ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
3 values
Instruction
stringlengths
11
894
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
45
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Finance_1238
Finance
กองทุน ONE-MEDTECH หรือ ONE Medical Technology Fund จาก บลจ.วรรณ (ONEAM) มีนโยบายลงทุนในกองทุนใดเป็นกองทุนหลัก (Master Fund)
null
กองทุน ONE-MEDTECH หรือ ONE Medical Technology Fund จาก บลจ.วรรณ (ONEAM) มีนโยบายลงทุนใน iShares U.S. Medical Devices ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน ONE-MEDTECH จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าใช้จ่ายให้ใกล้เพียงกับดัชนี Dow Jones U.S. Select Medical Equipment Index ซึ่งเป็นตัววัดผลการดําเนินงานของกลุ่มอุตสาหกรรมภาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Medical Equipment Sector) ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่ประกอบไปด้วยหุ้นของบริษัทเครื่องมือทาง การแพทย์ ซึ่งรวมผู้ผลิตและผู้จําหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องถ่ายภาพด้วยสนามแม่เหล็ก (MRI) สแกนเนอร์ ขาเทียม เครื่องกระตุ้นหัวใจ เครื่อง X-ray รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ใช่อุปกรณ์ใช้แล้วทิ้งอื่น ๆ กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management / Index Tracking) จุดเด่นของกองทุน ONE-MEDTECH - ใช้กระบวนการคัดเลือกของบริษัท S&P Global ตามธุรกิจที่แท้จริงของบริษัท ไม่อ้างอิงกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไปตาม GICS - เน้นลงทุนในธุรกิจผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น MRI-scanners, Prosthetics, Pacemakers, เครื่อง X-ray ฯลฯ โดยหลีกเลี่ยงอุปกรณ์จำพวกใช้แล้วทิ้ง - เปิดโอกาสรับผลตอบแทนจากการเติบโตของเทคโนโลยีการแพทย์ จากหลากหลาย Megatrend เช่น สังคมผู้สูงอายุ สังคมดิจิทัล ฯลฯ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1240
Finance
กลยุทธ์การลงทุนในปี 2022 ที่น่าสนใจมีอะไรบ้าง?
null
กลยุทธ์การลงทุนในปี 2022 ที่น่าสนใจ: 1. ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive หุ้นกลุ่ม Defensive คือกลุ่มที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น กลุ่ม Consumer Staples (สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น) กลุ่ม Utilities (สาธารณูปโภค) และกลุ่ม Healthcare (การแพทย์) หุ้นกลุ่มนี้มักมีผลประกอบการที่มั่นคง จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ 2. ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หุ้นกลุ่ม Cyclicals (กลุ่มที่เคลื่อนไหวตามสภาวะเศรษฐกิจ) เช่น กลุ่ม Banks (ธนาคาร) กลุ่ม Energy (พลังงาน) และกลุ่ม Industrials (อุตสาหกรรม) หุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตสูงเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ 3. ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว เน้นเลือกหุ้นที่มีนวัตกรรม และ disrupts ธุรกิจแบบดั้งเดิม เหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองระยะยาว และรับความเสี่ยงได้สูง 4. ลงทุนในทองคำ ทองคำมักถูกมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง 5. ลงทุนในกองทุนรวม เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลหุ้นด้วยตัวเอง เลือกกองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายการลงทุน ระดับความเสี่ยง และระยะเวลาลงทุน ข้อควรระวัง: ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน กระจายความเสี่ยง ลงทุนระยะยาว ใจเย็น ไม่รีบร้อน ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินการคลัง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน สรุป: กลยุทธ์การลงทุนที่ดีที่สุด ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุน ระดับความเสี่ยง และระยะเวลาลงทุน ของนักลงทุนแต่ละคน
ตลาดการเงิน,เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1242
Finance
ช่วยสรุปบทความ กองทุนปันผล Best in Class 3 ปีย้อนหลัง (2019-2021)
กองทุนปันผลเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการ Cash flow ไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือถ้าหากในสภาวะตลาดขาลง การได้รับปันผลมาเก็บไว้ก่อน ก็จะช่วยให้มูลค่าเงินรวมของเราขาดทุนน้อยลงนั่นเอง ถ้าวัตถุประสงค์ของเราคือต้องการ Cash flow อย่างต่อเนื่องแล้ว เราก็ต้องพิจารณาเลือกกองทุนปันผลที่มี Dividend Yield สูง มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ทั้งนี้การที่กองทุนจ่ายปันผลออกมามากก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะเงินปันผลนั้นถูกจ่ายออกมาจากกำไรที่กองทุนทำได้ เสมือนกำไรที่จ่ายออกมาจากหุ้น ถ้าหากบริษัทใดจ่ายปันผลมาก ก็จะมีเงินที่นำกลับไปลงทุนเพื่อขยายกิจการน้อยลง เช่นเดียวกันกับกองทุน ถ้ากองทุนจ่ายปันผลออกมามาก เงินที่เหลือในกองทุนก็จะน้อยลง และส่งผลให้มีโอกาสที่เงินจะทบต้นในกองทุนน้อยลงนั่นเอง นอกจากนี้ต้องไม่ลืมว่าปันผลที่เราได้ออกมานั้นต้องเสียภาษี 10% ด้วย และเงินปันผลที่เอาออกมานั้นเป็นส่วนที่จะไม่ได้ทำให้เงินต้นเรางอกเงยเพิ่มจากกฎการทบต้นอย่างที่กล่าวไปแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการเลือกกองทุนปันผลแล้วว่าเราต้องการอะไร ก็จะเข้าใจว่าต้องได้อย่างเสียอย่าง แต่อย่างไรก็ตามก็มีหลายกองทุนที่มีการจ่ายปันผลออกมาได้เยอะ และมูลค่าปัจจุบันของกองทุนก็ยังมากอยู่ เมื่อรวมปันผลด้วยแล้วยังกำไร จึงเป็นที่มาของการรวบรวมกองทุนปันผล Best in Class ที่เรานำมาเสนอในวันนี้
กองทุนปันผลเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรับเงินสดในชีวิตประจำวันหรือป้องกันความเสี่ยงในตลาดลง เลือกกองทุนที่มี Dividend Yield สูงสม่ำเสมอ เพื่อรักษามูลค่าเงินในกรณีที่ตลาดลดลง อย่างไรก็ตาม การจ่ายปันผลมากไม่ดีเสมอจะส่งผลให้เงินทุนลดลงและเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุนในระยะยาว การได้รับปันผลจะต้องเสียภาษี 10% และเงินนี้ไม่ทำให้เงินต้นเพิ่ม เลือกกองทุนปันผลต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ และมีหลายกองทุนที่มีการจ่ายปันผลมาก ๆ และมูลค่าปัจจุบันยังมาก เป็นที่มาของกองทุนปันผล Best in Class การได้รับปันผลจะต้องเสียภาษี 10% และเงินนี้ไม่ทำให้เงินต้นเพิ่ม เลือกกองทุนปันผลต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ และมีหลายกองทุนที่มีการจ่ายปันผลมาก ๆ และมูลค่าปัจจุบันยังมาก เป็นที่มาของกองทุนปันผล Best in Class
ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1250
Finance
ที่มีของคำว่าหุ้น Blue Chip มาจากอะไร
null
ที่มีของคำว่าหุ้น Blue Chip มาจากเกม Poker ซึ่ง Chip สีน้ำเงินจะมีมูลค่าสูงสุด เพราะคิดว่าอย่างน้อย บริษัทเหล่านี้จะไม่หายไปแน่ ๆ และต่อให้มันแพงเกินไปบ้าง เดี๋ยวสักพักบริษัทก็จะทำกำไรได้มากขึ้น จนราคาที่ซื้อแพงตอนนี้ สมเหตุสมผลเองในอนาคต นักลงทุนสถาบันมองว่า การซื้อหุ้น Blue Chip นี่เองที่แก้ปัญหาในชีวิตพวกเขาได้ ความน่าเชื่อถือและการเติบโตที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว ทำให้พวกเขาไม่ต้องคอยตอบคำถามกับหัวหน้าหรือผู้ร่วมงาน ถึงเหตุผลในการตัดสินใจ นอกจากนี้การเข้าซื้อทีละมาก ๆ ยังไม่ส่งผลกระทบต่อราคาของหุ้นใหญ่ ทำให้เกิด trend การซื้อหุ้นครั้งเดียว ถือยาวตลอดชีวิตในช่วงนั้น เงินจำนวนมากไหลเข้าหุ้นกลุ่ม Nifty 50 ซึ่งรวม 50 หุ้นที่ใหญ่ที่สุดในตลาด New York ไว้ จนหุ้นกลุ่ม Nifty 50 ซื้อขายกันที่ P/E 50-90 เท่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนถือยาวอยู่ได้ 3-4 ปี แล้วก็จบแบบเดิม จากนักลงทุนบางกลุ่มเริ่มเห็นโอกาสในการลงทุนอย่างอื่นที่ดูคุ้มค่ากว่า แล้วเริ่มลุกออกจากวง ก่อนจะมีคนกลุ่มอื่นลุกตามมาเรื่อย ๆ ทำให้ตลาดหุ้นเข้าสู่สภาพขาลงอีกครั้งเป็นเวลาเกือบ 10 ปี (1973-1982) ก่อนจะกลับเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นยุคที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่คนในยุค 60-70 วาดฝันไว้เริ่มทำได้จริง (ซึ่งจริง ๆ ก็มี ฟองสบู่ไบโอเทค เกิดขึ้นอีกในยุค 80 เรื่องก็เหมือนลอกฟองสบู่ Tronics มาเลย) เรื่องฟองสบู่ทั้ง 2 ครั้ง กินระยะเวลารวมกันกว่า 20 ปี ในยุคที่เงินทั่วโลกไม่ได้ไหลไปมาได้อย่างอิสระ ขนาดตลาดไม่ได้ใหญ่ ผู้เล่นในตลาดไม่ได้เยอะเหมือนทุกวันนี้ ในขณะที่โลกโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบัน เงินสามารถไหลไปรวมกันได้อย่างรวดเร็ว ทั่วโลกสามารถรับรู้ข่าวสารได้ในระยะเวลาที่ต่างกันไม่ถึงหลักชั่วโมง และใคร ๆ ก็ต่างลงทุนกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่ทรัพย์สินที่ได้รับความสนใจ จะสามารถทำกำไรได้มหาศาล จากหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ในช่วง ปี 60-70 เป็นหลักพัน หลักหมื่นเปอร์เซ็นต์ในปัจจุบัน ไม่มีใครคาดเดาตอนจบของเรื่องได้อย่างถูกต้องทั้งหมด สิ่งที่ทำได้มีเพียงลงทุนด้วยความระมัดระวัง มองอดีตเป็นบทเรียน บริหารความเสี่ยงและเตรียมพร้อมกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะไม่แน่ว่าในอนาคต ทุกคนก็อาจเป็นบทเรียนที่เจ็บปวด ให้รุ่นลูก รุ่นหลานได้เรียนรู้
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1251
Finance
เฟดเข้ม 2022 คืออะไร
null
ประเด็นนี้กดดันให้สินทรัพย์เสี่ยงแทบทุกอย่างปรับฐานอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นบอนด์ หุ้น และคริปโทฯ หลายกองทุนคืนกำไรในปีที่ผ่านมาออกมาหมด จนนักลงทุนต่างตั้งคำถามว่า “ทำไมตลาดถึงอ่อนไหวกับนโยบายการเงินขนาดนี้ อะไรกำลังจะเกิดขึ้น และเราควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง” สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจ คือเฟดมีหน้าที่ควบคุมระดับราคาและเฟดก็เข้มงวดขึ้น ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ตลาดไม่ได้สนใจบทบาทการกำหนด Price Stability ของเฟดเท่าไหร่ เพราะสถานการณ์ “จำเป็น” ที่จะต้องเข้มงวดเกิดขึ้นไม่บ่อย ครั้งล่าสุดยังต้องย้อนกลับถึงทศวรรษ 1990 หรือก่อนวิกฤติ Dot Com ที่ Alan Greenspan ประธานเฟดสมัยนั้น มองว่าเงินเฟ้อและระดับราคาสินทรัพย์ในตลาดสูงอย่างไม่มีเหตุผล (Irrational Exuberance) จึงทยอยขึ้นดอกเบี้ยเพื่อปรับสมดุล แม้ครั้งนี้ต่างกันที่ตลาดการเงินไม่ใช่เป้าหมาย แต่การที่เฟดเปลี่ยนมุมมองอย่างรวดเร็ว จากกลางปีที่ชี้ว่า การขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดขึ้นในปี 2023 มาเป็นขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 2022 ก็ยากที่ดัชนี S&P500 บนระดับ Long-term P/E 37 เท่า สูงใกล้ช่วงวิกฤติ Dot Com จะไหวตัวทัน นอกจากนั้น แม้ชาวโลกการเงินจะรู้ว่าระดับราคาปัจจุบันผิดปรกติ ก็ไม่มีใครรู้ว่าระดับที่ถูกต้องควรอยู่ที่ไหน เป็นความจริงที่ทั้งเฟดและตลาดรู้ว่านโยบายการเงินผ่อนคลายเกินไป แต่ไม่มีใครรู้จริงว่าจุดไหนเหมาะสม เช่นในปัจจุบัน วัดระดับดอกเบี้ยแท้จริงระยะยาวจากยีลด์สหรัฐอายุ 10 ปีลบด้วยเงินเฟ้อระยะยาว (Breakeven Inflation 10 ปี) จะติดลบอยู่ 0.8-1.0% ถ้าต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายจนดอกเบี้ยแท้จริงเป็นบวก ก็อาจต้องเห็นยีลด์ 10 ปีที่ 2.5% ซึ่งช่วงหลายปีที่ผ่านมา S&P500 ซื้อขายในระดับ LT P/E เพียง 21 เท่า ยิ่งถ้าตั้งเป้าคุมเงินเฟ้อยิ่งน่ากลัว เพราะในทศวรรษ 1990 เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยจาก 1.00% ไปถึง 5.25% กว่าที่เงินเฟ้อจะปรับตัวลง และ S&P 500 เคยซื้อขายที่ LT P/E แค่ 15 เท่า เหนือสิ่งอื่นใด ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ดอกเบี้ยแต่เป็น “เงิน” ที่อัดฉีดกระตุ้นตลาดก็จะต้องหายไปพร้อมกัน ขนาดงบดุลของเฟดที่ขยายขึ้นในช่วงวิกฤติโควิดมีขนาดถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์ เงินเหล่านี้อาจต้องหยุดเพิ่มขึ้น “ก่อน” ขึ้นดอกเบี้ย หรืออาจต้อง “ลดขนาด” งบดุลลงในอนาคต ส่งผลกับมุมมองตลาดหลายเรื่อง 1.การลงทุนกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เปรียบเสมือนลอตเตอรี่ มีไว้ลุ้นกำไรมหาศาลด้วยสภาพคล่องส่วนเกินจะต้องหยุด 2.ต่อให้ลงทุนมีกำไร แต่เมื่อสภาพคล่องไม่เพิ่ม เหตุผลว่าการลงทุนควรมี P/E กี่เท่า ต้องมองว่าธุรกิจเหล่านี้จะอยู่กับตลาดไปได้ถึงจุดคืนทุนหรือไม่ด้วย 3.ถ้าเทคโนโลยีที่เป็นองค์ประกอบใหญ่ของตลาดปรับฐาน ก็ยากที่ตลาดโดยรวมจะสามารถยืนแดนบวกได้ แม้ท่าทีของเฟดจะไม่ได้เป็น “คำมั่นสัญญา” ว่าการขึ้นดอกเบี้ยหรือลดงบดุลจะต้องเกิดขึ้นแน่ แต่ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เป็นไปได้เพิ่มขึ้น เช่น - หยุด EQ เร็วขึ้นตั้งแต่ไตรมาสแรก มีโอกาสกว่า 80% ที่เฟดจะประกาศลด QE เร็วขึ้นใน FOMC วันที่ 27 ม.ค.นี้ การลงทุนที่ต้องระวังคือสินทรัพย์เสี่ยงที่แพงโดยไม่มีพื้นฐาน - ขึ้นดอกเบี้ยทันทีในการประชุม FOMC 16 มี.ค. ตลาดมองโอกาสเกิด 70% ด้วยทิศทางเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ผมเห็นด้วยว่าเฟดอาจต้องทำอะไรซักอย่าง ทุกสินทรัพย์ในตลาดมีโอกาสปรับฐาน ที่ต้องจับตาต่อ คือยีลด์ระยะยาวจะขึ้นเพราะมองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อ หรือจะลงเพราะตลาดหาที่หลบภัย - ขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 2 ครั้ง ภายในปี 2022 ผมมองโอกาสต่ำกว่า 50% เป็นกรณีที่เสี่ยงที่สุดของตลาดก็จริง แต่ครึ่งหลังปีนี้น่าจะเป็นช่วงที่เงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ยิ่งถ้าตลาดปรับฐานแรงโอกาสเข้มงวดต่อเนื่องยิ่งน้อย - ลดขนาดงบดุลในไตรมาส 4 ปัจจุบันเป็นเพียงการคาดเดา จึงมีโอกาสเพียง 25% ตลาดยังไม่รับข่าว แต่ถ้ามองจากปริมาณ QE ที่ทำไปในช่วงโควิดและอายุคงเหลือของตราสารที่เฟดซื้อ ถ้าไม่มีการซื้อใหม่ งบดุลของเฟดก็จะทยอยลดลงราวเดือนละ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ กดดันบอนด์ระยะสั้นและสกุลเงิน EM ด้วยความเป็นไปได้เหล่านี้ ถ้าใครไม่เคยกลัวเฟดก็ควรกลัวบ้าง เพราะระดับราคาของตลาดไม่ได้อยู่ในจุดที่มั่นคงเสียเลย แต่ถ้าใครกลัวมาก ก็ควรลดความกลัวลง เพราะไม่ใช่ทุกเหตุการณ์จะเกิดขึ้นและหลายเรื่องตลาดก็รับข่าวไปแล้ว
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1253
Finance
ช่วยสรุปบทความ พาส่องกองทุนที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์ Metaverse
กลุ่ม Metaverse Ecosystem M-META นโยบายการลงทุน: ลงทุนใน Roundhill Ball Metaverse ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน M-META จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กองทุนหลักมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุน (ก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย) ให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Ball Metaverse Index (ดัชนีอ้างอิง) ซึ่งเป็นดัชนีที่ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ทั่วโลกที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือการจัดหาผลิตภัณฑ์ บริการ เทคโนโลยี หรือความสามารถทาง เทคโนโลยีเพื่อเข้าถึง Metaverse รวมถึงบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการสร้างรายได้ที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse โดยจะคัดเลือกหุ้นที่อยูในธุรกิจที่จัดอยู่ใน Metaverse Market Map 7 ประเภท จากการวิจัย และการวิเคราะห์เชิงลึกของ Expert Council ที่มีความรู้ความชำนาญ ทั้งนี้ กองทุนหลักอาจถือครองหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนที่มีธุรกิจและการดำเนินกิจการที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency แต่จะไม่ลงทุนโดยตรงใน Cryptocurrency
กลุ่ม Metaverse Ecosystem M-META กองทุนหลักคือ Roundhill Ball Metaverse ETF โดยลงทุนเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ มีระดับความเสี่ยงระดับ 6 (M-META) มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี Ball Metaverse Index ซึ่งติดตามผลการดำเนินงานของบริษัททั่วโลกที่มีส่วนร่วมในกิจกรรม Metaverse โดยคัดเลือกหุ้นจาก Metaverse Market Map 7 ประเภท โดยไม่ลงทุนโดยตรงใน Cryptocurrenc
เครื่องมือทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1255
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของหุ้น Super Stock
null
หุ้น Super Stock เป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติที่ต่างจากหุ้นที่เราเห็นทั่ว ๆ ไป หุ้นประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นอุตสาหกรรมหรือหุ้นเมกาเทรนด์ ที่มีการเติบโตที่รวดเร็วและยาวนานจนโตขึ้นจากจุดเดิมหลายเท่า เงื่อนไขของหุ้น ได้แก่ ผู้ผลิตสินค้าหรือให้บริการที่มักจะถูกใช้โดยคนที่ร่ำรวยขึ้น, บริษัทหต้องเป็นผู้ชนะที่มีส่วนแบ่งทางตลาดสูงกว่าคู่แข่งและโตได้เรื่อย ๆ, มักมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน, ต้องไม่ถูกทำลายโดยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน และราคาของหุ้นต้องไม่แพงเกินไป โดยวัดจากอัตราส่วนมาตรฐาน บทเรียนจากย่อหน้านี้ หุ้น Super Stock มักจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากหุ้นทั่วไปก็คือ มันมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่กำลังเป็น “เมกาเทรนด์” คือมีการเติบโตที่รวดเร็วและมักจะยาวนานจนโตขึ้นจากจุดเดิมเป็นหลายเท่า ดังนั้น จึงเป็นผู้ผลิตหรือให้บริการสินค้าที่มักจะถูกใช้โดยคนที่อายุน้อยกว่าหรือคนที่กำลังร่ำรวยขึ้นที่จะมีเงินเพิ่มและใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้น นั่นคือเงื่อนไขประการแรก ข้อที่สองก็คือ บริษัทหรือหุ้นนั้นจะต้องเป็น “ผู้ชนะ” มีส่วนแบ่งทางตลาดสูงกว่าคู่แข่งและโตไปเรื่อย ๆ ตามอุตสาหกรรม ประการที่สามก็คือ ผู้ชนะนั้นมักจะมี “ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน” เช่นมียี่ห้อสินค้าที่ดีมาก มีต้นทุนที่ต่ำกว่าเนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่กว่า มีเครือข่ายหรือ Network ของผู้ใช้ที่มากกว่าคู่แข่งมาก ลูกค้ามีต้นทุนที่จะออกไปใช้บริการของคู่แข่งสูง หรือเป็นกิจการที่เป็น “ผู้ผูกขาด” โดยธรรมชาติหรือที่ไม่ได้ถูกควบคุมทางด้านราคาจากรัฐมากนัก เป็นต้น นอกจากนั้น Super Stock จะต้องไม่ถูก Disrupt หรือถูกทำลายโดยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นมากในปัจจุบัน และสุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุดก็คือ ราคาของหุ้นจะต้องไม่แพงเกินไปวัดจากอัตราส่วนมาตรฐานต่าง ๆ เช่นค่า PE เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้ง โดยเฉพาะที่เป็นช่วงเริ่มต้นของการเป็นหุ้น Super Stock ที่กิจการยังไม่ค่อยมีกำไรเพราะยังต้องขยายกิจการอย่างรวดเร็ว การวัดว่าหุ้นถูกหรือแพงจะต้องดูจาก Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมด ในกรณีแบบนี้ก็จะมีความยากเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในธุรกิจยุคใหม่ที่เป็นดิจิทัลหรือไฮเทคที่ยังไม่มีตัวอย่างจากตลาดอื่นให้เปรียบเทียบ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1256
Finance
ข้อมูลจาก Bloomberg คาดการณ์ว่า ปี 2565 Metaverse จะมีมูลค่าตลาดที่เท่าไหร่
null
ธุรกิจ Metaverse เป็นหนึ่งใน Megatrend ที่มีแนวโน้มเติบโตดีในระระยาว โดยข้อมูลจาก Bloomberg คาดการณ์ว่า ปี 2565 Metaverse จะมีมูลค่าตลาดที่ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และในปี 2568 จะมีมูลค่าตลาดที่ระดับ 476 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว และระยะยาวไปจนถึงปี 2573 มูลค่าของตลาดนี้จะอยู่ที่ราว 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งการเติบโตก้าวกระโดดนี้เอง ธนาคารทิสโก้จึงมองว่า นี่คือโอกาสน่าสนใจของการลงทุน ทั้งนี้กลุ่มกองทุนธุรกิจดาวเด่นในธีม Metaverse ที่ธนาคารทิสโก้เลือก มี 4 กลุ่มได้แก่ 1. Cyber Security กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจเกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตดี โดยมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2564 – 2568 ค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ทั่วโลก จะมีมูลค่ารวมกว่า 1.75 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเพิ่มขึ้น 15% ต่อปี 2. Cloud Computing กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจเบื้องหลังความสำเร็จของ Metaverse ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service 3. Esports กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจเกมออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันเกมออนไลน์ได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นการแข่งขันกีฬา ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากทั่วโลก 4. Metaverse ecosystem กองทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse หลากหลายรูปแบบ เช่น Hardware, Software, ทรัพย์สินดิจิทัลต่าง ๆ บนระบบ และ Platform Metaverse เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้กระจายการลงทุนดียิ่งขึ้น
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1260
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สรุปข่าวสำคัญ 17 เหตุการณ์เด่นปี 2021
null
ในปี 2021 มีข่าวสำคัญที่เกิดขึ้นมากมาย เราจึงขอมาสรุปว่าในปีที่ผ่านมามีข่าวอะไรบ้าง เริ่มต้นวันที่ 6 มกราคม 2654 กลุ่มผู้ชุมนุมที่สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บุกอาคารแคปปิตอล ที่ตั้งของสภาคองเกรสในสหรัฐอเมริกา เพื่อหยุดการรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2563 วันที่ 20 มกราคม 2654 มีพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของโจ ไบเดน วันที่ 25 มกราคม 2564 ผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วโลกเกิน 100 ล้านคน วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 กองทัพเมียนมา เข้ายึดอำนาจการปกครองจากออง ซาน ซูจี วันที่ 19 มีนาคม 2564 เกาหลีเหนือตัดความสัมพันธ์ทางการฑูตกับมาเลเซีย เพราะพลเมืองถูกส่งตัวไปสหรัฐฯ เพื่อเผชิญข้อหาการฟอกเงิน วันที่ 23 มีนาคม 2564 เรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ Ever Given เกยตื้นและกีดขวางคลองสุเอซ วันที่ 29 พฤษภาคม 2564 ทีมฟุตบอลเชลซีคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2021 วันที่ 3 กรกฎาคม 2564 เกิดไฟป่าในเขตแคนาดาตะวันตก เนื่องจากฟ้าผ่า วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า 4 ล้านคน วันที่ 15 กรกฎาคม 2564 หลายประเทศในยุโรปเผชิญกับอุทกภัยที่รุนแรง วันที่ 4 สิงหาคม 2564 ผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วโลกเกิน 200 ล้านคน วันที่ 15 สิงหาคม 2564 ตาลีบันบุกยึดกรุงคาบูล อัฟกานิสถาน วันที่ 7 กันยายน 2564 เอลซัลวาดอร์เป็นประเทศแรกของโลกที่ยอมรับสกุลเงินคริปโทฯ Bitcoin อย่างเป็นทางการ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 เฟดประกาศปรับลดวงเงิน QE เป็นเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 เงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา พุ่งสูงสุดในรอบ 30 ปี วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 กำเนิดโควิดสายพันธุ์ใหม่นามว่า โอมิครอน และวันที่ 16 ธันวาคม 2564 เฟดประกาศลดการทำ QE เร็วขึ้น 2 เท่า จาก 15,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 30,000 ล้านดอลลาร์
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1266
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับกองทุน I-10
null
กองทุน I-10 อยู่ในกลุ่มหุ้นทั่วโลก มีนโยบายการลงทุนด้วยการกระจายเงินลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือเงินฝาก โดยกองทุน I-10 จะเน้นการลงทุนในหลักทรัพย์เกี่ยวกับพลังงานแบบดั้งเดิม และพลังงานทางเลือก อัตราหุ้นจะสวนทางกับการลงทุนในต่างประเทศโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีมากกว่า 80% ของมูลค่าทรัพยสินสุทธิ มีกลยุทธ์การลงทุนคือ มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 8 และมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมพลังงาน และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน บทเรียนจากย่อหน้านี้ กองทุน I-10 อยู่ในกลุ่มหุ้นทั่วโลก นโยบายกองทุน: กระจายเงินลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ และหรือเงินฝาก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตลอดจนหลักทรัพย์และทรัพย์สินอื่น โดยเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานแบบดั้งเดิม และพลังงานทางเลือก (Traditional Energy and Alternative Energy) ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งลงทุนในกองทุน ETF เช่น กองทุน PowerShares DB Oil Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในสัญญาฟิวเจอร์สของนํ้ามันดิบ (WTI) เป็นต้น โดยมีอัตราสวนการลงทุนในต่างประเทศโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพยสินสุทธิ โดยกองทุน I-10 จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 8 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมพลังงาน และประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) - มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 10,000 บาท - มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1272
Finance
เขียนโฆษณาแคมเปญเกี่ยวกับ : "สมาร์ทอินเวสต์: พลิกโฉมการลงทุนด้วย SSF RMF สุดจี๊ด" ให้หน่อย
null
"เตรียมพร้อมเพื่อการลงทุนที่แสนสะดวก กับโครงการพิเศษ 'ซื้อได้แล้ววันนี้!' จากบลจ. บัวหลวง'' "เปิดโอกาสการลงทุนที่สุดพิเศษ! รีบเข้าร่วมก่อนเสียใจ! วันนี้เราพร้อมที่จะให้คุณสัมผัสประสบการณ์การลงทุนที่ไม่เหมือนใคร! ด้วยโพยกองทุน SSF และ RMF สุดเจ๋งจาก บริษัทชั้นนำ บลจ. บัวหลวง" "ท้าให้ลงทุนทุกที่ทุกเวลา! สร้างฐานนิติบุคคลทางการเงินของคุณได้อย่างมั่นใจด้วยโพยกองทุน SSF และ RMF ที่มาพร้อมความเป็นเลิศและเสถียรภาพจากบลจ. บัวหลวง" "ไม่ต้องรอนาน! วันนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นการลงทุนของคุณ! รวมกองทุน SSF และ RMF ที่มีความเท่าเทียมกับความฝันของคุณไว้ในที่เดียว กับ บลจ. บัวหลวง" "เข้าสู่โลกของการลงทุนที่ทันสมัยและปลอดภัย! รับประสบการณ์การลงทุนที่ไม่เหมือนใครด้วยโพยกองทุน SSF และ RMF ที่มาพร้อมความมั่นคงจากบลจ. บัวหลวง" กองทุน SSF สุดจี๊ดจากบลจ.บัวหลวง 1. B-CHINESSF นโยบายกองทุน: ลงทุนใน กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน B-CHINESSF จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 2. B-FUTURESSF นโยบายกองทุน: ลงทุนใน กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ (B-FUTURE) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน B-FUTURESSF จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 กองทุน RMF สุดจี๊ดจากบลจ.บัวหลวง 1. B-CHINAARMF นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Allianz China A-Shares – Class PT (USD) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน B-CHINAARMF จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 2. B-VIETNAMRMF นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศเวียดนาม และ/หรือ บริษัทที่ดำเนินธุรกิจหรือได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม และ/หรือหุ้นของผู้ประกอบการเวียดนามที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่น รวมทั้งหน่วย CIS และ/หรือกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนในตราสารทุนประเทศเวียดนาม โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน B-VIETNAMRMF จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 3. B-INNOTECHRMF นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Fidelity Funds – Global Technology Fund – Class Y (USD) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน B-INNOTECHRMF จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 **โฆษณาแคมเปญ "ซื้อได้แล้ววันนี้! รวมโพยกองทุน SSF RMF สุดจี๊ด จากบลจ. บัวหลวง" เน้นการเรียกให้คนที่สนใจการลงทุนเข้าร่วมโอกาสที่สุดพิเศษในการลงทุนกองทุน SSF และ RMF จาก บลจ. บัวหลวง ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยคุณภาพและเสถียรภาพของกองทุน โดยเน้นคำว่า "สุดจี๊ด" เพื่อเน้นความเป็นเลิศของกองทุน และเรียกผู้สนใจให้รีบเข้าร่วมก่อนจะพลาดโอกาสดีๆ ในการลงทุนในวันนี้ทันที!
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1274
Finance
บทสนทนาระหว่าง ชัญญาและมอลลี่ ในเรื่อง '' เสวนาการร่วมมือเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคง "
null
เรื่องนี้เป็นบทสนทนาที่มีลักษณะเป็นการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่อง "นัย" จากสัปดาห์การประชุมธนาคารกลางโลกระหว่างชัญญาและมอลลี่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเนื่องจากมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก ดังนั้น ขอนำเสนอบทสนทนาดังต่อไปนี้ ชัญญา : สวัสดีค่ะ มอลลี่ วันนี้เรามาพูดถึงเรื่อง "นัย" ที่สัปดาห์การประชุมธนาคารกลางโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก เธอคิดยังไงกับเรื่องนี้บ้าง? มอลลี่ : สวัสดีชัญญา ในที่สุดเรื่อง "นัย" ก็กลายเป็นเรื่องราวที่คนทั่วไปก็ต้องสนใจกันอยู่แล้วนะคะ มันมีผลกระทบที่สำคัญต่อการเงินและเศรษฐกิจของหลายประเทศอย่างแน่นอน เรา ควรมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างประเทศเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้น เช่นการส่งเสริมการควบคุมสกุลเงิน เพื่อลดความผันผวนทางการเงิน และการเพิ่มความมั่นคงให้กับตลาดการเงิน ชัญญา : ใช่เลย!! น่าสนใจมากค่ะ การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะสร้างความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับเรื่อง "นัย" และมีมาตรการในการแก้ไขปัญหาทางการเงินต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เราควรมีแนว ทางการแก้ไขอย่างไร? การมีความร่วมมือระหว่างประเทศจะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจโลกได้อย่างแท้จริง เราควรทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ มอลลี่ : เราควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทางการเงินและลดความเสี่ยงในอนาคต การมีการพัฒนาทั้งด้านการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศและการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความเสถียรให้กับระบบการเงินและเศรษฐกิจในอนาคต รักษาความโปร่งใสในการดำเนินการทางการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดการเงินและผู้ลงทุน ชัญญา : ดีมากเลย การพัฒนาเทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เราเตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีการทำงานร่วมกันและการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เราเตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามที่บอกคะ ความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในตลาดการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจโลกได้อย่างแท้จริง มอลลี่ : ใช่ ดังนั้น เราควรรักษาความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในตลาดการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจโลก ชัญญา : ขอบคุณมากกับคำแนะนำดีๆ การรักษาความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในตลาดการเงินจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจโลกได้อย่างแท้จริง มอลลี่ : ไม่เป็นไรค่ะ การรักษาความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในตลาดการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เรามีเศรษฐกิจที่มั่นคงและเจริญรุ่งเรืองได้อย่างยั่งยืน ชัญญา : ถูกต้อง ขอบคุณมากครับ มันเป็นการพูดคุยที่น่าสนใจและสอดคล้องกับเรื่อง "นัย" อย่างแท้จริง มอลลี่ : ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่มาพูดคุยกันค่ะ มันเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจและมีประโยชน์มากๆ ค่ะ **บทสนทนาด้านบนเป็นตัวอย่างของการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่อง "นัย" ระหว่างชัญญาและมอลลี่ ในสัปดาห์การประชุมธนาคารกลางโลก ซึ่งเน้นให้ความสำคัญกับความเสถียรภาพทางการเงินและการทำงานร่วมกันของประเทศในการแก้ไขปัญหาทางการเงินในอนาคต
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1275
Finance
แนะนำหน่อยว่า หุ้น Mercado Libre คือหุ้นอะไร
null
Mercado Libre ได้รับการยอมรับว่าเป็นเหมือน Alibaba ของทวีปอเมริกาใต้ มีธุรกิจครอบคลุมทั้ง E-Commerce และ FinTech พร้อมสเกลโตต่ออีกหลายเท่า Mercado Libre (NASDAQ: MELI) เป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในลาตินอเมริกา โดยบริษัทเป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาเนื่องจาก ผู้คนต้องหันมาซื้อของออนไลน์มากขึ้นทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งปัจจุบัน Mercado libre มีผู้ใช้งานกว่า 79 ล้านรายในแพลตฟอร์ม Mercado Libre ประกอบธุรกิจหลัก ๆ ด้วยกัน 6 อย่าง Mercado Libre → แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (คล้าย Amazon) Mercado Pago → ผู้ให้บริการเครื่องชำระเงินแบบดิจิตอลสำหรับร้านค้าผ่านเครื่องรูดบัตร POS รวมถึงแพลตฟอร์ม Digital Wallet (คล้าย Square) Mercado Envios → ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ Mercado Shops → ผู้ให้บริการสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการหน้าร้านค้าออนไลน์เป็นของตัวเอง (คล้าย Shopify) Mercado Libra Publicitat → แพลตฟอร์มเกี่ยวกับสื่อโฆษณาออนไลน์ Mercado Credito → ผู้ให้บริการปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการและลูกค้า รายได้ Mercado Libre เติบโตแบบก้าวกระโดด ปี 2018 มีรายได้ 1,440 ล้านดอลลาร์ ปี 2019 มีรายได้ 2,296 ล้านดอลลาร์ ปี 2020 มีรายได้ 3,973 ล้านดอลลาร์ โอกาสการเติบโต E-Commerce Penetration ใน Latin America ยังต่ำ เราเชื่อว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศแทบ Latin America ยังมีโอกาสเติบโตอีกมากถึงแม้ว่าจะมีดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้นมากไปแล้วในช่วงสถานการณ์โควิด โดยถ้าเราดูจาก E-commerce Penetration ของประเทศในแทบนี้อย่าง Brazil Mexico หรือ Chile จะเห็นได้ว่ายังอยู่ในระดับที่ต่ำมากที่ประมาณ 8-12% เทียบกับประเทศอย่างอเมริกาที่กว่า 20% และอย่างจีนที่เกือบ 30%
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1278
Finance
เขียนแคมเปญเกี่ยวกับเรื่อง "เรียนรู้และใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างเต็มประสิทธิภาพ"
null
แนวคิดของแคมเปญ "5 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิทธิลดหย่อนภาษี" จะเน้นการแก้ความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับสิทธิพิเศษในการลดหย่อนภาษีของประชากร โดยมุ่งเน้นที่การเพิ่มความเข้าใจให้กับประชากรทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษดังกล่าวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น แนวคิดหลักของแคมเปญอาจประกอบด้วยข้อความดังนี้ 1. ไม่ใช่ทุกคนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ : การเข้าใจผิดว่าสิทธิลดหย่อนภาษีนั้นมีเงื่อนไขและข้อจำกัด ไม่ใช่ทุกคนสามารถใช้ได้โดยอัตโนมัติ เช่น การมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด หรือการมีรายได้จากงานอิสระ ที่อาจไม่มีสิทธิลดหย่อนเท่ากับการทำงานในสถานประกอบการตามปกติ 2. เงินบริจาคสามารถลดหย่อนได้ทุกกรณี : มีความเข้าใจผิดว่าการบริจาคเงินเสมอจะสามารถลดหย่อนภาษีได้ทุกกรณี แต่ความจริงแล้วมีเงื่อนไขและข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติ เช่น การบริจาคให้กับหน่วยงานที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3. การลดหย่อนภาษีคือการหลีกเลี่ยงภาระภาษีอย่างไม่ถูกต้อง : ความเข้าใจผิดว่าการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอย่างไม่ถูกต้อง แต่จริงๆ แล้วการลดหย่อนภาษีเป็นสิทธิที่รัฐบาลให้แก่ประชาชนเพื่อส่งเสริมกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสังคม เช่น การลงทุนในกิจการที่สร้างงาน 4. สิทธิลดหย่อนภาษีมีแค่หนึ่งวิธี : มีความเข้าใจผิดว่าสิทธิลดหย่อนภาษีมีแค่หนึ่งวิธีเท่านั้น เช่นการลดหย่อนด้านรายได้เท่านั้น แต่ความจริงแล้วยังมีวิธีอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การลดหย่อนด้านค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น การลดหย่อนค่าฝุ่นละออง หรือการลดหย่อนด้านการลงทุนในกลุ่มเสี่ยง 5. การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีมีความซับซ้อน: บางครั้งมีความเข้าใจผิดว่าการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยุ่งยาก แต่จริงๆ แล้วหลายๆ สิทธิลดหย่อนมีขั้นตอนและเงื่อนไขที่ไม่ซับซ้อนมากนัก และสามารถเข้าถึงข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือการปรึกษาทางการเงิน ด้วยการทำแคมเปญเช่นนี้ จะช่วยเพิ่มความเข้าใจและการรับรู้เกี่ยวกับสิทธิลดหย่อนภาษีในประชากร และส่งเสริมให้ประชาชนนำสิทธิพิเศษดังกล่าวไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและถูกต้องตามกฎหมายที่กำหนดไว้ ทำให้มีการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อทั้งส่วนตัวและสังคมอย่างยั่งยืน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1285
Finance
นับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงแรกที่ COVID–19 ระบาด หุ้นกลุ่ม Cloud Computing สร้างผลตอบแทนได้เท่าไหร่ ระหว่าง 84.25% หรือ 77.08%
null
77.08% เพราะนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงแรกที่ COVID–19 ระบาด หุ้นกลุ่ม Cloud Computing สร้างผลตอบแทนได้ถึง 77.08% ส่วน 84.25% เป็นผลตอบแทนที่สร้างได้จากหุ้นกลุ่ม Video Games และ Esports กระแสความร้อนแรงของ Metaverse ที่มีชื่อเรียกในภาษาไทยว่า “จักรวาลนฤมิต” นั้น เป็นเทรนด์การลงทุนที่ธนาคารทิสโก้แนะนำให้โฟกัสเป็นพิเศษ นั่นก็เป็นเพราะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธีมการลงทุนนี้ นอกจากจะมีความน่าสนใจและจะมีบทบาทอย่างมากในโลกอนาคตแล้ว สำหรับในระยะใกล้นี้เอง ก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน หากหลังจากนี้ประเทศต่าง ๆ ต้องตัดสินใจ Lockdown อีกครั้ง จากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID–19 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse ก็จะยังสามารถเติบโตสวนทางกับธุรกิจกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ (Cyclical) เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน (Energy) กลุ่มธุรกิจการเงิน (Financials) กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม (Industrials) และกลุ่มสายการบิน (Airlines) ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากไวรัสได้ โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse ซึ่งธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลงทุน ได้แก่ “Esports” ธุรกิจด้านเกมและกีฬาอิเล็กทรอนิกส์ และ “Cloud Computing” ธุรกิจเบื้องหลังความสำเร็จของเทคโนโลยีแห่งอนาคต เนื่องจากที่ผ่านมาทั้ง 2 ธุรกิจนี้ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดี แม้จะต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัส เห็นได้จากข้อมูลในอดีตนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงแรกที่ COVID–19 ระบาด หุ้น “Esports” และ “Cloud Computing” ก็สามารถสร้างผลตอบแทนก้าวกระโดด โดยหุ้นกลุ่ม Video Games และ Esports สร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 84.25% และหุ้นกลุ่ม Cloud Computing สร้างผลตอบแทนได้ถึง 77.08%
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1288
Finance
การทดสอบ Moving Average ในการลงทุนใน ETF โดยใช้ Moving Average แบบ Exponential ที่ 150 วันเป็นตัวทดสอบ มีการทดสอบอย่างไร
กลยุทธ์เส้นค่าเฉลี่ยในการลงทุน ETF ​ มีนักลงทุนหลายท่านอยากจะจับจังหวะการลงทุนในกองทุนหรือ ETF เทคนิคหนึ่งที่มีการใช้อย่างมาก คือ การใช้เส้น Moving Average Paul Tudor Jones หนึ่งใน Market Wizard ผู้จัดการกองทุน Hedge Fund ผู้โด่งดังได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า “จงร่วมเป็นส่วนหนึ่งไปกับแนวโน้มใหญ่เสมอ และตัวชี้วัดในทุกสิ่งของผมคือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน!” (จาก Siam quant) ดังนั้นบทความนี้จะเป็นเรื่องการทดสอบ Moving Average ในการลงทุนใน ETF โดยจะใช้ Moving Average แบบ Exponential ที่ 150 วันเป็นตัวทดสอบ โดยจะขายถ้าราคาหลุด EMA-150 วันและซื้อถ้าราคามากกว่า EMA 150 วัน ซึ่งจะทำการ Rotation ทุกเดือน ( ไม่ได้ใช้การ Crossover) 1. ETF ตัวเดียว การทดสอบจะใช้ SPY ETF ซึ่งเป็นเปรียบได้กับการลงทุนใน S&P500 Index ได้ผลการทดสอบดังรูป ผลการทดสอบมีดังนี้ จากการทดสอบจะเห็นว่า แม้ว่า ผลตอบแทนรวมของการใช้ Moving Average จะน้อยว่าผลตอบแทนรวมของการไม่ได้ใช้ แต่ผลดีคือ ความผันผวนจะลดลงต่ำลงมาก ส่งผลให้ Share Ratio (ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง) ของการใช้ Moving Average สูงกว่า ไม่ได้ใข้ Moving Average ลองมาดูปี 2020 ปีที่เจอ COVID-19 และ ปี 2008 ที่เป็นการเจอวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ จะรูปทั้งสองข้างบนจะเห็นว่า การใช้ Moving Average ที่ 150 วันจะช่วยปัองกันการเกิด Max Drawdown ยามเกิดวิกฤติของตลาดหุ้น 2. พอร์ตการลงทุนแบบหุ้นแบบ Global ETF หัวข้อนี้เป็นการลงทุนใน ETF ที่จะกระจายทั่วโลกแต่สัดส่วนยังคงเป็นหุ้นอเมริกาโดยมีสัดส่วนดังนี้ ไม่มี Moving Average ( buy and hold)ผลการทดสอบเป็นดังนี้ มี Moving Average จากทดสอบเราได้ตารางสรุปดังนี้ ผลการทดสอบก็ได้เหมือนข้อที่ 1 คือ การใช้ค่า Moving Average 150 วันที่ช่วยเรื่องความผันผวนและก็จะต้องเจอ Max Drawdown อย่างมีนัยยะสำคัญ ส่งผลต่อ Sharpe Ratio ด้วยเช่นกัน ลองมาดูปี 2020 ปีที่เจอ COVID-19 และ ปี 2008 ที่เป็นการเจอวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ จากการทดสอบในปีที่เกิดวิกฤติของตลาดหุ้น จะพบว่า การใช้ Moving Average จะใช้ป้องกัน Max Draw ได้ดี และ ทำให้ความผันผวนต่ำกว่ากลยุทธ์ที่ไม่มี 3. บทสรุปของกลยุทธ์เส้นค่าเฉลี่ย ข้อดีที่ชัดเจนในการเพิ่มกลยุทธ์เส้นค่าเฉลี่ยน คือ ลด Max Drawdown และความผันผวนของพอร์ตการลงทุน ไม่ใช่เป็นเรื่องเพิ่มผลตอบแทนแต่อย่างใด ดังนั้นถ้าท่านเป็นนักลงทุนที่ระยะยาวที่ไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อความผันผวนและ Max Drawdown จำนวนมาก กรณีถ้าเกิดวิกฤติขึ้นท่านก็ไม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์นี้ก็ได้เป็นโอกาสดีเสียอีกที่จะลงทุนเพิ่มตอนตลาดหุ้นตกหนัก WealthGuru **สนใจลงทุนในพอร์ต Global Aggressive Hybrid พอร์ตกองทุนที่จัดโดย WealthGuru ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณ สามารถดูรายละเอียดและลงชื่อรับบริการได้ที่นี่
การทดสอบ Moving Average ในการลงทุนใน ETF โดยใช้ Moving Average แบบ Exponential ที่ 150 วันเป็นตัวทดสอบ 1. ETF ตัวเดียว การทดสอบจะใช้ SPY ETF ซึ่งเป็นเปรียบได้กับการลงทุนใน S&P500 Index จากการทดสอบจะเห็นว่า แม้ว่า ผลตอบแทนรวมของการใช้ Moving Average จะน้อยว่าผลตอบแทนรวมของการไม่ได้ใช้ แต่ผลดี คือ ความผันผวนจะลดลงต่ำลงมาก ส่งผลให้ Share Ratio (ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง) ของการใช้ Moving Average สูงกว่า ไม่ได้ใช้ Moving Average ในปี 2020 ปีที่เจอ COVID-19 และ ปี 2008 ที่เจอวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ จะเห็นว่าการใช้ Moving Average ที่ 150 วัน จะช่วยปัองกันการเกิด Max Drawdown ยามเกิดวิกฤติของตลาดหุ้น 2. พอร์ตการลงทุนแบบหุ้นแบบ Global ETF เป็นการลงทุนใน ETF ที่จะกระจายทั่วโลก แต่สัดส่วนยังคงเป็นหุ้นอเมริกา ทดสอบทั้งไม่มี Moving Average (buy and hold) และ มี Moving Average ผลการทดสอบก็ได้เหมือนข้อที่ 1 คือ การใช้ค่า Moving Average 150 วันที่ช่วยเรื่องความผันผวนและก็จะต้องเจอ Max Drawdown อย่างมีนัยยะสำคัญ ส่งผลต่อ Sharpe Ratio ด้วยเช่นกัน ในปี 2020 ปีที่เจอ COVID-19 และปี 2008 ที่เจอวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ จากการทดสอบในปีที่เกิดวิกฤติของตลาดหุ้น จะพบว่า การใช้ Moving Average จะใช้ป้องกัน Max Draw ได้ดี และทำให้ความผันผวนต่ำกว่ากลยุทธ์ที่ไม่มี 3. บทสรุปของกลยุทธ์เส้นค่าเฉลี่ย ข้อดีที่ชัดเจนในการเพิ่มกลยุทธ์เส้นค่าเฉลี่ย คือ ลด Max Drawdown และความผันผวนของพอร์ตการลงทุน ไม่ใช่เป็นเรื่องเพิ่มผลตอบแทนแต่อย่างใด ดังนั้น ถ้าเป็นนักลงทุนที่ระยะยาวที่ไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อความผันผวนและ Max Drawdown จำนวนมาก กรณีถ้าเกิดวิกฤติขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์นี้ก็ได้เป็นโอกาสดีเสียอีกที่จะลงทุนเพิ่มตอนตลาดหุ้นตกหนัก
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1290
Finance
ช่วยสรุปบทความ ใครต้องการคาสิโน?
