ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
894
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
36
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Finance_507
Finance
กองทุนในข้อใดมีระดับความเสี่ยง: 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง)
a. กองทุน MEVT Call b. กองทุนหุ้นต่างประเทศ c. กองทุนตราสารหนี้ : UGIS-N d. กองทุน K-CHINA-A
คำตอบได้แก่ c. เนื่องจาก กองทุนตราสารหนี้ : UGIS-N นโยบายกองทุน: เพื่อแสวงหารายได้แบบสม่ำเสมอ และลดความเสี่ยงจากปัจจัยดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่มีการจัดสรรสินทรัพย์และเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่หลากหลายทั่วโลก เช่น ตราสารหนี้ที่ออกโดยภาครัฐ, ตราสารหนี้ของธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น, ตราสารหนี้สถาบันการเงิน, ตราสารหนี้ภาคเอกชน และตราสาร Basel III โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เพื่อแสวงหารายได้แบบสม่ำเสมอ และลดความเสี่ยงจากปัจจัยดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่มีการจัดสรรสินทรัพย์และเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่หลากหลายทั่วโลก กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) ระดับความเสี่ยง: 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท 1 บาท Top 10 Holdings ของกองทุน UGIS-N ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_3728
Finance
ช่วยเขียนแนวคิดเรื่อง "การเตรียมความพร้อมเช็คสุขภาพการเงิน: การป้องกันและการจัดการวิกฤตการเงินในประเทศไทย"
null
การเช็กสุขภาพของประชากรและระบบสาธารณสุขในประเทศไทยเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก แต่ไม่ควรละเลยในกระบวนการการวางแผนและการดำเนินการเพื่อรับมือกับวิกฤตการเงินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น นี่คือแนวคิดเกี่ยวกับ "เช็กสุขภาพ ประเทศไทยเสี่ยงต่อวิกฤตการเงินแค่ไหน" 1. โครงสร้างอาชีพและรายได้: ประชากรในประเทศไทยมีโครงสร้างอาชีพที่หลากหลาย แต่ยังมีส่วนใหญ่ของประชากรที่มีรายได้น้อยและชนกลุ่มคนยากจน การเกิดวิกฤตการเงินอาจส่งผลกระทบต่อช่วงระยะยาวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มนี้อาจมีความเสี่ยงในการอยู่ภาวะหนี้สินและการขาดแคลนเงินสดในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินทางการเงิน เช่น การปรับตัวต่อความสูญเสียงาน การอยู่ในสภาวะการลดโอกาสในการทำงาน หรือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอาชีพในยามวิกฤติ 2. ระบบสาธารณสุข: ระบบสาธารณสุขในประเทศไทยมีความสำคัญสูง โดยเฉพาะในการจัดการกับการระบาดของโรคและการรักษาสุขภาพของประชากร แต่ระบบนี้อาจเผชิญกับความยากลำบากในการรับมือกับภาวะวิกฤตการเงิน เนื่องจากความต้องการทางด้านสุขภาพอาจเพิ่มขึ้นในขณะที่ทรัพยากรทางการเงินมีข้อจำกัด นอกจากนี้ การลดงบประมาณในสาธารณสุขอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของบริการและการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชากร 3. การเตรียมความพร้อมในสภาวะวิกฤตการเงิน: การเตรียมความพร้อมในสภาวะวิกฤตการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ระบบสาธารณสุขและผู้เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญ เช่น การสร้างกองสำรองเงินสำหรับการดำเนินงานฉุกเฉิน การพัฒนาแผนการดำเนินงานที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวต่อสถานการณ์วิกฤตการเงินได้ เพื่อให้ระบบสาธารณสุขสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. ความสำคัญของการศึกษาและการเข้าถึงข้อมูล: การศึกษาและการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการเงินและการบริหารจัดการการเงินมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงของวิกฤตการเงิน การเสริมสร้างการเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินส่วนบุคคลและการบริหารจัดการเงินส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยให้ประชากรมีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินทางการเงินได้ดียิ่งขึ้น การเช็กสุขภาพทางการเงินของประชากรและระบบสาธารณสุขในประเทศไทยเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเพื่อให้สามารถรับมือกับวิกฤตการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันไม่ให้มีผลกระทบที่เข้มข้นต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชากรทั้งหมดในอนาคต.
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_43615
Finance
GDP ของเวียดนามปี 2023 คาดว่าจะเติบโตเท่าไหร่
A. 5.1% B. 9% C. 5.2% D. 6.5%
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ C. เนื่องจาก เพราะGDP ของเวียดนามปี 2023 คาดว่าจะเติบโต 5.2% และปี 2024 เติบโต 6.5% ซึ่งยังถือว่าเติบโตในระดับสูง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากภาคส่งออกที่อ่อนแอตามภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ภาคการบริโภคก็ยังแข็งแกร่ง หลังจากที่ทางการของเวียดนามมีการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบจัดเต็ม ใช้ทั้งนโยบายการเงิน ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลากหลายประเภท เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องต่อเนื่อง รวมทั้งช่วยให้ระบบการเงินลดความตึงตัว และยังใช้นโยบายการคลังผ่านการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เหลือ 8% (จากเดิม 10%) เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ในส่วนของภาคส่งออกของเวียดนามที่หดตัวก็เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ตลาดมองว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ในช่วงปลายปี 2023 โดยตัวเลข Manufacturing PMI ของเวียดนามหดตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 49.7 จุด และดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมพลิกฟื้นสู่ระดับขยายตัวที่ระดับ 5.1%YoY เป็นการขยายตัวที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2023 ซึ่งน่าจะเป็นผลพวงจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เป็นคู่ค้าหลักของเวียดนาม อยู่ในโหมดการฟื้นตัว แต่ก็ยังได้รับผลกระทบจากจีนที่เป็นคู่ค้าอันดับ 2 ยังมีแนวโน้มเศรษฐกิจที่แย่กว่าคาดการณ์ไว้ สำหรับอุปสรรคที่ถ่วงเวียดนามคือ วิกฤตภาคอสังหา ซึ่งรัฐบาลได้ทยอยสางปมร้อนต่างๆ โดยเฉพาะการเข้ามาดูแลภาคธุรกิจอสังหาให้คลี่คลาย และปัญหากวาดล้างทุจริตคอร์รัปชันครั้งใหญ่ แต่อย่างน้อยเวียดนามก็ดูดีขึ้นมากว่าในอดีต ดังนั้นจึงไม่อยากให้ตื่นตระหนกกับข่าวร้ายที่พัดผ่านเข้ามา จริงอยู่ว่าอาจจะทำให้เวียดนามเติบโตสะดุดบ้าง กระทบต่อตลาดหุ้นให้ลุ่มๆ ดอนๆ อย่างที่เห็น แต่ก็เป็นเพราะการเดินหน้าแก้ปัญหาภายในประเทศ ระหว่างทางก็กระทบความเชื่อมั่นสั่นคลอนอย่างที่เห็นตามข่าวที่ออกมา แต่หากดูการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามในช่วงปี 2015-2023 พบว่าเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% เมื่อเทียบสัดส่วนต่อ GDP แล้ว มีภาระหนี้สาธารณะอยู่ 40% หนี้ครัวเรือน 25% หนี้ต่างประเทศ 36% ของ GDP ส่วนตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงปี 2015-2023 ดัชนี VN ให้ผลตอบแทนถึง 122% อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS Growth) เติบโต 9% ต่อปี ส่วนอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของทุน (ROE) 12.8% ค่า P/E ประมาณ 11.3 เท่า และหนี้สินต่อทุน (D/E) ระดับต่ำ 0.8 เท่า ตัวเลขเหล่านี้ไม่ผมแปลกใจ เพราะเห็นผลตอบแทนที่ลูกค้า Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม หลายคนที่ลงทุนตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงถึง 55.54% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดเวียดนามที่ปรับขึ้น 27.67% แน่นอนว่าไม่ได้เท่ากันทุกคน ขึ้นอยู่กับช่วงจังหวะการลงทุนและกลยุทธ์การ DCA (Dollar-Cost Averaging) ที่จะช่วยถัวเฉลี่ยราคาสินทรัพย์ที่ผันผวนของแต่ละคนด้วย
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_505
Finance
ข้อใดคือหลักการเลือกซื้อกองทุน
A. การเลือกซื้อกองทุนเป็นเรื่อง​ตายตัว​ ไม่สามารถ​ปรับ​เป​ลี่​ยนได้ B. การลงทุนเป็นเรื่องไม่ตายตัว​ ไม่สามารถ​ปรับ​เป​ลี่​ยนได้ตามความเหมาะสม C. การลงทุนเป็นเรื่องตายตัว​ สามารถ​ปรับเปลี่ยนได้ตามความหมาะสม D. การเลือกซื้อกองทุนไม่ได้มีหลักการตายตัว สามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน​ ใช้หลักการ​2R-2S-2F​ ช่วยคัดกรองได้
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ D. เพราะว่า กองทุนที่เหมาะสมกับเรามากที่สุดมีหัวใจสำคัญคือการพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบ ครบทุกมิติ และทำอย่างสม่ำเสมอ​โดยสามารถใช้หลักการ​ 2R-2S-2F เป็นวิธีคัดกรองเบื้องต้นได้โดยเปรียบเทียบจากผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน นโยบายและกลยุทธ์การลงทุน ค่าธรรมเนียมและความสามารถของผู้จัดการกองทุน แล้วนำปัจจัยต่าง ๆ มาพิจารณาเข้าด้วยกัน​ การเลือกกองทุนไม่ได้มีหลักการตายตัว สามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน และที่สำคัญที่สุดคือการพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบ ครบในทุกๆด้าน​ และทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องจำเป็นต้องใช้ความมีวินัยและความใจเย็นเพื่อคาดหวังผลกำไรในการถือครอง​กองทุนในระยะยาวซึ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการซื้อเกร็งกำไรในระยะสั้น
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_26002
Medical
เด็กอายุ 3 ขวบ น้ำหนัก 15 กิโลกรัม มีไข้ 38.5 องศาเซลเซียส สามารถใช้ยาพาราเซตามอลชนิดน้ำขนาด 120 มิลลิกรัม/5 มล. ได้หรือไม่?
null
ใช่ เด็กอายุ 3 ขวบ น้ำหนัก 15 กิโลกรัม สามารถใช้ยาพาราเซตามอลชนิดน้ำขนาด 120 มิลลิกรัม/5 มล. ได้ แต่ต้องคำนวณปริมาณยาให้เหมาะสม เหตุผล: ยาพาราเซตามอลเป็นยาที่ปลอดภัยเมื่อใช้ในเด็ก ขนาดยาที่แนะนำสำหรับเด็กจะคำนวณตามน้ำหนักตัว โดยทั่วไปจะใช้ยา 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง เด็กอายุ 3 ขวบ น้ำหนัก 15 กิโลกรัม สามารถใช้ยาพาราเซตามอลได้สูงสุด 150-225 มิลลิกรัมต่อครั้ง ยาพาราเซตามอลชนิดน้ำขนาด 120 มิลลิกรัม/5 มล. หมายความว่า 1 ช้อนชา (5 มล.) ของยามีตัวยาพาราเซตามอล 120 มิลลิกรัม เด็กอายุ 3 ขวบ น้ำหนัก 15 กิโลกรัม สามารถใช้ยาพาราเซตามอลชนิดน้ำขนาด 120 มิลลิกรัม/5 มล. ได้ โดยให้ยา 1.25-1.875 ช้อนชา (6.25-9.375 มล.) วิธีการคำนวณปริมาณยา: น้ำหนักตัวเด็ก x ขนาดยาที่แนะนำ (10-15 มิลลิกรัม/กก.) / ความเข้มข้นของยา (120 มิลลิกรัม/5 มล.) = ปริมาณยา (มล.) ตัวอย่าง: น้ำหนักตัวเด็ก 15 กิโลกรัม x 15 มิลลิกรัม/กก. / 120 มิลลิกรัม/5 มล. = 1.875 ช้อนชา ข้อควรระวัง: ไม่ควรใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาดที่แนะนำ ไม่ควรใช้ยาพาราเซตามอลติดต่อกันนานเกิน 5 วัน ควรอ่านฉลากยาอย่างละเอียดก่อนใช้ ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรหากไม่แน่ใจ สรุป: เด็กอายุ 3 ขวบ น้ำหนัก 15 กิโลกรัม สามารถใช้ยาพาราเซตามอลชนิดน้ำขนาด 120 มิลลิกรัม/5 มล. ได้ โดยให้ยา 1.25-1.875 ช้อนชา (6.25-9.375 มล.) ทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ต้องระวังไม่ใช้ยาเกินขนาดและติดต่อกันนานเกิน 5 วัน ควรอ่านฉลากยาอย่างละเอียดก่อนใช้ ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรหากไม่แน่ใจ
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_3858
Finance
จากกรณีศึกษาของ Ishita Khanna และ Malini Gaur พบว่าบุคคลธรรมดาสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างไรบ้าง
null
จากกรณีศึกษาของ Ishita Khanna และ Malini Gaur พบว่าบุคคลธรรมดาสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมได้ ดังนี้ เริ่มต้นจากสิ่งที่ใกล้ตัว Ishita Khanna เริ่มต้นจากการสร้างมูลค่าให้กับพืชท้องถิ่นที่มีชื่อว่าซีบัคธอร์น ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและเป็นสิ่งที่ชาว Spiti รู้จักและใช้ประโยชน์อยู่แล้ว Malini Gaur เริ่มต้นจากปัญหาขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในเมืองอินดอร์ สร้างความร่วมมือ Ishita Khanna ทำงานร่วมกับชุมชนชาว Spiti เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน Malini Gaur ทำงานร่วมกับภาคเอกชนและภาคประชาชน เพื่อแก้ปัญหาขยะมูลฝอยในเมืองอินดอร์ มุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ Ishita Khanna ทำงานอย่างหนักและอดทนเป็นเวลาหลายปี จนประสบความสำเร็จ Malini Gaur ทำงานอย่างจริงจังและทุ่มเท จนสามารถพลิกโฉมเมืองอินดอร์ให้เป็นเมืองที่สะอาดที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย จากกรณีศึกษาเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าบุคคลธรรมดาสามารถมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมได้ เพียงแค่เริ่มต้นจากสิ่งที่ใกล้ตัว สร้างความร่วมมือกับผู้อื่น และมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ การเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ บุคคลธรรมดายังสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมได้ ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เช่น การเข้าร่วมกิจกรรมอาสาสมัคร การบริจาคเงินช่วยเหลือองค์กรการกุศล การเข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์เพื่อสังคม เป็นต้น การใช้สื่อสังคมออนไลน์ เช่น การแชร์ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ การแสดงความเห็นต่อประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น การเรียกร้องให้ภาครัฐดำเนินการ เช่น การยื่นหนังสือร้องเรียน การชุมนุมประท้วง เป็นต้น โดยบุคคลธรรมดาสามารถเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสมกับตนเอง และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างสร้างสรรค์
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20991
Medical
ในกลุ่มติดยาเสพติดที่ใช้เข็มร่วมกัน เชื้อไวรัสตับอักเสบซีจะอาศัยอยู่ในเลือด และน้ำคัดหลั่งในร่างกาย เช่น น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด มีการติดต่อสู่ผู้อื่นคล้ายกับไวรัสตับอักเสบบีและโรคเอดส์ เช่น ♦ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ในพวกเสพสารเสพติด ใช่หรือไม่
null
ใช่ ในกลุ่มติดยาเสพติดที่ใช้เข็มร่วมกัน เชื้อไวรัสตับอักเสบซีจะอาศัยอยู่ในเลือด และน้ำคัดหลั่งในร่างกาย เช่น น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด มีการติดต่อสู่ผู้อื่นคล้ายกับไวรัสตับอักเสบบีและโรคเอดส์ เช่น ♦ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ในพวกเสพสารเสพติด ♦ การใช้เข็มที่ติดเชื้อโรคสักผิวหนัง เจาะหู ฝังเข็ม ♦ การใช้ของส่วนตัวที่เปื้อนเลือดร่วมกัน เช่น มีดโกน หรือกรรไกรตัดเล็บ ♦ ติดต่อจากการทำฟัน ♦ จากการมีเพศสัมพันธ์ ติดได้แต่น้อยกว่าโรคเอดส์มาก ♦ แม่ตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ ก็สามารถแพร่เชื้อไปสู่ลูกได้เมื่อคลอด ติดได้แต่พบน้อย ส่วนใหญ่การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบซี จะเกิดจากทางเลือดมากกว่าติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำหรับอาการของไวรัสตับอักเสบจะมีอาการคล้ายๆ กัน คือ ดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลียไม่มีแรง บวม มีน้ำในช่องท้อง การที่จะแยกอาการว่าเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดใดกันนั้น ต้องใช้วิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการจึงจะทราบ แต่ที่น่าสังเกตคือโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดอื่นๆ มักจะเป็นแบบเฉียบพลัน และควรจะหายได้ภายในเวลา ๖ เดือน ถ้าหากมีอาการของโรคตับอักเสบเรื้อรัง ก็มักจะเกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี โดยทั่วไปผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่หลังติดเชื้อแล้วภายในเวลา ๑๐ ปีแรกจะไม่มีอาการอะไรเลย ยกเว้นส่วนน้อยที่อาจมีอาการของโรคแบบเฉียบพลัน ต่อเมื่อย่างเข้าสู่ ๑๐ ปีที่ ๒ ก็อาจเริ่มมีอาการของตับอักเสบเรื้อรังเกิดขึ้น และเมื่อ ๓๐ ปีผ่านไป ตับจะถูกทำลายมากขึ้น ก็จะเริ่มมีอาการของตับแข็งปรากฏให้เห็น หรือเป็นโรคตับแข็ง แล้วผู้ป่วยจำนวนหนึ่งก็จะเป็นมะเร็งตับ เรียกว่ากว่าจะแสดงอาการก็ใช้เวลาหลายสิบปี โดยที่โรคจะดำเนินไปอย่างช้าๆ ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวเลยว่ามีโรคอันตรายซ่อนแฝงอยู่ ถ้าไม่ได้ตรวจเลือด ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ประมาณร้อยละ ๑๕-๒๐ อาจหายจากโรคได้เอง แต่ส่วนใหญ่ร้อยละ ๗๕-๘๕ จะเป็นเรื้อรัง ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาก็จะกลายเป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ และเสียชีวิตในที่สุด ไวรัสตับอักเสบซียังไม่มีวัคซีนป้องกันเหมือนไวรัสชนิดเอและบี ดังนั้น พื้นฐานการรักษาทั่วไป ก็คือ การทำร่างกายให้แข็งแรง กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายได้บ้างตามสมควร ตามแต่ระยะของโรค ไม่วิตกกังวลหรือเครียดกับอาการเจ็บป่วยจนเกินไป เพราะบางครั้งความคิดในเชิงลบ ก่อให้เกิดโทษภัยมากกว่าตัวเชื้อโรคเสียอีก แล้วถ้าเชื้อไวรัสคุกคามทำลายเนื้อตับจนเกิดการอักเสบ ก็ต้องรักษาโดยการกินยา ปัจจุบันยาที่ใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีที่ได้ผลมีอยู่ ๒ ชนิด ชนิดแรกคือ ยาต้านไวรัส ชนิดที่สองได้แก่ ยาอินเตอร์เฟอรอน ซึ่งยาทั้ง ๒ ชนิดนี้มีราคาแพงมาก เป็นหลักแสน การรักษาจะใช้เวลาประมาณ ๖-๙ เดือน และเนื่องจากยาดังกล่าวมีผลข้างเคียงมาก ดังนั้น การใช้ยาจึงต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การรักษาที่ถูกต้องด้วยยาที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน สามารถทำให้ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งหายขาดจากโรคได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่สามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีให้หายได้ทั้งหมดทุกคน แต่โดยภาพรวมผลของการรักษาไวรัสตับอักเสบซีก็ดีกว่าไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งการรักษาจะช่วยยืดอายุของผู้ป่วยให้อยู่ได้นานขึ้น ดีกว่าไม่รู้และไม่รักษา การป้องกันโรคนี้ที่ดีที่สุดก็เหมือนกับการป้องกันโรคเอดส์ คือ ไม่ใช้ของมีคมหรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือมีการให้เลือดโดยไม่ได้ตรวจ ซึ่งหากระมัดระวังอย่างดี นอกจากจะปลอดภัยจากโรคตับอักเสบบีและซีแล้ว ยังปลอดภัยจากโรคเอดส์ด้วย ปัจจุบันไวรัสตับอักเสบซี ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน การมีสุขภาพแข็งแรงเป็นความโชคดีของชีวิต ดังนั้น ทุกคนจึงควรรักษาสุขภาวะของตนเองเอาไว้ให้นานที่สุด เพราะการเจ็บป่วยไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดย่อมทำให้เกิดความทุกข์ใจ แล้วยิ่งหากเป็นโรคที่รักษาไม่หาย และเป็นโรคอันตราย ก็ยิ่งก่อให้เกิดความวิตกกังวลและความเครียด วิธีที่ดีที่สุด คือ การป้องกันตัวเองไม่ให้เจ็บป่วยจากทุกโรค ป้ายคำ ถามตอบปัญหาสุขภาพ คุยสุขภาพ ถามตอบปัญหาสุขภาพ การล้างไตทางช่องท้อง เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ไตวายเรื้อรัง หมายถึง ภาวะไตเสื่อมผิดปกตินานติดต่อกันตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป และมักจะดำเนินไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในที่สุด
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_25247
Medical
การให้ยาหลายชนิด (Polypharmacy) แก่ผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยไม่จำเป็น ส่งผลดีต่อผู้ป่วยหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา: ยาแต่ละชนิดมีกลไกการออกฤทธิ์และผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน การใช้ยาหลายชนิดพร้อมกัน เพิ่มโอกาสที่ยาจะเกิดปฏิกิริยาระหว่างกัน ส่งผลต่อประสิทธิภาพของยา เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง บางกรณีอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต เพิ่มภาระในการกินยา: ผู้ป่วยที่ต้องกินยาหลายชนิด จำยาก กินผิดเวลา กินยาไม่ครบ ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษา เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เพิ่มค่าใช้จ่าย: ยาบางชนิดมีราคาแพง ผู้ป่วยต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในการซื้อยา เพิ่มภาระค่าใช้จ่าย ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต อาจไม่จำเป็น: ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาหลายชนิด แพทย์ควรประเมินอาการของผู้ป่วย เลือกใช้ยาที่จำเป็น หลีกเลี่ยงการให้ยาเกินขนาด ตัวอย่าง: ผู้ป่วยโรคหัวใจรายหนึ่ง กินยาหลายชนิด ยาลดไขมัน ยาลดความดันโลหิต ยาขับปัสสาวะ ยาขยายหลอดเลือดหัวใจ ยาป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัว ยาอมและยาพ่นเวลาเจ็บหัวใจ ยาป้องกันการเจ็บหัวใจ ยาป้องกันหัวใจเต้นผิดปกติ ยาบำรุงร่างกาย ยาคลายเครียด ยานอนหลับ ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ยาบางชนิดอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นช้า ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจจำไม่ได้ว่าต้องกินยาอะไรบ้าง กินยาผิดเวลา กินยาไม่ครบ ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษา เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน ดังนั้น การให้ยาหลายชนิด (Polypharmacy) แก่ผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยไม่จำเป็น ส่งผลเสียมากกว่าผลดี แพทย์ควรประเมินอาการของผู้ป่วย เลือกใช้ยาที่จำเป็น หลีกเลี่ยงการให้ยาเกินขนาด และให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับวิธีการกินยาที่ถูกต้อง
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_13632
Medical
โรคเชื้อราในช่องคลอดจัดเป็นโรคติดต่อทางใด
1. โรคติดต่อทางการสัมผัส 2. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 3. โรคติดต่อทางเดินหายใจ 4. ไม่ทราบสาเหตุ
คำตอบที่ถูกต้องคือ 2. เพราะว่า โรคเชื้อราในช่องคลอด Vaginal candidiasis เป็นโรคที่พบได้บ่อยในสตรีทั่วไป จัด เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถถ่ายทอดโรคไปยังคู่นอนได้ และมักพบการติดเชื้อราร่วมกับการติดเชื้อชนิดอื่นๆได้สูง เช่น โรคเริม หรือ โรคเอดส์ เป็นต้น นอกจากนี้สตรีที่มีภาวะเบาหวาน สตรีที่รับประทานยาสเตียรอยด์ หรือยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานๆ จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อราได้สูงเช่นกัน โรคเชื้อราในช่องคลอดมีสาเหตุจากอะไร โรคเชื้อราในช่องคลอด เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม แคนดิดา Candida ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ย่อย เชื้อที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบของช่องคลอดที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ แคนดิดา อัลบิแคนส์ Candida albicans โดยมีรูปร่างเป็นเซลล์กลมๆหรือที่เรียกว่า ยีสต์ ซึ่งโดยปกติเป็นเชื้อที่อยู่ในช่องคลอดโดยไม่ทำให้เกิดโรค แต่ถ้าร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ ได้รับยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานๆ เป็นโรคเบาหวาน โรคเอดส์ หรือมีภาวะอับชื้นบริเวณอวัยวะเพศเป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้เชื้อรามีปริมาณมากขึ้นจนก่อโรค นอกจากนี้ การใช้ผ้าอนามัยไม่ถูกวิธี คือการใส่แผ่นเดียวเป็นเวลานานๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนผ้าอนามัย การใส่กางเกงยีนส์ที่คับแน่น
นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_41963
Finance
ในปี 2018 ที่การลงทุนในสินทรัพย์เกิดขาดทุนทั้งหมด เหตุการณ์เกิดนานเท่าใด ?
การหยุดชะงักของเศรษฐกิจโลกซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนยุคนี้ว่า “กลยุทธ์หรือเครื่องมือการลงทุนใด ที่จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว” เราจะสามารถใช้องค์ความรู้เดิม ๆ ที่มีมาอยู่ก่อนหน้านี้ หรือ จากวิกฤตการณ์ครั้งนี้มันสร้างโอกาสบนมุมมองใหม่ ๆ ที่อาจให้ผลตอบแทนเทียบเท่าหรือดีกว่าองค์ความรู้เดิม ๆ จริง ๆ คำถามนี้ผมก็พอจะบอกได้ทันทีในตอนนี้เลยว่า ด้วยระยะเวลาในช่วงวิกฤตที่เราเผชิญกันอยู่ในเวลานี้ ยังถือว่าสั้นเกินว่าที่จะฟันธงได้ว่า เศรษฐกิจและสังคมจะเปลี่ยนไปอย่างไรในอนาคต และเพราะสถานการณ์ที่ประชากรโลกเจอร่วมกันนี้ เป็นสถานการณ์ที่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นจึงยิ่งยากขึ้นไปอีกที่เราจะสามารถตอบคำถามได้แบบมั่นใจ 100% ว่า “กลยุทธ์หรือเครื่องมือการลงทุนใด ที่จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว” แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยกระแสของ Technology Disruption ที่เกิดมาก่อนหน้านี้ และการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา มันก็พอจะทำให้เราเห็นร่อยรอยบางอย่าง ซึ่งผมขอบอกว่า นี่เป็นมุมมองส่วนตัวจากการสังเกตและวิเคราะห์ด้วยตัวเองว่า ธีมการลงทุนในระยะยาวหลังจากนี้ มีอะไรบ้างที่น่าสนใจและต่างไปจากเดิมนะครับ 1. Diversified Portfolio หรือ การกระจายความเสี่ยงในทุกประเภทสินทรัพย์ ทำให้คุณสามารถผ่านวิกฤตแบบเจ็บตัวน้อยได้เหมือนดังเช่นอดีต หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 ที่ปธน.ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดฉากเกมส์สงครามการค้า ในปีนั้น สินทรัพย์การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก มีเพียงแค่ “การถือเงินสด” จนเป็นที่ถกเถียงในแวดวงนักกลยุทธ์มืออาชีพทั้งหลายว่า มันถึงจุดสิ้นสุดของการลงทุนแบบพอร์ตโฟลิโอเพื่อกระจายความเสี่ยงแล้วเหรอ เพราะไม่ว่าจะลงลงทุนในสินทรัพย์อะไร ในปี 2018 ก็ขาดทุนทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่พันธบัตรรัฐบาลซึ่งได้ชื่อว่าเสี่ยงต่ำและปลอดภัยที่สุด แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป เราก็เริ่มเห็นแล้วว่า เหตุการณ์ในปี 2018 เกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ๆ เพราะเมื่อเข้าสู่ปี 2019 ผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ก็กลับเข้ามาสู่ภาวะปกติจนทำให้คำกล่าวหาที่มองว่า เลิกกระจายความเสี่ยงเถอะ นั้นค่อย ๆ หายไป จนหลักฐานชิ้นสำคัญที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงตั้งแต่เดือนมี.ค. – เม.ย. ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับฐานเฉลี่ยลบมากกว่า 30% จากจุดสูงสุด เราอาจพบว่า มีแรงเทขายออกจากตราสารหนี้ภาคเอกชนด้วย เพราะไม่รู้ว่า โลกจะรับมือกับไวรัส COVID-19 ได้มากน้อยแค่ไหนในช่วงแรก แต่หากพอร์ตการลงทุนของเรา มีตราสารหนี้ภาครัฐ และ ทองคำ ผสมอยู่ จะพบว่า พอร์ตการลงทุนของคุณลดความผันผวนและช่วยพยุงไม่ให้บาดเจ็บจากการปรับฐานรุนแรงในตลาดหุ้นได้เป็นอย่างดี และนี่คือสิ่งที่ผมเชื่อว่าเราควรทำต่อไปครับ 2. ESG หรือ Environmental, Social, and Governance จะถูกนักลงทุนให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ยกระดับความสำคัญของวิธีการที่บริษัทดำเนินงาน ทั้งในแง่ต่อสิ่งแวดล้อม พนักงาน และการกำกับดูแล ไปในทิศทางที่เข้าสู่มาตรฐานของ ESG เพิ่มขึ้น การจัดการองค์กรในประเด็นเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ยกตัวอย่างเช่น การมีนโยบาย Work From Home ที่เอื้อต่อรูปแบบการทำงานสมัยใหม่ และถือเป็นการทำ Social Distancing ไปในตัว เพื่อเลี่ยงให้พนักงานอยู่ในจุดเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส COVID-19 รวมถึงรายจ่ายที่แสดงถึงความฟุ้งเฟ้อในอดีต หากยังดำเนินต่อไปอาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความสัมพันธ์ในอนาคตกับลูกค้า หรือทำให้สามารถหาพนักงานที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาในองค์กรได้ยากขึ้น สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่นักลงทุนจะให้น้ำหนักมากขึ้น และมีแนวโน้มที่นักลงทุนจะกดดันการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของธุรกิจที่ไม่สอดรับกับ ESG ด้วยการให้น้ำหนักการลงทุนน้อยลง หรือ เลือกที่จะไม่ลงทุนเลย สำหรับ ESG ในแง่ของภาพที่กว้างขึ้น การพัฒนาอย่างยั่งยืนในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแผนฟื้นฟูสำหรับภาครัฐ ด้วยแผนการที่จะลงทุนในพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ การขนส่งที่สะอาด ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ อาหารที่ยั่งยืน และรวมถึงการเปลี่ยนแปลงไปของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก สิ่งนี้จะยังดำเนินต่อไป และนักลงทุนจะรับได้กับความล้มเหลวในระยะสั้น หากบริษัทหรือธุรกิจยังมีความพยายามที่จะรักษามาตรการ และให้ความสำคัญทั้ง Environmental, Social and Governance 3. Lower Rate Buy High Risk = More Equity ในยุคหลัง COVID-19 ที่หลายคนเรียกกันไปแล้วว่า เราจะอยู่ในยุคของ New Normal ซึ่งสิ่งปกติแบบใหม่ที่เรากำลังจะเห็นชัด ๆ เลยก็คือ เราจะเข้าสู่ยุคที่อัตราดอกเบี้ยจากเงินฝาก และตราสารหนี้เข้าใกล้ศูนย์ หรือ ถึงขั้นติดลบในหลาย ๆ ประเทศ สาเหตุหลักมาจากมาตรการกระตุ้นจากนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ซึ่งน่าจะใช้ระยะเวลาไม่น้อยเลยทีเดียวกว่าที่เศรษฐกิจโลกจะกลับมาสู่ภาวะปกติหรือจุดเดิมในปี 2019 ได้ นั่นเท่ากับว่า แม้แต่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ก็ไม่อาจออมเงินไว้ในเงินฝากธนาคาร หรือตราสารหนี้ภาครัฐฯ ได้อีกต่อไป เพราะแรงกดดันจากเงินเฟ้อ และผลตอบแทนที่แทบจะไม่เหลืออะไร จะทำให้มีเม็ดเงินจากส่วนนี้ ไหลออกมาหาผลตอบแทนในตลาดการเงินและสินทรัพย์ประเภทอื่น ซึ่งสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง (ในสายตาของนักลงทุนทั่วไป) ก็คือ ตลาดตราสารทุน หรือ หุ้น และเราก็เห็นหลักฐานในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาบางอย่างคือ เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับสามารถรีบาวน์กลับมาได้อย่างแข็งแกร่งโดยไม่แคร์ หรือ ไม่สนใจกับตัวเลขเศรษฐกิจที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1930, อัตราการว่างงานของทั่วโลกพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์, รัฐบาลก่อหนี้สาธารณะรวมกันมากกว่า 10% ของ GDP ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน นั่นก็เพราะ สภาพคล่องที่ล้นโลก เงินทุนจึงไม่มีทางเลือกที่จะต้องไหลเข้าตราสารทุน เพื่อหาผลตอบแทนมาชดเชยกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำติดดิน 4. De-Globalization ในมุมมองของผม ผมเชื่อว่า การเกิดขึ้นของ COVID-19 คือ จุดสิ้นสุดของกระแสโลกภิวัฒน์ (Globalization) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ การที่ Global Supply Chain ของโลก ไปรวมตัวกันอยู่ที่ประเทศจีนเป็นฐานการผลิตที่สุดท้าย เมื่อเกิดวิกฤตการณ์อย่างเช่นรอบนี้ ความเสี่ยงที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นอีกด้านก็คือ เกิดการชะงักของฟากการผลิต ทำให้หลังจากนี้ ผู้ประกอบการทั่วโลกจะเริ่มออกแบบ Supply Chain ใหม่ให้อยู่ในระดับภูมิภาค หรือภายในประเทศมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้ง แนวความคิดของโลกฝั่งเสรีนิยมซึ่งนำโดยสหรัฐฯ ก็พุ่งเป้าโจมตีถึงความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจของบริษัทสัญชาติจีน การกล่าวอ้างว่าจีนเป็นต้นเหตุของการแพร่กระจายไวรัส COVID-19 ที่กลายเป็นร่างกม.ขัดแข้งขัดขาบริษัทจีน ให้ค้าขายกับต่างชาติลำบากขึ้น หรือ ถึงขั้นอาจพิจารณาถอดหลักทรัพย์ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หากไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน การเคลื่อนไหวของ 2 มหาอำนาจภายใต้วิกฤต COVID-19 ครั้งนี้ ดูเหมือนจะรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่จีนเปิดประเทศมา แน่นอนว่า การค้าโลกจะหดตัวลงไปอีกนับจากนี้ และกระแส Globalization อาจจะลดลงมาเหลือเพียง Regionalization ก็เป็นได้ จริง ๆ ก็ยังมีอีกหน่งธีมการลงทุนที่น่าสนใจในระยะยาวก็คือ “Technology” แต่ธีมการลงทุนนี้ ถึงไม่มีวิกฤต COVID-19 ก็อยู่ในสายตาของนักลงทุนกันอยู่แล้วนะครับ จากทั้งหมด 4 ธีมการลงทุนในมุมมองของผม ผมว่า สิ่งที่เราต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนในฐานะของนักลงทุนก็คือ เราจำเป็นต้องมีเงินออมเพื่อการเกษียณในบั้นปลายชีวิตเท่าไหร่ มีเป้าหมายอะไรระหว่างทางก่อนการเกษียณไหม และที่สำคัญ วิกฤตช่วงที่ผ่านมา มันทดสอบเราแล้วครั้งหนึ่งว่า เรามีเงินสดหรือสภาพคล่องที่สามารถประคองตัวให้ผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้สบายตัวขนาดไหน เมื่อตอบคำถามในใจเหล่านี้ได้ครบ กำหนดเป้าหมายได้ชัด 4 ธีมการลงทุนนี้ ผมเชื่อว่า ถ้าเรายึดหลักไว้ ก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนของเราได้ในระยะยาวครับ Mr.Messenger อ่านบทความอื่น ๆ จากคอลัมน์ Alpha Pro ได้ที่ ที่มาบทความ:
เมื่อปี 2018 ที่ปธน.ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดฉากเกมส์สงครามการค้า ในปีนั้น สินทรัพย์การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก มีเพียงแค่ “การถือเงินสด” จนเป็นที่ถกเถียงในแวดวงนักกลยุทธ์มืออาชีพทั้งหลายว่า มันถึงจุดสิ้นสุดของการลงทุนแบบพอร์ตโฟลิโอเพื่อกระจายความเสี่ยงแล้วเหรอ เพราะไม่ว่าจะลงลงทุนในสินทรัพย์อะไร ในปี 2018 ก็ขาดทุนทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่พันธบัตรรัฐบาลซึ่งได้ชื่อว่าเสี่ยงต่ำและปลอดภัยที่สุด แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป เราก็เริ่มเห็นแล้วว่า เหตุการณ์ในปี 2018 เกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ๆ เพราะเมื่อเข้าสู่ปี 2019 ผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ก็กลับเข้ามาสู่ภาวะปกติจนทำให้คำกล่าวหาที่มองว่า เลิกกระจายความเสี่ยงเถอะ นั้นค่อย ๆ หายไป จนหลักฐานชิ้นสำคัญที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงตั้งแต่เดือนมี.ค. – เม.ย. ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับฐานเฉลี่ยลบมากกว่า 30% จากจุดสูงสุด เราอาจพบว่า มีแรงเทขายออกจากตราสารหนี้ภาคเอกชนด้วย เพราะไม่รู้ว่า โลกจะรับมือกับไวรัส COVID-19 ได้มากน้อยแค่ไหนในช่วงแรก แต่หากพอร์ตการลงทุนของเรา มีตราสารหนี้ภาครัฐ และ ทองคำ ผสมอยู่ จะพบว่า พอร์ตการลงทุนของคุณลดความผันผวนและช่วยพยุงไม่ให้บาดเจ็บจากการปรับฐานรุนแรงในตลาดหุ้นได้เป็นอย่างดี
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_3
Finance
จงสรุปการลงทุนแบบ 60/40
การกระจายการลงทุนแบบ 60/40* การลงทุนแบบเน้นกระจายสินทรัพย์เพื่อการลงทุนอย่าง 60/40 หรือการลงทุนในหุ้นด้วยสัดส่วน 60% และอีก 40% ลงทุนในตราสารหนี้นั้น เชื่อว่าจะช่วยปกป้องเงินลงทุนของนักลงทุนได้ดีในยามที่อยู่ในภาวะตลาดหมี เนื่องจากราคาสินทรัพย์ทั้ง 2 มักวิ่งสวนทางกัน ดังนั้นในยามที่ราคาหุ้นปรับลดลง ตราสารหนี้ก็มักจะมีผลตอบแทนที่ดีในช่วงดังกล่าว ทั้งนี้กองทุนขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็น BlackRock, Capital Group, Fidelity Investments, T. Rowe Price และ Vanguard Group ให้ความเห็นว่าแม้ในปีที่แล้วจะเป็นปีที่อัตราเงินเฟ้อมีอิทธิพลต่อการตลาดเงินตลาดทุนอย่างมาก และทำให้ทั้งราคาหุ้นและตราสารหนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน แต่การลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ ก็ยังช่วย Portfolio ได้ ดังนั้นการกระจายการลงทุนจึงยังเป็นสิ่งที่เหมาะสมภายใต้ตลาดที่ผันผวนอย่างมาก ในปีที่ผ่านมานอกจากการลงทุนในตราสารหนี้จะไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดีแล้ว ตลาดหุ้นก็ปรับลดลงอย่างมาก โดย Morningstar US Market Index ลดลง 19.4% และ Morningstar US Core Bond Index ลดลง 12.9% และทำให้ Portfolio ที่ลงทุนแบบ 60/40 ก็ให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีไปด้วย อย่างเช่น Morningstar US Moderate Target Allocation Index ปรับลดลง 15.3% เช่นกัน หลักการกระจายการลงทุนคือเพื่อให้ Portfolio ได้รับผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่มีความหลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง บางสินทรัพย์อาจขาดทุนมากๆ ขณะที่อีกสินทรัพย์ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี นับแต่อดีตหุ้นและตราสารหนี้มักจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้ามกันเสมอ ในภาวะที่เศรษฐกิจอ่อนแอเงินเฟ้อลดลง ทั้งตลาดหุ้นและ Bond yield ต่างปรับลดลง ซึ่งดีต่อตราสารหนี้เพราะราคาจะสูงขึ้นแทน ดังนั้นแม้ว่าสัดส่วนที่ลงทุนในหุ้น 60% จะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี แต่อีก 40% ที่ลงทุนในตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนที่ดีมาทดแทน อย่างไรก็ดีด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในปีที่ผ่านมา กลับทำให้ทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ปรับลดลงไปด้วยกันทั้งคู่และนำมาซึ่งผลขาดทุนของนักลงทุนอย่างมาก ทั้งนี้ในอดีตตั้งแต่สมัยประธาน Fed ยุค Alan Greenspan ความสัมพันธ์กับหุ้นและบอนด์ก็อยู่ในทิศทางตรงข้ามกัน เมื่อเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแอ เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ตลาดหุ้นปรับลง Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้บอนด์ยิลปรับลดลงและราคาตราสารหนี้ปรับเพิ่มขึ้นแทน และนักลงทุนอาจใช้ Put options เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะตลาดหุ้นขาลงอีกด้วย (ยกเว้นในปี 1970 ที่ตลาดหุ้นและบอนด์ปรับลดลงพร้อมกัน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างมาก) นอกจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงทำให้การกระจายลงทุนแบบ 60/40 ไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีแล้ว อัตราดอกเบี้ยระดับต่ำยังเป็นอีกปัญหาที่สำคัญ เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นเมื่อไหร่ การคำนวณราคาตราสารหนี้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้ราคาตราสารปรับลดลงอย่างมาก และทำให้นักลงทุนขาดทุนจากตราสารอย่างไรก็ดีเชื่อว่าการกระจายการลงทุนแบบ 60/40 จะกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนอีกครั้ง เมื่อแนวโน้มเศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัว และอัตราเงินเฟ้อลดลงโดยไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะทำให้ตลาดตราสารหนี้กลับมาอยู่ในภาวะปกติ ที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงเพื่อชดเชยอัตราเงินเฟ้อได้ อย่างเช่นในปี 2023 ที่เชื่อว่าจะเป็นปีที่ดีทั้งสำหรับตลาดหุ้นและบอนด์จากภาวะที่เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัว และเงินเฟ้อปรับลดลง ดังนั้นการเลือกลงทุนด้วยสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมระหว่างหุ้นและบอนด์ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยสรุปกลยุทธ์กระจายการลงทุนแบบ 60/40 เหมาะสำหรับการลงทุนแบบระยะยาว แต่ในบางครั้งหรือช่วงเวลาหนึ่งๆ ก็ไม่อาจปกป้องนักลงทุนจากการขาดทุน แต่ในระยะยาวยังให้ผลตอบแทนที่ดีได้ (ข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่าการลงทุนแบบ 60/40 ให้ผลขาดทุนติดลบเพียง 0.1%) การลงทุนแบบระยะยาวโดยการกระจายการลงทุนนั้น นอกจากจะหวังผลตอบแทนที่สูงจากหุ้นแล้ว การลงทุนในตราสารหนี้จะช่วยให้เงินลงทุนไม่เสี่ยงมากจนเกินไปและให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมในระยะยาว
การกระจายการลงทุนแบบ 60/40 คือ การลงทุนแบบเน้นกระจายสินทรัพย์ โดยลงทุนในหุ้นด้วยสัดส่วน 60% และอีก 40% ลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งจะช่วยปกป้องเงินลงทุนของนักลงทุนได้ดีในยามที่อยู่ในภาวะตลาดหมี เหมาะสำหรับการลงทุนแบบระยะยาว ในบางครั้งก็อาจขาดทุนแต่ในระยะยาวยังให้ผลตอบแทนที่ดีได้ การลงทุนแบบระยะยาวโดยการกระจายการลงทุนนั้น นอกจากจะหวังผลตอบแทนที่สูงจากหุ้นแล้ว การลงทุนในตราสารหนี้จะช่วยให้เงินลงทุนไม่เสี่ยงมากจนเกินไปและให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมในระยะยาว
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_26319
Medical
การป้องกันโรคอ้วนในเด็กนั้น อะไรคือปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการกินอาหารของเด็ก?
เคล็ดลับ จัดการลูกอ้วน เคล็ดลับ จัดการลูกอ้วน จากการศึกษาที่ผ่านมาชี้ว่า เด็กที่อ้วนมักเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน โดยเด็กที่อ้วนในระยะเข้าสู่วัยรุ่นจะยิ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นผู้ใหญ่อ้วน จากผลการสำรวจภาวะสุขภาพและโภชนาการในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า ร้อยละ ๑๐-๒๐ ของทารกที่อ้วนจะยังคงอ้วนเมื่อเข้าสู่วัยเด็ก ร้อยละ ๔๐ ของเด็กที่อ้วนจะยังคงอ้วนในวัยรุ่น และร้อยละ ๗๕-๘๐ ของวัยรุ่นที่อ้วนจะกลายเป็นผู้ใหญ่อ้วน การป้องกันโรคอ้วนจึงนับเป็นงานที่จำเป็นและเร่งด่วน และควรป้องกันมิให้เป็นโรคอ้วนตั้งแต่เด็ก เพราะการป้องกันไม่ให้เด็กอ้วนเท่ากับเป็นการลดจำนวนประชากรผู้ใหญ่อ้วน นอกจากการควบคุมพฤติกรรมการกินอาหารของเด็กแล้ว การดำเนินชีวิตประจำวัน การออกกำลังกาย และการเคลื่อนไหวร่างกายของเด็กก็มีผลต่อความอ้วนด้วยเช่นกัน ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ชี้ว่า เด็กที่ดูโทรทัศน์มากกว่า ๕ ชั่วโมงต่อวัน จะมีน้ำหนักตัวมากกว่าเด็กที่ดูโทรทัศน์น้อยกว่า ๒ ชั่วโมง ถึงกว่า ๕ เท่า ดังนั้นจึงจำเป็นที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดและรูปแบบการดำเนินชีวิตเสียใหม่ ให้ลูกได้มีโอกาสปฏิบัติกิจกรรมที่ต้องใช้แรงและมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น จะเห็นได้ว่า โรคอ้วนเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ ยิ่งเริ่มปฏิบัติเร็วเท่าใด ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ฉะนั้นการเลี้ยงดูเด็กของพ่อแม่จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกอ้วนได้ ต่อไปนี้จะขอ เสนอแนวทางปฏิบัติในการป้องกันและลดความอ้วน เด็กทารกและเด็กเล็ก เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ยกเว้นกรณีที่ไม่สามารถให้นมแม่ได้จริงๆ ควรเลือกนมผสมที่ไม่มีน้ำตาลหรือกลูโคส ไม่ควรเริ่มให้อาหารเสริมเร็วเกินไป อย่างน้อยควรเริ่มเมื่ออายุ ๔ เดือนขึ้นไป และไม่ควรให้ทารกดื่มน้ำหวาน ไม่ควรปล่อยให้ทารกนั่งอยู่ในรถเข็น เก้าอี้ เตียงนอน หรือในที่ที่จำกัดเป็นเวลานาน พยายามหลีกเลี่ยงหรือลดอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เครื่องในสัตว์ หนังไก่ หนังเป็ด อาหารทอด น้ำมัน เป็นต้น ควรกินอาหารที่มีกากใยเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผัก ผลไม้ต่างๆ กินอาหารช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน ไม่เร่งรีบ กินคำเล็กๆ และควรกินที่โต๊ะอาหารทุกครั้ง ใช้ภาชนะที่มีขนาดเล็กกว่าเดิม วางช้อนและส้อมขณะเคี้ยว เมื่อรู้สึกอิ่ม ควรหยุดกินทันที เด็กวัยเรียนและเด็กวัยรุ่น ไม่ควรกินอาหารร่วมกับการทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ เพราะอาจทำให้ลืมความอิ่มและกินอาหารมากเกินความต้องการได้ กินอาหารให้ตรงเวลา เพื่อขจัดความเครียดจากความหิว ควรปรุงอาหารกินเอง และควรกินอาหารพร้อมกันทั้งครอบครัวเท่าที่จะทำได้ หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน ของจุบจิบที่ทำจากแป้ง น้ำตาล เลี่ยงการระบายความเครียด เหงา เบื่อ หรือวิตกกังวล ด้วยการกินอาหาร ควรลดการกินอาหารนอกบ้าน เพราะอาหารตามร้านอาหาร ภัตตาคารมักมีไขมันสูง และปริมาณที่เสิร์ฟค่อนข้างมาก ทำให้ร่างกายได้รับอาหารมากเกินไป ให้เด็กได้มีส่วนร่วมในกระบวนการซื้อและเตรียมอาหาร ซึ่งจะเป็นช่วงที่เหมาะในการสอนและให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารและโภชนาการ ทำความเข้าใจและให้ความรู้ด้านโภชนาการแก่เด็ก พร้อมทั้งฝึกให้เด็กรู้จักน้ำหนักตัวที่เหมาะสม และเฝ้าระวังน้ำหนักของตัวเอง ควรลดเวลาการนั่งดูโทรทัศน์ วีดิโอ หรือเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ และจัดให้กิจกรรมการเคลื่อนไหวเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเด็ก พ่อแม่และสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวควรเข้ามามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายนับว่ามีความสำคัญต่อการควบคุมและลดน้ำหนัก และควรกระทำไปพร้อมๆ กัน การควบคุมอาหารหรือการออกกำลังกายเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่สามารถทำให้การควบคุมน้ำหนักได้ผล สมาชิกในครอบครัวนับว่ามีส่วนสำคัญในการให้ความสนับสนุน และกำลังใจอันจะทำให้การลดหรือควบคุมน้ำหนักมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
มีปัจจัยหลัก 2 ประการที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการกินอาหารของเด็ก ดังนี้ 1. พฤติกรรมการกินอาหารของครอบครัว: เด็กมักเลียนแบบพฤติกรรมการกินอาหารของพ่อแม่และสมาชิกในครอบครัว - หากครอบครัวมีพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ดี เช่น กินอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง ของหวาน ของทอด อาหารแปรรูป เด็กก็มีโอกาสกินอาหารเหล่านี้ตามไปด้วย - เด็กที่มีครอบครัวที่กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เด็กก็มีแนวโน้มที่จะกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพตามไปด้วย 2. สภาพแวดล้อมรอบตัวเด็ก: สภาพแวดล้อมรอบตัวเด็ก เช่น โรงเรียน ร้านค้า ร้านอาหาร ล้วนส่งผลต่อพฤติกรรมการกินอาหารของเด็ก - เด็กที่อาศัยอยู่ในย่านที่มีร้านอาหารฟาสตตฟู้ด ร้านขายขนมหวาน ร้านสะดวกซื้ออยู่หนาแน่น เด็กก็มีโอกาสกินอาหารเหล่านี้บ่อย - เด็กที่อาศัยอยู่ในย่านที่มีร้านอาหารที่ขายอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เด็กก็มีแนวโน้มที่จะกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพตามไปด้วย ตัวอย่างเพิ่มเติม: นอกจากปัจจัยหลัก 2 ประการข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการกินอาหารของเด็ก เช่น - ปัจจัยทางพันธุกรรม: เด็กบางคนอาจมีพันธุกรรมที่ทำให้มีแนวโน้มที่จะอ้วน - ปัจจัยทางจิตใจ: เด็กที่เครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า มีโอกาสกินอาหารมากเกินไปหรือกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ - ปัจจัยทางสังคม: เด็กที่เพื่อนกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เด็กก็มีโอกาสกินอาหารเหล่านี้ตามไปด้วย สรุป: พฤติกรรมการกินอาหารของเด็กนั้น ส่งผลต่อสุขภาพและน้ำหนักตัวของเด็ก ดังนั้น พ่อแม่และผู้ปกครองจึงควรใส่ใจดูแลพฤติกรรมการกินอาหารของเด็ก โดยเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารของครอบครัว สร้างสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กให้เอื้อต่อการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และส่งเสริมให้เด็กมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20452
Medical
เวย์โปรตีนคืออะไร
null
โปรตีนนมคุณภาพสูงที่สกัดจากน้ำนมวัวที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนในปริมาณสูงที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เวย์โปรตีนผลิตโดยการนำน้ำนมวัวมาผ่านกรรมวิธีการสกัดเพื่อแยกเอาคาร์โบไฮเดรตและไขมันออกให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อให้ได้ซึ่งโปรตีนสกัดเข้มข้นบริสุทธิ์นำมาผ่านกระบวนการทำให้แห้งเป็นผงพร้อมดื่ม โดยมีการแต่งกลิ่นและรสชาติเพื่อให้ง่ายต่อการบริโภค เวย์โปรตีนถูกแปรรูปให้เข้มข้นขึ้นในรูปแบบที่แตกต่างกันในบางส่วน เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายของแต่ละบุคคล และวัตถุประสงค์ในการดื่มที่แตกต่างกัน เวย์โปรตีนในปัจจุบันมีมากมายหลายชนิด ได้แก่ เวย์โปรตีนไอโซเลต (whey protein isolate) เวย์โปรตีนเข้มข้น หรือ เวย์โปรตีนคอนเซนเทรต (whey protein concentrate) เวย์โปรตีนไฮโดรไลเสต (whey protein hydrolysate) และโปรตีนไฮโดรไลซ์ (hydrolyzed protein) เวย์โปรตีนเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และให้ปริมาณโปรตีนสูงกว่าอาหารตามธรรมชาติทั้งหมด องค์ประกอบหลักของเวย์โปรตีน เป็นโปรตีนคุณภาพสูงที่ร่างกายสามารถย่อยและดูดซึมได้โดยง่าย ในเวย์โปรตีนประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายทั้งหมด 9 ชนิด เช่น เบต้าแลคโตโกลบูลิน (Beta-lactoglobulin) 65% แอลฟาแลคตัลบูมิน (Alpha-lactalbumin) 25% และซีรัมอัลบูมิน (Serum albumin) 8% และยังมีกรดอะมิโน Branched-Chain amino acid (BCAA) ได้แก่ วาลีน (Valine) ไอโซลิวซีน (Isoleucine) และ ลิวซีน (Leucine) ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เวย์โปรตีนหลัก ๆ แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ เวย์โปรตีนคอนเซนเทรต (whey protein concentrate) เวย์โปรตีนไอโซเลต (whey protein isolate) และเวย์โปรตีนไฮโดรไลเสต (whey protein hydrolysate) เวย์โปรตีนคอนเซนเทรต (whey protein concentrate: WPC) เป็นเวย์โปรตีนที่มีราคาถูกที่สุดในบรรดาผงเวย์โปรตีนทั้ง 3 ชนิด โดยมีปริมาณโปรตีนอยู่ที่ระหว่าง 58-89% และมีไขมัน แลคโตส และเปปไทด์ชนิดที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายเป็นส่วนประกอบ
เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_12529
Medical
การใช้ยาคลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol) ในเด็กทารกแรกเกิดมีความปลอดภัยหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ยาคลอแรมเฟนิคอลสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อทารกแรกเกิด โดยเฉพาะภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงและอาจถึงขั้นเสียชีวิตที่เรียกว่า "Gray baby syndrome" 2. ภาวะ Gray baby syndrome เกิดขึ้นเมื่อทารกแรกเกิดไม่สามารถกำจัดยาคลอแรมเฟนิคอลออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ ดังนี้ - ผิวหนังและริมฝีปากซีด - หายใจลำบาก - อุณหภูมิร่างกายต่ำ - ชัก - อาเจียน - ท้องอืด - ภาวะเลือดออก - เสียชีวิต 3. ยาคลอแรมเฟนิคอลสามารถกดการทำงานของไขกระดูก ส่งผลต่อการผลิตเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น - การติดเชื้อรุนแรง - โลหิตจาง - ภาวะเลือดออก 4. ยาคลอแรมเฟนิคอลสามารถส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก 5. มีทางเลือกอื่นในการรักษาโรคติดเชื้อในทารกแรกเกิดที่ปลอดภัยกว่ายาคลอแรมเฟนิคอล ข้อควรระวัง: 1. ควรใช้ยาคลอแรมเฟนิคอลในทารกแรกเกิด เฉพาะกรณีที่จำเป็นอย่างแท้จริง และไม่มีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่า 2. แพทย์จะต้องคำนวณขนาดยาที่เหมาะสมอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาจากน้ำหนักตัวและอายุของทารก 3. ทารกแรกเกิดที่ได้รับยาคลอแรมเฟนิคอลจะต้องได้รับการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ สรุป: การใช้ยาคลอแรมเฟนิคอลในเด็กทารกแรกเกิดมีความเสี่ยงสูง ไม่ควรใช้ยาตัวนี้ในทารกแรกเกิด เว้นแต่จะมีข้อบ่งใช้ทางการแพทย์ที่จำเป็นอย่างแท้จริง และไม่มีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่า
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_42985
Finance
นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอะไรเพิ่มเติม เพื่อป้องกันหลุมพรางของการถือหุ้นนานตามแนวคิด Buy and Hold?
