ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
894
Input
stringlengths
19
65.5k
Output
stringlengths
36
31.6k
Tags
stringlengths
10
772
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Finance_1656
Finance
กลยุทธ์ Magic Formula ของ Joel Greenblatt ดีกว่าการลงทุนในดัชนี S&P 500 หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ผลตอบแทนย้อนหลัง: กลยุทธ์ Magic Formula มีผลตอบแทนเฉลี่ย 30% ต่อปีแบบทบต้น ในช่วงปี 1988 ถึง 2004 แต่หลังจากปี 2004 ผลตอบแทนของกลยุทธ์ Magic Formula เริ่มตามหลังดัชนี S&P 500 กองทุนที่ใช้กลยุทธ์ Magic Formula ให้ผลตอบแทนรายปี 12.05% เทียบกับ S&P 500 ที่ 15.07% ผลตอบแทนสะสมของกองทุน Magic Formula อยู่ที่ 79.93% เทียบกับ S&P 500 ที่ 106.53% 2. ลักษณะของกลยุทธ์: กลยุทธ์ Magic Formula เน้นลงทุนในหุ้นมูลค่า (Value Investing) หุ้นมูลค่ามักมีราคาถูกกว่าหุ้นเติบโต (Growth Investing) แต่หุ้นมูลค่าอาจมีสภาพคล่องต่ำ และมีความเสี่ยงจากปัจจัยพื้นฐาน 3. ข้อจำกัดของกลยุทธ์: กลยุทธ์ Magic Formula ใช้อัตราส่วนทางการเงินเพียง 2 ตัว ไม่ได้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท อาจทำให้พลาดโอกาสในการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพสูง 4. ความเสี่ยง: กลยุทธ์ Magic Formula ไม่ได้กระจายความเสี่ยง ลงทุนในหุ้นจำนวนน้อย เพิ่มความเสี่ยงจากการขาดทุน สรุป: กลยุทธ์ Magic Formula เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่เรียบง่าย แต่ไม่ได้ดีที่สุดเสมอไป นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เพิ่มเติม เช่น ระยะเวลาในการลงทุน ความเสี่ยง และเป้าหมายทางการเงิน คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1657
Finance
Open High Low Close Volume ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคมีผลลัพธ์อย่างไร
  FINNOMENA · Quantable Podcast EP16 : ถ้าเริ่มคิดว่าเทคนิคอลของเราถึงทางตัน รายการ Quantable จะโชว์อะไรให้ดู !!! Quantable Podcast EP16 : ถ้าเริ่มคิดว่าเทคนิคอลของเราถึงทางตัน รายการ Quantable จะโชว์อะไรให้ดู !!! การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ใช่สิ่งใหม่ ใครๆก็รู้จัก นักลงทุนหลายคนใช้เทคนิคอลประกอบการตัดสินใจ บางคนใช้เป็นหลักยึดในการลงทุนเสียด้วยซ้ำ หรือมากกว่านั้นคือสามารถนำเทคนิคอลมาทำเป็นระบบการลงทุนเชิง Quantitative มีจุดเข้า จุดออก จุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนเหมือนใน EP เก่าๆ ที่เราเคยนำเสนอให้ทุกคนติดตามอยู่ตลอด แต่ในบทความนี้อยากจะ Deep Diving หรือดำลึกลงไปถึงต้นกำเนิดของเทคนิคอลรวมถึง Tips & Tricks ในการเล่นแร่แปรธาตุในเทคนิคอลที่หลายคนนึกไม่ถึงกันครับ Quantitative EP Deep Diving Tips & Tricks เทคนิคที่ลึกล้ำล้วนมีที่มากจาก Open High Low Close Volume Open High Low Close Volume การวิเคราะห์ทางเทคนิคทุกชนิด ทุกเครื่องมือ ทุกรูปแบบที่มีการพัฒนาจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันล้วนมีที่มาจากการนำ Data ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตมาทำการคำนวณด้วยวิธีการต่างๆ จนเกิดเป็นรูปแบบราคา อินดิเคเตอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย ข้อมูลเหล่านั้นมาจากการนำราคาเปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด ราคาปิด และปริมาณการซื้อขาย นั่นแปลว่าต่อให้การคำนวณซับซ้อนแค่ไหน ที่มาที่ไปของผลลัพธ์ที่ได้ก็มาจากการบีบเค้นข้อมูลชุดนี้เท่านั้น ทำให้เวลาเอาเครื่องมือใดๆ ในเทคนิคอลมาปรับใช้ก็จะเริ่มตันและไม่สามารถพัฒนาไปต่อได้ เราจึงอยากจะลองทดสอบเล่นแร่แปรธาตุ Data พวก Open High Low Close ให้ดูว่ายังสามารถไปได้อีกเยอะ ถ้าเราเข้าใจมันมากขึ้น Data Data Open High Low Close เล่นแร่แปรธาตุกลยุทธ์ซื้อขายตามเส้นค่าเฉลี่ยโดยไม่ต้อง Optimization Optimization การซื้อขายสินทรัพย์โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยในอดีต สิ่งที่นักลงทุนมักจะพัฒนาและให้ความสำคัญคือการหาเส้น หาค่าที่ดีที่สุด ว่าเส้นไหนดีกว่ากัน นั่นทำให้เราจะต้องไป Optimization เพื่อหาค่าที่ดีที่สุด “ในอดีต” ทำให้อาจเกิดปัญหาเรื่องเหตุการณ์ในอนาคตมีการเปลี่ยนแปลง ผลลัพธ์ก็จะไม่ได้ดีอย่างที่คิดเอาไว้ แต่หากลงลึกอีกหน่อย เราจะรู้ว่าเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้นำมาคำนวณนั้น มาจากการนำราคาปิดสิ้นวันหรือ Close มาคำนวณ นั่นทำให้เราสามารถทดสอบดูได้ว่า ถ้าหากนำค่าอื่นมาคำนวณล่ะ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ไปดูกันเลยครับ Optimization “ ” Close จากภาพประกอบของการซื้อขาย Bitcoin ย้อนหลัง 5 ปีที่ใช้เส้นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 50 วัน (EMA50) มาทดสอบและเปลี่ยนจากการใช้ราคาปิด เป็นราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด มาคำนวณแทน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นะแอบตกใจพอสมควรเลยครับ การใช้ค่า Default จากแพลตฟอร์มดูกราฟทั่วไปที่ใช้ราคาปิด จากเงิน 1 ล้านสามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลังได้ต่อปีถึง 116.37 % มี Max DD ที่ 55.61% ความแม่นยำในการเทรด 37.84% กำไรโดยเฉลี่ยต่อครั้ง 58% ขาดทุนโดยเฉลี่ย 3.8% คิดเป็น Payoff 15.4 เท่า ต่อรอบที่กำไรถูกประมาณ 58 วัน รอบที่ขาดทุนถือประมาณ 5.7 วัน แต่ลองสังเกตุผลลัพธ์จากการใช้ค่าอื่นๆ มาคำนวณ จะได้ Stat ที่แตกต่างกันพอสมควร Bitcoin 5 50 (EMA50) Default 1 116.37 % Max DD 55.61% 37.84% 58% 3.8% Payoff 15.4 58 5.7 Stat การเล่นแร่แปรธาตุกับ Donchian Channel Donchian Channel กรอบราคาที่เราใช้ทดสอบให้ทุกคนดูอย่างต่อเนื่องนั้นก็สามารถปรับเปลี่ยนการคำนวณเล็กๆ น้อยๆ แบบเส้นค่าเฉลี่ยได้เช่นเดียวกัน โดยเราแบ่งสมมติฐานออกเป็น 3 ข้อ 3 คำนวณจากราคาสูงสุดในรอบ X วัน กรอบบนใช้ราคา High กรอบล่างใช้ราคา Low คำนวณจากราคาสูงสุดในรอบ X วัน กรอบบนใช้ราคา Close กรอบล่างใช้ราคา Close คำนวณจากราคาสูงสุดในรอบ X วัน กรอบบนใช้ราคา High กรอบล่างใช้ราคา Low สัญญาณซื้อขายจากการแทงทะลุกรอบบนและกรอบล่าง X High Low X Close Close X High Low ซึ่งผลลัพธ์ทั้ง 3 แบบมีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย ไม่มีมีนัยยะมากเท่าการใช้เส้นค่าเฉลี่ยมากคำนวณ พวกเราลองค่อยๆไล่ดูตัวเลขจากตารางข้างบนดูก็ได้ครับ 3 เมื่อลองทดสอบการเล่นแร่แปรธาตุนี้กับตลาดหุ้นไทยด้วยปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค หากเราสงสัยว่าแค่ช่วงเวลา 5 ปีในการทดสอบเท่านั้นแถมทดสอบแค่ Bitcoin ตัวเดียวด้วย อาจจะฟันธงไม่ได้ว่ามีนัยยะทางสถิติจริงรึเปล่า เราจึงทำการทดสอบในตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไป 21 ปี โดยใช้วิธีการลงทุนแบบ Hybrid คือผสมทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคเข้ามาตัดสินใจ แต่แบ่งสมมติฐานเป็น 2 ข้อดังนี้ครับ 5 Bitcoin 21 Hybrid 2 ตัดสินใจซื้อขายและคำนวณค่าจากราคาสูงสุดในรอบ X วัน กรอบบนใช้ราคา Close กรอบล่างใช้ราคา Close ตัดสินใจซื้อขายและคำนวณค่าจากราคาสูงสุดในรอบ X วัน กรอบบนใช้ราคา High กรอบล่างใช้ราคา Low X Close Close X High Low โดยเราจะเห็นว่าผลลัพธ์แตกต่างกันพอสมควร CAGR คือ 34.7% กับ 27.74% ยิ่งพอทบต้นถึง 21 ปีแล้วทำให้เม็ดเงินลงทุนรวมต่างกันถึง 400 ล้านบาทโดยประมาณ!! CAGR 34.7% 27.74% 21 400 !! เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นลองไปดูกราฟเงินทุนของระบบนี้กันครับ (Data & Template จาก www.siamquant.com) จาก www.siamquant.com ความเข้าใจที่ลึกซึ้งจะตามมาด้วยผลลัพธ์ที่แตกต่าง เพียงแค่เราศึกษาให้ลึกลงไปอีกสักนิด เข้าใจที่มาที่ไปของสิ่งที่เราหยิบยกมาใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน เราน่าจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างได้ เพราะในยุคนี้ที่ข้อมูลเยอะแยะไปหมด เวลานักลงทุนคนหนึ่งอยากจะศึกษาเรื่องการลงทุน ก็มักจะพยายามหาทางลัด Short Cut หรือวิธีใช้งานเลยซึ่งง่ายในการทำความใจแต่ยากในการพยายามสร้าง Alpha ในอนาคต เราจึงพยายามหยิบยกมุมแปลกๆ ใหม่ๆ ที่นึกไม่ถึงหรืออาจจะง่ายไปจนเรามองข้ามมาทดสอบให้ดูว่าความเข้าใจที่ลึกซึ้งจะตามมาด้วยผลลัพธ์ที่แตกต่างจริงๆ ครับ
เทคนิคที่ลึกล้ำล้วนมีที่มากจาก Open High Low Close Volume การวิเคราะห์ทางเทคนิคทุกชนิด ทุกเครื่องมือ ทุกรูปแบบที่มีการพัฒนาจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันล้วนมีที่มาจากการนำ Data ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตมาทำการคำนวณด้วยวิธีการต่างๆ จนเกิดเป็นรูปแบบราคา อินดิเคเตอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย ข้อมูลเหล่านั้นมาจากการนำราคาเปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด ราคาปิด และปริมาณการซื้อขาย นั่นแปลว่าต่อให้การคำนวณซับซ้อนแค่ไหน ที่มาที่ไปของผลลัพธ์ที่ได้ก็มาจากการบีบเค้นข้อมูลชุดนี้เท่านั้น ทำให้เวลาเอาเครื่องมือใดๆ ในเทคนิคอลมาปรับใช้ก็จะเริ่มตันและไม่สามารถพัฒนาไปต่อได้ การซื้อขายสินทรัพย์โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยในอดีต สิ่งที่นักลงทุนมักจะพัฒนาและให้ความสำคัญคือการหาเส้น หาค่าที่ดีที่สุด ว่าเส้นไหนดีกว่ากัน นั่นทำให้เราจะต้องไป Optimization เพื่อหาค่าที่ดีที่สุด “ในอดีต” ทำให้อาจเกิดปัญหาเรื่องเหตุการณ์ในอนาคตมีการเปลี่ยนแปลง ผลลัพธ์ก็จะไม่ได้ดีอย่างที่คิดเอาไว้ แต่หากลงลึกอีกหน่อย เราจะรู้ว่าเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้นำมาคำนวณนั้น มาจากการนำราคาปิดสิ้นวันหรือ Close มาคำนวณ นั่นทำให้เราสามารถทดสอบดูได้ว่า ถ้าหากนำค่าอื่นมาคำนวณ จะมีผลลัพธ์ที่แตกต่าง
4.เครื่องมือทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1659
Finance
ศัพท์ทางการเงิน มีอะไรบ้าง
null
ศัพท์ทางการเงิน ได้แก่ 2Y10Y Spread ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภท 10 ปี กับ 2 ปี ใช้คาดการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจ CDS IG US 5 Yrs ย่อมาจาก Credit Default Swap Investment Grade หมายถึง ราคาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงของสินทรัพย์ระดับ Investment Grade ระยะ 5 ปีของสหรัฐฯ ถ้าตัวเลขนี้สูงแสดงว่าตลาดช่วงนั้นเสี่ยง Circuit Breaker คำสั่งหยุดการซื้อขายชั่วคราวเมื่อตลาดหุ้นร่วงรุนแรงผิดปกติ เพื่อเว้นช่วงให้นักลงทุนได้ตรวจสอบข่าวสาร CSI300 ดัชนีที่ใช้วัดการเติบโตของหุ้น 300 ตัวแรกที่ซื้อขายใน Shanghai และ Shenzhen Stock Exchange Dow Jones ดัชนีที่คำนวณจากหุ้นทั้งหมด 30 ตัวที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจอเมริกาในภาพรวม Drawdown ตัวเลขการติดลบมากที่สุดเมื่อเทียบกับจุดสูงสุด DXY U.S. Dollar Index (USDX, DXY, DX) ดัชนีที่บ่งบอกความต้องการถือครองสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับอีก 6 สกุล คือ ยูโร, เยน, ปอนด์, ดอลลาร์แคนาดา, โครนสวีเดน และฟรังก์สวิส ETFGTOTL Total ETF Holdings of Gold บ่งบอกปริมาณการถือครองทองคำในตลาด ETF มีหน่วยเป็น Troy Ounce EU50 เรียกอีกชื่อว่า Stoxx50 คือ ดัชนีที่คำนวณจากหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวแรกในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป Fear & Greed Index ดัชนีที่ประเมินความโลภและความกลัวของนักลงทุนในตลาดโดยนำปัจจัย 7 อย่างมาคำนวณ Hard Currency กลุ่มสกุลเงินที่มีความเสถียรสูงและมีการซื้อขายเยอะ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ, ยูโร, เยน, ปอนด์ เป็นต้น Inverted Yield Curve ภาวะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้น “มากกว่า” พันธบัตรรัฐบาลอายุยาว เนื่องจากคนแห่ไปถือพันธบัตรระยะยาวจนราคาสูงขึ้น ทำให้ผลตอบแทนต่ำลง มักเป็นสัญญาณเตือนก่อนเศรษฐกิจถดถอย Investment Grade ตราสารหนี้ที่ได้รับ Rating ระดับ BBB ขึ้นไป ถือว่าเป็นตราสารหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือสูง MSCI ดัชนีที่ทำโดยบริษัท Morgan Stanley Capital International เพื่อเป็นมาตรฐานให้กับนักลงทุน แบ่งเป็นหลายประเภท สำหรับหุ้นก็จะแบ่งเป็นกลุ่ม เช่น กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา กลุ่มเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น เป็นต้น Nasdaq ดัชนีที่คำนวณจากมูลค่าหุ้นในตลาด Nasdaq ซึ่งปัจจุบันมีหุ้นซื้อขายอยู่มากกว่า 3,000 ตัว NIKKEI225 ดัชนีที่คำนวณจากหุ้นขนาดใหญ่ 225 ตัวที่ซื้อขายใน Tokyo Stock Exchange Repo ย่อมาจาก Repurchase Agreement เป็นการกู้ยืมระยะสั้นโดยผู้กู้นำหลักทรัพย์รัฐบาลที่มีไปขายเพื่อแลกกับเงินสด และทำการซื้อคืนภายหลังโดยจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มให้ เป็นวิธีเพิ่มสภาพคล่องวิธีหนึ่ง S&P500 เรียกอีกชื่อว่า US500 เป็นดัชนีที่คำนวณจากหุ้นใหญ่ในสหรัฐฯ 500 ตัวจาก NYSE และ Nasdaq Safe Haven กลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัยที่มักมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อตลาดผันผวน เช่น ทอง, พันธบัตร, เงินฟรังก์สวิส เป็นต้น SET ดัชนีที่ใช้วัดมูลค่าของหุ้นไทยทั้งหมดในตลาด SET50 / SET100 ดัชนีที่ใช้วัดมูลค่าหุ้นไทยที่ใหญ่ที่สุดในตลาด 50 และ 100 ตัวแรกตามลำดับ Short Sell กลยุทธ์ในการเก็งกำไรขาลง โดยการยืมหุ้นมาขายก่อน โดยคาดหวังว่าจะซื้อกลับไปคืนได้ในราคาที่ต่ำกว่า Stoxx600 ดัชนีที่วัดมูลค่าของหุ้นบริษัทเล็กกลางใหญ่จำนวน 600 ตัวในกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป Subprime วิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ เมื่อปี 2008 เกิดจากคนกู้เงินมาซื้ออสังหาริมทรัพย์มากเกินไป และเมื่อฟองสบู่แตก จึงทำให้เกิดการผิดชำระหนี้ปริมาณมหาศาลตามมา USD/JPY อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐกับเงินเยน มีหน่วยเป็น “เยน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ” USD/THB อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐกับเงินบาท มีหน่วยเป็น “บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ” Valley Time ระยะเวลาที่ดัชนีใช้ในการปรับตัวจากจุดสูงสุดลงไปที่จุดต่ำสุด VIX ย่อมาจาก Volatility Index ให้วัดความผันผวนของตลาด โดยคำนวณจากการซื้อขายอนุพันธ์ ปกติอนุพันธ์จะถูกใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง ดังนั้นถ้ามีการซื้อขายมาก แสดงว่าตลาดกำลังผันผวน Yield ผลตอบแทนสุทธิเมื่อเทียบกับเงินที่ลงทุนไป มักใช้พูดถึงผลตอบแทนของตราสารหนี้