คนจำนวนมากอาจจะบอกว่าการซื้อขายคริปโตหรือเหรียญต่าง ๆ นั้นไม่ใช่การพนันแต่เป็นการลงทุนในธุรกิจหรือในทรัพย์สินดิจิทัลที่กำลัง “เปลี่ยนโลก” ซึ่งเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ จะเรียกว่าเป็นการพนันที่ไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ ได้อย่างไร ข้อนี้ผมคงไม่เถียง ว่าที่จริงผมก็ไม่รู้ว่าคริปโตตัวไหนจะเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ผมเพียงแต่รู้ว่าคริปโตส่วนใหญ่นั้นในที่สุดก็คงจะ “เจ๊ง” ไป คืออาจจะแทบไม่มีค่า ราคาตกลงไปใกล้ศูนย์บาท คริปโตบางตัวซึ่งน่าจะมีจำนวนน้อยมากก็อาจจะยังมีค่ามหาศาลเพราะมีคนใช้ประโยชน์ได้จำนวนมากในอนาคต แต่สิ่งที่ผมไม่รู้อีกอย่างหนึ่งก็คือ มันจะมีค่ามากกว่าราคาในวันนี้หรือไม่ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเราลงทุน เราอาจจะไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างมีโอกาสถูกต้องสูงว่าคริปโตตัวไหนจะขึ้นหรือลงในระยะยาว สิ่งที่เราเห็นในปัจจุบันก็คือ ราคาของคริปโตส่วนใหญ่จะขึ้นลงรุนแรงและเร็วมากขนาดที่ว่าภายในเวลาเพียง 2-3 เดือน ราคาอาจจะขึ้นได้เป็น 100% หรือลงมา 50% ได้ ดังนั้น คนที่เข้าไปซื้อขายแบบ “เทรด” อาจจะขาดทุนและกำไรได้มหาศาลเช่นเดียวกับ “การพนัน” อย่างอื่นที่ไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ แก่โลกเลย
การลงทุนในคริปโตไม่ถือเป็นการพนัน แต่เป็นการลงทุนในทรัพย์สินดิจิทัลที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลก ผู้คนบอกว่าไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าคริปโตไหนจะมีค่ามากขึ้น แต่รู้ว่าไม่ใช่คริปโตทุกตัวมีค่า การซื้อขายมีความเสี่ยงทางการลงทุน และราคาคริปโตมีการเปลี่ยนแปลงมาก ซึ่งอาจทำให้ผู้เทรดได้กำไรหรือขาดทุน ดังนั้นการลงทุนต้องพิจารณาความเสี่ยงและอาจไม่สามารถทำนายได้อย่างแม่นยำในระยะยาว การเทรดอาจมีผลกำไรหรือขาดทุนมหาศาล เหมือนการพนันทั่วไปที่ไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ แก่โลกเลย
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1292
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง รีวิวกองทุน AFMOAT-H: กองทุนปราการเหล็ก ทนทานทุกสภาวะตลาด ให้หน่อยค่ะ
ในช่วงที่สภาวะตลาดกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่เราหันไปหาเงินฝากผลตอบแทนก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเสียเหลือเกิน ในขณะที่หากเราต้องการหาผลตอบแทนที่มากขึ้นผ่านการลงทุนในสินทรัพย์อย่างหุ้นก็กลัวการปรับฐาน เพราะ มูลค่าก็ดูแพงหลุดโลก กองทุน AFMOAT-H จึงเป็นกองทุนที่น่าจะตอบโจทย์ภาวะดังกล่าว เพราะ ลงทุนในธุรกิจที่มีปราการเหล็กแข็งแกร่งอย่าง Moat หรือคูเมืองทางธุรกิจที่ยากจะโค่นล้มไม่ว่าในอนาคตจะเกิดวิกฤตขั้นรุนแรงใด ๆ มาดูกันว่า AFMOAT-H มีดีอะไร ทำไมถึงน่าลงทุน โปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ เปิดบัญชีลงทุนครั้งแรกกับ FINNOMENA รับหน่วยลงทุน PCASH มูลค่า 100 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. – 31 พ.ค. 65 คลิก สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน AFMOAT-H สามารถซื้อขายผ่านแอป FINNOMENA ได้แล้ววันนี้ในรูปแบบสะสมมูลค่า AFMOAT-HA สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน AFMOAT-H สามารถซื้อขายผ่านแอป FINNOMENA ได้แล้ววันนี้ในรูปแบบสะสมมูลค่า AFMOAT-HA Moat คืออะไร? ทำไมหุ้นสุดแข็งแกร่งต้องมี Moat หากแปลตรง ๆ ก็คือ “คูเมือง” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยปกป้องเมืองในยุคโบราณ เพราะ ช่วยให้ข้าศึกบุกเข้าประชิดกำแพงเมืองได้ยากซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นในหนังสงครามย้อนยุคทั่วไปที่ผู้คนมักจะขุดหลุมรอบเมืองทำเป็นคูให้น้ำไหลผ่านหรือเป็นหลุมที่ทำไม้แหลม ๆ ดักรอไว้ให้ยากต่อการเข้าใกล้ตัวเมืองของข้าศึก ในเชิงธุรกิจบริษัทที่มี Moat เปรียบได้กับบริษัทที่มีข้อได้เปรียบที่ยากจะเลียนแบบ เช่น Coca Cola ที่มีสูตรการผลิตเฉพาะตัวซึ่งต่อให้จะมี Pepsi หรือบริษัทอื่น ๆ ที่จะหันมาทำโคล่าแข่งก็สามารถทำได้ยาก เพราะ มีสูตรลับจดเป็นสิทธิบัตรและถึงแม้คนจะรู้กระบวนการทำอย่างละเอียดก็ไม่สามรถนำมาก้อปปี้ดื้อ ๆ ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นธุรกิจเหล่านี้จึงมีความแข็งแกร่ง สร้างรายได้ได้ต่อเนื่องจากการที่คู่แข่งเข้ามาเจาะทำลายธุรกิจได้ยากนั่นเอง Moat ทางธุรกิจมีในรูปแบบไหนบ้าง ในที่นี้ขออนุญาตใช้ Moat ตามความหมายของ Morningstar นะครับ เนื่องจากผมมองว่าค่อนข้างตอบโจทย์สำหรับหุ้นสมัยใหม่ รูปแบบที่ 1: Switching Cost (ต้นทุนในการเปลี่ยนใจ) Switching costs (ต้นทุนในการเปลี่ยนใจ) คือ ต้นทุนที่ผู้บริโภคสินค้าหรือใช้บริการต้องเจอเมื่อตัดสินใจที่จะเปลี่ยนใจไปใช้สินค้าหรือบริการของเจ้าอื่น และด้วยสภาวะที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ลำบาก (อาจจะต้นทุนสูงถ้าเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นหรือปัญหาเยอะวุ่นวาย) จึงทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบในทางด้านราคา ตัวอย่างบริษัทที่มีความได้เปรียบด้าน Switching cost Salesforce ผู้ให้บริการระบบจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ผ่านระบบคลาวด์ซึ่งต้องใช้เวลาในการวางระบบ ดังนั้นหากผู้ใช้บริการต้องการเปลี่ยนจากการใช้ Salesforce ไปใช้เจ้าอื่นที่ให้บริการคล้าย ๆ กัน ผู้ใช้บริการก็อาจจะต้องเผชิญต้นทุนต่าง ๆ ทั้งที่เป็นตัวเลขและไม่ใช่ตัวเลขเช่น เสียเวลาวางระบบใหม่ เสียค่าบริการในวางระบบใหม่หรือเสียผลิตภาพ (Productivity) ที่ควรทำได้ในช่วงที่กำลังวางระบบ อีกหนึ่งตัวอย่างก็คือเคสสุดคลาสสิคอย่าง Gillette ที่ขายมีดโกนหนวดที่มีความเฉพาะตัวและมีการจดสิทธิบัตร ซึ่งหากลูกค้าท่านไหนได้ซื้อมีดโกนของ Gillette มาลองสัมผัสก็อาจจะติดใจด้วยคุณภาพหรือแบรนด์ก็ตามแต่ มันก็อาจจะเป็นการยากที่จะทำให้ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้มีดโกนเจ้าอื่นแล้วหันมาซื้อใบมีดของ Gillette เปลี่ยนแล้วใช้ซ้ำ ๆ แทน ดังนั้นธุรกิจที่มี Swithcing cost จึงมีอำนาจต่อรองทางด้านราคา เพราะ การเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นมีต้นทุนที่ผู้ใช้งานอาจจะต้องแบกรับและทำใจได้ลำบากหากต้องการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นทางด้านจิตใจหรือตัวเลขที่สะท้อนความเป็นจริง รูปแบบที่ 2: Intangible Assets (สินทรัพย์ไม่มีตัวตน) Intangible assets (สินทรัพย์ไม่มีตัวตน) คือ สินทรัพย์ต่าง ๆ ที่อาจจะจับต้องไม่ได้ เช่น สิทธิบัตร (Patent) แบรนด์ เครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ ใบอนุญาตพิเศษต่าง ๆ และอื่น ๆ ซึ่งอาจจะตีมูลค่าเป็นตัวเงินได้ยาก เพราะ สิ่งที่ว่าอาจอยู่ในจิตใจหรือสมองของลูกค้า ตัวอย่างบริษัทที่มีความได้เปรียบด้าน Intangible assets Apple บริษัทที่สร้างมูลค่าในเชิงแบรนด์ได้อย่างแข็งแกร่งและเป็นบริษัทที่มี Intangible assets มากที่สุดในโลกถึง 2.15 ล้านล้านเหรียญตามการรายงานเมื่อปี 2020 ซึ่งตัวอย่างก็สังเกตได้ง่าย ๆ ผ่านการตั้งราคาของ ทิม คุก ในระดับที่สูงมากแล้วคนยังยอมใจจนถึงขนาด อีลอน มัสก์ ยังต้องแซว 2.15 ล้านล้านเหรียญตามการรายงานเมื่อปี 2020 ซึ่งตัวอย่างก็สังเกตได้ง่าย ๆ ผ่านการตั้งราคาของ ทิม คุก ในระดับที่สูงมากแล้วคนยังยอมใจจนถึงขนาด อีลอน มัสก์ ยังต้องแซว Starbucks บริษัทผู้นำด้านกาแฟแบบค้าปลีกที่มีสาขาถึงกว่า 30,000 สาขาทั่วโลก มีจุดเด่นด้าน Intangible assets อย่างแบรนด์ที่แข็งแกร่งพิสูจน์ผ่านการขยายสาขาได้ในระดับนานาชาติรวมถึงมีศักยภาพในการตั้งราคาที่สูงเช่นเดียวกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่วัดไม่ได้ด้วยตัวเลขแต่เป็นภาพลักษณ์ที่อยู่ในหัวทุกคน มีสาขาถึงกว่า 30,000 สาขาทั่วโลก สินทรัพย์ไม่มีตัวตนเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความพิเศษและสร้างความได้เปรียบให้บริษัทอยู่เหนือคู่แข่ง ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของสิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่มีมูลค่าต่อจิตใจเช่นเดียวกัน *ที่มา: thestreet.com ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2020 *ที่มา: thestreet.com ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2020 **ที่มา: statista.com ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2021 **ที่มา: statista.com ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2021 รูปแบบที่ 3: Network Effect (ผลจากความเชื่อมโยง) Network effect คือ ปรากฎการณ์ที่เกิดจากการที่มูลค่าของสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหากจำนวนผู้ใช้งาน (Users) เติบโตขึ้นไปด้วย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดในหุ้นเทคโนโลยีต่าง ๆ ในปัจจุบันที่ทำสงครามโกย Users ให้เข้ามาใช้งานผ่านฟีเจอร์หรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ๆ ตัวอย่างบริษัทที่มีความได้เปรียบด้าน Network effect Facebook หนึ่งในบริษัทกรณีศึกษาที่ดีด้าน Network effect เพราะหากย้อนไปสัก 10 ปีที่แล้ว ใครหลาย ๆ คนอาจเห็นคนใช้ Facebook มากขึ้นแล้วมากับประโยคที่ว่า “นี่ยังไม่เล่นเฟสอีกเหรอ” ซึ่งสิ่ง ๆ นี้เป็นสิ่งที่อธิบายเรื่อง Network effect ได้ดี เพราะ ยิ่งประโยคนี้แพร่กระจายไปหาคนมากขึ้นเท่าไร Facebook ก็มีแต่จะเติบโตขึ้นเท่านั้น เพราะยิ่งมีคนใช้งานมากขึ้นคนอื่นก็อยากใช้ตามมากขึ้นเพราะคงไม่มีใครอยากหลุดออกจากวงโคจรของสังคม Alphabet หรือ Google บริษัทที่สร้างปรากฎการณ์ Search engine ให้กับโลกจนมีประโยคอย่างเช่น “อันนี้คืออะไรเหรอ? หาในกูเกิ้ลสิ” หรือ “ทำงานแล้วลืมเซฟเหรอใช้ Google Doc สิ” ซึ่งเป็นกรณีคล้าย ๆ กับ Facebook ที่คนไปชวนคนอื่นเรื่อย ๆ สรุปแล้ว Network effect เป็นสิ่งที่ช่วยให้ธุรกิจโตต่อแบบก้าวกระโดดโดยที่บริษัทอาจไม่ต้องพยายามโกยลูกค้าแบบเหนื่อยหนักเท่าคนอื่น เพราะถ้าของเราดีเดี๋ยวคนก็ไปบอกต่อ ๆ กันเอง รูปแบบที่ 4: Cost Advantage (ความได้เปรียบทางด้านราคา) Cost advantage คือ สิ่งที่แสดงถึงบริษัทต่าง ๆ ที่มีข้อได้เปรียบทางด้านราคาผ่านต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งจนทำให้มีอัตราการทำกำไรที่สูงกว่า และอาจนำไปสู่การตั้งราคาในระดับที่ได้เปรียบหรือถูกกว่าคู่แข่ง ตัวอย่างบริษัทที่มีความได้เปรียบด้าน Cost Advantage Walmart บริษัทค้าปลีกอันดับ 1 ในสหรัฐฯ ที่มีจุดเด่นอย่างการขายสินค้าที่มีราคาถูกมาก ๆ จนคู่แข่งรายอื่น ๆ แข่งขันได้ยาก ทำราคาได้อย่างยืดหยุ่นและทำให้คนยอมรถติดออกจากบ้านมาซื้อของได้อยู่เพราะราคาถูก ท่ามกลางการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ รูปแบบที่ 5: Efficient Scale Leads to Natural Monopoly (การประหยัดต่อขนาดซึ่งนำไปสู่การผูกขาดโดยธรรมชาติ) Efficient scale leads to natural monopoly คือ ธุรกิจที่อยู่ในวงการที่เข้ามาแข่งขันได้ยาก เพราะ ถ้าเข้ามาแข่งแล้วอาจจะสู้เรื่องต้นทุนไม่ได้จนทำให้คู่แข่งเข้ามาแข่งขันได้ยาก โดยคนที่เข้ามาแข่งด้วยอาจต้องยอมทำธุรกิจเท่าทุนหรือยอมขาดทุนจากขนาดตลาดที่ค่อนข้างเล็กและเอื้อให้กับผู้เล่นไม่กี่ราย ตัวอย่างบริษัทที่มีความได้เปรียบด้าน Efficient Scale Leads to Natural Monopoly American Airlines สายการบินขนาดใหญ่ในอเมริกาซึ่งหากหน้าใหม่ต้องการเข้ามาแข่งขันก็อาจต้องพบกับการวางระบบเส้นทางที่ถูกต้อง รวมถึงอาจจะต้องพบกับปริมาณเที่ยวบินที่มีอยู่จำกัดซึ่งหากคนคิดเข้ามาเปิดแข่งก็อาจจะไม่คุ้ม เพราะ หากแบ่งรายได้กับเจ้าเดิมที่มีอยู่แล้วอาจทำให้ขาดทุน รู้จักกองทุน AFMOAT-H กองทุนคัดหุ้นปราการแกร่ง ทำไมกองทุน AFMOAT-H ถึงน่าลงทุน ลงทุนในบริษัทสหรัฐฯ ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันหรือมี “Moat” วิเคราะห์หุ้นและเน้นคัดบริษัทที่มี Moat ที่แข็งแกร่งสร้างความได้เปรียบในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ถึงกว่า 20 ปี ให้ความสำคัญในการซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าตามการประมาณการของดัชนีจาก Morningstar มีผลตอบแทนทั้งในช่วงขาขึ้นและขาลงของตลาดโดดเด่น รีวิวเซ็กเตอร์หลักที่ลงทุนของกองทุน AFMOAT-H ภาพแสดงสัดส่วนเซ็กเตอร์หลักที่ลงทุนของกองทุน VanEck Morningstar Wide Moat ETF ที่มา: VanEck Fund Factsheet วันที่: 31 ตุลาคม 2021 สัดส่วนเซ็กเตอร์เน้นหนักไปที่หุ้นเทคโนโลยีซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงจากเรื่องเพ้อฝันที่ใครหลาย ๆ คนพูดถึงในอดีตและกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว อีกทั้งยังเป็นกลุ่มหุ้นที่เติบโตได้ดีรวดเร็วด้วยโมเดลธุรกิจที่คล่องตัว ตามมาด้วยกลุ่มเฮธ์แคร์ที่มีความกึ่ง ๆ เทคโนโลยีและเป็นเซ็กเตอร์การลงทุนในเชิงรับอีกรูปแบบหนึ่งจากการที่ของทางการแพทย์ที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะแย่แค่ไหนก็ยังต้องใช้ ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวได้ดีในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวได้เช่นตอนนี้ และตบท้าย 2 กลุ่มสุดท้ายจาก 5 กลุ่มหลักด้วย กลุ่มสินค้าจำเป็น (Consumer staples) ที่ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจตามด้วยกลุ่มการเงิน (Financials) ที่เป็นของจำเป็นสำหรับโลกทุนนิยมและอาจได้ประโยชน์หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต รีวิวหุ้นหลักของกองทุน AFMOAT-H ภาพแสดงสัดส่วนหุ้นหลักกองทุน VanEck Morningstar Wide Moat ETF ที่มา: VanEck Fund Factsheet วันที่: 31 ตุลาคม 2021 Wells Fargo (สัดส่วน 2.94%) หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดติด 5 อันดับแรกในสหรัฐฯ มีตู้ ATM กว่า 12,000 ตู้ รวมถึงมีสาขาอีกราว 4,900 สาขา ให้บริการครบถ้วนทั้งการลงทุน ฝากเงินและกู้เงินทั่วไป หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดติด 5 อันดับแรกในสหรัฐฯ *thebankrate.com ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2021 *thebankrate.com ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2021 Cheniere Energy (สัดส่วน 2.92%) บริษัท ผู้บุกเบิกการส่งออกก๊าสธรรมชาติเป็นรายแรกในสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตก๊าสธรรมชาติแบบเหลว (LNG) ซึ่งมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น นำไปเป็นแก๊สทำอาหาร รวมถึงผลิตไฟฟ้า มีลูกค้าจากทั้งบริษัทพลังงาน สาธารณูปโภค รวมถึงบริษัทซื้อขายพลังงานทั่วโลก Salesforce.com (สัดส่วน 2.92%) บริษัท ให้บริการซอฟต์แวร์จัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ช่วยให้บริษัททำงานได้อย่างลื่นไหลรวมข้อมูลไว้ที่เดียวสามารถตรวจสอบได้ไม่มีผิดเพี้ยนและยังสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ผู้บริโภคได้อีกด้วย ให้บริการผ่านระบบคลาวด์ในรูปแบบการ Subscribe ช่วยให้บริษัทจัดการได้อย่างคล่องตัว ลดต้นทุนและสร้างรายได้ได้สม่ำเสมอ Microsoft (สัดส่วน 2.91%) หนึ่งในบริษัทบิ๊กเทคแห่งยุคมีซอฟต์แวร์ที่ใช้กันทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง Microsoft Office รวมถึงมี Azure แพลตฟอร์มให้บริการคลาวด์กับองค์กรที่จะช่วยในการจัดการฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และเครือข่ายให้มีความลื่นไหล ทำงานกันได้สะดวกและอื่น ๆ อีกมากมาย Tyler Technologies (สัดส่วน 2.89%) ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ให้กับรัฐบาลกลางสหรัฐฯ โดยเน้นไปที่ภาคท้องถิ่นเป็นหลักจึงถือเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่ไม่ควรพลาดหากมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะ ถ้าจะให้รัฐรื้อซอฟต์แวร์ย้ายเจ้าจากระบบทั้งหมดในปีหรือสองปีคงเป็นไปได้ยาก ผลตอบแทนย้อนหลังเป็นอย่างไร? ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน VanEck Morningstar Wide Moat ETF ที่มา: เว็บไซต์ vaneck.com วันที่: 30 กันยายน 2021 ผลตอบแทนย้อนหลังหากเทียบกับดัชนีหุ้นอย่าง S&P 500 นั้นถือได้ว่าส่วนใหญ่โดดเด่นทุกช่วงเวลาทั้งช่วงขาขึ้นและขาลงของตลาด ความโดดเด่นเฉพาะทางอื่น ๆ ของกองทุน AFMOAT-H ภาพแสดงศักยภาพกองทุน VanEck Morningstar Wide Moat ETF หากเทียบกับกองทุนรูปแบบ Active อื่น ๆ ที่มา: เอกสารการขายกองทุน AFMOAT-H บลจ. ทาลิส ปิดท้ายด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งติดอันดับหัวตารางกลุ่มควอไทร์แรก (กลุ่มที่มีผลงานดีเป็นกลุ่มแรก) ในช่วง 3 ปี 5 ปี 7 ปีและนับตั้งแต่จัดตั้ง ชี้ให้เห็นว่ากองทุนนี้ระยะยาวถือได้ว่าทำผลงานได้ดีมาก ๆ ในขณะที่ช่วง 1 ปีย้อนหลังกองทุนก็ยังอยู่กลุ่มที่มีผลงานดีอันดับต้น ๆ เช่นเดียวกัน ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน AFMOAT-H ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end fee) o.90% (พิเศษคิด 0.75% ตั้งแต่ช่วง IPO จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2021 สำหรับกองทุน AFMOAT-HA) ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end fee) ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนเข้า (Swtiching-in fee) 0.90% ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนออก (Swtiching-out fee) ยกเว้น ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 1.86715% ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก 1,000 บาท ลงทุนขั้นต่ำครั้งถัดไป 1 บาท *กองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน: ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ (ทั้งหมด/เกือบทั้งหมด) ขอให้ทุกคนโชคดีครับ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin Mr. Serotonin สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน AFMOAT-H สามารถซื้อขายผ่านแอป FINNOMENA ได้แล้ววันนี้ในรูปแบบสะสมมูลค่า AFMOAT-HA สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน AFMOAT-H สามารถซื้อขายผ่านแอป FINNOMENA ได้แล้ววันนี้ในรูปแบบสะสมมูลค่า AFMOAT-HA สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน References เอกสารนำเสนอกองทุน AFMOAT-H บลจ. ทาลิส
ทำไมกองทุน AFMOAT-H ถึงน่าลงทุน - ลงทุนในบริษัทสหรัฐฯ ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันหรือมี “Moat” - วิเคราะห์หุ้นและเน้นคัดบริษัทที่มี Moat ที่แข็งแกร่งสร้างความได้เปรียบในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ถึงกว่า 20 ปี - ให้ความสำคัญในการซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าตามการประมาณการของดัชนีจาก Morningstar - มีผลตอบแทนทั้งในช่วงขาขึ้นและขาลงของตลาดโดดเด่น เซ็กเตอร์หลักที่ลงทุนของกองทุน AFMOAT-H เน้นไปที่หุ้นเทคโนโลยีซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงจากเรื่องเพ้อฝันที่ใครหลาย ๆ คนพูดถึงในอดีตและกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว อีกทั้งยังเป็นกลุ่มหุ้นที่เติบโตได้ดีรวดเร็วด้วยโมเดลธุรกิจที่คล่องตัว ตามมาด้วยกลุ่มเฮธ์แคร์ที่มีความกึ่ง ๆ เทคโนโลยีและเป็นเซ็กเตอร์การลงทุนในเชิงรับอีกรูปแบบหนึ่งจากการที่ของทางการแพทย์ที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะแย่แค่ไหนก็ยังต้องใช้ ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวได้ดีในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวได้เช่นกัน แล 2 กลุ่มสุดท้ายจาก 5 กลุ่มหลักด้วย กลุ่มสินค้าจำเป็น (Consumer staples) ที่ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจตามด้วยกลุ่มการเงิน (Financials) ที่เป็นของจำเป็นสำหรับโลกทุนนิยมและอาจได้ประโยชน์หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต หุ้นหลักของกองทุน AFMOAT-H ได้แก่ - Wells Fargo (สัดส่วน 2.94%) หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดติด 5 อันดับแรกในสหรัฐฯ มีตู้ ATM กว่า 12,000 ตู้ รวมถึงมีสาขาอีกราว 4,900 สาขา ให้บริการครบถ้วนทั้งการลงทุน ฝากเงินและกู้เงินทั่วไป - Cheniere Energy (สัดส่วน 2.92%) บริษัทบุกเบิกการส่งออกก๊าสธรรมชาติเป็นรายแรกในสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตก๊าสธรรมชาติแบบเหลว (LNG) ซึ่งมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น นำไปเป็นแก๊สทำอาหาร รวมถึงผลิตไฟฟ้า มีลูกค้าจากทั้งบริษัทพลังงาน สาธารณูปโภค รวมถึงบริษัทซื้อขายพลังงานทั่วโลก - Salesforce.com (สัดส่วน 2.92%) บริษัทให้บริการซอฟต์แวร์จัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ช่วยให้บริษัททำงานได้อย่างลื่นไหลรวมข้อมูลไว้ที่เดียวสามารถตรวจสอบได้ไม่มีผิดเพี้ยนและยังสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ผู้บริโภคได้อีกด้วย ให้บริการผ่านระบบคลาวด์ในรูปแบบการ Subscribe ช่วยให้บริษัทจัดการได้อย่างคล่องตัว ลดต้นทุนและสร้างรายได้ได้สม่ำเสมอ - Microsoft (สัดส่วน 2.91%) หนึ่งในบริษัทบิ๊กเทคแห่งยุคมีซอฟต์แวร์ที่ใช้กันทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง Microsoft Office รวมถึงมี Azure แพลตฟอร์มให้บริการคลาวด์กับองค์กรที่จะช่วยในการจัดการฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และเครือข่ายให้มีความลื่นไหล ทำงานกันได้สะดวกและอื่น ๆ อีกมากมาย - Tyler Technologies (สัดส่วน 2.89%) ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ให้กับรัฐบาลกลางสหรัฐฯ โดยเน้นไปที่ภาคท้องถิ่นเป็นหลักจึงถือเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่ไม่ควรพลาดหากมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะ ถ้าจะให้รัฐรื้อซอฟต์แวร์ย้ายเจ้าจากระบบทั้งหมดในปีหรือสองปีคงเป็นไปได้ยาก ผลตอบแทนย้อนหลังหากเทียบกับดัชนีหุ้นอย่าง S&P 500 นั้นถือได้ว่าส่วนใหญ่โดดเด่นทุกช่วงเวลาทั้งช่วงขาขึ้นและขาลงของตลาด ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งติดอันดับหัวตารางกลุ่มควอไทร์แรก (กลุ่มที่มีผลงานดีเป็นกลุ่มแรก) ในช่วง 3 ปี 5 ปี 7 ปีและนับตั้งแต่จัดตั้ง ชี้ให้เห็นว่ากองทุนนี้ระยะยาวถือได้ว่าทำผลงานได้ดีมาก ๆ ในขณะที่ช่วง 1 ปีย้อนหลังกองทุนก็ยังอยู่กลุ่มที่มีผลงานดีอันดับต้น ๆ เช่นเดียวกัน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1294
Finance
ช่วยสรุปบทความ LK Technology บริษัทเบื้องหลังการปั้มรถยนต์ให้ Tesla
การลดต้นทุนในการสร้างรถยนต์ไฟฟ้า เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของ Elon Musk เพื่อหวังให้ Tesla เป็นผู้ชนะในระยะยาว การผลิตโครงสร้างรถแบบดั้งเดิมจะใช้วิธีการประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ขึ้นเป็นตัวรถ ต้องใช้เวลานานในการขึ้นรูป ตัดชิ้นส่วน และเชื่อมหลายร้อยชิ้นเข้าด้วยกันเป็น Chassis หรือโครงรถยนต์เพียงชิ้นเดียว Tesla ต้องการลดเวลาและค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ด้วยการทำให้โครงสร้างรถมีชิ้นส่วนน้อยที่สุดด้วยการใช้เครื่องจักรสั่งทำพิเศษ “Gigapress” ใช้ในการขึ้นรูป Chassis ให้เป็นชิ้นเดียว Gigapress คืออะไร? Gigapress สร้างจากบริษัทลูกของ LK Technology (HKG: 0558) เทียบง่าย ๆ คือ Gigapress เปรียบเสมือนเครื่องปั้มแผ่นโลหะขนาดยักษ์ ซึ่งกดแรงได้หลักหมื่นตัน ทำให้สามารถผลิตโครงรถยนต์สำเร็จรูปได้เลย โดย Elon Musk เคลมว่าแต่ก่อนจะต้องประกอบชิ้นส่วนราว 70 ชิ้นเพื่อให้ได้โครงรถยนต์ แต่เจ้า Gigapress ทำให้เหลือแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น !! นอกจากนี้ ความเร็วในการผลิตจะเร็วขึ้นมาก (เพราะตัดขั้นต้อนการเชื่อมประกอบไปเกือบหมด) คาดว่าใช้เวลาเพียง 1-2 นาที จะได้โครงรถยนต์ 1 อันแล้ว พอลองคูณเลขจะพบว่าเครื่อง Gigapress 1 ตัว จะผลิตรถให้ Tesla ได้ถึง 1,000 คันต่อวัน !! เมื่อเทียบกับหุ่นยนต์แบบดั้งเดิมที่ Tesla ใช้อยู่ถึง 300 ตัว ใน 1 สายการผลิต Gigapress จะประหยัดพื้นที่ไปถึง 30% และความซับซ้อนในการดูแลก็น้อยลงด้วย จาก 300 เครื่อง เหลือเพียง 1 Game Changer Gigapress อาจถือเป็น Game Changer ในวงการยานยนต์ พอ ๆ กับการที่ Henry Ford คิดไลน์การประกอบรถยนต์ จุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือ ความเร็วการผลิตแบบเดิมถึง 100 เท่า เร็วถึงขนาดทีมของ JP Morgan ที่ไปเยี่ยมโรงงาน Tesla ในจีน คิดคร่าว ๆ ว่า Gigapress 10 เครื่อง จะสร้างรถ Tesla Model Y ได้ถึง 350,000 คันต่อปี และต้นทุนการผลิต Chassis ลดลง 40% แน่นอนว่าทำกำไรบาน (ถ้าไม่เอาเงินไปเผาที่ธุรกิจไหนต่ออีก) บริษัทผู้ผลิต LK Technology (HKG: 0558) เป็นบริษัทผลิตเครื่องจักรนานาชนิด และหนึ่งในบริษัทลูกได้ได้ผลิต Gigapress ให้ Tesla ซึ่งพอประกาศส่งมอบเครื่องจักรได้จริง ราคาหุ้นได้วิ่งอย่างสุกสนานจากปลายปี 2020 ที่ไม่ถึง 1 ดอลลาร์ฮ่องกง พุ่งขึ้นเป็น 18.5 ดอลลาร์ฮ่องกง กำไร 10+ ใน 1 ปี
Elon Musk มุ่งหวังที่จะลดต้นทุนในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla โดยใช้ Gigapress เครื่องจักรพิเศษในการผลิตโครงรถ ทำให้ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการสร้าง Chassis ในรถยนต์แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้วิธีการประกอบชิ้นส่วนหลายชิ้น Gigapress คือเครื่องปั้มโลหะขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นโดยบริษัทลูกของ LK Technology (HKG: 0558) เปรียบเสมือนเครื่องปั้มที่กดแรงได้หลักหมื่นตัน ทำให้สามารถผลิตโครงรถยนต์สำเร็จรูปได้ทันที นักวิจัยคาดว่า Gigapress 1 เครื่องสามารถผลิตรถยนต์ได้ถึง 1,000 คันต่อวัน ทำให้ลดพื้นที่และความซับซ้อนในการดูแล เมื่อเทียบกับหุ่นยนต์ที่ใช้ในการผลิตแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้ถึง 300 เครื่อง Gigapress เป็น Game Changer ในวงการยานยนต์เหมือนกับความสำคัญของการประกอบรถของ Henry Ford โดยสามารถผลิตรถ Tesla Model Y ถึง 350,000 คันต่อปีด้วย Gigapress 10 เครื่อง ทำให้ลดต้นทุน Chassis ลง 40% และเพิ่มความเร็วการผลิตถึง 100 เท่าของแบบเดิม LK Technology (HKG: 0558) ผลิตเครื่องจักรนานาชนิดและผลิต Gigapress ให้ Tesla ราคาหุ้นกระโดดจากไม่ถึง 1 ดอลลาร์ฮ่องกง ปลายปี 2020 สู่ 18.5 ดอลลาร์ฮ่องกง เมื่อประกาศส่งมอบเครื่องจักร และได้กำไร 10+ ใน 1 ปี
การวิเคราะห์ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1295
Finance
เดือนพฤศจิกายน ปี 2021 สองเรื่องที่ทำให้ตลาดผันผวนหนัก คือเรื่องอะไรบ้าง
null
เดือนพฤศจิกายน ปี 2021 นโยบายการเงินและโควิดสายพันธุ์ใหม่ Omicron คือ สองเรื่องที่ทำให้ตลาดผันผวนหนัก ตั้งแต่คุณ Jerome Powell ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานเฟดสมัยที่สอง ตลาดทุนก็สั่นคลอนมาโดยตลอด เหตุผลหลักมาจากความกังวลว่าเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐต่อจากนี้จะเป็นการ “คุมเงินเฟ้อ” มากกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ คุณ Powell ตอกย้ำความเชื่อนี้ด้วยการเลิกใช้คำว่า “ชั่วคราว” สำหรับเงินเฟ้อ และชี้ว่าอาจลด QE เร็วกว่าที่ประกาศไว้ ตลาดแปลความหมายว่าปี 2022 เฟดสามารถขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้ถึง “สามครั้ง” หรือ 0.75% ทำให้นักลงทุนขายกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นขนาดเล็กอย่างไม่ต้องคิด ไม่จบแค่นั้น โลกลงทุนซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อมีไวรัสกลายพันธุ์เข้ามาผสม แม้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องไวรัสสายพันธ์ใหม่ Omicron มากนัก แต่ตลาดก็เลือกที่จะขายทำกำไรธีม Reopening ธีม Value และธีม Cyclical ที่ปรับตัวขึ้นเร็วในช่วงที่ผ่านมาทันที ด้าน Thematic Investing ก็ปรับฐานลงไม่น้อยหน้าการลงทุนอื่น Sustainable Energy เป็นธีมที่ย่อตัวลงด้วยเหตุผลเดียวกับตลาดถึง 8% ขณะที่ธีมที่แข็งแกร่งที่สุดของปี 2021 อย่าง Industry Revolution ก็ปรับตัวลงไปด้วยราว 3% ที่น่ากังวลคือธีม Healthcare Innovation ปรกติไม่ผันผวนไปพร้อมกับตลาด แต่กลับร่วงลงถึง 9% พร้อมกันในรอบนี้ เหตุผลหลักมาจากความกังวลเรื่องการแข่งขันที่สูง Disruption ที่เกิดบ่อยครั้งขึ้นในอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันนักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในปี 2022 จึงไม่เลือกลงทุนธีม Healthcare เพราะมีความ Defensive ด้วยภาพตลาดที่ผันผวน ตำแหน่ง Thematic ETF หน้าใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของเดือนพฤศจิกายน ปี 2021 จึงควรเป็นของ SARK หรือ Tuttle Capital Short Innovation ETF SARK บริหารโดย Tuttle Capital Management ตั้งเป้าหมายทำผลงาน “สวนทางกับ ARKK” หรือ ARK Innovation ETF เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุนในจังหวะที่อนาคตของธีม Innovation ไม่สดใสเหมือนก่อน อย่างไรก็ดี บลจ. ชื่อดังอย่าง Goldman Sachs Asset Management ยังเชื่อมั่นในธีมการลงทุนแห่งอนาคต ตอกย้ำด้วยการออก 3 Active ETF ได้แก่ GS Future Consumer Equity ตัวย่อ GBUY ลงทุนธีม Consumer Evolution ตอบโจทย์ผู้บริโภคสมัยใหม่ GS Future Real Estate and Infrastructure Equity หรือ GREI ลงทุนในธุรกิจอสังหาและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ให้ปันผลสูง GS Future Health Care Equity ตัวย่อ GDOC ลงทุนธีม Healthcare Innovation ที่ขาดไม่ได้ในเดือนธันวาคม ปี 2021 คือ การมองความเสี่ยงและธีมการลงทุนในปี 2022
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1297
Finance
ช่วยสรุปบทความ Alibaba ประกาศลงทุน 1 แสนล้านหยวน ในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งอ่านรายละเอียดโครงการแล้วคิดว่าคนของรัฐบาลเขียนให้ ไม่ใช่ผู้บริหารของ Alibaba
Common Prosperity คืออะไร? Common Prosperity คือ นโยบายรุ่งเรืองร่วมกันของ Xi Jinping ที่ประกาศออกมาในช่วงเดือนสิงหาคม รายละเอียดข้างในคือเศรษฐกิจยุคใหม่จะเน้นไปที่ความร่ำรวยของคนในสังคมทุกคนมากกว่าที่จะรวยกระจุกในกลุ่มนายทุน ล่าสุดบริษัท Alibaba ทำตามนโยบายเช่นกัน ด้วยการประกาศลงทุน 1 แสนล้านหยวน ในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งอ่านรายละเอียด 10 ข้อของโครงการแล้วคิดว่าคนของรัฐบาลเขียนให้ ไม่ใช่ผู้บริหารของ Alibaba เพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อรองรับระบบดิจิทัลในพื้นที่ด้อยพัฒนา สนับสนุนการเติบโตของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมของภาคเกษตร สนับสนุนบริษัทขนาดกลางและเล็กเพื่อขยายออกต่างประเทศ สนับสนุนการจ้างงานที่มีคุณภาพสูงขึ้น ปรับปรุงสวัสดิการของ Freelance หรือลูกจ้างชั่วคราว เช่น Rider ส่งอาหาร ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางดิจิทัลระหว่างในเมืองและนอกเมือง ลดความเหลือมล้ำทางดิจิทัลและเสริมสร้างบริการสำหรับประชากร เพิ่มขีดความสามารถด้านสุขภาพในพื้นที่ด้อยพัฒนา จัดตั้งกองทุน Common Prosperity Development Fund มูลค่า 2 หมื่นล้านหยวน เพื่อนำร่องในมณฑล Zhejiang ไม่แน่ใจว่าเป็นความต้องการของผู้บริหารหรือรัฐบาลจีนกันแน่ หากดูจากแผน 10 ข้อจะเห็นว่าเป็นการเน้นไปที่การช่วยเหลือชนบท SME และพนักงานชนชั้นกลางไปถึงล่างเป็นหลัก
Common Prosperity คือนโยบายของ Xi Jinping ที่เน้นเพิ่มความร่ำรวยของทุกชั้นของสังคม โดย Alibaba ลงทุน 1 แสนล้านหยวน ใน 4 ปี ตั้งแต่ประกาศนโยบาย 1.เพิ่มลงทุนในเทคโนโลยีสำหรับพื้นที่ด้อย 2.สนับสนุนบริษัทขนาดกลางและเล็ก 3.พัฒนาอุตสาหกรรมเกษตร 4.สนับสนุนบริษัทขยายตัวต่างประเทศ 5.สนับสนุนการจ้างงานที่มีคุณภาพ 6.ปรับปรุงสวัสดิการของ Freelance เช่น Rider ส่งอาหาร 7.ส่งเสริมความเท่าเทียมทางดิจิทัล 8.ลดความเหลือมล้ำทางดิจิทัล 9.เพิ่มความสามารถด้านสุขภาพในพื้นที่ด้อย 10.จัดตั้งกองทุน Common Prosperity Development Fund มูลค่า 2 หมื่นล้านหยวน เพื่อสนับสนุน Zhejiang เป็นนโยบายที่เน้นช่วยเหลือ SME และพนักงานชนชั้นกลางถึงล่างในสังคม
เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1300
Finance
เจย์ พาวเวล ให้ความเห็นว่า ในการประชุมเฟด ช่วงกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 อาจจะเป็นไปได้ว่าที่จะลดระยะเวลาในเรื่องใด
null
เจย์ พาวเวล ให้ความเห็นว่า ในการประชุมเฟด ช่วงกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 อาจจะเป็นไปได้ว่าที่จะลดระยะเวลาการซื้อพันธบัตรจากธนาคารพาณิชย์ (QE) ที่มีแผนว่าจะยุติการซื้อดังกล่าวลงในเดือนมิถุนายน ปี 2022 ให้เร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิม เป็นเวลา 2-3 เดือน ซึ่งต้องเขาจะพิจารณาข่าวและผลกระทบจากโควิด Omicron รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดก่อนวันประชุมเฟดในครั้งถัดไปประกอบด้วย ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐ ลดลงเกือบร้อยละ 2 ในวันดังกล่าว เมื่อพาวเวลได้แสดงจุดยืน จะพบว่า ไม่ว่าโควิด Omicron จะรุนแรงในสหรัฐหรือไม่ เมื่อตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐยังสูงอยู่ในกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 ทางเฟดก็จะทำนโยบายการเงินตึงตัวขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าตลาดจะตอบรับแบบที่ไม่มีความรู้สึกเชิงลบแต่อย่างใด ในทางกลับกัน หากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐออกมาไม่แรงมากเท่าไรในกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 และมารู้ภายหลังว่า Omicron รุนแรงมากในสหรัฐ แล้วเฟดจะตัดสินใจคงนโยบาย QE Taper ตามแผนเดิม แน่นอนว่าตลาดก็น่าจะโอเคมาก เพราะการที่จะเปลี่ยนท่าทีนโยบายการเงินมาเป็นแนวผ่อนคลายมากขึ้นกว่าที่เคยบอกก่อนหน้านั้น ย่อมจะเป็นผลดีกับตลาด หรือแม้แต่ว่ามารู้ภายหลังว่า Omicron ไม่แรงที่สหรัฐ แล้วเฟดจะทำนโยบายการเงินตึงตัวขึ้น ตลาดก็ยังจะตอบรับแบบที่ดูโอเคอยู่ดี ถ้าพาวเวลตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง โดยไม่แสดงท่าทีตอนนี้ว่าอยากจะทำให้นโยบายการเงินตึงตัวขึ้น ก็จะพบว่า พาวเวลอาจพาตัวเองเข้าสู่ที่นั่งลำบากว่าจะเสี่ยงทำให้ตลาดตื่นตระหนกในการประชุมเฟดครั้งถัดไป ช่วงกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 โดยจะพบว่า ไม่ว่าโควิด Omicron จะรุนแรงในสหรัฐหรือไม่ เมื่อตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐยังแรงในกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 เมื่อทางเฟดก็จะทำนโยบายการเงินตึงตัวขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า การที่พาวเวลเลือกไม่แสดงท่าทีตอนนี้ว่าอยากจะทำให้นโยบายการเงินตึงตัวขึ้น ตลาดจะตอบรับแบบที่มีความรู้สึกเชิงลบหรืออาจจะถึงขั้นตระหนกเลยก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี หากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐไม่แรงมากเท่าไรในกลางเดือนธันวาคม ปี 2021 และมารู้ภายหลังว่า Omicron รุนแรงมากในสหรัฐ แล้วเฟดจะตัดสินใจคงนโยบาย QE Taper ตามแผนเดิม แน่นอนว่าตลาดก็ยังพอจะโอเค เพราะคงท่าทีนโยบายการเงินตามเดิม ย่อมจะเป็นผลดีกับตลาด ทว่าหากมารู้ภายหลังว่าตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐและ สถานการณ์โควิด Omicron ไม่รุนแรงที่สหรัฐ แล้วเฟดจะทำนโยบายการเงิน ตึงตัวขึ้น ตรงนี้ อาจจะทำให้ตลาดมีความตระหนกได้ โดยสรุป การที่พาวเวลแสดงท่าทีเปลี่ยนไป ถือเป็นตัวช่วยต่อเฟดในการบริหารจัดการความคาดหวังของตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ในอนาคตอันใกล้
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1302
Finance
เขียนแนวคิดของเรื่อง "เส้นทางสู่ความรวย สำรวจกองทุนชั้นนำและเทรนด์ใหม่ๆในโลกการเงิน ประจำสัปดาห์ (27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2564)"
null
นักลงทุนที่ต้องการสรุปแนวคิดเกี่ยวกับกองทุนผลตอบแทนเด่นและกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2564) สามารถทำได้ดังนี้ 1. การสรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น (Top Performing Funds) - การวิเคราะห์ผลตอบแทนของกองทุนต่างๆ ในช่วงเวลาที่ระบุ (27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2564) เพื่อระบุกองทุนที่มีผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงเวลานั้น - การตรวจสอบปัจจัยที่ทำให้กองทุนเหล่านั้นมีผลตอบแทนเด่น เช่น การลงทุนในตลาดใด สินทรัพย์ใด เป็นต้น - การสรุปแนวโน้มของกองทุนเหล่านี้ว่ามีการพัฒนาและคาดว่าจะสามารถรักษาผลตอบแทนดีในอนาคตได้หรือไม่ 2. การสรุปกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (Top Trending Funds of the Week) - การตรวจสอบกองทุนที่มีความนิยมในช่วงเวลาดังกล่าว โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของกองทุน ผู้ดำเนินการ หรือประสบการณ์การลงทุน - การสำรวจสาเหตุที่ทำให้กองทุนเหล่านั้นมีความนิยม ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวของตลาดหรือเหตุการณ์สำคัญในวงการการเงิน - การพิจารณาว่าความนิยมนี้มีฐานะที่จะต่ออยู่หรือไม่ เช่น การแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ หรือสถานการณ์ในตลาดที่เปลี่ยนแปลง ** การทำสรุปเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจแนวโน้มของกองทุนและการลงทุนในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งสามารถช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนของตนเองได้ในอนาคต.