หลายคนเข้าใจว่า “ถือหุ้นนาน = ลงทุนระยะยาว” ผมเชื่อว่า หลายคนอ่านหนังสือแนว value investing มักจะมีความเข้าใจว่า ให้ซื้อหุ้นแล้วถือไปนานๆๆ หรือเราเรียกว่า buy and hold บ่อยครั้งที่นักลงทุนทำแบบนี้ แต่ก็ยังขาดทุนอยู่ เวลาอาจจะผ่านไป 1-2 ปี แต่ทำไมราคาหุ้นไม่ขยับเลย ยังติดดอยอยู่ พอเกิดบ่อยๆๆ บ้างก็บอกว่าวิธี value investing ไม่ work หรอก ทำไมผมถึงบอกว่า หลุมพรางของการถือหุ้นนาน!? กลยุทธ์ buy and hold ซื้อแล้วถือนานมีประโยชน์ก็จริง แต่กลยุทธ์ก็มี condition ให้พิจารณาไปพร้อมกันด้วย ผมขอยกตัวอย่าง หุ้น BEC หรือหุ้นของช่อง 3 เพราะน่าจะใกล้ตัวและเข้าใจง่าย 1. พื้นฐานการแข่งขันไม่เปลี่ยนแปลง ผมขอยกตัวอย่าง กรณีของ TV Digital เดิมมี TV 3 5 7 9 แข่งกันแค่นี้ แต่พอมีการประมูล TV Digital มีช่อง TV เยอะมากมาย เข้ามาแบ่งรายได้ค่าโฆษณา เท่านั้นยังไม่พอ มีการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ คือ คนรุ่นใหม่ใช้เวลาไปกับ Internet มากกว่า TV การเกิดขึ้นของ FB และ YouTube เมื่อคนรุ่นใหม่ไปดู FB live หรือ youtube ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งสองอย่างคือ คู่แข่งใหม่เข้ามา และ technology ใหม่ๆ เดิมมี TV 3 5 7 9 แข่งกันแค่นี้ แต่พอมีการประมูล TV Digital มีช่อง TV เยอะมากมาย เข้ามาแบ่งรายได้ค่าโฆษณา ขณะที่ขนาดของตลาดไม่ได้เติบโตมาก แต่มีคู่แข่งมากขึ้น เท่านั้นยังไม่พอ มีการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ คือ คนรุ่นใหม่ใช้เวลาไปกับ Internet มากกว่า TV การเกิดขึ้นของ FB และ YouTube คนรุ่นใหม่ไปดู FB live หรือ YouTube ดังนั้นคุณจะต้องติดตามการเปลี่ยนแปลง ในอุตสาหกรรมของหุ้นที่คุณถืออยู่ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงกระทบเชิงผลลบ คุณก็พิจารณาขาย 2. ยังมีกำไรเติบโตตามที่คิดไว้ การเปลี่ยนแปลงในการแข่งขันทั้ง 2 อย่างที่กล่าวมา ทำให้ BEC นั้นปรับตัวไม่ทัน ที่ผ่านมากำไรจึงไม่เติบโต จากข้อมูลของ BEC ปี 2556 กำไร 5,589.48 ล้าน ราคาหุ้น 50 บาท ปี 2557 กำไร 4,414.99 ล้าน ราคาหุ้น 51 บาท ปี 2558 กำไร 2,982.71 ล้าน ราคาหุ้น 30.50 บาท
1. การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ: - วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม เทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค กฎระเบียบ ฯลฯ ที่ส่งผลต่อธุรกิจของบริษัทที่ลงทุนอยู่ - ประเมินศักยภาพของบริษัทในการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลง - หากบริษัทไม่สามารถปรับตัวได้ หรือการเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ควรพิจารณาปรับกลยุทธ์การลงทุน 2. การเติบโตของผลประกอบการ: - ติดตามผลประกอบการของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ วิเคราะห์อัตราการเติบโตของรายได้ กำไร และปันผล - เปรียบเทียบผลประกอบการกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม - หากผลประกอบการของบริษัทไม่ได้เติบโตตามคาด หรือเติบโตช้ากว่าคู่แข่ง ควรพิจารณาหาสาเหตุและประเมินผลกระทบต่อมูลค่าหุ้น 3. มูลค่าหุ้นที่เหมาะสม: - วิเคราะห์มูลค่าหุ้นปัจจุบันของบริษัท เปรียบเทียบกับมูลค่าพื้นฐานที่คำนวณจากปัจจัยต่างๆ เช่น กำไรสุทธิ อัตราส่วนทางการเงิน อัตราการเติบโต - หากมูลค่าหุ้นปัจจุบันสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ แสดงว่าหุ้นอาจมีราคาแพงเกินไป - ควรพิจารณาปรับกลยุทธ์การลงทุน เช่น ขายหุ้นบางส่วน หรือรอคอยจังหวะที่ราคาหุ้นปรับลง ตัวอย่างการวิเคราะห์: หุ้น BEC ของช่อง 3 เคยน่าสนใจในอดีต แต่ราคาหุ้นกลับไม่ขยับในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจาก: 1. การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ: - การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากช่องทีวีดิจิทัลใหม่ๆ ที่เข้ามาแย่งชิงเม็ดเงินโฆษณา - พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เน้นดูคอนเทนต์ออนไลน์ผ่าน Facebook, YouTube มากกว่าทีวี 2. การเติบโตของผลประกอบการที่ชะลอตัว: - กำไรของ BEC ไม่ได้เติบโตตามคาด - ผลประกอบการในปี 2558 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับปี 2556 สรุป: กลยุทธ์ Buy and Hold นั้นมีประโยชน์ แต่ไม่ได้แปลว่าซื้อหุ้นแล้วถือไปนานๆ โดยไม่ต้องวิเคราะห์อะไร นักลงทุนควรติดตามความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ วิเคราะห์ผลประกอบการของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ เปรียบเทียบมูลค่าหุ้นปัจจุบันกับมูลค่าพื้นฐาน
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_30953
Medical
หลังจากที่แช่น้ำท่วมมา สิ่งที่ควรปฏิบัติคืออะไร
ก. เช็ดเท้าให้แห้งสนิท ข. รับประทานอาหารปรุงสุกอยู่เสมอ ค. ทำความสะอาด ฟอกสบู่บริเวณที่แช่น้ำ ง. ใส่ยาฆ่าเชื้อประเภทเบตาดีน แอลกอฮอล์ เพื่อฆ่าเชื้อโรค จ. สวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน
คำตอบที่ถูกต้องคือ ค. เพราะว่า เพราะหลังจากที่แช่น้ำท่วม มาสิ่งที่ควรปฏิบัติก็คือ ควรทำความสะอาด ฟอกสบู่บริเวณที่แช่น้ำ หากผิวหนังแค่ระคายเคืองก็ให้เช็ดให้แห้ง แต่หากผิวหนังเริ่มเปื่อยแล้วหลังฟอกสบู่เสร็จควรใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น เบตาดีน แอลกอฮอล์ ฯลฯ เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแบคทีเรียหรือเชื้อราที่จะทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่ต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วม ควรหลีกเลี่ยงการแช่น้ำ หากจำเป็นต้องมีการแช่น้ำหลังจากนั้นต้องทำความสะอาดฟอกสบู่เพื่อฆ่าเชื้อโรค และเช็ดให้แห้งสนิท อาจมีการใส่ยาฆ่าเชื้อประเภทเบตาดีน แอลกอฮอล์ เพื่อฆ่าเชื้อโรคในเบื้องต้น สำหรับเด็กๆ ที่ชอบลงไปเล่นน้ำตอนน้ำท่วม ถือว่ามีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก เพราะบางครั้งการลงไปเล่นน้ำ นอกจากร่างกายจะแช่น้ำเป็นเวลานานแล้ว น้ำอาจจะเข้าปากด้วย เสี่ยงต่อการเกิดโรคท้องเสียท้องร่วงตามมา ผู้ปกครองจึงควรดูแลลูกหลานอย่าให้เล่นน้ำท่วมขังจะดีที่สุด ทั้งนี้การเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่น้ำท่วม ผู้ช่วยเหลือไม่ค่อยได้รับผลกระทบเท่าไร เพราะส่วนมากจะมีการป้องกันอย่างดี เช่น การสวมชุดกันน้ำ และอีกอย่างกลุ่มคนเหล่านี้มักมีร่างกายที่แข็งแรง จึงไม่น่าเป็นห่วง แต่ที่สำคัญคือต้องมีการป้องกันที่ดีและเหมาะสมด้วย ส่วนการอยู่ร่วมกันในปริมาณมากหรือแออัด มีโอกาสที่จะติดเชื้อจากโรคติดต่อ โรคทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ควรสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน รวมทั้งทางศูนย์เองก็ควรแยกผู้ป่วยออกจากคนปกติ เพื่อไม่ให้ติดต่อโรคกัน ที่สำคัญสำหรับทุกคนที่ประสบภัย คือควรรับประทานอาหารปรุงสุกอยู่เสมอ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_23457
Medical
ช่วยสรุปบทความ เรื่อง อาหารเป็นพิษ
อาหารเป็นพิษ อาหารเป็นพิษ อาหารเป็นพิษ จะมีอาการถ่ายเหลว เนื่องมาจากการกินอาหารที่ไม่สะอาด แต่แท้ที่จริงแล้วคำว่า อาหารเป็นพิษ นั้น แต่ดั้งเดิมหมายถึงอาการท้องเสียที่เกิดขึ้นจากแบคทีเรียตัวหนึ่งชื่อสแตฟฟิโลคอคคัส เท่านั้น เชื้อสแตฟฟิโลคอคคัส เป็นเชื้อแบคทีเรียรูปร่างกลมย้อมติดสีกรัมบวก เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่เป็นปกติที่ผิวหนังของเรา มักเป็นสาเหตุของหนองฝี แผลอักเสบติดเชื้อของผิวหนัง อาการท้องเสียที่เกิดจากแบคทีเรียตัวนี้นั้น มีสาเหตุมาจากการที่เราได้รับสารพิษของมัน สารพิษดังกล่าวมีผลโดยตรงต่อทางเดินอาหาร และระบบประสาทส่วนกลาง อาการที่เกิดขึ้นหาใช่เพราะตัวของแบคทีเรียเองไม่ เนื่องจากแบคทีเรียตัวนี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อผนังลำไส้ของเราได้ อาหารเป็นพิษมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ร่างกายของเราได้รับเชื้อแบคทีเรียเข้าไป ระยะเวลาจากการกินอาหารที่ปนเปื้อนแบคทีเรียตัวนี้ จนกระทั่งเกิดอาการนั้น อยู่ระหว่าง 1-6 ชั่วโมง และระยะที่มีอาการก็เป็นระยะเวลาไม่นาน คือประมาณ 10 ชั่วโมง ถึงแม้ไม่รักษาอาการดังกล่าวก็จะหายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง เรื่องของเรื่องมักจะมีอยู่ว่าแม่ครัวหรือคนปรุงอาหารที่มีบาดแผลที่มือซึ่งเกิดอาการอักเสบจากเชื้อสแตฟฟิโลคอคคัส อาหารที่แม่ครัวคนนั้นปรุงจึงมีเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุปะปนอยู่ เชื้อนี้จะปล่อยพิษลงในอาหาร เมื่อใครกินเข้าไปก็จะเกิดอาการอาเจียนภายใน 1-2 ชั่วโมง บางครั้งอาการอาเจียนรุนแรงมาก ทั้งนี้เนื่องจากพิษของแบคทีเรียตัวนี้มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาอาเจียน และอีกไม่นานอาการท้องเสียก็จะตามมา เรื่องแบบนี้มักจะเกิดขึ้นกับโรงครัวที่มีคนกินอาหารเป็นจำนวนมาก และมักจะเป็นพร้อมๆกันหลายๆคน บางรายที่เป็นหนักต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือ เพื่อทดแทนน้ำส่วนที่ร่างกายเสียไปทางอาเจียนและการถ่าย แต่ส่วนใหญ่แล้วอาศัยการดื่มน้ำเกลือเท่านั้นก็เป็นการเพียงพอ เนื่องจากอาหารเป็นพิษไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียโดยตรง ดังนั้นอุจจาระที่ออกมาจึงเป็นน้ำ ไม่มีมูกหรือเลือดซึ่งเป็นสัญญาณของอาการอักเสบรุนแรงภายในลำไส้ เมื่อนำอุจจาระไปส่องกล้องจุลทรรศน์ดูก็จะพบว่ามีเม็ดเลือดขาวน้อย และเมื่อนำอุจจาระของคนที่มีอาการอาหารเป็นพิษไปเพาะเชื้อ ก็จะไม่พบเชื้อ ดังนั้นการรักษาจึงไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะแต่อย่างใด รักษาตามอาการที่เกิดขึ้น หากอาเจียนก็ให้ยาแก้อาเจียน อาจจะให้ยาหยุดถ่ายจำพวกเคโอเปคตัล และที่สำคัญคือให้ดื่มน้ำเกลือทดแทนน้ำในร่างกายส่วนที่เสียไปให้ทันและเพียงพอ ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า อาหารเป็นพิษ ตามความหมายดั้งเดิม หมายถึงโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสแตฟฟิโลคอคคัสเพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่ปัจจุบันเราหมายรวมไปถึงอาการที่เกิดจากการกินอาหารที่ปนเปื้อนอีโคไลอีกด้วย อาการท้องเสียที่เกิดจากอีโคไลเป็นอาการท้องเสียที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เช่น จากการกินอาหารทะเล ส้มตำ ขนมจีน ฯลฯ คนที่ได้รับเชื้ออีโคไลพร้อมๆกันอาจจะไม่เกิดอาการท้องเสียหมดทุกคนก็เป็นได้ อีโคไลเป็นแบคทีเรียรูปแท่งย้อมติดสีกรัมลบ มันมีสารพิษทำให้เกิดอาการท้องเสีย อีโคไลมีสารพิษ 2 ชนิด ชนิดหนึ่งเป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่และถูกทำลายให้หมดไปด้วยการทำให้อาหารสุก แต่อีกชนิดหนึ่งที่มันผลิตออกมาพร้อมๆกันนั้น มีโมเลกุลที่เล็กกว่า และเป็นสารทนไฟที่ไม่สามารถทำลายได้ด้วยความร้อน สารพิษทั้งสองชนิดมีผลทำให้ท้องเสียเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากอาหารปนเปื้อนสารพิษนี้แล้วไม่ว่าจะทำให้สุกก่อนหรือไม่ ก็จะไม่มีทางทำลายสารพิษของมันให้หมดไปได้ มีทางเดียวที่จะป้องกันได้ก็คือทิ้งอาหารนั้นไปเสีย อาการของอาหารเป็นพิษที่เกิดจากพิษของอีโคไลก็คือท้องเสีย แต่อาการรุนแรงน้อยกว่า ลักษณะอุจจาระเป็นน้ำ อาจจะมีอาการปวดท้องร่วมด้วย และมีไข้ต่ำๆ อาการอาเจียนเป็นน้อยกว่าอาการที่เกิดจากสแตฟฟิโลคอคคัส แต่หากได้รับเชื้อมากๆ อาการท้องเสียอาจจะรุนแรงและเป็นอยู่นานถึง 2 วันได้ การรักษา นอกจากจะให้น้ำเกลือดื่มเพื่อทดแทนน้ำในร่างกายที่สูญเสียไปแล้ว อาจจะให้บีสมัทเพื่อลดอาการและทำให้หยุดถ่าย นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าหากต้องเดินทางไปในที่ๆคาดว่าจะได้รับเชื้อ เช่น แถบชายทะเล อาจจะป้องกันได้โดยการกินเตตร้าซัยคลิน จำพวกดอกซีไซคลิน วันละ 100 มิลลิกรัมก็เป็นการเพียงพอ อาหารเป็นพิษมักจะพบได้บ่อยในหน้าร้อน ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการท้องเสียควรจะปฏิบัติตัวดังนี้ 1 เมื่อต้องการรับประทานอาหารนอกบ้านให้เลือกร้านที่สะอาด คนปรุงอาหารท่าทางสะอาด อย่ารับประทานอาหารที่มีแมลงวันตอม 2 รับประทานอาหารที่ใหม่และสดเสมอ เนื้อสัตว์และอาหารที่ค้างคืนควรทิ้งเสีย อย่านำมาประกอบอาหารหรือนำมารับประทานเพราะความเสียดาย 3 อาหารเหลือค้างที่ไม่ได้อุ่นหรือเก็บไว้ในตู้เย็นไม่ควรจะนำมารับประทาน 4 หากมีแผลอักเสบที่มือไม่ควรจะเป็นคนปรุงอาหารเอง
อาหารเป็นพิษ จะมีอาการถ่ายเหลว เนื่องมาจากการกินอาหารที่ไม่สะอาด แต่แท้ที่จริงแล้วคำว่า อาหารเป็นพิษ นั้น แต่ดั้งเดิมหมายถึงอาการท้องเสียที่เกิดขึ้นจากแบคทีเรียตัวหนึ่งชื่อสแตฟฟิโลคอคคัส เท่านั้น เชื้อสแตฟฟิโลคอคคัส เป็นเชื้อแบคทีเรียรูปร่างกลมย้อมติดสีกรัมบวก เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่เป็นปกติที่ผิวหนังของเรา มักเป็นสาเหตุของหนองฝี แผลอักเสบติดเชื้อของผิวหนัง อาการท้องเสียที่เกิดจากแบคทีเรียตัวนี้นั้น มีสาเหตุมาจากการที่เราได้รับสารพิษของมัน สารพิษดังกล่าวมีผลโดยตรงต่อทางเดินอาหาร และระบบประสาทส่วนกลาง อาหารเป็นพิษมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ร่างกายของเราได้รับเชื้อแบคทีเรียเข้าไป ระยะเวลาจากการกินอาหารที่ปนเปื้อนแบคทีเรียตัวนี้ จนกระทั่งเกิดอาการนั้น อยู่ระหว่าง 1-6 ชั่วโมง และระยะที่มีอาการก็เป็นระยะเวลาไม่นาน คือประมาณ 10 ชั่วโมง ถึงแม้ไม่รักษาอาการดังกล่าวก็จะหายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง เนื่องจากอาหารเป็นพิษไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียโดยตรง ดังนั้นอุจจาระที่ออกมาจึงเป็นน้ำ ไม่มีมูกหรือเลือดซึ่งเป็นสัญญาณของอาการอักเสบรุนแรงภายในลำไส้ เมื่อนำอุจจาระไปส่องกล้องจุลทรรศน์ดูก็จะพบว่ามีเม็ดเลือดขาวน้อย และเมื่อนำอุจจาระของคนที่มีอาการอาหารเป็นพิษไปเพาะเชื้อ ก็จะไม่พบเชื้อ ดังนั้นการรักษาจึงไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะแต่อย่างใด รักษาตามอาการที่เกิดขึ้น หากอาเจียนก็ให้ยาแก้อาเจียน อาจจะให้ยาหยุดถ่ายจำพวกเคโอเปคตัล และที่สำคัญคือให้ดื่มน้ำเกลือทดแทนน้ำในร่างกายส่วนที่เสียไปให้ทันและเพียงพอ อาหารเป็นพิษ ตามความหมายดั้งเดิม หมายถึงโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสแตฟฟิโลคอคคัสเพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่ปัจจุบันเราหมายรวมไปถึงอาการที่เกิดจากการกินอาหารที่ปนเปื้อนอีโคไลอีกด้วย อาการท้องเสียที่เกิดจากอีโคไลเป็นอาการท้องเสียที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เช่น จากการกินอาหารทะเล ส้มตำ ขนมจีน ฯลฯ คนที่ได้รับเชื้ออีโคไลพร้อมๆกันอาจจะไม่เกิดอาการท้องเสียหมดทุกคนก็เป็นได้ อีโคไลเป็นแบคทีเรียรูปแท่งย้อมติดสีกรัมลบ มันมีสารพิษทำให้เกิดอาการท้องเสีย อีโคไลมีสารพิษ 2 ชนิด ชนิดหนึ่งเป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่และถูกทำลายให้หมดไปด้วยการทำให้อาหารสุก แต่อีกชนิดหนึ่งที่มันผลิตออกมาพร้อมๆกันนั้น มีโมเลกุลที่เล็กกว่า และเป็นสารทนไฟที่ไม่สามารถทำลายได้ด้วยความร้อน สารพิษทั้งสองชนิดมีผลทำให้ท้องเสียเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากอาหารปนเปื้อนสารพิษนี้แล้วไม่ว่าจะทำให้สุกก่อนหรือไม่ ก็จะไม่มีทางทำลายสารพิษของมันให้หมดไปได้ มีทางเดียวที่จะป้องกันได้ก็คือทิ้งอาหารนั้นไปเสีย อาการของอาหารเป็นพิษที่เกิดจากพิษของอีโคไลก็คือท้องเสีย แต่อาการรุนแรงน้อยกว่า ลักษณะอุจจาระเป็นน้ำ อาจจะมีอาการปวดท้องร่วมด้วย และมีไข้ต่ำๆ อาการอาเจียนเป็นน้อยกว่าอาการที่เกิดจากสแตฟฟิโลคอคคัส แต่หากได้รับเชื้อมากๆ อาการท้องเสียอาจจะรุนแรงและเป็นอยู่นานถึง 2 วันได้ การรักษา นอกจากจะให้น้ำเกลือดื่มเพื่อทดแทนน้ำในร่างกายที่สูญเสียไปแล้ว อาจจะให้บีสมัทเพื่อลดอาการและทำให้หยุดถ่าย นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าหากต้องเดินทางไปในที่ๆคาดว่าจะได้รับเชื้อ เช่น แถบชายทะเล อาจจะป้องกันได้โดยการกินเตตร้าซัยคลิน จำพวกดอกซีไซคลิน วันละ 100 มิลลิกรัมก็เป็นการเพียงพอ อาหารเป็นพิษมักจะพบได้บ่อยในหน้าร้อน ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการท้องเสียควรจะปฏิบัติตัวดังนี้ 1 เมื่อต้องการรับประทานอาหารนอกบ้านให้เลือกร้านที่สะอาด 2 รับประทานอาหารที่ใหม่และสดเสมอ เนื้อสัตว์และอาหารที่ค้างคืนควรทิ้ง 3 อาหารเหลือค้างที่ไม่ได้อุ่นหรือเก็บไว้ในตู้เย็นไม่ควรจะนำมารับประทาน 4 หากมีแผลอักเสบที่มือไม่ควรจะเป็นคนปรุงอาหารเอง
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_26459
Medical
ปัญหาของผู้สูงอายุ ด้านสุขภาพร่างกาย เรียงลำดับความเสื่อมที่ทำให้เกิดการตายสูงที่สุดคืออวัยวะใด
A. กระเพาะอาหาร B. ไต C. สมอง D. หัวใจ
คำตอบคือ D. เนื่องจาก ปัญหาของผู้สูงอายุคือ * เรื่องเงิน ผู้สูงอายุจากชมรมผู้สูงอายุที่มาประชุมกัน ปัญหาส่วนใหญ่ที่ประสบคือ เงิน ทางแก้ต้องเตรียมตัวตั้งแต่วัยหนุ่มสาว สะสมเงินไว้พอใช้จ่ายในยามชราเพื่อหาซื้อบริการที่เราไม่ต้องร้องขอ นั่นคือความไม่ประมาทเพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร * สุขภาพร่างกาย มักจะเรียงลำดับความเสื่อมที่ทำให้เกิดการตาย ๑. หัวใจ เป็นสาเหตุการตายอันดับ ๑ ทางแก้ คือการออกกำลังกาย เหนื่อย ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ๒. สมอง สมองจะเสื่อมจำอะไรไม่ค่อยได้ คิดไม่ออก ต้องออกกำลังสมองบ่อยๆ อ่านหนังสือ เขียนหนังสือทุกวัน ดูโทรทัศน์ ศึกษา หาความรู้ ความแก่ไม่ใช่เป็นสิ่งขัดขวางการเรียนรู้ ในญี่ปุ่นผู้สูงอายุเข้า โรงเรียน เรียนในสิ่งที่อยากรู้เต็มไปหมด สมองได้ทำงาน การออกกำลัง สมองทำให้สมองไม่เสื่อม กลับสนุกและสมองดีขึ้น ๓. ไต คนไทยมีปัญหาเรื่องไตมาก เพราะยาสารพัดชนิดที่ซื้อหาตามท้องตลาดได้ง่าย และแม้แต่สมุนไพรต่างๆ ที่ชอบอ้างว่าไม่เป็นอันตราย จริงๆ แล้วยาทั่วไปก็สกัดจากสมุนไพร และสารเคมีในสมุนไพรก็คือสารเคมีเดียวกับยาแผนปัจจุบัน ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรกินยา ขอให้เลือกกินอาหารแทนยา ไตจะได้ไม่ต้องทำงานหนัก ๔. กระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่พออายุมากขึ้นกระเพาะอาหารจะบาง ตามผิวหนัง การบริโภคอาหารมักจะต้องระวัง ไม่ใช่บริโภคคล้ายคนหนุ่มสาว เพราะกระเพาะอาหารต่างกัน ๕. ฟัน คนแก่ไม่จำเป็นต้องฟันหลุด เป็นความเชื่อที่ ผิดๆ เพราะไม่ดูแลให้ดีจึงฟันหลุด ๖. ลำไส้ใหญ่ คนแก่มักจะมีปัญหาการขับถ่าย ตื่นเช้าดื่มน้ำปกติ สัก ๔ แก้ว สักพักก็จะเข้าส้วมได้ ไม่ต้องใช้ยาระบาย ลำไส้ จะได้ไม่เคยชินต่อยา ๗. กระดูกไขข้อ ลุกก็โอย นั่งก็โอย นอนก็โอย คนพออายุมากเป็นเรื่องปกติในความไม่สะดวกของร่างกาย อย่าพยายามใช้ยาแก้ปวดเมื่อย มากเกินไป เพราะจะมีผลต่ออย่างอื่นๆ ของร่างกาย
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_821
Finance
จงสรุปบทความ ชวนดูพลัง ‘ผลตอบแทนทบต้น’ แม้แต่ไอน์สไตน์ยังยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก!?
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ผลตอบแทนทบต้น” หรือ “ดอกเบี้ยทบต้น” กันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่เคยรู้ว่าพลังของมันมหัศจรรย์มากขนาดไหน วันนี้จึงขอชวนทุกคนมาดูพลังของผลตอบแทนทบต้นกัน ซึ่งพลังของมันแม้แต่ไอน์สไตน์ยังยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก!? หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า หรือ กันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่เคยรู้ว่าพลังของมันมหัศจรรย์มากขนาดไหน วันนี้จึงขอชวนทุกคนมาดูพลังของผลตอบแทนทบต้นกัน ซึ่งพลังของมันแม้แต่ไอน์สไตน์ยังยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก!? “ดอกเบี้ยทบต้น (Compound interest) คือสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก ใครที่เข้าใจ ก็จะได้รับมันไป ใครที่ไม่เข้าใจ ก็จะต้องเสียมันไป” – อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สูตรการคำนวณผลตอบแทนทบต้น FV = PV (1 + i)^n โดยที่ FV = มูลค่าอนาคต (Future Value) PV = มูลค่าปัจจุบัน (Present Value) i = อัตราผลตอบแทน n = ระยะเวลา โดยที่ FV = มูลค่าอนาคต (Future Value) PV = มูลค่าปัจจุบัน (Present Value) i = อัตราผลตอบแทน n = ระยะเวลา ตัวอย่างเช่น นาย A นำเงิน 1,000,000 บาท ไปลงทุนในตราสารหนี้อายุ 10 ปี โดยให้ผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ย 5% ต่อปี ดังนั้น มูลค่าอนาคตอีก 10 ปี ของเงิน 1,000,000 บาท ที่นาย A นำไปลงทุนจะเท่ากับ 1,000,000*(1.05)^10 = 1,628,894.63 บาท ตัวอย่างเช่น นาย A นำเงิน 1,000,000 บาท ไปลงทุนในตราสารหนี้อายุ 10 ปี โดยให้ผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ย 5% ต่อปี ดังนั้น มูลค่าอนาคตอีก 10 ปี ของเงิน 1,000,000 บาท ที่นาย A นำไปลงทุนจะเท่ากับ 1,000,000*(1.05)^10 = 1,628,894.63 บาท ที่นี่เราลองมาดูกันต่ออีกว่าหากเรามีการเก็บเงินไปลงทุนในจำนวนไม่มากแต่เน้นหลักการลงทุนแบบสม่ำเสมอด้วยการลงทุนทุกเดือนไม่ขาดช่วง (DCA) พลังของผลตอบแทนทบต้นนั้นจะทำให้เงินของเรามากขึ้นสักเพียงใด ที่นี่เราลองมาดูกันต่ออีกว่าหากเรามีการเก็บเงินไปลงทุนในจำนวนไม่มากแต่เน้นหลักการลงทุนแบบสม่ำเสมอด้วยการลงทุนทุกเดือนไม่ขาดช่วง (DCA) พลังของผลตอบแทนทบต้นนั้นจะทำให้เงินของเรามากขึ้นสักเพียงใด จากตารางด้านบนเป็นตัวอย่างการเก็บเงินเพื่อนำลงทุนเดือนละ 10,000 บาท (หรือปีละ 120,000 บาท) ในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ย 8% ต่อปี (ทั้งนี้จะไม่นับรวมปัจจัยอื่นที่อาจทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง) จะเห็นได้ชัดเลยว่า ยิ่งเราลงทุนนานมากเท่าไร เงินของเราก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนี่ก็เป็นเพราะพลังของผลตอบแทนทบต้นนั่นเอง จากตารางด้านบนเป็นตัวอย่างการเก็บเงินเพื่อนำลงทุนเดือนละ 10,000 บาท (หรือปีละ 120,000 บาท) ในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ย 8% ต่อปี (ทั้งนี้จะไม่นับรวมปัจจัยอื่นที่อาจทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง) จะเห็นได้ชัดเลยว่า ยิ่งเราลงทุนนานมากเท่าไร เงินของเราก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนี่ก็เป็นเพราะพลังของผลตอบแทนทบต้นนั่นเอง ขอยกตัวอย่างเป็นสถานการณ์เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นอีกสักนิด เช่น นาย A ออมเงินเดือนละ 10,000 บาท (หรือปีละ 120,000 บาท) โดยไม่นำเงินไปลงทุนเลย ผ่านไป 50 ปี นาย A จะมีเงินเพียง 6,000,000 บาท (120,000 บาท x 50 ปี) ในขณะที่นาย B นำเงิน 10,000 บาท ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ยต่อปี 8% ทุกเดือน ผ่านไป 50 ปี นาย A จะมีเงิน 74,360,612.27 บาท หรือมากกว่านาย A ถึง 1,139.34% เลยทีเดียว ขอยกตัวอย่างเป็นสถานการณ์เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นอีกสักนิด เช่น นาย A ออมเงินเดือนละ 10,000 บาท (หรือปีละ 120,000 บาท) โดยไม่นำเงินไปลงทุนเลย ผ่านไป 50 ปี นาย A จะมีเงินเพียง 6,000,000 บาท (120,000 บาท x 50 ปี) ในขณะที่นาย B นำเงิน 10,000 บาท ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ยต่อปี 8% ทุกเดือน ผ่านไป 50 ปี นาย A จะมีเงิน 74,360,612.27 บาท หรือมากกว่านาย A ถึง 1,139.34% เลยทีเดียว และทั้งหมดนี้ก็เป็นพลังของผลตอบแทนทบต้นที่เรานำมาแสดงให้ทุกคนได้เห็นกัน ฝากไว้ก่อนจบว่าเรื่องการลงทุนไม่ใช่เรื่องไกลตัว ยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งได้เปรียบ และทั้งหมดนี้ก็เป็นพลังของผลตอบแทนทบต้นที่เรานำมาแสดงให้ทุกคนได้เห็นกัน ฝากไว้ก่อนจบว่าเรื่องการลงทุนไม่ใช่เรื่องไกลตัว ยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งได้เปรียบ
“ผลตอบแทนทบต้น” หรือ “ดอกเบี้ยทบต้น” แม้แต่ไอน์สไตน์ยังยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก สูตรการคำนวณผลตอบแทนทบต้น โดยที่ FV = มูลค่าอนาคต (Future Value) PV = มูลค่าปัจจุบัน (Present Value) i = อัตราผลตอบแทน n = ระยะเวลา การเก็บเงินเพื่อนำลงทุนเดือนละ 10,000 บาท (หรือปีละ 120,000 บาท) ในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ย 8% ต่อปี จะเห็นได้ชัดเลยว่า ยิ่งเราลงทุนนานมากเท่าไร เงินของเราก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนี่ก็เป็นเพราะพลังของผลตอบแทนทบต้นนั่นเอง เช่น นาย A ออมเงินเดือนละ 10,000 บาท (หรือปีละ 120,000 บาท) โดยไม่นำเงินไปลงทุนเลย ผ่านไป 50 ปี นาย A จะมีเงินเพียง 6,000,000 บาท (120,000 บาท x 50 ปี) ในขณะที่นาย B นำเงิน 10,000 บาท ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ยต่อปี 8% ทุกเดือน ผ่านไป 50 ปี นาย A จะมีเงิน 74,360,612.27 บาท หรือมากกว่านาย A ถึง 1,139.34%
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_22080
Medical
ยาอะไรบ้างที่ใช้แล้วอาจจะทำให้เกิดโรคกระเพาะ?
null
ยาหลายชนิดสามารถทำให้เกิดโรคกระเพาะได้ ตัวอย่างยาที่พบได้บ่อย ได้แก่: 1. ยาต้านการอักเสบแบบ Nonsteroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs): ยาเหล่านี้ เช่น เพร็ดนิโซโลน เด๊กซ่าเมทาโซน เฟนิลบิวตาโซน แอสไพริน อินโดเมทาซิน ฯลฯ มักใช้เพื่อลดอาการอักเสบและปวด -กลไกการออกฤทธิ์ของยา NSAIDs คือการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ cyclooxygenase (COX) ซึ่งมีหน้าที่ผลิต prostaglandins -prostaglandins มีหลายชนิด บางชนิดมีหน้าที่ปกป้องเยื่อบุกระเพาะอาหาร เมื่อยา NSAIDs ยับยั้งการทำงานของ COX prostaglandins ที่ช่วยปกป้องเยื่อบุกระเพาะอาหารจะลดลง -ผลที่ตามมาคือ เยื่อบุกระเพาะอาหารจะไวต่อการระคายเคือง เกิดแผล และเลือดออก 2. ยาบำรุงพวกเหล็ก: -ยาเหล็ก เช่น ยาเม็ดฟอร์รัส ซัลเฟต มักใช้รักษาโรคโลหิตจาง -ยาเหล็กอาจระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ และท้องเสีย 3. โปแตสเซียม คลอไรด์: -ยานี้ใช้รักษาภาวะโปแตสเซียมต่ำ -โปแตสเซียม คลอไรด์ อาจทำให้เกิดแผลในลำไส้เล็ก ควทานหลังอาหาร และควรใช้ชนิดน้ำจะลดการระคายเคืองในลำไส้ได้ 4. เตตร้าซัยคลีน: -ยาปฏิชีวนะชนิดนี้ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย -เตตร้าซัยคลีนอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย เนื่องจากเกิดการระคายเคืองในทางเดินอาหาร 5. แอลกอฮอล์: -แอลกอฮอล์จะทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและทำให้มีเลือดออกจากกระเพาะ -เมื่อกินไปนานๆ จะทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ 6. รีเซอร์ปีน: -ยานี้ใช้ลดความดันโลหิต -รีเซอร์ปีนจะทำให้มีกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น -ผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร ควรหลีกเลี่ยงที่จะใช้ยานี้ 7. บุหรี่และกาแฟ: -สารนิโคตินในบุหรี่ และสารคาเฟอีนในกาแฟ จะกระตุ้นให้มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น ดังนั้น คนที่เป็นโรคกระเพาะจึงควรงดบุหรี่และกาแฟ มิฉะนั้นจะทำให้แผลหายช้าลง วิธีป้องกันการเกิดโรคกระเพาะจากยา: -ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา โดยเฉพาะยา NSAIDs ยาบำรุง ยาปฏิชีวนะ ยาลดความดันโลหิต -แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับโรคประจำตัว ยา อาหารเสริม และสมุนไพรที่ใช้ -กินยาหลังอาหารทันที -ดื่มน้ำตามยาให้เพียงพอ -หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ -งดสูบบุหรี่ -ดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม การรักษาโรคกระเพาะจากยา: -หยุดยาที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ -รักษาตามอาการ เช่น กินยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะ -ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร -พบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาเพิ่มเติม -การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43787
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของโลก
null
เกมพลิกโลก: เมื่อการเงินสีเขียวท้าทายอนาคต ณ บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ตัวละคร: คุณนภา: นักวิเคราะห์การลงทุนรุ่นใหม่ ไฟแรง เต็มไปด้วยความฝัน คุณพิม: ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ หัวหน้าของนภา ใจเย็น ประสบการณ์สูง คุณปกรณ์: ประธานกรรมการบริษัท หัวหน้าใหญ่ มองโลกกว้าง ฉาก: ภายในห้องประชุม บรรยากาศตึงเครียด คุณนภา นำเสนอรายงานเกี่ยวกับ BCG Economy โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน นภา: "ค่ะคุณพิม คุณปกรณ์ BCG Economy เป็นโอกาสใหม่สำหรับภาคการเงินของเราค่ะ โมเดลนี้ช่วยให้เราเข้าใจความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ พิม: "น่าสนใจมากค่ะ แต่มันจะเปลี่ยนแปลงการทำงานของเราอย่างไร?" นภา: "เราน่าจะต้องปรับกลยุทธ์การลงทุน เน้นไปที่ธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินสีเขียว เช่น สินเชื่อสีเขียว ตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม ปกรณ์: "นภาพูดถูกต้องแล้ว ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวรับมือกับ Climate Change จะเผชิญความเสี่ยงสูง พิม: "แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ง่ายเลย พนักงานของเราอาจจะต้านทาน นภา: "จริงค่ะ แต่เราต้องเริ่มต้นสื่อสารให้พวกเขาเข้าใจ แสดงให้เห็นว่า BCG Economy เป็นโอกาส ไม่ใช่ภาระ ปกรณ์: "นภา พูดได้ดีมาก เราต้องสนับสนุนนภาเต็มที่ นภา: "ขอบคุณค่ะคุณปกรณ์ ดิฉันมั่นใจว่าเราจะผ่านพ้นความท้าทายนี้ไปด้วยกัน หลังจากการประชุม นภา: "โอ๊ย เหนื่อยจัง แต่ก็ดีใจที่คุณปกรณ์สนับสนุน" พิม: "นภา แกเก่งมากนะ กล้าคิด กล้าเสนอ นภา: "ก็ดิฉันอยากเห็นโลกของเราพัฒนาอย่างยั่งยืนค่ะ พิม: "แกมีไฟดีนะ แกจะเปลี่ยนแปลงโลกการเงินของเราได้แน่นอน นภา: "ขอบคุณค่ะคุณพิม ดิฉันจะพยายามเต็มที่ เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสที่ BCG Economy นำมาสู่ภาคการเงิน นภา ตัวละครหลัก เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืน เธอท้าทายขนบเดิม เสนอแนะแนวทางใหม่ และได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร เรื่องราวนี้สอนให้เรารู้ว่า ทุกคนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแค่เรามีความกล้า ความมุ่งมั่น และความร่วมมือ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_40174
Finance
สรุปให้ทีว่า บิลค่าไฟพุ่ง ติดโซลาร์เซลล์จะคุ้มมั้ย
หลายคนน่าจะได้เห็นข่าวค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) ปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 4 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าต่อเดือนของเราแพงขึ้นไปอีก หลายคนจึงเริ่มสนใจเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ อย่างแผงโซลาร์ที่ติดบนหลังคาบ้าน โดยนำพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีอย่างไม่จำกัด มาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ช่วยให้ประหยัดค่าไฟ หรืออาจไม่ต้องเสียค่าไฟเลยก็ได้ โดยปัจจุบันค่าใช้จ่ายการติดตั้งก็ถูกลง แต่หลายคนที่อยากติดตั้งไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร รวมถึงไม่แน่ใจว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ที่จะติด วันนี้เราจะมาชวนคุยเรื่องนี้กัน ระบบโซลาร์แบบไหนที่เหมาะกับเรา 1.ระบบออนกริด (On Grid) เป็นระบบที่ใช้ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์ และจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าร่วมด้วย เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟฟ้าเยอะๆ ตอนกลางวัน เช่น มีคนทำงานที่บ้าน หรือคนที่เปิดร้านกาแฟเล็กๆ เพราะเมื่อแผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดแล้ว จะต้องใช้ทันทีเนื่องจากไม่มีแบตเตอรี่กักเก็บไฟฟ้า จึงไม่สามารถใช้งานได้ตอนกลางคืน ซึ่งแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกลงมากเมื่อเทียบกับการมีแบตเตอรี่ แต่มีข้อสังเกตอีกประการคือเมื่อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าดับ จะไม่สามารถใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์ได้ 2.ระบบออฟกริด (Off Grid) เป็นระบบที่ใช้ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์อย่างเดียว ไม่ต้องเชื่อมต่อกับการไฟฟ้า แต่ต้องมีแบตเตอรี่กักเก็บไฟฟ้าด้วย เหมาะกับพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีไฟฟ้า 3.ระบบไฮบริด (Hybrid Grid) เป็นระบบที่คล้ายกับระบบออนกริด แต่เพิ่มแบตเตอรี่เข้ามาช่วยกักเก็บไฟฟ้า ทำให้สามารถดึงไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ผลิตจากโซลาร์ มาใช้ได้ทั้งตอนกลางวัน และกลางคืน ซึ่งแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายแบตเตอรี่ที่มีราคาสูงมากในปัจจุบัน จึงทำให้ปัจจุบันระบบออนกริดเป็นระบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ติดตั้งแผงโซลาร์แบบออนกริด กำลังการผลิตไฟฟ้าเท่าไหร่ดี? แต่ละบ้านมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่แตกต่างกันออกไป ทั้งเรื่องของจำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้า ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า และเวลาการใช้ไฟฟ้าซึ่งเป็นตัวกำหนดความต้องการการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์ หากติดตั้งกำลังการผลิตน้อยเกินไป ก็อาจช่วยประหยัดไฟฟ้าได้น้อย หรือถ้าติดตั้งกำลังการผลิตมากเกินไปในระยะยาวก็อาจไม่คุ้มค่า ดังนั้นก่อนติดตั้งจึงควรประเมินการใช้ไฟฟ้าของเรา เพื่อที่จะได้เลือกแผงโซลาร์ที่มีกำลังการผลิตเหมาะสมกับบ้านของเรา โดยแบ่งวิธประเมินเป็น 2 วิธี 1.ประเมินจากบิลค่าไฟฟ้า เช่น เดือนล่าสุดใช้ไฟฟ้าทั้งหมด 1,500 หน่วย ประมาณการใช้ไฟฟ้าตอนกลางวัน 70% กลางคืน 30% ดังนั้น ตอนกลางวันมีการใช้ไฟฟ้าต่อเดือนอยู่ที่ 1,050 หน่วย (1,500 X 70%) โดยกลางวันใช้ไฟวันละ 9 ชั่วโมง สามารถคำนวณกำลังการผลิตไฟฟ้าของแผงโซลาร์ที่เหมาะสมกับบ้านได้จากสูตร จึงควรติดตั้งแผงโซลาร์กำลังการผลิตเท่ากับ 3.8 กิโลวัตต์ จึงจะเหมาะสมกับบ้านของเราที่สุด 2.อ่านตัวเลขมิเตอร์ไฟฟ้า โดยเป็นการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขหน่วยไฟฟ้าในตอนเช้า และตอนเย็นอย่างน้อย3วัน เพื่อหาปริมาณการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อวัน แล้วหารด้วยระยะเวลาที่ใช้ไฟต่อวันอีกที เช่น วันที่ 1 อ่านมิเตอร์ ตอนเช้า 0623 ตอนเย็น 0668 ใช้ไฟฟ้าไป 45 หน่วย วันที่ 2 อ่านมิเตอร์ ตอนเช้า 0675 ตอนเย็น 0716 ใช้ไฟฟ้าไป 41 หน่วย วันที่ 3 อ่านมิเตอร์ ตอนเช้า 0726 ตอนเย็น 0772 ใช้ไฟฟ้าไป 46 หน่วย นำตัวเลขใช้ไฟทั้ง 3 วันมารวมกันแล้วหารเฉลี่ย จะได้การใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ [(45+41+46) ÷3] = 44 หน่วยต่อวัน แล้วนำการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อวัน หารด้วยระยะเวลาการใช้ไฟฟ้าต่อวัน จะได้ 44 ÷9(ชม.) = 4.8 กิโลวัตต์ ดังนั้นบ้านหลังนี้ควรติดแผงโซลาร์กำลังการผลิตไฟฟ้า 4.8 กิโลวัตต์ ถ้าติดตั้งแล้ว กี่ปีถึงคืนทุน? เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยมากเกี่ยวกับการติดตั้งแผงโซลาร์ระบบออนกริด ว่ากี่ปีถึงจะคืนทุน ถึงจะได้ใช้ไฟฟ้าแบบไม่มีค่าใช้จ่ายอีกต่อไป เราสามารถคำนวณแบบคร่าวๆ ได้จากสูตร ซึ่งตัวแปรในสมการของแต่ละบ้านก็จะมีความแตกต่างกันออกไป ทำให้ระยะเวลาคืนทุนของแต่ละบ้านก็แตกต่างกันออกไปด้วย เช่น โดยปกติจ่ายค่าไฟประมาณ 9,000 บาทต่อเดือน สัดส่วนการใช้ไฟตอนกลางวัน อยู่ที่ 70% กลางคืน 30% โดยติดตั้งโซลาร์ 4.95 กิโลวัตต์ ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด 246,100 บาท โดยทุกวันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์มักออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน รวมทั้งหมดประมาณ 72 วัน จะได้ระยะเวลาการคืนทุนตามสูตรดังนี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า และระยะเวลาการใช้ไฟฟ้าแต่ละวัน หากใช้ไฟฟ้าแต่ละวันน้อย หรือไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ระยะเวลาการคืนทุนก็ต้องใช้ระยะเวลาที่มากขึ้นด้วย ซึ่งโดยพฤติกรรมของคนทั่วไปมักใช้ระยะเวลาการคืนทุนอยู่ที่ประมาณ 7-10 ปี หลายคนอาจสงสัยต่อว่าถ้าติดตั้งแผงโซลาร์ระบบออนกริด แล้วลงทะเบียนขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าที่เปิดรับโควต้าเป็นรอบๆ จะใช้ระยะเวลาคืนทุนนานหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าใช้เวลาคุ้มทุนนานมาก เพราะการไฟฟ้าขายไฟฟ้าให้เราที่ 4.2 บาทต่อหน่วย เราใช้เวลาคืนทุนโดยทั่วไปประมาณ 7-10 ปี ในขณะที่เราขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้า 2.2 บาทต่อหน่วย ซึ่งถูกกว่าซื้อเอง 2 บาทต่อหน่วย ทำให้ระยะเวลาคืนทุนอาจอยู่ประมาณ 14 -20 ปี ในขณะที่แผงโซลาร์มีอายุการใช้งานประมาณ 25 ปี จึงดูไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าใดนัก ดังนั้น ทางเลือกผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองเป็นหลักและขายส่วนที่เหลือ น่าจะตอบโจทย์การคืนทุนได้ดีที่สุด อยากติดตั้งแล้ว ต้องทำอย่างไร? • สำรวจพื้นที่สำหรับการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา อย่างน้อยควรมีพื้นที่ประมาณ 10 ถึง 14 ตารางเมตร • สำรวจทิศทางหลังคาที่ควรจะหันไปทางทิศใต้ ทิศตะวันตก หรือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ เนื่องจากเป็นทิศทางรับแดดที่มีความเข้มของแสงสูง แผงโซลาร์จะผลิตไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ • ติดต่อผู้เชี่ยวชาญรับติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อให้มาติดตั้งแผงโซลาร์ โดยทางผู้รับติดตั้งมักมีบริการเข้ามาช่วยสำรวจและประเมินความเหมาะสมของการติดตั้ง ประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมทั้งความคุ้มทุนให้ก่อน นอกจากนี้ยังมีบริการขออนุญาตติดตั้งแผงโซลาร์กับทางหน่วยงานราชการให้ด้วย ทำให้เราไม่จำเป็นต้องไปขออนุญาตด้วยตัวเองให้ยุ่งยาก สำหรับใครที่สนใจติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในยุคข้าวยากหมากแพง ก็ถือเป็นทางเลือกการจัดการทางด้านการเงินที่เราสามารถทำได้ และควรทำอย่างยิ่งไม่แพ้การพยายามหาทางเลือกการลงทุนในภาวะตลาดผันผวน แต่หากใครที่วันนี้เงินอาจยังไม่เพียงพอ ทางเลือกการขอสินเชื่อจากธนาคารก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะหลายๆธนาคารในปัจจุบันก็มีการสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้ที่ต้องการติดแผงโซลาร์ทั้งในรูปแบบสินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่อสำหรับคนทั่วไป
หลายคนน่าจะได้เห็นข่าวค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) ปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 4 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าต่อเดือนของเราแพงขึ้น หลายคนจึงเริ่มสนใจเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ อย่างแผงโซลาร์ที่ติดบนหลังคาบ้าน มาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ช่วยให้ประหยัดค่าไฟ หรืออาจไม่ต้องเสียค่าไฟเลยก็ได้ โดยปัจจุบันค่าใช้จ่ายการติดตั้งก็ถูกลง แต่หลายคนไม่แน่ใจว่าจะคุ้มค่ามั้ย เรามาดูกันว่ามีระบบโซลาร์แบบไนที่เหมาะกับเรา 1. ระบบออนกริด (On Grid) เป็นระบบที่ใช้ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์ และจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าร่วมด้วย เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟฟ้าเยอะๆ ตอนกลางวันเนื่องจากไม่มีแบตเตอรี่กักเก็บไฟฟ้า จึงไม่สามารถใช้งานได้ตอนกลางคืน ซึ่งแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกลงมากเมื่อเทียบกับการมีแบตเตอรี่ แต่เมื่อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าดับ จะไม่สามารถใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์ได้ 2. ระบบออฟกริด (Off Grid) เป็นระบบที่ใช้ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์อย่างเดียว ไม่ต้องเชื่อมต่อกับการไฟฟ้า ต้องมีแบตเตอรี่กักเก็บไฟฟ้าด้วย เหมาะกับพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีไฟฟ้า 3. ระบบไฮบริด (Hybrid Grid) เป็นระบบที่คล้ายกับระบบออนกริด แต่เพิ่มแบตเตอรี่เข้ามาช่วยกักเก็บไฟฟ้า ทำให้สามารถดึงไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ผลิตจากโซลาร์ มาใช้ได้ทั้งตอนกลางวัน และกลางคืน ซึ่งแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายแบตเตอรี่ที่มีราคาสูงมากในปัจจุบัน จึงทำให้ปัจจุบันระบบออนกริดเป็นระบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ก่อนการติดตั้งแผงแบบออนกริด ควรประเมินการใช้ไฟฟ้าของเรา เพื่อที่จะได้เลือกแผงโซลาร์ที่มีกำลังการผลิตเหมาะสมกับบ้านของเรา โดยแบ่งวิธประเมินเป็น 2 วิธี ประเมินจากบิลค่าไฟฟ้าและคำนวณกำลังการผลิตไฟฟ้าของแผงโซลาร์ที่เหมาะสมกับบ้าน หรือ อ่านตัวเลขมิเตอร์ไฟฟ้า โดยเป็นการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขหน่วยไฟฟ้าในตอนเช้า และตอนเย็นอย่างน้อย3วัน เพื่อหาปริมาณการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อวัน แล้วหารด้วยระยะเวลาที่ใช้ไฟต่อวันอีกที และกี่ปีถึงจะคืนทุน เราสามารถคำนวณคร่าวๆได้จากสูตร ซึ่งตัวแปรแต่ละบ้านจะแตกต่างกันไป การคืนทุนแต่ละบ้านก็จะแตกต่างกันด้วย และถ้าเลือกจะขายไฟใ้การไฟฟ้า ควรเลือกใช้เองเป็นหลักและขายส่วนที่เหลือใช้ น่าจะตอบโจทย์การคืนทุนได้ดี
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_21589
Medical
อะไรคือสาเหตุที่พบได้บ่อยของอาการเวียนหัว มึนหัว หน้ามืด แบบร้ายแรง?
null
จากบทความ "มาเป็นหมอกันเถิด" ฉบับนี้ สาเหตุที่พบได้บ่อยของอาการเวียนหัว มึนหัว หน้ามืด แบบร้ายแรง แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ดังนี้ 1. โรคหลอดเลือดตีบ: พบในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือผู้ที่มีภาวะสมองขาดเลือด อาการ: อาการเวียนหัว มึนหัว แบบร้ายแรง มองเห็นภาพผิดไป มองเห็นภาพซ้อน เดินโคลงเคลง พูดไม่ชัด อัมพฤกษ์ อัมพาต การรักษา: ให้ยาแอสไพรินเพื่อลดการแข็งตัวของเลือด 2. โรคลมตะกัง (ไมเกรน): พบในผู้ที่มีประวัติเป็นโรคลมตะกัง อาการ: อาการเวียนหัว บ้านหมุน ปวดหัว การรักษา: รักษาตามแนวทางการรักษาโรคลมตะกัง 3. โรคเนื้องอกซีพี (CP or cerebello-pontine angle tumor): อาการ: หูอื้อ มีเสียงในหู หูหนวก หน้าซีกหนึ่งชา อ่อนแรง หน้าเบี้ยว เดินโคลงเคลง การรักษา: เอกซเรย์รูหู และส่งต่อให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมประสาทหรือแพทย์หู 4. โรคที่ต้องการการรักษาด้วยยาสเตียรอยด์: พบได้น้อยมาก อาการ: อาการทางตา เช่น ตาแดงแบบร้ายแรง ตาเห็นภาพซ้อน ตาพร่ามัว ตาบอด อาการทางระบบประสาท เช่น ปวดแสบปวดร้อน หน้าเบี้ยว หูอื้อ หูหนวก การรักษา: ให้ยาเพร็ดนิโซโลน และยาลดกรด ข้อควรระวัง: -ไม่ควรกินยาเพร็ดนิโซโลนเกิน 2-3 สัปดาห์ -ควรไปพบแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ -การใช้ยาเพร็ดนิโซโลนเป็นการรักษาเบื้องต้นเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สรุป: สาเหตุของอาการเวียนหัว มึนหัว หน้ามืด แบบร้ายแรง มีหลายประการ การวินิจฉัยที่ถูกต้องต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจต้องตรวจเพิ่มเติมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่พบ การรักษาด้วยตนเองอาจไม่ปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์เสมอ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_220
Finance
Yield คืออะไร
null
Yield หมายถึง อัตราผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุน ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การเปรียบเทียบ Yield กับสินทรัพย์หรือการลงทุนอื่น ๆ จำเป็นต้องทำให้ Yield ที่ได้นั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกันเสียก่อน ซึ่งโดยทั่วไปมักใช้ Yield ที่ได้ในรอบ 1 ปี เป็นตัวเปรียบเทียบ เมื่อซื้อสินทรัพย์ใด ๆ ก็ตาม ก็มักจะมองหาว่าผลตอบแทนที่ได้นั้นคุ้มค่าหรือไม่ และ Yield ก็คือตัวเลขที่จะบอกว่าได้อัตราผลตอบแทนเท่าไรนั่นเอง โดย Yield หรือ อัตราผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งหาได้จาก “ผลตอบแทนที่ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หารด้วย เงินลงทุนทั้งหมด” ค่าที่ได้จะมีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อช่วงระยะเวลาที่นำมาหาร แต่หากต้องการเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนที่ได้กับการลงทุนอื่น ๆ ก็จะต้องปรับอัตราผลตอบแทนให้เป็นรอบระยะเวลาที่เท่ากันเสียก่อน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนที่ได้ในรอบระยะเวลา 1 ปี ซึ่ง Yield สามารถแบ่งได้หลายรูปแบบ ตามแต่ว่าลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด และได้ผลตอบแทนเป็นอะไร เช่น 1. ถ้าถือหุ้นที่มีการจ่ายปันผล ก็จะสนใจ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล หรือที่เรียกว่า Dividend Yield 2. ถ้าถือตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้บริษัทเอกชน ก็จะสนใจ อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตร ซึ่งอยู่ในรูปของดอกเบี้ย หรือที่เรียกว่า Bond Yield 3. ถ้ามีอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า ก็จะสนใจ อัตราผลตอบแทนจากค่าเช่าหรือที่เรียกว่า Rental Yield ข้อดีของ Yield คือ ตัวเลขที่ได้จะมีหน่วยเป็น เปอร์เซ็นต์ต่อช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นอัตราผลตอบแทนในรอบระยะเวลาเดียวกัน เพื่อให้สามารถนำอัตราผลตอบแทนที่ได้มาเปรียบเทียบข้ามสินทรัพย์ได้ อย่างเช่น - การตัดสินใจลงทุนในกรณีที่มีทุนจำกัด และต้องเลือกลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง - หรือเปรียบเทียบ ดอกเบี้ยจากการกู้เงินเพื่อมาลงทุนในสินทรัพย์ กับผลตอบแทนที่ได้ว่าคุ้มค่าหรือไม่ ถ้าผลตอบแทนไม่ได้สูงกว่าดอกเบี้ยจากการกู้มา ก็จะดูไม่น่าลงทุน ข้อสังเกตของ Yield คือ เงินที่ลงทุนหรือเงินที่ซื้อสินทรัพย์นั้น เป็น “ตัวหาร” นั่นหมายความว่า การซื้อสินทรัพย์เดียวกัน ในราคาที่ต่างกัน จะทำให้ได้ Yield ที่ต่างกันได้ ถ้าซื้อสินทรัพย์ในราคาที่แพงขึ้น ก็จะทำให้ได้ Yield ที่ลดลง และถ้าซื้อสินทรัพย์ได้ในราคาที่ถูกลง ก็จะได้ Yield ที่มากขึ้นเช่นกัน ในบางครั้งการคำนวณหาผลตอบแทนจากการลงทุน นักลงทุนอาจใช้คำว่า Capitalization Rate หรือ Cap Rate ซึ่งจะคำนวณได้จาก รายได้จากการดำเนินงานสุทธิ หารด้วย มูลค่าตลาดปัจจุบัน ซึ่งเป็นการคำนวณที่คล้ายกับ Yield เช่นกัน
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_22330
Medical
เพราะเหตุใดการกินเหล้าถึงทำให้คนรู้สึกมีความสุข สนุกสนาน
A. กินเหล้าแล้วทรงตัวได้ดีมากขึ้น B. กินเหล้ากลายเป็นคนเก็บตัว ไม่อยากสุงสิงกับใคร C. กินเหล้าแล้วเป็นที่รักและยอมรับของผู้คนในสังคม D. คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า เหล้ามีฤทธิ์กระตุ้นร่างกาย ทำให้มีความสุข ลืมความทุกข์ จึงสนุกสนาน เฮฮาร่าเริง แต่อันที่จริงแล้วเหล้าไม่ได้ไปกระตุ้นประสาทหรือสมองเลย มันกลับไปกดประสาทและสมองเป็นระยะ ๆ E. กินเหล้าแล้วซึมเซา ไม่อยากคุยกับใคร
คำตอบได้แก่ D. เพราะว่า - ระยะแรก จะไปกดสมองส่วนที่ควบคุมความคิดและสมองส่วนที่คอยยับยั้ง ควบคุมให้มีความระมัดระวัง เมื่อสมอง 2 ส่วนนี้ถูกเหล้ากดบังคับไว้ไม่ให้ทำงาน บุคคลผู้นั้นก็จะหมดความยับยั้งชั่งใจ และไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกต่อไป ทำให้พูดจาเอะอะ โผงผาง ที่เคยเป็นคนขี้อายหรือเงียบขรึม พอเหล้าเข้าปากแล้ว กลับหน้าด้านหรือพูดมากจนคนอื่นรำคาญ เมื่อสมองส่วนที่คอยทำให้คนเราต้องคอยระวังกิริยามารยาทของตน ถูกเหล้ากดบังคับไว้ไม่ให้ทำงาน คนที่กินเหล้าจึงเกิดความรู้สึกสบายที่ไม่ต้องสำรวมกาย วาจาและใจอีกต่อไป อารมณ์ที่ตึงเครียดก็จะถูกระบายออก ทำให้ความกระวนกระวายหรือความกังวลห่วงใยลดลง รู้สึกเหมือนกับว่าตนมีอิสรเสรีเต็มที่ และปล่อยตัวปล่อยใจตามสบาย ฤทธิ์ของเหล้าอันนี้นั่นเองที่ทำให้คนติดเหล้า เพราะกินเหล้าแล้วทำให้หมดทุกข์ รู้สึกสนุกสนาน สำราญ และมีอิสรเสรีอย่างที่ตนเองก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ฤทธิ์ของเหล้าอันนี้อีกนั่นแหละที่ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทตีรันฟันแทงหรือเหตุรุนแรงอื่นๆ ทั้งนี้เพราะเหล้าทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจและทำให้เกิดความประมาทอย่างที่มีคนพูดว่า พอเหล้าเข้าปาก เห็นช้างเท่าหมู เป็นต้น ระยะแรกนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดสูงประมาณ 30-50 มิลลิกรัม ต่อเลือด 100 ซีซี - ระยะที่สอง สมองจะถูกกดมากขึ้น ทำให้สมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวและการพูดถูกกดไปด้วย จึงเกิดอาการพูดไม่ชัด แบบที่เรียกว่าพูดอ้อแอ้ ลิ้นไก่สั้น เดินโซเซหกล้มหกลุก ประสาทการรับรู้ช้ากว่าปกติ ทำให้แก้ไขหรือหลีกเลี่ยงอันตรายต่างๆไม่ทัน จึงเกิดอุบัติเหตุต่างๆได้ง่ายหรือไม่ก็ก่อให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุขึ้นเอง เพราะไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหว ตลอดจนมือเท้าและแขนขาของตนเองได้อย่างในเวลาที่ไม่เมาเหล้า ระยะที่สองนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดสูงประมาณ 100 มิลลิกรัม ต่อเลือด 100 ซีซี แต่ฤทธิ์ของเหล้าหรือน้ำเมาต่างๆ จะเกิดขึ้นเร็วหรือช้ามากหรือน้อย ย่อมขึ้นกับความเคยชินต่อเหล้าหรือน้ำตาลเมาของคนนั้นด้วย จึงเป็นระยะที่เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้จนอาจก่อให้เกิดอันตรายทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น เรียกว่าเมาเหล้า ในบางประเทศถ้าเขาตรวจเลือดพบความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกิน 150 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 ซีซี เขาจะถือว่าเป็นการเมาเหล้าแล้ว และถ้าเป็นเช่นนั้นในขณะขับรถ อาจจะถูกจำคุกและริบใบอนุญาตขับขี่ด้วย - ระยะที่สาม สมองจะถูกกดมากขึ้นๆจนช่วยตัวเองเกือบไม่ได้เลย ถอดเสื้อถอดรองเท้าเองก็ไม่ได้ขึ้นยืนเองก็ไม่ได้ นั่งตรงๆไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องฟุบกับโต๊ะหรือนอนแผ่อยู่ตรงนั้นเอง ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดในระยะนี้จะสูงประมาณ 200 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 ซีซี - ระยะที่สี่ สมองที่สำคัญ สำหรับการมีชีวิตอยู่เริ่มจะถูกกด เกิดอาการไม่ค่อยรู้สึกตัวแล้วในที่สุดจะหมดสติและไม่รู้สึกตัวโดยสมบูรณ์ โคม่า สมองส่วนที่ควบคุมหัวใจและการหายใจจะถูกกดทำให้หายใจไม่สะดวก หายใจช้าหรือหายใจเป็นพักๆจนกระทั่งหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น ทำให้ถึงแก่ความตาย ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดในระยะนี้จะสูงถึง 400-500 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 ซีซี
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_26246
Medical
จงสรุปบทความ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรคข้อเข่าเสื่อม
ส่องกล้องรักษาอาการปวดเข่า ส่องกล้องรักษาอาการปวดเข่า ถาม สุรีรัตน์กรุงเทพฯ ดิฉันอายุ ๖๕ ปี น้ำหนัก ๕๘ กิโลกรัม สูง ๑๕๗ เซนติเมตร มีปัญหาเรื่องปวดเข่า บริเวณที่ปวดอยู่ด้านหลังข้อเข่า รักษามาประมาณ ๗ เดือนแล้ว ทั้งที่โรงพยาบาลและคลินิกแต่ก็ไม่หาย หมอเอกซเรย์ดูแล้วบอกว่าเป็นข้อเสื่อม ได้รับการรักษาด้วยวิธีต่างๆ กัน บางแห่งก็รักษาโดยการเจาะน้ำในเข่าออก แล้วก็ฉีดยาสตีรอยด์เข้าไป และให้ยาแก้อักเสบ มากิน ๑ เดือน ก็หายปวด แต่ขณะเดินก็ยังปวดและงอเข่าไม่ได้เลย ครั้งสุดท้ายได้ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หมอวินิจฉัยว่าเซลล์ในเนื้อเยื่อเข่าผิดปกติ และนัดให้ไปส่องกล้อง วิธีส่องกล้อง ก็คือ เจาะใส่กล้องลงไปตรวจรักษา ค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่หมอก็ยังไม่ยืนยันว่าจะหายเป็นปกติ ดิฉันจึงอยากเรียนถามคุณหมอดังนี้ ๑ อาการของข้อเสื่อม เมื่อกินยาก็หายปวด แต่งอเข่าไม่ได้ เคยเป็นแบบนี้กับเข่าอีกข้างหนึ่ง แต่กินยาก็หายและงอเข่าได้ปกติ ๒ การรักษาโดยการเจาะน้ำออก เวลาปวดบวมขึ้นมา จะมีผลเสียในระยะยาวหรือไม่ ดิฉันเคยเจาะน้ำออก ๒ ครั้ง ในระยะเวลา ๔ เดือน ๓ ดิฉันควรไปรักษาด้วยการส่องกล้องหรือไม่ แล้วมีสิทธิ์หายขาดไหมคะ แล้วถ้าไม่รักษาจะปล่อยเอาไว้โดยไม่ทำให้เกิดการอักเสบขึ้นมาจะมีอันตรายไหมคะ ๔ พออาการเริ่มทุเลาก็จะกินๆ หยุดๆ ไม่ทราบว่าจะเป็นอันตรายต่อตับและไตหรือไม่ แล้ววิธีรักษาการอักเสบโดยไม่ต้องกินยาได้ไหม เพราะว่าเป็นโรคกระเพาะ แล้วที่ไตยังมีถุงน้ำอีกด้วย ดิฉันกินยามาหลายเดือน ๕ ควรเดินออกกำลังกายไหม จะทำให้เกิดอันตรายต่อข้อไหม เพราะถ้าไม่เดินก็จะไม่มีแรง ตอบ นพสุรชัย ปัญญาพฤทธิ์พงศ์ อาการข้อเข่าเสื่อม มีสาเหตุร่วมกันหลายประการ ได้แก่ อายุ หญิงวัยหมดประจำเดือน น้ำหนักตัวมาก และการใช้งานข้อเข่า เมื่อเป็นแล้วจะให้กลับดีดังปกติไม่ได้ แต่ถ้า ดูแลรักษาตัวดีๆ ก็อาจไม่เจ็บปวดมาก และสามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติ ๑ เหตุที่คุณยังงอเข่าไม่ได้ แม้ว่าจะไม่ค่อยปวด อาจเกิดจากเวลางอจะปวด จึงเกิดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้งอลำบากหรือเกิดจากในระหว่างที่ปวด ไม่ได้เคลื่อนไหวข้อเข่าทำให้ข้อติดยึด ซึ่งถ้าไม่ได้ติดยึดมานาน ค่อยๆ ฝึกงอและเหยียดก็สามารถหายเป็นปกติได้ ๒ ปกติข้อเข่าเสื่อม ข้อเข่าอาจไม่บวม การที่ข้อเข่าบวมและมีน้ำในข้อ อาจเกิดจากได้รับการกระทบกระแทกในการทำงานในชีวิตประจำวัน หรือเกิดการอักเสบจากการเสียดสีของผิวกระดูกที่มีหินปูนเกาะในข้อเข่า ถ้ามีน้ำมาก การเจาะเข่าก็ช่วยให้อาการทุเลาเร็วขึ้น ไม่มีผลเสียในระยะยาว แต่การเจาะต้องเจาะโดยแพทย์เท่านั้น เพราะถ้าเทคนิคการเจาะไม่ถูกต้อง อาจทำให้ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บมากขึ้น เช่น ทำให้เลือดออกในข้อ หรือเกิดการอักเสบติดเชื้อได้ ๓ การรักษาโดยการส่องกล้อง เป็นวิธีที่ในปัจจุบันมีความนิยมมากขึ้น เพราะว่าไม่ต้องผ่าตัดเป็นแผลใหญ่ การส่องกล้องสามารถใช้ในการตรวจวินิจฉัยพยาธิสภาพภายใน ข้อเข่าได้แม่นยำ และสามารถผ่าตัดแก้ไขพยาธิสภาพภายในข้อเข่าได้ ผู้ป่วยที่รักษาโดยวิธีส่องกล้องสามารถฟื้นฟูสภาพได้รวดเร็วกว่าผู้ป่วยที่ผ่าตัด ส่วนอาการจะหายขาดหรือไม่ ขึ้นกับพยาธิสภาพของโรค ทางที่ดีที่สุดควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาให้ชัดเจน ถ้าค่าใช้จ่ายสูงมาก คุณอาจเลือกไปรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐบาลก็สามารถทำได้เช่นกัน ๔ ยาต่างๆ ส่วนมากจะมีฤทธิ์แก้ปวด จึงควรกินเฉพาะในช่วงที่มีอาการปวด ถ้าไม่ปวดไม่ต้องกินยาก็ได้ ยาส่วนมากต้องผ่านตับและไต จึงอาจมีผลต่อตับและไต และยาหลายตัวอาจจะระคายกระเพาะอาหาร การรักษาข้อเสื่อมที่สำคัญขึ้นอยู่กับการดูแล รู้จักการใช้ข้อเข่าที่ไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ การออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อข้อเข่าแข็งแรง การควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป รวมทั้งอาหารการกิน ๕ ถ้าเดินได้ ควรเดินออกกำลังกาย ถ้าต้องเดินมาก ควรใส่รองเท้าที่เหมาะสม รองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งจ๊อกกิ้งช่วยลดแรงกระแทกและควรเดินบนพื้นเรียบ ถ้าพื้นขรุขระ อาจเดินสะดุด ถ้าเดินเร็วๆ ติดต่อกันวันละ ๑๕-๓๐ นาที สัปดาห์ละ ๓-๔ วัน จะเป็นการบริหารหัวใจและหลอดเลือดด้วย ถ้าเดินแล้วปวดมากขึ้น ควรลดความเร็ว หรือระยะทางเดินในวันต่อไป ถ้าร่างกายแข็งแรงขึ้นก็สามารถเดินได้เร็วขึ้นหรือระยะทางมากขึ้นตามลำดับ ป้ายคำ โรคเรื้อรัง ถามตอบปัญหาสุขภาพ โรคตามระบบ โรคข้อเกาต์ โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ คุยสุขภาพ ถามตอบปัญหาสุขภาพ นพสุรชัย ปัญญาพฤทธิ์พงศ์
ปกติแล้วเมื่อข้อเข่าเสื่อม ข้อเข่าจะไม่บวม แต่การที่ข้อเข่าบวมและมีน้ำในข้อ อาจเกิดจากได้รับการกระทบกระแทกในการทำงานในชีวิตประจำวัน หรือเกิดการอักเสบจากการเสียดสีของผิวกระดูกที่มีหินปูนเกาะในข้อเข่า ถ้ามีน้ำมาก การเจาะเข่าก็ช่วยให้อาการทุเลาเร็วขึ้น ไม่มีผลเสียในระยะยาว แต่การเจาะต้องเจาะโดยแพทย์เท่านั้น เพราะถ้าเทคนิคการเจาะไม่ถูกต้อง อาจทำให้ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บมากขึ้น เช่น ทำให้เลือดออกในข้อ หรือเกิดการอักเสบติดเชื้อได้ ส่วนการรักษาโดยการส่องกล้องเป็นวิธีที่ในปัจจุบันมีความนิยมมากขึ้น เพราะว่าไม่ต้องผ่าตัดเป็นแผลใหญ่ การส่องกล้องสามารถใช้ในการตรวจวินิจฉัยพยาธิสภาพภายใน ข้อเข่าได้แม่นยำ และสามารถผ่าตัดแก้ไขพยาธิสภาพภายในข้อเข่าได้ ผู้ป่วยที่รักษาโดยวิธีส่องกล้องสามารถฟื้นฟูสภาพได้รวดเร็วกว่าผู้ป่วยที่ผ่าตัด ส่วนอาการจะหายขาดหรือไม่ ขึ้นกับพยาธิสภาพของโรค สำหรับยาต่างๆ ส่วนมากจะมีฤทธิ์แก้ปวด จึงควรกินเฉพาะในช่วงที่มีอาการปวด ถ้าไม่ปวดไม่ต้องกินยาก็ได้ ยาส่วนมากต้องผ่านตับและไต จึงอาจมีผลต่อตับและไต และยาหลายตัวอาจจะระคายกระเพาะอาหาร การรักษาข้อเสื่อมที่สำคัญขึ้นอยู่กับการดูแล รู้จักการใช้ข้อเข่าที่ไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ การออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อข้อเข่าแข็งแรง การควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป รวมทั้งอาหารการกิน ๕ ถ้าเดินได้ ควรเดินออกกำลังกาย ถ้าต้องเดินมาก ควรใส่รองเท้าที่เหมาะสม รองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งจ๊อกกิ้งช่วยลดแรงกระแทกและควรเดินบนพื้นเรียบ ถ้าพื้นขรุขระ อาจเดินสะดุด ถ้าเดินเร็วๆ ติดต่อกันวันละ ๑๕-๓๐ นาที สัปดาห์ละ ๓-๔ วัน จะเป็นการบริหารหัวใจและหลอดเลือดด้วย ถ้าเดินแล้วปวดมากขึ้น ควรลดความเร็ว หรือระยะทางเดินในวันต่อไป ถ้าร่างกายแข็งแรงขึ้นก็สามารถเดินได้เร็วขึ้นหรือระยะทางมากขึ้นตามลำดับ
ออร์โธปิดิกส์ (ออร์โธปิดิกส์) - Orthopedics
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_13751
Medical
อาการปวดเสียวแปลบบริเวณต้นคอเป็นๆหายๆ เกิดจากเส้นประสาทต้นคอที่ 2 ใช่หรือไม่?
