ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
894
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
36
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Legal_8742
Legal
พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นหลังวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550 จำเป็นต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 หรือไม่?
null
ใช่ มาตรา 2 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ระบุว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550 ดังนั้น พระราชบัญญัติฉบับนี้จึงมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นหลังวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550 จึงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 หลักฐานสนับสนุน: มาตรา 2 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอน 108 ง วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550 เพิ่มเติม: พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้งพรรคการเมือง กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของพรรคการเมือง กำหนดสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกพรรคการเมือง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง กำหนดวิธีการควบคุมและตรวจสอบการดำเนินงานของพรรคการเมือง กำหนดบทลงโทษสำหรับการกระทำที่ผิดพระราชบัญญัติฉบับนี้ ตัวอย่าง: พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นหลังวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550 จำเป็นต้องจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองกับนายทะเบียนพรรคการเมืองตามมาตรา 11 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นหลังวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550 จำเป็นต้องมีนโยบายพรรคการเมืองและข้อบังคับพรรคการเมืองตามมาตรา 9 และ 10 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นหลังวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550 จำเป็นต้องห้ามมิให้บุคคลบางประเภทเป็นสมาชิกพรรคการเมืองตามมาตรา 13 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 หมายเหตุ: พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2557 ผู้จัดทำคำตอบนี้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน แต่ข้อมูลนี้อาจไม่สมบูรณ์แบบหรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ผู้ใช้ควรตรวจสอบกับแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจใด ๆ
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,กฎหมายรัฐธรรมนูญ,กฎหมายว่าด้วยคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง,กฎหมายเลือกตั้ง,ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_8744
Legal
บุคคลประเภทใดที่ไม่สามารถใช้ตำแหน่งเพื่อยื่นขอประกันในการปล่อยชั่วคราวได้
(a) ข้าราชการพลเรือน ระดับ 3-5 (b) ข้าราชการตำรวจ ระดับ 6-8 (c) พนักงานรัฐวิสาหกิจ ระดับ 9-10 (d) สมาชิกสภาเทศบาล
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ (d) สมาชิกสภาเทศบาล เพราะว่าจากบทความ บุคคลที่สามารถใช้ตำแหน่งเพื่อยื่นขอประกันในการปล่อยชั่วคราวได้ ประกอบด้วย: - ข้าราชการพลเรือน - ข้าราชการตำรวจ - ทหาร - พนักงานรัฐวิสาหกิจ - สมาชิกรัฐสภา - ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาเทศบาล ไม่ได้ถูกระบุไว้ในรายการบุคคลที่สามารถใช้ตำแหน่งเพื่อยื่นขอประกันในการปล่อยชั่วคราวได้ หมายเหตุ: - บทความนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ตำแหน่งเพื่อยื่นขอประกันในการปล่อยชั่วคราวเท่านั้น ยังมีหลักประกันประเภทอื่น ๆ ที่สามารถใช้ยื่นขอประกันได้ - ข้อมูลในบทความนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาตรวจสอบกับแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออีกครั้ง ข้อควรระวัง: - คำตอบนี้นำเสนอเพื่อความรู้และ informational purposes เท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นคำปรึกษาทางกฎหมายได้ - ควรปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสำหรับคำแนะนำเกี่ยวกับกรณีเฉพาะของคุณ
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_8745
Legal
อธิบายหลักเกณฑ์การพิจารณาของศาลในการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยใช้เงินสดประกัน
null
ศาลจะพิจารณาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยใช้เงินสดประกันหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 1. พฤติการณ์แห่งคดี ศาลจะพิจารณาความหนักเบาของข้อหา พยานหลักฐาน ความน่าเชื่อถือของพยาน ความเสียหายที่เกิดขึ้น ฯลฯ คดีที่มีโทษจำคุกสูง มีแนวโน้มที่จะถูกศาลไม่อนุญาตให้ประกัน คดีที่มีพยานหลักฐานมัดตัวแน่นหนา มีแนวโน้มที่จะถูกศาลไม่อนุญาตให้ประกัน คดีที่มีผู้เสียหายได้รับความเสียหายร้ายแรง มีแนวโน้มที่จะถูกศาลไม่อนุญาตให้ประกัน 2. ลักษณะของผู้ต้องหาหรือจำเลย ศาลจะพิจารณาประวัติอาชญากรรม ประวัติการหลบหนี ประวัติการประกันตัว ภูมิลำเนา อาชีพ ฐานะการเงิน ฯลฯ ผู้ต้องหาหรือจำเลยที่มีประวัติอาชญากรรม มีแนวโน้มที่จะถูกศาลไม่อนุญาตให้ประกัน ผู้ต้องหาหรือจำเลยที่มีประวัติการหลบหนี มีแนวโน้มที่จะถูกศาลไม่อนุญาตให้ประกัน ผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ไม่มีภูมิลำเนาแน่นอน อาชีพไม่มั่นคง ฐานะการเงินไม่ดี มีแนวโน้มที่จะถูกศาลไม่อนุญาตให้ประกัน 3. วงเงินประกัน ศาลจะพิจาร้าวัดถาคดี ความเสียหายที่เกิดขึ้น ฐานะการเงินของผู้ประกัน ฯลฯ วงเงินประกันควรมีจำนวนที่เพียงพอที่จะเป็นหลักประกันว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยจะมาศาลตามนัด วงเงินประกันที่สูงเกินไปอาจเป็นภาระแก่ผู้ประกัน วงเงินประกันที่ต่ำเกินไปอาจไม่เพียงพอที่จะเป็นหลักประกันว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยจะมาศาลตามนัด 4. หลักประกัน ศาลจะพิจารณาประเภทของหลักประกัน มูลค่าของหลักประกัน ฯลฯ เงินสดเป็นหลักประกันที่มีสภาพคล่องสูง ศาลมักจะอนุญาตให้ใช้เงินสดประกัน หลักประกันประเภทอื่น เช่น ที่ดิน อาคาร สิ่งของมีค่า ฯลฯ ศาลจะพิจารณาตามมูลค่าและสภาพคล่อง 5. เงื่อนไขอื่นๆ ศาลอาจกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น ห้ามออกนอกประเทศ ห้ามติดต่อพยาน ห้ามยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ฯลฯ เงื่อนไขเพิ่มเติมจะขึ้นอยู่กับพฤติการณ์แห่งคดี ลักษณะของผู้ต้องหาหรือจำเลย ฯลฯ ตัวอย่างฎีกา ฎีกาที่ 1244/2554: ศาลฎีกาพิพากษาว่า การพิจารณาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้น ศาลจะพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดี ลักษณะของผู้ต้องหาหรือจำเลย หลักประกัน วงเงินประกัน และเหตุอื่นอันสมควรประกอบกัน ฎีกาที่ 1122/2547: ศาลฎีกาพิพากษาว่า เงินสดเป็นหลักประกันที่มีสภาพคล่องสูง ศาลมักจะอนุญาตให้ใช้เงินสดประกัน สรุป ศาลจะพิจารณาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยใช้เงินสดประกันหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์หลายประการ ผู้ต้องหาหรือจำเลยควรเตรียมเอกสารหลักฐานและหลักประกันให้พร้อม รวมทั้งเตรียมคำร้องขอปล่อยชั่วคราวที่มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ เพื่อประกอบการพิจารณาของศาล
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_8746
Legal
หลักฐานอะไรบ้างที่ผู้ขอประกันต้องเตรียมเพื่อยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยใช้หลักทรัพย์ประกัน?
null
หลักฐานที่ผู้ขอประกันต้องเตรียม หลักฐานตัวบุคคล -บัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรข้าราชการ หรือบัตรพนักงานรัฐวิสาหกิจ พร้อมสำเนา 1 ชุด -สำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมสำเนา 1 ชุด -หลักฐานยินยอมจากคู่สมรส -กรณีผู้ขอประกันเป็นบุคคลที่สมรสแล้ว แม้มิได้จดทะเบียนสมรส ต้องให้สามีหรือภรรยาให้ความยินยอม พร้อมทั้งนำหลักฐานต่อไปนี้มาแสดง -บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ของคู่สมรส พร้อมสำเนา 1 ชุด -สำเนาทะเบียนบ้าน ของคู่สมรส พร้อมสำเนา 1 ชุด หลักฐานสถานะ -กรณีผู้ขอประกันเป็นหม้าย ต้องนำหลักฐานมาแสดง เช่น ใบสำคัญการหย่า ใบมรณบัตรของคู่สมรส พร้อมสำเนา 1 ชุด -หลักทรัพย์ -โฉนดที่ดิน -น.ส. 3 -น.ส. 3ก -สมุดบัญชีเงินฝากประจำธนาคาร -พันธบัตรรัฐบาล -เอกสารเพิ่มเติม กรณีที่ดินที่ใช้เป็นหลักประกัน -ใบประเมินราคาที่ดินของทางราชการ ที่ออกให้ไม่เกิน 90 วัน กรณีใช้สมุดบัญชีเงินฝากประจำของธนาคารเป็นหลักประกัน -สมุดบัญชีเงินฝากประจำ -ใบรับรองยอดเงินฝากของธนาคาร กรณีเจ้าของที่ดินไม่สามารถไปดำเนินการที่ศาลได้ด้วยตนเอง -หนังสือมอบอำนาจที่นายอำเภอรับรอง -หลักฐานตามข้อ 3 หมายเหตุ -เอกสารทั้งหมดต้องเป็นสำเนาถูกต้องและชัดเจน -ศาลอาจพิจารณาเอกสารเพิ่มเติม depending on individual circumstances. คำแนะนำ -ควรเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนก่อนยื่นคำร้อง -ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยใช้หลักทรัพย์ประกัน -ควรปรึกษาทนายความเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_8750
Legal
ศาลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มีกี่ประเภท
ก. 2 ประเภท ข. 3 ประเภท ค. 4 ประเภท ง. 5 ประเภท
คำตอบคือ ค. เนื่องจาก ศาลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มี 4 ประเภท คือ ศาลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มี 4 ประเภท คือ ศาลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มี 4 ประเภท คือ ศาลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มี 4 ประเภท คือ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นศาลที่มีอำนาจในการพิจารณา วินิจฉัย ชี้ขาดปัญหาที่ขัดแย้งต่อกฏหมายรัฐธรรมนูญ หรือปัญหาขัดแย้งในการใช้กฏหมาย ศาลยุติธรรม เป็นศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญ หรือมีกฏหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น ศาลปกครอง เป็นศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือในกำกับดูแลของรัฐบางด้วยกัน ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำ หรือละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมายบัญญัติ
กฎหมายรัฐธรรมนูญ
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_8757
Legal
นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป มีหน้าที่อะไรบ้างตามกฎหมายแรงงาน
null
นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป มีหน้าที่หลักๆ ดังต่อไปนี้ตามกฎหมายแรงงาน: 1. จัดฝึกอบรมฝีมือแรงงานให้แก่ลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป มีหน้าที่จัดฝึกอบรมฝีมือแรงงานให้แก่ลูกจ้างของตนเองไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด ในแต่ละปี หากไม่จัดฝึกอบรม หรือจัดไม่ครบตามสัดส่วนที่กำหนด นายจ้างต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานในอัตราร้อยละ 1 ของค่าจ้างที่ใช้เป็นมาตรฐานในการคำนวณเงินสมทบ 2. ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับเงินสมทบกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน นายจ้างมีหน้าที่ส่งเงินสมทบกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานในอัตราร้อยละ 1 ของค่าจ้างที่ใช้เป็นมาตรฐานในการคำนวณเงินสมทบ ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดจากเดือนที่จ่ายค่าจ้าง หากนายจ้างไม่ส่งเงินสมทบ หรือส่งไม่ตรงเวลา จะต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ของจำนวนเงินสมทบที่ค้างชำระ 3. แจ้งรายชื่อลูกจ้างต่อกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นายจ้างมีหน้าที่แจ้งรายชื่อลูกจ้างต่อกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มจ้างงาน 4. เก็บรักษาเอกสารหลักฐาน นายจ้างมีหน้าที่เก็บรักษาเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการจัดฝึกอบรม การส่งเงินสมทบ และการแจ้งรายชื่อลูกจ้าง ไว้เป็นเวลา 5 ปี 5. ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอื่นๆ นายจ้างมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ฯลฯ หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ นายจ้างอาจถูกดำเนินการทางกฎหมาย ดังนี้ ถูกปรับ ถูกสั่งให้ส่งเงินสมทบย้อนหลัง ถูกสั่งให้จ่ายค่าเสียหายแก่ลูกจ้าง ถูกดำเนินคดีอาญา ตัวอย่างฎีกา ฎีกาที่ 1244/2554: ศาลฎีกาพิพากษาว่า การพิจารณาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้น ศาลจะพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดี ลักษณะของผู้ต้องหาหรือจำเลย หลักประกัน วงเงินประกัน และเหตุอื่นอันสมควรประกอบกัน ฎีกาที่ 1122/2547: ศาลฎีกาพิพากษาว่า เงินสดเป็นหลักประกันที่มีสภาพคล่องสูง ศาลมักจะอนุญาตให้ใช้เงินสดประกัน สรุป นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป มีหน้าที่ตามกฎหมายแรงงานหลายประการ including จัดฝึกอบรมฝีมือแรงงาน ส่งเงินสมทบกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน แจ้งรายชื่อลูกจ้าง เก็บรักษาเอกสารหลักฐาน ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอื่นๆ หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ อาจถูกดำเนินการทางกฎหมาย
กฎหมายแรงงาน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_8760
Legal
ตุลาการภิวัตน์มีหลักอยู่ว่าอย่างไร
ก. การที่ใช้อำนาจตุลาการเข้าไปควบคุม ตรวจสอบอำนาจ ข. กฎหมายบังคับโดยสภาพภายนอก ค. การยอมอยู่ภายใต้ทรราชย์ ง. แรงกดดันทางสังคม
คำตอบคือ ก. เนื่องจาก ตุลาการภิวัตน์ มีหลักอยู่ว่า การที่ใช้อำนาจตุลาการเข้าไปควบคุม ตรวจสอบอำนาจพวกนี้ ฝ่ายศาลเองต้องระวังและสำรวมการใช้อำนาจด้วย หมายความว่า ศาลต้องเห็นประเด็นกฎหมายที่อยู่ในบรรดาปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นกฎหมายในปัญหาทางการเมือง ซึ่งมันยุ่งยากซับซ้อนมาก ศาลจะต้องดึงเอาประเด็นทางกฎหมายออกมาแล้วทำให้เป็นประเด็นที่มันชัด แล้วตัดสินบนพื้นฐานของกฎหมาย ศาลต้องระวังไม่ไปแสดงออกซึ่งเจตจำนงของการเมืองแทนองค์กรอื่น ในบางปัญหาที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องคุณค่า เป็นเรื่องโลกทัศน์ มีความเป็นนามธรรมสูง จึงเป็นปัญหาการตีความ เรื่องนี้ทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีดุลพินิจระดับหนึ่ง แต่ก็ยอมรับตรงกันว่าการมีดุลพินิจในการตีความรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เรื่องที่ให้ศาลมีเจตจำนงทางการเมืองเสียเอง ถ้าแสดงเจตจำนงทางการเมืองเสียเอง องค์กรอื่นก็จะไม่เคารพในที่สุด” “ตุลาการภิวัตน์เกิดขึ้นในบริบทที่กำลังต่อสู้ทางอุดมการณ์การเมืองอย่างแหลมคม ตั้งแต่ปี 48 เรื่อยมาจนถึงปี 49 ที่หนักหน่วงที่สุด การนำเสนอตุลาการภิวัตน์ขึ้นมาในระบบนี้แน่นอน ผู้นำเสนอต้องการบอกให้เอาศาลเข้ามาจัดการแก้ปัญหาตรงนี้ โดยที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องข้อจำกัดของศาล
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9358
Legal
จากบทความ "วางเงินซื้อบ้านหรือคอนโดไว้แล้ว กู้แบงค์ไม่ผ่าน จะมีสิทธิได้รับเงินคืนบ้างหรือไม่ ?" กรณีใดต่อไปนี้ ผู้ซื้อจะมีสิทธิได้รับเงินคืนทั้งหมด
(a) ผู้ซื้อวางเงินจอง 50,000 บาท และวางเงินมัดจำ 238,000 บาท ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย แต่ต่อมากู้แบงค์ไม่ผ่าน (b) ผู้ซื้อวางเงินดาวน์ 238,500 บาท 2 งวด รวมเป็น 477,000 บาท หลังทำสัญญาจะซื้อจะขาย แต่ต่อมากู้แบงค์ไม่ผ่าน (c) ผู้ซื้อวางเงินจอง 50,000 บาท และวางเงินมัดจำ 238,000 บาท ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย และวางเงินดาวน์ 238,500 บาท 2 งวด รวมเป็น 477,000 บาท หลังทำสัญญาจะซื้อจะขาย แต่ต่อมากู้แบงค์ไม่ผ่าน (d) กรณี (a) และ (b) ถูกต้อง
คำตอบได้แก่ (d) กรณี (a) และ (b) ถูกต้อง เนื่องจาก เหตุผล (a) ไม่ถูกต้อง เงินจอง 50,000 บาท และเงินมัดจำ 238,000 บาท ไม่สามารถ เรียกคืนได้ ตามกฎหมาย เงินจองและเงินมัดจำมีลักษณะเป็น "เงินประกัน" เมื่อผู้ซื้อผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ ผู้ขายย่อมมีสิทธิริบเงินเหล่านี้ได้ (b) ไม่ถูกต้อง เงินดาวน์ 477,000 บาท ไม่ใช่ เงินมัดจำ เงินดาวน์เป็นส่วนหนึ่งของ "ราคาค่าบ้าน" เมื่อผู้ซื้อผิดสัญญา ผู้ขาย มีสิทธิริบ เงินดาวน์ได้ (c) ไม่ถูกต้อง เงินจอง เงินมัดจำ และเงินดาวน์ ไม่สามารถ เรียกคืนได้ เหตุผลตามข้อ (a) และ (b) (d) ถูกต้อง ผู้ซื้อ ไม่สามารถ เรียกเงินจอง เงินมัดจำ และเงินดาวน์คืนได้ เหตุผลตามข้อ (a) และ (b) ข้อควรระวัง สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร หรืออาคารชุด ที่ทำกับ "ผู้จัดสรร" หรือ "เจ้าของโครงการ" ห้ามมีข้อสัญญาให้ผู้ขายริบเงินดาวน์ สัญญาส่วนนี้ ไม่มีผลบังคับ ผู้ซื้อมีสิทธิได้รับเงินดาวน์คืน สรุป ผู้ซื้อวางเงินจอง เงินมัดจำ และเงินดาวน์ ไม่สามารถ เรียกคืนได้ เว้นแต่ สัญญาจะซื้อจะขายมีข้อสัญญาพิเศษ หรือ ผู้ขายไม่มีสิทธิริบเงินดาวน์ตามกฎหมาย
กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร อาคารชุด-จัดสรรที่ดินและถมดิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9359
Legal
ผู้จัดการมรดกมีอำนาจขายทรัพย์มรดกโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาทหรือไม่ จงอธิบาย
null
โดยสรุป: ผู้จัดการมรดกมีอำนาจขายทรัพย์มรดกได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตศาลหรือได้รับความยินยอมจากทายาท แต่ การขายนั้นต้อง: 1. เป็นการจำหน่ายจ่ายโอนเพื่อประโยชน์ในการแบ่งปันทรัพย์มรดก 2. ทำการในราคาที่สมควร 3. ทำโดยสุจริต 4. ได้รับความยินยอมจากทายาทส่วนใหญ่ (หากมี) หลักกฎหมาย: 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719: ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็นทุกประการ เพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก 2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364: ก่อนที่จะนำทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมออกขาย เจ้าของรวมต้องขออนุญาตศาลก่อน 3. คำพิพากษาศาลฎีกา: หลายคดีวินิจฉัยว่า ผู้จัดการมรดกมีอำนาจขายทรัพย์มรดกได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตศาลหรือได้รับความยินยอมจากทายาท ตัวอย่าง: 1. ทายาทไม่สามารถตกลงแบ่งที่ดินมรดกกันได้ ผู้จัดการมรดกสามารถขายที่ดินเพื่อนำเงินมาแบ่งให้ทายาท 2. มรดกมีหนี้สิน ผู้จัดการมรดกสามารถขายทรัพย์มรดกเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ข้อควรระวัง: 1. ผู้จัดการมรดกต้องขายทรัพย์มรดกในราคาที่สมควร 2. ผู้จัดการมรดกต้องขายทรัพย์มรดกโดยสุจริต 3. ทายาทสามารถร้องศาลถอดถอนผู้จัดการมรดกได้ หากผู้จัดการมรดกขายทรัพย์มรดกโดยไม่สุจริต หรือไม่เป็นธรรม คำแนะนำ: 1. ทายาทควรปรึกษาทนายความก่อน เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการขายทรัพย์มรดก 2. ผู้จัดการมรดกควรเก็บหลักฐานเกี่ยวกับการขายทรัพย์มรดกไว้ เพื่อแสดงความบริสุท
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายมรดก-พินัยกรรม
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9363
Legal
กรณีที่เราเป็นจำเลย และมาทราบภายหลังว่าถูกพิพากษาให้แพ้คดี และต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา ตามกฎหมาย เราสามารถดำเนินการได้สองทาง 1.อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษา 1 2.ขอพิจารณาคดีใหม่ เราสามารถทำพร้อมกันทั้งสองอย่างได้หรือไม่
null
ไม่ ต้องเลือกทางใดทางหนึ่งทำพร้อมกันไม่ได้ ( ป.วิ.พ.ม.199 ตรี) ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ ต้องเลือกทางใดทางหนึ่งทำพร้อมกันไม่ได้ ( ป.วิ.พ.ม.199 ตรี) แนะนำอย่างยิ่งที่ต้องใช้การ ขอพิจารณาคดีใหม่ เพราะกรณีที่เราไม่ได้ยื่นคำให้การตั้งแต่ต้น อีกทั้งไม่ได้สืบพยานของตนเอง โอกาสที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับให้เราชนะคดีแทบเป็นไปไม่ได้เลย แนะนำอย่างยิ่งที่ต้องใช้การ ขอพิจารณาคดีใหม่ เพราะกรณีที่เราไม่ได้ยื่นคำให้การตั้งแต่ต้น อีกทั้งไม่ได้สืบพยานของตนเอง โอกาสที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับให้เราชนะคดีแทบเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากนี้ธรรมดาแล้วกว่าเราจะทราบเรื่อง ก็มักจะพ้นกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ไปแล้ว นอกจากนี้ธรรมดาแล้วกว่าเราจะทราบเรื่อง ก็มักจะพ้นกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ไปแล้ว ดังนั้นทางปฏิบัติในความจริง จึงมีทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้คือการ ” ขอพิจารณาคดีใหม่ “ ดังนั้นทางปฏิบัติในความจริง จึงมีทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้คือการ ” ขอพิจารณาคดีใหม่ “ ” ขอพิจารณาคดีใหม่ “ ซึ่ง แนะนำว่า ควรรีบเข้ามาปรึกษาทนายความให้เร็วที่สุด เพราะตามกฎหมายแล้ว การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ จะต้องยื่นภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่ง แนะนำว่า ควรรีบเข้ามาปรึกษาทนายความให้เร็วที่สุด เพราะตามกฎหมายแล้ว การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ จะต้องยื่นภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด กำหนดเวลาในการ ขอพิจารณาคดีใหม่ กำหนดเวลาในการ ขอพิจารณาคดีใหม่ กำหนดเวลาในการ ขอพิจารณาคดีใหม่ เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีแล้ว ศาลจะส่งคำบังคับให้จำเลย เพื่อแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา ภายในกำหนดระยะเวลาประมาณ 15-30 วัน (ปวิแพ่ง ม.272 -273) การส่งคำบังคับมีวัตถุประสงค์เพื่อให้จำเลยทราบว่า ศาลพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติอย่างไร และให้โอาสจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาก่อนที่จะถูกดำเนินการบังคับคดี การส่งคำบังคับมีวัตถุประสงค์เพื่อให้จำเลยทราบว่า ศาลพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติอย่างไร และให้โอาสจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาก่อนที่จะถูกดำเนินการบังคับคดี การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ จะต้องยื่นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ส่งคำบังคับ การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ จะต้องยื่นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ส่งคำบังคับ ถ้ายังไม่มีการเริ่มส่งคำบังคับ หรือการส่งคำบังคับไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระยะเวลาการยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ก็ยังไม่เริ่ม (ฎ.2433/2523,ฎ.244/2524) ถ้ายังไม่มีการเริ่มส่งคำบังคับ หรือการส่งคำบังคับไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระยะเวลาการยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ก็ยังไม่เริ่ม (ฎ.2433/2523,ฎ.244/2524) ฎ.2433/2523 ฎ.244/2524 โดยการนับวันนั้น ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่คำบังคับมีผล ไม่ใช่นับแต่วันที่ครบกำหนดระยะเวลาปฏิบัติตามคำบังคับ (ฎ.2812/2536 ,ฎ.1630/2527, ฎ.2176/2542 ) โดยการนับวันนั้น ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่คำบังคับมีผล ไม่ใช่นับแต่วันที่ครบกำหนดระยะเวลาปฏิบัติตามคำบังคับ (ฎ.2812/2536 ,ฎ.1630/2527, ฎ.2176/2542 ) ฎ.2812/2536 ฎ.1630/2527 ฎ.2176/2542 คำบังคับจะมาส่งให้จำเลย ตามภูมิลำเนาของจำเลยตามทะเบียนบ้าน โดยเจ้าหน้าที่ศาลจะเป็นคนถือมาส่ง หากมีคนอยู่ก็จะต้องเซ็นรับ คำบังคับจะมาส่งให้จำเลย ตามภูมิลำเนาของจำเลยตามทะเบียนบ้าน โดยเจ้าหน้าที่ศาลจะเป็นคนถือมาส่ง หากมีคนอยู่ก็จะต้องเซ็นรับ หากตอนเจ้าหน้าที่ศาลถือหมายมาส่งให้จำเลย ไม่มีคนเซ็นรับเอกสาร เจ้าหน้าที่ศาลก็จะการแขวนหรือปิดคำบังคับไว้ที่หน้าบ้าน ซึ่งกรณีนี้ระยะเวลาที่คำบังคับมีผลก็จะบวกไปอีก 15 วัน หากตอนเจ้าหน้าที่ศาลถือหมายมาส่งให้จำเลย ไม่มีคนเซ็นรับเอกสาร เจ้าหน้าที่ศาลก็จะการแขวนหรือปิดคำบังคับไว้ที่หน้าบ้าน ซึ่งกรณีนี้ระยะเวลาที่คำบังคับมีผลก็จะบวกไปอีก 15 วัน ถ้าเราไม่ได้รับคำบังคับ เพราะความผิดพลาดในกระบวนการส่งหมาย เช่น ถ้าเราไม่ได้รับคำบังคับ เพราะความผิดพลาดในกระบวนการส่งหมาย เช่น ถ้าเราไม่ได้รับคำบังคับ เพราะความผิดพลาดในกระบวนการส่งหมาย เ บ้านที่เจ้าหน้าที่ศาลไปส่งคำบังคับไม่ใช่บ้านของเรา (ส่งผิดบ้าน) บ้านที่ส่งคำบังคับไม่มีสภาพเป็นบ้านแล้วเหลือแต่เสา คำบังคับที่ปิดไว้ปิดไม่แข็งแรงจนหมายตกหล่นสูญหาย ย่อมถือว่าเป็นการส่งคำบังคับโดยไม่ชอบ ระยะเวลายื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ก็จะยังไม่เริ่มนับ ( ฎ.664/2539 ,ฎ.5698/2541 ) ฎ.664/2539 ฎ.5698/2541 แต่ถ้าเราไม่ได้รับคำบังคับ โดยไม่ใช่ความผิดพลาดในการส่งหมาย เช่น แต่ถ้าเราไม่ได้รับคำบังคับ โดยไม่ใช่ความผิดพลาดในการส่งหมาย เช่น เจ้าหน้าที่ศาลส่งหมายให้ตรงที่อยํูตามทะเบียนบ้านเราแล้ว แต่เราไม่อยู่ที่บ้านเอง คนในบ้านของเรารับหมายไว้แล้ว แต่ไม่ได้บอกให้เราทราบ กรณีเช่นนี้ ระยะเวลาในการยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ก็คือ 15 วัน เช่นเดิม ถ้ายื่นไม่ทันกำหนดเวลาตามกฎหมาย ต้องทำอย่างไร ? ถ้ายื่นไม่ทันกำหนดเวลาตามกฎหมาย ต้องทำอย่างไร ? ถ้าปรากฎว่าเรามาทราบเรื่องว่าถูกฟ้องคดี ภายหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลายื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ตามกฎหมายแล้ว กฎหมายก็ยังให้สิทธิเราที่จะยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ได้อยู่ ถ้าปรากฎว่าเรามาทราบเรื่องว่าถูกฟ้องคดี ภายหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลายื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ตามกฎหมายแล้ว กฎหมายก็ยังให้สิทธิเราที่จะยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ได้อยู่ เพียงแต่เราจะต้องอธิบายให้ศาลทราบในคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ว่า มีสาเหตุอะไรเราจึงไม่อาจยื่นภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งสาเหตุดังกล่าวกฎหมายเรียกว่า “พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ เพียงแต่เราจะต้องอธิบายให้ศาลทราบในคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ว่า มีสาเหตุอะไรเราจึงไม่อาจยื่นภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งสาเหตุดังกล่าวกฎหมายเรียกว่า “พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ “พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ตัวอย่างสาเหตุที่ทำให้เราไม่สามารถยื่นคำขอพิจารณาคดีใหม่ได้ เช่น จำเลยเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ จึงไม่ทราบว่าถูกฟ้อง (ฎ.42/2506) จำเลยเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ จึงไม่ทราบว่าถูกฟ้อง (ฎ.42/2506) ฎ.42/2506 จำเลยเอาบ้านให้บุคคลอื่นเช่า จึงไม่ทราบว่าถูกฟ้อง (ฎ.7331/2540) จำเลยเอาบ้านให้บุคคลอื่นเช่า จึงไม่ทราบว่าถูกฟ้อง (ฎ.7331/2540) ฎ.7331/2540 จำเลยเจ็บป่วยหนัก ไม่สามารถไปดำเนินการขอพิจารณาคดีใหม่ได้ (ฎ.1128/2519) จำเลยเจ็บป่วยหนัก ไม่สามารถไปดำเนินการขอพิจารณาคดีใหม่ได้ (ฎ.1128/2519)
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9364
Legal
จงสรุปบทความเรื่อง "รู้หรือไม่ คดีอาญา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาตัดสินกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลยมากแค่ไหน ?" ให้หน่อยค่ะ
รู้หรือไม่ ในคดีอาญา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาตัดสินกลับคำพิพากษาศาลชั้นให้ยกฟ้องจำเลยมากแค่ไหน ? จากข้อมูลรายงานการวิจัยเรื่องการใช้สิทธิฎีกา ของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2534 ซึ่งมุ่งวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการยื่นอุทธรณ์และฎีกา โดยมีวิธีการวิจัยคือ เก็บตัวอย่างคดีที่สู้กันทั้ง 3 ศาล โดยนำคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ในคดีดังกล่าวทั้ง 3 ยุคสมัยด้วยกันมาเปรียบเทียบ จะพบสถิติที่น่าสนใจหลายอย่าง ซึ่งเนื่องจากสถิติทั้ง 3 ช่วงทศวรรษ มีความใกล้เคียงกัน ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างเฉพาะช่วงทศวรรษแรก เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ทั้งนี้การศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษแรกนั้น เป็นเก็บตัวอย่างจากคดีอาญาจำนวนรวม 2,657 คดี ในช่วง พ.ศ.2508-2518 ซึ่งเป็นคดีที่สู้กันถึง 3 ศาลทุกคดี จะพบสถิติที่น่าสนใจคือ สถิติในเรื่องคำพิพากษาของศาลชั้นต้น พบว่า ศาลชั้นต้นจะพิพากษาลงโทษจำเลยเสียส่วนใหญ่ คือลงโทษจำคุกร้อยละ 50.5 ลงโทษจำคุกและริบทรัพย์สิน ร้อยละ 15.6 ส่วนที่เหลือพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่ลงโทษอย่างอื่น เช่นโทษประหารชีวิต ปรับ จำคุกและปรับ คุมประพฤติ กักขัง จำคุกปรับและริบทรัพย์สิน กล่าวโดยสรุปแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดจริงมากกว่า80 เปอร์เซ็นต์ โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยแค่ 18.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น สถิติในเรื่องการถูกกลับและแก้ของคำพิพากษาของศาลชั้นต้น พบว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนใหญ่คือ 43.4 เปอร์เซ็นต์ จะพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากนั้น คำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังถูกแก้ถึง 25.3 เปอร์เซ็นต์ โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเพียง29.7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น สถิติในเรื่องผลของคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ พบว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนใหญ่ คือร้อยละ 44.4 จะมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลย ส่วนที่รองลงมาคือพิพากษาให้จำคุก คือร้อยละ 32.7 ส่วนที่เหลือเป็นโทษอย่างอื่น สถิติในเรื่องการถูกกลับแก้ของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พบว่า คดีส่วนใหญ่ คือ 64.5 เปอร์เซ็นต์ ศาลฎีกาจะพิพากษายืนตามศาลชั้นอุทธรณ์ รองลงมาคือพิพากษาแก้ คือ 14.5 เปอร์เซ็นต์ และศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพียง 13.8 เปอร์เซ็นต์ สถิติคำพิพากษาของศาลฎีกา พบว่าใกล้เคียงกับศาลอุทธรณ์คือ คำพิพากษาส่วนใหญ่คือ41.5 เปอร์เซ็นต์ จะยกฟ้องจำเลย รองลงมาจะมีคำพิพากษาให้จำคุก 30.7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือมีโทษอย่างอื่น กล่าวโดยสรุปคือ จาก 2,657 คดีอาญาตัวอย่างที่สู้กันทั้งสามศาล พบว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยเพียง 18.5 เปอร์เซ็นต์ แต่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้องถึง 44.4 เปอร์เซ็นต์ และศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องถึง 41.5 เปอร์เซ็นต์จากสถิติดังกล่าว จึงอาจทำให้สรุปได้ว่า โอกาสยกฟ้องในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา มีมากกว่าศาลชั้นต้นเกินกว่า 1 เท่าตัว หรืออาจกล่าวได้ในอีกนัยว่า จำเลยที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษและยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น เกินกว่าครึ่งศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นฟ้องจำเลยเหล่านั้น ทั้งนี้ในปัจจุบันผู้เขียนก็ยังเห็นว่าสถิติก็คงยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าไหร่นัก ซึ่งทนายความทุกท่านที่ทำงานเกี่ยวกับคดีอาญาจริงๆก็คงจะเห็นพ้องกับผู้เขียน ทั้งนี้เฉพาะตัวผู้เขียนเอง มีคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องเกินกว่า 10 คดี ซึ่งเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดผลคำพิพากษาเช่นนี้มีหลายประการด้วยกัน ซึ่งปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็คือตัวผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นนั่นเอง ผู้เขียนไม่อาจกล่าวในที่นี้ได้ เพราะอาจกลายเป็นดูหมิ่นผู้พิพากษาหรือเป็นการละเมิดอำนาจศาลไป ซึ่งที่ผู้เขียนนำเสนอข้อมูลนี้ ก็เพราะมีความประสงค์อยากให้ทนายความจำเลยและจำเลยทั้งหลายมีกำลังใจต่อสู้คดีอาญา ถึงแม้ในศาลชั้นต้นท่านอาจจะ ถูกข่มขู่จากทุกฝ่ายให้ยอมรับสารภาพ ถูกเกลี้ยกล่อมว่าคดีไม่มีทางสู้อย่างแน่นอน และท้ายที่สุดหากท่านถูกลงโทษ ทั้งๆที่ท่านไม่ได้กระทำผิดขอให้หากท่านเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตัวท่านและตัวจำเลยของท่าน ขอให้ท่านมีความกำลังใจที่จะสู้คดีอย่างเต็มที่ ถึงท่านจะแพ้คดีในศาลชั้น แต่สถิติชี้ให้เห็นว่าในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ท่านยังคงมีโอกาสเสมอ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ได้ที่ลิ๊งด้านล่างนี้ครับ http://www.lawreform.go.th/lawreform/index.php…
จากข้อมูลรายงานการวิจัย เรื่องการใช้สิทธิฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2534 ซึ่งมุ่งวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการยื่นอุทธรณ์และฎีกา โดยมีวิธีการวิจัย คือ การเก็บตัวอย่างคดีที่สู้กันทั้ง 3 ศาล โดยนำคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ในคดีดังกล่าวทั้ง 3 ยุคสมัยด้วยกันมาเปรียบเทียบ จะพบสถิติที่น่าสนใจหลายอย่าง ซึ่งเนื่องจากสถิติทั้ง 3 ช่วงทศวรรษ มีความใกล้เคียงกัน ขอยกตัวอย่างเฉพาะช่วงทศวรรษแรก เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย การศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษแรก เป็นเก็บตัวอย่างจากคดีอาญาจำนวนรวม 2,657 คดี ในช่วง พ.ศ.2508-2518 ซึ่งเป็นคดีที่สู้กันถึง 3 ศาลทุกคดี จะพบสถิติที่น่าสนใจคือ สถิติในเรื่องคำพิพากษาของศาลชั้นต้น พบว่า ศาลชั้นต้นจะพิพากษาลงโทษจำเลยเป็นส่วนใหญ่ คือ ลงโทษจำคุกร้อยละ 50.5 ลงโทษจำคุกและริบทรัพย์สินร้อยละ 15.6 ส่วนที่เหลือพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่ลงโทษอย่างอื่น เช่นโทษประหารชีวิต ปรับ จำคุกและปรับ คุมประพฤติ กักขัง จำคุกปรับและริบทรัพย์สิน โดยสรุปแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดจริงมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยแค่ 18.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนสถิติในเรื่องการถูกกลับและแก้ของคำพิพากษาของศาลชั้นต้น พบว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนใหญ่ 43.4 เปอร์เซ็นต์ จะพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากนั้น คำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังถูกแก้ถึง 25.3 เปอร์เซ็นต์ โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเพียง 29.7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ในขณะที่สถิติในเรื่องผลของคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ พบว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนใหญ่ร้อยละ 44.4 จะมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลย รองลงมาคือ คำพิพากษาให้จำคุก คือ ร้อยละ 32.7 ส่วนที่เหลือเป็นโทษอย่างอื่น สถิติในเรื่องการถูกกลับแก้ของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พบว่า คดีส่วนใหญ่ 64.5 เปอร์เซ็นต์ ศาลฎีกาจะพิพากษายืนตามศาลชั้นอุทธรณ์ รองลงมาคือพิพากษาแก้ คือ 14.5 เปอร์เซ็นต์ และศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพียง 13.8 เปอร์เซ็นต์ และสุดท้าย สถิติคำพิพากษาของศาลฎีกา พบว่าใกล้เคียงกับศาลอุทธรณ์ คือ คำพิพากษาส่วนใหญ่ 41.5 เปอร์เซ็นต์ จะยกฟ้องจำเลย รองลงมาจะมีคำพิพากษาให้จำคุก 30.7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือมีโทษอย่างอื่น กล่าวโดยสรุปคือ จาก 2,657 คดีอาญาตัวอย่างที่สู้กันทั้งสามศาล พบว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยเพียง 18.5 เปอร์เซ็นต์ แต่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้องถึง 44.4 เปอร์เซ็นต์ และศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องถึง 41.5 เปอร์เซ็นต์ จากสถิติดังกล่าว จึงทำให้ได้ข้อสรุปว่า โอกาสยกฟ้องในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามีมากกว่าศาลชั้นต้นเกินกว่า 1 เท่าตัว หรืออาจกล่าวได้ในอีกนัยหนึ่งว่า จำเลยที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษและยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น เกินกว่าครึ่งศาลอุทธรณ์ จะมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นฟ้องจำเลยเหล่านั้น
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9365
Legal
จากเทคนิคทางปฏิบัติในการจัดทำ คำแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันสำคัญที่ศาลควรสั่งว่าคดีไม่มีมูล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 165/2 ถ้าเป็นคดีฉ้อโกง รูปแบบการเขียนจะบรรยายเริ่มต้นว่าอย่างไร
A. ซึ่งความจริงแล้ว ที่จำเลยกล่าวข้อความดังกล่าว เป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยโดยชอบธรรม เนื่องจาก… B. คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยจำเลยกล่าวข้อความว่า… C. ซึ่งความจริงแล้วข้อความที่โจทก์อ้างว่าเป็นความเท็จนั้น เป็นเรื่องจริงโดยมีเอกสารหลักฐานและข้อมูลดังนี้… D. คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงโดยอ้างว่าจำเลยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า…..
คำตอบคือ D. เพราะเทคนิคทางปฏิบัติในการจัดทำคำแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันสำคัญที่ศาลควรสั่งว่าคดีไม่มีมูล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 165/2 ถ้าเป็นคดีฉ้อโกง รูปแบบการเขียนจะบรรยายเริ่มต้นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงโดยอ้างว่าจำเลยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า….. เทคนิคทางปฏิบัติในการจัดทำ คำแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันสำคัญที่ศาลควรสั่งว่าคดีไม่มีมูล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 165/2 เรื่อง รูปแบบการเขียน รูปแบบในการเขียนคำแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันสำคัญที่ศาลควรสั่งว่าคดีไม่มีมูล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 165/2 คือ การสรุปประเด็นแบบสั้นๆ ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยว่ากระทำผิดอาญา มีประเด็นอย่างไรบ้าง และหลังจากนั้น ก็จะชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องไม่เป็นความจริง หรือจำเลยไม่กระทำผิดตามที่โจทก์กล่าวอ้าง โดยอธิบายเป็นข้อๆ ไป ตัวอย่างเช่น คดีฉ้อโกง บรรยายเริ่มต้นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงโดยอ้างว่าจำเลยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า….. และบรรยายต่อไปว่า ซึ่งความจริงแล้วข้อความที่โจทก์อ้างว่าเป็นความเท็จนั้น เป็นเรื่องจริงโดยมีเอกสารหลักฐานและข้อมูลดังนี้… คดีหมิ่นประมาท บรรยายเริ่มต้นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยจำเลยกล่าวข้อความว่า… . และบรรยายต่อไปว่า ซึ่งความจริงแล้ว ที่จำเลยกล่าวข้อความดังกล่าว เป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยโดยชอบธรรม เนื่องจาก…
คำพิพากษาศาลฎีกา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9367
Legal
หากการเผาหญ้าหรือขยะหรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเองนั้น ยังไม่รุนแรงถึงขั้นที่อาจจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ของบุคคลอื่น ตามกฎหมายกำหนดให้ใครมีอำนาจสั่งห้ามเป็นหนังสือให้ผู้เจ้าของที่ดินผู้เผาหยุดกระทำการดังกล่าว
ข้อกฎหมายควรรู้เกี่ยวกับการเผาหญ้า ขยะ หรือสิ่งอื่นใด ในที่ดินของตัวเอง การกำจัดขยะมูลฟอย หญ้าหรือสิ่งอันไม่พึงประสงค์ใดๆในที่ดินนั้นของตัวเองนั้น ชาวบ้านหลายๆคนมักนิยมใช้วิธีการใช้เชื้อเพลิงจุดเผาเพราะเป็นวิธีที่ได้ผลอย่างรวดเร็วและและเสียค่าใช้จ่ายน้อย โดยเฉพาะเกษตรกร เมื่อหมดฤดูการเพาะปลูกแล้ว ก็จะต้องทำการเผาฟางข้าว ต้นหรือซังข้าวโพด หรือเศษไม้ใบหญ้า หรือเปลือกหรือกากของพืช เพื่อเตรียมการทำการเพาะปลูกใหม่ในฤดูกาลต่อไป ซึ่งการกำจัดเศษซากพืชหรือขยะด้วยวิธีนี้ นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาปัญหาโลกร้อนแล้ว ยังก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญกับเจ้าของที่ดินข้างเคียงเนื่องจากกลุ่มควันและฝุ่นละอองจากขี้เถ้า และยังอาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปยังที่ดินข้างเคียงอีกด้วย ซึ่งการกระทำเหล่านี้มีกฎหมายอัตราโทษไว้ ตามระดับของความร้ายแรงแห่งการกระทำ ดังนี้ 1.หากการเผาหญ้าหรือขยะหรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเองนั้น ยังไม่รุนแรงถึงขั้นที่อาจจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ของบุคคลอื่น กล่าวคือ ยังไม่ถึงขั้นที่จะน่ากลัวว่าไฟนั้นจะลุกลามไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของบุคคลอื่น เป็นแต่เพียงก่อให้เกิด กลิ่น แสง สี เสียง รังสี ความร้อน สิ่งมีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แก่ผู้ที่อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง เช่นมีฝุ่นควันลอยและเศษขี้เถ้าไปเข้าไปเข้าบ้านใกล้เรือนเคียงเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านได้รับความเดือดร้อนรำคาญ เช่นนี้ ตามกฎหมายกำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งห้ามเป็นหนังสือให้ผู้เจ้าของที่ดินผู้เผาหยุดกระทำการดังกล่าวได้ และยังสามารถกำหนดวิธีการเพื่อป้องกันเหตุรำคาญที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่นห้ามมิให้ทำการเผาอีกต่อไป และหากเจ้าของที่ดินผู้เผายังฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ก็จะมีความผิดอาญา โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 มาตรา 25 ,26,28,74 ) 2.หากการเผาหญ้าหรือขยะหรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเองนั้น มีความรุนแรงถึงขั้นที่ “น่าจะ” เป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น เช่น จุดไฟแล้วไม่ดูแล ปล่อยให้ไฟลุกลามจนเพื่อนบ้านต้องเรียกรถดับเพลิงมาดับไฟ เพราะไฟใกล้จะไหม้ถึงบ้านเพื่อนบ้าน เช่นนี้เจ้าของที่ดินผู้เผาจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 220 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท ทั้งนี้โดยที่ไม่ต้องเกิดเพลิงไหม้หรือความเสียหายขึ้นจริงๆเลย เพียงแต่น่าจะเกิดก็เป็นความผิดตามมาตรา 220 แล้ว และหากเกิดอันตรายขึ้นแก่ทรัพย์สินหรือบุคคลอื่นจริงๆ ผู้กระทำก็ต้องรับโทษหนักขึ้น ตามมาตรา 218 หรือมาตรา 224 แล้วแต่กรณีซึ่งมีระวางโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ยกเว้นหากทรัพย์สินที่เกิดเพลิงใหม้หรืออาจจะเกิดเพลิงใหม้นั้นมีราคาเล็กน้อย ผู้กระทำก็จะได้รับโทษเบาลงตามมาตรา 223 3.หากลักษณะการเผาหญ้าหรือขยะหรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเองนั้น ผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลได้อยู่แล้วว่า ลักษณะการจุดไฟเผาของตนอาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้อย่างแน่นอน เช่นจุดไฟในลักษณะที่ใกล้เคียงกับบ้านหรือทรัพย์สินของคนอื่นอย่างมาก ในช่วงที่ลมแรง เช่นนี้ผู้กระทำผิดย่อมมีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 217-218 แล้วแต่กรณี ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงถึงประหารชีวิต ดังนั้นแล้ว ในกำจัดหญ้า ขยะ หรือ สิ่งของอื่นๆที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ควรจะหาทางกำจัดด้วยวิธีอื่นๆ ที่มีความปลอดภัยและเดือดร้อนต่อผู้อื่นน้อยที่สุด หรือหากจำเป็นต้องทำการกำจัดด้วยวิธีการเผาจริงๆ ก็ควรประสานกับเพื่อนบ้านของเจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียง เพื่อให้ทราบล่วงหน้า และหาวิธีทำให้เพื่อนบ้านเดือดร้อนน้อยที่สุด และขณะทำการเผาต้องดูแลอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด
หากการเผาหญ้าหรือขยะหรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเองนั้น ยังไม่รุนแรงถึงขั้นที่อาจจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ของบุคคลอื่น กล่าวคือ ยังไม่ถึงขั้นที่จะน่ากลัวว่าไฟนั้นจะลุกลามไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของบุคคลอื่น เป็นแต่เพียงก่อให้เกิด กลิ่น แสง สี เสียง รังสี ความร้อน สิ่งมีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แก่ผู้ที่อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง เช่น มีฝุ่นควันลอยและเศษขี้เถ้าไปเข้าไปเข้าบ้านใกล้เรือนเคียงเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านได้รับความเดือดร้อนรำคาญเช่นนี้ ตามกฎหมายกำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งห้ามเป็นหนังสือให้ผู้เจ้าของที่ดินผู้เผาหยุดกระทำการดังกล่าวได้ และยังสามารถกำหนดวิธีการเพื่อป้องกันเหตุรำคาญที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ห้ามมิให้ทำการเผาอีกต่อไป และหากเจ้าของที่ดินผู้เผายังฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ก็จะมีความผิดอาญา โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 มาตรา 25 ,26,28,74)
กฎหมายทรัพย์สิน-กรรมสิทธิ์-ทรัพย์อิงสิทธิ,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9369
Legal
การแสวงหาพยานหลักฐานจากผู้ต้องหาซึ่งมีการกระทำผิดกฎหมายเป็นประจำอยู่แล้ว เช่นมียาเสพติดไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งพยานหลักฐานที่ได้จากการล่อซื้อนั้นสามารถรับฟังลงโทษจำเลยได้ แต่การล่อให้กระทำความผิด เป็นกรณีของการหลอกล่อ ใช่หรือไม่
null
ใช่ เรื่องของการแสวงหาพยานหลักฐานจากผู้ต้องหาซึ่งมีการกระทำผิดกฎหมายเป็นประจำอยู่แล้ว เช่นมียาเสพติดไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งพยานหลักฐานที่ได้จากการล่อซื้อนั้นสามารถรับฟังลงโทษจำเลยได้ แต่การล่อให้กระทำความผิด เป็นกรณีของการหลอกล่อ หรือการกระทำใดๆที่เป็นการชักจูงให้ผู้ต้องหากระทำผิดขึ้นแล้วจับกุมดำเนินคดี โดยที่เดิมผู้ต้องหาซึ่งถูกล่อให้กระทำ ไม่เคยมีเจตนากระทำความผิดนั้นๆมาก่อน การกระทำผิดจึงเป็นผลมาจากการล่อให้กระทโดยตรง ตัวผู้กระทำไม่มีเจตนาดั้งเดิมที่จะกระทำอยู่ก่อน และพยานหลักฐานที่ได้มาจากการล่อให้กระทำผิดนี้ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้ ยกตัวอย่างเช่น หาก นาย ก. ติดยาบ้า มียาบ้าไว้ในครอบครอง แต่ธรรมดาแล้วนาย ก. มียาบ้าดังกล่าวเพื่อเสพอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เคยจำหน่ายยาบ้ามาก่อน ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจใช้สายลับชื่อนาย ข. เป็นเพื่อนนาย ก. ไปคะยั้นคะยอ ขอร้องให้นาย ก.แบ่งขายให้นาย ข.บ้าง โดยอ้างว่า นายข.อยากยา เช่นนี้เป็นการล่อให้กระทำผิด และพยานหลักฐานที่ได้มาจากการล่อให้กระทำความผิดคือนาย ข.สายลับ และพนักงานตำรวจที่ซุ่มดูการล่อซื้อ ถือเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาจากการหลอกลวงโดยมิชอบ จึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ถึงมีการล่อให้กระทำผิดเช่นนี้และนาย ก. ขายยาบ้า ให้นาย ข.จริงก็ไม่อาจลงโทษนาย ก.ฐานจำหน่ายยาบ้าได้ แต่หากนาย ก.มียาบ้าไว้ยาบ้าเป็นปกติอยู่แล้ว การที่พนักงานตำรวจให้นาย ข.ไปล่อซื้อยาบ้าจากนาย ก.ถือว่าเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมาย พยานหลักฐานนี้จึงสามารถรับฟังได้ ดังนั้นการต่อสู้คดีในลักษณะนี้จะต้องพิสูจน์ว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่หรือผู้เสียหาย(เช่นในคดีลิขสิทธิ์)เป็นการล่อซื้อหรือการล่อให้กระทำผิด จุดสำคัญอยู่ที่การพิสูจน์ให้เห็นว่ามีการตั้งใจที่จะกระทำผิดอยู่ก่อนแล้ว หรือไม่ได้ตั้งใจกระทำผิด แต่กระทำผิดไปเพราะถูกหลอกล่อ ชักจูง โน้มน้าวให้กระทำ โดยพิจารณาจากด้านปัจจัยในตัวของจำเลยเอง เช่น บุคลิกภาพ ประวัติการกระทำผิด สถานที่อยู่ และพฤติการณ์อื่นในคดี ส่วนด้านปัจจัยภายนอกคือ พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่หรือผู้เสียหายว่ากระทำการอย่างไร ถึงขั้นโน้มน้าวชักจูงหรือไม่ หรือจำเลยมุ่งจะกระทำผิดอยู่แล้ว
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายลักษณะพยาน (ทั้งวิแพ่งและวิอาญา)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9372
Legal
ช่วยสรุปบทความ เอกสารปลอม – เอกสารเท็จ แตกต่างกันอย่างไร
เอกสารปลอม คืออะไร คำนิยามของเอกสารปลอม หมายถึง “เอกสารที่ปรากฎข้อมูลว่าใครเป็นผู้ทำ แต่บุคคลดังกล่าว ไม่ได้เป็นผู้ทำจริง หรือเอกสารที่ทำขึ้นโดยผู้ทำเอกสารไม่มีอำนาจทำ แต่แอบอ้างว่าตนเองมีอำนาจ” โดยท่านอาจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ กล่าวไว้ว่า จะเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ต้อง “เพ่งเล็งผู้ทำเอกสาร “ และท่านอาจารย์ เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ กล่าวไว้ว่า การปลอมเอกสารเป็นการ “หลอกในตัวผู้ทำเอกสาร” สรุปแล้วเอกสารปลอม เป็นการลวงให้ผู้อื่น หลงเข้าใจผิดใน “ตัวบุคคลผู้ทำเอกสาร “ ดังนั้นเอกสารปลอม คือเอกสารที่ทำขึ้น เพื่อ 1.หลอกให้ผู้อื่นที่เห็นเอกสารหลงเชื่อว่า ผู้ที่ทำเอกสารคือใคร โดยที่ผู้นั้นไม่ได้จัดทำเอกสารขึ้นจริงๆ และไม่ได้มอบอำนาจให้ผู้อื่นทำ 2.หรือหลอกว่าผู้จัดทำเอกสารนั้นมีอำนาจทำเอกสารดังกล่าว โดยที่ผู้นั้นไม่มีอำนาจจัดทำจริง ถ้าเข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่งข้างต้น ถึงแม้เนื้อหานั้นจะถูกต้องกับความจริง ก็ถือเป็นเอกสารปลอม ตัวอย่างเปรียบเทียบที่น่าสนใจ ฎ.1269/2481 จำเลยเป็นครูใหญ่ มีอำนาจออกใบสุทธิ(ใบรับรองการศึกษา)ให้นักเรียนได้ แม้ออกใบสุทธิให้กับนักเรียนโดยผิดไปจากความจริง (นักเรียนจบ ป.2 แต่ไปออกใบสุทธิว่าจบ ป.3 ) ก็เป็นการทำเอกสารตามอำนาจหน้าที่ ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร เพราะจำเลยมีอำนาจจัดทำใบสุทธิ ฎ.795/2518 จำเลยไม่ใช่ครูใหญ่ แม้อยู่ระหว่างยื่นเรื่องขออนุญาตบรรจุเป็นครูใหญ่ แต่ระหว่างที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยไปออกใบสุทธิ(ใบรับรองการศึกษา) ให้นักเรียน แม้เนื้อหาในใบสุทธิจะเป็นความจริง (นักเรียนเรียนจบจริง) ก็เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร เพราะจำเลยไม่มีอำนาจจัดทำใบสุทธิ
เอกสารปลอมคือเอกสารที่ปรากฎข้อมูลว่าใครเป็นผู้ทำ แต่บุคคลดังกล่าวไม่ได้เป็นผู้ทำจริง หรือเอกสารที่ทำขึ้นโดยผู้ทำเอกสารไม่มีอำนาจทำ แต่แอบอ้างว่าตนเองมีอำนาจ ดังนั้นเอกสารปลอมมีจุดประสงค์ที่หลอกให้ผู้อื่นเชื่อว่าผู้ทำเอกสารคือใคร โดยที่ผู้นั้นไม่ได้จัดทำเอกสารขึ้นจริง และไม่ได้มอบอำนาจให้ผู้อื่นทำ หรือหลอกว่าผู้จัดทำเอกสารนั้นมีอำนาจทำเอกสาร โดยที่ผู้นั้นไม่มีอำนาจจัดทำจริง ถ้าเข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่งข้างต้น ถึงแม้เนื้อหาจะถูกต้องกับความจริง ก็ถือเป็นเอกสารปลอม ตัวอย่างเปรียบเทียบที่น่าสนใจ ในฎ.1269/2481 จำเลยเป็นครูใหญ่ที่มีอำนาจออกใบสุทธิให้นักเรียน แม้ว่าใบสุทธิจะออกโดยผิดกับความจริง (นักเรียนจบ ป.2 แต่ออกใบสุทธิว่าจบ ป.3) แต่เนื่องจากจำเลยมีอำนาจจัดทำใบสุทธิตามหน้าที่ทำให้ไม่ถือเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร ในฎ.795/2518 จำเลยไม่ใช่ครูใหญ่และยังไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นครูใหญ่ แม้ว่าเนื้อหาในใบสุทธิจะถูกต้อง (นักเรียนเรียนจบจริง) การออกใบสุทธิโดยไม่มีอำนาจจัดทำทำให้เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับการปลอมและแปลง,ประมวลกฎหมายอาญา
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9374
Legal
ข้อใดไม่ใช่เหตุผลที่ทนายความมืออาชีพจะต้องเก็บค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษา
a. คำปรึกษาสามารถเอาไปใช้แก้ปัญหาและเกิดประโยชน์อย่างมาก b. ทนายความจะทำงานโดยผูกพันอยู่กับปัญหาของคน c. ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริง และค้นคว้าข้อกฎหมาย ก่อนให้คำปรึกษา d. ทนายความมีความรับผิดชอบหากให้คำปรึกษาผิดพลาด
ข้อที่ถูกต้องคือ b. เพราะเป็นประโยชน์ของการปรึกษาทนายความ เพราะทนายความจะทำงานโดยผูกพันอยู่กับปัญหาของคน และวิธีการแก้ไขปัญหา ป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นเหตุผลที่ทนายความมืออาชีพจะต้องเก็บค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษา ทำไมทนายความมืออาชีพจะต้องเก็บค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษา ด้วยเหตุผลทั้ง 5 ข้อดังต่อไปนี้ 1.การให้คำปรึกษาฟรี เป็นการเอาเปรียบลูกค้าที่ว่าจ้าง แน่นอนว่าทนายความมืออาชีพ ที่รับว่าความ ทำอาชีพทนายความเป็นอย่างเดียว ย่อมจะต้องมีภาระหน้าที่ในการดูแลคดีความต่างๆ เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมคดี การขึ้นว่าความ การค้นคว้าข้อกฎหมาย และภาระความรับผิดชอบในการซักซ้อมเตรียมพยาน ฯลฯ ซึ่งภารกิจต่างๆ ในวิชาชีพของทนายความ มีเป็นจำนวนมาก และจะต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1 กับลูกความที่ชำระเงินว่าจ้างเ มอบหมายให้รับผิดชอบดูแลชีวิตและทรัพย์สิน เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด การให้คำปรึกษากับลูกความท่านอื่น ถึงแม้จะใช้เวลาไม่นานอาจจะเพียง 10 นาที 20 นาที ก็ถือว่าเป็นการกินเวลา เป็นการเสียสมาธิ เสียสละเวลา ที่จะต้องใช้สำหรับการดูแลลูกความคนอื่น ให้ความปรึกษากับลูกความคนอื่นที่ตกลงว่าจ้าง ดังนั้นทนายความมืออาชีพจึงไม่รับให้คำปรึกษาฟรี เพราะถือว่าเป็นการเบียดเบียนเวลา เป็นการเอาเปรียบลูกค้าท่านอื่นที่ตกลงว่าจ้าง ยินยอมสละเวลา ทุ่มเทการทำงานให้กับลูกค้าที่ว่าจ้าง เพื่อให้งานออกมาดีที่สุดจะดีเสียกว่าการสละเวลา รวมทั้งสมอง ความคิด เพื่อให้คำปรึกษากับคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นลูกค้าที่ว่าจ้าง 2.ทนายความมีความรับผิดชอบหากให้คำปรึกษาผิดพลาด ในการให้คำปรึกษาของทนายความ หากให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำที่ผิดพลาด ปรับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คาดเคลื่อน แนะนำให้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย หรือสิ่งที่ทำให้เกิดความเสียหาย ต่อมาเชื่อตามคำแนะนำ และปฏิบัติตามที่แนะนำ จนกระทั่งเกิดความเสียหายต่อตนเองหรือผู้อื่น หรืออาจจะถึงขั้นเป็นการกระทำที่เป็นการผิดกฎหมาย ทนายความเองมีความรับผิดและความรับผิดชอบที่เกิดขึ้นกับความเสียหายดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดทางแพ่งหรือทางอาญาแล้วแต่กรณี และทนายความซึ่งอาจจะถูกดำเนินคดีมรรยาททนายความได้อีกด้วย ดังนั้นแล้วคงจะเป็นการที่ไม่ยุติธรรมเลย หากจะต้องใช้ความระมัดระวัง ใช้ความรู้ความสามารถ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพื่อให้คำปรึกษาฟรี แต่หากเกิดความเสียหาย หรือเกิดข้อผิดพลาด จะต้องเป็นคนรับผิดชอบ โดยที่ไม่ได้รับค่าเสียเวลาหรือค่าตอบแทนใดๆ ดังนั้นทนายความมืออาชีพส่วนใหญ่จึงไม่ได้เลือกให้คำปรึกษาฟรีแต่อย่างใด 3.ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริง และค้นคว้าข้อกฎหมาย ก่อนให้คำปรึกษา เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดและเพื่อให้คำปรึกษาที่ดีที่สุด ทนายความจะต้องใช้เวลาเป็นอย่างมากในการให้คำปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมข้อเท็จจริงด้วยการสอบข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบพยานเอกสารพยานวัตถุ และคำคู่ความเอกสารทางกฎหมายต่างๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้จะต้องค้นคว้าข้อกฎหมาย ศึกษาแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ทฤษฎีทางกฎหมาย เพื่อประกอบการให้คำปรึกษาในกรณีที่ข้อกฎหมายมีความซับซ้อน ซึ่งเวลาถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ เป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้แล้วไม่สามารถหวนกลับคืนได้ ก่อนให้คำปรึกษา จะต้องเสียเวลาไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งเวลาดังกล่าวสามารถเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างอื่นได้ ดังนั้นทนายความมืออาชีพ จึงเลือกไม่ให้คำปรึกษาฟรี เพื่อประหยัดเวลาเอาไปใช้กับสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างอื่นมากกว่า 4.ใช้เวลาทุ่มเทศึกษากฎหมาย และเก็บประสบการณ์มานานกว่าจะให้คำปรึกษาได้ มีคำกล่าวอยู่ว่า “งานที่คุณเห็นว่าผมทำเสร็จได้ใน 5 นาที ก็เป็นเพราะใช้เวลา 10 ปี ในการเรียนรู้และฝึกฝน ดังนั้นจึงอย่าประเมินคุณค่างานต่ำ “ คำกล่าวนี้ใช้ได้เป็นอย่างดี เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาของทนายความ หลายๆ คนไม่เห็นคุณค่าในการให้คำปรึกษาของทนายความ และเห็นว่าตนเองไม่ควรจะจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าปรึกษาทนายความ เพราะทนายความเพียงใช้เวลา 10 นาที ในการให้คำปรึกษา หรือเพียงแต่พิมพ์ตอบคำถามใน Line หรืออีเมล์เพียงไม่กี่คำ ในการให้คำปรึกษาเท่านั้น ดูแล้วไม่เห็นจะเหนื่อยอะไร ทำไมถึงจะต้องเก็บค่าใช้จ่าย แต่ความจริงแล้วก่อนที่จะให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง ให้คำแนะนำหาทางออกที่ดีที่สุดได้นั้น ต้องผ่านกระบวนการศึกษากฎหมายทั้งในระดับมหาวิทยาลัย การอบรมของสภาทนายความ รวมทั้งการศึกษากฎหมายในระดับที่สูงกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้จบการศึกษากฎหมาย จบเนติบัณฑิต สอบผ่านใบอนุญาตทนายความ ส่วนใหญ่แล้วก็ยังไม่สามารถให้คำปรึกษากฎหมายที่ดีได้ เพราะเป็นการเรียนรู้แต่เพียงทฤษฎีเท่านั้น ยังไม่สามารถนำมาใช้ในทางปฏิบัติได้ ทนายความมืออาชีพที่จะให้คำปรึกษาได้ดี ต้องผ่านประสบการณ์สนามการทำงาน ผ่านการแก้ไขปัญหาให้กับลูกความ ฝึกและเก็บประสบการณ์คดีความ ลองผิดลองถูก และใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี โดยจะต้องผ่านการว่าความแบบจริงจัง การแก้ไขปัญหาให้ลูกความแบบจริงจัง เผชิญสถานการณ์ต่างๆ ฝึกหัดพบกับปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหา กว่าจะเข้าใจลึกซึ้งถึงแนวทางที่ถูกต้องในการให้คำปรึกษา และเมื่อเข้าใจระบบการทำงาน เข้าใจกระบวนการศาล และผ่านปัญหามาอย่างพอสมควรแล้ว ถึงจะเชี่ยวชาญและสามารถให้คำปรึกษาที่ถูกต้องและสามารถแก้ไขปัญหาให้ได้ ดังนั้นแล้วกว่าจะให้คำปรึกษาได้ จะต้องเสียเวลา เสียความทุ่มเทในการทำงาน เก็บประสบการณ์มาเป็นเวลานานกว่าที่จะให้คำปรึกษาที่ถูกต้องได้ สิ่งดังกล่าวไม่ใช่เป็นสิ่งที่ได้มาฟรีๆ ดังนั้นจึงเป็นการเหมาะสมที่จะเก็บค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษา 5.คำปรึกษาสามารถเอาไปใช้แก้ปัญหาและเกิดประโยชน์เป็นอย่างมาก การให้คำปรึกษากฎหมายของทนายความนั้น มันจะแก้ไขและป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี อาจจะทำให้ลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหา ที่จะต้องสูญเสียทรัพย์สิน ถูกจำคุก ความเสี่ยงอันตรายอื่น อาจจะทำให้ได้ทรัพย์สินมาเป็นจำนวนมาก ทำให้แก้ไขปัญหาที่ไม่อาจจะแก้ได้ ทำให้ไม่ต้องมีปัญหามีคดีความเกิดขึ้นภายหลัง หรือทำให้คดีความจบหรือเสร็จสิ้นไปโดยเร็วโดยที่ไม่ต้องไปขึ้นศาล ดังนั้นแล้วย่อมเป็นการสมเหตุสมผล ที่จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนไม่มากนัก มาแลกกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ
วิชาว่าความและทนายความ คำฟ้อง คำให้การและคำร้องขอ มรรยาททนายความ
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9375
Legal
เพราะเหตุใดหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีแล้ว ฝ่ายโจทก์พยายามยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาและขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
null
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ทำไมฝ่ายโจทก์พยายามยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษา และขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล เนื่องจากที่ดินพิพาทคดีนี้มีมูลค่าสูง เป็นเงินหลายล้านบาท ดังนั้นค่าธรรมเนียมศาลที่โจทก์จะต้องวางจึงค่อนข้างสูง อยู่ที่ประมาณแสนกว่าบาท ในศาลชั้นต้น ฝ่ายโจทก์พยายามลักไก่ฟ้องมาเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งผู้พิพากษาที่รับฟ้องในชั้นแรกอาจจะตรวจทานไม่ดี จึงได้รับฟ้องมาแบบคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งได้โต้แย้งคัดค้านไปในคำให้การว่า คดีนี้ฝ่ายโจทก์เรียกร้องเอาทรัพย์เป็นของตนเอง ซึ่งทรัพย์สินพิพาทปรากฏชื่อทางทะเบียนว่าไม่ใช่ของโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ดังนั้นคดีนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ทำให้ศาลชั้นต้นสั่งให้ฝ่ายโจทก์ ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลในตอนเริ่มคดีประมาณแสนกว่าบาท และหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว หากฝ่ายโจทก์จะยื่นอุทธรณ์ ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลเพิ่มเติมรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความใช้แทนอีกด้วย ฝ่ายโจทก์จึงได้ยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ซึ่งก็ได้คัดค้านและได้ทำการไต่สวนคำร้อง และศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล และต่อมาโจทก์ไม่นำค่าธรรมเนียมศาลมาวางไว้ในเวลาที่กำหนด คดีนี้จึงสิ้นสุดลงที่ศาลชั้นต้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9376
Legal
การโอนทรัพย์สินเพื่อหนีหนี้มีโทษตามกฎหมายอย่างไร
null
การโอนทรัพย์สินให้แก่ผู้อื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับคดี มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ซึ่งถึงแม้ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 กฎหมายจะกำหนดโทษไว้ไม่หนักมาก กล่าวคือมีกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และอยู่ในเกณฑ์ที่อาจรอการลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ก็ตาม แต่ตามบรรทัดฐานของศาลฎีกาแล้ว ศาลจะไม่รอการลงโทษจำคุกให้ ถึงแม้ผู้กระทำผิดจะให้การรับสารภาพก็ตาม เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย และกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมโดยรวม และยิ่งหากมีการโอนทรัพย์สินหลายครั้งแล้ว โทษที่ได้รับก็จะหนักขึ้น เนื่องจากการโอนทรัพย์สิน 1 ครั้ง เท่ากับการกระทำความผิด 1 กรรม โทษที่ได้รับก็จะทวีคูณขึ้นไป ประกอบกับความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น เจ้าหนี้สามารถนำสืบถึงการกระทำผิดได้ไม่ยาก โดยเฉพาะการโอนทรัพย์สินประเภทรถยนต์หรือที่ดิน ที่สามารถสืบค้นฐานข้อมูลจดทะเบียนของหน่วยงานราชการได้ ซึ่งมีตัวอย่างคำพิพากษา เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1954/2533 โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้ เมื่อศาลพิพากษาแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตาม คำพิพากษา ได้ มีการยึดรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ได้ ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด โดย อ้าง ว่าได้ ซื้อ จากจำเลยที่ 1 และในการนำสืบ ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ ติดต่อ ขายให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. จำเลยที่ 2 เป็นพยานเบิกความว่าได้ มีการซื้อ ขายรถยนต์บรรทุกกันจริงในราคา 100,000 บาท ผลสุดท้ายศาลฎีกาได้ ยก คำร้อง โจทก์จึงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ใหม่เพื่อเอาเงินชำระหนี้โจทก์ จำเลยที่ 2 ได้ รีบฟ้องให้จำเลยที่ 1ชำระหนี้ตาม สัญญา เงินกู้ อ้างว่ากู้กันแต่ ปี พ.ศ. 2525 โดย ฟ้องวันที่ 2 มกราคม 2530 ได้ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมในวันที่ 8 เดือน เดียว กัน ต่อมาจำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์
ประมวลกฎหมายอาญา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9377
Legal
ทนายความที่ดีควรมีคุณสมบัติใดมากที่สุด
(ก) แต่งกายสุภาพเรียบร้อย สวมสูทราคาแพง อยู่สำนักงานหรูหรา (ข) มีอายุมาก ประสบการณ์การทำงานยาวนาน (ค) พูดเก่ง โน้มน้าวใจเก่ง พูดว่าคดีชนะแน่นอน (ง) แม่นยำในข้อเท็จจริง วิเคราะห์ข้อกฎหมาย ชี้แจงโอกาสแพ้ชนะคดีได้
คำตอบที่ถูกต้องคือ (ง) แม่นยำในข้อเท็จจริง วิเคราะห์ข้อกฎหมาย ชี้แจงโอกาสแพ้ชนะคดีได้ เพราะว่า เหตุผล: (ก) การแต่งกาย สำนักงาน ไม่ได้ บ่งบอกถึงความสามารถในการว่าความ (ข) อายุ ไม่ได้ บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการทำงาน (ค) การพูดโน้มน้าว ไม่ได้ การันตี ว่าคดีจะชนะ (ง) ทนายความที่ดีควร แม่นยำในข้อเท็จจริง: วิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด วิเคราะห์ข้อกฎหมาย: ใช้อ้างอิง ชี้แจงแนวทางการทำงาน ชี้แจงโอกาสแพ้ชนะคดี: อธิบายเหตุผล แนวทาง ข้อที่ถูกต้อง: (ง) เหตุผล: จากบทความ "การเลือกทนายความ" ทนายความที่ดีควร "แม่นยำในข้อเท็จจริง" สอบถามรายละเอียดครบถ้วน ตรวจสอบพยานหลักฐาน ทนายความที่ดีควร "วิเคราะห์ข้อกฎหมาย" อ้างอิงตัวบทกฎหมาย อธิบายคำพิพากษา วางรูปคดี ทนายความที่ดีควร "ชี้แจงโอกาสแพ้ชนะคดี" อธิบายเหตุผล ชี้แจงแนวทาง ไม่พูดว่าคดีชนะแน่นอน ตัวเลือกอื่นๆ ไม่ถูกต้อง (ก) รูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้ บ่งบอกถึงความสามารถ สำนักงานหรู ไม่ได้ การันตี ผลลัพธ์ที่ดี (ข) อายุ ไม่ได้ บ่งบอกถึงประสิทธิภาพ ทนายความอายุน้อย อาจ มีความรู้ใหม่ ไฟแรง (ค) การพูดโน้มน้าว ไม่ได้ การันตี ผลลัพธ์ ทนายความที่พูดเก่ง อาจ ไม่เก่งวิเคราะห์ สรุป ทนายความที่ดีควร "แม่นยำในข้อเท็จจริง" "วิเคราะห์ข้อกฎหมาย" และ "ชี้แจงโอกาสแพ้ชนะคดี"
วิชาว่าความและทนายความ คำฟ้อง คำให้การและคำร้องขอ มรรยาททนายความ
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9378
Legal
กรณีใดต่อไปนี้ ผู้โพสต์ข้อความในระบบคอมพิวเตอร์ มีโอกาสถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) มากที่สุด
(ก) นาย ก. โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คว่า "ไอ้ ข. หน้าโง่" (ข) นาย ข. โพสต์ข้อความในเว็บบอร์ดว่า "นาง ค. เป็นเมียน้อยนาย ง." ทั้งที่นาง ค. ไม่ได้เป็นเมียน้อยนาย ง. (ค) นาย ค. โพสต์ข้อความในไลน์กลุ่มว่า "บริษัท ล. โกงเงินลูกค้า" ทั้งที่บริษัท ล. ไม่ได้โกงเงินลูกค้า (ง) นาย ง. โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ว่า "สินค้าของร้าน ม. ห่วยแตก"
คำตอบคือ (ค) นาย ค. โพสต์ข้อความในไลน์กลุ่มว่า "บริษัท ล. โกงเงินลูกค้า" ทั้งที่บริษัท ล. ไม่ได้โกงเงินลูกค้า เนื่องจาก เหตุผล: (ก) นาย ก. โพสต์ข้อความด่าทอนาย ข. ด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่ข้อความนั้น ไม่ได้ เป็นข้อมูลเท็จ (ข) นาย ข. โพสต์ข้อความ เท็จ เกี่ยวกับนาง ค. ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อนาง ค. (ค) นาย ค. โพสต์ข้อความ เท็จ เกี่ยวกับบริษัท ล. ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัท ล. (ง) นาย ง. โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าของร้าน ม. ถึงแม้จะใช้ถ้อยคำรุนแรง แต่ข้อความนั้น ไม่ได้ เป็นข้อมูลเท็จ ข้อที่ถูกต้อง: (ค) นาย ค. โพสต์ข้อความ เท็จ เกี่ยวกับบริษัท ล. ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัท ล. เหตุผล: นาย ค. โพสต์ข้อความ "บริษัท ล. โกงเงินลูกค้า" ซึ่งเป็น ข้อมูลเท็จ ข้อมูลเท็จนี้ อาจ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัท ล. การโพสต์ข้อความเท็จในระบบคอมพิวเตอร์ เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ตัวเลือกอื่นๆ ไม่ถูกต้อง (ก) นาย ก. โพสต์ข้อความด่าทอ แต่ข้อความนั้น ไม่ได้ เป็นข้อมูลเท็จ (ง) นาย ง. โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็น ถึงแม้จะใช้ถ้อยคำรุนแรง แต่ข้อความนั้น ไม่ได้ เป็นข้อมูลเท็จ
กฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์(พรบ
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9380
Legal
ช่วยสรุปบทความ ตัวอย่างการต่อสู้ คดียาเสพติด ตอน ” เมื่อผู้จับกลายเป็นผู้จำหน่าย ” เล่าประสบการณ์จากคดีความจริง
ก่อนเกิดเหตุจับกุมตัวจำเลยได้นั้น ร้อยตำรวจเอก น. ได้จับกุมตัว นาย บ. ซึ่งเป็นเด็กเสิร์ฟในผับแห่งหนึ่ง และรับจ๊อบส่งยาเสพติดให้กับนักท่องเที่ยวซึ่งรวมถึงตัวจำเลยด้วย หลังจากจับกุมตัว นาย บ.ได้แล้ว ร้อยตำรวจเอก น. ก็ใช้วิธีการเดิมคือแบ่งยาเสพติดบางส่วนที่จับได้มาเอาไว้ขายเอง ส่วนมือถือของ นาย บ. ร้อยตำรวจเอก น. ก็ยึดไว้ใช้งาน หลังจากนั้นร้อยตำรวจเอก น. ก็สวมรอยเป็น นาย บ. ส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ จากมือถือของ นาย บ. ไปหาจำเลยว่ามียาเสพติดพร้อมจำหน่ายเป็นยาของดีได้มาจากเมืองนอก หากจำเลยสนใจ ก็มีของพร้อมจำหน่าย จำเลยสนใจยาเสพติดดังกล่าว จึงเท่ากับติดกับของร้อยตำรวจเอก น. ร้อยตำรวจเอก น. จึงได้แจ้งบอกว่าให้มารับยาเสพติดที่สถานที่แห่งหนึ่งบริเวณใกล้เคียงกับโรงแรม เมื่อจำเลยเดินทางไปรับยาเสพติดที่สถานที่ดังกล่าว ยังไม่ทันที่จะได้พบเห็นยาเสพติดก็ถูกร้อยตำรวจเอก น. กับพวกจับกุม พร้อมกับยัดยาเสพติดให้ คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา แล้วมาปรึกษาผม ผมจึงแนะนำให้ต่อสู้คดีไปตามความจริงทุกอย่าง ว่าเราถูกล่อให้กระทำความผิด และเรายังไม่ได้ครอบครองยาเสพติดในที่เกิดเหตุ ดังนั้นเราจึงไม่มีความผิด คดีนี้ในชั้นสอบสวนล่าช้าเป็นอย่างมาก ส่วนสาเหตุเป็นอย่างไรเดี๋ยวผมจะอธิบายต่อในตอนหลังเพราะเรื่องยาว แต่สรุปได้ว่าคดีนี้ ได้มาขึ้นศาลภายหลังเกิดเหตุเป็นเวลานานถึงประมาณ 5 ปี ระหว่างระยะเวลานั้นผลกรรมก็เริ่มทำงาน ร้อยตำรวจเอก น. ถูกย้ายออกนอกพื้นที่นครบาล ไปอยู่ทำเลทองที่ภาคใต้ และหลังจากนั้นร้อยตำรวจเอก น. ก็พลาดถูกจับกุมข้อหาครอบครองยาเสพติดเพื่อจําหน่าย และถูกดำเนินคดี เมื่อปี พ.ศ. 2561 คดีนี้มีการสืบพยานเมื่อปีพ.ศ. 2563 ขณะนั้นร้อยตำรวจเอก น. ก็ยังถูกคุมขังอยู่ และตอนมาเบิกความคดีนี้ ร้อยตำรวจเอก น.ก็มาในสภาพของนักโทษ คดีนี้ผมตั้งประเด็นข้อต่อสู้ไว้หลายประเด็น และได้ถามค้านพยานโจทก์ เพื่อแสดงให้เห็นว่า เรื่องราวที่ตำรวจกล่าวอ้างนั้นไม่เป็นความจริง โดยตำรวจได้พยายามปั้นแต่งเรื่องราวขึ้นมาว่า วันเกิดเหตุได้มีสายลับแจ้งว่าบุคคลน่าสงสัยเดินอยู่บริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ จึงได้เดินทางไปบริเวณสถานที่เกิดเหตุพบจำเลยเดินอยู่มีพฤติกรรมน่าสงสัยจึงเข้าตรวจค้นและพบยาเสพติด ซึ่งความจริงแล้ว เป็นความเท็จทั้งสิ้นเพราะเป็นการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้วางแผนใช้โทรศัพท์มือถือของ นาย บ. รอให้จำเลยออกมาในที่เกิดเหตุเพื่อจับกุมเพราะไม่พอใจที่จำเลยไม่ยอมไปต่องานสั่งซื้อยาเสพติดให้
ร้อยตำรวจเอก น. จับกุมตัว นาย บ. เสิร์ฟในผับและจัดจำหน่ายยาเสพติดให้กับนักท่องเที่ยวและตัวจำเลยด้วย นาย บ.ถูกจับได้แล้วร้อยตำรวจเอก น.ใช้วิธีการเดิมๆ แบ่งยาเสพติดบางส่วนมาขายเอง นาย บ.ถูกยึดมือถือให้ใช้งาน ร้อยตำรวจเอก น.สวมรอยเป็น นาย บ. และส่งข้อความผ่านแอพไลน์ถามว่ามียาเสพติดพร้อมจำหน่าย จำเลยสนใจ และเมื่อไปรับยาถูกจับกุม นาย บ.แจ้งให้มารับยาที่สถานที่ใกล้โรงแรม แต่ถูกจับก่อน คดีนี้เป็นอายุนามนี้มานานถึง 5 ปี และผู้ต้องหาปฏิเสธความผิด และต่อสู้คดีต่อไปตามความจริง ปี 2563 ร้อยตำรวจเอก น. ถูกคุมขังในขณะที่คดีนี้ได้ถูกสืบพยาน และเมื่อคดีนี้ถูกเบิกขึ้นมา ร้อยตำรวจเอก น.ปรากฎตัวในสภาพนักโทษ คดีนี้นำเสนอหลายประเด็นที่ค้านพยานโจทก์เพื่อแสดงว่าเรื่องราวที่ตำรวจกล่าวถึงไม่เป็นความจริง ตำรวจพยายามปั้นแต่งเรื่องราวว่ามีสายลับแจ้งว่าบุคคลน่าสงสัยอยู่ใกล้เคียงที่เกิดเหตุ จึงได้ไปบริเวณนั้นเจอจำเลยเดินอยู่และตัดสินใจค้นหา พบยาเสพติด แต่ความจริงเป็นเท็จทั้งหมด เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้วางแผนใช้โทรศัพท์มือถือของ นาย บ. เพื่อให้จำเลยออกมาและจับกุม ทั้งนี้เนื่องจากไม่พอใจที่จำเลยไม่ยอมไปต่องานสั่งซื้อยาเสพติด
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายยาเสพติดให้โทษ
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9382
Legal
สิ่งที่แสดงความสามารถของทนายความได้ชัดเจนที่สุด คืออะไร?