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1304
Finance
บอกแนวคิดแคมเปญเรื่อง "Alibaba Insights: สำรวจโอกาสและความเสี่ยงในตลาดอีคอมเมิร์ซ" ให้หน่อย
null
แนวคิดแคมเปญ "ส่อง Alibaba หลังงบออก หุ้นยังน่าสนใจอยู่ไหม?" เน้นการวิเคราะห์และสำรวจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของ Alibaba และองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้สนใจได้เข้าใจข้อเท็จจริงและมีข้อมูลในการตัดสินใจการลงทุนได้อย่างมั่นใจ ดังนี้ 1. วิเคราะห์โดยละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในงบการเงินของ Alibaba: วิเคราะห์รายงานการเงินล่าสุดของ Alibaba เพื่อเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงในรายได้ กำไร และฐานลูกค้า เพื่อเข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนในหุ้นของบริษัท 2. การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดและอุตสาหกรรม: ศึกษาแนวโน้มของตลาดที่บริษัทอยู่ในนั้น เช่น การเติบโตของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซและการซื้อขายออนไลน์ รวมถึงการวิเคราะห์คู่แข่งของ Alibaba ในตลาดนี้ 3. การวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาส: วิเคราะห์ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อความเสี่ยงและโอกาสของการลงทุนในหุ้นของ Alibaba เช่น ความเสี่ยงจากนโยบายการคุ้มครองข้อมูลในประเทศจีน และโอกาสในการขยายตัวในตลาดระหว่างชาวตะวันตก 4. สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า: สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการลงทุน โดยรวมข้อมูลที่มีประโยชน์ เช่น บทวิเคราะห์รายงานการเงิน สรุปการวิเคราะห์โดยละเอียด และแนะนำว่าควรลงทุนหรือไม่ 5. ใช้สื่อสังคมและการตลาดออนไลน์: ใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมและการตลาดออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย และอีเมล์เพื่อเผยแพร่แคมเปญและเนื้อหาของคุณแก่กลุ่มเป้าหมาย 6. สร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อสร้างความสนใจ: สร้างกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแคมเปญ เช่น เวิร์กช็อป สัมมนา หรือเกมทางออนไลน์ เพื่อเชื่อมโยงและสร้างความสนใจจากผู้ที่สนใจ 7. ติดตามและประเมินผล: ติดตามผลของแคมเปญและประเมินผลความสำเร็จ เพื่อปรับปรุงและปรับใช้กลยุทธ์ต่อไปให้เหมาะสม ** แคมเปญนี้จะช่วยให้ผู้สนใจทราบถึงสถานะและโอกาสในการลงทุนในหุ้นของ Alibaba อย่างมั่นใจและมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1309
Finance
บอกข้อมูลที่น่าสนใจของกลยุทธ์ US Discovery จาก Baillie Gifford
null
เน้นลงทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็กตามสไตล์ Baillie Gifford หุ้นกลุ่มดังกล่าวในระยะยาวสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ถึงแม้จะมีความผันผวน ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตที่รอคอยการค้นพบ ลงทุนในสหรัฐฯ ภูมิภาคที่มีหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีเทคโนโลยี ศักยภาพหรือโมเดลธุรกิจที่สามารถเข้าไป Disrupt บริษัทรูปแบบเดิม ๆ ได้ ทำให้สร้างการเติบโตได้สูง มีขอบเขตการลงทุนในหุ้นที่กว้างและหลากหลายกว่าดัชนี S&P 500 มีขอบเขตการลงทุนในหุ้นที่กว้างและหลากหลายกว่ากว่าดัชนี S&P 500 หุ้นขนาดเล็กมีข้อได้เปรียบ อย่างการที่มีจำนวนนักวิเคราะห์ติดตามต่อหุ้นน้อยกว่า ส่งผลให้ผู้เล่นอื่น ๆ ในตลาดส่วนใหญ่อาจยังไม่รับรู้ ดังนั้นหากใครเจอก่อนก็อาจได้รับโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มากกว่า บริษัทขนาดเล็กในสหรัฐฯ มักถูกตกเป็นเป้าหมายในการทำ M&A (ควบรวบหรือซื้อกิจการ) อีกทั้งสหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่มีขนาดการทำธุรกรรม M&A สูงที่สุดมากกว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถึง 3 เท่า ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการปลดล็อกมูลค่าหุ้นขนาดเล็ก Baillie Gifford ไม่มีผู้ถือหุ้น (Board ต่าง ๆ ) จากภายนอก ทำให้ไม่มีแรงกดดันจากผู้ที่มีสิทธิเสียงและมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทาง เพื่อที่จะเร่งให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1310
Finance
เขียนเรืองสั้นเกี่ยวกับเรื่อง "รู้เรื่องงบกระแสเงินสดก่อนลงทุน: เส้นทางสู่การลงทุนที่มั่นคง" ให้หน่อย
null
หัวข้อ: งบกระแสเงินสดคืออะไร: เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อหุ้น รู้ไว้จะได้ไม่โดนหลอก! ในโลกการลงทุนในตลาดหุ้น มีคำศัพท์หลายอย่างที่ผู้ลงทุนควรทราบ เพื่อป้องกันตัวเองจากความเสี่ยง และหนึ่งในนั้นคือ "งบกระแสเงินสด" ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์หุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ลงทุนที่มีความสนใจในหุ้นที่มีความผันผวนสูง แต่สำหรับมือใหม่หรือผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับงบกระแสเงินสดนี้ อาจจะเป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจ เรามาดูกันว่างบกระแสเงินสดคืออะไรและทำไมเราควรรู้เรื่องนี้ก่อนที่จะลงทุนในหุ้นต่างๆ งบกระแสเงินสด หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า "Cash Flow Statement" เป็นเอกสารทางการเงินที่สำคัญ เพราะมันช่วยให้รู้ว่าบริษัทมีเงินสดเพียงพอในการดำเนินธุรกิจหรือไม่ นอกจากนี้ยังช่วยให้รู้ถึงวิธีการใช้เงินและที่มาของเงินในการดำเนินกิจการ และทำให้เรารู้ว่าบริษัทได้รับเงินจากไหน จ่ายเงินให้ใคร และใช้เงินอย่างไร การวิเคราะห์งบกระแสเงินสดที่ดีจะช่วยให้มองเห็นภาพรวมของสถานะการเงินของบริษัทได้อย่างชัดเจน และช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจในการลงทุน ดังนั้น การศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับงบกระแสเงินสดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ลงทุนทุกคนควรทำก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในหุ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในบริษัทใหม่หรือบริษัทที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1315
Finance
ช่วยสรุปบทความ ปัญหา Supply Shortage ที่แก้ไม่ตก
การระบาดของไวรัสในปี 2020 ส่งผลให้หลายอุตสาหกรรมหลายบริษัทต้องปิดตัวลง ในขณะที่หลายแห่งทยอยเลิกจ้างพนักงานและลดกำลังการผลิตเพราะยอดคำสั่งซื้อที่น้อยลงจากการล็อกดาวน์ พอสถานการณ์เริ่มดีขึ้นจากการเร่งฉีดวัคซีน ส่งผลให้ Demand หรือความต้องการชอปของคนเริ่มขยับสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศฝั่งตะวันตกที่ฟื้นตัวก่อนใคร สวนทางกับ Supply Chain ในเอเชียที่ฟื้นช้ากว่า เนื่องจากต้องรอคิววัคซีน กระทบทั้งโรงงานและผู้จัดจำหน่ายสินค้าไม่สามารถส่งมอบของตามคำสั่งซื้อได้ ปัญหาอาจทวีความรุนแรงขึ้นอีกจากสถานการณ์ในปัจจุบัน เช่น การขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าของจีนที่กระทบไปทั้งโลก ล่าสุดแมกนีเซียมซึ่ง 85% ของกำลังการผลิตอยู่ในจีนกำลังขาดแคลนมาก และมีแนวโน้มจะกระทบต่อกันเป็นทอด ๆ เพราะเป็นวัสดุที่เราใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป ตั้งแต่กระป๋องเครื่องดื่มจนไปถึงวัสดุประกอบเครื่องบินและยานอวกาศ รวมถึงธุรกิจยานยนต์ที่ใช้งานราว 35% ของกำลังการผลิตรวม ในหลาย ๆ ประเทศต้องการ Vaccine Passport ให้เฉพาะคนที่ฉีดวัคซีนแล้วเข้ามาทำงานเท่านั้น แต่แรงงานค่าแรงต่ำจำนวนมากมาจากประเทศยากจนและยังไม่ได้รับวัคซีนมากนัก จึงไม่สามารถเข้าไปทำงานได้ ตัวอย่างเช่น หลัง Brexit อังกฤษ มีการข้ามมาทำงานของแรงงานลดลง ทำให้คนงานขาดแคลนทั้งท่าเรือและคนส่งของ ชิปขาดแคลนหนัก กระทบการส่งมอบ iPhone 13 และสินค้าจำนวนมาก Supply Shortage จะสะท้อนออกมาในตัวเลข GDP ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ หรือผลประกอบการบริษัทต่าง ๆ ลดลงจากต้นทุนที่สูงขึ้นโดยเฉพาะบริษัทที่เดิมมี Margin ต่ำอยู่เเล้วอาจจะพลิกเป็นขาดทุนได้เลย ทั้งนี้ปัญหา Supply Shortage ไม่ได้ส่งผลเสียเสมอไป กลับเป็นการเร่งให้โรงงานและบรรดาผู้ผลิตหันมาพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีกันมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาแรงงานและลดต้นทุนการดำเนินการของบริษัทในระยะยาว
การระบาดไวรัสปี 2020 ทำให้อุตสาหกรรมหลายแห่งต้องปิดตัวและลดการผลิตเนื่องจากคำสั่งซื้อลดลง การเร่งฉีดวัคซีนทำให้ความต้องการชอปเพิ่มขึ้น แต่ส่งผลกระทบใน Supply Chain ที่ฟื้นตัวช้าในเอเชีย ไม่สามารถส่งมอบของตามคำสั่งซื้อได้ ปัญหา Supply Shortage ส่งผลให้ GDP ต่ำกว่าคาดการณ์และลดมาร์จินของบริษัท แต่เป็นโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในอนาคต
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1317
Finance
ประเภทของการฝากเงิน มีอะไรบ้าง
null
จะเรียกว่าการฝากเงินเป็นการลงทุนก็คงเรียกได้ไม่เต็มปากนัก เพราะมันคือ “การออม” มากกว่า สำหรับการฝากเงินนั้นก็มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น - เงินฝากออมทรัพย์: เป็นการฝากเงินแบบไม่กำหนดระยะเวลาฝากถอน ผู้ฝากสามารถฝากและถอนเงินได้ตามวันที่สะดวก ดอกเบี้ยเงินฝากประเภทนี้อยู่ที่ประมาณ 0.125% – 2.00% โดยดอกเบี้ยส่วนที่เกิน 20,000 บาทผู้ฝากเงินจะต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับ - เงินฝากประจำ: เป็นการฝากเงินแบบกำหนดระยะเวลาฝากถอนชัดเจน ซึ่งระยะเวลาก็มีตั้งแต่ 3, 6, 12, 24, 36 และสูงสุด 48 เดือน ดอกเบี้ยเงินฝากประจำจะอยู่ที่ประมาณ 0.30% – 1.35% ซึ่งหากมีการถอนเงินก่อนครบกำหนดก็อาจจะไม่ได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ธนาคารประกาศ นอกจากนี้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำนั้นต้องมีการเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับ เช่นเดียวกับการฝากออมทรัพย์ แต่ก็มีบางธนาคารที่มีบัญชีเงินฝากแบบปลอดภาษีให้ลูกค้าได้เลือกใช้บริการอีกด้วย - เงินฝากดิจิทัล: เป็นการฝากเงินในรูปแบบออนไลน์ โดยเงินฝากประเภทนี้จะไม่มีสมุดบัญชี และทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร ซึ่งแต่ละธนาคารก็จะจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่แตกต่างกันไป ปกติแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 1.10% – 2.00% การคิดดอกเบี้ยของธนาคารก็จะคิดดอกเบี้ยแบบทบต้น (Compound Interest Rate) โดยจะมีการจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝากเงินปีละ 1-2 ครั้ง หรือจ่ายทุกเดือนก็แล้วแต่เงื่อนไขของธนาคารต่าง ๆ ยกเว้นเงินฝากประเภทฝากประจำที่จะจ่ายดอกเบี้ย ณ วันครบกำหนดระยะเวลาฝากประจำทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าสินทรัพย์ประเภทเงินฝากนี้เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงที่สุด เพราะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันทีเมื่อต้องการนั่นเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ทางสถาบันคุ้มครองเงินฝากได้ปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่าหากฝากเงินในธนาคาร A เกิน 1 ล้านบาท ในวันที่ธนาคาร A ล้มในวันที่ธนาคาร A พลาด จะได้รับเงินฝากคืนเพียงแค่ 1 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่เกิน 1 ล้านบาทไม่รับประกันว่าจะได้คืน จะเห็นได้ว่าการฝากเงินในธนาคารก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ดังนั้น ควรวางแผนดี ๆ ว่าส่วนที่เกินนั้นจะเอาไปไว้ที่ใดหรือจะเอาไปลงทุนในสินทรัพย์ใด
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1318
Finance
จงแต่งนิยายเรื่อง "นิกกับเส้นทางของกล้าหาญในการเล่นหุ้น Turnaround" จากจุดเรื่มต้นจนถึงความสำเร็จ
null
ชื่อเรื่อง: "หัวข้อ เล่นหุ้น Turnaround" จุดเริ่มต้น ในยุคที่เติบโตของเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคงและการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรงอย่างไม่หยุดนิ่ง ความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องพบเห็นเสมอ แต่สำหรับเนิกนักเทรดหุ้นชาวเมืองที่มีประสบการณ์ การลงทุนในหุ้นมิได้เพียงแค่เป็นธุรกิจ แต่เป็นที่สำคัญในชีวิต เป็นการเล่นเกมที่เขาชื่นชอบและมีความชอบใจอย่างใจจริง แผนฉุกเฉิน นิกเคยพบกับสถานการณ์ที่ทรุดโทรมในตลาดหุ้นมาก่อน แต่ครั้งนี้เขาพบกับบางอย่างที่แตกต่าง บริษัทที่เคยเป็นดาวอังคารของตลาดกลายเป็นดาวตกอย่างรวดเร็ว แต่เขาเชื่อว่ามันยังไม่สิ้นสุด มีโอกาสในการกลับมาอีกครั้ง จากการศึกษาและวิเคราะห์เขาได้เห็นแผนการฟื้นฟูที่เป็นไปได้ การเดินทางของการลงทุน นิกตัดสินใจที่จะลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีแนวโน้มที่จะกลับมาได้ เขาไม่ได้มองหากำไรที่รวดเร็ว แต่นิกมองหาโอกาสที่มั่นคงและทนทานในระยะยาว นิกใช้เวลาในการศึกษาและวิเคราะห์ในการ ตัดสินใจ และกล้าพนันในสิ่งที่เขาเชื่อ ความสำเร็จและอุปสรรค การเล่นหุ้นในแบบ Turnaround ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาย นิกพบว่ามีอุปสรรคและความท้าทายมากมายรออยู่ นิกต้องพยายามทำให้ความคาดหมายของนิกเป็นจริงและเอาใจใส่กับการจัดการ สถานการณ์ ผ่านทางความพยายามและความมุ่งมั่น สุดท้ายนิกสามารถทำให้การลงทุนกลับมาในแนวทางที่ถูกต้อง บริษัทที่เคยเข้าสู่ช่วงวิกฤตก็ได้เข้าสู่ช่วงที่ดีขึ้น และเขาก็ได้รับความสำเร็จที่เขาคาดหวัง บทสรุป: การเรียนรู้และการเสี่ยง เรื่องราวของนิกเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่สนใจในการลงทุนในตลาดหุ้น สอนให้เห็นว่าความสำเร็จไม่มาจากการลงทุนที่ปลอดภัยเสมอไป แต่มาจากความกล้าหาญในการเริ่มต้น และความตั้งใจในการทำสิ่งที่เชื่อว่าถูกต้อง การลงทุนในหุ้น Turnaround อาจเป็นการเสี่ยง แต่มันก็เป็นโอกาสที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของเราได้ตลอดไป ต้องมีการเรียนรู้และการก้าวขึ้นมา อย่างมั่นคงกับความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นให้แน่ใจว่ามีโอกาสสูงในการประสบความสำเร็จในที่สุด.
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1319
Finance
ในเดือน พ.ย. 2564 ธนาคารทิสโก้ได้เลือก “ประเทศจีน” เข้ามาใหม่ในธีมกองทุน Value Play เนื่องจากอะไ
null
ในเดือน พ.ย. 2564 ธนาคารทิสโก้ได้เลือก “ประเทศจีน” เข้ามาใหม่ในธีมกองทุน Value Play เนื่องจากมองว่า เป็นประเทศที่ราคาหุ้นยังค่อนข้างถูก และมีศักยภาพการเติบโต เห็นได้จากอัตราส่วนระหว่างราคาหลักทรัพย์ต่อกำไรสุทธิคาดการณ์ต่อหุ้นใน 12 เดือนข้างหน้า (12M Forward P/E Ratio) ของจีน ซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงสหรัฐฯ (ข้อมูล ณ 30 กันยายน 2564) ส่วนประเด็นลบ จากทางการจีนที่ออกกฎเกณฑ์กำกับดูแลบริษัทอย่างเข้มงวด ทั้งบริษัทกวดวิชา บริษัทด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ บริษัทเกม แม้จะกดดันตลาดให้ปรับตัวลดลง แต่ตลาดหุ้นก็ดูจะตอบรับต่อประเด็นการเพิ่มกฎระเบียบไปค่อนข้างมากแล้ว ทำให้การออกกฎระเบียบเพิ่มเติมอาจกลับกลายเป็นข่าวดีที่จะสร้างความชัดเจนให้กับตลาดในระยะข้างหน้า ขณะที่ในฟากของธุรกิจภาคอสังหาฯ ที่หลายคนกังวลว่า จะอ่อนแอลงจากวิกฤต Evergrande นั้น นาย Yi Gang และนาย Zou Lan ระบุว่าสามารถควบคุมได้แล้ว โดยนาย Zou ระบุว่ารัฐบาลจะปกป้องผู้บริโภคทุกรายและให้การสนับสนุนทางการเงินสำหรับการเริ่มก่อสร้างใหม่ และยังระบุว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่มีการดำเนินงานที่มั่นคงและมีตัวชี้วัดทางการเงินที่ดีด้วย3 นอกจากนี้ธนาคารทิสโก้ มองว่า ยุโรป ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ยังคงแนะนำให้ลงทุนต่อเนื่องจากเดือน ต.ค. 2564 เนื่องจากมีความโดดเด่นด้านราคาที่ “ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เห็นได้จาก Forward P/E ของตลาดหุ้นยุโรป (STOXX600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei225) เทรดที่ Discount กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) รวมถึงตลาดหุ้นยุโรป (STOXX600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei225) มีประมาณการอัตราการเติบโตของกำไร (Earnings growth forcast) สูงกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) อีกด้วย หรือสรุปก็คือ ราคาไม่แพง และกำไรมีแนวโน้มเติบโตดีนั่นเอง
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1320
Finance
กองทุน M-EDGE คืออะไร
null
กองทุน M-EDGE เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนในหุ้นคุณภาพในช่วงที่ตลาดอาจมีความผันผวน กองทุนจะมีรูปแบบสะสมมูลค่า ​​คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม ปรัชญาการลงทุน: - เฟ้นหาบริษัทที่เป็นผู้นำตลาด สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว ถือหุ้นใหญ่ผสม Mid-cap เติบโตสูง โดยเน้นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้ดี - เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีคุณภาพเติบโตได้ในระยะยาว อยู่ในตลาดที่ยังเติบโตได้ มีการวิเคราะห์ความเสี่ยง รวมถึงปัจจัยด้าน ESG - ลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าน่าสนใจ สกรีนหุ้นอย่างเข้มข้นจาก 3,500 ตัว จนเหลือเพียง 30 ตัว - ปรับพอร์ตในสัดส่วนไม่มาก ในปีหนึ่งปรับหุ้นเฉลี่ย 6 ตัว จากทั้งหมด 30 ตัว และเน้นลงทุนในระยะยาว - กองทุนเน้นลงทุนในธุรกิจที่อยู่ในช่วง Core ซึ่งมีความมั่นคงระดับหนึ่ง เติบโตได้ 10%-20% งบดุลแข็งแกร่ง หนี้น้อย และอาจมีลงทุนบางส่วนในส่วนของ Future ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจเติบโตได้สูงแต่ก็มีความผันผวน ในขณะที่สัดส่วนน้อยจะลงทุนในส่วนของ Improvement ที่ฟื้นตัวกลับมาได้ถึงแม้จะเติบโตไม่สูง ส่วนบริษัท Early stage กองทุนจะไม่ลงทุน เพราะเป็นการลงทุนที่อนาคตยังไม่ชัดเจนและมีความผันผวนสูง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1321
Finance
ช่วยสรุปบทความ รู้จักกลุ่มประเทศอาเซียน, CLMVT และ MSCI AC ASEAN INDEX
สิงคโปร์ เป็นประเทศพัฒนาแล้ว มีแรงงานที่มีการศึกษาสูง เป็น Financial Hub ที่สำคัญ ทั้งยังมีอัตราการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) สูง ซึ่งมาจากการตั้งศูนย์ R&D และธุรกิจที่รองรับการเติบโตทางเทคโนโลยี อินโดนีเซีย เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน มีประชากรกว่า 270 ล้านคน เป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน และอยู่ในอันตับต้นๆ ของโลก การลงทุนที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศจึงมีความน่าสนใจ นอกจากนี้ปัจจุบันอินโดนีเซียเปิดรับเศรษฐกิจดิจิทัลมาก มีการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้มี Startup ระดับยูนิคอร์นอยู่หลายแห่ง เช่น แพลตฟอร์มการเรียกรถ Gojek, e-commerce อย่าง Tokopedia, ผู้ให้บริการด้านท่องเที่ยวอย่าง Traveloka เป็นต้น มาเลเซีย เป็นตลาดแรงงานฝีมือสูง ได้รับความนิยมจากนักลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมการผลิต โลจิสติกส์และบริการ เวียดนาม มีการเติบโตทางเศรษฐกิจจากจำนวนประชากรที่อยู่ในวัยแรงงานจำนวนมาก มีค่าแรงที่อยู่ในเรทแข่งขันได้ ทำให้มีต้นทุนการผลิตต่ำ และประชากรส่วนมากอยู่ในชนชั้นกลาง ทำให้มีโอกาสเติบโตจากการบริโภคภายในประเทศอีกด้วย รวมถึงมีแผนพัฒนาของรัฐบาลในการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานในเขตนิคมอุตสาหกรรมที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้งยังดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติได้มาก หลายบริษัทมีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาอยู่ที่เวียดนามมากขึ้น ไทย มีโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ โดยมีพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน และเส้นทางการค้า การขนส่งที่สะดวก เหมาะสำหรับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง
สิงคโปร์เป็นประเทศพัฒนามีแรงงานที่มีการศึกษาสูง และเป็น Financial Hub ที่สำคัญ มีการลงทุนจากต่างชาติมีส่วนสำคัญในการเปิดศูนย์ R&D และธุรกิจที่รองรับเทคโนโลยี อินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน มีประชากรกว่า 270 ล้านคน ทำให้มีการลงทุนที่น่าสนใจในการบริโภคภายในประเทศ และการสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล มาเลเซียมีแรงงานฝีมือสูง ได้รับความนิยมจากนักลงทุนต่างชาติในหลายอุตสาหกรรม เวียดนามมีการเติบโตเศรษฐกิจจากจำนวนประชากรที่มีวัยแรงงานมาก มีค่าแรงที่แข่งขันได้ และมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการลงทุน ไทยมีโครงการ EEC เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ โดยมีพื้นที่ที่เชื่อมต่อทะเลภาคตะวันออก และมีโครงสร้างพื้นฐานที่สะดวกสบายสำหรับการลงทุนด้านโครงสร้างและการขนส่ง
เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1327
Finance
จงสรุปบทความ รู้จักTNP กับการเจริญเติบโตเป็นตัวของตัวเอง ให้ด้วยนะคะ
ประเด็นกรุงเทพฯ จมน้ำกำลังมาแรง หากเรายกเมืองหลวงไปเหนือจะเจอกับอะไร? ก็ต้องบอกว่าหากยกไปเชียงรายเราคงได้เจอกับ TNP ร้านค้าปลีกและส่งมาเงียบ ๆ แต่โตไม่เบานะแน่ ๆ (ราคาเติบโตถึง 2 เด้ง ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง!) ? TNP ( 2 3 !) สุดสัปดาห์วันนี้ Mr. Serotonin เลยขอพาทุกคนมาสำรวจค้าปลีกที่อาจจะเรียกได้ว่า “Got a Niche” และมีวิธีในการขายสินค้าในรูปแบบที่โดดเด่นกัน Mr. Serotonin “Got a Niche” TNP ทำธุรกิจอะไร? TNP มีธุรกิจหลักคือการขายสินค้าจำพวกข้าวของเครื่องใช้อุปโภคและบริโภคไม่รวมของสดแบบซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งข้อดีของการเปิดร้านประเภทนี้ก็น่าจะเป็นการที่ร้านไม่ต้องรีบระบายของออกมากนัก เพราะ ไม่ได้ขายของสด จึงอาจทำให้การจัดการสินค้าทำได้ง่ายกว่าหากพูดง่าย ๆ ก็เป็นสินค้าจิปาถะจำพวก ผงซักฟอก จาน ชาม แชมพู สบู่ ยาสีฟัน น้ำ ยา นมผง หรือถ้าพูดแบบเชิงวิชาการหน่อยก็คงเป็นสินค้าพวก Consumer good หรือสินค้าอุปโภคบริโภคนั่นเอง TNP Consumer good ต่อมาเราลองมาสำรวจสัดส่วนรายได้ของ TNP กันต่อจะได้รู้ว่ารายได้แบบไหนมีผลต่อการรับรู้เป็นหลัก โดยหลัก ๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การขายผ่านสาขาและสำนักงานใหญ่ หรือ พูดง่าย ๆ ก็คือแบ่งรายได้เป็น 2 แบบ 1. แบบค้าปลีก 2. แบบค้าส่ง TNP 2 2 1. 2. ถ้าถามว่ารายได้ส่วนไหนมีสัดส่วนมากกว่ากัน จากรายงานประจำปี 2563 รายได้จากสาขา (ค้าปลีก) จะคิดเป็นสัดส่วน 93.60% ของรายได้หมด ในขณะที่อีก 6.40% มาจากการค้าส่งของสำนักงานใหญ่ (ค้าส่ง) นั่นเอง 2563 ( ) 93.60% 6.40% ( ) ดังนั้นในมุมของการรับรู้รายได้ TNP น่าจะรับรู้จากการขยายสาขาร้านค้าปลีกจำพวก “ซุปเปอร์มาเก็ต” เป็นหลัก (สัดส่วนแบบฮาร์ดคอถึง 93.60%) ซึ่งข้อดีของสัดส่วนรายได้เพียว ๆ แบบนี้ก็คือเราน่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยาก อีกทั้งธุรกิจก็เป็นธุรกิจที่ใกล้ตัวเราเห็นทุกวัน แล้วเผลอ ๆ บางคนอาจเข้าร้านประเภทนี้ทุกวันด้วยซ้ำ TNP “ ” ( 93.60%) คำถามต่อไปก็คือแล้ว TNP จะสู้กับพวกร้านค้าปลีกเบ็ดเสร็จเจ้าใหญ่ ๆ ยังไง คำตอบก็คือ TNP อาศัยความเข้าใจในคนพื้นที่ท้องถิ่นว่าต้องการสินค้าแบบไหน บริการยังไง ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจ โดยมีตัวอย่างตามรายงาน เช่น มีพนักงานบริการดีช่วยหยิบสินค้า แนะนำสินค้า มีบริการขนของส่งที่รถลูกค้าซึ่งไม่น่าจะหาได้ง่าย ๆ ตามร้านค้าปลีกทั่วไป (ยังไงทางที่ดีในจุดนี้อย่าลืมลงพื้นที่ไปสำรวจด้วยตัวเองนะครับ ผมเองยังไม่เคยไปอ่านมาจากรายงานอีกที) อีกทั้งยังมีความเข้าใจในสินค้าที่คนท้องที่ใช้งานและมีส่วนช่วยในการบริหารจัดการสินค้าในคลัง ซึ่งถือว่ามีความพิเศษอย่างมาก TNP TNP ( ) เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้ เพราะ อย่างที่เราเคยเห็นในอดีตอย่าง Walmart ที่เข้ามาเจาะระแวกบ้านเราก็ไม่ได้ตอบโจทย์หรือ Fit in กับวัฒนธรรมการซื้อคนไทยจนต้องยอมถอยออกไป ซึ่งผู้บริหารของ TNP บางท่านมีประสบการณ์ทำธุรกิจด้านค้าปลีกในเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงกว่า 27 ปี ส่งผลให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี สิ่ง ๆ นี้จึงอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ TNP มีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในแง่ของข้อดี แต่ในมุมของการเติบโตให้ยิ่งใหญ่นอกเหนือ Circle of competence ก็อาจจะต้องจับตามองต่อไป Walmart Fit in TNP 27 TNP Circle of competence ปัจจุบัน TNP มีกี่สาขาแล้วเป็นรูปแบบไหน? TNP ? ปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งหมด 36 สาขา เป็นร้านค้าปลีกแบบซุปเปอร์มาเก็ตทั้งหมด 35 สาขา และมีศูนย์ค้าส่ง 1 สาขา โดยอยู่ในเชียงรายเป็นหลักซึ่งโอกาสเติบโตที่อาจต้องเอาคิดในอนาคตก็อาจจะรวมจังหวัดบ้านใกล้เรือนเคียงมาด้วยถ้าอิงจากความเชี่ยวชาญที่ Claim ไว้ ดังนั้นโอกาสจึงไม่น่าจะจบแค่นี้ เพราะ น่าจะยังขยายสาขาไปยังพื้นที่ใกล้เคียงได้ต่อไป 36 35 1 Claim ข้อมูลเชิงตัวเลขและงบการเงินของ TNP TNP มาเริ่มกันที่รายได้จากสาขาต่าง ๆ กันก่อน เพราะ น่าจะเป็นตัวดันการเติบโตของ TNP TNP ภาพแสดงการเติบของรายได้จากการขายและ SSSG ที่มา: คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการสำหรับไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 จากภาพข้างต้นเราสังเกตจะเห็นได้ว่าหลัก ๆ แล้วการเติบโตของยอดขาย TNP มาจากการขยายสาขาเป็นหลัก (หากดูจากภาพรวมรายปีแท่งสีส้มมาโหดมาก) ในขณะที่ยอด SSSG (Same Store Sales Growth หรือ การเติบโตของยอดขายในสาขาเดิม) อาจจะไม่โดดเด่นมากนัก TNP ( ) SSSG (Same Store Sales Growth ) เราจึงอาจจะพอสรุปได้ว่าหาก TNP มีการขยายสาขารายได้ก็น่าจะโตต่อและสามารถสร้างมูลค่าต่อไปได้ ซึ่งถ้ามองในแง่ดีการรับรู้รายได้ก็น่าจะลดความซับซ้อนลงไปได้ครับ (อาจจะดูยอดการเติบโตของสาขาเป็นหลัก) แต่หากการขยายสาขาชะลอตัวเราก็อาจจะต้องจับตามองกันครับ TNP ภาพแสดงการเติบโตของรายได้ย้อนหลังของ TNP ที่มา: FINNOMENA Stock ทดลองใช้ FINNOMENA Stock ดูงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี แบบไม่ต้องโหลดรายงานทีละชุด! ได้ที่ลิ้งก์ด้านล่าง https://www.finnomena.com/stock https://www.finnomena.com/stock ทางด้านการเติบโตของรายได้โดยเฉลี่ยแล้วก็ถือว่าโตมาเรื่อย ๆ ตลอดประมาณ 10% ต่อปี ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross margins) หลังหักต้นทุนอยู่ที่ 13.76% 14.92% 16.24% ในปี 2561 2562 2563 (ตามข้อมูลของ FINNOMENA Stock) โดยการเติบโตของกำไรขั้นต้นนี้มาจากการขยายสาขาที่มากขึ้น จนทำให้ยอดสั่งสินค้าจากซัพพลายเออร์เพิ่มขึ้นไปด้วยจนทำให้ได้ค่าการสนับสนุน (อาจจะเป็นส่วนลดหรือสิทธิพิเศษเพิ่มเติมต่าง ๆ) 10% (Gross margins) 13.76% 14.92% 16.24% 2561 2562 2563 ( FINNOMENA Stock) ( ) ทาง TNP ใช้รูปแบบการซื้อสินค้าในปริมาณมาก ๆ (เชิงเหมาซื้อเยอะให้ได้ราคาพิเศษอยู่แล้ว) และด้วยปริมาณการซื้อสินค้าที่มากขึ้นตามการเติบโตก็น่าจะช่วยลดต้นทุนในส่วนนี้ลงไป ช่วยดัน SG&A (ต้นทุนการขายและบริหาร) ลงถึงแม้จะเพิ่มขึ้นหากคิดเป็นสัดส่วน โดยคิดเป็น 10.3% 10.2% และ 9.3% ของรายได้รวมในปี 2561 2562 2563 (ข้อมูลจากรายงานประจำปี 2563) TNP ( ) SG&A ( ) 10.3% 10.2% 9.3% 2561 2562 2563 ( 2563) ภาพแสดงสัดส่วนต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารเทียบกับรายได้รวม ที่มา: รายงานประจำปี 2563 เหตุผลต่าง ๆ ข้างต้นก็ได้ส่งผลให้กำไรสุทธิ 3 ปีย้อนหลังของ TNP เติบโตตามไปด้วยไม่ต่างกันตามรายละเอียดดังนี้ (อย่าลืมไป Cross check กันอีกทีนะครับ) 3 TNP ( Cross check ) ภาพแสดงการเติบโตของกำไรสุทธิย้อนหลังของ TNP ที่มา: FINNOMENA Stock ทดลองใช้ FINNOMENA Stock ดูงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี แบบไม่ต้องโหลดรายงานทีละชุด! ได้ที่ลิ้งก์ด้านล่าง https://www.finnomena.com/stock https://www.finnomena.com/stock ภาพแสดงอัตราส่วนทางการเงินย้อนหลังของ TNP ที่มา: FINNOMENA Stock ทดลองใช้ FINNOMENA Stock ดูงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี แบบไม่ต้องโหลดรายงานทีละชุด! ได้ที่ลิ้งก์ด้านล่าง https://www.finnomena.com/stock https://www.finnomena.com/stock ในแง่ของสัดส่วนด้านสภาพคล่องและหนี้สินก็ถือได้ว่าโดดเด่นโดยมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.31 โดยมีอัตราส่วนสภาพคล่องอยู่ถึง 2.2 เท่า ตามการรายงานของปี 2563 ซึ่งถือได้ว่าหากเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้นมาจริง ๆ ก็น่าจะยืนระยะอยู่ได้ อีกทั้งยังมี ROE ที่โดดเด่นถึง 17.91% เหนือกว่าขั้นต่ำตามตำราที่ 15% ในแง่ความถูกแพงปัจจุบัน TNP มีค่า P/E อยู่ที่ประมาณ 23.63 เท่า ซึ่งเทียบกับการเติบโตของกำไรต่อหุ้นเฉลี่ย 5 ปี (ครบรอบระยะเวลามาตรฐานย้อนหลังพอดี) ที่ประมาณ 24% ต่อปี ก็อาจจะถือได้ว่าทรง ๆ ไม่ได้ถูกไม่ได้แพง หากเทียบกับการเติบโตของกำไรที่ค่อนข้างต่อเนื่อง และหากคิดเป็น PEG ก็น่าจะอยู่ที่ราว ๆ 0.98 ซึ่งถ้าเทียบแบบหยาบ ๆ ตามนี้เราอาจจะสรุปได้ว่าไม่ถูกไม่แพงทรง ๆ ทางด้านวงจรเงินสดก็ถือได้ว่าลดลงเรื่อย ๆ โดยมีสาเหตุมาจากการขยายสาขาได้เพิ่มขึ้นทำให้การขายสินค้าแล้วได้รับเงินกับมือเลยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะ คงไม่มีใครเดินเข้าร้านแนว ๆ ซุปเปอร์มาเก็ตแล้วบอกว่าขอใช้ Buy Now Pay Later ในตอนนี้ (แต่ในอนาคตก็ไม่แน่นะ) TNP ถือได้ว่าเป็นหุ้นค้าปลีกที่สามารถเติบโตได้ในแบบฉบับของตัวเองผ่านความเข้าใจเฉพาะตัว เข้าตำรา “Got a Niche” ท่ามกลางกระแสการ Disrupt ของ E-commerce และการเติบโตของอุตสาหกรรมค้าปลีกในระยะยาวที่อาจจะเป็นเครื่องหมายคำถามของใครหลาย ๆ คน อีกทั้งหุ้นตัวนี้ยังช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าการลงทุนอาจไม่ต้องใช้ท่ายากเสมอไป เพราะ หากใครถือหุ้นตัวนี้ตั้งแต่ต้นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 33.33% ต่อปี ซึ่งก็ถือว่าดีพอและส่งให้คุณอยู่ในระดับเดียวกันกับนักลงทุนระดับท็อปได้อย่างไม่ยากเย็นในระดับที่เอาชนะตลาดได้ TNP “Got a Niche” Disrupt E-commerce พิสูจน์ให้เห็นว่าการลงทุนอาจไม่ต้องใช้ท่ายากเสมอไป เพราะ หากใครถือหุ้นตัวนี้ตั้งแต่ต้นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 33.33% ต่อปี ซึ่งก็ถือว่าดีพอและส่งให้คุณอยู่ในระดับเดียวกันกับนักลงทุนระดับท็อปได้อย่างไม่ยากเย็นในระดับที่เอาชนะตลาดได้ พิสูจน์ให้เห็นว่าการลงทุนอาจไม่ต้องใช้ท่ายากเสมอไป เพราะ หากใครถือหุ้นตัวนี้ตั้งแต่ต้นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 33.33% ต่อปี ซึ่งก็ถือว่าดีพอและส่งให้คุณอยู่ในระดับเดียวกันกับนักลงทุนระดับท็อปได้อย่างไม่ยากเย็นในระดับที่เอาชนะตลาดได้ ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังของ TNP ที่มา: FINNOMENA Stock ทดลองใช้ FINNOMENA Stock ดูงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี แบบไม่ต้องโหลดรายงานทีละชุด! ได้ที่ลิ้งก์ด้านล่าง https://www.finnomena.com/stock https://www.finnomena.com/stock “คุณไม่ต้องการ IQ ระดับสูงในธุรกิจนี้ คุณต้องการเพียง IQ ที่จะเดินทางจากที่นี่ไปยังโอมาฮ่า” – Warren Buffett คิดเห็นอย่างไรคอมเมนต์กันมาได้เลยนะครับ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin References https://www.set.or.th/set/pdfnews.do?newsId=16359788922021&sequence=2021117722 https://www.set.or.th/set/pdfnews.do?newsId=16359788922021&sequence=2021117722 รายงานประจำปี 2563 บริษัท TNP คำเตือน คำเตือน ผู้ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้เขียนบทความนี้มิได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ ผู้ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้เขียนบทความนี้มิได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้
บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน)หรือ TNP มีธุรกิจหลักคือการขายสินค้าอุปโภคและบริโภคไม่รวมของสดเหมือนซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมีทั้งร้านค้าแบบค้าปลีก และร้านค้าส่ง โดยจุดเด่น คือ ความเข้าใจคนในท้องที่ว่าต้องการสินค้าและบริการแบบใด จนทำให้มีร้านค้าปลีกแบบ Supermarket ทั้งหมด 35 สาขา และศูนย์ค้าส่ง 1 สาขา โดยอยู่ในจังหวัดเชียงรายเป็นหลัก อีกทั้งยังมีแผนจะขยายสาขาไปพื้นที่ใกล้เคียงอีกด้วย ซึ่ง TNP ถือว่าเป็นหุ้นค้าปลีก ที่สามารถเติบโตได้ ซึ่งดูได้จากผู้ที่ถือหุ้นตัวนี้ตั้งแต่ต้นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 33.33% ต่อปี ซึ่งถือว่าดีมาก
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1329
Finance
บริษัท AMD คือบริษัทอะไร
null
บริษัท แอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ จำกัด (AMD) เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน โดยเป็นผู้ผลิตและผู้พัฒนา ซีพียู และเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นคู่แข่งในฝั่งของ CPU กับ Intel มานานหลายสิบปี จนใน ค.ศ. 2011 มี CPU ที่ใช้ชื่อว่า Bulldozer ถูกสร้างขึ้นมาแข่งกับ Intel แต่ทว่าประสิทธิภาพกลับย่ำแย่ กระทบยอดขายหนัก จนกระทั่งปี 2014 มูลค่าตลาดของ AMD เหลืออยู่เพียง 2 พันล้านดอลลาร์ เพราะราคาหุ้นร่วงกว่า -40% ในปีเดียว ซึ่งนักลงทุนต่างคิดกันว่า AMD จะกลับเข้ามาแข่งขันได้ยากและเป็นจุดจบของบริษัทไปแล้ว หลังจากที่เสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับ Intel มานานหลายปีทาง AMD ได้เปลี่ยน CEO คือ Lisa Su หรือป้า Lisa ที่คนไทยคุ้นหูซึ่งไม่ได้อยู่ BLACKPINK เข้ามานั่งตำแหน่งสูงสุดของการบริหาร โดย Lisa ได้เข้ามาจัดการปัญหาหลัก ๆ ของบริษัทคือ เรื่องการปรับโครงสร้างของค่าใช้จ่าย และการหา Growth รวมทั้งได้วาง Roadmap ของตัว Product ของบริษัทไว้อย่างชัดเจนเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของลูกค้าและนักลงทุนได้เป็นอย่างดี หลังจากนั้น 3 ปี Cashflow ของบริษัทก็กลับมาบวกได้เป็นครั้งแรก หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงทีมงานออกแบบใหม่ บริษัทได้มีการปรับปรุง CPU และเปลี่ยนแปลงหลายส่วน เพื่อปรับปรุงความเร็ว ทางบริษัทจึงได้ตัดสินใจทิ้งสถาปัตยกรรมอย่าง Bulldozer พร้อมกับได้ทุ่มทรัพยากรเพื่อสร้างสถาปัตกรรมตัวใหม่ที่มีชื่อว่า Zen ทางบริษัทได้เปิดตัว Zen Architechture ในปี 2017 เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดของในรอบ 5 ของ AMD ในตอนนั้น CPU Ryzen รุ่นแรกคือ Ryzen 3, 5, 7 1300x, 1600x และ 1800x ใน Series 3, 5 และ 7 จะมีรุ่นย่อย ๆ อีกหลายตัวแต่ที่นำมาเป็นรุ่น Top ของแต่ละ Series ซึ่งการเปิดตัวในครั้งนั้นตัวชิปมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับของ Intel มาก หลังจากที่เสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับ Intel มานานจนกระทั่งมี Ryzen ออกมาจึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ AMD เร่งตัวขึ้นทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดของ AMD ตีตื้น Intel มาแล้ว อยู่ในระดับ 40% รวมถึง Intel ยังออกมายอมรับว่า CPU ของตัวเองล้าหลังกว่าของ AMD พอสมควรดังนั้น Ryzen ถือว่าเป็น CPU ที่มาคืนชีพให้กับ AMD ก็ว่าได้ ปัจจุบัน AMD มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1.4 แสนล้านดอลลาร์ โตมากกว่า 70 เท่า โดยใช้เวลาแค่เพียง 7 ปี
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1332
Finance
กองทุนเทคโนโลยี ธีมหุ้นเทคโนโลยีโลก (GlobalTech) มีอะไรบ้าง
null
หุ้นเทคโนโลยีถือได้ว่าเป็นหุ้นที่สร้างการเติบโตของกำไรได้อย่างน่าทึ่ง สร้างกระแสเงินสดได้ดี และให้ผลตอบแทนที่สูง อย่างไรก็ตาม หุ้นเทคโนโลยีชั้นนำไม่ได้อยู่แค่ในสหรัฐฯ พื้นที่อื่น ๆ บนโลกเองก็มีหุ้นเทคที่แข็งแกร่ง เช่น เอเชียที่มีหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Alibaba (อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ในจีน), Sea (เจ้าของ Shopee และ AirPay) หรือ TSMC (ผู้ผลิตชิปให้ Apple บริษัท เทคโนโลยีระดับโลก) เป็นต้น ซึ่งก็สร้างผลตอบแทนได้ดีและเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ดังนั้น ธีมการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีโลกจึงเป็นอีกหนึ่งธีมการลงทุนที่น่าสนใจในการคว้าโอกาสเติบโตแบบทั่วถึง กองทุนเทคโนโลยี ธีมหุ้นเทคโนโลยีโลก (GlobalTech) ได้แก่ - KFHTECH-A นโยบายการลงทุน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ BGF World Technology Fund (Class D2 USD) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ลงทุนในหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นในหมวดเทคโนโลยี โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน “ทั้งหมด/เกือบทั้งหมด” รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: 1.50% ค่าธรรมเนียมขาย: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: 1.50% ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.8025% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 0.9968% *ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก KFHTECH-A Fund Fact Sheet ณ วันที่ 29 ต.ค. 2564 - KFGTECH-A นโยบายการลงทุน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ T. Rowe Price Funds SICAV – Global Technology Equity Fund (Class Q) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพัฒนาหรือใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโดยเน้นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีทั่วโลกรวมถึงประเทศในตลาดเกิดใหม่ โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตาม “ดุลยพินิจ” รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: 1.50% ค่าธรรมเนียมขาย: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: 1.50% ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.9630% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 1.1635% * ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก KFGTECH-A Fund Fact Sheet ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564 - MGTECH นโยบายการลงทุน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ BGF Next Generation Technology Fund (share class) “I2” โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่มีความโดดเด่นในการประกอบธุรกิจทั้ง ด้านการวิจัยการพัฒนา การผลิต และหรือการบริการของเทคโนโลยีใหม่และที่เกิดขึ้นใหม่ โดยกองทุนมุ่งเน้น ลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อยุคหน้าได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) คอมพิวเตอร์ (Computing) ระบบอัตโนมัติ (Automation) หุ่นยนต์ (Robotics) การวิเคราะห์ทางเทคโนโลยี (Technological Analytics) พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) ระบบการชำระเงิน (Payment Systems) เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communications Technology) และการออกแบบโครงสร้างเชิงวิศวกรรม (Generative Design) โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตาม “ดุลยพินิจ” รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: 1.50% ค่าธรรมเนียมขาย: ไม่มี ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: ไม่มี ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ไม่มี ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.6050% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 1.9581% *ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก MGTECH Fund Fact Sheet ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 - B-INNOTECH นโยบายการลงทุน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ Fidelity Funds – Global Technology Fund Class Y-ACC-USD โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลกที่มีการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์กระบวนการ หรือบริการ อันจะนํามาซึ่งประโยชน์ อย่างสูงจากความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตาม “ดุลยพินิจ” รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: ไม่เกิน 1.00% ค่าธรรมเนียมขาย: ไม่มี ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: ไม่มี ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ไม่เกิน 1.00% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.0700% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 1.2020% *ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก B-INNOTECH Fund Fact Sheet ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2564
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1333
Finance
ในฐานะนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่ยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF เหมาะสมกับนักลงทุนประเภทไหน?