5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1660
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Index Fund และ MSCI Index
null
Index Fund คือ กองทุนดัชนี เป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่ประกอบกันได้แล้วเป็นดัชนี ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้หากลงทุนแล้วก็จะได้ผลที่ดีขึ้นไปตามอัตโนมัติ ส่วน MSCI Index หมายถึง ดัชนีอ้างอิงของบริษัท Morgan Stanley Capital International หรือ MSC บริษัททำดัชนีราคาหุ้นชั้นนำของโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเกณฑ์มาตรฐานให้นักลงทุนต่างประเทศได้คัดเลือกหุ้นและดูผลตอบแทน บทเรียนจากย่อหน้านี้ กองทุนดัชนี หรือ Index Fund คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นดัชนี หรือก็คือ กองทุนที่ลงทุนโดยพยายามเลียนแบบให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี จากความหมายข้างต้นนี้ แปลว่าถ้าเลือกสินทรัพย์หรือหุ้นเข้ามาประกอบเป็นดัชนีได้ดีแล้วเราลงทุนตามดัชนีนั้นไป ผลลัพธ์ของการลงทุนก็จะดีขึ้นตามไปโดยอัตโนมัติ จนมีนักลงทุนและสถาบันที่พยายามพัฒนาดัชนีใหม่ๆ จาก Condition ใหม่ๆ อยู่เสมอ ที่มีการพูดถึงกันเยอะ เช่น MSCI MSCI Index คืออะไร เป็นดัชนีอ้างอิงของบริษัท Morgan Stanley Capital International (MSCI) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำดัชนีราคาหุ้นชั้นนำของโลก มีขึ้นมาเพื่อเป็นเกณฑ์มาตรฐานให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ในการคัดเลือกหุ้นและดูผลตอบแทน โดยมีการแบ่งเป็นสินทรัพย์หลายประเภท เช่นหุ้น ก็จะแยกเป็นอเมริกา จีน ไทย หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว ยังไม่พัฒนา ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ตลาดเงิน เป็นต้น และมีเกณฑ์การคัดในมิติที่หลากหลาย เช่น สภาพคล่อง , Free Float , Market Cap พอได้เป็นดัชนีมาแล้ว กองทุนประเทศต่างๆ ก็มักจะลงทุนตามดัชนีเหล่านั้น เปรียบเหมือนว่ามีตัวกรองมาแล้วส่วนหนึ่ง จากนั้นจะจับจังหวะหรือซื้อขายตามดัชนีไปเลยก็ทำได้เช่นเดียวกัน
5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1661
Finance
การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่จาก 0.5% เป็น 10 อันดับแรก ส่งผลดีต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ลดความโปร่งใสของตลาด: การเปิดเผยข้อมูลน้อยลงทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของบริษัทได้ยากขึ้น ส่งผลเสียต่อการตัดสินใจลงทุน จำกัดการเข้าถึงข้อมูล: ข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุนในการวิเคราะห์กลยุทธ์และแนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ การจำกัดการเข้าถึงข้อมูลอาจสร้างช่องว่างระหว่างนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อย ลดประสิทธิภาพของตลาด: ตลาดที่มีประสิทธิภาพควรมีข้อมูลที่สมบูรณ์และเท่าเทียม การจำกัดข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพของตลาด ขัดขวางการวิเคราะห์: ข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ถูกใช้วิเคราะห์พฤติกรรมการลงทุน โครงสร้างการถือครองหุ้น และความเสี่ยงของบริษัท การจำกัดข้อมูลจำกัดการวิเคราะห์เหล่านี้ เพิ่มความเสี่ยง: การขาดข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทำให้การวิเคราะห์ความเสี่ยงของบริษัทมีประสิทธิภาพน้อยลง ส่งผลให้นักลงทุนต้องเผชิญความเสี่ยงที่มากขึ้น ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล: การเปิดเผยข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญของธรรมาภิบาล การจำกัดข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ขัดต่อหลักการนี้ ข้อโต้แย้ง: - การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล: ผู้ถือหุ้นรายใหญ่บางรายอาจไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว - ภาระต้นทุน: การเปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่เพิ่มภาระต้นทุนให้กับบริษัทจดทะเบียน การตอบโต้ข้อโต้แย้ง: - ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถจัดทำระบบเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล - ภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสามารถชดเชยได้ด้วยประโยชน์ที่ได้รับจากการเปิดเผยข้อมูล สรุป: การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ส่งผลเสียต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ มากกว่าผลดี
5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1663
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ ดัชนี และ ดัชนี SET
null
ดัชนี หมายถึง เครื่องมือที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่เราต้องการจะติดตาม ซึ่งผลที่ได้นั้นมาจากการคำนวณทางสถิติ ถ้ามองในเชิงการเงิน ก็จะเป็นดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั่นก็คือ เครื่องมือบ่งชี้ระดับราคาและแนวโน้มของตลาดหุ้น ที่เรียกว่า ดัชนีราคาหุ้น นั่นเอง ส่วนดัชนี SET หมายถึง ดัชนีที่สะท้อนราคาหุ้นทุกตัวที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากการเปรียบเทียบมูลค่าตลาด ณ ปัจจุบัน กับมูลค่าตลาดในวันฐาน (วันที่ 30 เมษายน 2518) ได้ผลลัพธ์เป็นการถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด บทเรียนจากย่อหน้านี้ ดัชนี คืออะไร? - ดัชนีเป็นเครื่องมือชี้วัดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่ต้องการติดตาม ซึ่งได้มาจากการคำนวณทางสถิติ ในภาคเศรษฐกิจก็จะมีดัชนีที่เป็นที่รู้จักกันอย่างเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เป็นต้น - ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ฯ คือดัชนีราคาหุ้น ซึ่งเป็นเครื่องมือบ่งชี้ระดับราคาและแนวโน้มของตลาดหุ้น ดัชนี SET - ดัชนี SET คือดัชนีที่สะท้อนราคาหุ้นทุกตัวที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย - ได้มาจากการถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด ด้วยการเปรียบเทียบมูลค่าตลาด ณ ปัจจุบัน กับมูลค่าตลาดในวันฐาน ซึ่งก็คือวันที่ 30 เมษายน 2518 ซึ่งค่าดัชนีตอนนั้นเริ่มต้นที่ 100 จุด
5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1674
Finance
หากพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง บริษัทด้านการลงทุนด้านกองทุนอีทีเอฟแนว Old Power Values กับ New Power Values จะพบความแตกต่างอย่างไรบ้าง
null
หากพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง บริษัทด้านการลงทุนด้านกองทุนอีทีเอฟแนว Old Power Values กับ New Power Values จะพบความแตกต่าง ดังนี้ 1. บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านกองทุนรวมเจ้าเดิม ๆ นั้น จะมีระบบการบริหารจัดการแบบเป็นทางการ รวมถึงคนทำงานที่รู้จริงในรายละเอียดของเรื่องราวการลงทุนต่าง ๆ ก็ยังอยู่ภายใต้คำสั่งหรือกรอบของหน่วยงานหรือสถาบันที่ตนสังกัดอยู่ ในขณะที่ ARK มีการกำกับแบบที่เป็นเครือข่าย นั่นคือ ผู้จัดการกองทุนหรือนักวิเคราะห์คนใดของ ARK เมื่อเห็นโอกาสการลงทุนในสาขาที่ตนถนัด ก็เพียงแค่ไปคุยกับแคธี่ วู้ด เพื่อการตัดสินใจครั้งสุดท้าย จากนั้นก็เดินหน้าลงทุนได้เลย 2. บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนในอดีต มักชอบที่จะให้นักวิเคราะห์หรือผู้จัดการกองทุนในบริษัทแข่งขันกันเองเพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีที่สุด รวมถึงมีการกั๊กทรัพยากรระหว่างพนักงานด้วยกัน หรือแม้กระทั่งเล่นการเมืองแบบลับ ๆ ระหว่างเจ้านายที่เริ่มไม่มั่นใจในความสามารถของตนเองกับลูกน้องที่มีศักยภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ หรือที่เรียกว่าสกัดดาวรุ่ง ในขณะที่ ARK เน้นให้เกิดความร่วมมือและแชร์ข้อมูลกับบทวิเคราะห์ระหว่างพนักงานด้วยกันเอง โดยการที่ ARK สามารถทำได้ดีในจุดนี้นั้น หนึ่งในเหตุผลคือ จำนวนบุคลากรในทีมการลงทุนของ ARK ยังค่อนข้างน้อยอยู่ โดยที่แต่ละคนจะรับผิดชอบ Product ของตนเอง โดยที่ไม่ไปเกี่ยวข้องหรือแข่งขันกับท่านอื่น รวมถึงแคธี่ วู้ดเองก็ดูแลลูกน้องทุกคนได้แบบค่อนข้างเข้าถึงตัวได้โดยตรง 3. บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนเจ้าเดิม ๆ มักจะชอบมีความลับด้านการลงทุน หวงสูตรการลงทุนที่ตนเองมี และมีการแบ่งแยกระหว่างโลกส่วนตัวของบริษัทกับโลกที่เปิดเผยให้กับสาธารณชน ในขณะที่ ARK นั้น หุ้นทุกตัวที่แคธี วู้ด เข้าลงทุน จะได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนในวันถัดไป โดยที่ไม่เสียเปรียบต่อคู่แข่ง เนื่องจากมีหุ้นหลายตัวที่ ARK ถือเยอะจนบริษัทอื่นซื้อแทบไม่ได้ รวมถึง ARK เองก็เน้นการขายออกค่อนข้างบ่อยระดับหนึ่ง ซึ่งทำให้กลยุทธ์การเลียนแบบ ARK ก็ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มเท่าที่ควรต่อคู่แข่ง 4. บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนในอดีต มักจะชอบให้ตนเองมีความชำนาญแบบมืออาชีพ โดยที่เน้นความรู้ที่เป็นเฉพาะด้าน ในขณะที่ ARK เน้นไปหาหุ้นใหม่ ๆ จากเทคโนโลยีในสาขาที่ยังไม่นิ่งซึ่งยังต้องการวัฒนธรรมที่กล้าลองของใหม่ จึงเหมือนเป็นการไม่ยึดติดกับความรู้ที่เป็นเฉพาะด้าน ซึ่งจะไม่ได้มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดอีกต่อไปแล้ว 5. สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนเจ้าเดิม ๆ นั้น ผู้บริหารชอบให้ลูกค้ามีความจงรักภักดีในความเก่งของตนเองแบบนาน ๆ โดยที่ไม่ได้ให้ลูกน้องมีส่วนร่วมมากเท่าไหร่นัก ส่วน ARK เน้นให้ลูกค้าใช้บริการผลิตภัณฑ์ที่โดนใจในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่นของตนเองเมื่อมีความฮ๊อตมากกว่า รวมถึงบรรดาลูกน้องของแคธี วู้ดต่างมีส่วนร่วมต่อการลงทุนจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อยู่ในบริษัทและในโลกออนไลน์
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1676
Finance
บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) (SISB TB) ตั้งแต่ปี 2001 -2020 โดยสรุปเป็นอย่างไร
คุณเคลวิน โคห์ (Kelvin Koh Yew Hock) เติบโตที่สิงคโปร์ เขาจะตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อช่วยแม่เปิดร้านอาหารก่อนจะเตรียมตัวไปโรงเรียน การเล่นกีฬาต่าง ๆ และคุณแม่ของคุณเคลวินนั้นสอนให้เขารู้จักความพากเพียร เป็นความพากเพียรนี้เองที่ทำให้เขาอยู่เมืองไทยและสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมา แม้ว่าตอนเขามาถึงเมืองไทย จะเป็นช่วงเวลาไม่นานก่อนการรัฐประหารก็ตาม คุณเคลวินบอกว่า ความพากเพียรคือส่วนหนึ่งของ DNA ของเขา คุณจะต้องรู้แน่ชัดว่าตัวเองต้องการอะไร ต้องทำอย่างไรถึงจะต่อยอดสิ่งนั้น ๆ ได้ และห้ามหยุดเรียนรู้เด็ดขาด บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) (SISB TB) ก่อตั้งขึ้นในปี 2001 แรกเริ่มบริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2018 และย้ายไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ณ วันที่ 23 เมษายน 2019 SISB คือเจ้าของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย โดยอ้างอิงหลักสูตรการเรียนการสอนจากสิงคโปร์ซึ่งเน้นความเชี่ยวชาญในด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มีการสอนแบบ 3 ภาษาคืออังกฤษ ไทย และจีน ตั้งแต่ก่อตั้งมา SISB ได้ขยายเป็น 5 สาขา มอบการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นก่อนเข้าอนุบาล ไปจนถึงเกรด 12 (ม.6) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2020 โรงเรียนมีจำนวนนักเรียนทั้งหมด 2,638 คน
บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) (SISB TB) ก่อตั้งขึ้นในปี 2001 แรกเริ่มบริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2018 และย้ายไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ณ วันที่ 23 เมษายน 2019 SISB คือเจ้าของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย โดยอ้างอิงหลักสูตรการเรียนการสอนจากสิงคโปร์ซึ่งเน้นความเชี่ยวชาญในด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มีการสอนแบบ 3 ภาษาคืออังกฤษ ไทย และจีน ตั้งแต่ก่อตั้งมา SISB ได้ขยายเป็น 5 สาขา มอบการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นก่อนเข้าอนุบาล ไปจนถึงเกรด 12 (ม.6) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2020 โรงเรียนมีจำนวนนักเรียนทั้งหมด 2,638 คน
6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1677
Finance
ใครถูกขนานนามว่า บิดาแห่งการลงทุนตามแนวโน้ม (Trend following) ระหว่าง Richard Davoud Donchian หรือ Richard Dennis
null
Richard Davoud Donchian เพราะ Richard Davoud Donchian เป็นนักเก็งกำไรชาวอเมริกันเชื้อสายอาร์เมเนียที่ลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และ สัญญาฟิวเจอร์ โดยเขาเกิดเมื่อปี 1905 จนถึงแก่กรรมเมื่อปี 1933 เนื่องด้วยผลงานมีมากมายจนได้เป็นที่ยอมรับกันใน Wall Street และถูกขนานนามว่า บิดาแห่งการลงทุนตามแนวโน้ม (Trend following) อีกด้วย ระบบช่องราคาของดอนเชี่ยน หรือ Donchian Channel ซึ่งตัวระบบนั้นถูกคิดค้นราวปี 1970 โดยจะอาศัยหลักการแบบ Trend following ( การเล่นหุ้นโดยตั้งสมมติฐานว่า ราคาของหุ้นจะเคลื่อนที่ไปตามแนวโน้มหลักของมันจนกว่าแนวโน้มหลักของมันได้เปลี่ยนแปลงไป) จะประกอบไปด้วยสองส่วนหลักๆ คือกรอบด้านบนที่ถูกคำนวณจากจุดสูงสุดของราคาย้อนหลังไปเป็นจำนวน n วัน ส่วนกรอบด้านล่างจะคำนาณจากจุดต่ำสุดของราคาย้อยหลังไปเป็นจำนวน n วัน โดยใช้ค่า n ตามกฎ 4 สัปดาห์ หรือ 4 weeks rule (20 วัน) ที่คุณ Donchian ใช้ในตลาดฟิวเจอร์ เพื่อเป็นกำหนดแนวโน้มหรือแนวรับแนวต้านที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ส่วน Richard Dennis เป็นนักเก็งกำไรชื่อดังในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และเป็นหนึ่งผู้ให้กำเนิดกลุ่ม Turtle Trading System ร่วมกับ Bill Eckhardt เพื่อทำการทดสอบว่าการลงทุนนั้นสามารถถ่ายทอดให้กันได้หรือไม่ โดยทำการเปิดรับสมัครผู้คนที่มีความสนใจเข้ามาสัมภาษณ์ผ่านทางหนังสือพิมพ์ Wall Street
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1678
Finance
การซื้อหุ้นตามกูรูในช่วงตลาดขาขึ้น โดยไม่วิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเอง เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดหรือไม่?