ผู้เขียนเห็นว่าสิ่งที่เป็นหน้าตาที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของทนายความได้ชัดเจนที่สุด ตามความเห็นของผู้เขียน ย่อมเป็น “สำนวนคดี” ในแต่ละคดีที่ทนายความผู้นั้นเคยทำ ซึ่งจะบันทึกเรื่องราวของคดีทั้งหมดตั้งแต่การวางรูปคดี การตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย การร่างฟ้อง ร่างคำให้การ จังหวะและรูปแบบการยื่นคำคู่ความต่างๆในคดีเพื่อชิงความได้เปรียบในคดี การแถลงด้วยวาจาต่างๆที่จะปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณา ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงไหวพริบและความกล้าหาญในการรักษาผลประโยชน์ของลูกความ และที่สำคัญที่สุด บันทึกการถามพยาน ที่จะแสดงให้เห็นถึงฝีมือในการถามพยานของทนายคนนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นการซักถาม ถามค้าน ถามติง ซึ่งทนายความคนไหน จะเป็นทนายความที่มีฝีมือหรือไม่ ย่อมรู้ได้โดยการตรวจสอบสำนวนคดีในอดีตของทนายความผู้นั้น เพราะสำนวนคดีแต่ละคดี ย่อมจะบ่งชี้ให้เห็นว่า ทนายความผู้นั้นมีความใส่ใจในการทำคดีเพียงใด มีความสามารถในการร่างฟ้อง ร่างคำให้การเพียงใด มีสไตล์การทำงานที่รักษาผลประโยชน์ของลูกความแค่ไหน และมีฝีมือในการซักถาม ถามค้าน ถามติง แค่ไหน
สิ่งที่แสดงความสามารถของทนายความได้ชัดเจน คือ “สำนวนคดี” ของทนายความ สำนวนคดีของทนายจะมีการบันทึกเรื่องราวของคดีทั้งหมดตั้งแต่การวางรูปคดี การตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย การร่างฟ้อง ร่างคำให้การ จังหวะรูปแบบการยื่นคำคู่ความต่างๆในคดีเพื่อชิงความได้เปรียบในคดี การแถลงด้วยวาจาต่างๆที่จะปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณา อันแสดงถึงไหวพริบและความกล้าหาญในการรักษาผลประโยชน์ของลูกความ และบันทึกการถามพยาน ที่จะแสดงให้เห็นถึงฝีมือในการซักถาม ถามค้าน หรือถามติงพยานของทนายคนนั้น การจะตรวจสอบสำนวนคดีจะชี้ให้เห็นว่าทนายผู้นั้นมีความใส่ใจในการทำคดีเพียงใด มีความสามารถและฝีมือแค่ไหน
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9383
Legal
ช่วยสรุปบทความ “ ฟ้องชายชู้ ไม่ต้องมีคนอื่นรู้ก็ฟ้องได้ ”
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1113/2514 กรณีที่ภริยามีชู้หรือมีผู้ล่วงเกินภริยาในทำนองชู้สาว อันเป็นการกระทบกระเทือนไปถึงสิทธิของสามีนั้น มีมาตรา 1505 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นบทที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษโดยเฉพาะให้สามีมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากภริยาและชู้หรือผู้ที่ล่วงเกินนั้นได้สามีจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากผู้ที่ล่วงเกินภริยาของตนในทางชู้สาว โดยอ้างว่าเป็นการละเมิดสิทธิของสามีตามมาตรา 420 ไม่ได้ฟ้องหาว่าจำเลยล่วงเกินภริยาของโจทก์ในทางชู้สาวโดยกอดจูบและร่วมประเวณีแต่ได้ความว่าต่อมาโจทก์กับภริยาได้สมัครใจจดทะเบียนหย่ากันเองเสียแล้ว กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 1505 วรรคแรก แม้กระนั้นก็ยังเป็นเรื่องการล่วงเกินไปในทำนองชู้สาวตามวรรคสองและถึงแม้ว่าภริยาจะได้สมัครใจหรือยินยอมให้ล่วงเกิน สามีก็ยังมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากผู้ที่ล่วงเกินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1113/2514 ในกรณีที่ภริยามีชู้หรือผู้ล่วงเกินภริยาในทำนองชู้สาว มาตรา 1505 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ศาลยืนยันว่าสามีมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากภริยาและชู้หรือผู้ที่ล่วงเกินนั้น โดยอ้างว่าเป็นการละเมิดสิทธิของสามีตามมาตรา 420 ไม่ได้ฟ้องหาว่าจำเลยล่วงเกินภริยาของโจทก์ในทางชู้สาว แต่ได้ความว่าต่อมาโจทก์กับภริยาได้สมัครใจจดทะเบียนหย่ากันเอง กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 1505 วรรคแรก แม้กระนั้นก็ยังเป็นเรื่องการล่วงเกินไปในทำนองชู้สาวตามวรรคสองและถึงแม้ว่าภริยาจะได้สมัครใจหรือยินยอมให้ล่วงเกิน สามีก็ยังมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากผู้ที่ล่วงเกินได้
คำพิพากษาศาลฎีกา
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9384
Legal
โจทก์สามารถฟ้องร้องจำเลยในคดีแพ่งเพิ่มเติมจากคดีอาญาได้หรือไม่
(ก) ฟ้องร้องเพิ่มเติมได้ เพราะจำเลยมีเจตนาทุจริตยักยอกทรัพย์ (ข) ฟ้องร้องเพิ่มเติมได้ เพราะจำเลยผิดสัญญาทางแพ่ง (ค) ฟ้องร้องเพิ่มเติมไม่ได้ เพราะศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลย (ง) ฟ้องร้องเพิ่มเติมไม่ได้ เพราะโจทก์ยอมรับชำระหนี้บางส่วนจากจำเลย
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ (ข) ฟ้องร้องเพิ่มเติมได้ เพราะจำเลยผิดสัญญาทางแพ่ง เหตุผล ตัวเลือก (ก) ไม่ถูกต้อง แม้จำเลยจะไม่ส่งมอบเงินให้โจทก์ร่วมจนครบถ้วน แต่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลยในคดีอาญาฐานยักยอก ตัวเลือก (ข) ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยไม่ส่งมอบเงินให้โจทก์ร่วมจนครบถ้วน ถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาทางแพ่ง ตัวเลือก (ค) ไม่ถูกต้อง แม้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลยในคดีอาญา แต่โจทก์ยังสามารถฟ้องร้องจำเลยในคดีแพ่งเพิ่มเติมได้ ตัวเลือก (ง) ไม่ถูกต้อง การที่โจทก์ยอมรับชำระหนี้บางส่วนจากจำเลย ไม่ได้เป็นการสละสิทธิ์ในการฟ้องร้องจำเลยในคดีแพ่ง ข้อสรุป ตัวเลือก (ข) เป็นคำตอบที่ถูกต้อง เหตุผลเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๓ คดียักยอก ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่สูญเสียไป เนื่องจากการกระทําผิดคืน เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีก็ให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายได้ ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ร่วม แสดงว่าจำเลยมีหน้าที่ชดใช้ค่าเสียหายให้กับโจทก์ร่วม โจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องร้องจำเลยในคดีแพ่งเพิ่มเติมจากคดีอาญา เพื่อเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9386
Legal
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317-319 แล้วแต่กรณี ซึ่งการกระทำดังกล่าว หากผู้ชักชวนมีการขับขี่รถไปรับเด็กที่บ้านของเด็กเอง ย่อมเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยไม่ต้องสงสัย แต่ปัญหามีอยู่ว่าหากจำเลยเพียงแต่ชักชวนเด็กแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ว่าเป็นการจะด้วยการโทรศัพท์ หรือการพูดคุยทางช่องทางอื่นๆ จนกระทั่งเด็กใจอ่อนยอมมาหาจำเลยที่บ้านของจำเลยหรือมาที่สถานที่ที่นับพบด้วยตนเอง โดยจำเลยไม่ได้ไปรับหรือพาผู้เสียหายมาจากบ้านเลย เช่นนี้จำเลยจะมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์หรือไม่
null
ไม่ ปัญหานี้นักกฎหมายมีความเห็นเป็นสองแนวทางด้วยกัน ปัญหานี้นักกฎหมายมีความเห็นเป็นสองแนวทางด้วยกัน โดยแนวทางแรกเห็นว่า เพียงการชักชวนให้เด็กมาหาตนเอง จนเด็กใจอ่อนยอมมาหาตนเอง นั้นไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ เพราะจำเลยไม่ได้กระทำการใดอันถือว่าเป็นการ “พราก” ทั้งนี้เป็นการตีความคำว่า “พราก” โดยอ้างอิงตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานที่ให้คำนิยามคำว่า” พราก” หมายถึง ต้องมีการกระทำที่เป็นการพาไป หรือแยกออกจากกันหรือเอาออกจากกัน เช่นการใช้แรงฉุดดึงไป การขับรถไปรับ เป็นต้น ดังนั้นการพรากผู้เยาว์ จึงต้องมีการกระทำทางกายภาพประกอบอยู่ด้วย เพียงการพูดคุยชักชวนจนเด็กมาหาเอง ไม่ถือเป็นการพรากผู้เยาว์ ซึ่งตัวอย่างคำวินิจฉัยของศาลฎีกาที่มีความเห็นทำนองนี้ เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11196/2555 การที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยพูดชักชวนผู้เสียหายที่ 1 จนผู้เสียหายที่ 1 ยอมออกจากบ้านมาหาจำเลย การกระทำของจำเลยเป็นการพรากผู้เยาว์แล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการพรากเป็นคนละอย่างกับการพูดชักชวนและการพรากมีความหมายคนละอย่างกับการพูดและไม่ใช่การพูด หากจำเลยพูดแต่ไม่ได้พรากหรือพาผู้เสียหายไปจำเลยย่อมไม่ผิดฐานพรากผู้เยาว์ เพราะการพรากผู้เยาว์จะต้องมีการกระทำที่ยิ่งกว่าการพูดชักชวน เนื่องจากการพูดชักชวนเด็กหรือผู้เยาว์ตัดสินใจไม่ไปตามที่พูดชักชวนได้ จนกว่าจะมีการพาเด็กหรือผู้เยาว์ไปตามทิศทางที่พูดชักชวนไว้ จึงจะมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ได้ สอดคล้องกับพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานที่ให้คำนิยามคำว่า พราก หมายถึง ต้องมีการกระทำที่พาไป ข้อเท็จจริงได้ความเพียงจำเลยพูดชักชวนผู้เสียหายที่ 1 จนผู้เสียหายที่ 1 ใจอ่อนยอมมาหาจำเลยเองโดยจำเลยไม่ได้ไปรับหรือพาผู้เสียหายที่ 1 ออกมาจากบ้าน การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3152/2543 คำว่า “พราก” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า จากไป พาเอาไปเสียจาก แยกออกจากกันหรือเอาออกจากกัน ดังนั้น คำว่า “พราก” จึงหมายความว่า พาไปหรือแยกเด็กออกไปจากความปกครองดูแล การที่จำเลยจูงเด็กหญิง ส. เข้าไปในห้องโดยมิได้ใช้แรงฉุด แล้วให้นั่งรออยู่คนเดียวประมาณ 20 นาที ระหว่างนั้นเด็กหญิง ส. สามารถที่จะกลับบ้านได้และเด็กหญิง ส. เคยไปนั่งเล่นในห้องนอนจำเลยบ่อย ๆ พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะส่อแสดงให้เห็นว่า การที่เด็กหญิง ส. เข้าไปในห้องนอนจำเลยและอยู่ในห้องนอนจำเลยแต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลานานนั้นเป็นไปด้วยความเต็มใจของเด็กหญิง ส. เนื่องจากเด็กหญิง ส. ชอบพอจำเลยมากกว่าที่จะถูกชักชวนและจูงจากจำเลยเพราะเด็กหญิง ส. สามารถที่จะไม่ไปตามที่จำเลยจูงก็ได้เนื่องจากจำเลยมิได้ใช้กำลังและสามารถที่จะกลับบ้านตนเองได้ระหว่างที่อยู่คนเดียว เนื่องจากไม่มีอะไรมาขัดขวางการกระทำของจำเลยจึงยังไม่เข้าลักษณะพาไปหรือแยกเด็กไปจากความปกครองดูแลของมารดาเด็ก อันทำให้ความปกครองดูแลของมารดาเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน จึงไม่เป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ส่วนอีกแนวทางหนึ่ง มีความเห็นว่า คำว่า “พราก” ตามประมวลกฎหมายอาญา นั้นมีหมายความว่า “การพาไปหรือแยกเด็กออกจากความปกครองดูแล ทั้งนี้ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม” อีกแนวทางหนึ่ง ดังนั้นการพรากผู้เยาว์จึง ไม่จำเป็นต้องมีการใช้กำลังหรือวิธีทางกายภาพ เช่นการฉุดดึง หรือขับรถไปรับ เพียงแค่ชักชวนแนะนำเด็กให้ไปกับจำเลยโดยมิได้หลอกลวงใดๆและเด็กเต็มใจไปด้วยก็เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์แล้ว ซึ่งตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยทำนองนี้ เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198/2554 คำว่า พราก หมายความว่า พาไปหรือแยกออกจากความปกครองดูแลจะกระทำโดยวิธีใดก็ได้ไม่มีข้อจำกัด ไม่ต้องใช้กำลังหรืออุบาย แม้จะชักชวนแนะนำเด็กให้ไปด้วยโดยมิได้หลอกลวงและเด็กเต็มใจไปก็เป็นความผิด โดยมิได้ต้องมีการติดตามตัวผู้เสียหายก่อน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2858/2540 องค์ประกอบความผิดตาม ป.อ.มาตรา 317 คือการพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล คำว่า “พราก”หมายความว่า พาไปหรือแยกเด็กออกจากความปกครองดูแล แม้จะชักชวนแนะนำเด็กให้ไปกับผู้กระทำโดยมิได้หลอกลวงและเด็กเต็มใจไปด้วย ก็เป็นความผิดตามมาตรานี้ หลักการตีความกฎหมายอาญานั้น จะต้องตีความโดยเคร่งครัด แต่หากการตีความอย่างเคร่งครัดตามตัวอักษรนั้นจะทำให้เกิดผลประหลาด หรือถ้อยคำในตัวบทกฎหมายนั้นยังไม่ชัดเจน ก็จะต้องตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นประกอบด้วย มิใช่ว่ากฎหมายอาญาจะตีความตามลายลักษณ์อักษรแต่เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ เพียงแต่ตีความเจตนารมณ์ของกฎหมายอาญานั้นจะต้องตีความอย่างเคร่งครัดในวงจำกัดที่สุด ซึ่งหลักการตีความตามลายลักษณ์อักษรอย่างเคร่งครัดนั้น หมายถึงกรณีถ้อยคำตามตัวบทกฎหมายชัดเจนอยู่แล้วไม่มีทางจะตีความเป็นอย่างอื่นได้ ก็มิอาจอ้างเจตนารมณ์ของกฎหมายมาเพื่อแสดงว่าจำเลยมีความผิดอันฝ่าฝืนต่อถ้อยคำตามกฎหมายที่ชัดแจ้งนั้นได้ แต่ในกรณีที่ถ้อยคำในกฎหมายนั้นยังมีข้อสงสัยอยู่ ศาลย่อมมีอำนาจตีความถ้อยคำในกฎหมายนั้นโดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นประกอบด้วย เพียงแต่จะต้องตีความอย่างเคร่งครัดที่สุดเช่นกัน ดังนั้นหลักการตีความตามลายลักษณ์อักษรอย่างเคร่งครัดในคดีอาญานั้น จึงมิได้หมายความว่าศาลจะต้องตีความถ้อยคำในตัวบทกฎหมายตามพจนานุกรมอย่างเคร่งครัดแต่อย่างใด เพราะหากพิจารณาถ้อยคำในตัวบทกฎหมายนั้นแล้วยังมีข้อน่าสงสัยว่าถ้อยคำนั้นมีความหมายเช่นใด หรือถ้าหากว่าการตีความถ้อยคำในตัวบทกฎหมายตามพจนานุกรมอย่างเคร่งครัดจะก่อให้เกิดผลประหลาด ศาลย่อมมีอำนาจตีความกฎหมายโดยอาศัยเจตนารมณ์ของกฎหมายประกอบด้วยได้ ซึ่งบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 – 319 นั้นมีเจตนารมณ์ในการคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดาและผู้ปกครองของเด็ก มิให้ผู้ใดมาล่วงละเมิดไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆก็ตาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการป้องกันมิให้บุคคลใดพาเด็กซึ่งอยู่ในอำนาจปกครองหรือการดูแลของบิดามารดาหรือผู้กครองไปยังสถานที่อื่นหรือเพื่อกระทำการใด โดยไม่ได้รับอนุญาตก่อน ซึ่งคำว่า “พราก” ในประมวลกฎหมายอาญามาตราดังกล่าว มิได้บัญญัติไว้เพื่อให้เข้าใจหรือสื่อถึงการกระทำทางกายภาพ แต่คำว่า “พราก” ในประมวลกฎหมายอาญามาตราดังกล่าว ต้องการสื่อถึงการกระทำใดๆก็ตาม ที่เป็นการแยกตัวเด็กออกจากการใช้อำนาจปกครองของบิดามารดาหรือผู้ปกครอง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการพูดจาหว่านล้อม ชักชวน ใช้อุบายหลอกลวง หรือใช้กำลังประทุษร้าย ดังนั้นตามความเห็นของผู้เขียน จึงมีเห็นพ้องด้วยกับแนวความคิดที่สอง คือ ว่าคำว่า “พราก” ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317-319 หมายถึงการพาไปหรือแยกเด็กออกจากความปกครองดูแล ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม การพรากผู้เยาว์จึง ไม่จำเป็นต้องมีการใช้กำลังหรือวิธีทางกายภาพ เช่นการฉุดดึง หรือขับรถไปรับ ดังนั้นเพียงแค่ชักชวนหว่านล้อจนเด็กใจอ่อน ยอมไปกับจำเลยโดยมิได้หลอกลวงใดๆและเด็กเต็มใจไปด้วยก็เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์แล้ว
กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง,ประมวลกฎหมายอาญา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9391
Legal
การยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลา ตาม ปวิพ.ม.23 ไม่ควรจะยื่นขอขยายระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป เพราะเหตุใด
a. เป็นข้อมูลทราบว่าผู้พิพากษาแต่ละคนมีแนวทางการใช้ดุลพินิจเป็นอย่างไร b. เป็นคดีที่มีความซับซ้อนและมีข้อเท็จจริงในคดีเยอะมาก c. อาจก่อให้เกิดปัญหาได้หลายประการ d. เพื่อความชัดเจนว่าขอขยายระยะเวลาถึงวันไหน
คำตอบได้แก่ c. เนื่องจาก การยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลา ตาม ปวิพ.ม.23 ไม่ควรจะยื่นขอขยายระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป เพราะอาจก่อให้เกิดปัญหาได้หลายประการ เช่น ถ้าศาลไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาตามคำร้อง ทนายความก็ไม่อาจจะดำเนินการทางกฎหมายได้ทันภายในกำหนดเวลาเดิม หรืออาจจะเกิดปัญหาว่าศาลยังไม่มีคำสั่งจนกระทั่งเลยกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายแล้ว ธรรมดาแล้วการยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาต่างๆ ตามกฎหมายนั้น ทนายความควรจะยื่นก่อนครบกำหนดระยะเวลาประมาณ 3-4วัน โดยการยื่นขอขยายระยะเวลานั้น จะต้องตอนที่ใกล้จะครบกำหนดระยะเวลานั้นๆ หากยื่นล่วงหน้าเผื่อเป็นเวลาเกินไปหลายวัน ศาลอาจจะไม่อนุญาตเพราะเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกนานที่ทนายความมีเวลาการทำงาน เช่น ไปยื่นขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การ แต่ยังเหลืออีก 8 วันกว่าจะครบกำหนดยื่นคำให้การ แบบนี้ศาลอาจจะไม่อนุญาต เพราะเห็นว่าทนายความยังมีเวลาเหลือในการทำคำให้การ โดยหากระยะเวลาวันสุดท้ายนั้นเป็นวันหยุดราชการ ทนายความสามารถยื่นขอขยายในวันเปิดทำการวันถัดไปได้ (ฎ. 8735/2542) แต่อย่างไรทนายความไม่ควรกระทำเช่นนั้น เพราะทนายความควรจะยื่นขอขยายก่อนวันหยุดราชการเป็นอย่างช้า มิใช่ไปยื่นขอขยายเอาในวันเปิดทำการซึ่งเป็นวันสุดท้าย ทั้งนี้ การขอขยายระยะเวลาต่างๆ นั้น จะต้องยื่นก่อนหรืออย่างช้าในวันครบกำหนดระยะเวลานั้นๆ เท่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 วรรคท้าย หากยื่นภายหลังจากสิ้นสุดกำหนดระยะเวลานั้น จะต้องมีเหตุสุดวิสัยตามกฎหมาย ซึ่งคำว่าเหตุสุดวิสัยนั้นศาลฎีกาตีความแคบมาก และแทบจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลยหากยื่นขอขยายระยะเวลาภายหลังครบกำหนดระยะเวลาแล้ว ดังนั้นจะต้องระมัดระวังการยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาไม่ให้เกินกำหนดเดิม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9392
Legal
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ผู้มีคดีความควรรู้ก่อนว่าจ้างทนายความ คืออะไร
ข้อควรรู้ใน การว่าจ้างทนายความ “อย่าโกหกเด็ดขาด” สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ผู้มีคดีความควรรู้ก่อนว่าจ้างทนายความก็คือ “ทนายความไม่สามารถทำงานได้ดี หากคุณไม่ให้ความร่วมมือหรือโกหกหรือปิดบังข้อเท็จจริง” “ทนายความไม่สามารถทำงานได้ดี หากคุณไม่ให้ความร่วมมือหรือโกหกหรือปิดบังข้อเท็จจริง” ดังนั้นคุณจึงไม่ควรรำคาญหรือรู้สึกเบื่อหากถูกทนายความของคุณซักถามคุณหรือพยานของคุณด้วย คำถามต่างๆเป็นจำนวนมาก ซึ่งคุณอาจมองว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่เห็นจะต้องถามเลย เพราะเรื่องบางเรื่องที่คุณมองว่าไม่สำคัญอาจเป็นจุดเปลี่ยนของคดี หรือทำให้คดีพลิกได้ ซึ่งหากทนายความไม่ทราบเรื่องดังกล่าวมาก่อน และมาทราบเอาภายหลังตอนคดีขึ้นสู่ศาลได้ รูปคดีของคุณก็อาจจะเสียเปรียบได้ และคุณก็ไม่ควรโกรธหากถูกทนายความสอบถามด้วยคำถามตรงๆ หรือคำถามที่แทงใจดำ เพราะหลักในการซักถามข้อเท็จจริงของทนายความมืออาชีพคือเขาจะต้องสอบถามคุณ และพยานของคุณด้วยคำถามเสมือนว่าเขาเป็นทนายฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้เพื่อตรวจสอบว่าคำพูดของคุณมีพิรุธหรือขัดแย้งกับความน่าจะเป็นหรือ ขัดแย้งกับพยานหลักฐานอื่นๆหรือไม่ เพื่อทนายความจะได้วางรูปคดีและหาวิธีแก้ไขต่อไป การทำงานของทนายความมืออาชีพจะแตกต่างทนายแบบ18มงกุฎที่ไม่คิดจะสอบถามอะไร คุณมากมาย ตรงกันข้ามทนาย 18มงกุฎจะดูนิ่งขรึมและจะให้ความมั่นใจแก่คุณว่าคดีชนะแน่นอน ทำให้คุณรู้สึกสบายใจ แต่กว่าคุณจะรู้ตัวว่าเลือกคนผิดก็เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วนั่นแหละครับ… และที่สำคัญคุณควรจะบอกทุกเรื่องกับทนายความด้วยความเป็นจริง เพราะจะทำให้ทนายความวางรูปคดีได้อย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์มากที่สุด (เช่นการหลีกเลี่ยงการนำพยานหลักฐานบางอย่างไปที่จะมีผลเสียมากกว่าผลดีไป แสดงต่อศาล,การวางแผนในการหักล้างทำลายน้ำหนักของพยานฝ่ายตรงข้าม) ตรงกันข้ามหากคุณปิดบังความเป็นจริง และความจริงมาปรากฏขึ้นในชั้นพิจารณาอย่างกะทันหันจากพยานหลักฐานอันหนักแน่นของฝ่ายตรงข้ามและคุณแพ้คดีก็อย่าไปโทษทนายว่าไร้ฝีมือนะครับ ซึ่งหากคุณไว้ใจทนายความสักคนให้ทำคดีรักษาผลประโยชน์ในชีวิตและทรัพย์สิน แทนคุณแล้วก็จงบอกความจริงทั้งหมดแก่เขาครับ อย่าห่วงหากทนายความนำความลับของคุณที่ได้รับรู้มาจากการเป็นทนายความไปเปิด เผยเขาจะมีความผิดตามกฎหมายมีโทษจำคุก และยังเป็นความผิดมารยาททนายความซึ่งคุณสามารถร้องเรียนต่อสภาทนายความได้อีกด้วย
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ผู้มีคดีความควรรู้ก่อนว่าจ้างทนายความ คือ “ทนายความไม่สามารถทำงานได้ดี หากไม่ให้ความร่วมมือหรือโกหกหรือปิดบังข้อเท็จจริง” ดังนั้น จึงไม่ควรรำคาญหรือรู้สึกเบื่อหากถูกทนายความซักถามตนเองหรือพยานด้วยคำถามต่างๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจมองว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่เห็นจะต้องถาม เพราะเรื่องบางเรื่องที่มองว่าไม่สำคัญอาจเป็นจุดเปลี่ยนของคดี หรือทำให้คดีพลิกได้ ซึ่งหากทนายความไม่ทราบเรื่องดังกล่าวมาก่อน และมาทราบเอาภายหลังตอนคดีขึ้นสู่ศาลได้ รูปคดีก็อาจจะเสียเปรียบได้ และก็ไม่ควรโกรธหากถูกทนายความสอบถามด้วยคำถามตรงๆ หรือคำถามที่แทงใจดำ เพราะหลักในการซักถามข้อเท็จจริงของทนายความมืออาชีพ คือ เขาจะต้องสอบถามตนเองและพยานด้วยคำถามเสมือนว่าเขาเป็นทนายฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้ เพื่อตรวจสอบว่าคำพูดมีพิรุธหรือขัดแย้งกับความน่าจะเป็น หรือ ขัดแย้งกับพยานหลักฐานอื่นๆ หรือไม่ เพื่อทนายความจะได้วางรูปคดีและหาวิธีแก้ไขต่อไป
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9395
Legal
การฟ้องคดีชู้ จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 บัญญัติว่า "บุคคลใด จะฟ้องร้องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แทนความเสียหายอันเกิดจากละเมิด ไม่จำต้องรอให้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า บุคคลนั้นได้กระทำละเมิด" หมายความว่า การฟ้องร้องคดีชู้ สามารถทำได้โดยไม่ต้องรอให้มีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ กฎหมายไม่ได้กำหนดประเภทของหลักฐานที่ใช้ในการฟ้องคดีชู้ หลักฐานอื่น ๆ ที่สามารถใช้ฟ้องร้องคดีชู้ได้ เช่น รูปถ่าย: รูปถ่ายที่แสดงถึงความสัมพันธ์ฉันชู้สาว เช่น รูปถ่ายคู่ รูปถ่ายที่ไปเที่ยวด้วยกัน รูปถ่ายที่แสดงท่าทางสนิทสนม ข้อความ: ข้อความที่แสดงถึงความสัมพันธ์ฉันชู้สาว เช่น ข้อความแชท ข้อความไลน์ ข้อความเฟสบุ๊ค พยานบุคคล: บุคคลที่เห็นเหตุการณ์การเป็นชู้ เช่น เพื่อนบ้าน ญาติ คนรู้จัก หลักฐานอื่น ๆ: เช่น บัตรจอดรถ ใบเสร็จรับเงิน บันทึกการเข้าพักโรงแรม ศาลจะพิจารณาหลักฐานทั้งหมดประกอบกันเพื่อตัดสินคดี ไม่ได้พิจารณาเพียงหลักฐานคลิปวิดีโอเพียงอย่างเดียว คดีชู้เป็นคดีที่พิสูจน์ได้ยาก หลักฐานคลิปวิดีโอเป็นเพียงหลักฐานประเภทหนึ่งเท่านั้น ยังมีหลักฐานอื่น ๆ ที่สามารถใช้ฟ้องร้องคดีชู้ได้ การฟ้องคดีชู้ จำเป็นต้องมีทนายความเพื่อช่วยเหลือในการรวบรวมหลักฐาน เขียนคำฟ้อง และนำสืบในศาล ตัวอย่างคดีชู้ที่ศาลตัดสินให้ชดใช้ค่าเสียหายโดยไม่ต้องมีหลักฐานคลิปวิดีโอ: คดีหมายเลขดำ 2445/2562 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นจำนวน 300,000 บาท โดยโจทก์มีหลักฐานเป็นรูปถ่าย ข้อความ และพยานบุคคล คดีหมายเลขดำ 1234/2563 ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นจำนวน 500,000 บาท โดยโจทก์มีหลักฐานเป็นข้อความและพยานบุคคล สรุป: การฟ้องคดีชู้ ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ หลักฐานอื่น ๆ ที่สามารถใช้ฟ้องร้องคดีชู้ได้ เช่น รูปถ่าย ข้อความ พยานบุคคล และหลักฐานอื่น ๆ ศาลจะพิจารณาหลักฐานทั้งหมดประกอบกันเพื่อตัดสินคดี
กฎหมายเยาวชนและครอบครัว พรบ,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9400
Legal
ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ องค์ประกอบความผิด ฐานหมิ่นประมาท ด้านผู้กระทำสื่อสารข้อมูลไปยังบุคคลที่สาม
A. การแสดงพฤติกรรมหรือยืนยันข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นถึงบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเท็จหรือจริง B. การตีความว่าข้อความของศาล จะต้องพิจารณาโดยใช้สามัญสำนึกของวิญญูชนทั่วไป C. การสื่อข้อความ จะต้องเกิดจากเจตนาของผู้กระทำ คือผู้กระทำต้องการสื่อสารให้บุคคลที่สามทราบ D. การกล่าวยืนยันข้อเท็จจริงถึงบุคคลอื่น เท็จหรือจริง
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ C. เพราะว่า เพราะคำที่กล่าวว่า "การสื่อข้อความ จะต้องเกิดจากเจตนาของผู้กระทำ คือผู้กระทำต้องการสื่อสารให้บุคคลที่สามทราบ" ล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ องค์ประกอบความผิด ฐานหมิ่นประมาท ด้านผู้กระทำสื่อสารข้อมูลไปยังบุคคลที่สาม องค์ประกอบความผิด ฐานหมิ่นประมาท ด้านผู้กระทำสื่อสารข้อมูลไปยังบุคคลที่สาม ความผิดฐานหมิ่นประมาท ผู้กระทำจะต้องมีการส่งข้อมูล หรือสื่อสารข้อความ ไปยังบุคคลที่สาม ทั้งนี้ ไม่ว่าจะด้วยการสื่อสารทางใดๆ ก็ตาม เช่น การพูดคุยกันต่อหน้า ,การโทรศัพท์ ,การ video call การส่งข้อความทาง application สื่อสารเช่น LINE facebook messenger การโพสต์ข้อความใน facebook หรือ instagram การติดประกาศในสื่อต่างๆ การลงหนังสือพิมพ์ การให้สัมภาษณ์ การเขียนจดหมายการเขียนอีเมล การส่งโทรเลข รหัสมอส ภาษามือ คำใบ้ กริยาท่าทาง สัญลักษณ์ กล่าวคือ การสื่อข้อมูล จะกระทำอย่างไรก็ได้ ที่ทำให้บุคคลที่สาม สามารถรับทราบและเข้าใจข้อมูลของการของการสื่อสารนั้น ไม่จำกัดว่าจะใช้วิธีใด ภาษาใด ความผิดสำเร็จเมื่อใด ความผิดฐานหมิ่นประมาทจะสำเร็จต่อเมื่อ ข้อความที่ส่งนั้นไปถึงยังบุคคลที่สามแล้ว แต่ถ้าข้อความที่ส่งไปนั้นไม่ถึง หรือไม่ได้รับข้อความ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ก็เป็นได้แต่เพียงการพยายามกระทำความผิดเท่านั้น การสื่อข้อความ จะต้องเกิดจากเจตนาของผู้กระทำ คือผู้กระทำต้องการสื่อสารให้บุคคลที่สามทราบ ไม่ใช่เป็นเพราะบุคคลที่สามเข้ามาทราบโดยบังเอิญ หรือเป็นเรื่องที่บุคคลที่สามแอบสอดเข้ามาทราบข้อความนั้นเอง เช่นนี้ย่อมถือว่าผู้กระทำขาดเจตนาส่งข้อมูล และไม่เป็นความผิด
ประมวลกฎหมายอาญา
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9401
Legal
บุคคลทั่วไปที่ไม่มีใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน สามารถเก็บอาวุธปืนไว้ในรถส่วนตัวได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ห้ามมิให้ผู้ใดมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มาตรา 7 ห้ามมิให้ผู้ใดทํา ซื้อ มี ใช้ สั่ง หรือนําเข้า ซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืน เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ มาตรา 8 ห้ามมิให้ผู้ใดมีเครื่องกระสุนปืนซึ่งมิใช่สําหรับใช้กับอาวุธปืนที่ตนได้รับใบอนุญาต ให้มีและใช้ มาตรา 12 ห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งอาวุธปืน เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืน การเก็บอาวุธปืนไว้ในรถส่วนตัวถือว่าบุคคลนั้น "มี" อาวุธปืนไว้ในครอบครอง คำพิพากษาฎีกาที่ 2456/2557 อธิบายว่า "มี" หมายความว่า มีกรรมสิทธิ์หรือมีไว้ในครอบครอง แต่ไม่หมายความถึงการที่อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดที่มีไว้โดยชอบด้วยกฎหมายและตกอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่น การเก็บอาวุธปืนไว้ในรถส่วนตัว แม้จะไม่ได้พกติดตัว แต่บุคคลนั้นสามารถเข้าถึงและใช้อาวุธปืนได้ การมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 72 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 7 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 73 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 8 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 74 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 12 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มีข้อยกเว้นบางประการที่บุคคลทั่วไปสามารถเก็บอาวุธปืนไว้ในรถส่วนตัวได้ กรณีมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วน เช่น เดินทางไปในพื้นที่อันตราย กรณีได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนเพื่อการป้องกันตัวหรือทรัพย์สิน กรณีเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืน สรุป: บุคคลทั่วไปที่ไม่มีใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ไม่สามารถเก็บอาวุธปืนไว้ในรถส่วนตัวได้ เพราะจะถือว่ามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งมีโทษจำคุกและปรับ หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการสรุปประเด็นสำคัญทางกฎหมาย
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9402
Legal
กรณีสามีและภริยาอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน พบยาเสพติดในบ้าน ภริยาจะอ้างว่าไม่รู้เห็นในการกระทำผิดได้หรือไม่?
(A) ภริยาสามารถอ้างได้เสมอว่าไม่รู้เห็น (B) ภริยาสามารถอ้างได้ แต่ต้องพิสูจน์ว่าตนไม่รู้เห็น (C) ภริยาไม่สามารถอ้างได้ ถือว่ารู้เห็นโดยปริยาย (D) ภริยาไม่สามารถอ้างได้ เว้นแต่มีพยานหลักฐานพิสูจน์
คำตอบคือ (B) ภริยาสามารถอ้างได้ แต่ต้องพิสูจน์ว่าตนไม่รู้เห็น เนื่องจาก เหตุผล: 1. หลักทั่วไป : ภริยาสามารถอ้างได้ว่าไม่รู้เห็นในการกระทำผิดของสามี 2. ภาระการพิสูจน์ : โจทก์มีภาระพิสูจน์โดยปราศจากข้อสงสัยว่าภริยารู้เห็น 3. พฤติการณ์ที่บ่งชี้ : ศาลจะพิจารณาพฤติการณ์ต่างๆ เช่น - จำนวนและปริมาณของยาเสพติด - ตำแหน่งที่พบยา - พฤติการณ์ของภริยา เช่น พยายามหลบหนี ขัดขืน - ประวัติของภริยา เช่น เคยเสพหรือค้ายา - ฐานะของภริยา เช่น มีรายได้จากงานอื่นหรือไม่ คำตอบที่ถูกต้อง: (B) ภริยาสามารถอ้างได้ แต่ต้องพิสูจน์ว่าตนไม่รู้เห็น เหตุผล: ภริยามีสิทธิ์อ้างว่าไม่รู้เห็นตามหลักทั่วไป แต่ภาระพิสูจน์อยู่ที่โจทก์ ศาลจะพิจารณาพฤติการณ์ต่างๆ ประกอบ ข้อควร จำ: 1.แต่ละคดีมีข้อเท็จจริงเฉพาะตัว 2 ผลลัพธ์ของคดีขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและดุลยพินิจของศาล 3. ควรปรึกษาทนายความ เพื่อรับคำแนะนำ
กฎหมายยาเสพติดให้โทษ
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9403
Legal
กรุณาสรุปบทความ ข้อควรรู้ก่อนฟ้องคดีอำนาจปกครองบุตร
ข้อควรรู้ก่อนฟ้องคดีอำนาจปกครองบุตร เรื่องหลักเกณฑ์ที่ศาลใช้พิจารณาว่าบุตรควรอยู่กับใคร ข้อควรรู้ก่อนฟ้องคดีอำนาจปกครองบุตร เรื่องหลักเกณฑ์ที่ศาลใช้พิจารณาว่าบุตรควรอยู่กับใคร ตามธรรมดาแล้วกฎหมายย่อมต้องการให้บุตรอยู่กับทั้งบิดาและมารดา เพราะธรรมดาแล้วบุตรผู้เยาว์ย่อมต้องการทั้งบิดาหรือมารดา แต่หากมีเหตุจำเป็นในชีวิตครอบครัวทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่อาจอยู่กินร่วมกันได้ ก็มีความจำเป็นที่ทั้งสองฝ่ายต้องแบ่งบุตรกันเลี้ยงดู ซึ่งหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถแบ่งกันเลี้ยงดูได้ ก็ต้องให้ศาลตัดสินว่าใครจะเป็นผู้เลี้ยงดู ส่วนหลักการที่ศาลจะใช้พิจารณาว่าจะให้บุตรอยู่กับฝ่ายใดนั้น ศาลจะกำหนดโดยคำนึงถึงสวัสดิภาพ อนาคต และประโยชน์สูงสุดของบุตรผู้เยาว์เป็นสำคัญ ซึ่งศาลข้อพิจารณาในการให้อำนาจปกครองบุตรแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยสังเขป ดังนี้ 1.โดยมากศาลมักจะให้บุตรที่อ่อนวัยอยู่กับมารดา ซึ่งศาลมักถือว่าเพศหญิงมักจะมีความสามารถในการเลี้ยงดูบุตรได้ดีกว่า เช่น ฎ.303/2488 ฎ.4125/2528 ฎ.392/2523 แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่บทบังคับตายตัว หากปรากฏข้อเท็จจริงว่ามารดามีพฤติกรรมที่ไม่สมควร หรือปรากฏข้อเท็จจริงว่าบิดา อยู่ในสถานะที่อาจเลี้ยงดูบุตรได้ดีกว่า ศาลอาจให้บุตรอยู่กับบิดาก็ได้ 2.หากบุตรอยู่ในความดูแลของบิดามารดาฝ่ายใดแล้วควรให้ฝ่ายนั้นดูแลต่อไปตามเดิม โดยศาลมักจะไม่โยกย้ายบุตรไปจากถิ่นที่อยู่ที่บุตรอาศัยอยู่เดิม ยกเว้นว่าจะมีเหตุจำเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้เพราะอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของบุตรผู้เยาว์ เช่น ฎ.3035/2533, 8087/2543 6948/2550 3.หากบิดารมารดาฝ่ายใดมีความประพฤติที่ดี เรียบร้อย เป็นตัวอย่างที่ดีของบุตร ก็ควรจะให้บุตรอยู่กับฝ่ายนั้น ตรงกันข้ามหากบิดามารดาฝ่ายใดมีพฤติการณ์ที่เสื่อมเสีย เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่บุตร ก็ไม่สมควรที่จะให้บุตรอยู่กันฝ่ายนั้น1637/2520 ฎ.5484/2537 4.หากมีบุตรหลายคน ควรจะให้พี่น้องได้อยู่ร่วมกัน ตามธรรมดาศาลจะไม่แยกพี่น้องออกจากกัน เว้นแต่จะมีเหตุพิเศษ (ฎ.9130/2539) 5.ความประสงค์และความรู้สึกของบุตรว่าต้องการจะอยู่กับบิดารหรือมารดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรที่โตพอที่จะมีความรับผิดชอบได้แล้วเช่น ฎ.1454/2545, 116/2547 6.ฐานะ และความสามารถ และสภาพแวดล้อม ในการให้การอุปการะเลี้ยงดู และให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์เช่น, ฎ.1002/2537 ,392/2523 แต่ทั้งนี้ข้อนี้ก็เป็นแค่ส่วนในการพิจารณาประกอบเท่านั้น แม้จะปรากฏว่าบิดาหรือมารดามีฐานะที่ดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี สามารถให้การอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้อย่างดี แต่มีพฤติกรรมที่ไม่สมควร ศาลก็อาจจะไม่ให้อำนาจปกครองบุตรแก่บิดามารดาของฝ่ายนั้นก็ได้ เพราะอย่างไรเสียบิดาหรือมารดานั้นก็มีหน้าที่จะต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรหรือไม่ 7.ความสามารถในการจัดหาที่พักอาศัย อาหารเครื่องนุ่มห่ม และการรักษาพยาบาลให้แก่บุตร เช่น ฎ.4125/2528, ฎ819/2546 8.การรักใคร่เอ็นดูและความรู้สึกผูกพันทางจิตใจระหว่างกัน เช่น ฎ.5890/2537 ทั้งนี้เนื้อหาดังกล่าว อ้างอิงจากคำอธิบายกฎหมายครอบครัว ของ ศ.ดร.ประสพสุข บุญเดช , ชาติชาย อัครวิบูลย์ , ศ.ไพโรจน์ กัมพูศิริ อย่างไรก็ดี จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่เคยได้ทำคดีความเรื่องอำนาจปกครองมาเป็นจำนวนมากพอสมควร ในทางปฏิบัติ คดีประเภทนี้นั้นเมื่อขึ่นสู่ศาลแล้ว พบว่าเกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ คู่ความมักจะตกลงยินยอมกันและทำสัญญาประนีประนอมเรื่องการแบ่งอำนาจปกครองบุตร โดยผลัดกันเลี้ยงดู ตามที่ทั้งสองฝ่ายสะดวกและยินยอม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้เยาว์และบิดามารดามากกว่า ที่จะให้ศาลตัดสินลงไปว่าจะให้บุตรผู้เยาว์อยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว
หากคนเป็นพ่อเป็นแม่มีความจำเป็นที่จะต้องแยกทางและแบ่งบุตรกันเลี้ยงดู แล้วไม่สามารถตกลงกันได้ ก็จำเป็นต้องร้องทุกข์ให้ศาลตัดสินว่าใครจะเป็นผู้เลี้ยงดู โดยหลักการที่ศาลจะใช้พิจารณาในการให้อำนาจปกครองบุตรแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีดังนี้ 1) โดยมากศาลมักให้บุตรที่อ่อนวัยอยู่กับมารดา เนื่องจากถือว่าเพศหญิงมักจะมีความสามารถในการเลี้ยงดูบุตรได้ดีกว่า แต่หากปรากฏข้อเท็จจริงว่ามารดามีพฤติกรรมที่ไม่สมควร หรือปรากฏข้อเท็จจริงว่าบิดาอยู่ในสถานะที่อาจเลี้ยงดูบุตรได้ดีกว่า ศาลอาจให้บุตรอยู่กับบิดาก็ได้ 2) หากบุตรอยู่ในความดูแลของบิดามารดาฝ่ายใดแล้ว ควรให้ฝ่ายนั้นดูแลต่อไปตามเดิม และศาลมักไม่โยกย้ายบุตรไปจากถิ่นที่อยู่ที่บุตรอาศัยอยู่เดิม เพราะอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของบุตรผู้เยาว์ ยกเว้นมีเหตุจำเป็นอย่างอื่น 3) บิดารมารดาฝ่ายใดมีความประพฤติที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีของบุตร ศาลจะให้บุตรอยู่กับฝ่ายนั้น 4) หากมีบุตรหลายคน ควรให้พี่น้องได้อยู่ร่วมกัน ปกติแล้วศาลจะไม่แยกพี่น้องออกจากกัน เว้นแต่จะมีเหตุพิเศษ 5) พิจารณาจากความประสงค์และความรู้สึกของบุตร ว่าต้องการจะอยู่กับบิดาหรือมารดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรที่โตพอที่จะมีความรับผิดชอบได้แล้ว 6) ฐานะ ความสามารถ และสภาพแวดล้อม ในการให้การอุปการะเลี้ยงดู และให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์ ซึ่งจะพิจารณารองจากพฤติกรรม โดยศาลอาจไม่ให้อำนาจปกครองบุตรแก่บิดามารดาฝ่ายที่มีความประพฤติไม่ดีแต่มีฐานะดีก็ได้ เพราะบิดาหรือมารดาย่อมมีหน้าที่ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรหรือไม่ก็ตาม 7) ความสามารถในการจัดหาที่พักอาศัย อาหารเครื่องนุ่มห่ม และการรักษาพยาบาลให้แก่บุตร 8) ความรักใคร่เอ็นดู และความรู้สึกผูกพันทางจิตใจระหว่างกัน และแม้จะมีข้อปฏิบัติดังนี้ แต่ในความเป็นจริง พบว่าคดีประเภทนี้เกินกว่า 90% เปอร์เซ็นต์ คู่ความมักตกลงยินยอมกันและทำสัญญาประนีประนอมเรื่องการแบ่งอำนาจปกครองบุตร โดยผลัดกันเลี้ยงดู ตามที่ทั้งสองฝ่ายสะดวกและยินยอม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายเยาวชนและครอบครัว,คำพิพากษาศาลฎีกา
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9404
Legal
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสามารถตรวจสอบบัญชีเงินฝากในธนาคารของลูกหนี้ เพื่อใช้ตั้งเรื่องยึดทรัพย์ได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: 1. กฎหมาย: ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284 เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิที่จะยึดทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อชำระหนี้ ซึ่งรวมถึงเงินฝากในธนาคาร มาตรา 285 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้เจ้าหนี้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายบังคับคดี ศาลมีอำนาจออกหมายบังคับคดีให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้ 2. หลักการ: สิทธิของเจ้าหนี้ในการบังคับคดีตามคำพิพากษานั้น หมายรวมถึงสิทธิในการสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้ เงินฝากในธนาคารเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ ดังนั้น เจ้าหนี้จึงมีสิทธิที่จะตรวจสอบบัญชีเงินฝากของลูกหนี้ 3. แนวทางปฏิบัติ: เจ้าหนี้ต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายบังคับคดี ศาลมีอำนาจพิจารณาคำร้องและออกหมายบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีจะนำหมายบังคับคดีไปยังธนาคารเพื่อขอตรวจสอบบัญชีเงินฝากของลูกหนี้ ธนาคารมีหน้าที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานบังคับคดี 4. ข้อจำกัด: เจ้าหนี้ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลบัญชีเงินฝากของลูกหนี้ต่อบุคคลอื่นได้ เจ้าหนี้ไม่สามารถนำเงินฝากของลูกหนี้ไปชำระหนี้ได้โดยพลการ ต้องดำเนินการตามกระบวนการบังคับคดีของศาล 5. กรณีพิเศษ: กรณีลูกหนี้มีบัญชีเงินฝากหลายบัญชี เจ้าหนี้สามารถขอตรวจสอบบัญชีเงินฝากทั้งหมดของลูกหนี้ได้ กรณีลูกหนี้มีบัญชีเงินฝากร่วมกับบุคคลอื่น เจ้าหนี้สามารถยึดเงินฝากในบัญชีได้เฉพาะส่วนที่เป็นของลูกหนี้ 6. บทสรุป: เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิที่จะตรวจสอบบัญชีเงินฝากในธนาคารของลูกหนี้ เพื่อใช้ตั้งเรื่องยึดทรัพย์ โดยต้องดำเนินการตามกระบวนการบังคับคดีของศาล
กฎหมายลักษณะหนี้ พรบ,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9406
Legal
ข้อใดไม่ใช่คำถามคำถามต้องห้าม ประเภทถามพยานด้วยคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นในคดี
A. พยานมีสามีหลายคนใช่ไหม B. มีแฟนหรือยัง C. ถามเรื่องครอบครัว D. ถามรสนิยม E. ชอบกินอะไร
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ A. เพราะว่าคำถามที่ถามว่า พยานมีสามีหลายคนใช่ไหม เป็นคำถามต้องห้าม ประเภทห้ามถามคำถามที่เป็นการหมิ่นประมาทพยาน ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นคำถามคำถามต้องห้าม ประเภทถามพยานด้วยคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นในคดี คำถามต้องห้าม ประเภท ถามพยานด้วยคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นในคดี หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๑๘ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ห้ามมิให้ คู่ความ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถามพยาน ด้วย (๑) คำถาม อันไม่เกี่ยวกับ ประเด็นแห่งคดี คำอธิบาย ข้อห้ามเรื่องนี้ เป็นข้อห้ามเด็ดขาด และห้ามทั้งการซักถาม ถามค้าน ถามติง ทั้งนี้ในการถามพยานในศาลของทนายความหรือคู่ความนั้นจะต้องเป็นการถามเพื่อให้เกิดประโยชน์กับรูปคดีของตนเอง เพื่อสนับสนุนคำคู่ความหรือข้อต่อสู้ของตนเองหรือเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาทเท่านั้น ทนายความหรือคู่ความไม่มีสิทธิถามคำถามซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาทของคดี ถามเล่นๆ ถามเพราะอยากรู้ ถามเพื่อเอาใจลูกความ ถามเพราะว่าไม่รู้ว่าจะถามว่าอะไร ฯลฯ ถือว่าเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นแห่งคดี หากถามพยานด้วยคำถามดังกล่าว อาจจะถูกศาลตัดเตือนไม่ให้ใช้คำถาม และพยานก็มีสิทธิที่จะไม่ตอบคำถามได้ หรือหาพยานตอบคำถามแล้วศาลก็อาจจะไม่จดบันทึกคำตอบ ทั้งนี้หากปล่อยให้ทนายความหรือคู่ความถามพยานด้วยคำถามแบบไหนก็ได้ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาท การถามพยานก็คงซักถามกันแบบเรื่อยเปื่อยไม่จบสิ้น และไม่เกิดประโยชน์แก่คดีความแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามประเด็นเรื่องคำถามว่าเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาทนั้น มักจะเป็นปัญหาที่จะเป็นข้อถกเถียงกันอยู่บ่อยครั้ง ระหว่างทนายความทั้งสองฝ่าย และกับศาลที่นั่งพิจารณาคดี เพราะคำถามบางคำถามที่ดูแล้วเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาท หรือห่างไกลจากประเด็นข้อพิพาทไปมากแต่ความจริงแล้วอาจจะมีความสำคัญหรืออาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องถามก็ได้ ดังนั้นแล้วหากเป็นทนายความฝั่งที่ถามพยาน จะต้องพร้อมที่จะอธิบายได้อยู่เสมอว่าคำถามที่ถามพยานไปนั้นเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาทอย่างไร เพื่อที่สามารถชี้แจงได้หากถูกฝ่ายตรงข้ามโต้แย้งคัดค้าน หรือถูกศาลท้วงติง ตัวอย่างคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาท เช่น - มีแฟนหรือยัง - ชอบกินอะไร - ถามรสนิยม - ถามเรื่องครอบครัว - ดินฟ้าอากาศ - ถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับผลแพ้ชนะหรือพิสูจน์ความจริงในคดี ซึ่งสุดท้ายคำถามนั้นจะเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาทหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวคำถามนั้นอย่างเดียว แต่จะต้องอาศัยบริบทภาพรวมโดยคดีมาประกอบกัน
กฎหมายลักษณะพยาน (ทั้งวิแพ่งและวิอาญา),ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9408
Legal
เป็นการกระทำผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดก และเป็นการเบียดบังยักยอกมรดกเป็นของตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352-354 ใช่หรือไม่
null
ใช่ การกระทำผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดก และเป็นการเบียดบังยักยอกมรดกเป็นของตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352-354 อีกด้วย ยังถือว่าเป็นการกระทำผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดก และเป็นการเบียดบังยักยอกมรดกเป็นของตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352-354 อีกด้วย ซึ่งทายาทโดยธรรมที่ได้รับความเสียหาย อาจใช้สิทธิ์ฟ้องร้องดำเนินคดีหรือแจ้งความดำเนินคดีได้ ภายในกำหนดอายุความ 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องการกระทำความผิด ซึ่งทายาทโดยธรรมที่ได้รับความเสียหาย อาจใช้สิทธิ์ฟ้องร้องดำเนินคดีหรือแจ้งความดำเนินคดีได้ ภายในกำหนดอายุความ 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องการกระทำความผิด โดยในวันนี้ผมได้นำตัวอย่างการฟ้องร้องดำเนินคดี มาเผยแพร่ให้ดูครับ โดยในวันนี้ผมได้นำตัวอย่างการฟ้องร้องดำเนินคดี มาเผยแพร่ให้ดูครับ โดยคดีนี้โจทก์และจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน เมื่อมารดาโจทก์และจำเลยเสียชีวิต โจทก์ไว้วางใจให้จำเลย เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว โดยคดีนี้โจทก์และจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน เมื่อมารดาโจทก์และจำเลยเสียชีวิต โจทก์ไว้วางใจให้จำเลย เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว แต่หลังจากนั้นไม่นาน จำเลยกลับไปโอนทรัพย์สินมรดกคือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียว โดยได้แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าโจทก์ซึ่งเป็นทายาทอีกคนหนึ่ง สละสิทธิ์และไม่ประสงค์รับมรดก แต่หลังจากนั้นไม่นาน จำเลยกลับไปโอนทรัพย์สินมรดกคือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียว โดยได้แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าโจทก์ซึ่งเป็นทายาทอีกคนหนึ่ง สละสิทธิ์และไม่ประสงค์รับมรดก แล้วหลังจากนั้นก็ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้กับธนาคาร แล้วหลังจากนั้นก็ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้กับธนาคาร โจทก์มาทราบภายหลัง เมื่อธนาคารมาสำรวจที่ดิน และแจ้งว่าจะดำเนินการฟ้องร้องบังคับคดีเอากับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน โจทก์มาทราบภายหลัง เมื่อธนาคารมาสำรวจที่ดิน และแจ้งว่าจะดำเนินการฟ้องร้องบังคับคดีเอากับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน โจทก์จึงมอบหมายให้ทนายความไปทำการตรวจสอบโฉนดที่ดินที่สำนักงานที่ดิน จึงทราบว่าทรัพย์มรดกได้ถูกโอนและนำไปจำนองต่ออีกทอดหนึ่งแล้ว โจทก์จึงมอบหมายให้ทนายความไปทำการตรวจสอบโฉนดที่ดินที่สำนักงานที่ดิน จึงทราบว่าทรัพย์มรดกได้ถูกโอนและนำไปจำนองต่ออีกทอดหนึ่งแล้ว ในกรณีนี้การฟ้องเพิกถอนการจำนอง เป็นไปได้ยากมาก เพราะธนาคารย่อมถือว่าเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตและเสียค่าตอบแทน รับจำนองไว้โดยสุจริต ในกรณีนี้การฟ้องเพิกถอนการจำนอง เป็นไปได้ยากมาก เพราะธนาคารย่อมถือว่าเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตและเสียค่าตอบแทน รับจำนองไว้โดยสุจริต ผมจึงได้ใช้วิธียื่นฟ้องคดีอาญาข้อหายักยอกทรัพย์มรดก และแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน (ในส่วนที่แจ้งข้อความกับเจ้าพนักงานที่ดินว่าฝ่ายโจทก์ไม่ประสงค์รับมรดก) ผมจึงได้ใช้วิธียื่นฟ้องคดีอาญาข้อหายักยอกทรัพย์มรดก และแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน (ในส่วนที่แจ้งข้อความกับเจ้าพนักงานที่ดินว่าฝ่ายโจทก์ไม่ประสงค์รับมรดก) สุดท้ายเมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง จึงได้เข้ามาไกล่เกลี่ยกับโจทก์โดยการหาเงินมาชำระหนี้จำนองและแบ่งที่ดินให้กับโจทก์ ทำให้คดีสิ้นสุดลง จึงทำให้คดีเสร็จสิ้นไปโดยรวดเร็วครับ สุดท้ายเมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง จึงได้เข้ามาไกล่เกลี่ยกับโจทก์โดยการหาเงินมาชำระหนี้จำนองและแบ่งที่ดินให้กับโจทก์ ทำให้คดีสิ้นสุดลง จึงทำให้คดีเสร็จสิ้นไปโดยรวดเร็วครับ ตัวอย่างคำฟ้อง 1 คำฟ้อง 2 คำฟ้อง 3 คำฟ้อง 4 คำฟ้อง 5 คำฟ้อง 6 คำขอท้ายฟ้อง สรุป สรุป สำหรับข้อสังเกตในการฟ้องร้องดำเนินคดีประเภทนี้ ก็คือ สำหรับข้อสังเกตในการฟ้องร้องดำเนินคดีประเภทนี้ ก็คือ 1.ธรรมดาแล้วมักจะฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญาไปพร้อมกัน โดยในกรณีที่ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์สินเป็นของตนเอง และยังไม่ได้โอนต่อไปให้บุคคลอื่น จะฟ้องเป็นเรื่องการเพิกถอนการทำนิติกรรมควบคู่ไปด้วยเสมอ 1.ธรรมดาแล้วมักจะฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญาไปพร้อมกัน โดยในกรณีที่ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์สินเป็นของตนเอง และยังไม่ได้โอนต่อไปให้บุคคลอื่น จะฟ้องเป็นเรื่องการเพิกถอนการทำนิติกรรมควบคู่ไปด้วยเสมอ 2.แต่หากมีการโอนไปยังบุคคลภายนอก หรือทำการขายฝากหรือจดจำนองไว้กับบุคคลภายนอกแล้ว อาจจะฟ้องเพิกถอนนิติกรรมไม่ได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกกระทำการโดยไม่สุจริต หรือเป็นนิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน 2.แต่หากมีการโอนไปยังบุคคลภายนอก หรือทำการขายฝากหรือจดจำนองไว้กับบุคคลภายนอกแล้ว อาจจะฟ้องเพิกถอนนิติกรรมไม่ได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกกระทำการโดยไม่สุจริต หรือเป็นนิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน 3.การฟ้องร้องดำเนินคดีจะต้องทำภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องการกระทำความผิด ควรจะใช้วิธีแจ้งความหรือฟ้องร้องดำเนินคดีก็แล้วแต่ความสะดวกและรูปคดี 3.การฟ้องร้องดำเนินคดีจะต้องทำภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องการกระทำความผิด ควรจะใช้วิธีแจ้งความหรือฟ้องร้องดำเนินคดีก็แล้วแต่ความสะดวกและรูปคดี 4.นอกจากการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมแล้ว มักจะมีการยื่นคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดกและขอตั้งผู้จัดการมรดกแทนที่เข้าไปด้วย แต่ก็ต้องดูว่ายังเหลือทรัพย์สินมรดกส่วนอื่นที่ยังไม่ได้จัดการหรือไม่ 4.นอกจากการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมแล้ว มักจะมีการยื่นคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดกและขอตั้งผู้จัดการมรดกแทนที่เข้าไปด้วย แต่ก็ต้องดูว่ายังเหลือทรัพย์สินมรดกส่วนอื่นที่ยังไม่ได้จัดการหรือไม่ หากทรัพย์สินมรดกได้ถูกยักย้ายถ่ายเทโอนไปหมดแล้ว การถอนผู้จัดการมรดกก็อาจจะไม่เป็นประโยชน์ เพราะไม่เหลือทรัพย์มรดกให้จัดการแล้ว อาจจะต้องไปเน้นคดีเรื่องการเพิกถอนนิติกรรมและฟ้องขอให้โอนทรัพย์มรดกในฐานะผู้จัดการมรดกมากกว่าครับ 5. กรณีผู้ตายมีทายาทหลายคน การตัดสินใจขตั้งผู้จัดการมรดกร่วมกันสองคนขึ้น ให้แต่ละฝ่ายมีอำนาจตัดสินใจกระทำการต่างๆร่วมกัน ไม่ให้คนใดคนหนึ่งมีอำนาจกระทำการโดยลำพัง ก็เป็นวิธีการที่จะป้องกันปัญหาเช่นนี้ได้เป็นอย่างดีครับ 6. อ่านเพิ่มเติมเรื่องการติดตามทรัพย์มรดกได้ใน 4 วิธีติดตามทรัพย์มรดก เมื่อผู้จัดการมรดกไม่ยอมโอนทรัพย์สินให้กับทายาท
กฎหมายมรดก-พินัยกรรม,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9411
Legal
ผู้ซื้อบ้านจัดสรรมีหน้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: พระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 34 ประกอบกับ แบบสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร (มีสิ่งปลูกสร้าง) ของคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลาง ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า ผู้จัดสรรที่ดิน เป็นผู้มีหน้าที่เสีย ค่าภาษีอากร ในการโอนที่ดินทั้งหมด ข้อ 9.1 ของแบบสัญญาฯ ระบุว่า ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแบ่งแยกโฉนดที่ดิน/หนังสือรับรองการทำประโยชน์ รวมทั้งค่าภาษีอากรในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ผู้จะขายเป็นผู้ออกทั้งสิ้น ข้อ 9.2 ของแบบสัญญาฯ ระบุว่า ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ผู้จะซื้อและผู้จะขายเป็นผู้ออกเท่ากันทั้งสองฝ่าย หมายความว่า ผู้ซื้อมีหน้าที่เสีย ค่าธรรมเนียม ในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ คนละกึ่งหนึ่งเท่านั้น หากสัญญาจะซื้อจะขาย ได้มีการกำหนดเรื่องค่าภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมแตกต่างไปจากที่กฎหมายกำหนด สัญญานั้นไม่มีผลบังคับใช้ ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร มีสิทธิฟ้องร้องเรียกเงินค่าภาษีอากรที่ชำระเกินคืนไปจากผู้จัดสรรที่ดิน โดยอาศัยข้อกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้ ตัวอย่างคดี: -ศาลฎีกาพิพากษา ในคดีหมายเลขแดงที่ 1006/2558 ว่า ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรมีสิทธิฟ้องร้องเรียกเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่จ่ายเกินไปจากผู้จัดสรรที่ดินคืน สรุป: -ผู้ซื้อบ้านจัดสรร ไม่มี หน้าที่เสียค่าภาษีอากรในการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด -ผู้จัดสรรที่ดินมีหน้าที่เสียค่าภาษีอากรในการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด -ผู้ซื้อมีหน้าที่เสียค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ คนละกึ่งหนึ่ง หมายเหตุ: -ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ควรนำไปใช้แทนคำแนะนำทางกฎหมายจากทนายความ -ผู้ซื้อควรศึกษารายละเอียดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรรอย่างละเอียดก่อนเซ็นสัญญา -ผู้ซื้อสามารถปรึกษาทนายความเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของตนตามกฎหมาย
ประมวลกฎหมายที่ดิน,คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9414
Legal
ช่วยสรุปบทความ ฟ้องคดีแพ่ง มีขั้นตอนอย่างไร?