null
กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่ยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้: 1. นักลงทุนที่มีมุมมองระยะยาว: กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF ลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว นักลงทุนควรมีมุมมองระยะยาวและสามารถอดทนต่อความผันผวนของตลาดในระยะสั้น 2. นักลงทุนที่เชื่อในพลังของการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก: กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF ลงทุนในบริษัทที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นักลงทุนควรมีความเชื่อในพลังของการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและต้องการสนับสนุนบริษัทเหล่านี้ 3. นักลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูง: กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF ลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูง นักลงทุนควรมีระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับการลงทุนในกองทุนประเภทนี้ 4. นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง: กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF ลงทุนในหุ้นทั่วโลก นักลงทุนสามารถใช้กองทุนเหล่านี้เพื่อกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน 5. นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น: กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในอดีต นักลงทุนสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่น่าพอใจจากกองทุนเหล่านี้ นอกจากนี้ กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF ยังมีข้อดีอื่นๆ ดังต่อไปนี้: บริหารโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ มีนโยบายลงทุนที่ชัดเจนและโปร่งใส มีค่าธรรมเนียมที่แข่งขันได้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุน เช่น นโยบายกองทุน ความเสี่ยง ผลการดำเนินงาน และค่าธรรมเนียม สรุป: กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่ยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น เหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองระยะยาว เชื่อในพลังของการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูง ต้องการกระจายความเสี่ยง และต้องการลงทุนในกองทุนที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1335
Finance
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ SET Index สูงเกินไปเมื่อเทียบกับกำไรตลาด แต่ SET50 Index ยังถือว่าสมเหตุสมผล กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร?
null
จากบทความ "SET Index ขึ้นนำกำไรไปไกลแล้ว" โดย ประกิต สิริวัฒนเกตุ วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3 ปี 2564 ว่า กำไรตลาดฟื้นตัวช้า แต่ดัชนี SET Index กลับมาอยู่ที่ระดับสูงกว่าก่อนเกิด COVID-19 สาเหตุหลักมาจากการที่หุ้นขนาดกลาง-เล็ก (sSET) ปรับตัวขึ้นร้อนแรงกว่า 48.68% กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในสถานการณ์นี้ เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET50: เน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดี ผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ เลือกลงทุนในธีมการฟื้นตัว: มองหาหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ การท่องเที่ยว เศรษฐกิจภายในประเทศ เลือกลงทุนในหุ้นที่มี Valuation ต่ำ: มองหาหุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด: วิเคราะห์ข้อมูล ประเมินสถานการณ์ ปรับกลยุทธ์การลงทุนตามความเหมาะสม คำแนะนำเพิ่มเติม: ลงทุนระยะยาว: ไม่ควรหวังผลตอบแทนระยะสั้น เน้นการลงทุนระยะยาวเพื่อผลตอบแทนที่มั่นคง ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูลของบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน เข้าใจธุรกิจ ผลประกอบการ ความเสี่ยง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน วางแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมาย สรุป: กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในสถานการณ์ปัจจุบันควรเน้นหุ้นกลุ่ม SET50 ธีมการฟื้นตัว หุ้นที่มี Valuation ต่ำ กระจายความเสี่ยง ติดตามข่าวสาร ลงทุนระยะยาว ศึกษาข้อมูล ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1338
Finance
ขอคำแนะนำ บทเรียนการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม มีอะไรบ้าง
null
บทเรียนการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม คือ 1) ตลาดหุ้นไม่ว่าจะดีหรือโดดเด่นแค่ไหนในระยะยาว ก็มีช่วงเวลาที่เลวร้ายและเวลาที่แน่นิ่งไม่ไปไหน ลงทุนไปแล้วอย่าคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีหรือดีมากทันที ว่าที่จริงถ้าเข้าช่วงที่ร้อนแรงก็อาจจะผิดหวังได้มากกว่าเวลาที่เลวร้ายหรือเวลาที่หุ้นไม่ไปไหนมาหลายปี 2) การเลือกหุ้นลงทุนนั้น ถ้าเรายึดกับประวัติศาสตร์หรือการศึกษาจากประสบการณ์ที่ยาวนาน ว่าหุ้นประเภทไหนจะเป็น “ผู้ชนะ” โอกาสก็เป็นไปได้ว่าวิธีนั้นก็เป็นวิธีที่ชนะในระยะยาว ตัวอย่างก็คือการเลือกหุ้นราคาถูกมากแบบ Magic Formula ซึ่งแม้ว่าจะไม่สามารถปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดได้ ก็ยังให้ผลลัพธ์ที่ดี โครงสร้างทางเศรษฐกิจของเวียดนามนั้น คล้ายคลึงกับของไทยมากเพียงแต่เวียดนามมีขั้นของการพัฒนาตามหลังไทยอยู่ประมาณน่าจะซัก 20 ปีหรืออาจจะน้อยกว่านั้นถ้าไทย “หยุด” อย่างรวดเร็วมาก ดังนั้น ตลาดหุ้นของเวียตนามก็น่าจะมีพฤติกรรมและการเติบโตของดัชนีคล้าย ๆ กับตลาดหุ้นไทยในอดีต ดังนั้น เวลาจะลงทุนหุ้นแต่ละตัวหรือในแต่ละอุตสาหกรรมจึงควรคำนึงถึงความจริงข้อนี้ ตัวอย่างเช่น หุ้นที่ร้อนแรงและมี Market Cap. สูงมากในปัจจุบันของเวียตนามคือหุ้นอสังหา หุ้นโบรกเกอร์ หุ้นแบงก์ หุ้นเหล็ก เป็นต้น แต่หุ้นเหล่านี้ในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันก็หมดยุคไปแล้ว ดังนั้นถ้าจะลงทุนระยะยาวก็ต้องระวังด้วย
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1343
Finance
ช่วยสรุปบทความ รู้จัก BE8: ร่างทรง Salesforce โตระเบิด
รู้จัก BE8: ร่างทรง Salesforce โตระเบิด BE8 เป็นอีกหนึ่งบริษัทแนว Consult ให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยี ช่วยบริษัทและธุรกิจวางแผนทิศทางและกลยุทธ์ ออกแบบระบบ พัฒนาระบบ รวมถึงพัฒนาพนักงานในบริษัทต่าง ๆ ให้มีความพร้อมในการประยุกต์ใช้เครื่องมือเทคโนโลยีมาร่วมทำงาน รวมถึงยังมีรายได้หลักที่น่าสนใจมาจากงานบริการด้านเทคโนโลยีซึ่งมีรายได้ค่า Subscribe จ่ายตามการใช้งานเป็นช่วง ๆ รวมถึงรายได้จากบริการหลังการติดตั้ง เช่น การดูแลระบบ (Maintenace) เป็นต้น รายได้หลักทั้ง 2 รูปแบบมีผลต่อรายได้รวมมากขนาดไหน? เราก็อาจจะแบ่งเป็นสัดส่วนได้ดังนี้ รายได้จากการให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยี (Strategy and Technology Consulting) 61.25% (2563) และ 52.12% (6 เดือน ปี 2564) ในขณะที่รายได้จากงานด้านบริการเทคโนโลยี (Technology service) มีสัดส่วนอยู่ที่ 38.51% (2563) และ 47.77% (6 เดือน ปี 2564) ตามลำดับ จากข้อมูลข้างต้นหากสังเกตดี ๆ เราจะเห็นได้ว่ารายได้จากงานบริการด้านเทคโนโลยีกำลังปรับตัวขึ้น สิ่งนี้บอกอะไรกับเรา? มันกำลังบอกกับเราว่า BE8 น่าจะสามารถสร้างกระรายได้และอาจรวมไปถึงกระแสเงินสดที่ต่อเนื่องได้ในอนาคต เพราะ มีรายได้จากการ Subscribe ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างตอบโจทย์ในแง่ของการลงทุน เพราะ เราคงอยากได้บริษัทที่สร้างรายได้แบบสม่ำเสมอ มีกระแสเงินสดต่อเนื่อง ซึ่งอาจช่วยให้มูลค่ากระแสเงินสดที่เราประเมินมีความแน่นอนมากขึ้น อีกทั้งกระแสเงินสดในส่วนนี้น่าจะมีความมั่นคงในระดับหนึ่ง เพราะถูกสร้างมาด้วย “ซอฟต์แวร์ของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก” (หลัก ๆ น่าจะเป็น Salesforce เพราะ ยอดการจัดซื้อมีสัดส่วนถึง 88.11% ตามงวด 6 เดือนแรกปี 2564) ที่ถูกนำไปวางแผนและติดตั้งให้กับลูกค้า
BE8 เป็นบริษัทในสายงาน Consult ที่ให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยี มีบริการวางแผนทิศทาง, ออกแบบ และพัฒนาระบบ พร้อมพัฒนาพนักงานในบริษัทต่าง ๆ ให้มีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยี รายได้มาจากค่า Consult และบริการเทคโนโลยีที่เสนอให้ลูกค้า โดยมีสัดส่วนรายได้จาก Consult มากกว่าบริการเทคโนโลยี ในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2564 มีการปรับตัวขึ้นของรายได้จากงานบริการด้านเทคโนโลยี BE8 มีศักยภาพในการสร้างรายได้และกระแสเงินสดต่อเนื่องในอนาคตด้วยรายได้จากการ Subscribe ซึ่งมีความมั่นคงและมาจากซอฟต์แวร์ระดับโลก เช่น Salesforce ที่มีสัดส่วนการจัดซื้อสูงถึง 88.11% ในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2564
การวิเคราะห์ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน,ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1345
Finance
แนะนำหน่อย 5 กองทุนสหรัฐฯ ที่ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาท มีอะไรบ้าง
null
1. TMBUSO กองทุน TMBUSO หรือ UOB Smart Global Healthcare Fund จาก บลจ. ทหารไทย (TMBAM) มีนโยบายลงทุนในกองทุน BNP PARIBAS FUNDS US VALUE MULTI-FACTOR EQUITY – Class I เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน TMBUSO จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 2.SCBS&P500 กองทุน SCBS&P500 หรือ SCB US EQUITY FUND จาก บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) มีนโยบายลงทุนในกองทุน iShares Core S&P 500 ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน SCBS&P500 จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 3. TMBUS500 กองทุน TMBUS500 หรือ TMB US500 Equity Index Fund จาก บลจ. ทหารไทย (TMBAM) มีนโยบายลงทุนในกองทุน iShares Core S&P 500 ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน TMBUS500 จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 4. SCBBLN กองทุน SCBBLN หรือ SCB BILLIONAIRE FUND จาก บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) กองทุนมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นของประเทศสหรัฐอเมริกา และ/หรือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่เน้นลงทุนในหุ้นของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน SCBBLN จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 5. TMBUSBLUECHIP กองทุน TMBUSBLUECHIP หรือ US Blue Chip Equity Fund จาก บลจ. ทหารไทย (TMBAM) มีนโยบายลงทุนในกองทุน T. Rowe Price Funds SICAV — US Blue Chip Equity Fund Class I (USD) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน TMBUSBLUECHIP จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1347
Finance
เขียนเรื่องสั้นเรื่อง ''ฝันของนักเดินทางในโลกเงินสกุลดิจิทัล'' ให้หน่อย
null
ชื่อเรื่อง: ฝันของนักเดินทางในโลกเงินสกุลดิจิทัล ในทศวรรษ 2020 โลกได้เข้าสู่ยุคของเงินสกุลดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ทุกคนเริ่มต้นรับรู้ถึงความสำคัญและประโยชน์ของการใช้เงินดิจิทัลในชีวิตประจำวัน ในโลกที่ทุกอย่างเป็นไอโอที่มีชีวิตอยู่บนบล็อกเชน มีเครื่องมือการเงินและการซื้อขายที่ดีเยี่ยมกว่าที่เคยมีมาก่อน แต่ก็มีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย มีนักเดินทางคนหนึ่งชื่อว่าเจมส์ ที่มุ่งมั่นที่จะสำรวจโลกของเงินสกุลดิจิทัลอย่างลึกซึ้ง เริ่มต้นการเดินทางของตัวเองโดยการซื้อบิทคอยน์แรกของเขา และเริ่มต้นสร้างพอร์ตการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ เจมส์ได้ทำการศึกษาและสำรวจลึกลงไปในโลกของเงินสกุลดิจิทัล ซึ่งเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาส ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดในราคาของสกุลเงินต่าง ๆ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว และการลงทุนในโลกของเงินสกุลดิจิทัลก็มีความเสี่ยงที่มากขึ้น ในการเดินทางของเจมส์ ได้พบกับผู้คนที่มีวิธีการคิดและวิสัยทัศน์ที่หลากหลาย ได้พบกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญในการทำกำไรจากการลงทุนในเงินสกุลดิจิทัล และยังได้พบกับผู้คนที่เสี่ยงเป็นความเสี่ยงในการลงทุนอย่างไม่มีขีดจำกัด เจมส์ได้เรียนรู้จากทุกประสบการณ์ที่ได้พบเจอ และก็เริ่มเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองในการจัดการกับความเสี่ยงและการลงทุนในโลกของเงินสกุลดิจิทัล รู้ว่าในโลกนี้ การศึกษาและความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการเงินเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เพื่อให้เสามารถปรับตัวและเข้าใจเกี่ยวกับโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในโลกของเงินสกุลดิจิทัล ** ในสิ้นสุดของการเดินทางของเจมส์ เจมส์ไม่เพียงแค่เรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุน แต่เจมส์ยังได้รู้จักกับความสำคัญของการมีเป้าหมายในชีวิต และการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการเงินสกุลดิจิทัล ในท้ายที่สุด เจมส์รู้ว่าการเดินทางในโลกของเงินสกุลดิจิทัลยังไม่จบลง แต่มันเป็นการเริ่มต้นของสิ่งใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง สำหรับเจมส์และสำหรับโลกในทศวรรษ 2020 ของเงินสกุลดิจิทัลนั้น
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1348
Finance
ช่วยเขียนโฆษณาแคมเปญเกี่ยวกับ "สำรวจโอกาสการลงทุนที่น่าตื่นเต้น ด้วย 11 กองทุนผลตอบแทน 1 ปีที่ให้ผลงานน่าทึ่ง จากทุกหมวดกองทุน!" ให้หน่อย
null
"สำรวจโอกาสการลงทุนที่น่าตื่นเต้น ด้วย 11 กองทุนผลตอบแทน 1 ปีที่ให้ผลงานน่าทึ่ง จากทุกหมวดกองทุน!" พบกับโอกาสการลงทุนที่น่าตื่นเต้นและผลตอบแทนที่น่าสนใจ จาก 11 กองทุนที่ได้รับการเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน ในแต่ละหมวดกองทุน ที่นำเสนอโอกาสการลงทุนที่สมบูรณ์แบบ วัตถุประสงค์ของแคมเปญ 1. ส่งเสริมการเข้าใจและการศึกษาเกี่ยวกับกองทุนต่างๆ ในตลาด 2. เสนอโอกาสการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงและความเสี่ยงที่ต่ำให้กับผู้ลงทุน 3. สร้างความตื่นเต้นและความสนใจในการลงทุนในกองทุนต่างๆ วิธีการดำเนินการ 1. โปรโมทผ่านสื่อสังคม ใช้สื่อสังคมเพื่อสร้างความตื่นเต้นและแนะนำให้ผู้ที่สนใจเข้ามาสำรวจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแต่ละกองทุนผ่านโพสต์และสตอรี่ในโซเชียลมีเดีย 2. เว็บไซต์และบล็อก: สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าเกี่ยวกับกองทุนแต่ละกอง ผ่านบทความ คำแนะนำ และบทวิจารณ์ 3. เวิร์กช็อปและสัมมนา: จัดเตรียมเวิร์กช็อปและสัมมนาเพื่อเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุน โดยมีผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเป็นวิทยากร 4. โปรโมทผ่านทางออนไลน์และออฟไลน์: ใช้วิธีโปรโมททั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น โฆษณาทางอินเทอร์เน็ต โปสเตอร์ และป้ายโฆษณา ประโยชน์สำหรับผู้ร่วมแคมเปญ 1. พบกับโอกาสการลงทุนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และสไตล์การลงทุนของตนเอง 2. ได้รับความรู้และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน 3. มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าจากการลงทุนในกองทุนที่ถูกคัดเลือกอย่างรอบคอบ ** ด้วยแคมเปญ "ส่อง 11 กองทุนผลตอบแทน 1 ปีสุดปังจาก 11 หมวดกองทุน" นี้ ส่งเสริมความเข้าใจและความมั่นใจในการลงทุนในกองทุน และเปิดโอกาสให้กับผู้ลงทุนทุกคนในการเพิ่มมูลค่าของพอร์ตโฟลิโอการลงทุนของตนเอง!
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1349
Finance
การขยับของ Apple อัพเดต iOS 14.5 ที่ให้สิทธิ์ผู้ใช้งานเลือกว่าจะยอมให้แอปเก็บข้อมูลระหว่างการใช้งานหรือไม่ สร้างปัญหาให้กลุ่ม Digital Ads ส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ซื้อโฆษณาผ่าน Social Media เนื่องจากอะไร ระหว่าง ผู้ซื้อโฆษณาไม่สามารถติดตามคุณภาพโฆษณาได้ตามต้องการ หรือ คนจำนวนไม่น้อยเบื่อที่แอปพยายามติดตามข้อมูลตลอดเวลา
null
ผู้ซื้อโฆษณาไม่สามารถติดตามคุณภาพโฆษณาได้ตามต้องการ เพราะการขยับของ Apple อัพเดต iOS 14.5 ที่ให้สิทธิ์ผู้ใช้งานเป็นคนเลือกว่าจะยอมให้แอปเก็บข้อมูลระหว่างการใช้งานหรือไม่ สร้างปัญหาให้กลุ่ม Digital Ads โดยเฉพาะแอป Social Media สิ่งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ซื้อโฆษณาผ่าน Facebook, Snapchat, Twitter และแอปอื่น ๆ เนื่องจากผู้ซื้อโฆษณาจะไม่สามารถติดตามคุณภาพตัวโฆษณาได้ตามต้องการ เช่น โฆษณาที่ยิงไปเข้าถึงกลุ่มลูกค้ากี่คน หรือการโฆษณาเพื่อให้ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ ทำให้ผู้ซื้อโฆษณาจะประเมิน Return on Investment (ROI) จากการโฆษณาไม่ได้ พอเป็นแบบนี้แล้ว ผู้ซื้อโฆษณาบางส่วนจึงขอลดการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มที่มีปัญหาไปก่อน แต่ที่น่าสนใจคือบางส่วนหันไปซบอก Apple ยิงโฆษณาผ่าน App Store แทน เพราะยังติดตามคุณภาพได้เหมือนเดิม ส่วน "คนจำนวนไม่น้อยเบื่อที่แอปพยายามติดตามข้อมูลตลอดเวลา" เป็นประโยชน์ที่ได้รับของ Apple รวมทั้งได้คำชื่นชมจากผู้ใช้งานด้วย ซึ่งถ้ามองแบบตรงไปตรงมา นี่เป็นอีกครั้งที่ Apple พยายามกินรวบตลาด ทำให้บริษัทพึ่งพาระบบ iOS ต้องเสียประโยชน์ ในทางตรงข้าม Apple ก็ได้คำชื่นชมจากผู้ใช้งาน เพราะคนจำนวนไม่น้อยเบื่อที่เหล่าแอปพยายามจะติดตามข้อมูลตลอดเวลา
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1350
Finance
เขียนเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับ "การเข้าใจ Share Class: หนึ่งในความรู้สำคัญสำหรับนักลงทุน" ให้หน่อย
null
เรื่องสั้น: "การเข้าใจ Share Class: หนึ่งในความรู้สำคัญสำหรับนักลงทุน" ในโลกของการลงทุนกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมากคือ "Share Class" ซึ่งเป็นวิธีการแบ่งแยกกองทุนลงทุนเพื่อให้เหมาะกับความต้องการและวัตถุประสงค์ของนักลงทุนที่แตกต่างกันไป ในเรื่องสั้นนี้เราจะสำรวจและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Share Class และความสำคัญของมันต่อการลงทุน ในโลกการลงทุนที่หลากหลายในปัจจุบัน Share Class เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และความต้องการของตนได้อย่างแม่นยำ ด้วยการเข้าใจ Share Class นักลงทุนจะสามารถทำเลือกในการลงทุนอย่างมั่นใจและมีส่วนสำคัญในการบรรลุวัตถุประสงค์การเงินได้ ในทางทฤษฎี Share Class เป็นวิธีที่บริษัทกองทุนใช้ในการแยกกองทุนลงทุนให้แก่นักลงทุน โดยมีเหตุผลหลักๆ คือเพื่อให้นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่เหมาะกับความต้องการและความเสี่ยงได้ โดย Share Class สามารถแบ่งออกเป็นหลายชนิด เช่น Class A, Class B, Class C ซึ่งแต่ละ Class จะมีลักษณะและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน เรื่องสำคัญที่นักลงทุนควรรู้จักเกี่ยวกับ Share Class ได้แก่ 1. ค่าธรรมเนียม: แต่ละ Share Class อาจมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน เช่น Class A อาจมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า Class B หรือ Class C แต่มักจะมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายสูงกว่าในแต่ละครั้ง 2. การจัดสรรกำไรและขาดทุน: แต่ละ Share Class อาจมีวิธีการจัดสรรกำไรและขาดทุนที่แตกต่างกัน เช่น Class A อาจมีการจัดสรรกำไรและขาดทุนโดยให้นักลงทุนเหมาะสมกับการถือครองยาวนานขึ้น 3. การโหวต: บาง Share Class อาจมีสิทธิ์ในการโหวตในการประชุมสามัญของกองทุน ในขณะที่อื่นๆ อาจไม่มีสิทธิ์ในการโหวตเลย 4. การซื้อขาย: ความสะดวกสบายในการซื้อขายกองทุนก็เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณา เนื่องจากบาง Share Class อาจมีข้อจำกัดในการซื้อขายหรือการจำหน่าย ** สรุป Share Class เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ เนื่องจากมันมีผลต่อผลตอบแทนและความเสี่ยงของการลงทุน การเข้าใจและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Share Class จึงเป็นข้อสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจในการลงทุนอย่างมั่นใจและปลอดภัยได้
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1351
Finance
เขียนเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับ "พลังงานสะอาด: สายสัมพันธ์ระหว่าง ASP-POWERRMF กับอนาคต" ให้หน่อย
null
เรื่องสั้น ''สรุปกองทุน ASP-POWERRMF: โอกาสเติบโตระยะยาวกับเทรนด์พลังงานสะอาดแห่งอนาคต'' ในยุคที่เทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศกำลังเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดแนวทางการลงทุน กองทุน ASP-POWERRMF ก็ยังคงเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีความสนใจในเทรนด์พลังงานสะอาด โดยเฉพาะในส่วนของพลังงานที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดและมีโอกาสเติบโตในระยะยาว ASP-POWERRMF เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เช่น บริษัทผลิตพลังงานทดแทน เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม และบริษัทในภูมิภาคอื่นๆ ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการใช้พลังงานที่เป็นมลพิษ การลงทุนในกองทุนนี้ถือเป็นการลงทุนในอนาคตที่ยั่งยืนโดยมีโอกาสเติบโตมากขึ้นเนื่องจากความต้องการใช้พลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นในระดับโลก เทรนด์พลังงานสะอาดในอนาคตยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการลดการใช้พลังงานจากแหล่งที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และการสร้างแรงจูงใจทางการเงินและนโยบายต่างๆ ที่ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด โดยเฉพาะในช่วงหลังจากพิกัดของสหประชาชาติเกี่ยวกับการลดประเทศไซโอไคลอกซ์ (CO2) ที่ต้องการให้ประเทศต่างๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการเสนอซื้อขายหน่วยลงทุนในบริษัทที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดอย่างสม่ำเสมอ กองทุน ASP-POWERRMF มีโอกาสในการเพิ่มมูลค่าของการลงทุนของนักลงทุนในระยะยาว เนื่องจากเทรนด์นี้ยังคงมีการเติบโตและความต้องการจากตลาดสูงขึ้น ** ดังนั้นเรื่องให้ภาพการลงทุนที่มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการเข้าใจเทรนด์พลังงานสะอาดและโอกาสในการลงทุนในกองทุน ASP-POWERRMF ที่มีศักยภาพในการเติบโตและความสำเร็จในระยะยาว โดยเน้นการเชื่อมโยงกับความเป็นเลิศของการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่นักลงทุนในอนาคต
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1353
Finance
จงเสนอไอเดีย นักลงทุนควรพิจารณาอะไรบ้างสำหรับการลงทุนในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้?
null
กลยุทธ์การลงทุนที่ควรพิจารณา: 1. การกระจายความเสี่ยง: กระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ กระจายเงินลงทุนในหุ้นจากหลายๆ กลุ่มธุรกิจ กระจายเงินลงทุนในหุ้นจากหลายๆ ประเทศ 2. ลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Infrastructure Bill: หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง หุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี 3. ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive: หุ้นกลุ่ม Consumer Staples หุ้นกลุ่ม Healthcare 4. ลงทุนในทองคำ: ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ทองคำมักปรับตัวขึ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน 5. เตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ: ลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เช่น หุ้นกลุ่ม Real Estate Investment Trusts (REITs) ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ 6. ติดตามข่าวสารและข้อมูลอย่างใกล้ชิด: ติดตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ติดตามผลประกอบการของบริษัทที่ลงทุน คำแนะนำเพิ่มเติม: - ปรึกษานักวางแผนการเงินเพื่อออกแบบกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้ - ลงทุนระยะยาว ใจเย็น ไม่ควรรีบร้อน ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ สรุป: นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ โดยเน้นการกระจายความเสี่ยง ลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Infrastructure Bill ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ลงทุนในทองคำ เตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และติดตามข่าวสารและข้อมูลอย่างใกล้ชิด
ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1354
Finance
จงบอกจุดเด่นของ Bitkub
null
จุดเด่นของ Bitkub ได้แก่ - CEO ที่มีความโดดเด่น - ช่องทางการสื่อสารที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก - มีการโปรโมตที่ดี จนทำให้ชื่อของ Bitkub ติดหูนักเทรดชาวไทย - มีโวลุ่มการเทรดที่สูง จนทิ้งห่างคู่แข่งหลาย ๆ เจ้าในไทย - มีสภาพคล่องการซื้อขายในระดับที่สูงเหนือคู่แข่ง Bitkub มีรายได้หลักมาจากค่าธรรมเนียมและบริการ ซึ่งหากคิดจากสัดส่วนของรายได้ปี 2563 น่าจะคิดเป็นประมาณ 98.57% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งค่อนข้างชี้ชัดว่า Bitkub น่าจะมีรายได้มาจากการเป็นโบรคเกอร์อำนวยความสะดวกด้านการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหลัก หากมองว่า Bitkub เปรียบเสมือนโบรคเกอร์ เรื่องค่าธรรมเนียมก็อาจจะเป็นประเด็นแรก ๆ ที่นึกถึงในธุรกิจนี้ ในแง่ของค่าธรรมเนียม Bitkub มีค่าธรรมเนียมซื้อขายอยู่ที่ 0.25% ต่อการซื้อขายต่อครั้ง รวมถึงมีค่าธรรมเนียมการถอนแบ่งตามขนาดเงินทุนตามกันไป สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ดีพอที่จะสะท้อนคุณภาพผ่านส่วนแบ่งทางการตลาด (Market share) ที่มีมูลค่าสูงถึง 1.03 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 92% ของ market share ในไทย หรือจะเรียกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตอันดับ 1 ในไทยก็ว่าได้ Bitkub เป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จ มาแรง เทิร์นกำไรได้รวดเร็ว ผ่านจังหวะที่คริปโตกำลังเติบโตได้เป็นอย่างดี และ Bitkub ยังประสบความสำเร็จจนเป็นยูนิคอร์นสายรุ้ง ที่ประดับวงการสตาร์ทอัปไทยได้สำเร็จ
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1355
Finance
ในเดือนตุลาคม 2021 Thematic ETF ธีมใดที่ฟื้นตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 12.3% ภายในเดือนเดียว ระหว่าง Sustainable Energy หรือ Invesco Solar ETF
null
Sustainable Energy เพราะในเดือนตุลาคม 2021 ธีม Sustainable Energy ฟื้นตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 12.3% ภายในเดือนเดียว ส่วนธีม Invesco Solar ETF บวกถึง 23.9% ในเดือนตุลาคม 2021 Thematic ETF ปรับตัวขึ้นอย่างคึกคักพร้อมเพรียงแทบทุกธีม โดดเด่นที่สุดคือธีม Sustainable Energy ที่ฟื้นตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 12.3% ภายในเดือนเดียว ไม่ใช่แค่ธีมเฉพาะอย่าง TAN หรือ Invesco Solar ETF ที่บวกถึง 23.9% แต่ธีมพลังงานสะอาดกว้าง ๆ อย่าง INRG หรือ iShare Global Clean Energy UCIT ETF ก็สามารถปรับตัวบวกขึ้นได้ 14.8% เช่นกัน ธีม Sustainable Energy นอกจากจะได้แรงหนุนจากสไตล์ High Beta กับตลาดโดยรวมแล้ว การที่ราคาสินค้าพลังงานปรับตัวขึ้นมาสร้างฐานใหม่ ก็ทำให้การลงทุนในธีม Alternative มีแรงส่งตามไปด้วย ส่วนที่ปรับฐานคือ สไตล์ Low Market Correlation ที่มีความเสี่ยงเฉพาะตัว เช่น ธีม Consumer Evolution กลุ่มการท่องเที่ยวที่พักฐาน หลังปรับตัวบวกแรงท้ายไตรมาส 3 ปี 2021 หรือธีม Healthcare Innovation ที่มีแรงขายสลับหุ้นเด่น เนื่องจากข่าวความสำเร็จในการผลิตยาต้านไวรัสโควิดที่ทยอยออกมา ตลาดจึงมองว่าการแข่งขันจะสูงขึ้นอย่างมากในอนาคต 18 ตุลาคม 2021 เป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องจารึกไว้ เมื่อ BITO หรือ ProShares Bitcoin Strategy ETF เข้าเทรดวันแรกช่วงที่ราคาบิตคอยน์กำลังทำจุดสูงสุดใหม่ ทำให้ BITO สามารถสร้าง Asset Under Managed (AUM) ได้ถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลาเพียงสองวัน ทำลายสถิติ ETF ที่มี AUM ถึงหนึ่งพันล้านดอลลาร์เร็วที่สุดที่ GLD หรือ SPDR Gold Shares เคยทำได้ (3วัน) เมื่อปี 2004 และความตื่นเต้นนี้ก็ส่งผลบวกมาให้ธีม Fintech และ Blockchain ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย นำโดย BCHN (Elwood Global Blockchain UCITS) และ DAPP (VanEck Vectors Digital Transformation ETF) ที่ปรับตัวขึ้นในเดือนกันยายน 2021 ถึง 15.2% และ 29.6% ตามลำดับ
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1356
Finance
จงบอกจุดเด่นของเศรษฐกิจอินเดียในช่วงที่สามารถดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้าสู่ตลาดหุ้นอินเดียกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2021
null
ภาพเศรษฐกิจอินเดีย จะพบว่ามีจุดเด่นอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเติบโตของจีดีพีในปี 2021 ที่คาดว่าจะเท่ากับร้อยละ 9.5 จากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ แม้ว่าจุดด้อยที่มีมาอย่างยาวนาน คือ ภาคสถาบันการเงินที่ยังไม่พัฒนาเทียบเท่ากับประเทศตะวันตก รวมถึงระบบสาธารณูปโภคและการขนส่งที่ยังค่อนข้างจะล้าหลังกว่าหลายประเทศ โดยจุดเด่นของเศรษฐกิจอินเดียในช่วงที่สามารถดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้าสู่ตลาดหุ้นอินเดียกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2021 มีดังต่อไปนี้ 1. เสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคที่โดดเด่น จะเห็นได้จากไม่ว่าจะเป็นอัตราส่วนหนี้ต่างประเทศต่อจีดีพีที่ต่ำเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ผนวกกับความเพียงพอของเงินสำรองของทางการสำหรับเงินสกุลต่างประเทศที่สูง นอกจากนี้ เศรษฐกิจอินเดียยังมีอัตราเงินเฟ้อที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถบริหารจัดการได้ 2. เศรษฐกิจอินเดียไม่ได้พึ่งพาภาคต่างประเทศมากนัก โดยที่มูลค่าการส่งออกและนำเข้าเมื่อคิดต่อจีดีพีอยู่ที่ราวร้อยละ 20 กว่า ๆ เท่านั้น อีกทั้งไม่ได้พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบมากสักเท่าไรหรือคิดเป็นเพียงแค่ร้อยละ 1 กว่า ๆ ต่อจีดีพีเพียงเท่านั้น ซึ่งตรงนี้ ทำให้การหดตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศตะวันตก ส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจอินเดียเพียงแค่ระยะเวลาไม่นานนัก 3. ในส่วนของนโยบายการเงิน จะพบว่าธนาคารกลางอินเดียถือว่าเป็นแบงก์ชาติที่สร้างเซอร์ไพร์สในการประชุมด้านนโยบายการเงินอยู่บ่อยครั้งมาก ซึ่งถือว่าจะทำให้เป็นการสร้างยอดมูลค่าการเทรดให้กับตลาดหุ้น รวมถึงในส่วนนโยบายการคลังเอง แม้ว่าจะมีอัตราส่วนหนี้ภาครัฐต่อจีดีพีไม่ได้ต่ำมาก ทว่าทางไอเอ็มเอฟก็ยังสนับสนุนให้ใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุลในระยะสั้นเพื่อสู้กับวิกฤตโควิด จึงทำให้นโยบายทั้งคู่ส่งผลดีต่อตลาดทุน
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1358
Finance
ผลกระทบของ QE ต่อตลาดหุ้นในอนาคตจะเป็นอย่างไร?