null
อาจจะใช่ อาการปวดเสียวแปลบบริเวณต้นคอเป็นๆหายๆ อาจจะ เกิดจากเส้นประสาทต้นคอที่ 2 แต่ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นไปได้อีก เหตุผล: - เส้นประสาทต้นคอที่ 2: เส้นประสาทต้นคอที่ 2 ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากบริเวณใบหน้าด้านหลัง หนังศีรษะ และลำคอ การอักเสบหรือถูกกดทับของเส้นประสาทนี้ อาจ ทำให้เกิดอาการปวดเสียวแปลบบริเวณดังกล่าว - สาเหตุอื่นๆ: อาการปวดเสียวแปลบบริเวณต้นคอเป็นๆหายๆ อาจ เกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น - กล้ามเนื้อตึง: กล้ามเนื้อตึงในบริเวณต้นคอ - หมอนรองกระดูกคอเสื่อม: หมอนรองกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาท - กระดูกคอเสื่อม: กระดูกคอเสื่อมทำให้ช่องว่างระหว่างกระดูกคอแคบลง กดทับเส้นประสาท - โรคข้ออักเสบ: โรคข้ออักเสบ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคสะเก็ดเงิน - โรคติดเชื้อ: โรคติดเชื้อบางชนิด เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ - ยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาต้านการอักเสบ ลักษณะอาการ: - อาการปวดเสียวแปลบ เหมือนไฟฟ้าช็อต หรือมีดจิ้ม - มักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้าด้านหลัง หนังศีรษะ ลำคอ - อาจปวดร้าวไปถึงไหล่ แผ่นหลัง - อาการปวดอาจเกิดขึ้นเป็นๆหายๆ หรือปวดต่อเนื่อง - อาจมีอาการชา อ่อนแรง บริเวณใบหน้า หนังศีรษะ ลำคอ การวินิจฉัย: แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย อาจส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น - เอกซเรย์คอ - MRI - EMG (Electromyography) ตรวจวัดการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท การรักษา: ขึ้นอยู่กับสาเหตุ - อาจรักษาด้วยยา เช่น ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาต้านการอักเสบ - กายภาพบำบัด - การฉีดยา - การผ่าตัด สรุป: อาการปวดเสียวแปลบบริเวณต้นคอเป็นๆหายๆ อาจจะ เกิดจากเส้นประสาทต้นคอที่ 2 แต่ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นไปได้อีก
ออร์โธปิดิกส์ (ออร์โธปิดิกส์) - Orthopedics,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_10941
Medical
อาการเลือดออกที่เหงือกมักพบได้บ่อยในบริเวณไรฟัน (แนวฟันตอนที่เหงือกหุ้ม) เพราะเหตุใด
null
เลือดออกตามไรฟัน หรือ เหงือกเลือดออก (Gum bleeding) เป็นอาการ ไม่ใช่โรค อาการเลือดออกที่เหงือกมักพบได้บ่อยในบริเวณไรฟัน (แนวฟันตอนที่เหงือกหุ้ม) เพราะบริเวณไรฟันเป็นตำแหน่งเกาะของหินปูนจึงก่อการระคายเคืองและก่อให้เกิดการอักเสบของเหงือกได้ง่าย ซึ่งเมื่อมีการอักเสบบวมของเหงือกจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม ตำแหน่งไรฟันจะเป็นตำแหน่งที่เกิดเลือดออกได้ง่ายกว่าเหงือกส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อมีการบาดเจ็บจากการเสียดสี เช่น จากการแปรงฟัน หรือ จากการเคี้ยวอาหาร โดยเฉพาะอาหารแข็ง การมีเลือดออกตามไรฟันบ่อย มีสาเหตุได้จาก - ปัญหาสุขภาพช่องปาก เหงือก และฟัน (เช่น เหงือกอักเสบติดเชื้อ) - จากโรคเลือด (เช่น ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ) - จากหลอดเลือดเปราะจากสาเหตุต่างๆ (เช่น โรคลักปิดลักเปิด/โรคขาดวิตามิน-ซี) - จากผลข้างเคียงของยาลดการแข็งตัวของเลือด - จากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด ที่ส่งผลให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (เช่น ในโรคไข้เลือด ออก) หรือ จากโรคมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งเหงือก (โรคมะเร็งช่องปาก) และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ดังนั้น เมื่อมีเลือดออกตามไรฟันบ่อยๆ จึงควรพบแพทย์ หรือ ไปโรงพยาบาลเสมอ เพื่อการวินิจฉัยหาสาเหตุ เพื่อการรักษาแต่เนิ่นๆ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,ทันตกรรม Dentistry
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_17251
Medical
คนที่เป็นโรคปลายประสาทอักเสบ จะมีผลต่ออะไร
ความรู้สึกที่มีปัญหา ตอนที่ 3 ความรู้สึกที่มีปัญหา ตอนที่ 3 คนที่เป็นโรคปลายประสาทอักเสบจะมีผลต่อประสาทรับความรู้สึก โดยทั่วไปจะปวดแปลบ แสบ หรือ เป็นเหน็บ Tingling แต่เนื่องจากประสาทแต่ละส่วนจะทำหน้าที่ต่างกันไป ดังนั้นอาการจึงขึ้นอยู่กับเส้นประสาทที่เป็น เช่น ค่อยๆ ชา เจ็บปวดเหมือนถูกแทง Prickling หรือรู้สึกซ่าเป็นเหน็บ Tingling ที่เท้าหรือมือแล้วกระจายไปยังขาหรือแขน รู้สึกเหมือนสวมถุงมือหรือถุงเท้าที่รัดแน่น ไวต่อสัมผัส อาการร่างกายไม่ประสานกัน เสียการทรงตัว และหกล้ม กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต กรณีเป็นที่เส้นประสาทนำคำสั่ง ส่วนกรณีที่เส้นประสาทอัตโนมัติถูกกระทบ ก็อาจจะมีอาการต่อไปนี้ รู้สึกร้อนตลอดเวลา Heat intolerance ระบบย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ มีปัญหา ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงเป็นสาเหตุให้มีอาการเวียนศีรษะหรือมึนงง Lightheadedness ทั้งนี้ โรคปลายประสาทอักเสบอาจกระทบกับประสาทเส้นเดียว Mononeuropathy หรือ 2 เส้นในบริเวณที่ต่างกัน Multiple mononeuropathy หรือหลายเส้น Polyneuropathy แต่คนส่วนใหญ่จะเป็นแบบหลายเส้น สำหรับภาวะแทรกซ้อนของโรคปลายประสาทอักเสบ ได้แก่ ผิวหนังไหม้ - เพราะไม่สามารถรับความรู้สึกของอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปได้ หรือ มีอาการปวดอวัยวะที่ชา ติดเชื้อ – เพราะขาหรือบริเวณอื่นขาดความรู้สึก จึงทำให้ได้รับบาดเจ็บโดยที่ไม่รู้สึกตัว โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเบาหวาน หกล้ม – เพราะอ่อนแรง หรือ เสียการทรงตัว การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การป้องกันโรคที่ทำใหเกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคปลายประสาทอักเสบ เช่น โรคเบาหวาน โรคพิษสุราเรื้อรัง หรือ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ นอกจากนี้ ควรดูแลรักษาตนเองให้มีสุขภาพที่ดี เช่น กินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืช และอาหารที่ช่วยบำรุงเส้นประสาทอย่าง ปลา ไข่ ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ ละ 30 นาที หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เส้นประสาทถูกทำลาย เช่น การอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน การสัมผัสกับสารพิษ การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์
คนที่เป็นโรคปลายประสาทอักเสบจะมีผลต่อประสาทรับความรู้สึก โดยทั่วไปจะปวดแปลบ แสบ หรือ เป็นเหน็บ แต่เนื่องจากประสาทแต่ละส่วนจะทำหน้าที่ต่างกันไป ดังนั้น อาการจึงขึ้นอยู่กับเส้นประสาทที่เป็น เช่น ค่อยๆ ชา เจ็บปวดเหมือนถูกแทง Prickling หรือรู้สึกซ่าเป็นเหน็บที่เท้าหรือมือแล้วกระจายไปยังขาหรือแขน รู้สึกเหมือนสวมถุงมือหรือถุงเท้าที่รัดแน่น ไวต่อสัมผัส อาการร่างกายไม่ประสานกัน เสียการทรงตัว และหกล้ม กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_3633
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง Taxonomy ได้ไหม
สถานการณ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงถือเป็นประเด็นสำคัญที่กำลังมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมากขึ้นต่อเนื่อง ในส่วนของประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายระยะยาวในการประชุม COP26 หรือการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ซึ่งทุกภาคส่วนตระหนักและมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะภาคการเงินและภาคธุรกิจที่มีความคืบหน้าในการดำเนินธุรกิจภายใต้มาตรการสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้นเป็นลำดับ สถานการณ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงถือเป็นประเด็นสำคัญที่กำลังมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมากขึ้นต่อเนื่อง ในส่วนของประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายระยะยาวในการประชุม COP26 หรือการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ซึ่งทุกภาคส่วนตระหนักและมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะภาคการเงินและภาคธุรกิจที่มีความคืบหน้าในการดำเนินธุรกิจภายใต้มาตรการสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้นเป็นลำดับ Thailand Taxonomy คือการจัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามนโยบายที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมหรือสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Mitigation) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับภาคการเงิน เพื่อให้เกิดมาตรฐานกลางที่ภาคส่วนต่างๆ สามารถนำไปอ้างอิงหรือเป็นแนวทางปฏิบัติได้ โดยจัดแบ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือกลุ่มธุรกิจเป็น 3 ระดับ (Climate Change Mitigation) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับภาคการเงิน เพื่อให้เกิดมาตรฐานกลางที่ภาคส่วนต่างๆ สามารถนำไปอ้างอิงหรือเป็นแนวทางปฏิบัติได้ โดยจัดแบ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือกลุ่มธุรกิจเป็น 3 ระดับ สีเขียว (Green) ได้แก่ ธุรกิจที่ดำเนินกิจกรรมลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) สีเหลือง (Amber) ได้แก่ ธุรกิจที่อยู่ระหว่างปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยในปัจจุบันมีแผนการปรับตัวเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง ตัวอย่างเช่น การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ สีแดง (Red) ได้แก่ ธุรกิจที่ไม่เข้าข่ายตามเงื่อนไขกิจกรรมสีเขียวและสีเหลือง หรือธุรกิจที่ไม่สามารถถูกประเมินได้ว่าเป็นมิตรต่อการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิได้ ตัวอย่างเช่น ถ่านหิน น้ำมัน (Green) ได้แก่ ธุรกิจที่ดำเนินกิจกรรมลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) (Amber) ได้แก่ ธุรกิจที่อยู่ระหว่างปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยในปัจจุบันมีแผนการปรับตัวเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง ตัวอย่างเช่น การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ (Red) ได้แก่ ธุรกิจที่ไม่เข้าข่ายตามเงื่อนไขกิจกรรมสีเขียวและสีเหลือง หรือธุรกิจที่ไม่สามารถถูกประเมินได้ว่าเป็นมิตรต่อการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิได้ ตัวอย่างเช่น ถ่านหิน น้ำมัน ทั้งนี้ ความคืบหน้าล่าสุด ธปท. ได้จัดทำร่างกรอบ Thailand Taxonomy แล้วเสร็จและอยู่ในระหว่างขั้นตอนพิจารณาความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ โดยการนำ Thailand Taxonomy ไปใช้ในภาพรวมยังเป็นไปตามความสมัครใจ ซึ่ง ณ ปัจจุบันภาคส่วนต่างๆ ได้เริ่มนำแนวนโยบาย Thailand Taxonomy ไปปรับใช้ในการดำเนินงานในหลายมิติ ดังนี้ ทั้งนี้ ความคืบหน้าล่าสุด ธปท. ได้จัดทำร่างกรอบ Thailand Taxonomy แล้วเสร็จและอยู่ในระหว่างขั้นตอนพิจารณาความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ โดยการนำ Thailand Taxonomy ไปใช้ในภาพรวมยังเป็นไปตามความสมัครใจ ซึ่ง ณ ปัจจุบันภาคส่วนต่างๆ ได้เริ่มนำแนวนโยบาย Thailand Taxonomy ไปปรับใช้ในการดำเนินงานในหลายมิติ ดังนี้ ในมิติภาคธุรกิจ Thailand Taxonomy สามารถนำมาใช้ประเมินความเสี่ยง สถานะ และความพร้อมของตนเองในการลดก๊าซเรือนกระจก จากการที่ธุรกิจทั่วโลกเผชิญมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมในระดับที่เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดส่งออกสหภาพยุโรปที่นำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมาเชื่อมโยงกับการค้ามากขึ้น โดยเตรียมทดลองใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ในเดือนตุลาคม 2023 ซึ่งเป็นการกำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภท เพื่อกีดกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ได้แก่ อะลูมิเนียม เหล็กและเหล็กกล้า ปูนซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า ไฮโดรเจน และอุตสาหกรรมปลายน้ำที่เกี่ยวเนื่อง เช่น พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐอเมริกาที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาใช้มาตรการ CBAM จากสินค้านำเข้าในอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้มข้น จากการที่ธุรกิจทั่วโลกเผชิญมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมในระดับที่เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดส่งออกสหภาพยุโรปที่นำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมาเชื่อมโยงกับการค้ามากขึ้น โดยเตรียมทดลองใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ในเดือนตุลาคม 2023 ซึ่งเป็นการกำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภท เพื่อกีดกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ได้แก่ อะลูมิเนียม เหล็กและเหล็กกล้า ปูนซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า ไฮโดรเจน และอุตสาหกรรมปลายน้ำที่เกี่ยวเนื่อง เช่น พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐอเมริกาที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาใช้มาตรการ CBAM จากสินค้านำเข้าในอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้มข้น ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับการผลิตสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับกระแสการทำธุรกิจรักษ์โลกหรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้สูญเสียโอกาสทางการตลาด นอกจากนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงิน โดยภาคธุรกิจที่ถูกจัดให้อยู่ในกิจกรรมสีเขียวหรือสีเหลืองสามารถนำไปอ้างอิง เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ได้รับต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสมมากขึ้น ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับการผลิตสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับกระแสการทำธุรกิจรักษ์โลกหรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้สูญเสียโอกาสทางการตลาด นอกจากนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงิน โดยภาคธุรกิจที่ถูกจัดให้อยู่ในกิจกรรมสีเขียวหรือสีเหลืองสามารถนำไปอ้างอิง เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ได้รับต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสมมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่ปรับธุรกิจเป็นสีเขียวมีแนวโน้มดึงดูดเงินทุนทั้งในประเทศและเงินลงทุนจากต่างประเทศที่จะสนับสนุนการปรับตัวในอนาคต ในขณะที่ธุรกิจในกลุ่มสีแดงอาจเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้กับภาคธุรกิจต่างๆ ในเบื้องต้นคาดว่าจะประกาศใช้ภายในปี 2023 พร้อมทั้งมีการจัดสรรโควตาปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ทุกภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่ปรับธุรกิจเป็นสีเขียวมีแนวโน้มดึงดูดเงินทุนทั้งในประเทศและเงินลงทุนจากต่างประเทศที่จะสนับสนุนการปรับตัวในอนาคต ในขณะที่ธุรกิจในกลุ่มสีแดงอาจเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้กับภาคธุรกิจต่างๆ ในเบื้องต้นคาดว่าจะประกาศใช้ภายในปี 2023 พร้อมทั้งมีการจัดสรรโควตาปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ทุกภาคธุรกิจ ในมิติภาคการเงิน ธนาคารถือเป็นต้นน้ำที่ส่งผ่านทำให้ภาคธุรกิจได้ปรับตัว ข้อมูลจาก Moody’s ประเมินตัวเลข 15-30% ของยอดสินเชื่อทั้งหมดของระบบธนาคารพาณิชย์ในอาเซียนเป็นสินเชื่อที่ให้แก่ภาคอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากมาตรการสิ่งแวดล้อม (Transition Risk) นอกจากนี้ ข้อมูลจาก ธปท. พบว่า 30% ของอุตสาหกรรมในประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมเก่า ในจำนวนนี้มี 13% ของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นในภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) สุดท้ายก็ส่งผลกระทบต่อภาคการธนาคารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจธนาคารมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงจากสภาพภูมิอากาศ ผ่านการดำเนินนโยบายที่ผนวกแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานอย่างมีมาตรฐานภายใต้กรอบ Thailand Taxonomy โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญในหลายด้าน เช่น การจัดกลุ่มธุรกิจ พิจารณาสินเชื่อ จัดสรรเงินทุน การบริหารความเสี่ยงพอร์ตสินเชื่อ รวมถึงมีผลิตภัณฑ์และบริการรองรับการปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อมของภาคธุรกิจ ข้อมูลจาก Moody’s ประเมินตัวเลข 15-30% ของยอดสินเชื่อทั้งหมดของระบบธนาคารพาณิชย์ในอาเซียนเป็นสินเชื่อที่ให้แก่ภาคอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากมาตรการสิ่งแวดล้อม (Transition Risk) นอกจากนี้ ข้อมูลจาก ธปท. พบว่า 30% ของอุตสาหกรรมในประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมเก่า ในจำนวนนี้มี 13% ของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นในภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) สุดท้ายก็ส่งผลกระทบต่อภาคการธนาคารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจธนาคารมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงจากสภาพภูมิอากาศ ผ่านการดำเนินนโยบายที่ผนวกแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานอย่างมีมาตรฐานภายใต้กรอบ Thailand Taxonomy โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญในหลายด้าน เช่น การจัดกลุ่มธุรกิจ พิจารณาสินเชื่อ จัดสรรเงินทุน การบริหารความเสี่ยงพอร์ตสินเชื่อ รวมถึงมีผลิตภัณฑ์และบริการรองรับการปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อมของภาคธุรกิจ สถาบันการเงินสามารถใช้ Thailand Taxonomy ประเมินความเสี่ยงและบริหารความเสี่ยงในพอร์ตสินเชื่อ โดยอาจเริ่มจากการพิจารณาจัดกลุ่มสินเชื่อ โดยแบ่งตามกลุ่มสีเขียว เหลือง หรือแดง เพื่อดูสถานะของพอร์ตปัจจุบัน และสามารถจัดสรรเงินทุนเข้าไปช่วยสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่กลุ่มที่ระดับสูงขึ้นหรือเข้าสู่กลุ่มสีเขียว (Transition Path) บริหารความเสี่ยงในพอร์ตสินเชื่อที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งผลกระทบทางตรงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม (Physical Risk) และผลกระทบของกฎระเบียบเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม (Transition Risk) นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์การปรับตัวของธุรกิจในแต่ละกลุ่ม ทั้งในแง่ต้นทุน ความเพียงพอของเงินทุน รวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ ที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน รวมถึงสนับสนุนโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เช่น การลงทุนตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่หรือ BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) และการสนับสนุนให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มที่ได้รับผลกระทบสามารถปรับตัวดำเนินธุรกิจต่อไปได้ รวมถึงการสร้างองค์ความรู้และการมีมาตรการเพื่อสนับสนุนทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่มีความเปราะบางมากกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยอาจเริ่มจาก โดยแบ่งตามกลุ่มสีเขียว เหลือง หรือแดง เพื่อดูสถานะของพอร์ตปัจจุบัน และสามารถจัดสรรเงินทุนเข้าไปช่วยสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่กลุ่มที่ระดับสูงขึ้นหรือเข้าสู่กลุ่มสีเขียว (Transition Path) ที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งผลกระทบทางตรงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม (Physical Risk) และผลกระทบของกฎระเบียบเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม (Transition Risk) ทั้งในแง่ต้นทุน ความเพียงพอของเงินทุน รวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ ที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน รวมถึง เช่น การลงทุนตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่หรือ BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) และ รวมถึงการสร้างองค์ความรู้และการมีมาตรการเพื่อสนับสนุนทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่มีความเปราะบางมากกว่ากลุ่มอื่นๆ การนำความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินนโยบายของภาคส่วนต่างๆ ถือได้ว่าเป็นแรงส่งสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่เป็นความรับผิดชอบที่อาจทำให้ภาคการเงินและภาคธุรกิจมีต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงการปรับตัวและเปลี่ยนผ่าน อย่างไรก็ดี เชื่อว่ามาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกจะนำมาใช้มากขึ้นในอนาคตจะเป็นแผนงานที่มีกรอบระยะเวลา ที่ทำให้มิติของจังหวะการปรับตัวของภาคธุรกิจและภาคการเงินเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป มองวิกฤตเป็นโอกาส และไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ การนำความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินนโยบายของภาคส่วนต่างๆ ถือได้ว่าเป็นแรงส่งสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่เป็นความรับผิดชอบที่อาจทำให้ภาคการเงินและภาคธุรกิจมีต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงการปรับตัวและเปลี่ยนผ่าน อย่างไรก็ดี เชื่อว่ามาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกจะนำมาใช้มากขึ้นในอนาคตจะเป็นแผนงานที่มีกรอบระยะเวลา ที่ทำให้มิติของจังหวะการปรับตัวของภาคธุรกิจและภาคการเงินเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป มองวิกฤตเป็นโอกาส และไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ข่าวที่เกี่ยวข้อง เมื่อ ‘เป้าหมายสีเขียว’ และ ‘เป้ายอดขาย’ ไม่สอดคล้องกัน เปิดช่องโหว่นโยบาย สิ่งแวดล้อม ในอุตสาหกรรมแฟชั่น ธปท. เตรียมออก Standard Practice ด้านสิ่งแวดล้อมในไตรมาส 3 พร้อมกำหนดให้แบงก์ส่งแผนและเป้าสีเขียวที่จับต้องได้ต้นปีหน้า ‘Bridgewater’ บริษัทจัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ใหญ่ที่สุดในโลก แนะวิธีลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อหนุนเป้าหมาย Net Zero
Thailand Taxonomy คือการจัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามนโยบายที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมหรือสภาพภูมิอากาศ จัดแบ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือกลุ่มธุรกิจเป็น 3 ระดับ 1. สีเขียว ธุรกิจที่ดำเนินกิจกรรมลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. สีเหลือง อยู่ระหว่างปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 3. สีแดง ไม่เข้าข่ายตามเงื่อนไขกิจกรรมสีเขียวและสีเหลือง หรือธุรกิจที่ไม่สามารถถูกประเมินได้ว่าเป็นมิตรต่อการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิได้ สถาบันการเงินสามารถใช้ Thailand Taxonomy ประเมินความเสี่ยงและบริหารความเสี่ยงในพอร์ตสินเชื่อ การพิจารณาจัดกลุ่มสินเชื่อ โดยแบ่งตามกลุ่มสีเขียว เหลือง หรือแดง เพื่อดูสถานะของพอร์ตปัจจุบัน และสามารถจัดสรรเงินทุนเข้าไปช่วยสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจ การนำความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินนโยบายของภาคส่วนต่างๆ ถือได้ว่าเป็นแรงส่งสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_3762
Finance
การควบรวมกิจการในประเทศไทยแบ่งได้ 3 รูปแบบหลักได้แก่อะไรบ้าง
ในปัจจุบันการควบรวมกิจการ หรือ Mergers & Acquisitions (M&A) มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี และคาดว่าจะยังคงมีธุรกรรมควบรวมกิจการอย่างต่อเนื่องและหลากหลายในทุกภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในการดำเนินการควบรวมกิจการนั้น นอกจากจะต้องพิจารณาในด้านธุรกิจ ทางการเงิน และทางภาษีแล้ว ข้อพิจารณาทางด้านกฎหมายก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ในปัจจุบันการควบรวมกิจการ หรือ Mergers & Acquisitions (M&A) มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี และคาดว่าจะยังคงมีธุรกรรมควบรวมกิจการอย่างต่อเนื่องและหลากหลายในทุกภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในการดำเนินการควบรวมกิจการนั้น นอกจากจะต้องพิจารณาในด้านธุรกิจ ทางการเงิน และทางภาษีแล้ว ข้อพิจารณาทางด้านกฎหมายก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ในประเทศไทย การควบรวมกิจการแบ่งได้ทั้งหมดเป็น 3 รูปแบบหลักๆ คือ ในประเทศไทย การควบรวมกิจการแบ่งได้ทั้งหมดเป็น 3 รูปแบบหลักๆ คือ 1. การซื้อหุ้นของกิจการ วิธีนี้คือการที่ผู้ซื้อเข้าไปซื้อหุ้นกิจการอีกแห่งหนึ่งทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งอาจทำได้โดยวิธีการใช้เงินซื้อ หรือใช้วิธีการแลกหุ้น (Share Swap) เช่น กรณีที่ผู้ซื้อเป็นบริษัท สามารถออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อแลกกับหุ้นเดิมที่ถือโดยผู้ถือหุ้นของกิจการก็ได้ วิธีนี้คือการที่ผู้ซื้อเข้าไปซื้อหุ้นกิจการอีกแห่งหนึ่งทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งอาจทำได้โดยวิธีการใช้เงินซื้อ หรือใช้วิธีการแลกหุ้น (Share Swap) เช่น กรณีที่ผู้ซื้อเป็นบริษัท สามารถออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อแลกกับหุ้นเดิมที่ถือโดยผู้ถือหุ้นของกิจการก็ได้ 2. การซื้อทรัพย์สินหรือซื้อกิจการ วิธีนี้คือการที่ผู้ซื้อเข้าซื้อทรัพย์สินบางอย่าง หรือซื้อกิจการของบริษัทผู้ขาย เช่น ซื้อโรงงานหรือสายการผลิต รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้ซื้อหุ้นของกิจการ วิธีนี้คือการที่ผู้ซื้อเข้าซื้อทรัพย์สินบางอย่าง หรือซื้อกิจการของบริษัทผู้ขาย เช่น ซื้อโรงงานหรือสายการผลิต รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้ซื้อหุ้นของกิจการ 3. การควบบริษัทตามกฎหมาย (Amalgamation) วิธีนี้เป็นการควบรวมกิจการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (Amalgamation) คือเป็นกรณีที่บริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไปควบเข้ากัน เป็นผลให้บริษัทที่ควบเข้ากันนั้นหมดสภาพการเป็นนิติบุคคล และเกิดเป็นบริษัทใหม่ ซึ่งได้ไปทั้งสิทธิและบรรดาความรับผิดที่มีอยู่แก่บริษัทเดิม วิธีนี้เป็นการควบรวมกิจการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (Amalgamation) คือเป็นกรณีที่บริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไปควบเข้ากัน เป็นผลให้บริษัทที่ควบเข้ากันนั้นหมดสภาพการเป็นนิติบุคคล และเกิดเป็นบริษัทใหม่ ซึ่งได้ไปทั้งสิทธิและบรรดาความรับผิดที่มีอยู่แก่บริษัทเดิม แต่ละรูปแบบจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางกฎหมาย ประเด็นทางภาษี หรือความต้องการทางธุรกิจ ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายต้องนำมาพิจารณาเพื่อตัดสินใจดำเนินการ และเมื่อพิจารณารูปแบบของการควบรวมกิจการแล้ว ที่ต้องพิจารณาต่อไปคือขั้นตอนการดำเนินการ โดยหลักกระบวนการที่สำคัญจะแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ คือ แต่ละรูปแบบจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางกฎหมาย ประเด็นทางภาษี หรือความต้องการทางธุรกิจ ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายต้องนำมาพิจารณาเพื่อตัดสินใจดำเนินการ และเมื่อพิจารณารูปแบบของการควบรวมกิจการแล้ว ที่ต้องพิจารณาต่อไปคือขั้นตอนการดำเนินการ โดยหลักกระบวนการที่สำคัญจะแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 – ช่วงการวางแผนและการวางโครงสร้างธุรกรรม (Structuring / Pre-deal Arrangement) ในช่วงนี้ผู้ซื้อและผู้ขายจะวางแผนการ รวมถึงวางโครงสร้างสำหรับการเข้าทำธุรกรรม ซึ่งการซื้อขายอาจใช้วิธีเปิดประมูล (Bidding Process) หรือการเจรจาเป็นรายๆ (Bilateral Process) ในช่วงนี้เอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องอาจจะมีการทำสัญญารักษาความลับ หรือในบางกรณีอาจมีข้อกำหนดเรื่อง Exclusivity เช่น กำหนดให้ฝ่ายผู้ขายต้องให้สิทธิฝ่ายผู้ซื้อแต่เพียงผู้เดียวในการเข้าเจรจาทำธุรกรรม เป็นต้น ในช่วงนี้ผู้ซื้อและผู้ขายจะวางแผนการ รวมถึงวางโครงสร้างสำหรับการเข้าทำธุรกรรม ซึ่งการซื้อขายอาจใช้วิธีเปิดประมูล (Bidding Process) หรือการเจรจาเป็นรายๆ (Bilateral Process) ในช่วงนี้เอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องอาจจะมีการทำสัญญารักษาความลับ หรือในบางกรณีอาจมีข้อกำหนดเรื่อง Exclusivity เช่น กำหนดให้ฝ่ายผู้ขายต้องให้สิทธิฝ่ายผู้ซื้อแต่เพียงผู้เดียวในการเข้าเจรจาทำธุรกรรม เป็นต้น ระยะที่ 2 – ช่วงการตรวจสอบสถานะของกิจการ (Due Diligence) ช่วงนี้จะเป็นการดำเนินการเพื่อประเมินความเสี่ยงทางด้านการลงทุนของผู้ซื้อ โดยผลที่ได้จากการตรวจสอบสถานะของกิจการ จะนำไปสู่การกำหนดราคาซื้อขาย การวางโครงสร้างธุรกรรมที่เหมาะสม และการกำหนดเงื่อนไขและข้อตกลงอื่นๆ ในสัญญาซื้อขาย ซึ่งสำหรับการตรวจสอบสถานะของกิจการในด้านการกฎหมาย (Legal Due Diligence) หลักๆ จะครอบคลุมเรื่องดังต่อไปนี้ ช่วงนี้จะเป็นการดำเนินการเพื่อประเมินความเสี่ยงทางด้านการลงทุนของผู้ซื้อ โดยผลที่ได้จากการตรวจสอบสถานะของกิจการ จะนำไปสู่การกำหนดราคาซื้อขาย การวางโครงสร้างธุรกรรมที่เหมาะสม และการกำหนดเงื่อนไขและข้อตกลงอื่นๆ ในสัญญาซื้อขาย ซึ่งสำหรับการตรวจสอบสถานะของกิจการในด้านการกฎหมาย (Legal Due Diligence) หลักๆ จะครอบคลุมเรื่องดังต่อไปนี้ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับองค์กรธุรกิจ หรือเอกสารสำคัญทางทะเบียนของบริษัท (Corporate Organization Matters) ทรัพย์สินของบริษัท (Assets) ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Properties) การดำเนินธุรกิจตามกฎหมาย (Regulatory Compliance) ลูกจ้าง (Labor) ประกันภัย (Insurance) สัญญาที่สำคัญ (Significant Contracts) และ คดีความ (Litigation) เอกสารที่เกี่ยวข้องกับองค์กรธุรกิจ หรือเอกสารสำคัญทางทะเบียนของบริษัท (Corporate Organization Matters) ทรัพย์สินของบริษัท (Assets) ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Properties) การดำเนินธุรกิจตามกฎหมาย (Regulatory Compliance) ลูกจ้าง (Labor) ประกันภัย (Insurance) สัญญาที่สำคัญ (Significant Contracts) และ คดีความ (Litigation) ระยะที่ 3 – ช่วงการเจรจาและเข้าทำสัญญา (Transaction Documents) ในช่วงนี้ผู้ซื้อและผู้ขายจะเข้าเจรจาเพื่อทำสัญญาที่เกี่ยวข้อง โดยสัญญาที่สำคัญสำหรับการควบรวมกิจการ คือ ในช่วงนี้ผู้ซื้อและผู้ขายจะเข้าเจรจาเพื่อทำสัญญาที่เกี่ยวข้อง โดยสัญญาที่สำคัญสำหรับการควบรวมกิจการ คือ สัญญาซื้อขาย เช่น สัญญาซื้อขายหุ้น (Share Purchase Agreement) หรือสัญญาซื้อขายทรัพย์สินหรือกิจการ (Asset or Business Purchase Agreement) เพื่อกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับการซื้อขาย รวมถึงเงื่อนไขก่อนการซื้อขายที่ต้องดำเนินการ (Conditions Precedent) ราคาซื้อขาย (Pricing) คำรับรองและคำยืนยันของคู่สัญญา (Representations and Warranties) และข้อกำหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น (Shareholders’ Agreement) เช่น ในกรณีที่ผู้ขายขายหุ้นบางส่วน จึงอาจมีการทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นกับผู้ซื้อ เพื่อวางข้อกำหนดเกี่ยวกับการบริหารจัดการกิจการ หรือจัดการเกี่ยวกับหุ้นในกิจการ
1. การซื้อหุ้นของกิจการ วิธีนี้คือการที่ผู้ซื้อเข้าไปซื้อหุ้นกิจการอีกแห่งหนึ่งทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งอาจทำได้โดยวิธีการใช้เงินซื้อ หรือใช้วิธีการแลกหุ้น (Share Swap) เช่น กรณีที่ผู้ซื้อเป็นบริษัท สามารถออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อแลกกับหุ้นเดิมที่ถือโดยผู้ถือหุ้นของกิจการก็ได้ วิธีนี้คือการที่ผู้ซื้อเข้าไปซื้อหุ้นกิจการอีกแห่งหนึ่งทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งอาจทำได้โดยวิธีการใช้เงินซื้อ หรือใช้วิธีการแลกหุ้น (Share Swap) เช่น กรณีที่ผู้ซื้อเป็นบริษัท สามารถออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อแลกกับหุ้นเดิมที่ถือโดยผู้ถือหุ้นของกิจการก็ได้ 2. การซื้อทรัพย์สินหรือซื้อกิจการ วิธีนี้คือการที่ผู้ซื้อเข้าซื้อทรัพย์สินบางอย่าง หรือซื้อกิจการของบริษัทผู้ขาย เช่น ซื้อโรงงานหรือสายการผลิต รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้ซื้อหุ้นของกิจการ วิธีนี้คือการที่ผู้ซื้อเข้าซื้อทรัพย์สินบางอย่าง หรือซื้อกิจการของบริษัทผู้ขาย เช่น ซื้อโรงงานหรือสายการผลิต รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้ซื้อหุ้นของกิจการ 3. การควบบริษัทตามกฎหมาย (Amalgamation) วิธีนี้เป็นการควบรวมกิจการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (Amalgamation) คือเป็นกรณีที่บริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไปควบเข้ากัน เป็นผลให้บริษัทที่ควบเข้ากันนั้นหมดสภาพการเป็นนิติบุคคล และเกิดเป็นบริษัทใหม่ ซึ่งได้ไปทั้งสิทธิและบรรดาความรับผิดที่มีอยู่แก่บริษัทเดิม วิธีนี้เป็นการควบรวมกิจการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (Amalgamation) คือเป็นกรณีที่บริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไปควบเข้ากัน เป็นผลให้บริษัทที่ควบเข้ากันนั้นหมดสภาพการเป็นนิติบุคคล และเกิดเป็นบริษัทใหม่ ซึ่งได้ไปทั้งสิทธิและบรรดาความรับผิดที่มีอยู่แก่บริษัทเดิม แต่ละรูปแบบจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางกฎหมาย ประเด็นทางภาษี หรือความต้องการทางธุรกิจ ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายต้องนำมาพิจารณาเพื่อตัดสินใจดำเนินการ และเมื่อพิจารณารูปแบบของการควบรวมกิจการแล้ว ที่ต้องพิจารณาต่อไปคือขั้นตอนการดำเนินการ โดยหลักกระบวนการที่สำคัญจะแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ คือ แต่ละรูปแบบจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_23022
Medical
อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาในการลุกลามของต้อกระจก?
null
จากบทความ ต้อกระจกเป็นโรคที่ไม่มีกำหนดเวลาตายตัวในการลุกลาม บางคนอาจใช้เวลานานหลายปี บางคนอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาในการลุกลามของต้อกระจกมีดังนี้ 1. สุขภาพร่างกายโดยรวม: ผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ต้อกระจกมักจะลุกลามช้า ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หรือโลหิตจาง ต้อกระจกมักจะลุกลามเร็ว ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหาร เช่น โปรตีน วิตามินบี หรือวิตามินซี ต้อกระจกมักจะลุกลามเร็ว ผู้ที่มีความเครียดสูง ต้อกระจกมักจะลุกลามเร็ว 2. ชนิดของต้อกระจก: ต้อกระจกแบบวัยชรา มักจะลุกลามช้า ใช้เวลาหลายปี ต้อกระจกแบบอื่นๆ เช่น ต้อกระจกแต่กำเนิด ต้อกระจกจากยา ต้อกระจกจากอุบัติเหตุ มักจะลุกลามเร็ว 3. ปัจจัยอื่นๆ: การได้รับแสงแดดจัด การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การรักษาต้อกระจก: ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาต้อกระจกโดยไม่ต้องผ่าตัด การรักษาต้อกระจกที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือ การผ่าตัดเอาเลนส์แก้วตาที่ขุ่นออก และใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทน การผ่าตัดต้อกระจกเป็นวิธีรักษาที่มีความปลอดภัยสูง และใช้เวลาเพียงประมาณ 30 นาที ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ในวันเดียวหลังผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องพักฟื้นประมาณ 2 เดือน แผลผ่าตัดจึงจะหายสนิท คำแนะนำ: ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรไปตรวจวัดสายตากับจักษุแพทย์เป็นประจำทุกปี ผู้ที่มีอาการของต้อกระจก เช่น มองเห็นไม่ชัด มองภาพซ้อน แสงจ้าแยงตา ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา การรักษาต้อกระจกในระยะเริ่มแรก จะช่วยให้การมองเห็นกลับมาเป็นปกติได้
จักษุวิทยา (จักษุวิทยา) - Ophthalmology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_10340
Medical
ข้อใดเป็นวิธีดูแลตัวเองเมื่อแพ้วัคซีนโควิด-19
1. รับการรักษาได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน 2. กินยาตามคำแนะนำ 3. ดื่มน้ำเยอะ ๆ 4. หลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก 5. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
คำตอบได้แก่ 1. เนื่องจาก วิธีดูแลตัวเองเมื่อแพ้วัคซีนโควิด-19 สำหรับคนที่อาการผิดปกติเมื่อฉีดวัคซีน ● เมื่อเกิดอาการผิดปกติในขณะที่รอสังเกตอาการ ไม่ว่าจะมีอาการมากหรือน้อยก็ตาม สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ในศูนย์ฉีดวัคซีนได้ทันที ● เมื่อเกิดอาการผิดปกติหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว สามารถรับการรักษาได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ไม่จำเป็นต้องรักษากับโรงพยาบาลที่เข้ารับวัคซีน และยังสามารถรักษาได้ที่โรงพยาบาลที่มีประกันสังคมได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้ นอกจากนี้อยากให้ทุกคนทำประกันสำหรับการแพ้วัคซีนโควิดไว้ และควรอ่านกรมธรรม์อย่างละเอียด เพราะก่อนฉีดวัคซีนเธอได้ทำประกันที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย และไม่ทราบว่าจะต้องมีอาการแพ้อย่างโคม่าเท่านั้นถึงสามารถเบิกประกันได้ เธอจึงต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาอาการแพ้ทั้งหมดเอง ฟื้นฟูร่างกายหลังแพ้วัคซีน ให้สังเกตอาการทุกวันว่าดีขึ้นไหม เป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก เพราะสภาพอากาศหรือฝุ่นควันต่างๆ อาจจะส่งผลให้ผื่นลุกลาม พยายามอย่าเกา ควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ และยังคงปฏิบัติตัวให้เหมือนกับการเตรียมตัวฉีดวัคซีน ตอนที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีน ให้กินยาตามคำแนะนำและนอนพักผ่อนเยอะๆ เพราะเป็นวิธีที่ฟื้นฟูร่างกายได้ง่ายที่สุดในเวลานั้น ส่วนหลังจากที่รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ให้ปฏิบัติตัวเหมือนกับคนที่ไม่เคยรับวัคซีนมาก่อน ยังคงหมั่นล้างมือรักษาความสะอาด ใส่มาสก์ทุกครั้งเมื่อออกไปข้างนอก
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Legal_5966
Legal
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ระบุว่าอย่างไร
a. ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ได้กระทำในการพิจารณาคดีอาญา ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท b. ผู้ใดครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ c. ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ d. ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข้อที่ถูกต้องคือ b. เพราะว่า แบบไหนถึงเป็นยักยอก? ความผิดฐานยักยอก = แอบเอา ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ จะต้องพิจารณาว่าทรัพย์นั้นอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิดหรือไม่ หากทรัพย์อยู่ในความครอบครองแล้วมีการเบียดบังโดยทุจริตก็เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ “การได้มาซึ่งครอบครอง” เช่น การมอบของให้ไปขาย/ การมอบเงิน-มอบอำนาจให้ไปใช้ชำระหนี้ ไปซื้อของ ไปฝากเข้าบัญชี/ ผู้รับจำนำ/ ผู้เช่าซื้อ/ ผู้เช่าทรัพย์/ ผู้รับฝากทรัพย์ “เบียดบัง” คือ แสดงตนว่าเป็นเจ้าของทรัพย์ โทษยักยอกมีเเบบไหนบ้างนะ? **ยักยอกทรัพย์ของผู้อื่น** ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ระบุว่า ผู้ใดครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ (ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง),คำพิพากษาศาลฎีกา
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_13543
Medical
การบาดเจ็บวิพแลชมีแนวทางการรักษาอย่างไร และสามารภเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างไรได้บ้าง
null
แนวทางการรักษาการบาดเจ็บวิพแลช ได้แก่ 1. กรณีแพทย์ตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติอื่นๆ เช่น ไม่มีการกดของหมอนรองกระดูกสันหลัง หรือการกดของกระดูกต้นคอ ต่อประสาทไขสันหลัง สามารถรักษาด้วยการทานยาแก้ปวด การฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณปวด การนวดไม่รุนแรงบริเวณคอที่ปวด การรักษาอาการปวดด้วยการกระตุ้นไฟฟ้า หรือด้วยคลื่นความร้อน การทำกายภาพบำบัด และหรือ การฝังเข็ม 2. กรณีพบมีสาเหตุอื่นๆ เช่น การกดของหมอนรองกระดูก ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุนั้นๆ เช่น การรักษาภาวะการกดของหมอนรองกระดูกสันหลัง เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้ว การบาดเจ็บวิพแลช ไม่มีความจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ยกเว้นผู้ป่วยที่เกิดปัญหาหมอนรองกระดูกเคลื่อนกดทับรากประสาทหรือกดทับประสาทไขสันหลัง จึงจำเป็นต้องรับการรักษาด้วยการผ่าตัด ทั้งนี้ การรักษากินเวลานานหรือไม่ ขึ้นกับอาการของผู้ป่วย ถ้าอาการหายดีภายใน 2-3 เดือนแรกก็ไม่จำเป็นต้องรักษาระยะยาว แต่ถ้ามีปัญหาอาการเรื้อรัง การรักษาก็ต้องใช้เวลานาน โดยการทำกายภาพบำบัดเป็นหลัก และทานยาแก้ปวดเป็นระยะๆ ตามอาการปวดที่เกิดขึ้น ร่วม กับยาต้านเศร้า นอกจากนี้ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยจากการบาดเจ็บวิพแลช คือ อาการปวดคอเรื้อรังอาจร่วมกับความรู้สึกผิดปกติบริเวณดังกล่าว เช่น แขนชา และหรือ อ่อนแรง บางคนก็มีอาการหงุดหงิด หรือภาวะซึมเศร้าตามมาได้
ออร์โธปิดิกส์ (ออร์โธปิดิกส์) - Orthopedics
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_9813
Legal
ช่วยสรุปบทความ ราษฎร: "เพนกวิน" ปฏิเสธไม่รับน้ำเกลือ ขอไตร่ตรองหลังมีเสียงเรียกร้องให้เลิกอดอาหาร
นายพริษฐ์หรือ "เพนกวิน" นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ วัย 22 ปี อดอาหารในเรือนจำตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. เพื่อประท้วงที่เขาและจำเลยในคดี 112 และคดีอันเนื่องมาจากการชุมนุมทางการเมืองหลายคนไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดี นอกจากนายพริษฐ์แล้ว น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ "รุ้ง" นักศึกษา มธ.และแกนนำกลุ่ม "ราษฎร" อีกคนหนึ่งซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลางก็อดอาหารประท้วงเช่นกัน โดยรุ้งเริ่มลดปริมาณอาหารลงตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค. และขณะนี้รับประทานแต่ของเหลว เช่น น้ำ น้ำผลไม้ และเกลือแร่ เพนกวินไม่ยอมรับน้ำเกลือ กรมราชทัณฑ์ออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงอาการของนายพริษฐ์ว่า วันนี้ (16 เม.ย.) เวลา 7.00 น. พยาบาลได้ตรวจอาการของเขาพบว่ารู้สึกตัวดี ไม่มีอาการเวียนศีรษะ แน่นหน้าอกหรือวูบ พูดคุยรู้เรื่อง แต่มีอาการอ่อนเพลีย ริมฝีปากแห้ง เวลาเดินขาทั้งสองข้างอ่อนแรงเล็กน้อยต้องมีคนช่วย แต่สามารถลุกเดินและทำกิจวัตรประจำวันได้ ยังคงปฏิเสธการรับประทานอาหาร ขอดื่มแต่น้ำเกลือแร่ กรมราชทัณฑ์รายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ แต่หลังจากที่เข็มให้น้ำเกลือหลุด นายพริษฐ์ซึ่งขณะนี้น้ำหนักลดลงมาอยู่ที่ 96.5 กก. ได้ปฏิเสธการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ทั้งนี้ระหว่างวันที่ 5 เม.ย.-5 พ.ค. กรมราชทัณฑ์ได้ประกาศงดเยี่ยมญาติแบบปกติที่เรือนจำทุกแห่งทั่วประเทศเพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 มีเพียงทนายเท่านั้นที่จะพบผู้ต้องขังได้ ส่วนญาติสามารถลงทะเบียนเพื่อขอพูดคุยกับผู้ต้องขังผ่านวิดีโอคอลล์ทางแอปพลิเคชั่นไลน์ได้เท่านั้น
นายพริษฐ์หรือ "เพนกวิน" นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ อดอาหารในเรือนจำตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. เพื่อประท้วงที่เขาและจำเลยในคดี 112 และคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมือง นอกจากนี้ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ "รุ้ง" นักศึกษา มธ. ก็ทำการประท้วงด้วยการอดอาหาร ลดปริมาณอาหารตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค. และในปัจจุบันรับประทานเฉพาะของเหลว เช่น น้ำ น้ำผลไม้ และเกลือแร่ บีบีซีไทยได้สัมผัสกับนางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ (แม่ของนายพริษฐ์) และ น.ส. เมธาวี สิทธิจิรวัฒนกุล (พี่สาวของ น.ส.ปนัสยา) ที่เรือนจำ เพื่อได้ข้อมูลเกี่ยวกับคดี 112 และคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม นางสุรีย์รัตน์เล่าถึงการพบลูกชายล่าสุดในศาลเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่นายพริษฐ์และจำเลยถูกนำมาศาลเพื่อตรวจพยาน นางสุรีย์รัตน์พยายามจับเท้าลูกชายที่นั่งบนรถเข็นผู้ป่วย แต่ไม่ได้รับอนุญาต และถูกเตือนว่า "อย่าทำให้ราชทัณฑ์ลำบากใจ" เธอสังเกตเห็นลูกชายซูบลงไปมาก เนื้ออวบอิ่มที่ใบหน้าและลำคอ และได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ว่าลูกชายลดน้ำหนักไปประมาณ 10 กิโลกรัม นับตั้งแต่เริ่มอดอาหาร
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ,ประมวลกฎหมายอาญา,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร-การก่อการร้าย
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_3623
Finance
ขอคำแนะนำหน่อย ทางเลือกลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดที่มีสภาพคล่อง อย่าง Private Assets แบบ Semi-Liquid เป็นยังไง
null
จากประเด็นทางปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเงินเฟ้อสูง รวมถึงนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกที่เร่งปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งได้สร้างแรงกดดันและความผันผวนต่อตลาดลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้นและ/หรือตราสารหนี้ทั่วโลกที่มีการซื้อขายในตลาดซื้อขายสาธารณะ (Public Assets) ซึ่งหากเป็นสถานการณ์โดยทั่วไป พอร์ตที่มีการลงทุนแบบผสมผสานทั้งในหุ้นและตราสารหนี้จะสามารถช่วยลดความผันผวนโดยรวมของพอร์ตการลงทุนให้แก่นักลงทุนได้ เนื่องจากค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ของผลตอบแทนในอดีตระหว่าง 2 สินทรัพย์นี้มักจะแปรผกผันกัน หากแต่ในช่วงตั้งแต่ปี 2022 พอร์ตการลงทุนที่เน้นลงทุนใน Public Assets ต่างให้ผลตอบแทนที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ในขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง Private Assets กลับได้รับผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจาก Private Assets มีความผันผวนที่ต่ำกว่าการลงทุนใน Public Assets สำหรับนิยามโดยทั่วไปของ Private Assets คือการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด สามารถแบ่งเป็น Private Equity, Private Credit และ Private Real Assets ซึ่งในแง่ของสินทรัพย์การลงทุนก็จะมีลักษณะที่คล้ายกับการลงทุนใน Public Assets แตกต่างกันที่สินทรัพย์เหล่านี้ไม่ได้มีการซื้อขายในตลาดซื้อขายสาธารณะ (Public Exchange) และมักเป็นเพียงการเจรจาซื้อขายนอกตลาดผ่านผู้จัดการสินทรัพย์นอกตลาดมืออาชีพ ซึ่งการลงทุนใน Private Assets มีข้อดีที่นอกจากช่วยเรื่องของการกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนได้แล้ว นักลงทุนยังสามารถคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนที่มากขึ้นได้อีกด้วย โดยในอดีตที่ผ่านมา การลงทุนใน Private Equity สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าได้ในระยะยาวและมีความผันผวนที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในดัชนีหุ้นโลก (MSCI World) ซึ่งการเสริมพอร์ตการลงทุนด้วย Private Assets จะช่วยให้พอร์ตการลงทุนนั้นมีผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk Adjusted Return) ที่สูงขึ้นได้ อย่างไรก็ดี แม้การลงทุนใน Private Assets จะมีความน่าสนใจในเรื่องของผลตอบแทนและเรื่องการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน แต่การที่นักลงทุนทั่วไปจะสามารถเข้าถึงการลงทุนในแบบ Private Assets ได้นั้นยังทำได้ยาก เนื่องจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภท Private Assets มักมีเงื่อนไขและข้อจำกัดในการลงทุนที่แตกต่างจากการลงทุนทั่วไป อาทิ ระยะเวลาการลงทุน ที่จะมีการกำหนดช่วงเวลาถือครองและไม่สามารถไถ่ถอนเงินลงทุนก่อนเวลาที่กำหนดได้ (Lock-up Period) เป็นระยะเวลานาน ที่บางครั้งอาจยาวนานถึง 10 ปี รวมถึงการกำหนดเงินลงทุนเริ่มต้นที่ค่อนข้างสูง (Minimum Investment) โดยมีหลายกองทุนที่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ที่ 2 ล้านบาทขึ้นไป และส่วนใหญ่มักอยู่ในรูปแบบกองทุนปิด (Close-end Fund) ที่เมื่อระดมทุนได้ตามที่ต้องการแล้วก็จะไม่มีการเปิดให้นักลงทุนเข้าลงทุนเพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ ลักษณะของ Private Assets ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเพียงลักษณะเฉพาะของการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดแบบดั้งเดิม (Traditional Private Assets) ปัจจุบัน ประเทศไทยมีกองทุนรวม Private Assets แบบ Semi-Liquid ที่เข้ามาช่วยลดข้อจำกัดของนักลงทุนรายบุคคลที่ต้องการลงทุนใน Private Assets แล้ว โดยนักลงทุนจะสามารถซื้อและขายหน่วยลงทุนได้เป็นรายเดือน และมีการกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำที่ลดลง อย่างไรก็ตาม กองทุนรวม Private Assets แบบ Semi-Liquid นี้ยังจัดเป็นกองทุนประเภทซับซ้อน ดังนั้น ผู้ลงทุนรายบุคคลที่จะสามารถลงทุนได้จะต้องมีคุณสมบัติเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษตามเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนดเท่านั้น