null
ไม่ใช่ เหตุผล: ความน่าเชื่อถือของกูรู: กูรูแต่ละคนมีความรู้และประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แหล่งที่มาของข้อมูล ความน่าเชื่อถือ และความแม่นยำของการวิเคราะห์ก็แตกต่างกันไป การติดตามกูรูโดยไม่กลั่นกรองข้อมูล อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด ความเสี่ยง: ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง การซื้อหุ้นตามกูรูโดยไม่วิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเอง โดยเฉพาะในช่วงตลาดขาขึ้น อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนได้ กลยุทธ์การลงทุน: กลยุทธ์การลงทุนของกูรูอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทุกคน นักลงทุนควรมีกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การวิเคราะห์ข้อมูล: การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเอง ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจธุรกิจ ความเสี่ยง และศักยภาพของหุ้น การพึ่งพาตนเอง: การพึ่งพาตนเอง ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด โดยไม่ต้องพึ่งพากูรูหรือบุคคลอื่น ตัวอย่าง: - กูรู A แนะนำให้ซื้อหุ้น X โดยอ้างว่าราคาหุ้นจะขึ้น แต่กูรู B วิเคราะห์แล้วพบว่า หุ้น X มีปัญหาทางการเงิน - กูรู C แนะนำให้ซื้อหุ้น Y โดยอ้างว่า หุ้น Y มีศักยภาพการเติบโตสูง แต่กูรู D วิเคราะห์แล้วพบว่า หุ้น Y มีคู่แข่งที่แข็งแกร่ง สรุป: การซื้อหุ้นตามกูรูโดยไม่วิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเองเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ และตัดสินใจด้วยตัวเอง เพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุน
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1679
Finance
ช่วยสรุปบทความ รีวิวกองทุน K-EUSMALL: โอกาสเติบโตผ่านหุ้นมูลค่าท่ามกลางความผันผวนของหุ้นเติบโต
สรุปปรัชญากลยุทธ์การลงทุนของกองทุนแบบเข้าใจง่าย ๆ ปรัชญาการลงทุนหลักที่กองทุนแม่อย่าง Invesco Continental European Small Cap Equity Fund (C-Acc Shares) ใช้ในการเลือกหุ้น เน้นการลงทุนแบบเน้นมูลค่า (การลงทุนแบบเน้นความปลอดภัยของเงินทุน และเน้นสร้างการเติบโตในระยะยาวเป็นหลัก) จัดการแบบมุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนให้เหนือค่าเฉลี่ยหรือที่เราเรียกกันว่าการจัดการแบบ Active หลีกเลี่ยงการลงทุนตามกระแสหลักและมุมมองของคนส่วนใหญ่ โดยทีมการลงทุนจะเน้นไปที่การหาโอกาสจากความไม่แน่นอนของตลาดและอาศัยจังหวะที่ราคาหุ้นลดลงต่ำกว่ามูลค่าเนื้อแท้เพื่อเข้าลงทุน คัดเลือกหุ้นจากพื้นฐานหลักใช้การขุดเจาะลึกถึงเนื้อแท้หรือหากจะให้คุ้นหูก็คือการวิเคราะห์แบบ Bottom-up เน้นสร้างการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว ไม่หวั่นไหวไปกับความผันผวนในระยะสั้น ๆ ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กในยุโรป (ไม่รวมอังกฤษ) ซึ่งจุดเด่นของหุ้นเล็กก็คือมีพื้นที่เติบโตได้มาก แต่ก็ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจธุรกิจ และวิเคราะห์ความปลอดภัยผ่านงบการเงินของบริษัทด้วยเช่นกัน กองทุนยังมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพื่อเน้นการเติบโตภายใต้การวิเคราะห์มูลค่าที่ สมเหตุสมผลและเหมาะสม ทำไมถึงต้องลงทุนแบบเน้นมูลค่าในตอนนี้ ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเริ่มชัดเจนมากขึ้น จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่ใช่แค่ในยุโรป รวมถึงประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยตัวเลขฟื้นตัวกันแบบยกแผงไม่ว่าจะเป็นดัชนี CPI หรือ PMI ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและเข้มแข็งเช่นเดียวกันสะท้อนการมาของเงินเฟ้อและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในช่วงล่าสุดการลงทุนในธีมวัฎจักรหรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มีผลตอบแทนตามหลังหุ้นสุดร้อนแรงอย่างหุ้นเทคโนโลยี มีการปรับตัวอย่างร้อนแรงโดยดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นถึง รวมไปถึงหุ้นกลุ่มน้ำมัน ชี้ภาพชัดถึงกลุ่มหุ้นอสังหา หุ้นขายสินค้าแบบบ้าน ๆ และหุ้นปันผลสูงที่กำลังรอวันฟื้น และปรับตัวในภายภาคหน้า กลุ่มหุ้นที่เป็นหุ้นปันผลสูง หุ้นขายสินค้าบ้าน ๆ สินค้าอุตสาหกรรมแบบยุคเก่าอาจปรับตัวขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้นเช่นกัน หุ้นกลุ่มการเงินอาจได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นในอนาคตอีกไกล ๆ ไปพร้อม ๆ กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นจังหวะจึงอาจเป็นจังหวะพอเหมาพอเจาะ เริ่มลงทุนก่อนตลาดจะให้ราคากับอนาคตไปอีกไกลแสนไกล มีความปลอดภัยในช่วงนี้มากกว่าหุ้นเทคโนโลยี จากจุดเข้าซื้อที่ดีกว่า และมูลค่าที่ต่ำกว่า
ปรัชญาการลงทุนหลักที่กองทุนแม่อย่าง Invesco Continental European Small Cap Equity Fund (C-Acc Shares) ใช้ในการเลือกหุ้น -เน้นมูลค่าและความปลอดภัยของเงินทุนในระยะยาว -ใช้การจัดการแบบ Active Management เพื่อเติบโตเหนือค่าเฉลี่ย -หลีกเลี่ยงการตามกระแสหลัก และเน้นโอกาสจากความไม่แน่นอนของตลาด -คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up โดยขุดเจาะลึกถึงเนื้อแท้ที่แท้จริง -ไม่กลัวความผันผวนในระยะสั้น ๆ และเน้นการเติบโตในระยะยาว -ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กในยุโรป (ไม่รวมอังกฤษ) ด้วยความเข้าใจธุรกิจและวิเคราะห์ความปลอดภัยผ่านงบการเงิน -มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพื่อเน้นการเติบโต -สมเหตุและเหมาะสมในการลงทุน ทำไมถึงต้องลงทุนแบบเน้นมูลค่าในตอนนี้ -เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวชัดเจน ในทุกประเทศทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นดัชนี CPI หรือ PMI ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและเข้มแข็งเ เกิดเงินเฟ้อและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ -การลงทุนในธีมวัฎจักรหรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มีผลตอบแทนตามหลังหุ้นเทคโนโลยี โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นถึง รวมไปถึงหุ้นกลุ่มน้ำมัน กลุ่มหุ้นอสังหา หุ้นขายสินค้าแบบบ้าน ๆ และหุ้นปันผลสูง -กลุ่มหุ้นที่เป็นหุ้นปันผลสูง หุ้นขายสินค้าบ้าน ๆ สินค้าอุตสาหกรรมแบบยุคเก่า มีการปรับตัวจากการฟื้นของเศรษฐกิจ -หุ้นกลุ่มการเงินอาจได้ประโยชน์จากการปรับดอกเบี้ยในอนาคต ตอนนี้จึงเหมาะที่จะเริ่มลงทุนก่อนตลาดจะให้ราคาสูงในอนาคต -หุ้นเทคโนโลยี ปลอดภัยในการเข้าซื้อ เพราะจุดเข้าซื้อดีกว่า และมูลค่าที่ต่ำกว่า
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_168
Finance
เขียนกลอนแปดเกี่ยวกับเทคนิคจัดพอร์ตง่ายๆ สำหรับนักลงทุนมือใหม่
null
"สี่ขั้นตอนจัดพอร์ตแบบง่ายง่าย แสนสบายให้มือใหม่ลงทุน เผื่อวันข้างหน้าจะมีเงินหมุน ให้ลงทุนสบายไม่มีเบื่อ เริ่มด้วยการนำเงินสักก้อนหนึ่ง แล้วค่อยจึงสำรองเก็บไว้เผื่อ ฉุกเฉินไว้เมื่อเกิดภัยรถเรือ สำรองเพื่อตัวเราให้ปลอดภัย ต่อมาต้องมีเป้าหมายจัดพอร์ต ถามตลอดว่าจัดเพื่ออะไร ถามตัวเองให้ได้เพื่อเข้าใจ และมีไว้ลงทุนตรงเป้าหมาย แล้วมาแบ่งเกี่ยวกับสัดส่วนเงิน ถ้าเสี่ยงเกินเรานั้นอาจจะตาย เงินที่ได้ไม่ถึงตามที่หมาย ทั้งหญิงชายกันไว้จะดีกว่า สุดท้ายนี้ก็ติดตามข่าวสาร เกี่ยวกับการลงทุนให้ดีหนา ทุกทุกข่าวต้องตามทุกเวลา เพราะอาจมาเกี่ยวข้องการลงทุน" สรุปจากกลอนแปด เมื่อพูดถึงคำว่า “พอร์ตการลงทุน” หลายๆ คนคงจะนึกถึงกราฟรูปวงกลมที่แบ่งเงินเป็นส่วนๆ เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เราควรจัดพอร์ตยังไงที่ทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเรามากที่สุด ​​มีเทคนิคจัดพอร์ต 4 ขั้นตอนด้วยกัน ​Step 1 จัดพอร์ตให้ดี อย่าลืมกันเงินเผื่อฉุกเฉิน ​ ​ ก่อนจะนำเงินลงทุนไปจัดพอร์ต ควรกัน “เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน” ไว้สักก้อนหนึ่ง ทำไมถึงต้องมีเงินสำรองเก็บไว้ ก็เพราะว่าถ้าเราจำเป็นต้องใช้เงิน เช่น เจ็บป่วย ซ่อมรถ ซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ แต่เราเอาเงินทั้งหมดไปลงทุน เราอาจต้องขายสินทรัพย์ที่เราลงทุนไว้เพื่อเอาเงินมาใช้จ่าย เช่น ขายหุ้น ถ้าเป็นช่วงหุ้นขาลง เราอาจต้องขายแบบขาดทุน ทำให้กระทบกับแผนลงทุนที่เราตั้งใจไว้ก็ได้ โดยเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินนี้ ควรมีสัก 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน สามารถเก็บในเงินฝากออมทรัพย์ หรือกองทุนรวมความเสี่ยงต่ำอย่างกองทุนรวมตลาดเงิน เมื่อต้องใช้เงินจะได้เอามาใช้จ่ายได้ทันที ​Step 2 เข้าใจตัวเองก่อนว่าจัดพอร์ตเพื่ออะไร ​ ​ จริงๆ แล้วการลงทุนไม่จำเป็นต้องจัดพอร์ตเสมอไป ถ้าเราไม่อยากรับความเสี่ยง คิดว่าฝากเงินอย่างเดียวก็บรรลุเป้าหมายได้ หรือต้องการผลตอบแทนไม่สูงมากประมาณ 1.5%-3% ต่อปี ก็สามารถออมในเงินฝากประจำปลอดภาษี 24 หรือ 36 เดือน หรือเลือกเป็นกองทุนรวมตลาดเงินก็ได้ เช่น เก็บเงินไปเที่ยวในอีก 1 ปี ใช้เงิน 24,000 บาท ก็สามารถเก็บออมในบัญชีเงินฝากหรือกองทุนรวมตลาดเงินเดือนละ 2,000 บาท โดยไม่ต้องแบ่งเงินไปลงทุนในหุ้น แต่ถ้าอยากได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ก็ต้องมาจัดพอร์ตกัน โดยพอร์ตของเราหน้าตาจะเป็นยังไง ก็ขึ้นอยู่กับ “ความสำคัญ” และ “ระยะเวลา” ของเป้าหมาย เช่น เก็บเงินเป็นค่าเรียนของลูกในอีก 10 ปี ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ แต่มีระยะเวลาออมนาน ก็พอจะแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น หรือกองทุนรวมหุ้น สัก 30-50% ของเงินลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น ที่เหลือก็ลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝาก แต่ถ้าเป็นเป้าหมายระยะยาว อย่างแผนเกษียณ มีเวลาเก็บออมเป็นสิบๆ ปี แบบนี้มีสัดส่วนของหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้นมากหน่อยเกินครึ่งหนึ่งของพอร์ตก็สามารถทำได้ ​Step 3 จัดพอร์ตทั้งที ต้องแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนให้เหมาะ ​ ​ สำหรับเป้าหมายลงทุนทั่วไปที่ไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องความสำคัญของเป้าหมายหรือระยะเวลา การจัดพอร์ตให้ดีควรพิจารณา “ความเสี่ยงที่ยอมรับได้” ​Step 4 ติดตามข่าวสาร ปรับพอร์ตลงทุนให้ทันสถานการณ์ ​ ​ เมื่อเลือกได้แล้วว่าเราควรจัดสรรเงินลงทุนของตัวเองยังไง สิ่งที่เราควรทำเพิ่มเติมก็คือ กำหนดกรอบการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท เช่น รับความเสี่ยงได้สูง มีสัดส่วนหุ้นไทย 40% และกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยให้อยู่ในช่วง ±10% ดังนั้น ถ้าหุ้นขึ้นจนทำให้หุ้นไทยในพอร์ตมีสัดส่วนสูงเกิน 50% (40% + 10%) ก็ควรขายหุ้นส่วนเกินออกไปให้สัดส่วนหุ้นไทยกลับมาอยู่ที่ 40% แล้วนำเงินที่ได้ไปลงทุนในตราสารหนี้แทน หรือในทางกลับกัน ถ้าหุ้นตกจนทำให้หุ้นไทยในพอร์ตมีสัดส่วนต่ำกว่า 30% (40% - 10%) ก็ต้องนำเงินไปซื้อหุ้นเพิ่ม อาจเป็นเงินทุนก้อนใหม่หรือขายตราสารหนี้ในพอร์ตมาซื้อก็ได้ นอกจากนี้ หมั่นติดตามข่าวสารอยู่เสมอ ทั้งข่าวเศรษฐกิจ การเมือง ในและต่างประเทศ เพื่อปรับพอร์ตลงทุนของเราให้สอดคล้องกับสภาวะการลงทุน เช่น เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว ตลาดหุ้นสหรัฐก็มีแนวโน้มสดใส เราก็สามารถนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น เป็นต้น
5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_1680
Finance
ช่วยสรุปบทความ รีวิวกองทุน PRINCIPAL GHEALTH-A: ลงทุนครอบคลุมทุกภาคส่วนของ Health Care รับแรงหนุนจากเทคโนโลยี
กองทุน PRINCIPAL GHEALTH-A เพิ่ง IPO ไปเมื่อวันที่ 27 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2021 เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นนวัตกรรมสุขภาพโดยเฉพาะ กองทุนมีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนต่างประเทศ หรือ ETF ไม่เกินกว่า 80% ของมูลค่า NAV รวม กองทุนหลักที่ไปลงทุนในตอนนี้ก็มีอยู่ 2 กอง คือ Baillie Gifford Worldwide Health Innovation Fund ที่ 52.27% และ Credit Suisse (Lux) Digital Health Equity Fund ที่ 34.86% (ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2021) มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และมีค่าความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 7 (เสี่ยงสูง) เพราะลงทุนเจาะกลุ่ม Health Care โดยเฉพาะ สิ่งที่น่าสนใจของทีมงาน Baillie Gifford และ Credit Suisse คือการใช้คนที่จบจากหลาย ๆ สาขามาฟอร์มทีมกัน ไม่ได้มีแค่คนจบการเงินหรือเศรษฐศาสตร์ แต่จะมีคนที่จบเฉพาะสาขาด้วย เช่น แพทย์ ชีวเคมี ฯลฯ ซึ่งคนกลุ่มนี้แหละที่จะช่วยให้ทีมงานเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะลงทุนมากขึ้น ถือเป็นจุดเด่นของสองกองนี้ ซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงบริษัทได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นด้วย ในฝั่งของ Baillie Gifford นั้นทุ่มเทมากกับการสร้าง Connection กับบรรดาโรงเรียนแพทย์ แหล่งวิจัย และบริษัทไบโอเทคใหม่ ๆ เพื่อหา Insight เกี่ยวกับอุตสาหกรรม ซึ่งการเข้าไปสร้างเครือข่ายตั้งแต่ต้น ๆ ตั้งแต่ก่อนที่บริษัทจะเติบโตนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้อง แม้ตอนนี้จะยังเพิ่งเริ่มต้น โตไม่มาก (บางแห่งขาดทุน) แต่ถ้าเข้าไปอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วเลือกได้ถูกที่ ก็จะมีโอกาสเติบโตในอนาคตได้สูง จุดเด่นของกองทุน PRINCIPAL GHEALTH-A 1. ลงทุนครอบคลุมต้นน้ำยันปลายน้ำของอุตสาหกรรม: คือมีหุ้นของบริษัทที่ครอบคลุม 1-5 ของ Value Chain ในอุตสาหกรรม Health Care ที่ได้อธิบายถึงก่อนหน้านี้ ซื้อกองนี้เหมือนได้ซื้ออุตสาหกรรม Health Care แบบเต็มรูปแบบ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง 2. มีฐานลูกค้าทั้งแบบสุขภาพไม่แข็งแรงและแข็งแรง: แข็งแรงหรือไม่แข็งแรงในทีนี้หมายถึงสุขภาพของคน เราอาจจะคิดว่ามีแต่ลูกค้าที่เป็นผู้ป่วยเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วอีกกลุ่มลูกค้าที่สำคัญก็คือลูกค้าที่แข็งแรงดีอยู่แล้ว ใส่ใจในสุขภาพ และต้องการป้องกันตัวเองให้ห่างภัยจากโรคร้าย 3. ผลการดำเนินงานกองหลักโดดเด่น มีโอกาสเติบโตสูง: จากในอดีต ผลการดำเนินงานของกองทุนต่างประเทศทั้ง 2 กองสามารถเอาชนะดัชนีชี้วัดได้อย่างมีนัย นอกจากนี้ยังรับโอกาสเติบโตสูงจากอุตสาหกรรมการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นภาคส่วนโทรเวชกรรม การถอดรหัสดีเอ็นเอ หรือวัคซีนรักษามะเร็ง