null
QE หรือ Quantitative Easing เป็นนโยบายการเงินที่ธนาคารกลางใช่มากระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเข้าซื้อสินทรัพย์ในระบบ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ MBS และหุ้น นโยบายนี้ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในหลายแง่มุม ดังนี้ เพิ่มสภาพคล่อง: การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบช่วยเพิ่มสภาพคล่อง ทำให้นักลงทุนมีเงินทุนมากขึ้นในการลงทุน ลดอัตราดอกเบี้ย: การซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยธนาคารกลาง ทำให้ราคาพันธบัตรสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลง กระตุ้นเศรษฐกิจ: การกระตุ้นเศรษฐกิจโดย QE ทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อราคาหุ้น อย่างไรก็ตาม QE ยังมีผลกระทบด้านลบที่ต้องพิจารณา ดังนี้ เงินเฟ้อ: การอัดฉีดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบอาจนำไปสู่เงินเฟ้อ ฟองสบู่: เงินทุนที่ไหลเวียนเข้าตลาดหุ้นจำนวนมาก อาจสร้างฟองสบู่และความเสี่ยงต่อราคาหุ้น ภาระหนี้: การกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายของรัฐบาล เพิ่มภาระหนี้สินในอนาคต ผลกระทบของ QE ต่อตลาดหุ้นในอนาคตจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดังนี้ การดำเนินนโยบาย QE ของธนาคารกลาง: ธนาคารกลางจะเริ่มลดหรือยุติ QE หรือไม่? การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ: เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ดีเพียงใด? อัตราเงินเฟ้อ: อัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสูงเกินไปหรือไม่? นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นจะยังคงมีความผันผวนสูงในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ตลาดหุ้นจะยังคงมีแนวโน้มขาขึ้น คำแนะนำสำหรับนักลงทุน: กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว ควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ลงทุนระยะยาว: การลงทุนระยะยาวจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด ติดตามข่าวสาร: ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับนโยบาย QE และเศรษฐกิจโลก สรุป: QE เป็นนโยบายการเงินที่มีผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อตลาดหุ้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1360
Finance
จงสรุปบทความ รวมกองทุน RMF 4-5 ดาวจาก Morningstar
กองทุน 4-5 ดาว จะพอบอกได้ว่าในอดีตกองทุนนั้นมีผลการดำเนินงานที่ปรับด้วยความเสี่ยงแล้วดีกว่ากองที่ได้ดาวน้อยกว่า พูดง่าย ๆ คือ นอกจากกองทุนจะทำผลตอบแทนได้ดีแล้ว ก็ควรจัดการกับความเสี่ยงหรือความผันผวนได้ดีด้วยเช่นกัน กองทุน 4-5 ดาว จะพอบอกได้ว่าในอดีตกองทุนนั้นมีผลการดำเนินงานที่ปรับด้วยความเสี่ยงแล้วดีกว่ากองที่ได้ดาวน้อยกว่า พูดง่าย ๆ คือ นอกจากกองทุนจะทำผลตอบแทนได้ดีแล้ว ก็ควรจัดการกับความเสี่ยงหรือความผันผวนได้ดีด้วยเช่นกัน ทั้งนี้กองทุน 4-5 ดาวเป็นเพียงแค่หนึ่งตัวช่วยในการเลือกกองทุนของนักลงทุนเท่านั้น เพราะผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีอนาคต
กองทุน 4-5 ดาว บอกว่าในอดีตกองทุนนั้นมีผลการดำนินงานเป็นอย่างไร พูดง่ายๆคือ นอกจากกองทุนจะทำผลตอบแทนได้ดีแล้ว ก็ควรจัดการกับความเสี่ยงหรือความผันผวนได้ดีด้วยเช่นกัน กองทุน 4-5 ดาวตัวช่วยในการเลือกกองทุนของนักลงทุนเท่านั้น เพราะผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีอนาคต
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1361
Finance
ช่วยสรุปบทความ กองทุน Super (Hi-Tech) Stock โดย Baillie Gifford
อีกกองทุนหนึ่งที่เน้นในหุ้นไฮเท็คหรือ “หุ้นแห่งอนาคต” คล้ายกับกองทุน ARK และก็มีผลงานยอดเยี่ยมเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2020 ในระดับ 100% เหมือนกันก็คือกองทุนของ Baillie Gifford แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ในปีนี้กองทุน Scottish Mortgage Investment Trust ที่เป็นกองทุนหลักของ Baillie Gifford ยังทำผลงานได้ดีเยี่ยมให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงวันนี้ประมาณเกือบ 20% แต่นี่ก็ยังไม่น่าจะเรียกว่าการบริหารกองทุนทั้งสองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ว่าที่จริง หลายคนอาจจะคิดว่าสองกองทุนนี้มีความคล้ายคลึงกันมากเพราะแม้แต่ตัวหุ้นที่ถือก็แทบจะซ้ำกันอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น การถือหุ้นเทสลาจำนวนมากก่อนที่ราคาหุ้นเทสลาจะขึ้นระเบิดเป็น 10 เท่าในปีเดียว เป็นต้น ซึ่งก็คงมีส่วนสำคัญไม่น้อยที่ทำให้ผลงานทั้งสองกองทุนดีอย่างมหัศจรรย์ในปี 2020 และนักลงทุนทั่วโลกต่างก็ยกให้เป็นผู้บริหารกองทุนยอดเยี่ยมสุดยอดและเงินลงทุนก็พุ่งเข้ามาจนกองทุนใหญ่โตขึ้นสู่ระดับโลกในเวลาอันสั้น
กองทุน Scottish Mortgage Investment Trust ของ Baillie Gifford มีลักษณะคล้ายกับ ARK funds และทำผลงานโดดเด่นในปี 2020 ด้วยผลตอบแทนที่น่าทึ่งถึง 100% โดยที่แต่ละกองทุนมีหุ้นร่วมกัน แต่ความแตกต่างสำคัญคือ Scottish Mortgage Investment Trust ของ Baillie Gifford มีผลงานที่โดดเด่นในปี 2021 ด้วยผลตอบแทนเกือบ 20% แม้จะมีคนที่คิดว่าวิธีบริหารกองทุนของทั้งสองไม่ต่างกันมากนัก เนื่องจากมีหุ้นที่คล้ายกัน ตัวอย่างเช่นการลงทุนในหุ้น Tesla ที่มีบทบาทสำคัญในผลงานที่โดดเด่นในปี 2020 นี้ เหมือนกัน นักลงทุนทั่วโลกรู้จักกันดีว่าทั้งสองกองทุนนี้มีผู้บริหารที่ยอดเยี่ยม ทำให้กองทุนเติบโตขึ้นเป็นที่รู้จักในเวลาอันสั้น
ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การบริหารสินทรัพย์
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1362
Finance
จงเสนอไอเดีย 4 เหตุผล ทำไมอินเดียถึงน่าลงทุน
null
1. หนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก IMF คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจอินเดียในปี 2021 อยู่ที่ 8.5% และปี 2022 ที่ 9.5% ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วที่สุดในโลก โดยคาดว่าในปี 2024 อินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก (รองจากสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และเยอรมัน) ด้วยมูลค่า GDP กว่า 4.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี Shri Narendra Modi ยังได้ประกาศแผนเศรษฐกิจพิเศษ โดยครอบคลุมมูลค่ากว่า 270 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 10% ของ GDP อินเดีย ภายใต้นโยบาย Atmanirbhar Bharat ซึ่งหมายถึง ‘อินเดียที่พึ่งพาตนเอง’ 2. ฐานการผลิต และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อินเดียจัดตั้งฐานการผลิตที่แข็งแกร่งสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์พื้นฐานและสินค้าทุนที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคส่วนต่าง ๆ ด้านโครงสร้างพื้นฐานได้กลายเป็นภาคส่วนที่รัฐบาลอินเดียให้ความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากเป็นภาคส่วนที่ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศโดยรวมของอินเดีย โดยอินเดียวางแผนที่จะอัดฉีดเงินจำนวน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐานในช่วงปี 2019-2023 เพื่อให้มีการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน รัฐบาลได้เสนอการลงทุน 50 ล้านล้านรูปี (750 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) สำหรับโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างปี 2018-2030 3. ขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก ศูนย์กลางการค้าทางทะเลจะย้ายจากมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งส่งผลให้อินเดียและจีนจะเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2030 นอกจากนี้ อินเดียยังถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่ 46 ของดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index: GII) ซึ่งจัดอันดับโดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) เพิ่มขึ้นมาถึง 35 อันดับจากปี 2015 และยังเป็นอันดับที่ 48 ของประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันทั่วโลกในปี 2021 4. มีประชากรอายุน้อยจำนวนมาก อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศจีน ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน และด้วยอายุเฉลี่ยของประชากรที่ 28.4 ปี ทำให้อินเดียกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรอายุน้อยที่สุดในโลก ประชากรในช่วงวัยรุ่นของอินเดียคิดเป็น 1 ใน 5 ของโลก ประชากรวัยหนุ่มสาวเหล่านี้จะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงพลวัตทางสังคมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รวมถึงเป็นกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอินเดีย โดยอินเดียจะมีประชากรวัยทำงานมากที่สุดในโลกที่ 578 ล้านคน ภายในปี 2100
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1363
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 3 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 23 – 29 ต.ค. 2564
null
สำหรับ 3 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 23 – 29 ต.ค. 2564 ขอเริ่มกันที่กองทุนแรกคือ K-GPE19A-UI หรือ กองทุนเปิด เค โกลบอลไพรเวทอิควิตี้ 19A ที่ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย ได้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นเป็น 11.03% ต่อมาเป็นกองทุน ASP-CHINA หรือ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสไชน่า ได้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นเป็น 4.98 % และกองทุนสุดท้ายนั่นก็คือ กองทุน WE-TENERGY หรือ กองทุนเปิด วี นิว ทรานซิชั่น เอนเนอร์จี ได้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นเป็น 4.69% บทเรียนจากย่อหน้านี้ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (23 – 29 ต.ค. 64) 1. K-GPE19A-UI – กองทุนเปิดเค โกลบอลไพรเวทอิควิตี้ 19A ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย - ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +11.03% - ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +49.30% 2. ASP-CHINA – กองทุนเปิดแอสเซทพลัสไชน่า - ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.98 % - ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -9.18% 3. WE-TENERGY – กองทุนเปิด วี นิว ทรานซิชั่น เอนเนอร์จี - ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.69% - ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -2.65% (เริ่มนับ NAV วันที่ 25/02/2021)
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1365
Finance
จงสรุปบทความ ทำไม NAV กองทุนรวมถึงอัปเดตช้า?
ใครเคยสงสัยกันบ้างว่า ทำไมเข้าไปดูราคา NAV ของกองทุนรวมแล้ว บางกองขึ้นว่าเป็นข้อมูลอัปเดตเมื่อวาน บางกองอัปเดตเมื่อ 2 วันก่อน บางกองอัปเดตช้าไป 5 วันเลยก็มี ทำไมการอัปเดตข้อมูลกองทุนถึงช้าและแต่ละกองก็อัปเดตไม่เท่ากันแบบนี้ แล้วถ้าเราซื้อกองทุนวันนี้ มันจะได้ราคา NAV ของวันไหนกันแน่ มาหาคำตอบกันได้ในคลิปนี้ ใครเคยสงสัยกันบ้างว่า ทำไมเข้าไปดูราคา NAV ของกองทุนรวมแล้ว บางกองขึ้นว่าเป็นข้อมูลอัปเดตเมื่อวาน บางกองอัปเดตเมื่อ 2 วันก่อน บางกองอัปเดตช้าไป 5 วันเลยก็มี ทำไมการอัปเดตข้อมูลกองทุนถึงช้าและแต่ละกองก็อัปเดตไม่เท่ากันแบบนี้ แล้วถ้าเราซื้อกองทุนวันนี้ มันจะได้ราคา NAV ของวันไหนกันแน่ มาหาคำตอบกันได้ในคลิปนี้ การทำงานของ NAV โดยทั่วไป ข้อมูลที่จะแสดงให้เห็นเป็นข้อมูลในอดีต เป็นเรื่องปกติของกองทุนรวม จะไม่เหมือนเวลาเราซื้อขายสินทรัพย์การลงทุนอื่น ๆ อย่าง หุ้น ที่จะแสดงราคาซื้อขายแบบ Real-time ได้เลย สำหรับกองทุนรวมนั้นจะเป็นไปในลักษณะทำรายการก่อน รู้ราคาทีหลัง เพราะรูปแบบการดำเนินงานของกองทุนจะต้องรอรวบรวมรายการธุรกรรมจากผู้ลงทุนทั้งหมด ณ สิ้นวันทำการก่อน แล้วจึงสรุปมูลค่าสินทรัพย์สุทธิและจำนวนหน่วยลงทุนของกองทุน เรียบร้อยแล้วถึงจะได้รู้ว่าราคา NAV ต่อหน่วยของวันที่ทำธุรกรรมไปนั้นเป็นเท่าไหร่ ทำให้ราคา NAV ของกองทุนที่เราเห็นขณะทำธุรกรรมจะเป็นข้อมูลในอดีตย้อนหลังไปอย่างน้อย 1 วันทำการเสมอ ข้อมูลที่จะแสดงให้เห็นเป็นข้อมูลในอดีต เป็นเรื่องปกติของกองทุนรวม จะไม่เหมือนเวลาเราซื้อขายสินทรัพย์การลงทุนอื่น ๆ อย่าง หุ้น ที่จะแสดงราคาซื้อขายแบบ Real-time ได้เลย สำหรับกองทุนรวมนั้นจะเป็นไปในลักษณะทำรายการก่อน รู้ราคาทีหลัง เพราะรูปแบบการดำเนินงานของกองทุนจะต้องรอรวบรวมรายการธุรกรรมจากผู้ลงทุนทั้งหมด ณ สิ้นวันทำการก่อน แล้วจึงสรุปมูลค่าสินทรัพย์สุทธิและจำนวนหน่วยลงทุนของกองทุน เรียบร้อยแล้วถึงจะได้รู้ว่าราคา NAV ต่อหน่วยของวันที่ทำธุรกรรมไปนั้นเป็นเท่าไหร่ NAV ของกองทุนที่เราเห็นขณะทำธุรกรรมจะเป็นข้อมูลในอดีตย้อนหลังไปอย่างน้อย 1 วันทำการเสมอ NAV กองทุนต่างประเทศ หากเป็นกองทุนต่างประเทศ ก็อาจแสดงข้อมูลที่อัปเดตได้ช้ากว่านั้น เพราะ Time Zone ที่แตกต่างกัน หากกองทุนต่างประเทศนั้นลงทุนในประเทศโซนยุโรปหรืออเมริกา กว่าจะรอตลาดบ้านเค้าเปิดและปิดเพื่อสรุปข้อมูลราคา NAV ก็อาจใช้เวลาข้ามวัน ข้อมูลกองทุนที่อัปเดตล่าสุดจึงอาจจะเป็นข้อมูลในอดีตย้อนไปประมาณ 3 วันทำการ นอกจากนี้ก็ต้องนึกถึงวันหยุดทำการของตลาดหลักทรัพย์แต่ละประเทศที่แตกต่างกันด้วย อย่างเช่น จะซื้อกองทุนจีนวันนี้ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ไทยเปิดให้ทำรายการได้ แต่วันเดียวกันนั้นดันตรงกับช่วงวันหยุดยาวของประเทศจีน กว่าจะรอตลาดจีนเปิดและปิดอีกทีเพื่อสรุปมูลค่า NAV ต่อหน่วยได้ ก็อาจต้องรอข้ามสัปดาห์เป็นเรื่องปกติเช่นกัน หากเป็นกองทุนต่างประเทศ ก็อาจแสดงข้อมูลที่อัปเดตได้ช้ากว่านั้น เพราะ Time Zone ที่แตกต่างกัน หากกองทุนต่างประเทศนั้นลงทุนในประเทศโซนยุโรปหรืออเมริกา กว่าจะรอตลาดบ้านเค้าเปิดและปิดเพื่อสรุปข้อมูลราคา NAV ก็อาจใช้เวลาข้ามวัน ข้อมูลกองทุนที่อัปเดตล่าสุดจึงอาจจะเป็นข้อมูลในอดีตย้อนไปประมาณ 3 วันทำการ นอกจากนี้ก็ต้องนึกถึงวันหยุดทำการของตลาดหลักทรัพย์แต่ละประเทศที่แตกต่างกันด้วย อย่างเช่น จะซื้อกองทุนจีนวันนี้ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ไทยเปิดให้ทำรายการได้ แต่วันเดียวกันนั้นดันตรงกับช่วงวันหยุดยาวของประเทศจีน กว่าจะรอตลาดจีนเปิดและปิดอีกทีเพื่อสรุปมูลค่า NAV ต่อหน่วยได้ ก็อาจต้องรอข้ามสัปดาห์เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ระยะเวลาในการจ่ายเงินค่าขายคืนที่แตกต่างกันไปของแต่ละกองทุน กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศจะกำหนดระยะเวลาเป็น 1 วันหลังทำรายการ หรือที่เรียกว่า T+1 กองทุนรวมหุ้นในประเทศจะเป็น T+2 ส่วนกองทุนรวมต่างประเทศก็อาจใช้เวลา T+3 จนถึง T+5 ขึ้นอยู่กับ Time Zone ของประเทศกองทุนปลายทาง เราสามารถเข้าไปดูระยะเวลารับเงินของแต่ละกองทุนได้จาก Fund fact sheet ของกองทุนรวมที่สนใจได้เลย กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศจะกำหนดระยะเวลาเป็น 1 วันหลังทำรายการ หรือที่เรียกว่า T+1 กองทุนรวมหุ้นในประเทศจะเป็น T+2 ส่วนกองทุนรวมต่างประเทศก็อาจใช้เวลา T+3 จนถึง T+5 ขึ้นอยู่กับ Time Zone ของประเทศกองทุนปลายทาง เราสามารถเข้าไปดูระยะเวลารับเงินของแต่ละกองทุนได้จาก Fund fact sheet ของกองทุนรวมที่สนใจได้เลย การทำรายการซื้อหรือขาย (Cut-off time) ที่แตกต่างกันไปของแต่ละกองทุน ส่วนมากจะกำหนดไว้ว่าทำรายการได้ตั้งแต่ 8:30 – 15:30 ของแต่ละวันทำการ แปลว่าหากทำรายการเข้ามาตอน 16:00 ก็นับว่าทำรายการในวันนั้นไม่ทัน กลายเป็นการตั้ง Order รอทำรายการในวันทำการถัดไป หากเป็นการทำรายการซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ หรือนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ไม่ใช่การทำรายการผ่าน บลจ. ของกองทุนนั้น ๆ โดยตรง ก็ต้องเผื่อเวลามากขึ้นอีก อย่างเช่นการทำรายการซื้อขายกองทุนผ่าน FINNOMENA หากเป็นกองทุนที่จดทะเบียนในไทยก็แนะนำให้ทำรายการภายใน 14:00 ของวันทำการ หากเป็นกองต่างประเทศจะมีบางกองที่กำหนดให้ต้องทำรายการภายใน 11:00 แต่บางกองก็ขยายให้ถึง 14:00 เหมือนกัน ส่วนนี้หากกลัวว่าจะสับสนหรือจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะในแอปฯ ของ FINNOMENA จะแสดงรายละเอียดส่วนนี้เอาไว้ให้ด้วยว่ากองทุนที่สนใจนั้นกำหนด Cut-off time เป็นกี่โมง ส่วนมากจะกำหนดไว้ว่าทำรายการได้ตั้งแต่ 8:30 – 15:30 ของแต่ละวันทำการ แปลว่าหากทำรายการเข้ามาตอน 16:00 ก็นับว่าทำรายการในวันนั้นไม่ทัน กลายเป็นการตั้ง Order รอทำรายการในวันทำการถัดไป หากเป็นการทำรายการซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ หรือนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ไม่ใช่การทำรายการผ่าน บลจ. ของกองทุนนั้น ๆ โดยตรง ก็ต้องเผื่อเวลามากขึ้นอีก อย่างเช่นการทำรายการซื้อขายกองทุนผ่าน FINNOMENA หากเป็นกองทุนที่จดทะเบียนในไทยก็แนะนำให้ทำรายการภายใน 14:00 ของวันทำการ หากเป็นกองต่างประเทศจะมีบางกองที่กำหนดให้ต้องทำรายการภายใน 11:00 แต่บางกองก็ขยายให้ถึง 14:00 เหมือนกัน ส่วนนี้หากกลัวว่าจะสับสนหรือจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะในแอปฯ ของ FINNOMENA จะแสดงรายละเอียดส่วนนี้เอาไว้ให้ด้วยว่ากองทุนที่สนใจนั้นกำหนด Cut-off time เป็นกี่โมง
การทำงานของ NAV โดยทั่วไป - ข้อมูลที่จะแสดงให้เห็นเป็นข้อมูลในอดีต การลงทุนอื่น ๆ อย่าง หุ้น ที่จะแสดงราคาซื้อขายแบบ Real-time ได้เลย - สำหรับกองทุนรวมนั้นจะเป็นไปในลักษณะทำรายการก่อน รู้ราคาทีหลัง - การดำเนินงานของกองทุนจะต้องรอรวบรวมรายการธุรกรรมจากผู้ลงทุนทั้งหมด ณ สิ้นวันทำการก่อน แล้วจึงสรุปมูลค่า สินทรัพย์สุทธิและจำนวนหน่วยลงทุนของกองทุน - ทำให้ราคา NAV ของกองทุนที่เราเห็นขณะทำธุรกรรมจะเป็นข้อมูลในอดีตย้อนหลังไปอย่างน้อย 1 วันทำการเสมอ NAV กองทุนต่างประเทศ - หากเป็นกองทุนต่างประเทศ ก็อาจแสดงข้อมูลที่อัปเดตได้ช้ากว่านั้น เพราะ Time Zone ที่แตกต่างกัน - นอกจากนี้ก็ต้องนึกถึงวันหยุดทำการของตลาดหลักทรัพย์แต่ละประเทศที่แตกต่างกัน ระยะเวลาในการจ่ายเงินค่าขายคืนที่แตกต่างกันไปของแต่ละกองทุน - กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศจะกำหนดระยะเวลาเป็น 1 วันหลังทำรายการ หรือที่เรียกว่า T+1 - กองทุนรวมหุ้นในประเทศจะเป็น T+2 - ส่วนกองทุนรวมต่างประเทศก็อาจใช้เวลา T+3 จนถึง T+5 ขึ้นอยู่กับ Time Zone ของประเทศกองทุนปลายทาง - เราสามารถเข้าไปดูระยะเวลารับเงินของแต่ละกองทุนได้จาก Fund fact sheet ของกองทุนรวมที่สนใจได้เลย การทำรายการซื้อหรือขาย (Cut-off time) ที่แตกต่างกันไปของแต่ละกองทุน - ส่วนมากจะกำหนดไว้ว่าทำรายการได้ตั้งแต่ 8:30 – 15:30 ของแต่ละวันทำการ - หากเป็นการทำรายการซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ ก็ต้องเผื่อเวลามากขึ้นอีก
ตลาดการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,เครื่องมือทางการเงิน,เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1368
Finance
กองทุน SSF & RMF เฉพาะที่เป็นการลงทุนในต่างประเทศ มีอะไรบ้าง
null
จักรวาลกองทุน SSF & RMF เฉพาะที่เป็นการลงทุนในต่างประเทศ สามารถเลือกชอปปิ้ง สำหรับคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ได้ทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษี และจัดพอร์ตลงทุนต่างประเทศให้เงินได้เติบโตงอกเงยกัน ไม่ต้องรอซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีปลายปี ศึกษาและเลือกให้ถูกใจ ซื้อเฉลี่ยต้นทุนสบาย ๆ จนจบปี ดังนี้ 1. Global Equity กลุ่มหุ้นโลก 2. Global Thematic กลุ่มธีมเมกะเทรนด์ จากหุ้นทั่วโลก 3. USA Equity หุ้นอเมริกา 4. Europe Equity หุ้นภูมิภาคยุโรป 5. Japan Equity หุ้นญี่ปุ่น 6. Emerging Market Equity หุ้นประเทศเกิดใหม่ 7. Asia Pacific Ex. Japan หุ้นภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ยกเว้น ญี่ปุ่น 8. ASEAN Equity กลุ่มหุ้นในอาเซียน 9. China Equity หุ้นจีน มีตัวเลือกเยอะมากๆ 10. India Equity หุ้นอินเดีย 11. Vietnam Equity หุ้นเวียดนาม 12. REIT and Infrastructure กองทุนรีทและโครงสร้างพื้นฐาน 13. Healthcare กองทุนกลุ่มแพทย์และสุขภาพ 14. Technology + Disruptive Technology กองทุนรวม บ. เทคยักษ์ใหญ่ และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงโลก คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1370
Finance
นักลงทุนรายย่อยควรลงทุนใน Bitcoin ETF เพียงอย่างเดียว หรือควรลงทุนใน Bitcoin โดยตรงด้วย?
null
นักลงทุนรายย่อยควรพิจารณากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง โดยคำนึงถึงความเสี่ยงที่รับได้ ระยะเวลาการลงทุน และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Bitcoin ข้อดีของการลงทุนใน Bitcoin ETF: สะดวกและคุ้นเคย: ซื้อขายได้ง่ายบนตลาดหลักทรัพย์ คล้ายกับกองทุนรวมแบบดั้งเดิม การกำกับดูแล: อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ กระจายความเสี่ยง: ลงทุนใน Bitcoin ผ่าน ETF ช่วยให้กระจายความเสี่ยง ข้อเสียของการลงทุนใน Bitcoin ETF: ค่าธรรมเนียม: ETF มักมีค่าธรรมเนียมการจัดการที่สูงกว่าการซื้อ Bitcoin โดยตรง ความเสี่ยงจากราคา: ETF อ้างอิงราคา Bitcoin Futures ซึ่งมีความผันผวนมากกว่าราคา Bitcoin Spot ความยืดหยุ่น: ETF มีตัวเลือกการลงทุนที่จำกัดกว่าการซื้อ Bitcoin โดยตรง ข้อดีของการลงทุนใน Bitcoin โดยตรง: ผลตอบแทนที่สูงกว่า: มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนใน ETF ความยืดหยุ่น: มีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย การควบคุม: ควบคุมเงินทุนและ Private Key ของตัวเองได้ ข้อเสียของการลงทุนใน Bitcoin โดยตรง: ความเสี่ยงสูง: Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ความซับซ้อน: จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับ Bitcoin ความปลอดภัย: ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของ Private Key กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูง: ลงทุนใน Bitcoin โดยตรง ใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar Cost Averaging) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงปานกลาง: ลงทุนใน Bitcoin ผ่าน ETF กระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทอื่น นักลงทุนที่รับความเสี่ยงต่ำ: ลงทุนในสินทรัพย์ดั้งเดิม ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Bitcoin เพิ่มเติม คำแนะนำ: ศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ลงทุนเงินที่ไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายหลัก กระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของตลาด Bitcoin อยู่เสมอ สรุป: กลยุทธ์การลงทุนใน Bitcoin ETF ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนรายย่อย ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่รับได้ ระยะเวลาการลงทุน และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Bitcoin นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ
ตลาดการเงิน,ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน,การเงินดิจิทัล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1371
Finance
ARK Innovation ETF (ARKK) คืออะไร
null
ARK Innovation ETF (ARKK) คือ กองทุนในจักรวาล ARK ที่ทาง ARK ได้กล่าวไว้ว่าเป็น “ธีมรากฐานสำคัญของ Disruptive Innovation” โดยกองทุน ARKK จะเน้นลงทุนในบริษัทที่มุ่งเน้นและได้รับประโยชน์จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ รวมไปถึงการปรับปรุงทางเทคโนโลยีและความก้าวหน้าในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ธีมหลัก ได้แก่ Genomic Revolution, Industrial Innovation, Next Generation Internet และ Fintech Innovation ซึ่ง ARKK จะมีการกระจายการลงทุนในองค์ประกอบของ Disruptive Innovation ทั้ง 4 ธีมหลัก 4 ธีมรากฐานสำคัญของ Disruptive Innovation - Industrial Innovation 3D Printing – เป็นกระบวนการสร้างวัตถุสามมิติที่สามารถจับต้องและนำไปใช้งานได้จริง ๆ แม้ว่านวัตกรรม 3D Printing จะยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่มีความใหม่ในตลาด แต่ก็มีการพัฒนาที่สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้นในทุกปี โดยมีแนวโน้มที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การนำมาประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์ เช่น การสร้างอวัยะเทียมสำหรับผู้ป่วยที่ต้องปลูกถ่ายอวัยวะ ใช้ในการทำขาเทียมต้นทุนต่ำกว่า $100 ไปจนถึงการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ในการสร้างต้นแบบได้อย่างรวดเร็ว - Next Generation Internet Digital Media – เป็นสื่อโสตทัศน์และแอปพลิเคชันที่เผยแพร่โดยตรงผ่านทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งรวมถึง Digital Video เช่น ภาพยนตร์ ซีรีส์ และรายการทีวี Digital Music ที่ให้ดาวน์โหลดหรือสตรีมมิง ตลอดจน Digital Game สำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีเนื้อที่เผยแพร่ทางอิเล็กทรอนิกส์อย่าง ePublishing เช่น eBooks, eMagazines หรือ ePapers โดยการคาดการณ์อัตราการใช้จ่ายของผู้ใช้บริการ Digital Media ประเภทต่าง ๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเภท Video Games และ VoD - Genomic Revolution Gene Therapy – เป็นวิทยาการทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาโรค หรือ ความผิดปกติทางพันธุกรรม โดยการผ่าตัดเปลี่ยนยีนที่ผิดปกติและถ่ายยีนที่ปกติเข้าไปแทนที่ หรือใส่ยีนที่ปกติเข้าไปโดยไม่ต้องตัดเอายีนที่ผิดปกติออก เพื่อรักษาโรคที่เกิดจากการผิดปกติของสารพันธุกรรม เช่น โรคมะเร็ง โรคธาลัสซีเมีย เป็นต้น โดยคาดว่าในอนาคตการรักษาแบบ Gene Therapy จะเป็นการรักษามาตรฐานในโรคหลายชนิดได้ โดยเฉพาะในโรคที่รักษาไม่ได้ผลในปัจจุบัน รวมถึงจะถูกนำมาใช้ในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของมนุษย์ ให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น - Fintech Innovation Digital Wallet – หรือ e-wallet เป็นระบบที่ใช้ซอฟต์แวร์จัดเก็บข้อมูลการชำระเงินและรหัสผ่านของผู้ใช้อย่างปลอดภัย ด้วยการใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล ผู้ใช้สามารถดำเนินการชำระค่าสินค้าหรือบริการได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว กระเป๋าเงินดิจิทัลสามารถใช้ร่วมกับระบบชำระเงินผ่านมือถือ (Mobile Payment) ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระเงินสำหรับการซื้อสินค้าด้วยสมาร์ทโฟนของตนเองได้ พร้อมสร้างรหัสผ่านที่รัดกุมขึ้นได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะจำได้ในภายหลังหรือไม่ด้วยระบบ Face ID หรือ Touch ID นอกจากนี้ยังสามารถใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อเก็บข้อมูลบัตรสะสมคะแนนและคูปองดิจิทัล โดยในปัจจุบันกระเป๋าเงินดิจิทัลมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้ใช้บริการและตอบรับกับโลกสังคมไร้เงินสดในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1379
Finance
สิ่งใดเป็นจุดจบแรกที่ทั้งตลาดอยากเห็นและน่าจะได้เห็นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2021 ระหว่าง การระบาดใหญ่ของโควิด หรือ สินทรัพย์ทางเลือก
null
การระบาดใหญ่ของโควิด เพราะการระบาดใหญ่ของโควิด เป็นจุดจบแรกที่ทั้งตลาดอยากเห็นและน่าจะได้เห็นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2021 ทั่วโลกจะได้รับมือกับหน้าหนาวที่สองของวิกฤตขณะที่มีวัคซีนพร้อม ถ้าผ่านไตรมาสนี้ได้เชื่อว่าความกลัวการระบาดใหญ่ทั่วโลกหรือ Pandemic จะลดลงเหลือเพียงระดับโรคประจำถิ่น (Endemic) กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีโอกาสฟื้นชัดเจนในปี 2022 แต่ Good News for the Economy อาจเป็น Bad News for the Markets เมื่อไม่มีโรคระบาด รัฐบาลทั่วโลกก็ควรลดการอัดฉีดทางการคลังลง เพราะไม่ใช่แค่ใน EM ที่มีหนี้รวมสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1970 เกินกว่า 200% ของจีดีพี ฝั่ง DM ก็มีหนี้รวมสูงเป็นประวัติศาสตร์กว่า 3 เท่าของจีดีพี ผลข้างเคียงของหนี้จะเข้ามาเป็นตัวแปรในสมการเศรษฐกิจ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้ม “ภาษี” ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดการเงินไม่อยากได้เห็น ส่วนสินทรัพย์ทางเลือก เป็นสิ่งที่นักลงทุนจับตามองเมื่อแรงหนุนของสินทรัพย์หลักกำลังหมดลง มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นจุดเริ่มต้นใหม่ของระบบการเงินโลกในปี 2022 หลังจากที่ใช้ Fiat currency system มานานกว่า 50ปี แม้จุดจบของ currency system ในอดีต เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าทศวรรษ เพราะเกี่ยวข้องทั้งกับความเชื่อมั่น การเมือง ไปจนถึงระบบที่จะเข้ามาแทนที่ แต่ในปัจจุบัน โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี บริษัทระดับโลกที่แข็งแกร่ง และการตอบรับของตลาดกับ Decentralized Finance ก็เพิ่มเร็วกว่าที่โลกนี้เคยพบ ในปี 2022 เชื่อว่าจะเห็นความพยายามของทั่วโลกที่จะสร้างระบบขึ้นมาเป็นทางเลือกใหม่ อย่างไรก็ดี การที่ Crypto จะก้าวขึ้นมาทัดเทียมระบบการเงินหลักได้ ไม่ใช่แค่เพราะมีสถาบันสนใจหรือมีบทบาทกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่ต้องหาจุดจบความ “ไร้กฎเกณฑ์” ให้ได้ด้วย ในอดีตช่วงเปลี่ยนผ่านจาก Bretton Woods System มาเป็น Fiat Currency ในปี 1973 ก็สร้างความผันผวนมากในช่วงแรก ก่อนที่จะมีกฎชัดเจนเป็นจุดเริ่มต้นของการประยุกต์ใช้ในวงกว้าง จึงไม่ควรประมาทกับความผันผวนช่วงเริ่มต้นของยุค DeFi เช่นกัน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1384
Finance
จงบอกคำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่สนใจกองทุน ABGDD
null
คำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่สนใจกองทุน ABGDD - กองทุน ABGDD เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหากองทุนที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ในภาวะผลตอบแทนต่ำดังเช่นปัจจุบัน โดยกองทุน จะมีทั้งในรูปแบบสะสมมูลค่า ABGDD-A รูปแบบ Auto Redemption ผ่าน ABGDD-R และแบบประหยัดภาษี ABGD-SSF หากต้องการซื้อสามารถติดต่อได้ที่ บลจ. Aberdeen Standard โทร 02 352 3388 หรือติดต่อเข้ามาที่ FINNOMENA โทร 02 026 5100 (ซื้อผ่านแอป FINNOMENA ได้แล้ว เข้าไปที่หน้าพอร์ตกองทุน กดทำคำสั่งซื้อ และค้นหากองทุน) - กองทุน ABGDD (Global Dynamic Dividend) เป็นกอง Income แบบ Dynamic ยืดหยุ่นที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้สม่ำเสมอเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี ที่มีให้เลือกทั้งรูปแบบ Auto-Redemption (ลดหน่วยจ่ายผลตอบแทน) ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ทุกเดือน แบบสะสมมูลค่า และประหยัดภาษี - Master Fund ของ ABGDD คือ Aberdeen Standard SICAV I Global Dynamic Dividend จัดตั้งมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2020 ที่ Luxemburg โดยเริ่มมีการสร้างกระแสเงินสดต่อเนื่อง หรือเรียกได้ว่ายังสร้างกระแสเงินสดได้ท่ามกลางวิกฤต - กอง Master Fund ของ ABGDD ใช้กลยุทธ์บริหารตามกองทุนสหรัฐฯ ที่มีการจัดตั้งมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ยาวนานและมีความโดดเด่นในด้านการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอเป็นรายเดือน - ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต - ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน - การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก - กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน - ผู้ลงทุุนควรศึกษาข้อมููลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุุไว้ในคู่มือการลงทุุนในกองทุุนรวม
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1385
Finance
หุ้นใดคือหุ้นที่ธุรกิจพอไปได้และไม่ตาย แต่อาจจะไม่โตแล้ว ระหว่าง หุ้น Cyclical หรือ หุ้น Deep Value
null
หุ้น Deep Value เพราะหุ้น Deep Value หรืออาจจะเรียกว่าหุ้นแบกะดิน คือ หุ้นที่ธุรกิจพอไปได้และไม่ตาย แต่อาจจะไม่โตแล้ว แต่ราคาหุ้นถูกมาก วัดจากค่า PE ปกติที่ต่ำมากและไม่ควรเกิน 10 เท่า และปันผลตอบแทนที่ค่อนข้างมั่นคงในระดับ 4-5% ขึ้นไป หุ้นแบบนี้เมื่อซื้อแล้วก็จะถือไปเรื่อย ๆ ตราบที่ยังไม่มีหุ้นหรือหลักทรัพย์อื่นที่น่าสนใจกว่า และจะขายเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปจนเต็มหรือเกือบจะเต็มมูลค่าแล้ว ซึ่งทั้งสองกรณีบางทีก็กินเวลานานเหมือนกัน แต่ก็มักจะไม่รู้สึกเดือดร้อนมากนัก เพราะอย่างน้อยก็ได้กินปันผลที่งดงามไปเรื่อย ๆ ส่วนหุ้น Cyclical มักจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาขึ้นลงเป็นรอบ ๆ อาจจะรอบละ 3-7 ปี ตัวอย่างเช่น ราคาน้ำมัน ถ่านหิน เหล็ก ปิโตรเคมี ราคาพืชผลการเกษตร ราคาค่าระวางเรือ เป็นต้น เวลาที่ควรจะซื้อหุ้นเหล่านั้นก็คือ เวลาที่ราคาสินค้าหรือบริการตกต่ำมากซึ่งก็มักทำให้บริษัทขาดทุน บางครั้งหนักมากและทำให้ราคาหุ้นตกลงมาแทบจะไม่มีค่า แต่ก็ต้องมั่นใจว่าบริษัทสามารถยืนอยู่ได้ ส่วนเวลาขายหุ้นก็คือ เวลาที่สินค้าปรับตัวขึ้นรุนแรงและน่าจะมีความต่อเนื่องไปอีกนานพอสมควร ในช่วงเวลาแบบนั้น ราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นโดดเด่นและสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นสูงมาก บางทีทำให้ค่า PE เหลือแค่ไม่เกิน 5-6 เท่าก็มี และนั่นก็คือเวลาขายหุ้น อย่าไปคิดว่าหุ้นราคาถูกมากและไม่ยอมขาย
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1386
Finance
การเงินโลกในปัจจุบัน กำลังปั่นป่วน จากอะไร
null
การเงินโลกในปัจจุบัน กำลังปั่นป่วน จากการใช้นโยบายการเงินแบบขยายตัว(QE) ในกลุ่มประเทศมหาอำนาจ ทำให้เงินที่ถืออยู่ทุก ๆ วันมีมูลค่าน้อยลง และอาจจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังซบเซา ตั้งแต่ก่อนโควิด-19 จนมาถึงยุคโควิด-19 ระบาด ยังมองไม่ออกว่าหากไม่ทำ QE หรืออัดฉีดเงินเข้ามาในระบบมาก ๆ เศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ หรือเริ่มฟื้นตัวได้อย่างไร โดยหากเป็นสถานการณ์เดิมๆ เช่นนี้ ทองคำถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะมาก ๆ ในการที่จะป้องกันหรือคงมูลค่าเงินที่ถืออยู่ได้ แต่ตั้งแต่ต้นปี 2564 มาจนถึงปัจจุบัน ราคาทองคำกลับย่ำอยู่กับที่ แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เรียกว่าเป็นปีที่ ทองคำ underperform ที่สุดนับตั้งแต่การปรับตัวขึ้นครั้งใหญ่ในช่วงปี 2018-2020 ถามว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร เมื่อบิทคอยน์ได้ถูกพูดถึงว่าเป็นทองคำดิจิทัล หรือสิ่งที่จะมาแทนที่ทองคำได้ ในอนาคตอันใกล้บิทคอยน์หรือพวกคริปโทเคอร์เรนซี น่าจะมีบทบาทที่มากขึ้นกว่าเดิม และอาจจะโตขึ้นได้เรื่อย ๆ เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าอยู่ในสมมุติฐานที่ว่า เงินในมือมีโอกาสด้อยค่าลงเรื่อยๆ แล้วละก็นักลงทุนหรือคนที่ต้องการรักษาความมั่งคั่งของตัวเองไว้ ก็ต้องหาแหล่งพักเงินที่มีคุณภาพและได้รับการเชื่อถือมานานก่อน ทำให้ยังไงทองคำ ก็น่าจะยังเป็นเบอร์ 1 ในวงการนี้และยังมองว่าทองคำและบิทคอยน์มีโอกาสที่ไปด้วยกันได้ แต่ทางฝั่งคริปโทเคอร์เรนซี อาจต้องใช้เวลาพิสูจน์สักหน่อย เนื่องจากบิทคอยน์หรือพวกเหรียญคริบโตในปัจจุบันยังถูกจัดอยู่ในหมวดสินทรัพย์เสี่ยงและยังถือว่าเป็นตลาดที่ใหม่อยู่ นั้นหมายความว่ายังมีอุปสรรคและความเสี่ยงที่อาจจะยังไม่เห็นอีกเยอะ เพราะทองคำหรือตลาดหุ้นในยามก่อน ๆ ต่างก็ผ่านสมรภูมิวิกฤตต่าง ๆ มาอย่างโชกโชน ทำให้ตลาดเหล่านี้มีความแข็งแกร่งหรือมีโครงสร้างที่แน่นกว่า ตลาดคริบโตมากนัก อย่างไรก็ตามขอเพียงระยะเวลาหรือบททดสอบ ที่นานพอให้พิสูจน์ว่า ตลาดคริปโต สามารถผ่านอะไรหนัก ๆ ไปได้ โดยเฉพาะตลาดการเงินหลังโควิด-19 ที่ยังไม่รู้ว่าจะพบเจออะไรใหม่ ๆ อีกไหม หากตลาดคริปโตรอดและผู้คนต่างยอมรับมากขึ้น ในไม่ช้า คริปโตก็อาจจะกลายเป็นสกุลเงินทางเลือก หรือแหล่งสะสมความมั่งคั่งได้เช่นกัน
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1389
Finance
ช่วยเขียนโฆษณาแคมเปญเกี่ยวกับ "เจริญรุ่งกับกองทุน: ความมั่นใจและผลตอบแทนที่สูงสุด!" ให้หน่อย
null
แคมเปญ: "เติมทรัพย์กับกองทุนที่ดีที่สุดในสัปดาห์นี้ สวัสดีชาวลงทุนทุกท่าน! หากกำลังมองหาโอกาสในการลงทุนที่มั่นคงและได้ผลตอบแทนที่ดี มีสิ่งที่ทุกคนต้องการ! แนะนำกองทุนผลตอบแทนเด่นและกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ สำหรับสัปดาห์ที่ 2 – 8 ตุลาคม 2564 ที่จะทำให้เติมทรัพย์ได้อย่างมั่นคงและมีกำไร! กองทุนผลตอบแทนเด่น : กองทุนที่มีผลตอบแทนที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ เรามุ่งมั่นที่จะให้บริการที่ดีที่สุดในการเติมทรัพย์ของคุณ ด้วยการวิเคราะห์และเลือกสรรสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติมทรัพย์ของคุณอย่างมั่นคง กองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ กองทุนที่ได้รับความนิยมและได้รับการยอมรับจากผู้ลงทุนทั่วไป ด้วยกำไรที่มั่นคงและความเชื่อมั่นจากลูกค้า ขอเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับทุกคน ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ 1. ความมั่นคงในการลงทุนที่สูงสุด 2. ผลตอบแทนที่น่าพอใจและมั่นคง 3. บริการที่มีคุณภาพและใส่ใจในการดูแลลูกค้า 4. โอกาสในการเติมทรัพย์อย่างมั่นคงและมีความเสี่ยงต่ำ รีบลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมกับเราและเติมทรัพย์ให้มั่นคง! อย่าพลาดโอกาสที่ดีนี้! ติดต่อเราเพื่อรับคำแนะนำและข้อมูลเพิ่มเติมวันนี้เลย! ** สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่นและกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (2 – 8 ต.ค. 64)" นำเสนอโอกาสในการลงทุนที่น่าเชื่อถือและมั่นคง โดยเน้นการคัดเลือกลงทุนอย่างประณีตและการบริหารการลงทุนที่มืออาชีพ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นใจในการลงทุน
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1390
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "แนวทางการเติบโตตลอดชีวิตโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ให้หน่อยค่ะ
ทั้งหมดนั้นผมคิดว่ามาจากแนวทางและประสบการณ์สำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้คือ ข้อแรก ตั้งอยู่ในความสมถะ ไม่ทะนงตนเองเกินไป สอง คือการไม่หยุดศึกษาและอ่านหนังสือตลอดชีวิต สาม คือพยายามทำอะไรที่เป็นการ “ทบต้น” ความหมายคือ เมื่อทำอะไรสำเร็จไปแล้ว ก้าวต่อไปก็ต้องต่อยอดจากความสำเร็จนั้นไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ตลอดเวลา สี่ คือพยายามไม่ทำอะไรซ้ำนานเกินไปโดยเฉพาะถ้าสิ่งที่ทำนั้นไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จมากขึ้นอีกแล้ว ผมเคยลองนึกย้อนหลังดูก็พบว่าประมาณทุก 10 ปีชีวิตผมจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทุกครั้ง และสุดท้ายก็คือ ชีวิตผมดีขึ้นซึ่งรวมถึงความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นเกือบทุกปีเป็นเวลาเกือบ 70 ปีแล้ว และแม้ว่าการดีขึ้นแต่ละปีนั้นมักจะเกิดขึ้นทีละน้อยแต่มัน “ทบต้น” มาตลอด ซึ่งทำให้ความแตกต่างระหว่างวันนี้กับวันที่ผมยังเป็นเด็กเล็กนั้นแตกต่างราวกับ “ฟ้ากับดิน” อย่างไรก็ตาม ผมยังจำชีวิตในช่วงเวลาต่าง ๆ นั้นได้เสมอและเตือนตัวเองว่าผมมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ซึ่งข้อสรุปก็คือ ผมไม่ได้มีความสามารถอะไรเป็นพิเศษ ผมเพียงแต่ค่อย ๆ ทำเพิ่มขึ้นและดีขึ้นทีละเล็กละน้อยในสิ่งที่ไม่ได้ยากเกินไปทุกปี
แนวทางการเติบโตตลอดชีวิตโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 1. ตั้งอยู่ในความสมถะ 2. ไม่หยุดศึกษาตลอดชีวิต 3. เมื่อทำอะไรสำเร็จแล้ว ก้าวต่อไปต้องต่อยอดจากความสำเร็จโดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ 4. พยายามไม่ทำอะไรซ้ำนานเกินไป เพราะไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จอีกแล้ว 5. ชีวิตที่ดีขึ้นรวมถึงความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นเกือบทุกปี
การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1395
Finance
จงเขียนเรื่องสั้น เรื่อง "The NFT Bible: คู่มือสำหรับการเข้าใจและประยุกต์ใช้ Non-Fungible Tokens" ให้หน่อย
null
หนังสือเก่าที่อยู่บนชั้นหนังสือของชุมชนดิจิทัล ได้ถูกหยิบออกมาอีกครั้ง เป็นหนังสือที่รองรับได้กับยุคสมัยใหม่ๆ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเทคโนโลยีบล็อกเชนและ NFT หรือ Non-Fungible Token นั้นที่กำลังเป็นกระแสสุดฮิตในวงการศิลปะและอินเทอร์เน็ตในช่วงหลังจากนี้ เมื่อก้าวเข้าสู่โลกของ NFT จะพบว่ามันไม่ได้เป็นเพียงการสะสมของรูปภาพหรือวีดีโอธรรมดา เมื่อเห็น NFT มันเหมือนเป็นศิลปะที่เกิดขึ้นอย่างเป็นนิสัย แต่มีความพิเศษเพราะมีลายละเอียดที่เอื้อมถึงเทคโนโลยีแบบเจาะลึกอย่างบล็อกเชน ในตำนานของโลก NFT มีหนังสือเล่มหนึ่งที่นับถือว่าเป็น "The NFT Bible" หนังสือนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับ NFT เท่านั้น แต่มันเป็นการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่านั้น เป็นชนิดของพิมพ์เล่มพิเศษที่ใช้เทคโนโลยี NFT ในการตระเวนคุ้มครองข้อมูลและทรัพย์สินทางปัญญาของมันเอง หนังสือนี้ถูกเขียนขึ้นโดยนักเขียนชื่อดังในวงการเทคโนโลยีและศิลปะดิจิทัล มีข้อมูลที่ครอบคลุมทุกด้านของ NFT ตั้งแต่ประวัติของการพัฒนามาจนถึงการใช้งานและการประยุกต์ใช้ในวงการศิลปะ หนังสือนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่สำคัญสำหรับนักเรียนที่ศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีและศิลปะดิจิทัล แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูลที่ไร้เทียมทานสำหรับนักลงทุนและนักสะสมศิลปะที่กำลังเข้ามาในโลกของ NFT อย่างจริงจัง "The NFT Bible" เป็นการผสมผสานของความรู้ทางวิชาการและประสบการณ์จริงจากผู้เชี่ยวชาญ และมันไม่เพียงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่จะอยู่บนชั้นหนังสือของนักอ่าน แต่มันเป็นแหล่งอ้างอิงที่น่าสนใจและควรมีสำหรับผู้ที่ต้องการทราบเกี่ยวกับภาพรวมของโลก NFT ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1400
Finance
สมาชิกคณะกรรมการเฟด คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยปี 2023 ณ เดือนกันยายน 2021 เป็นเท่าไหร่ ระหว่าง 0.75% หรือ 0.5%
null
0.75% เพราะสมาชิกคณะกรรมการเฟด คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยปี 2023 ณ เดือนกันยายน 2021 เป็น 0.75% (ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง) ส่วน 0.5% เป็นเปอร์เซ็นต์ที่สมาชิกคณะกรรมการเฟด คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยปี 2023 ณ เดือนกรกฎาคม 2021 ผลการประชุมนัดสำคัญของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด เมื่อคืนวันที่ 22 กันยายน 2021 เฟดทำการประกาศแนวทางการลดการซื้อพันธบัตรสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ น้อยกว่าที่คาดไว้ โดยมิได้ระบุอะไรใด ๆ ในผลการประชุมของเฟดที่ประกาศออกมาในถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการ มีแต่เพียงการพูดผ่านทางวาจาว่าน่าจะเริ่มลด QE ในช่วงต้นปี 2022 สำหรับความเร็วในการลด QE น่าจะใช้เวลาราว ๆ 6 เดือน โดยกล่าวในทางวาจาว่าจะเริ่มลด QE ในช่วงต้นปี 2022 และเสร็จสิ้นในตอนกลางปี 2022 รวมถึงบอกว่าจะมีความยืดหยุ่นในความเร็วของการลด โดยคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ๆ การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในอนาคตของสมาชิกคณะกรรมการเฟดแต่ละท่าน หรือ Dot Plot มีหน้าตาเป็นดังนี้ ปี ระดับดอกเบี้ย (คาดการณ์ ณ กันยายน 2021) ระดับดอกเบี้ย (คาดการณ์ ณ กรกฎาคม 2021) 2022 0.25% (ขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง) 0% (ขึ้นดอกเบี้ย 0 ครั้ง) 2023 0.75% (ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง) 0.5% (ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง) 2024 1.75% ระยะยาว 2.5% 2.5% ท้ายสุด ภาพเศรษฐกิจสหรัฐ หรือ Economic outlook ของสมาชิกเฟด ปี 2021 เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะชะลอลงหรือจีดีพีเติบโตลดลงร้อยละ 1 โดยมองว่าจีดีพีสหรัฐปี 2021 จะโตอยู่ที่ราวร้อยละ 5 ลดลงจากร้อยละ 6 ที่เคยคาดไว้ แต่ปี 2022 สมาชิกเฟดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวได้ดีขึ้น โดยคาดว่าจะโตขึ้นมาเป็นร้อยละ 4 จากร้อยละ 3.5 ด้านอัตราการว่างงานสหรัฐ ในปี 2021 น่าจะสูงขึ้นเล็กน้อยจากที่คาดก่อนหน้าเป็นร้อยละ 4.8 และในปี 2022 น่าจะลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 3.7
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1401
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ทิศทางต่อไปของทองคำ เมื่อเฟดส่งสัญญาณการปรับลดวงเงิน QE ในช่วงปลายปี 2021
null
หลังจากที่เฟดส่งสัญญาณการปรับลดวงเงิน QE ในช่วงปลายปี 2021 ทองคำจะมีสถานการณ์อย่างไรต่อไป มันจะส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากการคาดการณ์ดอกเบี้ยล่วงหน้าของนักลงทุน ทำให้ราคาทองคำในต่างประเทศมีการฉุดลงและมีเค้าว่าจะปรับแนวโน้มขาลง หรือนักลงทุนอาจจะไม่สนใจมันเลยก็ได้ ในทางกลับกัน ผลจากการที่สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่า จะทำให้ค่าเงินบาทไทยอ่อนลง เป็นสาเหตุที่ทำให้ทองคำแท่งในไทยไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าไร แต่ถ้าการอ่อนค่าของค่าเงินบาทไทยมีแนวโน้มมากกว่ากาฉุดลงของทองคำในต่างประเทศ ก็มีโอกาสที่ทองแท่งในไทยจะปรับตัวขึ้นสวนทางกับทองในต่างประเทศ บทเรียนจากย่อหน้าข้างต้น จากแถลงการณ์ของเฟดที่ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าจะเริ่มปรับลดวงเงิน QE (QE tapering) ในช่วงปลายปี 2021 พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยหลังจากการสิ้นสุด QE ซึ่งกรอบเวลาคือในช่วงกลางปี 2022 นั้น หมายความว่าเฟดจะทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น 1 ปี จากที่เคยประกาศไว้ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปี 2023 หลังจากที่เฟดประกาศแบบนี้แล้ว สถานการณ์ต่อไปของทองคำจะเป็นอย่างไร ถือว่าเป็นข่าวร้ายของตลาดการลงทุนทองคำ เนื่องจากข่าวนี้อาจจะส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างมากจากการคาดการณ์ดอกเบี้ยล่วงหน้าของนักลงทุน ซึ่งจะฉุดให้ราคาทองคำในต่างประเทศส่อแววปรับเป็นแนวโน้มขาลงหรือไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกต่อไป อย่างไรก็ตามผลพวงของสกุลเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มแข็งค่า ในอีกทางหนึ่งก็ส่งผลให้ค่าเงินบาทเราอ่อนตามไปเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ทองคำแท่งในไทยมีโอกาสที่จะทรง ๆ หรืออาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อีกทั้งถ้าผลของการอ่อนค่าของค่าเงินบาทมีมากกว่าการล่วงลงของทองคำในต่างประเทศ อาจเห็นทองแท่งในไทยปรับตัวขึ้นสวนทองต่างประเทศได้เช่นกัน
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1404
Finance
กองทุน KF-HJAPAND คืออะไร?