ขั้นตอนแรก รวบรวมพยานหลักฐาน ธรรมดาแล้วคดีแพ่งนั้น เป็นคดีที่ตัดสินแพ้ชนะกันด้วยพยานเอกสารและพยานวัตถุเป็นหลัก พยานบุคคลในคดีแพ่งนั้น จะเป็นพยานที่มีความสำคัญรองลงมาจากพยานวัตถุและพยานเอกสาร ตัวอย่างเช่น คดีกู้ยืมเงิน ก็ตัดสินแพ้ชนะกันที่สัญญากู้ยืมหรือหลักฐานการกู้ยืม ถ้าไม่มีสัญญากู้ยืมหรือหลักฐานการกู้ยืม เอาพยานบุคคลมาสืบยังไงก็แพ้ คดีผิดสัญญา ก็ตัดสินแพ้ชนะกันที่สัญญาและเอกสารประกอบการทำสัญญา การนำสืบเอกสารหลักฐานนอกเหนือสัญญา ย่อมมีน้ำหนักน้อย คดีฟ้องชู้ ตัดสินผลแพ้ชนะ กันที่ทะเบียนสมรสและหลักฐานในการเป็นชู้ ถ้าไม่มีทะเบียนสมรส ยังไงก็ฟ้องไม่ได้ และถ้าไม่มีพยานหลักฐานในการเป็นชู้ ก็ฟ้องไม่ได้ ดังนั้นแล้ว การที่ทนายความจะให้คำปรึกษากับท่าน ในเรื่องของข้อพิพาททางแพ่งต่างๆ ทนายความจะต้องตรวจสอบหลักฐาน ทั้งพยานเอกสารเช่น สัญญา หรือเอกสารหลักฐานต่างๆที่ทำขึ้นระหว่างกันก่อน เช่น ใบส่งของ ใบสั่งซื้อสินค้า ใบวางบิล หรือหลักฐานที่เป็นการพูดคุยโต้ตอบกัน เช่น อีเมลโต้ตอบ หลักฐานการสนทนาผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น facebook หรือ LINE กล้องวงจรปิด หรือคลิปวีดีโอ เป็นต้น เมื่อตรวจสอบเอกสารและหลักฐานดังกล่าวที่เกี่ยวข้องแล้ว ทนายความจึงจะสามารถให้คำปรึกษาในการฟ้องร้องคดีแพ่งได้อย่างถูกต้อง และเป็นประโยชน์กับท่านมากที่สุด เช่น สามารถแนะนำว่าคดีสามารถฟ้องร้องได้หรือไม่ จะมีค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่ ใช้เวลานานแค่ไหน หากท่านพยายามโทรศัพท์เข้ามาพูดคุยปรึกษาคดีแพ่ง โดยที่ไม่มีเอกสารหลักฐานต่างๆเข้ามาให้ทนายความดู เป็นการยากที่ทนายความจะให้คำปรึกษาอย่างถูกต้องและเกิดประโยชน์กับท่านได้ และถ้าทนายความฝืนให้คำปรึกษาไปตามที่ท่านรบเร้าให้ตอบ ก็อาจจะผิดพลาด ซึ่งก็จะเกิดความเสียหายกับทุกฝ่าย ดังนั้นก่อนปรึกษาทนายความ ท่านจึงควรเก็บรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆที่เกี่ยวข้องก่อน และจำไว้ว่าให้เตรียมเอกสารหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องมาทั้งหมดมามอบให้ทนายความ แม้จะเป็นเอกสารเล็กๆน้อยๆ หรือท่านมองว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่ความจริงแล้วเอกสารดังกล่าวอาจจะเป็นพยานหลักฐานสำคัญในแง่ของกฎหมายก็ได้ ท่านจึงควรนำเอกสารหลักฐานทุกอย่างมาให้ทนายความเป็นผู้ทำการตรวจสอบและคัดเลือกครับ อย่าไปตัดเอกสารหลักฐานที่ตนเองคิดว่าไม่เกี่ยวข้องด้วยตนเอง
ขั้นตอนแรกในกระบวนการทำคำขอในคดีแพ่งคือการรวบรวมพยานหลักฐานที่สำคัญ ในคดีแพ่ง, พยานเอกสารและวัตถุมักเป็นหลักการตัดสินนัดสำคัญ พยานบุคคลมักมีความสำคัญน้อยกว่า ตัวอย่างเช่น: ในคดีกู้ยืมเงิน, สัญญากู้ยืมหรือหลักฐานการกู้ยืมมีน้ำหนักสำคัญ หากไม่มีสัญญาหรือหลักฐานการกู้ยืม, พยานบุคคลมีน้ำหนักน้อย ในคดีผิดสัญญา, สัญญาและเอกสารประกอบการทำสัญญามีความสำคัญ การนำเสนอเอกสารหลักฐานนอกเหนือจากสัญญามักมีน้ำหนักน้อย ในคดีฟ้องชู้, ทะเบียนสมรสและเอกสารที่แสดงการเป็นชู้มีความสำคัญ ถ้าไม่มีทะเบียนสมรส, การฟ้องชู้จะไม่ได้รับการพิจารณา และถ้าไม่มีพยานหลักฐานในการเป็นชู้, การฟ้องไม่ได้ ทนายความจะต้องตรวจสอบหลักฐาน, เช่น สัญญา, หลักฐานการโต้ตอบทางออนไลน์, หลักฐานการสนทนา, และวัตถุต่างๆ, เพื่อให้คำปรึกษาที่ถูกต้องในการฟ้องร้องคดีแพ่ง การรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องก่อนปรึกษาทนายความจะเป็นประโยชน์สูงสุด การโทรศัพท์ปรึกษาทนายความโดยไม่มีเอกสารหลักฐานนำมาให้ทนายความตรวจสอบ อาจทำให้คำปรึกษาไม่ถูกต้องและไม่เป็นประโยชน์ ควรเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องมาทั้งหมดก่อนปรึกษา ควรนำเอกสารทุกอย่างมาให้ทนายความตรวจสอบและคัดเลือก อย่าตัดเอกสารที่คิดว่าไม่เกี่ยวข้อง ทนายความสามารถให้คำปรึกษาที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์เมื่อมีข้อมูลอย่างครบถ้วน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9416
Legal
ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับหลักในการชั่งน้ำหนักว่าควรจะรับฟังหรือไม่รับฟังคลิป โดยชั่งน้ำหนักจากพฤติการณ์และความร้ายแรงของความผิดในคดี
ก. หากผู้กระทำความผิดได้รับโทษพอสมควรแก่เหตุแล้ว อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ศาลจะนำมาใช้พิจารณาให้รับฟังพยานหลักฐานได้ ข. การกระทำโดยไม่ชอบดังกล่าว ขอให้เกิดความเสียหายแก่คู่กรณีอย่างร้ายแรง ศาลอาจจะไม่รับฟังพยานหลักฐานได้ ค. เป็นพยานหลักฐานที่มีน้ำหนัก มีคุณค่าเชิงพิสูจน์ ศาลอาจจะรับฟังคลิปเสียงหรือคลิปวิดีโอได้ ง. หากคดีเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ศาลอาจจะไม่รับฟังพยานหลักฐานที่เกิด จากการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำตอบคือ ง. เพราะว่า หลักในการชั่งน้ำหนักว่าควรจะรับฟังหรือไม่รับฟังคลิป โดยชั่งน้ำหนักจากพฤติการณ์และความร้ายแรงของความผิดในคดี หากคดีเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ศาลอาจจะไม่รับฟังพยานหลักฐานที่เกิด จากการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลักในการชั่งน้ำหนักว่าควรจะรับฟังหรือไม่รับฟังคลิปดังกล่าว ศาลจะต้องชั่งน้ำหนักจากปัจจัยดังต่อไปนี้ (๑) คุณค่าในเชิงพิสูจน์ ความสำคัญ และความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานนั้น หากพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานศาลมีความสำคัญจริงๆ ที่จะเอาผิดจำเลยหรือจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยได้ และมีความน่าเชื่อถือสูง ตัวอย่างเช่นคลิปเสียงหรือคลิปวีดีโอดังกล่าว แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด เพราะมีคนอื่นเป็นคนกระทำความผิด หรือคลิปเสียงหรือคลิปวีดีโอดังกล่าวแสดงได้อย่างชัดเจนว่าจำเลยกระทำความผิด เพราะมีคลิปเหตุการณ์ขณะจำเลยกระทำความผิดเห็นหน้าของจำเลยชัดเจน เช่นนี้ ย่อมถือว่าพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานที่มีน้ำหนัก มีคุณค่าเชิงพิสูจน์ ศาลก็อาจจะรับฟังคลิปเสียงหรือคลิปวิดีโอดังกล่าวก็ได้ (๒) พฤติการณ์และความร้ายแรงของความผิดในคดี หากคดีดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเป็นความผิดต่อส่วนตัวไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงหรือเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป เช่นนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ศาลอาจจะไม่รับฟังพยานหลักฐานที่เกิดจากการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว ในทำนองกลับกันหากคดีดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรง มีพฤติกรรมโหดร้ายป่าเถื่อน เป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป เช่นนี้อากาศจะเป็นส่วนหนึ่งที่ศาลจะใช้วิเคราะห์ชั่งน้ำหนักในการที่ควรจะรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าว (๓) ลักษณะและความเสียหายที่เกิดจากการกระทำโดยมิชอบ หากการแอบอัดหรือแอบถ่ายคลิปดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายกับคู่กรณีอย่างร้ายแรงได้รับความอับอาย ความเสื่อมเสีย เช่นนี้ถือว่าการกระทำโดยไม่ชอบดังกล่าวขอให้เกิดความเสียหายแก่คู่กรณีอย่างร้ายแรงศาลก็อาจจะไม่รับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ แต่หากการแอบตัดหรือแอบถ่ายคลิปดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆกับคู่กรณีเลย เช่นนี้ศาลก็อาจจะใช้เป็นส่วนหนึ่งที่จะรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าว (๔) ผู้ที่กระทำการโดยมิชอบอันเป็นเหตุให้ได้พยานหลักฐานมานั้นได้รับการลงโทษหรือไม่เพียงใด หากการแอบอัดหรือถ่ายคลิปวีดีโอดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อกฎหมายเช่นเป็นความผิดฐานบุกรุก เป็นการลักลอบดักฟังคลื่นสัญญาณโทรศัพท์อันผิดกฎหมาย ก็ต้องดูว่าผู้กระทำความผิดได้รับโทษไปแล้วหรือยัง หากผู้กระทำความผิดได้รับโทษพอสมควรแก่เหตุแล้วก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ศาลจะนำมาใช้พิจารณาให้รับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ แต่หากผู้กระทำความผิดไม่ได้รับโทษเลย เช่นนี้ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ศาลอาจจะไม่มาฟังพยานหลักฐานดังกล่าว
กฎหมายลักษณะพยาน (ทั้งวิแพ่งและวิอาญา)
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9420
Legal
กรณีใดต่อไปนี้ บุคคลนั้นมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์?
(A) จำเลยเช่าเรือจากโจทก์ แต่ถึงเวลาแล้วไม่คืนเรือ อ้างว่าโจทก์ขายเรือให้จำเลยแล้ว (B) จำเลยรับจ้างเลี่ยมพระจากโจทก์ แต่ทำพระเสียหาย จำเลยจึงยึดตลับพระทองคำไว้เพื่อหักหนี้ค่าเลี่ยมพระ (C) จำเลยนำเงินของบริษัทไปใช้ส่วนตัว แต่ต่อมาสัญญาจะนำเงินมาคืน (D) จำเลยนำทรัพย์สินของผู้อื่นไปจำนำ แต่มีเจตนาจะไถ่ถอนคืน
คำตอบได้แก่ (D) จำเลยนำทรัพย์สินของผู้อื่นไปจำนำ แต่มีเจตนาจะไถ่ถอนคืน เนื่องจาก เหตุผล: (A) จำเลยเช่าเรือจากโจทก์ แต่ถึงเวลาแล้วไม่คืนเรือ อ้างว่าโจทก์ขายเรือให้จำเลยแล้ว กรณีนี้เป็นเพียงการโต้แย้งกันในทางแพ่ง ไม่ได้แสดงเจตนาเบียดบังทรัพย์ จำเลยอาจมีหลักฐานแสดงว่าโจทก์ขายเรือให้จริง ศาลฎีกาเคยตัดสินว่า การต่อสู้ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นของตนเอง หากต่อสู้โดยสุจริต ย่อมเป็นเพียงเรื่องทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 886-887/2470) (B) จำเลยรับจ้างเลี่ยมพระจากโจทก์ แต่ทำพระเสียหาย จำเลยจึงยึดตลับพระทองคำไว้เพื่อหักหนี้ค่าเลี่ยมพระ กรณีนี้จำเลยอาจมีเจตนาเพียงยึดหน่วงตลับพระทองคำไว้เพื่อเจรจาต่อรองกันใหม่เกี่ยวกับค่าเสียหาย ยังไม่มีหลักฐานว่าจำเลยมีเจตนาเบียดบังตลับพระทองคำเป็นของตนเอง ศาลฎีกาเคยตัดสินว่า การยึดหน่วงทรัพย์สินไว้เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 253/2488) (C) จำเลยนำเงินของบริษัทไปใช้ส่วนตัว แต่ต่อมาสัญญาจะนำเงินมาคืน กรณีนี้จำเลยมีเจตนาเบียดบังเงินของบริษัทไปใช้ส่วนตัว แม้จะสัญญาจะนำเงินมาคืน แต่ไม่ได้แสดงถึงเจตนาที่จะคืนเงินในทันที ศาลฎีกาเคยตัดสินว่า การนำเงินของผู้อื่นไปใช้ส่วนตัว แม้จะสัญญาจะนำเงินมาคืน ก็เป็นความผิดฐานยักยอก (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/ 2516 , 233/2504) (D) จำเลยนำทรัพย์สินของผู้อื่นไปจำนำ แต่มีเจตนาจะไถ่ถอนคืน กรณีนี้จำเลยมีเจตนาเบียดบังทรัพย์สิน การนำทรัพย์สินไปจำนำ แสดงถึงเจตนาที่จะเอาทรัพย์สินไปเป็นของตนเอง ศาลฎีกาเคยตัดสินว่า การนำทรัพย์สินของผู้อื่นไปจำนำ โดยไม่มีเจตนาจะไถ่ถอนคืน เป็นความผิดฐานยักยอก (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1125/2507, 1165/2468) ข้อที่ถูกต้อง: (C) จำเลยนำเงินของบริษัทไปใช้ส่วนตัว แต่ต่อมาสัญญาจะนำเงินมาคืน เหตุผล: จำเลยมีเจตนาเบียดบังเงินของบริษัทไปใช้ส่วนตัว แม้จะสัญญาจะนำเงินมาคืน แต่ไม่ได้แสดงถึงเจตนาที่จะคืนเงินในทันที ศาลฎีกาเคยตัดสินว่า การนำเงินของผู้อื่นไปใช้ส่วนตัว แม้จะสัญญาจะนำเงินมาคืน ก็เป็นความผิดฐานยักยอก
ประมวลกฎหมายอาญา,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ (ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง)
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9421
Legal
เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่จัดให้มีการชี้ตัวผู้ต้องหาหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 122 วรรคสอง: บัญญัติว่า "พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดให้พยานชี้รูปผู้ต้องหาหรือชี้ตัวผู้ต้องหาได้" ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วย การจัดให้ชี้รูปและชี้ตัวผู้ต้องหา พ.ศ. 2547: กำหนดแนวทางการจัดให้มีการชี้รูปและชี้ตัวผู้ต้องหาไว้โดยละเอียด ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหตุผลเพิ่มเติม: การชี้ตัวผู้ต้องหาเป็นวิธีการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลที่สำคัญ ช่วยให้พยานสามารถจำลองภาพเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุได้ เป็นการยืนยันตัวบุคคลผู้ต้องหา ช่วยให้คดีมีความน่าเชื่อถือ การไม่จัดให้มีการชี้ตัวผู้ต้องหา อาจส่งผลต่อความถูกต้องของกระบวนการยุติธรรม ตัวอย่าง: ในคดีพยายามฆ่าที่ทนายความเล่าไว้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้จัดให้มีการชี้ตัวผู้ต้องหา แม้จะมีโอกาสทำได้ เป็นการละเลยหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 122 วรรคสอง และระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วย การจัดให้ชี้รูปและชี้ตัวผู้ต้องหา พ.ศ. 2547 ข้อควรระวัง: การชี้ตัวผู้ต้องหาจะต้องดำเนินการตามระเบียบที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องไม่ชี้นำพยาน พยานจะต้องสามารถชี้ตัวผู้ต้องหาได้โดยไม่มีการบังคับ สรุป: เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่จัดให้มีการชี้ตัวผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 122 วรรคสอง และระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วย การจัดให้ชี้รูปและชี้ตัวผู้ต้องหา พ.ศ. 2547 การละเลยหน้าที่นี้อาจส่งผลต่อความถูกต้องของกระบวนการยุติธรรม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9422
Legal
ช่วยสรุปเรื่อง "รวม 12 เทคนิคการถามค้าน" ให้หน่อยค่ะ
รวม 12 เทคนิคการถามค้าน ที่ทนายความต้องรู้ รวม 12 เทคนิคการถามค้าน ที่ทนายความต้องรู้ รวม 12 เทคนิคการถามค้าน ที่ทนายความต้องรู้ ผมได้รวบรวมเทคนิคการถามค้านเบื้องต้น ทั้งจากประสบการณ์ในการทำงานของผมเอง และจากในตำราที่น่าสนใจหลายเล่มมาสรุปได้ดังนี้ ผมได้รวบรวมเทคนิคการถามค้านเบื้องต้น ทั้งจากประสบการณ์ในการทำงานของผมเอง และจากในตำราที่น่าสนใจหลายเล่มมาสรุปได้ ดังนี้ 1.คิดคำถามค้าน โดยเริ่มจากการคิดคำตอบที่อยากได้ หมายความว่าในการคิดคำถามค้านหรือการตั้งคำถามค้านนั้น เราจะต้องคิดก่อนว่า เราต้องการให้พยานตอบคำถามเราว่าอย่างไร หมายความว่าในการคิดคำถามค้านหรือการตั้งคำถามค้านนั้น เราจะต้องคิดก่อนว่า เราต้องการให้พยานตอบคำถามเราว่าอย่างไร แล้วเราค่อยคิดคำถามป้อนถามพยานเพื่อให้ตอบให้ได้ใกล้เคียงกับคำตอบที่เราต้องการ แล้วเราค่อยคิดคำถามป้อนถามพยานเพื่อให้ตอบให้ได้ใกล้เคียงกับคำตอบที่เราต้องการ การคิดคำตอบที่ต้องการให้พยายามตอบก่อนตั้งคำถามเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้เราตั้งคำถามได้อย่างถูกต้อง มีวัตถุประสงค์ในการถาม การคิดคำตอบที่ต้องการให้พยายามตอบก่อนตั้งคำถามเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้เราตั้งคำถามได้อย่างถูกต้อง มีวัตถุประสงค์ในการถาม ตัวอย่างเช่น คดีผิดสัญญากู้ เราต้องการให้พยานตอบว่า พยานไม่อยู่และไม่รู้เห็นในขณะทำสัญญากู้ เราก็ต้องตั้งคำถามว่า ตัวอย่างเช่น คดีผิดสัญญากู้ เราต้องการให้พยานตอบว่า พยานไม่อยู่และไม่รู้เห็นในขณะทำสัญญากู้ เราก็ต้องตั้งคำถามว่า ตัวอย่างเช่น คดีผิดสัญญากู้ เราต้องการให้พยานตอบว่า พยานไม่อยู่และไม่รู้เห็นในขณะทำสัญญากู้ เราก็ต้องตั้งคำถามว่า พยานทำงานอยู่ที่บริษัท เอกชนที่ชื่อว่า ….ใช่หรือไม่ วันเกิดเหตุเป็นวันทำงานตามปกติใช่หรือไม่ วันนั้นพยานก็ไปทำงานไม่ได้ลางานนะครับ ที่ทำงานของพยานไปจนถึงสถานที่ที่ทำสัญญาใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนะครับ วันทำสัญญาพยานก็ทำงานอยู่ใช่ไหมครับ สรุปแล้วตอนขณะทำสัญญาและส่งมอบเงินกู้พยานก็ไม่ได้อยู่พยานมาเซ็นหลังเลิกงานใช่หรือไม่ จะเห็นได้ว่าการที่เราตั้งเป้าประสงค์มาตั้งแต่แรกว่าเราต้องการให้พยานตอบว่าอย่างไร จะทำให้เรารู้ว่าควรจะตั้งคำถามแบบไหนและอย่างไร จะเห็นได้ว่าการที่เราตั้งเป้าประสงค์มาตั้งแต่แรกว่าเราต้องการให้พยานตอบว่าอย่างไร จะทำให้เรารู้ว่าควรจะตั้งคำถามแบบไหนและอย่างไร ดังนั้นจำไว้ว่า ในการคิดคำถามค้าน จะต้องคิดถึงคำตอบที่อยากให้พยายามตอบก่อนการตั้งคำถาม หลักง่ายๆมีอยู่ว่า “คำตอบจะต้องมาก่อนคำถาม ไม่ใช่ถามไปโดยไม่รู้ว่าอยากได้คำตอบอย่างไร “ ดังนั้นจำไว้ว่า ในการคิดคำถามค้าน จะต้องคิดถึงคำตอบที่อยากให้พยายามตอบก่อนการตั้งคำถาม หลักง่ายๆมีอยู่ว่า “คำตอบจะต้องมาก่อนคำถาม ไม่ใช่ถามไปโดยไม่รู้ว่าอยากได้คำตอบอย่างไร “ 2.ถามจากเหตุไปหาผล ใช้คำถามที่ห่างประเด็นก่อนไม่ให้พยานรู้ตัว การถามค้านเพื่อทำลายน้ำหนักของพยาน หรือเพื่อให้พยานเบิกความในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับเรานั้น ด้วยความที่พยานที่เราถามค้านเป็นพยานของฝ่ายตรงข้าม เขาก็มักจะคิดแต่จะเบิกความในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตรงข้าม การถามค้านเพื่อทำลายน้ำหนักของพยาน หรือเพื่อให้พยานเบิกความในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับเรานั้น ด้วยความที่พยานที่เราถามค้านเป็นพยานของฝ่ายตรงข้าม เขาก็มักจะคิดแต่จะเบิกความในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตรงข้าม หากเขารู้ว่าคำตอบที่เขาจะตอบ จะเป็นประโยชน์กับฝ่ายเรา พยานส่วนใหญ่ก็จะพยายามหาวิธีการหลีกเลี่ยง เบิกความไปในทำนองอื่น เพื่อไม่ให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายเรา หากเขารู้ว่าคำตอบที่เขาจะตอบ จะเป็นประโยชน์กับฝ่ายเรา พยานส่วนใหญ่ก็จะพยายามหาวิธีการหลีกเลี่ยง เบิกความไปในทำนองอื่น เพื่อไม่ให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายเรา ดังนั้นในการถามค้าน ให้พยานยอมเบิกความในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับเรา ทนายความที่มีประสบการณ์ จะรู้ว่าเราจะไม่ใช้คำถามตรงๆก่อน เราจะต้องใช้วิธีถามค้านจากเหตุไปหาผล ใช้คำถามที่ห่างประเด็นก่อน ดังนั้นในการถามค้าน ให้พยานยอมเบิกความในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับเรา ทนายความที่มีประสบการณ์ จะรู้ว่าเราจะไม่ใช้คำถามตรงๆก่อน เราจะต้องใช้วิธีถามค้านจากเหตุไปหาผล ใช้คำถามที่ห่างประเด็นก่อน เมื่อเราใช้คำถามที่ห่างประเด็น พยานจะยังไม่รู้ว่าจะมีผลดีผลเสียกับรูปคดีอย่างไร ดังนั้นพยานส่วนใหญ่ก็จึงมักจะตอบไปตามความเป็นจริง เมื่อเราใช้คำถามที่ห่างประเด็น พยานจะยังไม่รู้ว่าจะมีผลดีผลเสียกับรูปคดีอย่างไร ดังนั้นพยานส่วนใหญ่ก็จึงมักจะตอบไปตามความเป็นจริง นอกจากนี้หากเรามีข้อเท็จจริงใด ที่พยายามจะต้องเบิกความยอมรับโดยไม่อาจปฏิเสธได้อยู่แล้ว เช่นข้อเท็จจริงที่พยานเคยยอมรับไว้ในเรื่องอื่น ข้อเท็จจริงที่มีเอกสารหลักฐานของราชการยืนยันชัดเจน ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับเอกสารหลักฐานที่พยานเป็นคนทำขึ้นเอง เราก็ควรถามค้านให้พยานเบิกความรับรองก่อน นอกจากนี้หากเรามีข้อเท็จจริงใด ที่พยายามจะต้องเบิกความยอมรับโดยไม่อาจปฏิเสธได้อยู่แล้ว เช่นข้อเท็จจริงที่พยานเคยยอมรับไว้ในเรื่องอื่น ข้อเท็จจริงที่มีเอกสารหลักฐานของราชการยืนยันชัดเจน ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับเอกสารหลักฐานที่พยานเป็นคนทำขึ้นเอง เราก็ควรถามค้านให้พยานเบิกความรับรองก่อน เมื่อพยานเบิกความยอมรับในเรื่องที่ห่างจากประเด็น หรือเบิกความรับข้อเท็จจริงในเรื่องอื่นที่ไม่อาจปฏิเสธได้ หลายๆอย่างรวมกันหลายคำตอบแล้ว คำตอบดังกล่าวของพยานจะเป็นการผูกมัดพยานให้ตอบคำถามค้าน ในประเด็นข้อสำคัญในคดีตามที่เราต้องการ ไม่สามารถตอบเป็นอย่างอื่นได้ เมื่อพยานเบิกความยอมรับในเรื่องที่ห่างจากประเด็น หรือเบิกความรับข้อเท็จจริงในเรื่องอื่นที่ไม่อาจปฏิเสธได้ หลายๆอย่างรวมกันหลายคำตอบแล้ว คำตอบดังกล่าวของพยานจะเป็นการผูกมัดพยานให้ตอบคำถามค้าน ในประเด็นข้อสำคัญในคดีตามที่เราต้องการ ไม่สามารถตอบเป็นอย่างอื่นได้ หรือหากพยานตอบคำถามค้าน เป็นอย่างอื่น ซึ่งขัดกับเหตุผลหรือคำตอบที่ตนเองตอบมาก่อนหน้านี้ ก็จะทำให้คำตอบของพยานไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ หรือหากพยานตอบคำถามค้าน เป็นอย่างอื่น ซึ่งขัดกับเหตุผลหรือคำตอบที่ตนเองตอบมาก่อนหน้านี้ ก็จะทำให้คำตอบของพยานไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเช่น เราเป็นทนายความจำเลย ต้องการค้านให้พยานโจทก์ตอบคำถามว่า วันเกิดเหตุพบเห็นจำเลยแปบเดียว จึงน่าจะไม่มีโอกาสจดจำตัวจำเลยได้ ตัวอย่างเช่น เราเป็นทนายความจำเลย ต้องการค้านให้พยานโจทก์ตอบคำถามว่า วันเกิดเหตุพบเห็นจำเลยแปบเดียว จึงน่าจะไม่มีโอกาสจดจำตัวจำเลยได้ ตัวอย่างเช่น เราเป็นทนายความจำเลย ต้องการค้านให้พยานโจทก์ตอบคำถามว่า วันเกิดเหตุพบเห็นจำเลยแปบเดียว จึงน่าจะไม่มีโอกาสจดจำตัวจำเลยได้ หากอยู่ๆเราไปตั้งคำถามตรงๆเลยว่า วันเกิดเหตุพยานเห็นจำเลยแป๊บเดียวจำเลยไม่ถนัดใช่หรือไม่ พยานก็อาจจะตอบคำถามว่า มีเวลาเห็นเป็นเวลานานเพียงพอทำให้จดจำได้ หากอยู่ๆเราไปตั้งคำถามตรงๆเลยว่า วันเกิดเหตุพยานเห็นจำเลยแป๊บเดียวจำเลยไม่ถนัดใช่หรือไม่ พยานก็อาจจะตอบคำถามว่า มีเวลาเห็นเป็นเวลานานเพียงพอทำให้จดจำได้ แต่หากเราถามด้วยการใช้เหตุไปหาผลดังต่อไปนี้ เช่น แต่หากเราถามด้วยการใช้เหตุไปหาผลดังต่อไปนี้ เช่น ก่อนเริ่มเกิดเหตุพยานนั่งเล่นมือถืออยู ใช่หรือไม่ ขณะเหตุเริ่มไปแล้วพยานก็ยังเล่นเกมส์อยู่ ใช่หรือไม่ พยานมาเห็นจำเลยเมื่อมีคนตะโกนเสียงดังใช่หรือไม่ พยานหันไปเห็นจำเลยแว๊บเดียวแล้วก็รีบวิ่งหลบหนีใช่หรือไม่ รวมระยะเวลาแล้วพยานเห็นจำเลยแค่แป๊บเดียวประมาณ 1-2 วินาทีนะครับ จะเห็นได้ว่าเป็นการถามค้านจากเหตุไปหาผลให้พยานยอมรับในข้อสุดท้ายว่าพยานเห็นจำเลยแค่แป๊บเดียว ซึ่งจะเป็นประโยชน์กว่าการถามพยานตรงๆตั้งแต่ทีแรกว่าเห็นจำเลยแค่แป๊บเดียวใช่หรือไม่ จะเห็นได้ว่าเป็นการถามค้านจากเหตุไปหาผลให้พยานยอมรับในข้อสุดท้ายว่าพยานเห็นจำเลยแค่แป๊บเดียว ซึ่งจะเป็นประโยชน์กว่าการถามพยานตรงๆตั้งแต่ทีแรกว่าเห็นจำเลยแค่แป๊บเดียวใช่หรือไม่ หรือสุดท้ายถึงพยานจะเบิกความตอบว่าเห็นจำเลยเป็นเวลานานก็ไม่น่าเชื่อถือแล้วเพราะจากเหตุการณ์ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าพยานน่าจะเห็นจำเลยแค่แป๊บเดียว หรือสุดท้ายถึงพยานจะเบิกความตอบว่าเห็นจำเลยเป็นเวลานานก็ไม่น่าเชื่อถือแล้วเพราะจากเหตุการณ์ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าพยานน่าจะเห็นจำเลยแค่แป๊บเดียว เทคนิคนี้เป็นเทคนิคสุดคลาสสิค ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างหลากหลาย และเป็นเทคนิคพื้นฐานในการถามค้านที่ทนายความจะต้องรู้ครับ เทคนิคนี้เป็นเทคนิคสุดคลาสสิค ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างหลากหลาย และเป็นเทคนิคพื้นฐานในการถามค้านที่ทนายความจะต้องรู้ครับ 3.ใช้คำถามนำเป็นหลัก เนื่องจากพยานที่เราถามค้านนั้น จะเป็นพยานของฝ่ายตรงข้าม หากเราถามเป็นคำถามปลายเปิดให้พยานอธิบาย พยานก็มักจะอธิบายข้อความที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตัวเอง เนื่องจากพยานที่เราถามค้านนั้น จะเป็นพยานของฝ่ายตรงข้าม หากเราถามเป็นคำถามปลายเปิดให้พยานอธิบาย พยานก็มักจะอธิบายข้อความที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตัวเอง ดังนั้นการถามค้านจึงนิยมใช้คำถามนำ หรือคำถามที่ให้เลือกตอบ โดยจะต้องใช้คำถามให้สั้นกระชับได้ใจความ และไม่ปล่อยให้พยานอธิบายข้อเท็จจริงตามความพอใจของพยาน เช่น ดังนั้นการถามค้านจึงนิยมใช้คำถามนำ หรือคำถามที่ให้เลือกตอบ โดยจะต้องใช้คำถามให้สั้นกระชับได้ใจความ และไม่ปล่อยให้พยานอธิบายข้อเท็จจริงตามความพอใจของพยาน เช่น ใช่/ไม่ใช่ ถูกต้อง-ไม่ถูกต้อง จริง-ไม่จริง เพื่อผูกมัดไม่ให้พยานตอบคำถามเป็นอย่างอื่นได้ เพื่อผูกมัดไม่ให้พยานตอบคำถามเป็นอย่างอื่นได้ ตัวอย่างเช่น ตัวอย่างเช่น ตัวอย่างเช่น พยานไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบลายมือชื่อใช่หรือไม่ พยานสายตาสั้นกว่าคนปกติใช่หรือไม่ วันเกิดเหตุพยานเห็นจำเลยแป๊บเดียวใช่หรือไม่ พยานไม่เคยเห็นจำเลยมาก่อนใช่หรือไม่ พยานอ่านข้อความในเอกสารก่อนเซ็นชื่อใช่หรือไม่ พยายามเข้าใจข้อความในเอกสารก่อนเซ็นชื่อใช่หรือไม่ พยานเป็นผู้จัดทำเอกสารดังกล่าวใช่หรือไม พยานเคยเห็นคลิปวีดีโอดังกล่าวใช่หรือไม่ พยานอยู่ในคลิปวีดีโอดังกล่าวด้วยใช่หรือไม่ ทั้งนี้ในเวลาที่ท่านถามนำ แล้วเจอพยานตอบไม่ตรงคำถาม เช่น ในคดีปลอมเอกสารเราถามค้านพยานที่ยืนยันว่าเอกสารเป็นเอกสารปลอม ทั้งนี้ในเวลาที่ท่านถามนำ แล้วเจอพยานตอบไม่ตรงคำถาม เช่น ในคดีปลอมเอกสารเราถามค้านพยานที่ยืนยันว่าเอกสารเป็นเอกสารปลอม ทั้งนี้ในเวลาที่ท่านถามนำ แล้วเจอพยานตอบไม่ตรงคำถาม เช่น ในคดีปลอมเอกสารเราถามค้านพยานที่ยืนยันว่าเอกสารเป็นเอกสารปลอม เราถามว่า “ พยานไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบลายมือชื่อใช่หรือไม่ “ เราถามว่า “ พยานไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบลายมือชื่อใช่หรือไม่ “ พยานตอบว่า “แต่ลายมือชื่อในคดีนี้ดูแล้วมันปลอมมันไม่เหมือนแน่ๆ” พยานตอบว่า “แต่ลายมือชื่อในคดีนี้ดูแล้วมันปลอมมันไม่เหมือนแน่ๆ” หรือตอบว่า “ผมคุ้นเคยกับลายมือชื่อนี้ ผมบอกได้ยืนยันได้ว่าปลอม” หรือตอบว่า “ผมคุ้นเคยกับลายมือชื่อนี้ ผมบอกได้ยืนยันได้ว่าปลอม” เช่นนี้เขาเรียกว่าการตอบไม่ตรงคำถาม เราจะต้องบอกพยานอย่างสุภาพว่า พยานช่วยตอบคำถามที่ผมถามด้วยครับ /ค่ะ เช่นนี้เขาเรียกว่าการตอบไม่ตรงคำถาม เราจะต้องบอกพยานอย่างสุภาพว่า พยานช่วยตอบคำถามที่ผมถามด้วยครับ /ค่ะ หากพยานยังไม่ยอมตอบตอบบ่ายเบี่ยงไปอีกเราก็ต้องขอให้ศาลสั่งให้พยานตอบให้ตรงคำถาม ซึ่งเท่าที่ผมทำมาการที่เราต้องแย้งด้วยความสุภาพเช่นนี้ศาลก็มักจะสั่งบังคับให้พยานตอบให้ตรงคำถามเสมอ หากพยานยังไม่ยอมตอบตอบบ่ายเบี่ยงไปอีกเราก็ต้องขอให้ศาลสั่งให้พยานตอบให้ตรงคำถาม ซึ่งเท่าที่ผมทำมาการที่เราต้องแย้งด้วยความสุภาพเช่นนี้ศาลก็มักจะสั่งบังคับให้พยานตอบให้ตรงคำถามเสมอ หากเราปล่อยให้พยานตอบไม่ตรงคำถามไปเรื่อยๆ นอกจากจะไม่ได้เกิดประโยชน์จากการถามค้านแล้วยังจะทำให้การถามค้านเสียเวลายืดยาวไปโดยใช่เหตุ หากเราปล่อยให้พยานตอบไม่ตรงคำถามไปเรื่อยๆ นอกจากจะไม่ได้เกิดประโยชน์จากการถามค้านแล้วยังจะทำให้การถามค้านเสียเวลายืดยาวไปโดยใช่เหตุ ทั้งนี้ไม่ใช่หลักเกณฑ์ตายตัวว่าการถามค้านจะต้องใช้คำถามนำตลอดไป เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้ว การถามค้านการใช้คำถามนำ จะเป็นประโยชน์มากกว่า กระชับกว่า ได้คำตอบที่ต้องการได้ง่ายกว่า ทั้งนี้ไม่ใช่หลักเกณฑ์ตายตัวว่าการถามค้านจะต้องใช้คำถามนำตลอดไป เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้ว การถามค้านการใช้คำถามนำ จะเป็นประโยชน์มากกว่า กระชับกว่า ได้คำตอบที่ต้องการได้ง่ายกว่า แต่หากมีเหตุผลพิเศษที่ต้องการถามเพื่อให้พยานอธิบายในเรื่องรายละเอียดอื่นๆ อันอาจจะเกิดประโยชน์แก่ฝ่ายเรา เช่นต้องการถามค้านให้พยานอธิบายรายละเอียดในเรื่องที่พยานอาจจะรู้ไม่จริง เพื่อจับเท็จพยานก็สามารถถามได้ หรือต้องการให้พยานอธิบายถึงข้อเท็จจริงที่จะเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายเราแต่เพียงอย่างเดียวก็สามารถใช้คำถามปลายเปิดให้พยานอธิบายได้ แต่หากมีเหตุผลพิเศษที่ต้องการถามเพื่อให้พยานอธิบายในเรื่องรายละเอียดอื่นๆ อันอาจจะเกิดประโยชน์แก่ฝ่ายเรา เช่นต้องการถามค้านให้พยานอธิบายรายละเอียดในเรื่องที่พยานอาจจะรู้ไม่จริง เพื่อจับเท็จพยานก็สามารถถามได้ หรือต้องการให้พยานอธิบายถึงข้อเท็จจริงที่จะเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายเราแต่เพียงอย่างเดียวก็สามารถใช้คำถามปลายเปิดให้พยานอธิบายได้ ดังนั้นจำหลักไว้ว่า โดยหลักแล้วควรต้องใช้คำถามนำ จะได้ประโยชน์มากกว่า แต่ไม่ใช่หลักตายตัวหรือเด็ดขาดหามีเหตุผลพิเศษก็สามารถใช้คำถามปลายเปิดได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นจำหลักไว้ว่า โดยหลักแล้วควรต้องใช้คำถามนำ จะได้ประโยชน์มากกว่า แต่ไม่ใช่หลักตายตัวหรือเด็ดขาดหามีเหตุผลพิเศษก็สามารถใช้คำถามปลายเปิดได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามท่านอาจารย์มารุต บุนนาค เคยสอนไว้ว่าในการถามค้าน ไม่ควรจะใช้คำถามว่า “ทำไม” เพราะคำถามว่าทำไม เป็นคำถามปลายเปิดประเภทให้พยานอธิบายเหตุผลเข้าข้างตนเอง อย่างไรก็ตามท่านอาจารย์มารุต บุนนาค เคยสอนไว้ว่าในการถามค้าน ไม่ควรจะใช้คำถามว่า “ทำไม” เพราะคำถามว่าทำไม เป็นคำถามปลายเปิดประเภทให้พยานอธิบายเหตุผลเข้าข้างตนเอง ตัวอย่างเช่น ตัวอย่างเช่น ตัวอย่างเช่น คดีพยายามฆ่าเราเป็นทนายความจำเลย ถามพยานฝั่งโจทก์ จนกระทั่งข้อเท็จจริง ฟังได้ว่าพยานไม่น่าจะจดจำตัวจำเลยได้จริง และเราไปถามเพิ่มเติมว่า พยานเห็นหน้าจำเลยแป๊บเดียว ทั้งจำเลยก็ใส่หมวกแก๊ปใส่แว่นตาดำ ทำไมถึงจำเลยได้ พยานก็จะตอบว่า ผมรู้จักจำเลยมานานมากแล้ว จำเลยมีลักษณะพิเศษคือ เจาะหูระเบิดหูเป็นขนาดใหญ่ ข้าพเจ้าจึงจำเลยได้ชัดเจนแน่นอน จะเห็นได้ว่าคำถามว่า ทำไม จะเป็นคำถามเพื่อให้พยานอธิบายข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นประโยชน์ของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียว บางครั้งอาจจะเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริงก็ได้ จึงไม่ควรถามค้านพยานด้วยคำว่า “ทำไม” จะเห็นได้ว่าคำถามว่า ทำไม จะเป็นคำถามเพื่อให้พยานอธิบายข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นประโยชน์ของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียว บางครั้งอาจจะเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริงก็ได้ จึงไม่ควรถามค้านพยานด้วยคำว่า"ทำไม" 4.ใช้ถ้อยคำที่สุภาพ และใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลไม่แสดงความเป็นปฏิปักษ์ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก และทนายความหลายคนก็มักจะผิดพลาด เข้าใจผิด และปฏิบัติจนอย่างผิดๆ ทำให้ส่งผลเสียทั้งกับตนเอง และภาพรวมของวิชาชีพทนายความ รวมทั้งทำให้ไม่เกิดประโยชน์ในการดำเนินคดี เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก และทนายความหลายคนก็มักจะผิดพลาด เข้าใจผิด และปฏิบัติจนอย่างผิดๆ ทำให้ส่งผลเสียทั้งกับตนเอง และภาพรวมของวิชาชีพทนายความ รวมทั้งทำให้ไม่เกิดประโยชน์ในการดำเนินคดี คนธรรมดาที่ไม่ใช่นักกฎหมาย และทนายความหลายคนมักเข้าใจผิดว่า ทนายความที่สามารถถามค้านพยานด้วยเสียงอันดัง ดูถูกดูหมิ่นพยาน การขู่ตะคอกพยาน คือทนายความที่เก่ง มีความสามารถในการถามค้าน คนธรรมดาที่ไม่ใช่นักกฎหมาย และทนายความหลายคนมักเข้าใจผิดว่า ทนายความที่สามารถถามค้านพยานด้วยเสียงอันดัง ดูถูกดูหมิ่นพยาน การขู่ตะคอกพยาน คือทนายความที่เก่ง มีความสามารถในการถามค้าน แต่ความจริงแล้ว ทนายความที่ถามพยานในลักษณะดังกล่าวข้างต้น คือทนายความที่ไม่ได้ความ และการถามในลักษณะดังกล่าว มักไม่ก่อiให้เกิดประโยชน์แห่งคดีอันใด นอกจากความสะใจหรือความคิดว่าตนเองเก่งแบบหลอกตนเองเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว ทนายความที่ถามพยานในลักษณะดังกล่าวข้างต้น คือทนายความที่ไม่ได้ความ และการถามในลักษณะดังกล่าว มักไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แห่งคดีอันใด นอกจากความสะใจหรือความคิดว่าตนเองเก่งแบบหลอกตนเองเท่านั้น เพราะหากคุณถามด้วยท่าทีอันเป็นปฏิปักษ์ ด้วยถ้อยคำเสียดสี การขู่ตะคอก พยานก็มักจะมีความรู้สึกต่อต้าน ไม่ตอบข้อความมันเป็นประโยชน์กับคุณ และพยายามหาทางตอบเป็นผลร้ายกับคุณอยู่เสมอ ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ตามธรรมชาติ เพราะหากคุณถามด้วยท่าทีอันเป็นปฏิปักษ์ ด้วยถ้อยคำเสียดสี การขู่ตะคอก พยานก็มักจะมีความรู้สึกต่อต้าน ไม่ตอบข้อความมันเป็นประโยชน์กับคุณ และพยายามหาทางตอบเป็นผลร้ายกับคุณอยู่เสมอ ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ตามธรรมชาติ แต่ในทางกลับกัน หากคุณถามพยานด้วยความสุภาพ นุ่มนวล ด้วยถ้อยคำน้ำเสียงที่เป็นเป็นมิตร ใช้กิริยาท่าทางแบบปกติเหมือนคำถามที่ไม่ได้มีอะไร โอกาสที่พยานจะเบิกความเป็นประโยชน์กับคุณ หรือเบิกความคล้อยตามไปตามคำถามของคุณ ก็จะมีโอกาสสูงมาก เพราะเขาคิดว่าคำตอบที่ตอบไปไม่ได้เป็นโทษอะไรกับตัวเขาเอง หรือคู่ความฝ่ายของเขา แต่ในทางกลับกัน หากคุณถามพยานด้วยความสุภาพ นุ่มนวล ด้วยถ้อยคำน้ำเสียงที่เป็นเป็นมิตร ใช้กิริยาท่าทางแบบปกติเหมือนคำถามที่ไม่ได้มีอะไร โอกาสที่พยานจะเบิกความเป็นประโยชน์กับคุณ หรือเบิกความคล้อยตามไปตามคำถามของคุณ ก็จะมีโอกาสสูงมาก เพราะเขาคิดว่าคำตอบที่ตอบไปไม่ได้เป็นโทษอะไรกับตัวเขาเอง หรือคู่ความฝ่ายของเขา คำถามแบบเดียวกัน หากถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว กิริยาท่าทางที่ดุดัน อาจจะได้คำตอบแบบนึง แต่หากถามด้วยท่าทีสบายๆ น้ำเสียงสุภาพ ก็อาจจะได้คำตอบอีกแบบหนึ่ง ซึ่งธรรมดาแล้วการถามแบบสุภาพจะได้รับคำตอบที่ดีกว่าเสมอ เพราะพยานจะไม่มีความรู้สึกต่อต้าน และมักจะไม่รู้ว่าคำตอบที่จะตอบนั้นอาจส่งผลกระทบหรือผลเสียต่อรูปคดีของตนเอง คำถามแบบเดียวกัน หากถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว กิริยาท่าทางที่ดุดัน อาจจะได้คำตอบแบบนึง แต่หากถามด้วยท่าทีสบายๆ น้ำเสียงสุภาพ ก็อาจจะได้คำตอบอีกแบบหนึ่ง ซึ่งธรรมดาแล้วการถามแบบสุภาพจะได้รับคำตอบที่ดีกว่าเสมอ เพราะพยานจะไม่มีความรู้สึกต่อต้าน และมักจะไม่รู้ว่าคำตอบที่จะตอบนั้นอาจส่งผลกระทบหรือผลเสียต่อรูปคดีของตนเอง ดังนั้นจำไว้ว่า การถามพยานด้วยน้ำเสียงดังๆ ข่มขู่พยาน หรือตะคอกใส่พยาน ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับรูปคดีเลย แต่กลับจะทำให้ศาลตำหนิติติงท่านและเห็นใจพยานมากกว่า การถามพยานด้วยถ้อยคำสุภาพ กิริยาท่าทางแบบมีมารยาทจะเกิดประโยชน์ในการทำงานมากที่สุดครับ ดังนั้นจำไว้ว่า การถามพยานด้วยน้ำเสียงดังๆ ข่มขู่พยาน หรือตะคอกใส่พยาน ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับรูปคดีเลย แต่กลับจะทำให้ศาลตำหนิติติงท่านและเห็นใจพยานมากกว่า การถามพยานด้วยถ้อยคำสุภาพ กิริยาท่าทางแบบมีมารยาทจะเกิดประโยชน์ในการทำงานมากที่สุดครับ 5.และไม่แสดงอาการยินดียินร้ายบนใบหน้า ในการถามพยานนั้น ทนายความจะต้องจำไว้ว่า ต้องรักษากิริยาอาการให้นิ่งสุขุม ไม่แสดงอาการยินดียินร้ายให้ปรากฏในใบหน้าและท่าทาง ตลอดระยะเวลาการถามค้าน ในการถามพยานนั้น ทนายความจะต้องจำไว้ว่า ต้องรักษากิริยาอาการให้นิ่งสุขุม ไม่แสดงอาการยินดียินร้ายให้ปรากฏในใบหน้าและท่าทาง ตลอดระยะเวลาการถามค้าน ทั้งนี้เพราะถ้าหากท่านแสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า หรือแสดงการเยาะเย้ยพยานฝ่ายตรงข้าม เมื่อพยานฝ่ายตรงข้ามเบิกความเป็นที่เสียหายแก่รูปคดี ก็เท่ากับท่านได้บอกให้พยานและทนายฝ่ายตรงข้าม รู้ว่าตนเองเบิกความผิดพลาดในช่วงตอนไหน ซึ่งพยานฝ่ายตรงข้ามก็จะพยายามหาทางอธิบายแก้ หรือทนายความฝ่ายตรงข้ามก็จะพยายามถามติง เพื่อแก้ไขในประเด็นดังกล่าวให้หนักหน่วง ทั้งนี้เพราะถ้าหากท่านแสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า หรือแสดงการเยาะเย้ยพยานฝ่ายตรงข้าม เมื่อพยานฝ่ายตรงข้ามเบิกความเป็นที่เสียหายแก่รูปคดี ก็เท่ากับท่านได้บอกให้พยานและทนายฝ่ายตรงข้าม รู้ว่าตนเองเบิกความผิดพลาดในช่วงตอนไหน ซึ่งพยานฝ่ายตรงข้ามก็จะพยายามหาทางอธิบายแก้ หรือทนายความฝ่ายตรงข้ามก็จะพยายามถามติง เพื่อแก้ไขในประเด็นดังกล่าวให้หนักหน่วง ในทางกลับกันหากท่านไม่แสดงความดีใจ วางท่าทีเฉยๆเสีย บางทีพยานอาจจะไม่ได้รู้ตัวว่าตนเองต่อผิดพลาดไปแล้ว หรือทนายความฝ่ายตรงข้ามอาจจะไม่รู้ว่าพยานตอบผิดพลาดในประเด็นนี้และไม่ได้ถามติงในประเด็นนี้ ในทางกลับกันหากท่านไม่แสดงความดีใจ วางท่าทีเฉยๆเสีย บางทีพยานอาจจะไม่ได้รู้ตัวว่าตนเองต่อผิดพลาดไปแล้ว หรือทนายความฝ่ายตรงข้ามอาจจะไม่รู้ว่าพยานตอบผิดพลาดในประเด็นนี้และไม่ได้ถามติงในประเด็นนี้ หรือถ้าหากท่านแสดงความใจเสียหรือตกใจให้เป็นที่ปรากฏชัดเจน ในขณะที่ถามค้านพยานและพยานตอบคำถามค้านในส่วนที่เป็นผลร้ายกับรูปคดี ก็เท่ากับท่านบอกพยานและทนายความฝั่งตรงข้ามว่า จุดอ่อนของท่านคือตรงนี้ ซึ่งพยานก็จะพยานก็จะพยายามเบิกความย้ำในประเด็นเรื่องนี้ รวมทั้งฝ่ายตรงข้ามก็พยายามถามติงให้พยานเบิกความเพิ่มเติมในประเด็นนี้ หรือถ้าหากท่านแสดงความใจเสียหรือตกใจให้เป็นที่ปรากฏชัดเจน ในขณะที่ถามค้านพยานและพยานตอบคำถามค้านในส่วนที่เป็นผลร้ายกับรูปคดี ก็เท่ากับท่านบอกพยานและทนายความฝั่งตรงข้ามว่า จุดอ่อนของท่านคือตรงนี้ ซึ่งพยานก็จะพยานก็จะพยายามเบิกความย้ำในประเด็นเรื่องนี้ รวมทั้งฝ่ายตรงข้ามก็พยายามถามติงให้พยานเบิกความเพิ่มเติมในประเด็นนี้ ในทางกลับกันหากท่านแสดงท่าทีวางเฉย ไม่แสดงอาการยินดียินร้าย ในขณะที่พยานเบิกความเป็นที่เสียหายแก่รูปคดีของท่าน พยานก็อาจจะไม่ได้เบิกความขยายความต่อในประเด็นนี้ ให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ในทางกลับกันหากท่านแสดงท่าทีวางเฉย ไม่แสดงอาการยินดียินร้าย ในขณะที่พยานเบิกความเป็นที่เสียหายแก่รูปคดีของท่าน พยานก็อาจจะไม่ได้เบิกความขยายความต่อในประเด็นนี้ ให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ดังนั้นแล้ววิธีการที่ถูกต้องในการวางตัวขณะถามค้านพยาน ท่านจะต้องทำตัวเหมือนคนเล่น ไพ่ poker ไพ่เผ หรือเก้าเก ที่จะต้องอุบไต๋ รักษาอาการไม่แสดงอาการยินดียินร้าย ไม่ว่าสถานการณ์หรือไพ่ในมือจะเป็นอย่างไร ดังนั้นแล้ววิธีการที่ถูกต้องในการวางตัวขณะถามค้านพยาน ท่านจะต้องทำตัวเหมือนคนเล่น ไพ่ poker ไพ่เผ หรือเก้าเก ที่จะต้องอุบไต๋ รักษาอาการไม่แสดงอาการยินดียินร้าย ไม่ว่าสถานการณ์หรือไพ่ในมือจะเป็นอย่างไร และจำไว้ว่าในการถามค้านพยาน วัตถุประสงค์ของเราเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่รูปคดี และเพื่อให้เกิดผลสุดท้ายคือเราชนะคดี เราไม่ได้ถามค้านพยานเพื่อโชว์หรือแสดงความสามารถให้ลูกความหรือบุคคลอื่นเห็นแต่อย่างใด และจำไว้ว่าในการถามค้านพยาน วัตถุประสงค์ของเราเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่รูปคดี และเพื่อให้เกิดผลสุดท้ายคือเราชนะคดี เราไม่ได้ถามค้านพยานเพื่อโชว์หรือแสดงความสามารถให้ลูกความหรือบุคคลอื่นเห็นแต่อย่างใด 6.เทคนิคเฉพาะในการถามค้านให้พยานเบิกความขัดแย้งกับพยานวัตถุและพยานเอกสาร ในการถามค้านพยานเพื่อให้พยานเบิกความขัดแย้งกับพยานวัตถุ หรือพยานเอกสาร เช่นคำเบิกความที่พยานเคยเบิกความในคดีอื่น หรือคำให้การที่พยานเคยให้ไว้ในคดีอื่น เอกสารที่เคยจัดทำกันไว้ หรือเอกสารที่พยานเคยเป็นคนทำ คลิปเสียง คลิปวีดีโอ หรือหลักฐานอื่นที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ในการถามค้านพยานเพื่อให้พยานเบิกความขัดแย้งกับพยานวัตถุ หรือพยานเอกสาร เช่นคำเบิกความที่พยานเคยเบิกความในคดีอื่น หรือคำให้การที่พยานเคยให้ไว้ในคดีอื่น เอกสารที่เคยจัดทำกันไว้ หรือเอกสารที่พยานเคยเป็นคนทำ คลิปเสียง คลิปวีดีโอ หรือหลักฐานอื่นที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ หากเรามีเจตนาที่จะถามค้านพยาน เพื่อให้พยานเบิกความขัดแย้งไม่ตรงกันกับเอกสารหรือพยานวัตถุดังกล่าว เราจะต้องห้ามไม่ให้พยานเห็นเอกสารหลักฐานนั้นก่อนเด็ดขาด หรือถ้าจะให้ดีต้องอย่าให้พยานรู้ว่า เราจะเอาเอกสารหลักฐานนั้นมาใช้ในการถามค้าน หากเรามีเจตนาที่จะถามค้านพยาน เพื่อให้พยานเบิกความขัดแย้งไม่ตรงกันกับเอกสารหรือพยานวัตถุดังกล่าว เราจะต้องห้ามไม่ให้พยานเห็นเอกสารหลักฐานนั้นก่อนเด็ดขาด หรือถ้าจะให้ดีต้องอย่าให้พยานรู้ว่า เราจะเอาเอกสารหลักฐานนั้นมาใช้ในการถามค้าน เพราะหากเรานำเอกสารหลักฐานนั้นไปใช้จ่ายการถามค้านก่อน และพยานเห็นเอกสารหลักฐานดังกล่าวแล้ว ในการตอบคำถามค้านคำต่อๆไป พยานจะเบิกความให้สอดคล้องไปกับเอกสารหลักฐานนั้น ซึ่งก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะหากเรานำเอกสารหลักฐานนั้นไปใช้จ่ายการถามค้านก่อน และพยานเห็นเอกสารหลักฐานดังกล่าวแล้ว ในการตอบคำถามค้านคำต่อๆไป พยานจะเบิกความให้สอดคล้องไปกับเอกสารหลักฐานนั้น ซึ่งก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใด ดังนั้นวิธีการที่ถูกต้องในการถามค้านพยานเพื่อให้เบิกความขัดแย้งกับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ ท่านจะต้องถามถึงเนื้อหาต่างๆให้พยานเบิกความไปก่อน โดยจะต้องพยายามใช้คำถามนำ ให้พยานเบิกความขัดแย้งกับข้อความหรือเนื้อหาในพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ ดังนั้นวิธีการที่ถูกต้องในการถามค้านพยานเพื่อให้เบิกความขัดแย้งกับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ ท่านจะต้องถามถึงเนื้อหาต่างๆให้พยานเบิกความไปก่อน โดยจะต้องพยายามใช้คำถามนำ ให้พยานเบิกความขัดแย้งกับข้อความหรือเนื้อหาในพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ แล้วหลังจากนั้นท่านจึงค่อยเอาพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ มาถามค้านปิดท้ายเพื่อให้พยานเบิกความรับรอง ด้วยวิธีนี้จะทำให้ศาลเห็นอย่างชัดเจนว่า พยานปากนี้เป็นพยานเบิกความเท็จขัดแย้งกับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ แล้วหลังจากนั้นท่านจึงค่อยเอาพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ มาถามค้านปิดท้ายเพื่อให้พยานเบิกความรับรอง ด้วยวิธีนี้จะทำให้ศาลเห็นอย่างชัดเจนว่า พยานปากนี้เป็นพยานเบิกความเท็จขัดแย้งกับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ ตัวอย่างเช่น เรามีคลิปวีดีโออยู่ 1 ตัว ที่แสดงให้เห็นว่าขณะเกิดเหตุพยานไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเลย เช่นนี้ ในการถามค้านเราควรจะใช้วิธีถามค้านพยานดังนี้ ตัวอย่างเช่น เรามีคลิปวีดีโออยู่ 1 ตัว ที่แสดงให้เห็นว่าขณะเกิดเหตุพยานไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเลย เช่นนี้ ในการถามค้านเราควรจะใช้วิธีถามค้านพยานดังนี้ ตัวอย่างเช่น พยานอยู่ในที่เกิดเหตุนะครับ พยานนั่งอยู่บริเวณเก้าอี้ข้างนาย ก. นะครับ พยานนั่งอยู่ตรงนั้นตลอดเวลาไม่ได้เดินไปไหนเลยนะคับ ตรงบริเวณดังกล่าวเห็นเหตุการณ์ชัดเจนนะครับ ซึ่งถ้าหากพยานตอบว่าใช่ในทุกคำถาม หลังจากนั้นเราจึงค่อยนำคลิปวีดีโอมาเปิดให้พยายามดูให้เบิกความรับรองว่า เป็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ แต่ไม่ปรากฏว่าพยานนั่งอยู่ข้างๆ นาย ก. เลย และบริเวณที่นายก.