กองทุน PRINCIPAL GHEALTH-A IPO เมื่อ 27 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2021 ลงทุนในหุ้นนวัตกรรมสุขภาพ 80% ในหน่วยลงทุนต่างประเทศหรือ ETF กองทุนหลักคือ Baillie Gifford Worldwide Health Innovation Fund 52.27% และ Credit Suisse (Lux) Digital Health Equity Fund 34.86% มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลยพินิจ ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในกลุ่ม Health Care โดยเฉพาะ ทีมงาน Baillie Gifford และ Credit Suisse มีคนที่มีประสบการณ์ที่หลากหลาย ไม่ได้จบจากสาขาการเงินหรือเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่รวมทั้งแพทย์ ชีวเคมี ฯลฯ เป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้ทีมเข้าใจและลงทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จุดเด่นนี้เป็นประการสำคัญที่ช่วยให้ทีมสามารถเข้าถึงบริษัทตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดย Baillie Gifford ยังทุ่มเทสร้างความเชื่อมโยงกับโรงเรียนแพทย์ แหล่งวิจัย และบริษัทไบโอเทคใหม่เพื่อเพิ่มความเข้าใจในอุตสาหกรรม ถึงแม้ตอนนี้ยังเป็นระยะเริ่มต้นและบางที่ยังขาดทุน แต่ถ้าเลือกทางถูก มีโอกาสเติบโตในอนาคตได้สูง จุดเด่นของกองทุน PRINCIPAL GHEALTH-A 1. ครอบคลุมทั้ง Value Chain ในอุตสาหกรรม Health Care ไม่จำกัดเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง 2. มีฐานลูกค้าทั้งแบบสุขภาพไม่แข็งแรงและแข็งแรง คือ เราคิดว่าจะมีแต่ลูกค้าที่เป็นผู้ป่วยเท่านั้น แต่มีกลุ่มลูกค้าที่สำคัญอีกคือ กลุ่มแข็งแรงดีอยู่ ใส่ใจในสุขภาพ ป้องกันตัวเองให้ห่างจากโรค 3. ผลการดำเนินงานของกองหลักโดดเด่นและมีโอกาสเติบโตสูง มีการเอาชนะดัชนีชี้วัดต่าง ๆ ได้อย่างดี และรับโอกาสเติบโตสูงจากอุตสาหกรรมการแพทย์
4.เครื่องมือทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,7.การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1681
Finance
จงสรุปเรื่องของ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ให้หน่อยค่ะ
FINNOMENA · Holy Grail Podcast EP.6: ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ทำไมลงทุนทั้งทีต้องรู้ให้ถึงแก่น “รายการที่จะพาทุกคนไปเจาะลึก กับปรัชญา แนวคิดของนักลงทุนระดับ World Class” “รายการที่จะพาทุกคนไปเจาะลึก กับปรัชญา แนวคิดของนักลงทุนระดับ World Class” หัวข้อ 1:00 ประวัติคร่าว ๆ เกี่ยวกับ Philip Fisher 1:55 แนวคิดและกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจของ Philip Fisher 2:50 Scuttlebutt คืออะไร? ใช้อย่างไร 9:46 บทสรุปและการปรับใช้ Scuttlebutt ประวัติคร่าว ๆ เกี่ยวกับ Phillip Fisher Phillip Fisher เกิดในปี 1907 ในซานฟรานซิสโก และมีเส้นทางอาชีพเกี่ยวกับลงทุนถึง 74 ปี โดยเริ่มจากการเข้าเรียนธุรกิจใน Stanford ซึ่งในตอนนั้นเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน แต่เขาก็ได้ลาออกมาและทำงานเป็นนักวิเคราะห์ที่ Anglo London Bank, San Francisco Phillip Fisher เกิดในปี 1907 ในซานฟรานซิสโก และมีเส้นทางอาชีพเกี่ยวกับลงทุนถึง 74 ปี โดยเริ่มจากการเข้าเรียนธุรกิจใน Stanford ซึ่งในตอนนั้นเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน แต่เขาก็ได้ลาออกมาและทำงานเป็นนักวิเคราะห์ที่ Anglo London Bank, San Francisco และก่อตั้งบริษัทอย่าง Fisher & Company ด้วยตนเอง มีการลงทุนที่โดดเด่นอย่างการลงทุนใน Motorola ที่สามารถเปลี่ยนเงิน 1,000 ดอลลาร์ ให้กลายเป็น 1,993,846 ดอลลาร์ และก่อตั้งบริษัทอย่าง Fisher & Company ด้วยตนเอง มีการลงทุนที่โดดเด่นอย่างการลงทุนใน Motorola ที่สามารถเปลี่ยนเงิน 1,000 ดอลลาร์ ให้กลายเป็น 1,993,846 ดอลลาร์ Scuttlebutt Scuttlebutt หากแปลเป็นไทยอาจหมายถึงการซุปซิปต่าง ๆ หรือข่าวลือ โดยมีรากศัพท์มาจากวงการล่องเรือ ซึ่ง butt หมายถึง cask นั้นเปรียบเหมือนวัสดุที่ใช้กักเก็บน้ำ อาจจะทำมาจากไม้ เหล็กหรือพลาสติก ถ้านึกภาพง่าย ๆ ก็เหมือนถังหมักเบียร์ Scuttlebutt หากแปลเป็นไทยอาจหมายถึงการซุปซิปต่าง ๆ หรือข่าวลือ โดยมีรากศัพท์มาจากวงการล่องเรือ ซึ่ง butt หมายถึง cask นั้นเปรียบเหมือนวัสดุที่ใช้กักเก็บน้ำ อาจจะทำมาจากไม้ เหล็กหรือพลาสติก ถ้านึกภาพง่าย ๆ ก็เหมือนถังหมักเบียร์ แต่ก่อนนักล่องเรือจะเริ่มพูดคุยเม้ามอย ซุปซิปกันเวลาไปดื่มน้ำตรงที่เก็บน้ำดังกล่าว จนเป็นที่มาของคำว่า “Scuttlebutt” แต่ก่อนนักล่องเรือจะเริ่มพูดคุยเม้ามอย ซุปซิปกันเวลาไปดื่มน้ำตรงที่เก็บน้ำดังกล่าว จนเป็นที่มาของคำว่า “Scuttlebutt” Scuttlebutt ในความหมายของ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ นั้นหมายถึงกระบวนการสืบค้น เจาะลึกบริษัทผ่านสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนั้น ๆ เช่น ลูกค้า ร้านค้า สถานที่ค้าขาย คู่แข่งและพนักงานของบริษัท ซึ่งเป็นการศึกษาวิจัยแบบโดยตรง ซึ่งเหนือกว่าการอ่านข้อมูลจากงบการเงินเพียงอย่างเดียว และเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรที่จะพึงกระทำ Scuttlebutt ในความหมายของ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ นั้นหมายถึงกระบวนการสืบค้น เจาะลึกบริษัทผ่านสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนั้น ๆ เช่น ลูกค้า ร้านค้า สถานที่ค้าขาย คู่แข่งและพนักงานของบริษัท ซึ่งเป็นการศึกษาวิจัยแบบโดยตรง ซึ่งเหนือกว่าการอ่านข้อมูลจากงบการเงินเพียงอย่างเดียว และเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรที่จะพึงกระทำ ทำไมเราถึงต้องใช้เทคนิค Scuttlebutt Scuttlebutt จะช่วยให้คุณเข้าถึงและเข้าใจในหุ้นและอุตสาหกรรมที่คุณกำลังศึกษาอยู่อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลารวมถึงค้นหาคำตอบของทุก ๆ คำถาม Scuttlebutt จะช่วยให้คุณเข้าถึงและเข้าใจในหุ้นและอุตสาหกรรมที่คุณกำลังศึกษาอยู่อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลารวมถึงค้นหาคำตอบของทุก ๆ คำถาม เจาะลึกเทคนิคเรียนรู้ Scuttlebutt แบบคร่าว ๆ ประติดต่อเรื่องราวรวมผ่านการใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพ หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าอย่างนี้การใช้ Scuttlebutt คงเหมือนกับการใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพที่วัดผลไม่ได้หรือวัดผลได้ยาก แต่จริง ๆ เราอาจจะต้องรวบรวมประติดประต่อเรื่องราวผ่านการอ่านรายงานของบริษัท งบการเงิน เอกสารการนำเสนอต่าง ๆ อย่างเข้มข้นเข้าไปด้วย หลังจากนั้นเราจึงไปพูดคุยกับคนที่มีความรู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับหัวข้อหรือบริษัทที่เราสนใจจะลงทุน อาจเป็นคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมโดยตรงมีความช่ำชอง คู่แข่งต่าง ๆ หรือผู้บริหาร และหากสิ่งต่าง ๆ สมเหตุสมผลหรือตรงกับเงื่อนไขรูปแบบการลงทุนที่มีคุณภาพ บริษัทนั้น ๆ อาจมีความเป็นไปได้ว่า มันอาจจะเหมาะสมสำหรับศึกษาอย่างเจาะลึกต่อไป หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าอย่างนี้การใช้ Scuttlebutt คงเหมือนกับการใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพที่วัดผลไม่ได้หรือวัดผลได้ยาก แต่จริง ๆ เราอาจจะต้องรวบรวมประติดประต่อเรื่องราวผ่านการอ่านรายงานของบริษัท งบการเงิน เอกสารการนำเสนอต่าง ๆ อย่างเข้มข้นเข้าไปด้วย หลังจากนั้นเราจึงไปพูดคุยกับคนที่มีความรู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับหัวข้อหรือบริษัทที่เราสนใจจะลงทุน อาจเป็นคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมโดยตรงมีความช่ำชอง คู่แข่งต่าง ๆ หรือผู้บริหาร และหากสิ่งต่าง ๆ สมเหตุสมผลหรือตรงกับเงื่อนไขรูปแบบการลงทุนที่มีคุณภาพ บริษัทนั้น ๆ อาจมีความเป็นไปได้ว่า มันอาจจะเหมาะสมสำหรับศึกษาอย่างเจาะลึกต่อไป มองหาข้อโต้แย้งของการลงทุน เชื่อว่าหากหลาย ๆ คนติดตาม Holy Grail Investor มาถึงจุดนี้ คงจะเห็นได้ว่านักลงทุนสาย value หลาย ๆ ท่าน ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เช่นเดียวกันกับ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ที่ให้แง่คิดว่าหากเราตั้งสมมติฐานใด ๆ ขึ้นมา เราอาจจะหาข้อมูลเพื่อที่จะสนับสนุนความคิดของเราเสียมากกว่าซึ่งก่อให้เกิด bias หรืออคติทางความคิดได้ ดังนั้นเราควรจะมองหาข้อโต้แย้งของสมมติฐานเราเสียด้วยและพยายามทำความเข้าใจถึงสิ่งที่คนเหล่านั้นเชื่อหรือคิดว่าสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร เชื่อว่าหากหลาย ๆ คนติดตาม Holy Grail Investor มาถึงจุดนี้ คงจะเห็นได้ว่านักลงทุนสาย value หลาย ๆ ท่าน ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เช่นเดียวกันกับ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ที่ให้แง่คิดว่าหากเราตั้งสมมติฐานใด ๆ ขึ้นมา เราอาจจะหาข้อมูลเพื่อที่จะสนับสนุนความคิดของเราเสียมากกว่าซึ่งก่อให้เกิด bias หรืออคติทางความคิดได้ ดังนั้นเราควรจะมองหาข้อโต้แย้งของสมมติฐานเราเสียด้วยและพยายามทำความเข้าใจถึงสิ่งที่คนเหล่านั้นเชื่อหรือคิดว่าสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร “บางทีเราอาจจะต้องพูดกับนักเชียร์ของบริษัทนั้น ๆ แต่เราก็ต้องพูดคุยกับผู้คนที่ไม่ชอบบริษัทเหล่านั้นด้วยเช่นกัน” “บางทีเราอาจจะต้องพูดกับนักเชียร์ของบริษัทนั้น ๆ แต่เราก็ต้องพูดคุยกับผู้คนที่ไม่ชอบบริษัทเหล่านั้นด้วยเช่นกัน” พูดคุยกับทุกคน นอกเหนือจากคนในห้องของตนเอง เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการอยู่เป็นกลุ่มก้อนเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นคน ดังนั้นคนมีแนวโน้มที่จะอยู่กับกลุ่มคนที่ตนเองชื่อชอบอย่างเพื่อนที่มีความสนใจคล้าย ๆ กับเรา รวมแชร์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมีพฤติกรรมคล้าย ๆ กับเรา ซึ่งมันอาจก็ให้เกิด bias ทางความคิดว่าคนเหล่านั้นเป็นทุกสิ่งและเป็นประชากรหนึ่งเดียวในโลก เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการอยู่เป็นกลุ่มก้อนเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นคน ดังนั้นคนมีแนวโน้มที่จะอยู่กับกลุ่มคนที่ตนเองชื่อชอบอย่างเพื่อนที่มีความสนใจคล้าย ๆ กับเรา รวมแชร์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมีพฤติกรรมคล้าย ๆ กับเรา ซึ่งมันอาจก็ให้เกิด bias ทางความคิดว่าคนเหล่านั้นเป็นทุกสิ่งและเป็นประชากรหนึ่งเดียวในโลก พูดง่าย ๆ ก็เหมือนกับการออกไปเจอผู้คนใหม่ ๆ สถานที่ใหม่ ๆ เพื่อเปิดโลกทางความคิด และหลุดจากกรอบเดิม ๆ นั่นเอง พูดง่าย ๆ ก็เหมือนกับการออกไปเจอผู้คนใหม่ ๆ สถานที่ใหม่ ๆ เพื่อเปิดโลกทางความคิด และหลุดจากกรอบเดิม ๆ นั่นเอง อย่างเช่น เราอาจจะลองไปหาข้อมูลในพันทิป ว่าคนอื่น ๆ มีความคิดเห็นอะไรบ้าง มันอาจนำมาต่อยอดเปนไอเดียต่อไป และอาจจะต้องคัดเลือกเฉพาะความเห็นที่น่าสนใจหรือเมคเซ้น อย่างเช่น เราอาจจะลองไปหาข้อมูลในพันทิป ว่าคนอื่น ๆ มีความคิดเห็นอะไรบ้าง มันอาจนำมาต่อยอดเปนไอเดียต่อไป และอาจจะต้องคัดเลือกเฉพาะความเห็นที่น่าสนใจหรือเมคเซ้น หรือบอร์ดของนักลงทุนวีไออย่าง thaivi.org ที่มีผู้คนมาแลกเปลี่ยนไอเดียหุ้นแบบเชิงลึกกัน หรือบอร์ดของนักลงทุนวีไออย่าง thaivi.org ที่มีผู้คนมาแลกเปลี่ยนไอเดียหุ้นแบบเชิงลึกกัน เข้าอกเข้าใจลูกค้าหรือผู้บริโภค เราอาจใช้วิธีพูดคุยสอบถามกับผู้บริโภคโดยตรงว่าเขารู้สึกหรือคิดอย่างไรหากมีสินค้าหรือบริการของบริษัทที่เราสนใจลงทุนเขามาช่วยพวกเขา เราอาจใช้วิธีพูดคุยสอบถามกับผู้บริโภคโดยตรงว่าเขารู้สึกหรือคิดอย่างไรหากมีสินค้าหรือบริการของบริษัทที่เราสนใจลงทุนเขามาช่วยพวกเขา เช่น เวลาเราทำธุรกิจออนไลน์ในแพลตฟอร์มค้าขาย เราอาจจะขอฟีดแบคจากลูกค้าว่าเขาคิดอย่างไรกับการบริการ เขาอาจจะให้ข้อมูลในด้าน value ว่าเราบริการดีกว่าที่อื่น รวดเร็วกว่า