null
KF-HJPAND คือ ตัวกองทุนกวาดรางวัลในช่วงล่าสุดมาถึง 3 รางวัลถ้วน ส่วนกลยุทธ์และผลงานแบบเจาะลึกของกองทุนที่ว่าจะเป็นอย่างไรไปพิสูจน์กันผ่านบทความนี้ 5 เหตุผลทำไมหุ้นญี่ปุ่นถึงมีจังหวะที่น่าลงทุน นายทาโร โคโนะ ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดในการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีครั้งถัดไปของญี่ปุ่น โดยมีการเปิดเผยว่า เขาจะพยายามผลักดันการเปิดใช้งานโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์อีกครั้ง เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 สะท้อนให้เห็นถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนการลงทุนขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ชาวญี่ปุ่นในตอนนี้ได้รับวัคซีนมากกว่า 50% ของประชากรทั้งหมดในขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนเฉลี่ยในตอนนี้สูงถึง 1.2 ล้านโดส จึงอาจทำให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ในอีกไม่ช้า ซึ่งปัจจัยนี้อาจช่วยหนุนนำให้ญี่ปุ่นสามารถฟื้นตัวและเริ่มวัฏจักรเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง ปัจจัยนี้สอดคล้องกับปัจจัยก่อนหน้าโดยประมาณการ GDP จาก Bloomberg ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตของ GDP ญี่ปุ่น ถูกปรับขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่การระบาดระลอกใหม่ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ดัชนี TOPIX หนึ่งในตัวแทนหุ้นญี่ปุ่นมีประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่สูงกว่าดัชนี S&P 500 มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2021 และมีปัจจัยกระตุ้นทางด้านราคาอย่างการลาออกของคุณ โยชิฮิเดะ ซูงะ ในขณะที่ประมาณการกำไรของแต่ละอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นก็ได้มีการปรับประมาณการขึ้นในเชิงบวกต่อเนื่องเช่นเดียวกัน เกิดสัญญาณทางเทคนิคอย่างการทำนิวไฮของราคาซึ่งหากนับจากสถิติตั้งแต่ปี 2005 นั้น สัญญาณที่ว่าเกิดขึ้นมาแล้ว 6 ครั้ง และสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ 27.10% ในช่วง 8-14 เดือน ในขณะที่ใน Timeframe Weekly ดัชนี TOPIX ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 30 ปี ในขณะที่ Indicators อย่าง MACD ได้ตัดขึ้นและสามารถยืนเหนือเส้น 0 ได้ บ่งบอกถึงสัญญาณในการเข้าซื้อ (Buy Signal)
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1406
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ปัจจัยที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จีนมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากประเทศอื่น
null
สาเหตุที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากประเทศอื่น สาเหตุแรกก็คือ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ส่วนมากจะมีความเป็น conglomerate หรือ การประกอบธุรกิจหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน สาเหตุต่อมา รัฐบาลท้องถิ่นตามมลรัฐและเมืองต่าง ๆ จะได้รับรายได้ที่ใหญ่มาก ๆ จากการขายที่ดินให้กับริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ และสาเหตุสุดท้ายคือ มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางแห่งหนึ่ง ขอเอกสารเพิ่มเติมในการถือหุ้นกับบริษัทที่เป็นพรรคพวกของตนเองในรูปแบบหุ้นส่วน โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากบริษัทหุ้นส่วนมากกว่าบริษัทตนเอง จึงเป็นที่มาที่รัฐบาลจีนเข้มวงดกับการตรวจสอบการออกตราสารหนี้ในรูปแบบ Off-balance sheet รวมถึงการถือหุ้นจากการร่วมทุนกับบริษัทอื่น ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เป็นพิเศษ ทำให้การออกหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ขทำได้ยากขึ้นนั่นเอง บทเรียนจากย่อหน้านี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จีนมีลักษณะเฉพาะตัวที่ออกจะแตกต่างจากประเทศอื่นอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. บริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของจีน ส่วนใหญ่มีความเป็น conglomerate กล่าวคือประกอบธุรกิจหลาย ๆ อย่างไปพร้อมกัน อาทิ Evergrande ยังทำธุรกิจน้ำดื่ม ทีมฟุตบอล และรถยนต์ ซึ่งทำให้การกู้ยืมกันระหว่างกันข้ามสายธุรกิจสามารถที่จะทำได้ รวมถึงมีการออกตราสาร Wealth Management Product หรือหน่วยลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของแบงก์ชาติจีนเพื่ออกขายให้ชาวจีนทั่วไป 2. รัฐบาลท้องถิ่นตามมลรัฐและเมืองต่าง ๆ ของจีน ได้รับรายได้ก้อนใหญ่จากการขายที่ดินให้กับบรรดาบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของจีน 3. มีบริษัทอสังหาฯ จีนขนาดกลางแห่งหนึ่ง ที่มีบริษัทตรวจสอบบัญชี Big 4 ขอเอกสารเพิ่มเติมในส่วนของการถือหุ้นกับบริษัทที่เป็นพรรคพวกของตนเองในรูปแบบของหุ้นส่วน โดยที่รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทนั้น มาจากบริษัทหุ้นส่วนมากกว่าของตนเอง นอกจากนี้ ยังมีบริษัทบริษัทอสังหาฯ จีนขนาดกลางที่หุ้นกู้ในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์มูลค่า 350 ล้านดอลลาร์ ที่ถูกเทขายจนราคาเกิดส่วนลดลงไปราวร้อยละ 15 ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ในช่วงนี้ รัฐบาลจีนจึงเข้มกับการตรวจสอบการออกตราสารหนี้ในรูปแบบ Off-balance sheet รวมถึงการถือหุ้นในส่วนของการร่วมทุนกับบริษัทอื่น ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของจีนเป็นพิเศษ ทำให้การออกหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ของบริษัทเหล่านี้ในฮ่องกงทำได้ยากขึ้น
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1408
Finance
REIT คืออะไร
null
REIT ย่อมาจาก Real Estate Investment Trust แปลไทยคือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หน้าที่หลักของกองนี้คือ เข้าไปบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง แล้วก็นำผลกำไรที่ได้มาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับนักลงทุน บางครั้งกอง REIT จะเรียกรวมไปถึงกลุ่ม Property Fund และ Infrastructure Fund ด้วย เพราะมีลักษณะการลงทุนคล้ายกัน แต่ปัจจุบัน Property Fund จะไม่มีออกมาใหม่แล้ว เพราะ กลต. จะให้ออกในรูปของ REIT ทั้งหมด กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทั้ง REIT / Property Fund / Infrastructure Fund เป็นกองทุนปิด จะมีการเปิด IPO ให้นักลงทุนครั้งเดียว แล้วก็ให้ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์เหมือนซื้อขายหุ้นตัวหนึ่ง รายได้ของกองทุนจะมาจากการ “เก็บค่าเช่า” ในอสังหาริมทรัพย์ที่ไปลงทุนนั้นๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน สถานที่จัดแสดงสินค้า หรือพวกนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยธรรมชาติของ REIT จะจ่ายเงินปันผลสูง 5 – 7% ต่อปี ซึ่งสร้างรายได้ให้กับนักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และความผันผวนก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นพอสมควร ปัจจัยที่ส่งผลต่อมูลค่าของ REIT ได้แก่ ทำเลและสภาพเศรษฐกิจ ถ้าเกิดทำเลดี เศรษฐกิจดี ผู้เช่าก็จะเยอะ และสามารถขึ้นค่าเช่าได้ อีกปัจจัยหนึ่ง คือ เรื่องความน่าสนใจของ REIT ในมุมมองของนักลงทุนในช่วงนั้น เพราะกอง REIT ซื้อขายเหมือนหุ้นตัวหนึ่ง ถ้าคนสนใจมากราคาก็จะสูง ถ้าคนสนใจน้อยราคาก็จะต่ำ ความน่าสนใจของ REIT จะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยในช่วงนั้น ถ้าช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลง ผลตอบแทนที่ค่อนข้างคงที่ของ REIT จะน่าดึงดูด แต่ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ผลตอบแทนที่คงที่จะน่าสนใจน้อยลง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1409
Finance
จงบอกฟังก์ชั่นต่าง ๆ ในแอปพลิเคชั่น และเว็บไซต์ของ กบข.
null
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เป็นระบบออมเกษียณภาคบังคับสำหรับข้าราชการโดยเฉพาะ เป็นหนึ่งในระบบออมเกษียณภาคบังคับในประเทศไทย นอกเหนือไปจากการออมในกองทุนชราภาพประกันสังคม และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างฝั่งบริษัทเอกชน ในภาพรวมแล้ว ทั้ง 3 กองทุนนี้ก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน คือ เป็นการออมภาคบังคับ ที่เมื่อฝั่งลูกจ้างออม จะมีนายจ้างหรือรัฐบาลช่วยออมให้ด้วย และเงินที่สะสมแต่ละปีก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ การบริการข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการตัดสินใจลงทุน ในหน้าเว็บไซต์ของ กบข. จะมีบริการข้อมูล Fund fact sheet รายแผนการลงทุน มีการชี้แจงสถานะและสัดส่วนการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ของแต่ละแผนการลงทุนอย่างละเอียด รวมถึงการอัปเดตผลตอบแทนการลงทุนย้อนหลังของแต่ละกองเอาไว้ค่อนข้างเป็นปัจจุบัน แผนที่ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีสูงสุด ณ สิ้นปี 2563 เป็นแผนผสมหุ้นทวี ซึ่งให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 5.24% ต่อปี ฟังก์ชั่นต่าง ๆ ในแอปพลิเคชั่น และเว็บไซต์ของ กบข. - บริการนัดหมายบริการข้อมูลการเงิน โดยสมาชิกสามารถนัดวางแผนการเงินกับผู้เชี่ยวชาญที่ได้จัดไว้ให้ด้วยการจองเวลาผ่านแอปได้เลย - มีการจัดทำสื่อที่ให้ความรู้การเงินการลงทุนแก่สมาชิก - มีสิทธิประโยชน์ร้านค้าต่าง ๆ มากมาย เช่น ส่วนลดค่าน้ำมัน ส่วนลดค่าตั๋วเครื่องบิน - มีฟังก์ชั่นคำนวณเงินเกษียณ โดยจะดึงข้อมูลเงินสะสม เงินสมทบ ผลตอบแทนย้อนหลังของแผนการลงทุนที่เลือกอยู่มาคำนวณให้ เพื่อหาส่วนต่างของเงินที่ควรออมเพิ่ม
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1410
Finance
นักลงทุนต่างชาติควรขายหุ้นจีนทั้งหมดทิ้งในตอนนี้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ปัญหา Evergrande ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนทั้งหมด: Evergrande เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพียงแห่งเดียวที่เผชิญปัญหาสภาพคล่อง เศรษฐกิจจีนยังมีภาคส่วนอื่น ๆ ที่เติบโตดี เช่น เทคโนโลยี การบริโภคภายในประเทศ และการส่งออก รัฐบาลจีนมีนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจ: รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายอย่าง เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ และการสนับสนุนภาคธุรกิจ ตลาดหุ้นจีนมี Valuation ที่น่าสนใจ: ดัชนี MSCI China A-Shares มี P/E Ratio อยู่ที่ 12.5 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว เงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่า: เงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติควร: เลือกหุ้นอย่างระมัดระวัง: ควรเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มการเติบโตสูง และไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหา Evergrande กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นจีนเพียงอย่างเดียว ควรกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ และภูมิภาคอื่น ๆ ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด: ควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน นโยบายของรัฐบาล และผลประกอบการของบริษัทที่ลงทุน สรุป: นักลงทุนต่างชาติไม่ควรขายหุ้นจีนทั้งหมดทิ้งในตอนนี้ แต่ควรเลือกหุ้นอย่างระมัดระวัง กระจายความเสี่ยง และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1414
Finance
สูตรเลือกหุ้นสไตล์ Peter Lynch เขามีวิธีการเลือกหุ้นอย่างไร?
null
สูตรเลือกหุ้นสไตล์ “Peter Lynch” เขามีวิธีการเลือกหุ้นอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 29% ต่อปีตลอด 13 ปี ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้ดีหรือเป็นลูกค้า เลือกหุ้นที่ดีในราคาที่สมเหตุผล – Peter Lynch ปรัญชาการลงทุน เชื่อว่ารายย่อยได้เปรียบรายใหญ่และสถาบันในด้านความยืดหยุ่น ไม่มีข้อบังคับและกฎระเบียบในการเลือกหุ้น และไม่ต้องสนใจผลการดำเนินงานในระยะสั้น และเชื่อว่าเราสามารถพบหุ้นที่ดีได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่บทวิเคราะห์หรือผู้เชี่ยวชาญ แบ่งหุ้นตาม Peter Lynch 1. หุ้นโตเร็ว 2. หุ้นแข็งแรง 3. หุ้นโตช้า 4. หุ้นวัฏจักร 5. หุ้นฟื้นตัว 6. หุ้นทรัพย์สินมาก สไตล์หุ้นที่ชอบ • มองบริษัทก่อนอุตสาหกรรม • หุ้นขนาดเล็ก-กลาง เติบโตเร็ว • มีจุดแข็งชัดเจน คนใช้ซ้ำ • กำไรเพิ่มเฉลี่ย >20% ต่อปี • PE/Growth น้อยกว่า 1 • ถือยาวจนกว่าพื้นฐานจะเปลี่ยน หรือเกินมูลค่า คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1417
Finance
จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ Evergrande อสังหาจีนล้ม ในปี 2021
null
เอเวอร์แกรนด์นั้น  บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของจีนซึ่งมีการเติบโตร้อนแรงมาต่อเนื่องยาวนานอานิสงค์จากการที่จีนมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วมากที่ทำให้คนจีนมีรายได้มากขึ้นมากและต้องการซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์  ไม่ใช่แค่อยู่อาศัย  แต่ถือว่าเป็นการลงทุนด้วย  ดังนั้น  อุตสาหกรรมก่อสร้างที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ  จึงเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากและมีสัดส่วนใน GDP สูงมากถึงประมาณ 10 สิบเปอร์เซ็นต์  และลูกหนี้เงินกู้ของธนาคารจำนวนมหาศาลก็เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจนี้  อย่างไรก็ตาม  การเพิ่มขึ้นของราคาของอสังหาริมทรัพย์ก็ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่อาจจะเป็น “ฟองสบู่” ในหลาย ๆ  เมือง  และนักวิเคราะห์บางคนก็มองว่ามีโอกาสที่ฟองสบู่อสังหาจีนอาจจะ “แตก” ได้ในวันหนึ่ง  และถ้าฟองสบู่แตก  ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจจีนอาจจะเกิด “วิกฤติ” อย่างที่เคยเกิดในหลายแห่งทั่วโลก การผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศและมีหนี้มหาศาลนั้น  หลายคนคิดว่ามันอาจจะเป็นตัว “จุดประกาย” ให้เกิดวิกฤติตามมาถ้าไม่มีคนมาช่วยแก้ไขไม่ให้บริษัทล้มละลายซึ่งจะส่งผลต่อคนที่เกี่ยวข้องจำนวนมากรวมถึงสถาบันการเงินและนักลงทุนของบริษัท  นาทีนี้ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีใครนอกจากรัฐบาลจีนที่จะสามารถเข้ามากู้หรือแก้ไขปัญหานี้ได้ สิ่งที่จะเป็นไปน่าจะออกในแนวทางดังต่อไปนี้ 1.เอเวอร์แกรนด์น่าจะ “ไม่รอด” เมื่อคำนึงถึงนโยบายของสีจิ้นผิงเมื่อเร็ว ๆ  นี้ที่เปลี่ยนแปลงไปจากการที่เน้น  “ทุนนิยม” และเอื้อต่อธุรกิจขนาดใหญ่มาเป็นการเน้นสร้างความเท่าเทียมให้กับประชาชน  ดังนั้น  ผมคิดว่ารัฐบาลจีนคงปล่อยให้เอเวอร์แกรนด์ล้มละลายและรัฐบาลก็จะดูแลแค่ลูกค้ารายย่อยที่ซื้อบ้านของบริษัท  ส่วนเจ้าหนี้รายใหญ่โดยเฉพาะที่เป็นสถาบันการเงินและนักลงทุนในตลาดทุนก็จะต้องรับผิดชอบความเสียหายกันเอง 2.สถาบันการเงินส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าหนี้นั้น  น่าจะมีจำนวนมากและไม่น่าจะมีรายไหนที่จะปล่อยกู้มากจนเสียหายหนักขนาดที่จะล้มได้อันเนื่องมาจากความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับเอเวอร์แกรนด์รวมถึงซัพพลายเออร์ซึ่งก็น่าจะกระจายไปมากเช่นเดียวกัน ดังนั้น การล้มต่อเนื่องน่าจะมีน้อย 3.“ฟองสบู่” ของอสังหาริมทรัพย์จีนนั้น  คงไม่แตกเพราะเอเวอร์แกรนด์เจ๊ง อุตสาหกรรมอสังหาของจีนใหญ่กว่าขนาดของเอเวอร์แกรนด์มาก  ราคาของอสังหาอาจจะปรับตัวลดลงบ้างเล็กน้อยเมื่อมีการ “ชำระบัญชี” คือการตัดขายสินทรัพย์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วซึ่งแน่นอนว่าในราคาที่ลดลง  แต่เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินของจีนซึ่งก็น่าจะคล้ายสถานการณ์ของโลกที่สูงมากในช่วงนี้  ก็น่าจะทำให้มีคนต้องการซื้ออสังหาที่ถูกเทขายออกมามาก  ผลก็คือ  คนที่ถือทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์อยู่อาจจะไม่ได้ขาดทุนรุนแรงและก่อให้เกิดปัญหาขึ้นทั้งระบบ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1422
Finance
การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีเหมาะกับทุกคนหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ความเสี่ยงสูง: คริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง ราคาอาจขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ความรู้: ผู้ลงทุนควรมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน คริปโทเคอร์เรนซี และกลยุทธ์การลงทุน กฎระเบียบ: กฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซียังอยู่ในระหว่างการพัฒนา สภาพคล่อง: ตลาดคริปโทเคอร์เรนซียังมีสภาพคล่องน้อย ความปลอดภัย: มีความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ รายละเอียด: ความเสี่ยงสูง: คริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง ราคาอาจขึ้นลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ ตัวอย่าง: ราคา Bitcoin เคยพุ่งสูงถึง 64,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2021 ราคา Bitcoin เคยร่วงลงต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 สาเหตุ: ปัจจัยทางเทคนิค เช่น ปริมาณการซื้อขาย ปัจจัยทางข่าว เช่น กฎระเบียบใหม่ ความรู้: ผู้ลงทุนควรมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน คริปโทเคอร์เรนซี และกลยุทธ์การลงทุน ตัวอย่าง: เข้าใจวิธีการทำงานของเทคโนโลยีบล็อกเชน เข้าใจประเภทของคริปโทเคอร์เรนซี เข้าใจกลยุทธ์การลงทุน เช่น การเทรด การถือระยะยาว กฎระเบียบ: กฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซียังอยู่ในระหว่างการพัฒนา สถานะปัจจุบัน: ยังไม่มีกฎหมายรองรับคริปโทเคอร์เรนซีในไทย อยู่ในระหว่างการพัฒนาพระราชบัญญัติสินทรัพย์ดิจิทัล ความเสี่ยง: กฎระเบียบใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาคริปโทเคอร์เรนซี ความเสี่ยงทางกฎหมาย สภาพคล่อง: ตลาดคริปโทเคอร์เรนซียังมีสภาพคล่องน้อย ปัญหา: อาจยากที่จะซื้อหรือขายคริปโทเคอร์เรนซีในบางช่วงเวลา อาจเกิดปัญหา slippage สูง ความปลอดภัย: มีความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ ตัวอย่าง: การโจมตีแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี การหลอกลวงทางออนไลน์ วิธีป้องกัน: เก็บคริปโทเคอร์เรนซีในกระเป๋าเงินที่ปลอดภัย ระมัดระวังการหลอกลวงทางออนไลน์ สรุป: การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีมีความเสี่ยงสูง เหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้ ประสบการณ์ และสามารถรับความเสี่ยงได้ คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1423
Finance
จงสรุปบทความ อยากเริ่มต้นกับ Bitcoin แต่ไม่รู้จะจัดพอร์ตกี่ % ดี
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสินทรัพย์ดิจิทัลในตอนนี้ เพราะราคาขึ้นมาสูงและสักพักก็ปรับฐานลงมาลึก หลังจากนั้น Rebound กลับมาทดสอบแถว ๆ High เดิมอีก ทำให้ผู้ที่สนใจไม่ว่านักลงทุนหรือนักเก็งกำไรมีความสับสนลังเลกับทิศทางของสินทรัพย์ดิจิทัลว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต แม้หลายท่านจะเริ่มเชื่อว่า สินทรัพย์ชนิดนี้อาจจะเติบโตขึ้นได้อีกพอสมควร หลังจากที่มีข่าวการเข้ามาของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ทั่วโลก เริ่มสนใจ เริ่มลงทุน กันมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว สถาบันการลงทุนหลายแห่งแนะนำลูกค้าให้เพิ่มน้ำหนักในสินทรัพย์ดิจิทัล สถาบันการเงินการลงทุนชื่อดังใน Wall Street เริ่มออกมาให้คำแนะนำลูกค้าของตนเองเกี่ยวกับการเพิ่มน้ำหนักพอร์ตลงทุนว่าควรแบ่งเงินบางส่วนมา “ถือครอง” สินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะ Bitcoin ที่เป็นเหรียญขนาดใหญ่ มีน้ำหนักกว่า 45% ของตลาดรวมทั้งหมด ซึ่งแต่ละสถาบันก็จะมีมุมมองในอนาคตที่แตกต่างกันรวมถึงน้ำหนักการลงทุนที่แนะนำก็ต่างกันออกไปด้วย มีตั้งแต่ 1% ของพอร์ตไปจนถึงไม่เกิน 20% ของพอร์ต จึงเป็นที่มาของบทความนี้ที่อยากจะลองย้อนเวลาทดสอบอดีตดูว่า การแบ่งเงิน “บางส่วน” มาลงทุน/เก็งกำไรใน Bitcoin จะให้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร และเจ้าคำว่าบางส่วนที่ว่านั่น ประมาณไหนถึงเรียกว่าเหมาะสม น้ำหนักการลงทุนที่แตกต่าง กับผลลัพธ์ที่นักลงทุนต้องเลือก อันดับแรกก่อนจะนำผลลัพธ์มาให้ดูกันต้องบอกก่อนว่าน้ำหนักการลงทุนที่แตกต่างกัน ล้วนให้ผลที่ต่างกันแน่นอน แต่ไม่มีผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนนะครับ บางแบบอาจให้ผลลัพธ์ดีแต่ความผันผวนสูง บางแบบผันผวนต่ำผลตอบแทนพอใช้ได้ ขึ้นอยู่กับโจทย์ทางการเงินของเรา เวลาในการติดตามสินทรัพย์นั้น และความสบายใจของตัวเรา จึงไม่มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เงื่อนไขการทดสอบ เงื่อนไขในการทดสอบนั้นเราหยิบกลยุทธ์เส้นค่าเฉลี่ยสองเส้นที่นักลงทุนหลายท่านใน FINNOMENA คุ้นเคยกันดีคือเส้นค่าเฉลี่ยตัดกัน เราจึงขอนำวิธีง่าย ๆ นี้มาระบุแนวโน้มว่าช่วงนี้ควรถือ Bitcoin หรือควรขายออกไปซึ่งจะใช้เส้นค่าเฉลี่ย 7วัน (1 สัปดาห์) และเส้นค่าเฉลี่ย 30 วัน (1 เดือน) ส่วนโจทย์สำคัญที่เราต้องการทดสอบก็คือ น้ำหนักการลงทุนเท่าไรดี และแต่ละแบบแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน โดยเราจะลองทดสอบทั้งหมด 4 ครั้งดังนี้ แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 1% ของพอร์ต แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 5% ของพอร์ต แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 10% ของพอร์ต แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 20% ของพอร์ต แล้วเงินส่วนที่เหลือจะถือเป็นเงินสด เมื่อลงทุนใน Bitcoin ไปแล้วได้ผลลัพธ์เช่นไร จะนำมารวมกับเงินสดและคำนวณน้ำหนักการลงทุนใหม่ทุกครั้ง เป็นการ Reinvest ทันที ช่วงเวลาการทดสอบตั้งแต่วันที่ 1/1/2015- 30/6/2021 เงินลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 1% ของพอร์ต การแบ่งเงินเพียง 1% มาลงในสินทรัพย์ชนิดใดก็ตาม ฟังดูเป็นเรื่องตลกที่น่าจะไม่มีคนทำเพราะออกแนวเหนื่อยเปล่า ได้ก็ได้ไม่เยอะ แต่กินพลังงานพอ ๆ กันแต่ผลการทดสอบนี้จะทำให้ทุกท่านเห็นภาพมากขึ้นว่า 1% ก็สร้างผลกระทบได้เช่นกัน จากรูปจะสังเกตเห็นว่าเงิน 1% ที่มาอยู่ใน Bitcoin นั้นให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจเช่นกัน กราฟด้านซ้ายคือกราฟเงินทุน กราฟด้านขวาคือความผันผวนของพอร์ตระหว่างทางหรือก็คือ Drawdown เพราะกว่า 6 ปี 6 เดือนที่ผ่านมานั้น พอร์ตโตขึ้นถึง 10% แม้จะใช้เงินต่อครั้งที่เข้าซื้อ Bitcoin แค่ 1% เท่านั้นเอง ส่วน Max DD% อยู่ที่ 1.8% และเฉลี่ยอยู่ที่ 0.5% โดยประมาณเท่านั้น แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 5% ของพอร์ต น้ำหนักการลงทุนที่ 5% ก็ยังดูน้อยเกินไปในความคิดของนักลงทุน/เก็งกำไร ถือให้สินทรัพย์นั้นได้กำไรเยอะก็เหมือนจะไม่มีผลต่อพอร์ตโดยรวมสักเท่าไร แต่ลงมาดู 5% ใน Bitcoin กันบ้างครับ การเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีกหน่อยทำให้ผลรวมในพอร์ตดีขึ้นอย่างมาก โตมาประมาณ 60% ตลอดหลายปี ส่วน Max DD% นั้นอยู่ที่ 8% กว่า ค่าเฉลี่ย Drawdown ประมาณ 3-4% เท่านั้นเอง แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 10% ของพอร์ต น้ำหนักประมาณนี้คือวิธีที่หลายคนเลือกใช้ เพราะง่ายดี 10% ต่อตัว ต่อสินทรัพย์ น้ำหนักพอไหว กระจายการลงทุนได้ ลองมาดูกันว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรครับ แม้จะแบ่งเงินเพียง 10% ก็ยังทำให้พอร์ตโดยรวมได้ผลตอบแทนที่โดดเด่น และความเสี่ยงไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ Max DD% อยู่ที่ 15% ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 6% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่หลายคนรับไหว บางคน Stop Loss ต่อไม้ลึกกว่า 6% ของพอร์ตด้วยซ้ำ แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 20% ของพอร์ต แบบนี้ถือว่าจัดหนักเหมือนกัน แต่ก็มีสถาบันและนักลงทุนชื่อดังหลายท่านที่ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลว่าควรให้น้ำหนักมากขึ้น แต่ไม่เกิน 20% ของพอร์ต เราเลยขอทดสอบดูว่าพอร์ตจะผันผวนมากแค่ไหน จากเงิน 1 ใน 5 นั้นสามารถเติบโตไปได้มากจากกลยุทธ์ง่าย ๆ ไม่มีการกระจายการลงทุนเลย เงินที่เหลืออีก 80% ของพอร์ตก็เก็บไว้เฉย ๆ แต่ก็ยังปั้นพอร์ตได้ถึง 5 เท่าแต่ต้องแลกมากับความผันผวนระหว่างทางที่เริ่มจุกอกพอสมควร Max DD% สูงถึง 25% ค่าเฉลี่ย DD ประมาณ 10% บทสรุปของการทดลองแบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัลที่รุนแรงทำให้การแบ่งเงินบางส่วนมาลงทุนถือว่ายังให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ แต่ความผันผวนระหว่างทางของ Bitcoin ก็ใช่ว่าจะเหมาะสมกับทุก ๆ คน เพราะฉะนั้นการที่เราจะให้น้ำหนักมากหรือน้อยแค่ไหน อาจจะต้องประเมินจากความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมที่เรารับได้ก่อน ว่าประมาณไหนที่จะทำให้เรานอนหลับสบาย ไม่ผวาตื่นกลางดึกเพราะราคา Bitcoin ลงอย่างรุนแรง หลังจากนั้นเราถึงจะพอออกแบบได้ว่า “น้ำหนักการลงทุนเท่าไร’’ ที่เหมาะสมในสินทรัพย์ดิจิทัลครับ
สถาบันการลงทุนหลายแห่งแนะนำลูกค้าให้เพิ่มน้ำหนักในสินทรัพย์ดิจิทัล Wall Street เริ่มออกมาให้คำแนะนำลูกค้าของตนเองเกี่ยวกับการเพิ่มน้ำหนักพอร์ตลงทุนว่าควรแบ่งเงินบางส่วนมา “ถือครอง” สินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะ Bitcoin น้ำหนักการลงทุนที่แตกต่าง กับผลลัพธ์ที่นักลงทุนต้องเลือก การลงทุนที่แตกต่างกัน ล้วนให้ผลที่ต่างกันแน่นอน ขึ้นอยู่กับโจทย์ทางการเงินของเรา เวลาในการติดตามสินทรัพย์นั้น และความสบายใจของตัวเรา จึงไม่มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เงื่อนไขการทดสอบ น้ำหนักการลงทุนเท่าไรดี และแต่ละแบบแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน โดยเราจะลองทดสอบทั้งหมด 4 ครั้งดังนี้ 1.แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 1% ของพอร์ต 2.แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 5% ของพอร์ต 3.แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 10% ของพอร์ต 4.แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 20% ของพอร์ต - แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 1% ของพอร์ต ผลการทดสอบนี้จะทำให้ทุกท่านเห็นภาพมากขึ้นว่า 1% ก็สร้างผลกระทบได้เช่นกัน - แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 5% ของพอร์ต การเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีกหน่อยทำให้ผลรวมในพอร์ตดีขึ้นอย่างมาก โตมาประมาณ 60% ตลอดหลายปี ส่วน Max DD% นั้นอยู่ที่ 8% กว่า ค่าเฉลี่ย Drawdown ประมาณ 3-4% เท่านั้นเอง - แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 10% ของพอร์ต แม้จะแบ่งเงินเพียง 10% ก็ยังทำให้พอร์ตโดยรวมได้ผลตอบแทนที่โดดเด่น และความเสี่ยงไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ Max DD% อยู่ที่ 15% ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 6% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่หลายคนรับไหว บางคน Stop Loss ต่อไม้ลึกกว่า 6% ของพอร์ตด้วยซ้ำ - แบ่งเงินลงทุนใน Bitcoin 20% ของพอร์ต จากเงิน 1 ใน 5 นั้นสามารถเติบโตไปได้มากจากกลยุทธ์ง่าย ๆ ไม่มีการกระจายการลงทุนเลย เงินที่เหลืออีก 80% ของพอร์ตก็เก็บไว้เฉย ๆ แต่ก็ยังปั้นพอร์ตได้ถึง 5 เท่าแต่ต้องแลกมากับความผันผวนระหว่างทางที่เริ่มจุกอกพอสมควร Max DD% สูงถึง 25% ค่าเฉลี่ย DD ประมาณ 10% เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัล การลงทุนถือว่ายังให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ ก็ใช่ว่าจะเหมาะสมกับทุก ๆ คน อาจจะต้องประเมินจากความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมที่เรารับได้ก่อน พอออกแบบได้ว่า “น้ำหนักการลงทุนเท่าไร’’ ที่เหมาะสมในสินทรัพย์ดิจิทัล
การบริหารสินทรัพย์,การเงินดิจิทัล,เทคโนโลยีทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1425
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "My Neighbor Alice คืออะไร?" ให้หน่อยค่ะ
My Neighbor Alice คืออะไร? My Neighbor Alice คือ เกม NFT Play to Earn แนวทำฟาร์มปลูกผักที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Antler Interactive มีจุดเด่นในเรื่องของการดีไซน์ตัวละครและการออกแบบโลกของเกมให้มีความน่ารัก ตัวเกมนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมทำฟาร์มชื่อดังอย่าง Animal Crossing และระบบการสร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่มาจาก Minecraft ตัวเกมไม่ได้จำกัดแค่ผู้เล่นในโลกของ Blockchain เกมเพียงเท่านั้นเพราะตัวเกมนั้นพอร์ตลงในตัว Stream อีกด้วยทำให้คนทั่วไปนั้นเข้าถึงได้ง่ายและตรงที่มันเข้าถึงง่ายตรงนี้ที่แอดคิดว่าน่าจะเป็นส่วนที่ทำให้อนาคตของเกมนั้นน่าจะไปในทางที่ดี บวกกับตัวเกมที่เป็น Multiplayer Openworld อีกด้วย รูปแบบการเล่นภายในเกม ระบบหลัก ๆในตอนนี้จะมีอยู่ 5-6 อย่างด้วยกัน (ตอนนี้ตัวเกมยังอยู่ใน Pre-Alpha test เวลาเปิดจริงอาจจะมีระบบใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา) 1. ระบบปลูกผัก 2. ระบบเลี้ยงสัตว์ 3. ระบบตกปลา 4. ระบบเควสกับ NPC ที่จะได้รับรางวัลเป็นเหรียญ Alice 5. ระบบ Community ที่เราสามารถเล่นกับเพื่อนได้ 6. ระบบการสร้างสิ่งก่อสร้างรูปแบบการเล่นภายในเกม
My Neighbor Alice คือ เกม NFT แนวทำฟาร์มผักที่พัฒนาโดย Antler Interactive มีจุดเด่นในการดีไซน์ตัวละครและโลกของเกมให้มีความน่ารัก โดยตัวเกมได้แรงบันดาลใจจาก Animal Crossing และระบบการสร้างสิ่งก่อสร้างจาก Minecraft ตัวเกมไม่ได้จำกัดแค่ผู้เล่นใน Blockchain เท่านั้น แต่พอร์ตลงในตัว Stream ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงง่ายและตัวเกมเป็น Multiplayer Openworld อีกด้วย ระบบในเกมมีอยู่ 6 อย่าง ได้แก่ 1. ระบบปลูกผัก 2. ระบบเลี้ยงสัตว์ 3. ระบบตกปลา 4. ระบบเควสที่ได้รับหรียญ Alice 5. ระบบ Community สามารถเล่นกับเพื่อนได้ 6. ระบบการสร้างสิ่งก่อสร้าง
การเงินดิจิทัล,เทคโนโลยีทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1426
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ คุณสมบัติที่ FA ควรจะต้องมี
null
FA คือ อาชีพที่ให้คำปรึกษาในการบริหารเงินของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ หากใครที่อยากเป็นอาชีพนี้ จะต้องมีคุณบัติเหล่านี้ เริ่มต้นจากการที่คุณจะต้องมีความรู้เรื่องการเงินการลงทุน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่อยากจะเป็น FA ต่อมาต้องยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง มีใจรักในการบริการ มีทักษะการพูดคุยและการรับฟังจากการรู้จักและเข้าใจไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ต้องกล้าตัดสินใจที่จะออกแบบแผนการเงินจากการวิเคราะห์ มาอธิบายเหตุผล ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นให้ลูกค้าฟัง เพื่อประกอบการตัดสินใจ และสุดท้าย คนที่เป็น FA จะต้องกระตือรือร้นในการอัปเดตข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อให้คำปรึกษากับลูกค้าได้เตรงกับสถานการณ์ในปัจจุบัน บทเรียนจากย่อหน้านี้ คุณสมบัติที่ FA ควรจะต้องมี 1. มีความสนใจเรื่องการเงินการลงทุน ทักษะแรกที่สำคัญที่สุด (ขาดข้ออื่นไปยังพอทำงานได้ แต่ขาดข้อนี้ไปจบเลย) คือ “ความรู้เรื่องการเงินการลงทุน” เพราะถ้ายังสนใจและศึกษาอยู่เรื่อยๆ ความรู้เราต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน 2. มีใจบริการ FA เป็นคนที่ให้คำปรึกษากับ “ลูกค้า” เพราะฉะนั้นโฟกัสตลอดการทำงานเป็น FA คือ การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) FA ต้องไม่แนะนำผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มให้กับลูกค้าเพียงเพื่อให้ตัวเองได้ส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมสูงๆ แต่ FA ต้องยึดเป้าหมายของลูกค้ามาก่อน แล้วค่อยออกแบบแผนการเงินให้สอดคล้องตามนั้น ซึ่งการจะเอาความต้องการของลูกค้ามาก่อนความต้องการส่วนตัว ต้องมาจากการมีใจรักในการบริการ 3. มีทักษะในการพูดคุยและรับฟัง การจะรู้จักใครซักคน ต้องพูดคุยกับคนคนนั้นเยอะๆ FA จะรู้จักลูกค้าและเข้าใจไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้ ก็ต้องผ่านการพูดคุยเยอะๆ เหมือนกัน ทักษะนี้เป็นทักษะที่ FA หลายคนอาจจะมองข้ามไป เพราะไปโฟกัสที่การมี hard skill มากกว่า แต่จริงๆ แล้วการมี soft skill เรื่องทักษะในการพูดคุย การมีมนุษยสัมพันธ์ การเป็นผู้ฟังที่ดี เป็นทักษะที่จะชี้วัดเลยว่า คุณจะเป็น FA ที่คนชื่นชอบได้หรือเปล่า เพราะถึงจะมีความรู้แน่น แต่ถ้าไม่สามารถถ่ายทอดให้คนเชื่อถือได้ หรือไม่สามารถพูดให้คนเปิดใจกับคุณได้ ก็ไม่มีใครไว้ใจให้ดูแลอยู่ดี 4. กล้าตัดสินใจ กล้าตัดสินใจในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้ไปบังคับให้ลูกค้าทำตามที่บอก แต่การกล้าตัดสินใจ หมายถึง การที่ออกแบบแผนการเงินที่ได้มาจากการวิเคราะห์อย่างชัดเจน แล้วอธิบายเหตุผล ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นให้ลูกค้าฟัง ให้ลูกค้าเข้าใจในทุกแง่มุมแล้วตัดสินใจเอง แต่อย่างไรก็ตามมันไม่มีแผนการเงินไหนที่การันตีว่ามันจะได้ผล 100% ทุกแผนมีความเสี่ยงที่จะไม่เป็นไปตามแผน FA ต้องกล้าที่จะตัดสินใจจากความรู้และประสบการณ์ที่มี และรายงานความเสี่ยงทุกอย่างให้กับลูกค้าทราบ FA ต้องมั่นใจที่จะนำทางให้ลูกค้า เพราะถือว่าเรามีความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนการเงินมากกว่า และความรู้ตรงนั้นสามารถทำให้ชีวิตผู้อื่นดีขึ้นได้ 5. Active ในการเรียนรู้อยู่เสมอ ทุกวันมีเรื่องให้เรียนรู้ใหม่อยู่ตลอด ไม่ใช่เฉพาะเรื่องความรู้ทางการเงิน แต่หมายถึงทุกอย่างที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิต เพราะอย่างที่เขียนไว้ในตอนต้นว่า เรื่องเงินเป็นเรื่องที่แทรกซึมอยู่ในทุกด้านของชีวิต คนที่ใช้ชีวิตได้ดีก็จะแนะนำเรื่องการเงินได้ดีด้วย ดังนั้น FA ต้องเป็นคนที่กระตือรือร้นในการอัปเดตข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้ให้คำปรึกษากับลูกค้าได้เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1427
Finance
ช่วยสรุปบทความ รีวิวกองทุนญี่ปุ่น: อ่านที่นี่ที่เดียวรู้เลยกองไหนดีและญี่ปุ่นน่าลงทุนไหม