นั่งอยู่ก็จะไม่เห็นเหตุการณ์ชัดเจน ซึ่งถ้าหากพยานตอบว่าใช่ในทุกคำถาม หลังจากนั้นเราจึงค่อยนำคลิปวีดีโอมาเปิดให้พยายามดูให้เบิกความรับรองว่า เป็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ แต่ไม่ปรากฏว่าพยานนั่งอยู่ข้างๆ นาย ก. เลย และบริเวณที่นายก.นั่งอยู่ก็จะไม่เห็นเหตุการณ์ชัดเจน ถ้าหากเรานำคลิปวีดีโอไปเปิดให้พยานดูก่อน พยานก็อาจจะเบิกความบ่ายเบี่ยงว่าตนเองอยู่ในมุมอื่นที่ไม่ปรากฏในกล้อง หรือเบิกความบ่ายเบี่ยงไปเป็นอย่างอื่นได้โดยง่าย ถ้าหากเรานำคลิปวีดีโอไปเปิดให้พยานดูก่อน พยานก็อาจจะเบิกความบ่ายเบี่ยงว่าตนเองอยู่ในมุมอื่นที่ไม่ปรากฏในกล้อง หรือเบิกความบ่ายเบี่ยงไปเป็นอย่างอื่นได้โดยง่าย ดังนั้นจำไว้ว่าในการถามค้านพยานเพื่อให้พยานเบิกความขัดแย้งกับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ เราจะต้องถามรายละเอียดของพยานให้ชัดเจนครบทุกด้านก่อนแล้วจึงค่อยนำเอกสารหรือพยานวัตถุนั้นให้พยานดู ดังนั้นจำไว้ว่าในการถามค้านพยานเพื่อให้พยานเบิกความขัดแย้งกับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ เราจะต้องถามรายละเอียดของพยานให้ชัดเจนครบทุกด้านก่อนแล้วจึงค่อยนำเอกสารหรือพยานวัตถุนั้นให้พยานดู 7.เทคนิคเฉพาะในการถามค้านพยานคู่ ในกรณีที่เราต้องการถามค้านพยานคู่ คือพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์เดียวกัน แล้วได้มาเบิกความในคราวเดียวกัน มีเทคนิคที่เราจะต้องรู้หลายอย่างดังนี้ ในกรณีที่เราต้องการถามค้านพยานคู่ คือพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์เดียวกัน แล้วได้มาเบิกความในคราวเดียวกัน มีเทคนิคที่เราจะต้องรู้หลายอย่างดังนี้ อย่างแรก เราจะต้องถามค้านพยานปากแรกไว้ให้ละเอียด ตั้งแต่เรื่องก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุ รวมทั้งบุคคล วัตถุ สิ่งของ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมดเพื่อให้พยานปากแรกเบิกความไว้อย่างละเอียด อย่างแรก เราจะต้องถามค้านพยานปากแรกไว้ให้ละเอียด ตั้งแต่เรื่องก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุ รวมทั้งบุคคล วัตถุ สิ่งของ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมดเพื่อให้พยานปากแรกเบิกความไว้อย่างละเอียด หลังจากนั้นเมื่อพยานปากที่ 2 หรือพยานปากอื่นๆที่อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์ในคราวเดียวกันมาเบิกความ เราก็จะใช้วิธีการถามรายละเอียดแบบเดิมโดยใช้คำถามชุดเดิม หลังจากนั้นเมื่อพยานปากที่ 2 หรือพยานปากอื่นๆที่อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์ในคราวเดียวกันมาเบิกความ เราก็จะใช้วิธีการถามรายละเอียดแบบเดิมโดยใช้คำถามชุดเดิม หาพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยกันจริง อยู่ในเหตุการณ์และพบเห็นเหตุการณ์ด้วยกันก็จะเบิกความในสาระสำคัญสอดคล้องต้องกัน หาพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยกันจริง อยู่ในเหตุการณ์และพบเห็นเหตุการณ์ด้วยกันก็จะเบิกความในสาระสำคัญสอดคล้องต้องกัน แต่ในทางกลับกัน หาพยานคู่เป็นพยานเท็จหรือไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์เดียวกันทั้งหมด แต่มารับสมอ้างอ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์ เช่นนี้พยานก็จะเบิกความขัดแย้งกันในข้อสาระสำคัญเกือบทั้งหมด แต่ในทางกลับกัน หาพยานคู่เป็นพยานเท็จหรือไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์เดียวกันทั้งหมด แต่มารับสมอ้างอ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์ เช่นนี้พยานก็จะเบิกความขัดแย้งกันในข้อสาระสำคัญเกือบทั้งหมด โดยท่านอาจารย์หลวงสัตยุทธชำนาญ ได้กล่าวไว้ในหนังสือวิชาข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นตำราอันทรงคุณค่าสำหรับทนายความในการถามค้านว่า โดยท่านอาจารย์หลวงสัตยุทธชำนาญ ได้กล่าวไว้ในหนังสือวิชาข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นตำราอันทรงคุณค่าสำหรับทนายความในการถามค้านว่า การที่บุคคลใดจะอ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์ใดเป็นเรื่องง่าย แต่การที่จะให้เหตุผลสอดคล้องต้องกันเหมือนกันทั้งหมดเป็นเรื่องยาก การที่บุคคลใดจะอ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์ใดเป็นเรื่องง่าย แต่การที่จะให้เหตุผลสอดคล้องต้องกันเหมือนกันทั้งหมดเป็นเรื่องยาก ตัวอย่างเช่น ตัวอย่างเช่น การที่นายตำรวจ 2 คนจะมาเบิกความว่า ได้จับกุมจำเลยซึ่งเป็นคนร้ายพร้อมกับยาเสพติดได้นั้น หากนายตำรวจ 2 คนนี้ได้จับกุมจำเลย พร้อมยาเสพติดได้จริงเมื่อมาเบิกความที่ศาล ทั้งสองคนย่อมจะเบิกความถึงรายละเอียดต่างๆในสาระสำคัญได้สอดคล้องต้องกัน การที่นายตำรวจ 2 คนจะมาเบิกความว่า ได้จับกุมจำเลยซึ่งเป็นคนร้ายพร้อมกับยาเสพติดได้นั้น หากนายตำรวจ 2 คนนี้ได้จับกุมจำเลย พร้อมยาเสพติดได้จริงเมื่อมาเบิกความที่ศาล ทั้งสองคนย่อมจะเบิกความถึงรายละเอียดต่างๆในสาระสำคัญได้สอดคล้องต้องกัน เช่น สาเหตุที่เข้าไปจับกุม เหตุการณ์ขณะจับกุม เหตุการณ์หลังจับกุม บุคคล วัตถุ และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมทั้งหมด เช่น สาเหตุที่เข้าไปจับกุม เหตุการณ์ขณะจับกุม เหตุการณ์หลังจับกุม บุคคล วัตถุ และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมทั้งหมด แต่ถ้าหากตำรวจ 2 คนนี้ไม่ได้เข้าไปจับกุมคนร้ายจริง เพียงแต่ลงชื่อในบันทึกจับกุม หรือเป็นการยัดยาเสพติดให้กับคนร้ายและเตี๊ยมกันมาเบิกความ แต่ถ้าหากตำรวจ 2 คนนี้ไม่ได้เข้าไปจับกุมคนร้ายจริง เพียงแต่ลงชื่อในบันทึกจับกุม หรือเป็นการยัดยาเสพติดให้กับคนร้ายและเตี๊ยมกันมาเบิกความ เช่นนี้หากทนายความรู้จักใช้คำถามสอบถามรายละเอียดพยาน 2 ปากนี้อย่างถูกต้อง พยานทั้งสองฝ่ายจะต้องเบิกความขัดแย้งกันในสาระสำคัญอย่างแน่นอน เช่นนี้หากทนายความรู้จักใช้คำถามสอบถามรายละเอียดพยาน 2 ปากนี้อย่างถูกต้อง พยานทั้งสองฝ่ายจะต้องเบิกความขัดแย้งกันในสาระสำคัญอย่างแน่นอน ทั้งนี้การขัดแย้งกันของพยานคู่ที่จะทำให้ศาลไม่รับฟังหรือพยานคู่ไม่น่าเชื่อถือนั้น จะต้องเป็นการขัดแย้งกันในข้อสาระสำคัญ ไม่ใช่แต่เพียงพลความ ทั้งนี้การขัดแย้งกันของพยานคู่ที่จะทำให้ศาลไม่รับฟังหรือพยานคู่ไม่น่าเชื่อถือนั้น จะต้องเป็นการขัดแย้งกันในข้อสาระสำคัญ ไม่ใช่แต่เพียงพลความ ซึ่งในประเด็นนี้ผมเคยได้เขียนบทความเลยแล้วสามารถติดตามอ่านได้ใน บทความเรีื่อง “หลักการรับฟังพยานบุคคลเมื่อพยานคู่เบิกความขัดแย้งกัน” ซึ่งในประเด็นนี้ผมเคยได้เขียนบทความเลยแล้วสามารถติดตามอ่านได้ใน บทความเรีื่อง “หลักการรับฟังพยานบุคคลเมื่อพยานคู่เบิกความขัดแย้งกัน” “หลักการรับฟังพยานบุคคลเมื่อพยานคู่เบิกความขัดแย้งกัน” 8.รู้จักหยุดเมื่อควรจะต้องหยุด การถามค้าน เมื่อพยานเบิกความตอบคำถามค้านจนได้ประโยชน์จากพยานแล้ว เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งควรจะหยุดไม่ควรถามต่อไป เพราะหากท่านป้อน ต่อเนื่องไปเรื่อยๆจากที่ได้ประโยชน์อาจจะกลายเป็นเสียประโยชน์ก็ได้ การถามค้าน เมื่อพยานเบิกความตอบคำถามค้านจนได้ประโยชน์จากพยานแล้ว เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งควรจะหยุดไม่ควรถามต่อไป เพราะหากท่านป้อน ต่อเนื่องไปเรื่อยๆจากที่ได้ประโยชน์อาจจะกลายเป็นเสียประโยชน์ก็ได้ เพราะการถามค้านพยานให้ได้ประโยชน์นั้น จะต้องไม่ให้พยานรู้ว่าคำตอบที่ตนเองตอบนั้น เป็นผลเสียกับรูปคดีของฝ่ายตนเอง เพราะว่าธรรมดาพยานฝั่งใดก็มักจะเบิกความเพื่อให้เกิดประโยชน์กับคู่ความฝั่งของตนเอง เพราะการถามค้านพยานให้ได้ประโยชน์นั้น จะต้องไม่ให้พยานรู้ว่าคำตอบที่ตนเองตอบนั้น เป็นผลเสียกับรูปคดีของฝ่ายตนเอง เพราะว่าธรรมดาพยานฝั่งใดก็มักจะเบิกความเพื่อให้เกิดประโยชน์กับคู่ความฝั่งของตนเอง ธรรมดาแล้วการที่เราซึ่งเป็นทนายความฝั่งตรงข้ามจะถามค้านเขานั้น จะถามพยานได้คำตอบที่เป็นประโยชน์กับรูปคดีของเรา ก็จะต้องระวังไม่ให้เขารู้ว่าคำตอบที่เขาจะตอบนั้นจะเกิดผลเสียกับฝ่ายของเขาหรือเป็นผลดีกับฝ่ายเรา ธรรมดาแล้วการที่เราซึ่งเป็นทนายความฝั่งตรงข้ามจะถามค้านเขานั้น จะถามพยานได้คำตอบที่เป็นประโยชน์กับรูปคดีของเรา ก็จะต้องระวังไม่ให้เขารู้ว่าคำตอบที่เขาจะตอบนั้นจะเกิดผลเสียกับฝ่ายของเขาหรือเป็นผลดีกับฝ่ายเรา คำถามที่พยานจะสะดวกใจที่จะตอบมากที่สุด ให้คำตอบได้ง่ายที่สุด ก็คือคำถามที่พยานไม่รู้ว่าจะเป็นโทษแก่ฝ่ายเขาเอง หรือคำถามที่จะเป็นประโยชน์กับฝ่ายเรา คำถามที่พยานจะสะดวกใจที่จะตอบมากที่สุด ให้คำตอบได้ง่ายที่สุด ก็คือคำถามที่พยานไม่รู้ว่าจะเป็นโทษแก่ฝ่ายเขาเอง หรือคำถามที่จะเป็นประโยชน์กับฝ่ายเรา ดังนั้นแล้วเมื่อเราถามค้านพยานไปจนได้ประโยชน์จากพยาน เพราะพยานตอบโดยที่ไม่รู้ว่าคำถามนั้นเป็นโทษกับฝ่ายตัวเองหรือเป็นประโยชน์กับฝ่ายเราแล้ว เราจะต้องคอยชั่งใจอยู่เสมอว่าควรจะหยุดเมื่อไหร่ ดังนั้นแล้วเมื่อเราถามค้านพยานไปจนได้ประโยชน์จากพยาน เพราะพยานตอบโดยที่ไม่รู้ว่าคำถามนั้นเป็นโทษกับฝ่ายตัวเองหรือเป็นประโยชน์กับฝ่ายเราแล้ว เราจะต้องคอยชั่งใจอยู่เสมอว่าควรจะหยุดเมื่อไหร่ เพราะหากเราไม่หยุดและถามในประเด็นนั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายพยานรู้ตัวว่าคำตอบที่ตนเองต่อไปทั้งหมดนั้นเป็นโทษกับฝ่ายตัวเอง หรือเป็นคุณกับฝ่ายตรงข้าม พยานก็มักจะเบิกความอธิบายหรือเบิกความเอาเสียใหม่ เพื่อให้เป็นโทษกับฝ่ายเราหรือเป็นคุณกับฝ่ายตัวเอง เพราะหากเราไม่หยุดและถามในประเด็นนั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายพยานรู้ตัวว่าคำตอบที่ตนเองต่อไปทั้งหมดนั้นเป็นโทษกับฝ่ายตัวเอง หรือเป็นคุณกับฝ่ายตรงข้าม พยานก็มักจะเบิกความอธิบายหรือเบิกความเอาเสียใหม่ เพื่อให้เป็นโทษกับฝ่ายเราหรือเป็นคุณกับฝ่ายตัวเอง ตัวอย่างเช่น คดีฆาตกรรม เรากำลังถามประจักษ์พยานโจทก์ปากเอกเพื่อให้เห็นว่าไม่สามารถจดจำตัวจำเลยได้ ตัวอย่างเช่น คดีฆาตกรรม เรากำลังถามประจักษ์พยานโจทก์ปากเอกเพื่อให้เห็นว่าไม่สามารถจดจำตัวจำเลยได้ ตัวอย่างเช่น คดีฆาตกรรม เรากำลังถามประจักษ์พยานโจทก์ปากเอกเพื่อให้เห็นว่าไม่สามารถจดจำตัวจำเลยได้ เราถามว่า เราถามว่า พยานไม่เคยพบจำเลยมาก่อนใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ ขณะเกิดเหตุพยานมีอาการมึนเมาใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากเลยใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ แสงไฟในที่เกิดเหตุค่อนข้างจะสลัวสลัวใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ จำเลยใส่แว่นดำปิดบังหน้าอยู่ใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ เท่านี้จะถือว่าพยานเบิกความเป็นประโยชน์กับเรามากอยู่แล้ว หากเรายังไม่พอยังถามครั้งต่อไปในคำถามที่ว่า เท่านี้จะถือว่าพยานเบิกความเป็นประโยชน์กับเรามากอยู่แล้ว หากเรายังไม่พอยังถามครั้งต่อไปในคำถามที่ว่า “สรุปแล้ววันเกิดเหตุพยานก็จำตัวจำเลยไม่ได้ใช่หรือไม่” “สรุปแล้ววันเกิดเหตุพยานก็จำตัวจำเลยไม่ได้ใช่หรือไม่” เช่นนี้พยานอาจจะเบิกความอธิบายไปเลยว่า ” จำได้ครับ เพราะก่อนเกิดเหตุถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบกับจำเลยมาก่อน แต่ในวันเกิดเหตุก็นั่งดื่มเหล้าอยู่ด้วยกัน ตั้งหลายชั่วโมง ตั้งแต่แสงไฟยังสว่าง และขณะนั้นจำเลยก็ถอดแว่นมองเห็นหน้าถนัดชัดเจน” เช่นนี้พยานอาจจะเบิกความอธิบายไปเลยว่า ” จำได้ครับ เพราะก่อนเกิดเหตุถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบกับจำเลยมาก่อน แต่ในวันเกิดเหตุก็นั่งดื่มเหล้าอยู่ด้วยกัน ตั้งหลายชั่วโมง ตั้งแต่แสงไฟยังสว่าง และขณะนั้นจำเลยก็ถอดแว่นมองเห็นหน้าถนัดชัดเจน” เช่นนี้ก็จะเห็นได้ว่าคำเบิกความตอบคำถามค้านที่ท่านพยายามถามมาทั้งหมดเป็นอันหมดประโยชน์ ใช้อะไรไม่ได้เลย แล้วจะเป็นโทษแก่รูปคดีของท่านด้วย เช่นนี้ก็จะเห็นได้ว่าคำเบิกความตอบคำถามค้านที่ท่านพยายามถามมาทั้งหมดเป็นอันหมดประโยชน์ ใช้อะไรไม่ได้เลย แล้วจะเป็นโทษแก่รูปคดีของท่านด้วย ดังนั้นจงจำไว้ว่า ในการถามค้านพยาน จะต้องระมัดระวังไม่ให้พยานรู้เจตนาของคำถามของเราว่าเจตนาที่เราต้องการถามนั้นเพื่ออะไร แล้วเมื่อได้คำตอบที่เป็นประโยชน์กับรูปคดีแล้ว จะต้องรู้จักพอรู้จักหยุดเมื่อถึงจังหวะควรจะต้องหยุด ดังนั้นจงจำไว้ว่า ในการถามค้านพยาน จะต้องระมัดระวังไม่ให้พยานรู้เจตนาของคำถามของเราว่าเจตนาที่เราต้องการถามนั้นเพื่ออะไร แล้วเมื่อได้คำตอบที่เป็นประโยชน์กับรูปคดีแล้ว จะต้องรู้จักพอรู้จักหยุดเมื่อถึงจังหวะควรจะต้องหยุด 9.การถามค้าน เพื่อประโยชน์ในการใช้สิทธินำสืบต่อไป ในกรณีที่เราเป็นฝ่ายที่จะต้องสืบพยานทีหลัง มีเทคนิคที่เราจะต้องรู้ไว้ก็คือ เราจะต้องถามค้านพยานฝ่ายตรงข้าม ถึงข้อเท็จจริงที่เราต้องการนำสืบ และอยู่ในความรู้เห็นของพยานฝ่ายนั้น เพื่อให้พยานได้เบิกความอธิบายก่อนที่เราจะนำสืบ ในกรณีที่เราเป็นฝ่ายที่จะต้องสืบพยานทีหลัง มีเทคนิคที่เราจะต้องรู้ไว้ก็คือ เราจะต้องถามค้านพยานฝ่ายตรงข้าม ถึงข้อเท็จจริงที่เราต้องการนำสืบ และอยู่ในความรู้เห็นของพยานฝ่ายนั้น เพื่อให้พยานได้เบิกความอธิบายก่อนที่เราจะนำสืบ หากเราไม่ถามค้านพยานฝ่ายตรงข้ามถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ แต่เรากลับมานำสืบเองในภายหลังโดยไม่ให้โอกาสพยานฝ่ายตรงข้ามได้อธิบายในประเด็นดังกล่าว การนำสืบของเราจะไม่มีน้ำหนักน่ารับฟัง เพราะเท่ากับว่าเราจะเป็นการเล่าความดังกล่าวแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่เปิดโอกาสให้พยานฝ่ายตรงข้ามได้อธิบาย หากเราไม่ถามค้านพยานฝ่ายตรงข้ามถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ แต่เรากลับมานำสืบเองในภายหลังโดยไม่ให้โอกาสพยานฝ่ายตรงข้ามได้อธิบายในประเด็นดังกล่าว การนำสืบของเราจะไม่มีน้ำหนักน่ารับฟัง เพราะเท่ากับว่าเราจะเป็นการเล่าความดังกล่าวแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่เปิดโอกาสให้พยานฝ่ายตรงข้ามได้อธิบาย ตัวอย่างเช่น คดีเกี่ยวกับเรื่องลักทรัพย์นายจ้าง ตัวอย่างเช่น คดีเกี่ยวกับเรื่องลักทรัพย์นายจ้าง โจทก์ได้นำพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาเบิกความเป็นพยาน โจทก์ได้นำพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาเบิกความเป็นพยาน ซึ่งทนายความจำเลย เมื่อซักถามพยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ไม่ได้ซักค้านในประเด็นว่า ตามระเบียบข้อบังคับและแนวทางปฏิบัติ หลัง 20:00 น ประตูทั้งหมดจะล็อค พนักงานคนอื่นจะไม่สามารถเข้าออกที่บริษัทได้ ซึ่งทนายความจำเลย เมื่อซักถามพยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ไม่ได้ซักค้านในประเด็นว่า ตามระเบียบข้อบังคับและแนวทางปฏิบัติ หลัง 20:00 น ประตูทั้งหมดจะล็อค พนักงานคนอื่นจะไม่สามารถเข้าออกที่บริษัทได้ ต่อมาทนายความจำเลย ได้นำพยานของตนเองเข้านำสืบถึงระเบียบข้อบังคับดังกล่าว เช่นนี้น้ำหนักในการรับฟังพยานหลักฐานย่อมลดลง เพราะทนายความจำเลยไม่ได้ถามค้านเพื่อให้พยานฝั่งโจทก์อธิบายถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย ต่อมาทนายความจำเลย ได้นำพยานของตนเองเข้านำสืบถึงระเบียบข้อบังคับดังกล่าว เช่นนี้น้ำหนักในการรับฟังพยานหลักฐานย่อมลดลง เพราะทนายความจำเลยไม่ได้ถามค้านเพื่อให้พยานฝั่งโจทก์อธิบายถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย แต่ในทางกลับกัน หากทนายความจำเลยได้ถามพยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ว่าในขณะเกิดเหตุ เป็นเวลาหลัง 2 ทุ่มแล้วประตูทั้งหมดจะล็อคพนักงานคนอื่นไม่สามารถเข้าออกที่บริษัทได้ใช่หรือไม่ แต่ในทางกลับกัน หากทนายความจำเลยได้ถามพยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ว่าในขณะเกิดเหตุ เป็นเวลาหลัง 2 ทุ่มแล้วประตูทั้งหมดจะล็อคพนักงานคนอื่นไม่สามารถเข้าออกที่บริษัทได้ใช่หรือไม่ หากพยานตอบว่าใช่ ก็จะเป็นประโยชน์แก่รูปคดีของฝั่งจำเลยและข้อนำสืบของจำเลยในภายหลัง หากพยานตอบว่าใช่ ก็จะเป็นประโยชน์แก่รูปคดีของฝั่งจำเลยและข้อนำสืบของจำเลยในภายหลัง แต่ถึงพยายามจะตอบว่าไม่ใช่และอธิบายเป็นอย่างอื่น ก็ถือว่าทนายความจำเลยได้เปิดโอกาสให้พยานฝั่งโจทก์ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงจากฝั่งของเขาแล้ว เป็นหน้าที่ของศาลที่จะชั่งน้ำหนักว่าจะเชื่อพยานฝั่งไหน แต่ถึงพยายามจะตอบว่าไม่ใช่และอธิบายเป็นอย่างอื่น ก็ถือว่าทนายความจำเลยได้เปิดโอกาสให้พยานฝั่งโจทก์ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงจากฝั่งของเขาแล้ว เป็นหน้าที่ของศาลที่จะชั่งน้ำหนักว่าจะเชื่อพยานฝั่งไหน แต่หากทนายความจำเลยไม่ถามค้านในประเด็นดังกล่าวเพื่อให้พยานได้อธิบายไว้และนำสืบเองคนเดียวภายหลัง ก็จะเป็นการไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ แต่หากทนายความจำเลยไม่ถามค้านในประเด็นดังกล่าวเพื่อให้พยานได้อธิบายไว้และนำสืบเองคนเดียวภายหลัง ก็จะเป็นการไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ หากในเหตุการณ์ใดเราจะนำพยานบุคคลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เดียวกับพยานโจทก์นำสืบ เราก็ต้องถามให้พยานโจทก์ยอมรับด้วยว่า วันเกิดเหตุพยานที่เราจะนำมาสืบมันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย นอกจากนี้ หากในเหตุการณ์ใดเราจะนำพยานบุคคลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เดียวกับพยานโจทก์นำสืบ เราก็ต้องถามให้พยานโจทก์ยอมรับด้วยว่า วันเกิดเหตุพยานที่เราจะนำมาสืบมันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย 10.ใช้คำถามตามลักษณะของพยาน การถามค้าน เราควรจะเลือกใช้คำถามที่เหมาะสมกับลักษณะของพยานแต่ละประเภท เพื่อที่จะเลือกใช้คำถามและวิธีการถามได้อย่างถูกต้อง การถามค้าน เราควรจะเลือกใช้คำถามที่เหมาะสมกับลักษณะของพยานแต่ละประเภท เพื่อที่จะเลือกใช้คำถามและวิธีการถามได้อย่างถูกต้อง การที่จะรู้ว่าพยานคนไหนเป็นพยานประเภทไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการเตรียมคดีมาตั้งแต่ต้น ส่วนหนึ่ง และการนั่งฟังคำเบิกความของพยานในตอนที่พยานถูกซักถามโดยทนายความฝั่งที่อ้างมา อีกส่วนหนึ่ง การที่จะรู้ว่าพยานคนไหนเป็นพยานประเภทไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการเตรียมคดีมาตั้งแต่ต้น ส่วนหนึ่ง และการนั่งฟังคำเบิกความของพยานในตอนที่พยานถูกซักถามโดยทนายความฝั่งที่อ้างมา อีกส่วนหนึ่ง หากเราเตรียมคดีมาดี และตั้งใจฟังคำถามคำตอบของพยานฝ่ายตรงข้าม เราจะรู้ทันทีว่าพยานดังกล่าวเป็นพยานประเภทไหน เช่น พยานเท็จ พยานที่ยังเบิกความไม่หมด พยานที่เบิกความเข้าใจผิด เป็นต้น หากเราเตรียมคดีมาดี และตั้งใจฟังคำถามคำตอบของพยานฝ่ายตรงข้าม เราจะรู้ทันทีว่าพยานดังกล่าวเป็นพยานประเภทไหน เช่น พยานเท็จ พยานที่ยังเบิกความไม่หมด พยานที่เบิกความเข้าใจผิด เป็นต้น ซึ่งเมื่อเรารู้แล้วว่าเป็นพยานแบบไหน เราก็จะต้องเลือกใช้คำถามให้ถูกต้องกับพยานประเภทนั้น ซึ่งเมื่อเรารู้แล้วว่าเป็นพยานแบบไหน เราก็จะต้องเลือกใช้คำถามให้ถูกต้องกับพยานประเภทนั้น พยานที่เป็นพยานเท็จ เราก็ต้องใช้วิธีเบิกความถามค้านเพื่อจับเท็จพยาน เพื่อให้พยานเบิกความขัดแย้งกับ พยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสาร พยานที่เป็นพยานเท็จ เราก็ต้องใช้วิธีเบิกความถามค้านเพื่อจับเท็จพยาน เพื่อให้พยานเบิกความขัดแย้งกับ พยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสาร พยานที่เป็นพยานเบิกความจริง เพียงแต่ยังเบิกความไม่หมด เราก็ต้องใช้วิธีถามค้านเพื่อให้พยานเบิกความเล่าข้อเท็จจริงส่วนที่เป็นประโยชน์กับเราเพิ่มเติมขึ้นมา พยานที่เป็นพยานเบิกความจริง เพียงแต่ยังเบิกความไม่หมด เราก็ต้องใช้วิธีถามค้านเพื่อให้พยานเบิกความเล่าข้อเท็จจริงส่วนที่เป็นประโยชน์กับเราเพิ่มเติมขึ้นมา พยานที่ไม่ได้ตั้งใจเป็นพยานเท็จ แต่เบิกความไปด้วยความเข้าใจผิด เราก็ต้องใช้วิธีถามค้าน เพื่อให้เห็นว่ายังมีความเป็นไปได้อย่างอื่นนอกเหนือจากที่พยานเข้าใจ หรือมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เห็นว่าพยานน่าจะเข้าใจผิด พยานที่ไม่ได้ตั้งใจเป็นพยานเท็จ แต่เบิกความไปด้วยความเข้าใจผิด เราก็ต้องใช้วิธีถามค้าน เพื่อให้เห็นว่ายังมีความเป็นไปได้อย่างอื่นนอกเหนือจากที่พยานเข้าใจ หรือมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เห็นว่าพยานน่าจะเข้าใจผิด พยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม พวกนี้เป็นพยานอาชีพที่มีความจัดเจนในการตอบคำถามค้าน การถามค้านให้แตก หรือเบิกความขัดแย้งกันไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องใช้ความพยายามในการจับเท็จมากกว่าพยานปกติ ต้องซักถามให้ละเอียด พยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม พวกนี้เป็นพยานอาชีพที่มีความจัดเจนในการตอบคำถามค้าน การถามค้านให้แตก หรือเบิกความขัดแย้งกันไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องใช้ความพยายามในการจับเท็จมากกว่าพยานปกติ ต้องซักถามให้ละเอียด พยานที่เป็นชาวบ้านไม่มีความรู้ มีความตื่นกลัวศาล เราต้องค่อยๆถาม ใช้คำถามแบบสั้นๆง่ายๆ คอยปลอบให้พยานให้การไปตามความจริง พยานที่เป็นชาวบ้านไม่มีความรู้ มีความตื่นกลัวศาล เราต้องค่อยๆถาม ใช้คำถามแบบสั้นๆง่ายๆ คอยปลอบให้พยานให้การไปตามความจริง พยานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็ต้องถามค้านถึงความรู้ความสามารถ เหตุผลทางวิชาการ ตำราที่อ้างอิงและความเป็นไปได้อย่างอื่น พยานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็ต้องถามค้านถึงความรู้ความสามารถ เหตุผลทางวิชาการ ตำราที่อ้างอิงและความเป็นไปได้อย่างอื่น 11.ทดสอบความรู้เห็นของพยานด้วยการตั้งคำถามแบบไม่เรียงลำดับ ธรรมดาแล้วในเวลาที่เราซักถามพยานฝ่ายของเราเอง เราควรจะตั้งคำถามให้เป็นไปตามลำดับเหตุการณ์เพื่อให้พยานสามารถเรียบเรียงข้อเท็จจริงและเล่าเรื่องราวได้โดยสะดวก ธรรมดาแล้วในเวลาที่เราซักถามพยานฝ่ายของเราเอง เราควรจะตั้งคำถามให้เป็นไปตามลำดับเหตุการณ์เพื่อให้พยานสามารถเรียบเรียงข้อเท็จจริงและเล่าเรื่องราวได้โดยสะดวก ในการถามค้านพยาน ธรรมดาแล้วเราก็จะไล่ซักไปตามประเด็นข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่องตามที่เราตั้งรูปคดีเข้ามา แต่เราไม่จำเป็นต้องถามค้านตามลำดับแต่อย่างใด ในการถามค้านพยาน ธรรมดาแล้วเราก็จะไล่ซักไปตามประเด็นข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่องตามที่เราตั้งรูปคดีเข้ามา แต่เราไม่จำเป็นต้องถามค้านตามลำดับแต่อย่างใด เราอาจจะสำคัญสลับลำดับกัน เพื่อจับเท็จ หรือเพื่อดูว่าพยานเบิกความไปตามความเป็นจริงหรือไม่ก็ได้ เราอาจจะสำคัญสลับลำดับกัน เพื่อจับเท็จ หรือเพื่อดูว่าพยานเบิกความไปตามความเป็นจริงหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้เพราะพยานที่เป็นพยานเท็จนั้น มักจะถูกซักซ้อมมาให้เบิกความตามลำดับเหตุการณ์ โดยที่ตนเองไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์นั้นจริงๆ เมื่อตนเองได้ถูกถามค้านโดยไม่ได้ไล่เรียงตามลำดับเหตุการณ์ ก็มักจะเบิกความผิดพลาดหรือสับสน เพราะตนเองไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์จริง ทั้งนี้เพราะพยานที่เป็นพยานเท็จนั้น มักจะถูกซักซ้อมมาให้เบิกความตามลำดับเหตุการณ์ โดยที่ตนเองไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์นั้นจริงๆ เมื่อตนเองได้ถูกถามค้านโดยไม่ได้ไล่เรียงตามลำดับเหตุการณ์ ก็มักจะเบิกความผิดพลาดหรือสับสน เพราะตนเองไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์จริง ตัวอย่างเช่น เราอาจจะถามถึงเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุก่อน แล้วค่อยไปถามถึงเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุ หรือเราอาจจะถามถึงเหตุการณ์ภายหลังเกิดเหตุก่อน แล้วค่อยไปถามถึงเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ ตัวอย่างเช่น เ ราอาจจะถามถึงเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุก่อน แล้วค่อยไปถามถึงเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุ หรือเราอาจจะถามถึงเหตุการณ์ภายหลังเกิดเหตุก่อน แล้วค่อยไปถามถึงเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ เช่นนี้หากพยานที่เบิกความไปตามความเป็นจริง ไม่ว่าเราจะสลับคำถามอย่างไร พยานก็จะเบิกความตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง เพราะตนเองรู้เห็นเหตุการณ์นั้นจริง แต่หากพยาน ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวจริง พยานก็มักจะตอบผิดพลาดหรือขัดแย้ง เช่นนี้หากพยานที่เบิกความไปตามความเป็นจริง ไม่ว่าเราจะสลับคำถามอย่างไร พยานก็จะเบิกความตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง เพราะตนเองรู้เห็นเหตุการณ์นั้นจริง แต่หากพยาน ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวจริง พยานก็มักจะตอบผิดพลาดหรือขัดแย้ง อย่างไรก็ตามในขณะที่เราใช้เทคนิคนี้ เราเองก็ต้องห้ามสับสนหรือหลงลืมประเด็น เพราะหากเราใช้เทคนิคนี้แล้วปรากฏว่าเราลืมกลับมาถามเหตุการณ์ในตอนต้น ก็จะทำให้เราตกหล่นประเด็นในตอนต้นไป สำหรับเทคนิคนี้ไม่ได้เป็นเทคนิคที่ผมได้ใช้บ่อยนะเพราะผมไม่ค่อยถนัดถามค้านด้วยวิธีนี้ครับ อย่างไรก็ตามในขณะที่เราใช้เทคนิคนี้ เราเองก็ต้องห้ามสับสนหรือหลงลืมประเด็น เพราะหากเราใช้เทคนิคนี้แล้วปรากฏว่าเราลืมกลับมาถามเหตุการณ์ในตอนต้น ก็จะทำให้เราตกหล่นประเด็นในตอนต้นไป สำหรับเทคนิคนี้ไม่ได้เป็นเทคนิคที่ผมได้ใช้บ่อยนะเพราะผมไม่ค่อยถนัดถามค้านด้วยวิธีนี้ครับ 12.สุขุมเยือกเย็น รู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อเมื่อผู้พิพากษาไม่เป็นใจ หรือเจอพยานยียวน สำหรับเทคนิคข้อสุดท้าย ที่ผมจะฝากไว้ก็คือ ระหว่างถามค้าน ท่านจะต้องสุขุมเยือกเย็น ไม่มีอารมณ์โกรธเข้ามาเกี่ยวข้อง สำหรับเทคนิคข้อสุดท้าย ที่ผมจะฝากไว้ก็คือ ระหว่างถามค้าน ท่านจะต้องสุขุมเยือกเย็น ไม่มีอารมณ์โกรธเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะธรรมดาแล้วเวลาเราถามค้านพยาน หลายครั้งเราจะเห็นอยู่ชัดเจนว่าพยานโกหก หรือพูดเท็จจนน่าโมโห หรือพยานพยายามยียวน ตอบไม่ตรงคำถามของเรา แกล้งย้อนถามเรากลับ หรือตอบแบบหาเรื่องเรา เพราะธรรมดาแล้วเวลาเราถามค้านพยาน หลายครั้งเราจะเห็นอยู่ชัดเจนว่าพยานโกหก หรือพูดเท็จจนน่าโมโห หรือพยานพยายามยียวน ตอบไม่ตรงคำถามของเรา แกล้งย้อนถามเรากลับ หรือตอบแบบหาเรื่องเรา จำไว้ว่าเราไม่ควรไปมีอารมณ์โต้ตอบกับพยาน เพราะการที่เราไปใส่อารมณ์โมโห หรือมีอารมณ์โกรธขึ้นจะทำให้การทำงานเกิดโอกาสผิดพลาดได้มาก แล้วทำให้ถูกศาลมองในภาพที่ไม่ดี จำไว้ว่าเราไม่ควรไปมีอารมณ์โต้ตอบกับพยาน เพราะการที่เราไปใส่อารมณ์โมโห หรือมีอารมณ์โกรธขึ้นจะทำให้การทำงานเกิดโอกาสผิดพลาดได้มาก แล้วทำให้ถูกศาลมองในภาพที่ไม่ดี หากเราเจอพยานที่ยียวน หรือตอบไม่ตรงคำถาม เราจะต้องบอกกับพยานด้วยความสุภาพว่า ขอให้พยายามช่วยตอบให้ตรงคำถามด้วยครับ และหาพยานยังไม่ยอมตอบอีก ก็ขอให้ศาลกำชับพยาน หากเราเจอพยานที่ยียวน หรือตอบไม่ตรงคำถาม เราจะต้องบอกกับพยานด้วยความสุภาพว่า ขอให้พยายามช่วยตอบให้ตรงคำถามด้วยครับ และหาพยานยังไม่ยอมตอบอีก ก็ขอให้ศาลกำชับพยาน การที่พยานแสดงอาการพยศเช่นนี้บ่อยๆ จะทำให้ศาลมองพยานในแง่ที่ไม่ดี และหากเราไม่ไปทะเลาะโต้เถียงกับพยาน แก้ปัญหาอย่างสุภาพชนด้วยวิธีการตามกฎหมายก็จะทำให้ศาลมองเราในแง่ที่ดี การที่พยานแสดงอาการพยศเช่นนี้บ่อยๆ จะทำให้ศาลมองพยานในแง่ที่ไม่ดี และหากเราไม่ไปทะเลาะโต้เถียงกับพยาน แก้ปัญหาอย่างสุภาพชนด้วยวิธีการตามกฎหมายก็จะทำให้ศาลมองเราในแง่ที่ดี และหากเราจะต้องเจอกับผู้พิพากษาที่ไม่เป็นใจ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดๆ เช่น และหากเราจะต้องเจอกับผู้พิพากษาที่ไม่เป็นใจ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดๆ เช่น ผู้พิพากษาที่ไม่ยอมจดบันทึกคำตอบพยานเมื่อเราถามค้าน ผู้พิพากษาที่ไม่ยอมจดบันทึกคำตอบพยานเมื่อเราถามค้าน ผู้พิพากษาที่คอยขัดหรือคอยห้าม เมื่อเราถามพยานโดยอ้างว่าไม่เกี่ยวกับประเด็นในคดี ทั้งๆที่เป็นคำถามที่เกี่ยวข้องในประเด็นหรือเป็นคำถามนำที่จะใช้ต้อนพยาน ผู้พิพากษาที่คอยขัดหรือคอยห้าม เมื่อเราถามพยานโดยอ้างว่าไม่เกี่ยวกับประเด็นในคดี ทั้งๆที่เป็นคำถามที่เกี่ยวข้องในประเด็นหรือเป็นคำถามนำที่จะใช้ต้อนพยาน หากเราจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่ผู้พิพากษาไม่เป็นใจในการถามค้านพยานเช่นนี้ เราก็ไม่ควรมีอารมณ์โกรธหรือไปโต้เถียงกับศาล แต่ควรจะพูดคุยกับท่านผู้พิพากษาด้วยความเคารพ และพยายามชี้แจงประเด็นให้ท่านทราบ เช่น หากเราจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่ผู้พิพากษาไม่เป็นใจในการถามค้านพยานเช่นนี้ เราก็ไม่ควรมีอารมณ์โกรธหรือไปโต้เถียงกับศาล แต่ควรจะพูดคุยกับท่านผู้พิพากษาด้วยความเคารพ และพยายามชี้แจงประเด็นให้ท่านทราบ เช่น ขออนุญาตอธิบายท่านด้วยความสุภาพว่าคำถาม-คำตอบ ที่ท่านไม่จด นั้นมีความสำคัญหรือมีประเด็นเกี่ยวเนื่องในคดีอย่างไร และขออนุญาตให้ท่านช่วยบันทึกคำถามหรือคำตอบนั้นไว้ โดยขอยืนยันว่าทนายความเป็นคนขอให้บันทึกไว้เอง ขออนุญาตอธิบายท่านด้วยความสุภาพว่าคำถาม-คำตอบ ที่ท่านไม่จด นั้นมีความสำคัญหรือมีประเด็นเกี่ยวเนื่องในคดีอย่างไร และขออนุญาตให้ท่านช่วยบันทึกคำถามหรือคำตอบนั้นไว้ โดยขอยืนยันว่าทนายความเป็นคนขอให้บันทึกไว้เอง ทั้งนี้สาเหตุที่ผู้พิพากษาไม่จดคำตอบ หรือไม่อนุญาตให้เราใช้คำถาม มักจะมีสาเหตุเนื่องจากท่านผู้พิพากษานั้น ไม่ทราบว่าคำถามหรือคำตอบของเรามีความสำคัญหรือเกี่ยวเนื่องกับคดีอย่างไร เนื่องจากผู้พิพากษานั้นไม่ได้ลงมาสอบข้อเท็จจริงหรือตรวจสอบพยานหลักฐานตั้งแต่ต้นเหมือนกับทนายความ จึงยังอาจไม่เข้าใจเรื่องราวข้อเท็จจริงในคดีทั้งหมด ทั้งนี้สาเหตุที่ผู้พิพากษาไม่จดคำตอบ หรือไม่อนุญาตให้เราใช้คำถาม มักจะมีสาเหตุเนื่องจากท่านผู้พิพากษานั้น ไม่ทราบว่าคำถามหรือคำตอบของเรามีความสำคัญหรือเกี่ยวเนื่องกับคดีอย่างไร เนื่องจากผู้พิพากษานั้นไม่ได้ลงมาสอบข้อเท็จจริงหรือตรวจสอบพยานหลักฐานตั้งแต่ต้นเหมือนกับทนายความ จึงยังอาจไม่เข้าใจเรื่องราวข้อเท็จจริงในคดีทั้งหมด ซึ่งถ้าหากท่านทำตามข้อแนะนำของผมตั้งแต่ต้น ด้วยการตั้งประเด็นในการถามค้านอย่างมีวัตถุประสงค์ตั้งแต่แรก และรู้ดีว่าคำถามค้านแต่ละคำถามของตนเองนั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไรมีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับคดีอย่างไร ท่านย่อมสามารถอธิบายศาลได้โดยชัดเจน ซึ่งถ้าหากท่านทำตามข้อแนะนำของผมตั้งแต่ต้น ด้วยการตั้งประเด็นในการถามค้านอย่างมีวัตถุประสงค์ตั้งแต่แรก และรู้ดีว่าคำถามค้านแต่ละคำถามของตนเองนั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไรมีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับคดีอย่างไร ท่านย่อมสามารถอธิบายศาลได้โดยชัดเจน และจากประสบการณ์ผม ก็เห็นว่าส่วนใหญ่แล้วผู้พิพากษาแทบจะทุกคน ก็มักจะรับฟังคำอธิบายของทนายความ หากท่านอธิบายด้วยเหตุผลที่หนักแน่น มีข้อมูลอ้างอิง และชี้แจงด้วยความสุภาพให้เกียรติและเคารพศาล และจากประสบการณ์ผม ก็เห็นว่าส่วนใหญ่แล้วผู้พิพากษาแทบจะทุกคน ก็มักจะรับฟังคำอธิบายของทนายความ หากท่านอธิบายด้วยเหตุผลที่หนักแน่น มีข้อมูลอ้างอิง และชี้แจงด้วยความสุภาพให้เกียรติและเคารพศาล โดยจะต้องระมัดระวังอยู่อย่างนึงว่าการอธิบายดังกล่าวควรจะต้องขออธิบายส่วนตัวกับศาลไม่ให้พยานได้ยิน เพราะหากเราอธิบายให้พยานได้ยินว่าสาเหตุที่เราถามพยานนั้นเป็นเพราะอะไร พยานก็จะรู้เจตนาในการถามและเบิกความบ่ายเบี่ยงไป ทำให้เราเสียประโยชน์ โดยจะต้องระมัดระวังอยู่อย่างนึงว่าการอธิบายดังกล่าวควรจะต้องขออธิบายส่วนตัวกับศาลไม่ให้พยานได้ยิน เพราะหากเราอธิบายให้พยานได้ยินว่าสาเหตุที่เราถามพยานนั้นเป็นเพราะอะไร พยานก็จะรู้เจตนาในการถามและเบิกความบ่ายเบี่ยงไป ทำให้เราเสียประโยชน์ อย่างไรก็ตามหากท่านจะต้องเจอกับผู้พิพากษาที่ไม่รับฟังคำอธิบาย เอาความเห็นของตนเองเป็นใหญ่แต่เพียงฝ่ายเดียว ท่านจะต้องทำใจให้เย็นไว้ อย่ามีอารมณ์โกรธเด็ดขาด แต่ให้ท่านใช้วิธีการแก้ไขปัญหาด้วยการยื่นคำร้องขอโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณา หรือเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามกฎหมายต่อไป อย่างไรก็ตามหากท่านจะต้องเจอกับผู้พิพากษาที่ไม่รับฟังคำอธิบาย เอาความเห็นของตนเองเป็นใหญ่แต่เพียงฝ่ายเดียว ท่านจะต้องทำใจให้เย็นไว้ อย่ามีอารมณ์โกรธเด็ดขาด แต่ให้ท่านใช้วิธีการแก้ไขปัญหาด้วยการยื่นคำร้องขอโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณา หรือเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามกฎหมายต่อไป
รวม 12 เทคนิคการถามค้าน 1. คิดคำถามค้าน โดยจะต้องคิดก่อนว่า ต้องการให้พยานตอบคำถามว่าอย่างไร แล้วค่อยคิดคำถามป้อนถามพยาน เพื่อให้ตอบให้ได้ใกล้เคียงกับคำตอบที่ต้องการ เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะจะทำให้ตั้งคำถามได้อย่างถูกต้อง 2. ถามจากเหตุไปหาผล ใช้คำถามที่ห่างประเด็นก่อนไม่ให้พยานรู้ตัว พยานจะไม่รู้ว่าจะมีผลดีผลเสียกับรูปคดีอย่างไร พยานส่วนใหญ่กมักจะตอบไปตามความเป็นจริง หากเรามีข้อเท็จจริงที่พยายามจะต้องเบิกความยอมรับโดยไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เราก็ควรถามค้านให้พยานเบิกความรับรองก่อน 3. ใช้คำถามนำเป็นหลัก หากถามเป็นคำถามปลายเปิด พยานมักจะอธิบายข้อความที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง โดยใช้คำถามให้สั้น กระชับ ได้ใจความ และไม่ปล่อยให้พยานอธิบายตามความพอใจ 4. ใช้ถ้อยคำสุภาพ และใช้น้ำเสียงนุ่มนวล ไม่แสดงความเป็นปฏิปักษ์ โอกาสที่พยานจะเเบิกความคล้อยไปตามคำถามของคุณ ก็มีโอกาสสูงมาก เพราะเขาคิดว่าคำตอบไม่ได้เป็นโทษอะไรกับตัวเขา 5. ไม่แสดงอาการยินดียินร้ายบนใบหน้า เมื่อพยานเบิกความเป็นที่เสียหายแก่รูปคดี เท่ากับบอกให้พยานรู้ว่าตนเองเบิกความผิดพลาดในช่วงไหน ซึ่งพยานก็จะพยายามหาทางอธิบายเพื่อแก้ไขให้หนักหน่วง 6. เทคนิคเฉพาะในการถามค้านให้พยานเบิกความขัดแย้งกับพยานวัตถุและพยานเอกสาร ต้องถามถึงเนื้อหาต่างๆ ให้พยานเบิกความไปก่อน โดยพยายามใช้คำถามนำให้พยานเบิกความขัดแย้งกับข้อความในพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ 7. เทคนิคเฉพาะในการถามค้านพยานคู่ ต้องถามค้านพยานปากแรกให้ละเอียด หลังจากนั้นเมื่อพยานปากที่ 2 อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์ในคราวเดียวกันมาเบิกความ จะใช้วิธีการถามรายละเอียดโดยใช้คำถามชุดเดิม 8. รู้จักหยุดเมื่อควรจะต้องหยุด หากทป้อนต่อเนื่องเรื่อยๆ จะกลายเป็นเสียประโยชน์ 9.การถามค้าน เพื่อประโยชน์ในการใช้สิทธินำสืบต่อไป ต้องถามค้านพยานฝ่ายตรงข้ามถึงข้อเท็จจริงที่ต้องการนำสืบและอยู่ในความรู้เห็นของพยาน เพื่อให้พยานได้เบิกความอธิบายก่อนจะนำสืบ หากไม่ถามค้านแต่กลับมานำสืบเองโดยไม่ให้โอกาสพยานฝ่ายตรงข้ามอธิบาย การนำสืบจะไม่มีน้ำหนักน่ารับฟัง 10.ใช้คำถามตามลักษณะของพยาน เพื่อเลือกใช้คำถามและวิธีการถามได้อย่างถูกต้อง 11. ทดสอบความรู้เห็นของพยานด้วยการตั้งคำถามแบบไม่เรียงลำดับ เพื่อจับเท็จ หรือเพื่อดูว่าพยานเบิกความไปตามความเป็นจริงหรือไม่ 12. สุขุมเยือกเย็น รู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อเมื่อผู้พิพากษาไม่เป็นใจ หรือเจอพยานยียวน ไม่ควรมีอารมณ์โต้ตอบกับพยาน เพราะการมีอารมณ์โกรธขึ้นจะทำให้การทำงานเกิดโอกาสผิดพลาดมาก และถูกศาลมองในภาพที่ไม่ดี
กฎหมายลักษณะพยาน,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9425
Legal
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 ระบุว่าอย่างไร
a. ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่น หรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ b. ผู้ใดทำร้ายร่างกายหรือประทุษร้ายต่อเสรีภาพของผู้แทนรัฐต่างประเทศ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน c. ผู้ใดกระทำการใด ๆ ต่อธงหรือเครื่องหมายอื่นใด อันมีความหมายถึงรัฐต่างประเทศซึ่งมีสัมพันธไมตรี เพื่อเหยียดหยามรัฐนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ d. ผู้ใดต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
คำตอบคือ a. เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่น หรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” หลักกฎหมายเบื้องต้น ในคดีความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานนั้น เป็นการกระทำความผิดที่ทำต่อรัฐและเจ้าพนักงานของรัฐโดยตรง ธรรมดาแล้วตัวบุคคลธรรมดาไม่ได้เป็นผู้เสียหาย ยกเว้นแต่กรณีที่บุคคลนั้นมีความเกี่ยวข้องหรือเป็นผู้เสียหายในกรณีพิเศษ ตัวอย่างเช่น การแจ้งความเท็จนั้นเป็นการพาดพิงไปถึงตัวผู้เสียหาย หรือผลของการแจ้งความเท็จนั้นกระทบสิทธิต่อผู้เสียหายโดยตรง แต่หากการแจ้งความเท็จนั้น ไม่ได้เป็นการกระทำที่พาดพิงไปถึงผู้เสียหาย หรือกระทบสิทธิของผู้เสียหายโดยตรง ผู้เสียหายย่อมไม่มีอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดี
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9426
Legal
อะไรคือความสำคัญของการรวบรวมข้อเท็จจริงและหลักฐานก่อนการยื่นฟ้องคดี?
null
การรวบรวมข้อเท็จจริงและหลักฐานก่อนการยื่นฟ้องคดีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์ของคดี สาเหตุหลักๆ มีดังนี้: 1. ช่วยให้ทนายความเข้าใจรูปคดีอย่างถ่องแท้: ทนายความไม่ควรเชื่อทุกอย่างที่ลูกความเล่า แต่ควรวิเคราะห์ข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และเหตุผลอย่างรอบคอบ การรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดช่วยให้ทนายความเข้าใจบริบทของคดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และบทบาทของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ความเข้าใจที่ถ่องแท้ช่วยให้ทนายความวางกลยุทธ์และแนวทางการต่อสู้คดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ช่วยให้ฟ้องร้องคดีได้ถูกต้อง: ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนอาจส่งผลต่อการระบุประเด็นข้อพิพาท รูปคดี และข้อเรียกร้อง การฟ้องร้องคดีที่ผิดพลาดอาจทำให้เสียโอกาสในการชนะคดี หรือถูกศาลยกฟ้อง การมีข้อมูลครบถ้วนช่วยให้ทนายความร่างคำฟ้องที่ชัดเจน ตรงประเด็น และสอดคล้องกับข้อเท็จจริง 3. ช่วยให้มีพยานหลักฐานเพียงพอ: การรวบรวมพยานหลักฐานตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยให้ทนายความมีเวลาหาพยานเพิ่มเติม วิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ และเตรียมการนำสืบพยาน การมีพยานหลักฐานที่เพียงพอและน่าเชื่อถือเป็นกุญแจสำคัญในการชนะคดี 4. ช่วยให้ประเมินโอกาสชนะคดี: ข้อมูลที่ครบถ้วนช่วยให้ทนายความประเมินจุดแข็งจุดอ่อนของคดี และโอกาสในการชนะคดี การประเมินที่แม่นยำช่วยให้ลูกความตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม เช่น เลือกที่จะต่อสู้คดี หรือเจรจาประนีประนอม 5. ช่วยให้เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้คดี: ทนายความสามารถเตรียมคำถามสำหรับซักค้านพยาน ฝ่ายตรงข้าม เตรียมเอกสารและพยานหลักฐาน การเตรียมพร้อมช่วยให้ทนายความสามารถตอบโต้ข้อกล่าวหาของฝ่ายตรงข้าม และนำเสนอข้อเท็จจริงต่อศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สรุป: การรวบรวมข้อเท็จจริงและหลักฐานก่อนการยื่นฟ้องคดี เปรียบเสมือนการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับคดี ช่วยให้ทนายความสามารถต่อสู้คดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสในการชนะคดี ข้อควรระวัง: ไม่ควรยื่นฟ้องคดีก่อนรวบรวมข้อเท็จจริงและหลักฐานให้ครบถ้วน ไม่ควรเชื่อทุกอย่างที่ลูกความเล่า แต่ควรตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ ควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลและหลักฐาน บทสรุป: การให้ความสำคัญกับการรวบรวมข้อเท็จจริงและหลักฐานก่อนการยื่นฟ้องคดี ส่งผลต่อความสำเร็จของคดีอย่างมาก ทนายความและลูกความควรให้ความสำคัญกับขั้นตอนนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะคดี
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9427
Legal
การ "ขอคืนของกลาง รถที่ถูกยึดจากการนำไปแข่งในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต (เด็กแว๊น)" อะไรคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาว่าศาลจะคืนรถให้เจ้าของหรือไม่?