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_11957
Medical
ยาออกซาโพรซินได้รับการขึ้นทะเบียนยาเมื่อปีใด
A. พ.ศ.2524 B. พ.ศ.2522 C. พ.ศ.2523 D. พ.ศ.2525
ข้อที่ถูกต้องคือ D. เพราะว่า ยาออกซาโพรซินได้รับการขึ้นทะเบียนยาเมื่อปี ค.ศ.1982 พ.ศ.2525 รูปแบบเภสัชภัณฑ์เป็นยาชนิดรับประทาน ซึ่งตัวยาสามารถดูดซึมจากระบบทางเดินอาหารเข้าสู่ร่างกายได้ถึงประมาณ 95 และในกระแสเลือด ยาจะเข้ารวมตัวกับพลาสมาโปรตีนได้ประมาณ 99 การทำลายโครงสร้างเคมีของยานี้เกิดที่ตับเป็นส่วนมาก ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้ตัวยาออกซาโพรซินอยู่ในร่างกายมนุษย์ได้นานเกือบ 2 วัน ร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 40–54 ชั่วโมง เพื่อขับยานี้ออกจากกระแสเลือดโดยผ่านทิ้งไปกับปัสสาวะและอุจจาระ ข้อดีของยาออกซาโพรซินประการหนึ่งคือ รับประทานยาเพียงวันละ 1 ครั้งก็สามารถควบคุมอาการปวดอักเสบของผู้ป่วยได้แล้ว อย่างไรก็ตามการใช้ยานี้ต่อเนื่อง เป็นเวลานานๆ สามารถสร้างผลข้างเคียงที่รุนแรง และต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เช่น เกิดภาวะหัวใจวาย เส้นโลหิตหลอดเลือดในสมองตีบหรือแตกโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้เช่นเดียวกับยา NSAIDs ตัวอื่นๆ ทั้งนี้ มีผู้ป่วยบางกลุ่มที่แพทย์ ไม่แนะนำ ให้ใช้ยาออกซาโพรซิน เช่น ผู้ที่มีประวัติแพ้ยานี้ หรือแพ้ยาในกลุ่ม NSAIDs ผู้ที่เพิ่งรับการผ่าตัดหัวใจมาใหม่ๆ สตรีที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ และเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีลงมา จัดเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงรุนแรงต่อการใช้ยาออกซาโพรซิน จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาออกซาโพรซินกับผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว ต้องเพิ่มความระวังเป็นอย่างมากหากต้องใช้ยาออกซาโพรซินกับผู้ป่วยโรคไต โรคตับ โรคเบาหวาน โรคแผลในทางเดินอาหารเช่น แผลในกระเพาะอาหาร ด้วยตัวยาสามารถทำให้อาการของโรคดังกล่าวทวีความรุนแรงได้มากยิ่งขึ้น
เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_22089
Medical
โปรดสรุปบทความ การกดจุดบนใบหูตามหลักการแพทย์แผนจีน
กดจุดบนใบหู เพื่อลดความดันโลหิตสูง หมู่นี้เป็นยังไงนายห้าง สบายดีไหม จะสบายได้ยังไง เงียบเหงา ค้าขายก็ไม่ดีเลย ถ้าไม่ใช่ของกินของใช้ที่จำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่ซื้อ ก็ดีนี่ ต้องช่วยประหยัดกันหน่อย เวลานี้เป็นลูกหนี้ต่างประเทศกันคนละ 3000 กว่าบาทแล้วนะ ผมว่าก็ขายของที่จำเป็นมากๆหน่อยซิ ใช่ แต่เรามันการค้าขนาดกลางเงินทุนก็กู้เขามา ตอนนี้ต้องจ่ายดอกเบี้ยทุกวัน สินค้าในร้านเยอะแยะก็เครดิตเขาไว้ เดี๋ยวนี้เขาก็ให้เวลาเครดิตน้อยกว่าแต่ก่อน อย่างนี้ก็แย่ซินะ แย่ ค้าขายไม่ดีอย่างเดียวยังไม่พอ หมู่นี้ต้องใช้สมองมากผิดปกติ อารมณ์ก็เสียอยู่เรื่อย เห็นหมอ บอกว่าเป็นความดันโลหิตสูงอีก ให้ระมัดระวังสุขภาพ ให้ฟักผ่อน อย่าคิดมาก ตอนนี้ก็กินยาเป็นประจำ เฮ้อ…กลุ้ม ระวังสุขภาพหน่อย วัตถุมันของนอกกาย ถ้าไม่มีคน มีวัตถุก็ไม่มีประโยชน์ มันก็จริง แต่มันคิดไม่ตก คงเป็นผลกรรมแต่ปางก่อนมั่ง อ้าว…เป็นงั้นไป ครับ…เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งเงินเฟ้อและเงินตึงขึ้นพร้อมๆ กันเป็นผลให้ค่าของเงินลดลง ของราคาแพงขึ้น ขณะเดียวกันกำลังซื้อของประชาชนก็ลดน้อยลง ทำให้ต้องเลือกซื้อสินค้าที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต ธุรกิจบางอย่างที่ผลิตสินค้าที่ไม่ค่อยจำเป็น และกู้เงินเขามาสู้ดอกเบี้ยไม่ไหวก็ต้องล้มละลายไปกันเป็นแถวๆ ในสภาพเช่นนี้ จะห้ามไม่ให้คิดก็คงยาก อย่าว่าแต่นักธุรกิจเลย เราๆ ท่านๆ ก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเศรษฐกิจและสังคมเช่นกัน ถ้าเป็นคนคิดมากก็คงไม่แคล้ว หรืออาจเป็นโรคประสาทไปเลยก็ได้ เอาละ…ถ้าใครตรวจพบว่ามีความดันโลหิตสูง อาจจะลองวิธีการกดนวดใบหู เพื่อลดความดันเลือดดูก็ได้ ทางแพทย์จีนถือว่าหูนั้นมีรูปร่างเหมือนทารกที่อยู่ในท้องแม่ ดูรูปที่ 1-3 การกดนวดหรือปักเข็มหรือลนยา บนจุดใดจุดหนึ่งบนใบหู สามารถรักษาโรคที่เกิดขึ้นกับอวัยวะนั้นๆ ได้ นอกจากนี้จุดกดเจ็บบนใบหูยังสามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคได้อีกด้วย เช่น ถ้าปวดท้องโรคกระเพาะ เมื่อกดบนดกระเพาะอาหารบนใบหูก็จะมีการสะท้อนเจ็บตรงจุดนั้น การกดนวดใบหู ตำแหน่ง ร่องสำหรับลดความดันโลหิตซึ่งอยู่ที่หลังหู ดูรูปที่ 4 วิธีกด ใช้หัวแม่มือทั้งสองข้างกดลงบนร่องสำหรับลดความดันหลังหู พร้อมๆ กับกำนิ้วทั้งสี่ที่เหลือ แล้วใช้ข้อด้านข้างของนิ้วชี้ที่กำกับไว้กดบนใบหูด้านหน้า ดูรูปที่ 5 ใช้นิ้วหัวแม่มือกดและถูนวดเบาๆ ประมาณ 2-3 นาที อาจทำซ้ำ 2-3 ครั้งติดต่อกันก็ได้ จนกว่าอาการจะดีขึ้น หมายเหตุ หลังจากทำเช่นนี้แล้ว ถ้ามีเครื่องวัดความดัน ควรวัดความดันโลหิตดูด้วย เพราะถ้าความดันโลหิตไม่ลดลงเป็นปกติละก็ จะต้องกินยาลดความดันโลหิตประกอบด้วย อย่าใช้วิธีกดนวดหูเพียงอย่างเดียว ความจริงการรักษาโรคด้วยวิธีนี้ มีบันทึกไว้ในหนังสือ หวงตี้เน่ยจิงซู่เวิ่น ซึ่งเป็นตำราแพทย์จีนที่เขียนมานานกว่า 2 พันปีแล้ว สมัยต่อมาก็มีการรักษาโรคด้วยวิธีนี้เช่นกัน แต่ก็ไม่ค่อยเป็นแพร่หลาย และเมื่อประมาณ 20 ปีนี้เอง จีนได้ฟื้นฟูและทำการศึกษาค้นคว้ากันอย่างจริงจัง จนเป็นที่แพร่หลายในประเทศเขา เมื่อวิธีการรักษาแบบนี้มีประโยชน์ อีกทั้งยังทำได้ง่ายๆ และประหยัด เราก็น่าจะลองใช้ดู ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองอย่างทุกวันนี้ ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน เป็นวิธีที่ดีที่สุด…ใช่ไหมครับ
ถ้าใครตรวจพบว่าตัวเองความดันโลหิตสูง อาจจะลองวิธีการกดนวดใบหู เพื่อลดความดันเลือดดูก็ได้ ทางแพทย์จีนถือว่าหูนั้นมีรูปร่างเหมือนทารกที่อยู่ในท้องแม่ การกดนวดหรือปักเข็มหรือลนยาบนจุดใดจุดหนึ่งบนใบหู สามารถรักษาโรคที่เกิดขึ้นกับอวัยวะนั้นๆ ได้ นอกจากนี้จุดกดเจ็บบนใบหูยังสามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคได้อีกด้วย เช่น ถ้าปวดท้องโรคกระเพาะ เมื่อกดบนดกระเพาะอาหารบนใบหูก็จะมีการสะท้อนเจ็บตรงจุดนั้น การกดนวดใบหู ตำแหน่ง ร่องสำหรับลดความดันโลหิตซึ่งอยู่ที่หลังหู ส่วนวิธีกด ให้ใช้หัวแม่มือทั้งสองข้างกดลงบนร่องสำหรับลดความดันหลังหู พร้อมๆ กับกำนิ้วทั้งสี่ที่เหลือ แล้วใช้ข้อด้านข้างของนิ้วชี้ที่กำกับไว้กดบนใบหูด้านหน้า ใช้นิ้วหัวแม่มือกดและถูนวดเบาๆ ประมาณ 2-3 นาที อาจทำซ้ำ 2-3 ครั้งติดต่อกันก็ได้ จนกว่าอาการจะดีขึ้น หลังจากทำเช่นนี้แล้ว ถ้ามีเครื่องวัดความดัน ควรวัดความดันโลหิตดูด้วย เพราะถ้าความดันโลหิตไม่ลดลงเป็นปกติละก็ จะต้องกินยาลดความดันโลหิตประกอบด้วย อย่าใช้วิธีกดนวดหูเพียงอย่างเดียว ความจริงการรักษาโรคด้วยวิธีนี้ มีบันทึกไว้ในหนังสือ หวงตี้เน่ยจิงซู่เวิ่น ซึ่งเป็นตำราแพทย์จีนที่เขียนมานานกว่า 2 พันปีแล้ว สมัยต่อมาก็มีการรักษาโรคด้วยวิธีนี้เช่นกัน แต่ก็ไม่ค่อยเป็นแพร่หลาย และเมื่อประมาณ 20 ปีนี้เอง จีนได้ฟื้นฟูและทำการศึกษาค้นคว้ากันอย่างจริงจัง จนเป็นที่แพร่หลายในประเทศ
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_11154
Medical
ช่วยสรุปเรื่อง ฮอร์โมนเพศชาย ได้ไหม
ฮอร์โมนจากอัณฑะ Testicular hormones กายวิภาคและสรีรวิทยาระบบต่อมไร้ท่อ Anatomy and physiology of endocrine system กายวิภาคและสรีรวิทยาอวัยวะสืบพันธุ์ชาย Anatomy and physiology of male reproductive organ ฮอร์โมนเพศ Sex hormone หรือ Sex steroid หรือ Gonadal steroid ฮอร์โมนเพศชาย Male sex hormone หรือ แอนโดรเจน Androgen อนาบอลิก-แอนโดรจีนิกสเตียรอยด์ Anabolic-androgenic steroids เทสทอสเทอโรน Testosterone ต่อมใต้สมอง Pituitary gland ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง Pituitary hormones ฮอร์โมนจากไฮโปธาลามัส Hypothalamus hormones อัณฑะเป็นอวัยวะมีเฉพาะเพศชาย มี2ข้างคือซ้ายและขวา ฮอร์โมนจากอัณฑะ ฮอร์โมนอัณฑะ หรือ อัณฑะฮอร์โมน Testicular hormoneหรือ ฮอร์โมนสร้างจากอัณฑะHormones secreted by testis คือฮอร์โมนเพศชายAndrogensซึ่งฮอร์โมนเพศชายในร่างกายส่วนใหญ่สร้างจากอัณฑะ ส่วนน้อยสร้างจากต่อมหมวกไต และจากเนื้อเยื่อทั่วไปที่เรียกว่า อวัยวะเนื้อเยื่อส่วนปลายPeripheral organstissuesเนื้อเยื่ออวัยวะที่อยู่นอกช่องท้องและช่องอก ฮอโมนเพศชายเกือบทั้งหมดในร่างกาย คือ เทสทอสเทอโรน หรือ เทสโตสเตอโรนTestosterone ดังนั้นทั่วไป เมื่อกล่าวโดยไม่ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นฮอร์โมนเพศชายชนิดใด จะเรียกรวมฮอรโมนเพศชายว่า Testosteroneใช้สลับไป-มากับAndrogen เช่นกัน ซึ่งการสร้างฮอร์โมนเพศของอัณฑะอยู่ในการกำกับดูแลของ สมองไฮโปธาลามัส และของต่อมใต้สมอง Testosterone มีหน้าที่หลากหลาย ที่สำคัญคือการคงรูปลักษณ์ของการเป็นเพศชาย โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนแปลจากวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่น ซึ่งหน้าที่สำคัญของ Testosterone ได้แก่ การพัฒนาอวัยวะเพศชาย ขนหนวดเคราขนที่อวัยวะเพศ เสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ เสริมสร้างรูปร่างของลูกกระเดือก เสียง ความรู้สึกทางเพศ การสร้างอสุจิ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เพิ่มความสูง Androgens ส่วนน้อยจะสร้างได้จาก รังไข่ในเพศหญิง ต่อมหมวกไต จะถูกเปลี่ยนโดยเนื้อเยื่อส่วนปลายPerpheral tissues เนื่อเยื่อที่ไม่ได้เป็นเนื้อเยื่ออวัยวะที่อยู่ในช่องอกและช่องท้อง ไปเป็นTestosterone ชนิด Dihydrotestosterone ย่อว่า DHT อีกชื่อคือ 5 alpha –dihydrotestosteroneย่อว่า 5 alpha DHT DHT เป็นTestosteroneที่ออกฤทธิ์แรงและยังเป็นชนิดที่ใช้ในการพัฒนาความเป็นเพศชายในช่วงตั้งครรภ์และการเข้าสู่วัยรุ่น ทั้งนี้ อัณฑะยังสร้างฮอร์โมนอีกชนิด ชื่อ อินฮิบินInhibin ซึ่งเป็นฮอร์โมนส่วนน้อยมากที่อัณฑะสร้าง และไม่ค่อยมีความสำคัญในการคงลักษณะเพศชาย โดยมีหน้าที่ยับยังการหลั่งฮอร์โมน FSH จากต่อมใต้สมองที่กระตุ้นการสร้างอสุจิ Inhibinแบ่งย่อยเป็น 2ชนิดที่ทำงานเสริมกัน คือ Inhibin A และ Inhibin B ทั้งนี้ Inhibin สามารถสร้างได้จากรังไข่ในเพศหญิงด้วย และ Inhibin จะสูงขึ้นในโรคดาวน์ซินโดรม การตรวจฮอร์โมนนี้ในเลือดในช่วงมารดาตั้งครรภ์จึงช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคนี้ได้ อนึ่ง อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความ เรื่อง ต่อมใต้สมอง เรื่องฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง เรื่อง ไฮโปธาลามัส และเรื่อง ฮอร์โมนจากไฮโปธาลามัส
Hormones secreted by testis คือฮอร์โมนเพศชายAndrogensซึ่งฮอร์โมนเพศชายในร่างกายส่วนใหญ่สร้างจากอัณฑะ ส่วนน้อยสร้างจากต่อมหมวกไตฮอโมนเพศชายเกือบทั้งหมดในร่างกาย คือ เทสทอสเทอโรนการสร้างฮอร์โมนเพศของอัณฑะอยู่ในการกำกับดูแลของ สมองไฮโปธาลามัส และของต่อมใต้สมอง Testosterone มีหน้าที่หลากหลาย ที่สำคัญคือการคงรูปลักษณ์ของการเป็นเพศชาย การพัฒนาอวัยวะเพศชาย ขนหนวดเคราขนที่อวัยวะเพศ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_26937
Medical
ผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ที่มีขนาดใหญ่หรือมีการลุกลามติดอวัยวะข้างเคียงมาก เหมาะกับการผ่าตัดแบบส่องกล้องหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: การผ่าตัดแบบส่องกล้องมีข้อจำกัดในแง่ของขนาดของเนื้องอกและระดับการลุกลามของมะเร็ง เนื้องอกขนาดใหญ่หรือมะเร็งที่ลุกลามติดอวัยวะข้างเคียงมาก อาจจะผ่าตัดผ่านกล้องได้ยาก ศัลยแพทย์อาจไม่สามารถมองเห็นภาพรวมของเนื้องอกและบริเวณโดยรอบได้ชัดเจน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัด เพิ่มโอกาสที่การผ่าตัดจะไม่สำเร็จ ใช้เวลานานกว่า ทางเลือก: การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง การรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น เคมีบำบัด ฉายรังสี หรือการรักษาแบบประคับประคอง ข้อดีของการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง: -ศัลยแพทย์สามารถมองเห็นภาพรวมของเนื้องอกและบริเวณโดยรอบได้ชัดเจน -ช่วยให้ผ่าตัดเนื้องอกขนาดใหญ่หรือมะเร็งที่ลุกลามได้สะดวก -ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน -เพิ่มโอกาสที่การผ่าตัดจะสำเร็จ ข้อเสียของการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง: -แผลผ่าตัดมีขนาดใหญ่ -เจ็บปวดหลังผ่าตัดมากกว่า -เสียเลือดมากกว่า -ฟื้นตัวใช้เวลานานกว่า สรุป: ผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ที่มีขนาดใหญ่หรือมีการลุกลามติดอวัยวะข้างเคียงมาก ไม่เหมาะกับการผ่าตัดแบบส่องกล้อง ศัลยแพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะของมะเร็ง สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ความชอบของผู้ป่วย คำแนะนำ: ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมระบบทางเดินอาหาร เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_567
Finance
จงสรุปเรื่อง "Curve Finance: กระดูกสันหลังแห่งโลก DeFi"
null
Curve Finance เป็นแอปพลิเคชันรูปแบบกระจายศูนย์​ (decentralized applications: DApp) ที่ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการแลกเปลี่ยนโทเคนในกลุ่ม stablecoins โดยเฉพาะ โดยใช้กลไกการแลกเปลี่ยนแบบ liquidity pools นั่นคือ Curve Finance จะเปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถนำโทเคนของตนเองมาฝากเอาไว้กับแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับผู้ใช้งานคนอื่นที่ต้องการแลกเปลี่ยนโทเคน โดยผู้ฝากจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมการเทรด และอาจจะมีโทเคนอื่น ๆ เพิ่มเติม โปรเจกต์ Curve Finance ก่อตั้งโดย Michael Egorov ซึ่งรับหน้าที่เป็น CEO ของโปรเจกต์ โดยเขามีประสบการณ์ทำงานเป็น CTO ของ NuCypher ซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่มุ่งเน้นการสร้างระบบการเข้ารหัสสำหรับแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยเฉพาะแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) ในเดือนพฤศจิกายน 2019 คุณ Michael ได้สร้างกระดานเทรดกระจายศูนย์ (decentralized exchange: DEX) ของตนเองขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า StableSwap และในปี 2020 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Curve Finance ซึ่งถือว่าเป็นกระดานเทรดกระจายศูนย์ตัวแรก ๆ ที่ถูกสร้างขึ้น และแอปพลิเคชันกระดานเทรดกระจายศูนย์หลาย ๆ ตัวที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากนั้น ได้รับอิทธิพลจากชุดโปรแกรมของ Curve Finance และมีแอปพลิเคชันบางตัวที่ใช้งานสภาพคล่องของ Curve Finance ด้วย ตัวกระดานเทรดของ Curve Finance ในช่วงเริ่มต้นเปิดให้ใช้งานบนบล็อกเชนของ Ethereum จากนั้นมีการเปิดใช้งานเพิ่มในบล็อกเชนอื่นเรื่อย ๆ จนในเปิดให้ใช้งานอยู่บน 12 บล็อกเชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบล็อกเชนที่มีการใช้งาน Ethereum Virtual Machine (EVM) เช่น Arbitrum, Optimism, Polygon, และ Avalanche รองรับการเชื่อมต่อผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Metamask, Coinbase Wallet หรือกระเป๋าอื่น ๆ ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ WalletConnect ก็ได้หมด หรือจะเชื่อมต่อกับ hardware wallet อย่าง Trezor ก็สามารถทำได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีจุดเริ่มต้นจากการเป็นกระดานเทรดสำหรับ stablecoin โดยเฉพาะ แต่ Curve Finance ได้เพิ่ม liquidity pool สำหรับโทเคนประเภทอื่น ๆ แล้ว จุดเด่นอย่างหนึ่งของ Curve Finance คือ หน้าเว็บที่เรียบง่าย ไม่มีฟังก์ชันที่ซับซ้อน มีแต่เพียงฟังก์ชันที่จำเป็นต่อการทำงานเท่านั้น และหน้าเว็บของ Curve ยังชวนให้ผู้ใช้งานหลาย ๆ คนหวนรำลึกถึงอดีต ด้วยเค้าโครงที่เหมือนหน้าเว็บในปี 2000 ไม่มีผิดเพี้ยน
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_736
Finance
หุ้น Top-Ten ที่คิดว่าอยู่ใน Corner จำนวน 4 ตัว เมื่อลองมาคำนวณดู พบข้อมูลพื้นฐานอะไรบ้าง
null
หุ้น “Top-Ten” หรือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดวัดจาก Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นของบริษัท 10 อันดับแรกของตลาดหุ้นไทย มีหุ้นที่น่าจะอยู่ใน Corner ไม่น้อยกว่า 3-4 ตัว และนั่นก็คือหุ้นที่คิดว่ามีมูลค่าสูงกว่าพื้นฐานทางธุรกิจอย่างชัดเจน และเหตุผลที่ราคาหุ้นสูงมากนั้นส่วนสำคัญมาจากการที่มีนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นใครซึ่งรวมถึงเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยได้เข้าไปซื้อหรือไม่ขายหุ้นออกไปแม้ว่าราคาหุ้นจะสูงเกินพื้นฐานไปมาก และการซื้อหรือไม่ขายนั้น มีมากกว่าความต้องการที่จะขายมาก ส่วนหนึ่งเนื่องจากปริมาณหุ้นที่จะขายมีจำกัด บางทีแค่ไม่เกิน 20-30% ของหุ้นทั้งหมดหรือที่เรียกว่าหุ้นมี “Free Float” ต่ำ หุ้น Top-Ten ที่คิดว่าอยู่ใน Corner จำนวน 4 ตัว เมื่อลองมาคำนวณดู พบข้อมูลพื้นฐาน ดังต่อไปนี้ 1) มี Market Cap. โดยเฉลี่ยหุ้นละประมาณ 779,000 ล้านบาท 2) รายได้ “ปกติ” ต่อปีในปี 2565 โดยประมาณจากตัวเลขสูงสุดที่เคยทำได้เฉลี่ยปีละ 72,783 ล้านบาท 3) กำไรต่อปี ประมาณจากกำไรสูงสุดที่ทำได้เฉลี่ยปีละ 13,824 ล้านบาท 4) ค่า P/E ของหุ้นเฉลี่ยถ้าคิดจากตัวเลขเฉลี่ยของข้อ 1 และข้อ 3 คือ ประมาณ 56 เท่า แต่ถ้าคิดโดยหาค่า P/E ของแต่ละตัวแล้วนำมาเฉลี่ยก็จะได้ค่า PE ประมาณ 59 เท่า 5)ปันผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 0.33% ต่อปี 6) ที่เป็นสัญญาณบอกว่าอาจจะเกิดการ Corner หุ้นก็คือ Free Float ของหุ้นที่วัดจากผู้ถือหุ้นที่ถือต่ำกว่า 5 อันดับแรกเป็นต้นไปว่ามีกี่เปอร์เซ็นต์ ก็พบว่าเท่ากับ 26%
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_41764
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง วิธีเลือกตลาดหุ้นลงทุน ได้ไหม
ด้วยโลกของการลงทุนที่เปิดกว้างขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนสำหรับนักลงทุนไทย ประกอบกับการที่ตลาดหุ้นไทยมีผลงานการลงทุนที่ “ย่ำแย่” คือแทบไม่ให้ผลตอบแทนเลยมาเป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว การเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนไปยังตลาดอื่น ๆ ทั่วโลกจึงเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและนักลงทุนจำนวนไม่น้อยก็ได้เริ่มออกไปลงทุน หลาย ๆ คนได้ผลตอบแทนที่ดีมากในช่วงเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม มีคำถามว่าตลาดหุ้นที่ไปลงนั้น จะดีต่อไปอย่างยั่งยืนหรือเปล่า เรามีทางวิเคราะห์ว่าตลาดไหนน่าลงทุนในระยะยาว เป็นสิบ ๆ ปีหรืออย่างน้อย 5 ปีขึ้นไปโดยที่มีความเสี่ยงต่ำที่จะขาดทุนหรือให้ผลตอบแทนน้อยกว่าในตลาดหุ้นไทยสำหรับผมเอง มีวิธีการคิดดังต่อไปนี้ ประเด็นแรกก็คือ เราจะต้องดูการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศก่อนว่าจะเติบโตเร็วและยาวนานไปอย่างน้อยก็ต้อง 10 ปีขึ้นไปหรือเปล่า เพราะเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ นั้นก็มักจะทำให้ตลาดหุ้นเติบโตขึ้นตามกันไป ประเด็นที่สองก็คือ ขนาดของเศรษฐกิจก็จะต้องใหญ่พอที่จะรองรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นที่จะเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ และในยุคใหม่ของโลกในวันนี้ ประเทศที่มีคนน้อยเกินไปก็มักจะไม่สามารถที่จะมีเศรษฐกิจที่ใหญ่มากได้ เพราะคนก็คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของประเทศในโลกปัจจุบันที่ทรัพยากรอื่น ๆ นั้นสามารถเคลื่อนไหวไปได้อย่างสะดวกทั่วโลก สูตรของผมสำหรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวก็คือ หนึ่ง ประเทศจะต้องมีระบบการปกครองที่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจ สอง จะต้องมีกำลังคนหรือแรงงานที่เป็นหนุ่มสาวเพิ่มขึ้น และสามก็คือ คุณภาพของคนจะต้องดี อาจจะวัดจาก IQ และการศึกษาของคนในประเทศนั้น ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่ง ศักยภาพของประเทศก็จะจำกัด โตได้ถึงจุดหนึ่งก็จะหยุด ด้วยกรอบความคิดดังกล่าว ผมได้นำมาใช้ในการประเมินเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของหลาย ๆ ประเทศออกมาเป็น 3 กลุ่ม เรียกว่า ประเทศหรือตลาดหุ้นแห่งอดีต ปัจจุบัน และประเทศหรือตลาดหุ้นแห่งอนาคต โดยพวกที่เป็น “อดีต” นั้นก็คือประเทศและตลาดหุ้นที่จะไม่เติบโตและจะค่อย ๆ ถดถอยและมีความสำคัญในโลกน้อยลงเรื่อย ๆ พวกที่เป็น “ปัจจุบัน” นั้น ยังเป็นสังคมที่ยิ่งใหญ่และมีบทบาทสูง หลายแห่งก็ยังอาจจะเติบโตต่อไปได้บ้าง แต่หลายแห่งก็อาจจะเริ่มถดถอยลงอย่างช้า ๆ ส่วนประเทศและตลาดหุ้นแห่ง “อนาคต” นั้น ปัจจุบันอาจจะยังไม่ยิ่งใหญ่แต่การเติบโตเร็วมากและจะกลายเป็นประเทศหรือตลาดที่มีความสำคัญมากขึ้นมากในอนาคต ในการแบ่งกลุ่มนั้น ผมจะอาศัยดัชนีตลาดหุ้นของประเทศเป็นตัววัด ผลงานการเติบโตของดัชนีตลาดหุ้นระยะยาวนั้น ผมคิดว่าสามารถบอกถึงสถานะของประเทศได้ แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่บอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว อนาคตอาจจะไม่เหมือนกับอดีต แต่ในกรณีของประเทศที่ก็คือ “คน” ผมคิดว่าคนนั้น ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว อายุขัยและอัตราการเกิดเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ เรื่องของคุณภาพก็ไม่ได้เปลี่ยนเพราะส่วนใหญ่แล้วก็กำหนดโดยยีนซึ่งเปลี่ยนช้ามาก ส่วนในเรื่องของ “ระบบ” การปกครองเองนั้น แม้ว่าจะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้เร็วหรือรุนแรง แต่ในโลกยุคปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารกระจายไปทั่วโลกโดยที่แทบไม่มีต้นทุน ระบบที่จะขัดแย้งกับความต้องการของคนก็จะอยู่ได้ยากมาก ดังนั้น สถานะของประเทศและตลาดหุ้นที่เราเห็นในวันนี้ก็น่าจะดำเนินต่อไปอีกอย่างน้อยก็ 10 ปีขึ้นไป ประเทศหรือตลาดหุ้นกลุ่มแรกก็คือ “Past” หรืออดีต ประเทศแรกก็คือ อังกฤษ นี่คือประเทศที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในศตวรรษที่ 19 แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 แล้ว อังกฤษก็ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ดัชนีตลาดหุ้นฟุตซี่ของลอนดอนตั้งแต่ปี 1984 ถึงปัจจุบันคือต้นเดือนมีนาคม 2021 คิดเป็นเวลาประมาณ 36.9 ปี เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% แบบทบต้น อีกประเทศหนึ่งก็คือ ญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงที่ผมยังเป็นเด็กอายุ 10 ขวบจนถึงอายุ 37 ปี หรือระหว่างปี 1963 ถึง 1990 เคยเป็นประเทศ “แห่งอนาคต” คนเชื่อว่าญี่ปุ่นจะ “ครองโลก” และสามารถท้าทายอเมริกาทางด้านเศรษฐกิจได้ ดัชนีนิกเกอิปรับตัวจาก 1,200 จุดเป็น 38,900 จุด ให้ผลตอบแทนปีละ 12.6% แบบทบต้นในช่วงเวลา 27 ปี อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นประเทศและตลาดหุ้นก็ตกต่ำลงมาตลอด อานิสงค์จากคนที่แก่ตัวลง ถึงวันนี้ ดัชนีอยู่ที่ 28,900 จุด หรือลดลง 10,000 จุด ในช่วงเวลา 30 ปี โดยรวมแล้ว ในช่วงเวลา 58 ปี ดัชนีให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 5.6% ใกล้เคียงกับของอังกฤษ ประเทศหรือตลาดหุ้นที่เป็น “Present” หรือ ปัจจุบัน ประเทศแรกก็คือ อเมริกา นี่คือประเทศหมายเลขหนึ่งของโลกในแทบจะทุกด้านตั้งแต่เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ดัชนีดาวโจนส์ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นจากประมาณ 965 จุดเป็น 31,392 คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 9.1% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้น “ทั้งประเทศ” เติบโตขึ้นจาก 130 จุดเป็น 3,870 จุด ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกันที่ 8.9% ประเทศที่สองคือเยอรมัน นี่คือประเทศที่ยิ่งใหญ่และมีพลังแข็งแกร่งที่สุดในยุโรปแม้ว่าจะแพ้สงครามโลกมาทั้งสองครั้ง ดัชนีตลาดหุ้น DAX จากปี 1988 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 33 ปีให้ผลตอบแทนปีละ 8.6% แบบทบต้น พอ ๆ กับดัชนี S&P 500 ประเทศที่ 3 และ 4 คือเกาหลีและไต้หวัน นี่คือประเทศที่ยุคหนึ่งถูกเรียกว่า “ประเทศอุตสาหกรรมใหม่” ที่ถึงวันนี้มีศักดิ์ศรีไม่แพ้ “ประเทศอุตสาหกรรม” หรือประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย ดัชนีตลาดหุ้นของเกาหลีตั้งแต่ปี 1980 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 41 ปี เพิ่มขึ้นจาก 100 เป็น 3,082 จุด ให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.7% ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไต้หวันจากปี 1979 ถึง ปัจจุบันเป็นเวลา 42 ปี เพิ่มขึ้นจาก 451 เป็น 16,212 จุด ให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.9% ใกล้เคียงกับของเกาหลีมาก และใกล้เคียงกันทุกประเทศในกลุ่มประเทศ “ปัจจุบัน” ประเทศหรือตลาดหุ้นแห่งอนาคตหรือ “Future” ประเทศแรกก็ต้องยกให้จีน ซึ่งก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดจากประเทศ “ยากจนมาก” แม้ในสายตาของคนไทยเมื่อประมาณแค่ 30 ปีก่อน ปัจจุบันนี้คนจำนวนมากเชื่อว่าจีนจะสามารถแข่งกับอเมริกาได้ และศตวรรษที่ 21 อาจจะเป็นของจีน ดัชนีเซี่ยงไฮ้จากปี 1991 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 30 ปีเพิ่มขึ้นจาก 100 เป็น 3,577 จุดให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 12.6% ขณะที่ดัชนีเสิ่นเจิ้น จากปี 1995 ถึงวันนี้เป็นเวลา 25.4 ปีเพิ่มขึ้นจาก 100 เป็น 2,332 จุด หรือเพิ่มขึ้นปีละ 13.2% แบบทบต้น ประเทศ “แห่งอนาคต” อีก 2 ประเทศนั้นผมคิดว่าน่าจะเป็นเวียตนามที่เศรษฐกิจร้อนแรงมากช่วงเร็ว ๆ นี้ หลังจากเปิดประเทศและปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจเป็นทุนนิยมตามแบบจีน ดัชนีตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2000 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 21 ปี เพิ่มขึ้นจาก 100 เป็น 1,180 หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 12.7% ใกล้เคียงกับของจีน อีกประเทศหนึ่งก็คือ อินเดีย ซึ่งเศรษฐกิจเติบโตเร็วขึ้นมากและจากการที่เป็นประเทศที่มีคนมากและจะมากที่สุดในโลกในอนาคตอันใกล้ ดัชนีหุ้นตั้งแต่ปี 1979 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 42 ปี ปรับตัวขึ้นถึงปีละ 16% แบบทบต้น ในกรณีของตลาดหุ้นไทย ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นจากปี 1975 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 46 ปี จาก 100 เป็น 1,544 จุด ให้ผลตอบแทนปีละเพียง 6.1% แบบทบต้น ดีกว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพียงเล็กน้อย ผมเองก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดแห่ง “อดีต” หรือไม่ หรือเรายังเป็นตลาดแห่ง “ปัจจุบัน” อยู่ เพียงแต่ว่าช่วงหลายปีมานี้เรามีปัญหาที่ทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไม่ไปไหนเลยทำให้ผลตอบแทนดัชนีตลาดดูต่ำลง อย่างไรก็ตาม เราคงไม่สามารถเป็นตลาดแห่ง “อนาคต” ได้แน่ เหตุผลก็เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการที่สังคมไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วคล้าย ๆ ญี่ปุ่น มองดูเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ดัชนีในช่วง 39 ปีจากปี 1982 ให้ผลตอบแทนแค่ 4.2% สิงคโปร์จากปี 1988 เป็นเวลา 33 ปียิ่งให้ผลตอบแทนที่แย่กว่าคือเพียง 4% แบบทบต้น ทั้งสองแห่งนี้ผมคิดว่าเกิดจากการที่เป็นประเทศเล็กมีคนน้อยเกินไป อีกแห่งคืออินโดนีเซีย ซึ่งในช่วง 31 ปี จากปี 1990 ให้ผลตอบแทนปีละ 7.8% แบบทบต้น น้อยกว่าประเทศหรือตลาดที่เป็น Present เล็กน้อย ดังนั้นผมคิดว่าอินโดนีเซียอาจจะพอมีอนาคตและไม่ใช่เป็น Past แน่นอน กล่าวโดยสรุปก็คือ พวกตลาดหุ้นที่เป็น Past ผลตอบแทนทบต้นที่คาดหวังระยะยาวอาจจะอยู่ที่ปีละประมาณ 5-6% พวกที่เป็น Present 8-9% และพวกที่เป็น Future 12-13% และไม่ควรลงในประเทศที่เล็กเกินไปเพราะตลาดหุ้นจะไม่ดีแม้ว่าประเทศจะเจริญเติบโตอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย กล่าวโดยสรุปก็คือ พวกตลาดหุ้นที่เป็น Past ผลตอบแทนทบต้นที่คาดหวังระยะยาวอาจจะอยู่ที่ปีละประมาณ 5-6 % พวกที่เป็น Present 8-9 % และพวกที่เป็น Future 12-13 % และไม่ควรลงในประเทศที่เล็กเกินไปเพราะตลาดหุ้นจะไม่ดีแม้ว่าประเทศจะเจริญเติบโตอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย
ดูการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศก่อนว่าจะเติบโตเร็วและยาวนานไปอย่างน้อยก็ต้อง 10 ปีขึ้นไป ขนาดของเศรษฐกิจก็จะต้องใหญ่พอที่จะรองรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นที่จะเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ประเทศที่มีคนน้อยเกินไปก็มักจะไม่สามารถที่จะมีเศรษฐกิจที่ใหญ่มากได้ ประเทศจะต้องมีระบบการปกครองที่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจ จะต้องมีกำลังคนหรือแรงงานที่เป็นหนุ่มสาวเพิ่มขึ้น คุณภาพของคนจะต้องดี อาจจะวัดจาก IQ และการศึกษาของคนในประเทศ ประเทศหรือตลาดหุ้นกลุ่มแรกก็คือ “Past” หรืออดีต ประเทศแรกก็คือ อังกฤษ ประเทศ “แห่งอนาคต”ก็คือ ญี่ปุ่น ประเทศหรือตลาดหุ้นที่เป็น “Present” ก็คือ อเมริกา เยอรมัน เกาหลีและไต้หวัน ประเทศหรือตลาดหุ้นแห่งอนาคตหรือ “Future” ต้องยกให้จีน เวียตนาม เพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ดัชนีในช่วง 39 ปีจากปี 1982 ให้ผลตอบแทนแค่ 4.2% สิงคโปร์จากปี 1988 เป็นเวลา 33 ปียิ่งให้ผลตอบแทนที่แย่กว่าคือเพียง 4% แบบทบต้น ทั้งสองแห่งนี้ผมคิดว่าเกิดจากการที่เป็นประเทศเล็กมีคนน้อยเกินไป ประเทศที่เล็กเกินไป ตลาดหุ้นจะไม่ดีแม้ว่าประเทศจะเจริญเติบโต
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_10123
Medical
ช่วยสรุปเรื่อง "วัตถุประสงค์ของโรงพยาบาล" ให้หน่อยค่ะ
โรงพยาบาลเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้เป็นองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ปรัชญา นโยบายและรูปแบบ การนำองค์กร การบริหารจัดการด้านต่างๆ เป็นของตนเอง มีทีมบุคลากรหลากหลาย สาขาที่มีความรู้ความชำนาญต่างๆ มาอยู่รวมกัน มีเทคโนโลยี และ แนวทางการดูแลส่งเสริมสุขภาพประชาชน ในแบบฉบับของตนเอง ซึ่งลักษณะการ ดำเนินงาน เพื่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ต้องอาศัยการนำ การบริหารองค์กร ที่มีจุดมุ่งมั่นร่วมกัน มีการสื่อความเข้าใจ มีการพัฒนา แนวคิดพัฒนาศักยภาพ ร่วมคิด ร่วมดำเนินงาน เพื่อต่อ ยอดแนวคิด แนวทาง เพื่อพัฒนาการดำเนินงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเวทีนำเสนอประสบการณ์ รูปแบบการดำเนินงาน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งภายในและเครือข่าย ภายนอก เพื่อต่อยอดองค์ความรู้มีการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ สู่ประชาชน เน้นกลวิธีเชิงรุก เน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เพื่อสร้างความตระหนักความเข้าใจ เป็นการเพิ่มศักยภาพ เสริมพลัง ประชาชน ให้สามารถดูแลส่งเสริมสุขภาพของตนเองและครอบครัวและชุมชนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพเชียงใหม่ เป็นโรงพยาบาลของกรมอนามัยได้กำหนดวิสัยทัศน์ ส่งเสริมสุขภาพทุกกลุ่มวัย เป็นเลิศด้านอนำ มัยแม่ และเด็กในภาคเหนือ โรงพยาบาลจึงได้ทำการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (HPH) โรงพยาบาลที่ผ่านมาตรฐานแม่และเด็ก และการพัฒนาและ รับรองคุณภาพ โรงพยาบาล (HA) เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ ซึ่งการพัฒนาดังกล่าว โรงพยาบาลได้ดำเนินการโดย การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ผู้บริหารได้มีจุดมุ่งมั่นที่จะทำงานให้บรรลุวิสัยทัศน์ มีการบริหารเป็นทีม มีการสื่อสารนโยบายต่างๆ ลงสู่ผู้ปฏิบัติงาน มีการพัฒนางานต่างๆ และได้จัดเวทีให้นำเสนอผลงานได้แก่เวที เรื่องเล่าเร้าพลังเวที KM เพื่อการเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตลอดจนการให้บริการโดยเน้นให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพ ซึ่งกระบวนการพัฒนานั้น พยาบาลถือได้ว่าเป็นบุคลากรในทีมสุขภาพที่ทำให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ทั้งนี้เพราะพยาบาลเป็นผู้ใกล้ชิดกับผู้รับบริการมากที่สุด การให้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐา น สามารถตอบสนองความ ต้องการผู้รับบริการ พยาบาลต้องมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการทำงาน และจากการที่พยาบาลมีการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ก็จะเป็นการพัฒนาวิชาชีพ ทำให้องค์กรสามารถอยู่ได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน ส่งผล ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรคือการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ผู้วิจัย จึงมีความสนใจที่จะศึกษาความเป็นองค์กร แห่งการเรียนรู้ตามการรับรู้ของพยาบาล เพื่อนำผลการวิจัยมาเป็นแนวทางในการ ส่งเสริมการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ขององค์กรต่อไป
โรงพยาบาลมีวัตถุประสงค์คือ 1. เพื่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ต้องอาศัยการบริหารองค์กรที่มีจุดมุ่งมั่นร่วมกัน 2. เพื่อพัฒนาการดำเนินงานต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ มีเวทีนำเสนอประสบการณ์ 3. เพื่อแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ทั้งภายในและเครือข่ายภายนอก 4. เพื่อต่อยอดองค์ความรู้สู่ประชาชน เน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม 5. เพื่อสร้างความเข้าใจ เพิ่มศักยภาพ เสริมพลังประชาชนให้สามารถดูแลสุขภาพของตนเอง ครอบครัวและชุมชน
สาธารณสุข (public health)
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_30707
Medical
ผู้หญิงมีโอกาสเป็นไส้เลื่อนมากกว่าผู้ชายหรือไม่? อธิบาย
หลายคนอาจเข้าผิดคิดว่า “ไส้เลื่อน” เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้เฉพาะกับผู้ชายเท่านั้น แต่ความจริงแล้วผู้หญิงก็สามารถเป็นไส้เลื่อนได้ ซึ่งไส้เลื่อนคืออะไร เกิดขึ้นกับผู้หญิงได้อย่างไรนั้น ไปหาคำตอบพร้อมกันกับ อ. นพ.พงศศิษฏ์ สิงหทัศน์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุและเวชบำบัดวิกฤตศัลยกรรม ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กันเลย ! ไส้เลื่อนเกิดจากอะไร ไส้เลื่อนเกิดจากความผิดปกติของผนังช่องท้องที่อ่อนแรงมาตั้งแต่เกิด หรือเกิดจากการที่ผู้ป่วยเคยได้รับการผ่าตัดจนทำให้ผนังช่องท้องบริเวณนั้นอ่อนแอ ในบางกรณีสามารถเกิดขึ้นจากแรงดันที่มากผิดปกติในช่องท้อง เช่น ไอ-จาม ยกของหนัก ทำให้ลำไส้หรือกลุ่มไขมันในช่องท้องบริเวณนั้น เลื่อนออกมาจากตำแหน่งที่เคยอยู่ อาการของไส้เลื่อน ในตอนเริ่มต้นผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนนั้นส่วนใหญ่จะไม่มีอาการเจ็บปวดใด ๆ แสดงออกมาให้เห็นชัดเจน ต้องอาศัยการสังเกตจากลักษณะภายนอกเป็นหลัก เช่น มีก้อนลักษณะตุงนูนยื่นออกมาบริเวณที่เคยผ่าตัด หรือบริเวณขาหนีบ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษาจะเริ่มมีอาการจุก ไปจนถึงเจ็บปวดบริเวณที่มีก้อนตุงนูนออกมาจนถึงขั้นรู้สึกแน่นท้อง ปวดแสบปวดร้อน ซึ่งเป็นอาการในระดับรุนแรงต้องได้รับการผ่าตัดด่วน ไส้เลื่อนเกิดขึ้นได้บริเวณใดบ้าง สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายส่วนของร่างกาย เช่น ไส้เลื่อนจากตำแหน่งที่เคยผ่าตัด ไส้เลื่อนบริเวณสะดือที่เคลื่อนตัวเป็นก้อนนูนออกมาบริเวณกลางหน้าท้องหรือบริเวณสะดือ ไส้เลื่อนขาหนีบทั้งซ้ายและขวาหรือถุงอัณฑะเกิดขึ้นจากความผิดปกติของผนังช่องท้องตั้งแต่เกิด ซึ่งไส้เลื่อนขาหนีบคือบริเวณที่พบได้บ่อยมากที่สุด จนทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า “ไส้เลื่อน” เกิดขึ้นได้ในเฉพาะผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงเป็นไส้เลื่อนได้หรือไม่ นอกจากไส้เลื่อนจะสามารถเกิดขึ้นได้หลายส่วนของร่างกายแล้ว ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชายอีกด้วย แต่จะพบได้ในผู้ชายมากกว่า เนื่องจากบริเวณขาหนีบของผู้ชายจะมีช่องถุงอัณฑะที่อ่อนแรงได้ง่าย ทำให้มีโอกาสเกิดไส้เลื่อนขึ้นมากกว่า ส่วนไส้เลื่อนที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีสาเหตุมาจากการยกของหนัก รวมถึงผ่าตัดหรือผ่าคลอดเนื่องจากการตั้งครรภ์จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องอ่อนแรงจนเกิดไส้เลื่อนขึ้นมาได้ อันตรายที่เกิดจากไส้เลื่อน ไส้เลื่อนเป็นภาวะที่ไม่อันตรายแต่ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานเพราะจะทำให้ลำไส้ทะลักออกมาเยอะจนผนังของช่องท้องเกิดการรัดตัวทำให้ลำไส้ขาดเลือด เนื้อเยื่อเกิดการติดเชื้อและตายในที่สุด ซึ่งในกรณีนี้ผู้ป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉินอย่างเร็วที่สุด เพราะหากผ่าไม่ทันอาจถึงขึ้นเสียชีวิตจากการติดเชื้อได้ ข้อมูลโดย อ. นพ.พงศศิษฏ์ สิงหทัศน์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุและเวชบำบัดวิกฤตศัลยกรรม ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คลิกชมคลิปรายการ “พบหมอรามาฯ – อันตรายจากการใช้ครีมหน้าขาว, ไส้เลื่อนปล่อยทิ้งไว้อันตรายแน่” ได้ที่นี่ YouTube:
แม้ไม่ได้ระบุตัวเลขเปรียบเทียบโอกาสการเป็นไส้เลื่อนระหว่างผู้หญิงและผู้ชายโดยตรง แต่มีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ผู้หญิงมีโอกาสเป็นไส้เลื่อนบางประเภทมากกว่าผู้ชาย 1. ไส้เลื่อนขาหนีบ (Femoral Hernia): พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย สาเหตุหลักมาจาก ช่อง femoral canal ในผู้หญิงมีขนาดเล็กกว่าผู้ชาย ทำให้มีความเสี่ยงต่อแรงดันภายในช่องท้องที่จะดันอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ลำไส้ เลื่อนผ่านช่องนี้จนกลายเป็นไส้เลื่อนได้ง่าย 2. ไส้เลื่อนสะดือ (Umbilical Hernia): พบได้บ่อยในทารกแรกเกิด โดยเฉพาะทารกที่คลอดก่อนกำหนด ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง สาเหตุหลักมาจาก ผนังหน้าท้องบริเวณสะดือ ของกลุ่มบุคคลเหล่านี้มีความอ่อนแอ 3. ไส้เลื่อนแผลผ่าตัด (Incisional Hernia): พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แต่ผู้หญิงมีโอกาสมากกว่าเล็กน้อย สาเหตุหลักมาจาก แผลผ่าตัด ในผู้หญิงมักมีขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย อย่างไรก็ตาม ยังมี ไส้เลื่อนชนิดอื่นๆ ที่พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยโอกาสการเป็นโรคไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น อายุ พฤติกรรม สุขภาพ และสภาวะทางพันธุกรรม สรุป: ผู้หญิงมีโอกาสเป็นไส้เลื่อนบางประเภทมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะไส้เลื่อนขาหนีบ ไส้เลื่อนสะดือ และไส้เลื่อนแผลผ่าตัด สาเหตุหลักมาจากความแตกต่างทางกายวิภาคและสรีรวิทยา แต่ไส้เลื่อนชนิดอื่นๆ พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยโอกาสการเป็นโรคไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_44068
Finance
เศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 มีแนวโน้มฟื้นตัวแบบใด?
ก. ฟื้นตัวแบบรูปตัว V หมายถึง เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดได้ค่อนข้างเร็วและแรง ข. ฟื้นตัวแบบตัว W หมายถึง ฟื้นชั่วคราวแล้วตกกลับลงไปอีกครั้ง (เศรษฐกิจถดถอยซ้ำสอง หรือ Double-Dip Recession) ค. ฟื้นตัวแบบรูปตัว U หมายถึง เศรษฐกิจยังย่ำแย่ต่อเนื่องสักระยะแล้วค่อยฟื้นตัว ง. ฟื้นตัวแบบรูปตัว K หมายถึง เศรษฐกิจฟื้นตัวเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งฟื้นตัวได้ดี แต่อีกกลุ่มหนึ่งยังไม่ฟื้น หรือกระทั่งย่ำแย่ลงต่อเนื่อง
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ง. เพราะว่า เศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 มีแนวโน้มฟื้นตัวแบบรูปตัว K โดยมีหลักฐานสนับสนุนดังนี้ มุมมองภาคธุรกิจ: ธุรกิจส่งออกสินค้าฟื้นตัวได้ดี ขยายตัวร้อยละ 13.1 ในเดือนเมษายน 2564 และคาดว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าสองหลักในปีนี้ แสดงถึงกลุ่มธุรกิจที่ฟื้นตัวได้ดี มุมมองรายได้: ผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากกว่าผู้มีรายได้สูง คนตกงานและคนที่รายได้ลดลงส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย ธนาคารโลกวิเคราะห์ว่า วิกฤตโควิด-19 ทำให้คนจนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 1.5 ล้านคน แสดงถึงกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัวหรือย่ำแย่ลง มุมมองขนาดกิจการ: กิจการขนาดเล็กได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากกว่ากิจการขนาดใหญ่ กิจการขนาดเล็กต้องปิดกิจการหรือลุ้นว่าจะไปต่อได้อีกกี่เดือน ในขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นตัวแทนของธุรกิจขนาดใหญ่ ขยายตัวถึงร้อยละ 230 ในไตรมาสแรกของปีนี้ แสดงถึงกลุ่มที่ฟื้นตัวได้ดี ดังนั้น ตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดคือ เศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 มีแนวโน้มฟื้นตัวแบบรูปตัว K ซึ่งหมายถึง เศรษฐกิจฟื้นตัวเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งฟื้นตัวได้ดี แต่อีกกลุ่มหนึ่งยังไม่ฟื้น หรือกระทั่งย่ำแย่ลงต่อเนื่อง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_3926
Finance
ธนาคารพาณิชย์ไทยจำกัด (SCB) ควรสร้าง Holding Company หรือไม่?
null
ไม่แน่ชัด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ข้อดีของการสร้าง Holding Company: ปลดล็อกการประกอบธุรกิจ: SCB จะสามารถขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคาร เช่น เทคโนโลยี ประกันภัย และการลงทุน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตและสร้างรายได้ใหม่ ๆ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ: Holding Company ช่วยให้ SCB สามารถจัดการธุรกิจที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแยกธุรกิจธนาคารพาณิชย์ออกจากธุรกิจอื่น ๆ ลดความเสี่ยง: Holding Company ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของ SCB โดยจำกัดความรับผิดชอบของบริษัทลูกแต่ละแห่ง ดึงดูดนักลงทุน: Holding Company โครงสร้างธุรกิจที่โปร่งใสและดึงดูดนักลงทุนจากหลากหลายกลุ่ม ข้อเสียของการสร้าง Holding Company: ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น: Holding Company โครงสร้างธุรกิจที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้การกำกับดูแลและควบคุมบริษัทได้ยากขึ้น ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น: Holding Company โครงสร้างธุรกิจที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย ค่าธรรมเนียมที่ปรึกษา และค่าธรรมเนียมการกำกับดูแล ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: Holding Company อาจเผชิญกับความเสี่ยงด้านกฎระเบียบเพิ่มเติม เนื่องจากต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎหมายและข้อบังคับที่แตกต่างกัน ความกังวลด้านการแข่งขัน: Holding Company อาจสร้างความกังวลด้านการแข่งขัน เนื่องจาก SCB อาจจะมีอำนาจตลาดมากขึ้น ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย: ผู้ฝากเงิน: Holding Company อาจส่งผลต่อผู้ฝากเงินในเชิงบวกหรือลบ ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการดำเนินงานของ SCB พนักงาน: Holding Company อาจส่งผลต่อพนักงานในเชิงบวกหรือลบ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างองค์กรใหม่และกลยุทธ์การจัดการ คู่แข่ง: Holding Company อาจส่งผลกระทบต่อคู่แข่งของ SCB โดย SCB อาจจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น หน่วยงานกำกับดูแล: Holding Company อาจส่งผลต่อหน่วยงานกำกับดูแล เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งต้องกำกับดูแล SCB อย่างใกล้ชิดมากขึ้น ข้อเสนอแนะ: ธนาคารแห่งประเทศไทยควรศึกษาผลกระทบของ Holding Company อย่างรอบคอบ ธนาคารแห่งประเทศไทยควรพัฒนากฎระเบียบที่เหมาะสมสำหรับ Holding Company SCB ควรเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ Holding Company อย่างโปร่งใส SCB ควรมีกลไกการกำกับดูแล Holding Company ที่มีประสิทธิภาพ สรุป: การตัดสินใจว่า SCB ควรสร้าง Holding Company หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้มีส่วนได้เสีย และ SCB เอง ต่างต้องพิจารณาข้อดีและข้อเสียอย่างรอบคอบ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_43808
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นโดยมีข้อคิดว่า...พลังงานสะอาดเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่สำหรับภาคการเงิน
null
พลังงานสะอาด: โอกาสและความท้าทายในโลกการเงิน ณ ห้องประชุมชั้นสูงของธนาคารกรุงเทพ มณทิรา หญิงสาวผู้เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ กำลังนำเสนอแผนธุรกิจใหม่ต่อคณะกรรมการบริหาร หัวข้อของเธอคือ “การลงทุนในพลังงานสะอาด: โอกาสทองของภาคการเงินไทย” “โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสะอาด” มณทิราเริ่มต้น “ความต้องการพลังงานจากแร่ธาตุสำคัญอย่างลิเธียม นิกเกิล และโคบอลต์ กำลังพุ่งสูงขึ้น สิ่งนี้สร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กับภาคการเงินไทย” เธออธิบายต่อว่า ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทเหมืองแร่ที่ผลิตแร่ธาตุเหล่านี้ หรือลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด เช่น โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ฟาร์มกังหันลม และโรงงานผลิตแบตเตอรี่ “นี่ไม่ใช่แค่โอกาสทางธุรกิจ แต่ยังเป็นหน้าที่ของเรา” มณทิราเน้น “การสนับสนุนพลังงานสะอาด จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับลูกหลานของเรา” คณะกรรมการบริหารต่างเห็นด้วยกับมณทิรา พวกเขาตระหนักดีว่า การเปลี่ยนแปลงสู่ยุคพลังงานสะอาดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และธนาคารกรุงเทพควรมีบทบาทสำคัญในกระบวนการนี้ “แต่ก็มีความท้าทายอยู่หลายประการ” มณทิราท้วง “ราคาแร่ธาตุมีความผันผวนสูง เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ และกฎระเบียบของภาครัฐก็ยังไม่ชัดเจน” เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ มณทิราเสนอให้ธนาคารร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ พัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่รอบคอบ และติดตามความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและกฎระเบียบอย่างใกล้ชิด “ดิฉันมั่นใจว่า ธนาคารกรุงเทพสามารถคว้าโอกาสในยุคพลังงานสะอาดนี้ได้” มณทิราสรุป “หากเราลงทุนอย่างชาญฉลาด และบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เราจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับธนาคาร และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศชาติ” คณะกรรมการบริหารปรบมือให้กับมณทิรา พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่า แผนธุรกิจของเธอมีความน่าสนใจ และธนาคารควรเดินหน้าศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_10877
Medical
สรุปบทความเรื่อง รอยโรค ให้หน่อย
รอยโรค Lesion รอยโรค คือ ตำแหน่งที่เกิดมีความผิดปกติของเนื้อเยื่อ หรือ ของอวัยวะ โดยอาจเกิดจาก การบาดเจ็บ อักเสบ ผื่น แผล ก้อนเนื้องอก หรือ เนื้องอก มะเร็ง ทั้งนี้รอยโรคเกิดได้กับทุกเนื้อเยื่อ ทุกอวัยวะของร่างกาย เช่น รอยโรคที่ผิวหนัง Skin lesion รอยโรคในสมอง Brain lesion รอยโรคในปอด Lung lesion หรือรอยโรคในกระดูก Bone lesion เป็นต้น รอยโรคอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น กรณีเป็น แผล หรือ ก้อนเนื้อ หรืออาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เห็นได้จากกล้องจุลทรรศน์ เช่น รอยโรคจากการอักเสบติดเชื้อ เป็นต้น
รอยโรค คือ ตำแหน่งที่เกิดความผิดปกติของเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะ จากการบาดเจ็บ อักเสบ ผื่น แผล ก้อนเนื้องอก หรือ เนื้องอก มะเร็ง มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากรณีเป็น แผล หรือก้อนเนื้อ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เห็นได้จากกล้องจุลทรรศน์ กรณีอักเสบติดเชื้อ
Anatomy
Summarization
cc-by-nc-4.0
Legal_45706
Legal
สัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างผู้เยาว์กับร้านขายของชำเป็นโมฆะหรือโมฆียะ?