ทำไมต้องลงทุนญี่ปุ่น เศรษฐกิจของญี่ปุ่นมีมูลค่าอันดับ 3 ของโลก หลายปีที่ผ่านญี่ปุ่นสามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานได้ทัดเทียมอารยประเทศ และญี่ปุ่นก็จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่เจริญแล้ว ระบบการศึกษาที่พัฒนาคนญี่ปุ่น มาตรฐานการทำงาน และการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมขั้นสูง จัดเป็นจุดเด่นของประเทศนี้ ค่าเงินเยนก็เป็นค่าเงินสกุลหนึ่งที่มีเสถียรภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เช่นเดียวกับภาคการธนาคารและนโยบายการเงินของญี่ปุ่นก็มีการดูแลที่ดีมากเช่นเดียวกัน ปัญหาที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญคือ ประชากรมีอัตราการเกิดน้อยลงและคนส่วนใหญ่มีอายุยืน ทำให้มีความกังวลว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะหยุดชะงัก ซ้ำร้ายด้วยวิกฤตโควิด-19 ที่ฉุดการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศติดลบในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของประเทศญี่ปุ่นก็ยังคงมีอยู่ และเป็นประเทศที่มีพื้นฐานดี ปลอดภัย อันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว การเติบโตของประเทศญี่ปุ่น ต่อจากนี้คือการผลักดัน 2 เป้าหมายหลัก ๆ คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ที่ญี่ปุ่นถือว่ามีการขยับช้ากว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง USA และบางประเทศในยุโรป สิ่งนี้คือโอกาสที่ทำให้ภาครัฐและเอกชน ต้องลงทุนเพิ่มเพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านดิจิทัล ปฏิรูปด้านพลังงานให้เป็นพลังงานหมุนเวียน เช่น ลม และ พลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น เพื่อมุ่งไปสู่การประเทศที่มีการปลดปล่อย CO2 เป็น 0 (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 เช่นเดียวกับ USA นอกจากเป้าหมายเรื่อง Carbon แล้ว สิ่งนี้จะทำให้ประเทศญี่ปุ่นลดการพึ่งพาการนำเข้าแก๊สธรรมชาติเหลวเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าอีกด้วย ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง Nikkei 225 ดัชนีหุ้นใหญ่ 225 บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ถือเป็นดัชนีสำคัญของญี่ปุ่น ดัชนีประกอบด้วยกลุ่มเทคโนโลยีสูงสุดถึงประมาณ 48% ตามมาด้วยสินค้าอุปโภคบริโภคประมาณ 25% และวัสดุประมาณ 13% รวม 3 อันดับแรกประมาณ 86% ของทั้งตลาดและมีจำนวนหุ้นอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีสูงถึง 58 บริษัท ตามมาด้วยวัสดุ 58 บริษัท และสินค้าอุปโภคบริโภค 33 บริษัท จริง ๆ ญี่ปุ่นมีอีก Index คือ TOPIX ซึ่งแตกต่างกัน เพราะ TOPIX ใช้วิธีคิดแบบ Market cap weighted ในการคำนวณดัชนี ขณะที่ Nikkei ใช้วิธีแบบ price-weighted แต่จริง ๆ Nikkei คือหุ้นใหญ่มั่นคง หรือ Blue chip ใน TOPIX นั่นแหละ
ทำไมต้องลงทุนที่ญี่ปุ่น เพราะ เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีมูลค่าอันดับ 3 ของโลกและโครงสร้างพื้นฐานที่เทียบเท่าอารยประเทศ ทั้งนี้เพราะญี่ปุ่นมีระบบการศึกษาที่ดี มาตรฐานการทำงาน และการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมขั้นสูง พร้อมทั้งมีความเสถียรทางการเงิน และนโยบายการเงินที่ดี ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับทวีคูณปัญหาที่เกิดจากการลดลงของอัตราการเกิดและประชากรที่มีอายุยืน อย่างไรก็ตาม ความเข้มงวดของประเทศยังคงอยู่ จุดเด่นคือมีพื้นฐานที่ดี ปลอดภัย และมีความมั่นคง การเติบโตของญี่ปุ่นในอนาคตจะถูกผลักดันโดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและปฏิรูปด้านพลังงานเพื่อเป็นประเทศ Carbon Neutrality ในปี 2050 ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าแก๊สธรรมชาติเหลวในการผลิตกระแสไฟฟ้า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง Nikkei 225 เป็นดัชนีหุ้นสำคัญของญี่ปุ่นที่ประกอบด้วยบริษัทในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว มีเทคโนโลยีเป็นส่วนใหญ่ 48%, สินค้าอุปโภค 25% และวัสดุ 13% รวม 86% ของตลาด มีบริษัทเทคโนโลยี 58 บริษัท, วัสดุ 58 บริษัท และสินค้าอุปโภค 33 บริษัท TOPIX เป็นดัชนีอีกอันที่แตกต่างเนื่องจากใช้วิธีคำนวณแบบ Market cap weighted ในขณะที่ Nikkei ใช้ price-weighted
ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1428
Finance
จงสรุปบทความ รู้จักตราสารหนี้ประเทศจีน ตลาดที่ Ray Dalio บอกว่าเป็นอนาคตของการลงทุน
เราต้องเคยได้ยินข่าวความเป็นที่สุดของหนี้ประเทศจีน เช่น ระดับหนี้สาธารณะขนาดยักษ์ในประเทศที่ปี 2015 เกือบฟองสบู่จะแตก หรือข่าวที่จีนมีหนี้ในประเทศมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก บทความนี้เราจะพาคุณมารู้จักหนี้กลุ่มต่าง ๆ ของจีนให้มากขึ้น โดยแบ่งตามโครงสร้างในประเทศและนอกประเทศ ในประเทศ กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในค่าเงินหยวน ประกอบด้วยหนี้บริษัท (เอกชนและรัฐวิสาหกิจ), หนี้ครัวเรือน, หนี้รัฐบาล ซึ่งหนี้รัฐวิสาหกิจจำนวนมากเป็นของรัฐบาลท้องถิ่นที่เข้ามาถือหุ้น ทำให้การใช้จ่ายเงินส่วนนี้มักเกิดการทุจริตอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงมักใช้อย่างไม่มีคุณภาพ เช่น ไปสร้างตึกสร้างสะพานใหญ่โตเกินเหตุ ปัจจุบันจีนถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระดับหนี้สูงที่สุดในโลก เนื่องจากกู้แหลกตั้งแต่วิกฤต Subprime จนมาถึงปี 2015 ที่ฟองสบู่จะแตก จึงทำให้เป้าหมายของรัฐบาลต้องเปลี่ยนไป ไม่เน้นการเติบโตเศรษฐกิจแบบตัวเลขสูงมาก ๆ กลายมาเป็นโตอย่างมีคุณภาพแทน โดยผู้ให้ตลาดในประเทศจีนกู้ก็ไม่ใช้ใครที่ไหน เป็นคนจีนด้วยกันเอง ผ่านการดึงธนาคาร, บริษัทประกัน มาซื้อตราสารหนี้ และตอนนี้ตลาดหนี้ในจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก (รองจากสหรัฐฯ) ล่าสุดเริ่มเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ด้วยการให้ลงทุนผ่านโครงการ Bond Connect และ QFII (Qualified Foreign Institutional Investor) ซึ่งนักลงทุนระดับโลกอย่าง Ray Dalio มักพูดอยู่บ่อยว่า “ตลาดตราสารหนี้จีนคืออนาคตของการลงทุน” นอกประเทศ ชื่อเสียงขึ้นชื่อคือการที่จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ และการให้ประเทศกำลังพัฒนากู้เพื่อร่วมในโครงการ Belt and Road Initiative แต่สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป เนื่องจากความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นทำให้รัฐบาลจีนเริ่มตีตัวออกห่าง ไม่ยอมซื้อพันธบัตรสหรัฐ (ให้สหรัฐฯ กู้) เยอะเหมือนเดิม เปลี่ยนไปสะสมทองคำมากขึ้น ขณะที่ประเด็น Belt and Road Initiative ก็มีความขัดแย้งกับรัฐบาลท้องถิ่นหลายครั้ง เพราะจีนมักเสนอปล่อยกู้เยอะ ๆ จนประเทศปลายทางใช้หนี้คืนไม่ได้แล้วเปลี่ยนไปยึดทรัพย์สินอื่นแทน เคสที่รุนแรงที่สุดเป็นการเข้าครอบครองท่าเรือสำคัญในศรีลังกาที่เป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ทางทหาร ทำให้ทั้งอินเดียและสหรัฐต้องวิ่งพล่าน ในยุคดอกเบี้ยต่ำติดดินอย่างนี้ ตราสารหนี้จีนถือว่าเป็นประเทศใหญ่ที่ยังให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับสหรัฐ, ยุโรป, ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจในยุคนี้
หนี้กลุ่มต่าง ๆ ของจีน แบ่งตามโครงสร้างในประเทศและนอกประเทศ ในประเทศ กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในค่าเงินหยวน ประกอบด้วยหนี้บริษัท (เอกชนและรัฐวิสาหกิจ), หนี้ครัวเรือน, หนี้รัฐบาล ปัจจุบันจีนถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระดับหนี้สูงที่สุดในโลก เนื่องจากกู้แหลกตั้งแต่วิกฤต Subprime จนมาถึงปี 2015 ที่ฟองสบู่จะแตก โดยผู้ให้ตลาดในประเทศจีนกู้ก็ไม่ใช้ใครที่ไหน เป็นคนจีนด้วยกันเอง ผ่านการดึงธนาคาร, บริษัทประกัน มาซื้อตราสารหนี้ ล่าสุดเริ่มเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งนักลงทุนระดับโลกอย่าง Ray Dalio มักพูดอยู่บ่อยว่า “ตลาดตราสารหนี้จีนคืออนาคตของการลงทุน” นอกประเทศ ชื่อเสียงขึ้นชื่อคือการที่จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ และการให้ประเทศกำลังพัฒนากู้เพื่อร่วมในโครงการ Belt and Road Initiative แต่สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป เนื่องจากความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นทำให้รัฐบาลจีนเริ่มตีตัวออกห่าง ขณะที่ประเด็น Belt and Road Initiative ก็มีความขัดแย้งกับรัฐบาลท้องถิ่นหลายครั้ง เพราะจีนมักเสนอปล่อยกู้เยอะ ๆ จนประเทศปลายทางใช้หนี้คืนไม่ได้แล้วเปลี่ยนไปยึดทรัพย์สินอื่นแทน ในยุคดอกเบี้ยต่ำติดดินอย่างนี้ ตราสารหนี้จีนถือว่าเป็นประเทศใหญ่ที่ยังให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับสหรัฐ, ยุโรป, ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจในยุคนี้
ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1430
Finance
กองทุน PWIN มีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร
null
กองทุน PWIN หรือ Phillip World Innovation จาก บลจ. ฟิลลิป (PAMC) มีกลยุทธ์การลงทุน คือ เน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่เกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากนวัตกรรม ในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟ ต่างประเทศ เช่น - Biotechnology – เทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรมที่นำไปสู่การพัฒนาการรักษา รวมไปถึงการคิดค้นวัคซีนใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม Healthcare อีกด้วย ซึ่งบริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทที่นำพาเทคโนโลยีวัคซีนต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกทั้งเซ็กเตอร์เฮลธ์แคร์ยังเป็นเซ็กเตอร์ที่มีความโดดเด่น ผ่านการผสมระหว่าง “Growth” และ “Defensive” หรือเติบโตแบบผสมทั้ง “เชิงรุก” และ “เชิงรับ” - Internet Innovation – สิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัวที่เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนโลกใบนี้ เพราะไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นเรื่องไกลตัว อีกทั้งยังเป็นเซ็กเตอร์ที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์ E-commerce และการ Work from Home อีกด้วย - Video Games & E-sports – ย้อนไปสัก 10 ปีที่แล้วเกมถูกตีตราว่าเป็นสิ่งมัวเมา แต่ทุกวันนี้คงปฏิเสธไมไ่ด้ว่าโลกโอบรับอุตสาหกรรมดังกล่าวมากยิ่งขึ้น และมีคนจำนวนมากหารายได้เป็นกอบเป็นกำได้จากการเล่นเกม สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการทางด้านการบันเทิงของผู้รับชมและทางธุรกิจ - Cybersecurity – ในเมื่อโลกของเราถูกเชื่อมต่อกันอย่างง่ายดายผ่านอินเทอร์เน็ตและเครือข่าย Cybersecurity จึงเป็นอีกหนึ่งเซ็กเตอร์หัวใจสำคัญที่คอยปกป้องความเป็นส่วนตัวให้กับผู้คน หรือพูดง่าย ๆ ในเชิงลงทุนได้ว่าเป็นเซ็กเตอร์ที่เติบโตล้อไปกับโลกออนไลน์ ทั้งนี้กองทุนจะลงทุนในกองทุนต่างประเทศต่าง ๆ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1432
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สงครามใหญ่ครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นจะกลายเป็นสงครามทางอากาศ
null
สงครามใหญ่ครั้งต่อไป อาจจะกลายเป็นสงครามทางอากาศ นอกจากการรบโดยเครื่องบินหรือโดรนหรือจรวดแล้ว อาจจะได้เห็นสงครามไซเบอร์ ที่น่าจะกลายเป็นอาวุธหลักอีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากเครื่องมืออาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่อาศัยโปรแกรมดิจิทัลในการควบคุม ถ้าโปรแกรมถูกทำลายก็ทำงานไม่ได้ การที่เครือข่ายท่อส่งน้ำมันยาวเป็นพัน ๆ กิโลเมตรในอเมริกาโดนแฮ็คและต้องหยุดทำงานไปทั้งระบบ เป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่าเครื่องมือแห่งการสงครามและการต่อสู้ต่อจากนี้ อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนและผ่านมาทางอากาศได้ ยิ่งไปกว่านั้น สงครามหรือการต่อสู้หรือการแข่งขันสมัยใหม่ อาจจะไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไป มันอาจจะเป็นสงครามความคิดหรืออุดมการณ์ระหว่างประเทศที่ต่อสู้กันด้วยอาวุธที่ไม่มีตัวตนแต่เป็นโปรแกรม บทเรียนจากย่อหน้านี้ สงครามใหญ่ครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นจะกลายเป็น “สงครามทางอากาศ” ที่จะชี้เป็นชี้ตายว่าใครจะชนะสงคราม แต่นอกจากการรบโดยเครื่องบินหรือโดรนหรือจรวดแล้ว “สงครามไซเบอร์” น่าจะกลายเป็นอาวุธหลักอีกอย่างหนึ่งเนื่องจากเครื่องมืออาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ต่างก็อาศัยโปรแกรมดิจิทัลในการควบคุม ถ้าโปรแกรมถูกทำลายก็ทำงานไม่ได้ การที่เครือข่ายท่อส่งน้ำมันยาวเป็นพัน ๆ กิโลเมตรในอเมริกาโดนแฮ็คและต้องหยุดทำงานไปทั้งระบบนั้น เป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่าเครื่องมือแห่งการสงครามและการต่อสู้ต่อจากนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนและผ่านมา “ทางอากาศ” ได้ ยิ่งไปกว่านั้น สงครามหรือการต่อสู้หรือการแข่งขันสมัยใหม่อาจจะไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไป มันอาจจะเป็นสงครามความคิดหรืออุดมการณ์ระหว่างประเทศหรือคนในประเทศเดียวกันที่ต่อสู้กันด้วย “อาวุธ” ที่ไม่มีตัวตนแต่เป็นโปรแกรม เช่น เฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์และโดยคนธรรมดาทั่วทั้งสังคมหรือประเทศโดยที่ “ทหาร” ที่รู้จักกันนั้นไร้ความสามารถที่จะต่อสู้หรือต่อต้านและอาจจะพูดได้ว่าถูก Disrupt ไปแล้ว พวกเขาก็ยังจำเป็นอยู่แต่ก็อาจจะเป็นแค่ตัวประกอบหรือส่วนสนับสนุนที่จะเข้าจัดระเบียบสิ่งที่มีตัวตนเป็นขั้นสุดท้ายเท่านั้น ไม่ได้เป็น Decisive Factor อีกต่อไป และทั้งหมดนี้นำมาใช้ได้กับทุกวงการรวมถึงในธุรกิจและการลงทุน ดังนั้น สำหรับนักลงทุนแล้ว การรู้จักและวิเคราะห์ “Air War” หรืออำนาจของข่าวสารในการต่อสู้แข่งขันในทุกรูปแบบเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1434
Finance
ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนสูง ควรใช้กลยุทธ์อะไรในการลงทุน Thematic ETF ให้เหมาะสม ปลอดภัย และบรรลุเป้าหมายทางการเงิน?
null
กลยุทธ์การลงทุน Thematic ETF ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน: 1. กระจายความเสี่ยง: ไม่ลงทุนใน Thematic ETF เพียงตัวเดียว แต่ควรกระจายการลงทุนในธีมต่างๆ ลงทุนใน ETF ประเภท Core เพิ่มเติม เช่น SPY ETF , QQQ ETF และ QQQJ ETF เพื่อเพิ่มเสถียรภาพให้กับพอร์ต 2. เลือกธีมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง: ศึกษา Mega-Trend และเลือกธีมที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในระยะยาว พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบายภาครัฐ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค 3. เลือก ETF ที่มีผลการดำเนินงานดี: เปรียบเทียบผลตอบแทน ความเสี่ยง Expense Ratio และ RS Rating ของ ETF เลือก ETF ที่มีผลงานดีกว่าเกณฑ์มาตรฐานและมีสภาพคล่องสูง 4. ใช้กลยุทธ์การซื้อขายที่เหมาะสม: ไม่ควรลงทุนแบบ Buy-and-Hold เพียงอย่างเดียว แต่ควรใช้กลยุทธ์ Trading กำหนดจุดเข้าซื้อ ขาย และ Stop Loss เพื่อควบคุมความเสี่ยง 5. ปรับพอร์ตลงทุนตามสถานการณ์: ติดตามผลการดำเนินงานของ ETF อย่างสม่ำเสมอ ปรับสัดส่วนการลงทุนตามภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มของธีม ตัวอย่างกลยุทธ์: กลยุทธ์ Hybrid แบบ Core-Satellite: แบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็น 60% Core และ 40% Satellite ลงทุนใน ETF ประเภท Core 60% เพื่อสร้างเสถียรภาพ ลงทุนใน Thematic ETF 40% เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนสูง ตัวอย่าง ETF: - IBUY ETF (Mega-Theme New Consumer, Theme E-commerce) - WCLD ETF (Mega-Theme BIG DATA, Theme Cloud Computing) ข้อควรระวัง: Thematic ETF มีความเสี่ยงสูง ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ผลตอบแทนในอนาคต ควรศึกษาข้อมูล ความเสี่ยง และผลตอบแทนก่อนตัดสินใจลงทุน คำแนะนำเพิ่มเติม: ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพื่อรับคำแนะนำในการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้ ลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจ สรุป: การลงทุน Thematic ETF ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่รัดกุม กระจายความเสี่ยง เลือกธีมที่มีศักยภาพ เลือก ETF ที่มีผลงานดี และปรับพอร์ตลงทุนตามสถานการณ์ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล ความเสี่ยง และผลตอบแทนก่อนตัดสินใจลงทุน ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน และลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจ
กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1435
Finance
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินลงทุนจำนวนน้อย มีกลยุทธ์อะไรบ้างที่นักลงทุนมือใหม่ควรพิจารณา?
null
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินลงทุนจำนวนน้อย กลยุทธ์ที่ควรพิจารณามีดังนี้ 1. เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ: - เงินฝากออมทรัพย์: แม้จะให้ผลตอบแทนต่ำ แต่เงินฝากออมทรัพย์มีความเสี่ยงต่ำ เหมาะสำหรับเงินออมฉุกเฉิน - พันธบัตรรัฐบาล: พันธบัตรรัฐบาลมีความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ กองทุนรวมตราสารหนี้: ลงทุนในตราสารหนี้หลากหลายประเภท กระจายความเสี่ยง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง 2. ลงทุนในกองทุนรวมดัชนี: กองทุนรวมดัชนีมีค่าธรรมเนียมต่ำ เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ กองทุนรวมดัชนีมีหลายประเภท นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน ตัวอย่างกองทุนรวมดัชนี: กองทุนรวมดัชนี SET50 กองทุนรวมดัชนี MSCI ACWI 3. ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม: - ศึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุน ความเสี่ยง และผลตอบแทน - ศึกษาเกี่ยวกับสินทรัพย์ประเภทต่างๆ - ศึกษาเกี่ยวกับกองทุนรวม 4. ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ: - ลงทุนเป็นประจำทุกเดือน ไม่ต้องรอจังหวะตลาด - ลงทุนจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน กลยุทธ์ Dollar Cost Averaging - ลงทุนระยะยาว ไม่ควรหวังผลตอบแทนระยะสั้น 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เช่น นักวางแผนการเงิน ผู้เชี่ยวชาญสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุน และผลิตภัณฑ์การเงินที่เหมาะสม ตัวอย่างเพิ่มเติม: - ลงทุนในทองคำ: ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เหมาะสำหรับลงทุนในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน - ลงทุนในเงินดิจิทัล: เงินดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความเข้าใจและรับความเสี่ยงได้ ข้อควรระวัง: - ไม่ควรลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ - ไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดในสินทรัพย์ประเภทเดียว - ไม่ควรลงทุนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น สรุป: นักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินลงทุนจำนวนน้อยควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1437
Finance
ในฐานะนักลงทุน เราควรเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่อาจปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอย่างไร?
null
จากการถกเถียงเกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อในอนาคต โดยแบ่งเป็น 2 ทีม ดังนี้ ทีมพาวเวลล์: มองว่าเงินเฟ้อเป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราว (Transitory) เศรษฐกิจจะกลับมาสู่ภาวะปกติในที่สุด ทีมวู: มองว่าเงินเฟ้อเป็นกระบวนการ (Process) ในวัฏจักรเศรษฐกิจ มีแนวโน้มปรับตัวสูงต่อเนื่อง แนวทางการรับมือสำหรับนักลงทุน: 1. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ลงทุนในกองทุนรวมที่มีกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง 2. เตรียมพร้อมสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น เลือกสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ย 3. ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด: วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ 4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: พูดคุยกับนักวางแผนการเงิน ขอคำแนะนำจากผู้จัดการกองทุน ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive: เช่น หุ้นกลุ่ม Healthcare Utilities Consumer Staples ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก: เช่น ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ ลงทุนใน Real Estate: อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ลงทุนใน TIPS: พันธบัตรรัฐบาลอเมริกันที่ปรับอัตราดอกเบี้ยตามเงินเฟ้อ ข้อควรระวัง: ไม่ควรลงทุนทั้งหมดในสินทรัพย์ประเภทเดียว ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ควรมีวินัยในการลงทุน ควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาด สรุป: สถานการณ์เงินเฟ้อที่อาจปรับตัวสูงต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญ การกระจายความเสี่ยง ศึกษาข้อมูล และติดตามข่าวสาร จะช่วยให้นักลงทุนสามารถรับมือกับสถานการณ์ และบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ หมายเหตุ: ข้อมูลและแนวทางในบทความนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาและรับความเสี่ยงได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1439
Finance
การขุดทอง กับการขุด Bitcoin แตกต่างกันอย่างไร
null
1.ลักษณะของการขุด ทองคำ ต้องมีการสำรวจ เเล้วก็ลงทุนสร้างเหมืองขุดเจาะในบริเวณนั้น ๆ ไป จากนั้นค่อยนำมาหลอมขึ้นรูปใหม่เป็นทองคำเเท่งหรืออะไรก็ว่าไป Bitcoin เป็นการขุดโดยใช้กำลังไฟฟ้า ซึ่งที่นิยมใช้มีทั้งการใช้การ์ดจอหรือการใช้เครื่องขุดโดยเฉพาะ ที่เรียกว่า Application-Specific Integrated Circuit หรือ ASIC 2.ต้นทุนการผลิต ทองคำ ในโลกมีบริษัททำเหมืองทองคำใหญ่ ๆ อยู่ 5 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท ราคาหน้าเหมือง Newmont 935 เหรียญ/ออนซ์ Barrick Gold Crop 870-980 เหรียญ/ออนซ์ Kinross 995 เหรียญ/ออนซ์ AngloGold Ashanti 1029 เหรียญ/ออนซ์ Gold Fields 965-1169 เหรียญ/ออนซ์ สามารถสรุปได้ว่าค่าเฉลี่ยจากทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ 975 เหรียญ/ออนซ์ ซึ่งราคานี้ยังไม่ได้รวมค่าอื่น ๆ อีกประมาณ 7.5% นั่นหมายความว่าราคาหน้าเหมืองที่แท้จริงจะอยู่ที่ประมาณ 1,060 เหรียญ/ออนซ์ Bitcoin ต้นทุนการขุดหลัก ๆ นั้นมีอยู่ 2 ปัจจัย คือ ตัวของเครื่องขุดว่ามีกำลังการขุดมากขนาดไหน เเละ ค่าไฟในการขุดซึ่งเเต่ละประเทศก็จะต่างกันไป สมมติให้ เครื่องขุด Bitcoin ใช้เวลาขุด 4 ปีเพื่อให้ได้ 1 Bitcoin ดังนั้น ที่ 0.09 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ตามค่าไฟในประเทศที่เก็บค่าไฟถูก ต้นทุนทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 27,00 ดอลลาร์สหรัฐ ที่ 0.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ตามค่าไฟในประเทศสหรัฐอเมริกา ต้นทุนทั้งหมดจะอยู่ที่ 39,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉลี่ยเเล้วต้นทุนการขุด Bitcoin จะอยู่ที่ประมาณ 33,000$ ต่อ 1 BTC 3.ปริมาณที่ขุดได้ต่อปี ทองคำ Newmont ผลิตทองคำได้ประมาณ 3 ตัน Barrick Gold Crop ผลิตทองคำได้ประมาณ 9 ตัน Kinross ผลิตทองคำได้ประมาณ 6 ตัน AngloGold Ashanti ผลิตทองคำได้ประมาณ 79 ตัน Gold Fields ผลิตทองคำได้ประมาณ 5 ตัน แต่ทั้งนี้ ปริมาณทองคำที่ขุดออกมาได้ต่อปีจะยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้เล็กน้อย ในกรณีที่เหมืองต้องการเพิ่มหรือลดกำลังการขุด Bitcoin ถูก Fix ด้วย Code ทำให้ในเเต่ละปีจะมีกำลังการผลิตคงที่ ต่อให้จะมีคนขุดเพิ่มขึ้นอีกกี่คน หรือ เหลือคนขุดเเค่คนเดียว Bitcoin ก็จะมีปริมาณออกมาคงที่อยู่ดี สรุป จะเห็นได้ว่าทั้งทองคำเเละ Bitcoin ใช้กระบวนการผลิตที่เรียกว่าการขุดเหมือนกัน เเต่สิ่งที่เรียกว่าการขุดนั้น ก็มีรายละเอียดที่เเตกต่างกันค่อนข้างมาก แต่ด้วยคุณสมบัติที่มีอยู่อย่างจำกัดเเละผลิตออกมาต่อปีได้อย่างจำกัด ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน อาจจะต่างบ้างตรงที่ทองคำยังสามารถเพิ่มหรือผ่อนกำลังผลิตได้เล็กน้อย ดังนั้นทั้งทองคำเเละ Bitcoin ก็น่าจะเป็นตัวรักษามูลค่าของเงินได้ดีกว่าเงินสดเเน่นอน
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1444
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "ประเภทและสัดส่วนของธุรกิจของ Health Care" ให้หน่อยค่ะ
1. แบ่งแยก Health Care และ Health Tech (Health Innovation) ให้ชัดเจน เริ่มต้นที่ดัชนี Health Care ที่ทั่วโลกให้การยอมรับ MSCI World Health Care Index และ MSCI ACWI Health Care Index ซึ่งวัดผลตอบแทนกลุ่ม Health Care ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และรวมประเทศทั่วโลกตามลำดับ ได้แบ่งประเภทและสัดส่วนของธุรกิจในกลุ่มดังกล่าวดังนี้ กลุ่มประเภทยาทั่วไป (Pharmaceuticals) (38%) เป็น กลุ่ม บ.ผู้ผลิตยาที่สามารถจ่ายได้โดยแพทย์และเภสัชกรทั่วไป หาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือร้านสะดวกซื้อ ยาบางประเภทพิเศษและต้องการใบสั่งแพทย์ กลุ่ม Health Care Equipment (21%) เป็นกลุ่ม บ.ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์ และฟื้นฟูสุขภาพ กลุ่ม Bio Technology (13%) เป็นกลุ่ม บ.ที่วิจัย และคิดค้นผลิตภัณฑ์ยาจากชีวภาพ เช่น วัคซีน เซรุ่ม ยาพิเศษจากพืชและสัตว์ กระบวนการผลิตยาโดยกระบวนการทางชีวภาพ รวมถึง เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับพันธุกรรม หรือ ยีนส์ กลุ่ม Managed Health Care (8%) เป็นกลุ่ม บ.ที่รวมการรักษาครบวงจรไว้ในที่เดียว เพื่อเป็นศูนย์การแพทย์ที่เพิ่มมูลค่าในกับคนมีฐานะ และต้องการดูแลเป็นพิเศษ กลุ่มอื่น ๆ เช่น Life Science และ Health Technology เป็นต้น
ดัชนี Health Care มีการแบ่งประเภทและสัดส่วนของธุรกิจดังนี้ 1. กลุ่มประเภทยาทั่วไป เป็นผู้ผลิตยาที่สามารถจ่ายได้โดยแพทย์และเภสัชกร หาซื้อได้ตามร้านขายยาหรือร้านสะดวกซื้อ มีสัดส่วน 38% 2. กลุ่ม Health Care Equipment เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์และฟื้นฟูสุขภาพ มีสัดส่วน 21% 3. กลุ่ม Bio Technology เป็นบริษัทวิจัยผลิตภัณฑ์ยาจากชีวภาพและเทคโนโลยีเกี่ยวกับพันธุกรรม มีสัดส่วน 13% 4. กลุ่ม Managed Health Care เป็บบริษัทที่รวมการรักษาครบวงจร เป็นศูนย์การแพทย์ที่เพิ่มมูลค่าในคนมีฐานะ มีสัดส่วน 8% 5. กลุ่มอื่น ๆ
การวิเคราะห์ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1445
Finance
กองทุนใดที่มีนโยบายการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยการปรับตามความเหมาะสม ระหว่างกองทุน ONE-UGG-RA หรือกองทุน KFGG-A
null
กองทุน ONE-UGG-RA เพราะกองทุน ONE-UGG-RA จะมีนโยบายการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเน้นแบบปรับตามความเหมาะสม ส่วนกองทุน KFGG-A จะมีนโยบายการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเน้นป้องกันทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด เปรียบเทียบจุดเด่นระหว่างกองทุน ONE-UGG-RA และกองทุน KFGG-A - เป็นกองทุนที่ลงทุนในกองทุนหลักต่างประเทศกองเดียวกันทั้งคู่ และมีปรัชญาการลงทุนที่โดดเด่น อย่างการใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาร่วมวิเคราะห์การลงทุน - เน้นหาหุ้นเติบโตได้ 5 เท่าใน 5 ปี - ทั้งสองกองมีความแตกต่างกันเรื่องของนโยบายการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งกองทุน ONE-UGG-RA จะเน้นแบบปรับตามความเหมาะสม ในขณะที่กองทุน KFGG-A จะเน้นป้องกันทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดไปเลย - ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนหลักมีความโดดเด่นเป็นอย่างมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวชี้ให้เห็นว่าปรัชญาการบริหารอันเป็นเอกลักษณ์ได้ออกดอกออกผล และพิสูจน์ให้คนเห็นแล้วว่าได้ผลจริง ดังนั้น กองทุนที่มีนโยบายการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยการปรับตามความเหมาะสม คือ กองทุน ONE-UGG-RA ส่วนกองทุน กองทุน KFGG-A จะมีนโยบายการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเน้นป้องกันทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1448
Finance
ผู้ออกตราสารใดมีสัดส่วนที่ลงทุนกับกองทุน PWIN เป็น 12.04% ระหว่าง First Trust Nasdaq Cybersecurity ETF, Fidelity MSCI Information Technology Index ETF หรือ Ark Innovation ETF
null
Fidelity MSCI Information Technology Index ETF เพราะ Fidelity MSCI Information Technology Index ETF มีสัดส่วนน้ำหนักเป็น อันดับสองกองทุน คือ 12.04% ด้วยความที่เป็นกองทุนแนว Passive แบบเน้นสร้างผลตอบแทนให้มีความใกล้เคียงกับดัชนี MSCI USA IMI Information ซึ่งเป็นดัชนีตัวแทนของหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยใช้กลยุทธ์อย่าง Representative Sampling หรือการลงทุนผ่านหุ้นกลุ่มตัวแทนเพื่อเลียนแบบดัชนี เพื่อลดข้อจำกัดทางด้านสภาพคล่องในการครอบครองหรือการเก็บภาษีทางรายได้ ข้อจำกัดที่ว่าอาจทำให้การถือครองหุ้นแบบดัชนีอ้างอิงเกิดข้อจำกัดในการซื้อ โดยทางกองทุนจะคัดเลือกหุ้นที่เข้าเกณฑ์ผ่านเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น มูลค่าทางการตลาด (หุ้นใหญ่แค่ไหน) สัดส่วนน้ำหนักในอุตสาหกรรม ลักษณะทางพื้นฐานต่าง ๆ อาทิ การเปลี่ยนแปลงของผลตอบแทน และ ผลตอบแทน (Yield) ดังนั้นพอร์ตหุ้นที่ได้ของดัชนีนี้ จะค่อนข้างมีการกระจายตัว เพราะ ดัชนี MSCI USA IMI Information นั้นรวมเอาหุ้นเทคโนโลยีทุกไซส์มาไว้ด้วยกัน ช่วยสร้างสมดุลล้อไปกับกองทุนเน้น Growth หนัก ส่วน Ark Innovation ETF มีสัดส่วน 27.57% โดยตัวกองทุนจะมีการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีผ่านเซกเตอร์ที่หลากหลาย เน้นการเติบโตในระยะยาว ผ่านหุ้นที่มีมีความสัมพันธ์ (Correlation) ตรงกันข้ามกับหุ้นกลุ่มมูลค่า (Value stocks) แบบเดิม ๆ และมีค่าความสัมพันธ์ต่ำกว่าหุ้น Growth ดั้งเดิม หรือสรุปง่าย ๆ ว่า เลือกหุ้น Growth แบบไปสุด แหวกแนว ไม่สนกฎเกณฑ์แบบเดิมมากมายนักนั่นเอง และ First Trust Nasdaq Cybersecurity ETF มีสัดส่วน 9.06% เป็นกองทุนที่เน้นทำผลงานให้ใกล้เคียงกับดัชนี Nasdaq CTA Cybersecurity IndexSM ซึ่งเป็นดัชนีที่เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีกลุ่ม Cybersecurity ซึ่งเป็น Segment ที่มีความสำคัญกับการเติบโตของยุคเทคโนโลยีที่มีการจัดเก็บข้อมูลผ่านระบบออนไลน์เป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีความสำคัญต่อทั้งรัฐบาลและองค์กรอยู่เสมอ ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร ดังนั้น Cybersecurity ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่น่าจับตามอง เพราะ มีส่วนผสมทั้งเชิง Growth แบบหุ้นเทคโนโลยี และเชิงรับจากลักษณะของอุตสาหกรรม
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1450
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "กองทุนปันผล" ให้หน่อยค่ะ
กองทุนปันผล คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนของกองทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน โดยจะจ่ายเป็นเงินสดออกมาให้เราระหว่างทางที่ลงทุน เงินปันผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานและนโยบายของกองทุนนั้น ข้อดีของกองทุนปันผล เป็นแหล่งสร้าง Passive Income ทำให้เรามีกระแสเงินสดเป็นประจำ เพื่อนำมาใช้จ่ายระหว่างทาง ทำหน้าที่ในการ Take Profits ให้กับเราโดยอัตโนมัติ ทำให้เราได้ผลตอบแทนจากกองทุน ช่วยแก้ปัญหาเวลาที่กองทุนมีกำไรแล้วเราไม่ได้ขายออก ข้อด้อยของกองทุนปันผล เงินปันผลที่ได้มาจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% มูลค่าหน่วยลงทุน หรือ NAV ของกองทุนไม่ค่อยไปไหน เพราะ NAV ก็ลดลงตามเมื่อกองทุนจ่ายเงินปันผลออกมา ดังนั้น ส่วนต่างกำไร (Capital gain) ของกองทุนปันผลจะไม่เยอะ
กองทุนปันผล คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน โดยจ่ายเป็นเงินสดออกมา เงินปันผลจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานและนโยบายของกองทุน ข้อดี - เป็นแหล่งสร้าง Passive Income ทำให้มีกระแสเงินสดเป็นประจำ - Take Profits ให้โดยอัตโนมัติ ทำให้ได้ผลตอบแทนและช่วยแก้ปัญหาเวลากองทุนมีกำไรแล้วขายไม่ออก ข้อเสีย - เงินปันผลถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% - มูลค่าหน่วยลงทุนไม่ค่อยไปไหน เพราะลดลงเมื่อกองทุนจ่ายเงินปันผลออกมา
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1452
Finance
จงยกตัวอย่างเครื่องมือของ Marketsmith
null
Marketsmith เป็น Tool สำหรับการทำวิจัยเลือกหุ้นตามแบบฉบับของ CANSLIM Marketsmith อยู่ในเครือของ investor’s business daily โดยมีผู้ก่อตั้งคือ William J. O’Neil โดยเขาให้ลูกชายคือ Scott O’Neil เป็นคนดูแลบริหารจัดการ ตัวอย่างเครื่องมือของ Marketsmith 1. MarketSmith University มี VDO ให้เรียนพื้นฐาน จนไปถึงการ Screen หุ้น และมี Webinars สม่ำเสมอในการให้ความรู้ มี Webinar มากมาย มีการเชิญสุดยอด Trader เช่น Mark Minervini หรือ David Ryan มาให้ความรู้เสมอ 2. Chart จบทั้งพื้นฐานและเทคนิคคอล ทั้ง Chart แบบ Daily และ Chart แบบ Weekly จาก Chart ที่มี จะมีข้อมูลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ด้าน Technical จะมี - Moving average - RS ( Relative Strength ) - Pivot Point - Chart Pattern ส่วนด้าน Fundamental ก็จะมี - Sale / EPS - PE/ROE - จำนวนกองทุนที่ถือทุกๆ 3 เดือน ระบบ CANLSIM จะเลือก fundamental 70% อีก 30% จะใช้ technical 3. ระบบคัดเลือก สามารถกรองหุ้นด้วยทั้ง fundamental และ technical ได้ โดยมีเงื่อนไขดังนี้ - RS rating ต้องมากกว่า 85 - A/D Rating สัดส่วนของการเก็บหุ้นและกระจายหุ้น ต้องมากกว่า A และ B Rating - Up/Down Vol สัดส่วน volume up/down ต้องมากกว่า 1 - Volume Trade เฉลี่ยที่ 50 วันต้องมากกว่า 500K - การเปลี่ยนแปลงของยอดขายเทียบ Q และ Y ต้องมากกว่า 10% - ESP Rating การเติบโตของกำไร เทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน ต้องมากกว่า 20 - EPS การเติบโตของกำไรทั้ง Q และ Y ต้องมากกว่า 10% - การเติบโตของจำนวนกองทุนที่มาถือหุ้นต้องมากกว่า 1% ต่อไตรมาส - ต้องมี EPS surprise ต้องมากกว่า 1%
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1454
Finance
ในฐานะนักลงทุนรายย่อย เราควรใช้วิธีการใดในการวิเคราะห์ ETF ก่อนตัดสินใจลงทุน?