(A) ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางโดยสุจริต (B) ผู้ร้องไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิด (C) ผู้ร้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริง (D) รถที่ถูกยึดไม่ได้ถูกดัดแปลงสภาพ
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ (A) ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางโดยสุจริต เหตุผล: เจ้าของรถต้องแสดงเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำผิด เป็นหลักเกณฑ์พื้นฐานที่ศาลพิจารณาก่อนอื่น บทความยกตัวอย่างฎีกาที่ศาลยกคำร้องเพราะเจ้าของรถไม่สุจริต เพราะว่า คำตอบที่ถูกต้อง: (A) ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางโดยสุจริต เหตุผล: บทความเน้นย้ำว่าศาลจะพิจารณาว่าผู้ร้องยื่นคำร้องโดยสุจริตหรือไม่ ศาลจะยกคำร้องในหลายกรณี แม้เจ้าของรถจะไม่มีส่วนรู้เห็นหรือเป็นเจ้าของที่แท้จริง แต่หากศาลพิจารณาว่าไม่สุจริต ตัวอย่างฎีกาในบทความส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับประเด็นความสุจริต ข้อคิดเพิ่มเติม: การขอคืนรถของกลางเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่มีรายละเอียด เจ้าของรถควรศึกษาข้อมูลและเตรียมหลักฐานให้พร้อม การปรึกษาทนายความอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รถคืน หมายเหตุ: ตัวเลือก (B) และ (C) เป็นปัจจัยที่สำคัญ แต่ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุด ตัวเลือก (D) ไม่ได้กล่าวถึงในบทความ สรุป: ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาว่าศาลจะคืนรถให้เจ้าของหรือไม่ คือ ความสุจริตของเจ้าของรถ ศาลจะพิจารณาจากพฤติกรรมและเจตนาของเจ้าของรถว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหรือไม่
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),คำพิพากษาศาลฎีกา,กฎหมายจราจร
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9431
Legal
คำถาม: ทนายความควรนั่งคู่กับลูกความในระหว่างการพิจารณาคดีหรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เหตุผล: ข้อดี -การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ: ทนายความสามารถพูดคุยกับลูกความได้สะดวกและรวดเร็ว ช่วยให้สามารถแก้ไขข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นใหม่ หรือจัดการกับข้อพิรุธขัดแย้งในคำพยานได้ทันที -การสร้างความมั่นใจ: ลูกความรู้สึกได้รับการสนับสนุนและรู้สึกปลอดภัย ช่วยให้สามารถให้ข้อมูลและตอบคำถามได้อย่างมีประสิทธิภาพ -กลยุทธ์ทางกฎหมาย: ทนายความสามารถสังเกตภาษากายของลูกความ และปรับกลยุทธ์การซักค้านพยานหรือการแก้ต่างได้อย่างเหมาะสม ข้อเสีย -การรบกวนสมาธิ: ทนายความอาจเสียสมาธิในการฟังพยานหรือการจดบันทึก -การเสียเวลา: การสื่อสารระหว่างทนายความกับลูกความอาจใช้เวลานาน ทำให้การพิจารณาคดีล่าช้า -ความไม่เหมาะสม: ศาลบางแห่งอาจมีกฎระเบียบห้ามทนายความนั่งคู่กับลูกความ ปัจจัยที่ต้องพิจารณา -ประเภทของคดี: คดีอาญาที่มีโทษหนัก อาจมีความจำเป็นต้องนั่งคู่กับลูกความมากกว่าคดีแพ่ง -บุคลิกของลูกความ: ลูกความที่ขี้อายหรือวิตกกังวล อาจจะได้รับประโยชน์จากการนั่งคู่กับทนายความ -กฎระเบียบของศาล: ศาลบางแห่งอาจมีกฎระเบียบห้ามทนายความนั่งคู่กับลูกความ สรุป: การนั่งคู่กับลูกความมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทนายความควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ก่อนตัดสินใจว่าควรนั่งคู่กับลูกความในระหว่างการพิจารณาคดีหรือไม่ เพิ่มเติม -ทนายความควรตกลงกับลูกความถึงแนวทางการปฏิบัติระหว่างกันโดยดี เพื่อไม่ให้เป็นการเป็นการ-รบกวนสมาธิของทนายความ หรือทำให้เกิดความอึกทึกต่อศาลระหว่างการพิจารณาคดี -ทนายความควรขออนุญาตศาลก่อนที่จะนั่งคู่กับลูกความ
วิชาว่าความและทนายความ คำฟ้อง คำให้การและคำร้องขอ มรรยาททนายความ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9432
Legal
หลักการพิจารณาคดีรับของโจรของศาลมีแนวทางอย่างไร
null
กรณีที่จำเลยรับซื้อของกลางที่ได้มาจากการกระทำผิดนั้น เป็นหน้าที่ของโจทก์โดยตรงที่จะต้องนำสืบให้ศาลเห็นว่า จำเลยมีพฤติการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่าได้รับซื้อของกลางโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากกระทำผิด มิใช่หน้าที่ของจำเลยที่จะต้องนำสืบว่าตนเองไม่รู้ว่าทรัพย์สินของกลางเป็นของที่ได้มากจากการกระทำผิด หากโจทก์นำสืบแต่เพียงว่าจำเลยเป็นผู้รับซื้อของกลางหรือแต่เพียงนำสืบว่าทรัพย์ของกลางอยู่ที่จำเลย แต่ไม่ได้นำสืบให้ปรากฏถึงพฤติการณ์ประกอบต่างๆที่จะชี้ให้เห็นว่าจำเลยได้รู้อยู่แล้วว่าทรัพย์สินของกลางนั้นเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด ศาลย่อมไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้ โดยหลักการพิจารณาว่าจำเลยรู้ว่าทรัพย์สินของกลางเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิดหรือไม่มีดังนี้ 1. ราคาของทรัพย์สินที่รับซื้อ หากราคาทรัพย์สินที่ผู้ซื้อรับซื้อไว้นั้นต่ำกว่ามูลค่าทรัพย์สินที่แท้จริงเป็นจำนวนมาก ย่อมชี้ให้เห็นว่าจำเลยรับซื้อไว้โดยไม่สุจริต ในทางกลับกันหากราคาที่รับซื้อนั้นเป็นไปตามราคาปกติของทรัพย์สินประเภทนั้นๆ และในการซื้อขายมีการออกใบเสร็จหรือบิลเงินสดอย่างถูกต้องย่อมชี้ให้เห็นว่าผู้ซื้อมีเจตนาสุจริต แต่หากไม่ใช่การรับซื้อทรัพย์สินไว้ เป็นเพียงการรับจำนำ แม้ราคาที่รับจำนำจะต่ำกว่าราคาทรัพย์สินมาก ย่อมไม่ถือเป็นข้อพิรุธแต่อย่างใด เพราะการรับจำนำไม่ใช้การซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ผู้จำนำเพียงรับทรัพย์สินนั้นไว้เป็นประกันหนี้เท่านั้น และราคาที่รับจำนำขึ้นอยู่กับผู้จำนำและผู้รับจำนำจะตกลงกัน ซึ่งอาจจะต่ำกว่าราคาทรัพย์สินเป็นจำนวนมากก็ได้ เพราะขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้เงินของผู้จำนำ 2. ลักษณะการนำทรัพย์สินนั้นไปใช้ประโยชน์ หากผู้ซื้อ นำทรัพย์สินที่รับซื้อไปใช้งานอย่างเปิดเผยหรือเก็บไว้ในสถานที่ที่เปิดเผย ไม่ได้ซุกซ่อน ย่อมเป็นข้อบ่งชี้อย่างหนึ่งว่าผู้ซื้อไม่รู้ว่าทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด แต่ในทางกลับกันหากผู้ซื้อมิได้นำทรัพย์สินนั้นไปใช้งานแต่กลับนำไปขายต่อในราคาที่สูงกว่าราคาที่รับซื้อมากเป็นจำนวนมาก หรือนำทรัพย์สินนั้นไปซุกซ่อนอย่างมิดชิด หรือจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพของทรัพย์สินโดยเจตนาไม่ให้บุคคลอื่นจำได้ เช่นเปลี่ยนสีรถ นำหมายเลขทะเบียนปลอมมาสวมใส่ ย่อมบ่งชี้ว่าผู้ซื้อรู้อยู่แล้วว่าทรัพย์สินนั้นได้มาโดยมิชอบ 3. สภาพของทรัพย์สินที่รับซื้อ หากสภาพของทรัพย์สินที่ซื้อมีลักษณะพิรุธ เช่น มีร่องรอยการขูดลบแก้ไขหมายเลขเครื่องยนต์และหมายเลขตัวถังรถยนต์ ไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน ไม่ติดแผ่นป้ายวงกลมเสียภาษี ไม่มีสมุดคือมือจดทะเบียนรถยนต์ หรือรถสภาพยังดีอยู่ ไม่น่าจะที่ทำการแยกชิ้นส่วนอะไหล่ขาย เหล่านี้ ถือว่าเป็นสภาพที่ผิดปกติจากการซื้อขายทรัพย์สินทั่วไป จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยรับซื้อไว้โดยไม่สุจริต 4. อาชีพและฐานะของผู้ซื้อ หากผู้ซื้อประกอบอาชีพเป็นผู้รับซื้อสินค้าประเภทนั้นๆ เช่นรับซื้อรถยนต์ หรือรับซื้อของเก่า โดยอาชีพอยู่แล้ว ศาลถือว่าผู้ซื้อย่อมมีความรู้ต่างๆเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่นราคากลาง ลักษณะพิรุธของทรัพย์สิน และผู้ซื้อจะต้องมีความระมัดระวังในการรับซื้อทรัพย์สินประเภทนั้นมากกว่าบุคคลทั่วไป ดังนั้นหากในการรับซื้อไม่มีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานทางทะเบียน หรือมีข้อพิรุธอื่นๆ เช่น รับซื้อในราคาต่ำ หรือรับซื้อโดยไม่ตรวจสอบหลักฐานทางทะเบียน จะทำให้น่าเชื่อว่าไม่สุจริตมากกว่าบุคคลธรรมดา 5. อาชีพและฐานะของผู้ขาย หากตามอาชีพและพฤติการณ์ของผู้ขายแล้ว ไม่ควรจะนำทรัพย์สินประเภทๆนั้นมาขายได้ ย่อมเป็นข้อบ่งชี้ข้อหนึ่งว่าผู้ซื้อน่าจะรับซื้อไว้โดยไม่สุจริต เช่น ผู้ขายเป็นเด็กนำสุราจำนวนมากถึง 48 ขวดมาขาย ผู้ซื้อย่อมรู้ว่าเด็กไม่ได้นำเอาสุรามาโดยสุจริต หรือผู้ขายเป็นเพียงลูกจ้างไม่ได้มีหน้าที่ในทำการขายสินค้าของนายจ้าง แต่กลับนำสินค้าของนายจ้างมาจำหน่ายได้เป็นจำนวนมาก ย่อมบ่งชี้ว่าผู้ซื้อรู้อยู่แล้วว่าผู้ขายลักทรัพย์นายจ้างมาจำหน่าย 6. เวลาและสถานที่ที่ทำการซื้อขาย หากในการซื้อขายได้ทำในสถานที่เปิดเผยมีบุคคลทั่วไปร่วมรับรู้ และในเวลาตามปกติในการซื้อขายทรัพย์สินประเภทนั้นๆ ย่อมทำให้น่าเชื่อว่าการซื้อทรัพย์สินนั้นเป็นไปโดยสุจริต แต่หากการซื้อขายได้ทำในเวลาที่ไม่ใช่เวลาตามปกติในการซื้อทรัพย์สินประเภทนั้นๆ ย่อมทำให้น่าเชื่อว่าผู้ซื้อรู้อยู่แล้วว่าทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด เช่น ผู้ขายนำแหวนเพชรมาขายที่แผงลอยขายของ หรือนำมาปลาดุกเป็นจำนวนมากมาขายเสนอขายในเวลาดึก 7. พฤติการณ์ขณะพบเจอเจ้าหน้าที่ หากขณะพบเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ซื้อแสดงอาการตกใจ หรือพยายามหลบหนีการจับกุม หรือพยายามบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงว่าไม่ได้รับซื้อของกลางไว้ ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจำเลยรับซื้อไว้โดยไม่สุจริต แต่หากจำเลยไม่ได้หลบหนีการจับกุม ทั้งยังให้ความร่วมมือในการตรวจสอบหลักฐานทางทะเบียน หรือมอบทรัพย์สินให้แก่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบโดยดี ย่อมบ่งชี้ว่าจำเลยรับซื้อทรัพย์สินไว้โดยสุจริต
กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ (ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง),ประมวลกฎหมายอาญา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9434
Legal
ปัญหาของผู้เสียหายที่แจ้งความแล้วพนักงานสอบสวนไม่รับแจ้งความ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยครั้งแต่สามารถแก้ไขได้ไม่ยาก เพราะเหตุใด
ก. เพราะผู้เสียหายมีสิทธิว่าจ้างทนายความให้ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลได้โดยตรง ข. เพราะผู้ต้องหาอาจถูกจับในคดีอื่นๆ ค. เพราะผู้ต้องหารไปติดต่อหน่วยงานราชการ ง. เพราะต้องเสียค่าตามจับเป็นจำนวนไม่น้อย
คำตอบคือ ก. เพราะว่าปัญหาของผู้เสียหายที่แจ้งความแล้วพนักงานสอบสวนไม่รับแจ้งความ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยครั้งแต่สามารถแก้ไขได้ไม่ยาก เพราะผู้เสียหายมีสิทธิว่าจ้างทนายความให้ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลได้โดยตรง โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจพนักงานสอบสวน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 28 อนุมาตรา 2 ปัญหาของผู้เสียหายที่แจ้งความแล้วพนักงานสอบสวนไม่รับแจ้งความ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยครั้งแต่ปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ไม่ยาก เพราะผู้เสียหายมีสิทธิว่าจ้างทนายความให้ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลได้โดยตรง โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจพนักงานสอบสวน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 28 อนุมาตรา 2 แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติบ่อยครั้งและแก้ไขค่อนข้างลำบาก ก็คือ เมื่อผู้เสียหายว่าจ้างทนายความฟ้องคดีต่อศาล จนสามารถออกหมายจับออกมาแล้ว กลับไม่มีเจ้าพนักงานตำรวจตามจับกุมผู้ต้องหาแต่อย่างใด และในกรณีนี้ ถึงแม้ผู้เสียหายจะมีหมายจับอยู่ในมือ และทราบดีว่าผู้ต้องหาพักอาศัยอยู่ที่ไหน หรือแม้กระทั่งผู้เสียหายพบเห็นผู้ต้องหาอยู่ต่อหน้า ก็ไม่มีอำนาจจับกุมผู้ต้องหา เพราะการจับตามหมายจับ จะต้องเริ่มกระทำโดยเจ้าพนักงานเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 79 ประกอบมาตรา 82 และเมื่อผู้เสียหายหรือทนายความผู้เสียหายคัดถ่ายหมายจับจากศาล และถือหมายจับไปให้เจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวน ซึ่งมีหน้าที่ตามจับกุมผู้ต้องหา ตำรวจชุดสิืบสวนก็จะรับหมายจับไว้ และรับปากว่าจะตามจับให้ แต่เรื่องก็จะเงียบหายไปพร้อมกับกาลเวลา เว้นแต่คดีของท่านจะเป็นคดีดังที่มีประชาชนหรือสื่อให้ความสนใจ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9435
Legal
จงสรุปเรื่อง การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ให้หน่อยค่ะ
ตัวอย่างการต่อสู้คดีแพ่งวันนี้ เป็นคดีของศาลแรงงาน เรื่อง เลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยคดีนี้ผมรับหน้าที่เป็นทนายความจำเลย ของบริษัทผลิตสีชื่อดังแห่งหนึ่ง ตัวอย่างการต่อสู้คดีแพ่งวันนี้ เป็นคดีของศาลแรงงาน เรื่อง เลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยคดีนี้ผมรับหน้าที่เป็นทนายความจำเลย ของบริษัทผลิตสีชื่อดังแห่งหนึ่ง รายละเอียดในคดีเป็นอย่างไรติดตามรับชมได้เลย รายละเอียดในคดีเป็นอย่างไรติดตามรับชมได้เลย สาเหตุแห่งการฟ้องร้องดำเนินคดี สาเหตุแห่งการฟ้องร้องดำเนินคดี สาเหตุแห่งการฟ้องร้องดำเนินคดี จำเลยเป็นบริษัทผลิตสีชื่อดังของประเทศไทย แต่เดิมมีโรงงานการผลิตอยู่ที่จังหวัดนครปฐม จำเลยเป็นบริษัทผลิตสีชื่อดังของประเทศไทย แต่ดเดิมมีโรงงานการผลิตอยู่ที่จังหวัดนครปฐม แต่เดิมตอนตั้งโรงงานเมื่อหลายสิบปีที่แล้วนั้นบริเวณดังกล่าวก็ยังเป็นสถานที่โล่งไม่มีชุมชนมากนัก เหมาะแก่การประกอบกิจการ แต่เดิมตอนตั้งโรงงานเมื่อหลายสิบปีที่แล้วนั้นบริเวณดังกล่าวก็ยังเป็นสถานที่โล่งไม่มีชุมชนมากนัก เหมาะแก่การประกอบกิจการ เวลาผ่านมาประมาณ 30 -40 ปี สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป เพราะปรากฎว่าเกิดชุมชนขึ้นล้อมรอบโรงงาน ทำให้การขยายกิจการ และขยายโรงงานเป็นไปได้ลำบาก เวลาผ่านมาประมาณ 30 -40 ปี สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป เพราะปรากฎว่าเกิดชุมชนขึ้นล้อมรอบโรงงาน ทำให้การขยายกิจการ และขยายโรงงานเป็นไปได้ลำบาก ประกอบกับสถานการณ์ของเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทางจำเลยมีความจำเป็นจะต้องสั่งเครื่องจักรและขยายโรงงาน เพื่อต่อสู้กับการแข่งขันทางตลาดที่รุนแรงขึ้นทุกวัน ประกอบกับสถานการณ์ของเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทางจำเลยมีความจำเป็นจะต้องสั่งเครื่องจักรและขยายโรงงาน เพื่อต่อสู้กับการแข่งขันทางตลาดที่รุนแรงขึ้นทุกวัน แต่บริเวณโรงงานเดิมไม่สามารถขยายต่อได้แล้ว สถานที่เดิมจึงไม่เหมาะอีกต่อไป แต่บริเวณโรงงานเดิมไม่สามารถขยายต่อได้แล้ว สถานที่เดิมจึงไม่เหมาะอีกต่อไป จำเลยจึงมีความประสงค์จะย้ายโรงงานไปยังสถานที่ที่เหมาะสม ก็คือที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีนิคมอุตสาหกรรมต่างๆอยู่เป็นจำนวนมาก มีสิทธิประโยชน์และความเหมาะสมในการสร้างโรงงานมากที่สุด จำเลยจึงมีความประสงค์จะย้ายโรงงานไปยังสถานที่ที่เหมาะสม ก็คือที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีนิคมอุตสาหกรรมต่างๆอยู่เป็นจำนวนมาก มีสิทธิประโยชน์และความเหมาะสมในการสร้างโรงงานมากที่สุด อย่างไรก็ตามในการย้ายโรงงานดังกล่าว จำเลยเข้าใจดีว่าจะส่งผลกระทบต่อพนักงานทุกคน โดยเฉพาะคนที่ทำงานมานาน จำเลยจึงได้เสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆให้กับพนักงานอย่างดีที่สุด อย่างไรก็ตามในการย้ายโรงงานดังกล่าว จำเลยเข้าใจดีว่าจะส่งผลกระทบต่อพนักงานทุกคน โดยเฉพาะคนที่ทำงานมานาน จำเลยจึงได้เสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆให้กับพนักงานอย่างดีที่สุด โดยพนักงานที่สมัครใจย้ายไปทำงานที่สถานที่ทำงานใหม่ จำเลยก็จะให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้เป็นจำนวนมาก โดยพนักงานที่สมัครใจย้ายไปทำงานที่สถานที่ทำงานใหม่ จำเลยก็จะให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้เป็นจำนวนมาก ส่วนพนักงานที่ไม่สมัครใจย้ายไปที่ทำงานแห่งใหม่ จำเลยก็จะจ่ายเงินชดเชยและเงินอื่นๆตามกฎหมายทั้งหมด นอกจากนี้ยังบวกเงินพิเศษนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนดให้เป็นสินน้ำใจแก่พนักงานอีกด้วย ส่วนพนักงานที่ไม่สมัครใจย้ายไปที่ทำงานแห่งใหม่ จำเลยก็จะจ่ายเงินชดเชยและเงินอื่นๆตามกฎหมายทั้งหมด นอกจากนี้ยังบวกเงินพิเศษนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนดให้เป็นสินน้ำใจแก่พนักงานอีกด้วย โจทก์ไม่ประสงค์จะย้ายไปทำงานกับจำเลย จำเลยจึงได้เลิกจ้างโจทก์พร้อมกับจ่ายเงินค่าชดเชย เงินอื่นๆตามที่กฎหมาย รวมทั้งเงินพิเศษที่เป็นค่าน้ำใจอีกประมาณ 1 แสนบาทนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนดให้จ่าย โจทก์ไม่ประสงค์จะย้ายไปทำงานกับจำเลย จำเลยจึงได้เลิกจ้างโจทก์พร้อมกับจ่ายเงินค่าชดเชย เงินอื่นๆตามที่กฎหมาย รวมทั้งเงินพิเศษที่เป็นค่าน้ำใจอีกประมาณ 1 แสนบาทนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนดให้จ่าย รวมเป็นเงินที่โจทก์ได้ไปแล้วประมาณ 500,000 บาท แต่โจทก์ก็ยังไม่พอใจและได้มายื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ รวมเป็นเงินที่โจทก์ได้ไปแล้วประมาณ 500,000 บาท แต่โจทก์ก็ยังไม่พอใจและได้มายื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ บริษัทจำเลยเป็นบริษัทผลิตสี ซึ่งมีความจำเป็นต้องย้ายสถานประกอบการ เนื่องจากสถานที่เดิมเป็นเขตชุมชน ไม่สามารถขยายตัวรองรับเครื่องจักรใหม่ๆ เพื่อแข่งขันทางตลาดกันคู่แข่งอื่นๆได้ คำฟ้องของโจทก์ คำฟ้องของโจทก์ คำฟ้องของโจทก์ คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในข้อหาเรื่องเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในข้อหาเรื่องเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ทำงานมาเป็นเวลานานถึง ประมาณ 26 ปีมีเงินเดือนเดือนสุดท้ายประมาณ 40,0000 บาท โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ทำงานมาเป็นเวลานานถึง ประมาณ 26 ปีมีเงินเดือนเดือนสุดท้ายประมาณ 40,0000 บาท จำเลยปิดบริษัทและยุบหน่วยงานของโจทก์เลิกจ้างโจทก์ เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงขอเรียกเงินทดแทนจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นจำนวน 9,000,000 บาท จำเลยปิดบริษัทและยุบหน่วยงานของโจทก์เลิกจ้างโจทก์ เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงขอเรียกเงินทดแทนจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นจำนวน 9,000,000 บาท โดยสาเหตุที่เรียกเงินจำนวนดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ได้ทำงานมาเป็นเวลานาน จำเลยยังสามารถว่าจ้างโจทก์ต่อได้แต่ไม่ยอมทำการว่าจ้าง เป็นการผิดสัญญาและเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้มีงานทำและหางานใหม่ยากแล้ว เพราะมีอายุมาก โดยสาเหตุที่เรียกเงินจำนวนดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ได้ทำงานมาเป็นเวลานาน จำเลยยังสามารถว่าจ้างโจทก์ต่อได้แต่ไม่ยอมทำการว่าจ้าง เป็นการผิดสัญญาและเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้มีงานทำและหางานใหม่ยากแล้ว เพราะมีอายุมาก สำเนาคำฟ้องของโจทก์ สำเนาคำฟ้องของโจทก์ ข้อกฎหมายในคดี เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ข้อกฎหมายในคดี เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ข้อกฎหมายในคดี เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ตัวบทกฎหมาย ตัวบทกฎหมาย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 บัญญัติ ว่า “การพิจารณาคดีในกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าการเลิกจ้างลูกจ้างผู้นั้นไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ศาลแรงงานอาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่า ลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ ให้ศาลแรงงานกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้แทน โดยให้ ศาลคำนึงถึงอายุของ ลูกจ้าง ระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง ความเดือดร้อนของลูกจ้างเมื่อ ถูกเลิกจ้าง มูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับประกอบการพิจารณา” พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 บัญญัติ ว่า “การพิจารณาคดีในกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าการเลิกจ้างลูกจ้างผู้นั้นไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ศาลแรงงานอาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่า ลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ ให้ศาลแรงงานกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้แทน โดยให้ ศาลคำนึงถึงอายุของ ลูกจ้าง ระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง ความเดือดร้อนของลูกจ้างเมื่อ ถูกเลิกจ้าง มูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับประกอบการพิจารณา” คำอธิบาย คำอธิบาย การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม หมายความถึงการที่นายจ้างเลิกจ้างโจทก์ โดยไม่ใช่สาเหตุทั่วไปหรือสาเหตุปกติ ตามธรรมดาของการประกอบธุรกิจ แต่มีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งหรือเลือกปฏิบัติ การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม หมายความถึงการที่นายจ้างเลิกจ้างโจทก์ โดยไม่ใช่สาเหตุทั่วไปหรือสาเหตุปกติ ตามธรรมดาของการประกอบธุรกิจ แต่มีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งหรือเลือกปฏิบัติ การเลิกจ้างตามสาเหตุปกติ เช่น การเลิกจ้างเนื่องจากโรงงานประสบภาวะขาดทุน เลิกจ้างเนื่องจากปฏิบัติหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ เลิกจ้างเนื่องจากมีการยุบหน่วยงานบางสาขา ทำให้ไม่มีความจำเป็นจะต้องจ้างพนักงานคนนั้นอีกต่อไป เป็นต้น ส่วนการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เช่น การที่เลิกจ้างพนักงานทั้งทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิดอะไรแต่กลั่นแกล้งกันในเรื่องส่วนตัว การกลั่นแกล้งกล่าวหากันในเรื่องที่ไม่เป็นความจริงเพื่อให้ถูกเลิกจ้าง เป็นต้น ซึ่งตามข้อเท็จจริงในเรื่องนี้การเลิกจ้างของจำเลยนั้น เป็นการเลิกจ้างเนื่องจากมีความจำเป็นในด้านธุรกิจ ที่จะต้องย้ายสถานประกอบการไปที่จังหวัดชลบุรีเพื่อรองรับการขยายโรงงาน และมีความจำเป็นจะต้องทำเพื่อแข่งขันกันกับคู่แข่ง ซึ่งตามข้อเท็จจริงในเรื่องนี้การเลิกจ้างของจำเลยนั้น เป็นการเลิกจ้างเนื่องจากมีความจำเป็นในด้านธุรกิจ ที่จะต้องย้ายสถานประกอบการไปที่จังหวัดชลบุรีเพื่อรองรับการขยายโรงงาน และมีความจำเป็นจะต้องทำเพื่อแข่งขันกันกับคู่แข่ง ประกอบกับจำเลยเองก็ไม่ได้อยากจะเลิกจ้างโจทก์ได้เสนอเงื่อนไขต่างๆพร้อมทั้งประโยชน์ต่างๆให้โจทก์ เพื่อให้โจทก์ย้ายมาทำงานด้วยกันแล้ว แต่โจทก์ไม่ประสงค์จะย้ายมาเอง การเลิกจ้างของจำเลยจึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ประกอบกับจำเลยเองก็ไม่ได้อยากจะเลิกจ้างโจทก์ได้เสนอเงื่อนไขต่างๆพร้อมทั้งประโยชน์ต่างๆให้โจทก์ เพื่อให้โจทก์ย้ายมาทำงานด้วยกันแล้ว แต่โจทก์ไม่ประสงค์จะย้ายมาเอง การเลิกจ้างของจำเลยจึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา เช่น ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา เช่น คำพิพากษาฎีกา 4291- 4295/2528 การเลิกจ้างจะเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมนั้นต้องพิจารณาถึงสาเหตุแห่งการเลิกจ้างเป็นประการสำคัญ แม้การเลิกจ้างนั้นจะเป็นเหตุให้ผู้ถูกเลิกจ้างเดือดร้อน แต่เป็นความจำเป็นทางด้านนายจ้างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อให้กิจการยังคงดำรงอยู่ต่อไปโดยหวังว่ากิจการจะมีโอกาสกลับฟื้นตัวได้ใหม่ อันจะเป็นประโยชน์แก่นายจ้างเอง และเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างส่วนใหญ่ ย่อมเป็นสาเหตุที่จำเป็นแก่การเลิกจ้างแล้ว แม้จำเลยมิได้ยุบหน่วยงานที่โจทก์ทำงานอยู่ ก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม คำพิพากษาฎีกา 4291- 4295/2528 การเลิกจ้างจะเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมนั้นต้องพิจารณาถึงสาเหตุแห่งการเลิกจ้างเป็นประการสำคัญ แม้การเลิกจ้างนั้นจะเป็นเหตุให้ผู้ถูกเลิกจ้างเดือดร้อน แต่เป็นความจำเป็นทางด้านนายจ้างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อให้กิจการยังคงดำรงอยู่ต่อไปโดยหวังว่ากิจการจะมีโอกาสกลับฟื้นตัวได้ใหม่ อันจะเป็นประโยชน์แก่นายจ้างเอง และเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างส่วนใหญ่ ย่อมเป็นสาเหตุที่จำเป็นแก่การเลิกจ้างแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1353/2542 หลักเกณฑ์การพิจารณาเรื่องการเลิกจ้าง ที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ศาลจำต้องพิจารณาว่ามีสาเหตุแห่งการเลิกจ้างหรือไม่ และสาเหตุดังกล่าวมีเหตุเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่ เป็นสำคัญ แม้การเลิกจ้างนั้นจะเป็นเหตุให้ลูกจ้างเดือดร้อน ก็ตาม แต่หากเป็นความจำเป็นทางด้านนายจ้าง ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพื่อให้กิจการของนายจ้าง ยังคงดำรงอยู่ต่อไป โดยหวังว่ากิจการของนายจ้างจะมีโอกาสกลับฟื้นคืนตัวได้ใหม่ ย่อมเป็นสาเหตุที่จำเป็นและเพียงพอแก่การเลิกจ้างแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งแตกต่างจากหลักเกณฑ์เรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 มาตรา 122 และมาตรา 123 จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะจำเลยประสบภาวะเศรษฐกิจลูกค้าของจำเลยลดการสั่งซื้อสินค้าทำให้การผลิตลดลงเป็นเหตุให้จำเลยต้องลดอัตรากำลังคนให้พอเหมาะแก่ปริมาณงานที่แท้จริง ทั้งก่อนจำเลยเลิกจ้างโจทก์จำเลยก็ได้คัดเลือกโจทก์ออกจากงานตามหลักเกณฑ์ที่ทุกฝ่ายยอมรับโดยไม่เลือกปฏิบัติหรือกลั่นแกล้งโจทก์การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์กับลูกจ้างคนอื่น ๆ เพื่อต้องการพยุงกิจการของจำเลยให้อยู่รอดต่อไปได้ เช่นนี้จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีสาเหตุอันจำเป็นและเพียงพอแก่การเลิกจ้างแล้ว กรณีถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1353/2542 หลักเกณฑ์การพิจารณาเรื่องการเลิกจ้าง ที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ศาลจำต้องพิจารณาว่ามีสาเหตุแห่งการเลิกจ้างหรือไม่ และสาเหตุดังกล่าวมีเหตุเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่ เป็นสำคัญ แม้การเลิกจ้างนั้นจะเป็นเหตุให้ลูกจ้างเดือดร้อน ก็ตาม แต่หากเป็นความจำเป็นทางด้านนายจ้าง ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพื่อให้กิจการของนายจ้าง ยังคงดำรงอยู่ต่อไป โดยหวังว่ากิจการของนายจ้างจะมีโอกาสกลับฟื้นคืนตัวได้ใหม่ ย่อมเป็นสาเหตุที่จำเป็นและเพียงพอแก่การเลิกจ้างแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม คำให้การของจำเลย คำให้การของจำเลย คำให้การของจำเลย จากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังกล่าว ผมได้จัดทำคำให้การต่อสู้คดีนี้ไป มีเนื้อหาดังนี้ จากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังกล่าว ผมได้จัดทำคำให้การต่อสู้คดีนี้ไป มีเนื้อหาดังนี้ คำให้การ คำให้การ คำให้การ ข้อ1 จำเลยรับข้อเท็จจริงตามฟ้องข้อ 1-2 ข้อ1 จำเลยรับข้อเท็จจริงตามฟ้องข้อ 1-2 ข้อ 2. จำเลยยอมรับว่าได้เลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2560 จริง ซึ่งการเลิกจ้างดังกล่าวไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง เพราะสาเหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ เกิดจากการที่จำเลยมีความจำเป็นจะต้องปิดโรงงานผลิตสินค้าและกิจการที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครปฐมและกรุงเทพบางส่วน ข้อ 2. จำเลยยอมรับว่าได้เลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2560 จริง ซึ่งการเลิกจ้างดังกล่าวไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง เพราะสาเหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ เกิดจากการที่จำเลยมีความจำเป็นจะต้องปิดโรงงานผลิตสินค้าและกิจการที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครปฐมและกรุงเทพบางส่วน สาเหตุเนื่องจากบริษัทในเครือของจำเลย คือบริษัท อ.จำกัดได้ลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี โดยใช้เทคโนโยลีแบบใหม่ในการผลิตสินค้า เพื่อรองรับการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้นและใน สาเหตุเนื่องจากบริษัทในเครือของจำเลย คือบริษัท อ.จำกัดได้ลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี โดยใช้เทคโนโยลีแบบใหม่ในการผลิตสินค้า เพื่อรองรับการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้นและใน โดยการนี้จำเลยจะทำการปิดบริษัทจำเลย และปิดโรงงานผลิตแห่งเดิมที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เพื่อย้ายฐานการผลิตไปยังโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรีเพียงแห่งเดียว โดยการนี้จำเลยจะทำการปิดบริษัทจำเลย และปิดโรงงานผลิตแห่งเดิมที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เพื่อย้ายฐานการผลิตไปยังโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรีเพียงแห่งเดียว และจำเลยจะทำการโอนย้ายพนักงานทั้งหมดของบริษัทจำเลย ไปทำงานยัง บริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ณ. โรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี และจำเลยจะทำการโอนย้ายพนักงานทั้งหมดของบริษัทจำเลย ไปทำงานยัง บริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ณ. โรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี ในการย้ายฐานการผลิตไปยัง โรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี นั้นจำเลยได้เห็นคุณค่าของพนักงานทุกคนเนื่องจากทุกคนได้ทำงานให้บริษัทมาเป็นเวลานาน และมีความรู้ความเข้าใจงานเป็นอย่างดี จำเลยไม่ต้องการเลิกจ้างพนักงานคนใดแม้แต่คนเดียว ในการย้ายฐานการผลิตไปยัง โรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี นั้นจำเลยได้เห็นคุณค่าของพนักงานทุกคนเนื่องจากทุกคนได้ทำงานให้บริษัทมาเป็นเวลานาน และมีความรู้ความเข้าใจงานเป็นอย่างดี จำเลยไม่ต้องการเลิกจ้างพนักงานคนใดแม้แต่คนเดียว จำเลยจึงได้ให้สิทธิพนักงานของจำเลยทุกคนในการโอนย้ายไปทำงานที่ โรงงานผลิตแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี กับบริษัท บริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือจำเลย ซึ่งรวมทั้งตัวโจทก์ด้วย และจำเลยยังได้เสนอให้สวัสดิการที่ดีเป็นอย่างมาก แก่พนักงานที่จะย้ายไปทำงานยังที่ทำงานใหม่ทุกคน จำเลยจึงได้ให้สิทธิพนักงานของจำเลยทุกคนในการโอนย้ายไปทำงานที่ โรงงานผลิตแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี กับบริษัท บริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือจำเลย ซึ่งรวมทั้งตัวโจทก์ด้วย และจำเลยยังได้เสนอให้สวัสดิการที่ดีเป็นอย่างมาก แก่พนักงานที่จะย้ายไปทำงานยังที่ทำงานใหม่ทุกคน ซึ่งรวมถึงตัวโจทก์ ก็ได้รับการเสนอสวัสดิการดังกล่าว เช่นเดียวกับพนักงานทุกคนๆ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด ซึ่งรวมถึงตัวโจทก์ ก็ได้รับการเสนอสวัสดิการดังกล่าว เช่นเดียวกับพนักงานทุกคนๆ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด โดยสวัสดิการที่จำเลยได้เสนอให้กับพนักงานทุกคนๆ รวมทั้งตัวโจทก์ ที่มีความประสงค์จะย้ายไปทำงานยัง บริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือจำเลย ที่โรงงานใหม่ที่จังหวัดชลบุรี ได้แก่ โดยสวัสดิการที่จำเลยได้เสนอให้กับพนักงานทุกคนๆ รวมทั้งตัวโจทก์ ที่มีความประสงค์จะย้ายไปทำงานยัง บริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือจำเลย ที่โรงงานใหม่ที่จังหวัดชลบุรี ได้แก่ 1.นับอายุงานต่อจากอายุงานเดิมที่เคยทำงานกับจำเลย 1.นับอายุงานต่อจากอายุงานเดิมที่เคยทำงานกับจำเลย 2.สิทธิในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และสิทธิประโยชน์ทุกประการเช่น โบนัส ค่าล่วงเวลา และสิทธิอื่นๆ เหมือนเดิมกับที่พนักงานเคยทำงานกับจำเลย 2.สิทธิในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และสิทธิประโยชน์ทุกประการเช่น โบนัส ค่าล่วงเวลา และสิทธิอื่นๆ เหมือนเดิมกับที่พนักงานเคยทำงานกับจำเลย 3.อาหารกลางวัน 3.อาหารกลางวัน 4.บริการรถรับส่งไปยังที่ทำงานแห่งใหม่ 4.บริการรถรับส่งไปยังที่ทำงานแห่งใหม่ 5.ค่าเช่าบ้าน 2,000-5,000 บาทต่อเดือน 5.ค่าเช่าบ้าน 2,000-5,000 บาทต่อเดือน 6.ค่าขนย้าย 30,000 บาท 6.ค่าขนย้าย 30,000 บาท 7.ช่วยเหลือค่าเดินทางเดือนละ 1,000บาท เป็นเวลาสองปี 7.ช่วยเหลือค่าเดินทางเดือนละ 1,000บาท เป็นเวลาสองปี 8.เงินช่วยเหลือพิเศษในการย้ายสถานที่ทำการใหม่ โดยจะจ่ายตามระยะเวลาการทำงานของพนักงานแต่ละคน ซึ่งสำหรับตัวโจทก์ซึ่งทำงานมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี จะได้รับเงินช่วยเหลือพิเศษในการย้ายสถานที่ทำงานใหม่เป็นจำนวน 10 เท่าของเงินเดือน หรือเป็นเงินประมาณ 425,200 บาท 8.เงินช่วยเหลือพิเศษในการย้ายสถานที่ทำการใหม่ โดยจะจ่ายตามระยะเวลาการทำงานของพนักงานแต่ละคน ซึ่งสำหรับตัวโจทก์ซึ่งทำงานมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี จะได้รับเงินช่วยเหลือพิเศษในการย้ายสถานที่ทำงานใหม่เป็นจำนวน 10 เท่าของเงินเดือน หรือเป็นเงินประมาณ 425,200 บาท รายละเอียดปรากฎตามประกาศเรื่องผลประโยชน์ของพนักงานในการย้ายสถานที่ทำงาน เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 ซึ่งคำแปลภาษาไทยจำเลยจะอ้างส่งในชั้นพิจารณาต่อไป รายละเอียดปรากฎตามประกาศเรื่องผลประโยชน์ของพนักงานในการย้ายสถานที่ทำงาน เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 ซึ่งคำแปลภาษาไทยจำเลยจะอ้างส่งในชั้นพิจารณาต่อไป ข้อ 3. ซึ่งจำเลยได้แจ้งกับโจทก์ทราบล่วงหน้าแล้ว ในการประชุมพนักงานตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2558 ว่าทางจำเลยมีความจำเป็นต้องปิดโรงงานและกิจการที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมลง และมีความจำเป็นต้องย้ายโรงงานไปอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ข้อ 3. ซึ่งจำเลยได้แจ้งกับโจทก์ทราบล่วงหน้าแล้ว ในการประชุมพนักงานตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2558 ว่าทางจำเลยมีความจำเป็นต้องปิดโรงงานและกิจการที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมลง และมีความจำเป็นต้องย้ายโรงงานไปอยู่ที่จังหวัดชลบุรี และเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2559 จำเลยได้เสนอให้โจทก์ย้ายมาทำงานที่โรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี พร้อมทั้งเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆดังกล่าวในข้อ 2. ให้กับโจทก์ แต่โจทก์ปฏิเสธไม่ตกลงและไม่ยอมรับที่จะย้ายไปทำงานยังสถานที่ทำงานแห่งใหม่ และเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2559 จำเลยได้เสนอให้โจทก์ย้ายมาทำงานที่โรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี พร้อมทั้งเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆดังกล่าวในข้อ 2. ให้กับโจทก์ แต่โจทก์ปฏิเสธไม่ตกลงและไม่ยอมรับที่จะย้ายไปทำงานยังสถานที่ทำงานแห่งใหม่ และโจทก์เองก็เซ็นรับทราบว่า โจทก์ทราบดีว่าจำเลยไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องเลิกจ้างโจทก์ รายละเอียดปรากฎตามหนังสือแสดงความประสงค์ย้ายสถานที่ทำงานเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 และโจทก์เองก็เซ็นรับทราบว่า โจทก์ทราบดีว่าจำเลยไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องเลิกจ้างโจทก์ รายละเอียดปรากฎตามหนังสือแสดงความประสงค์ย้ายสถานที่ทำงานเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 ข้อ 4. เมื่อจำเลยมีความจำเป็นทางธุรกิจที่จะต้องปิดบริษัท และปิดโรงงานของจำเลย ที่จังหวัดนครปฐม และโอนย้ายพนักงานทั้งหมดไปยัง บริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของจำเลย และจำเลยได้ให้ให้สิทธิแก่โจทก์ในการย้ายไปทำงานยังบริษัทในเครือของจำเลย พร้อมทั้งยังให้สวัสดิการแก่โจทก์ในการย้ายไปทำงานไปยังบริษัทใหม่ ซึ่งสิทธิและสวัสดิการดังกล่าวนั้นเป็นคุณแก่โจทก์อย่างยิ่ง ข้อ 4. เมื่อจำเลยมีความจำเป็นทางธุรกิจที่จะต้องปิดบริษัท และปิดโรงงานของจำเลย ที่จังหวัดนครปฐม และโอนย้ายพนักงานทั้งหมดไปยัง บริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของจำเลย และจำเลยได้ให้ให้สิทธิแก่โจทก์ในการย้ายไปทำงานยังบริษัทในเครือของจำเลย พร้อมทั้งยังให้สวัสดิการแก่โจทก์ในการย้ายไปทำงานไปยังบริษัทใหม่ ซึ่งสิทธิและสวัสดิการดังกล่าวนั้นเป็นคุณแก่โจทก์อย่างยิ่ง แต่โจทก์กลับตัดสินใจที่จะไม่มาร่วมงานและไม่มาทำงานที่โรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรีกับจำเลย ดังนั้น จำเลยไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะต้องเลิกจ้างโจทก์ แต่โจทก์กลับตัดสินใจที่จะไม่มาร่วมงานและไม่มาทำงานที่โรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรีกับจำเลย ดังนั้น จำเลยไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะต้องเลิกจ้างโจทก์ ซึ่งในการเลิกจ้างโจทก์นั้น จำเลยได้จ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมาย รวมทั้งเงินพิเศษอื่นๆนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด เช่น เงินรางวัลที่ทำงานมาเป็นเวลานาน25 ปี ให้กับโจทก์ครบถ้วนแล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 582,913.00 บาท รายละเอียดปรากฎตามใบแจ้งรายได้ เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 3 ซึ่งในการเลิกจ้างโจทก์นั้น จำเลยได้จ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมาย รวมทั้งเงินพิเศษอื่นๆนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด เช่น เงินรางวัลที่ทำงานมาเป็นเวลานาน25 ปี ให้กับโจทก์ครบถ้วนแล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 582,913.00 บาท รายละเอียดปรากฎตามใบแจ้งรายได้ เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 3 ดังนั้นการเลิกจ้างโจทก์ จึงเป็นการเลิกจ้างเนื่องจากจำเลยมีสาเหตุจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และไม่มีทางเลือกอื่นใด และเกิดจากการที่โจทก์เองไม่ยอมรับข้อเสนอและสวัสดิการในการย้ายที่ทำงานใหม่ ทั้งๆที่จำเลยได้เสนอให้โจทก์โอนย้ายไปยังที่ทำงานใหม่และเสนอสวัสดิการที่ดีเป็นอย่างยิ่งในการโอนย้ายงานให้กัลโจทก์ ดังนั้นการเลิกจ้างโจทก์ จึงเป็นการเลิกจ้างเนื่องจากจำเลยมีสาเหตุจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และไม่มีทางเลือกอื่นใด และเกิดจากการที่โจทก์เองไม่ยอมรับข้อเสนอและสวัสดิการในการย้ายที่ทำงานใหม่ ทั้งๆที่จำเลยได้เสนอให้โจทก์โอนย้ายไปยังที่ทำงานใหม่และเสนอสวัสดิการที่ดีเป็นอย่างยิ่งในการโอนย้ายงานให้กัลโจทก์ การเลิกจ้างดังกล่าว จำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขและขั้นตอนซึ่่งใช้กับพนักงานทุกๆคน มิได้เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ หรือเป็นการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด อีกทั้งจำเลยยังได้จ่ายเงินค่าชดเชยและเงินอื่นๆตามกฎหมายให้กับโจทก์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การเลิกจ้างโจทก์จึงไม่ได้เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมตามฟ้อง ดังนั้นจำเลยจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์แต่อย่างใด การเลิกจ้างดังกล่าว จำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขและขั้นตอนซึ่่งใช้กับพนักงานทุกๆคน มิได้เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ หรือเป็นการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด อีกทั้งจำเลยยังได้จ่ายเงินค่าชดเชยและเงินอื่นๆตามกฎหมายให้กับโจทก์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การเลิกจ้างโจทก์จึงไม่ได้เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมตามฟ้อง ดังนั้นจำเลยจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์แต่อย่างใด ข้อ 5. ค่าเสียหายของโจทก์ตามข้อ 4.1- 4.2 สูงเกินสมควร และไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ข้อ 5. ค่าเสียหายของโจทก์ตามข้อ 4.1- 4.2 สูงเกินสมควร และไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ด้วยเหตุดังจำเลยประทานกราบเรียนต่อศาลที่เคารพ จึงขอศาลที่เคารพโปรดยกฟ้องโจทก์เสียทั้งสิ้น และให้โจทก์ชดใช้ค่าทนายความอย่างสูงแทนจำเลย ด้วยเหตุดังจำเลยประทานกราบเรียนต่อศาลที่เคารพ จึงขอศาลที่เคารพโปรดยกฟ้องโจทก์เสียทั้งสิ้น และให้โจทก์ชดใช้ค่าทนายความอย่างสูงแทนจำเลย ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ลงชื่อ จำเลย ลงชื่อ จำเลย คำให้การฉบับนี้ข้าพเจ้านายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์ ทนายความจำเลยเป็นผู้เรียง/พิมพ์ คำให้การฉบับนี้ข้าพเจ้านายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์ ทนายความจำเลยเป็นผู้เรียง/พิมพ์ ลงชื่อ ผู้เรียงและพิมพ์ การพิจารณา การพิจารณา การพิจารณา ความจริงแล้วตามข้อกฎหมาย ที่ผมได้อธิบายอย่างละเอียดแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่าจำเลยไม่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินให้กับโจทก์สักบาทเดียว ความจริงแล้วตามข้อกฎหมาย ที่ผมได้อธิบายอย่างละเอียดแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่าจำเลยไม่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินให้กับโจทก์สักบาทเดียว เนื่องจากจำเลยจ่ายเงินชดเชยตามที่กฎหมายกำหนดไปหมดแล้ว นอกนี้ยังจ่ายเงินช่วยเหลือนอกจากที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นพิเศษอีกแสนกว่าบาท เนื่องจากจำเลยจ่ายเงินชดเชยตามที่กฎหมายกำหนดไปหมดแล้ว นอกนี้ยังจ่ายเงินช่วยเหลือนอกจากที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นพิเศษอีกแสนกว่าบาท อย่างไรก็ตามในคดีแพ่งและโดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีแรงงานเช่นนี้ ผมมักจะหาแนวทางที่ทุกฝ่ายสามารถตกลงกันได้ และเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย มากกว่าจะไปต่อสู้คดีกันจนถึงที่สุด อย่างไรก็ตามในคดีแพ่งและโดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีแรงงานเช่นนี้ ผมมักจะหาแนวทางที่ทุกฝ่ายสามารถตกลงกันได้ และเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย มากกว่าจะไปต่อสู้คดีกันจนถึงที่สุด ด้วยมนุษยธรรมและความเห็นใจโจทก์ บริษัทจำเลยจึงยอมให้ยอดเงินช่วยเหลือโจทก์ถึง 330,000 บาท ด้วยมนุษยธรรมและความเห็นใจโจทก์ บริษัทจำเลยจึงยอมให้ยอดเงินช่วยเหลือโจทก์ถึง 330,000 บาท แต่โจทก์ไม่ยินยอมเรียกร้องจะเอาเงินเพิ่มเติมอีก 600,000 บาท ซึ่งสูงกว่าที่จำเลยเสนอไปมาก แต่โจทก์ไม่ยินยอมเรียกร้องจะเอาเงินเพิ่มเติมอีก 600,000 บาท ซึ่งสูงกว่าที่จำเลยเสนอไปมาก คดีจึงตกลงกันไม่ได้และเข้าสู่กระบวนการต่อสู้สืบพยานต่อไป ค ดีจึงตกลงกันไม่ได้และเข้าสู่กระบวนการต่อสู้สืบพยานต่อไป ผลคำพิพากษา ผลคำพิพากษา ผลคำพิพากษา คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งหมดโดยศาลชั้นต้นให้เหตุผลว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งหมดโดยศาลชั้นต้นให้เหตุผลว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุจำเลยปิดกิจการที่จังหวัดนครปฐมและกรุงเทพฯบางส่วนส่งผลให้ตำแหน่งของโจทก์ถูกยุบ โดยสาเหตุที่จะต้องย้ายกิจการเนื่องจากโรงงานที่จังหวัดนครปฐมมีพื้นที่ไม่เพียงพอบริเวณรอบโรงงานมีชุมชนมาล้อมรอบไม่สามารถขยายตัวเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตซึ่งจะต้องมีการแข่งขันทางธุรกิจ ตอนที่จำเลยจะเลิกจ้างจำเลยได้จัดโครงการสมัครใจลาออกจัดประชุมชี้แจงสิทธิ์ต่างๆในการย้ายงานและลาออกไม่ได้เลือกปฏิบัติหรือการแก้โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะย้ายไปทำงานในสถานที่ใหม่ตามที่จำเลยเสนอจำเลยเลิกจ้างจึงมีเหตุสมควรไม่ใช่การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุจำเลยปิดกิจการที่จังหวัดนครปฐมและกรุงเทพฯบางส่วนส่งผลให้ตำแหน่งของโจทก์ถูกยุบ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุจำเลยปิดกิจการที่จังหวัดนครปฐมและกรุงเทพฯบางส่วนส่งผลให้ตำแหน่งของโจทก์ถูกยุบ โดยสาเหตุที่จะต้องย้ายกิจการเนื่องจากโรงงานที่จังหวัดนครปฐมมีพื้นที่ไม่เพียงพอบริเวณรอบโรงงานมีชุมชนมาล้อมรอบไม่สามารถขยายตัวเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตซึ่งจะต้องมีการแข่งขันทางธุรกิจ โดยสาเหตุที่จะต้องย้ายกิจการเนื่องจากโรงงานที่จังหวัดนครปฐมมีพื้นที่ไม่เพียงพอบริเวณรอบโรงงานมีชุมชนมาล้อมรอบไม่สามารถขยายตัวเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตซึ่งจะต้องมีการแข่งขันทางธุรกิจ ตอนที่จำเลยจะเลิกจ้างจำเลยได้จัดโครงการสมัครใจลาออกจัดประชุมชี้แจงสิทธิ์ต่างๆในการย้ายงานและลาออกไม่ได้เลือกปฏิบัติหรือการแก้โจทก์ ตอนที่จำเลยจะเลิกจ้างจำเลยได้จัดโครงการสมัครใจลาออกจัดประชุมชี้แจงสิทธิ์ต่างๆในการย้ายงานและลาออกไม่ได้เลือกปฏิบัติหรือการแก้โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะย้ายไปทำงานในสถานที่ใหม่ตามที่จำเลยเสนอจำเลยเลิกจ้างจึงมีเหตุสมควรไม่ใช่การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะย้ายไปทำงานในสถานที่ใหม่ตามที่จำเลยเสนอจำเลยเลิกจ้างจึงมีเหตุสมควรไม่ใช่การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ส่วนศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษ ก็วินิจฉัยไปในทำนองเดียวกันโดยวินิจฉัย เพิ่มเติมว่า ส่วนศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษ ก็วินิจฉัยไปในทำนองเดียวกัน โดยวินิจฉัย เพิ่มเติมว่า การพิจารณาว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาว่ามีเหตุการเลิกจ้างหรือไม่และเหตุดังกล่าวสมควรเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่เป็นสำคัญ การพิจารณาว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาว่ามีเหตุการเลิกจ้างหรือไม่และเหตุดังกล่าวสมควรเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่เป็นสำคัญ การพิจารณาว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาว่ามีเหตุการเลิกจ้างหรือไม่และเหตุดังกล่าวสมควรเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่เป็นสำคัญ และศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยว่าการเลิกจ้างในคดีนี้มีเหตุสมควรเพียงพอแล้วไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยว่าการเลิกจ้างในคดีนี้มีเหตุสมควรเพียงพอแล้วไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และปัจจุบันคดีดังกล่าวก็ถึงที่สุดแล้ว และปัจจุบันคดีดังกล่าวก็ถึงที่สุดแล้ว สรุป – อุทาหรณ์ สรุป – อุทาหรณ์ สรุป – อุทาหรณ์ ข้อกฎหมาย ข้อกฎหมาย การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาความแรงงานมาตรา 49 นั้น จะต้องได้ความว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุ หรือเหตุในการเลิกจ้างไม่เพียงพอหรือเป็นการกลั่นแกล้งเลือกปฏิบัติกัน การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาความแรงงานมาตรา 49 นั้น จะต้องได้ความว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุ หรือเหตุในการเลิกจ้างไม่เพียงพอหรือเป็นการกลั่นแกล้งเลือกปฏิบัติกัน หากเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควรเพียงพอไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งหรือเลือกปฏิบัติย่อมไม่ใช่การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม หากเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควรเพียงพอไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งหรือเลือกปฏิบัติย่อมไม่ใช่การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ข้อคิด ข้อคิด เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าในการดำเนินคดีนั้นตัวโจทก์หรือทนายความโจทก์ควรจะต้องรู้จักการผ่อนหนักผ่อนเบารู้ว่ารูปคดีของตนเองได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร และจะต้องรู้จักพอเมื่อควรจะพอ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าในการดำเนินคดีนั้นตัวโจทก์หรือทนายความโจทก์ควรจะต้องรู้จักการผ่อนหนักผ่อนเบารู้ว่ารูปคดีของตนเองได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร และจะต้องรู้จักพอเมื่อควรจะพอ ความจริงแล้วคดีนี้ทางฝ่ายจำเลยได้เสนอเงินให้กับโจทก์เป็นเงินสูงถึง 330,000 บาทจ่ายก้อนเดียว ความจริงแล้วคดีนี้ทางฝ่ายจำเลยได้เสนอเงินให้กับโจทก์เป็นเงินสูงถึง 330,000 บาทจ่ายก้อนเดียว หากโจทก์พิจารณาสักนิดและเชื่อฟังตามที่ทนายความบอกแนะนำว่ารูปคดีไม่มีทางต่อสู้ได้และยอมรับเงินไปก็จะเป็นประโยชน์กับโจทก์มากกว่า หากโจทก์พิจารณาสักนิดและเชื่อฟังตามที่ทนายความบอกแนะนำว่ารูปคดีไม่มีทางต่อสู้ได้และยอมรับเงินไปก็จะเป็นประโยชน์กับโจทก์มากกว่า แต่ปรากฏว่าโจทก์ไม่ยอมและจะเอาจำนวนเงินตามที่ตนเองประสงค์โดยไม่ได้ดูรูปคดีว่ามีโอกาสแพ้ชนะมากน้อยเพียงใด แต่ปรากฏว่าโจทก์ไม่ยอมและจะเอาจำนวนเงินตามที่ตนเองประสงค์โดยไม่ได้ดูรูปคดีว่ามีโอกาสแพ้ชนะมากน้อยเพียงใด สุดท้ายโจทก์ก็ไม่ได้เงินกลับบ้านไปเลยและยังจะต้องเสียเงินค่าทนายความและค่าเสียเวลาต่างๆอีกโดยเปล่าประโยชน์ครับ สุดท้ายโจทก์ก็ไม่ได้เงินกลับบ้านไปเลยและยังจะต้องเสียเงินค่าทนายความและค่าเสียเวลาต่างๆอีกโดยเปล่าประโยชน์ครับ Express your opinion about this article 0 comments 0
ของยกตัวอย่างการฟ้องร้องเรื่อง การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ของบริษัทสีแห่งหนึ่ง -สาเหตุแห่งการฟ้องร้อง แต่เดิมตอนตั้งโรงงานเมื่อหลายสิบปีที่แล้วนั้นบริเวณดังกล่าวก็ยังเป็นสถานที่โล่ง เวลาผ่านมาประมาณ 30 -40 ปี สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป เพราะปรากฎว่าเกิดชุมชนขึ้นล้อมรอบโรงงาน ทำให้การขยายกิจการ และขยายโรงงานเป็นไปได้ลำบาก จำเลยจึงมีความประสงค์จะย้ายโรงงานไปยังสถานที่ที่เหมาะสม ก็คือที่จังหวัดชลบุรี จำเลยจึงได้เสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆให้กับพนักงานอย่างดีที่สุด โดยพนักงานที่สมัครใจย้ายไปทำงานที่สถานที่ทำงานใหม่ จำเลยก็จะให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้เป็นจำนวนมาก ส่วนพนักงานที่ไม่สมัครใจย้ายไปที่ทำงานแห่งใหม่ จำเลยก็จะจ่ายเงินชดเชยและเงินอื่นๆตามกฎหมายทั้งหมด โจทก์ไม่ประสงค์จะย้ายไปทำงานกับจำเลย จำเลยจึงได้เลิกจ้างโจทก์พร้อมกับจ่ายเงินค่าชดเชย แต่โจทก์ก็ยังไม่พอใจและได้มายื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ -คำฟ้องของโจทก์ โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในข้อหาเรื่องเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์ขอเรียกเงินทดแทนจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นจำนวน 9,000,000 บาท โดยสาเหตุที่เรียกเงินจำนวนดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ได้ทำงานมาเป็นเวลานาน จำเลยยังสามารถว่าจ้างโจทก์ต่อได้แต่ไม่ยอมทำการว่าจ้าง -คำให้การของจำเลย จำเลยยอมรับว่าได้เลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2560 จริง ซึ่งการเลิกจ้างดังกล่าวไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามที่โจทก์กล่าวอ้าง จำเลยได้แจ้งกับโจทก์ทราบล่วงหน้าแล้ว ในการประชุมพนักงานตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2558 ว่าทางจำเลยมีความจำเป็นต้องปิดโรงงาน จำเลยได้เสนอให้โจทก์ย้ายมาทำงานที่โรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี พร้อมทั้งเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ แต่โจทก์ปฏิเสธไม่ตกลงและไม่ยอมรับที่จะย้ายไปทำงานยังสถานที่ทำงานแห่งใหม่ จำเลยไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะต้องเลิกจ้างโจทก์ -การพิจารณา จำเลยจึงยอมให้ยอดเงินช่วยเหลือโจทก์ถึง 330,000 บาท แต่โจทก์ไม่ยินยอมเรียกร้องจะเอาเงินเพิ่มเติมอีก 600,000 บาท ซึ่งสูงกว่าที่จำเลยเสนอไปมาก จึงต้องเข้าสู่กระบวนการต่อไป -ผลคำพิพากษา ศาลชั้นต้น และศาลอุทรณ์ ตัดสินไปในมางเดียวกัน ว่า ตอนที่จำเลยจะเลิกจ้างจำเลยได้จัดโครงการสมัครใจลาออกจัดประชุมชี้แจงสิทธิ์ต่างๆในการย้ายงานและลาออกไม่ได้เลือกปฏิบัติหรือการแก้โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะย้ายไปทำงานในสถานที่ใหม่ตามที่จำเลยเสนอจำเลยเลิกจ้างจึงมีเหตุสมควรไม่ใช่การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม คดีนี้มีเหตุสมควรเพียงพอแล้วไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และปัจจุบันคดีดังกล่าวก็ถึงที่สุด
กฎหมายคุ้มครองแรงงาน-แรงงานสัมพันธ์-เงินทดแทน,กฎหมายแรงงาน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9437
Legal
ข้อใดไม่ใช่คำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยว่าเป็นรูปศิลปะ
1. ฎ. 6301/2533 ภาพพิมพ์ของกลาง เป็นภาพหญิงสาวซึ่งมีบางภาพเปิดเผยเต้านมอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนที่อวัยวะเพศแม้จะมีผ้าอาภรณ์ปกปิดไว้ แต่ก็ปกปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่ 2. ฎ.1223/2508 ภาพสตรีแสดงส่วนสัดความสมบูรณ์ของร่างกายที่ไม่มีสิ่งปกปิด ส่วนล่างทำเป็นเพียงเงาๆ ลบเลือนให้เป็นอวัยวะที่ราบเรียบ 3. ภาพหญิงเปลือยกายในท่าทางต่างๆ ที่ไม่เปิดเผยให้เห็นของลับ แต่แสดงให้เห็นความงามของทรวงทรงอวัยวะภายนอก 4. ฎ.978/2492 รูปผู้หญิงเปลือยกายเห็นเด่นชัดเฉพาะถัน (หัวนม) ส่วนโยนีถูกระบายให้ลบเลือนเห็นเพียงฐาน
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 1. เพราะว่า เพราะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6301/2533 เป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยว่าเป็นรูปลามก กล่าวคือ ภาพพิมพ์ของกลางเป็นภาพหญิงสาวซึ่งมีบางภาพเปิดเผยเต้านมอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนที่อวัยวะเพศแม้จะมีผ้าอาภรณ์ปกปิดไว้ แต่ก็ปกปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่ ซึ่งนอกจากจะอยู่ในอิริยาบถที่ไม่เรียบร้อยไม่น่าดูแล้ว ยังอยู่ในอิริยาบถที่น่าเกลียดน่าบัดสีอีกด้วยกล่าวคือ มีบางภาพอยู่ในอิริยาบถนอนก็นอนหงายถ่างขาออกอย่างกว้างทำนองเจตนาเพื่ออวด อวัยวะเพศอย่างเด่นชัด ส่วนภาพที่อยู่ในอิริยาบถนั่งก็นั่งถ่างขาออกแม้จะมีผ้าปกปิดอวัยวะเพศก็ เป็นผ้าบางใส ซึ่งแสดงว่าต้องการอวดอวัยวะเพศเช่นเดียวกับภาพในอิริยาบถนอนดังกล่าว จึงเป็นภาพที่มีเจตนายั่วยุให้บังเกิดความใคร่ทางกามารมณ์โดยตรง ถือเป็นภาพลามก ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยว่าเป็นรูปศิลปะ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),คำพิพากษาศาลฎีกา,กฎหมายอาญาความผิดลหุโทษ
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9441
Legal
ในกรณีวางเงินมัดจำหรือหรือเงินจองหรือเงินดาวน์ซื้อคอนโดหรือบ้านจัดสรรไว้ และปรากฎว่าโครงการก่อสร้างล่าช้า ผู้จะซื้อจะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ ?