หรือคอมเมนต์ว่าสินค้าเราอาจจะน่าสนใจน้อยกว่าที่อื่นด้วยเหตุผล … เช่น เวลาเราทำธุรกิจออนไลน์ในแพลตฟอร์มค้าขาย เราอาจจะขอฟีดแบคจากลูกค้าว่าเขาคิดอย่างไรกับการบริการ เขาอาจจะให้ข้อมูลในด้าน value ว่าเราบริการดีกว่าที่อื่น รวดเร็วกว่า หรือคอมเมนต์ว่าสินค้าเราอาจจะน่าสนใจน้อยกว่าที่อื่นด้วยเหตุผล … คิดภาพกว้างถึงผู้คนที่ช่วยให้ข้อมูลเราได้และเข้าไปศึกษาผ่านพวกเขา เราอาจคิดถึงผู้คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้นโดยตรง อย่างเช่น ถ้าเราอยากเรียนรู้เรื่องธุรกิจธนาคารแนวปล่อยเงินกู้ เราอาจจะเข้าไปถามผู้จัดการด้านเครดิต เราอาจคิดถึงผู้คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้นโดยตรง อย่างเช่น ถ้าเราอยากเรียนรู้เรื่องธุรกิจธนาคารแนวปล่อยเงินกู้ เราอาจจะเข้าไปถามผู้จัดการด้านเครดิต หรือถ้าเราอยากรู้เรื่องการลงทุนในอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ เราอาจจะไปถามผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำ consultant โดยตรงเพื่อให้ได้ข้อมูลเจาะลึกของจริงที่กลั่นมาจากประสบการณ์ของผู้ที่อยู่ในธุรกิจโดยตรง หรือถ้าเราอยากรู้เรื่องการลงทุนในอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ เราอาจจะไปถามผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำ consultant โดยตรงเพื่อให้ได้ข้อมูลเจาะลึกของจริงที่กลั่นมาจากประสบการณ์ของผู้ที่อยู่ในธุรกิจโดยตรง ไม่เปิดเผยข้อมูลที่ได้มา เป้าหมายหลักของการใช้เทคนิค Scuttlebutt ไม่ใช่การหาข้อมูลเชิงลึกวงใน inside information ที่ทำให้เรามีความได้เปรียบเหนือกว่านักลงทุนคนอื่น ๆ แต่เราต้องไม่ลืมว่าผู้คนคงอยากช่วยหรือให้ข้อมูลมากกว่าถ้าเราไม่เอาข้อมูลของพวกเขาไปเปิดเผย เช่น กับคู่แข่ง หรือข้อมูลเชิงลบที่ทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทเขาไม่ดี เป้าหมายหลักของการใช้เทคนิค Scuttlebutt ไม่ใช่การหาข้อมูลเชิงลึกวงใน inside information ที่ทำให้เรามีความได้เปรียบเหนือกว่านักลงทุนคนอื่น ๆ แต่เราต้องไม่ลืมว่าผู้คนคงอยากช่วยหรือให้ข้อมูลมากกว่าถ้าเราไม่เอาข้อมูลของพวกเขาไปเปิดเผย เช่น กับคู่แข่ง หรือข้อมูลเชิงลบที่ทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทเขาไม่ดี พูดง่าย ๆ ก็คือใจเขาใจเรา คนทำ คนสร้างธุรกิจ เขาต้องเหน็ดเหนื่อย ล้มเหลว พยายามมาก่อนที่จะประสบความสำเร็จ การทำเราเอาข้อมูลของเขาไปเปิดเผย จึงอาจทำให้สิ่งที่เค้าพยายามมาถูกทำลายลงไป พูดง่าย ๆ ก็คือใจเขาใจเรา คนทำ คนสร้างธุรกิจ เขาต้องเหน็ดเหนื่อย ล้มเหลว พยายามมาก่อนที่จะประสบความสำเร็จ การทำเราเอาข้อมูลของเขาไปเปิดเผย จึงอาจทำให้สิ่งที่เค้าพยายามมาถูกทำลายลงไป การปรับใช้และคำคมข้อคิด Scuttlebutt ถือเป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ใช้ร่วมกับปรัชญาคลาสสิคของ ชาร์ลี มังเกอร์ ใน การซื้อหุ้นที่สุดยอด ในราคาที่เหมาะสม Scuttlebutt ถือเป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ใช้ร่วมกับปรัชญาคลาสสิคของ ชาร์ลี มังเกอร์ ใน การซื้อหุ้นที่สุดยอด ในราคาที่เหมาะสม “ถ้าคุณลงทุนในบริษัทที่ถูกต้อง โอกาสเติบโตของมันจะมากมายเหลือเชื่อ ถึงขนาดที่ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเรื่องรองเสียด้วยซ้ำ ทุก ๆ 1,000 ดอลลาร์ของผมและลูกค้าที่ถูกนำไปลงทุนใน Motorola ในปี 1957 ในตอนนี้มีมูลค่าถึง 1,993,846 ท่ามกลางการขึ้นลงของราคาหุ้นและตลาด” – ฟิลลิป ฟิชเชอร์ “ถ้าคุณลงทุนในบริษัทที่ถูกต้อง โอกาสเติบโตของมันจะมากมายเหลือเชื่อ ถึงขนาดที่ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเรื่องรองเสียด้วยซ้ำ ทุก ๆ 1,000 ดอลลาร์ของผมและลูกค้าที่ถูกนำไปลงทุนใน Motorola ในปี 1957 ในตอนนี้มีมูลค่าถึง 1,993,846 ท่ามกลางการขึ้นลงของราคาหุ้นและตลาด” – ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ถ้าผมขาย Motorola เพียงเพราะว่าราคามันสูงเกินไปในช่วง 10 ถึง 15 ปีที่แล้ว สิ่งที่อาจเกิดขึ้นก็คือ ผมคงไม่รู้โอกาสที่จะกลับเข้าไปซื้อมันอีกครั้ง และคงพลาดการทำกำไรครั้งใหญ่ออกไป ถ้าราคาหุ้นของบริษัทที่ผมลงทุนสูงเกินไป ผมจะเตือนลูกค้าว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่น่าพอใจสักพักหนึ่ง แต่ในท้ายที่สุดมันจะทำจุดสูงสุดใหม่ต่อไปได้”- ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ถ้าผมขาย Motorola เพียงเพราะว่าราคามันสูงเกินไปในช่วง 10 ถึง 15 ปีที่แล้ว สิ่งที่อาจเกิดขึ้นก็คือ ผมคงไม่รู้โอกาสที่จะกลับเข้าไปซื้อมันอีกครั้ง และคงพลาดการทำกำไรครั้งใหญ่ออกไป ถ้าราคาหุ้นของบริษัทที่ผมลงทุนสูงเกินไป ผมจะเตือนลูกค้าว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่น่าพอใจสักพักหนึ่ง แต่ในท้ายที่สุดมันจะทำจุดสูงสุดใหม่ต่อไปได้”- ฟิลลิป ฟิชเชอร์ พูดง่าย ๆ ก็คือ หากธุรกิจนั้น ๆ มีความโดดเด่น แข็งแกร่งอย่างแท้จริง และเราได้เข้าซื้อในราคาที่เหมาะสม ก็อย่าได้กังวลมันไป เพราะ มันอาจหมายถึงผลกำไรอันยิ่งใหญ่ในอนาคต พูดง่าย ๆ ก็คือ หากธุรกิจนั้น ๆ มีความโดดเด่น แข็งแกร่งอย่างแท้จริง และเราได้เข้าซื้อในราคาที่เหมาะสม ก็อย่าได้กังวลมันไป เพราะ มันอาจหมายถึงผลกำไรอันยิ่งใหญ่ในอนาคต คำถามต่อไปอาจเป็นเราควรขายหุ้นที่เราเชื่อมั่นเมื่อไร ก็คงต้องทิ้งท้ายด้วยประโยคของ Phillip Fisher ไว้อีกทีว่า คำถามต่อไปอาจเป็นเราควรขายหุ้นที่เราเชื่อมั่นเมื่อไร ก็คงต้องทิ้งท้ายด้วยประโยคของ Phillip Fisher ไว้อีกทีว่า “If I have a deep conviction about a stock but it has not performed after three years, I will sell it. If I think management or the basic situation has deteriorated, I will sell.” – Philip Fisher “If I have a deep conviction about a stock but it has not performed after three years, I will sell it. If I think management or the basic situation has deteriorated, I will sell.” – Philip Fisher “ถ้าผมมีความเชื่อมั่นอย่างสูงกับหุ้นตัวหนึ่ง แต่มันยังไม่แสดงผลลัพธ์ออกมาในสามปี ผมจะขายมัน ถ้าผมคิดว่าผู้บริหารหรือเหตุการณ์ได้เริ่มย่ำแย่ลง ผมจะขายมัน” – ฟิลลิป ฟิชเชอร์ “ถ้าผมมีความเชื่อมั่นอย่างสูงกับหุ้นตัวหนึ่ง แต่มันยังไม่แสดงผลลัพธ์ออกมาในสามปี ผมจะขายมัน ถ้าผมคิดว่าผู้บริหารหรือเหตุการณ์ได้เริ่มย่ำแย่ลง ผมจะขายมัน” – ฟิลลิป ฟิชเชอร์ References ติดตาม FINNOMENA Podcast ได้ทุกช่องทางที่คุณมี App Spotify
Phillip Fisher เกิดในปี 1907 ในซานฟรานซิสโก เขาเริ่มโดยการเข้าเรียนธุรกิจใน Stanford จากนั้นก่อตั้งบริษัทอย่าง Fisher & Company ด้วยตนเอง ฟิลลิป ฟิชเชอร์ มีเทคนิคที่เรียกว่า Scuttlebutt หมายถึงกระบวนการสืบค้น เจาะลึกบริษัทผ่านสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนั้น Scuttlebutt จะช่วยให้เข้าถึงและเข้าใจในหุ้นและอุตสาหกรรมที่กำลังศึกษาอยู่อย่างแท้จริง โดยสามารถเจาะลึกเทคนิค Scuttlebutt เป็นหัวข้อดังนี้ 1.ประติดต่อเรื่องราวรวมผ่านการใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพ งรวบรวมประติดประต่อเรื่องราวผ่านการอ่านรายงานของบริษัท งบการเงิน เอกสารการนำเสนอต่าง ๆ อย่างเข้มข้นเข้าไปด้วย 2.มองหาข้อโต้แย้งของการลงทุน เราควรจะมองหาข้อโต้แย้งของสมมติฐานเราเสียด้วยและพยายามทำความเข้าใจถึงสิ่งที่คนเหล่านั้นเชื่อหรือคิดว่าสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร 3.พูดคุยกับทุกคน นอกเหนือจากคนในห้องของตนเอง เปิดโลกทางความคิด และหลุดจากกรอบเดิมๆ คือวิธีที่ดีมากๆ 4.เข้าอกเข้าใจลูกค้าหรือผู้บริโภค สอบถามกับผู้บริโภคโดยตรงว่าเขารู้สึกหรือคิดอย่างไรหากมีสินค้าหรือบริการของบริษัทที่เราสนใจลงทุนเขามาช่วยพวกเขา 5.ไม่เปิดเผยข้อมูลที่ได้มา ใจเขาใจเรา คนทำ คนสร้างธุรกิจ เขาต้องเหน็ดเหนื่อย ล้มเหลว พยายามมาก่อนที่จะประสบความสำเร็จ เราไม่ควรเอาข้อมูลที่ได้มา มาเปิดเผย 6.การปรับใช้และคำคมข้อคิด เช่น ถ้าผมขาย Motorola เพียงเพราะว่าราคามันสูงเกินไปในช่วง 10 ถึง 15 ปีที่แล้ว สิ่งที่อาจเกิดขึ้นก็คือ ผมคงไม่รู้โอกาสที่จะกลับเข้าไปซื้อมันอีกครั้ง และคงพลาดการทำกำไรครั้งใหญ่ออกไป ถ้าราคาหุ้นของบริษัทที่ผมลงทุนสูงเกินไป ผมจะเตือนลูกค้าว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่น่าพอใจสักพักหนึ่ง แต่ในท้ายที่สุดมันจะทำจุดสูงสุดใหม่ต่อไปได้ หมายถึงว่า หากธุรกิจนั้น ๆ มีความโดดเด่น แข็งแกร่งอย่างแท้จริง และเราได้เข้าซื้อในราคาที่เหมาะสม ก็อย่าได้กังวลมันไป เพราะ มันอาจหมายถึงผลกำไรอันยิ่งใหญ่ในอนาคต
5.ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1684
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ วิธีการคัดแยกกองทุน USA
null
กองทุน USA นั้นมีวิธีการคัดแยกออกเป็น 3 แบบด้วยกัน ซึ่งวิธีการคัดแยกกองทุนนี้เป็นข้อมูลจากวันที่ 16 มีนาคม 2564 ค่ะ มาเริ่มที่วิธีแรกกันเลยนะคะ การคัดแยกกองทุน USA ที่เป็นประเภท US Equity จะมีกองทุน USA ที่อยู่ในประเภทนี้ทั้งหมด 34 กองทุนค่ะ วิธีที่สอง คือ การคัดแยกกองทุน USA ที่เป็นกองทุนที่รายย่อยจะสามารถลงทุนได้ มีกองทุนที่อยู่ในประเภทนี้ทั้งหมด 29 กองทุน ค่ะ และวิธีสุดท้ายก็คือ การคัดแยกกองทุนที่มาจากวิธีที่สองอีกทีหนึ่งค่ะ ซึ่งมีทั้งหมด 29 กองทุน เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก กองทุนประเภท passive 16 กองทุน และกลุ่มที่สอง กองทุนประเภท active 13 กองทุนค่ะ บทเรียนจากย่อหน้านี้ วิธีการคัดแยกกองทุน USA (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มีนาคม 2564) 1. กองทุนประเภท US Equity มีอยู่ 34 กองทุน 2. เป็นกองทุนที่รายย่อยสามารถลงทุนได้ 29 กองทุน 3. ใน 29 กองทุนนั้นแบ่งออกเป็น กองทุนประเภท passive และ active จำนวน 16 และ 13 กอง ตามลำดับ กองทุน passive เน้นการบริหารกองทุนให้ได้ใกล้เคียง Benchmark ที่สุด หรือลงทุนใน ETF ซึ่งก็เคลื่อนไหวตามดัชนีที่ ETF พยายาม tracking ให้ใกล้เคียงที่สุด กองทุน passive ของ USA มีดังนี้ – ดัชนี S&P500 หุ้นใหญ่ 500 ตัว – NASDAQ 100 หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา 100 ตัวแรก – ETF ดัชนี Top Billionaire Investors Index รวม 30 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด ที่บริหารงานโดย Self-made Billionaires เช่น Tesla, Facebook, Amazon และ Crowdstrike เป็นต้น – ETF ที่ลงทุนใน Financial Sector ของ S&P 500 มีอยู่ด้วยกันหนึ่งกอง คือ TUSFIN-A กองทุน active หรือกองทุนที่บริหารงานโดยผู้จัดการกองทุน เน้นจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อเอาชนะ Benchmark มีดังนี้ - กองทุนแบบผสม มีทั้งแบบ value และ growth ยกตัวอย่างกลุ่ม growth เช่น KF-US, KT-US-A และ TMBUSO ยกตัวอย่างกลุ่ม value เช่น TMBBLUESHIP นอกนั้นมีการผสมกันระหว่างสองกลุ่ม - กองทุนรวมหุ้นไซส์ขนาดกลางและเล็ก ขนาดไม่เกิน $6 Bn. กองทุนที่เน้น sector ธนาคารใน USA ที่มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง คือ MN-USABANK-A
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1686
Finance
การใช้ Market Filter ในการลงทุน สร้าง Alpha ได้จริงหรือไม่?" เราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างเกี่ยวกับกลยุทธ์การใช้ Market Filter ในการลงทุน
null
จากบทความ เราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างเกี่ยวกับกลยุทธ์การใช้ Market Filter ในการลงทุน 1. Market Filter ไม่ได้ช่วยให้ผลตอบแทนดีขึ้นเสมอไป จากผลการทดสอบ พบว่าพอร์ตที่ใช้ SET Index เป็น Market Filter มีผลตอบแทนทบต้น (CAGR) สูงกว่าพอร์ตที่ไม่ใช้ Market Filter (16% vs 8%) แต่ Max DD ของพอร์ตที่ใช้ Market Filter กลับต่ำกว่า (16% vs 40%) 2. Market Filter ช่วยลดความเสี่ยง จากผลการทดสอบ พบว่าพอร์ตที่ใช้ Market Filter มี Max DD ต่ำกว่าพอร์ตที่ไม่ใช้ Market Filter แสดงว่า Market Filter ช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตลง 3. Market Filter ช่วยลดจำนวนการซื้อขาย จากผลการทดสอบ พบว่าพอร์ตที่ใช้ Market Filter มีจำนวนการซื้อขาย (Trade) น้อยกว่าพอร์ตที่ไม่ใช้ Market Filter แสดงว่า Market Filter ช่วยให้นักลงทุนมีวินัยในการลงทุนมากขึ้น 4. Market Filter มีข้อจำกัด จากผลการทดสอบ พบว่าพอร์ตที่ใช้ Market Filter มี Win Rate ต่ำกว่าพอร์ตที่ไม่ใช้ Market Filter (35% vs 30%) แสดงว่า Market Filter ไม่ได้ช่วยให้ชนะตลาดได้เสมอไป 5. กลยุทธ์การใช้ Market Filter มีหลายแบบ ในบทความนี้ เป็นเพียงการทดสอบกลยุทธ์การใช้ Market Filter แบบง่ายๆ ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ อีกมากมายที่นักลงทุนสามารถลองนำไปใช้ คำแนะนำเพิ่มเติม นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การใช้ Market Filter เพิ่มเติม ควรทดสอบกลยุทธ์การใช้ Market Filter ด้วยบัญชีจำลองก่อนนำไปใช้จริง ควรเลือก Market Filter ที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของตัวเอง ควรติดตามผลการดำเนินงานของ Market Filter อย่างสม่ำเสมอ สรุป กลยุทธ์การใช้ Market Filter เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนมีผลตอบแทนที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงลง แต่ Market Filter ไม่ได้ช่วยให้นักลงทุนชนะตลาดได้เสมอไป นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้และทดสอบกลยุทธ์การใช้ Market Filter เพิ่มเติมก่อนนำไปใช้จริง