null
1. วิเคราะห์นโยบายการลงทุนของ ETF: ศึกษาว่า ETF นั้นอ้างอิงดัชนีหรือสินทรัพย์อะไร เปรียบเทียบนโยบายการลงทุนของ ETF หลาย ๆ ตัวที่อ้างอิงดัชนีเดียวกัน พิจารณากลยุทธ์การลงทุนของ ETF ว่าเป็น Passive หรือ Active 2. วิเคราะห์ความเสี่ยงของ ETF: ตรวจสอบค่า Sharpe Ratio และ Sortino Ratio ของ ETF วิเคราะห์ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) พิจารณาความเสี่ยงจากค่าธรรมเนียม (Expense Ratio) 3. วิเคราะห์ผลการดำเนินงาน: เปรียบเทียบผลตอบแทนของ ETF กับดัชนีอ้างอิง วิเคราะห์ผลตอบแทนย้อนหลัง (Historical Performance) พิจารณาความสม่ำเสมอของผลตอบแทน (Consistency) 4. วิเคราะห์ผู้จัดการกองทุน: ตรวจสอบประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมาของผู้จัดการกองทุน พิจารณากลยุทธ์การจัดการของผู้จัดการกองทุน ศึกษาชื่อเสียงของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 5. วิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ: พิจารณาขนาดกองทุน (Fund Size) เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Transaction Cost) ศึกษาความเสี่ยงจากการจ่ายเงินปันผล (Dividend Risk) ข้อควรระวัง: ไม่ควรลงทุนใน ETF เพียงตัวเดียว ควรกระจายความเสี่ยง ไม่ควรตัดสินใจลงทุนจากผลตอบแทนย้อนหลังเพียงอย่างเดียว ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ตัวอย่าง: นักลงทุนรายย่อยต้องการลงทุนใน ETF ที่อ้างอิงดัชนี SET50 วิธีการวิเคราะห์: ศึกษาว่า ETF ตัวไหนอ้างอิงดัชนี SET50 เปรียบเทียบนโยบายการลงทุนของ ETF SET50 หลาย ๆ ตัว ตรวจสอบค่า Sharpe Ratio และ Sortino Ratio ของ ETF SET50 วิเคราะห์ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของ ETF SET50 เปรียบเทียบผลตอบแทนของ ETF SET50 กับดัชนี SET50 ศึกษาประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมาของผู้จัดการกองทุน ETF SET50 พิจารณาค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ETF SET50 สรุป: การวิเคราะห์ ETF ก่อนตัดสินใจลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก นักลงทุนรายย่อยควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1455
Finance
นักลงทุนควรลงทุนในกองทุน PWIN เพียงกองทุนเดียว เพื่อเป็น Core Portfolio ของพอร์ตการลงทุนหรือไม่?
null
ไม่ เพราะ กองทุน PWIN มีความเสี่ยงสูง: กองทุน PWIN ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก ซึ่งหุ้นเทคโนโลยีมีความผันผวนสูง - กองทุน PWIN ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว: กองทุน PWIN ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว - พอร์ตการลงทุนควรกระจายความเสี่ยง: การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน คำอธิบายเพิ่มเติม: - กองทุน PWIN มีความเสี่ยงสูง: กองทุน PWIN ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก ซึ่งหุ้นเทคโนโลยีมีความผันผวนสูง หมายความว่า ราคาหุ้นสามารถขึ้นหรือลงได้อย่างรวดเร็ว - กองทุน PWIN ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว: กองทุน PWIN ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว หมายความว่า พอร์ตการลงทุนจะได้รับผลกระทบอย่างมาก - พอร์ตการลงทุนควรกระจายความเสี่ยง: นักลงทุนควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ตัวอย่างการกระจายความเสี่ยง: - ลงทุนในหุ้นในภูมิภาคต่างๆ - ลงทุนในตราสารหนี้ - ลงทุนในทองคำ - ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ สรุป: นักลงทุนควรลงทุนในกองทุน PWIN ร่วมกับกองทุนอื่นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และพิจารณาความเหมาะสมก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1457
Finance
หากต้องการศึกษาเกี่ยวการเป็น VI ควรเรียนรู้จากอะไร?
การเป็น “VI” ที่สมบูรณ์สำหรับผมก็คือ คนที่ “รอบรู้” ในศาสตร์ “รอบด้าน” อย่างถูกต้อง ที่สำคัญก็คือเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การทำธุรกิจและการลงทุน โดยที่ความรู้ “พื้นฐาน” ที่สำคัญมากที่สุดก็คือ ความรู้เกี่ยวกับ “คน” หรือพูดให้ชัดเจนก็คือ “พฤติกรรมของคน” โดยที่ความรู้ใน “ภาพใหญ่” คือเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและการทำธุรกิจนั้น เราไม่จำเป็นต้องรู้ลึกแต่ต้องรู้กว้างและรู้จริง ส่วนความรู้ในเรื่องของการลงทุนนั้น เราต้องรู้ลึกและรู้จริง วิธีการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดไม่มีอะไรดีไปกว่าการอ่านหนังสือ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ การเลือกหนังสือที่จะอ่าน เหตุผลก็เพราะว่ามีหนังสือมากมายเกินกว่าที่เราจะอ่านไหว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หนังสือมีรายละเอียดมากเกินไปจนเราไม่เห็นภาพใหญ่ หนังสือจำนวนมาก “ไม่ถูกต้อง” เพราะคนเขียนก็ไม่รู้จริงหรือที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เขียนจากความคิดที่ “ลำเอียง” ที่มาจากพื้นฐานทางจิตวิทยาของตนเอง ผมเองได้อ่านหนังสือหลากหลายมากในหลากหลายศาสตร์ดังกล่าว ถึงวันนี้เมื่อคิดย้อนหลังไป มีหนังสือหลายเล่มที่คิดว่าช่วยให้ผม “ตาสว่าง” คือ “รู้” ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ หรือ “รู้” ในสิ่งที่ผมเข้าใจผิดมานาน หนังสือหลายเล่มหรือน่าจะส่วนใหญ่เป็น “หนังสือประวัติศาสตร์” หรือแนวอิงประวัติศาสตร์ที่เขียนโดย “เซียน” ที่มีการศึกษามาเป็นอย่างดี ที่ “เล่าเหตุการณ์” ต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาอย่างมีเหตุมีผลและมาจาก “พื้นฐาน” ที่ถูกต้องนั่นก็คือ ความเป็น “มนุษย์” ที่เป็นคนสร้างเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนถึงวันนี้ หนังสือเล่มแรกซึ่งจริง ๆ ก็คือหนังสือพื้นฐานสำคัญที่สุดที่ผมคิดว่า VI หรือคนทั่วไปควรจะอ่านเป็นอย่างยิ่งก็คือ หนังสือชื่อ Sapiens: A Brief History of Humankind หรือ เซเปียนส์: ประวัติย่อของมนุษยชาติ เขียนโดย ยูวัล แฮรารี นักประวัติศาสตร์ชื่อดังชาวยิว นี่คือหนังสือที่เล่าเรื่องราวของมนุษย์พันธุ์เซเปียนตั้งแต่เริ่มต้นวิวัฒนาการและการก่อร่างสร้างเมือง เอาชนะสัตว์ทั้งปวงรวมถึงมนุษย์เผ่าอื่นที่เพิ่งล้มตายและ “สูญพันธุ์” ไปแค่ 4-50,000 ปีมานี้เอง ส่วนการเอาชนะสัตว์อื่นทั้งปวงและสามารถ “ครองโลก” ได้อย่างเด็ดขาดเองนั้น ก็น่าจะเพิ่งเกิดขึ้นแค่ไม่เกิน 10,000-20,000 ปี และการสร้างเมือง รัฐ และสถาบันต่าง ๆ ในการปกครองรวมถึงศาสนานั้นก็แค่ 4-5,000 ปีที่ผ่านมา ไม่ต้องพูดถึง “ประเทศ” อย่างที่เรารู้จักที่มีขอบเขตดินแดนแน่นอนที่เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่แล้วนี่เอง แฮรารีบอกว่า ที่เซเปียนส์พัฒนาตนเองได้เร็วมากก็เพราะว่ามนุษย์มีจิตสำนึก รู้จักคิดและมี “จินตนาการ” สามารถคิดฝันและเชื่อในสิ่งที่ไม่มีตัวตนหรือมีคุณค่าทางธรรมชาติและก็ปฏิบัติไปตามความเชื่อนั้นได้ ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ก้าวหน้ามหาศาลก็เช่นเรื่องของ “เงิน” ที่ทุกคนเชื่อว่ามันสามารถเอาไปใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการได้ทั้ง ๆ ที่มันเป็นก้อนโลหะหรือเป็นกระดาษหรือในปัจจุบันเป็นแค่ตัวเลขดิจิตอลในคอมพิวเตอร์เป็นต้น ดังนั้น พวกเขาจึงยอม “ทำงาน” อะไรบางอย่างให้กับคนอื่นเพื่อหาเงินมาใช้เพื่อเอาชีวิตให้รอดและเก็บไว้เพื่ออนาคตของตนและลูกหลาน เช่นเดียวกัน “บริษัท” ก็เป็นแค่ “นามธรรม” ที่สามารถทำงานไปได้เรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องในขณะที่คนอาจจะตายหรือหายไปในเวลาไม่กี่สิบปี ดังนั้น บริษัทจึงสามารถดำเนินการและพัฒนาสินค้าของตนไปอย่างต่อเนื่องยาวนานและสามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทำให้โลกก้าวหน้าขึ้น เป็นต้น ผมเองคิดว่าเซเปียนส์น่าจะเป็นหนังสือที่ติดอันดับอย่างน้อย “หนังสือแห่งทศวรรษ” ของโลกโดยเฉพาะทางด้านประวัติศาสตร์ คนที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะสามารถ “ต่อยอด” ไปอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของโลก รัฐ และประเทศได้อย่างมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และจะไม่ถูกทำให้หลงเข้าใจผิดจาก “ความลำเอียง” ที่เกิดจากรัฐหรือผู้คนที่พยายามสร้าง “สตอรี่” ที่เทิดทูนประเทศตนเองและลดค่าประเทศอื่นซึ่งก็เป็นธรรมชาติหรือพฤติกรรมของคนที่ติดมากับยีนของมนุษย์ตั้งแต่ยุคหมื่นปีที่แล้ว ถ้าพูดถึงประวัติศาสตร์ของไทยเองนั้น หนังสือที่ “เปิดโลกใหม่” ให้กับผมก็คือ หนังสือหลายเล่มที่เขียนโดย ดร. ธงชัย วินิจจะกูล ศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์เอเซียตะวันออกเฉียงใต้และประวัติศาสตร์ไทยแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา นี่คือกลุ่มหนังสือที่พูดถึงประวัติศาสตร์ของไทยที่แตกต่างจากประวัติศาสตร์ “ทางการ” ของรัฐไทยที่คนไทยทุกคนต้องเรียนและได้รับรู้มาตลอด แน่นอนว่านักวิชาการ “กระแสหลัก” ของไทยคงจะไม่เห็นด้วยกับความคิดและการวิเคราะห์ของ ดร.ธงชัย เป็นอย่างยิ่ง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น เหตุผลสำคัญที่สอนให้คนรับรู้ก็คือ เพื่อให้คนรักและภาคภูมิใจกับความเป็นชาติ ดังนั้น เรื่องราวที่จะลดทอนความรู้สึกแบบนั้นจึงน่าจะถูกต่อต้าน อย่างไรก็ตาม ถ้าเราจะเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ได้จริง เราก็ควรจะได้เรียนรู้จากความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต และนี่ก็คือส่วนหนึ่งของหนังสือที่จะช่วยให้เราเรียนรู้ “การเมือง” ของไทยได้ดีขึ้น หนังสือแนวประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตลาดหุ้นและการลงทุนที่ผมคิดว่าได้กลายเป็นหนังสือคลาสสิกระดับเดียวกับหนังสือ Intelligent Investor ของเหล่า VI ก็คือ A Random Walk Down Wall Street โดย Burton Malkiel ซึ่งเป็นหนังสือที่อิงอยู่กับทฤษฎี “ตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ” ซึ่งบอกว่าไม่มีกลยุทธ์อะไรที่จะสามารถเอาชนะตลาดได้อย่างยั่งยืนยกเว้นแต่จะต้องเสี่ยงมากขึ้น เนื้อหาไม่ได้บอกวิธีการลงทุนที่จะเอาชนะตลาด แต่เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องราวความเป็นมาของตลาดหุ้น เรื่องที่คนเข้าใจผิด และให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกคนและทุกแนว อ่านแล้วจะทำให้เราเห็นพัฒนาการระยะยาวของตลาดหุ้นในโลกจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะในเวอร์ชั่นใหม่ ๆ ของหนังสือที่จะออกมาทุกหลาย ๆ ปี ไม่ล้าสมัย คนที่ไม่เคยอ่านเลย เมื่ออ่านจบก็อาจจะรู้สึกได้ว่าความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดและการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก หนังสือ 2 เล่มสุดท้ายที่ผมรู้สึกว่าได้ “เปิดตา” ผมให้เข้าใจเรื่องของการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัทได้มากที่สุดเล่มหนึ่ง เพราะมันพูดถึงตำแหน่งและการแข่งขันทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ชื่อว่า Positioning : The Battle for Your Mind และ Marketing Warfare โดย Al Ries กับ Jack Trout นี่เป็นหนังสือทางการตลาดเล่มเล็ก ๆ และอ่านง่ายมากที่ผมซึ่งเคยเรียนจบ MBA ทางการตลาดไม่เคยได้รับรู้เลย เพราะเวลาที่ผมเรียนการตลาด เขาจะสอนเรื่องโครงสร้างการแข่งขันของอุตสาหกรรม จุดอ่อนจุดแข็งของกิจการ วิถีการทำการตลาด การจัดการช่องทางการตลาด การทำแคมเปญเพื่อขายสินค้า เป็นต้น แต่ไม่เคยเรียนถึง “พื้นฐาน” ของจิตใจลูกค้าเลย ไม่รู้กระบวนการคิดของสมองหรือจิตใจของลูกค้าต่อสินค้าซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะสำคัญที่สุด อ่านหนังสือเล่มนี้จบจะทำให้เราสามารถวิเคราะห์ว่าสินค้าไหนจะได้เปรียบ “อย่างยั่งยืน” และโดดเด่นแค่ไหน คู่แข่งขันจะสามารถเอาชนะหรือต่อสู้ด้วยวิธีการอย่างไร สิ่งที่สำคัญก็คือ การต่อสู้ทางการตลาดนั้น เขาบอกว่ามันอยู่ใน “หัว” ของคน และถ้าเราเข้าไป “จอง” ตำแหน่งในนั้นได้แล้ว คนอื่นจะมาแทนที่ทำได้ยากมาก ยกตัวอย่างตอนนี้ก็อาจจะบอกว่าโทรศัพท์มือถือแอปเปิลนั้น ได้เข้าไปเป็น “หมายเลขหนึ่ง” ของผู้ใช้หรือลูกค้าจำนวนมากของเขาแล้ว ยากที่ใครจะมาแทนที่ได้ เป็นต้น หนังสือที่เปลี่ยนความเข้าใจหรือเปลี่ยนมุมมองหรือ “เปลี่ยนชีวิต” ของแต่ละคนนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำให้ประสบความสำเร็จหรือชีวิตดีขึ้นแต่เพียงอย่างเดียว บ่อยครั้ง มันเป็นหนังสือที่ตรงกับ “จิตวิทยาพื้นฐาน” ของแต่ละคนด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคน ๆ หนึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นนักเก็งกำไร แต่ไม่เคยหรือไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องการเล่นหุ้นทางเทคนิค วันหนึ่ง เมื่อเขาพบหนังสือที่เปลี่ยนแนวคิดการวิเคราะห์อย่างสิ้นเชิง เช่น มีการใช้วิชาการทางด้านข้อมูลที่ซับซ้อนทางฟิสิกส์เข้ามาเล่นหุ้น เขาก็อาจจะเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์เดิมไปอย่างสิ้นเชิงได้ โดยที่อาจจะเป็นผลดีหรือผลเสียก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในกรณีของผมเองนั้น ผมคิดว่า หนังสือที่กล่าวมาข้างต้นช่วยให้ผมสามารถวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ไม่เฉพาะแต่เรื่องของการลงทุนดีขึ้น แต่รวมถึงการใช้ชีวิตด้านอื่น ๆ ด้วย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การเป็น “VI” ของผมนั้น มันไม่ใช่เรื่องของการลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่มันคือ “ชีวิต” และชีวิตผมก็เปลี่ยนแปลงไปมากส่วนหนึ่งจากการอ่านหนังสือเหล่านั้น รวมถึงหนังสือที่มีแนวทางแบบเดียวกันที่ตามมา
วิธีการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดไม่มีอะไรดีไปกว่าการอ่านหนังสือ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ การเลือกหนังสือที่จะอ่าน เหตุผลก็เพราะว่ามีหนังสือมากมายเกินกว่าที่เราจะอ่านไหว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หนังสือมีรายละเอียดมากเกินไปจนเราไม่เห็นภาพใหญ่ หนังสือจำนวนมาก “ไม่ถูกต้อง” เพราะคนเขียนก็ไม่รู้จริงหรือที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เขียนจากความคิดที่ “ลำเอียง” ที่มาจากพื้นฐานทางจิตวิทยาของตนเอง ผมเองได้อ่านหนังสือหลากหลายมากในหลากหลายศาสตร์ดังกล่าว ถึงวันนี้เมื่อคิดย้อนหลังไป มีหนังสือหลายเล่มที่คิดว่าช่วยให้ผม “ตาสว่าง” คือ “รู้” ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ หรือ “รู้” ในสิ่งที่ผมเข้าใจผิดมานาน หนังสือหลายเล่มหรือน่าจะส่วนใหญ่เป็น “หนังสือประวัติศาสตร์” หรือแนวอิงประวัติศาสตร์ที่เขียนโดย “เซียน” ที่มีการศึกษามาเป็นอย่างดี ที่ “เล่าเหตุการณ์” ต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาอย่างมีเหตุมีผลและมาจาก “พื้นฐาน” ที่ถูกต้องนั่นก็คือ ความเป็น “มนุษย์” ที่เป็นคนสร้างเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนถึงวันนี้ หนังสือเล่มแรกซึ่งจริง ๆ ก็คือหนังสือพื้นฐานสำคัญที่สุดที่คิดว่า VI หรือคนทั่วไปควรจะอ่านเป็นอย่างยิ่งก็คือ หนังสือชื่อ Sapiens: A Brief History of Humankind หรือ เซเปียนส์: ประวัติย่อของมนุษยชาติ เขียนโดย ยูวัล แฮรารี นักประวัติศาสตร์ชื่อดังชาวยิว นี่คือหนังสือที่เล่าเรื่องราวของมนุษย์พันธุ์เซเปียนตั้งแต่เริ่มต้นวิวัฒนาการและการก่อร่างสร้างเมือง เอาชนะสัตว์ทั้งปวงรวมถึงมนุษย์เผ่าอื่นที่เพิ่งล้มตายและ “สูญพันธุ์” ไปแค่ 4-50,000 ปีมานี้เอง ส่วนการเอาชนะสัตว์อื่นทั้งปวงและสามารถ “ครองโลก” ได้อย่างเด็ดขาดเองนั้น ก็น่าจะเพิ่งเกิดขึ้นแค่ไม่เกิน 10,000-20,000 ปี และการสร้างเมือง รัฐ และสถาบันต่าง ๆ ในการปกครองรวมถึงศาสนานั้นก็แค่ 4-5,000 ปีที่ผ่านมา ไม่ต้องพูดถึง “ประเทศ” อย่างที่เรารู้จักที่มีขอบเขตดินแดนแน่นอนที่เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่แล้วนี่เอง
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1460
Finance
นักลงทุนมือใหม่ควรใช้วิธีการประเมินราคา NAV ของกองทุนรวมอย่างไร?
null
วิธีการประเมินราคา NAV ของกองทุนรวมสำหรับนักลงทุนมือใหม่: 1. เข้าใจความหมายของ NAV: NAV ย่อมาจาก Net Asset Value หมายถึง มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน NAV ต่อหน่วย คือ ราคาของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนหารด้วยจำนวนหน่วยลงทุน NAV ไม่ได้บอกราคาซื้อขายของกองทุน แต่เป็นตัวเลขที่สะท้อนมูลค่าทรัพย์สิน ผลตอบแทนของกองทุนมาจากส่วนต่าง NAV ต่อหน่วย ณ วันซื้อ และวันขาย 2. เปรียบเทียบ NAV กับราคาซื้อขาย: ไม่สามารถใช้ NAV เปรียบเทียบกับราคาซื้อขายของกองทุนได้ ราคาซื้อขายขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาด กองทุนที่มี NAV สูง อาจมีราคาซื้อขายต่ำ และกองทุนที่มี NAV ต่ำ อาจมีราคาซื้อขายสูง 3. พิจารณาแนวโน้มของนโยบายการลงทุน: เน้นไปที่นโยบายการลงทุนและประสิทธิภาพการบริหารกองทุน กองทุนที่มีนโยบายดี performance ดี NAV ที่ซื้อในวันนี้ ย่อมถูกเมื่อเทียบกับอนาคต กองทุนที่มีนโยบายไม่ดี performance ไม่ดี ถึงแม้ NAV จะต่ำ ก็ถือว่าแพง 4. คำนึงถึงค่าธรรมเนียม: ค่าธรรมเนียมมีผลต่อผลตอบแทน เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของกองทุนก่อนตัดสินใจ 5. ศึกษาข้อมูลกองทุน: ศึกษารายละเอียดกองทุน นโยบาย ผลการดำเนินงาน ความเสี่ยง เปรียบเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน 6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อรับคำแนะนำ 7. ลงทุนระยะยาว: ไม่ควรซื้อขายกองทุนบ่อย เน้นลงทุนระยะยาว 8. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในหลายกองทุน หลายประเภท ตัวอย่าง: กองทุน A มี NAV 100 บาท กองทุน B มี NAV 10 บาท กองทุน A ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตสูง กองทุน B ลงทุนในตราสารหนี้ กองทุน A มีผลตอบแทน 10% ต่อปี กองทุน B มีผลตอบแทน 5% ต่อปี กองทุน A ถือว่าถูกกว่ากองทุน B แม้จะมี NAV สูงกว่า ข้อควรระวัง: NAV ไม่ได้บ่งบอกถึงราคาซื้อขาย NAV ไม่ได้บ่งบอกถึงผลตอบแทนในอนาคต ควรศึกษาข้อมูลกองทุนอย่างละเอียด สรุป: นักลงทุนมือใหม่ควรใช้วิธีการประเมินราคา NAV ของกองทุนรวมโดยพิจารณาถึงนโยบายการลงทุน ผลการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียม เปรียบเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน ศึกษาข้อมูลกองทุน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ลงทุนระยะยาว และกระจายความเสี่ยง
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1461
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 3 กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 21-27 ส.ค. 2564
null
เรามาดูกันดีกว่า ว่ากองทุนผลที่ตอบแทนโดดเด่นประจำวันที่ 21-27 ส.ค. 2564 3 อันดับแรก มีกองทุนอะไรบ้าง เริ่มต้นที่อันดับ 1 ได้แก่ กองทุน TCHTECH-A หรือ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า เทคโนโลยี อิควิตี้ ชนิดหน่วยลงทุน A มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์เพิ่มขึ้น 9.11 % อันดับ 2 ได้แก่ กองทุน SCBBANKINGE หรือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET BANKING SECTOR INDEX ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์เพิ่มขึ้น 9.05 % และอันดับที่ 3 ได้แก่ กองทุน SCBBANKINGA หรือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET BANKING SECTOR INDEX ชนิดสะสมมูลค่า มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์เพิ่มขึ้น 9.04 % บทเรียนจากย่อหน้านี้ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (21-27 ส.ค. 64) 1. TCHTECH-A – กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า เทคโนโลยี อิควิตี้ ชนิดหน่วยลงทุน A ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +9.11 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -13.84% 2. SCBBANKINGE – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET BANKING SECTOR INDEX (ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์) ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +9.05 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +4.41% 3. SCBBANKINGA – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET BANKING SECTOR INDEX ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +9.04 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +3.93%
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1464
Finance
เหตุใดแนวทางการใช้นโยบายการคลังแบบเข้มข้น จึงได้รับความนิยมจากวงการวิชาการ
null
แนวทางการใช้นโยบายการคลังแบบเข้มข้น ที่ได้รับความนิยมจากวงการวิชาการ มี 2 เหตุผล ดังนี้ เหตุผลแรก แวดวงวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคในปัจจุบันมีอีกหนึ่งสมการซึ่งเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ จนใกล้จะกลายเป็น consensus คือ หาก r-g < 0 หรือ ผลต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยกับ อัตราการเติบโตของจีดีพี น้อยกว่าศูนย์แล้วนั้น การก่อหนี้ภาครัฐจะสามารถทำได้ มากกว่าที่เคยประมาณกันไว้ในอดีต ซึ่งประเมินว่าไม่ควรเกินร้อยละ 60 ของจีดีพี หรือตีความโดยง่ายว่า หากอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราการเติบโตของจีดีพี แล้วการก่อหนี้ภาครัฐจะสามารถทำได้ค่อนข้างมาก โดยที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสีย ต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจ เหตุผลที่สอง คือ จากการที่หนี้ภาครัฐของทั้งญี่ปุ่น และ ไทย เป็นหนี้ในประเทศเกือบทั้งหมด หากจะนำประสบการณ์การแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของญี่ปุ่นในทศวรรษ 80 ต่อ 90 มาประยุกต์ใช้กับไทย ถือว่าน่าจะสมเหตุผลอยู่ไม่น้อย ในปี 1990 รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจลดการก่อหนี้สาธารณะ แม้จะเห็นว่าจีดีพีของเศรษฐกิจญี่ปุ่นชะลอตัวลง เนื่องจากเชื่อในแนวคิดเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิมที่ว่าอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่ควรเกินร้อยละ 60 ส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลายเป็น Lost Decade ในเวลาต่อมา สิ่งนี้คือ บทเรียนสำคัญที่ทั้งเบน เบอร์นันเก้ และ พอล ครุกแมน ย้ำเสมอถึงความจำเป็นที่ต้องใช้นโยบายการคลังที่เข้มข้นในช่วงที่กำลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ มิเช่นนั้นแล้ว จะไม่สามารถกลับมาแก้ไขความผิดพลาดนี้ในภายหลัง
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1465
Finance
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินลงทุนจำนวนจำกัด ควรเริ่มต้นลงทุนใน DeFi อย่างไร?
null
จากบทความ "คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน" 1. ศึกษาพื้นฐานการลงทุนใน DeFi: เรียนรู้เกี่ยวกับ Cryptocurrency เข้าใจการทำงานของ Wallet ใช้งานกระดานแลกเปลี่ยนต่างประเทศ เข้าใจการทำงานของ Stablecoin ศึกษาความเสี่ยงของ Smart Contract คำนวณค่าธรรมเนียม 2. เริ่มต้นลงทุนด้วยจำนวนเงินน้อย: ลงทุนด้วยเงินเย็นที่ไม่กระทบกับสภาพคล่อง เริ่มต้นด้วย Stablecoin เลือกแพลตฟอร์ม DeFi ที่เชื่อถือได้ กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหลาย ๆ แพลตฟอร์ม ศึกษาและเข้าใจกลยุทธ์การลงทุน DeFi ฝึกฝนการใช้งานผ่านบัญชีทดลอง 3. แหล่งข้อมูลการศึกษา: เว็บไซต์และบล็อกเกี่ยวกับ DeFi ชุมชนออนไลน์ คอร์สเรียนออนไลน์ วิดีโอสอน 4. ตัวอย่างแพลตฟอร์ม DeFi: Aave Compound Curve Uniswap PancakeSwap 5. คำเตือน: การลงทุนใน DeFi มีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนที่สูงมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูง ศึกษาข้อมูลและเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ลงทุนด้วยเงินที่พร้อมจะสูญเสีย ตัวอย่างการลงทุนสำหรับนักลงทุนมือใหม่: ฝาก Stablecoin ใน Aave หรือ Compound ฝากเหรียญคู่ Stablecoin ใน Curve ลงทุนใน Liquidity Pool บน Uniswap หรือ PancakeSwap ข้อควรระวัง: ศึกษาข้อมูลและกลยุทธ์การลงทุนอย่างละเอียด เลือกแพลตฟอร์ม DeFi ที่เชื่อถือได้ กระจายความเสี่ยง ลงทุนด้วยเงินที่พร้อมจะสูญเสีย สรุป: การลงทุนใน DeFi เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้และเข้าใจความเสี่ยง
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,เทคโนโลยีทางการเงิน,การเงินดิจิทัล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1467
Finance
จงสรุปบทความ เกร็ดความรู้ หุ้น New Economy กับ Old Economy ต่างกันอย่างไร?
หุ้น New Economy หรือ เศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นบริษัทที่มีสินค้าหรือบริการเป็นสิ่งใหม่ ๆ ตอบโจทย์ความต้องการต่อชีวิตของผู้บริโภคในยุคใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้น Technology ที่มีนวัตกรรมหรือมีการเติบโตตาม Megatrend ของโลก ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม New Economy ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ เช่น Facebook, Apple, Amazon, Netflix, Google, Microsoft, Apple และ Nvidia เป็นต้น (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในดัชนี NASDAQ) ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีน เช่น Baidu, Alibaba, Tencent, Meituan และ Xiaomi (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง) จะเห็นได้ว่า หุ้นที่ได้กล่าวไปด้านบนล้วนเป็นหุ้นที่มีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้าน Internet, Software และ Hardware หุ้น Old Economy หรือ เศรษฐกิจยุคเก่า เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจแบบดั้งเดิม มีมาอย่างยาวนาน ค่อนข้างเติบโตช้า เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร/ประกัน กลุ่มค้าปลีก กลุ่มขนส่ง เป็นต้น รวมถึงธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหมืองแร่ เหล็ก พลังงาน ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม Old Economy ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ เช่น Exxon Mobil, J.P.Morgan, Goldman Sachs, Nike, Coca-Cola ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีน เช่น Bank of China, ICBC, AIA, HSBC Holdings, Ping An (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในตลาด H-Share) และแน่นอนว่าหุ้นตัวใหญ่ใน SET บ้านเราก็อยู่กลุ่มนี้ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้จะเห็นว่าหุ้นกลุ่ม New Economy จะเติบโตได้ดีกว่า Old Economy สาเหตุมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งนำมาใช้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น ประกอบกับการแพร่ระบาดไวรัส ทำให้พฤติกรรมคนเราเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น ยิ่งเร่งให้หุ้นกลุ่มนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจรู้สึกว่าหุ้น New Economy ในตอนนี้มีความน่าสนใจมากกว่า แต่จริง ๆ หุ้น Old Economy หลายตัวก็ยังน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะราคาหุ้นถูกมากเมื่อเทียบกับความสามารถในการสร้างกำไร บางคนจึงเรียกหุ้นกลุ่มนี้ว่าเป็นหุ้นคุณค่า (Value Stock) ยิ่งในปีนี้ที่หุ้นเทคโนโลยีเกือบทั้งหมดเข้าขั้นว่าแพงมาก เราอาจจะแบ่งสัดส่วนลงทั้งหุ้น New Economy และ Old Economy เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนก็ได้นะ หากพูดถึงการแบ่งกลุ่มของหุ้น หลายคนก็คงจะนึกถึงการแบ่งกลุ่มโดยใช้ดัชนีหุ้น เช่น NASDAQ, S&P500, A-Share, H-share เป็นต้น หรือบางคนก็อาจจะแบ่งตามธีมการลงทุน เช่น ธีมหุ้นเทคโนโลยี, ธีมหุ้น Healthcare แต่!! ก็ยังมีการแบ่งกลุ่มหุ้นอีกแบบที่น่าจะคุ้นหูกันมาบ้าง ก็คือ หุ้น New Economy กับ หุ้น Old Economy หุ้น New Economy หรือ เศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นบริษัทที่มีสินค้าหรือบริการเป็นสิ่งใหม่ ๆ ตอบโจทย์ความต้องการต่อชีวิตของผู้บริโภคในยุคใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้น Technology ที่มีนวัตกรรมหรือมีการเติบโตตาม Megatrend ของโลก ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม New Economy ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ เช่น Facebook, Apple, Amazon, Netflix, Google, Microsoft, Apple และ Nvidia เป็นต้น (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในดัชนี NASDAQ) ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีน เช่น Baidu, Alibaba, Tencent, Meituan และ Xiaomi (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง) จะเห็นได้ว่า หุ้นที่ได้กล่าวไปด้านบนล้วนเป็นหุ้นที่มีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้าน Internet, Software และ Hardware หุ้น Old Economy หรือ เศรษฐกิจยุคเก่า เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจแบบดั้งเดิม มีมาอย่างยาวนาน ค่อนข้างเติบโตช้า เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร/ประกัน กลุ่มค้าปลีก กลุ่มขนส่ง เป็นต้น รวมถึงธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหมืองแร่ เหล็ก พลังงาน ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม Old Economy ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ เช่น Exxon Mobil, J.P.Morgan, Goldman Sachs, Nike, Coca-Cola ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีน เช่น Bank of China, ICBC, AIA, HSBC Holdings, Ping An (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในตลาด H-Share) และแน่นอนว่าหุ้นตัวใหญ่ใน SET บ้านเราก็อยู่กลุ่มนี้ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้จะเห็นว่าหุ้นกลุ่ม New Economy จะเติบโตได้ดีกว่า Old Economy สาเหตุมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งนำมาใช้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น ประกอบกับการแพร่ระบาดไวรัส ทำให้พฤติกรรมคนเราเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น ยิ่งเร่งให้หุ้นกลุ่มนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจรู้สึกว่าหุ้น New Economy ในตอนนี้มีความน่าสนใจมากกว่า แต่จริง ๆ หุ้น Old Economy หลายตัวก็ยังน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะราคาหุ้นถูกมากเมื่อเทียบกับความสามารถในการสร้างกำไร บางคนจึงเรียกหุ้นกลุ่มนี้ว่าเป็นหุ้นคุณค่า (Value Stock) ยิ่งในปีนี้ที่หุ้นเทคโนโลยีเกือบทั้งหมดเข้าขั้นว่าแพงมาก เราอาจจะแบ่งสัดส่วนลงทั้งหุ้น New Economy และ Old Economy เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนก็ได้นะ
หุ้น New Economy หรือ เศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นบริษัทที่มีสินค้าหรือบริการเป็นสิ่งใหม่ ๆ ตอบโจทย์ความต้องการต่อชีวิตของผู้บริโภคในยุคใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้น Technology ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม New Economy - ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ facebook, Apple, Amazon, Netflix, Google, Microsoft, Apple และ Nvidia เป็นต้น - ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีนBaidu, Alibaba, Tencent, Meituan และ Xiaomi หุ้น Old Economy หรือ เศรษฐกิจยุคเก่า เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจแบบดั้งเดิม มีมาอย่างยาวนาน ค่อนข้างเติบโตช้า เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร/ประกัน กลุ่มค้าปลีก กลุ่มขนส่ง เป็นต้น รวมถึงธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหมืองแร่ เหล็ก พลังงาน ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม Old Economy - ตัวอย่างหุ้นในประเทศสหรัฐฯ เช่น Exxon Mobil, J.P.Morgan, Goldman Sachs, Nike, Coca-Cola - ตัวอย่างหุ้นในประเทศจีน เช่น Bank of China, ICBC, AIA, HSBC Holdings, Ping An (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในตลาด H-Share) และแน่นอนว่าหุ้นตัวใหญ่ใน SET บ้านเราก็อยู่กลุ่มนี้ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้จะเห็นว่าหุ้นกลุ่ม New Economy จะเติบโตได้ดีกว่า Old Economy สาเหตุมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลายคนอาจรู้สึกว่าหุ้น New Economy ในตอนนี้มีความน่าสนใจมากกว่า แต่จริง ๆ หุ้น Old Economy หลายตัวก็ยังน่าสนใจไม่แพ้กัน เราอาจจะแบ่งสัดส่วนลงทั้งหุ้น New Economy และ Old Economy เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนก็ได้
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1469
Finance
กองทุน Active Global Equity ใดที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนทั่วโลก ระหว่าง กองทุน T. Rowe Price Global Focused Growth Equity I USD หรือ กองทุน Morgan Stanley Investment Funds Global Opportunity Fund Z USD
null
กองทุน T. Rowe Price Global Focused Growth Equity I USD เพราะกองทุน T. Rowe Price Global Focused Growth Equity I USD เป็นกองทุนสัญชาติอเมริกันของ LH-GEQ-A, LHGEQ-ASSF, LHGEQ-D, LHGEQ-DSSF และ LHGEQ-E มีนโยบายกองทุน คือ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนทั่วโลก หรือ กองทุนหลัก (Master fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกวาร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพยสินสุทธิ กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนอย่างน้อยร้อยละ 70 ของสินทรัพยทั้งหมดในหุ้นและหลักทรัพย์ที่เกี่ยวของกับหุ้นบริษัทจดทะเบียน รวมถึงหุ้นสามัญหุ้นบุริมสิทธิ ใบสําคัญแสดงสิทธิ American Depository Receipts (ADRs), European Depository Receipts (EDRs) and Global Depository Receipts (GDRs) ระดับความเสี่ยงกองทุน: 6 มีหลักการจัดการลงทุนดังนี้: - Diversified เน้นกระจายหุ้นออก ไม่กระจุกตัว - Seek Undervalued หาหุ้นที่มูลค่ายังต่ำและตลาดยังไม่สะท้อนเต็มที่ - Sustaining Growth หาหุ้นที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง - Bottom-Up Approach ใช้วิธีการคัดเลือกหุ้นแบบรายตัว นำมาประกอบเป็นพอร์ตและกระจายความเสี่ยง แนะนำให้เป็น Core Port สไตล์สม่ำเสมอ ทีมงานวิเคราะห์หุ้นหลากหลาย และพอร์ตกระจายตัวดี ส่วนกองทุน Morgan Stanley Investment Funds Global Opportunity Fund Z USD เป็นกองทุนหลักของ PRINCIPAL GOPP-A และ PRINCIPAL GOPP-SSF ประกอบด้วยนักวิเคราะห์ชั้นนำของอุตสาหกรรม Investment Process เน้นในเรื่องความยั่งยืนอย่างชัดเจน การเลือกหุ้นเน้นชัวร์ เพื่อหาผลตอบแทนระยะยาวจากหุ้นที่ยังไม่สะท้อนมูลค่าเต็มที่ กองทุนเน้นอุตสาหกรรม IT คล้าย Threadneedle จะบอกว่าเหมือนกันมากก็ได้ มีนโยบายกองทุน คือ กองทุนมีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียวคือ Morgan Stanley Investment Funds Global Opportunity Fund (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันภายใต้ธีม Disruptive Change ที่มีความสามารถในการปรับตัวสูง ระดับความเสี่ยงกองทุน: 6 มีหลักการจัดการลงทุนดังนี้: - High Conviction เน้นกระจุกตัวและไม่เปลี่ยนหุ้นบ่อย - Seek Undervalued - Long Term Growth เน้นการเติบโตระยะยาว - Bottom-Up Approach ใช้ความสามารถของนักวิเคราะห์เต็มที่ แนะนำจัดเป็น Core Port สไตล์ Long Term เน้นความยั่งยืน Turn over ต่ำ (เปลี่ยนหุ้นไม่บ่อย) สำหรับคนที่มั่นใจในค่ายนี้
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0