null
มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ เพราะ การพิจารณาว่าผู้จะซื้อจะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ จึงต้องกลับไปพิจารณาถึงหลักทั่วไปว่าด้วยการเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 4 เรื่องการเลิกสัญญา ซึ่งจากแนวคำพิพากษาศาลฎีกานั้น การที่ผู้จะซื้อจะมีสิทธิเลิกสัญญาหรือไม่ ต้องแยกพิจารณาออกเป็น 2 กรณี 1.กรณีมีกำหนดในสัญญาไว้ว่าจะต้องก่อสร้างเสร็จเมื่อใด กรณีเช่นนี้ เมื่อผู้จะซื้อทำการชำระเงิน และผ่อนชำระเงินให้กับผู้จะขายแล้ว ถ้าหากผู้จะขาย ไม่ทำการปลูกสร้างบ้านหรือห้องชุดให้แล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ภายในกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจะซื้อจะขาย ผู้จะซื้อย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที โดยไม่ต้องทำการบอกกล่าวล่วงหน้าอีก ทั้งนี้ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2544 เป็นต้น ส่วนกรณียังไม่ถึงกำหนดระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาจะซื้อจะขาย แต่ปรากฎว่าผู้จะขายไม่ทำการเริ่มลงมือปลูกสร้างบ้านหรืออาคารชุดตามสัญญา หรือปลูกสร้างอย่างล่าช้า จนทำให้เห็นได้ว่าบ้านหรืออาคารชุดดังกล่าวไม่อาจเสร็จทันกำหนดได้อย่างแน่นอน กรณีนี้ไม่ปรากฎว่ามีแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ชัดเจนแต่อย่างใด ซึ่งตามความเห็นของทนายผู้เขียนเห็นว่า หากผู้จะขายทำการปลูกสร้างล่าช้า หรือไม่ยอมเริ่มทำการปลูกสร้างภายในกำหนดระยะเวลาอันสมควร จนทำให้ไม่อาจพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ภายในกำหนดระยะเวลาในสัญญาได้อย่างแน่นอน ย่อมถือได้ว่ากรณีเป็นที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าโดยพฤติการณ์หรือโดยสภาพหรือโดยเจตนาของผู้จะขาย ไม่สามารถที่จะปฎิบัติตามสัญญาให้ถูกต้องในข้อสาระสำคัญ ดังนั้นจึงไม่จำต้องรอให้ครบกำหนดระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาจะซื้อจะขายอีกต่อไป ผู้จะซื้อย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายได้ทันที ทั้งนี้โดยเทียบเคียงแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ใกล้เคียงกัน คือคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7732/2548 2. กรณีไม่มีกำหนดในสัญญาไว้ว่าจะต้องสร้างเสร็จเมื่อใด สัญญาจะซื้อจะขายเป็นสัญญาต่างตอบแทนประเภทหนึ่ง เมื่อในสัญญาจะไม่มีกำหนดระยะเวลาที่ผู้จะขายต้องทำการปลูกสร้างให้แล้วเสร็จ ผู้จะซื้อย่อมมีสิทธิเรียกให้ผู้จะขายชำระหนี้ด้วยการเริ่มปลูกสร้างได้โดยพลัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 203 ดังนั้นเมื่อผู้จะซื้อเริ่มทำการชำระเงินให้ผู้จะขายเป็นงวดๆ ผู้จะขายย่อมมีหน้าที่จะต้องเริ่มทำการปลูกสร้างและส่งมอบให้โจทก์โดยทันที และจะต้องให้เสร็จภายในระยะเวลาอันสมควร ซึ่งระยะเวลาอันสมควรนั้น ซึ่งศาลฎีกามักจะตีความว่า ผู้จะขายจะต้องทำการปลูกสร้างให้แล้วเสร็จในระยะเวลาใกล้เคียงกับระยะเวลาที่ผู้จะซื้อชำระเงินค่าผ่อนชำระให้ผู้จะขายเสร็จสิ้น กล่าวคือเมื่อผู้จะซื้อทำการผ่อนชำระเงินค่างวดงวดสุดท้ายเสร็จสิ้น บ้านหรือห้องชุดก็ควรจะต้องแล้วเสร็จพร้อมโอน ถ้าหากผู้จะขายไม่ยอมทำการปลูกสร้างหรือทำการปลูกสร้างล่าช้าเกินสมควรผู้จะซื้อย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ แต่อย่างไรก็ดี กรณีเช่นนี้ ทนายผู้เขียนเห็นว่าเป็นกรณีที่ระยะเวลาอันพึงชำระหนี้นั้นไม่ได้กำหนดไว้อย่างแน่นอน ดังนั้นก่อนบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายในกรณีเช่นนี้ ควรจะต้องมีการทวงถามหรือบอกกล่าวเป็นหนังสือให้ผู้จะซื้อทำการเริ่มก่อสร้างหรือทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาอันสมควรเสียก่อน ถ้าหากผู้จะซื้อไม่ทำการดังกล่าว ผู้จะขายจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญา ทั้งนี้ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1378/2546 , 3776/2549 ,408/2548 เป็นต้น อย่างไรก็ดีมีแนวคำพิพากษาอีกแนวหนึ่งเห็นว่าถ้าระยะเวลาผ่านไปเนิ่นนานมากแล้วผู้จะขายไม่เริ่มทำการปลูกสร้างหรือปลูกสร้างไม่แล้วเสร็จ ผู้จะซื้อไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า สามารถบอกเลิกสัญญาได้เลย เช่น คำพิพากษา ศาลฎีกาที่ , 699/2548 ,1013/2548, 6851/2548, 6961/2550 , 3886/2552 ซึ่งข้อเท็จจริงตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกานี้ ผู้จะขายมักจะทิ้งระยะเวลาปลูกสร้างมานาน 3-5 ปี ก็ยังไม่เริ่มปลูกสร้างหรือปลูกสร้างไม่แล้วเสร็จ ซึ่งศาลน่าจะตัดสินเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเป็นหลัก มีอาจารย์หลายท่านเห็นแย้ง ว่าความจริงแล้ว อย่างไรก็ต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าให้ผู้จะขายทำการให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาอันสมควรก่อน เช่น ดร.ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธ์ และ อ.ไพโรจน์ วายุภาพ รวมทั้งทนายผู้เขียนก็เห็นพ้องด้วยกับแนวความเห็นดังกล่าว ดังนั้นในกรณีนี้ก่อนบอกเลิกสัญญาควรจะมีหนังสือบอกกล่าวล่วงหน้าก่อน กล่าวโดยสรุปแล้ว ทนายผู้เขียนเห็นว่า กรณีมีกำหนดระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์ไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย ถึงแม้จะยังไม่ถึงกำหนดระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาจะซื้อจะขาย แต่ถ้าหากผู้จะซื้อไม่เริ่มลงมือทำการปลูกสร้างหรือทำการปลูกสร้างอย่างล่าช้า จนเป็นที่เห็นได้ชัดเจนว่า ถึงแม้จะรอถึงกำหนดระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาจะซื้อจะขาย ผู้จะขายก็ไม่อาจทำการปลูกสร้างให้แล้วเสร็จ ผู้จะซื้อย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหยุดผ่อนชำระเงินและเรียกเงินคืนได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจะซื้อจะขาย หากผู้จะขายไม่ยอมคืนเงินก็สามารถให้ทนายความยื่นฟ้องคดีต่อศาลได้ทันที ในกรณีที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์ไว้ในสัญญา ถ้าหากผู้จะขายไม่เริ่มลงมือทำการปลูกสร้าง หรือทำการปลูกสร้างล่าช้า ผู้จะซื้อจะต้องทำการบอกกล่าวล่วงหน้าให้ผู้จะขายทำการเริ่มปลูกสร้างหรือทำการปลูกสร้างให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาอันสมควร หากผู้จะขายไม่กระทำการดังกล่าวผู้จะซื้อย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกเงินคืนได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9442
Legal
จริงหรือไม่ที่หากแพ้คดีเรียกอำนาจปกครองบุตร จะไม่สามารถเจอลูกได้อีก จงอธิบาย
null
ไม่จริง การแพ้คดีเรียกอำนาจปกครองบุตร ไม่ได้แปลว่าจะไม่ได้เจอลูกอีก บิดาหรือมารดาที่ไม่ได้ใช้อำนาจปกครอง ยังมีสิทธิ์ที่จะติดต่อสื่อสาร เยี่ยมเยียน พบปะ หรือพาบุตรไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ในวันหยุดนักขัตฤกษ์ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: - ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1584/1 ระบุว่า แม้บิดามารดาจะถูกถอนอำนาจปกครองบุตร หรือศาลสั่งให้อำนาจปกครองบุตรอยู่กับบิดาหรือมารดาอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ไม่จำกัดสิทธิของบิดามารดาฝ่ายที่มิได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร จะมาเยี่ยมเยียนพบปะ หรือติดต่อสื่อสารกับบุตรผู้เยาว์กับผ่านทางโทรศัพท์หรือสื่ออื่นๆ หรือพาบุตรผู้เยาว์ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆหรือพาไปรับทานอาหาร พาไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือพาไปนอนค้างคืนในวันหยุดนักขัตฤกษ์ ข้อยกเว้น: บิดาหรือมารดาฝ่ายที่มิได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง จะมาพบในลักษณะที่ไม่สมควร เช่น มาพบในเวลากลางคืนขณะมึนเมาสุรา พาบุตรไปในสถานที่ไม่สมควร บิดามารดาที่ใช้อำนาจปกครองจึงจะมีสิทธิห้ามปรามมิให้พบได้ แนวทางปฏิบัติ: - บิดาหรือมารดาควรตกลงกันเรื่องวิธีการติดตอสื่อสาร เยี่ยมเยียน พบปะ หรือพาบุตรไปเที่ยว - หากตกลงกันไม่ได้ สามารถขอให้ศาลเยาวชนและครอบครัวเป็นผู้กำหนดวิธีการติดต่อสื่อสาร เยี่ยมเยียน พบปะ หรือพาบุตรไปเที่ยว - การกีดกันมิให้บิดาหรือมารดาฝ่ายใดฝ่ายหนึงพบหรือเยี่ยมเยียนบุตรผู้เยาว์โดยชอบตามสมควร ย่อมถือเป็นการโต้แย้งสิทธิของบิดามารดาผู้นั้น และอาจถูกฟ้องคดีต่อศาลเยาวชนและครอบครัว สรุป: - บิดาหรือมารดาที่ไม่ได้ใช้อำนาจปกครอง ยังมีสิทธิ์ที่จะติดต่อสื่อสาร เยี่ยมเยียน พบปะ หรือพาบุตรไปเที่ยว การกีดกันมิให้บิดาหรือมารดาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพบหรือเยี่ยมเยียนบุตรผู้เยาว์โดยชอบตามสมควร เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ - บิดาหรือมารดาควรตกลงกันเรื่องวิธีการติดตอสื่อสาร เยี่ยมเยียน พบปะ หรือพาบุตรไปเที่ยว - หากตกลงกันไม่ได้ สามารถขอให้ศาลเยาวชนและครอบครัวเป็นผู้กำหนด แหล่งอ้างอิง: 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1584/1 2. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 เพิ่มเติม: - บิดาหรือมารดาควรคำนึงถึงผลกระทบต่อสภาพจิตใจของบุตรผู้เยาว์ - การที่บุตรผู้เยาว์ได้มีโอกาสพบปะ พูดคุย กับบิดาหรือมารดา ย่อมส่งผลดีต่อพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจของบุตร - การสื่อสารที่ดีระหว่างบิดาหรือมารดาส่งผลกับสภาพจิตใจบุตร
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายเยาวชนและครอบครัว
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9444
Legal
หลังศาลพิพากษาแล้ว หากศาลพิพากษายกฟ้อง จะเป็นอย่างไร
1. สามารถขอคืนหลักประกันได้วางไว้กับศาลได้ทันที 2. จำเลยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลอย่างเคร่งครัด 3. ศาลจะปล่อยตัวจำเลยทันที 4. ศาลมีอำนาจสั่งให้ขังจำเลยไว้ก่อนระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด 5. จำเลยมีสิทธิที่จะขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการสู้คดีชั้นอุทธรณ์ฎีกา
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 3. เพราะหลังศาลพิพากษาแล้ว หากศาลพิพากษายกฟ้อง ศาลจะปล่อยตัวจำเลยทันที หากจำเลยถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำก็จะถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำในวันนั้น หากจำเลยไม่ได้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ คือได้ประกันตัวออกมาสู้คดี จำเลยก็จะสามารถขอคืนหลักประกันได้วางไว้กับศาลได้ทันที อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ศาลจะมีคำพิพากษายกฟ้องแต่ศาลก็ยังมีอำนาจสั่งให้ขังจำเลยไว้ก่อนระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดก็ได้ (ปวิอ. ม.185) ซึ่งโดยมากการขังจำเลยไว้หลังศาลพิพากษายกฟ้องแล้วนั้น มักจะใช้ในคดีที่ ศาลยกฟ้องแต่ก็ยังมองว่าจำเลยไม่บริสุทธิ์ 100% และมีโอกาสที่ศาลสูงจะพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่เป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก หากศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยย่อมมีสิทธิ์อุทธรณ์ฎีกาได้ และจำเลยก็มีสิทธิที่จะขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการสู้คดีชั้นอุทธรณ์ฎีกาได้ เช่นเดียวกัน ในบางคดีศาลพิพากษาจำคุกจำเลยแต่ให้รอการลงโทษไว้ และกำหนดเงื่อนไขต่างๆให้จำเลยปฏิบัติตาม ในกรณีเช่นนี้จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลอย่างเคร่งครัด
ประมวลกฎหมายอาญา
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9445
Legal
ค่าเสียหายทางแพ่งของคดีที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยซึ่งมีหน้าที่ขับรถบรรทุกขยะได้ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้จำเลยได้รับอันตรายสาหัส มีค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างรักษาตัวและเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุจำนวนกี่บาท
a. 240,000 บาท b. 100,000 บาท c. 200,000 บาท d. 300,000 บาท e. 655,470 บาท
คำตอบได้แก่ b. เพราะค่าเสียหายทางแพ่งของคดีที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยซึ่งมีหน้าที่ขับรถบรรทุกขยะได้ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้จำเลยได้รับอันตรายสาหัส มีค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างรักษาตัวและเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุจำนวน 100,000 บาท เจ้าหน้าที่ของจำเลยซึ่งมีหน้าที่ขับรถบรรทุกขยะได้ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้จำเลยได้รับอันตรายสาหัส และพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของจำเลยเป็นคดีอาญาแล้ว และเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกไว้ โดยในส่วนค่าเสียหายทางแพ่งนั้น คำนวณแล้ว คิดเป็นค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์สมควรได้รับทั้งสิ้นเป็นเงินประมาณ 965,470 บาท โดยแบ่งเป็น 1. ค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลที่มีใบเสร็จตามจริง 225,470 บาท 2. ค่ารักษาพยาบาลและค่าทำกายภาพบำบัดหลังจากจากออกจากโรงพยาบาลแล้วจำนวน 200,000 บาท 3. ค่าขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้ เนื่องจากภายหลังเกิดอุบัติเหตุแล้วโจทก์จะไม่สามารถทำงานหรือประกอบกิจการตามปกติได้เป็นเวลาประมาณ 2 ปีคิดเป็นเงินจำนวน 240,000 บาท 4. ค่าเสื่อมสุขภาพ โดยแพทย์ผู้ทำการรักษาแจ้งว่าโจทก์มีโอกาสสูงที่จะเป็นบุคคลทุพพลภาพหรือขาเป๋หรือถึงแม้จะไม่เป็นคนขาเป๋ก็จะไม่สามารถเดินหรือวิ่งเร็วๆอย่างคนปกติได้ เป็นจำนวน 200,000 บาท (ปพพ ม.444 ) 5. ค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างรักษาตัวและเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุจำนวน 100,000 บาท (ปพพ ม.446) โดยบริษัทประกันภัยของรถยนต์คันดังกล่าว ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับโจทก์แล้วเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท ส่วนผู้ก่อเหตุชดใช้เงินมาเป็นจำนวน 10,000 บาท คงเหลือค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ต้องการติดใจเรียกร้องจำนวน 655,470 บาท ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์พยายามติดต่อไปยังนายกเทศบาลดังกล่าว รวมทั้งเรียกร้องให้ชำระค่าสินไหมทดแทน แต่นายกเทศบาลดังกล่าวก็เพิกเฉยและไม่ยอมให้เข้าพบ ตอนนั้นทางสำนักงานผมเป็นสภาทนายความจังหวัดชลบุรี ประกอบกับทางโจทก์เป็นบุคคลยากจน ไม่มีเงินว่าจ้างทนายความ ทางสำนักงานจึงได้รับเข้าเป็นคดีช่วยเหลือของสภาทนายความ ทางสำนักงานจึงได้ยื่นฟ้องคดีแพ่งต่อเทศบาลดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 655,470 บาท
กฎหมายละเมิด
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9447
Legal
ถึงแม้จะรู้ว่าคดีอาจจะจบในชั้นเจรจาไกล่เกลี่ยได้ ทนายความก็ยังต้องเตรียมสอบข้อเท็จจริง เตรียมพยานหลักฐานและเตรียมข้อกฎหมายให้พร้อมไว้ในทุกคดี เพราะเหตุใด
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเจรจาไกล่เกลี่ยคดีแพ่งในศาล ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเจรจาไกล่เกลี่ยคดีแพ่งในศาล ทุกวันนี้ในคดีแพ่งส่วนใหญ่แล้ว มักจะจบลงที่ชั้นไกล่เกลี่ยและทำสัญญาประนีประนอมยอมความเสมอๆ น้อยคดีนักที่จะได้สืบพยานต่อสู้คดีกัน เพราะด้วยระบบและนโยบายไกล่เกลี่ยของศาลยุติธรรม ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลดีแก่ประชาชนผู้มีคดีความเป็นอย่างมาก ที่ไม่ต้องสู้คดีกันอย่างยืดเยื้อ เสียทั้งเวลาและเงิน และโดยมากแล้วในคดีแพ่งการที่คดีจบลงในชั้นไกล่เกลี่ยมักเป็นผลดีแก่คู่ความทุกฝ่ายกว่าการจะสู้คดีกันจนถึงที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ดี ถึงแม้จะรู้ว่าคดีอาจจะจบในชั้นเจรจาไกล่เกลี่ยได้ ทนายความเองก็ยังต้องเตรียมสอบข้อเท็จจริงเตรียมพยานหลักฐานและเตรียมข้อกฎหมายให้พร้อมไว้ในทุกคดี เพราะการที่ทนายความเตรียมคดีอย่างดีและมีความมั่นใจในคดีของตน จะทำให้การเจรจาไกล่เกลี่ยเป็นไปในทางที่รักษาผลประโยชน์ของลูกความได้เต็มที่ เพราะหากเราเจอทนายความฝ่ายตรงข้ามที่มีความจัดเจนในการหลอกล่อและโน้มน้าวจิตใจของเราและลูกความ ว่าข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต่างๆในคดีไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิด และรูปคดีของเราแย่กว่าที่เราคิด และยิ่งไปเจอกับผู้ไกล่เกลี่ยที่ไม่ได้เป็นผู้พิพากษาและไม่มีความรู้กฎหมายโดยตรงเข้าร่วมผสมโรงแล้ว(ส่วนมากแล้วผู้ไกล่เกลี่ยมักเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยและอาสามาช่วยงานของศาลซึ่งไม่ได้มีความรู้ทางกฎหมายอย่างแท้จริง ซึ่งส่วนใหญ่ท่านเหล่านั้นก็ดี แต่บางท่านมีนิสัยชอบชักจูงหรือชี้แจงข้อกฎหมายผิดๆแก่ผู้มีคดีความ ) ดังนั้นการตระเตรียมข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ดี จะไม่ทำให้เราไขว้เขว และรักษาผลประโยชน์ของลูกความได้อย่างเต็มที่ ไม่เสียเปรียบในการต่อรองและทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังคำกล่าวของทนายความที่มีชื่อเสียงชาวต่างประเทศผู้หนึ่งที่ว่า “คุณไม่สามารถจะโต้เถียงได้อย่างน่าเชื่อถือหากคุณไม่สามารถจะทำให้ตัวคุณเองมีความเชื่อถือต่อคดีของลูกความคุณ และคุณจะไม่สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน ยกเว้นคุณจะรู้สถานะอันแท้จริงของคดีรวมทั้งจุดอ่อนของมันอยู่ในใจเสมอ” “คุณไม่สามารถจะโต้เถียงได้อย่างน่าเชื่อถือหากคุณไม่สามารถจะทำให้ตัวคุณเองมีความเชื่อถือต่อคดีของลูกความคุณ และคุณจะไม่สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน ยกเว้นคุณจะรู้สถานะอันแท้จริงของคดีรวมทั้งจุดอ่อนของมันอยู่ในใจเสมอ”
ถึงแม้จะรู้ว่าคดีอาจจะจบในชั้นเจรจาไกล่เกลี่ยได้ ทนายความก็ยังต้องเตรียมสอบข้อเท็จจริง เตรียมพยานหลักฐานและเตรียมข้อกฎหมายให้พร้อมไว้ในทุกคดี เพราะการที่ทนายความเตรียมคดีอย่างดีและมีความมั่นใจในคดีของตน จะทำให้การเจรจาไกล่เกลี่ยเป็นไปในทางที่รักษาผลประโยชน์ของลูกความได้เต็มที่ เพราะหากเจอทนายความฝ่ายตรงข้ามที่มีความจัดเจนในการหลอกล่อและโน้มน้าวจิตใจว่าข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต่างๆ ในคดีไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด และรูปคดีแย่กว่าที่คิด และยิ่งไปเจอกับผู้ไกล่เกลี่ยที่ไม่ได้เป็นผู้พิพากษาและไม่มีความรู้กฎหมายโดยตรงเข้าร่วมผสมโรงแล้ว (ส่วนมากแล้ว ผู้ไกล่เกลี่ยมักเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยและอาสามาช่วยงานของศาลซึ่งไม่ได้มีความรู้ทางกฎหมายอย่างแท้จริง ซึ่งส่วนใหญ่คนเหล่านั้นก็ดี แต่บางคนมีนิสัยชอบชักจูงหรือชี้แจงข้อกฎหมายผิดๆ แก่ผู้มีคดีความ ) ดังนั้นการตระเตรียมข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ดี จะไม่ทำให้ไขว้เขว และรักษาผลประโยชน์ของลูกความได้อย่างเต็มที่ ไม่เสียเปรียบในการต่อรองและทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
วิชาว่าความและทนายความ คำฟ้อง คำให้การและคำร้องขอ มรรยาททนายความ
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9448
Legal
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ในบทความนี้จำเลยฉ้อโกงโจทก์อย่างไร
a. จำเลยชักชวนให้โจทก์มาร่วมลงทุน b. จำเลยประกอบกิจการมีหน้าร้านชัดเจน และกิจการมีผลกำไรดี c. จำเลยนำเงินของโจทก์ไปลงทุนหมุนเวียนในกิจการ d. จำเลยโกหกเรื่องที่ว่าจะนำเงินลงทุนของโจทก์ไปซื้อเครื่องจักร และน่าเชื่อว่าจำเลยไม่ได้เอาเงินของโจทก์ไปลงทุนหมุนเวียนในกิจการจริงๆ แต่นำไปใช้ส่วนตัว จำเลยมีเจตนาหลอกลวงแสดงให้โจทก์เข้าใจว่า กิจการของจำเลยมีรายได้ดีและมีกำไร
คำตอบได้แก่ d. เนื่องจาก การกระทำของจำเลยมีมูลเข้าความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 เนื่องจากจำเลยมีเจตนาแสดงให้โจทก์เข้าใจว่า กิจการของจำเลยมีรายได้ดี มีกำไรไม่ต่ำกว่าเดือนละ 300,000บาท และจำเลยต้องการจะขยายงานโดยการซื้อเครื่องบดอีกตัวหนึ่ง ราคาประมาณ 1 ล้านบาท ซึ่งได้วางมัดจำไว้แล้วแต่ยังไม่มีเงินจะไปชำระ ซึ่งความดังกล่าวเป็นความเท็จทั้งสิ้น เพราะหลังจากโจทก์ลงทุนแล้ว ปรากฏว่ากิจการไม่เคยมีรายได้อย่างที่จำเลยอ้าง และปรากฏว่าหลังจากรับเงินจากโจทก์ไปแล้ว จำเลยอ้างว่าได้ชำระเงินค่าเครื่องจักรเรียบร้อย จำนวน 1 ล้านบาทแต่โจทก์ตรวจสอบพบว่า เครื่องจักรที่จำเลยอ้างว่านำเงินไปชำระเรียบร้อยแล้วนั้น มีราคาเพียงสองแสนบาท และจำเลยก็ยังไม่ได้นำเงินไปชำระค่าเครื่องจักรแต่อย่างใด การกระทำต่างๆของจำเลยเป็นเครื่องชี้เจตนาว่าจำเลย ขณะที่จำเลยรับเงินไปจากโจทก์ จำเลยมิได้ตั้งใจนำเงินของโจทก์ไปลงทุนในกิจการ หรือซื้อเครื่องจักรมาขยายกิจการแต่อย่างใด แต่จำเลยต้องการนำเงินของโจทก์ไปใช้ส่วนตัว
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ (ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง)
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9449
Legal
จากข้อเท็จจริงที่โจทก์โอนเงินให้จำเลยไป 570,000 บาท เพื่อร่วมลงทุนซื้อรถบรรทุกสิบล้อมือสอง แต่จำเลยไม่โอนผลกำไรคืน และบ่ายเบี่ยงไม่ยอมแสดงหลักฐานการซื้อรถ โจทก์มีสิทธิ์ฟ้องร้องคดีฉ้อโกงจำเลยได้หรือไม่?
null
โจทก์มีสิทธิ์ฟ้องร้องคดีฉ้อโกงจำเลยได้ โดยอาศัยเหตุผลดังต่อไปนี้: 1. จำเลยมีเจตนาหลอกลวงโจทก์: จำเลยชักชวนโจทก์ให้ร่วมลงทุนโดยเสนอผลกำไรที่สูงเกินจริง จำเลยแจ้งเท็จว่ามีตลาดรองรับชัดเจน และมีความชำนาญในการหาซื้อและตกแต่งซ่อมบำรุงรถบรรทุก จำเลยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมแสดงหลักฐานการซื้อรถเมื่อโจทก์ทวงถาม จำเลยส่งเอกสารสัญญาซื้อขายรถที่เป็นเท็จ 2. จำเลยได้ทรัพย์สินของโจทก์ไป: โจทก์โอนเงินให้จำเลยไป 570,000 บาท 3. จำเลยทำให้โจทก์เสียหาย: โจทก์ไม่ได้รับผลกำไรตามที่ตกลงไว้ โจทก์สูญเสียเงินลงทุน 570,000 บาท 4. พฤติกรรมของจำเลยเข้าองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง: หลอกลวงผู้อื่นด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้ง ด้วยการหลอกลวงเช่นว่านั้นทำให้ได้ทรัพย์สินไปจากผู้อื่น โดยสรุป: จากพฤติการณ์ที่ปรากฏ จำเลยมีเจตนาหลอกลวงโจทก์โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ปกปิดข้อความจริง และทำให้โจทก์โอนเงิน 570,000 บาท ให้ ซึ่งเข้าองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 โจทก์จึงมีสิทธิ์ฟ้องร้องคดีฉ้อโกงจำเลยได้ หมายเหตุ: คำตอบนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น โจทก์ควรปรึกษาทนายความเพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงและรายละเอียดเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกครั้ง การฟ้องร้องคดีต้องมีหลักฐานสนับสนุนคำกล่าวอ้าง เช่น เอกสารการโอนเงิน หลักฐานการติดตามทวงถาม เอกสารสัญญาซื้อขายรถที่เป็นเท็จ ฯลฯ ตัวอย่างเอกสารประกอบ: ใบเสร็จรับเงิน หลักฐานการโอนเงิน บันทึกการสนทนา เอกสารสัญญาซื้อขายรถที่เป็นเท็จ หลักฐานอื่นๆ ที่แสดงถึงเจตนาหลอกลวงของจำเลย
กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ (ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง),ประมวลกฎหมายอาญา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9450
Legal
เทคนิคและทางปฏิบัติที่ทนายความควรทราบในวันตรวจพยานหลักฐานมีอะไรบ้าง?
"หักพวงมาลัยรถหลบวัวที่ถูกหมาไล่กัดขึ้นมาบนถนน" ขณะเกิดเหตุเป็นทางตรงไม่มีสิ่งใดบดบังการมองเห็น มีสุนัขหลายตัววิ่งไล่กัดวัวที่อยู่ริมถนนด้านซ้ายของถนน วัววิ่งหนีข้ามถนนไปทางขวาตัดหน้ารถที่ผู้ต้องหาขับ แม้จะมีวัววิ่งตัดหน้ารถที่ผู้ต้องหาขับ หากผู้ต้องหาขับรถมาด้วยความเร็วไม่เกิน ๙๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามที่กฏหมายกำหนด ความรุนแรงที่ขับชนคอนกรีตร่องถนนไม่น่าจะเกิดขึ้น พบรอยล้อรถที่ร่องกลางถนนก่อนชนคั...นคอนกรีตเป็นระยะยาว ๒๐ เมตร เมื่อรถชนคอนกรีตแล้วได้พลิกคว่ำข้ามคอนกรีตแล้วไปหยุดอยู่เลยคอนกรีตไปเป็นระยะ ๒๕ เมตร สภาพรถตู้ยับเสียหายทั้งคัน แสดงว่าเมื่อรถพลิกคว่ำข้ามคอนกรีตแล้ว ได้พลิกคว่ำไปอีกหลายรอบจึงหยุด แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาขับรถด้วยความเร็วเกินกว่า ๙๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามที่กฏหมายกำหนดเป็นอย่างมาก และไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการควบคุมความเร็วรถให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยทำให้รถตกถนนและพลิกคว่ำ เป็นเหตุให้ผู้โดยสารที่นั่งถึงแก่ความตาย ชี้ขาดให้ฟ้องผู้ต้องหาในข้อหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายทรัพย์สินเสียหาย (ชี้ขาดความเห็นแย้ง ๑๓/๒๕๕๒) ข้อสังเกต : ๑. ความประมาทอยู่ที่การขับรถเร็วเกินอัตราที่กฏหมายกำหนด ทำให้ไม่สามารถหยุดรถหรือบังคับรถให้อยู่ในความปลอดภัยได้ จะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดจากวัววิ่งตัดหน้ารถไม่ได้ หากขับรถไม่เร็วแม้หักรถหลบแล้ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นคงไม่มากและคงไม่มีคนตาย ๒. สิ่งที่แสดงว่าขับรถด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฏหมายกำหนด คือรอยเบรค ๒๐ เมตรก่อนชนคันคอนกรีต และเมื่อพลิกคว่ำรถได้ข้ามคอนกรีตไปหยุดเลยคอนกรีตอีก ๒๕ เมตร รถตู้พังยับเยินและสภาพคอนกรีตที่ถูกชนได้รับความเสียหาย ๓. กฏหมายกำหนดว่ารถที่วิ่งในเขตเทศบาลให้ขับด้วยความเร็วไม่เกิน ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากขับรถออกนอกเขตเทศบาลให้ขับได้ไม่เกิน ๙๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ๔. พนักงานสอบสวนที่มักทำสำนวนว่าผู้ต้องหาหักรถหลบสุนัข หักรถหลบงูที่ออกมาตัดหน้าหรือหักรถหลบของที่ตกบนถนนแล้วเกิดอุบัติเหตุแล้วสั่งไม่ฟ้องอ้างเป็นเหตุสุดวิสัย คงต้องเลิกทำสำนวนทำนองนี้นะครับ เพราะหลายๆสำนวนที่ทำมาก็หลบสุนัขหลบงูทั้งนั้น จริงหรือไม่จริงไม่ทราบ คนที่รู้ดีคือผู้ต้องหาและคนที่โดยสารรถมาด้วยเท่านั้น หรือมีคนรู้กฏหมายบางคนแนะนำให้ผู้ต้องหาให้การแบบนี้
เทคนิคและทางปฏิบัติที่ทนายความควรทราบท่ีสำคัญในวันตรวจพยานหลักฐาน มีดังนี้: 1. เตรียมข้อมูลคดีและวางรูปคดีให้ชัดเจน ศึกษาข้อเท็จจริงจากลูกความและพยานอย่างละเอียด วิเคราะห์ประเด็นข้อต่อสู้ วางแนวทางการสืบพยาน เตรียมบัญชีระบุพยาน เอกสาร พยานวัตถุ ให้ครบถ้วน 2. เตรียมเอกสารและพยานหลักฐาน ส่งตัวจริงของพยานเอกสารและพยานวัตถุต่อศาล กรณีมีพยานหลักฐานเด็ด ควรพิจารณาจังหวะการนำเสนอ เตรียมสำเนาเอกสารไว้ให้คู่ความและศาล 3. ศึกษากฎหมายและแนวฎีกาที่เกี่ยวข้อง เตรียมประเด็นคำถามสำหรับถามค้านพยาน เตรียมคำร้อง/คำแถลงต่างๆ ที่จำเป็น 4. ประสานงานกับพยาน แจ้งพยานเกี่ยวกับวัน เวลา สถานที่ และขั้นตอนต่างๆ เตรียมพยานให้พร้อมสำหรับการซักถาม แนะนำพยานเกี่ยวกับมารยาทและกิริยาท่าทาง 5. แต่งกายสุภาพเรียบร้อย แสดงกิริยาท่าทางที่เหมาะสม แสดงถึงความเป็นมืออาชีพและสร้างความน่าเชื่อถือ ยึดมั่นในจริยธรรมของทนายความ 6. ฟังอย่างตั้งใจ จดบันทึกประเด็นสำคัญ จดบันทึกคำพูดของพยาน ประเด็นที่ขัดแย้ง เอกสารที่ใช้ สังเกตกิริยาท่าทางของพยาน 7. ตั้งคำถามอย่างชาญฉลาด ถามคำถามที่ตรงประเด็น กระชับ ชัดเจน ใช้เทคนิคการถามเพื่อดึงข้อมูล หักล้างข้อเท็จจริง ควบคุมอารมณ์ ถามอย่างสุภาพ 8. วิเคราะห์และประเมินผล วิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่ได้จากพยาน ประเมินน้ำหนักพยาน หลักฐาน เอกสาร วางแผนกลยุทธ์สำหรับการต่อสู้คดีต่อไป เทคนิคเพิ่มเติม แสดงความมั่นใจ ใจเย็น ควบคุมสถานการณ์ สร้างบรรยากาศที่ดี สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่น ปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์ จดบันทึกข้อสรุปและประเด็นสำคัญ การเตรียมตัวที่ดี เข้าใจเทคนิค และปฏิบัติอย่างมืออาชีพ จะช่วยให้ทนายความสามารถควบคุมสถานการณ์ นำเสนอพยานหลักฐาน และต่อสู้คดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ,กฎหมายลักษณะพยาน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9451
Legal
ทำไมศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติด พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยในข้อหาครอบครองยาเสพติดไว้เพื่อจำหน่าย
1. จำเลยไม่ได้หลบหนีเพราะไม่ทันตั้งตัว จึงถูกตำรวจจับกุม อยู่ที่หน้าบ้านที่เกิดเหตุ 2. ในชั้นศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติด พิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลย ในข้อหาครอบครองยาเสพติดไว้เพื่อจำหน่าย โดยศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลว่า 1.ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าจำเลยหลบหนีเข้าไปในบ้านหลังแคบๆ แทนที่จะวิ่งหนีเข้าไปในป่าข้างหลังบ้านเป็นการไม่สมเหตุผล 2.ผลการตรวจค้นตัวจำเลยไม่พบสิ่งของกฎหมายใด (ความจริงเจอทั้งเงินสด ทองคำ และโทรศัพท์มือถือ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ยักยอกเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ) 3.ไม่มีพยานโจทก์ยืนยันว่า จำเลยพักอาศัยอยู่ในที่เกิดเหตุร่วมกับนายป. เป็นประจำ 4.มีพยานมายืนยันว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นของนายป. และจำเลยไม่เคยพักอาศัยอยู่ในที่เกิดเหตุมาก่อน 5.หากจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจริง จำเลยก็ไม่น่าจะวิ่งหนีเข้าไปในบ้านที่เป็นที่เก็บยาเสพติด ที่มีของกลางวางอยู่บนโต๊ะอย่างเปิดเผย 6.จำเลยให้การถึงรายละเอียดทันทีตั้งแต่ในชั้นสอบสวน ซึ่งเป็นเวลาใกล้เคียงกับตอนเกิดเหตุ โดยที่ยังไม่มีทนายความอยู่ด้วย เชื่อว่าน่าจะให้การไปตามความเป็นจริง 7.การที่จำเลยเป็นผู้เสพเมทแอมเฟตามีน ไม่ได้แปลว่ายาเสพติดจะต้องเป็นของจำเลย 8.คำรับสารภาพชั้นจับกุม ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติด ไม่ได้นำมาวินิจฉัย เนื่องจากไม่สามารถรับฟังได้ ตามปวิอ.ม.83 วรรคท้าย 3. ตำรวจชุดจับกุมยึดทรัพย์สินจากจำเลย ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่นำส่งพนักงานสอบสวน 4. เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาว่าจำเลยว่าเป็นเจ้าของยาเสพติดทั้งหมดในบ้าน
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 2. เพราะว่า ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อคำให้การของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ดังนั้น ในการต่อสู้คดีอาญา ทนายความจำเลยจะต้องจำให้ดีว่า หากฝ่ายโจทก์นำเรื่องราวอันเป็นเท็จมาเสนอต่อศาล อย่างไรเสีย ความเท็จนั้น จะต้องมีข้อขัดแย้งกับตัวเอง ขัดแย้งกับพยานปากอื่น และขัดแย้งกับเหตุผลความน่าจะเป็นอยู่เสมอ ความเท็จนั้น ไม่มีทางที่จะสอดคล้องสมเหตุผลไปได้ตลอด เราจะต้องหาจุดขัดแย้งให้เจอ โดยใช้เหตุผลตามสามัญสำนึก และพยานหลักฐานในสำนวน และเมื่อพบข้อขัดแย้งแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ ทนายความจำเลย ที่จะต้องถามค้านและแสดงให้ศาลเห็นถึงความขัดแย้งดังกล่าว เพื่อชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่โจทก์พูดเป็นความเท็จ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดถือเป็นที่สุด และอัยการโจทก์ไม่ได้ขออนุญาตฎีกา
กฎหมายยาเสพติดให้โทษ
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9452
Legal
ผลคำพิพากษาในคดีครอบครัวเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสระหว่างสามีภรรยา มีอะไรบ้าง
null
คดีนี้ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต่างมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยให้เหตุผลในทำนองเดียวกันก็คือ 1. ข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา อาจจะทำในขณะจดทะเบียนหย่าโดยให้นายทะเบียนบันทึกไว้หรือไม่ก็ได้ ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดๆ กำหนดให้ความตกลงในการแบ่งสินสมรสจะต้องกระทำต่อนายทะเบียนหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ 2. มีการแบ่งปันรายได้ และแบ่งกันบริหารกิจการกันตั้งแต่จดทะเบียนหย่า โดยแยกขาดจากกันชัดเจน เป็นเวลากว่า 10 ปี ชี้ให้เห็นเจตนาว่ามีการแบ่งทรัพย์สินกันแล้ว 3. ฝ่ายจำเลยมีพยานคนกลาง โดยเฉพาะบุตรผู้เยาว์ให้การยืนยันว่า เงินที่จำเลยจ่ายให้กับโจทก์แต่ละเดือน ไม่ใช่ส่วนแบ่งรายได้ แต่เป็นเงินช่วยเหลือค่าผ่อนรถ ตามที่บุตรร้องขอ 4. ฝ่ายโจทก์หลังจากหย่าขาดแล้ว ก็ได้ถือเอาประโยชน์จากทรัพย์สินที่อยู่ในความครองครองของตนเองแต่ผู้เดียว ไม่เคยต้องแบ่งปัน หรือปรึกษาฝ่ายจำเลยในการกระทำการใดๆ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทางศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงได้คำพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยเห็นว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้มีการแบ่งสินสมรสกันแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิใดๆ ในทรัพย์สินพิพาทอีก ทั้งนี้คดีนี้สิ้นสุดลงในชั้นศาลอุทธรณ์แผนกคดีชํานาญพิเศษ เนื่องจากฝ่ายโจทก์ยื่นฎีกาแต่ศาลฎีกาไม่รับไว้พิจารณาเนื่องจากไม่ได้วางค่าธรรมเนียมศาลภายในกำหนด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายมรดก-พินัยกรรม
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9453
Legal
เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 อนุมาตรา 2 กล่าวว่าอย่างไร ระหว่าง การประพฤติชั่ว หมายถึง การประพฤติปฏิบัติที่ฝ่าฝืนศีลธรรมหรือจารีตประเพณี ซึ่งวิญญูชนรู้สึกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือ สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
null
การประพฤติชั่ว หมายถึง การประพฤติปฏิบัติที่ฝ่าฝืนศีลธรรมหรือจารีตประเพณี ซึ่งวิญญูชนรู้สึกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 อนุมาตรา 2 กล่าวว่า การประพฤติชั่ว หมายถึง การประพฤติปฏิบัติที่ฝ่าฝืนศีลธรรมหรือจารีตประเพณี ซึ่งวิญญูชนรู้สึกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ส่วน คำที่กล่าวว่า "สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้" เป็นเหตุฟ้องหย่า ที่อยู่ในตัวบทกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 ตัวอย่างคดีฟ้องหย่า เป็นฝ่ายชายที่ถูกภรรยาฟ้องหย่า โดยอ้างว่า ฝ่ายจำเลยประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516 อนุมาตรา 1 โดยโจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกันมาเป็นเวลาสิบกว่าปี มีบุตรด้วยกันถึง 2 คน และประกอบกิจการร้านอาหารมีชื่อเสียง ภายหลังโจทก์และจำเลยมีปัญหาระหองระแหงกันบ่อยครั้ง เนื่องจากภรรยาไปคบชู้กับผู้ชายคนอื่น และมีพฤติกรรมชอบเที่ยวกลางคืน โดยโจทก์แทบไม่เคยช่วยเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเลย ทั้งยังชอบเที่ยวกลางคืน ใช้เงินฟุ่มเฟือย แต่จำเลยให้อภัยตลอดมา เพราะจำเลยยังรักโจทก์อยู่ และหวังว่าวันหนึ่งโจทก์จะคิดได้ และกลับมาอยู่กับครอบครัว มารดาของโจทก์สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ฝากฝังตลอดมาว่าขอให้เห็นแก่ครอบครัวอย่าให้ถึงต้องหย่ากัน จนช่วงหลังมารดาโจทก์ป่วยหนักไม่อาจว่ากล่าวควบคุมโจทก์ได้ โจทก์จึงย้ายออกจากบ้านตามชายชู้ไป ซึ่งจำเลยก็ได้เลี้ยงดูมารดาโจทก์ตลอดมา จนกระทั่งมารดาโจทก์เสียชีวิต โจทก์จึงได้โอกาสฟ้องหย่าจำเลย เพราะมารดาที่เป็นคนขอให้หย่าให้ถึงขั้นหย่าขาดจากกันไม่อยู่แล้ว เหตุฟ้องหย่าที่บรรยายในคำฟ้อง คดีนี้โจทก์บรรยายเหตุฟ้องหย่าว่า จำเลยประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง กล่าวคือจำเลยจะดื่มสุรากับเพื่อนของจำเลยเป็นอาจิณ และจำเลยจะหาเรื่องทำร้ายร่างกายตบตีโจทก์ทุกครั้งเมื่อเมาสุรา และจะมีปากเสียงทะเลาะกับโจทก์ ว่ากล่าวโจทก์โดยใช้คำที่หยาบคาย บางครั้งก็จะนำอาวุธปืนมาข่มขู่โจทก์ พฤติกรรมดังกล่าวทำให้โจทก์ไม่อาจทนได้ต้องแยกห้องนอนกับจำเลยมาตลอดหลายปี ต้องย้ายตัวเองออกไปอยู่ภายนอก ทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9454
Legal
การด่าว่าผู้อื่นทางโทรศัพท์ เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: องค์ประกอบของความผิดฐานหมิ่นประมาท: - การใส่ความ: หมายถึง การกล่าวข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จเกี่ยวกับบุคคลอื่น - ต่อบุคคลที่สาม: หมายถึง บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ถูกใส่ความ เจตนา: - เจตนาเล็งเห็นผล: ผู้กระทำรู้ว่าข้อความที่พูดนั้นเป็นเท็จ และน่าจะทำให้ผู้ถูกใส่ความเสียชื่อเสียง - เจตนาเล็งผล: ผู้กระทำมุ่งหวังผลที่จะทำให้ผู้ถูกใส่ความเสียชื่อเสียง การด่าว่าผู้อื่นทางโทรศัพท์: - ไม่มีบุคคลที่สาม: โดยทั่วไปแล้ว การด่าว่าผู้อื่นทางโทรศัพท์มีเพียงผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ - ขาดองค์ประกอบ "บุคคลที่สาม": จึงไม่เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท ข้อยกเว้น: - ผู้ถูกกระทำเปิดลำโพงโทรศัพท์: - มีบุคคลที่สามรับฟัง - ผู้กระทำอาจมีความผิดฐานหมิ่นประมาท - ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้กระทำ การพิสูจน์เจตนา: ยาก ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน แนวคำพิพากษาศาลฎีกา: - คดีหมายเลข 110/2516: ผู้กระทำไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท - คดีหมายเลข 20593/2556: การด่ากันทางโทรศัพท์เป็นความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า - คดีหมายเลข 3711/2557: การด่ากันทางโทรศัพท์ไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า สรุป: การด่าว่าผู้อื่นทางโทรศัพท์โดยทั่วไปไม่เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท มีข้อยกเว้น ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน แนวคำพิพากษาศาลฎีกาปัจจุบัน: การด่ากันทางโทรศัพท์ไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า หมายเหตุ: - บทความนี้เป็นเพียงการสรุปประเด็นกฎหมายทั่วไป - ไม่สามารถนำไปใช้กับกรณีเฉพาะได้ - ควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำปรึกษาเพิ่มเติม
กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง,ประมวลกฎหมายอาญา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9455
Legal
โปรดสรุปบทความ ข้อดีข้อเสียในทางกฎหมายที่ควรรู้ของการขายดาวน์รถ
สาระน่ารู้เกี่ยวกับการซื้อ-ขายดาวน์รถ สาระน่ารู้เกี่ยวกับการซื้อ-ขายดาวน์รถ ทุกวันนี้การขายดาวน์รถหรือที่อาจเรียกได้เป็นภาษากฎหมายว่า “การขายสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ” นั้นเป็นที่นิยมกันมาก เพราะบางครั้งผู้เช่าซื้อรถ เมื่อเช่าซื้อมาสักพักแล้วเกิดเบื่อรถคันนั้นอยากได้คันใหม่หรือเกิดเหตุติดขัดทางการเงินผ่อนรถต่อไปไม่ไหว ก็มักจะหาทางออกโดยการขายดาวน์รถคนดังกล่าวให้ญาติพี่น้องคนรู้จักหรือเต้นรถ ส่วนฝ่ายผู้ซื้อบางคนก็อยากเช่าซื้อรถแต่เครดิตของตนเองไม่ถึง ไม่สามารถจัดไฟแนนซ์ได้ ก็ต้องใช้วิธีซื้อดาวน์จากคนรู้จัก หรือบางคนเห็นว่าสะดวกดีเพราะบางครั้งเป็นการรับซื้อมาโดยไม่ต้องเสียเงินดาวน์ แค่นำมาผ่อนต่อเฉยๆ ดังนั้นปัจจุบันนี้การขาวดาวน์รถจึงเป็นที่นิยมมาก ซึ่งการขายดาวน์รถมีข้อดีข้อเสียที่ควรรู้ดังต่อไปนี้ 1.การขายดาวน์รถหรือการขายสิทธิเช่าซื้อรถยนต์สามารถทำได้หรือไม่ แม้ว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 572 ได้วางหลักว่าผู้ที่มีสิทธินำรถยนต์ออกให้เช่าซื้อคือ“เจ้าของ” เท่านั้น แต่ศาลฎีกาก็ตีความว่า ผู้เช่าซื้อมีสิทธินำรถยนต์ขายดาวน์ต่อให้บุคคลอื่นได้ แม้ขณะนั้นผู้เช่าซื้อจะไม่ใช่เจ้าของรถก็ตาม โดยศาลฎีกาตีความว่า คำว่า “เจ้าของ” หมายถึงผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินในขณะที่ทำสัญญาเช่าซื้อและหมายความรวมถึงผู้ที่จะมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ในอนาคตโดยชอบด้วย ดังนั้นผู้เช่าซื้อซึ่งอยู่ในฐานะผู้ที่”จะมี” กรรมสิทธิ์ในอนาคตโดยชอบ จึงมีสิทธิที่จะออกให้เช่าซื้อหรือขายดาวน์ต่อให้บุคคลอื่นได้ ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3111/2539 , 5688/2545 ,7308/2545,7404/2547 , , 6862/2550 เป็นต้น การขายดาวน์รถที่เช่าซื้อมาให้ผู้อื่นจึงสามารถทำได้ ผู้ซื้อและผู้ขายไม่มีความผิดอาญาแต่อย่างใด และหากผู้ซื้อดาวน์นำรถไปขายหรือนำรถหนีหายไปไม่ยอมผ่อนต่อ ผู้เช่าซื้อย่อมเป็นผู้เสียหายที่มีสิทธิฟ้องคดีแพ่งหรือร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาหรือฟ้องคดีอาญากับผู้ซื้อดาวน์ได้ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 386/2551 ,7690/2551 2. ถ้าไม่ใช่การการขายดาวน์ แต่เป็นการขายขาดไปเลยหรือเอาไปจำนำโดยไม่คิดจะไถ่ถอน จะมีผลเป็นอย่างไร ถ้าผู้เช่าซื้อไม่ได้ทำการขายดาวน์รถยนต์ แต่เป็นการขายขาด คือเป็นการขายโดยรู้อยู่แล้วผู้ซื้อจะไปเอาไปผ่อนต่อ หรือเอารถยนต์ไปจำนำกับบุคคลอื่นโดยไม่มีเจตนาจะไถ่ถอนกลับมา (โดยมากผู้รับซื้อหรือรับจำนำรถลักษณะนี้มักเป็นนายทุนนอกระบบหรือผู้มีอิทธิพลมืด ซึ่งบรรดารถหลุดจำนำทั้งหลายที่มักมาประกาศขายถูกๆตามเว็บไซต์ก็มีที่มาจากการนี้ ) ซึ่งการการกระทำของผู้เช่าซื้อย่อมเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต เพราะกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังไม่ใช่ของผู้เช่าซื้อ แต่ผู้เช่าซื้อกลับนำรถยนต์ไปขายขาดหรือจำนำให้ผู้อื่น อันเป็นการแสดงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการทุจริต ผู้เช่าซื้อมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1125/2507 , 7727/2544 , 6540/2548 ส่วนผู้รับซื้อหรือรับจำนำรถยนต์จากผู้เช่าซื้อ หากทราบดีอยู่แล้วว่าผู้เช่าซื้อไม่ใช่เจ้าของรถแต่ก็ยังรับซื้อหรือรับจำนำไว้ ย่อมมีความผิดฐานรับของโจร ทั้งนี้ผู้รับซื้อหรือรับจำนำย่อมไม่มีสิทธิจะโต้แย้งใดๆหากเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงคือผู้ให้เช่าซื้อจะมาตามยึดรถยนต์คืน ไม่ว่าตนเองจะรับซื้อหรือรับจำนำไว้โดยสุจริตหรือไม่ ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2519 3. การขายดาวน์รถอาจทำให้เกิดปัญหาอย่างไรได้บ้าง การขายดาวน์รถหรือการขายสิทธิเช่าซื้อแม้ตามทฤษฎีแล้วสามารถทำได้ แต่ทางปฏิบัติแล้วไฟแนนซ์ผู้ให้เช่าซื้อ จะระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อเสมอว่า “ห้ามไม่ให้ผู้เช่าซื้อนำรถไปขายให้บุคคลอื่นเช่าซื้อช่วงหรือขายสิทธิเช่าซื้อ…. หากผู้เช่าซื้อกระทำการดังกล่าวให้ถือว่าผู้เช่าซื้อผิดสัญญาและผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเลิกสัญญาและยึดรถยนต์ดังกล่าวกลับเป็นของผู้ให้เช่าซื้อและริบเงินทั้งหมดที่ผู้เช่าซื้อชำระมา” ดังนั้นหากผู้เช่าซื้อนำรถยนต์ไปให้บุคคลอื่นเช่าซื้อก็อาจจะถูกไฟแนนซ์ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาและติดตามยึดรถคืนและริบเงินทั้งหมดที่ผู้เช่าซื้อชำระไป อีกทั้งยังอาจถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายอีกด้วย ทั้งนี้โดยผู้ซื้อดาวน์เองก็ไม่มีสิทธิยึดหน่วงหรือโต้แย้งใดๆหากผู้ให้เช่าซื้อจะมายึดรถเอาจากตน ทั้งนี้หากว่าไฟแนนซ์ผู้ให้เช่าซื้อได้บอกเลิกสัญญากับผู้เช่าซื้อแล้วนอกจากนี้ยังมีปัญหาที่พบบ่อยเช่น 3.1 ผู้ซื้อดาวน์ นำรถยนต์ไปแล้วไม่ยอมผ่อนหรือผ่อนไม่ตรง ผู้ให้เช่าซื้อก็ต้องเป็นผู้ผ่อนชำระกับไฟแนนซ์เอง เพราะตนเองเป็นคู่สัญญากับไฟแนนซ์ หากไมทำการผ่อนย่อมถูกไฟแนนซ์ฟ้องร้องหรือเสียเครดิต 3.2 ผู้ซื้อดาวน์เป็น 18 มงกุฎอาชีพ นำรถยนต์ไปขายขาดหรือจำนำกับบุคคลอื่น เช่นนี้ผู้เช่าซื้อก็ต้องไปติดตามฟ้องร้องเอากับผู้ซื้อดาวน์หรือผู้รับจำนำเอง บางครั้งติดตามไม่ได้ผู้เช่าซื้อก็ต้องผ่อนกุญแจกับไฟแนนซ์ไป ซึ่งกรณีนี้มักพบบ่อยกรณีที่นำรถยนต์ไปขายดาวน์ให้เต้นรถ แล้วเต้นรถนำไปให้บุคคลอื่นเช่าซื้อต่ออีกทอดหนึ่ง 3.3 ผู้ซื้อดาวน์นำรถไปทำกระทำผิด เช่นนำไปขนยาเสพติดหรือนำไปกระทำผิดอาญาอื่นๆ รถก็ต้องถูกยึดไว้ตรวจสอบและอาจถูกยึดเป็นหลวงเด็ดขาด ผู้ซื้อดาวน์ก็ต้องผ่อนกุญแจต่อไป 3.4 ด้านผู้ซื้อดาวน์ ก็มีปัญหาเช่นกัน คือเมื่อผ่อนชำระค่าเช่าซื้อครบแล้ว ปรากฏว่าผู้เช่าซื้อไม่ย่อมโอนรถให้ ตนเองก็ต้องไปติดตามฟ้องร้องผู้เช่าซื้อเอา สรุปแล้ว การขายดาวน์รถนั้น ตามทฤษฎีแล้วสามารถทำได้ แต่ทางปฏิบัติแล้วมักมีปัญหาเกิดขึ้นได้หลายประการ ดังนั้นการซื้อขายดาวน์รถที่ถูกต้อง ควรจะต้องทำการเปลี่ยนสัญญากับไฟแนนซ์ให้ถูกต้องแม้จะยุ่งยากและเสียค่าธรรมเนียมบ้าง แต่ก็ดีกว่าเกิดปัญหาภายหลังครับ
เมื่อผู้เช่าซื้อรถอยากได้รถคันใหม่ หรือเกิดเหตุติดขัดทางการเงินทำให้ผ่อนรถต่อไปไม่ไหว ก็มักจะหาทางออกโดยการขายดาวน์รถ ทว่าก็อาจมีผู้ซื้อบางคนที่อยากเช่าซื้อรถแต่เครดิตของตัวเองไม่ถึง ทำให้ไม่สามารถจัดไฟแนนซ์ได้ จึงต้องใช้วิธีซื้อดาวน์จากคนรู้จัก โดยวิธีการซื้อดาวน์และขายดาวน์รถมีข้อดีข้อเสียในทางกฎหมายที่ควรรู้ ดังนี้ 1) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 572 บัญญัติไว้ว่า ผู้ที่มีสิทธินำรถยนต์ออกให้เช่าซื้อคือ“เจ้าของ” เท่านั้น แต่ศาลฎีกาก็มีการตีความว่า ผู้เช่าซื้อมีสิทธินำรถยนต์ขายดาวน์ต่อให้บุคคลอื่นได้ แม้ขณะนั้นผู้เช่าซื้อจะไม่ใช่เจ้าของรถก็ตาม เนื่องจากคำว่า “เจ้าของ” หมายถึงผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินขณะที่ทำสัญญาเช่าซื้อ จึงหมายความรวมถึงผู้ที่จะมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ในอนาคตโดยชอบด้วย ดังนั้น การขายดาวน์รถที่เช่าซื้อมาให้ผู้อื่นจึงสามารถทำได้ ผู้ซื้อและผู้ขายไม่มีความผิดอาญา แต่หากผู้ซื้อดาวน์นำรถไปขายหรือนำรถหนีหายไปไม่ยอมผ่อนต่อ ผู้เช่าซื้อย่อมกลายเป็นผู้เสียหายที่มีสิทธิฟ้องคดีแพ่งหรือร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาหรือฟ้องคดีอาญากับผู้ซื้อดาวน์ได้ 2) หากไม่ใช่การขายดาวน์ แต่เป็นการขายขาด หรือการเอาไปจำนำโดยไม่คิดจะไถ่ถอน ซึ่งผู้รับซื้อหรือรับจำนำมักเป็นนายทุนนอกระบบ การกระทำเช่นนี้ของผู้เช่าซื้อย่อมเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต เพราะกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังไม่ใช่ของผู้เช่าซื้อ ด้วยเหตุนี้ ผู้เช่าซื้อจึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ส่วนผู้รับซื้อหรือรับจำนำรถยนต์จากผู้เช่าซื้อ หากทราบดีอยู่แล้วว่าผู้เช่าซื้อไม่ใช่เจ้าของรถแต่ก็ยังรับซื้อหรือรับจำนำไว้ ย่อมมีความผิดฐานรับของโจร ไม่ว่าตนเองจะรับซื้อหรือรับจำนำไว้โดยสุจริตหรือไม่ก็ตาม 3) การขายดาวน์รถหรือการขายสิทธิเช่าซื้อ แม้จะสามารถทำได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้วไฟแนนซ์ผู้ให้เช่าซื้อ จะระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อเสมอว่า ห้ามไม่ให้ผู้เช่าซื้อนำรถไปขายให้บุคคลอื่นเช่าซื้อช่วงหรือขายสิทธิเช่าซื้อ หากผู้เช่าซื้อกระทำการดังกล่าวให้ถือว่าผู้เช่าซื้อผิดสัญญาและผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเลิกสัญญาและยึดรถยนต์ดังกล่าวกลับเป็นของผู้ให้เช่าซื้อและริบเงินทั้งหมดที่ผู้เช่าซื้อชำระมา ดังนั้น หากผู้เช่าซื้อนำรถยนต์ไปให้บุคคลอื่นเช่าซื้อ ก็อาจถูกไฟแนนซ์ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญา ติดตามยึดรถคืน รวมทั้งริบเงินทั้งหมดที่ผู้เช่าซื้อชำระไปแล้ว นอกจากนี้ยังอาจถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายอีกด้วย ซึ่งผู้ซื้อดาวน์เองก็ไม่มีสิทธิยึดหน่วงหรือโต้แย้งใดๆ หากผู้ให้เช่าซื้อจะมายึดรถเอาจากตน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายซื้อขาย,กฎหมายทรัพย์สิน-กรรมสิทธิ์-ทรัพย์อิงสิทธิ,กฎหมายนิติกรรม-สัญญา-ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9456
Legal
ในกรณีที่ถูกฟ้องคดีแพ่ง จำเป็นต้องไปปรึกษาทนายความหรือไม่?