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1687
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "รีวิวกองทุน ASP-EVOCHINA: 10 เรื่องที่ต้องรู้ของกองทุนจีนผลตอบแทนโดดเด่น" ให้หน่อยนะคะ
ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ประเทศจีนโดนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 มากที่สุด อย่างไรก็ตามจีนก็เป็นประเทศที่สามารถฟื้นตัวได้เร็วที่สุดเช่นกัน ตลาดหุ้นของจีนในปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนสูงเกือบ ๆ จะที่สุดในโลก แพ้ตลาดเดียวคือ NASDAQ และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทำให้กองทุนของจีนพุ่งกระฉูด หยุดไม่อยู่มาตั้งแต่เดือนเมษาฯ ปีที่แล้ว จนมาถึงต้นมีนาฯ นี้ นำโดยกองทุน ASP-EVOCHINA ถ้าดูกันที่ผลตอบแทน 1 ปีกองทุนจีนให้ผลตอบแทนตั้งแต่ 7% – 79% ซึ่งนี่คือบทพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ว่าเลือกประเทศถูกแล้วผลตอบแทนจะดีเสมอไป มันต้องได้กองทุนที่ดีด้วย จัดอันดับกองทุนจีน ณ วันที่ 4 มี.ค. 2564 โดยคำนวณผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ณ วันที่ 2 มี.ค. 2564 ที่มา: FINNOMENA ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต แล้ว ASP-EVOCHINA ทำอย่างไรถึงได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด? อะไรคือความแตกต่างของ ASP-EVOCHINA และกองทุนอื่น ๆ ? 1. ASP-EVOCHINA หรือ Asset Plus Evolution China Equity Fund มีนโยบายการลงทุนแบบ Active Management โดยมีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ทั้งในจีน ฮ่องกง และไต้หวัน กองทุนมีทั้งการลงทุนในกองทุนอื่น ๆ ETF รวมไปถึงการเลือกหุ้นลงทุนโดยตรง โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่า NAV มีความเสี่ยงกองทุนระดับ 6 (เสี่ยงสูง) และมีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ที่มา: เอกสารการขายกองทุน ASP-EVOCHINA ข้อมูล ณ วันที่ 15 ก.พ. 2564 2. กองทุนแม่ที่ ASP-EVOCHINA เลือกลงถึงสัดส่วน 34% คือ Mirae Asset China Growth Equity Fund ซึ่งมีนโยบายลงทุนในกองทุนจีน โดยเน้นกลุ่ม Consumer, Healthcare และ E-commerce ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นกลุ่มที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่มา: Factsheet กองทุน Mirae Asset China Growth Equity Fund ข้อมูล ณ วันที่ 31 ม.ค. 2564 3. ETF ที่กองทุนลงอยู่ในสัดส่วนราว ๆ 15% คือ ETF ของ Premia Partners ซึ่งน่าสนใจมาก ๆ เพราะ ETF ตัวนี้เน้นลงทุนในหุ้นในตลาด Shanghai, Shenzhen, Hongkong รวมไปถึงเปิดกว้างโอกาสในการลงทุนในตลาด Chinext ซึ่งเปรียบเสมือน NASDAQ ของฝั่งจีนด้วย อย่างไรก็ตามสัดส่วน ETF ตรงนี้สามารถปรับเปลี่ยนลงทุนได้สูงสุดถึง 25% 4. นอกเหนือจากกองทุนและ ETF ที่ลงทุน กองทุนมีการเลือกลงทุนหุ้นรายตัวเองด้วย จากข้อมูลวันที่ 30 ธ.ค. 2563 กองทุนมีลงทุนหุ้นที่มีสัดส่วนมากที่สุด 3 ตัว แรกคือ Tencent Holdings, Weimob และ Xiaomi Corp (ไม่รวมหุ้นในกองทุน Mirae และ ETF) 5. Tencent บริษัทเกมออนไลน์และโซเชียลมีเดียรายใหญ่ของจีน เจ้าของแอปพลิเคชั่น WeChat บริษัทนี้คิดว่าทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว เป็นบริษัทที่แข็งแกร่งมาก ๆ เคยหุ้นตกหนักเพราะการปรับเปลี่ยนกฎด้านเกมส์ออนไลน์ของจีน แต่บริษัทก็กลับมาเติบโตได้ในภายหลัง 6. บริษัทที่น่าสนใจกว่าคือ Weimob อันนี้ไม่ค่อยมีคนรู้จัก Weimob เป็นบริษัทที่ Listed อยู่ใน Hongkong Stock Exchange บริษัททำธุรกิจ Cloud-Based Commerce และผู้ให้บริการการตลาดออนไลน์ครบวงจรกับธุรกิจ SME ในรูปแบบ SaaS Software ของบริษัท ช่วยให้การขายและจัดการร้านค้าออนไลน์ง่ายและเป็นระบบ บริษัทเพิ่ง IPO เข้าไปในตลาดเมื่อปี 2019 7. หุ้นหลักอีกตัวที่กองทุนลงทุนคือ Xiaomi ณ จุด ๆ นี้คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อนี้อีกแล้ว บริษัทเป็นผู้นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และ IoT รายใหญ่ของโลก 8. ในมุมหนึ่งวิกฤต COVID-19 เหมือนจะเป็นหายนะของธุรกิจ แต่ในมุมของการลงทุน มันทำให้นักลงทุนสามารถหาได้ง่าย ๆ เลยว่า ธุรกิจไหนและหุ้นตัวไหนคือ “ของจริง” หุ้นจีนหลาย ๆ ตัวไม่เพียงแค่ไม่ลดลงแต่กลับราคาสูงขึ้น กำไรเพิ่มขึ้น สวนกระแสสิ่งที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจแบบเก่า 9. แต่สิ่งหนึ่งที่ COVID-19 เข้ามาเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ คือ Lifestyle ของคนที่เปลี่ยนไป แม้ไม่มีตัวเลขยืนยันแต่ผมเองเชื่อว่า COVID-19 กลายเป็นปัจจัยที่เปลี่ยนคนจำนวนมหาศาลเข้าสู่โลกออนไลน์ จากที่หลาย ๆ คนไม่เคยสัมผัสมาก่อน แต่พอมาเจอ COVID-19 ออกไปไหนไม่ได้ ถูกบังคับให้เข้าสู่โลกออนไลน์ … ผ่านไป 1 ปีผมเชื่อว่ามีคนไม่น้อยติดใจ และจะไม่กลับไป Lifestyle เดิม ๆ อีกต่อไปแล้ว 10. สถิติในเมืองจีนบอกว่า ยอดขาย E-Commerce จะโตจากสัดส่วน 31% ของยอดขายปกติในปี 2020 เป็น 37% ในปี 2023 ไม่ใช่แค่ E-Commerce ที่ปรับขนานใหญ่ อุตสาหกรรมอย่างการศึกษา การผลิต และสุขภาพก็ปรับตัวเข้าสู่โลก Online แล้ว (ที่มา: ASP-EVOCHINA Sales Kit – Asset Plus) โดยสรุปผมคิดว่าปัจจัยที่ทำให้ ASP-EVOCHINA สามารถทำผลตอบแทนเหนือกองทุนอื่น ๆ ได้คือการเลือกหุ้นและสินทรัพย์การลงทุนที่อยู่ถูกที่ ถูกเวลา ในสัดส่วนที่เหมาะสม ตราบใดที่เมืองจีนยังเป็นสถานที่ที่การเติบโตยังมีทางให้ไปอีกมาก ผลตอบแทนของกองทุนจีนอย่าง ASP-EVOCHINA ก็น่าจะทำผลตอบแทนระยะยาวได้อย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปีในระดับ Top Quartile BuffettCode สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: ข้อมูลอ้างอิง คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่จีนประสบผลกระทบจาก COVID-19 มากที่สุด แต่ก็เป็นประเทศที่ฟื้นตัวเร็วที่สุด ตลาดหุ้นจีนให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับสูงสุดในโลก โดยเฉพาะกองทุน ASP-EVOCHINA ที่ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ 7% - 79% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเลือกกองทุนที่ดีมีผลต่อผลตอบแทน ASP-EVOCHINA เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนแบบ Active Management ในสินทรัพย์ทั้งในจีน ฮ่องกง และไต้หวัน มีการลงทุนในกองทุนอื่น ๆ ETF และการเลือกหุ้นโดยตรง มีความเสี่ยงสูง และป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการ กองทุนลงทุนใน Mirae Asset China Growth Equity Fund 34% โดยเน้นกลุ่ม Consumer, Healthcare, และ E-commerce ที่กำลังเติบโต และ ETF ของ Premia Partners 15% ที่เน้นในตลาด Shanghai, Shenzhen, Hongkong และ Chinext เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน ASP-EVOCHINA ยังมีการลงทุนในหุ้นรายตัวเอง โดยมี Tencent Holdings, Weimob, และ Xiaomi Corp ในสัดส่วนมากที่สุด บริษัทที่น่าสนใจในกองทุนได้แก่ Tencent (บริษัทเกมออนไลน์และโซเชียลมีเดีย), Weimob (บริษัท Cloud-Based Commerce และ SaaS Software), และ Xiaomi (ผู้นำในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และ IoT) COVID-19 มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงใน Lifestyle ของคน ทำให้ธุรกิจออนไลน์เติบโต และยอดขาย E-Commerce ที่จีนเพิ่มขึ้น ในทางการลงทุน, ASP-EVOCHINA ได้เลือกที่จะลงทุนในธุรกิจที่เติบโตและเป็นที่ต้องการ สรุปว่าความสำเร็จของ ASP-EVOCHINA มาจากการเลือกลงทุนที่ถูกเวลาและมีความเสี่ยงที่เหมาะสมในเมืองจีนที่ยังมีโอกาสในการเติบโต และมีการปรับตัวที่ดีต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและโลกออนไลน์ที่เติบโตขึ้น
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1689
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เทคนิคในการหาสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง
null
เทคนิคในการหาสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง มีอยู่มากมายเลยทีเดียวค่ะ การหาสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง เริ่มต้นจากการที่สินทรัพย์นั้นอาจจะมาจากการที่มีคนรู้จักและเข้าใจได้น้อย หรือมาจากกลุ่มประเทศที่คนไม่ค่อยสนใจ มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานทางบริษัท ประเด็นที่พูดถึงนั้นมีการถกเถียงและผู้คนต่างหวาดกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เป็นสินทรัพย์ที่ไม่เหมาะกับพอร์ตการลงทุน เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้รับความสนใจของผู้คนหมู่มาก เป็นสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนย่ำแย่แบบเป็นเอามาก และสินทรัพย์นั่นเป็นเรื่องน่าเบื่อ ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนเลย บทเรียนจากย่อหน้านี้ เทคนิคในการหาสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง - มีคนรู้จักน้อยและคนเข้าใจน้อย ยกตัวอย่าง ก็อาจจะเป็นหุ้นเทคต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อนใหม่ ๆ ก็ได้ หรือ อาจจะเป็นกลุ่มประเทศที่คนไม่ค่อยสนใจ แบบอินเดีย หรือ บราซิล แต่ต้องระวังเรื่องความเสี่ยงประเทศอีกที - ตั้งคำถามเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ อาจจะเป็น balance sheet สตอรี่ธุรกิจ บริษัท - เป็นที่ถกเถียงและผู้คนต่างหวาดกลัว อย่างเช่น น้ำมันที่มีความผันผวน - ไม่เหมาะสมสำหรับพอร์ตการลงทุน เช่น น้ำมัน - ไม่เป็นที่นิยม ไม่ได้รับความสนใจ เช่น เหล็ก น้ำมัน - มีผลตอบแทนย่ำแย่ เช่น น้ำมัน หุ้นธนาคาร - ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับลงทุนและเก็บสะสม เช่น น้ำมัน หุ้นธนาคาร ในช่วงที่ผ่านมา
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_169
Finance
มีเงิน 10 ล้านในบัญชี คิดว่าเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มหรือเปล่า?
A. ไม่แน่ใจ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง B. ไม่เพียงพอ เพราะเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น เหตุผล: เงินเฟ้อ: เงินเฟ้อทำให้เงินในบัญชีของคุณมีค่าลดลงทุกปี ตัวอย่างเช่น หากเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% เงิน 10 ล้านบาทของคุณจะมีค่าเท่ากับ 9.7 ล้านบาทใน 1 ปี และ 9.41 ล้านบาทใน 2 ปี ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น: ค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าเช่า และค่าสาธารณูปโภคมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี หมายความว่าคุณต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อรักษาระดับความเป็นอยู่เดิม ความเสี่ยงทางธุรกิจ: ธุรกิจของคุณอาจเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ เช่น สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หรือการแข่งขันที่รุนแรง สิ่งนี้อาจส่งผลต่อรายได้ของคุณ อายุขัยที่ยืนยาว: อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้น หมายความว่าคุณต้องมีเงินเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตที่ยาวนานขึ้น แม้ว่าคุณจะมีเงินฝากประจำและเงินจากธุรกิจ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะรับประกันความมั่นคงทางการเงินของคุณในระยะยาว การลงทุนเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เงินของคุณเติบโตเอาชนะเงินเฟ้อ และสร้างรายได้เสริม C. ใช่ เพียงพอ เพราะมีเงินฝากประจำและเงินจากธุรกิจ D. ไม่เพียงพอ เพราะเงินฟืดและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น
ข้อที่ถูกต้องคือ B. เนื่องจาก เหตุผล: เงินเฟ้อ: เงินเฟ้อทำให้เงินในบัญชีของคุณมีค่าลดลงทุกปี ตัวอย่างเช่น หากเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% เงิน 10 ล้านบาทของคุณจะมีค่าเท่ากับ 9.7 ล้านบาทใน 1 ปี และ 9.41 ล้านบาทใน 2 ปี ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น: ค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าเช่า และค่าสาธารณูปโภคมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี หมายความว่าคุณต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อรักษาระดับความเป็นอยู่เดิม ความเสี่ยงทางธุรกิจ: ธุรกิจของคุณอาจเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ เช่น สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หรือการแข่งขันที่รุนแรง สิ่งนี้อาจส่งผลต่อรายได้ของคุณ อายุขัยที่ยืนยาว: อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้น หมายความว่าคุณต้องมีเงินเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตที่ยาวนานขึ้น แม้ว่าคุณจะมีเงินฝากประจำและเงินจากธุรกิจ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะรับประกันความมั่นคงทางการเงินของคุณในระยะยาว การลงทุนเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เงินของคุณเติบโตเอาชนะเงินเฟ้อ และสร้างรายได้เสริม
5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1690
Finance
จงสรุปบทความ องค์กรอัตโนมัติ DAO คืออะไร?
