม่ชำระจะต้องเป็นการไม่ชำระสองงวดติดต่อกันหากผิดนัดไม่ใช้เงินเพียงครั้งเดียว หรือหลายครั้งแต่ไม่ติดกัน เช่นผิดนัดไม่ใช้เงินเดือนกุมภาพันธ์ , เมษายน, มิถุนายน , สิงหาคม ฯลฯแต่เช่าซื้อเดือน มกราคม, มีนาคม,พฤษภาคม,กรกฎาคม ฯลฯ สลับกันไปเช่นนี้แม้จะผิดนัดกี่ครั้งกี่หนก็ตามผู้ให้เช่าซื้อหาอาจใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้ไม่ ในการผิดสัญญาในส่วนที่สาระสำคัญหมายความว่าสัญญาเช่าซื้อนั้นมีวัตถุประสงค์ให้ผู้เช่าซื้อมีสิทธิใช้สอยทรัพย์สินและเคารพในกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้อจนกว่าจะชำระราคาครบตามข้อตกลงถ้าผู้เช่าซื้อนำทรัพย์สินไปจำนำและไม่ชำระเงินถือว่าผิดสัญญาเช่าซื้อของมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและผู้เช่าซื้อมีความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์ได้อีกเนื่องจากกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้ออยู่ อนึ่งในกรณีผู้เช่าซื้อกระทำผิดสัญญา เพราะผิดนัดไม่ใช่เงินซึ่งเป็นงวดสุดท้ายนั้นเจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิจะริบบรรดาเงินที่ชำระมาแล้วแต่ก่อนและยึดทรัพย์กลับคืนไปได้ต่อเมื่อรอให้ผุ้เช่าซื้อมาชำระราคาเมื่อถึงกำหนดชำระราคาในงวดถัดไปถ้าไม่มาผู้ให้เช่าซื้อริบเงินได้
สัญญาเช่าซื้อ คือ สัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินเอาทรัพย์สินของตนออกให้ผู้อื่นเช่าเพื่อใช้สอยหรือเพื่อให้ได้ประโยชน์และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์นั้นหรือจะให้ทรัพย์สินที่เช่าตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อเมื่อได้ใช้เงินจนครบตามที่ตกลงไว้โดยการชำระเป็นงวดๆ จนครบตามข้อตกลง สัญญาเช่าซื้อมิใช่สัญญาซื้อขายผ่อนส่ง แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันเรื่องชำระราคาเป็นงวดๆ ก็ตาม เพราะการซื้อขายผ่อนส่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นของผู้ซื้อทันทีขณะทำสัญญาไม่ต้องรอให้ชำระราคาครบแต่ประการใด ส่วนเรื่องสัญญาเช่าซื้อ เมื่อผู้เช่าบอกเลิกสัญญาบรรดาเงินที่ได้ชำระแล้วให้ริบเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าได้ สัญญาเช่าซื้อจะต้องทำเป็นหนังสือ จะทำด้วยวาจาไม่ได้ มิฉะนั้นจะเป็นโมฆะเสียเปล่า ทำให้ไม่มีผลตามกฎหมายที่จะผูกพันผู้เช่าซื้อกับผู้ให้เช่าซื้อได้การทำสัญญาเป็นหนังสือนั้นจะทำกันเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เช่าซื้อจะเขียนสัญญาเอง หรือจะใช้แบบพิมพ์ที่มีไว้กรอกข้อความลงไปก็ได้หรือจะให้ใครเขียนหรือพิมพ์ให้ทั้งฉบับก็ได้ แต่สัญญานั้นจะต้องลงลายมือชื่อของผู้เช่าซื้อ และผู้ให้เช่าซื้อทั้งสองฝ่าย หากมีลายช่อของคู่สัญญาแต่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เอกสารนั้นหาใช่สัญญาเช่าซื้อไม่
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายซื้อขาย
Closed QA
cc-by-nc-4.0