null
โมฆะ เหตุผล: 1. ประเภทของนิติกรรมไม่เป็นไปตามที่กฎหมายบังคับไว้: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 9 - ผู้เยาว์ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีสิทธิทำนิติกรรมได้เฉพาะเพื่อประโยชน์จำเป็นแก่ตนเท่านั้น การซื้อรถจักรยานยนต์ไม่ถือเป็นการซื้อเพื่อประโยชน์จำเป็นแก่ผู้เยาว์ - ดังนั้น สัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ในกรณีนี้จึงขัดต่อกฎหมายและเป็นโมฆะ 2. ชายหนุ่มไม่มีความสามารถในการทำนิติกรรม: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 17 - ผู้เยาว์ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่สามารถทำนิติกรรมใดๆ ที่จะผูกพันตนเองได้ เว้นแต่จะเป็นการทำนิติกรรมเพื่อประโยชน์จำเป็นแก่ตน - ดังนั้น ชายหนุ่มในฐานะผู้เยาว์จึงไม่มีความสามารถในการทำสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ สัญญานี้จึงเป็นโมฆะ ผลของโมฆะ: 1. สัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ถือว่าไม่มีผลผูกพันตั้งแต่ต้น เสมือนว่าไม่เคยมีสัญญานี้เกิดขึ้น 2. ร้านขายของชำต้องคืนเงินให้กับชายหนุ่ม 3. ชายหนุ่มต้องคืนรถจักรยานยนต์ให้กับร้านขายของชำ เพิ่มเติม: 1. กรณีชายหนุ่มบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ถูกข่มขู่จนยินยอมซื้อรถจักรยานยนต์ - สัญญานี้จะไม่ใช่โมฆะ แต่จะเป็นโมฆียะ แทน - ชายหนุ่มมีสิทธิบอกล้างสัญญานี้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ว่าถูกข่มขู่ 2. กรณีชายหนุ่มบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่เข้าใจผิดว่ารถจักรยานยนต์เป็นของผู้อื่น - สัญญานี้จะไม่ใช่โมฆะ แต่จะเป็นโมฆียะ แทน - ชายหนุ่มมีสิทธิบอกล้างสัญญานี้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ความจริง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายนิติกรรม-สัญญา-ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_117
Finance
การลงทุนแบบ Core and Satellite ของทาง K Wealth ได้มีจัดทำตามผลตอบแทนและความเสี่ยงที่ลูกค้ารับได้ โดยแบ่งเป็นอะไรบ้าง
null
การลงทุนแบบ Core and Satellite ของทาง K Wealth ได้มีจัดทำตามผลตอบแทนและความเสี่ยงที่ลูกค้ารับได้ โดยแบ่งเป็นดังนี้ 1. Conservative Model หรือ การจัดพอร์ตการลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำ • เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ • มีการลงทุนในตราสารหนี้ประมาน 85-90 % ตราสารทุนและสินทรัพย์ทางเลือกประมาน 10-15% • ผลตอบแทนต่ำสุด 2. Moderate Model หรือ การจัดพอร์ตการลงทุนแบบความเสี่ยงปานกลาง • เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง • มีการลงทุนในตราสารหนี้ประมาน 50-60 % ตราสารทุนและสินทรัพย์ทางเลือกประมาน 40-50% • ผลตอบแทนปานกลาง 3. Aggressive Model หรือ การจัดพอร์ตการลงทุนแบบความเสี่ยงปานกลาง • เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง • มีการลงทุนในตราสารหนี้ประมาน 0-10 % ตราสารทุนและสินทรัพย์ทางเลือกประมาน 90-100% • ผลตอบแทนสุงสุด จะเห็นว่า นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนแบบ Core and Satellite ตามเป้าหมายการลงทุนของตัวเองได้ โดยทาง K Wealth จะมีการอัพเดตพอร์ตการลงทุนแนะนำให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ สำหรับนักลงทุนที่ไม่สนใจการลงทุนรูปแบบนี้ ก็สามารถใช้ตัวพอร์ตการลงทุนแนะนำของ K Wealth เพื่อดูมุมมองการลงทุนหรือเลือกกองทุนตามสไตล์การลงทุนของตัวเองได้
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_15064
Medical
แพทย์จะพิจารณาอะไรบ้างในการตัดสินใจว่าจะตัดรังไข่ร่วมกับการผ่าตัดมดลูกหรือไม่
null
การตัดรังไข่ออกทั้งสองข้างเป็นการตัดฮอร์โมนเพศหญิงออกไปด้วย ส่งผลให้ผู้ป่วยเข้าสู่วัยทองทันที แม้จะยังไม่ถึงวัยหมดประจำเดือนตามธรรมชาติ ปัจจัยหลัก ที่แพทย์พิจารณาในการตัดรังไข่ร่วมกับการผ่าตัดมดลูก แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. ความเสี่ยงต่อมะเร็ง มะเร็งรังไข่: -กรณีที่เป็นมะเร็งรังไข่ แพทย์จะตัดรังไข่ออกทั้งสองข้างเพื่อป้องกันการลุกลามของมะเร็ง มะเร็งปากมดลูก: -บางกรณี แพทย์อาจตัดรังไข่ร่วมกับการผ่าตัดมดลูกเพื่อป้องกันการลุกลามของมะเร็งปากมดลูกไปยังรังไข่ 2. ความผิดปกติของรังไข่ เนื้องอกรังไข่: -กรณีที่มีเนื้องอกรังไข่ขนาดใหญ่ แพทย์อาจตัดรังไข่ออกเพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งรังไข่ในอนาคต ช็อกโกแลตซีสต์: -กรณีที่เป็นช็อกโกแลตซีสต์ แพทย์อาจตัดรังไข่ออกเพื่อรักษาอาการปวด และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ อย่างไรก็ตาม การตัดรังไข่ไม่ได้จำเป็นเสมอไป แพทย์จะพิจารณาเป็นรายกรณี โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้ -อายุของผู้ป่วย -ประวัติสุขภาพโดยรวม -ความต้องการมีบุตรในอนาคต -ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง -ความผิดปกติของรังไข่ การตัดสินใจ ว่าจะตัดรังไข่ร่วมกับการผ่าตัดมดลูกหรือไม่ แพทย์จะปรึกษาหารือกับผู้ป่วยอย่างละเอียด เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงผลดีและผลเสียของการผ่าตัด และร่วมตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_44118
Finance
การจัดทำแผนธุรกิจที่บริษัทส่วนใหญ่จัดทำคืออะไร
​ ปีที่ผ่านมาทุกบริษัทคงผ่านปัญหามาหลายเรื่อง ทั้งการปรับตัวท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการดิสรัปชัน (Disruption) ในเรื่องเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมของการทำธุรกิจ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมในรูปแบบ New Normal รวมทั้งการเข้าร่วมในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ของประเทศไทยในช่วงปลายปีที่ 2563 ที่ผ่านมา เพิ่มเติมจากข้อตกลงทางการค้าระดับทวิภาคี (Free Trade Area: FTA) ที่มีอยู่แล้ว 13 ฉบับ ปีที่ผ่านมาทุกบริษัทคงผ่านปัญหามาหลายเรื่อง ทั้งการปรับตัวท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการดิสรัปชัน (Disruption) ในเรื่องเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมของการทำธุรกิจ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมในรูปแบบ New Normal รวมทั้งการเข้าร่วมในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ของประเทศไทยในช่วงปลายปีที่ 2563 ที่ผ่านมา เพิ่มเติมจากข้อตกลงทางการค้าระดับทวิภาคี (Free Trade Area: FTA) ที่มีอยู่แล้ว 13 ฉบับ จึงเป็นคำถามที่ผู้บริหารควรจะต้องพิจารณาว่าการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันมีเรื่องใดที่ควรปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง แผนธุรกิจที่มีอยู่ในขณะนี้ควรนำมาปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์หรือไม่ หากใครไม่เคยจัดทำแผนธุรกิจมาก่อนไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ท่านควรจะต้องมองกลับมาว่า หากมีแผนธุรกิจที่เหมาะสม จะช่วยทำให้ธุรกิจของท่านมีศักยภาพในการแข่งขันหรือประสบความสำเร็จมากขึ้นหรือไม่ จึงเป็นคำถามที่ผู้บริหารควรจะต้องพิจารณาว่าการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันมีเรื่องใดที่ควรปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง แผนธุรกิจที่มีอยู่ในขณะนี้ควรนำมาปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์หรือไม่ หากใครไม่เคยจัดทำแผนธุรกิจมาก่อนไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ท่านควรจะต้องมองกลับมาว่า หากมีแผนธุรกิจที่เหมาะสม จะช่วยทำให้ธุรกิจของท่านมีศักยภาพในการแข่งขันหรือประสบความสำเร็จมากขึ้นหรือไม่ การจัดทำแผนธุรกิจที่บริษัทส่วนใหญ่จัดทำ คือ วิธีการให้นโยบายจากบนลงล่าง (Top-down Approach) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้บริหารระดับสูงให้กรอบแนวคิดแก่ผู้บริหารระดับถัดลงมาและพนักงาน สำหรับนำไปจัดทำแผนปฏิบัติงาน (Action Plan) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง ด้วยเหตุนี้ผู้บริหารระดับถัดลงมาและพนักงานจึงมีข้อจำกัดในการเสนอความคิด สิ่งที่ผู้เขียนอยากให้ผู้บริหารลองพิจารณาอีกวิธีหนึ่ง คือ ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจในองค์กรมีส่วนร่วมในการระดมความคิด เสนอไอเดีย และหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูล เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ทางความคิด มีเป้าหมายร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนองค์กร ทำให้ได้มาซึ่งแผนธุรกิจที่เกิดจากการมีส่วนร่วม เพื่อนำองค์กรไปสู่เป้าหมายที่วางร่วมกัน การจัดทำแผนธุรกิจที่บริษัทส่วนใหญ่จัดทำ คือ วิธีการให้นโยบายจากบนลงล่าง (Top-down Approach) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้บริหารระดับสูงให้กรอบแนวคิดแก่ผู้บริหารระดับถัดลงมาและพนักงาน สำหรับนำไปจัดทำแผนปฏิบัติงาน (Action Plan) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง ด้วยเหตุนี้ผู้บริหารระดับถัดลงมาและพนักงานจึงมีข้อจำกัดในการเสนอความคิด สิ่งที่ผู้เขียนอยากให้ผู้บริหารลองพิจารณาอีกวิธีหนึ่ง คือ ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจในองค์กรมีส่วนร่วมในการระดมความคิด เสนอไอเดีย และหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูล เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ทางความคิด มีเป้าหมายร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนองค์กร ทำให้ได้มาซึ่งแผนธุรกิจที่เกิดจากการมีส่วนร่วม เพื่อนำองค์กรไปสู่เป้าหมายที่วางร่วมกัน ผู้เขียนขอแนะนำหัวข้อหลักที่ควรพิจารณาในการจัดทำแผนธุรกิจ ดังนี้ ผู้เขียนขอแนะนำหัวข้อหลักที่ควรพิจารณาในการจัดทำแผนธุรกิจ ดังนี้ วิสัยทัศน์ คือ เป้าหมายที่องค์กรได้วางไว้สำหรับการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถบรรลุสู่เป้าหมายตามที่องค์กรได้วางไว้ หากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนั้นมีสาเหตุมาจากการดิสรัปชัน และพฤติกรรมในรูปแบบ New Normal รวมทั้งมีโอกาสทางธุรกิจในการขยายตลาดจากการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้า บริษัทอาจจะต้องพิจารณาทบทวนวิสัยทัศน์และพันธกิจ เพื่อความสอดคล้องกับโอกาสและสถานการณ์ การกำหนดหรือทบทวนวิสัยทัศน์ต้องพิจารณาถึงเป้าหมายที่ใช้ศักยภาพความพยายามที่ต้องเอื้อมหรือออกแรงเพื่อให้ได้มา ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แล้วและมีความเป็นไปได้ รวมทั้งกำหนดกรอบเวลาก็จะเป็นสิ่งดี วิสัยทัศน์องค์กรมีหลายรูปแบบ เช่น เพื่อเติบโต (Growth), เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดหรือรักษาเสถียรภาพ (Sustainability), หรือสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ (Innovation) เป็นต้น วิสัยทัศน์ คือ เป้าหมายที่องค์กรได้วางไว้สำหรับการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถบรรลุสู่เป้าหมายตามที่องค์กรได้วางไว้ หากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนั้นมีสาเหตุมาจากการดิสรัปชัน และพฤติกรรมในรูปแบบ New Normal รวมทั้งมีโอกาสทางธุรกิจในการขยายตลาดจากการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้า บริษัทอาจจะต้องพิจารณาทบทวนวิสัยทัศน์และพันธกิจ เพื่อความสอดคล้องกับโอกาสและสถานการณ์ การกำหนดหรือทบทวนวิสัยทัศน์ต้องพิจารณาถึงเป้าหมายที่ใช้ศักยภาพความพยายามที่ต้องเอื้อมหรือออกแรงเพื่อให้ได้มา ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แล้วและมีความเป็นไปได้ รวมทั้งกำหนดกรอบเวลาก็จะเป็นสิ่งดี วิสัยทัศน์องค์กรมีหลายรูปแบบ เช่น เพื่อเติบโต (Growth), เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดหรือรักษาเสถียรภาพ (Sustainability), หรือสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ (Innovation) เป็นต้น ตัวอย่างที่เห็นได้ มีหลายองค์กรบอกว่าวิสัยทัศน์องค์กร คือ การจะขึ้นเป็นที่หนึ่งในภูมิภาค แต่ปัจจุบันองค์กรนั้นยังไม่สามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำในลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมในประเทศได้ การวางวิสัยทัศน์องค์กรต้องพิจารณาจากความเป็นไปได้ โดยใช้ศักยภาพที่องค์กรมีอยู่หรือสามารถพัฒนาได้เป็นพื้นฐาน เช่น บริษัทจะก้าวสู่ความเป็นหนึ่งในส่วนแบ่งตลาดสำหรับอุตสาหกรรมในประเทศภายในปี 2567 ตัวอย่างที่เห็นได้ มีหลายองค์กรบอกว่าวิสัยทัศน์องค์กร คือ การจะขึ้นเป็นที่หนึ่งในภูมิภาค แต่ปัจจุบันองค์กรนั้นยังไม่สามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำในลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมในประเทศได้ การวางวิสัยทัศน์องค์กรต้องพิจารณาจากความเป็นไปได้ โดยใช้ศักยภาพที่องค์กรมีอยู่หรือสามารถพัฒนาได้เป็นพื้นฐาน เช่น บริษัทจะก้าวสู่ความเป็นหนึ่งในส่วนแบ่งตลาดสำหรับอุตสาหกรรมในประเทศภายในปี 2567 สิ่งที่จำเป็นสำหรับการจัดทำแผนธุรกิจ คือ การศึกษาตลาดที่องค์กรกำลังดำเนินธุรกิจอยู่ หรือตลาดใหม่ที่มีโอกาสในการขยายธุรกิจ รวมถึงเรื่องขนาดตลาด แนวโน้มการเติบโตของตลาด การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และการศึกษาตลาดและกฎระเบียบภายใต้ RCEP และ FTA ในแต่ละประเทศจะทำให้เรามั่นใจในการลงทุน และเข้าใจช่องทางการเข้าสู่ตลาดที่เอื้อประโยชน์ต่อบริษัท สิ่งที่จำเป็นสำหรับการจัดทำแผนธุรกิจ คือ การศึกษาตลาดที่องค์กรกำลังดำเนินธุรกิจอยู่ หรือตลาดใหม่ที่มีโอกาสในการขยายธุรกิจ รวมถึงเรื่องขนาดตลาด แนวโน้มการเติบโตของตลาด การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และการศึกษาตลาดและกฎระเบียบภายใต้ RCEP และ FTA ในแต่ละประเทศจะทำให้เรามั่นใจในการลงทุน และเข้าใจช่องทางการเข้าสู่ตลาดที่เอื้อประโยชน์ต่อบริษัท รวมทั้งเข้าใจรูปแบบการทำธุรกิจ เช่น บริษัทควรจะให้ความสำคัญเรื่องช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า ว่าจะเป็นไปในรูปแบบออฟไลน์ โดยมีการตั้งร้านค้า จัดหาผู้กระจายสินค้าแบบดั้งเดิม หรือควรจะส่งเสริมการจัดจำหน่ายในรูปแบบออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซ ตามพฤติกรรมของลูกค้าในยุค New Normal ทั้งนี้ การศึกษาโอกาสและรูปแบบตลาดควรจะต้องถูกพิจารณาเป็นลำดับต้นๆ ในการจัดทำแผนธุรกิจ หากเข้าใจตลาดก็สามารถวางกลยุทธ์และรูปแบบธุรกิจ ซึ่งจะบอกว่าบริษัทควรมุ่งในธุรกิจประเภทใด สัดส่วนรายได้ในแต่ละกลุ่มย่อยเป็นอย่างไร รวมทั้งเข้าใจรูปแบบการทำธุรกิจ เช่น บริษัทควรจะให้ความสำคัญเรื่องช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า ว่าจะเป็นไปในรูปแบบออฟไลน์ โดยมีการตั้งร้านค้า จัดหาผู้กระจายสินค้าแบบดั้งเดิม หรือควรจะส่งเสริมการจัดจำหน่ายในรูปแบบออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซ ตามพฤติกรรมของลูกค้าในยุค New Normal ทั้งนี้ การศึกษาโอกาสและรูปแบบตลาดควรจะต้องถูกพิจารณาเป็นลำดับต้นๆ ในการจัดทำแผนธุรกิจ หากเข้าใจตลาดก็สามารถวางกลยุทธ์และรูปแบบธุรกิจ ซึ่งจะบอกว่าบริษัทควรมุ่งในธุรกิจประเภทใด สัดส่วนรายได้ในแต่ละกลุ่มย่อยเป็นอย่างไร จากการศึกษาตลาด หากพบว่ามีโอกาสทางธุรกิจ แน่นอนว่าต้องมีคู่แข่งขันที่อยู่ในตลาดดังกล่าว ยกเว้นแต่ผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทเป็นสิ่งใหม่ที่ยังไม่มีในตลาด แต่ก็อาจมีสินค้าทดแทนได้ การศึกษาการแข่งขันและคู่แข่งเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อดูสภาวะความรุนแรงของการแข่งขันและกลยุทธ์ของคู่แข่งรายสำคัญ เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า ‘รู้เขา รู้เรา’ ซึ่งบริษัทจะสามารถวิเคราะห์ว่าควรที่จะวางกลยุทธ์ในรูปแบบใดเพื่อครองส่วนแบ่งตลาด และยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามที่คาดหวัง การศึกษาตลาดและคู่แข่งจะทำให้เห็นว่าปัจจัยสู่ความสำเร็จและความเสี่ยงที่บริษัทควรจะต้องวางกลยุทธ์เพื่อรองรับนั้นมีอะไรบ้าง จากการศึกษาตลาด หากพบว่ามีโอกาสทางธุรกิจ แน่นอนว่าต้องมีคู่แข่งขันที่อยู่ในตลาดดังกล่าว ยกเว้นแต่ผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทเป็นสิ่งใหม่ที่ยังไม่มีในตลาด แต่ก็อาจมีสินค้าทดแทนได้ การศึกษาการแข่งขันและคู่แข่งเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อดูสภาวะความรุนแรงของการแข่งขันและกลยุทธ์ของคู่แข่งรายสำคัญ เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า ‘รู้เขา รู้เรา’ ซึ่งบริษัทจะสามารถวิเคราะห์ว่าควรที่จะวางกลยุทธ์ในรูปแบบใดเพื่อครองส่วนแบ่งตลาด และยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามที่คาดหวัง การศึกษาตลาดและคู่แข่งจะทำให้เห็นว่าปัจจัยสู่ความสำเร็จและความเสี่ยงที่บริษัทควรจะต้องวางกลยุทธ์เพื่อรองรับนั้นมีอะไรบ้าง การประเมินผลิตภัณฑ์หรือบริการว่ามีความเหมาะสมตรงกับความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง จากประสบการณ์ที่พบมา มีหลายบริษัทมองว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการที่องค์กรตนมีอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการและตอบโจทย์แล้ว ทำให้การวางตำแหน่งสินค้าหรือบริการนั้นไม่เหมาะสม หรือไม่สอดคล้องกับความต้องการในตลาด ดังนั้น การศึกษาความต้องการ พฤติกรรม และความคิดเห็นของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการ เป็นสิ่งที่จำเป็นในทางกลยุทธ์ที่มองความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หรือเรียกว่า Customer Centric Approach โดยผู้บริหารควรจะต้องใช้ข้อมูลที่เก็บจากการที่ลูกค้ามาซื้อผลิตภัณฑ์หรือใช้บริการ หรือทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง โดยข้อมูลที่ได้มาหรือเก็บไว้ควรจะใช้เทคโนโลยีด้าน Big Data หรือ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ เพื่อวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ถูกต้อง รวมทั้งเป็นเครื่องมือด้านการตลาด ตัวอย่างที่เห็นในปัจจุบันจะพบว่า กลุ่มธุรกิจค้าปลีก (Supermarket, Hypermarket, Convenience Store) ได้นำเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้เป็นเครื่องมือที่ประสบความสำเร็จและสร้างความแตกต่าง การประเมินผลิตภัณฑ์หรือบริการว่ามีความเหมาะสมตรงกับความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง จากประสบการณ์ที่พบมา มีหลายบริษัทมองว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการที่องค์กรตนมีอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการและตอบโจทย์แล้ว ทำให้การวางตำแหน่งสินค้าหรือบริการนั้นไม่เหมาะสม หรือไม่สอดคล้องกับความต้องการในตลาด ดังนั้น การศึกษาความต้องการ พฤติกรรม และความคิดเห็นของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการ เป็นสิ่งที่จำเป็นในทางกลยุทธ์ที่มองความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หรือเรียกว่า Customer Centric Approach โดยผู้บริหารควรจะต้องใช้ข้อมูลที่เก็บจากการที่ลูกค้ามาซื้อผลิตภัณฑ์หรือใช้บริการ หรือทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง โดยข้อมูลที่ได้มาหรือเก็บไว้ควรจะใช้เทคโนโลยีด้าน Big Data หรือ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ เพื่อวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ถูกต้อง รวมทั้งเป็นเครื่องมือด้านการตลาด ตัวอย่างที่เห็นในปัจจุบันจะพบว่า กลุ่มธุรกิจค้าปลีก (Supermarket, Hypermarket, Convenience Store) ได้นำเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้เป็นเครื่องมือที่ประสบความสำเร็จและสร้างความแตกต่าง การจัดทำแผนธุรกิจที่ดีควรต้องมีการจัดทำแผนด้านการเงินและประมาณการทางการเงินในอนาคตสำหรับระยะเวลา 3-5 ปี เพื่อกำหนดเป้าหมาย รายได้ และผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับในรูปกำไร ขาดทุน และเงินปันผล แผนธุรกิจด้านการเงินยังสะท้อนถึงเงินลงทุนที่จำเป็นเพื่อสร้างหรือกระตุ้นยอดขาย รวมทั้งรองรับปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าในรูปเงินทุนหมุนเวียน
วิธีการให้นโยบายจากบนลงล่าง (Top-down Approach) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้บริหารระดับสูงให้กรอบแนวคิดแก่ผู้บริหารระดับถัดลงมาและพนักงาน สำหรับนำไปจัดทำแผนปฏิบัติงาน (Action Plan) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง ด้วยเหตุนี้ผู้บริหารระดับถัดลงมาและพนักงานจึงมีข้อจำกัดในการเสนอความคิด สิ่งที่ผู้เขียนอยากให้ผู้บริหารลองพิจารณาอีกวิธีหนึ่ง คือ ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจในองค์กรมีส่วนร่วมในการระดมความคิด เสนอไอเดีย และหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูล เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ทางความคิด มีเป้าหมายร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนองค์กร ทำให้ได้มาซึ่งแผนธุรกิจที่เกิดจากการมีส่วนร่วม เพื่อนำองค์กรไปสู่เป้าหมายที่วางร่วมกัน การจัดทำแผนธุรกิจที่บริษัทส่วนใหญ่จัดทำ คือ วิธีการให้นโยบายจากบนลงล่าง (Top-down Approach) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้บริหารระดับสูงให้กรอบแนวคิดแก่ผู้บริหารระดับถัดลงมาและพนักงาน สำหรับนำไปจัดทำแผนปฏิบัติงาน (Action Plan) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง ด้วยเหตุนี้ผู้บริหารระดับถัดลงมาและพนักงานจึงมีข้อจำกัดในการเสนอความคิด สิ่งที่ผู้เขียนอยากให้ผู้บริหารลองพิจารณาอีกวิธีหนึ่ง คือ ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจในองค์กรมีส่วนร่วมในการระดมความคิด เสนอไอเดีย และหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูล เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ทางความคิด มีเป้าหมายร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนองค์กร ทำให้ได้มาซึ่งแผนธุรกิจที่เกิดจากการมีส่วนร่วม เพื่อนำองค์กรไปสู่เป้าหมายที่วางร่วมกัน
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43919
Finance
นอกเหนือจากมาตรการทางการคลังแล้ว ยังมีแนวทางอื่นใดอีกบ้างที่สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อสำหรับผู้บริโภคในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย?
null
แนวทางอื่นๆ ที่สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อสำหรับผู้บริโภคในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีดังนี้: 1. การส่งเสริมการออม: รัฐบาลสามารถสนับสนุนให้ผู้บริโภคในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยออมเงินมากขึ้น โดยการออกนโยบายจูงใจ เช่น การให้เงินอุดหนุน การยกเว้นภาษี หรือการเสนอผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์ที่มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ธนาคารและสถาบันการเงินควรพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์ที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เช่น บัญชีออมทรัพย์ที่มีเงินฝากขั้นต่ำต่ำ บัญชีออมทรัพย์ที่มีดอกเบี้ยพิเศษสำหรับเงินฝากจำนวนน้อย 2. การให้ความรู้ด้านการเงิน: รัฐบาลและภาคเอกชนควรจัดโครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ผู้บริโภคในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เกี่ยวกับวิธีการจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ การวางแผนการใช้จ่าย การออมเงิน และการลงทุน สื่อมวลชนควรนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการเงินที่เข้าใจง่าย เข้าถึงได้ง่าย และตรงกับความต้องการของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย 3. การส่งเสริมการประกอบอาชีพเสริม: รัฐบาลสามารถสนับสนุนผู้บริโภคในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในการประกอบอาชีพเสริม โดยการให้เงินทุนสนับสนุน การฝึกอบรมทักษะอาชีพ และการจัดหาช่องทางจำหน่ายสินค้า องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) และภาคประชาสังคมสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บริโภคในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในการหางานเสริม การฝึกอบรมทักษะอาชีพ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน 4. การขยายความคุ้มครองทางสังคม: รัฐบาลควรขยายความคุ้มครองทางสังคมแก่ผู้บริโภคในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เช่น การเพิ่มเงินสวัสดิการ การให้เงินช่วยเหลือเด็ก การให้บริการด้านสาธารณสุขฟรี องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) และภาคประชาสังคมสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บริโภคในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยด้านอาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และการศึกษา 5. การสนับสนุนด้านอาหาร: รัฐบาลสามารถสนับสนุนด้านอาหารแก่ผู้บริโภคในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยการจัดโครงการอาหารกลางวันฟรี การแจกจ่ายอาหารราคาประหยัด และการส่งเสริมการปลูกผักสวนครัว องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) และภาคประชาสังคมสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บริโภคในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยด้านอาหาร โดยการจัดตั้งโรงทาน แจกจ่ายอาหาร และสนับสนุนโครงการเกษตรอินทรีย์ แนวทางเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อสำหรับผู้บริโภคในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_11597
Medical
ยาเพื่อการบำบัดภาวะร่างกายพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน/ยาไทรอยด์ฮอร์โมนที่เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ มี2 ชนิด/กลุ่ม ได้แก่
A. 1. ฮอร์โมนสังเคราะห์ ที5 (T5) 2. ฮอร์โมนสังเคราะห์ ที6 (T6) B. 1. ฮอร์โมนสังเคราะห์ ที1 (T1) 2. ฮอร์โมนสังเคราะห์ ที2 (T2) C. 1. ฮอร์โมนสังเคราะห์ ที4 (T4) 2. ฮอร์โมนสังเคราะห์ ที3 (T3) D. 1. ฮอร์โมนสังเคราะห์ ที7 (T7) 2. ฮอร์โมนสังเคราะห์ ที8 (T8)
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ C. เนื่องจาก ภาวะร่างกายพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน หรือภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน หรือภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (Hypothyroidism) เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ป่วยเป็น Hashimoto disease(โรคออโตอิมมูนของต่อมไทรอยด์), ต่อมไทรอยด์ถูกทำลายโดยการผ่าตัด, ต่อมไทรอยด์ถูกทำลายจากการใช้สารกัมมันตรังสี(น้ำแร่รังสีไอโอดีน), หรือจากสาเหตุอื่นๆ จนเป็นผลให้ต่อมไทรอยด์หยุด/ลดการผลิตฮอร์โมนสำคัญคือ ที3 (T3 หรือ Triiodothyronine) และ ที4 (T4 หรือ Tetraiodothyronine หรือThyroxine) ซึ่งไทรอยด์ฮอร์โมนทั้ง 2 ตัว มีความสำคัญต่อกระบวนการเมตาโบลิซึม(Metabolism/การใช้พลังงาน)ต่างๆของร่างกายเป็นอย่างมาก เช่น กระบวนการเปลี่ยนแปลงสารอาหารไปเป็นพลังงาน, กระบวนการทำให้การเต้นของหัวใจให้มีจังหวะความเร็วเป็นไปอย่างปกติ, การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย, ความสามารถในการคิดจดจำของสมอง,และอื่นๆ การพร่อง/ขาดไทรอยด์ฮอร์โมนจึงเป็นเหตุให้กระบวนการเมตาโบลิซึมต่างๆในร่างกายผิดเพี้ยนไป ไทรอยด์ฮอร์โมน เช่น ที3 (T3) จะเป็นตัวออกฤทธิ์ที่แรงกว่า ที4 (T4) แต่ ที3 (T3) มีอายุหรือค่าครึ่งชีวิต/ระยะครึ่งชีวิต(Half life)ในร่างกายได้เพียงประมาณ 24 ชั่วโมง หรือประมาณ 1 วัน ในขณะที่ ที4 (T4) มีอายุหรือค่าครึ่งชีวิตได้นานถึงประมาณ 7 วัน ฮอร์โมนที4 (T4) ในกระแสเลือดจะเข้าจับกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆในร่างกาย จากนั้นจะเกิดการปลดปล่อยธาตุไอโอดีน 1 อะตอมให้กับเซลล์ของอวัยวะนั้นๆ และทำให้เกิดการเปลี่ยนโครงสร้างจาก ที4 (T4) ไปเป็น ที3 (T3) และฮอร์โมนที3/ที3 (T3) นี่เอง ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์มีการเปลี่ยนแปลงและเกิดกระบวนการเมตาโบลิซึมต่างๆตามมา จากเหตุผลดังกล่าว เราจึงพบเห็นการใช้ยาฮอร์โมนที4 (T4) ที่ถูกผลิตออกมาเป็นไทรอยด์ฮอร์โมนสังเคราะห์ โดยมีชื่อเรียกว่ายา “เลโวไทรอกซิน (Levothyroxine)” มากกว่าการใช้ยา ที3 เพื่อนำมารักษาภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ/ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน โดยผู้ป่วยรับประทานเพียงวันละ 1 เม็ดก็สามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้ทั้งวัน และยังคงระดับของไทรอยด์ฮอร์โมนในกระแสเลือดได้อย่างยาวนาน ส่วนยาที่เป็นฮอร์โมนประเภท ที3 (T3) ก็ถูกผลิตขึ้นมาเช่นเดียวกัน โดยมีชื่อเรียกว่ายา “ไลโอไทโรนีน (Liothyronine)” และนำมาใช้ในวัตถุประสงค์เพื่อบำบัดผู้ป่วยหลังจากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ หรือระหว่างรอการบำบัดมะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยสารกัมมันตรังสี สำหรับผู้ที่ได้รับยาไทรอยด์ฮอร์โมน เกินขนาด อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึก ร้อน เหงื่อออกมาก มือสั่น หลับยาก อารมณ์แปรปรวน เสียสมาธิ น้ำหนักตัวลด ประจำเดือนผิดปกติ หากพบอาการต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นหลังการใช้ยานี้ ผู้ป่วยควรรีบมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เพื่อแพทย์ได้ดูแลอาการ และพิจารณาปรับขนาดรับประทานที่เหมาะสมกับผู้ป่วย การบำบัดภาวะร่างกายพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน เป็นหน้าที่ของแพทย์ ผู้ป่วยควรให้ความร่วมมือปฏิบัติตามข้อแนะนำอย่างเคร่งครัด และควรหลีกเลี่ยงการซื้อหายานี้มารักษาตนเองโดยมิได้ขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือเภสัชกร ยาเพื่อการบำบัดภาวะร่างกายพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนมีกี่ชนิด? ยาเพื่อการบำบัดภาวะร่างกายพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน/ยาไทรอยด์ฮอร์โมนที่เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ มี2 ชนิด/กลุ่ม ได้แก่ ฮอร์โมนสังเคราะห์ ที4 (T4): มีรูปแบบผลิตภัณฑ์เป็น ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 50 และ 100 ไมโครกรัม/เม็ด ฮอร์โมนสังเคราะห์ ที3 (T3): มีรูปแบบผลิตภัณฑ์เป็น ยาเม็ดชนิดรับประทานขนาด 5, 25, และ 50 ไมโครกรัม/เม็ด และเป็นยาฉีดขนาด 10 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร กลไกการออกฤทธิ์ของยาเพื่อบำบัดภาวะร่างกายพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนเป็นอย่างไร? กลไกการออกฤทธิ์ของยาบำบัดร่างกายพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน/ยาไทรอยด์ฮอร์โมน คือ ตัวยาที่เป็นฮอร์โมนที3 (T3) และที4 (T4) จะทำให้กระบวนการเมตาโบลิซึม(Metabolism) ขั้นพื้นฐานของร่างกายดำเนินไปได้อย่างเป็นปกติ เช่น การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตเพื่อนำมาเป็นพลังงาน การสังเคราะห์สารโปรตีน การเต้นของหัวใจ ความคิดอ่านของสมอง ฯลฯ ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของร่างกายให้เป็นไปอย่างปกติและมีสมดุล
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_10195
Medical
ข้อใดกล่าวถึงโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic insomnia) ได้ถูกต้อง
1. เมื่อสถานการณ์ ความตึงเครียดผ่อนคลาย การนอนหลับก็จะกลับมาเป็นปกติ 2. มักเกิดจากความตื่นเต้นหรือความเครียด 3. หลับไม่สนิท เป็นเวลาไม่กี่คืน และน้อยกว่า 3 เดือน 4. การนอนไม่หลับนานมากกว่า 1 เดือน
คำตอบได้แก่ 4. เพราะว่า เพราะการนอนไม่หลับนานมากกว่า 1 เดือน กล่าวถึงโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic insomnia) ได้ถูกต้อง โรคนอนไม่หลับ คือ อาการนอนไม่หลับ หลับลำบาก หรือหลับไม่สนิท โรคนอนไม่หลับเกิดขึ้นได้ในประชากรทุกช่วงอายุ คนส่วนมากจะมีอาการนอนไม่หลับ 1-2 คืน แต่บางครั้งอาจเกิดขึ้นนานเป็นสัปดาห์ เดือนหรือปี โรคนอนไม่หลับมักพบในผู้หญิงและผู้สูงอายุ 1. โรคนอนไม่หลับจากปัญหาการปรับตัว (Adjustment Insomnia) ปัญหาหลับได้ยากหรือหลับไม่สนิท เป็นเวลาไม่กี่คืน และน้อยกว่า 3 เดือน มักเกิดจากความ ตื่นเต้นหรือความเครียด ยกตัวอย่างในเด็กอาจนอนพลิกตัวในคืนก่อนที่โรงเรียนเปิดเทอม หรือในคืน ก่อนการสอบสำคัญ หรือก่อนการแข่งขันกีฬา ในผู้ใหญ่มักเกิดขึ้นได้ก่อนการพบปะทางธุรกิจนัดสำคัญ หรือการทะเลาะกันของสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท คนส่วนมากมักมีปัญหานอนไม่หลับ เมื่อต้องห่างจากบ้าน การเดินทางไปในสถานที่เวลาต่างจากเดิม การออกกำลังกายก่อนเวลาเข้านอน (ภายใน 4 ชั่วโมง) หรือเวลาเจ็บป่วยก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของโรคนอนไม่หลับชนิดนี้ เมื่อสถานการณ์ ความตึงเครียดผ่อนคลาย การนอนหลับก็จะกลับมาเป็นปกติ 2. โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic insomnia) หมายถึง การนอนไม่หลับนานมากกว่า 1 เดือน คนที่นอนไม่หลับส่วนมากมักจะกังวลกับ การนอนหลับของตนเอง หรืออาจเพราะการทำงานของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติในระหว่างนอนหลับ สาเหตุของโรคนอนไม่หลับ อาจเป็นอาการของปัญหาอื่น เช่น การมีไข้ หรือ ปวดท้อง หรืออาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_42957
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง เสน่ห์ของตลาดหุ้นไทย ได้ไหม
เนื่องในโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 23 ปี ไปแบบสดๆร้อนๆ ผมจึงขอโอกาสเขียนถึงเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทย ในมุมมองของนักลงทุนอิสระที่รักการลงทุนและชื่นชอบการเก็งกำไรในสไตล์ผมซะหน่อย ผลตอบแทนที่ดี ลองสังเกตกันดีๆไม่ว่าปีไหนก็ตาม ตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจของประเทศภาพรวมจะดีหรือแย่ เราก็จะยังคงมีหุ้นบางส่วนที่ให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกไปจนถึงบวกมากๆอย่างโดดเด่น หรือที่เราเรียกว่า “Super Stock” ที่ให้ผลตอบแทนเป็นเด้งๆอยู่เสมอ และนี่คือเสน่ห์ที่ดึงดูดให้คนพร้อมใจกันเข้ามาในตลาดหุ้นนั่นเอง มีสภาพคล่องที่ดี (Liquidity) ข้อดีประการหนึ่งของตลาดหุ้นก็คือ “สภาพคล่อง” นักลงทุนสามารถดึงเงินเข้าออกได้ตลอดเวลาตามแต่ที่ต้องการ ต่างจากสินทรัพย์อื่นๆที่เงินอาจจะจมนานหรือซื้อง่ายขายยากนั่นเอง แน่นอนว่าส่วนตัวผมแนะนำให้เลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องที่ดีและเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง เพื่อหลีกเลี่ยงการเจอหุ้นที่ไม่ดีนั่นเอง เจอหุ้นดีสภาพคล่องดี นักลงทุนก็สบายใจไร้กังวล เจอหุ้นแย่สภาพคล่องไม่ดี นักลงทุนก็อาจจะแย่เอาได้ ไม่มีเวลาเฝ้าจอหุ้นก็ลงทุนได้ไม่ยากกับ “กองทุนรวม” สำหรับนักลงทุนที่อาจจะมีงานประจำ ไม่มีเวลาติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นมากนัก ก็ยังมีกองทุนรวม ที่ลงทุนในหุ้นและดัชนี เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ ที่เราสามารถซื้อกองทุนที่ลงทุนในหุ้น ซึ่งมีข้อดีคือ แต่ละกองทุนรวมหุ้นนั้น มีนโยบายหลากหลายในการลงทุน ทั้งในหุ้นกลุ่ม SET50 Index, Small-mid cap, Large cap รวมไปถึงรายหมวดอุตสาหกรรม การลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” โดยหลักๆจะมี 2 ประเภท คือ “กองทุนปิด” ที่เป็นกองทุนที่ไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนจนกว่าจะครบกำหนดอายุกองทุนรวม “กองทุนเปิด” เป็นกองทุนที่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามโครงการฯ กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นไทยมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแบบ passive หรือ active นักลงทุนควรเลือกให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนที่ต้องการ แถมนักลงทุนยังสามารถเลือกระดับ “ความเสี่ยง” ได้ตามที่นักลงทุนต้องการ ไม่ว่าจะชอบเสี่ยงมากหรือน้อย กองทุนรวมจะนำเงินของกองทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ต่างกันแล้วแต่นโยบายของกองทุน ไม่ว่าจะเป็นเงินฝากธนาคาร พันธบัตร ไปจนถึง หุ้น แถมยังเอาไป “ลดหย่อนภาษี” ได้อีกด้วย (สำหรับผู้ที่ซื้อกอง LTF และ RMF) อันนี้ถูกใจมนุษย์เงินเดือนแน่นอนครับ ข้อสำคัญในการเลือกกองทุนรวม นักลงทุนไม่ควรเชื่อแค่ผลตอบแทนในอดีต ควรดูประวัติผู้จัดการกองทุนไปจนถึงทีมงาน รวมถึงความเสี่ยงด้วยครับ เพราะบางครั้งกองทุนบางประเภทก็มีความเสี่ยงสูงซึ่งอาจจะทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนได้เช่นกัน ไม่มีเงินก้อนใหญ่ก็ลงทุนได้ การลงทุนต้องใช้เวลา ยิ่งเริ่มลงทุนได้เร็ว ยิ่งได้เปรียบ ถึงจะมีเงินน้อย ก็อย่าได้ดูหมิ่นเชียว ปัญหาคือนักลงทุนส่วนใหญ่คิดว่าต้องใช้เงินเยอะ เลยไม่ได้เริ่มลงทุนซักที การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน หรือ DCA (dollar-cost averaging) นักลงทุนต้องลงทุนในจำนวนเงินที่เท่าๆกัน จะจำนวนมากหรือน้อยก็ได้ แต่ต้องลงทุนเป็นประจำและสม่ำเสมอ ตามระยะเวลาที่นักลงทุนกำหนดไว้ จะเป็นสัปดาห์ละครั้ง เดือนละครั้ง หรือเดือนละสองครั้งก็ได้ นักลงทุนสามารถทำ DCA ได้ทั้งในหุ้นและกองทุนรวมครับ แต่ก่อนที่จะทำ DCA นักลงทุนควรศึกษาและพิจารณาเลือกบริษัทหรือกองทุนที่จะลงทุนให้ละเอียดถี่ถ้วนน่ะครับ สิ่งสำคัญคือ “ทำให้เป็นวินัย” แบ่งเงินจากรายได้ประจำของคุณในแต่ละเดือน ออกมาลงทุนแต่ละเดือนอย่างสม่ำเสมอ การลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อยจะทำให้เรามีเวลาที่เงินเติบโตทบต้นนานขึ้น ยิ่งลงทุนได้เร็วและถูกวิธีการ เงินก้อนสุดท้ายในอนาคตก็จะยิ่งเติบโตมหาศาล ในฐานะที่ผมเคยเป็นมนุษย์เงินเดือนที่สนใจการลงทุนตั้งแต่เริ่มทำงาน จนถึงปัจจุบันที่ลาออกมาทำงานเป็นฟูลไทม์เทรดเดอร์เต็มตัวนั้น ผมกล้าที่จะพูดได้เลยว่า การลงทุนในตลาดหุ้นอย่างมีความรู้และถูกวิธี สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ต่อเนื่องแน่นอน ยิ่งถ้านักลงทุนมีความรู้เรื่องการลงทุนในกองทุนรวมแล้วด้วย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุนได้ด้วยเช่นกัน สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการซื้อกองทุน LTF/RMF เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีนั้น ผมแนะนำให้หาจังหวะทยอยซื้อเรื่อยๆมากกว่าการซื้อครั้งเดียวครับ ยิ่งช่วงดัชนีหุ้นเจอการปรับฐานแรงๆแล้ว ยิ่งเป็นจังหวะดีในการเข้าทยอยซื้อครับ แล้วคุณจะประหลาดใจกับผลตอบแทนที่คุณได้รับจากการลงทุนในกองทุนในระยะยาวครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น นักลงทุนต้องคำนึงเสมอว่า… การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ
เสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจของประเทศภาพรวมจะดีหรือแย่ เราก็จะยังคงมีหุ้นบางส่วนที่ให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกไปจนถึงบวกมากๆอย่างโดดเด่น หรือที่เราเรียกว่า “Super Stock” ที่ให้ผลตอบแทนเป็นเด้งๆอยู่เสมอนี่คือเสน่ห์ที่ดึงดูดให้คนพร้อมใจกันเข้ามาในตลาดหุ้นนั่นเองข้อดีประการหนึ่งของตลาดหุ้นก็คือ “สภาพคล่อง” นักลงทุนสามารถดึงเงินเข้าออกได้ตลอดเวลาตามแต่ที่ต้องการกลงทุนก็สบายใจไร้กังวล เจอหุ้นแย่สภาพคล่องไม่ดี นักลงทุนก็อาจจะแย่เอาได้ ไม่มีเวลาเฝ้าจอหุ้นก็ลงทุนได้ไม่ยากกับ “กองทุนรวม” สำหรับนักลงทุนที่อาจจะมีงานประจำ ไม่มีเวลาติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นมากนัก “กองทุนรวม” โดยหลักๆจะมี 2 ประเภท คือ “กองทุนปิด” ที่เป็นกองทุนที่ไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนจนกว่าจะครบกำหนดอายุกองทุนรวม “กองทุนเปิด” เป็นกองทุนที่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามโครงการฯ กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นไทยมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแบบ passive หรือ active นักลงทุนควรเลือกให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนที่ต้องการนักลงทุนยังสามารถเลือกระดับ “ความเสี่ยง” ได้ตามที่นักลงทุนต้องการ ไม่ว่าจะชอบเสี่ยงมากหรือน้อย กองทุนรวมจะนำเงินของกองทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ต่างกันแล้วแต่นโยบายของกองทุน ไม่ว่าจะเป็นเงินฝากธนาคาร พันธบัตร ไปจนถึง หุ้น แถมยังเอาไป “ลดหย่อนภาษี” ได้อีกด้วย (สำหรับผู้ที่ซื้อกอง LTF และ RMF) อันนี้ถูกใจมนุษย์เงินเดือนแน่นอนครับ ข้อสำคัญในการเลือกกองทุนรวม นักลงทุนไม่ควรเชื่อแค่ผลตอบแทนในอดีต ควรดูประวัติผู้จัดการกองทุนไปจนถึงทีมงาน รวมถึงความเสี่ยงด้วย
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_20713
Medical
ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดจากเชื้อไวรัส จำเป็นต้องใช้ยาสูโดเอฟีดรีนหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ยาสูโดเอฟีดรีนเป็นยาแก้คัดจมูก ออกฤทธิ์โดยการหดหลอดเลือด ทำให้อาการคัดจมูกจากการบวมของเยื่อบุจมูกยุบลง ไข้หวัดจากเชื้อไวรัส มักมีอาการน้ำมูกใส ไอ เจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย โดยไม่พบอาการคัดจมูก ยาสูโดเอฟีดรีน ไม่ได้ฆ่าเชื้อไวรัส ไม่ได้ลดไข้ ไม่ได้บรรเทาอาการไอ เจ็บคอ หรือครั่นเนื้อครั่นตัว การใช้ยาสูโดเอฟีดรีน อาจมีผลข้างเคียง เช่น ใจสั่น นอนไม่หลับ วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ยาสูโดเอฟีดรีน เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาบ้า ดังนั้น ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดจากเชื้อไวรัส ไม่จำเป็นต้องใช้ยาสูโดเอฟีดรีน แนวทางการรักษาไข้หวัดจากเชื้อไวรัส: - พักผ่อนให้เพียงพอ - ดื่มน้ำมาก ๆ - เช็ดตัวเพื่อลดไข้ - ใช้ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล - ใช้ยาแก้ไอ หรือยาละลายเสมหะ - รักษาสุขอนามัยที่ดี กรณีควรไปพบแพทย์: - มีไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส - มีไข้นานเกิน 7 วัน - หายใจลำบาก หอบเหนื่อย - เจ็บหน้าอก - ไอมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียว - อาการไม่ดีขึ้น หรือแย่ลง ข้อควรระวัง: - ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินเพื่อลดไข้ในเด็ก - ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาไข้หวัดจากเชื้อไวรัส - ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาใด ๆ สรุป: การใช้ยาสูโดเอฟีดรีนในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดจากเชื้อไวรัส ไม่ได้ช่วยให้หายจากโรคเร็วขึ้น และอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้น ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดจากเชื้อไวรัส ไม่จำเป็นต้องใช้ยาสูโดเอฟีดรีน
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0
Legal_45562
Legal
ช่วยสรุปบทความ นิติบุคคลหมู่บ้านดำเนินการทางกฎหมายได้ ถ้าลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลาง ให้หน่อยนะคะ
ในบทความฉบับที่แล้ว ได้กล่าวถึงมาตรการที่นิติบุคคลอาคารชุดจะดำเนินการได้กับลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลางตามกฎหมาย ในบทความนี้ เราจะมาพูดกันเรื่องลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลางกรณีนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร สามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง และเปรียบเทียบกับกรณีอาคารชุดแตกต่างกันอย่างไร ซื้อบ้านได้โฉนด อาจถูกเพิกถอนได้ ซื้อบ้านได้โฉนด แต่ถูกเพิกถอนภายหลังได้ เพราะอะไร หาเหตุผลได้ที่นี่ ซื้อบ้านได้โฉนด อาจถูกเพิกถอนได้ ซื้อบ้านได้โฉนด แต่ถูกเพิกถอนภายหลังได้ เพราะอะไร หาเหตุผลได้ที่นี่ ซื้อบ้านได้โฉนด แต่ถูกเพิกถอนภายหลังได้ เพราะอะไร หาเหตุผลได้ที่นี่ กฎหมายที่ควบคุมการดำเนินงานของโครงการบ้านจัดสรร ในขณะที่การดำเนินงานของนิติบุคคลอาคารชุดเป็นไปตามพระราชบัญญัติอาคารชุดฯ แต่การดำเนินงานของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรเป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดินฯ กรณีการชำระเงินค่าใช้จ่ายส่วนกลางล่าช้านั้น มาตรา 50 วรรคแรกของพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดินฯ กำหนดไว้แบบนี้ครับ “มาตรา 50 ผู้มีหน้าที่ชำระเงินค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคตามมาตรา 49 วรรคสอง ที่ชำระเงินดังกล่าวล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนด จะต้องจ่ายค่าปรับสำหรับการจ่ายเงินล่าช้าตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนด” จากกฎหมายข้างต้นจะเห็นได้ว่า การชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางล่าช้ากรณีหมู่บ้านจัดสรรนั้นก็มีค่าปรับเช่นกันครับ เพียงแต่ค่าปรับส่วนนี้ต้องเป็นไปตามที่ “คณะกรรมการ” กำหนด ซึ่งคณะกรรมการนี้ก็คือคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัด โดยในปัจจุบัน คณะกรรมการจัดสรรที่ดินกรุงเทพมหานครประกาศกำหนดให้ค่าปรับกรณีชำระเงินค่าส่วนกลางล่าช้านี้เป็นไปตามที่คณะกรรมการหมู่บ้านจัดสรรเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ของสมาชิกมีมติเห็นชอบเมื่อตอนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนเงินที่ค้างชำระ ซึ่งต่างจากกรณีของนิติบุคคลอาคารชุดที่ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มได้ร้อยละ 12 ต่อปี และถ้าค้างชำระเกิน 6 เดือน ก็จะเรียกเก็บเงินเพิ่มได้ร้อยละ 20 ต่อปี ต้นไม้ข้างบ้านรุกล้ำจัดการอย่างไร ปัญหาจากต้นไม้ข้างบ้านรุกล้ำจัดการอย่างไรด้วยกฎหมาย ดูได้ที่นี่ ต้นไม้ข้างบ้านรุกล้ำจัดการอย่างไร ปัญหาจากต้นไม้ข้างบ้านรุกล้ำจัดการอย่างไรด้วยกฎหมาย ดูได้ที่นี่ ปัญหาจากต้นไม้ข้างบ้านรุกล้ำจัดการอย่างไรด้วยกฎหมาย ดูได้ที่นี่ ถ้าไม่จ่ายค่าส่วนกลางนานแล้ว นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรทำอะไรได้บ้าง ในกรณีของนิติบุคคลอาคารชุด กฎหมายกำหนดให้เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราที่สูงขึ้นเมื่อค้างชำระเกิน 6 เดือน ไม่มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมใหญ่ ถูกระงับการให้บริการส่วนรวมหรือการใช้ทรัพย์ส่วนกลาง และระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในห้องชุดนั้น ๆ ได้ แต่ในกรณีของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรนั้น กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 50 วรรคสองแบบนี้ครับ “…..ผู้ที่ค้างชำระเงินค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป อาจถูกระงับการให้บริการหรือการใช้สิทธิในสาธารณูปโภค และในกรณีค้างชำระตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินจัดสรรของผู้ค้างชำระจนกว่าจะชำระให้ครบถ้วน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลางกำหนด…” จะเห็นได้ว่า การค้างชำระแบ่งออกได้ 2 กรณี คือ – กรณีแรก ค้างชำระ 3 เดือนขึ้นไป อาจถูกระงับการให้บริการหรือการใช้สิทธิในสาธารณูปโภค – กรณีที่สอง ค้างชำระ 6 เดือนขึ้นไป จะถูกระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดิน โดยไม่มีการเพิ่มอัตราเงินเพิ่มเหมือนกับนิติบุคคลอาคารชุด ในกรณีการระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนั้นจะคล้ายกับอาคารชุด แต่ต่างกันบ้าง เนื่องจากกรณีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมห้องชุด กฎหมายกำหนดให้ต้องมีหนังสือปลอดหนี้มาแสดง ซึ่งหากยังมีหนี้ค่าส่วนกลางค้างชำระอยู่ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจะไม่ออกหนังสือดังกล่าวให้ ก็จะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมห้องชุดไม่ได้ ตัวอย่างหนังสือรับรองการปลอดหนี้สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ แต่กรณีบ้านจัดสรรนั้น ไม่ได้กำหนดให้ต้องมีหนังสือปลอดหนี้มาแสดง แต่เป็นหน้าที่ของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรที่ต้องทำหนังสือไปแจ้งสำนักงานที่ดินที่เกี่ยวข้องว่าบ้านจัดสรรหลังดังกล่าวมีหนี้ค่าส่วนกลางค้างชำระเกิน 6 เดือน ให้ระงับการจดทะเบียนไว้ ซึ่งกรณีนี้อาจเป็นปัญหาได้ หากนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรไม่ได้ทำหนังสือไปแจ้งสำนักงานที่ดินว่ามีหนี้ค่าส่วนกลางค้างชำระเกิน 6 เดือน เจ้าพนักงานที่ดินก็จะยอมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้ตามปกติ กรณีเช่นนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3188/2561 ซึ่งพิพากษาว่ากฎหมายไม่ได้กำหนดว่าการโอนกรรมสิทธิต้องมีหนังสือปลอดหนี้ เมื่อมีหนี้ค่าส่วนกลางค้างชำระ นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรต้องฟ้องเรียกเอาจากเจ้าของเดิมซึ่งถือว่าเป็นผู้ใช้ประโยชน์ในทรัพย์ส่วนกลาง ไม่ใช่ฟ้องเอาจากเจ้าของใหม่ สำหรับเรื่องการระงับการให้บริการหรือการใช้สาธารณูปโภคนั้น ผมเห็นว่าน่าจะพอเทียบเคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกาในกรณีของนิติบุคคลอาคารชุดได้ครับ เนื่องจากกฎหมายบัญญัติไว้ไม่ต่างกันเท่าใด
กฎหมายที่ควบคุมการดำเนินงานของโครงการบ้านจัดสรร ในขณะที่การดำเนินงานของนิติบุคคลอาคารชุดเป็นไปตามพระราชบัญญัติอาคารชุดฯ แต่การดำเนินงานของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรเป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดินฯ กรณีการชำระเงินค่าใช้จ่ายส่วนกลางล่าช้านั้น มาตรา 50 วรรคแรกของพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดินฯ กำหนดไว้แบบนี้ครับ “มาตรา 50 ผู้มีหน้าที่ชำระเงินค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคตามมาตรา 49 วรรคสอง ที่ชำระเงินดังกล่าวล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนด จะต้องจ่ายค่าปรับสำหรับการจ่ายเงินล่าช้าตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนด” จากกฎหมายข้างต้นจะเห็นได้ว่า การชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางล่าช้ากรณีหมู่บ้านจัดสรรนั้นก็มีค่าปรับเช่นกันครับ เพียงแต่ค่าปรับส่วนนี้ต้องเป็นไปตามที่ “คณะกรรมการ” กำหนด ซึ่งคณะกรรมการนี้ก็คือคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัด โดยในปัจจุบัน คณะกรรมการจัดสรรที่ดินกรุงเทพมหานครประกาศกำหนดให้ค่าปรับกรณีชำระเงินค่าส่วนกลางล่าช้านี้เป็นไปตามที่คณะกรรมการหมู่บ้านจัดสรรเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ของสมาชิกมีมติเห็นชอบเมื่อตอนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนเงินที่ค้างชำระ ซึ่งต่างจากกรณีของนิติบุคคลอาคารชุดที่ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มได้ร้อยละ 12 ต่อปี และถ้าค้างชำระเกิน 6 เดือน ก็จะเรียกเก็บเงินเพิ่มได้ร้อยละ 20 ต่อปี ถ้าไม่จ่ายค่าส่วนกลางนานแล้ว นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรทำอะไรได้บ้าง ในกรณีของนิติบุคคลอาคารชุด กฎหมายกำหนดให้เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราที่สูงขึ้นเมื่อค้างชำระเกิน 6 เดือน ไม่มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมใหญ่ ถูกระงับการให้บริการส่วนรวมหรือการใช้ทรัพย์ส่วนกลาง และระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในห้องชุดนั้น ๆ ได้ แต่ในกรณีของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรนั้น กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 50 วรรคสองแบบนี้ครับ “…..ผู้ที่ค้างชำระเงินค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป อาจถูกระงับการให้บริการหรือการใช้สิทธิในสาธารณูปโภค และในกรณีค้างชำระตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินจัดสรรของผู้ค้างชำระจนกว่าจะชำระให้ครบถ้วน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลางกำหนด…” จะเห็นได้ว่า การค้างชำระแบ่งออกได้ 2 กรณี คือ – กรณีแรก ค้างชำระ 3 เดือนขึ้นไป อาจถูกระงับการให้บริการหรือการใช้สิทธิในสาธารณูปโภค – กรณีที่สอง ค้างชำระ 6 เดือนขึ้นไป จะถูกระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดิน โดยไม่มีการเพิ่มอัตราเงินเพิ่มเหมือนกับนิติบุคคลอาคารชุด ในกรณีการระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนั้นจะคล้ายกับอาคารชุด แต่ต่างกันบ้าง เนื่องจากกรณีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมห้องชุด กฎหมายกำหนดให้ต้องมีหนังสือปลอดหนี้มาแสดง ซึ่งหากยังมีหนี้ค่าส่วนกลางค้างชำระอยู่ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจะไม่ออกหนังสือดังกล่าวให้ ก็จะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมห้องชุดไม่ได้ ตัวอย่างหนังสือรับรองการปลอดหนี้สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ แต่กรณีบ้านจัดสรรนั้น ไม่ได้กำหนดให้ต้องมีหนังสือปลอดหนี้มาแสดง แต่เป็นหน้าที่ของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรที่ต้องทำหนังสือไปแจ้งสำนักงานที่ดินที่เกี่ยวข้องว่าบ้านจัดสรรหลังดังกล่าวมีหนี้ค่าส่วนกลางค้างชำระเกิน 6 เดือน ให้ระงับการจดทะเบียนไว้ ซึ่งกรณีนี้อาจเป็นปัญหาได้ หากนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรไม่ได้ทำหนังสือไปแจ้งสำนักงานที่ดินว่ามีหนี้ค่าส่วนกลางค้างชำระเกิน 6 เดือน เจ้าพนักงานที่ดินก็จะยอมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้ตามปกติ กรณีเช่นนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3188/2561 ซึ่งพิพากษาว่ากฎหมายไม่ได้กำหนดว่าการโอนกรรมสิทธิต้องมีหนังสือปลอดหนี้ เมื่อมีหนี้ค่าส่วนกลางค้างชำระ นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรต้องฟ้องเรียกเอาจากเจ้าของเดิมซึ่งถือว่าเป็นผู้ใช้ประโยชน์ในทรัพย์ส่วนกลาง ไม่ใช่ฟ้องเอาจากเจ้าของใหม่
กฎหมายทรัพย์สิน-กรรมสิทธิ์-ทรัพย์อิงสิทธิ,คำพิพากษาศาลฎีกา,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_13010
Medical
ยาโทซิลิซูแมบมีสรรพคุณ คุณสมบัติ อย่างไร
1. ป็นเป็นสารเคมีที่ถูกปลดปล่อยภายในร่างกายจาก ปฏิกิริยาภูมิแพ้ โดยผ่านการกระทำที่ ตัวรับฮิสตามีน 2. เป็นยาที่ออกฤทธิ์ลดการอักเสบ ลดไข้ บรรเทาปวด ลดบวมแดง ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย 3. ใช้รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ Rheumatoid Arthritis RA ร่วมกับยาเมโธเทรกเซต และ ใช้รักษาโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก Juvenile Idiopathic Arthritis ตั้งแต่เด็กอายุ 2 ปี ขึ้นไป นอกจากนี้ ยังมีการใช้ยาโทซิลิซูแมบในข้อบ่งใช้อื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียน 4. เป็นกลุ่มยาที่ใช้รักษาและระงับอาการไอ ซึ่งเป็นอาการที่ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองภายในระบบทางเดินหายใจ
คำตอบที่ถูกต้องคือ 3. เพราะว่า ยาโทซิลิซูแมบ มีสรรคุณข้อบ่งใช้ดังต่อไปนี้ เช่น 1. ใช้รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ Rheumatoid Arthritis RA ร่วมกับยาเมโธเทรกเซต Methotrexate 2. ใช้รักษาโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก Juvenile Idiopathic Arthritis ตั้งแต่เด็กอายุ 2 ปี ขึ้นไป นอกจากนี้ ยังมีการใช้ยาโทซิลิซูแมบในข้อบ่งใช้อื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียน Off-label use การใช้ในโรคเหล่านี้ เช่น ในการรักษาโรคแคสเทิลแมน Castlemans Disease โรคชนิดหนึ่งที่พบได้น้อยมากๆ ที่มีความผิดปกติในการเจริญเติบโตของต่อมน้ำเหลือง จนทำให้เกิดภาวะต่อมน้ำเหลืองโตได้ทั่วร่างกาย และการใช้รักษากลุ่มอาการจากการหลั่งไซโตไคน์ Cytokine Release Syndrome CRS
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_21604
Medical
วัยหมดประจำเดือนเริ่มเมื่ออายุประมาณกี่ปี
ก. เริ่มเมื่ออายุประมาณ 40-45 ปี ข. เริ่มเมื่ออายุประมาณ 55-60 ปี ค. เริ่มเมื่ออายุประมาณ 50-55 ปี ง. เริ่มเมื่ออายุประมาณ 45-50 ปี