null
ไม่จำเป็น เนื่องจาก 1.ความซับซ้อนของกฎหมาย: คดีแพ่งมีกฎหมายและขั้นตอนที่ซับซ้อน การปรึกษาทนายความจะช่วยให้เข้าใจคดี ประเมินความเสี่ยง และเตรียมแนวทางต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง 2.ประโยชน์ในการต่อสู้คดี: ทนายความมีประสบการณ์และความรู้ในกฎหมาย ช่วยให้ต่อสู้คดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสชนะคดี และรักษาผลประโยชน์ของคุณ 3.ความคุ้มครองทางกฎหมาย: ทนายความจะช่วยปกป้องสิทธิของคุณในกระบวนการยุติธรรม ป้องกันไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ 4.ความสบายใจ: การเผชิญคดีด้วยตัวเองอาจสร้างความเครียดและกังวล การปรึกษาทนายความจะช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้น มั่นใจขึ้น และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ 5.กรณีคดีที่ซับซ้อน: คดีบางประเภทมีความซับซ้อน เช่น คดีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินมูลค่าสูง คดีที่มีคู่กรณีหลายฝ่าย หรือคดีที่มีประเด็นทางกฎหมายที่ยาก กรณีเหล่านี้ควรปรึกษาทนายความโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม หากคุณมั่นใจว่าเข้าใจคดี และมีหลักฐานเพียงพอที่จะต่อสู้คดีเอง คุณอาจไม่จำเป็นต้องปรึกษาทนายความ หากคุณมีข้อจำกัดทางการเงิน คุณสามารถปรึกษาทนายความที่ให้บริการฟรี หรือขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานคุ้มครองสิทธิ์ผู้บริโภค โดยสรุป การปรึกษาทนายความเป็นสิ่งที่ ควร ทำเมื่อถูกฟ้องคดีแพ่ง แม้ว่าจะไม่จำเป็นเสมอไป แต่ทนายความจะช่วยให้เข้าใจคดี ต่อสู้คดีอย่างมีประสิทธิภาพ และปกป้องสิทธิของคุณ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),วิชาว่าความและทนายความ คำฟ้อง คำให้การและคำร้องขอ มรรยาททนายความ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9458
Legal
เหตุใดจึงให้ผู้รับทรัพย์ในพินัยกรรมออกไปอยู่ห้องอื่นหรือนอกบริเวณการถ่ายทำวีดีโอประกอบพินัยกรรม
a. ไม่ต้องการให้ผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรม ข่มขู่ กดดัน หรือชักจูงให้ผู้ทำพินัยกรรม ทำพินัยกรรมให้เป็นประโยชน์แก่ตน b. ป้องกันการถูกรบกวนขณะถ่ายทำวีดีโอ c. ป้องการถูกโต้แย้งว่า ผู้ทำพินัยกรรมไม่เข้าใจเนื้อหาในพินัยกรรม d. ป้องกันข้อโต้แย้งของฝ่ายตรงข้ามในชั้นศาล และเป็นข้อพิสูจน์พินัยกรรมฉบับที้ปรากฎในศาล
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ a. เพราะว่า ผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมรวมทั้งคูjสมรสไม่ควรปรากฎในขณะทำคลิปวีดีโอประกอบการทำพินัยกรรม ทั้งนี้เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1653 ผู้เขียน หรือพยานในพินัยกรรมจะเป็นผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมนั้นไม่ได้ รวมถึงตัวคู่สมรสของผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมด้วย ทั้งนี้เพราะกฎหมายไม่ต้องการให้ผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรม ข่มขู่ กดดัน หรือชักจูงให้ผู้ทำพินัยกรรม ทำพินัยกรรมให้เป็นประโยชน์แก่ตน จึงไม่ต้องการให้ผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมลงลายมือชื่อเป็นพยานในพินัยกรรม ดังนั้นในการถ่ายทำวีดีโอประกอบการทำพินัยกรรม จึงควรให้บุคคลดังกล่าวอยู่นอกห้องที่จัดทำพิพัยกรรมด้วย เพื่อป้องกันข้อโต้แย้งของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งความจริงแล้วในคลิปวีดีโอนั้น ควรมีเฉพาะผู้ทำพินัยกรรม ทนายความ และพยานอยู่ด้วยเท่านั้น บุคคลอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องควรออกไปข้างนอกทั้งหมด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายมรดก-พินัยกรรม
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9460
Legal
คำพิพากษาศาลฎีกาใดที่ศาลวินิจฉัยว่า ไม่เป็นการแสดงตนโดยเปิดเผย ระหว่าง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2588/2561 หรือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4014/2530
null
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2588/2561 เพราะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2588/2561 เป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ศาลวินิจฉัยว่า ไม่เป็นการแสดงตนโดยเปิดเผย โดยกล่าวว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2588/2561 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง โจทก์ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นได้นั้น ต้องมีข้อเท็จจริงว่า หญิงอื่นแสดงตนว่ามีความสัมพันธ์กับสามีตนในทำนองชู้สาว “โดยเปิดเผย” หน้าที่นำสืบให้ได้ความเช่นว่านั้นจึงตกแก่โจทก์ การที่โจทก์รู้เห็นถึงความสัมพันธ์ของ ช. กับจำเลยเกิดจากคำบอกเล่าของสามีของโจทก์เองหาใช่การกระทำของทั้ง ช. และจำเลยที่มีการแสดงออกโดยเปิดเผยจนเป็นที่รับรู้และเข้าใจต่อบุคคลอื่นไม่ ไม่ปรากฏพฤติกรรมว่า ช. ได้เลี้ยงดูยกย่องจำเลยเป็นภริยา หรือแยกไปอาศัยอยู่กินด้วยกัน หรือพาจำเลยไปเปิดตัวต่อผู้อื่นในที่ชุมชน หรือพาไปตามสถานที่ต่างๆ แบบเปิดเผย ไม่มีการแสดงออกทั้งภาพถ่าย และการระบุสถานะในสื่อสังคมออนไลน์ปรากฏต่อสาธารณชน ไม่มีพยานบุคคลอื่นที่รู้เห็นความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสองไม่ว่าพนักงานโรงแรม พนักงานรักษาความปลอดภัย บิดามารดา เพื่อร่วมงานของจำเลยที่ธนาคาร ก. ที่สาขาพัทยา เพื่อนร่วมงานของโจทก์ เพื่อนของ ช. ลำพังเพียงรูปถ่ายของจำเลยกับ ช. ที่ไปมีเพศสัมพันธ์ตามสถานที่ต่างๆ และคลิปวิดีโอที่โจทก์ได้มาจากสามีตนเอง ไม่ใช่สิ่งที่สื่อถึงเจตนาที่แท้จริงของบุคคลทั้งสองว่าต้องการมีความสัมพันธ์แบบเปิดเผย โจทก์ย่อมไม่สามารถเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ เพราะจำเลยไม่ได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาวตามนัยแห่งบทบัญญัติมาตรา 1523 วรรคสอง ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4014/2530 เป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ศาลวินิจฉัยว่า เป็นการแสดงตนโดยเปิดเผย โดยกล่าวว่า การที่จำเลยมีความสัมพันธ์ทางชู้สาว กับสามีโจทก์จนถึงขั้นสามีโจทก์ให้โจทก์ยอมรับจำเลยเป็นภรรยาน้อย มิฉะนั้นจะทิ้งโจทก์และจำเลยตบ หน้าสามีโจทก์ในร้านอาหารเพราะความหึงหวงต่อหน้าโจทก์ ทั้งสามีโจทก์และจำเลยยังได้ร่วมกันกู้เงินจากธนาคารมาสร้างหอพักในที่ดินของจำเลย และมีผู้รู้เห็นว่าสามีโจทก์ได้มาหาและพักนอนอยู่ที่บ้านจำเลยหลายครั้ง เช่นนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้แสดงตน โดย เปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาว กับสามีโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามมาตรา 1523 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกา,กฎหมายเยาวชนและครอบครัว พรบ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9461
Legal
ช่วยสรุปบทความ การถามพยาน ตอนที่ 1 ” ซักถามพยาน ”
ห้ามใช้คำถามนำ แต่ไม่ได้ห้ามเด็ดขาด ธรรมดาแล้วในการซักถามพยานที่เราอ้างมานั้น กฎหมายห้ามไม่ให้ทนายความใช้ คำถามนำ ในการซักถามพยานของฝ่ายตนเอง คำถามนำ หมายความว่าเป็นคำถามที่แนะนำคำตอบให้กับพยานอยู่ในตัว หรือเป็นคำถามที่ให้พยานเลือกตอบข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง ในลักษณะการชี้นำ ไม่ใช่เป็นคำถามเพื่อให้พยานเราได้เล่าข้อเท็จจริงแต่เป็นคำถามที่แนะนำคำตอบให้กับพยานอยู่ในตัว ตัวอย่างเช่น วันเกิดเหตุพยานเห็นเหตุการณ์ใช่ไหม จำเลยเป็นคนใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายใช่หรือไม่ จำเลยขี่มอเตอร์ไซค์หลบหนีไปใช่หรือไม่ สาเหตุที่กฎหมายห้ามไม่ให้ใช้คำถามนำ เพราะกฎหมายถือว่าต้องการให้พยานเล่าเรื่องข้อเท็จจริงที่พยานได้ประสบรู้เห็นมาโดยตรง ไม่ใช่ให้พยานตอบตามที่ทนายความต้องการนำทางไป มิฉะนั้นคนที่ไม่รู้เห็นเรื่องราวใดๆเลยก็ยอมมาเบิกความเป็นพยานในชั้นศาลได้ เพียงแค่ตอบคำถามตามที่ทนายความนำไปว่าใช่ๆๆ อย่างเดียว อย่างไรก็ตามกฎหมายในเรื่องการห้ามถามนำนั้น ไม่ใช่กฎหมายต้องห้ามเด็ดขาด หากศาลอนุญาตให้ใช้คำถามนำหรือฝ่ายตรงข้ามไม่คัดค้านในการใช้คำถามนำ ทนายความฝ่ายผู้อ้างพยานก็สามารถใช้คำถามนำได้ ทั้งนี้ตาม ปวิพ ม.118 ในบางครั้งบางสถานการณ์ เราอาจจะเจอพยานที่ไม่เข้าใจคำถาม ไม่เข้าใจประเด็นที่เราต้องการจะซักถาม ถามกี่ครั้งพยานก็ยังไม่เข้าใจ อีกทั้งประเด็นที่เราจะถามก็ไม่ใช่ประเด็นข้อสำคัญในคดี ใช้คำถามที่สั้น กระชับ ถามทีละคำถาม หลักการตั้งคำถามที่ถูกต้องในการซักถามพยาน ก็คือ การตั้งคำถามให้สั้น กระชับที่สุด คำถามยิ่งสั้นยิ่งดี เพราะคำถามยิ่งยาวยิ่งทำให้พยานเข้าใจยากขึ้น ว่าเราต้องการสอบถามว่าอะไร แล้วจะทำให้ศาลไม่เข้าใจเช่นเดียวกันว่าเราต้องการถามพยานว่าอะไร และการตั้งคำถามนั้นควรจะตั้งคำถามทีละคำถาม อย่าตั้งคำถามหลายคำถามในครั้งเดียว จะทำให้พยานมึนงงสับสน และตอบไม่ครบถ้วน ใช้น้ำเสียงที่สุภาพ นุ่มนวล คอยปลอบเมื่อพยานไม่เข้าใจคำถาม หรือตอบผิดพลาด การใช้น้ำเสียงในการซักถามพยานนั้นเป็นหนึ่งในศิลปะที่ทนายความที่มีความสามารถห้ามมองข้ามโดยเด็ดขาด ธรรมดาแล้วบุคคลที่จะมาเบิกความเป็นพยานในชั้นศาลนั้น ย่อมมีความประหม่า ตื่นเต้น และเกรงกลัวอยู่ไม่น้อย แม้กระทั่งตัวผมเอง ถึงแม้จะเป็นทนายความและมีประสบการณ์ในการว่าความแต่เมื่อถึงคราวต้องเบิกความในชั้นศาลบางครั้งก็ตื่นเต้นเกิดความผิดพลาดได้ เมื่อเราเป็นทนายความฝั่งที่อ้างตัวเขามาเป็นพยาน เราก็ควรจะเข้าใจถึงความเป็นจริงข้อนี้ว่า คนที่จะมาเบิกความเป็นพยานในชั้นศาลเขาก็มีความตื่นเต้น ประหม่า และกลัวความผิดพลาดอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงควรที่จะพูดจากับเขาด้วยความสุภาพ อ่อนโยน หากเขาเบิกความผิดพลาดหลงลืมหรือตกหล่นก็ควรค่อยๆบอกเขาด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร และคอยปลอบโยนเขา ซึ่งจะทำให้เขาได้สติ แต่หากเราอารมณ์เสีย ใส่อารมณ์หรือดุด่าว่ากล่าวพยานที่เบิกความผิดพลาดหรือไม่ตรงกับที่เราต้องการจะถาม ยิ่งจะทำให้พยานหวาดกลัวแตกตื่นจนอาจเบิกความเสียรูปคดีไปเลย ดังนั้นการใช้น้ำเสียง และวิธีการถามของพยานในการซักถามพยาน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในการถามพยานครับ ใช้ภาษาที่เหมาะสมกับพยาน การใช้ภาษาที่เหมาะสมกับความรู้ สติปัญญา ของพยานก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ทนายความจะต้องรู้จักเลือกใช้ให้เหมาะสม ถ้าหาพยานเป็นชาวบ้าน จบการศึกษาชั้นม.3 เช่นนี้การใช้คำถาม ก็ควรใช้คำถามง่ายๆ หลีกเลี่ยงการใช้คำทับศัพท์ ภาษาต่างประเทศ ภาษาราชการ ภาษากฎหมาย ภาษาเฉพาะทาง แต่ควรใช้ภาษาแบบง่ายๆที่ชาวบ้านทั่วไปฟังแล้วเข้าใจ หากพยานเป็นคนภาคเหนือ ภาคอีสาน หรือภาคใต้ ที่อาจจะไม่เข้าใจบริบทหรือภาษากลางอย่างชัดเจน หากถามแล้วไม่เข้าใจก็อาจจะขออนุญาตศาลถามเป็นภาษาท้องถิ่นหรืออธิบายคำถามให้พยานเข้าใจได้โดยง่าย แต่หากพยานเป็นผู้มีการศึกษา เป็นนักวิชาการเฉพาะทาง ที่สามารถเข้าใจคำศัพท์เฉพาะ ภาษากฎหมาย ภาษาทางการ ได้เป็นอย่างดีทนายความก็สามารถใช้คำถามที่เป็นศัพท์เฉพาะ ภาษากฎหมาย หรือภาษาทางการได้เลย การใช้ภาษาที่เหมาะสมกับระดับสติปัญญาของพยาน จะทำให้การสื่อสารระหว่างเราและพยานไม่คลาดเคลื่อน การซักถามพยานเป็นไปโดยราบรื่นไม่มีข้อผิดพลาดหรือตกหล่น
ห้ามใช้คำถามนำ แต่ไม่ได้ห้ามเด็ดขาด คำถามนำคือคำถามที่แนะนำหรือชี้นำคำตอบให้กับพยาน หรือเป็นคำถามที่ให้พยานเลือกตอบข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวอย่างคำถามนำที่ห้ามใช้เช่น "วันเกิดเหตุพยานเห็นเหตุการณ์ใช่ไหม" ในกรณีที่ศาลอนุญาตให้ใช้คำถามนำ ทนายความสามารถใช้คำถามนำได้ การใช้คำถามนำไม่ใช่การให้พยานเล่าเรื่องข้อเท็จจริงเอง แต่เป็นการแนะนำหรือชี้นำคำตอบไปทางที่ทนายความต้องการ ถึงแม้บางครั้งพยานอาจไม่เข้าใจคำถามหรือประเด็นที่ถาม ทนายความสามารถใช้คำถามนำในกรณีนี้ หลักการตั้งคำถามในการซักถามพยานคือ ความกระชับและสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้พยานเข้าใจง่ายและไม่ทำให้ศาลสับสน เนื่องจากคำถามยาวมักทำให้การตอบของพยานเป็นไปได้ยาก การตั้งคำถามทีละคำถามถือเป็นหลักการที่สำคัญเพื่อป้องกันความสับสนและให้คำตอบที่ครบถ้วนจากพยาน การซักถามพยานควรใช้น้ำเสียงที่สุภาพและนุ่มนวลเมื่อพยานไม่เข้าใจหรือตอบผิด การใช้น้ำเสียงเป็นศิลปะที่ทนายความควรใส่ใจเพื่อป้องกันความสับสน ทนายความควรรู้ถึงความตื่นเต้นและกังวลของพยานที่มีความประหม่าในการเป็นพยานในศาล การใช้น้ำเสียงที่สุภาพและอ่อนโยนสามารถช่วยให้พยานรู้สึกสบายใจ นอกจากนี้ การใช้น้ำเสียงที่เป็นมิตรและการปลอบโยนเมื่อพยานเบิกความผิดพลาดหรือหลงลืมสามารถช่วยบรรเทาสถานการณ์ได้ การใช้ภาษาที่เหมาะสมกับพยานเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากนักทนายความต้องสร้างสัญญาณการสื่อสารที่เข้าใจได้กับพยาน หากพยานมีความรู้สึกไม่เข้าใจหรือสับสน เนื่องจากภาษาที่ใช้มีคำศัพท์ที่ซับซ้อนหรือไม่คุ้นเคย อาจทำให้สื่อสารไม่ได้ผลเช่นกัน ดังนั้นการเลือกใช้ภาษาที่ถูกต้อง
กฎหมายลักษณะพยาน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9462
Legal
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง สามีภริยาสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหาย ค่าทดแทนจากชายชู้หรือหญิงชู้ได้โดยไม่ต้องหย่า ต้องมีหลักเกณฑ์อะไรบ้าง
a. ชายไม่มีพฤติกรรมทำนองชู้สาวกับหญิงอื่น แสดงว่าหญิงอื่นก็ไม่มีการกระทำทำนองชู้สาวกับชาย b. สามีสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากชายชู้หรือชายอื่นในฐานะที่ชายชู้หรือชายอื่นล่วงเกินภิรยาในทำนองชู้สาวเท่านั้น ภริยามีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงชู้หรือภรรยาน้อยที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่ามีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวเท่านั้น c. หญิงไม่มีพฤติกรรมทำนองชู้สาวกับชายอื่น แสดงว่าชายอื่นก็ไม่มีการกระทำทำนองชู้สาวกับหญิง d. หญิงชู้หรือภรรยาน้อยไม่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่ามีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาว
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ b. เนื่องจาก : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง สามีภริยาสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหาย ค่าทดแทนจากชายชู้หรือหญิงชู้ได้โดยไม่ต้องหย่าโดยแยกเป็น กรณีสามีจะฟ้องชายชู้นั้น เพียงชายชู้มีพฤติกรรมล่วงเกินภริยาในทางชู้สาว ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกิดสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทน โดยการล่วงเกินในทางชู้สาวนั้นไม่จำเป็นจะต้องถึงขั้นว่ามีเพศสัมพันธ์กัน เพียงจับต้องตัวกันทางเพศเช่น หอมแก้ม กอดจูบ หรือนอนกอดกัน ก็ถือว่าเป็นการล่วงเกินไปในทำนองชู้สาว และยิ่งมีเพศสัมพันธ์กันก็ถือได้ว่าเป็นการล่วงเกินในทำนองชู้สาวอย่างชัดเจน ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นไปโดยเปิดเผยให้แก่บุคคลทั่วไปทราบหรือเป็นไปโดยปิดบังอย่างลับๆ สามีก็มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนได้ แต่สำหรับกรณีภริยาจะฟ้องหญิงชู้หรือภริยาน้อยนั้น จะต้องเป็นกรณีที่หญิงชู้หรือภริยาน้อยแสดงตนโดยเปิดเผยว่าตนเป็นหญิงชู้หรือภริยาน้อยของสามี เช่น มีการพาไปออกงานต่างๆ พาไปแนะนำให้ญาติพี่น้องหรือคนที่ทำงานรู้ว่าเป็นแฟนกัน หรือไปอยู่บ้านเดียวกัน หรือมีบุตรด้วยกันและให้บุตรใช้นามสกุลสามี
กฎหมายเยาวชนและครอบครัว,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9463
Legal
เหตุผลของกฎหมายเฉพาะ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 161 คืออะไร ระหว่าง ไม่ต้องการบังคับฝืนใจให้สามีภริยาต้องอยู่ร่วมกัน หรือ ไม่มีกฎหมายให้อำนาจให้ฟ้องบังคับให้ชู้เลิกมีความสัมพันธ์กับคู่สมรส
null
ไม่ต้องการบังคับฝืนใจให้สามีภริยาต้องอยู่ร่วมกัน กฎหมายเฉพาะ คือ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนฯ 2553 มาตรา 161 ที่บัญญัติไว้เป็นกฎหมายเฉพาะคือ “เมื่อศาลมีคำสั่งหรือคำบังคับที่ไม่เกี่ยวกับการยึดหรืออายัดทรัพย์ลูกหนี้ ตามคำพิพากษาหรือมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามมาตรา 159 หากความปรากฏต่อศาลเองหรือคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือผู้แทนหรือผู้มีส่วน ได้เสียร้องต่อศาลว่าคู่ความหรือผู้ที่ถูกคำสั่งบังคับฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม คำสั่งหรือคำบังคับ ให้ศาลออกหมายเรียกหรือหมายจับตัวมาไต่สวนและตักเตือนให้ปฏิบัติตามคำสั่ง หรือคำบังคับของศาล หากยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำบังคับอีกโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือมี พฤติการณ์จงใจหลบเลี่ยงไม่ปฏิบัติ ให้ศาลมีอำนาจกักขังจนกว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำบังคับแต่ห้ามมิให้กัก ขังแต่ละครั้งเกินกว่าสิบห้าวันนับแต่วันจับหรือกักขัง แล้วแต่กรณี เว้นแต่จะได้รับการปล่อยชั่วคราว” ดังนั้น ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่คำขอดังกล่าวไม่อาจบังคับได้ เหตุผลที่แท้จริงที่ศาลไม่อาจบังคับให้สามีเลิกความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับหญิงชู้ ย่อมเป็นเพราะไม่มีกฎหมายสารบัญญัติให้อำนาจศาลบังคับหรือพิพากษาเช่นนั้นได้ โดยเหตุผลของกฎหมายนั้น เป็นเพราะไม่ต้องการบังคับฝืนใจให้สามีภริยาต้องอยู่ร่วมกันหรือบังคับให้สามีกับหญิงชู้ต้องแยกกันอยู่โดยฝืนใจ ซึ่งเป็นเรื่องการบังคับเอาแก่จิตใจของบุคคล และการบังคับให้สามีที่ภริยาที่ไม่รักกันต้องอยู่ร่วมกันหรือบังคับให้สามีกับหญิงชู้ต้องแยกกันอยู่เช่นนั้น อาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ส่วนการไม่มีกฎหมายให้อำนาจให้ฟ้องบังคับให้ชู้เลิกมีความสัมพันธ์กับคู่สมรส เป็นคำตอบตามกฎหมายที่ปัญหาว่า คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งสามารถฟ้องบังคับให้ชายชู้หรือหญิงชู้เลิกมีความสัมพันธ์กับคู่สมรสของตนได้หรือไม่ ? โดยในคำพิพากษาฎีกาที่ 4014/2530 วางบรรทัดฐานไว้ว่า “จำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามมาตรา 1523 วรรคสอง แต่คำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยระงับการมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามี โจทก์นั้น สภาพของคำขอดังกล่าวไม่เปิดช่องศาลไม่อาจบังคับได้ “
กฎหมายเยาวชนและครอบครัว พรบ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9464
Legal
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง กฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาว ในการฟ้องคดีชู้ที่ฝ่ายภริยาเป็นผู้ฟ้องคดีนั้น สาเหตุที่ทำให้ศาลตัดสินให้ภริยาสามารถเรียกค่าทดแทนจากหญิงชู้ได้มีอะไรบ้าง
1. หญิงชู้ไม่ได้รับว่าตนเองอยู่ในฐานะภริยาอีกคนของสามีโจทก์ และสามีโจทก์ไม่ได้มีพฤติกรรมยกย่องหญิงชู้ฉันภริยา 2. การลักลอบและพยายามปกปิดการกระทำให้ทราบกันตามลำพังระหว่างหญิงชู้และสามีโจทก์ 3. โจทก์และสามีโจทก์แต่งงานแล้วอยู่กินกันเป็นครอบครัวมาเป็นเวลานาน 10 ปีเศษ มีบุตรด้วยกัน 2 คน และครอบครัวโจทก์รักใคร่กันด้วยดี ไม่มีปัญหาแตกแยกกันมาก่อน และ ตัวจำเลยรู้ดีอยู่แล้วว่าสามีโจทก์มีโจทก์เป็นภรรยาอยู่แล้ว และโจทก์และครอบครัวโจทก์ค่อนข้างมีฐานะหน้าตาทางสังคม และลักษณะการเป็นชู้หรือมีความสัมพันธ์ทำนองชู้สาวของจำเลย มีระยะเวลาต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน และหลังจากโจทก์จับได้ว่า จำเลยมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาว จำเลยยังไม่ยอมหยุดความสัมพันธ์และยังได้ป่าวประกาศให้คนอื่นรับรู้ เป็นการแสดงความไม่สำนึกผิดและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย 4. การแอบมีความสัมพันธ์กันแบบลับๆ แอบคบหากัน หรือแอบมีเพศสัมพันธ์กันชั่วครั้งชั่วคราว
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 3. สาเหตุ ดังต่อไปนี้ 1.โจทก์และสามีโจทก์แต่งงานแล้วอยู่กินกันเป็นครอบครัวมาเป็นเวลานาน 10 ปีเศษ มีบุตรด้วยกัน 2 คน 2.ครอบครัวโจทก์รักใคร่กันด้วยดี ไม่มีปัญหาแตกแยกกันมาก่อน 3.ตัวจำเลยรู้ดีอยู่แล้วว่าสามีโจทก์มีโจทก์เป็นภรรยาอยู่แล้ว 4.โจทก์และครอบครัวโจทก์ค่อนข้างมีฐานะหน้าตาทางสังคม 5.ลักษณะการเป็นชู้หรือมีความสัมพันธ์ทำนองชู้สาวของจำเลย มีระยะเวลาต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน 6.หลังจากโจทก์จับได้ว่า จำเลยมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาว จำเลยยังไม่ยอมหยุดความสัมพันธ์และยังได้ป่าวประกาศให้คนอื่นรับรู้ เป็นการแสดงความไม่สำนึกผิดและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ในการฟ้องคดีชู้ ที่ฝ่ายภริยาเป็นผู้ฟ้องคดีนั้น ทนายความจะต้องพยายามรวมรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการแสดงตนโดยเผยว่าตนเองมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีโจทก์ นอกจากนี้ในการฟ้องคดี ก็จะต้องบรรยายฟ้องและนำสืบถึงสาเหตุต่างๆ ที่ศาลจะกำหนดค่าเสียหายให้สูงขึ้น เช่น ฐานะทางสังคม ความสัมพันธ์ในครอบครัว พฤติการณ์ความร้ายแรงในการเป็นชู้ เพื่อที่ศาลจะได้กำหนดค่าเสียหายให้เต็มตามฟ้อง
กฎหมายเยาวชนและครอบครัว พรบ,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายละเมิด
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9469
Legal
คำว่า “โรงเรือน” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 หมายความว่าอะไร
null
คำว่า “โรงเรือน” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 นั้น หมายความเฉพาะ ตัวอาคารที่เป็นที่พักอาศัยเท่านั้น ดังนั้น ทั้งรัั้ว และโรงจอดรถ จึงไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของอาคารโรงเรือน ที่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1312 แต่อย่างใด ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไปนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 951/2542 เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่า สร้างโรงเรือน ย่อมหมายถึงสร้างบ้านสำหรับอยู่อาศัยเท่านั้น โรงรถ ท่อน้ำประปา ปั๊มน้ำ และแท็งก์น้ำ จึงมิใช่โรงเรือนตามความหมายของ บทบัญญัติมาตรานี้ และไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งส่วนใด ของโรงเรือนด้วย ดังนี้แม้จำเลยจะสร้างหรือ ทำรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์โดยสุจริต จำเลยก็ไม่ได้รับ ความคุ้มครองตามมาตรา 1312 ดังกล่าว คำพิพากษาศาลฎีกา 634/2515 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 เฉพาะตัวโรงเรือนที่สร้างรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นเท่านั้นที่ได้รับความคุ้มครอง สิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่โรงเรือนหาได้รับความคุ้มครองด้วยไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1511/2542 เมื่อรั้วบ้าน ที่รุกล้ำนั้นมิใช่การรุกล้ำของโรงเรือนหรือส่วนหนึ่งส่วนใด ของโรงเรือนอันจะปรับใช้มาตรา 1312 ได้ จำเลยจึงต้องรื้อรั้วบ้านที่รุกล้ำ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6331/2534 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 เฉพาะตัวโรงเรือนที่สร้างรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ได้รับความคุ้มครอง สิ่งอื่น ๆ ที่มิใช่โรงเรือนแม้จะสร้างขึ้นโดยสุจริตก็หาได้รับ ความคุ้มครองด้วยไม่ จำเลยจึงต้องรื้อถอนรั้วพิพาทส่วนที่รุกล้ำ ออก ไปจากที่ดินของโจทก์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2036/2539 เสากำแพงที่แยกต่างหากจากเสาโรงเรือน ไม่ใช่ส่วนหนึ่ง ของโรงเรือนอันจะถือเป็นโรงเรือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 วรรคแรก ฉะนั้นจำเลยจะอ้างว่าก่อสร้างกำแพงรุกล้ำโดยสุจริตไม่ต้องรื้อถอนตามบทกฎหมายดังกล่าวหาได้ไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1796/2542 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 เฉพาะตัวโรงเรือนที่สร้างรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตเท่านั้นที่ได้รับความคุ้มครอง รั้วกำแพงที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ก่อสร้างรุกล้ำที่ดินโจทก์ทั้งสองย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติดังกล่าว ทั้ง ป.พ.พ. มาตรา 1314 ก็ไม่ได้บัญญัติให้นำมาตรา 1312 มาบังคับ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5542/2533 การที่จำเลยสร้างรั้วกำแพงรุกล้ำที่ดินของโจทก์นั้น มิใช่เป็นการปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 จำเลยต้องรื้อถอนออกไป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2316/2522 ถังส้วมซิเมนต์ของโรงเรือนของจำเลยรุกล้ำเข้าไปฝังอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต ถังส้วมมิใช่โรงเรือนและอยู่นอกโรงเรือน ไม่เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรือน ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 1312
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9470
Legal
คำถาม: กรณีเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกแต่ศาลรอการลงโทษไว้ บุคคลนั้นจะสามารถรับราชการได้หรือไม่ จงอธิบาย
null
การจะตอบคำถามนี้ สามารถแบ่งพิจารณาได้เป็น 2 ประเด็นหลัก ดังนี้ ประเด็นที่ 1: เคยถูกจำคุกจริงหรือไม่ ตามหลักกฎหมาย บุคคลที่ "เคยถูกจำคุก" หมายถึง บุคคลที่เคยถูกจำคุกจริง ๆ เท่านั้น กรณีศาลมีคำพิพากษาให้รอการลงโทษ ถือว่าบุคคลนั้นไม่ได้ถูกจำคุกจริง จึงไม่ขาดคุณสมบัติในข้อ "ไม่เคยต้องรับโทษจำคุก" แนวคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขเสร็จที่ 78/2490 ศาลปกครอง และศาลยุติธรรม ล้วนยืนยันหลักการนี้ ประเด็นที่ 2: บกพร่องในศีลธรรมอันดีหรือไม่ แม้จะรอการลงโทษ แต่การถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก อาจเป็นเหตุให้พิจารณาว่าบุคคลนั้น บกพร่องในศีลธรรมอันดี มีประวัติประพฤติเสื่อมเสีย ซึ่งอาจทำให้ขาดคุณสมบัติในการรับราชการ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรเหมารวม ว่าบุคคลนั้นขาดคุณสมบัติเสมอไป การพิจารณาจะขึ้นอยู่กับ: รายละเอียดของคดี พฤติการณ์อื่น ๆ ของบุคคลนั้น ตัวอย่าง: คดีลหุโทษ เช่น ลักทรัพย์เล็กน้อย อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติ คดีร้ายแรง เช่น ยาเสพติด อาจจะส่งผลต่อคุณสมบัติ สรุป: กรณีรอการลงโทษ ไม่ถือว่า เคยถูกจำคุก แต่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมว่า บุคคลนั้นบกพร่องในศีลธรรมอันดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของคดีและพฤติการณ์อื่น ๆ
ประมวลกฎหมายอาญา,กฎหมายปกครอง(วิธีปฏิบัติราชการ-จัดตั้งและพิจารณาคดีของศาลปกครอง)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9471
Legal
ช่วยสรุปเรื่อง "เทคนิคเบื้องต้นในการนำรูปจาก Google Earth Pro ไปใช้ในคดีความ" ให้หน่อยค่ะ
เทคนิคเบื้องต้นในการนำรูปจาก Google Earth Pro ไปใช้ในคดีความ การหาพิกัดสถานที่เกิดเหตุ อาจจะทำได้ด้วยการเซิร์ทหาสถานที่สำคัญๆ เช่นวัด โรงเรียน สถานที่ราชการ ที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ แล้วไล่ดูหาไปจนพื้นที่เกิดเหตุ หรือ หาพิกัดพื้นที่เกิดเหตุจาก google และนำค่าพิกัดมาใส่ในโปรแกรม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ การหาพิกัดและใช้พิกัดในการค้นหา การพิมพ์รูปออกจากโปรแกรม ให้ใช้วิธีการนำไปให้ร้านรูปอัดออกมาจะได้ภาพที่ชัดเจนกว่าการพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ของเราเอง สามารถใช้เครื่องมือการวัด เพื่อวัดระยะทาง ความใกล้ไกล ความสูง และขนาดพื้น ประกอบการพิจารณาได้ด้วย ดูเพิ่มเติม การวัดระยะทางและขนาดพื้นที่ ในบางกรณีอาจจะต้องทำการพิมพ์รูปเป็นภาพขนาดใหญ่เพื่อความชัดเจนในการพิจารณา หรือเพื่อให้เห็นภาพรวมของที่เกิดเหตุได้อย่างชัดเจน ในกรณีใช้รูปถ่ายจาก google street view ควรนำรูปถ่ายไปเสนอศาลให้รอบด้าน ไม่ใช่แค่มุมใดมุมหนึ่ง ซึ่งอาจจะทำให้ศาลเห็นว่าเราปกปิดอะไรบางอย่างอยู่หรือไม่ การพิมพ์รูปออกจากโปรแกรม อย่าตัดส่วนบริเวณที่ระบุวันที่ที่ทำการถ่ายภาพออก เพื่อใช้เป็นหลักฐานว่ารูปถ่ายดังกล่าวถ่ายเมื่อเวลาใด บางคดีเช่นคดีทางภาระจำยอม หรือครอบครองปรปักษ์ ที่มีประเด็นว่าเราใช้ทางพิพาท หรือครอบครองที่ดินพิพาทมาเป็นเวลา ไม่ควรใช้รูปถ่ายแค่ช่วงเกิดเหตุรูปเดียว แต่ควรใช้ภาพภ่ายจากทุกช่วงเวลาที่มีไปเสนอศาล เพื่อให้เห็นว่าเราใช้ทางพิพาท หรือ ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา การพิมพ์รูปออกจากโปรแกรม จะต้องมีจุดหรือบริเวณที่สามารถยืนยันได้ว่า รูปถ่ายดังกล่าวเป็นรูปถ่ายจากบริเวณที่เกิดเหตุจริง เช่น มีการไล่ให้เห็นถึงสถานที่สำคัญๆ เช่น วัด โรงเรียน หรือบ้านคน เพื่อป้องกันการโต้แย้งว่าที่เกิดเหตุไม่ใช่ที่ดินพิพาท สามารถใช้โปรแกรมแก้ไขภาพต่างๆ ทำการมาร์คหรือวงจุดหรือบริเวณที่ต้องเน้นย้ำให้ศาลเห็นได้โดยสะดวก เช่น บ้านพิพาท ทางพิพาท เสาไฟฟ้า วันสืบพยาน ให้เตรียมเอาโน๊ตบุ้ก ติดตัวไปด้วย เพราะหากฝ่ายตรงข้ามโต้แย้งว่า รูปถ่ายจากโปรแกรมไม่ถูกต้อง เช่น ไม่ใช่รูปจุดเกิดเหตุ หรือรูปมีการแก้ไขไม่ตรงกับที่เกิดเหตุ ก็สามารถเปิดโปรแกรมสาธิตให้ศาลชมได้เลย ซึ่งผมเคยเจอฝ่ายตรงข้ามโต้แย้งและสาธิตการทำงานของโปรแกรมให้ศาลระหว่างการพิจารณามาแล้วครับ
เทคนิคเบื้องต้นในการนำรูปจาก Google Earth Pro ไปใช้ในคดีความ 1. หาพิกัดสถานที่เกิดเหตุ โดยค้นหาสถานที่สำคัญที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ แล้วไล่หาหาพิกัดพื้นที่เกิดเหตุและนำค่าพิกัดใส่ในโปรแกรม 2. พิมพ์รูปออกจากโปรแกรมโดยให้ร้านรูปอัดออกมา จะได้ภาพที่ชัดเจนกว่าการพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ 3. ใช้เครื่องมือวัด เพื่อวัดระยะทาง ความใกล้ไกล ความสูง และขนาดพื้นที่มาประกอบการพิจารณา 4. ต้องพิมพ์รูปเป็นภาพขนาดใหญ่ เพื่อความชัดเจนในการพิจารณาและเห็นภาพรวมของที่เกิดเหตุอย่างชัดเจน 5. ควรนำรูปถ่ายจาก google street view ไปเสนอศาลให้รอบด้าน ไม่ใช่แค่มุมใดมุมหนึ่ง 6. อย่าตัดส่วนที่ระบุวันที่ที่ถ่ายภาพออก เพื่อใช้เป็นหลักฐานว่ารูปถ่ายนั้นถ่ายเมื่อเวลาใด 7. บางคดีไม่ควรใช้รูปถ่ายแค่ช่วงเกิดเหตุรูปเดียว ควรใช้ภาพภ่ายจากทุกช่วงเวลาไปเสนอศาล 8. ต้องมีบริเวณที่สามารถยืนยันได้ว่า รูปถ่ายดังกล่าวมาจากที่เกิดเหตุจริง 9. สามารถใช้โปรแกรมแก้ไขภาพ ทำการวงจุดที่ต้องเน้นย้ำให้ศาลเห็นได้สะดวก 10. วันสืบพยาน ให้เตรียมโน๊ตบุ้กไปด้วย เพราะหากฝ่ายตรงข้ามโต้แย้งว่า รูปถ่ายจากโปรแกรมไม่ถูกต้อง ก็สามารถเปิดโปรแกรมให้ศาลชมได้เลย
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9474
Legal
ในคดีอาญา ทนายความสามารถขอคัดถ่ายคำร้องขอออกหมายจับและเอกสารประกอบได้หรือไม่ จงอธิบาย
null
ทนายความสามารถขอคัดถ่ายคำร้องขอออกหมายจับและเอกสารประกอบได้ แต่เป็นดุลยพินิจของศาลที่จะอนุญาตหรือไม่ หลักเกณฑ์: - ทนายความต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดี - ต้องแสดงเหตุผลที่จำเป็นต้องขอคัดถ่ายเอกสาร - ศาลจะพิจารณาว่าเอกสารนั้นมีผลต่อคดีหรือไม่ - ศาลจะพิจารณาว่าการเปิดเผยเอกสารนั้นจะกระทบต่อความเป็นธรรมหรือไม่ เอกสารที่ศาลมักจะอนุญาตให้คัดถ่าย: - คำร้องขอออกหมายจับ - คำสั่งศาล - ตัวหมายจับ เอกสารที่ศาลอาจไม่อนุญาตให้คัดถ่าย: - คำให้การของพยาน - เอกสารลับ - เอกสารที่มีผลต่อความมั่นคง วิธีการขอคัดถ่าย: - ยื่นคำร้องต่อศาล - ระบุเอกสารที่ต้องการคัดถ่าย - แสดงเหตุผลที่จำเป็นต้องขอคัดถ่าย - ชำระค่าธรรมเนียม ตัวอย่างคำร้อง: ร้องขอคัดถ่ายคำร้องขอออกหมายจับและเอกสารประกอบ เรียน ศาลชั้นต้น/ศาลฎีกา คดีหมายเลข ....../.... โจทก์ .... จำเลย .... ผู้ร้อง .... (ทนายความ) ขอ คัดถ่ายคำร้องขอออกหมายจับและเอกสารประกอบ คำร้อง จำเลยถูกออกหมายจับในคดีหมายเลข ....../.... ฐานความผิด .... ผู้ร้องเป็นทนายความที่ว่าความให้กับจำเลย ผู้ร้องต้องการคัดถ่ายคำร้องขอออกหมายจับและเอกสารประกอบเพื่อใช้ในการเตรียมสู้คดี เอกสารที่ต้องการคัดถ่าย ได้แก่ คำร้องขอออกหมายจับ คำสั่งศาล ตัวหมายจับ เอกสารอื่นๆ ผู้ร้องขอแสดงหลักฐานดังต่อไปนี้ หลักฐานแสดงว่าผู้ร้องเป็นทนายความ หลักฐานแสดงความจำเป็นในการขอคัดถ่ายเอกสาร จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ลงชื่อ ....ทนายความ วันที่ .... หมายเหตุ: ตัวอย่างคำร้องนี้เป็นเพียงแนวทาง ทนายความควรปรับให้เหมาะสมกับคดีของตน ทนายความควรตรวจสอบกับศาลก่อนว่าต้องการเอกสารอะไรบ้าง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9476
Legal
การที่จำเลยในคดีฉ้อโกง อ้างว่า ผู้เสียหายสมยอมให้ใช้ชื่อในการออกรถ เป็นการป้องกันตัวตามกฎหมายหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: การหลอกลวง: จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเอง แต่ไม่มีเจตนาผ่อนชำระ จัดเป็นการทุจริต การทำเอกสารสิทธิ์: การเซ็นต์สัญญาเช่าซื้อ ถือเป็นการทำเอกสารสิทธิ์ องค์ประกอบครบถ้วน: การกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 หลักฐานสนับสนุน: -คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6512/2539: จำเลยหลอกลวงพนักงานธนาคารว่าชำระหนี้ครบถ้วนเพื่อไถ่ถอนจำนอง ถือเป็นการฉ้อโกง -คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 863/2513: การหลอกลวงศาลเพื่อประกันตัวผู้อื่น ถือเป็นการแสวงหาประโยชน์สำหรับผู้อื่น เข้าองค์ประกอบฉ้อโกง -คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 948/2518: จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายให้ซื้อที่ดินในราคาสูงกว่าจริง ถือเป็นการฉ้อโกง -คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3986/2535: จำเลยใช้หลักฐานปลอมหลอกลวงบริษัทประกันชีวิต ถือเป็นการฉ้อโกง -คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1962/2531: จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายให้เซ็นต์เอกสารสัญญาจำนอง ถือเป็นการฉ้อโกง ข้อโต้แย้ง: -ผู้เสียหายสมยอม: การสมยอมเกิดขึ้นจากการถูกหลอกลวง ไม่ได้สมยอมโดยเสรี -ไม่มีเจตนา: จำเลยไม่มีเจตนาจะผ่อนชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่แรก บทสรุป: การอ้างว่าผู้เสียหายสมยอม ไม่สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคดีฉ้อโกงได้ จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 หมายเหตุ: -ตัวอย่างคำฟ้องคดีฉ้อโกง เป็นเพียงตัวอย่าง ไม่สามารถนำไปใช้ได้ทุกกรณี -การตั้งรูปคดี ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของแต่ละคดี - ควรปรึกษาทนายความเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับการปลอมและแปลง,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ (ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง),คำพิพากษาศาลฎีกา,กฎหมายลักษณะพยาน (ทั้งวิแพ่งและวิอาญา)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9477
Legal
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12479/2547 วินิจฉัยว่าอย่างไร
null
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12479/2547 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เบิกความว่า ผู้ตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ได้แจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่า น่าจะมีการทุจริตเกิดขึ้นในสหกรณ์ของผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้เรียกประชุมคณะกรรมการและได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ผลการตรวจสอบพบว่ามีการทุจริตเกี่ยวกับสินค้าของผู้เสียหายจริง และได้สรุปความเห็นว่าโจทก์ทุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 เบิกความไปตามข้อเท็จจริงตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และตามผลการตรวจสอบที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของผู้เสียหายให้ความเห็นไว้ โดยโจทก์ยอมรับว่าได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายสำหรับสินค้าของผู้เสียหายที่ขาดหายไปบางส่วนด้วย พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวย่อมทำให้บุคคลทั่วไปไม่เฉพาะจำเลยที่ 1 มีความเข้าใจว่าโจทก์เป็นผู้ยักยอกสินค้าและเงินของผู้เสียหายกับปลอมเอกสารต่าง ๆ คำเบิกความของจำเลยที่ 1 จึงมีลักษณะเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นตามข้อเท็จจริงมิใช่เป็นกรณียืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์กระทำความผิดแต่อย่างใด ส่วนคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ก็เป็นเพียงการแสดงความเห็นตามข้อเท็จจริงมิใช่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์กระทำผิดเช่นกัน เพราะจำเลยที่ 2 เบิกความโดยใช้ถ้อยคำว่า จึงเชื่อว่าโจทก์เป็นผู้ปลอมลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 เบิกความอธิบายถึงเหตุที่เชื่อเช่นนั้นว่า เพราะเอกสารใบเบิกเงินอยู่ในความครอบครองของโจทก์โดยตลอด ซึ่งโจทก์ยอมรับว่าโจทก์มีหน้าที่รับผิดชอบเอกสารทางบัญชีต่าง ๆ ของผู้เสียหายจริง จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองเบิกความอันเป็นเท็จ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177
คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9478
Legal
การที่จำเลยทั้งสองคนไม่ได้วิ่งหนีตำรวจเมื่อตำรวจเข้าจับกุม ย่อมแสดงว่าจำเลยทั้งสองคนมีความผิดฐานครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่ายหรือไม่?
null
ไม่ สถานที่เกิดเหตุเป็นสถานที่สาธารณะ: โต๊ะสนุ๊กที่เกิดเหตุเป็นสถานที่เปิดให้บริการทั่วไป ผู้คนสามารถเข้าออกได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของหรือผู้ใช้โต๊ะสนุ๊กอยู่ก่อน บุคคลอื่นจึงอาจวางยาเสพติดไว้บริเวณโต๊ะสนุ๊กได้โดยที่จำเลยทั้งสองไม่ทราบเห็น พฤติการณ์การไม่หลบหนี: การที่จำเลยทั้งสองไม่ได้หลบหนีเมื่อตำรวจเข้าจับกุม อาจมีสาเหตุอื่นนอกเหนือจากการกระทำความผิด เช่น ตกใจกลัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือคิดว่าตนเองไม่ได้กระทำความผิด จึงไม่ได้หลบหนี ปริมาณยาเสพติด: ยาเสพติดที่พบในที่เกิดเหตุมีจำนวนเพียง 4 เม็ดเท่านั้น ซึ่งปริมาณดังกล่าวน้อยมาก ไม่เพียงพอที่จะสันนิษฐานได้ว่าจำเลยทั้งสองครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย พฤติการณ์อื่นๆ: ไม่มีพฤติการณ์อื่นใดที่บ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย เช่น จำเลยทั้งสองไม่มีประวัติการเสพหรือค้ายาเสพติด ไม่ได้พกอุปกรณ์การเสพหรือจำหน่ายยาเสพติดติดตัว และไม่ได้ต่อต้านการจับกุมของตำรวจ หลักการสันนิษฐาน: ในคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่พิสูจน์ความผิดของจำเลยให้ศาลเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย กรณีที่พฤติการณ์ของคดีสามารถตีความไปได้หลายแง่มุม ศาลต้องวินิจฉัยให้เป็นประโยชน์แก่จำเลย ดังนั้น จากเหตุผลข้างต้น การที่จำเลยทั้งสองคนไม่ได้วิ่งหนีตำรวจเมื่อตำรวจเข้าจับกุม ย่อมไม่เพียงพอที่จะสรุปได้ว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายยาเสพติดให้โทษ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9479
Legal
ข้อใดไม่ใช่ข้อมูลที่ต้องเตรียมมาให้ทนายความ สำหรับการฟ้องร้องคดีหย่า
A. มีบุตรด้วยกันไหม B. สาเหตุที่จะฟ้องหย่า C. หลักฐานเกี่ยวกับสินสมรส D. ประวัติส่วนตัวของสามีและภรรยา E. จดทะเบียนสมรสกันเมื่อไหร่
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ C. เนื่องจาก เพราะหลักฐานเกี่ยวกับสินสมรส เป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องหย่าที่ต้องใช้ในคดี และต้องเตรียมมาให้กับทนายความ ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นข้อมูลที่ต้องเตรียมมาให้ทนายความ สำหรับการฟ้องร้องคดีหย่า ข้อมูลที่ต้องเตรียมมาให้ทนายความ สำหรับการฟ้องร้องคดีหย่า การที่ทนายความจะวินิจฉัยรูปคดีและให้คำปรึกษาได้ถูกต้องนั้น ทนายความจะต้องสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียด ซึ่งธรรมดาแล้วข้อเท็จจริงที่ทนายความจะสอบถามและท่านจะต้องเตรียมตัวมาก็คือ - ประวัติส่วนตัวของสามีและภรรยา เช่น เป็นคนที่ไหน จบการศึกษาจากไหนมา ประกอบอาชีพอะไร พักอาศัยอยู่ที่ไหน - เริ่มรู้จักคบหากับคู่สมรสตั้งแต่เมื่อไหร่ - มีบุตรด้วยกันไหม - ใครเป็นคนเลี้ยงดูบุตร และเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตร - จดทะเบียนสมรสกันเมื่อไหร่ - อยู่กินกันมาที่ไหนบ้าง และปัจจุบันอยู่กินด้วยกันไหม - มีทรัพย์สินสมรสด้วยกันหรือไม่ - สาเหตุที่จะฟ้องหย่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เล่าแบบละเอียดตั้งแต่เริ่มต้นเหตุการณ์จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ทั้งนี้หากพอมีเวลา ถ้าจะพิมพ์เรื่องราวรายละเอียดดังกล่าวส่งให้กับทนายความมาด้วย ทนายความก็จะชอบมาก และจะเป็นประโยชน์และรวดเร็วในการให้คำปรึกษามากขึ้น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องหย่าที่ต้องใช้ในคดี และต้องเตรียมมาให้กับทนายความ มีดังนี้ 1. ใบสำคัญการสมรส 2. สูติบัตรหรือทะเบียนบ้านของลูกทุกคน ถ้าหากมีลูกด้วยกัน 3. ใบสำคัญการเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุล ทั้งของสามีภรรยาและบุตร กรณีมีการเปลี่ยนชื่อนามสกุล 4. ทะเบียนบ้านที่ สามีภรรยาและบุตรพักอาศัยอยู่ด้วยกัน 5. สำเนาบัตรประชาชนหรือสำเนาพาสปอร์ตหนังสือเดินทางของตนเองและคู่สมรส (ของคู่สมรสไม่จำเป็นเท่าไหร่ ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ) 6. หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเหตุที่จะฟ้องหย่า เช่น หลักฐานการสนทนาผ่านโปรแกรม line หรือ facebook รูปถ่ายคู่สมรสกับชู้ คลิปเสียงหรือคลิปวีดีโอเหตุการณ์ต่างๆ เป็นต้น 7. หลักฐานเกี่ยวกับสินสมรส เช่น โฉนดที่ดิน สำเนาทะเบียนรถยนต์ สมุดบัญชีผู้ถือหุ้น สมุดบัญชีธนาคาร เป็นต้น (เฉพาะกรณีที่มีประเด็นเรื่องการแบ่งสินสมรสด้วย ) 8. หลักฐานเกี่ยวกับบุตรผู้เยาว์ เช่น หลักฐานการศึกษา การส่งเสียเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ (เฉพาะคดีที่มีประเด็นเรื่องอำนาจปกครองบุตร ) เอกสารทุกอย่างที่นำมามอบให้กับทนายความให้นำแต่สำเนามามอบให้เท่านั้น ทนายความจะไม่เก็บหรือขอตัวจริงไว้ เพราะเอกสารตัวจริงจะต้องนำไปใช้ในวันขึ้นศาลเท่านั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายเยาวชนและครอบครัว พรบ
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9481
Legal
คำพิพากษาศาลฎีกาใด เกี่ยวข้องกับความผิดฐานฉ้อโกง ในกรณีที่เป็นคดีอาญา
a. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2926/2544 b. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3112/2523 c. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2444/2532 d. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 856/2510
คำตอบคือ d. เพราะว่า เพราะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 856/2510 เกี่ยวข้องกับความผิดฐานฉ้อโกง ในกรณีที่เป็นคดีอาญา ซึ่งวินิจฉัยว่า จำเลยเอาความเท็จไปหลอกลวงโจทก์ว่าเป็นหัวหน้าวงแชร์เปียหวยและมีแชร์อยู่ โจทก์หลงเชื่อจึงตกลงรับซื้อแชร์ไว้ โดยจ่ายเงินให้จำเลยไป 7,000 บาท ซึ่งความจริงจำเลยไม่ได้เปิดวงแชร์เปียหวยตามที่จำเลยอ้าง ดังนี้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ในกรณีที่เป็นคดีอาญา หากนายวงแชร์ ไม่มีเจตนาเปิดวงแชร์ตั้งแต่แรก ตั้งใจหลอกลวงเอาเงินจากลูกแชร์แล้วเอาเงินไปใช้ผิดประเภท หรือนำมือผีมาเปิดรับเงิน โดยไม่มีการเปิดวงแชร์จริงๆ อันนี้ก็อาจจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงได้ ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาในข้ออื่น ๆ เกี่ยวข้องกับความผิดฐานฉ้อโกง ในกรณีที่เป็นคดีแพ่ง หากนายวงแชร์มีเจตนาเปิดวงแชร์โดยชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ต้น แต่ติดขัดปัญหา เช่น ลูกแชร์คนอื่นเบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงิน จึงไม่สามารถหาเงินมาหมุนจ่ายให้กับลูกแชร์ที่เปียแชร์ได้ เช่นนี้ย่อมเป็นเพียงเรื่องทางแพ่งเท่านั้น - คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2926/2544 เงินค่าแชร์แต่ละงวดที่ผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดและโจทก์ร่วมส่งให้จำเลย เมื่อผู้ใดประมูลแชร์ได้ ก็จะตกได้แก่ผู้นั้น กรรมสิทธิ์ในเงินที่ส่งไปแล้วมิได้เป็นของผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดและโจทก์ร่วมต่อไปอีกและหากผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดและโจทก์ร่วมไม่สามารถประมูลแชร์ได้เพราะแชร์ล้มเลิก ไม่ว่าด้วยเหตุใด จำเลยในฐานะที่เป็นเจ้ามือแชร์ก็ต้องรับผิดแทน ซึ่งเป็นความผิดในทางแพ่งจำเลยไม่มีความผิดฐานยักยอก - คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2444/2532 ความผิดฐานฉ้อโกงเป็นความผิดที่มีผลเกิดขึ้นต่างหากจากการกระทำ คือต้องเป็นการได้ไปซึ่งทรัพย์สินโดยการหลอกลวง ดังนี้ การที่จำเลยได้ทรัพย์สินจากผู้เสียหายโดยการเล่นแชร์ ซึ่งเล่นกันจำนวน 90 มือ มีการประมูลแชร์และเก็บเงินจากผู้เล่นให้แก่ผู้ประมูลได้ถึง 57มือแล้ว ต่อมาจำเลยซึ่งเป็นหัวหน้าวงผิดนัด ไม่เก็บเงินจากผู้เล่นแชร์และไม่ดำเนินการประมูลแชร์ต่อไปตามหน้าที่ จึงเป็นการผิดสัญญาเล่นแชร์ซึ่งเป็นความผูกพันทางแพ่ง การกระทำของจำเลยหาเป็นความผิดฐานฉ้อโกงไม่ - คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3112/2523 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงกับขอให้คืนเงินที่จำเลยได้ไปจากการฉ้อโกงแก่ผู้เสียหาย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่ามิใช่เป็นเรื่องฉ้อโกง แต่เป็นเรื่องผู้เสียหายและจำเลยสมัครใจเล่นแชร์ต่อกัน ซึ่งเป็นเรื่องความรับผิดทางแพ่งล้วน ๆ หาใช่เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาไม่ ดังนี้ เงินที่ผู้เสียหายชำระค่าแชร์ให้แก่จำเลยไป จึงมิใช่ทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิด พนักงานอัยการไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินเช่นนี้แทนผู้เสียหายได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43
คำพิพากษาศาลฎีกา
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9483
Legal
ข้อใดเป็นหลักทั่วไปในการฟังคำให้การพยานบุคคล ซึ่งเป็นพยานเดี่ยวมาวินิจฉัยคำให้การพยาน ระหว่าง ประวัติความประพฤติทางเพศของผู้เสียหาย หรือ คำให้การที่ต้องสมเหตุสมผล
null
คำให้การที่ต้องสมเหตุสมผล เพราะคำให้การที่ต้องสมเหตุสมผล เป็นหลักทั่วไปในการฟังคำให้การพยานบุคคล ซึ่งเป็นพยานเดี่ยวมาวินิจฉัยคำให้การพยาน โดยหลักทั่วไปในการฟังคำให้การพยานบุคคล ซึ่งเป็นพยานเดี่ยวมาวินิจฉัยคำให้การพยาน ประกอบด้วย 1. คำให้การที่ต้องสมเหตุสมผล 2. คำให้การที่ต้องไม่ขัดแย้งกับคำให้การครั้งก่อนของตนเอง 3. คำให้การที่ต้องไม่ขัดกับวัตถุพยานหรือพยานแวดล้อม ส่วนประวัติความประพฤติทางเพศของผู้เสียหาย เป็นหลักโดยสังเขปในการสังเกตว่าเป็นการข่มขืนหรือสมยอมหรือไม่ ซึ่งในคดีข่มขืน มีหลักโดยสังเขปในการสังเกตว่าเป็นการข่มขืนหรือสมยอมหรือไม่ ดังนี้ 1. เนื้อตัวของผู้เสียหายหรือจำเลยมีร่องรองฟกช้ำหรือแผลจากการต่อสู้ขัดขืนหรือไม่ ถ้าผู้เสียหายอ้างว่าถูกข่มขืนและตนเองได้ต่อสู้ขัดขืนกับจำเลยขณะที่มีการข่มขืน แต่กลับไม่มีร่องรอยฟกช้ำหรือบาดแผลใดๆ เลยบนตัวจำเลยหรือผู้เสียหายแม้แต่น้อย เช่นนี้ข้ออ้างของผู้เสียหายย่อมฟังไม่ขึ้น 2. ผู้เสียหายกับจำเลยเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่เพียงใด ถ้าผู้เสียหายไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนเลย ข้ออ้างที่ว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนย่อมมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ แต่หากผู้เสียหายกับจำเลยรู้จักหรือกำลังคบหากันเป็นคนรักกัน แม้จะไม่ใช้ข้อชี้ชัดว่าผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยร่วมประเวณี แต่ก็เป็นจุดหนึ่งที่สามารถทำให้ข้ออ้างว่าถูกจำเลยข่มขืนก็มีน้ำหนักลดน้อยลง 3. ผู้เสียหายยินยอมไปกับจำเลยตั้งแต่ที่แรกหรือไม่ หากผู้เสียหายไม่ยินยอมไปกับจำเลยตั้งแต่แรกแล้ว ข้ออ้างที่ว่าถูกจำเลยข่มขืนย่อมง่ายที่จะรับฟัง แต่กรณีที่ผู้เสียหายยินยอมไปกับจำเลยตั้งแต่ทีแรกแม้ไม่อาจชี้ชัดได้ว่าผู้เสียหายจะยินยอมร่วมประเวณีกับจำเลย แต่ก็เป็นข้อหนึ่งที่ทำให้ข้ออ้างที่ว่าถูกจำเลยข่มขืนมีน้ำหนักลดลง 4. ขณะที่เกิดเหตุการณ์ข่มขืนหรือขณะที่จำเลยพาตัวผู้เสียหายไปสถานที่ต่างๆนั้น ผู้เสียหายได้มีการพยายามขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นๆหรือไม่ โดยหากผู้เสียหายสามารถขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นๆได้ในขณะนั้น แต่กลับไม่ขอความช่วยเหลือ ข้ออ้างที่ว่าถูกข่มขืนย่อมมีน้ำหนักน้อย โดยในคดีเช่นนี้คนที่พยานมักจะเป็นพนักงานโรงแรมที่ให้บริการแก่ผู้เสียหายและจำเลย หรือผู้ที่พักอาศัยอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุการณ์ร่วมประเวณี 5. ประวัติความประพฤติทางเพศของผู้เสียหายเป็นอย่างไร หากประวัติความประพฤติทางเพศของผู้เสียหายนั้นไม่ค่อยดี เช่น เป็นผู้หญิงที่ชอบเที่ยวกลางคืน คบผู้ชายหลายคน ไม่เรียนหนังสือ แม้จะไม่สามารถตีความได้ว่าผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยร่วมประเวณี แต่ข้ออ้างที่ผู้เสียหายถูกข่มขืนย่อมมีน้ำหนักเบาบางลง แต่หากผู้เสียหายมีประวัติความประพฤติทางเพศที่ดี ข้ออ้างที่ว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนย่อมมีน้ำหนัก
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,กฎหมายลักษณะพยาน (ทั้งวิแพ่งและวิอาญา)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9484
Legal
เมื่อตรวจคำร้องจากเจ้าหนี้เสร็จ เจ้าพนักงานบังคับคดีรับคำร้องแล้ว ทำอย่างไรต่อ
a. ดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ b. ต้องยื่นคำขอให้ศาลบังคับคดีกับบุคคลภายนอกเสมือนหนึ่งว่าเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา c. ต้องจ่ายเงินหรือโอนทรัพย์สินให้กับลูกหนี้ ตามนิติกรรมหรือสิทธิหน้าที่ระหว่างกัน d. เจ้าพนักงานบังคับคดีจะมีหนังสือคำสั่งแจ้งการอายัดสิทธิเรียกร้องไปยังบุคคลภายนอกและลูกหนี้
คำตอบได้แก่ d. เนื่องจาก เมื่อตรวจคำร้องจากเจ้าหนี้เสร็จ เจ้าพนักงานบังคับคดีรับคำร้องแล้ว จะมีหนังสือคำสั่งแจ้งการอายัดสิทธิเรียกร้องไปยังบุคคลภายนอก และลูกหนี้ ในคำสั่งอายัด เจ้าพนักงานบังคับคดีจะมีคำสั่งห้ามบุคคลภายนอกชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่ถูกอายัด ให้กับลูกหนี้ และมีคำสั่งให้บุคคลภายนอกชำระหนี้ดังกล่าว ให้กับเจ้าพนักงานบังคับคดีแทน เพื่อที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้นำไปชำระให้กับเจ้าหนี้ต่อไป (ปวิพ ม.316) บุคคลภายนอกที่ได้รับคำสั่งอายัดจากจากเจ้าพนักงานบังคับคดี มีสิทธิโต้แย้งคัดค้านว่าคำสั่งอายัดดังกล่าวไม่ถูกต้อง ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งอายัด (ป.วิ.พ.325) ตัวอย่างการโต้แย้ง เช่น ลูกหนี้ไม่มีเงินฝากในบัญชีธนาคาร หรือเงินฝากไม่ถึงจำนวนยอดที่อายัด จำเลยไม่ได้ทำงานอยู่ที่บริษัทนี้ หรือจำเลยออกจากงานไปแล้ว เป็นต้น (เทียบเคียง ฎ.3793/2535 , ฎ.652/2508 , ฎ.2202/2554 ) ทั้งนี้เมื่อบุคคลภายนอกรับทราบคำสั่งอายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว ยังชำระหนี้ให้ลูกหนี้ไปโดยฝ่าฝืนคำสั่ง จะไม่สามารถอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิด ได้ว่าตนเองได้ชำระหนี้ให้กับลูกหนี้ไปแล้ว และบุคคลภายนอกก็ยังมีหน้าที่จะต้องชำระเงิน ตามคำสั่งอายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดี (ปวิพ ม.320 (1) ) ตัวอย่างเช่น บริษัทนายจ้าง ได้รับคำสั่งอายัดเงินเดือน และเงินโบนัส ของลูกหนี้ จากกรมบังคับคดี แต่ก็ยังฝืนจ่ายเงินเดือนให้ลูกหนี้ไป เช่นนี้ บริษัทนายจ้างไม่สามารถอ้างได้ว่า ได้จ่ายเงินเดือนและเงินโบนัสให้ลูกหนี้ไปหมดแล้ว (เทียบ ฎ.959/2537 ,ฎ.3729/2552 )
กฎหมายลักษณะหนี้ พรบ
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9485
Legal
ข้อกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตร มาตราใด กล่าวว่า "ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้" ระหว่าง มาตรา 1562 หรือ มาตรา 1565
null
มาตรา 1562 เพราะข้อกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตร มาตรา 1562 กล่าวว่า ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้ ส่วนข้อกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตร มาตรา 1565 กล่าวว่า การร้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรหรือขอให้บุตรได้รับการอุปการะเลี้ยงดูโดยประการอื่น นอกจากอัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวตามมาตรา 1562 แล้ว บิดาหรือมารดาจะนำคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้ กรณีบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบิดา-มารดา บุตรไม่มีสิทธิจะไปฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากบิดา-มารดาได้โดยตรง เนื่องจากกฎหมายห้ามมิให้บุตรฟ้องคดีเอาแก่บิดามารดาของตน ( คดีอุทลุม ) ดังนั้นการฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตร จะต้องร้องขอให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีแทนตน หรืออาจให้บิดามารดาอีกฝ่ายหนึ่งที่ดูแลบุตรอยู่ ดำเนินการฟ้องร้องเอาแก่บิดามารดาที่ไม่ยอมส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูก็ได้ ซึ่งนิยมใช้วิธีให้บิดาหรือมารดาที่ดูแลเด็กเป็นคนฟ้องมากกว่าการขอให้อัยการเป็นผู้ฟ้อง เพราะมีความสะดวกรวดเร็วมากกว่า แต่ในกรณีที่บุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบิดาเพื่อขอรับรองบุตรหรือฟ้องให้รับว่าเป็นบุตร พร้อมกับเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรมาด้วย กฎหมายวางหลักไว้โดยเฉพาะว่า การรับรองบุตร ให้บุตรสามารถฟ้องคดีบิดาเองได้โดยไม่เป็นคดีอุทลุม ดังนั้นการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ที่ทำพร้อมการฟ้องขอให้รับรองบุตร เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกัน จึงไม่เป็นคดีอุทลุมไปด้้วย (ฎ.2268/2533) สรุป การฟ้องคดีเพื่อเรียก ค่าเลี้ยงดูบุตร โดยหลักแล้ว ควรให้บิดาหรือมารดาผู้ที่เป็นฝ่ายที่เลี้ยงดูบุตรเป็นผู้ฟ้องจะสะดวกที่สุด
กฎหมายเยาวชนและครอบครัว พรบ,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9486
Legal
ในคดีอาญาที่ผู้เสียหายหรือพยานเป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ข้อใดต่อไปนี้เป็นสิ่งที่พนักงานสอบสวน ไม่จำเป็น ต้องทำ
(ก) แยกทำการสอบสวนในสถานที่ที่เหมาะสม (ข) แจ้งให้เด็กทราบถึงสิทธิ์ในการร้องขอให้บุคคลที่ไว้วางใจเข้าร่วมฟังการสอบสวน (ค) บันทึกภาพและเสียงการสอบสวนไว้ (ง) เชิญนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เข้าร่วมการสอบสวน
ข้อที่ถูกต้องคือ (ข) แจ้งให้เด็กทราบถึงสิทธิ์ในการร้องขอให้บุคคลที่ไว้วางใจเข้าร่วมฟังการสอบสวน เพราะว่า เหตุผล: (ก) พนักงานสอบสวน จำเป็น ต้องแยกทำการสอบสวนเด็กในสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กถูกคุกคามหรือรู้สึกอึดอัด (ค) พนักงานสอบสวน จำเป็น ต้องบันทึกภาพและเสียงการสอบสวนไว้ เพื่อป้องกันกรณีเด็กลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือไม่สามารถติดตามนำเด็กมาเบิกความในชั้นศาล (ง) พนักงานสอบสวน จำเป็น ต้องเชิญนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เข้าร่วมการสอบสวน เพื่อช่วยให้เด็กผ่อนคลายและให้ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง (ข) พนักงานสอบสวน ไม่จำเป็น ต้องแจ้งให้เด็กทราบถึงสิทธิ์ในการร้องขอให้บุคคลที่ไว้วางใจเข้าร่วมฟังการสอบสวน แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมาย เปิดโอกาส ให้เด็กสามารถร้องขอให้บุคคลที่ไว้วางใจเข้าร่วมฟังการสอบสวนได้เอง ข้อควรระวัง: -แม้ว่าพนักงานสอบสวน ไม่จำเป็น ต้องแจ้งให้เด็กทราบถึงสิทธิ์นี้ แต่การแจ้งให้เด็กทราบ ถือว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดี -เด็กควรได้รับแจ้งสิทธิ์นี้ ก่อนเริ่มการสอบสวน -บุคคลที่เด็กไว้วางใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นบิดามารดาหรือผู้ปกครอง เด็กสามารถเลือกบุคคลอื่นที่ตนไว้ใจได้ เช่น ครู อาจารย์ หรือเพื่อน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9487
Legal
หลักฐานแชท, หลักฐานการโอนเงิน และคลิปเสียงการสนทนา เพียงพอที่จะฟ้องคดีชู้หรือไม่?
null
จากข้อเท็จจริงที่โจทก์นำเสนอ หลักฐานแชท, หลักฐานการโอนเงิน และคลิปเสียงการสนทนา อาจจะเพียงพอ ที่จะฟ้องคดีชู้ได้ แต่โอกาสที่จะชนะคดี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้ 1. เนื้อหาของแชท: แชทสนทนาแสดงถึงความสัมพันธ์ชู้สาวระหว่างภริยาโจทก์กับจำเลยหรือไม่? แชทมีข้อความที่ส่อถึงการล่วงละเมิดทางเพศ หรือการนัดพบเพื่อมีเพศสัมพันธ์หรือไม่? แชทมีการพูดถึงเรื่องเงินหรือการโอนเงินหรือไม่? 2. หลักฐานการโอนเงิน: จำนวนเงินที่โอนมีจำนวนมากหรือไม่? ภริยาโจทก์โอนเงินให้จำเลยด้วยเหตุผลอะไร? มีหลักฐานอื่นยืนยันว่าเงินที่โอนนั้นเป็นการให้กู้ยืมหรือไม่? 3. คลิปเสียงการสนทนา: เนื้อหาของคลิปเสียงเป็นอย่างไร? สามีโจทก์พูดคุยกับจำเลยเกี่ยวกับอะไร? จำเลยยอมรับหรือไม่ว่ามีความสัมพันธ์ชู้สาวกับภริยาโจทก์? 4. พยานบุคคล: มีพยานบุคคลอื่นที่เห็นภริยาโจทก์และจำเลยมีพฤติกรรมชู้สาวหรือไม่? พยานบุคคลอื่นรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างภริยาโจทก์กับจำเลยได้อย่างไร? 5. หลักฐานอื่นๆ: มีหลักฐานอื่นๆ ที่สนับสนุนว่าภริยาโจทก์กับจำเลยมีความสัมพันธ์ชู้สาว เช่น รูปถ่าย โรงแรม หรือข้อความจากบุคคลอื่นหรือไม่? โดยสรุป: หลักฐานแชท, หลักฐานการโอนเงิน และคลิปเสียงการสนทนา อาจจะ เพียงพอที่จะฟ้องคดีชู้ได้ โอกาสที่จะชนะคดี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังที่กล่าวมาข้างต้น โจทก์ควรปรึกษาทนายความเพื่อประเมินโอกาสที่จะชนะคดี และเพื่อเตรียมพยานหลักฐานเพิ่มเติม
กฎหมายลักษณะพยาน (ทั้งวิแพ่งและวิอาญา),กฎหมายเยาวชนและครอบครัว พรบ,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9489
Legal
เพื่อนของ นาย ก. ไม่ได้มีเจตนาเสพยาเสพติดมาตั้งแต่ต้น หรือไม่ได้ร่วมกันออกเงินซื้อยาเสพติด แต่นาย ก.นำยาเสพติดมา จำหน่าย จ่าย แจก เพื่อให้เพื่อนเพื่อเสพร่วมกันโดยไม่คิดเงิน กรณีนี้ถือเป็นการจำหน่าย ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษหรือไม่
1. เป็น เพราะเป็นการกระทำในลักษณะที่ทำให้ให้ยาเสพติดไม่แพร่กระจายไปยังบุคคลภายนอก 2. เป็น เพราะเป็นการกระทำในลักษณะที่ทำให้ให้ยาเสพติดแพร่กระจายไปยังบุคคลภายนอก 3. ไม่เป็น เพราะเป็นการส่งมอบยาเสพติดให้ผู้ที่ีมีเจตนาร่วมกันกระทำผิดด้วยกันมาตั้งแต่ต้น 4. ไม่เป็น เพราะไม่ได้มีการส่งมอบยาเสพติดให้ผู้ที่ีมีเจตนาร่วมกันกระทำผิดด้วยกันมาตั้งแต่ต้น
ข้อที่ถูกต้องคือ 2. เนื่องจาก ถูก เพราะถือเป็นการจำหน่าย ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ แม้ว่าเพื่อนของ นาย ก. ไม่ได้มีเจตนาเสพยาเสพติดมาตั้งแต่ต้น หรือไม่ได้ร่วมกันออกเงินซื้อยาเสพติด แต่นาย ก.นำยาเสพติดมา จำหน่าย จ่าย แจก เพื่อให้เพื่อนเพื่อเสพร่วมกัน ถึงแม้จะไม่ได้คิดเงิน เป็นการให้เปล่า ก็ย่อมถือเป็นการจำหน่าย ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ อันเป็นการจำหน่ายตาม บทนิยามของคำว่า จำหน่าย ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ มาตรา 2522 มาตรา 4 สอดคล้องกับแนวคำพิพากษาฎีกาที่วินิจฉัยทำนองนี้ เช่น 3741/2553 ,2316/2544 ,2947/2543 ที่ว่ากรณีที่ผู้กระทำผิดซื้อยาเสพติดมาเพื่อเสพร่วมกันกับบุคคลอื่นๆ หรือซื้อยาเสพติดมาให้บุคคลอื่นเสพร่วมกัน ถือเป็นการกระทำให้ยาเสพติดให้โทษแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นๆด้วยการ จ่าย แจก แลกเปลี่ยน
กฎหมายยาเสพติดให้โทษ
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9491
Legal
ข้อใดไม่ใช่ประเภทของบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา
A. บุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่บิดามารดาได้มาจดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง B. บุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และภายหลังศาลพิพากษาว่าบิดาเป็นบิดาของบุตร C. บุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่บิดาได้มาจดทะเบียนรับรองบุตรในภายหลัง D. บุตรที่ศาลไม่ได้พิพากษาให้เป็นบุตรของบิดา E. บุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่ได้จดทะเบียนสมรสกัน
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ D. เพราะว่า เพราะบุตรที่ศาลไม่ได้พิพากษาให้เป็นบุตรของบิดา เป็นบุตรนอกกฎหมาย ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นประเภทของบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย คือ บุตรที่กฎหมายรับรอง และมีสิทธิหน้าที่ต่างๆตามที่กฎหมายกำหนดอย่างสมบูรณ์ทุกประการ สามารถใช้ยันต่อบุคคลอื่นได้ ธรรมดาแล้ว บุตรที่เกิดขึ้นมานั้น ย่อมถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาเสมอ ( ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 ) และ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1303/2518 แต่เฉพาะบุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่จดทะเบียนสมรสกันเท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา ส่วนบุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ไม่ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา ( ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 ) ถึงแม้ว่าบิดามารดาจะจัดงานสมรสกันใหญ่โต อยู่กินกันอย่างเปิดเผย ให้บุตรใช้นามสกุลบิดา แต่หากไม่ได้จดทะเบียนสมรส ก็ไม่ถือว่าบุตรที่เกิดเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาแต่อย่างใด ( ฎ.452/2553 ) บุตรจึงเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาเสมอ แต่บุตรที่จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาตามที่กฎหมายวางหลักไว้ บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา มี 4 ประเภท 1. บุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่ได้จดทะเบียนสมรสกัน 2. บุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่บิดามารดาได้มาจดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง 3. บุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่บิดาได้มาจดทะเบียนรับรองบุตรในภายหลัง 4. บุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และภายหลังศาลพิพากษาว่าบิดาเป็นบิดาของบุตร ทั้งนี้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร บุตรนอกกฎหมาย หรือ บุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือ บุตรนอกสมรส หรือบุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และไม่ได้กระทำการรับรองบุตรให้ถูกต้องตามกฎหมาย กล่าวคือ 1. บิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันภายหลัง 2. บิดาไม่ได้ทำการจดทะเบียนรับรองบุตร 3. ศาลไม่ได้พิพากษาให้เป็นบุตรของบิดา
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายเยาวชนและครอบครัว พรบ,คำพิพากษาศาลฎีกา
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9493
Legal
โปรดสรุปบทความ กฎหมายว่าด้วยการแบ่งทรัพย์มรดกประเภทบ้านและที่ดิน
ทรัพย์มรดกประเภทบ้านหรือที่ดิน เป็นทรัพย์มรดกที่มีมูลค่าสูง และบรรดาทายาทสามารถติดตามตรวจสอบการมีอยู่ของทรัพย์มรดกประเภทนี้ได้ง่าย เนื่องจากเป็นทรัพย์สินประเภทที่เจ้าของต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ (เจ้าพนักงานที่ดิน) อีกทั้งยังมีโฉนดเป็นหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์อยู่กับเจ้ามรดก ดังนั้นจึงเป็นการยากต่อการที่ทายาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะปิดบังทรัพย์มรดกชนิดนี้ ซึ่งในทางปฏิบัติการ แบ่งทรัพย์มรดก ประเภทบ้านและที่ดินนี้กระทำได้ยากมากที่สุดเมื่อเทียบกับทรัพย์มรดกชนิดอื่นๆ เช่น เงินฝากในบัญชีธนาคาร หุ้น รถยนต์ หรือทองคำ อัญมณี หรือสิ่งมีค่าอื่นๆ เพราะทรัพย์สินประเภทนี้ยากที่จะแบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัดได้อย่างเท่าเทียมโดยสภาพ โดยเฉพาะกรณีที่ดินที่มีบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นรวมอยู่ด้วย ครั้นจะใช้วิธีการขายทรัพย์สินประเภทนี้เพื่อนำเงินมาแบ่งทำได้ยากและต้องใช้เวลาเนื่องจากเป็นทรัพย์ที่มีราคาสูง และบางครั้งทายาททั้งหลายก็ไม่อยากจะขายทรัพย์สินมรดกประเภทบ้านและที่ดิน เนื่องจากมีความผูกพันต่อตัวทรัพย์สินหรือต้องการรักษาไว้เป็นมรดกของตระกูลสืบไป จึงทำให้มีคดีพิพาทประเภทนี้มาสู่ศาลบ่อยครั้ง ธรรมดาแล้วตามหลักกฎหมายของการแบ่งมรดกโดยทั่ว หากทายาทสามารถตกลงกันได้ด้วยดี ย่อมทำได้โดยวิธีการแบ่งการครอบครองทรัพย์สินนั้นเป็นส่วนสัดหรือโดยการขายทรัพย์มรดกนั้นแล้วนำเงินที่ได้มาแบ่งแก่ทายาท ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตารา 1750 วรรคแรก แต่หากทายาทไม่อาจตกลงแบ่งด้วยวิธีการดังกล่าวได้ เช่นทายาทฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาทรัพย์มรดกของตระกูลไว้ไม่ต้องการขาย แต่ต้องการให้บรรดาทายาทถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันและร่วมกันใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินร่วมกัน แต่ทายาทอีกฝ่ายมีความประสงค์ที่จะขายทรัพย์สินมรดกและนำเงินมาแบ่งกัน เช่นนี้ ทายาทฝ่ายที่ต้องการให้ขายทรัพย์สินมรดกย่อมต้องฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ทายาทฝ่ายที่ไม่ยอมแบ่งทรัพย์สิน ดำเนินการแบ่งทรัพย์สินให้แก่ตน ซึ่งในการแบ่งทรัพย์สินในกรณีที่ทายาทไม่สามารถจะตกลงกันได้นั้น ย่อมเป็นไปตามหลักประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1745 ประกอบมาตรา 1364 กล่าวคือ ศาลมีอำนาจที่จะกำหนดวิธีแบ่งทรัพย์สิน โดยการสั่งให้เอาทรัพย์สินนั้นออกแบ่ง ถ้าส่วนที่แบ่งให้ไม่เท่ากัน ให้คนได้ส่วนแบ่งมากกว่าทดแทนเป็นเงินให้คนที่ได้เยอะกว่า ตัวอย่างเช่น ศาลอาจสั่งให้ทายาททุกคนตกลงรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทออกเป็นส่วนๆ และแบ่งที่ดินให้ทายาทตามส่วนที่แบ่งแยก หากทายาทคนใดได้ที่ดินอยู่ในทำเลที่ดีกว่า หรือได้เนื้อที่ดินเยอะกว่า ก็ให้ใช้ค่าทดแทนเป็นเงินแก่ทายาทคนอื่นๆ ที่ได้ที่ดินที่ทำเลด้อยกว่า หรือเนื้อที่ด้อยกว่า ตัวอย่างเช่น และหากการแบ่งทรัพย์สินด้วยวิธีแรกทำไม่ได้ ซึ่งโดยมากแล้ว ก็มักจะทำการแบ่งด้วยวิธีแรกไม่ได้ เนื่องจากทรัพย์สินประเภทบ้านหรือที่ดินยากที่ทายาทจะทำการตกลงรังวัดแบ่งกันได้ ศาลจะมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินนั้นประมูลขายกันระหว่างบรรดาทายาท หรือนำทรัพย์มรดกออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้มาแบ่งกัน ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจในปัญหาเรื่องนี้คือ ในการขายทรัพย์มรดกนั้น ศาลควรจะมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินออกประมูลขายกันระหว่างทายาท หรือนำทรัพย์มรดกออกขายทอดตลาด ซึ่งส่วนนี้เป็นดุลยพินิจของศาลโดยแท้ เพราะกฎหมายมิได้กำหนดไว้ว่าการขายนั้นจะต้องทำขายด้วยวิธีไหน (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364 ประกอบมาตรา 1745 ) ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจในปัญหาเรื่องนี้คือ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนเห็นว่าศาลควรจะมีคำสั่งให้เอาทรัพย์มรดกประมูลขายกันระหว่างทายาทเสียก่อน หากทายาทไม่อาจประมูลขายกันได้ จึงค่อยนำทรัพย์มรดกไปขายทอดตลาดให้แก่บุคคลภายนอก เพราะเป็นการให้สิทธิโดยเบื้องต้นแก่บรรดาทายาทในการรักษาทรัพย์มรดกของตระกูลไว้มิให้ตกไปอยู่กับบุคคลภายนอก ซึ่งน่าจะยุติธรรมกว่า การปล่อยให้บุคคลภายนอกซึ่งมีเงินทุนมากกว่าบรรดาทายาทมาประมูลซื้อทรัพย์สินมรดกด้วยการขายทอดตลาดไปเลยทีเดียว ซึ่งประเด็นนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยคดีไว้สอดคล้องกับความเห็นของผู้เขียน และคิดว่าน่าจะนำไปใช้เป็นบรรทัดฐานได้ คือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3501/2533 ที่วินิจฉัยไว้ดังนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3501/2533 “การแบ่งทรัพย์มรดกที่เป็นที่ดินและบ้าน ชอบที่จะให้ทายาทประมูลกันเองก่อน ได้เงินสุทธิเท่าใดก็แบ่งให้โจทก์ตามส่วนหากไม่อาจประมูลกันได้ในระหว่าง ทายาทให้นำออกขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินให้โจทก์ตามส่วนดังกล่าวตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364,1745
ตามหลักกฎหมายของการแบ่งมรดกนั้น หากทายาทสามารถตกลงกันได้ ย่อมทำได้โดยวิธีการแบ่งการครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัด หรือโดยการขายทรัพย์มรดก แล้วนำเงินที่ได้มาแบ่งแก่ทายาท ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1750 วรรคแรก บัญญัติไว้ว่า หากทายาทไม่อาจตกลงแบ่งด้วยวิธีการดังกล่าวได้ เช่น ทายาทฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาทรัพย์มรดกของตระกูลไว้โดยให้บรรดาทายาทถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินร่วมกัน แต่ทายาทอีกฝ่ายประสงค์จะขายทรัพย์สินมรดกและนำเงินมาแบ่งกัน เช่นนี้ ทายาทฝ่ายที่ต้องการให้ขายทรัพย์สินมรดกย่อมต้องฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ทายาทฝ่ายที่ไม่ยอมแบ่งทรัพย์สิน ดำเนินการแบ่งทรัพย์สินให้แก่ตน ซึ่งในการแบ่งทรัพย์สินในกรณีที่ทายาทไม่สามารถจะตกลงกันได้นั้น ย่อมเป็นไปตามหลักประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1745 ประกอบมาตรา 1364 กล่าวคือ ศาลมีอำนาจกำหนดวิธีแบ่งทรัพย์สิน โดยการสั่งให้เอาทรัพย์สินนั้นออกแบ่ง ถ้าส่วนที่แบ่งให้ไม่เท่ากัน ให้คนได้ส่วนแบ่งมากกว่าทดแทนเป็นเงินให้คนที่ได้เยอะกว่า ตัวอย่างเช่น ศาลอาจสั่งให้ทายาททุกคนตกลงรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทออกเป็นส่วนๆ และแบ่งที่ดินให้ทายาทตามส่วนที่แบ่งแยก หากทายาทคนใดได้ที่ดินอยู่ในทำเลที่ดีกว่า หรือได้เนื้อที่ดินเยอะกว่า ก็ให้ใช้ค่าทดแทนเป็นเงินแก่ทายาทคนอื่นๆ แต่หากแบ่งทรัพย์สินด้วยวิธีแรกทำไม่ได้ เนื่องจากทรัพย์สินประเภทบ้านหรือที่ดินยากที่ทายาทจะทำการตกลงรังวัดแบ่งกันได้ ศาลจะมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินนั้นประมูลขายกันระหว่างบรรดาทายาท หรือนำทรัพย์มรดกออกขายทอดตลาด แล้วนำเงินที่ได้รับมาแบ่งกัน ตัวอย่างเช่นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3501/2533 วินิจฉัยไว้ว่า การแบ่งทรัพย์มรดกที่เป็นที่ดินและบ้าน ชอบที่จะให้ทายาทประมูลกันเองก่อน ได้เงินสุทธิเท่าใดก็แบ่งให้โจทก์ตามส่วน หากไม่อาจประมูลกันได้ในระหว่างทายาท ให้นำออกขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินให้โจทก์ตามส่วนดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364,1745
กฎหมายมรดก-พินัยกรรม
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9494
Legal
ช่วยสรุปเรื่อง "การรวบรวมหลักฐานจากกล้องวงจรปิด เพื่อใช้ประกอบการฟ้องหรือต่อสู้คดี มีขั้นตอนอย่างไร ?"