คำตอบที่ถูกต้องคือ ง. เนื่องจาก วัยใกล้หมดประจำเดือนหรือวัยหมดประจำเดือน เริ่มเมื่ออายุประมาณ 45-50 ปี ผู้หญิงจำนวนมากจะพบกับความรู้สึกที่ไม่สบายต่างๆ นานา ทั้งทางร่างกายและจิตใจ จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ร่างกายของเขาก็จะปรับตัวเองเข้ากับภาวะที่ระดับของฮอร์โมนเพศลดลงได้ ในกรณีนี้การกดจุดจะช่วยบรรเทาอาการทั้งหลายของหญิงวัยหมดประจำเดือนได้ มีข้อเตือนใจคุณผู้หญิงสักเล็กน้อยว่า โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยก็จริง แต่ก่อนอื่นท่านควรจะให้แพทย์ได้ตรวจอาการให้แน่ใจก่อน ว่าไม่ใช่เป็นโรคทางกายร้ายแรงใดๆ และจากนั้นท่านก็สามารถกดจุดบรรเทาอาการได้ อาการ ปวดมึนศีรษะหรือวิงเวียนศีรษะ หน้ามืดบ่อย ใจสั่น เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย จุกแน่นท้อง ท้องผูก ชาตามมือ ตามเท้า หงุดหงิด โมโหง่าย หรือเหงื่อออกตามมือและมีอาการแปลกๆ เช่น ร้อนในท้อง ซู่ซ่าตามมือและเท้า เจ็บหน้าอก บ่นเจ็บหน้าอกไม่เป็นเวลา อยู่เฉยๆ หรือเวลานอนก็เจ็บ ออกกำลังกายหรือทำอะไรเพลินๆ ก็หายเจ็บ อาการที่สำคัญและพบได้ทุกคน คือ นอนไม่หลับ และวิตกกังวล สาเหตุ การตกไข่ของผู้หญิงจะเริ่มประมาณช่วงอายุ 12-14 ปี ตามมาด้วยการมีรอบเดือน หรือมีประจำเดือนอย่างสม่ำเสมอ และประจำเดือนจะสิ้นสุดลงเมื่ออายุประมาณ 48-52 ปี ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะหมดฮอร์โมนไปด้วย เพียงแต่ฮอร์โมนในระยะหลังหมดประจำเดือนจะมีปริมาณไม่มากเหมือนเมื่อก่อน และสิ่งนี้เองจะนำไปสู่อาการต่างๆ ที่เราเรียกว่า อาการของหญิงวัยหมดประจำเดือน ในรายที่มีอาการมากจนเป็นเหตุให้ร่างกายทรุดโทรม แพทย์จะสั่งยาฮอร์โมนเพิ่มให้รับประทาน ฉะนั้น ควรจะได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์ก่อนกดจุดรักษาอาการ
นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_3565
Finance
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดหุ้นกู้มีความผันผวนสูง นักลงทุนควรมีกลยุทธ์อย่างไรในการเลือกลงทุนในหุ้นกู้เพื่อรักษาเงินต้นและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง
null
กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกู้เพื่อรักษาเงินต้นและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในสถานการณ์ปัจจุบัน: 1. เน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความน่าเชื่อถือสูง (Investment Grade) เลือกหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) อยู่ในระดับ BBB- ขึ้นไป จากบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง กระแสเงินสดสม่ำเสมอ และมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ต่ำ มุ่งเน้นไปที่หุ้นกู้ของบริษัทในภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวน้อย เช่น สาธารณูปโภค อาหารและเครื่องดื่ม ยาและเวชภัณฑ์ กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทที่หลากหลายในหลายๆ ภาคธุรกิจ 2. เลือกอายุการลงทุนที่เหมาะสม พิจารณาอายุการลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่รับได้ เลือกหุ้นกู้ที่มีอายุสั้น (1-3 ปี) เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เลือกหุ้นกู้ที่มีอายุยาว (5 ปีขึ้นไป) เพื่อล็อกผลตอบแทนที่สูงกว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ 3. พิจารณาลงทุนในหุ้นกู้ต่างประเทศ เลือกหุ้นกู้ในสกุลเงินที่มีเสถียรภาพ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เยน เลือกประเทศที่มีเศรษฐกิจและการเมืองที่มั่นคง ศึกษาความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 4. ลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและต้องการความสะดวก เลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนชัดเจน เน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง ศึกษาผลการดำเนินงานและค่าธรรมเนียมของกองทุนก่อนตัดสินใจ 5. ติดตามข่าวสารและข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ การเงิน และตลาดหุ้นกู้ วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อราคาหุ้นกู้ ปรับกลยุทธ์การลงทุนตามสถานการณ์ ข้อควรระวัง: การลงทุนในหุ้นกู้มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ ผลตอบแทนที่สูงมักมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูง ไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดในหุ้นกู้ประเภทเดียว ควรกระจายความเสี่ยง คำแนะนำเพิ่มเติม: ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์และเป้าหมายทางการเงินของคุณ สรุป: การลงทุนในหุ้นกู้เป็นวิธีการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง แต่ต้องเลือกหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง กระจายความเสี่ยง และติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ โดยกลยุทธ์ที่แนะนำข้างต้นจะช่วยให้นักลงทุนรักษาเงินต้นและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในสถานการณ์ตลาดหุ้นกู้ที่ผันผวน
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_41894
Finance
ค่าธรรมเนียมไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัวหรือมองข้าม แต่เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ เพราะเหตุใด
หลายคนกลัวค่าธรรมเนียม เลยพาลไม่กล้าลงทุน หรือบางคนลงทุนไปเลยโดยที่ไม่สนใจเรื่องค่าธรรมเนียม ซึ่งทั้งสองกรณีไม่ใช่เรื่องที่ควรทำทั้งคู่ จริงๆ ค่าธรรมเนียมไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัวหรือมองข้าม แต่เป็นเรื่องที่ต้อง “ทำความเข้าใจ” เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อผลตอบแทนที่เราจะได้จากการลงทุน ติดตาม FINNOMENA Podcast ได้ทุกช่องทางที่คุณมี App Spotify App Google podcasts Apple podcast App Soundcloud Podbean Youtube
ค่าธรรมเนียมไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัวหรือมองข้าม แต่เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_4015
Finance
ขอรายละเอียด ผลของการระบาดของโรคโควิด-19 กับ เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก หน่อย
null
1. ตั้งแต่มีการระบาดของโรคโควิด-19 รอบที่สามในประเทศไทย แม้ในเชิงความเข้มงวดของมาตรการเว้นระยะห่างในครั้งนี้ อาจไม่เทียบเท่าระดับการล็อกดาวน์ทั้งประเทศในช่วงเดือนเมษายน ปี 2563 แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการระบาดในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับใกล้เคียง หรือเทียบเท่าการระบาดเมื่อปีที่แล้วเลยทีเดียว 2. โดยการระบาดในครั้งนี้ ทำให้มุมมองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2564 เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ทั้งด้านการบริโภคภาคเอกชนจากเดิมที่มีการคาดหวังให้มีการฟื้นตัวจากการสนับสนุนของภาครัฐ ควบคู่ไปกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ก็อาจมีแนวโน้มที่กลับมาหดตัวลดลงอีก เนื่องจากรายได้ของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจบริการ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการเว้นระยะห่าง ในขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวไทยที่มีการคาดหวังจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบ เนื่องจากการระบาดรอบใหม่ของโรคโควิด-19 ในครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนต่อแผนการเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว เพราะอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงใหม่ในการนำเข้าเชื้อโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่จากต่างประเทศได้ 3. มาตรการสำคัญที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในครั้งนี้ อาจเป็นมาตรการที่แตกต่างจากในอดีต เนื่องจากมาตรการนี้ไม่ใช่มาตรการทางการเงินหรือการคลัง แต่เป็นมาตรการ การเร่งกระจายวัคซีนในประเทศ เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 อันเป็นมาตรการที่นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมไปถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ล้วนให้ความเห็นสนับสนุนว่าเป็นมาตรการที่ดีที่สุดในการรับมือต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน กับเศรษฐกิจโลก: ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือกรณีของประเทศสหราชอาณาจักร ที่ในช่วงเดือนธันวาคม 2563 สหราชอาณาจักรได้รับผลกระทบอย่างหนักของการระบาดจนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัวลงกว่า 30% จากระดับปกติ อย่างไรก็ตามการมีแผนการเร่งฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็ว ทำให้สหราชอาณาจักรมีอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยข้อมูล ณ สิ้นเดือนเมษายน มีการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ ในขณะเดียวกัน กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็มีการฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อยู่ในระดับที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัวเพียง 10% ซึ่งนับเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 5 เดือน กับเศรษฐกิจไทย: ของประเทศไทยนั้น ปัจจุบันเนื่องจากมีการระบาดของโรคโควิด-19 รอบที่สาม จึงทำให้เกิดมาตรการเว้นระยะห่างที่เข้มงวดมากขึ้น Google Mobility Index จึงมีการหดตัวลงเกินกว่า 20% ถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าช่วงเดือนธันวาคม 2563
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_26016
Medical
หญิงตั้งครรภ์ควรกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ใช่หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ไขมันอิ่มตัว: พบมากในเนื้อสัตว์ เนย ชีส น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม - การกินไขมันอิ่มตัวสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอ้วน - องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้กินไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 10% ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน 2. หญิงตั้งครรภ์: ต้องการพลังงานและสารอาหารเพิ่มขึ้นเพื่อทารกในครรภ์ - ควรเลือกกินไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fat) และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fat) - ไขมันไม่อิ่มตัว พบมากในปลา อะโวคาโด ถั่ว น้ำมันมะกอก และน้ำมันงา ผลเสียของการกินไขมันอิ่มตัวสูง: - เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น - เบาหวานขณะตั้งครรภ์ - ความดันโลหิตสูง - ภาวะครรภ์เป็นพิษ - ทารกในครรภ์มีน้ำหนักตัวมาก - เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนในเด็ก ตัวอย่างอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง: - กะทิ - หนังสัตว์ - ไขมันหมู - เนย - ชีส - อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮมเบอร์เกอร์ ตัวอย่างอาหารที่มีไขมันที่ดีต่อสุขภาพ: - ปลาแซลมอ - ปลาทูน่า - อะโวคาโด - ถั่วอัลมอนด์ - น้ำมันมะกอก - น้ำมันงา สรุป: หญิงตั้งครรภ์ควรกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ และเลือกกินไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ส่งเสริมสุขภาพของแม่และทารกในครรภ์ ข้อควรระวัง: 1. ปริมาณไขมันที่หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับต่อวัน ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว กิจกรรม และสุขภาพโดยรวม 2. ควรปรึกษาแพทย์หรือโภชนากร เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับการกินอาหารที่เหมาะสมระหว่างตั้งครรภ์
สูติศาสตร์ (สูติศาสตร์) - Obstetrics,โภชนวิทยา
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_43909
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นโดยมีข้อคิดว่า...การศึกษา วิเคราะห์ และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
null
เกมพลิก: บททดสอบของนักลงทุน ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้น "นาวิน" นักลงทุนหนุ่มไฟแรง กำลังเผชิญกับบททดสอบครั้งสำคัญ เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ดอกเบี้ยขาขึ้น และความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอย ล้วนเป็นอุปสรรคที่ท้าทายกลยุทธ์การลงทุนของเขา นาวินทุ่มเทให้กับการศึกษาตลาด วิเคราะห์ข้อมูล และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เขาเข้าใจดีว่า "จังหวะ" และ "ธีม" ที่เหมาะสม คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในเกมนี้ บทความจาก THE STANDARD WEALTH กลายเป็นเข็มทิศนำทาง ช่วยให้เขาตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด บทเรียนจากตลาด นาวินเรียนรู้ว่าธีมแห่งอนาคตที่ "ไกลเกินไป" มักเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้น ธีมอย่าง Sustainable Energy และ Healthcare Innovation ถดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ตรงกันข้าม ธีมระยะสั้นป้องกันเงินเฟ้อ กลับได้รับความนิยม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ PPI หรือ AXS Astoria Inflation Sensitive ETF ที่ระดมทุนได้กว่า 30 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดือนเปิดตัว การปรับกลยุทธ์ นาวินตัดสินใจลดสัดส่วนการถือบอนด์ลง เปลี่ยนมาถือเงินสดแทนในระยะสั้น เขาเล็งเห็นถึงโอกาสในธีม Consumer Evolution และ Healthcare Innovation ที่ปรับฐานไปก่อนหน้านี้ เชื่อว่าธีมเหล่านี้มีศักยภาพที่จะกลับตัวได้หลังมีความชัดเจนเชิงนโยบาย บททดสอบแห่งความอดทน นาวินเข้าใจดีว่า การลงทุนคือเกมระยะยาว เขาอดทนรอจังหวะที่เงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว มองหาวิธีลงทุนระยะยาวใน Deflation Winners อย่าง FinTech และ Disruptive Technology เชื่อว่าธีมเหล่านี้จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต บทสรุป เกมพลิกครั้งนี้สอนให้นาวินรู้จัก "การปรับตัว" และ "การรอคอย" เขาตระหนักว่าตลาดหุ้นมีวัฏจักรขาขึ้นและขาลง สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้ วิเคราะห์ และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_21788
Medical
อธิบายกลไกการเกิดลมแดด และวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
null
กลไกการเกิดลมแดด: อุณหภูมิสูง: อากาศร้อนจัด ความชื้นสูง ทำให้ร่างกายระบายความร้อนได้ยาก อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น การสูญเสียน้ำ: เหงื่อออกมาก ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ปริมาณเลือดลดลง การทำงานหนัก: การออกกำลังกายหนัก กล้ามเนื้อสร้างความร้อนมากขึ้น ปัจจัยอื่นๆ: เสื้อผ้าหนา ยาบางชนิด ภาวะขาดน้ำ โรคประจำตัว เมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 40.5 องศาเซลเซียส สมองส่วนควบคุมอุณหภูมิทำงานผิดพลาด เกิดอาการดังนี้ รู้สึกเหมือนมีไฟสุมในอก กล้ามเนื้อปวด หายใจสั้น หอบเหนื่อย ปากแห้ง สายตาพร่ามัว คลื่นไส้อาเจียน รู้สึกหนาวสะท้าน ควบคุมสติไม่อยู่ เหงื่อหยุดไหล ผิวหนังแห้งและเย็น หมดสติ วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น: หยุดพัก: พาผู้ป่วยไปยังที่ร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก คลายความร้อน: ถอดเสื้อผ้าหนาๆ ออก ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามจุดชีพจร เช่น หน้าผาก รักแร้ ขาหนีบ เป่าพัดลม ชดเชยน้ำ: ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเย็น หรือน้ำเกลือแร่ ห้ามให้น้ำแข็งดูด ท่าแก้ช็อก: นอนราบ ยกขาสูงกว่าระดับหัวใจ เฝ้าระวัง: สังเกตอาการ ชีพจร การหายใจ เช็ดตัวให้เย็นลง ติดต่อขอความช่วยเหลือ: รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ข้อควรระวัง: ห้ามใช้แอลกอฮอล์เช็ดตัว ห้ามให้น้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม ห้ามให้ผู้ป่วยกินยาแก้ปวดเอง ตัวอย่าง: คุณหมอเก๊ป เมอร์กิ้น เกิดลมแดดขณะวิ่งแข่ง อุณหภูมิร่างกายสูงถึง 100 ฟาเรนไฮท์ หมดสติ โชคดีได้รับการปฐมพยาบาลทันท่วงที นักวิ่งสตีเฟน บราวน์ เกิดอาการซวนเซจากลมแดด ล้มลงไปในทะเล ได้รับการช่วยเหลือและรักษา การป้องกัน: ดื่มน้ำให้เพียงพอ สวมเสื้อผ้าสีอ่อน ระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้ง ฝึกซ้อมให้ร่างกายคุ้นเคยกับอากาศร้อน รู้จักสัญญาณเตือนของลมแดด เตรียมพร้อมสำหรับการปฐมพยาบาล สรุป: ลมแดดเป็นภาวะฉุกเฉินที่อันตราย เกิดจากอุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 40.5 องศาเซลเซียส วิธีป้องกันที่ดีคือ ดื่มน้ำให้เพียงพอ สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้ง และฝึกซ้อมให้ร่างกายคุ้นเคยกับอากาศร้อน หากพบผู้ป่วยเป็นลมแดด ควรให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยเร็วที่สุด ดังนี้ พาผู้ป่วยไปยังที่ร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก ถอดเสื้อผ้าหนาๆ ออก ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามจุดชีพจร ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเย็น หรือน้ำเกลือแร่ นอนราบ ยกขาสูงกว่าระดับหัวใจ
เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (emergency),อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_4007
Finance
ช่วยสรุปบทความ จับตาทิศทางนโยบายการเงิน Fed รับมือเงินเฟ้อพุ่ง ชี้ชะตาทิศทางทองคำ ให้ด้วย
ทองคำถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่ยังคงถูกใช้อย่างกว้างขวางโดยนักลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ สะท้อนจากข้อมูลของ World Gold Council ที่บ่งชี้ว่าผลตอบแทนของทองคำสูงกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงอย่างมาก โดย World Gold Council พบว่าในปีที่อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าระดับ 3% ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 15% โดยเฉลี่ย ปัจจุบันเริ่มมีการคาดการณ์เกี่ยวกับเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ 1. ราคาน้ำมันและเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น การกระจายวัคซีนที่ส่งผลให้เกิดการคาดการณ์ว่าอุปสงค์การใช้นำมันอาจเพิ่มสูงขึ้นหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว 2. ปัจจุบันอัตราการออมส่วนบุคคลในสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูง เมื่อมีการผ่อนคลายข้อจำกัดจะกลับมากระตุ้นอุปสงค์ในหมู่บริโภค 3. กลับกันในฝั่งของอุปทานกลับเผชิญปัญหาขาดแคลนสินค้าและวัตถุดิบสำหรับการผลิต รวมถึงแรงงาน ทำให้ภาคการผลิตไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันตามอุปสงค์ที่เพิ่มสูงขึ้น 4. รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจผ่านการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง ซึ่งจะเป็นกระตุ้นการใช้จ่ายซึ่งนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อเช่นกัน ล่าสุดดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้น 0.8% ในเดือนเมษายน เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.2% เมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 4.2% ซึ่งเป็นการดีดตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2008 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.6% สะท้อนแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นชัดเจน ขณะที่การคาดการณ์เงินเฟ้อผ่านทาง 10-year Breakeven Inflation Rate พุ่งขึ้นแตะ 2.54% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2013 เช่นกัน การพุ่งขึ้นแรงของเงินเฟ้อทำให้ตลาดสงสัยในจุดยืนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่มองว่าการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นแค่ชั่วคราวเท่านั้น จนกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า “Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เร็วกว่าที่คาดไว้” เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้น พร้อมกับหนุนดัชนีดอลลาร์ให้แข็งค่าขึ้น จนกดดันราคาทองคำให้ร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,808 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในระหว่างการซื้อขายของวันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ตามข้อมูลจาก World Gold Council ที่แสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนของทองคำสูงกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่เงินเฟ้อสูง โดยเฉลี่ยทองคำปรับตัวขึ้น 15% ในปีที่อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าระดับ 3% ปัจจุบันมีการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันและเชื้อเพลิง การกระจายวัคซีนที่ทำให้คาดการณ์การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น อัตราการออมส่วนบุคคลที่สูง, ปัญหาขาดแคลนสินค้าและวัตถุดิบในการผลิต และ การเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนเมษายน สูงกว่าที่คาดการณ์ 0.2% เทียบรายเดือน และดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 4.2% เทียบรายปี สูงกว่าคาดการณ์ 3.6%, แสดงถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ การคาดการณ์เงินเฟ้อผ่าน 10-year Breakeven Inflation Rate เพิ่มขึ้นถึง 2.54%, ระดับสูงสุดตั้งแต่มีนาคม 2013 เนื่องจากการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อทำให้ตลาดสงสัยว่า Fed จะไม่สามารถคุมเงินเฟ้อได้ ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และ ราคาทองคำร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,808 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_13470
Medical
หูอื้อจากโดยสารเครื่องบิน หรือหูอื้อจากเปลี่ยนความดันอากาศ หรือหูอื้อจากเปลี่ยนความดันบรรยากาศ (Barotitis) เป็นการอักเสบของหูชั้นใด
ก. ชั้นใน ข. ชั้นกลาง ค. ชั้นนอก ง. ชั้นใน และ ชั้นนอก
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ ข. เพราะว่า หูอื้อจากโดยสารเครื่องบิน หรือหูอื้อจากเปลี่ยนความดันอากาศ หรือหูอื้อจากเปลี่ยนความดันบรรยากาศ (Barotitis) เป็นการอักเสบของหูชั้นกลาง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงความดันอากาศ/ความดันบรรยากาศ/ความกดดันอากาศ บางคนเรียกว่า Ear Squeeze, Aerotitis, Barotitis media, หรือ Airplane ear จึงทำให้มีการอักเสบหรือ เลือดออกในหูชั้นกลาง มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความสูงอย่างรวดเร็ว จากการบิน การดำน้ำ และในห้องปรับบรรยากาศความดันสูง (Hyperbaric chamber ) หูชั้นกลางอักเสบ หรือหูอื้อ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงความกดดันบรรยากาศ/อากาศ เกิดขื้นได้โดย ปกติหูชั้นกลางมีช่องทางแคบๆ ที่เรียกว่า ท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) เป็นท่อเปิดออกสู่ภายนอกในส่วนของลำคอ ทางโพรงหลังจมูก (Nasopharynx) ถ้าอากาศในหูชั้นกลางมีความดันสูงกว่าอากาศภายนอก มันจะดันผ่านออกไปสู่ภายนอกได้ แต่ในทางตรง กันข้าม เมื่ออากาศภายนอก มีความดันสูงกว่าอากาศภายในช่องหูชั้นกลาง จะทำให้ภายในท่อยูสเตเชียน เกิดความดันเป็นลบ (Negative pressure) เยื่อบุท่อยูสเตเชียนจึงถูกดูดเข้ามาติด กันสนิท ทำให้เกิดภาวะท่อตีบตัน ทำให้อากาศไม่สามารถถ่ายเฉลี่ยความกดดันได้ จึงไม่เกิดความสมดุลของความกดดันบรรยากาศระหว่างหูชั้นกลางกับบรรยากาศภายนอก มักเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงความสูง (Altitude) อย่างรวดเร็ว
โสต ศอ นาสิกวิทยา (โสต ศอ นาสิกวิทยา) - Otolaryngology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_13832
Medical
ภาวะน้ำเป็นพิษคืออะไร
ก. ภาวะที่ร่างกายสะสมน้ำไว้มากเกินไป จนส่งผลให้มีโซเดียมในเลือดต่ำ ข. ภาวะที่ร่างกายเรามีน้ำมากเกินความจำเป็น แม้ส่วนประกอบในร่างกายจะเป็นน้ำซะเป็นส่วนใหญ่ ค. เกิดจากการมีของเหลวในถุงลมปอดมากผิดปกติ ง. เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถทำงานได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น ภาวะที่หัวใจอ่อนแอหรืออ่อนกำลังลง
ข้อที่ถูกต้องคือ ก. เพราะว่า ภาวะน้ำเป็นพิษWater intoxication คือภาวะที่ร่างกายสะสมน้ำไว้มากเกินไป จนส่งผลให้มีโซเดียมในเลือดต่ำ ทั่วไปมักเป็นภาวะที่ก่ออาการผิดปกติเฉียบพลัน โดยอาจจากการดื่มน้ำบริโภคน้ำมากเกินไป หรือจากการที่ร่างกายสะสมน้ำมากขึ้นๆและหรือไม่สามารถกำจัดน้ำออกจากร่างกายได้ในอัตราปกติ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการ เหนื่อย ปวดศีรษะ ทรงตัวไม่ได้เซ สับสน อาจคลื่นไส้ อาเจียน และถ้าอาการรุนแรงจะ ชัก โคม่า และเสียชีวิตในที่สุด ภาวะน้ำเป็นพิษ เป็นภาวะพบทั่วโลก ไม่ขึ้นกับเชื้อชาติ แต่ไม่มีรายงานสถิติเกิดที่แน่ชัดเพราะมักแยกรายงานตามแต่ละสาเหตุซึ่งมีได้หลากหลายสาเหตุ เป็นภาวะพบใน ทุกวัยแต่พบสูงขึ้นในผู้สุงอายุจากการมีโรคประจำตัวหลายโรคที่ทำให้ขีดความสามารถในการกำจัดน้ำของร่างกายลดลง เช่น โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ และพบในผู้หญิงสูงกว่าผู้ชายเล็กน้อย
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_30892
Medical
ช่วยสรุปบทความเร่ื่อง "ความจริงที่ควรรู้เกี่ยวกับการดูดไขมัน กับข้อควรรู้และการเลือกทำที่ถูกวิธี" ให้หน่อยนะคะ
สำหรับคนที่ประสบปัญหาในเรื่องของรูปร่างและสัดส่วน ทางออกหนึ่งที่หลายคนสนใจก็คือการ “ดูดไขมัน” ที่นับเป็นศัลยกรรมประเภทหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการปฏิบัติ แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีหลายคนที่ขาดความรู้เกี่ยวกับการดูดไขมันอยู่มาก วันนี้ทางเราจึงถือโอกาสนำข้อมูลความรู้จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาฝากเพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน การดูดไขมัน นับเป็นศัลยกรรมประเภทหนึ่ง ที่ต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการผ่าตัด ไม่สามารถทำเองได้ อย่างเช่นในปัจจุบันที่เห็นว่าบางแห่งจำหน่ายเครื่องดูดไขมันสำหรับทำเองที่บ้านหรือสำหรับร้านค้าที่ให้บริการเกี่ยวกับความงาม จัดว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะการดูดไขมันต้องทำร่วมกันกับการผ่าตัด ต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางและต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่หลายคนยังคงเข้าใจผิดและควรทำความเข้าใจใหม่ตั้งแต่ตอนนี้ การดูดไขมันหลักๆ มีเพียงเทคนิคเดียวคือ การทำให้ไขมันหลวมเพื่อดูดออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น แต่การทำให้ไขมันหลวมมีหลายวิธีการ ได้แก่ การใช้คลื่นวิทยุ (RF), การใช้อัลตราซาวด์ (คลื่นเสียง), การฉีดสารละลายบางอย่างที่ทำให้ไขมันแตกตัวและดูดง่ายขึ้น และต้องเป็นสารที่ปลอดภัยไม่มีอันตราย การดูดไขมันไม่สามารถดูดได้ทุกแห่ง เพราะบางตำแหน่งมีความเสี่ยงสูง ซึ่งไม่เหมาะกับการดูดไขมัน โดยตำแหน่งที่คนนิยมดูดไขมัน ได้แก่ ท้อง เอว ต้นขา ต้นแขน และสะโพก ส่วนตำแหน่งที่ไม่เหมาะกับการดูดไขมันคือใบหน้า เพราะมีเส้นประสาทจำนวนมาก การเตรียมตัวก่อนการดูดไขมันคือต้องรู้ก่อนว่าจะดูดตำแหน่งไหน และต้องทำความเข้าใจว่าบริเวณนั้นเหมาะสมหรือไม่อย่างไร อย่างเช่นบริเวณน่องเป็นบริเวณที่หลายคนอยากดูดไขมันออก แต่ส่วนมากขนาดของน่องที่ใหญ่ มักไม่ได้เป็นเพราะไขมันแต่เป็นเพราะกล้ามเนื้อมากกว่า อาจต้องเข้าไปปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวิเคราะห์ละเอียดอีกทีว่ามีไขมันสะสมอยู่มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ยังต้องทำการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ให้บริการที่ต้องมีมาตรฐาน มีห้องผ่าตัดมาตรฐานสูง มีห้องพักฟื้นที่เหมาะสม และศึกษาข้อมูลของแพทย์ที่จะทำการดูดไขมันให้ สามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย อีกหนึ่งเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับการดูดไขมันก็คือ การดูดไขมัน “ไม่ใช่การลดความอ้วน” แต่เป็นการกระชับสัดส่วนเท่านั้น เพราะในความจริงแล้วไขมันมีน้ำหนักที่เบามากหากเปรียบเทียบกับกระดูกและกล้ามเนื้อ หลังดูดไขมันน้ำหนักอาจจะลดลงเพียงแค่ 1 กิโลกรัมโดยประมาณ รับประทานอาหาร 1-2 มื้อน้ำหนักก็กลับมาเท่าเดิม ไม่ได้ช่วยให้ผอมลง หรือไม่สามารถเปลี่ยนคนอ้วนให้เป็นคนผอมได้ หากต้องการลดความอ้วนยังคงต้องออกกำลังกายและควบคุมอาหารร่วมด้วย สำหรับการดูดไขมันในบริเวณต่างๆ ก็ไม่ได้การันตีว่าไขมันจะหมดไปอย่างถาวร เพียงแต่ช่วยให้ดีขึ้นเท่านั้น สมมติมีไขมันอยู่ 100% หลังดูดออกอย่างมากจะออกไป 60% ของไขมันทั้งหมด หลังจากนั้นไขมันก็อาจจะกลับมาใหม่ เวลาทานอะไรเข้าไป แต่อาจจะกลับมาไม่ถึง 100% โดยอาจจะกลับมาแค่ 80% เท่านั้น แต่ถ้าหากไม่มีการควบคุมอาหารที่ดีพอ ไขมันก็อาจกลับมาเท่าเดิมได้เช่นกัน ข้อมูลจาก ผศ. นพ.เฉลิมพงษ์ ฉัตรดอกไม้ไพร สาขาวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่งและแม็กซิโลเฟเชียล ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คลิกชมคลิปรายการ “สวยศาสตร์ EP.3 | ไขมันส่วนเกิน!” ได้ที่นี่ YouTube:
สำหรับคนที่สนใจการดูดไขมันเพื่อปรับรูปร่างและสัดส่วนร่างกาย จุดสำคัญที่ควรทราบคือการดูดไขมันเป็นศัลยกรรมที่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะมีความซับซ้อนและต้องใช้ทักษะทางการแพทย์ เนื่องจากมีการใช้เทคนิคเพื่อทำให้ไขมันหลวมและสามารถดูดออกได้ง่ายขึ้น ไม่ควรทำด้วยเครื่องดูดไขมันที่ขายตามท้องตลาดหรือที่บ้านเพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือ การดูดไขมันมีหลายวิธีการ เช่นใช้คลื่นวิทยุ (RF), อัลตราซาวด์ (คลื่นเสียง), หรือการฉีดสารละลายที่ทำให้ไขมันแตกตัวและดูดออก การเตรียมตัวก่อนการดูดไขมันมีความสำคัญ เช่นการตรวจสอบว่าตำแหน่งที่ต้องการดูดเหมาะสมหรือไม่ และควรเลือกที่มีมาตรฐานแพทย์และสถานที่ที่ปลอดภัย การดูดไขมันไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักทั่วไป แต่เน้นการกระชับสัดส่วน น้ำหนักลดลงอาจเพียงเล็กน้อยและไม่สามารถเปลี่ยนคนอ้วนเป็นคนผอมได้ การควบคุมอาหารและออกกำลังกายยังเป็นสิ่งสำคัญในการลดน้ำหนัก ตำแหน่งที่มักจะดูดไขมันได้ที่บ่อยมีท้อง เอว ต้นขา ต้นแขน และสะโพก แต่ไม่ทุกรายได้ดูดได้ เช่นใบหน้าที่มีเส้นประสาทมาก เป็นต้น การดูดไขมันไม่รับรองว่าไขมันจะหายไปอย่างถาวร แต่อาจกลับมาไม่เต็มที่ หากไม่ควบคุมอาหารที่ดี การหาข้อมูลและเลือกแพทย์ที่มีมาตรฐานสูงเป็นสิ่งสำคัญ และควรทราบว่าการดูดไขมันไม่ใช่การลดน้ำหนักที่ถาวร แต่เป็นวิธีในการปรับรูปร่างร่างกายและสัดส่วน
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_20507
Medical
การดูแลตนเองหลังคลอดมีเคล็ดลับอย่างไรบ้าง?
02-023-3333 ติดตามเราได้ที่ บริการ ข้อมูลสุขภาพ เกี่ยวกับเรา ติดต่อเรา EN TH หน้าแรก บทความสุขภาพ การดูแลตนเองหลังคลอด ในช่วงสัปดาห์แรก ๆ หลังคลอด ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะดูท่วมท้นไปเสียหมด เป็นเวลาที่คุณแม่จะต้องปรับตัวเข้ากับชีวิตบทใหม่และพักรักษาฟื้นฟูสุขภาพหลังคลอด แชร์ การดูแลตนเองหลังคลอด หลังคลอดบุตรแล้วก็ได้เวลาที่คุณแม่จะได้เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่พร้อมกับลูกน้อย ในช่วงสัปดาห์แรก ๆ หลังคลอด ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะดูท่วมท้นไปเสียหมด เป็นเวลาที่คุณแม่จะต้องปรับตัวเข้ากับชีวิตบทใหม่และพักรักษาฟื้นฟูสุขภาพหลังคลอด การดูแลทารกและการที่คุณแม่ดูแลตนเองจึงมีความจําเป็นไม่แพ้กัน เพราะหากแม่มีปัญหาทางด้านสุขภาพกายและใจก็จะส่งผลต่อลูกน้อยเป็นอย่างมาก เราจึงได้รวบรวมเคล็ดลับการดูแลตนเองหลังคลอดสําหรับคุณแม่เอาไว้ ซึ่งใช้ได้กับทั้งคุณแม่ที่คลอดบุตรตามธรรมชาติหรือผ่าคลอด พักผ่อนเพื่อจะได้ฟื้นตัวได้เร็ว เมื่ออยู่ที่โรงพยาบาล แม่อาจไม่ได้พักผ่อนหรือนอนหลับได้มากนัก เมื่อกลับไปที่บ้าน จึงควรพยายามนอนพร้อมลูก ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากการคลอดบุตรได้เร็วขึ้น ทําเรื่องดูแลลูกให้ง่ายเข้าไว้ ในฐานะแม่ แม่จำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจตารางเวลาและความต้องการของทารกแรกเกิด แม่อาจไม่มีเวลามากนักที่จะมาทําความสะอาดบ้านอย่างสะอาดเอี่ยมอย่างที่เคยทำ อย่าไปอารมณ์เสียหากบ้านจะรกบ้าง ลองขอความช่วยเหลือจากเพื่อนหรือญาติเรื่องซักผ้ารีดผ้า ทําอาหาร ทํางานบ้าน หรือดูแลบุตรคนอื่น ๆ ล้างมือบ่อย ๆ ล้างมือบ่อย ๆ หลังเข้าห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม และก่อนให้นมลูก หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรืออะไรที่หนักกว่าลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังผ่าตัดคลอด หลีกเลี่ยงการทำให้แผลตึง หลีกเลี่ยงการทำให้แผลตึง (แผลผ่าตัดคลอด) เช่น การขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ ปฏิเสธไม่ให้คนมาเยี่ยม แม่อาจปฏิเสธไม่ให้คนมาเยี่ยมได้หากรู้สึกไม่พร้อม พบแพทย์ตามนัดหลังคลอดทุกครั้ง ควรไปพบแพทย์ตามนัดหลังคลอดทุกครั้ง แพทย์จะดูแลฝีเย็บและให้คําปรึกษาเรื่องอาการหลังคลอดได้ รับประทานวิตามินบำรุงครรภ์ รับประทานวิตามินบำรุงครรภ์ที่แพทย์เคยสั่งให้ต่อไปได้ ไม่ใช้ผ้าอนามัยแบบสอดหรือสวนล้างช่องคลอด ไม่ใช้ผ้าอนามัยแบบสอดหรือสวนล้างช่องคลอดในช่วง 4-6 สัปดาห์แรก ใช้แผ่นอนามัยแบบแผ่นปกติ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว เช่น น้ำสะอาด นม หรือ น้ำผลไม้ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน ออกกําลังกายเบา ๆ เริ่มออกกําลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน ซึ่งสามารถช่วยให้ฟื้นตัวสร้างความแข็งแรงและได้มีเวลาพักสมองจากเรื่องการดูแลลูก โดยก่อนเริ่มออกกําลังกายใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน งดการมีเพศสัมพันธ์ แม่ควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าร่างกายจะฟื้นตัวเต็มที่ ควรรอให้แผลผ่าตัดที่ท้องหรือฝีเย็บหายเป็นปกติเสียก่อน และใช้อุปกรณ์คุมกําเนิดเพื่อป้องกันไม่ให้ตั้งครรภ์ใหม่เร็วจนเกินไป โดยสามารถปรึกษาแพทย์ได้ว่าวิธีการคุมกําเนิดแบบใดที่เหมาะสมที่สุด การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์ หลังคลอดคุณแม่ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและอารมณ์ ก่อนคลอดบุตรจึงควรพูดคุยกับแพทย์ถึงการเปลี่ยนแปลงหลังคลอดที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อให้มีความพร้อมและรู้วิธีรับมือกับอาการต่าง ๆ เต้านมคัดตึง เต้านมคัดตึงเกิดจากการที่เต้านมมีน้ำนมมากเกินไป โดยเฉพาะในช่วง 3-5 วันแรกหลังคลอด จนทําให้เต้านมตึงและบวม อาจบรรเทาอาการได้โดยการประคบอุ่นหรือเย็นที่บริเวณเต้านมหรือปั๊มนมออกด้วยมือทุก 2-3 ชั่วโมง เต้านมจะค่อย ๆ ปรับการผลิตน้ำนมจนเหมาะกับความต้องการของทารก อาการท้องผูก อาการท้องผูกเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ผ่าคลอด การรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารสูงและการดื่มน้ำมาก ๆ สามารถบรรเทาอาการได้ หากเป็นโรคริดสีดวงทวาร แพทย์อาจแนะนําให้ทาครีมหรือแช่น้ำอุ่น (sitz bath) ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อ่อนแอหรือฝีเย็บฉีกขาดสามารถดีขึ้นได้ด้วยการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel exercise) ตะคริวและอาการปวดท้อง ตะคริวและอาการปวดท้องจากการหดตัวของมดลูกหลังคลอด ควรสอบถามแพทย์ว่ายาแก้ปวดชนิดใดที่ปลอดภัยและรับประทานได้ เหงื่อออกตอนกลางคืน เหงื่อออกตอนกลางคืนจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนมักหายได้เอง เพื่อให้รับมือกับอาการเหงื่อออกได้ อาจปรับห้องนอนให้เย็นสบายและสวมชุดนอนที่ระบายอากาศได้ดี น้ำคาวปลา น้ำคาวปลาเป็นเรื่องที่พบได้ปกติในช่วง 2-4 สัปดาห์แรกเนื่องจากเนื้อเยื่อมดลูกและเลือดจะถูกกำจัดออกมา ควรสวมใส่แผ่นอนามัยแทนผ้าอนามัยแบบสอดและงดการสวนล้างช่องคลอด เพื่อป้องกันการติดเชื้อในมดลูก การมีเลือดออกนั้นถือเป็นเรื่องปกติหากเลือดที่ออกนั้นไม่มาก หากมีเลือดออกทางช่องคลอดจนต้องเปลี่ยนแผ่นอนามัยทุก 2 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นมาระหว่างตั้งครรภ์ น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นมาระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงหลายคนกังวล อย่างไรก็ตามในช่วงหลังคลอดนี้ ไม่ควรกังวลเรื่องนี้จนเกินไป เมื่อเริ่มออกกําลังกายได้ อาจเดินหรือออกกําลังกายแบบหนักปานกลาง รับประทานอาหารครบห้าหมู่จะช่วยให้ทั้งแม่และลูกได้รับสารอาหารอย่างพอเพียงและช่วยเรื่องลดน้ำหนัก การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังสามารถเผาผลาญแคลอรี่เพิ่มได้ 500-700 แคลอรีต่อวัน ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด หรือเบบี้บลูส์ เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลังคลอด ทำให้รู้สึกเศร้า วิตกกังวลเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง พูดคุยระบายความรู้สึกและขอความช่วยเหลือจากเพื่อนและครอบครัว โดยควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังต่อไปนี้ อารมณ์แปรปรวน อารมณ์แปรปรวนหรือซึมเศร้าเกือบตลอดทั้งวันเกินกว่า 2 สัปดาห์ติดต่อกัน คิดเรื่องทําร้ายตัวเองหรือบุตร ไม่สามารถทํากิจวัตรประจําวัน ดูแลลูกน้อยและตัวเองได้ รู้สึกวิตกกังวล ไร้ค่า และสิ้นหวัง บทความโดย นพ.วรชัย ชื่นชมพูนุท สูตินรีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ประวัติแพทย์ เผยแพร่เมื่อ: 13 ก.พ. 2023 แชร์ บริการทางการแพทย์ ศูนย์และคลินิก นัดหมายแพทย์ ค้นหาแพทย์ แพ็กเกจ & โปรโมชั่น ห้องพัก ประกันสุขภาพที่เข้าร่วม ข้อมูลสุขภาพ โรค และการรักษา บทความสุขภาพ MedPark Stories เกี่ยวกับเรา ข้อมูลสำหรับผู้มาติดต่อ เกี่ยวกับเรา ข่าวสารและกิจกรรม ร่วมงานกับเรา ติดต่อเรา เงื่อนไขการใช้งาน นโยบายการใช้งาน นโยบายความเป็นส่วนตัว ประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว นโยบายคุกกี้ 3333 ถนนพระรามที่ ๔ แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 © 2023 MedPark Hospital. All Rights Reserved. 1.0.5 เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ "นโยบายคุกกี้" และสามารถเลือกตั้งค่ายินยอมการใช้คุกกี้ได้โดยการคลิก "การตั้งค่าคุกกี้"นโยบายคุกกี้ การตั้งค่าคุกกี้ ยอมรับคุกกี้ทั้งหมด
เคล็ดลับการดูแลตนเองหลังคลอดสําหรับคุณแม่ ซึ่งใช้ได้กับทั้งคุณแม่ที่คลอดบุตรตามธรรมชาติหรือผ่าคลอด - พักผ่อนเพื่อจะได้ฟื้นตัวได้เร็ว เมื่ออยู่ที่โรงพยาบาล แม่อาจไม่ได้พักผ่อนหรือนอนหลับได้มากนัก เมื่อกลับไปที่บ้าน จึงควรพยายามนอนพร้อมลูก ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากการคลอดบุตรได้เร็วขึ้น ทําเรื่องดูแลลูกให้ง่ายเข้าไว้ ในฐานะแม่ แม่จำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจตารางเวลาและความต้องการของทารกแรกเกิด แม่อาจไม่มีเวลามากนักที่จะมาทําความสะอาดบ้านอย่างสะอาดเอี่ยมอย่างที่เคยทำ อย่าไปอารมณ์เสียหากบ้านจะรกบ้าง - ลองขอความช่วยเหลือจากเพื่อนหรือญาติเรื่องซักผ้ารีดผ้า ทําอาหาร ทํางานบ้าน หรือดูแลบุตรคนอื่น ๆ - ล้างมือบ่อย ๆ ล้างมือบ่อย ๆ หลังเข้าห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม และก่อนให้นมลูก - หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรืออะไรที่หนักกว่าลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังผ่าตัดคลอด - หลีกเลี่ยงการทำให้แผลตึง หลีกเลี่ยงการทำให้แผลตึง (แผลผ่าตัดคลอด) เช่น การขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ - ปฏิเสธไม่ให้คนมาเยี่ยม แม่อาจปฏิเสธไม่ให้คนมาเยี่ยมได้หากรู้สึกไม่พร้อม - พบแพทย์ตามนัดหลังคลอดทุกครั้ง ควรไปพบแพทย์ตามนัดหลังคลอดทุกครั้ง แพทย์จะดูแลฝีเย็บและให้คําปรึกษาเรื่องอาการหลังคลอดได้ - รับประทานวิตามินบำรุงครรภ์ รับประทานวิตามินบำรุงครรภ์ที่แพทย์เคยสั่งให้ต่อไปได้ - ไม่ใช้ผ้าอนามัยแบบสอดหรือสวนล้างช่องคลอด ไม่ใช้ผ้าอนามัยแบบสอดหรือสวนล้างช่องคลอดในช่วง 4-6 สัปดาห์แรก ใช้แผ่นอนามัยแบบแผ่นปกติ - รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว เช่น น้ำสะอาด นม หรือ น้ำผลไม้ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน - ออกกําลังกายเบา ๆ เริ่มออกกําลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน ซึ่งสามารถช่วยให้ฟื้นตัวสร้างความแข็งแรงและได้มีเวลาพักสมองจากเรื่องการดูแลลูก โดยก่อนเริ่มออกกําลังกายใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน - งดการมีเพศสัมพันธ์ แม่ควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าร่างกายจะฟื้นตัวเต็มที่ ควรรอให้แผลผ่าตัดที่ท้องหรือฝีเย็บหายเป็นปกติเสียก่อน และใช้อุปกรณ์คุมกําเนิดเพื่อป้องกันไม่ให้ตั้งครรภ์ใหม่เร็วจนเกินไป โดยสามารถปรึกษาแพทย์ได้ว่าวิธีการคุมกําเนิดแบบใดที่เหมาะสมที่สุด
สูติศาสตร์ (สูติศาสตร์) - Obstetrics,นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11238
Medical
จงสรุปให้หน่อย โรคสมาธิสั้นมีอาการอย่างไรบ้าง?
โรค หรือ อาการ สมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder ย่อว่า ADHD) เป็นโรคทางสมอง(โรคสมอง)ชนิดหนึ่งที่พบได้ตั้งแต่ในเด็กอายุ 4-5 ปีขึ้นไป และพบได้ประมาณ 5% ในเด็กวัยเรียน พบในเด็กผู้ชายมากกว่าในเด็กผู้หญิง ผู้ป่วยมักมีปัญหาการเรียน เช่น ไม่มีสมาธิ เรียนไม่รู้เรื่อง ทำงานไม่เสร็จ หรือมีปัญหาทางพฤติกรรม เช่น อยู่ไม่นิ่ง เล่นรุนแรง ดื้อ-ต่อต้าน แต่อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ ด้วยการรักษาร่วมกันทั้งยา และการปรับพฤติกรรมของเด็ก โรคสมาธิสั้นเกิดได้อย่างไร? โรคสมาธิสั้น ดังกล่าวแล้วว่า โรคสมาธิสั้นพบได้ประมาณ 5% ปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่ามีสาเหตุจากอะไร เชื่อกันว่าปัจจัยทางกรรมพันธุ์และปัจจัยเสี่ยงต่างๆขณะอยู่ในครรภ์ (เช่น มีการตกเลือดของมารดา) ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลของสารเคมี Norepinephrine และ Dopamine ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญในการควบคุมสมาธิของสมองส่วนหน้าของทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเรื่องการเลี้ยงดูที่ผิดวิธี หรือการดูโทรทัศน์เป็นเวลานาน ไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคสมาธิสั้นแต่อย่างใด แต่อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการสมาธิสั้นง่ายขึ้น โรคสมาธิสั้นมีอาการอย่างไรบ้าง? โรคสมาธิสั้น ประกอบด้วยกลุ่มอาการ 2 กลุ่ม ได้แก่ ก. กลุ่มอาการอยู่ไม่นิ่ง/หุนหันพลันแล่น (Hyperactivity/Impulsivity) ซึ่งมักแสดงออกมาเป็นปัญหาพฤติกรรม ที่สามารถพบได้ตั้งแต่เด็กอนุบาลขึ้นไป และ ข. กลุ่มอาการขาดสมาธิ (Inattention) ซึ่งมักแสดงออกมาเป็นปัญหาการเรียน ที่สามารถพบได้ตั้งแต่เด็กประถมศึกษาขึ้นไป ทั้งสองกลุ่มอาการนี้ เป็นแค่เพียงปัญหาเบื้องต้นที่อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการในด้านอื่นๆ เช่น ขาดความมั่นใจในตัวเอง ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมไปถึงในโรงเรียนอีกด้วย นอกจากนี้ โรคสมาธิสั้น สามารถพบร่วมกับโรคอื่นได้ เช่น โรควิตกกังวล , โรคซึมเศร้า, ภาวะการเรียนรู้บกพร่อง (Learning Disorder:LD), ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบทั้งในระยะสั้น เช่น เด็กต้องออกจากระบบการศึกษาก่อนเกณฑ์ หรือในระยะยาว เช่น เด็กติดสารเสพติด หรือปัญหาอาชญากรรมในวัยรุ่น เมื่อไรควรพบแพทย์ และอาการต่างจากอารมณ์ทั่วไปอย่างไร? ตามพัฒนาการในช่วงอายุ 1–3 ปี เด็กต้องการสำรวจสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมซน อยู่ไม่นิ่ง และเอาแต่ใจตัวเอง จนทำให้พ่อแม่หลายท่านเข้าใจว่าลูกเป็นโรคสมาธิสั้น เมื่อเด็กเติบโตผ่านวัย 3 ปีไปแล้ว พฤติกรรมซนจะลดลง การวินิจฉัยโรคนี้จึงจำเป็นต้องติดตามอาการอย่างต่อเนื่องจนเด็กมีอายุมากกว่า 3 ปี เนื่องจากอาการของโรคสมาธิสั้นนั้น เปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นเด็กอาจไม่สามารถสังเกตอาการด้วยตนเอง พ่อแม่มีความจำเป็นต้องประเมินอากาเด็กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเด็กมีอาการมากจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำ วัน เช่น ผลการเรียนตกลง หรือซนจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ถือว่ามีความแตกต่างจากเด็กตามวัย จำเป็นที่จะต้องมาพบแพทย์เพื่อประเมินอาการของโรคสมาธิสั้น แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างไร? การวินิจฉัยโรคทำได้ไม่ยาก โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น และกุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและการเจริญเติบโต ซึ่งแพทย์จะทำการประเมินปัญหาในแต่ละด้านของเด็กเพื่อการวินิจฉัยโรค และรวมไปถึงสาเหตุอื่นๆที่ทำให้เด็กอาจมีอาการคล้ายโรคสมาธิสั้น เช่น โรคทางระบบประสาทอื่นๆ, หรือความวิตกกังวล ทั้งนี้การวินิจฉัยโรคสามารถทำได้จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองและเด็ก โดยไม่จำเป็นต้องเจาะเลือด หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์/ซีทีสแกน หรือ เอมอาร์ไอสมองแต่อย่างใด แพทย์อาจมีการประเมินพฤติกรรมที่โรงเรียนจากครูผ่านแบบสอบถาม หรือประเมินระดับสติปัญญา (IQ test, Intelligence quotient test) โดยนักจิตวิทยาคลินิก ซึ่งแพทย์จะพิจารณาความจำเป็นในเด็กแต่ละรายไป โรคสมาธิสั้นรักษาได้อย่างไร? การรักษาโรคสมาธิสั้นประกอบด้วย การปรับพฤติกรรม และการรักษาด้วยยา ก. การปรับพฤติกรรม (Behavioral modification): ในเด็กสมาธิสั้นนั้น สามารถทำได้โดยการกำหนดข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับพฤติกรรมดีให้เป็นเป้าหมายที่ชัดเจน และให้แรงจูงใจ หรือคำชมเวลาที่เด็กสามารถทำพฤติกรรมดีต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปรับพฤติกรรมต้องใช้เวลานาน และต้องทำอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ โดยมีแพทย์คอยให้คำปรึกษาในแต่ละขั้นตอน ข. การรักษาด้วยยา: ในปัจจุบันการรักษาด้วยยาเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากให้ผลรวดเร็ว สะดวก ปลอดภัย และสามารถทำควบคู่กับการปรับพฤติกรรมได้ ยารักษาโรคสมาธิสั้นในปัจจุบันมีหลากหลายชนิด ซึ่งผลในการรักษาขึ้นกับหลากหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของอาการ, ลักษณะของอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับเด็ก, หรือโรคอื่นๆที่แพทย์ตรวจพบร่วมกับโรคสมาธิสั้น, แพทย์จะประเมินความจำเป็นในการใช้ยา และวางแผนติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องหลังเริ่มใช้ยา ยา Methylphenidate คืออะไร? ยา Methylphenidate เป็นยาเม็ดรับประทาน เป็นยาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการรักษาโรคสมาธิสั้น เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการรักษาดี ยาออกฤทธิ์เร็วและใช้ง่าย ระดับยาอยู่ภายในร่างกายประมาณ 4-6 ชั่วโมง การรับประทานยาอย่างต่อเนื่องจะไม่เกิดการสะสมของยาภายในร่างกายและไม่ทำให้ติดยา อย่างไรก็ตาม ยาชนิดนี้มีผลข้างเคียง เช่น เบื่ออาหาร, นอนไม่หลับ, และปวดศีรษะ/ปวดหัว ซึ่งแพทย์จำเป็นต้องติดตามอาการเป็นระยะๆ นอกจากนี้เนื่องจากยานี้ออกฤทธิ์สั้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องรับประทานยาวันละ 2-3 ครั้งเพื่อควบคุมอาการได้ตลอดทั้งวัน โรคสมาธิสั้นอยู่จนถึงวัยผู้ใหญ่หรือไม่? ผู้ป่วยโรคสมาธิสั้น ประมาณ 40% จะสามารถมีอาการดีขึ้นจนใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ประมาณ 30% มีอาการคงที่ และประมาณ 30% จะมีอาการแย่ลง ซึ่งเมื่อมีอายุมากขึ้น อาจแสดงออกเป็นอาการหุนหันพลันแล่น ทำงานไม่เสร็จบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม การรักษาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ จะให้ผลการรักษาที่ดี ทำให้อาการหายจนไม่จำเป็นต้องรับประทานยาได้ โรงเรียนควรดูแลเด็กสมาธิสั้นอย่างไร? ปัจจุบัน โรงเรียนการศึกษาพิเศษไม่ได้ครอบคลุมการดูแลเด็กสมาธิสั้น เด็กสมาธิสั้นสามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติได้ โดยครูสามารถจัดห้องเรียนให้เหมาะสม เช่น นั่งห่างหน้าต่าง หรือให้นั่งใกล้ครู มีเพื่อนคอยช่วยเหลือเรื่องการจดการบ้าน และพยายามเตือนเวลาเด็กขาดสมาธิ การจัดการศึกษาแบบเฉพาะบุคคล (Individual Education Program:IEP) มักทำในเด็กสมาธิสั้นบางรายที่มีภาวะการเรียนรู้บกพร่อง(LD) อนึ่ง ทัศนคติของครู มีความสำคัญที่จะช่วยให้เด็กสมาธิสั้น สามารถเรียนรู้ร่วมกับเด็กในห้องเรียนได้เป็นอย่างดี ดังนั้นพ่อแม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ และสอบถามอาการเด็กจากครูอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีลูกเป็นโรคสมาธิสั้น พ่อแม่ควรทำอย่างไร? ควรดูแลครอบครัวและลูกคนอื่นในครอบครัวอย่างไร? ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นอย่างถูกต้อง จะช่วยลดอคติในตัวเด็กสมาธิสั้น พ่อแม่ควรอธิบายกับลูกถึงความจำเป็นในการรักษาและในการรับประทานยา เนื่องจากเด็กมักรู้สึกว่าตนเองไม่ปกติ ไม่ควรให้การดูแลเด็กมากเกินไปจนทำให้เด็กได้สิทธิพิเศษ เพราะจะทำให้เด็กขาดทักษะชีวิตที่จำเป็น และเกิดปัญหาระหว่างพี่น้องได้ และไม่ควรละเลยการดูแลที่สำคัญโดยเฉพาะเรื่องการเรียน เพราะยิ่งทำให้เด็กรู้สึกด้อยคุณค่าตนเอง โดยเฉพาะการออกจากระบบการเรียนก่อนวัย นอกจากนี้ พ่อแม่ควรอธิบายพี่น้องของเด็กในครอบครัว ในการลดตัวกระตุ้นอารมณ์ เช่น การเล่นรุนแรง หรือการล้อเลียนเกี่ยวกับโรคที่เด็กเป็นอยู่ เป็นต้น
โรคสมาธิสั้นเกิดได้อย่างไร? โรคสมาธิสั้น ดังกล่าวแล้วว่า โรคสมาธิสั้นพบได้ประมาณ 5% ปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่ามีสาเหตุจากอะไร เชื่อกันว่าปัจจัยทางกรรมพันธุ์และปัจจัยเสี่ยงต่างๆขณะอยู่ในครรภ์ (เช่น มีการตกเลือดของมารดา) ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลของสารเคมี Norepinephrine และ Dopamine ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญในการควบคุมสมาธิของสมองส่วนหน้าของทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเรื่องการเลี้ยงดูที่ผิดวิธี หรือการดูโทรทัศน์เป็นเวลานาน ไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคสมาธิสั้นแต่อย่างใด แต่อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการสมาธิสั้นง่ายขึ้น โรคสมาธิสั้นมีอาการอย่างไรบ้าง? โรคสมาธิสั้น ประกอบด้วยกลุ่มอาการ 2 กลุ่ม ได้แก่ ก. กลุ่มอาการอยู่ไม่นิ่ง/หุนหันพลันแล่น (Hyperactivity/Impulsivity) ซึ่งมักแสดงออกมาเป็นปัญหาพฤติกรรม ที่สามารถพบได้ตั้งแต่เด็กอนุบาลขึ้นไป และ ข. กลุ่มอาการขาดสมาธิ (Inattention) ซึ่งมักแสดงออกมาเป็นปัญหาการเรียน ที่สามารถพบได้ตั้งแต่เด็กประถมศึกษาขึ้นไป ทั้งสองกลุ่มอาการนี้ เป็นแค่เพียงปัญหาเบื้องต้นที่อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการในด้านอื่นๆ เช่น ขาดความมั่นใจในตัวเอง ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมไปถึงในโรงเรียนอีกด้วย นอกจากนี้ โรคสมาธิสั้น สามารถพบร่วมกับโรคอื่นได้ เช่น โรควิตกกังวล , โรคซึมเศร้า, ภาวะการเรียนรู้บกพร่อง (Learning Disorder:LD), ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบทั้งในระยะสั้น เช่น เด็กต้องออกจากระบบการศึกษาก่อนเกณฑ์ หรือในระยะยาว เช่น เด็กติดสารเสพติด หรือปัญหาอาชญากรรมในวัยรุ่น
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_10674
Medical
สรุปบทความเรื่อง ปวดหู ให้หน่อย
ปวดหู Earache หู กายวิภาคหู Ear anatomy สรีรวิทยาของหู Ear physiology น้ำเข้าหู Swimmers ear ภาวะขี้หูอุดตัน Impacted cerumen หูติดเชื้อ Ear infection ฟันคุด Impacted tooth หูอื้อจากโดยสารเครื่องบิน หูอื้อจากเปลี่ยนความดันอากาศ Barotitis หูดับ หูตึง หูหนวก Deaf ภาวะเร่งด่วนทางหู Ear emergencies ปวดหู Earache เป็นอาการที่พบได้บ่อยอาการหนึ่ง พบได้ทั้งสองเพศและในทุกวัยแต่มักพบได้บ่อยกว่าในเด็ก สาเหตุของปวดหูมีได้หลายสาเหตุทั้งสาเหตุเกิดจากโรคของหูเอง พบได้บ่อยกว่า และ จากโรคอื่นๆซึ่งเกี่ยวโยงให้เกิดปวดหู ปวดหูสาเหตุจากหู ที่พบได้บ่อยได้แก่ หูชั้นนอก รูหู อักเสบเช่น น้ำเข้าหู สิ่งแปลกปลอมเข้าหู หูติดเชื้อ หูชั้นกลางอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง การบาดเจ็บเป็นแผลของรูหูจากแคะหู มีขี้หูอุดตัน และ แก้วหูทะลุ พบได้น้อยกว่าสาเหตุอื่นๆ ปวดหูจากโรคอื่นๆ ที่พบบ่อยคือ เจ็บคอจากสาเหตุต่างๆแล้วส่งผลให้เกิดการอักเสบของท่อเชื่อมระหว่างลำคอกับหู สาเหตุอื่นๆที่พบได้บ้างคือ โรคของกระดูกกราม โรคของข้อขากรรไกร ฟันคุด โรคของเส้น ประสาทใบหน้า และเป็นอาการหนึ่งของโรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ Eczema ซึ่งเกิดกับผิวหนังในรูหูร่วมด้วย เมื่อมีอาการปวดหูควรพบแพทย์แพทย์หูคอจมูกไปโรงพยาบาล เมื่ออาการปวดเลวลง หรืออาการปวดไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเองภายใน 1 - 2 วัน หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆร่วมด้วยเช่น มีไข้ มีหนอง น้ำเหลือง น้ำของเหลวและหรือเลือดออกจากหู หูบวม หูได้ยินลดลง ปวดศีรษะ มึนงง วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน
ปวดหู เป็นอาการที่พบได้บ่อย พบได้ทุกเพศทุกวัย มักพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ สาเหตุเกิดจากโรคของหูเอง ที่พบได้บ่อยได้แก่ หูชั้นนอก รูหูอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ การบาดเจ็บเป็นแผลของรูหูจากแคะหู ขี้หูอุดตัน และ แก้วหูทะลุ และจากโรคอื่นๆซึ่งเกี่ยวโยงกัน เช่น เจ็บคอแล้วส่งผลให้เกิดการอักเสบของท่อเชื่อมระหว่างลำคอกับหู เมื่อมีอาการปวดหูควรไปพบแพทย์
โสต ศอ นาสิกวิทยา (โสต ศอ นาสิกวิทยา) - Otolaryngology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_11501
Medical
การใช้เมฟีโดรนเป็นเวลานานส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: เมฟีโดรนเป็นยาเสพติดประเภทกระตุ้น (Stimulant drug) ออกฤทธิ์คล้ายโคเคน (Cocaine) และแอมเฟตามีน (Amphetamine) ยาประเภทกระตุ้นจะเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart rate) และความดันโลหิต (Blood pressure) การใช้ยาเป็นเวลานาน จะส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ดังนี้ หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ (Arrhythmia) หัวใจทำงานหนักขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart failure) ความดันโลหิตสูง (Hypertension) ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Ischemic heart disease) เกิดภาวะหัวใจวาย (Heart attack) งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันผลข้างเคียงของเมฟีโดรนต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด วารสาร Addiction ตีพิมพ์ผลการศึกษาในปี 2562 พบผู้ใช้เมฟีโดรนมีภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ และความดันโลหิตสูง วารสาร Journal of Clinical Psychopharmacology ตีพิมพ์ผลการศึกษาในปี 2560 พบผู้ใช้เมฟีโดรนมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ผลข้างเคียงเหล่านี้อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต ข้อควรระวัง: ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด ควรหลีกเลี่ยงการใช้เมฟีโดรน ผู้ที่ใช้เมฟีโดรนเป็นเวลานาน ควรตรวจสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดอย่างสม่ำเสมอ การใช้ยาประเภทกระตุ้น ร่วมกับยาอื่นๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง สรุป: การใช้เมฟีโดรนเป็นเวลานานส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงและเสียชีวิต ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาประเภทนี้
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_44184
Finance
บทความนี้กล่าวถึงประเด็นหลักอะไรเกี่ยวกับบิตคอยน์และทองคำ?
ก. บิตคอยน์เป็นเพียงกระแสเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น ข. บิตคอยน์มีความผันผวนสูงกว่าทองคำมาก ไม่เหมาะกับการลงทุนระยะยาว ค. บิตคอยน์และทองคำมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน เหมาะกับนักลงทุนคนละกลุ่ม ง. บิตคอยน์จะมาแทนที่ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ ค. เนื่องจาก เปรียบเทียบบิตคอยน์กับทองคำในแง่มุมต่างๆ ดังนี้ ความผันผวน: บิตคอยน์มีราคาผันผวนมากกว่าทองคำมาก ตัวอย่างเช่น ในปี 2017 บิตคอยน์เคยพุ่งขึ้นเกือบ 170% แต่ในปีถัดมาดิ่งลง -84% ในขณะที่ทองคำมีความผันผวนน้อยกว่า ประวัติศาสตร์: ทองคำมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 5,000 ปี และถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องมือรักษาความมั่งคั่งในระยะยาว ในขณะที่บิตคอยน์เพิ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2009 ยังมีประวัติศาสตร์สั้น การยอมรับ: ทองคำได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีค่า ในขณะที่บิตคอยน์ยังมีบางประเทศที่ไม่ยอมรับให้ใช้เป็นเงิน อุปทาน: ทองคำมีปริมาณจำกัด ในขณะที่บิตคอยน์มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่าบิตคอยน์และทองคำมีความเสี่ยงและโอกาสที่แตกต่างกัน เหมาะกับนักลงทุนคนละกลุ่ม นักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูง: ชอบความผันผวน และมองหาโอกาสในการเก็งกำไรระยะสั้น อาจจะสนใจลงทุนในบิตคอยน์ นักลงทุนที่ต้องการความมั่นคง: มองหาสินทรัพย์ที่รักษาความมั่งคั่งในระยะยาว อาจจะสนใจลงทุนในทองคำ ดังนั้น ข้อสรุปที่ถูกต้องที่สุดคือ บิตคอยน์และทองคำมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน เหมาะกับนักลงทุนคนละกลุ่ม
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_43797
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "ตลาดยังผันผวน เน้นเลือกหุ้นภูมิต้านทานสูง" ให้ด้วยค่ะ
สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน เมื่อเร็วๆ นี้ SET ปรับตัวลงต่อเนื่อง และหลุดระดับ 1,600 จุด จากแรงขายแทบทุกกลุ่ม นำโดย หุ้น Big Cap อย่างกลุ่มพลังงาน (PTTEP, PTT และ BANPU) และกลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL และ SCB) เนื่องจากกังวลการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกจะทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย ส่วนแรงขายหุ้นกลุ่มลีสซิ่ง (MTC และ SAWAD) เกิดจากกังวลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กำหนดเพดานควบคุมดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อ เมื่อเร็วๆ นี้ SET ปรับตัวลงต่อเนื่อง และหลุดระดับ 1,600 จุด จากแรงขายแทบทุกกลุ่ม นำโดย หุ้น Big Cap อย่างกลุ่มพลังงาน (PTTEP, PTT และ BANPU) และกลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL และ SCB) เนื่องจากกังวลการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกจะทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย ส่วนแรงขายหุ้นกลุ่มลีสซิ่ง (MTC และ SAWAD) เกิดจากกังวลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กำหนดเพดานควบคุมดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อ โดย SET ลงไปทำจุดต่ำบริเวณ 1,557 จุด หลังจากนั้นฟื้นตัวขึ้นมาหาบริเวณ 1,600 จุดอีกครั้ง โดยมีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มพลังงาน (PTTEP, PTT และ TOP) ขานรับมติ OPEC+ ปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่สุดในรอบ 2 ปี โดย SET ลงไปทำจุดต่ำบริเวณ 1,557 จุด หลังจากนั้นฟื้นตัวขึ้นมาหาบริเวณ 1,600 จุดอีกครั้ง โดยมีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มพลังงาน (PTTEP, PTT และ TOP) ขานรับมติ OPEC+ ปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่สุดในรอบ 2 ปี อย่างไรก็ตาม ดัชนียังไม่สามารถขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,600 จุดได้ จากความกังวลการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed กลับมาอีกครั้ง หลังสหรัฐฯ รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนกันยายนดีกว่าคาด และอัตราว่างงานลดลง แสดงถึงตลาดการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง สร้างความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่อาจยังไม่ชะลอตัวชัดนัก ทำให้ Fed ต้องจำเป็นในการเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อ อย่างไรก็ตาม ดัชนียังไม่สามารถขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,600 จุดได้ จากความกังวลการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed กลับมาอีกครั้ง หลังสหรัฐฯ รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนกันยายนดีกว่าคาด และ ด้านทิศทาง Fund Flow ยังไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ SET ทำจุดสูงสุดไว้ที่ระดับ 1,672 จุด ในวันที่ 12 กันยายน หลังจากนั้นปรับลงต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ด้านทิศทาง Fund Flow ยังไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ SET ทำจุดสูงสุดไว้ที่ระดับ 1,672 จุด ในวันที่ 12 กันยายน หลังจากนั้นปรับลงต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับแนวโน้ม SET แม้มองว่าตลาดได้มีการรับรู้ความเสี่ยงการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวของหลายประเทศไประดับหนึ่งแล้ว ทำให้มอง Downside ลงลึกจะจำกัด และติดตามแนวรับบริเวณ 1,535 จุด ที่คาดว่ามีโอกาสฟื้นตัวกลับได้ อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นหรือ Upside ก็จะถูกจำกัดเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลความเสี่ยงการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจและความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่อาจมีมากขึ้นจากการที่ Fed ใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากเกินไป ทั้งนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลความเสี่ยงการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจและความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่อาจมีมากขึ้นจากการที่ Fed ใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากเกินไป ดังนั้นช่วงสั้นจึงยังต้องระมัดระวังความผันผวนของดัชนี ทำให้ด้านกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ Selective Buy ในหุ้นที่ต้านทานความเสี่ยงภายนอกและการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้ ดังนี้ ดังนั้นช่วงสั้นจึงยังต้องระมัดระวังความผันผวนของดัชนี ทำให้ด้านกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ Selective Buy ในหุ้นที่ต้านทานความเสี่ยงภายนอกและการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้ ดังนี้ กลุ่มหุ้นธนาคาร ซึ่งคาดกำไร 3Q65 ออกมาเติบโตดี และมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์มากสุดจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น เลือก BBL, KTB และ KBANK หุ้นกลุ่มอื่น ซึ่งคาดจะพรีวิวโมเมนตัมกำไรยังแข็งแกร่งใน 3Q65 เลือก HMPRO, CRC, CPF, ZEN, SNNP และ AOT ซึ่งคาดกำไร 3Q65 ออกมาเติบโตดี และมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์มากสุดจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น เลือก BBL, KTB และ KBANK ซึ่งคาดจะพรีวิวโมเมนตัมกำไรยังแข็งแกร่งใน 3Q65 เลือก HMPRO, CRC, CPF, ZEN, SNNP และ AOT ส่วนช่วงสั้นแนะนำเพิ่มความระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อนในหุ้นที่มีปัจจัยเสี่ยงกดดันผลประกอบการ ดังนี้ ส่วนช่วงสั้นแนะนำเพิ่มความระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อนในหุ้นที่มีปัจจัยเสี่ยงกดดันผลประกอบการ ดังนี้ หุ้นโรงกลั่น หลังคาดงบ 3Q65 อาจได้รับผลกระทบค่าการกลั่นลดลงและขาดทุนสต๊อก โดยเฉพาะ บจ. ที่ไม่ได้ทำ Hedging อย่าง SPRC และ ESSO หุ้นเดินเรือ ซึ่งคาดได้รับผลกระทบจากอุปทานเรือใหม่ที่เข้ามา และอุปสงค์การขนส่งสินค้าเริ่มชะลอตัวลง หุ้นปาล์ม ซึ่งคาดผลประกอบการยังถูกกดดันจากราคาปาล์มที่อยู่ในทิศทางขาลง เนื่องจากมีผลผลิตปาล์มที่สูงขึ้นในอินโดนีเซียและมาเลเซีย รวมทั้งหุ้นน้ำตาล หลังคาดผลผลิตน้ำตาลโลกจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่ดีในบราซิล อินเดีย และไทย หลังคาดงบ 3Q65 อาจได้รับผลกระทบค่าการกลั่นลดลงและขาดทุนสต๊อก โดยเฉพาะ บจ. ที่ไม่ได้ทำ Hedging อย่าง SPRC และ ESSO ซึ่งคาดได้รับผลกระทบจากอุปทานเรือใหม่ที่เข้ามา และอุปสงค์การขนส่งสินค้าเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งคาดผลประกอบการยังถูกกดดันจากราคาปาล์มที่อยู่ในทิศทางขาลง เนื่องจากมีผลผลิตปาล์มที่สูงขึ้นในอินโดนีเซียและมาเลเซีย รวมทั้งหุ้นน้ำตาล หลังคาดผลผลิตน้ำตาลโลกจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่ดีในบราซิล อินเดีย และไทย ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้นต่างๆ ที่แนะนำ ผมเลือกมาจัดพอร์ตหุ้น 5 ตัว ได้แก่ ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้นต่างๆ ที่แนะนำ ผมเลือกมาจัดพอร์ตหุ้น 5 ตัว ได้แก่ BBL ได้ประโยชน์มากสุดจากดอกเบี้ยขาขึ้น คาด 3Q65 กำไรจะเติบโต 18%YoY และ 17%QoQ สูงที่สุดในกลุ่ม จากการตั้งสำรองลดลงและการขยายตัวของ NIM รวมทั้งยังมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ BBL ได้ประโยชน์มากสุดจากดอกเบี้ยขาขึ้น คาด 3Q65 กำไรจะเติบโต 18%YoY และ 17%QoQ สูงที่สุดในกลุ่ม จากการตั้งสำรองลดลงและการขยายตัวของ NIM รวมทั้งยังมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ KBANK หุ้นเด่นกลุ่มธนาคารที่มีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์มากสุดจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น และปัจจุบัน Valuation น่าสนใจ ขณะที่ 3Q65 คาดกำไรเติบโต 27%YoY จากการตั้งสำรองที่ลดลงและ NII ที่สูงขึ้น CRC ใน 3Q65TD ยอดขายเติบโตกว่า 50%YoY ดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ และคาดว่ายอดขายปลีก รายได้จากการให้เช่า และมาร์จิ้นที่ฟื้นตัว จะหนุนให้ผลประกอบการ 3Q65 ฟื้นตัว YoY กลับมามีกําไรจากขาดทุนใน 3Q64 KBANK หุ้นเด่นกลุ่มธนาคารที่มีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์มากสุดจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น และปัจจุบัน Valuation น่าสนใจ ขณะที่ 3Q65 คาดกำไรเติบโต 27%YoY จากการตั้งสำรองที่ลดลงและ NII ที่สูงขึ้น CRC ใน 3Q65TD ยอดขายเติบโตกว่า 50%YoY ดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ และคาดว่ายอดขายปลีก รายได้จากการให้เช่า และมาร์จิ้นที่ฟื้นตัว จะหนุนให้ผลประกอบการ 3Q65 ฟื้นตัว YoY กลับมามีกําไรจากขาดทุนใน 3Q64 AOT หุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเร่งตัวขึ้น และภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่เป็นบวก จะหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ผลประกอบการ 4QFY65 (กรกฎาคม-กันยายน 2565) คาดจะปรับตัวดีขึ้นทั้ง QoQ และ YoY AOT หุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเร่งตัวขึ้น และภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่เป็นบวก จะหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ผลประกอบการ 4QFY65 (กรกฎาคม-กันยายน 2565) คาดจะปรับตัวดีขึ้นทั้ง QoQ และ YoY ZEN 3Q65 กำไรจะเติบโตขึ้นทั้ง QoQ และ YoY รวมทั้งเป็นหุ้น Defensive ที่ผลประกอบการอิงเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และคาดปี 2565 จะมีกำไรหลังขาดทุนต่อเนื่อง 2 ปี และสูงกว่าระดับก่อนโควิดที่ 126 ล้านบาท ZEN 3Q65 กำไรจะเติบโตขึ้นทั้ง QoQ และ YoY รวมทั้งเป็นหุ้น Defensive ที่ผลประกอบการอิงเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และคาดปี 2565 จะมีกำไรหลังขาดทุนต่อเนื่อง 2 ปี และสูงกว่าระดับก่อนโควิดที่ 126 ล้านบาท ข่าวที่เกี่ยวข้อง 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่ 9 หุ้น จ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า 5% ตลอด 5 ปี แถมราคาตั้งแต่ต้นปียังบวก 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65
SET ปรับตัวลงต่อเนื่อง และหลุดระดับ 1,600 จุดจากแรงขายทุกกลุ่ม นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร เนื่องจากกังวลการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย ส่วนแรงขายหุ้นกลุ่มลีสซิ่ง เกิดจากกังวลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กำหนดเพดานควบคุมดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อ โดย SET ทำจุดต่ำบริเวณ 1,557 จุด หลังจากนั้นฟื้นตัวขึ้นมาห 1,600 จุดอีกครั้ง โดยมีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มพลังงาน ขานรับมติ OPEC+ ปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่ในรอบ 2 ปี แต่ดัชนียังไม่สามารถขึ้นมาเหนือระดับ 1,600 จุดได้ จากความกังวลการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed หลังสหรัฐอเมริกา รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนกันยายนดีกว่าคาด และอัตราว่างงานลดลง แสดงถึงตลาดการจ้างงานของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง สร้างความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่อาจไม่ชะลอตัวชัด ทำให้ Fed จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อ ด้านทิศทาง Fund Flow ยังไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ตั้งแต่ SET ทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,672 จุด หลังจากนั้นปรับลงต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท สำหรับแนวโน้ม SET แม้มองว่าตลาดมีการรับรู้ความเสี่ยงการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวไประดับหนึ่งแล้ว ทำให้มอง Downside ลงลึกจะจำกัด และติดตามแนวรับบริเวณ 1,535 จุด ที่คาดว่ามีโอกาสฟื้นตัวกลับได้ การปรับขึ้นจะถูกจำกัดเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนกังวลความเสี่ยงการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจและความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่อาจมีมากขึ้นจากการที่ Fed ใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากเกินไป
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_40125
Finance
ค่ารักษาพยาบาลเป็นรอยร้าวทางการเงินที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จริงหรือไม่
(ก) จริง เพราะค่ารักษาพยาบาลมีราคาสูงและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี (ข) จริง เพราะคนไทยทุกคนต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด (ค) ไม่จริง เพราะคนไทยมีสิทธิรักษาพยาบาลฟรีตามสิทธิบัตรทองหรือประกันสังคม (ง) ไม่จริง เพราะเราสามารถป้องกันไม่ให้ป่วยได้
คำตอบได้แก่ (ก) จริง เพราะค่ารักษาพยาบาลมีราคาสูงและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี เนื่องจาก เหตุผล: (ก) ถูกต้อง ค่ารักษาพยาบาลมีราคาสูงและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลโรคทั่วไปเฉลี่ยวันละ 10,000 บาท และโรคร้ายแรงหลักแสนหลักล้าน อัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้น 6.8 % ทุกปี (ข) ไม่ถูกต้อง คนไทยมีสิทธิรักษาพยาบาลฟรีตามสิทธิบัตรทองหรือประกันสังคม แต่จำนวนผู้ป่วยกับโรงพยาบาลที่ใช้สิทธิมีปริมาณที่แตกต่างกัน ผู้ป่วยอาจต้องรอคิวนาน (ค) ไม่ถูกต้อง สิทธิบัตรทองและประกันสังคมอาจไม่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ผู้ป่วยอาจต้องจ่ายเงินเพิ่มเอง (ง) ไม่ถูกต้อง เราไม่สามารถป้องกันไม่ให้ป่วยได้เสมอไป การมีประกันสุขภาพช่วยลดความเสี่ยงทางการเงิน ข้อที่ถูกต้อง: (ก) เหตุผล: 1. ค่ารักษาพยาบาลมีราคาสูงและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี 2. การมีประกันสุขภาพช่วยลดความเสี่ยงทางการเงิน 3. ประกันสุขภาพช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดีขึ้น 4. ประกันสุขภาพช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_148
Finance
จุดด้อยของตลาดหุ้นในเอเชีย มีผลมาจาก
A. ธุรกิจเทคโนโลยีที่พร้อมผลักดันเศรษฐกิจ B. ประชากรมีจำนวนมาก C. เอเชียเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลก D. การบริหารที่ผิดพลาด
คำตอบคือ D. เพราะว่า เพราะ เอเชียก็มีจุดด้อย ในหลายประเทศก็มีระบบการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ ขาดความรู้ความชำนาญ สร้างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาส ปัญหาคอรัปชั่น การบริหารประเทศที่ผิดพลาด ปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศ รวมถึงประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียยังก้าวข้ามการเป็นผู้รับจ้างผลิต และส่งออก ไปเป็นประเทศที่คิดค้นนวัตกรรม สร้างเทคโนโลยีเหมือนประเทศพัฒนาแล้ว เพื่อเพิ่มมูลค่ายังไม่ได้ กลายเป็นประเทศติดกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งก็เป็นอุปสรรคสำคัญที่กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย จึงเป็นจุดด้อยที่ต้องหาทางแก้ไขกันต่อไป
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_42916
Finance
เขียนเรื่องสั้นที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่อง"ฝันที่ไกลถึง: ก้าวสู่ความมั่งคั่งด้วย ONE-UGERMF"
null
หัวข้อ ONE-UGERMF กองทุนลดหย่อนภาษี ที่ลงทุนในบริษัทชั้นนำ ทั่วโลก ชื่อ: ฝันใหญ่ที่ไกลถึง ในปรากฎการณ์ของอีกหนึ่งวันที่อบอุ่นในเมืองกรุงเทพมหานคร หมู่คณะนักลงทุนที่เต็มไปด้วยความหวังและความพยายามอยู่ในห้องประชุมของห้องสำนักงาน ONE-UGERMF กองทุนลดหย่อนภาษี ที่ลงทุนในบริษัทชั้นนำทั่วโลก ความตั้งใจที่มั่นคงเพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเองและสังคม เพื่อเป้าหมายใหญ่ที่ใจความฝันนั้นไม่สิ้นสุด "เอกพงศ์" คงมีความหวังในใจเป็นอย่างมาก เอกพงศ์เคยสัญญากับตัวเองว่าจะมีชีวิตที่มีความสุขและมั่งคั่ง และการเข้าร่วมกองทุนนี้เป็นฉากหนึ่งในการติดตามความฝัน เอกพงศ์เคยสอนกันว่าความพยายามและความอดทนคือสิ่งสำคัญ และเมื่อเอกพงศ์มุ่งมั่นและทำงานหนักแล้ว ไม่มีอะไรที่เอกพงศ์จะไม่สามารถทำได้ เอกพงศ์มองไปที่น้องชายของเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ กับเสื้อโปโลคอสำหรับงานกอล์ฟ คุณภาพของฝันของเขาคือการเล่นกอล์ฟในสนามที่เขาคุ้นเคย และกับบรรยากาศที่ประณีตและสดชื่น การลงทุนในกองทุนนี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในการให้เอกพงศ์และครอบครัวของเขามีชีวิตที่เพลิดเพลินไปกับความสำเร็จ เอกพงศ์และน้องชายทำดีในการแบ่งส่วนกันในการเข้าร่วมกองทุน ซึ่งเป็นการเข้าร่วมที่เป็นประโยชน์สำหรับทั้งสองฝ่าย ความมั่งคั่งและความสุขอยู่ในทางเมื่อมองเห็นการเติบโตที่ก้าวหน้าในการลงทุนของ อย่างไรก็ตาม การลงทุนไม่ได้มาพร้อมกับความสูงเสียงและความสำเร็จเสมอไป เมื่อตลาดทุนหลุดออกจากการควบคุมและกระแสเงินเหลืองคลาดเคลื่อน ความตั้งใจของนายเอกพงศ์ถูกวัดใหม่ และมันเป็นการทดสอบความเข้มแข็งของเขาว่าเขาจะทนทุกสถานการณ์ และเอกพงศ์จะยืนหยัดอยู่ด้วยกันในการแก้ไขปัญหา หลังจากที่พวกเขาได้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์นี้ การลงทุนก็กลับมาขยายออกอีกครั้ง และกับการเพิ่มมูลค่าที่ไม่น่าเชื่อมากขึ้น ความมั่งคั่งและความสุขก็ตามมา นี่คือภาพที่เขาได้สร้างขึ้นเอง และฝันที่ไกลถึงที่กลับกลายเป็นความเป็นจริงอย่างสมบูรณ์แบบ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_40179
Finance
ช่วยสรุปบทความ Green Bond คืออะไร น่าลงทุนจริงหรือ
​ทำความรู้จัก Green Bond ​​​​​ ​ Green Bond ถือเป็นส่วนหนึ่งของ ESG Bond ซึ่งประกอบด้วย - Green Bond ตราสารหนี้สีเขียว หรือตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นการระดมทุนเพื่อนำเงินไปใช้ในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น โครงการพลังงานทางเลือก การบำบัดน้ำเสีย การคมนาคมสะอาด - Social Bond ตราสารหนี้เพื่อสังคม เป็นการระดมทุนเพื่อนำเงินไปใช้พัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน เช่น บริการสาธารณสุข ส่งเสริมการศึกษา จัดหาอาชีพ สร้างที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย - Sustainability Bond ตราสารหนี้เพื่อส่งเสริมความยั่งยืน เป็นการระดมทุนเพื่อนำเงินไปใช้พัฒนาและส่งเสริมความยั่งยืน โดยมีองค์ประกอบทั้งในส่วนของ Green และ Social​ ​ผู้ออก Green Bond คือใคร และได้ประโยชน์อะไร​​​​​ ​ ผู้ออก Green Bond ได้แก่ ภาครัฐบาล ภาคเอกชน หรือสถาบันการเงิน ที่ต้องการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนบางส่วนหรือทั้งหมดไปใช้ในการลงทุนหรือรีไฟแนนซ์ในโครงการใหม่หรือโครงการเดิมซึ่งเป็นโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม ประโยชน์ที่ผู้ออก Green Bond จะได้รับ ได้แก่ - ช่วยดึงดูดนักลงทุนกลุ่มใหม่ซึ่งเป็นนักลงทุนอายุน้อยที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม - ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ขององค์กรและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน - ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง โดยปัจจุบัน ก.ล.ต. อยู่ระหว่างพิจารณาขยายระยะเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นคำขออนุญาตและการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขาย (filing) สำหรับตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ผู้ออก Green Bond อาจมีกระบวนการและต้นทุนค่าใช้จ่ายในการออกตราสารที่สูงกว่าตราสารหนี้ทั่วไป เช่น การจ้างผู้สอบทานจากภายนอก
Green Bond ถือเป็นส่วนหนึ่งของ ESG Bond ซึ่งประกอบด้วย - Green Bond: ตราสารหนี้ที่เน้นสิ่งแวดล้อม ใช้เงินระดมทุนในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการพลังงานทางเลือก, การบำบัดน้ำเสีย, และการคมนาคมสะอาด - Social Bond: ตราสารหนี้เพื่อสังคม ใช้เงินระดมทุนในโครงการที่ส่งเสริมการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต เช่น บริการสาธารณสุข, การสนับสนุนการศึกษา,และการสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำ - Sustainability Bond: ตราสารหนี้เพื่อส่งเสริมความยั่งยืน ระดมทุนเพื่อพัฒนาและสนับสนุนความยั่งยืนทั้งในด้าน Green และ Social​ Green Bond ถูกออกโดยภาครัฐบาล ภาคเอกชน หรือสถาบันการเงิน เพื่อใช้เงินที่ระดมได้ในการลงทุนหรือรีไฟแนนซ์ในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผู้ออก Green Bond ได้รับประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ดึงดูดนักลงทุนที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม, ยกระดับภาพลักษณ์ขององค์กร, และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เช่น ก.ล.ต. อนุมัติการขยายระยะเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมและการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายสำหรับตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม การออก Green Bond อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าตราสารหนี้ทั่วไป เช่น การจ้างผู้สอบทานจากภายนอก
สถาบันการเงิน,ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Legal_50013
Legal
ตามร่างกฎหมายใหม่ของจีน บุคคลใดบ้างที่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และ บุคคลใดบ้างที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก?
รัฐบาลจีนเล็งจัดการผู้สวมเสื้อที่มีข้อความไม่เหมาะสม มีโทษจำคุก 15 วัน ปรับสูงสุดเกือบ 25,000 บาท สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ชาวจีนเริ่มมีการออกมาแสดงความกังวลถึงร่างกฎหมายที่จะอนุญาตให้มีการปรับหรือจำคุกผู้ที่ท้าทายรัฐบาล ด้วยการใส่เสื้อที่มีข้อความไม่เหมาะสมในมุมมองของรัฐ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ชาวจีนเริ่มมีการออกมาแสดงความกังวลถึงร่างกฎหมายที่จะอนุญาตให้มีการปรับหรือจำคุกผู้ที่ท้าทายรัฐบาล ด้วยการใส่เสื้อที่มีข้อความไม่เหมาะสมในมุมมองของรัฐ ก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการการกฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้มีการเผยแพร่ร่างกฎหมายที่จะสั่งห้ามการแสดงออกที่ไม่เหมาะสม รวมไปถึงการแต่งการด้วยเสื้อที่มีข้อความ “ทำลายจิตวิญญาณของชาวจีน และทำร้ายความรู้สึกของชาวจีน” ก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการการกฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้มีการเผยแพร่ร่างกฎหมายที่จะสั่งห้ามการแสดงออกที่ไม่เหมาะสม รวมไปถึงการแต่งการด้วยเสื้อที่มีข้อความ “ทำลายจิตวิญญาณของชาวจีน และทำร้ายความรู้สึกของชาวจีน” ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ระบุถึงการกระทำหรือข้อความที่ชัดเจนว่าห้ามสิ่งใดบ้าง โดยโทษของการกระทำผิดกฎหมายข้อนี้ คือการถูกส่งไปศูนย์กักกันสูงสุด 15 วัน หรือปรับสูงสุดไม่เกิน 5,000 หยวน (ราว 24,700 บาท) อีกทั้งยังเป็นร่างกฎหมายที่อยู่ในลิสต์ที่จะได้รับการพิจารณาเป็นลำดับต้นๆ ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ระบุถึงการกระทำหรือข้อความที่ชัดเจนว่าห้ามสิ่งใดบ้าง โดยโทษของการกระทำผิดกฎหมายข้อนี้ คือการถูกส่งไปศูนย์กักกันสูงสุด 15 วัน หรือปรับสูงสุดไม่เกิน 5,000 หยวน (ราว 24,700 บาท) อีกทั้งยังเป็นร่างกฎหมายที่อยู่ในลิสต์ที่จะได้รับการพิจารณาเป็นลำดับต้นๆ ที่ผ่านมา ทางการจีนมีความเปราะบางกับการแสดงออกหลายอย่างของประชาชน โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือคำว่า ‘เทียนอันเหมิน’ ซึ่งเป็นข้อความที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่รัฐบาลสังหารหมู่ประชาชนบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยเป็นคำที่รับรู้กันในวงกว้างว่าห้ามมีการพูดถึงในจีน เนื่องจากเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการจะลบออกจากความทรงจำ ที่ผ่านมา ทางการจีนมีความเปราะบางกับการแสดงออกหลายอย่างของประชาชน โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือคำว่า ‘เทียนอันเหมิน’ ซึ่งเป็นข้อความที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่รัฐบาลสังหารหมู่ประชาชนบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยเป็นคำที่รับรู้กันในวงกว้างว่าห้ามมีการพูดถึงในจีน เนื่องจากเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการจะลบออกจากความทรงจำ จากการที่ร่างกฎหมายดังกล่าวมีการระบุเนื้อหาไว้แบบกว้างๆ ทำให้รัฐสามารถตีความถึงการแต่งกายในรูปแบบอื่นๆ ได้ โดยก่อนหน้านี้เมื่อปีก่อน เคยมีหญิงรายหนึ่งถูกจับกุม จากการแต่งกายด้วยชุดกิโมโนของญี่ปุ่นในที่สาธารณะมาแล้ว รวมไปถึงการสวมเสื้อสีรุ้ง ซึ่งเป็นการสนับสนุน LGBTQ ก็เป็นสิ่งที่ทางการมองว่าไม่สมควรเช่นกัน จากการที่ร่างกฎหมายดังกล่าวมีการระบุเนื้อหาไว้แบบกว้างๆ ทำให้รัฐสามารถตีความถึงการแต่งกายในรูปแบบอื่นๆ ได้ โดยก่อนหน้านี้เมื่อปีก่อน เคยมีหญิงรายหนึ่งถูกจับกุม จากการแต่งกายด้วยชุดกิโมโนของญี่ปุ่นในที่สาธารณะมาแล้ว รวมไปถึงการสวมเสื้อสีรุ้ง ซึ่งเป็นการสนับสนุน LGBTQ ก็เป็นสิ่งที่ทางการมองว่าไม่สมควรเช่นกัน ร่างกฎหมายที่เปิดเผยออกมานี้ทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในจีนจำนวนหนึ่งออกมาแสดงความกังวล ว่าอาจนำไปสู่การบังคับใช้เกินเหตุได้ เนื่องจากคำว่า “ทำร้ายความรู้สึก” มีความหมายที่กว้างมาก และผู้บังคับใช้ไม่อาจรู้ได้ว่าการแสดงออกในลักษณะใดบ้างที่เข้าข่าย เนื่องจากไม่มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจน ร่างกฎหมายที่เปิดเผยออกมานี้ทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในจีนจำนวนหนึ่งออกมาแสดงความกังวล ว่าอาจนำไปสู่การบังคับใช้เกินเหตุได้ เนื่องจากคำว่า “ทำร้ายความรู้สึก” มีความหมายที่กว้างมาก และผู้บังคับใช้ไม่อาจรู้ได้ว่าการแสดงออกในลักษณะใดบ้างที่เข้าข่าย เนื่องจากไม่มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจน
ตามร่างกฎหมายใหม่ของจีน บุคคลที่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกมีดังนี้: 1. บุคคลทั่วไป: ประชาชนทั่วไปมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกความคิดเห็นของนเอง โดยไม่ต้องถูกจำกัดหรือถูกคุกคามจากรัฐบาลหรือบุคคลอื่น เว้นแต่การแสดงออกนั้นจะเป็นการขัดต่อกฎหมายหรือละเมิดสิทธิของผู้อื่น 2. สื่อมวลชน: สื่อมวลชนมีสิทธิเสรีภาพในการรายงานข่าวและความคิดเห็นของตนเอง โดยไม่ต้องถูกแทรกแซงจากรัฐบาล เว้นแต่การรายงานข่าวหรือความคิดเห็นนั้นจะเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงหรือสร้างความเสียหายต่อความมั่นคงของชาติ 3. นักวิชาการ: นักวิชาการมีสิทธิเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์และเสนอแนะแนวทางการพัฒนาประเทศ โดยไม่ต้องถูกคุกคามจากรัฐบาล เว้นแต่การวิพากษ์วิจารณ์หรือเสนอแนะนั้นจะเป็นการยุยงให้เกิดความวุ่นวายหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ตามร่างกฎหมายใหม่ของจีน บุคคลที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกมีดังนี้: 1. บุคคลที่กระทำการขัดต่อกฎหมาย: บุคคลที่กระทำการขัดต่อกฎหมาย เช่น การปลุกระดม การก่อการร้าย การหมิ่นประมาท จะไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าว 2. บุคคลที่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น: บุคคลที่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น เช่น การพูดจาใส่ร้าย การข่มขู่ การคุกคาม จะไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิ์ดังกล่าว 3. บุคคลที่แสดงออกด้วยความเกลียดชัง: บุคคลที่แสดงออกด้วยความเกลียดชังต่อเชื้อชาติ ศาสนา เพศ หรือกลุ่มคนอื่นๆ จะไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเกี่ยวกับความเกลียดชังดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายใหม่นี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติจีน ยังไม่มีการประกาศใช้เป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ ดังนั้น เนื้อหาและรายละเอียดของกฎหมายอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากนี้ ร่างกฎหมายใหม่นี้ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการจำนวนมาก ว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน และอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ สำหรับประชาชนทั่วไป ควรติดตามความคืบหน้าของร่างกฎหมายนี้ต่อไป และแสดงความคิดเห็นของตนเองต่อร่างกฎหมายนี้อย่างสุภาพและสร้างสรรค์
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11308
Medical
โรคมะเร็งอวัยวะเพศหญิงแบ่งออกได้เป็นกี่ระยะ
ก. 3 ระยะ ข. 4 ระยะ ค. 2 ระยะ ง. 5 ระยะ
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ข. เนื่องจาก โรคมะเร็งอวัยวะเพศหญิงแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะเช่นเดียวกับในโรคมะเร็งชนิดต่างๆ และบางระยะอาจแบ่งย่อยได้อีกเพื่อแพทย์โรคมะเร็งใช้ ช่วยเลือกวิธีรักษา บอกการพยากรณ์โรค และเพื่อการศึกษา ซึ่งทั้ง 4 ระยะหลัก ได้แก่ ระยะที่ 1 แบ่งเป็น 2 ระยะย่อย คือ ระยะ1A ก้อนเนื้อ/แผลมะเร็งมีขนาดโตน้อยกว่า 2 เซนติเมตร (ซม.) และโรคลุกลามกินลึกลงไปในเนื้อเยื่ออวัยวะเพศไม่เกิน 1มิลลิเมตร ระยะ1B ก้อนเนื้อ หรือแผลมะเร็งมีขนาดโตมากกว่า 2 เซนติเมตร (ซม.) , และ/หรือ ขนาดใดก็ได้ แต่โรคลุกลามกินลึกลงไปในเนื้อเยื่ออวัยวะเพศเกินมากกว่า 1มิลลิเมตร ระยะที่ 2 โรคมะเร็งลุกลามลงลึกถึง ท่อปัสสาวะส่วนต้น, ช่องคลอดส่วนต้น, และเนื้อเยื่ออื่นๆนอกอวัยวะเพศ ระยะที่ 3 แบ่งเป็น 3 ระยะย่อย คือ ระยะ3A โรคลุกลามเข้า ท่อปัสสาวะส่วนปลาย, ช่องคลอดส่วนปลาย, และ/หรือ ทวารหนัก, และ/หรือ ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองขาหนีบส่วนตื้นๆไม่เกิน2ต่อม ระยะ3B โรคลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองขาหนีบส่วนตื้นๆ กี่ต่อมก็ได้, และ/หรือลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองขาหนีบส่วนลึกตั้งแต่2ต่อมขึ้นไป ระยะ3C โรคลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองขาหนีบจนทะลุออกนอกต่อมน้ำเหลืองจะกี่ต่อมก็ได้ ระยะที่ 4 แบ่งเป็น 2 ระยะย่อย คือ ระยะ4A โรคลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองขาหนีบ กินลึกเข้าสู่ผิวหนัง และ/หรือเนื้อเยื่อใต้ต่อมน้ำเหลือง จนต่อมน้ำเหลืองเคลื่อนไหวไม่ได้, และ/หรือแตกเป็นแผล, และ/หรือ โรคลุกลามเข้า ส่วนต้นของช่องคลอด, ส่วนต้นของท่อปัสสาวะ, เข้ากระเพาะปัสสาว, ลำไส้ตรง, และ/หรือ กระดูกหัวหน่าว ระยะ 4B โรคแพร่กระจายเข้าระบบน้ำเหลืองทำลายต่อมน้ำเหลืองที่ไกลอวัยวะเพศ เช่น ในอุ้งเชิงกราน, ในรอบหลอดแดงใหญ่ในช่องท้อง, และ/หรือที่เหนือกระดูกไหปลา, และ/หรือแพร่กระจายเข้ากระแสเลือดไปทำลายอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย พบบ่อยที่ ปอด
นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_627
Finance
ข้อใดคือการลงทุนแบบสะสมเงินก้อนระยะยาว
ก. จัดพอร์ตกระจายความเสี่ยง ข. ลงกองทุนเดียวเท่านั้น ค. ลงทุนกองทุนที่มีแนวโน้มจะติมโต ง. เลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำหรือสภาพค่องสูง
คำตอบที่ถูกต้องคือ ก. เพราะว่า เพราะ ลงทุนเพื่อสะสมเงินก้อน เป้าหมายระยะกลาง/ยาว แนะนำให้จัดเป็นพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง ทำพอร์ตให้มีผลตอบแทนสม่ำเสมอด้วยการทำ Asset Allocation มีสัดส่วนหุ้นมาก ยิ่งมีความเสี่ยงมาก แต่ก็จะได้ผลตอบแทนที่คาดหวังมากตาม เช่น กองหุ้นต่อตราสารหนี้ 60/40 70/30 หรือ 80/20 เป็นต้น ถ้าจะลงหุ้น 100 เลย แนะนำว่าต้องมีการเฉลี่ยต้นทุนเป็นประจำนะ เพราะจะไม่มีสินทรัพย์อื่นที่ช่วยในการ rebalance เวลาต้องการขายตราสารหนี้ ไปถัวเฉลี่ยกองทุนหุ้นตอนมันราคาตก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในข้อช้อย หมายถึง การลงทุนประเภทอื่นๆ ซึ่งตามความสะดวกใจสำหรับตัวเอง
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_30547
Medical
อุจจาระแมวนั้นอาจมีเชื้อปรสิตที่ชื่อว่าอะไร
ก. Toxoplasm ข. Toxoplasma gon ค. Toxoplasma gondii ง. Toxoplas
คำตอบคือ ค. เนื่องจาก ในอุจจาระแมวนั้นอาจมีเชื้อปรสิตที่ชื่อว่า Toxoplasma gondii ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคท็อกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) หรือ โรคขี้แมว โดยทั่วไปเราจะได้รับเชื้อจากการเผลอกินเชื้อปรสิตชนิดนี้ที่ปนมากับอุจจาระของแมวโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งแมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่ใกล้ชิดกับคน เวลาแมวมาคลอเคลียสัมผัสกับเราอาจนำเชื้อมาติดตามมือได้ หรือเมื่อเก็บอุจจาระแมว โดยเฉพาะจากกระบะทรายที่เเมวอุจจาระทิ้งไว้ แล้วไม่ได้ล้างมือก่อนรับประทานอาหารก็อาจเผลอนำเชื้อเข้าปากได้ นอกจากนี้ เรายังสามารถรับเชื้อจากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ เป็นต้น โดยสัตว์เหล่านี้มักได้รับเชื้อจากการกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ จากนั้นเชื้อเหล่านี้ก็จะไปอยู่ที่กล้ามเนื้อ เมื่อเรารับประทานเนื้อสัตว์เหล่านี้โดยไม่ผ่านการปรุงสุก
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_21952
Medical
ลำไส้ใหญ่ส่วนไหนเป็นที่พักของอุจจาระ?
ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ใหญ่ของเราแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนต้นจะมีขาดเล็กกว่าจึงเรียกว่า ลำไส้เล็ก Small intestineส่วนปลายมักจะมีกากอาหารอยู่จึงมีขนาดใหญ่กว่า เรียกว่า ลำไส้ใหญ่ Large intestine ฉบับนี้เราจะว่าถึงเรื่องลำไส้ใหญ่ ลำไส้ใหญ่ มีลักษณะเป็นกระพุ้งและเป็นปล้องๆ มีความยาวประมาณ 150 ซม ลำไส้ใหญ่ตั้งต้นจากลำไส้เล็กส่วนปลายไปจนถึงทวารหนักแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ 1ลำไส้ใหญ่ส่วนต้นหรือกระพุ้งลำไส้ใหญ่ Cecum เป็นกระพุ้งใหญ่และส่วนปลายของกระพุ้งมีไส้เล็กๆปลายตันที่เรียกว่า ไส้ติ่งหรือไส้ตัน appendix มีความยาวประมาณ 1 นิ้วครึ่ง ถึง 2 นิ้ว ระหว่างส่วนลำไส้เล็กส่วนปลาย lleum กับลำไส้ใหญ่ส่วนต้นนี้จะมีลิ้นป้องกันไม่ให้อาหารย้อนกลับไปยังลำไส้เล็ก 2 ลำไส้ใหญ่ส่วนกลาง แบ่งออกได้ กลำไส้ใหญ่ส่วนขึ้น Ascending colon เป็นส่วนต่อจากกระพุ้งลำไส้ใหญ่ ทอดขึ้นทางขวาของช่องท้องไปถึงใต้ตับโค้งไปทางซ้าย ขลำไส้ใหญ่ส่วนขวาง Descending colon เป็นส่วนที่ต่อจากลำไส้ใหญ่ส่วนขึ้น ทอดขวางไปตามช่องท้องจากทางด้านขวาไปทางด้านซ้าย แล้ววกใต้ม้ามลงข้างล่าง คลำไส้ใหญ่ส่วนลง Descending colon เป็นส่วนต่อจากส่วนโค้งของลำไส้ใหญ่ส่วนขวาง ทอดลงมาข้างล่างทางซ้ายของช่องท้อง งลำไส้ใหญ่ส่วนคด Sigmoid colon เป็นส่วนที่ต่อจากลำไส้ใหญ่ส่วนลง มีลักษณะคล้ายตัว s 3 ลำลำไส้ใหญ่ส่วนตรงหรือไส้ตรง Rectum เป็นส่วนที่ต่อจากลำไส้ใหญ่ส่วนคด เป็นลำไส้ที่ตรงลงมา ในผู้ชายอยู่ส่วนหลังกระเพาะปัสสาวะ ส่วนผู้หญิงอยู่หลังมดลูก ส่วนล่างของลำไส้ใหญ่ ส่วนตรงนี้เป็นที่พักของอุจจาระ 4ลำไส้ใหญ่ส่วนสุดท้ายนี้เรียกว่า ช่องทวารหนัก Anal canal เป็นส่วนสุดท้ายของลำไส้ใหญ่ ส่วนเปิดสู่ภายนอกเรียกว่า ทวารหนัก Anus ที่ทวารหนักมีกล้ามเนื้อหูรูดที่เปิดออกเวลาถ่ายอุจจาระ หลังจากกินอาหารแล้ว อาหารจะผ่านไปถึงลำไส้ใหญ่ในเวลาหว่า 8 ชั่วโมงครึ่ง ลำไส้ใหญ่จะไม่มีการย่อยอาหาร เป็นส่วนที่สะสมกากอาหารและช่วยดูดซึมน้ำจากกากอาหารที่เหลือจากการดูดซึมของลำไส้เล็ก กากอาหารที่ดูดซึมแล้วจึงมีลักษณะค่อนข้างเหนียวข้นและในที่สุดจะแข็งหากไม่อุจจาระหลายๆวัน การที่อุจจาระแข็งจะทำให้ถ่ายลำบากต้องออกแรงเบ่ง ทำให้เป็นริดสีดวงทวารได้ ใครไม่อยากเป็นริดสีดวงทวารจึงควรดื่มน้ำมากๆและถ่ายอุจจาระทุกวันให้เป็นนิสัย อย่าปล่อยให้ท้องผูกบ่อยๆ นอกจากนั้น ภายในลำไส้ใหญ่จะมีแบคทีเรียอยู่มากมาย แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่เหล่านี้โดยปกติจะมีคุณมากกว่าโทษ โดยช่วยทำลายเชื้อโรคที่เป็นอันตราย ช่วยย่อยกากอาหารให้สลายตัวมากขึ้น สารบางอย่างเมื่อสลายตัวจะทำให้เกิดแก๊สขึ้นมาได้ นี่แหละที่ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า ผายลมตด อย่างไรก็ตามถ้าหากเรากินอาหารที่ไม่สะอาดมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นภัย เช่น เชื้อบิดที่ไม่มีตัว และเชื้อนี้มีมากเกินจนกระเพาะลำไส้ทำลายไม่หมด จะทำให้ลำไส้ใหญ่อักเสบ ดูดซึมน้ำไม่ได้ ทำให้อุจจาระเหลวเป็นน้ำและเป็นมูกเลือด นอกจากนั้น ลำไส้ใหญ่ที่อักเสบจะบีบตัวมากกว่าปกติทำให้เกิดอาการปวดถ่วงอยากถ่ายอยู่บ่อยๆ
ลำไส้ใหญ่ส่วนตรง หรือที่เรียกว่า ไส้ตรง (Rectum) เป็นส่วนที่พักของอุจจาระ อธิบายเพิ่มเติม: ไส้ตรงมีความยาวประมาณ 15 ซม. อยู่ส่วนล่างของลำไส้ใหญ่ ในผู้ชาย ไส้ตรงอยู่หลังกระเพาะปัสสาวะ ในผู้หญิง ไส้ตรงอยู่หลังมดลูก หน้าที่หลักของไส้ตรงคือ เก็บกักอุจจาระก่อนขับถ่าย เมื่ออุจจาระเต็ม ไส้ตรงจะส่งสัญญาณไปยังสมอง กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากขับถ่าย กล้ามเนื้อหูรูดที่ทวารหนักจะคลายตัว อุจจาระจะถูกขับถ่ายออกมา กลไกการบีบตัวของไส้ตรง: ไส้ตรงมีกล้ามเนื้อที่หดรัดตัวเป็นคลื่น เรียกว่า "การบีบตัวแบบ peristalsis" การบีบตัวแบบ peristalsis นี้ ช่วยดันอุจจาระไปยังทวารหนัก เมื่ออุจจาระสัมผัสกับผนังทวารหนัก จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหูรูดคลายตัว อุจจาระจะถูกขับถ่ายออกมา ปัจจัยที่มีผลต่อการบีบตัวของไส้ตรง: - ปริมาณของอุจจาระ - ความแข็งของอุจจาระ - สุขภาพของระบบทางเดินอาหาร - ยาบางชนิด - โรคบางชนิด การดูแลสุขภาพของไส้ตรง: - ดื่มน้ำให้เพียงพอ - ทานอาหารที่มีกากใยสูง - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ - หลีกเลี่ยงการกลั้นอุจจาระ - ตรวจสุขภาพตามนัด โรคที่พบบ่อยของไส้ตรง: - ริดสีดวงทวาร - มะเร็งลำไส้ใหญ่ - โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) หากสงสัยว่าตนเองมีปัญหาเกี่ยวกับไส้ตรง ควรปรึกษาแพทย์
Anatomy
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Legal_49813
Legal
พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจและล่ามชาวจีนที่ยักยอกเงิน 5.5 ล้านบาทจากเงินสด 8 ล้านบาทที่ยึดได้จากการเข้าตรวจค้นบ้านของชาวจีน 11 คน มีความผิดฐานใด?
a. ลักทรัพย์โดยพนักงานในหน้าที่ b. ฟอกเงิน c. ยักยอกทรัพย์ d. ฉ้อโกงโดยพนักงานในหน้าที่
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ c. เพราะว่า เฉลย:ยักยอกทรัพย์ เหตุผล: เจ้าหน้าที่ตำรวจและล่ามชาวจีนมีหน้าที่ในการดูแลและรักษาทรัพย์สินที่ยึดได้จากการเข้าตรวจค้น การที่พวกเขาเอาเงินจำนวน 5.5 ล้านบาทไปเป็นของตนเองโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหน้าที่ พฤติกรรมดังกล่าวเข้าองค์ประกอบของความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดโดยเจตนาเอาของซึ่งตนถือว่าเป็นของผู้อื่นไว้โดยไม่ต้องยินยอมจากเจ้าของ หรือโดยเอาของที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไว้ โดยไม่ต้องการส่งคืน หรือโดยเอาของซึ่งตนรู้ว่าเป็นของผู้อื่นไว้ โดยทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในสิทธิ์ของตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" ลักทรัพย์โดยพนักงานในหน้าที่ นั้นไม่ถูกต้อง เพราะ: การลักทรัพย์จะต้องเกิดขึ้นโดยที่ผู้กระทำไม่มีสิทธิ์ครอบครองหรือดูแลรักษาทรัพย์สินนั้น ในกรณีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจและล่ามชาวจีนมีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินที่ยึดได้ ดังนั้น จึงไม่เข้าองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ ฟอกเงิน นั้นไม่ถูกต้อง เพราะ: การฟอกเงินจะต้องเป็นการกระทำที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีนี้ เงินจำนวน 8 ล้านบาทที่ยึดได้นั้น มาจากการเข้าตรวจค้นบ้านของชาวจีน 11 คน ไม่ได้มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเงินจำนวนดังกล่าวมาจากการกระทำผิดกฎหมาย ดังนั้น จึงไม่เข้าองค์ประกอบของความผิดฐานฟอกเงิน ฉ้อโกงโดยพนักงานในหน้าที่ นั้นไม่ถูกต้อง เพราะ: การฉ้อโกงโดยพนักงานในหน้าที่จะต้องเป็นการกระทำที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจและล่ามชาวจีนยักยอกเงินจำนวน 5.5 ล้านบาท ซึ่งอาจเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่ไม่ได้มีหลักฐานบ่งชี้ว่าพวกเขาทำไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น จึงไม่เข้าองค์ประกอบของความผิดฐานฉ้อโกงโดยพนักงานในหน้าที่
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_26134
Medical
การยืนทำงานนานๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด หลอดเลือดขอด จริงหรือไม่?
null
จริง เหตุผล: การยืนทำงานนานๆ อาจจะทำให้เกิดเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงขาน้อยลง ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดคั่งในหลอดเลือดดำบริเวณขา หลอดเลือดดำมีลิ้นอยู่ภายในเพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับของเลือด แต่การยืนนานๆ ทำให้ลิ้นหลอดเลือดดำทำงานหนัก เกิดภาวะลิ้นหลอดเลือดดำเสื่อม ส่งผลให้เลือดไหลย้อนกลับ เกิดภาวะหลอดเลือดขอด ปัจจัยอื่นๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดขอด ได้แก่ พันธุกรรม เพศหญิง การตั้งครรภ์ น้ำหนักตัวเกิน อายุ ผลข้างเคียงของหลอดเลือดขอด: -ขาบวม -รู้สึกปวดตื้อหรือหนักขา -คันบริเวณขา -หลอดเลือดดำโป่งพอง -ผิวหนังบริเวณขาเปลี่ยนสี -แผลเรื้อรัง แนวทางการป้องกัน: -หลีกเลี่ยงการยืนนานๆ พยายามขยับขาสลับกับการยืน นั่ง หรือเดิน -ยกขาสูงกว่าระดับหัวใจเมื่อนั่งหรือนอน -สวมใส่ถุงน่องส้นสูงเพื่อช่วยการไหลเวียนเลือด -ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม -ออกกำลังกายสม่ำเสมอ -หากมีอาการของหลอดเลือดขอด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา วิธีการรักษา: -การสวมใส่ถุงน่องส้นสูง -การฉีดยา -การผ่าตัด การป้องกันและรักษาภาวะหลอดเลือดขอดเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะหากปล่อยไว้เรื้อรัง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,Anatomy
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_44210
Finance
ความท้าทายใดที่ต้องบริหารจัดการก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะได้ประโยชน์จากวัคซีนโควิด-19
ข่าววัคซีนของ Pfizer, BioNTech และ Moderna ที่มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดโควิด-19 สูงกว่า 90% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น สายการบิน บริษัทเดินเรือสำราญ และโรงแรม ในขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทที่ได้ผลบวกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น Amazon, Zoom และ Peloton ปรับตัวลดลง ราคาหุ้นไทยก็ปรับขึ้นมากเช่นกันจากเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเป็นบวกสุทธิเป็นเดือนแรกของปี จนหลายคนอาจสรุปว่าวัคซีนจะเป็นแสงสว่างสำหรับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยให้สามารถกลับมาสู่ภาวะปกติในเวลาไม่นาน แต่ในความเป็นจริงยังมีความท้าทายสำคัญที่ต้องติดตามและบริหารจัดการก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะได้ประโยชน์จากวัคซีนโควิด-19 อย่างเต็มที่ ตลาดการเงินตอบสนองต่อผลการทดลองของ Pfizer และ Moderna อย่างรวดเร็ว เพราะมีนัยบวกต่อแนวโน้มความสำเร็จของการพัฒนาวัคซีนตัวอื่นๆ ด้วย 1. แมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอ หรือ mRNA ที่ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ ผลการทดลองของ Pfizer และ Moderna พิสูจน์แล้วว่าเทคโนโลยีนี้สามารถใช้งานได้จริง ทำให้โอกาสความสำเร็จของวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ที่กำลังอยู่ระหว่างการทดลองสูงขึ้นเช่นกัน 2. ประสิทธิภาพการป้องกันการติดเชื้อของ Pfizer และ Moderna สูงถึง 90% และ 94.5% ตามลำดับ เทียบกับวัคซีนไข้หวัดที่มีประสิทธิภาพราว 40-60% 3. วัคซีนของทั้ง Pfizer และ Moderna ใช้ข้อมูลพันธุกรรมของ Spike Protein ซึ่งเป็นโครงสร้างชั้นนอกของไวรัสในการสั่งงานให้เซลล์ในร่ายกายของเราสร้างภูมิคุ้มกัน โดยวัคซีนตัวอื่นๆ ที่ใช้ Spike Protein ในการกระตุ้นให้ร่างการสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น AstraZeneca, Johnson & Johnson และ Novavax ก็มีโอกาสสำเร็จมากขึ้นเช่นกัน การที่มีวัคซีนหลายตัวที่ประสบความสำเร็จก็จะช่วยให้การเข้าถึงของประชากรโลกเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางข่าวดีข้างต้นยังมีความท้าทายที่เป็นคำถามสำคัญอย่างน้อย 2 ข้อ ได้แก่ ความชัดเจนของคุณสมบัติด้านต่างๆ ของวัคซีนใหม่ และความเร็วที่วัคซีนจะถูกกระจายไปยังประเทศต่างๆ ในประเด็นแรก เนื่องจาก mRNA เป็นเทคโนโลยีใหม่และการทดลองในมนุษย์ที่ทำแค่ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน แม้การทดลองทางคลินิกวัคซีนจะแสดงว่าวัคซีนได้ผลสูง แต่ก็เป็นการทดลองที่ใช้กับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ยังมีความกังวลต่อโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงทั้งระยะสั้นและระยะยาวเมื่อใช้กับประชากรโดยทั่วไป ซึ่งรวมถึงกลุ่มคนที่มีความเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว นอกจากนั้นยังไม่ชัดเจนว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนซึ่งจะได้รับภูมิต้านทานต่อโควิด-19 จะยังสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้หรือไม่ ประเด็นนี้จะมีนัยสำคัญต่อนโยบายสาธารณสุขและนโยบายการเปิดประเทศต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ หากผู้ได้รับวัคซีนยังอาจเป็นพาหะแพร่เชื้อได้ การเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัวนักท่องเที่ยวอาจต้องรอให้คนไทยได้รับวัคซีนในวงกว้างก่อนด้วย รวมทั้งยังไม่ชัดเจนว่าระยะเวลาของภูมิคุ้มกันจะยาวนานแค่ไหน ความไม่แน่นอนในคุณสมบัติด้านต่างๆ นี้อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นและความยินดีของผู้คนที่จะทดลองใช้วัคซีนในช่วงแรกด้วย ดังนั้นในประเด็นเหล่านี้คงต้องรอผลจากการใช้ในกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use) ที่น่าจะเริ่มขึ้นได้ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ และจากการติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไปควบคู่กับการสื่อสารอย่างเหมาะสมของหน่วยงานของประเทศต่างๆ ด้วย ข้อตกลงการสั่งซื้อวัคซีนโควิด-19 ของประเทศต่างๆ (ข้อมูล ณ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2020) ข่าววัคซีนของ Pfizer, BioNTech และ Moderna ที่มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดโควิด-19 สูงกว่า 90% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น สายการบิน บริษัทเดินเรือสำราญ และโรงแรม ในขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทที่ได้ผลบวกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น Amazon, Zoom และ Peloton ปรับตัวลดลง ราคาหุ้นไทยก็ปรับขึ้นมากเช่นกันจากเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเป็นบวกสุทธิเป็นเดือนแรกของปี จนหลายคนอาจสรุปว่าวัคซีนจะเป็นแสงสว่างสำหรับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยให้สามารถกลับมาสู่ภาวะปกติในเวลาไม่นาน แต่ในความเป็นจริงยังมีความท้าทายสำคัญที่ต้องติดตามและบริหารจัดการก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะได้ประโยชน์จากวัคซีนโควิด-19 อย่างเต็มที่ ผลการทดลองของ Pfizer และ Moderna พิสูจน์แล้วว่าเทคโนโลยีนี้สามารถใช้งานได้จริง ทำให้โอกาสความสำเร็จของวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ที่กำลังอยู่ระหว่างการทดลองสูงขึ้นเช่นกัน เทียบกับวัคซีนไข้หวัดที่มีประสิทธิภาพราว 40-60% ซึ่งเป็นโครงสร้างชั้นนอกของไวรัสในการสั่งงานให้เซลล์ในร่ายกายของเราสร้างภูมิคุ้มกัน โดยวัคซีนตัวอื่นๆ ที่ใช้ Spike Protein ในการกระตุ้นให้ร่างการสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น AstraZeneca, Johnson & Johnson และ Novavax ก็มีโอกาสสำเร็จมากขึ้นเช่นกัน การที่มีวัคซีนหลายตัวที่ประสบความสำเร็จก็จะช่วยให้การเข้าถึงของประชากรโลกเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางข่าวดีข้างต้นยังมีความท้าทายที่เป็นคำถามสำคัญอย่างน้อย 2 ข้อ ได้แก่ ในประเด็นแรก เนื่องจาก mRNA เป็นเทคโนโลยีใหม่และการทดลองในมนุษย์ที่ทำแค่ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน แม้การทดลองทางคลินิกวัคซีนจะแสดงว่าวัคซีนได้ผลสูง แต่ก็เป็นการทดลองที่ใช้กับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ยังมีความกังวลต่อโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงทั้งระยะสั้นและระยะยาวเมื่อใช้กับประชากรโดยทั่วไป ซึ่งรวมถึงกลุ่มคนที่มีความเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว นอกจากนั้นยังไม่ชัดเจนว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนซึ่งจะได้รับภูมิต้านทานต่อโควิด-19 จะยังสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้หรือไม่ ประเด็นนี้จะมีนัยสำคัญต่อนโยบายสาธารณสุขและนโยบายการเปิดประเทศต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ หากผู้ได้รับวัคซีนยังอาจเป็นพาหะแพร่เชื้อได้ การเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัวนักท่องเที่ยวอาจต้องรอให้คนไทยได้รับวัคซีนในวงกว้างก่อนด้วย รวมทั้งยังไม่ชัดเจนว่าระยะเวลาของภูมิคุ้มกันจะยาวนานแค่ไหน ความไม่แน่นอนในคุณสมบัติด้านต่างๆ นี้อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นและความยินดีของผู้คนที่จะทดลองใช้วัคซีนในช่วงแรกด้วย ดังนั้นในประเด็นเหล่านี้คงต้องรอผลจากการใช้ในกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use) ที่น่าจะเริ่มขึ้นได้ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ และจากการติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไปควบคู่กับการสื่อสารอย่างเหมาะสมของหน่วยงานของประเทศต่างๆ ด้วย สำหรับความเร็วของการกระจายวัคซีนนั้นจะขึ้นอยู่กับการจัดการกับความท้าทายด้านการผลิต ขนส่ง และแจกจ่ายวัคซีนที่มีอยู่พอสมควร เนื่องจากเทคโนโลยี mRNA เป็นนวัตกรรมใหม่ ความพร้อมในด้านเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนชนิดนี้ในประเทศกำลังพัฒนายังต่ำเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนประเภทอื่น และ Technology Transfer อาจจะต้องใช้เวลา ในด้านการขนส่งวัคซีนของ Pfizer ต้องเก็บที่อุณหภูมิต่ำถึง -70 องศาเซลเซียส และอยู่ได้ที่อุณหภูมิแช่เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้เพียงไม่กี่วัน ส่งผลให้การขนส่งวัคซีนจะมีความท้าทายและมีค่าใช้จ่ายสูง ในขณะที่วัคซีนของ Moderna ต้องเก็บที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส สามารถอยู่ได้ที่อุณหภูมิแช่เย็นได้ราว 30 วัน นอกจากนี้วัคซีนของ Pfizer และ Moderna ต้องฉีด 2 เข็มด้วยระยะเวลา 3 และ 4 สัปดาห์ ตามลำดับ ดังนั้นการบริหารจัดการให้คนมาฉีดให้ครบทั้ง 2 เข็มตามวันที่กำหนดก็จะเป็นความท้าทายเช่นกัน จำนวนวัคซีนที่จะผลิตให้เพียงพอกับประชากรของโลกก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายหลัก Pfizer ได้ประกาศว่าบริษัทสามารถผลิตวัคซีนได้ราว 1,300 ล้านโดสในปี 2021 ในขณะที่ Moderna สามารถผลิตได้ราว 500-1,000 ล้านโดสในปี 2021 ซึ่งจะเพียงพอสำหรับ 900-1,150 ล้านคนเท่านั้น ในขณะที่ประชากรโลกมีถึง 7,800 ล้านคน โดยประชากรของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วและมีข้อตกลงการสั่งซื้อวัคซีนจาก Pfizer และ/หรือ Moderna ราว 1,230 ล้านคน นอกจากนี้วัคซีนตัวอื่นที่มีความคืบหน้าในการวิจัยหลายตัวก็ได้ถูกประเทศต่างๆ สั่งจองไปแล้ว โดยประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีการสั่งจองวัคซีนล่วงหน้าก็มีโอกาสได้รับวัคซีนก่อน โดยประชากรในประเทศเหล่านั้นก็อาจจะมี Herd Immunity จากการฉีดวัคซีนภายในครึ่งแรกของปี 2021 (ตามรูป) ในส่วนของประเทศกำลังพัฒนา การได้รับวัคซีนในปริมาณที่เพียงพอที่จะสร้าง Herd Immunity ได้นั้นขึ้นอยู่กับ 3 แนวทาง ได้แก่ 1. การตกลงสั่งซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตหรือการได้ไลเซนส์ในการผลิต เช่น สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี ทำข้อตกลงกับ AstraZeneca เพื่อผลิตวัคซีนสำหรับไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2. การประสานงานระหว่างประเทศ โดย COVAX (COVID-19 Vaccines Global Access Facility) คือโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ และมี 3 องค์กรหลักคือ องค์การอนามัยโลก พันธมิตรวัคซีนกาวี (Gavi, the Vaccine Alliance) และ Coalition for Epidemic Preparedness Innovations ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาและแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 2,000 ล้านโดสภายในปี 2021 ให้แก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างเท่าเทียม โดยประเทศไทยได้ไปเข้าร่วมใน COVAX แล้ว อย่างไรก็ตาม การแจกจ่ายวัคซีนของ COVAX แก่ประเทศต่างๆ นั้น ยังไม่มีความชัดเจนและขึ้นอยู่กับไกด์ไลน์ขององค์กรใน COVAX ทั้ง 3 องค์กร 3. การผลิตขึ้นมาเองด้วยเทคโนโลยีของตน เช่น ในกรณีของไทย ที่ภาครัฐสนับสนุนโครงการผลิตวัคซีนในประเทศอยู่หลายโครงการ เช่น โครงการวัคซีน mRNA ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในภาพรวม EIC คาดการณ์ในกรณีฐานว่าไทยจะได้รับวัคซีนในวงกว้าง (อย่างน้อย 50% ของประชากร) ก็คงเป็นในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 ข่าวของ Pfizer และ Moderna ถือเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญกับความยากลำบากในระยะสั้น การระบาดของโรคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุโรปและสหรัฐฯ ก็จะทำให้เศรษฐกิจเหล่านั้นมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ขณะที่การใช้วัคซีนจะเกิดขึ้นแพร่หลายในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ก่อนที่จะกระจายตัวมายังประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทยได้มากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 ซึ่งน่าจะช่วยให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศปรับสูงขึ้นได้บ้างประมาณ 8-10 ล้านคนในปีหน้า โดยจะเป็นการกระจุกตัวในช่วงครึ่งหลังของปีเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังน้อยกว่าระดับเดิมก่อนเกิดโควิด-19 ที่ 40 ล้านคนอยู่มาก ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 1-2 ปี ดังนั้น แม้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มเห็นแสงสว่างและได้รับประโยชน์จากราคาหุ้นและความเชื่อมั่นที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่เรายังต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจริงอย่างช้าๆ ในช่วงปีหน้า และแผลเป็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการว่างงาน การปิดกิจการ และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ควบคู่กับการได้มาและการกระจายวัคซีนอย่างเพียงพอและทั่วถึง เพื่อให้ไทยได้รับประโยชน์จากวัคซีนและฟื้นตัวจากวิกฤตรอบนี้ได้อย่างเข้มแข็งต่อไป สำหรับความเร็วของการกระจายวัคซีนนั้นจะขึ้นอยู่กับการจัดการกับความท้าทายด้านการผลิต ขนส่ง และแจกจ่ายวัคซีนที่มีอยู่พอสมควร เนื่องจากเทคโนโลยี mRNA เป็นนวัตกรรมใหม่ ความพร้อมในด้านเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนชนิดนี้ในประเทศกำลังพัฒนายังต่ำเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนประเภทอื่น และ Technology Transfer อาจจะต้องใช้เวลา ในด้านการขนส่งวัคซีนของ Pfizer ต้องเก็บที่อุณหภูมิต่ำถึง -70 องศาเซลเซียส และอยู่ได้ที่อุณหภูมิแช่เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้เพียงไม่กี่วัน ส่งผลให้การขนส่งวัคซีนจะมีความท้าทายและมีค่าใช้จ่ายสูง ในขณะที่วัคซีนของ Moderna ต้องเก็บที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส สามารถอยู่ได้ที่อุณหภูมิแช่เย็นได้ราว 30 วัน นอกจากนี้วัคซีนของ Pfizer และ Moderna ต้องฉีด 2 เข็มด้วยระยะเวลา 3 และ 4 สัปดาห์ ตามลำดับ ดังนั้นการบริหารจัดการให้คนมาฉีดให้ครบทั้ง 2 เข็มตามวันที่กำหนดก็จะเป็นความท้าทายเช่นกัน จำนวนวัคซีนที่จะผลิตให้เพียงพอกับประชากรของโลกก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายหลัก Pfizer ได้ประกาศว่าบริษัทสามารถผลิตวัคซีนได้ราว 1,300 ล้านโดสในปี 2021 ในขณะที่ Moderna สามารถผลิตได้ราว 500-1,000 ล้านโดสในปี 2021 ซึ่งจะเพียงพอสำหรับ 900-1,150 ล้านคนเท่านั้น ในขณะที่ประชากรโลกมีถึง 7,800 ล้านคน โดยประชากรของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วและมีข้อตกลงการสั่งซื้อวัคซีนจาก Pfizer และ/หรือ Moderna ราว 1,230 ล้านคน นอกจากนี้วัคซีนตัวอื่นที่มีความคืบหน้าในการวิจัยหลายตัวก็ได้ถูกประเทศต่างๆ สั่งจองไปแล้ว โดยประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีการสั่งจองวัคซีนล่วงหน้าก็มีโอกาสได้รับวัคซีนก่อน โดยประชากรในประเทศเหล่านั้นก็อาจจะมี Herd Immunity จากการฉีดวัคซีนภายในครึ่งแรกของปี 2021 (ตามรูป) ในส่วนของประเทศกำลังพัฒนา การได้รับวัคซีนในปริมาณที่เพียงพอที่จะสร้าง Herd Immunity ได้นั้นขึ้นอยู่กับ 3 แนวทาง ได้แก่ 1. การตกลงสั่งซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตหรือการได้ไลเซนส์ในการผลิต เช่น สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี ทำข้อตกลงกับ AstraZeneca เพื่อผลิตวัคซีนสำหรับไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2. การประสานงานระหว่างประเทศ โดย COVAX (COVID-19 Vaccines Global Access Facility) คือโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ และมี 3 องค์กรหลักคือ องค์การอนามัยโลก พันธมิตรวัคซีนกาวี (Gavi, the Vaccine Alliance) และ Coalition for Epidemic Preparedness Innovations ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาและแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 2,000 ล้านโดสภายในปี 2021 ให้แก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างเท่าเทียม โดยประเทศไทยได้ไปเข้าร่วมใน COVAX แล้ว อย่างไรก็ตาม การแจกจ่ายวัคซีนของ COVAX แก่ประเทศต่างๆ นั้น ยังไม่มีความชัดเจนและขึ้นอยู่กับไกด์ไลน์ขององค์กรใน COVAX ทั้ง 3 องค์กร 3. การผลิตขึ้นมาเองด้วยเทคโนโลยีของตน เช่น ในกรณีของไทย ที่ภาครัฐสนับสนุนโครงการผลิตวัคซีนในประเทศอยู่หลายโครงการ เช่น โครงการวัคซีน mRNA ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในภาพรวม EIC คาดการณ์ในกรณีฐานว่าไทยจะได้รับวัคซีนในวงกว้าง (อย่างน้อย 50% ของประชากร) ก็คงเป็นในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 ข่าวของ Pfizer และ Moderna ถือเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญกับความยากลำบากในระยะสั้น การระบาดของโรคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุโรปและสหรัฐฯ ก็จะทำให้เศรษฐกิจเหล่านั้นมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ขณะที่การใช้วัคซีนจะเกิดขึ้นแพร่หลายในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ก่อนที่จะกระจายตัวมายังประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทยได้มากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 ซึ่งน่าจะช่วยให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศปรับสูงขึ้นได้บ้างประมาณ 8-10 ล้านคนในปีหน้า โดยจะเป็นการกระจุกตัวในช่วงครึ่งหลังของปีเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังน้อยกว่าระดับเดิมก่อนเกิดโควิด-19 ที่ 40 ล้านคนอยู่มาก ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 1-2 ปี ดังนั้น แม้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มเห็นแสงสว่างและได้รับประโยชน์จากราคาหุ้นและความเชื่อมั่นที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่เรายังต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจริงอย่างช้าๆ ในช่วงปีหน้า และแผลเป็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการว่างงาน การปิดกิจการ และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ควบคู่กับการได้มาและการกระจายวัคซีนอย่างเพียงพอและทั่วถึง เพื่อให้ไทยได้รับประโยชน์จากวัคซีนและฟื้นตัวจากวิกฤตรอบนี้ได้อย่างเข้มแข็งต่อไป พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์ พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