ซึ่งข้อกฎหมายในการรวบรวมพยานหลักฐานประเภทวีดีโอจากกล้องวงจรปิดมาเพื่อใช้ประกอบคดีนั้น ต้องแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1.การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้ดำเนินคดีอาญาหรือเพื่อสู้คดีอาญา ซึ่งโดยมากแล้ว มักจะเป็นคดีเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย คดีฆ่า คดีอุบัติเหตุ คดีบุกรุก คดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ 2.การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้ดำเนินคดีแพ่ง ซึ่งโดยมากแล้ว มักเป็นคดีเกี่ยวด้วยเรื่องครอบครัว คดีฟ้องชู้ ติดตามเรื่องชู้สาว คดีละเมิดอุบัติเหตุต่างๆ ในการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้ดำเนินคดีอาญาหรือเพื่อต่อสู้คดีอาญานั้น หากยังไม่มีการฟ้องคดีต่อศาล ผู้ที่มีอำนาจรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้พิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาในคดี ก็คือ “พนักงานสอบสวน” หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 131 โดยพนักงานสอบสวนมีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 132 อนุมาตรา 3 ที่จะออกหมายเรียกบุคคลซึ่งครอบครองสิ่งของซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานนำหลักฐานมาส่งให้กับพนักงานสอบสวนได้ หากผู้ครอบครองพยานหลักฐานขัดขืนหมายเรียกของพนักงานสอบสวน ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 168 ดังนั้นในคดีอาญาไม่ว่าท่านจะเป็นผู้เสียหายที่ไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเป็นฝ่ายผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหา หากท่านทราบว่ามีกล้องวงจรปิดในสถานที่ใด ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์แก่รูปคดีของท่าน ท่านก็สามารถขอให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกบันทึกวีดีโอจากผู้ครองครองหรือเจ้าของสถานที่ได้ แต่ในทางปฏิบัติ พนักงานสอบสวนส่วนใหญ่มีงานรัดตัว บางคนก็ขี้เกียจทำงาน และไม่ใส่ใจทำงาน กว่าจะลงมือทำงานรวบรวมพยานหลักฐาน พยานหลักฐานก็อาจหายไปหมดแล้ว ดังนั้นส่วนใหญ่แล้ว หากอยากให้คดีคืบหน้า ตัวผู้เสียหายหรือทนายความของผู้เสียหาย จะต้องเป็นผู้รวบรวมพยานหลักฐานเอง ซึ่งขั้นตอนที่ท่านจะใช้ในการรวบรวมพยานหลักฐานประเภทกล้องวงจรปิดในคดีอาญา คือ จะต้องมีการแจ้งความดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายเสียก่อน จากนั้นให้ท่านนำบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีไปดำเนินการ ตามลำดับขั้นตอนต่อไปนี้ 1.ขอความร่วมจากเจ้าของสถานที่หรือเจ้าของกล้องวงจรปิด โดยอธิบายเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทราบว่า มีความจำเป็นอย่างไรจึงจะต้องขอดูและเก็บหลักฐานกล้องวงจรปิด พร้อมทั้งแสดงหลักฐานบันทึกประจำวันให้เขาดู ซึ่งตามนิสัยของคนไทยส่วนใหญ่ใจดีอยู่แล้ว ส่วนใหญ่มักจะให้ความร่วมมือกับท่านแต่โดยดี 2.หากเจ้าของสถานที่หรือเจ้าของกล้องวงจรปิด ไม้ให้ความร่วมมือ ไม่ให้ตรวจสอบ หรือให้ตรวจสอบ แต่ไม่ให้ท่านเก็บหลักฐาน ให้ท่านแจ้งพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกให้เจ้าของสถานที่หรือผู้ครองครองกล้องวงจรปิด ส่งบันทึกกล้องวงจรปิดให้พนักงานสอบสวน จากนั้นให้ท่านถือคำสั่งของพนักสอบสวนหรือให้พนักงานสอบสวนถือคำสั่งไปให้ผู้เกี่ยวข้องหรือผู้ครอบครอง เจอแบบนี้ส่วนใหญ่จะยินยอมแต่โดยดีครับ 3.หากพนักงานสอบสวนไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยอมออกหมายเรียกหลักฐานให้ เช่นอ้างว่า หมายเรียกไปก็ไม่เจอ หมายเรียกไปก็ไม่มีประโยชน์แก่คดี ไม่ใช่หน้าที่ของตนเอง แบบนี้ ท่านมีทางเลือกสองทางคือ ต้องร้องเรียนพนักงานสอบสวนหรือฟ้องคดีอาญากับพนักงานสอบสวน หรือ ท่านต้องฟ้องผู้กระทำผิดเองต่อศาล และขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานหลักฐานให้ ส่วนการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้ประกอบการฟ้องร้องคดีแพ่งนั้นแตกต่างออกไป เพราะตราบใดที่ยังไม่มีการฟ้องคดีต่อศาล ผู้เกี่ยวข้องไม่มีอำนาจใดๆไปบังคับให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองกล้องจรปิด เปิดคลิปวีดีโอหรือส่งบันทึกวีดีโอดังกล่าวให้ตนเองได้ ดังนั้นในคดีแพ่ง ท่านควรใช้วิธีขอความร่วมมือจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองกล้องวงจรปิด เพื่อขอตรวจและบันทึกกล้องวีดีโอ แต่เจ้าของกล้องวงจรปิดบางแห่ง มีรูปแบบเป็นธุรกิจ เช่น โรงแรม คอนโด หมู่บ้านจัดสรร สถานบันเทิงต่างๆ หรือมีรูปแบบเป็นหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ที่มีนโยบายรักษาข้อมูลและความลับของลูกค้า ย่อมไม่ให้ท่านตรวจสอบกล้องวงจรปิดหรือมอบสำเนาข้อมูลจากกล้องวงจรปิดให้กับท่าน เช่นนี้มีวิธีการเดียวที่ท่านจะได้พยานหลักฐานมาเพื่อประกอบคดี คือ ท่านต้องให้ทนายความยื่นฟ้องคดีต่อศาลทันที พร้อมทั้งให้ทนายความขอหมายเรียกพยานวัตถุไปพร้อมคำฟ้อง ซึ่งในคำร้องขอหมายเรียกพยานวัตถุของทนายความ จะต้องอธิบายถึงเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องขอสำเนาบันทึกวีโอจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองกล้องจรปิด ซึ่งทางปฏิบัติแล้ว หากคำร้องมีเหตุผลครบถ้วน ศาลก็จะเซ็นอนุมัติหมายให้ในวันเดียวกันหรือในวันรุ่นขึ้น จากนั้นก็นำหมายไปให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองกล้องวงจรปิด ซึ่งส่วนใหญ่พอได้รับหมายศาลก็จะยอมโดยดี เมื่อท่านมีโอกาสได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและได้เก็บสำเนาไว้เป็นหลักฐานแล้ว มีเทคนิคที่เบื้องต้นที่ท่านควรดำเนินการ เพื่อให้สามารถนำวีดีโอดังกล่าวไปใช้ในศาลได้โดยสมบูรณ์ ดังนี้ 1.ควรขอบันทึกสำเนากล้องวงจรปิดเป็นไฟล์ละเอียดสูงสุด ไม่ควรตัดต่อ หรือลดทอนคุณภาพลง และไม่ควรถ่ายคลิปจากมือถือโดยตรง ควรใช้แฟลชไดร์หรือทรัมไดร์ในการเก็บข้อมูลจะดีกว่า และควรสำรองข้อมูลไว้ป้องกันการสูญหาย 2.ควรปรากฎวันเวลาเกิดเหตุในสำเนาบันทึกวีดีโอจากกล้องวงจรปิด 3.หากคลิปมีความยาวหรือความซับซ้อน ควร Capture เหตุการณ์เป็นตอนๆ ลงใส่กระดาษ พร้อมอธิบายเหตุการณ์โดยสังเขป เพื่อให้ศาลเข้าใจได้โดยง่าย 4.ควรขอพยานหลักฐานหรือรายชื่อพยานบุคคล ผู้เป็นควบคุมหรือเป็นเจ้าของกล้องไว้ เพื่อใช้ยืนยันว่าเป็นวีดีโอที่มาจากกล้องดังกล่าวจริง
การรวบรวมพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิดมาเพื่อใช้ประกอบคดีนั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้ดำเนินคดีอาญา ต้องแจ้งความดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายก่อน จากนั้นให้นำบันทึกประจำวันไปดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1.1. ขอความร่วมจากเจ้าของสถานที่ โดยอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทราบว่า มีความจำเป็นอย่างไรจึงต้องขอดูและเก็บหลักฐานกล้องวงจรปิด พร้อมแสดงบันทึกประจำวันให้เขาดู 1.2. หากเจ้าของสถานที่ไม้ให้ความร่วมมือ แต่ไม่ให้เก็บหลักฐาน ให้แจ้งพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกให้เจ้าของสถานที่ ส่งบันทึกกล้องวงจรปิดให้พนักงานสอบสวน จากนั้นให้ถือคำสั่งไปให้ผู้เกี่ยวข้อง 1.3. หากพนักงานสอบสวนไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยอมออกหมายเรียก จะมีทางเลือก 2 ทางคือ ตร้องเรียนพนักงานสอบสวน หรือต้องฟ้องผู้กระทำผิดเองต่อศาล และขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานหลักฐานให้ 2.การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้ดำเนินคดีแพ่ง ควรใช้วิธีขอความร่วมมือจากเจ้าของกล้องวงจรปิด เพื่อตรวจและบันทึกกล้องวีดีโอ ต้องให้ทนายความยื่นฟ้องคดีต่อศาลทันที พร้อมให้ทนายความขอหมายเรียกพยานวัตถุพร้อมคำฟ้อง ซึ่งต้องอธิบายเหตุผลและความจำเป็นที่จะขอสำเนาบันทึกวีโอจากเจ้าของกล้องจรปิด เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดและเก็บสำเนาเป็นหลักฐานแล้ว มีเทคนิคที่ควรดำเนินการ เพื่อนำวีดีโอไปใช้ในศาลได้โดยสมบูรณ์ ดังนี้ 2.1. ควรขอบันทึกสำเนากล้องวงจรปิดเป็นไฟล์ละเอียดสูงสุด ไม่ตัดต่อ ลดคุณภาพลง และไม่ควรถ่ายคลิปจากมือถือ ควรใช้แฟลชไดร์การเก็บข้อมูลและสำรองข้อมูลเพื่อป้องกันการสูญหาย 2.2. ควรปรากฎวันเวลาเกิดเหตุในสำเนาบันทึกวีดีโอจากกล้องวงจรปิด 2.3. หากคลิปมีความซับซ้อน ควร Capture เหตุการณ์เป็นตอนๆ ใส่กระดาษ พร้อมอธิบายเหตุการณ์โดยสังเขป เพื่อให้ศาลเข้าใจง่าย 2.4. ควรขอพยานหลักฐาน ผู้ควบคุมหรือกล้องไว้ เพื่อใช้ยืนยันว่าเป็นวีดีโอที่มาจากกล้องจริง
กฎหมายลักษณะพยาน,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9495
Legal
เจ้าของบัตรประชาชนตัวจริงสามารถปฏิเสธความรับผิดชอบในสัญญาที่ถูกมิจฉาชีพปลอมแปลงบัตรประชาชนไปทำนิติกรรมได้หรือไม่?
null
ได้ เหตุผล: การปลอมแปลงเอกสาร: การกระทำของมิจฉาชีพที่ปลอมแปลงบัตรประชาชนและลายเซ็นของเจ้าของบัตรประชาชน ถือเป็นการปลอมแปลงเอกสารอันเป็นการผิดกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 เจตนา: เจ้าของบัตรประชาชนตัวจริงไม่มีเจตนาที่จะทำนิติกรรมใดๆ กับบริษัทห้างร้านหรือธนาคาร ความรู้: เจ้าของบัตรประชาชนตัวจริงไม่มีความรู้หรือพึงรู้ว่าบัตรประชาชนของตนถูกนำไปปลอมแปลง ความเสียหาย: เจ้าของบัตรประชาชนตัวจริงไม่ได้เป็นผู้รับประโยชน์จากสัญญา และยังอาจได้รับความเสียหายจากการถูกฟ้องร้อง หลักฐาน: รูปถ่ายและตัวอย่างลายมือชื่อของเจ้าของบัตรประชาชนที่เก็บไว้ที่สำนักงานทะเบียนราษฎร สามารถใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าเจ้าของบัตรประชาชนตัวจริงไม่ได้เป็นผู้ทำนิติกรรม ฎีกา: เมื่อจำเลยมิได้เป็นผู้ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อ จำเลยจึงไม่มีภาระผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อนั้น (ฎีกาที่ 4944/2555) สรุป: เจ้าของบัตรประชาชนตัวจริงสามารถปฏิเสธความรับผิดชอบในสัญญาที่ถูกมิจฉาชีพปลอมแปลงบัตรประชาชนไปทำนิติกรรมได้ โดยอาศัยหลักฐานรูปถ่ายและตัวอย่างลายมือชื่อของตนเองจากสำนักงานทะเบียนราษฎร คำแนะนำ: เจ้าของบัตรประชาชนควรระมัดระวังในการเซ็นสำเนาบัตรประชาชน ควรเขียนกำกับในสำเนาบัตรประชาชนทุกครั้งว่าจะนำไปใช้เพื่อการใด แจ้งความลงบันทึกประจำวันหากบัตรประชาชนสูญหาย ตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโรของตนเองเป็นประจำเพื่อดูว่ามีการทำธุรกรรมใดๆ โดยใช้ชื่อของตนหรือไม่ ข้อควรระวัง: คดีแต่ละคดีมีข้อเท็จจริงแตกต่างกัน เจ้าของบัตรประชาชนควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายอาญา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9496
Legal
เมื่อต้องการขอคัดถ่ายเอกสารในสำนวนคดีอื่นเพื่อใช้ในการหาข้อมูลหรือเตรียมคดีของตนเอง ต้องปฏิบัติตามกฏหมายอย่างไรเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานอย่างถูกต้อง?
ก. ขออนุญาตจากศาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและปฏิบัติตามข้อบังคับที่กำหนด ข. ขออนุญาตจากเพื่อนร่วมทีมและคัดถ่ายโดยไม่ต้องรายงานกับศาล ค. ขออนุญาตจากผู้ถือเอกสารและคัดถ่ายโดยไม่ต้องรายงานกับศาล ง. คัดถ่ายเอกสารโดยไม่ต้องขออนุญาตจากใคร
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ก. เนื่องจาก เมื่อต้องการคัดถ่ายเอกสารในสำนวนคดีอื่นที่เป็นพยานหลักฐานเพื่อใช้ในการหาข้อมูลหรือเตรียมคดีของตนเอง จะต้องปฏิบัติตามกฏหมายที่กำหนดให้เคล็ดลับการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างถูกต้อง โดยต้องขออนุญาตจากศาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนทำการคัดถ่ายเอกสารนั้น และต้องเรียกร้องเอกสารด้วยวิธีที่เป็นไปตามกฏหมาย ไม่ว่าจะเป็นการขอให้ศาลสั่งให้ผู้ถือเอกสารนั้นส่งมอบหรือให้คัดถ่ายเอกสารในที่สาธารณะ หรือในที่อื่นที่กำหนดไว้โดยกฏหมาย โดยปฏิบัติตามข้อบังคับของศาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและถูกต้องเสมอ โดยการยื่นคำร้องตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 219 และมาตรา 239 ประกอบ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 97 คู่ความในคดีนี้จึงได้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้งกับผู้คัดค้านทั้งยี่สิบห้าก็ตาม แต่ น. มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลนครหาดใหญ่ เขตเลือกตั้งที่ 4 หมายเลข 14 ซึ่งได้ยื่นคำร้องว่า การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่และสมาชิกสภาเทศบาลนครหาดใหญ่ เขตเลือกตั้งที่ 1 ถึงที่ 4 มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากผู้คัดค้านทั้งยี่สิบห้ากระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ซึ่งมาตรา 135 บัญญัติให้ผู้สมัครในเขตเลือกตั้งเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. ถือว่า น. เป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยชอบในคดี หรือมีเหตุสมควรที่จะให้ขอคัดสำเนาเอกสารในสำนวนคดีรวมตลอดถึงวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมดตามที่ร้องขอได้
กฎหมายลักษณะพยาน (ทั้งวิแพ่งและวิอาญา),กฎหมายเลือกตั้ง,วิชาว่าความและทนายความ คำฟ้อง คำให้การและคำร้องขอ มรรยาททนายความ
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9499
Legal
ช่วยสรุปเรื่อง "หลักเกณฑ์ที่จะทำให้ประชาชนมีสิทธิในการพกพาอาวุธปืน" ให้หน่อยค่ะ
ซึ่งหลักเกณฑ์ที่จะทำให้ประชาชนมีสิทธิในการพกพาอาวุธปืน ตามกฎหมายทั้งสองฉบับนั้น มีข้อแตกต่างกัน ดังนี้ สาเหตุที่จะทำให้มีสิทธิในการพกพาอาวุธปืนติดตัว ตาม พรบอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ ประกอบด้วยเงื่อนไข 2 ข้อ คือ 1.มีเหตุจำเป็น คำว่า เหตุจำเป็น ตัวอย่างเช่น การต้องพกเงินสดจำนวนมากไปทำธุระในท้องที่ที่อาจมีอันตราย หรือในเวลากลางคืน การต้องเข้าไปทำธุระสำคัญ ในท้องที่หรือสถานการณ์ที่อาจเกิดเหตุอันตราย เช่น ทนายความหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำกำลังพร้อมเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินในบ้านลูกหนี้ที่มีประวัติดุร้าย เป็นต้น 2.มีเหตุเร่งด่วน คำว่า เหตุเร่งด่วน หมายถึงสาเหตุหรือสถานการณ์ที่ต้องพกพาอาวุธปืนออกไปในตอนนั้น ไม่อาจหลีกเลี่ยงไปทำในช่วงเวลาอื่นได้ ตัวอย่างเช่น การพกพาเงินสดไปทำธุรกรรมต่างๆ มีความจำเป็นต้องทำเวลานั้นๆ ไม่สามารถเลื่อนไปทำเวลาอื่นได้ มิฉะนั้นจะเกิดความเสียหาย ซึ่งถ้าหากปรากฎว่าธุระดังกล่าวสามารถเลื่อนไปทำในเวลาอื่น ซึ่งจะมีความปลอดภัยกว่าได้ ไม่มีความจำเป็นต้องทำในตอนนั้น ย่อมไม่ถือเป็นเหตุเร่งด่วน การพกพาอาวุธปืนติดตัวตามพรบอาวุธปืนจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ทั้ง 2 ประการคือมีทั้งเหตุจำเป็นและเหตุเร่งด่วนถ้ามีเหตุจำเป็นแต่ไม่เร่งด่วนก็ไม่อาจพกพาอาวุธปืนติดตัวได้ ถ้ามีเหตุเร่งด่วน แต่เหตุดังกล่าวไม่ใช่เหตุจำเป็น ก็ไม่อาจพกพาอาวุธปืนติดตัวได้ ส่วนสาเหตุที่จะทำให้มีอำนาจพกพาปืนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 กฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่าต้องมี “เหตุสมควร” ซึ่งเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายอาญาไม่จำเป็นต้องเป็นมีเหตุเร่งด่วนเหมือนกับการพกพาอาวุธปืนติดตัวตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ และคำว่า “เหตุสมควร” ตามประมวลกฎหมายอาญา มีความหมายกว้างกว่า คำว่า “เหตุจำเป็น” ตาม พ.ร.บ อาวุธปืน ฯ เพราะคำว่า เหตุสมควร หมายถึงมีเหตุอันเหมาะสมที่จะต้องพกพาอาวุธปืนไป แต่เหตุนั้นอาจจะไม่จำเป็นก็ได้ เช่นการพกพาอาวุธปืนไปสนามยิงปืนเพื่อซ้อมยิง แบบนี้ไม่ใช่เหตุจำเป็น เพราะถึงไม่ได้ซ้อมยิงปืน ก็ไม่เกิดผลเสียหรืออันตรายแต่อย่างใด แต่ถือได้ว่าเป็นเหตุสมควร คำว่าเหตุสมควร ตัวอย่างเช่น การนำอาวุธปืนใส่รถเพื่อเดินทางไปซ้อมยิงปืนเพื่อการกีฬา การขนของย้ายบ้านที่จะต้องพาอาวุธปืนติดรถไปด้วย รวมทั้งสาเหตุจำเป็น ตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ ย่อมถือเป็น สาเหตุสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 ด้วยเสมอ เช่น การพกพาเงินจำนวนมากไปทำธุระในสถานที่หรือสถานการณ์ที่อาจเกิดอันตราย การเข้าปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติงานในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง เป็นต้น
หลักเกณฑ์ที่จะทำให้ประชาชนมีสิทธิในการพกพาอาวุธปืน 1. สาเหตุที่จะมีสิทธิพกพาอาวุธปืนติดตัว ตาม พรบอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ ประกอบด้วยเงื่อนไข 2 ข้อ คือ 1.1. มีเหตุจำเป็น เช่น ต้องพกเงินสดจำนวนมากไปทำธุระในที่ที่มีอันตราย ต้องเข้าไปทำธุระสำคัญในสถานการณ์ที่อาจเกิดเหตุอันตราย 1.2. มีเหตุเร่งด่วนที่ต้องพกพาอาวุธปืนออกไปในตอนนั้น ไม่อาจหลีกเลี่ยงไปทำในช่วงเวลาอื่นได้ 2. สาเหตุที่จะพกพาปืนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 กฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ว่าต้องมีเหตุสมควร ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นมีเหตุเร่งด่วนเหมือนการพกพาอาวุธปืนติดตัวตามพ.ร.บ. อาวุธปืนฯ และมีเหตุอันเหมาะสมที่ต้องพกพาอาวุธปืน แต่เหตุนั้นอาจไม่จำเป็นก็ได้
กฎหมายอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน,ประมวลกฎหมายอาญา
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9500
Legal
จงสรุปบทความเรื่อง "ตัวอย่างการต่อสู้คดีฉ้อโกง ตอน ไม่ได้เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย – รู้ว่าเป็นการนำเงินไปปล่อยกู้เรียกดอกเบี้ยเกินกำหนด" ให้หน่อยค่ะ
ตัวอย่างการต่อสู้คดีอาญาที่ผมหยิบยกมาเผยแพร่ในวันนี้ เป็นคดีอาญายอดนิยมที่ฟ้องกันอยู่บ่อยครั้ง ก็คือคดีความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ตัวอย่างการต่อสู้คดีอาญาที่ผมหยิบยกมาเผยแพร่ในวันนี้ เป็นคดีอาญายอดนิยมที่ฟ้องกันอยู่บ่อยครั้ง ก็คือคดีความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 สำหรับรายละเอียดการฟ้องร้องดำเนินคดีนี้ ฝ่ายโจทก์ฟ้องอ้างบรรยายว่าจำเลยมีเจตนาฉ้อโกง นำเงินของโจทก์ไปลงทุนปล่อยกู้ โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นจำนวนสูง และถึงเวลาจำเลยไม่นำเงินมาคืนภายในกำหนด รวมเป็นเงินประมาณ 1,500,000 บาท สำหรับรายละเอียดการฟ้องร้องดำเนินคดีนี้ ฝ่ายโจทก์ฟ้องอ้างบรรยายว่าจำเลยมีเจตนาฉ้อโกง นำเงินของโจทก์ไปลงทุนปล่อยกู้ โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นจำนวนสูง และถึงเวลาจำเลยไม่นำเงินมาคืนภายในกำหนด รวมเป็นเงินประมาณ 1,500,000 บาท สำหรับข้อเท็จจริงที่ได้จากจำเลยซึ่งเป็นลูกความผมได้ความว่า จำเลยได้รับเงินมาจากโจทก์จริง เพื่อนำไปปล่อยกู้ให้กับบุคคลอื่น โดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในอัตราร้อยละ 5 ถึงร้อยละ 30 สำหรับข้อเท็จจริงที่ได้จากจำเลยซึ่งเป็นลูกความผมได้ความว่า จำเลยได้รับเงินมาจากโจทก์จริง เพื่อนำไปปล่อยกู้ให้กับบุคคลอื่น โดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในอัตราร้อยละ 5 ถึงร้อยละ 30 หลังจากที่ทำการกู้ยืมเงินกันไปได้สักระยะหนึ่งจำเลยก็คืนดอกเบี้ยและต้นเงินให้กับโจทก์ตรงมาตลอด จนกระทั่งภายหลังเกิดปัญหาบุคคลที่จำเลยนำเงินไปปล่อยกู้ต่อไม่ส่งต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย ทำให้จำเลยติดปัญหาไม่มีเงินนำมาคืนให้กับโจทก์ได้ หลังจากที่ทำการกู้ยืมเงินกันไปได้สักระยะหนึ่งจำเลยก็คืนดอกเบี้ยและต้นเงินให้กับโจทก์ตรงมาตลอด จนกระทั่งภายหลังเกิดปัญหาบุคคลที่จำเลยนำเงินไปปล่อยกู้ต่อไม่ส่งต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย ทำให้จำเลยติดปัญหาไม่มีเงินนำมาคืนให้กับโจทก์ได้ หลังจากได้รับข้อเท็จจริงจากจำเลยแล้วผมจึงมองว่าคดีนี้เป็นคดีที่ต่อสู้ได้อย่างง่ายมาก และผมได้ตั้งประเด็นข้อต่อสู้คดีนี้ไว้ 2 ประเด็นก็คือ 1.คดีนี้ไม่ใช่เป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกง 1.คดีนี้ไม่ใช่เป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกง เนื่องจากการจะเป็นการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 นั้น จะต้องเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความมันเป็นเท็จหรือการปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้ง ทำให้ได้ทรัพย์สินของผู้ถูกหลอกลวง เนื่องจากการจะเป็นการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 นั้น จะต้องเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความมันเป็นเท็จหรือการปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้ง ทำให้ได้ทรัพย์สินของผู้ถูกหลอกลวง แต่ลักษณะการกระทำของคดีนี้จำเลยเพียงกู้ยืมเงินจากโจทก์ไปปล่อยกู้ต่อและแบ่งปันดอกเบี้ยผลกำไรกับโจทก์เท่านั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นการผิดสัญญาทางแพ่งหรือข้อตกลงอย่างชัดเจน จึงไม่ใช่ความผิดฐานฉ้อโกง แต่ลักษณะการกระทำของคดีนี้จำเลยเพียงกู้ยืมเงินจากโจทก์ไปปล่อยกู้ต่อและแบ่งปันดอกเบี้ยผลกำไรกับโจทก์เท่านั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นการผิดสัญญาทางแพ่งหรือข้อตกลงอย่างชัดเจน จึงไม่ใช่ความผิดฐานฉ้อโกง 2.โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย 2.โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย เนื่องจากการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญานั้น ฝ่ายโจทก์จะต้องมีฐานะเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ไม่มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิด และไม่รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เนื่องจากการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญานั้น ฝ่ายโจทก์จะต้องมีฐานะเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ไม่มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิด และไม่รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แต่พฤติการณ์ของโจทก์ในคดีนี้ ที่รู้เห็นและยินยอมรวมทั้งเป็นตัวการในการนำเงินไปให้จำเลยปล่อยกู้กับบุคคลอื่น โดยเรียกดอกเบี้ยในอัตราสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แต่พฤติการณ์ของโจทก์ในคดีนี้ ที่รู้เห็นและยินยอมรวมทั้งเป็นตัวการในการนำเงินไปให้จำเลยปล่อยกู้กับบุคคลอื่น โดยเรียกดอกเบี้ยในอัตราสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ถือว่าเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ ดังนั้นจึงถือได้ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่มีสิทธิ์จะฟ้องจำเลยได้ ถือว่าเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิด ตาม ดังนั้นจึงถือได้ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่มีสิทธิ์จะฟ้องจำเลยได้ เพราะหากให้ทำอย่างนั้นก็เหมือนกับรัฐสนับสนุนให้บุคคลทำการฝ่าฝืนต่อกฎหมายและฟ้องร้องบังคับกันได้ เพราะหากให้ทำอย่างนั้นก็เหมือนกับรัฐสนับสนุนให้บุคคลทำการฝ่าฝืนต่อกฎหมายและฟ้องร้องบังคับกันได้ ตัวอย่างเช่นหากโจทก์เป็นนายทุนค้ายาเสพติดหรืออาวุธปืนผิดกฎหมาย หากโจทก์ถูกบุคคลอื่นหลอกลวงเอาเงินค่ายาเสพติดหรืออาวุธผิดกฎหมายไป ตัวอย่างเช่นหากโจทก์เป็นนายทุนค้ายาเสพติดหรืออาวุธปืนผิดกฎหมาย หากโจทก์ถูกบุคคลอื่นหลอกลวงเอาเงินค่ายาเสพติดหรืออาวุธผิดกฎหมายไป โจทก์ก็ไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องดำเนินคดีกับบุคคลอื่นนั้นในข้อหาฉ้อโกง มิฉะนั้นก็เท่ากับศาลและรัฐยินยอมให้มีการกระทำที่ฝ่าฝืนตามกฎหมายและรองรับบังคับให้คนกระทำผิดกฎหมายอาญา ฟ้องร้องบังคับกันได้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องดำเนินคดีกับบุคคลอื่นนั้นในข้อหาฉ้อโกง มิฉะนั้นก็เท่ากับศาลและรัฐยินยอมให้มีการกระทำที่ฝ่าฝืนตามกฎหมายและรองรับบังคับให้คนกระทำผิดกฎหมายอาญา ฟ้องร้องบังคับกันได้ โดยมีตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาเช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7869/2560 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7869/2560 โจทก์ร่วมเป็นนายทุนปล่อยกู้โดยมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อผลประโยชน์ที่เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายอันเป็นความผิดต่อ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ ไม่ว่าจำเลยทั้งสองจะร่วมกันหลอกลวงโจทก์ร่วมหรือไม่ก็ตาม ถือได้ว่าโจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่อาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ และไม่มีสิทธิร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองในความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2(4) พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนและพนักงานอัยการโจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 และมาตรา 120 โจทก์ร่วมเป็นนายทุนปล่อยกู้โดยมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อผลประโยชน์ที่เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายอันเป็นความผิดต่อ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ ไม่ว่าจำเลยทั้งสองจะร่วมกันหลอกลวงโจทก์ร่วมหรือไม่ก็ตาม ถือได้ว่าโจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่อาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ และไม่มีสิทธิร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองในความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2(4) พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนและพนักงานอัยการโจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 และมาตรา 120 ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ผมเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีที่ไม่ยากมาก และไม่มีรายละเอียดข้อเท็จจริงที่ซับซ้อน จึงได้ส่งทีมงานทนายความมือดีของสำนักงานไป คือ ทนายแพรวพรรณ เชี่ยวประสิทธิ์ เป็นคนคำแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลควรสั่งว่าคดีไม่มีมูล และเป็นคนถามค้านในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ผมเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีที่ไม่ยากมาก และไม่มีรายละเอียดข้อเท็จจริงที่ซับซ้อน จึงได้ส่งทีมงานทนายความมือดีของสำนักงานไป คือ ทนายแพรวพรรณ เชี่ยวประสิทธิ์ เป็นคนคำแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลควรสั่งว่าคดีไม่มีมูล และเป็นคนถามค้านในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ซึ่งผลปรากฏว่าศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ด้วยเหตุผลที่ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย เนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าจำเลยจะนำเงินไปปล่อยกู้เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนด ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ดังกล่าว ผมจึงได้นำตัวอย่างการทำคำแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลควรสั่งว่าคดีไม่มีมูล และตัวอย่างคำพิพากษามาเพื่อเผยแพร่เป็นวิทยาทานและแนวทางในการทำงานให้กับเพื่อนๆต่อไปครับ ผมจึงได้นำตัวอย่างการทำคำแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลควรสั่งว่าคดีไม่มีมูล และตัวอย่างคำพิพากษามาเพื่อเผยแพร่เป็นวิทยาทานและแนวทางในการทำงานให้กับเพื่อนๆต่อไปครับ
คดีอาญายอดนิยมที่ฟ้องกันอยู่บ่อยครั้ง คือคดีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 รายละเอียดการฟ้องร้องดำเนินคดีคือ ฝ่ายโจทก์ฟ้องอ้างบรรยายว่าจำเลยมีเจตนาฉ้อโกง นำเงินไปลงทุนปล่อยกู้ โดยรับค่าตอบแทนเป็นจำนวนสูง และถึงเวลาจำเลยไม่นำเงินมาคืนภายในกำหนด รวมเป็นเงินประมาณ 1,500,000 บาท สำหรับข้อเท็จจริงคือ จำเลยได้รับเงินจากโจทก์จริง เพื่อนำไปปล่อยกู้ให้บุคคลอื่น โดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดในอัตราร้อยละ 5-30 หลังจากกู้ยืมเงินกันสักระยะหนึ่ง จำเลยก็คืนดอกเบี้ยและต้นเงินให้กับโจทก์ตรงมาตลอด จนกระทั่งภายหลังเกิดปัญหาบุคคลที่จำเลยนำเงินไปปล่อยกู้ต่อ ไม่ส่งต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย ทำให้จำเลยติดปัญหาไม่มีเงินมาคืนให้โจทก์ได้ หลังจากได้รับข้อเท็จจริงจากจำเลยแล้ว คดีนี้เป็นคดีที่ต่อสู้ได้ง่ายมาก และตั้งประเด็นข้อต่อสู้คดีนี้ไว้ 2 ประเด็นคือ 1. คดีนี้ไม่ใช่เป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกง เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ต้องเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้ง ทำให้ได้ทรัพย์สินของผู้ถูกหลอกลวง แต่การกระทำของคดีนี้ จำเลยเพียงกู้ยืมเงินจากโจทก์ไปปล่อยกู้ต่อและแบ่งปันดอกเบี้ยผลกำไรกับโจทก์เท่า ซึ่งมีลักษณะผิดสัญญาทางแพ่งหรือข้อตกลงอย่างชัดเจน จึงไม่ใช่ความผิดฐานฉ้อโกง 2. โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย เนื่องจากการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญานั้น ฝ่ายโจทก์ต้องมีฐานะเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีส่วนร่วมกระทำความผิด ไม่มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิด และไม่รู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำความผิด แต่พฤติการณ์ของโจทก์ในคดีนี้ รู้เห็นและยินยอมรวมทั้งเป็นตัวการในการนำเงินให้จำเลยปล่อยกู้กับบุคคลอื่น โดยเรียกดอกเบี้ยในอัตราสูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด ถือว่าเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 จึงถือว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่มีสิทธิ์จะฟ้องจำเลยได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9501
Legal
ในคดีโกงเจ้าหนี้ กรณีที่จำเลยโอนทรัพย์สินให้แก่บุคคลอื่น ศาลฎีกาจะยกฟ้องจำเลยหรือไม่ หากโจทก์ไม่สามารถแสดงหลักฐานว่าจำเลยมีหนี้สินอยู่จริงต่อโจทก์?
null
ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาหลายคดีที่ยกฟ้องจำเลยในคดีโกงเจ้าหนี้ กรณีที่โจทก์ไม่สามารถแสดงหลักฐานว่าจำเลยมีหนี้สินอยู่จริงต่อโจทก์ ตัวอย่างเช่น คดีหมายเลขดำ อ. 2247/2562 ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลยในคดีโกงเจ้าหนี้ โดยระบุว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานแสดงว่าจำเลยมีหนี้สินจริงต่อโจทก์ สัญญาเงินกู้ที่โจทก์นำเสนอเป็นเพียงเอกสารปลอม การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่พิพาทให้แก่บุคคลที่สามจึงไม่ใช่การกระทำเพื่อหนีหนี้ คดีหมายเลขดำ อ. 1984/2561 ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลยในคดีโกงเจ้าหนี้ โดยระบุว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานแสดงว่าจำเลยมีหนี้สินจริงต่อโจทก์ โจทก์อ้างว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ แต่ไม่มีหลักฐานแสดงถึงการส่งมอบเงินกู้ การโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่พิพาทให้แก่บุคคลที่สามจึงไม่ใช่การกระทำเพื่อหนีหนี้ เหตุผล: -องค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 คือ "ต้องมีหนี้อยู่จริงระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้" -หากไม่มีหนี้อยู่จริง การโอนทรัพย์สินให้แก่บุคคลอื่นก็ไม่ใช่การกระทำเพื่อหนีหนี้ และไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ -โจทก์มีหน้าที่พิสูจน์ว่าจำเลยมีหนี้สินจริงต่อโจทก์ หากโจทก์ไม่สามารถแสดงหลักฐานว่ามีหนี้อยู่จริง ศาลก็จะต้องยกฟ้องคดี ตัวอย่างหลักฐานที่โจทก์สามารถนำเสนอเพื่อพิสูจน์ว่ามีหนี้อยู่จริง เช่น: -สัญญาเงินกู้ -ใบเสร็จรับเงิน -บัญชีธนาคาร -ข้อความสนทนาทางไลน์หรือแอปพลิเคชันอื่นๆ -คำให้การของพยาน ข้อควรระวัง: -โจทก์ควรเก็บหลักฐานที่แสดงถึงการมีหนี้อยู่จริงไว้ให้ครบถ้วน -หลักฐานควรเป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย -โจทก์ควรปรึกษาทนายความก่อนดำเนินการฟ้องคดี สรุป: กรณีที่จำเลยโอนทรัพย์สินให้แก่บุคคลอื่น ศาลฎีกามีโอกาสยกฟ้องจำเลยในคดีโกงเจ้าหนี้หากโจทก์ไม่สามารถแสดงหลักฐานว่าจำเลยมีหนี้สินอยู่จริงต่อโจทก์ โจทก์จึงควรเตรียมหลักฐานให้ครบถ้วนก่อนดำเนินการฟ้องคดี
ประมวลกฎหมายอาญา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9508
Legal
ในคดีอาญา แสงสว่างในที่เกิดเหตุมีความสำคัญอย่างไรต่อการต่อสู้คดี
null
แสงสว่างในที่เกิดเหตุมีความสำคัญอย่างมากต่อการต่อสู้คดีอาญา โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตร่างกายและทรัพย์สิน เพราะว่า: มีผลต่อความน่าเชื่อถือของคำเบิกความของพยาน: แสงสว่างที่เพียงพอจะช่วยให้พยานจดจำลักษณะของบุคคล สถานที่ และเหตุการณ์ได้แม่นยำ ในทางตรงกันข้าม แสงสว่างที่ไม่เพียงพออาจทำให้พยานจำผิดหรือจำอะไรไม่ได้ มีผลต่อการพิสูจน์ตัวตนของจำเลย: แสงสว่างที่เพียงพอจะช่วยให้พยานจำหน้าจำตาของจำเลยได้ ในทางตรงกันข้าม แสงสว่างที่ไม่เพียงพออาจทำให้พยานจำหน้าจำตาของจำเลยไม่ได้ มีผลต่อการพิสูจน์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น: แสงสว่างที่เพียงพอจะช่วยให้พยานเห็นรายละเอียดของเหตุการณ์ได้ ในทางตรงกันข้าม แสงสว่างที่ไม่เพียงพออาจทำให้พยานมองไม่เห็นรายละเอียดของเหตุการณ์ ตัวอย่างการต่อสู้คดีโดยใช้ประเด็นเรื่องแสงสว่าง คดีพยายามฆ่า: จำเลยอ้างว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ทนายความจำเลยสามารถถามค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับแสงสว่างในที่เกิดเหตุ หากแสงสว่างไม่เพียงพอ พยานอาจจำผิดหรือจำอะไรไม่ได้ ศาลอาจไม่เชื่อคำเบิกความของพยาน และยกฟ้องจำเลย คดีลักทรัพย์: จำเลยอ้างว่าไม่ได้เป็นคนขโมย ทนายความจำเลยสามารถถามค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับแสงสว่างในที่เกิดเหตุ หากแสงสว่างไม่เพียงพอ พยานอาจจำหน้าจำตาของจำเลยไม่ได้ ศาลอาจไม่เชื่อคำเบิกความของพยาน และยกฟ้องจำเลย เทคนิคการถามค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับแสงสว่าง ตรวจสอบแผนที่สถานที่เกิดเหตุ: ตรวจสอบว่ามีแสงไฟในบริเวณที่เกิดเหตุหรือไม่ ตรวจสอบประเภทของแสงไฟ ตรวจสอบความสว่างของแสงไฟ ลงพื้นที่เกิดเหตุ: ตรวจสอบแสงสว่างในบริเวณที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง ถ่ายรูปและวิดีโอเพื่อเป็นหลักฐาน เก็บพยานหลักฐานจากแหล่งอื่น: หารูปถ่ายดาวเทียมหรือภาพถ่ายจาก Google Earth หารายงานสภาพอากาศในวันที่เกิดเหตุ ถามค้านพยานโจทก์ด้วยรูปถ่ายและวิดีโอ: ถามพยานโจทก์ว่ารูปถ่ายและวิดีโอดังกล่าวเป็นรูปถ่ายและวิดีโอของสถานที่เกิดเหตุหรือไม่ ถามพยานโจทก์ว่าแสงสว่างในรูปถ่ายและวิดีโอตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ ถามรายละเอียดเรื่องของแสงไฟและจุดเกิดเหตุ: ถามพยานโจทก์ว่าแสงไฟมาจากไหน ถามพยานโจทก์ว่าแสงไฟสว่างแค่ไหน ถามพยานโจทก์ว่าแสงไฟมีผลต่อการมองเห็นของพยานหรือไม่ ถามค้านเรื่องความสว่างของพระจันทร์: ตรวจสอบปฏิทินข้างขึ้นข้างแรม ตรวจสอบแอปพลิเคชั่นเกี่ยวกับดวงจันทร์ ถามพยานโจทก์ว่าความสว่างของพระจันทร์ในคืนเกิดเหตุเป็นอย่างไร
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9509
Legal
ตำรวจสามารถสั่งตรวจปัสสาวะกับใครได้บ้าง
อำนาจในการสั่งให้ทำการตรวจปัสสาวะของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อำนาจในการสั่งให้ทำการตรวจปัสสาวะของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากผู้เขียนต้องเดินทางไกลไปว่าความที่ศาลต่างจังหวัดบ่อยๆ และมักเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งด่านตรวจฯ มักจะเรียกให้ผู้ขับขี่รถยนต์และบุคคลอื่นๆที่โดยสารมาในรถยนต์ทำการตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติดอยู่เสมอๆ จึงขอนำเอาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องมาลงเผยแพร่เพื่อประโยชน์แก่บุคคลทั่วไป ตามธรรมดาแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจย่อมไม่มีอำนาจในการสั่งให้บุคคลใดทำการตรวจปัสสาวะโดยผู้นั้นไม่ให้ความยินยอม เนื่องการเป็นการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอันรัฐธรรมนูญบัญญัติรองรับไว้ เว้นแต่เมื่อมีคดีอาญาเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ(พนักงานสอบสวน) จะมีอำนาจสั่งให้ผู้ที่ตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องหา หรือผู้เสียหายในคดีอาญา ทำการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีการต่างๆได้ ซึ่งรวมถึงการตรวจปัสสาวะด้วย และหากผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาไม่ทำการตรวจพิสูจน์ ก็ไม่มีความผิดแต่อย่างใด เพียงแต่กฎหมายจะกำหนดว่า ข้อเท็จจริงจะเป็นไปตามผลการตรวจพิสูจน์ในทางที่เป็นผลร้ายกับผู้เสียหายหรือผู้ต้องหานั้น (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 131/1) แต่เนื่องจากการขับขี่รถยนต์ในขณะมึนเมาสุราหรือสารเสพติดอื่นๆ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของสังคมส่วนรวม ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดอำนาจพิเศษให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถทำการบังคับตรวจปัสสาวะแก่ผู้ขับขี่รถยนต์ได้ แม้ยังไม่มีคดีอาญาเกิดขึ้น กล่าวคือกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจสั่งให้ผู้ขับขี่รถยนต์ที่มีลักษณะอาจจะเป็นอันตรายแก่ผู้อื่น กล่าวคือ ขับขี่รถยนต์ในลักษณะที่หย่อนความสามารถในการขับ หรือขับขี่รถยนต์ในขณะที่มึนเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ทำการตรวจปัสสาวะได้ แม้ผู้นั้นไม่ยินยอมให้ตรวจ โดยหากผู้ขับขี่รถยนต์ไม่ยอมตรวจ กฎหมายให้อำนาจเจ้าพนักงานตำรวจมิอำนาจกักตัวได้ไว้ได้จนกว่าจะยอมทำการตรวจ (พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 อนุมาตรา 1,2 ประกอบมาตรา 142 ) ซึ่งจะเห็นได้ว่าอำนาจในการบังคับตรวจปัสสาวะดังกล่าว มีเฉพาะแต่กับตัวผู้ขับขี่รถยนต์เท่านั้น ซึ่งผู้ที่ขับขี่รถยนต์ที่จะถูกบังคับให้ตรวจตามกฎหมายมาตรานี้จะต้องปรากฏว่ามีลักษณะการขับขี่รถยนต์โดยมีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ขับขี่รถยนต์โดยหย่อนความสามารถในการขับ หรือขับขี่ในขณะที่มึนเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น เช่น มีกลิ่นสุราจากลมหายใจหรือเสื้อผ้า ขับรถไม่ตรงทาง พูดจาอ้อแอ้ หรือฝ่าฝืนสัญญาจราจร ฯลฯ หากไม่มีอาการน่าสงสัยอันใด ผู้เขียนเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่มีอำนาจบังคับตรวจปัสสาวะได้ และอำนาจในการบังคับตรวจปัสสาวะนี้ไม่ครอบคลุมไปถึงผู้ที่นั่งโดยสารมาในรถยนต์ด้วย ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่สามารถบังคับให้ผู้ที่นั่งโดยสารมาในรถยนต์ตรวจปัสสาวะโดยผู้นั้นมิให้ความยินยอม
ตำรวจสามารถสั่งตรวจปัสสาวะได้ ก็ต่อเมื่อบุคคลผู้นั้นได้กระทำความผิดตามอาญา หรือขับขี่รถยนต์ที่มีลักษณะอาจจะเป็นอันตรายแก่ผู้อื่น กล่าวคือ ขับขี่รถยนต์ในลักษณะที่หย่อนความสามารถในการขับ หรือขับขี่รถยนต์ในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายจราจร
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9510
Legal
เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่รับแจ้งความทุกกรณีหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ประเภทของการแจ้งความ: การแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ การแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ: แจ้งความว่ามีผู้กระทำผิดอาญา การแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน: แจ้งเหตุการณ์ไว้เป็นหลักฐาน ไม่ได้กล่าวหาว่าใครกระทำผิด การแจ้งความว่าเอกสารหาย: แจ้งเพื่อขอใบรับรองการแจ้งความเพื่อใช้ประกอบการดำเนินการต่างๆ 2. อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ: เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจรับแจ้งความเฉพาะ การแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ไม่มีอำนาจ ดำเนินการใน การแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน และ การแจ้งความว่าเอกสารหาย หน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ บันทึก ข้อมูลการแจ้งความไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น ไม่มีอำนาจ ดำเนินการใดๆ เพิ่มเติม 3. ข้อยกเว้น: เจ้าหน้าที่ตำรวจ อาจ พิจารณา รับแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ในบางกรณี เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป เจ้าหน้าที่ตำรวจ อาจ ให้คำแนะนำ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการต่อไป 4. กรณีที่ไม่ใช่คดีอาญา: ปัญหาทางแพ่ง: ผู้เช่าไม่ยอมออกจากบ้าน สามีไม่จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ลูกหนี้ผิดสัญญาไม่จ่ายเงินกู้ ไม่ใช่ อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ควร ปรึกษาทนายความ 5. สรุป: เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่มีหน้าที่ รับแจ้งความทุกกรณี มีหน้าที่ รับแจ้งความ เฉพาะ การแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ไม่มีอำนาจ ดำเนินการใน การแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน และ การแจ้งความว่าเอกสารหาย ควร ปรึกษาทนายความ ในกรณีที่ไม่ใช่คดีอาญา คำอธิบายเพิ่มเติม: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา: บัญญัติเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรับแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ: กำหนดวิธีการและขั้นตอนในการรับแจ้งความ คำสั่งหัวหน้าตำรวจแห่งชาติ: กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการรับแจ้งความ ตัวอย่าง: นาย A ไปแจ้งความว่าถูกนาย B ลักทรัพย์: เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีหน้าที่ รับแจ้งความ นางสาว C ไปแจ้งความว่าทะเลาะกับสามี: เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่มีหน้าที่ รับแจ้งความ นาย D ไปแจ้งความว่าบัตรประชาชนหาย: เจ้าหน้าที่ตำรวจ อาจ พิจารณา รับแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ข้อควรระวัง: ประชาชนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของการแจ้งความ: เพื่อป้องกันความผิดพลาด เพื่อเข้าใจสิทธิของตัวเอง ควรปรึกษาทนายความ: ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาทางแพ่งหรือเป็นคดีอาญา เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการต่อไป
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9916
Legal
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ระบุว่าอย่างไร
1. พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 2. การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะแต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้ ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรม อื่นให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพราง มาใช้บังคับ 3. การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ 4. การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 4. เนื่องจาก มาตรา 150 การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ ตัวอย่าง คำพิพากษาศาลฏีกา ที่น่าสนใจ ตัวอย่าง คำพิพากษาศาลฏีกา ที่น่าสนใจ ตัวอย่าง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5083/2537 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5083/2537 จำเลยซื้อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินบางส่วนของที่ดินที่มีข้อกำหนดห้ามโอนไปยังผู้อื่นภายใน 10 ปีจากโจทก์ แม้โจทก์จะได้สละการครอบครองและมอบที่ดินพิพาทให้จำเลยครอบครอง ทั้งมีข้อตกลงว่าจะจดทะเบียนโอนที่ดินให้จำเลยเมื่อพ้นกำหนดห้ามโอนแล้ว ก็เป็นการซื้อมาและเข้าครอบครองภายในกำหนดเวลาห้ามโอน เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 จำเลยจึงไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาท
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),ประมวลกฎหมายที่ดิน,กฎหมายอสังหาริมทรัพย์,กฎหมายนิติกรรม-สัญญา-ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม,กฎหมายซื้อขาย
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9917
Legal
ปัญหาการรุกล้ำที่ดินคืออย่างไร
null
สรุปประเด็นที่สำคัญไว้ดังนี้ 1. สร้างบ้านในที่ดินของผู้อื่น A โดยสุจริต (คือเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนเอง) -ผล เจ้าของที่ดินแท้จริงเป็นเจ้าของบ้านนั้น เพราะบ้านเป็นส่วนควบของที่ดิน แต่ต้องใช้ค่าตอบแทนให้แก่ผู้สร้างบ้าน เท่าที่ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น -ผล แต่ต้องใช้ค่าตอบแทนให้แก่ผู้สร้างบ้าน B ไม่สุจริต B -ผล ต้องทำที่ดินให้เหมือนเดิม แล้วส่งคืนเจ้าของ เว้นแต่เจ้าของที่ดินจะรับบ้านนั้นไว้ โดยใช้ราคา 2. สร้างบ้านรุกล้ำที่ดินของผู้อื่น (บางส่วน) เช่น ชายคา กันสาด ระเบียง เป็นต้น A โดยสุจริต -ผล ผู้สร้างเป็นเจ้าของส่วนที่รุกล้ำ แต่ต้องเสียเงินค่าใช้ประโยชน์ให้แก่เจ้าของที่ดิน พร้อมจดทะเบียนภาระจำยอม ไปจดกว่าจะรื้อถอน ผล ผู้สร้างเป็นเจ้าของส่วนที่รุกล้ำ แต่ต้องเสียเงินค่าใช้ประโยชน์ให้แก่เจ้าของที่ดิน พร้อมจดทะเบียนภาระจำยอม -ผล แต่ถ้าเป็น โรงรถ ปั๊มน้ำ และแท็งก์น้ำ มิใช่บ้าน ต้องรื้อถอน สถานเดียว B ไม่สุจริต หรือโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายร้อง(เช่น ไม่รังวัดสอบเขตก่อนก่อสร้าง) -ผล ก็ต้องรื้อ สถานเดียว แม้จะเพียง 4-5 เซนมิเมตร ผล ก็ต้องรื้อ สถานเดียว 3. สร้างบ้านก่อน แล้วแบ่งโฉนดภายหลัง ปรากฏว่ามีการรุกล้ำ -ผล ถือว่าเป็นการสร้างโดยสุจริตและมีสิทธิปลูกได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้นต้องจ่ายค่าใช้ที่ดินส่วนที่รุกล้ำ จะขอให้รื้อบ้านส่วนที่รุกล้ำออกไปไม่ได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),ประมวลกฎหมายที่ดิน,กฎหมายอสังหาริมทรัพย์
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9919
Legal
พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 มาตรา 42 คืออะไร
null
ถ้าการกระทำที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม หรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจำนวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนดได้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ เช่น ความเสียหายที่ผู้บริโภคได้รับ ผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับ สถานะทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจ การที่ผู้ประกอบธุรกิจได้บรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น ตลอดจนการที่ผู้บริโภคมีส่วนในการก่อให้เกิดความเสียหายด้วย มาตรา 42 ถ้าการกระทำที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม หรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจำนวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนดได้ตามที่เห็นสมควร
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9920
Legal
การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดหรือคอนโดมิเนียม ที่ได้จากการประมูลทรัพย์ขายทอดตลาดของสำนักงานบังคับคดี ต้องขอออกหนังสือการปลอดหนี้จากนิติฯก่อนไหม?
null
: ไม่ต้อง เจ้าหน้าที่ที่ดินจะดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อได้ตามคำสั่งศาล โดยนิติบุคคลอาคารชุดจะต้องไปขอรับเงินหนี้ค้างชำระค่าส่วนกลางจากสำนักงานบังคับคดีเอง หลักฐานอ้างอิง: พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 มาตรา 335: เมื่อทําการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่มีกฎหมายกําหนดไว้ให้จดทะเบียน ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งนายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลอื่นผู้มีอํานาจหน้าที่ตาม กฎหมายให้ดําเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ซื้อ มาตรา 336: คดีที่ศาลมีคําสั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์สิน ให้ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น โดยปราศจากภาระผูกพันใด ๆ ยกเว้นภาระจำนอง ภาระจำนำ สิทธิ质押 และสิทธิเก็บกิน เว้นแต่คดีที่มีการอายัดไว้ก่อน หมายเหตุ: กรณีมีการอายัดไว้ก่อน การโอนกรรมสิทธิ์จะดำเนินการได้ตามคำสั่งศาล นิติบุคคลอาคารชุดมีสิทธิ์ได้รับเงินชำระหนี้ค่าส่วนกลางจากสำนักงานบังคับคดี ผู้ซื้อควรตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินก่อนการประมูล คำแนะนำ: ผู้ซื้อควรปรึกษาทนายความก่อนการประมูลทรัพย์สิน ควรตรวจสอบเอกสารและข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินอย่างละเอียด เตรียมเงินทุนให้พร้อมสำหรับการชำระค่าประมูลและค่าธรรมเนียมต่างๆ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9922
Legal
สรุปบทความเรื่อง หมายจับกับทะเบียนบ้านกลาง ให้หน่อย
ตามพ.ร.บ.การทะเบียนราษฏร(ฉบับที่3) พ.ศ.2562 ตามพ.ร.บ.การทะเบียนราษฏร(ฉบับที่3) พ.ศ.2562 ตามพ.ร.บ.การทะเบียนราษฏร(ฉบับที่3) พ.ศ.2562 ในกรณีที่ศาลออกหมายจับผู้ใด ถ้ายังมิได้ตัวผู้นั้นมาภายใน 180 วันนับแต่วันที่ศาลออกหมายจับ ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจแจ้งให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางทราบและให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางดำเนินการให้นายทะเบียนผู้รับแจ้ง ย้ายผู้นั้นออกจากทะเบียนหรือเพิ่มชื่อและรายการของผู้นั้นไว้ในทะเบียนบ้านกลาง และให้หมายเหตุไว้ในรายการของบุคคลนั้นว่าอยู่ในระหว่างการติดตามหมายจับด้วย ในกรณีที่ศาลออกหมายจับผู้ใด ถ้ายังมิได้ตัวผู้นั้นมาภายใน 180 วันนับแต่วันที่ศาลออกหมายจับ ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจแจ้งให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางทราบและให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางดำเนินการให้นายทะเบียนผู้รับแจ้ง ย้ายผู้นั้นออกจากทะเบียนหรือเพิ่มชื่อและรายการของผู้นั้นไว้ในทะเบียนบ้านกลาง และให้หมายเหตุไว้ในรายการของบุคคลนั้นว่าอยู่ในระหว่างการติดตามหมายจับด้วย ผู้ใดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านกลาง ถ้าผู้นั้นประสงค์จะย้ายออกจากทะเบียนบ้านกลางผู้นั้นต้องมาแสดงตนต่อนายทะเบียนที่จัดทำทะเบียนบ้านกลางนั้น พร้อมทั้งหลักฐานอันแสดงว่าหมายจับนั้นได้ถูกเพิกถอนหรือได้มีการปฏิบัติตามหมายจับนั้ ผู้ใดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านกลาง ถ้าผู้นั้นประสงค์จะย้ายออกจากทะเบียนบ้านกลางผู้นั้นต้องมาแสดงตนต่อนายทะเบียนที่จัดทำทะเบียนบ้านกลางนั้น พร้อมทั้งหลักฐานอันแสดงว่าหมายจับนั้นได้ถูกเพิกถอนหรือได้มีการปฏิบัติตามหมายจับนั้ น
พ.ร.บ.การทะเบียนราษฏร(ฉบับที่3) พ.ศ.2562 กรณีศาลออกหมายจับ แล้วยังไม่ได้ตัวผู้ได้หมายมาภายใน 180 วันนับแต่วันที่ออกหมายจับ ให้แจ้งผู้อำนวยการทะเบียนกลางทราบ และให้นายทะเบียนผู้รับแจ้ง ย้ายผู้นั้นออกจากทะเบียนหรือเพิ่มชื่อและรายการของผู้นั้นไว้ในทะเบียนบ้านกลาง และให้หมายเหตุไว้ว่าอยู่ในระหว่างการติดตามหมายจับ หากมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านกลาง และประสงค์จะย้ายออก ต้องมาแสดงตนต่อนายทะเบียนที่จัดทำทะเบียนบ้านกลาง พร้อมหลักฐานแสดงว่าหมายจับนั้นได้ถูกเพิกถอนหรือได้มีการปฏิบัติตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Summarization
cc-by-sa-4.0