ความท้าทายที่เป็นคำถามสำคัญอย่างน้อย 2 ข้อ ได้แก่ ความชัดเจนของคุณสมบัติด้านต่างๆ ของวัคซีนใหม่ และความเร็วที่วัคซีนจะถูกกระจายไปยังประเทศต่างๆ ในประเด็นแรก เนื่องจาก mRNA เป็นเทคโนโลยีใหม่และการทดลองในมนุษย์ที่ทำแค่ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน แม้การทดลองทางคลินิกวัคซีนจะแสดงว่าวัคซีนได้ผลสูง แต่ก็เป็นการทดลองที่ใช้กับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ยังมีความกังวลต่อโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงทั้งระยะสั้นและระยะยาวเมื่อใช้กับประชากรโดยทั่วไป ซึ่งรวมถึงกลุ่มคนที่มีความเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว นอกจากนั้นยังไม่ชัดเจนว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนซึ่งจะได้รับภูมิต้านทานต่อโควิด-19 จะยังสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้หรือไม่ ประเด็นนี้จะมีนัยสำคัญต่อนโยบายสาธารณสุขและนโยบายการเปิดประเทศต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ หากผู้ได้รับวัคซีนยังอาจเป็นพาหะแพร่เชื้อได้ การเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัวนักท่องเที่ยวอาจต้องรอให้คนไทยได้รับวัคซีนในวงกว้างก่อนด้วย รวมทั้งยังไม่ชัดเจนว่าระยะเวลาของภูมิคุ้มกันจะยาวนานแค่ไหน ความไม่แน่นอนในคุณสมบัติด้านต่างๆ นี้อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นและความยินดีของผู้คนที่จะทดลองใช้วัคซีนในช่วงแรกด้วย ดังนั้นในประเด็นเหล่านี้คงต้องรอผลจากการใช้ในกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use) ที่น่าจะเริ่มขึ้นได้ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ และจากการติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไปควบคู่กับการสื่อสารอย่างเหมาะสมของหน่วยงานของประเทศต่างๆ ด้วย
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_44024
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง " Thematic Investor: หมดมุก?" ให้หน่อยนะคะ
ย้อนกลับไปปี 2020 การลงทุนที่ทั่วทั้งตลาดต้องมี หนีไม่พ้น Innovative Disruption หรือไม่ก็เป็นกองทุน Thematics ใหม่ๆ จากหลากหลาย บลจ. ย้อนกลับไปปี 2020 การลงทุนที่ทั่วทั้งตลาดต้องมี หนีไม่พ้น Innovative Disruption หรือไม่ก็เป็นกองทุน Thematics ใหม่ๆ จากหลากหลาย บลจ. ทุกอย่างดูดีไปหมด จนการลงทุนมาสะดุดในช่วงต้นปี 2021 เมื่อตลาดเชื่อเรื่องการ Reopening และ Bond Yield พลิกเป็นขาขึ้น ตัวเลือกใหม่สาย Value ที่ตรงไปตรงมา และต้นทุนทางการเงินที่คาดว่าจะสูงขึ้น ทำให้การลงทุนแนว Hyper Growth ต่างปรับฐานกันถ้วนหน้า ทุกอย่างดูดีไปหมด จนการลงทุนมาสะดุดในช่วงต้นปี 2021 เมื่อตลาดเชื่อเรื่องการ Reopening และ Bond Yield พลิกเป็นขาขึ้น ตัวเลือกใหม่สาย Value ที่ตรงไปตรงมา และต้นทุนทางการเงินที่คาดว่าจะสูงขึ้น ทำให้การลงทุนแนว Hyper Growth ต่างปรับฐานกันถ้วนหน้า แต่ปัจจุบัน แม้ไวรัสจะกลับมาระบาดใหม่ทั่วโลก หลายประเทศมีความเสี่ยงที่จะต้องเลื่อนการ Reopening ออกไปไม่มีกำหนด Bond Yield สหรัฐฯ ย่อตัวกลับมาแทบเท่ากับปลายปี 2020 แต่น่าแปลกที่กองทุน Disruptive Innovation ยอดฮิต กลับไม่เขียวสดใสเหมือนปีก่อน จนนักลงทุนหลายท่านตั้งคำถามว่า Thematic Investing ทั้งหลายพบกับทางตันแล้วหรือไม่ แต่ปัจจุบัน แม้ไวรัสจะกลับมาระบาดใหม่ทั่วโลก หลายประเทศมีความเสี่ยงที่จะต้องเลื่อนการ Reopening ออกไปไม่มีกำหนด Bond Yield สหรัฐฯ ย่อตัวกลับมาแทบเท่ากับปลายปี 2020 แต่น่าแปลกที่กองทุน Disruptive Innovation ยอดฮิต กลับไม่เขียวสดใสเหมือนปีก่อน จนนักลงทุนหลายท่านตั้งคำถามว่า Thematic Investing ทั้งหลายพบกับทางตันแล้วหรือไม่ ผมเริ่มหาคำตอบจากกลุ่มการลงทุนขวัญใจรายย่อยอย่าง ARK Invest ก่อน และลงทุน IPO ที่ Passive ETF ทำไม่ได้ เหตุผลส่วนหนึ่งผมเชื่อว่าเกิดจากการที่มีเงินเข้าออกมากผิดปกติ มีจังหวะที่ต้องปรับพอร์ตโดยไม่จำเป็นบ่อยครั้ง แต่ส่วนมากดูจะมาจากการที่ ARK ปรับสัดส่วนการลงทุนไปมาเพื่อจับจังหวะตลาดเอง และลงทุน IPO ที่ Passive ETF ทำไม่ได้ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้เราจะเห็นหน้า เคธี วูดส์ CEO และ CIO ARK บ่อยแค่ไหน แต่ความโด่งดังก็ไม่ได้การันตีผลตอบแทน ส่วนการเป็น Active Investor ใช่ว่าจะดีกว่า Passive Investor เสมอไป เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้เราจะเห็นหน้า เคธี วูดส์ CEO และ CIO ARK บ่อยแค่ไหน แต่ความโด่งดังก็ไม่ได้การันตีผลตอบแทน ส่วนการเป็น Active Investor ใช่ว่าจะดีกว่า Passive Investor เสมอไป ต่อมาคำถามว่า Thematic Investing นั้นหมดความนิยมแล้วหรือ? ตลาดธีมทั้งหมดตอบว่า “ไม่ใช่” แต่ที่เกิดขึ้นคือตลาด “เปลี่ยนธีม” ต่อมาคำถามว่า Thematic Investing นั้นหมดความนิยมแล้วหรือ? ตลาดธีมทั้งหมดตอบว่า “ไม่ใช่” แต่ที่เกิดขึ้นคือตลาด “เปลี่ยนธีม” ผมใช้ข้อมูลจาก Citi Research เปรียบเทียบจักรวาลธีมเกือบ 100 ธีม ที่ Citi เชื่อว่าตลาดกำลังให้ความสนใจ ไม่น่าเชื่อว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 ไม่มีธีมไหนที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ ผมใช้ข้อมูลจาก Citi Research เปรียบเทียบจักรวาลธีมเกือบ 100 ธีม ที่ Citi เชื่อว่าตลาดกำลังให้ความสนใจ ไม่น่าเชื่อว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 ไม่มีธีมไหนที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ ธีมที่เด่นและลงทุนได้ไม่ยาก 3 ธีม ประกอบด้วย ธีมที่เด่นและลงทุนได้ไม่ยาก 3 ธีม ประกอบด้วย ‘Belt and Road’ ลงทุนเกี่ยวกับนโยบายโครงสร้างพื้นฐานตามแนวคิดของรัฐบาลจีน ‘Manufacturing Onshoring’ หรือบริษัทสหรัฐฯ ที่กลับมาเพิ่มการลงทุนในประเทศ ‘Service Offshoring’ ลงทุนในบริษัทภาคบริการที่ลดต้นทุนด้วยการจ้างแรงงานต่างประเทศ ‘Belt and Road’ ลงทุนเกี่ยวกับนโยบายโครงสร้างพื้นฐานตามแนวคิดของรัฐบาลจีน ‘Manufacturing Onshoring’ หรือบริษัทสหรัฐฯ ที่กลับมาเพิ่มการลงทุนในประเทศ ‘Service Offshoring’ ลงทุนในบริษัทภาคบริการที่ลดต้นทุนด้วยการจ้างแรงงานต่างประเทศ ทั้งหมดให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงระดับ 18-26% ทั้งหมดให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงระดับ 18-26% ฝั่งธีมที่แย่กว่าตลาดมีผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วง 4-7% ได้แก่ ‘Space Exploration’ การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่ไปถึงอวกาศ, ‘Solar and Wind Energy’ พลังงานทางเลือกที่มีต้นกำเนิดมาจากลมและแสงแดด, ‘Biotech’ ที่เน้นพัฒนาเทคโนโลยีตั้งแต่การเกษตรไปจนถึงการผลิตยารักษาโรค ฝั่งธีมที่แย่กว่าตลาดมีผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วง 4-7% ได้แก่ ‘Space Exploration’ การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่ไปถึงอวกาศ, ‘Solar and Wind Energy’ พลังงานทางเลือกที่มีต้นกำเนิดมาจากลมและแสงแดด, ‘Biotech’ ที่เน้นพัฒนาเทคโนโลยีตั้งแต่การเกษตรไปจนถึงการผลิตยารักษาโรค ความแตกต่างระหว่าง 2 กลุ่มนี้มีหลายเรื่อง คือ ความแตกต่างระหว่าง 2 กลุ่มนี้มีหลายเรื่อง คือ หนึ่งคือธีมที่ผลงานดี เป็นธีมที่แนวโน้มรายได้ (Earning Momentum) ถูกปรับตัวขึ้นมากที่สุด หนึ่งคือธีมที่ผลงานดี เป็นธีมที่แนวโน้มรายได้ (Earning Momentum) ถูกปรับตัวขึ้นมากที่สุด แรงสนับสนุนหลักช่วงนี้มาจากนโยบายภาครัฐและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการผลิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังโควิด นักวิเคราะห์มองไปในทางเดียวกันว่าสายพานการผลิตแบบ Globalization มีปัญหา จึงเป็นโอกาสของบริษัทที่สามารถผลิตจบครบลูปได้เอง แรงสนับสนุนหลักช่วงนี้มาจากนโยบายภาครัฐและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการผลิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังโควิด นักวิเคราะห์มองไปในทางเดียวกันว่าสายพานการผลิตแบบ Globalization มีปัญหา จึงเป็นโอกาสของบริษัทที่สามารถผลิตจบครบลูปได้เอง สองคือธีมที่พื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง (High Quality) ได้รับความสนใจมากขึ้น สองคือธีมที่พื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง (High Quality) ได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะตลาดเชื่อมั่นว่า ท้ายที่สุดทุกประเทศต้องลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ บริษัทต้องยกระดับเทคโนโลยีเพื่อรองรับกำลังซื้อรอบใหม่หลังวิกฤต การเติบโตแบบวัฏจักรจึงควรเกิดขึ้น อย่างที่เราเห็นมาแล้วกับราคาน้ำมันหรือสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่กันได้ไม่ยาก เพราะตลาดเชื่อมั่นว่า ท้ายที่สุดทุกประเทศต้องลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ บริษัทต้องยกระดับเทคโนโลยีเพื่อรองรับกำลังซื้อรอบใหม่หลังวิกฤต การเติบโตแบบวัฏจักรจึงควรเกิดขึ้น อย่างที่เราเห็นมาแล้วกับราคาน้ำมันหรือสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่กันได้ไม่ยาก และสุดท้าย เมื่อเป็นการลงทุนสไตล์ Thematics แนวโน้มราคา หรือ Price Momentum มักมีความสัมพันธ์กับทิศทางของการลงทุนในระยะสั้นสูง เพราะรายย่อยและผู้แนะนำการลงทุนคือส่วนใหญ่ของ Thematic Investor นักลงทุนกลุ่มนี้แม้จะเชื่อในธีมระยะยาว แต่ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนใจเมื่อมีการลงทุนที่น่าสนใจกว่าเข้ามาในตลาด และด้วยเงินทุนต่อรายที่ไม่สูง เมื่อเปลี่ยนมุมมองจึงมักโยกเงินทั้งหมดไปพร้อมกัน ทำให้เกิด Price Reversal และ Momentum ที่เด่นชัด และสุดท้าย เมื่อเป็นการลงทุนสไตล์ Thematics แนวโน้มราคา หรือ Price Momentum มักมีความสัมพันธ์กับทิศทางของการลงทุนในระยะสั้นสูง เพราะรายย่อยและผู้แนะนำการลงทุนคือส่วนใหญ่ของ Thematic Investor นักลงทุนกลุ่มนี้แม้จะเชื่อในธีมระยะยาว แต่ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนใจเมื่อมีการลงทุนที่น่าสนใจกว่าเข้ามาในตลาด และด้วยเงินทุนต่อรายที่ไม่สูง เมื่อเปลี่ยนมุมมองจึงมักโยกเงินทั้งหมดไปพร้อมกัน ทำให้เกิด Price Reversal และ Momentum ที่เด่นชัด เมื่อเข้าใจเหตุผลทั้งหมด ใครที่สนใจหรือลงทุนในธีมไหนอยู่ก็ต้องเรียนรู้และปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในตลาดไม่ต่างกับการลงทุนปกติ เมื่อเข้าใจเหตุผลทั้งหมด ใครที่สนใจหรือลงทุนในธีมไหนอยู่ก็ต้องเรียนรู้และปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในตลาดไม่ต่างกับการลงทุนปกติ เพราะไม่ใช่ว่าเราอยู่กับธีมระยะยาว แล้วผลตอบแทนระยะสั้นจะต้องดีเสมอ เพราะไม่ใช่ว่าเราอยู่กับธีมระยะยาว แล้วผลตอบแทนระยะสั้นจะต้องดีเสมอ ไม่ใช่ว่าเลือก บลจ. ชื่อดัง แล้วจะชนะตลาดตลอด ไม่ใช่ว่าเลือก บลจ. ชื่อดัง แล้วจะชนะตลาดตลอด และไม่ใช่ว่า Thematic Investing จะหมดมุก และไม่ใช่ว่า Thematic Investing จะหมดมุก แต่บางครั้งก็ต้องกลับมาดูพอร์ตเราเองด้วยว่า ธีมลงทุนของเรากระจุกตัวเกินไปไหม มีเหตุการณ์ที่ทำให้ธีมของตลาดเปลี่ยนไปหรือเปล่า และควรตั้งความหวังให้ตรงกับระยะเวลาของธีมที่เราลงทุนไปด้วย แต่บางครั้งก็ต้องกลับมาดูพอร์ตเราเองด้วยว่า ธีมลงทุนของเรากระจุกตัวเกินไปไหม มีเหตุการณ์ที่ทำให้ธีมของตลาดเปลี่ยนไปหรือเปล่า และควรตั้งความหวังให้ตรงกับระยะเวลาของธีมที่เราลงทุนไปด้วย
ในปี 2020, การลงทุนต้องมีการหลีกเลี่ยงผลกระทบจาก Innovative Disruption หรือเลือกลงทุนในกองทุน Thematics ใหม่ๆ จากหลาย บริษัท. - ตลาดดูดีในช่วงนั้น แต่มีการสะดุดในต้นปี 2021 เมื่อตลาดเชื่อในการ Reopening และ Bond Yield เพิ่มขึ้น. - ตัวเลือกใหม่ที่เน้นทางการเงินและการลงทุนแนว Value ก็กลับมีความนิยม. - ในปัจจุบัน, สถานการณ์การลงทุนยังมีความไม่แน่นอนเนื่องจากการระบาดของไวรัสใหม่. - กองทุน Disruptive Innovation ที่เป็นที่นิยมก่อนหน้านั้นไม่ได้แสดงผลที่ดีเท่าที่คาดหวัง. - นักลงทุนมีคำถามเกี่ยวกับความนิยมของ Thematic Investing ในปัจจุบัน. - การวิเคราะห์ ARK Invest และการลงทุนใน IPO ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับพอร์ตโลกในระยะสั้น. - ตลาด Thematic Investing ยังคงมีความนิยม แต่มีการเปลี่ยนแปลงในธีมที่ได้รับความสนใจ. - ธีมที่เน้นนโยบาย ‘Belt and Road’, ‘Manufacturing Onshoring’, และ ‘Service Offshoring’ ได้รับความสนใจมาก. - แนวโน้มราคาที่ดีและธีมที่มีคุณภาพสูงได้รับความสนใจมากขึ้น. - การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการผลิตหลังโควิด เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการเพิ่มการลงทุนในธุรกิจที่สามารถผลิตทุกขั้นตอน. - นักลงทุนที่เป็น Thematic Investors มักมีโอกาสโยกเงินทุกทีที่มีธีมใหม่ที่น่าสนใจ. - ทิศทางของ Thematic Investing มักมีความสัมพันธ์กับทิศทางของการลงทุนในระยะสั้น.
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_21908
Medical
การคลำท้องเป็นวิธีการตรวจร่างกายที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคทางระบบทางเดินอาหารหรือไม่?
null
ใช่ การคลำท้องเป็นวิธีการตรวจร่างกายที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคทางระบบทางเดินอาหาร มีเหตุผลหลักๆ ดังนี้: 1. ความเรียบง่ายและสะดวก: การคลำท้องไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษใดๆ สามารถทำได้โดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน โดยใช้เพียงมือและความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์ 2. ความแม่นยำ: การคลำท้องสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับอวัยวะภายในช่องท้องได้หลายอย่าง เช่น ขนาด รูปร่าง ผิว สัมผัส ความกดเจ็บ การเคลื่อนที่ และเสียง ข้อมูลเหล่านี้สามารถช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคทางระบบทางเดินอาหารได้หลายชนิด เช่น: ตับแข็ง: ตับจะโต ผิวขรุขระ แข็ง และกดเจ็บ ม้ามโต: ม้ามจะโต ยื่นลงมาในช่องท้อง กดเจ็บ ไส้ติ่งอักเสบ: จะมีก้อนที่ท้องน้อยขวา กดเจ็บ ลำไส้อุดตัน: จะมีก้อนที่ท้อง ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน มะเร็งลำไส้: จะมีก้อนที่ท้อง อุจจาระผิดปกติ น้ำหนักลด 3. ความปลอดภัย: การคลำท้องเป็นวิธีการตรวจที่ปลอดภัย ไร้ความเจ็บปวด และไม่มีผลข้างเคียง 4. ข้อมูลเพิ่มเติม: การคลำท้องสามารถช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคทางระบบอื่นๆ นอกเหนือจากระบบทางเดินอาหาร เช่น นิ่วในไต มะเร็งรังไข่ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ข้อจำกัดของการคลำท้อง: การคลำท้องอาจไม่สามารถให้ข้อมูลที่ชัดเจนในบางกรณี เช่น คนไข้ที่มีไขมันหน้าท้องหนา หรือมีอวัยวะภายในช่องท้องโต การคลำท้องต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ของแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ สรุป: การคลำท้องเป็นวิธีการตรวจร่างกายที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคทางระบบทางเดินอาหาร เป็นวิธีการที่เรียบง่าย สะดวก แม่นยำ ปลอดภัย และสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคทางระบบอื่นๆ ได้ด้วย
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_11347
Medical
สาเหตุปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดกะบังลมหย่อนคืออะไร
A. เป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่ง เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง 'เซโรโทนิน (Serotonin)' B. การคลอดบุตรหลายคน การคลอดยาก ทำให้กะบังลมหย่อน เนื่องจากมารดาต้องมีการเบ่งคลอดอยู่นาน มีการเพิ่มความดันในช่องท้อง C. โรคที่ความหนาแน่นและมวลของกระดูกลดน้อยลงจนทำให้กระดูกเสื่อม เปราะบาง ผิดรูป และมีโอกาสแตกหักได้ง่าย D. การผิดรูปของแนวกระดูกสันหลังจากปกติที่โค้งงอไปด้านหน้าและหลังเล็กน้อย กลายเป็นโค้งงอ คดงอ บิดเบี้ยวไปทางด้านข้าง
คำตอบได้แก่ B. เนื่องจาก กะบังลมหย่อน Pelvic floor relaxation กะบังลมหย่อนหมายถึงอะไร สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดกะบังลมหย่อนคืออะไร กะบังลมหย่อนมีอันตรายหรือไม่ อาการของกะบังลมหย่อนมีอะไรบ้าง ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อมีกะบังลมหย่อน ควรพบแพทย์เมื่อไร แพทย์วินิจฉัยกะบังลมหย่อนได้อย่างไร รักษากะบังลมหย่อนอย่างไร มีวิธีป้องกันกะบังลมหย่อนหรือไม่ การตั้งครรภ์ Pregnancy การคลอด การคลอดบุตร Childbirth ระยะหลังคลอด Postpartum period วัยหมดประจำเดือน Menopause โรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกิน Obesity and overweight ท้องผูก Constipation โรคปอด Lung disease กะบังลมหย่อนหมายถึงอะไร กะบังลม เป็นส่วนของเอ็นและกล้ามเนื้อที่เชื่อมต่อกันเป็นแผ่นคล้ายร่ม ในมนุษย์มีอยู่ 2 แห่ง คือ กะบังลมด้านบน Thoracic diaphragm ที่กั้นระหว่างช่องอกและช่องท้อง อยู่ใต้ปอด และอยู่เหนือตับและกระเพาะอาหาร ซึ่งมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงตามการหายใจเข้าและออก ส่วน ‘กะบังลมด้านล่าง Pelvic diaphragm เป็นแผ่นกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่รองรับอวัยวะในอุ้งเชิงกราน ทั้งนี้ในบทความนี้ จะพูดถึงกะบังลมส่วนล่างเท่านั้น กะบังลมหย่อน Pelvic floor relaxation เป็นคำพูดกว้างๆ บางคนจะเข้าว่า กะบังลมหย่อน หมายถึง มดลูกหย่อน จริงๆแล้วมดลูกหย่อนเป็นผลมาจากกะบังลมหย่อน ซึ่งโดยทั่วไปหากไม่มีแรงดันในช่องท้องมากผิดปกติ กะบังลมก็จะอยู่ในท่าปกติ แต่หากมีแรงดันในช่องท้องเพิ่มมากและเป็นอยู่นานเรื้อรัง จะทำให้กล้ามเนื้อที่ประกอบกันเป็นกะบังลมยืดออก ทำให้กะบังลมหย่อนลงมามากกว่าปกติได้ และจะไปมีผลทำให้อวัยวะต่างๆในช่องเชิงกรานอุ้งเชิงกราน เช่น มดลูก ผนังช่องคลอด หย่อนลงมาได้ รวมเรียกเป็น ‘Pelvic organ prolapsed ภาวะกะบังลมหย่อน เป็นภาวะพบบ่อย โดยพบบ่อยขึ้นเรื่อยๆตามอายุสตรีที่เพิ่มขึ้น สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดกะบังลมหย่อนคืออะไร สาเหตุปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดกะบังลมหย่อน คือ การคลอดบุตรหลายคน การคลอดยาก ทำให้กะบังลมหย่อน เนื่องจากมารดาต้องมีการเบ่งคลอดอยู่นาน มีการเพิ่มความดันในช่องท้อง นอกจากนั้นบางครั้งที่ทารกในครรภ์ตัวโตมาก จะทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้ในการคลอด เช่น ช่องคลอด ฉีกขาดหรือแยกจากกัน เส้นประสาทถูกทำลาย ทำให้แรงยึดของกะบังลมลดลง อายุมาก สตรีวัยหมดประจำเดือน มีการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ตามปกติฮอร์โมนเอส โตรเจนจะเพิ่มแรงยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_42599
Finance
จงเสนอไอเดีย 4 วิธีที่ Present-Biased หรือ การมีอคติโน้มเอียงมาทางปัจจุบัน ทำลายการเงินของคุณ
null
1. Present-Biased ทำให้แผนเกษียณพัง : หากพูดเรื่องแผนเกษียณกับคนอายุน้อยๆ อาจจะได้การตอบกลับมาเป็นการเบ้หน้าหรือประโยคที่ว่า “ใครจะไปคิดตอนนี้ อีกตั้งนานกว่าจะเกษียณ” ยิ่งเด็กสมัยนี้ถูกปลูกฝังแนวคิดที่ว่า “รีบใช้ชีวิตซะก่อนที่จะไม่มีแรง ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร” การวางแผนเกษียณจึงดูเป็นเรื่องไกลตัวมาก มาคิดว่าจะใช้เงินในวันนี้อย่างไรให้คุ้มค่าแรงเหนื่อยดีกว่า แต่เอาเข้าจริง เวลาผ่านไปเร็วมาก แป๊บๆ ผ่านไปสิบยี่สิบปีแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกที เราอาจจะค้นพบว่าอีกไม่กี่ปีเราจะต้องเกษียณแล้ว แต่ยังไม่ได้วางแผนการเงินเลย เงินที่มีอยู่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่พอขึ้นมาเสียอย่างนั้น ตอนนั้นหากใครมีลูกหลานดีๆ ก็โชคดีไป แต่ถ้าเป็นโสดละก็งานหินเลย ยิ่งถ้าคิดว่าอยากจะใช้เงินเยอะๆ ช่วงวัยเกษียณด้วยแล้วนะ การขยายฐานเงินของตัวเองภายในระยะเวลาสั้นๆ ดูเป็นสิ่งที่กดดันพอสมควร ฉะนั้น ถ้าไม่อยากมีภาระในช่วงวัยใกล้เกษียณ เราควรเริ่มวางแผนเก็บเงินเพื่อการเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อยๆ จะดีกว่า อาจจะเริ่มด้วยการแบ่งสัดส่วน 10-20% ของรายได้ไปลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์ที่เสี่ยงหน่อยหากเราอายุยังน้อย เพราะเรายังมีเวลาให้ลงทุนอีกนาน แต่ถ้าอายุมากแล้วก็อาจจะต้องปรับความเสี่ยงลงนิดนึง 2. Present-Biased ทำให้เก็บเงินไม่ถึงเป้า : มาที่เป้าหมายระยะสั้น นั่นก็คือการเก็บเงินเพื่อทำอะไรสักอย่าง อาจจะเพื่อไปเที่ยว เพื่อซื้อของชิ้นใหญ่ หรือเพื่อนำไปลงทุนต่อ ซึ่งในหลายๆ กรณีก็อาจจะไม่สำเร็จ หรือสำเร็จช้าเพราะเราออกนอกลู่นอกทาง เผลอใช้เงินมือเติบ ลืมวางแผนการเงินให้เป็นระเบียบ ทำให้มีเงินไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้สักที เพราะพอมีเงินปุ๊บก็รู้สึกอยากจะใช้เติมเต็มความอยากในปัจจุบัน มากกว่าที่จะรอนำเงินก้อนนั้นไปแลกเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าในอนาคต หากอยากเอาชนะ Present-Biased ในกรณีนี้ ควรมีวินัยในการเก็บเงิน อย่างแรกคือ - ควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าอยากมีเงินกี่บาท ภายในระยะเวลาเท่าไร เมื่อรู้แบบนี้แล้วก็จะพอมีไอเดียว่าเราต้องหาผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเท่าไร - จากนั้นก็จัดสรรวิธีการเก็บเงินอย่างมีวินัย เช่น อาจจะเก็บสัก 10-15% ของรายได้ในทุกๆ เดือน ได้เงินเดือนมาปุ๊บก็หักออกปั๊บ หรือ ถ้าใครลงทุน ก็อาจจะตั้ง DCA ไว้ทุกๆ วันที่เท่าไรของเดือนก็ว่าไป สำหรับวิธีนี้ เราอาจจะตั้งให้ระบบหักเงินเราอัตโนมัติออกไปเลยก็ได้ เพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ต้องมาคอยหักเอง เป็นการมัดมือชกตัวเองให้เก็บเงินกลายๆ 3. Present-Biased ทำให้รีบขายหมู / ติดดอย : กรณีคลาสสิกของนักลงทุนมาแล้ว การให้ความสำคัญกับปัจจุบันทำให้เรารีบร้อนที่จะกอบโกยผลประโยชน์จนบางครั้งก็ลืมไตร่ตรองถึงปัจจัยอื่นๆ อย่าง - ในกรณีขายหมู ก็คือ เวลาที่เราเห็นว่าเราทำผลตอบแทนได้ดี จึงรีบขายเพื่อทำกำไร แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่าสินทรัพย์ตัวนี้เติบโตได้อีก และถ้าเราถือนานกว่านี้ เราก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่านี้ หรือ - ในกรณีติดดอย ก็คือ เราเห็นว่าสินทรัพย์ตัวนี้ฮอตฮิตมากๆ คนแห่กันซื้อยกใหญ่ เราก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้น! แต่เพราะรีบร้อนเกินไปก็ทำให้ไม่ทันได้ศึกษาปัจจัยหลายอย่างให้รอบคอบ จึงติดดอยกันไป ความร้ายแรงของกรณีเหล่านี้ขึ้นอยู่กับบริบทการลงทุนของเราด้วย การขายหมูอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักกับคนที่ตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะทำกำไรระยะสั้น และการติดดอยก็อาจจะไม่ได้ส่งผลร้ายมากนักกับคนที่คิดจะลงทุนในระยะยาวอยู่แล้ว เพียงแต่กำลังจะชี้ว่า Present-Biased สามารถเล่นงานเราในรูปแบบนี้ได้ และถ้านี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เราต้องการ เราก็จะทุกข์กับมันแน่นอน ดังนั้น เวลาจะตัดสินใจซื้อหรือขาย ควรย้อนกลับไปทบทวนแผนและเป้าหมายการลงทุนของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง 4. Present-Biased ทำให้ไม่ศึกษาวิธีบริหารเงิน : กลับมาที่ปุถุชนคนธรรมดา หลายคนไม่ได้ลงทุนและอาจจะไม่ได้ออมเงินอย่างเป็นระบบ ได้เงินมาก็ใช้ มีเหลือเท่าไรค่อยเก็บ ซึ่งเป็นวิธีที่เสี่ยงมากสำหรับตัวเราในอนาคต หลายๆ คนเปรยว่าอยากเก็บเงินให้ได้มากกว่านี้ อยากลงทุน แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ เพราะเรื่องพวกนี้เราต้องศึกษาหาความรู้ และประยุกต์ใช้กับตัวเอง ซึ่งแค่คิดหลายคนก็อาจจะรู้สึกท้อใจ ขี้เกียจที่จะเรียน แปะไว้ก่อน ตอนนี้ขอใช้เงินตามปกติก่อนละกัน กรณีนี้ไม่มีวิธีแก้ไหนที่ทรงประสิทธิภาพไปมากกว่าการแก้ตัวเราเอง เพราะต่อให้มีผู้เชี่ยวชาญมากรอกหูเราแค่ไหนว่าเราต้องลงทุน ต้องเก็บเงิน แต่ถ้าเราขี้เกียจเสียอย่าง ถ้าเราไม่มีแรงบันดาลใจที่จะทำ มันก็ไม่สำเร็จ ฉะนั้น ทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเอง เราต้องกระตุ้นตัวเอง และต้องคอยหมั่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่าถ้าใช้เงินหมดตอนนี้ แล้วในอนาคตเราจะกินอยู่ยังไงหากวันหนึ่งเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา ปัญหาจาก Present-Biased ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มีงานวิจัยจาก HBR ได้ทำการศึกษาแล้วค้นพบว่าที่มันเกิดขึ้น เพราะลึกๆ แล้วเรามองว่าตัวเองในอนาคตคือคนแปลกหน้า! เป็นคนที่ไม่ความเกี่ยวข้องกับเราในปัจจุบันเลย เพราะฉะนั้น เราจึงมีแนวโน้มที่จะผลักภาระไปให้คนแปลกหน้าในอนาคตมากกว่าจะรับไว้เอง ในปัจจุบัน ทางแก้ไขจะมีอะไรดีไปกว่าการตระหนักว่าตัวเราในอนาคตก็คือผลลัพธ์จากตัวเราในวันนี้ล่ะ
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_18343
Medical
การนอนหลับกลางวันมีประโยชน์ในการเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าและประสิทธิภาพในการทำงาน คุณมีวิธีจัดสรรเวลางีบหลับให้เข้ากับกิจวัตรประจำวันอย่างไร?
งีบสักนิด จิตแจ่มใส ตอนที่ 1 งีบสักนิด จิตแจ่มใส ตอนที่ 1 งานวิจัยจากสวิตเซอร์แลนด์ พบหลักฐานบ่งชี้ว่า การงีบหลับเป็นเวลาสั้น ๆ ในช่วงกลางวัน เพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง อาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ภาวะหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง Stroke ลงได้เกือบครึ่งหนึ่ง งานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลงานของทีมนักวิจัยจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโลซานน์ ที่ศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความถี่และระยะเวลาในการงีบหลับตอนกลางวันกับความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด Cardiovascular disease ทีมนักวิจัยได้ติดตามเก็บข้อมูลของคนอายุระหว่าง 35 - 75 ปี จำนวน 3462 คน เป็นเวลากว่า 5 ปี และพบว่าคนที่ชอบงีบหลับตอนกลางวัน เป็นเวลาประมาณ 5 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ราว 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ภาวะหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง น้อยลง 48 เมื่อเทียบกับคนที่ไม่นอนกลางวันเลย อย่างไรก็ตาม การศึกษาชิ้นนี้ซึ่งตีพิมพ์ใน Heart วารสารการแพทย์ด้านโรคหัวใจ พบว่าการนอนกลางวันบ่อยและนานเกินไป ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์เพิ่มตามไปด้วย การนอนช่วยให้เราพักจากความเครียดและช่วยให้อวัยวะที่สำคัญได้หยุดพัก นั่นคือเหตุผลที่ว่า การนอนไม่พอสามารถมีผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น งานวิจัยที่ผ่านมาได้พบว่า ผู้ที่มีพันธุกรรมไปในทางที่จะเกิดโรคหัวใจสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการนอนให้พอเหมาะ อย่างไรก็ดี การนอนที่มากไปหรือน้อยไปก็สามารถทำให้เกิดความเสี่ยงของภาวะหัวใจวายได้ สถาบันกุมารเวชศาสตร์อเมริกัน The American Academy of Pediatrics ได้แนะนำว่า เด็กเกิดใหม่ควรจะนอนวันละ 16 ชั่วโมง ส่วนวัยรุ่นทั่วไปควรนอนวันละ 8-10 ชั่วโมง มากกว่าร้อยละ 85 ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีการนอนหลับแบบ Polyphasic sleepers หรือการแบ่งให้ตัวเองนอนหลายๆ ครั้งต่อวัน การงีบหลับระหว่างวัน Nap ไม่ได้หมายความว่า การนอนตอนกลางคืนไม่ได้คุณภาพ ตรงกันข้ามการนอนงีบหลับประมาณ 20-30 นาที สามารถที่จะช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากกว่า สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าและดีกว่า ผู้นำสหรัฐอเมริกาที่สำคัญอย่าง Winston Churchill John F. Kennedy Ronald Reagan Napoleon Albert Einstein Thomas Edison และ George W. Bush ก็ล้วนแต่เห็นคุณค่าของการงีบหลับในช่วงบ่ายของวัน แหล่งข้อมูล วันทนีย์ โลหะประกิตกุล เว็บไซต์ haamor.com หาหมอ.com ใช้คุกกี้ Cookie เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของคุณและนำเสนอเนื้อหาแบบเฉพาะบุคคล หากคุณใช้งานเว็บไซต์ของเราต่อจากนี้ไป โดยไม่ปฏิเสธ เราถือว่าคุณยินยอมให้มีการใช้งานคุกกี้ ข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้งานเว็บไซต์ และ นโยบายความเป็นส่วนตัวสำหรับการใช้งานเว็บไซต์ ยอมรับ ปฏิเสธ ข้อตกลงการใช้งาน สมาชิกที่ใช้งานอยู่ขณะนี้ 0 คน ข้อตกลงการใช้งาน ขอสงวนสิทธิ์ในข้อความ เนื้อหา รูปภาพ องค์ประกอบและสิ่งต่างๆที่ปรากฏใน website หาหมอ.com ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ทำซ้ำ คัดลอก ลอกเลียน ดัดแปลง ตีพิมพ์ เผยแพร่ส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของ website หาหมอ.com ก่อน และบทความ ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ องค์ประกอบและสิ่งต่างๆที่ปรากฏใน website หาหมอ.com เป็นเพียงความคิดเห็นของผู้เขียน ไม่สามารถนำไปเป็นหลักฐานในการฟ้องร้อง หรือใช้ทดแทนคำวินิจฉัย และ หรือ การรักษาจากแพทย์ได้ ข้อความใน เนื้อที่โฆษณา ก็เช่นกัน เป็นการกล่าวอ้างของผู้ลงโฆษณา ไม่สามารถนำไปเป็นหลักฐานในการฟ้องร้อง หรือใช้ทดแทนคำวินิจฉัย และ หรือ การรักษาจากแพทย์ได้ แนะแนวทุกโรค แนะนำทุกหมอ หมวดบทความต่างๆ ข่าวบล็อก โรคที่คนไทยค้นหาบ่อย ยาที่คนไทยค้นหาบ่อย สิว ท้องเสีย ประจำเดือน ริดสีดวง ซึมเศร้า กรดไหลย้อน นิ่ว งูสวัด ความดัน ไข้หวัด ไข้เลือดออก ตากระตุก หูด กล้ามเนื้อ ภูมิแพ้ คลื่นไส้ เวียนหัว ลมพิษ วัณโรค กระดูกสันหลัง มือเท้าปาก วิตามินอี ยาแก้ภูมิแพ้ ยารักษาหูด หงอนไก่ ยาทาแผลเป็น ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาพาราเซตามอล ยารักษาสิว ยาแก้แพ้ ยาทาแก้คัน ยาคุมฉุกเฉิน วิตามินซี วิตามินบี ยาแก้อักเสบ ยาบํารุงเลือด ยาทาเชื้อรา ยาแก้ปวดประจําเดือน ยากรดไหลย้อน ยาแก้ริดสีดวง ยาลดความดัน ยาแก้ปวดท้อง ​
การจัดสรรเวลางีบหลับให้เข้ากับกิจวัตรประจำวันสามารถทำได้หลายวิธีเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการงีบหลับ ดังนี้ 1. กำหนดเวลาแน่นอน: พยายามงีบหลับในเวลาที่เหมาะสม เช่น หลังจากทานอาหารกลางวันหรือก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงบ่าย ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมคือประมาณ 13:00 - 15:00 น. เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายมีความต้องการพักผ่อนสูงสุด 2. ตั้งเวลานาฬิกาปลุก: หากคุณกังวลว่าจะงีบหลับนานเกินไป ลองตั้งเวลานาฬิกาปลุกไว้ที่ประมาณ 20-30 นาที ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมในการงีบหลับเพื่อเพิ่มความสดชื่นโดยไม่ทำให้รู้สึกง่วงซึมหลังจากตื่น 3. สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: เลือกสถานที่ที่เงียบสงบ และมีแสงสลัว เช่น ใช้ผ้าม่านทึบแสงหรือแว่นตานอนเพื่อช่วยให้สภาพแวดล้อมเหมาะสำหรับการงีบหลับ 4. หลีกเลี่ยงการใช้เทคโนโลยี: ก่อนงีบหลับควรหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ เพราะแสงจากหน้าจออาจรบกวนการนอน 5. ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย: ใช้เทคนิคการหายใจลึกๆ หรือการทำสมาธิเล็กน้อยก่อนงีบหลับ เพื่อช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายและพร้อมสำหรับการงีบหลับ 6. การเตรียมตัวก่อนงีบหลับ: ก่อนการงีบหลับควรทำกิจกรรมเบาๆ เช่น การอ่านหนังสือเบาๆ หรือการฟังเพลงที่ผ่อนคลาย เพื่อช่วยให้คุณเข้าสู่ภาวะที่เหมาะสมสำหรับการนอน การจัดสรรเวลางีบหลับในรูปแบบที่เหมาะสมสามารถช่วยให้คุณมีความกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลค่ะ!
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_42896
Finance
จากประสบการณ์การลงทุนใน RMF และ LTF ของคุณ เป็นไปได้หรือไม่ที่คนทั่วไปที่มีความรู้และพื้นฐานทางการเงินทั่วไป จะสามารถสร้างเงินออมเพื่อการเกษียณได้เพียงพอ โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินออมจากแหล่งอื่น
null
เป็นไปได้ เหตุผล: 1. ผลตอบแทนจากการลงทุน: - จากประสบการณ์ของผู้เขียน ผลตอบแทนจากการลงทุนใน RMF และ LTF ของเขาอยู่ที่ประมาณ 14.4% และ 10.2% ต่อปี - ผลตอบแทนทบต้นในระดับนี้ หายากมากสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ลงทุนเอง - ผลตอบแทนที่สูงนี้ เกิดขึ้นจากการลงทุนในหุ้นเป็นหลัก - ในระยะยาว หุ้นมีความเสี่ยงน้อยลง และโอกาสที่หุ้นจะให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตราสารการเงินอื่นนั้นมีน้อยมาก 2. วินัยในการลงทุน: - ผู้เขียนมีวินัยในการลงทุนอย่างเคร่งครัด - เขาลงทุนทุกปีหรือทุกเดือน - เขาไม่นำเงินออกไปใช้ก่อนเกษียณ - วินัยนี้ เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการลงทุนระยะยาว 3. การเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย: ผู้เขียนเริ่มลงทุนตอนอายุประมาณ 50 ปี การเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วยให้มีเวลาในการออมเงินมากขึ้น 4. จำนวนเงินลงทุน: ผู้เขียนลงทุนใน RMF และ LTF ปีละ 30% ของรายได้ การลงทุนในอัตราส่วนที่สูง ช่วยให้เงินออมเติบโตเร็วขึ้น 5. การกระจายความเสี่ยง: ผู้เขียนไม่ได้ลงทุนใน RMF และ LTF เพียงอย่างเดียว เขายังมีรายได้จากแหล่งอื่น ข้อจำกัด: 1. ผลตอบแทนในอดีต ไม่ได้เป็นประกันผลตอบแทนในอนาคต: ผลตอบแทนจากการลงทุนในอดีต ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ผลตอบแทนในอนาคต ผลตอบแทนในอนาคต อาจจะต่ำกว่า 2. ความเสี่ยงจากการลงทุน: - การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง - นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุน - การเริ่มต้นลงทุนตอนอายุยังน้อย ช่วยให้ออมเงินได้มากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเพียงพอ - จำนวนเงินออมที่เพียงพอ ขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ - การลงทุนในอัตราส่วนที่สูง ช่วยให้เงินออมเติบโตเร็วขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า จะปลอดภัย - นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยง - การมีรายได้จากแหล่งอื่น ช่วยลดความเสี่ยง แต่ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ขาดทุน ข้อสรุป: จากประสบการณ์ของผู้เขียน แสดงให้เห็นว่า เป็นไปได้ที่คนทั่วไปที่มีความรู้และพื้นฐานทางการเงินทั่วไป จะสามารถสร้างเงินออมเพื่อการเกษียณได้เพียงพอ โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินออมจากแหล่งอื่น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล ความเสี่ยง และเลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_44206
Finance
กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในตลาดหุ้นจีนในช่วงนี้
null
กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในตลาดหุ้นจีนในช่วงนี้: 1. เลือกกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง: กลุ่มเทคโนโลยี: จีนเป็นประเทศที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว มีบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายแห่ง เช่น Alibaba, Tencent, Huawei กลุ่มการบริโภคภายในประเทศ: เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโต ประชากรจีนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลดีต่อกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน: จีนมีแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น 5G, รถไฟความเร็วสูง 2. เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี: เลือกหุ้นที่มีผลประกอบการดี มีการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง เลือกหุ้นที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง หนี้สินต่ำ เลือกหุ้นที่มีราคาเหมาะสม ไม่แพงจนเกินไป 3. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นตัวเดียว ควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว หลายกลุ่มอุตสาหกรรม ลงทุนในตลาดหุ้นอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นยุโรป 4. ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจจีน ศึกษาข้อมูลบริษัทที่สนใจลงทุน ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวในตลาด 5. เลือกผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญ: เลือกผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นจีน เลือกผู้จัดการกองทุนที่มีผลงานดี 6. ลงทุนระยะยาว: ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ควรลงทุนระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยง เศรษฐกิจจีนมีศักยภาพเติบโตสูงในระยะยาว ปัจจัยที่ต้องพิจารณา: ความเสี่ยง: ตลาดหุ้นจีนมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรมี Risk Appetite ที่เหมาะสม ค่าเงิน: เงินหยวนมีความผันผวน นักลงทุนควรติดตามความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน กฎระเบียบ: รัฐบาลจีนมีกฎระเบียบควบคุมตลาดหุ้น นักลงทุนควรติดตามการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างกลยุทธ์: ลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนจีนที่เน้นลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี ลงทุนใน ETF ที่ติดตามดัชนี MSCI China A-Share ลงทุนในหุ้นจีนรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี สรุป: ตลาดหุ้นจีนมีศักยภาพเติบโตสูงในระยะยาว แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม และลงทุนระยะยาว
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20455
Medical
วิธีการกินยาพาราเซตามอล ต้องทำอย่างไรบ้าง
บทความสุขภาพ กินยาพาราเซตามอล อย่างไรให้ปลอดภัย วิธีกินยาพาราเซตามอล ควรใช้ยาตามคำแนะนำบนกล่องหรือเอกสารกำกับยา ปริมาณยาที่เหมาะสมกับแต่ละคนนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุและน้ำหนักตัวของผู้ใช้ ชนิดของพาราเซตามอลที่ใช้และฤทธิ์ยา แชร์ รับประทาน ยาพาราเซตามอล อย่างไรให้ปลอดภัย เมื่อมีอาการปวด มีไข้ ยาชนิดแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึงก็คือ พาราเซตามอล (Paracetamol) เนื่องจากช่วยบรรเทาอาการปวดที่ไม่รุนแรง อย่างเช่น อาการปวดหัว หรือ ปวดฟัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังช่วยลดไข้จากไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ได้ คนส่วนใหญ่สามารถใช้ยาพาราเซตามอลได้โดยไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายใด ๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการใช้ยานี้กันอย่างแพร่หลาย ยาพาราเซตามอลเป็นสาเหตุหลักของการเกิดภาวะตับอักเสบและตับวายเฉียบพลันจากยา ตามข้อมูลในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเภทของยาพาราเซตามอลประเภทต่าง ๆ ยาพาราเซตามอลมีหลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ด หรือ แคปซูล ยาน้ำสำหรับเด็ก ยาเม็ดละลายน้ำ ยาสอด สารละลายทางหลอดเลือดดำ ใครใช้ยาพาราเซตามอลได้บ้าง? ยาพาราเซตามอลนั้นปลอดภัย หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร หรือเด็กอายุมากกว่า 2 เดือนก็สามารถใช้ได้ อย่างไรก็ตามผู้ที่ปัญหาสุขภาพควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการใช้ยา โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพดังต่อไปนี้ โรคตับ โรคไต ติดแอลกอฮอล์เป็นเวลานาน น้ำหนักตัวน้อย กำลังใช้ยาชนิดอื่นอยู่ หากเคยมีอาการแพ้ยาพาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาอีกและควรขอให้เภสัชกรหรือแพทย์แนะนำยาชนิดอื่นที่ใช้ทดแทนกันได้ วิธีการกินยาพาราเซตามอล ควรใช้ยาตามคำแนะนำบนกล่องหรือเอกสารกำกับยา หรือตามคำแนะนำของแพทย์ โดยใช้ยาในปริมาณน้อยที่สุดที่ได้ผลตามต้องการ ปริมาณยาที่เหมาะสมกับแต่ละคนนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุและน้ำหนักตัวของผู้ใช้ ชนิดของพาราเซตามอลที่ใช้ และฤทธิ์ยา ผู้ใหญ่ สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลจำนวน 1 เม็ด (500 มก.) ได้ทุก 4-6 ชั่วโมง แต่สูงสุดไม่ควรเกิน 4 กรัม (หรือเทียบเท่ายาพาราฯ ขนาด 500 มก. จำนวน 8 เม็ด) ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ต้องรับประทานยาพาราฯ ในปริมาณที่น้อยกว่าผู้ใหญ่ โดยประเมินจากอายุหรือน้ำหนักตัว ซึ่งสามารถดูคำแนะนำได้ที่กล่อง เอกสารกำกับยา หรือถามเภสัชกรหรือแพทย์ถึงปริมาณที่เหมาะสม เด็กเล็กสามารถรับประทานยาน้ำโดยใช้ช้อนตวงหรือหลอดดูดยาวัดปริมาณได้ หลังรับประทาน ยาพาราเซตามอลจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 1 ชั่วโมง และจะออกฤทธิ์บรรเทาอาการได้อยู่หลายชั่วโมง หากยังมีอาการอยู่ สามารถรับประทานยาต่อได้แต่ต้องไม่เกินปริมาณที่กำหนด และควรระมัดระวังการรับประทานยาชนิดอื่น ๆ ที่อาจมีส่วนผสมของพาราเซตามอล (เช่น ยาลดไข้) ในเวลาเดียวกัน ในกรณีที่จำเป็นผู้ใหญ่สามารถรับประทานยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) พร้อมกับพาราเซตามอลได้ แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็ก และหากอาการปวดแย่ลงหรือนานกว่า 3 วัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม การรับประทานยาพาราเซตามอล พร้อมกับยาชนิดอื่น ๆ อาหาร หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นปลอดภัยหรือไม่? ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่าการรับประทานยาพาราเซตามอลพร้อมกับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นจะก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ อย่างไรก็ตามควรรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป ก่อนรับประทานยาพาราเซตามอลพร้อมกับยาชนิดอื่น ๆ ควรอ่านเอกสารกำกับการใช้ยาหรือสอบถามเภสัชกรหรือแพทย์เสียก่อน เพราะการรับประทานยาพาราเซตามอลพร้อมกับยาบางชนิดอาจทำให้ได้ผลที่ไม่พึงประสงค์ ประสิทธิภาพยาลดลง และความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงสูงขึ้น การรับประทานยาพาราเซตามอลพร้อมยาต่อไปนี้อาจเป็นอันตรายได้ ยาต้านการแข็งตัวของเลือดวาร์ฟาริน (Warfarin) ยากันชักคาร์บามาซีปีน (Carbamazepine) ยาคอเลสไตรามีน (Cholestyramine) บรรเทาผื่นคันตามผิวหนังเนื่องจากโรคตับแข็งจากท่อนํ้าดีปฐมภูมิ ยารักษามะเร็งอิมาทินิบ (Imatinib) บูซัลแฟน (Busulfan) ยาต้านเชื้อราคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ยาลิกซิเซนอะไทด์ (Lixisenatide) สำหรับผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 ยาเมโทโคลพราไมด์ (Metoclopramide) บรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน ยาฟีโนบาร์บิทัล (Phenobarbitalป ยาฟีนีโทอิน (Phenytoin) และยาไพรมิโดน (Primidone) ซึ่งช่วยควบคุมอาการชัก ผลข้างเคียงของยาพาราเซตามอลมีอะไรบ้าง? ในบางกรณีที่พบได้น้อยมาก ยาพาราเซตามอลอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงดังต่อไปนี้ มีผื่นหรือมีอาการบวมเนื่องจากอาการแพ้ ผิวแดง ความดันเลือดต่ำ หัวใจเต้นเร็วจากยาพาราเซตามอลที่ให้ทางหลอดเลือดดำ โรคเลือด เช่น เม็ดเลือดขาวน้อย ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ตับและไตถูกทำลาย ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดต้องทำอย่างไร? การรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ หากพบผู้ที่รับประทานยาเกินขนาด ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด หากทำได้ให้นำยาที่เหลืออยู่ พร้อมกล่องหรือเอกสารกำกับการใช้ยาติดไปด้วย หลังการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด บางรายอาจปวดท้อง อาเจียน รู้สึกไม่สบายตัว อย่างไรก็ตามแม้ว่าบางรายอาจจะไม่มีอาการใด ๆ ดังที่กล่าวมาแต่ยังจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เรียบเรียงโดย โชติมา สันแสนดี ผู้ชำนาญการด้านเภสัชกรรม เผยแพร่เมื่อ: 05 ต.ค. 2023 แชร์ บริการทางการแพทย์ ศูนย์และคลินิก นัดหมายแพทย์ ค้นหาแพทย์ แพ็กเกจ & โปรโมชั่น ห้องพัก ประกันสุขภาพที่เข้าร่วม ข้อมูลสุขภาพ โรค และการรักษา บทความสุขภาพ MedPark Stories เกี่ยวกับเรา ข้อมูลสำหรับผู้มาติดต่อ เกี่ยวกับเรา ข่าวสารและกิจกรรม ร่วมงานกับเรา ติดต่อเรา เงื่อนไขการใช้งาน นโยบายการใช้งาน นโยบายความเป็นส่วนตัว ประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว นโยบายคุกกี้ 3333 ถนนพระรามที่ ๔ แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 © 2023 MedPark Hospital. All Rights Reserved. 1.0.5 เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ "นโยบายคุกกี้" และสามารถเลือกตั้งค่ายินยอมการใช้คุกกี้ได้โดยการคลิก "การตั้งค่าคุกกี้"นโยบายคุกกี้ การตั้งค่าคุกกี้ ยอมรับคุกกี้ทั้งหมด
วิธีการกินยาพาราเซตามอล ควรใช้ยาตามคำแนะนำบนกล่องหรือเอกสารกำกับยา หรือตามคำแนะนำของแพทย์ โดยใช้ยาในปริมาณน้อยที่สุดที่ได้ผลตามต้องการ ปริมาณยาที่เหมาะสมกับแต่ละคนนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุและน้ำหนักตัวของผู้ใช้ ชนิดของพาราเซตามอลที่ใช้ และฤทธิ์ยา - ผู้ใหญ่ สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลจำนวน 1 เม็ด (500 มก.) ได้ทุก 4-6 ชั่วโมง แต่สูงสุดไม่ควรเกิน 4 กรัม (หรือเทียบเท่ายาพาราฯ ขนาด 500 มก. จำนวน 8 เม็ด) ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง - เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ต้องรับประทานยาพาราฯ ในปริมาณที่น้อยกว่าผู้ใหญ่ โดยประเมินจากอายุหรือน้ำหนักตัว ซึ่งสามารถดูคำแนะนำได้ที่กล่อง เอกสารกำกับยา หรือถามเภสัชกรหรือแพทย์ถึงปริมาณที่เหมาะสม เด็กเล็กสามารถรับประทานยาน้ำโดยใช้ช้อนตวงหรือหลอดดูดยาวัดปริมาณได้ หลังรับประทาน ยาพาราเซตามอลจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 1 ชั่วโมง และจะออกฤทธิ์บรรเทาอาการได้อยู่หลายชั่วโมง หากยังมีอาการอยู่ สามารถรับประทานยาต่อได้แต่ต้องไม่เกินปริมาณที่กำหนด และควรระมัดระวังการรับประทานยาชนิดอื่น ๆ ที่อาจมีส่วนผสมของพาราเซตามอล (เช่น ยาลดไข้) ในเวลาเดียวกัน ในกรณีที่จำเป็นผู้ใหญ่สามารถรับประทานยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) พร้อมกับพาราเซตามอลได้ แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็ก และหากอาการปวดแย่ลงหรือนานกว่า 3 วัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11231
Medical
เด็กอายุ 3 ขวบ มีตาข้างหนึ่งเป็นสีขาววาวในที่มืด มีโอกาสเป็นมะเร็งจอตาหรือไม่?
null
มีโอกาสเป็นมะเร็งจอตา เหตุผล: - อาการตาขาววาว: อาการตาขาววาว (Leukocoria) เป็นหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อยของมะเร็งจอตา (Retinoblastoma) ในเด็กเล็ก แสงสะท้อนภายในลูกตาผิดปกติ ทำให้เห็นเป็นตาวาวขึ้นโดยเฉพาะในที่มืด - อายุ: เด็กอายุ 3 ขวบ อยู่ในช่วงอายุที่พบมะเร็งจอตาได้บ่อย (โดยทั่วไปพบในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) - สาเหตุอื่นๆ: อาการตาขาววาวอาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้ เช่น ต้อกระจกแต่กำเนิด โรคในน้ำวุ้นตา แต่สาเหตุที่พบบ่อยและร้ายแรงที่สุดคือ มะเร็งจอตา ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม: - มะเร็งจอตาเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยในเด็ก - มะเร็งจอตาสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ - การวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งจอตาในระยะเริ่มต้น มีโอกาสรักษาหายสูง - การตรวจตาโดยจักษุแพทย์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการวินิจฉัยมะเร็งจอตา คำแนะนำ: - ควรรีบพาเด็กไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการตาขาววาวโดยเร็วที่สุด - จักษุแพทย์จะทำการตรวจดูจอตาอย่างละเอียดโดยขยายรูม่านตา - แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น อัลตร้าซาวด์ดวงตา การทำเอ็กซเรย์สนามแม่เหล็กของสมองและลูกตา - การวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งจอตาในระยะเริ่มต้น มีโอกาสรักษาหายสูง สรุป: เด็กอายุ 3 ขวบที่มีอาการตาขาววาว มีโอกาสเป็นมะเร็งจอตา ควรรีบพาเด็กไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาโดยเร็วที่สุด หมายเหตุ: ข้อมูลนี้ไม่ใช่การวินิจฉัยโรค แต่เป็นข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการตัดสินใจ การวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องต้องอาศัยการตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
จักษุวิทยา (จักษุวิทยา) - Ophthalmology,กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Classification
cc-by-nc-4.0
Legal_5851
Legal
ตาม มาตรา 337 วรรค 2 ระบุไว้ว่าความผิดฐานกรรโชกทรัพย์นั้น เป็นอย่างไร ระหว่าง จำคุก 6 เดือน – 7 ปี และปรับ 4,000 – 14,000 บาท หรือ จำคุก 1 – 7 ปี และปรับ 10,000 – 14,000 บาท
null
จำคุก 6 เดือน – 7 ปี และปรับ 4,000 – 14,000 บาท เนื่องจากเป็นความผิดที่ซึ่งระบุไว้แล้วตาม มาตรา 337 วรรค 2 โดยระบุไว้ว่า (1) ข่มขืนใจผู้อื่นให้ “ยอมให้หรือรับปากว่าจะยอมให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน” แก่ผู้ทำผิดหรือคนอื่นโดย “ใช้กำลังประทุษร้าย” จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมทำตาม #ตัวอย่าง1 – ตำรวจซ้อมผู้เสียหายให้มอบเงินแก่ตน 500 บาท โดยกล่าวหาว่าเล่นการพนัน เมื่อผู้เสียหายขอให้เพียง 100 บาทก็ไม่พอใจ ทำร้ายผู้เสียหายและแกล้งจับ – เงินของจําเลยหายและสงสัยว่า ก.ลักไป จําเลยจึงไป ถาม ก. ก.ปฏิเสธ จําเลยจึงปลดปืนจากบ่ามาตีหัว ก. และจับคอเสื้อ ก.ดึงไปมาพูดว่า ก.โกง ถ้า ก. ไม่ใช้เงินจําเลยจะยิงเสีย ก.กลัวจึงผัดว่าแล้วจะนําเงินไปใช้ให้ จําเลยจึงหยุดขู่.(2) ข่มขืนใจผู้อื่นให้ “ยอมให้หรือรับปากว่าจะยอมให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน” แก่ผู้ทำผิดหรือคนอื่น โดย “ขู่เข็ญ” ว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง ทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมทำตาม #ตัวอย่าง2 – จำเลยกับพวกวางแผนขับรถยนต์แท็กซี่ชนรถยนต์ปิกอัพของผู้เสียหาย แล้วลงจากรถเรียกค่าเสียหายจากผู้เสียหายอ้างว่าเสียหาย เป็นจำนวนมาก แต่ขอเรียกเพียง 5,000 บาท ผู้เสียหายต่อรอง พวกของจำเลยพูดขู่ว่าหากพูดไม่รู้เรื่องจะเรียกตำรวจ ผู้เสียหายยอมจ่ายเงินให้ 500 บาท แล้วจำเลยกับพวกแยกย้ายหลบหนีไปทันที ดังนั้น การที่จำเลยขู่ว่าจะเรียกเจ้าพนักงานตำรวจมา เป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อเสรีภาพและชื่อเสียงของผู้เสียหาย
กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ (ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง)
Classification
cc-by-nc-4.0