องค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์ DAO หรือ Decentralized Autonomous Organization คือสิ่งที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Decentralized Application หรือ DApp ที่มาจากการประยุกต์ใช้ Smart contract ร่วมกับเทคโนโลยี Blockchain หากเปรียบเทียบ DApp เป็นตู้ขายของอัตโนมัติทั่วไป DAO ก็คือตู้ขายของอัตโนมัติที่เมื่อรับเงินไปแล้ว ตู้จะใช้เงินที่ได้มาในการสั่งสินค้ามาเติม และคำนวณกำไรจากการขายสินค้าคืนให้กับนักลงทุนได้โดยอัตโนมัติ แล้ว DAO แตกต่างกับองค์กรทั่วไปอย่างไร? ตัวอย่างของ DAO ที่น่าสนใจมีอะไรบ้าง? เราจะมาหาคำตอบไปด้วยกันในบทความนี้ เปรียบเทียบ DAO กับองค์กรทั่วไป องค์กรก็คือการรวมตัวกันของคนกลุ่มหนึ่งที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการรวมตัวกันเพื่อทำธุรกิจ สำหรับโครงสร้างขององค์กรทั่วไป หรือ Traditional Organization จะมีการแบ่งลำดับชั้น (Hierarchy) ที่ชัดเจน โดยผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุด อย่าง ผู้บริหาร ประธาน หรือผู้ถือหุ้น มักจะมีอำนาจในการตัดสินใจสูงกว่าผู้มีตำแหน่งรองลงมา ส่วนกฏระเบียบทุกอย่างสำหรับองค์กร ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตความรับผิดชอบ การจ่ายเงินเดือนพนักงาน หรือนโยบายการทำงานต่าง ๆ จะถูกเขียนขึ้นมาในรูปแบบลายลักษณ์อักษร และมีการผูกมัดทางกฏหมายเพื่อรับรองว่าองค์กรจะดำเนินงานได้ตามวัตถุประสงค์ ในขณะที่กฏระเบียบต่าง ๆ ของ DAO จะถูกเขียนขึ้นมาในรูปแบบของชุดคำสั่งทางคอมพิวเตอร์ และอยู่บนเครือข่าย Blockchain ที่มีการเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) นั่นจึงทำให้ทุกคนที่อยู่ในเครือข่ายสามารถตรวจสอบได้ว่าชุดคำสั่งของ DAO นั้น ๆ มีหลักการทำงานอย่างไร เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน จากนั้น DAO จะทำงานผ่าน Smart contract หรือสัญญาอัจฉริยะที่สามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเองเมื่อครบเงื่อนไขที่กำหนด โดย DAO บางตัวจะมีเหรียญหรือโทเคนดิจิทัลที่เป็นของเครือข่าย DAO นั้น ๆ เรียกว่า Native Token หรือบางครั้งก็เรียกว่า Governance Token เพื่อใช้แทนสิทธิ์ในการออกเสียงโหวตข้อเสนอต่าง ๆ หรือเป็นรางวัลสำหรับผู้มีส่วนร่วมภายในเครือข่าย ซึ่งโทเคนเหล่านี้ก็สามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ผ่านการใช้บริการของ DeFi ได้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างของ DAO ที่น่าสนใจ เพื่อให้เห็นภาพรวมว่า DAO ที่เกิดขึ้นมาแล้วในปัจจุบัน มีตัวไหนที่น่าจับตาบ้าง และแต่ละตัวถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์อะไร สำหรับ DAO ที่น่าสนใจ มีดังต่อไปนี้: 1. The DAO โปรเจ็กต์ DAO ตัวแรก ๆ บนเครือข่าย Ethereum สร้างขึ้นโดย Slock.it และเปิดตัวในเดือนเมษายน ปี 2559 The DAO เป็นโปรเจ็คเกี่ยวกับการระดมทุน (Crowdfunding) ตัวหนึ่งที่เคยใหญ่ที่สุดของ Ethereum โดยมีนักลงทุนสนใจร่วมลงทุนกับ The DAO มากกว่า 11,000 คน โดยคอนเซ็ปท์ของ The DAO คือการมอบอำนาจให้นักลงทุนมีส่วนร่วมตัดสินใจว่าควรนำเงินลงทุนไปลงกับโปรเจ็กต์ไหน หากโปรเจ็กต์ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนครบตามเงื่อนไขที่กำหนด Smart contract ของ The DAO ก็จะดำเนินการโอนเงินทุนที่รวบรวมได้ไปให้กับเจ้าของโปรเจ็กต์ และเมื่อโปรเจ็กต์ที่ได้เงินทุนไปสามารถสร้างผลกำไรได้ The DAO ก็จะจัดการแบ่งสัดส่วนของกำไรและจ่ายคืนให้กับนักลงทุนโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม The DAO กลับมีช่องโหว่ในชุดคำสั่งของ Smart contract ทำให้มิจฉาชีพสามารถใช้ช่องโหว่นี้ในการดูดเงินทุนที่รวบรวมมาไปยังกระเป๋าของตัวเอง เกิดความเสียหายเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี 2559 ซึ่งเป็นเวลาไม่ถึง 3 เดือนหลังจากการเปิดตัว The DAO เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ทำให้โปรเจ็ค The DAO จบสิ้นลง เหลือไว้แค่ Recovery Address ที่นักลงทุนสามารถมาเอาเหรียญส่วนหนึ่งคืนไปได้ และสร้างผลกระทบครั้งใหญ่ต่อชื่อเสียงของ Ethereum 2. Digix Global Digix Global คือโปรเจ็กต์ DAO ที่สร้างขึ้นบน Ethereum ในปี 2557 โดย Digix เป็นการนำทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 99.99% มาผูกกับโทเคนดิจิทัล DGX ในอัตรา 1 DGX = ทองคำหนัก 1 กรัม โดยทองคำจะถูกเก็บรักษาไว้ในห้องนิรภัยที่อยู่ในประเทศออสเตรเลียและแคนาดา ขณะที่สินทรัพย์ดิจิทัลจะถูกเก็บรักษาอยู่ใน Cold Storage และกำหนดให้มีการทำ Audit ทุก ๆ 3 เดือน โดยหน่วยงานที่เป็นบุคคลที่สาม ซึ่งโปรเจ็กต์นี้มีการบริหารกันแบบ DAO ผ่าน Governance token ที่เรียกว่า DGD 3. MakerDAO MakerDAO คือแพลตฟอร์มสำหรับการกู้ยืม (Lending Platform) บน Ethereum ที่ผู้กู้จะได้เป็นเหรียญ Dai ที่เป็น Stablecoin ออกมา โดยเหรียญ Dai จะมีอัตราคงที่อยู่ที่ 1 Dai = 1 ดอลลาร์ ผ่านการผูกมูลค่ากับสกุลเงินดิจิทัล ผู้กู้สามารถนำเหรียญ Dai ไปแลกเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์อื่น ๆ ต่อไปได้ ซึ่ง MakerDAO สามารถรักษามูลค่าของเหรียญ Dai ให้คงที่ผ่านการคิดอัตราดอกเบี้ย (Interest rate) รวมถึงการลดหรือเพิ่มอุปทานของเหรียญเพื่อรักษามูลค่าให้คงที่โดยอัตโนมัติด้วย Smart contract โดยมีหรียญ MKR ที่เป็น Governance Token ของ MakerDAO ผู้ถือเหรียญนี้จะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมออกเสียงปรับปรุงและพัฒนาแพลตฟอร์มได้ สรุป DAO ก็คือการบริหารองค์กรรูปแบบหนึ่งที่ถูกเขียนขึ้นมาให้อยู่ในรูปแบบคำสั่งทางคอมพิวเตอร์บน Smart contract ของเครือข่าย Blockchain จึงทำให้ทุกคนในเครือข่ายสามารถตรวจสอบการทำงานของ DAO และมีส่วนร่วมในการบริหารผ่านการถือ Governance Token
องค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์ DAO หรือ Decentralized Autonomous Organization คือสิ่งที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Decentralized Application หรือ DApp ที่มาจากการประยุกต์ใช้ Smart contract ร่วมกับเทคโนโลยี Blockchain เปรียบเทียบ DAO กับองค์กรทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นการรวมตัวกันเพื่อทำธุรกิจ สำหรับโครงสร้างขององค์กรทั่วไป หรือ Traditional Organization จะมีการแบ่งลำดับชั้น (Hierarchy) ที่ชัดเจน ในขณะที่กฏระเบียบต่าง ๆ ของ DAO จะถูกเขียนขึ้นมาในรูปแบบของชุดคำสั่งทางคอมพิวเตอร์ และอยู่บนเครือข่าย Blockchain ที่มีการเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) นั่นจึงทำให้ทุกคนที่อยู่ในเครือข่ายสามารถตรวจสอบได้ว่าชุดคำสั่งของ DAO นั้น ๆ วัตถุประสงค์อะไร สำหรับ DAO ที่น่าสนใจ 1. The DAO โปรเจ็กต์ DAO ตัวแรก ๆ บนเครือข่าย Ethereum โดยคอนเซ็ปท์ของ The DAO คือการมอบอำนาจให้นักลงทุนมีส่วนร่วมตัดสินใจว่าควรนำเงินลงทุนไปลงกับโปรเจ็กต์ไหน เมื่อโปรเจ็กต์ที่ได้เงินทุนไปสามารถสร้างผลกำไรได้ The DAO ก็จะจัดการแบ่งสัดส่วนของกำไรและจ่ายคืนให้กับนักลงทุนโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม The DAO กลับมีช่องโหว่ในชุดคำสั่งของ Smart contract ทำให้มิจฉาชีพสามารถใช้ช่องโหว่นี้ในการดูดเงินทุนที่รวบรวมมาไปยังกระเป๋าของตัวเอง 2. Digix Global Digix Global คือโปรเจ็กต์ DAO ที่สร้างขึ้นบน Ethereum ในปี 2557 เป็นการนำทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 99.99% มาผูกกับโทเคนดิจิทัล DGX ในอัตรา 1 DGX = ทองคำหนัก 1 กรัม โดยทองคำจะถูกเก็บรักษาไว้ในห้องนิรภัยที่อยู่ในประเทศออสเตรเลียและแคนาดา ขณะที่สินทรัพย์ดิจิทัลจะถูกเก็บรักษาอยู่ใน Cold Storage และกำหนดให้มีการทำ Audit ทุก ๆ 3 เดือน 3. MakerDAO MakerDAO คือแพลตฟอร์มสำหรับการกู้ยืม (Lending Platform) บน Ethereum ผู้กู้สามารถนำเหรียญ Dai ไปแลกเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์อื่น ๆ ต่อไปได้ สรุป DAO ก็คือการบริหารองค์กรรูปแบบหนึ่งที่ถูกเขียนขึ้นมาให้อยู่ในรูปแบบคำสั่งทางคอมพิวเตอร์บน Smart contract ของเครือข่าย Blockchain จึงทำให้ทุกคนในเครือข่ายสามารถตรวจสอบการทำงานของ DAO และมีส่วนร่วมในการบริหารผ่านการถือ Governance Token
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,12.การเงินดิจิทัล
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1691
Finance
นักลงทุน “มือใหม่” ไม่เคยลงทุนแบบเดียวกับที่อเมริกา เพราะเหตุใด
null
พวกเขาส่วนใหญ่เป็น “มือใหม่” ไม่เคยลงทุนแบบเดียวกับที่อเมริกา เหตุผลที่เข้าตลาดคือ เกิดจากโควิดที่ทำให้ตกงานและอยู่กับบ้าน เครื่องมือลงทุนสำหรับรายย่อยก็พร้อมและไม่ได้เสียเปรียบรายใหญ่ เช่นเดียวกับข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้ฟรี เม็ดเงินที่ใช้ลงทุนนั้นว่าที่จริงไม่เคยสูงอยู่แล้วและมีเงินแค่หลักพันบาทก็เล่นหุ้นได้สบายมาก ไม่เหมือนของตลาดหุ้นอเมริกาในสมัยก่อนแค่ไม่เกิน 10 ปีที่ต้องใช้เงินซื้อ-ขายหุ้นสูงเนื่องจากหุ้นส่วนใหญ่มีราคาสูงมาก ราคาหุ้นละหลายพันหรือหลายหมื่นบาทเป็นเรื่องปกติ หุ้นเบิร์กไชร์ของบัฟเฟตต์เองนั้นราคาหุ้นละเป็นหลายล้านบาท นักลงทุนรุ่นใหม่ที่เข้าตลาดหุ้นรอบนี้ก็เช่นเดียวกับที่อเมริกา คือ มีอายุค่อนข้างต่ำ คาดว่าก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 30 เศษ ๆ เป็นส่วนใหญ่ และเป็นนักลงทุนที่กล้าได้กล้าเสียเล่นเร็วซึ่งทั้งหมดทำให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันของตลาดหุ้นไทยสูงเป็นแสนล้านบาทกลายเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับที่ตลาดหุ้นเวียตนามที่โวลุมสูงเป็นประวัติการณ์เป็นหลักหมื่นหรือสองสามหมื่นล้านบาทในบางวันจนทำให้ระบบเทรดหุ้นของตลาดรองรับไม่ไหวแล้ว การแห่เข้ามาเล่นหุ้นของนักลงทุนส่วนบุคคลรอบนี้ ทำให้เกิดการ “ผิดเพี้ยน” หรือ “ไร้เหตุผล” ของราคาหุ้นและหลักทรัพย์ต่าง ๆ รวมถึงบิทคอยน์ ในความเห็นของชาลี มังเกอร์ บอกว่า คนรุ่นใหม่เหล่านี้ไม่ได้อิงกับพื้นฐานแต่เก็งกำไรอย่างกับการเล่นม้า คำสัมภาษณ์ของเขาถูกตอบโต้ในอินเตอร์เน็ตว่า “อย่ามายุ่ง ตาแก่ขี้ฉุน” คิดว่านี่ก็คงเหมือนกับในตลาดหุ้นไทยที่หุ้นจำนวนมากที่ต่างก็วิ่งกันโดยไม่สมเหตุผลและเชื่อว่าส่วนสำคัญมาจากนักเล่นหุ้น “เก็งกำไร” โดยเฉพาะจากคนรุ่นใหม่ที่เข้ามา “รุม” หาหุ้นที่จะเล่นทุกวัน ซึ่งผลักดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปบางทีหลายเท่าในเวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน คล้าย ๆ กับหุ้นเกมสต็อปและหลักทรัพย์ “เก็งกำไร” อื่น ๆ
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1692
Finance
กองทุนที่สามารถลงทุนได้ด้วยเงินลงทุนเพียง 500 บาท มีอะไรบ้าง
งบ 500 บาท ซื้อกองทุนอะไรได้บ้าง? I POCKET MONEY EP6 ​  แบงค์ ๕๐๐ บาท 1 ใบลงทุนอะไรได้บ้าง ? เรารวบรวมกองทุนที่สามารถลงทุนได้ด้วยเงินลงทุนเพียง 500 บาทไว้ที่นี่แล้ว ข้อมูลผลตอบแทนจาก FINNOMENA Fund ณ วันที่ 13 ม.ค. 2564 FINNOMENA Fund สามารถอัปเดตข้อมูลล่าสุดที่ FINNOMENA Fund FINNOMENA Fund สรุปแต่ละกองทุนสั้น ๆ ONE-UGG-RA กองทุนหลักที่ไปลงทุน: Baillie Gifford Worldwide Long Term Global Growth Fund ลงทุนใน: หุ้นเติบโตทั่วโลก รับโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะยาว โดยจะลงทุนในกองทุนหลัก เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงค่าเงิน: ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงกองทุน: 6 – เสี่ยงสูง ตัวอย่างหุ้นในพอร์ต: Tesla, Meituan, Tencent (ข้อมูล ณ วันที่ 31/1/2021) อ่านบทความรีวิวเพิ่มเติม: รีวิวกองทุน ONE-UGG-RA : กองทุนหุ้นเติบโตทั่วโลก คว้าโอกาสแห่งอนาคต รีวิวกองทุน ONE-UGG-RA : กองทุนหุ้นเติบโตทั่วโลก คว้าโอกาสแห่งอนาคต K-CHANGE-A(A) กองทุนหลักที่ไปลงทุน: Baillie Gifford Positive Change Fund – Class B accumulation (GBP) ลงทุนใน: หุ้นที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม โดยจะลงทุนในกองทุนหลักเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงค่าเงิน: บางส่วน โดยป้องกันไม่น้อยกว่า 75% ของเงินลงทุนในต่างประเทศ ความเสี่ยงกองทุน: 6 – เสี่ยงสูง ตัวอย่างหุ้นในพอร์ต: Tesla, M3, TSMC (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) อ่านบทความรีวิวเพิ่มเติม: รีวิวกองทุน K-CHANGE-A (A) กองทุนผลตอบแทนเยี่ยมที่ให้คุณ “ช่วยโลก” ได้ เพียงแค่ลงทุน รีวิวกองทุน K-CHANGE-A (A) กองทุนผลตอบแทนเยี่ยมที่ให้คุณ “ช่วยโลก” ได้ เพียงแค่ลงทุน K-USA-A(A) กองทุนหลักที่ไปลงทุน: Morgan Stanley Investment Funds US Advantage Fund – I Shares ลงทุนใน: หุ้นบริษัทปัจจัยพื้นฐานดี แบรนด์เป็นที่นิยม มีกระแสเงินสดอิสระแข็งแรง โดยจะลงทุนใน กองทุนหลักเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงค่าเงิน: บางส่วน โดยป้องกันไม่น้อยกว่า 75% ของเงินลงทุนในต่างประเทศ ความเสี่ยงกองทุน: 6 – เสี่ยงสูง ตัวอย่างหุ้นในพอร์ต: Amazon, Twitter, Intuitive Surgical (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) อ่านบทความรีวิวเพิ่มเติม: รีวิวกองทุน K-USA-A กองทุนคุณภาพดี ตัวแทนการลงทุนในชาติอเมริกา รีวิวกองทุน K-USA-A กองทุนคุณภาพดี ตัวแทนการลงทุนในชาติอเมริกา TMB-ES-CHINA-A กองทุนหลักที่ไปลงทุน: UBS (Lux) IS – China A Opportunity Class I-A2-acc ลงทุนใน: หุ้นจีน A Shares (จดทะเบียนและเทรดกันในจีนแผ่นดินใหญ่) โดยจะลงทุนในกองทุนหลัก เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงค่าเงิน: ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงกองทุน: 6 – เสี่ยงสูง ตัวอย่างหุ้นในพอร์ต: Kweichow Moutai, Wuliangye Yibin, Jiangsu Hengrui Medicine (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) Kweichow Moutai, Wuliangye Yibin, Jiangsu Hengrui Medicine (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) Kweichow Moutai, Wuliangye Yibin, Jiangsu Hengrui Medicine (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) Hengrui อ่านบทความรีวิวเพิ่มเติม: รีวิวกองทุน TMB-ES-CHINA-A: เรื่องจริงไม่อิงนิยาย สรุปปาฏิหาริย์ประเทศจีน รีวิวกองทุน TMB-ES-CHINA-A: เรื่องจริงไม่อิงนิยาย สรุปปาฏิหาริย์ประเทศจีน TMB-ES-GINNO กองทุนหลักที่ไปลงทุน: Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Class A USD ลงทุนใน: หุ้นด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ โดยจะลงทุนในกองทุนหลักเฉลี่ยใน รอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงค่าเงิน: ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงกองทุน: 6 – เสี่ยงสูง ตัวอย่างหุ้นในพอร์ต: Tesla, Roku, CRISPR Therapeutics (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) อ่านบทความรีวิวเพิ่มเติม: รีวิวกองทุน TMB-ES-GINNO: กองทุนแห่งนวัตกรรมสู่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ รีวิวกองทุน TMB-ES-GINNO: กองทุนแห่งนวัตกรรมสู่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ B-INNOTECH กองทุนหลักที่ไปลงทุน: Fidelity Funds – Global Technology Fund Class Y-ACC-USD ลงทุนใน: หุ้นที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี โดยจะลงทุนในกองทุนหลักเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงค่าเงิน: ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงกองทุน: 7 – เสี่ยงสูง ตัวอย่างหุ้นในพอร์ต: Microsoft, Apple, Alphabet (ข้อมูล ณ วันที่ 31/1/2021) อ่านบทความรีวิวเพิ่มเติม: รีวิวกองทุน B-INNOTECH เทคโนโลยีไม่ใช่แค่กระแส แต่คือมาตรฐานใหม่ รีวิวกองทุน B-INNOTECH เทคโนโลยีไม่ใช่แค่กระแส แต่คือมาตรฐานใหม่ คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุนรวม โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้ขายหน่วยลงทุนก่อนการตัดสินใจลงทุน I ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต I กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย I ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน I สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
กองทุนที่สามารถลงทุนได้ด้วยเงินลงทุนเพียง 500 บาท ได้แก่ ONE-UGG-RA กองทุนหลักที่ไปลงทุน: Baillie Gifford Worldwide Long Term Global Growth Fund ลงทุนใน: หุ้นเติบโตทั่วโลก รับโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะยาว โดยจะลงทุนในกองทุนหลัก เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงค่าเงิน: ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงกองทุน: 6 – เสี่ยงสูง ตัวอย่างหุ้นในพอร์ต: Tesla, Meituan, Tencent (ข้อมูล ณ วันที่ 31/1/2021) K-CHANGE-A(A) กองทุนหลักที่ไปลงทุน: Baillie Gifford Positive Change Fund – Class B accumulation (GBP) ลงทุนใน: หุ้นที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม โดยจะลงทุนในกองทุนหลักเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงค่าเงิน: บางส่วน โดยป้องกันไม่น้อยกว่า 75% ของเงินลงทุนในต่างประเทศ ความเสี่ยงกองทุน: 6 – เสี่ยงสูง ตัวอย่างหุ้นในพอร์ต: Tesla, M3, TSMC (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) K-USA-A(A) กองทุนหลักที่ไปลงทุน: Morgan Stanley Investment Funds US Advantage Fund – I Shares ลงทุนใน: หุ้นบริษัทปัจจัยพื้นฐานดี แบรนด์เป็นที่นิยม มีกระแสเงินสดอิสระแข็งแรง โดยจะลงทุนใน กองทุนหลักเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงค่าเงิน: บางส่วน โดยป้องกันไม่น้อยกว่า 75% ของเงินลงทุนในต่างประเทศ ความเสี่ยงกองทุน: 6 – เสี่ยงสูง ตัวอย่างหุ้นในพอร์ต: Amazon, Twitter, Intuitive Surgical (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) TMB-ES-CHINA-A กองทุนหลักที่ไปลงทุน: UBS (Lux) IS – China A Opportunity Class I-A2-acc ลงทุนใน: หุ้นจีน A Shares (จดทะเบียนและเทรดกันในจีนแผ่นดินใหญ่) โดยจะลงทุนในกองทุนหลัก เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงค่าเงิน: ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงกองทุน: 6 – เสี่ยงสูง ตัวอย่างหุ้นในพอร์ต: Kweichow Moutai, Wuliangye Yibin, Jiangsu Hengrui Medicine (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) TMB-ES-GINNO กองทุนหลักที่ไปลงทุน: Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Class A USD ลงทุนใน: หุ้นด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ โดยจะลงทุนในกองทุนหลักเฉลี่ยใน รอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงค่าเงิน: ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงกองทุน: 6 – เสี่ยงสูง ตัวอย่างหุ้นในพอร์ต: Tesla, Roku, CRISPR Therapeutics (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) B-INNOTECH กองทุนหลักที่ไปลงทุน: Fidelity Funds – Global Technology Fund Class Y-ACC-USD ลงทุนใน: หุ้นที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี โดยจะลงทุนในกองทุนหลักเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงค่าเงิน: ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงกองทุน: 7 – เสี่ยงสูง ตัวอย่างหุ้นในพอร์ต: Microsoft, Apple, Alphabet (ข้อมูล ณ วันที่ 31/1/2021)
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1693
Finance
การเล่น block trade มีเทคนิคอย่างไรบ้าง
ความประมาท นอกจากทำให้ตาย ยังทำคนอื่นเดือดร้อน ​ มีนักลงทุนในห้อง Line แฟนเพจ Ping Prakit ถามผมว่า “สอบถามความเห็นคุณปิง หรือพี่ ๆ ในห้องหน่อยครับ คิดยังไงกับการเลือกหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่มี mos ประมาณนึง/ ยัง laggard อยู่แต่ใช้ leverage เยอะ ๆ โดยถือใน blocktrade ครับ” ผมถามกลับว่า mos คืออะไร เค้าตอบกลับมาว่า margin of safety ผมก็อ่อ แหม่ เราก็นึกว่า มอส ปฏิภาณ เมื่อมีคนได้อ่านคำถามข้างต้น สมาชิกในห้อง Line บางท่านได้ช่วยตอบว่า “เดาว่าอาจารย์ปิงน่าจะหมายความว่าถ้ามี mos ก็ไม่ควรเล่น block trade ตั้งแต่แรกครับ” ส่วนผม ผมตอบกลับไปโดยอ้างอิงถึงสิ่งที่เพื่อนสมัยเรียน ป.ตรี ถามผม เพื่อนถามมาว่า ปิง สอนเล่น block trade หน่อยจิ ว่ามีเทคนิค ยังไงบ้างค้าบ ผมตอบเพื่อนว่า 1. อนุพันธ์มัน leverage สูง มักจะทำให้คนที่เล่นจัดการอารมณ์ยาก ไป ๆ มา ๆ จึงเหมือนพนัน ถ้าให้แนะนำจริง ๆ คือ ไม่ควรไปเล่นอันตราย 2. แต่หากอ่านเกมหุ้นที่เราสนใจได้ยาวจริง ๆ การเล่น block ก็น่าสนใจ เน้นซื้อแล้วกอดยาว ผลตอบแทนมหาศาล สรุปก็คือไม่ควรไปซื้อ ๆ ขาย ๆ อะ รอจังหวะเจอหุ้นที่วิ่งยาวแน่ ๆ ก็ซัด block เลย เพื่อนตอบมาว่า อ่อ เทรดสั้น ๆ เก็งกำไรไม่เหมาะ แต่ block trade มีอายุใช่มั้ยปิง อ่านเกมส์หุ้นมันยากน่ะสิเนอะ นึกว่าจะมาไม่มา ผมตอบอีกว่า มีนะ แต่ถ้าเอา series ยาว ๆ หน่อยก็ถือได้เกือบปี แต่ดอกเบี้ยบาน เพื่อนชวนคุยต่อ นึกว่า มันเป็นแบบเล่นสั้น ๆ เก็งกำไร พอวิ่ง 3-4 ช่องก็ขายแล้ว อะไรแบบนี้ ผมบอกเพื่อนว่า ถ้าทำแบบนี้ จะเข้าสู่วงโคจรการเทรดในอนุพันธ์ ปลายทาง เจ๊ง แน่นวล เพื่อนอ่านแล้วเขียนกลับมาว่า อะเคร เข้าใจผิดมาตลอด ต้องเปลี่ยนความคิดในการเล่นใหม่ละ แสดงว่า bt เหมาะกับคนดูกราฟเก่ง ๆ ผมตอบว่า ไม่ใช่ มันเหมาะกับคนที่อ่านหุ้นระยะยาวขาด ๆ ผมยกตัวอย่างที่ผมสนทนากับเพื่อน เป็นคำตอบให้กับสมาชิกในห้อง Line Fan Page และผมก็เขียนบางสิ่งต่อไปด้วยว่า สรุป ถ้าอ่านหุ้นได้ยาว มั่นใจก็ใส่ block ไปเลย แต่ในส่วนตัวของผม ผมไม่เคยแตะ block แม้จะอ่านเกมหุ้นได้ยาวก็ตาม เพราะหากผมเล่น Block จะเกิดอคติบังตา อคติบังตาจะทำให้มองไปทางนั้นอย่างเดียว เชื่อในข้อมูลตัวเองอย่างเดียว ขณะที่ผมมีหน้าที่ใหญ่คือต้องแนะนำ ออกสื่อ และวางแผนกลยุทธ์ให้กับคนหลายคน ถ้าเกิดความผิดพลาด อคติจะทำให้ผมดื้อ และจะกลายเป็นความเสียหายที่รุนแรง นอกจากตัวเองแล้ว คนอื่น ๆ ที่เชื่อผม ได้พังกันหมด ผมถือคติว่า โลกการลงทุนกว้างใหญ่ ผมไม่จำเป็นต้องเร่งตัวเอง และเร่งคนที่ผมดูแล ผมขอไปช้า ๆ รวยช้า ๆ และปลอดภัยดีกว่า การเดินทางไปแพร่ แม้ผมจะมีรถถังแข็งแกร่ง เครื่อง 390 แรงม้า ผมก็ยังเลือกที่จะขับไม่เกิน 120 กม/ชม. ใช้เวลากว่า 9 ชม. กว่าจะถึงแพร่ ทั้ง ๆ ที่เอาจริง 6 ชม. ผมก็ถึงได้ เพราะอะไร? เพราะต่อให้เรามีสุดยอดเครื่องมือ มีความรู้ มีความชำนาญระดับปรมาจารย์ แต่โลกใบนี้ทะลึ่งมีแต่คำว่าไม่แน่นอน และความซวยพร้อมเกิดกับเราเสมอ ซวยคนเดียวไม่พอ อาจพานพาให้ครอบครัวและคนอื่นพลอยเดือดร้อนตามไปด้วย ดังนั้นเราจึงไม่ควรประมาทกับทุกสิ่งครับ จะช้า จะเร็ว ยังไง ๆ ก็ถึงเหมือนกัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อความนี้จะเป็นประโยชน์ ตื่นขึ้นมาเพราะลูกปลุก ณ 4.30 น. ประกิต สิริวัฒนเกตุ
การเล่น block trade มีเทคนิคดังนี้ 1. อนุพันธ์มัน leverage สูง มักจะทำให้คนที่เล่นจัดการอารมณ์ยาก ไป ๆ มา ๆ จึงเหมือนพนัน ถ้าให้แนะนำจริง ๆ คือ ไม่ควรไปเล่นอันตราย 2. แต่หากอ่านเกมหุ้นที่สนใจได้ยาวจริง ๆ การเล่น block ก็น่าสนใจ เน้นซื้อแล้วกอดยาว ผลตอบแทนมหาศาล สรุปก็คือ ไม่ควรไปซื้อ ๆ ขาย ๆ รอจังหวะเจอหุ้นที่วิ่งยาวแน่ ๆ ก็ซัด block เลย เทรดสั้น ๆ เก็งกำไรไม่เหมาะ แต่ block trade มีอายุใช่ไหม อ่านเกมส์หุ้นมันยาก คำตอบคือ มี แต่ถ้าเอา series ยาว ๆ หน่อยก็ถือได้เกือบปี แต่ดอกเบี้ยบาน มันเป็นแบบเล่นสั้น ๆ เก็งกำไร พอวิ่ง 3-4 ช่องก็ขายแล้ว ถ้าทำแบบนี้ จะเข้าสู่วงโคจรการเทรดในอนุพันธ์ ปลายทาง อาจจะเจ๊ง แน่นอน เทคนิคนี้มันเหมาะกับคนที่อ่านหุ้นระยะยาวขาด ๆ สรุป ถ้าอ่านหุ้นได้ยาว มั่นใจก็ใส่ block ไปเลย แต่แม้จะอ่านเกมหุ้นได้ยาวก็ตาม การเล่น Block จะเกิดอคติบังตา อคติบังตาจะทำให้มองไปทางนั้นอย่างเดียว เชื่อในข้อมูลตัวเองอย่างเดียว ถ้าเกิดความผิดพลาด อคติจะทำให้ดื้อ และจะกลายเป็นความเสียหายที่รุนแรง นอกจากตัวเองแล้ว คนอื่น ๆ ที่เชื่อได้พังกันหมด โลกการลงทุนกว้างใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเร่งตัวเอง และเร่งคนที่ดูแล ขอไปช้า ๆ รวยช้า ๆ และปลอดภัยดีกว่า
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1695
Finance
จงบอก 5 เหตุผลทำไมถึงต้องลงทุนในหุ้น E-commerce
null
5 เหตุผลทำไมถึงต้องลงทุนในหุ้น E-commerce - E-commerce เป็นทางเลือกที่ปฏิเสธไม่ได้ของธุรกิจรายย่อย ที่ต้องการความคล่องตัวสูง ทุนไม่จม ไม่เจ็บหนัก หรือ ไม่เจ็บเลยหากไม่สต็อคสินค้า รวมไปถึงรายใหญ่ที่ต้องปรับตัวเข้ามาต่อสู้แย่งชิงพื้นที่ในตลาดนี้มากขึ้น หลังตลาด E-commerce เติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตราที่สูงมาก ๆ - ยอดขายออนไลน์ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบแบบทบต้นที่ 20% ต่อปี ในช่วงปี 1999-2020 จากรายงานของกระทรวงการค้าสหรัฐฯ - มีการคาดการณ์ว่าจำนวนนักช้อปออนไลน์จะเติบโตที่ 25% ต่อปี ในช่วงปี 2019-2023 - E-commerce กำลังเข้ามาแย่งพื้นที่ในโลกของการค้าขายแบบมีหน้าร้าน โดยครองพื้นที่สัดส่วนอยู่ที่ 21.3% ของยอดขายสินค้าทั้งหมดในปี 2020 และมีแนวโน้มเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลในอดีต - ตลาด E-commerce เติบโตแบบก้าวกระโดดในปี 2020 หลัง COVID-19 เข้ามาเร่งอัตราการเติบโตในระดับที่สูงมาก ๆ E-commerce จึงอาจเป็นแนวโน้มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีแนวโน้มปัจจัยพื้นฐานยืนยันอย่างชัดเจน นโยบายการลงทุนและความเสี่ยง ลงทุนในหุ้นจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่ทำธุรกิจ มีรายได้หรือได้ประโยชน์จากธุรกิจอีคอมเมิร์ซจากทางตรงหรือทางอ้อม เช่น บริษัทที่ทำการซื้อขายสินค้าหรือให้บริการออนไลน์ ลงทุนในหุ้นต่างประเทศตามลักษณะข้างต้น ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ต่างประเทศ ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดโดยกองทุนจะมี net exposure ในตราสารทุนต่างประเทศตามลักษณะข้างต้น รวมกันโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ระดับความเสี่ยงระดับ 6
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1699
Finance
ผลลัพธ์ของค่าธรรมเนียมในการซื้อขายคริปโตแตกต่างกันอย่างไร?
 FINNOMENA · Quantable Podcast EP11 : กลยุทธ์ MACD ในคริปโตกับผลลัพธ์ที่แตกต่างของค่าธรรมเนียม Quantable Podcast EP11 : กลยุทธ์ MACD ในคริปโตกับผลลัพธ์ที่แตกต่างของค่าธรรมเนียม ช่วงต้นปี 2021 ที่ผ่านมานั้นหัวข้อการสนทนาของนักลงทุนรวมถึงเทรดเดอร์หลายคนน่าจะหนีไม่พ้นเรื่องของผลตอบแทนที่ค่อนข้างเยอะของสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างเช่น Bitcoin ที่ปรับตัวขึ้นมากว่า 700 % จากต้นปี 2020 จนไปทำจุดสูงสุดที่ 1,800,000 บาทก่อนเกิดการปรับฐานครั้งสำคัญ อย่างที่ทุกคนจะทราบกันดีว่าสินทรัพย์ไหนก็ตามเมื่อราคาปรับตัวขึ้นจะลงทุนอย่างไร เล่นยาวเล่นสั้น หรือแม้กระทั่งเดย์เทรดซื้อขายรายวันก็ยังมีโอกาสได้กำไรมากกว่าขาดทุน แต่หลายสิ่งที่เราลืมนึกถึงไปเลยก็คือเรื่องของ “ต้นทุนในการทำธุรกรรม” 2021 Bitcoin 700 % 2020 1,800,000 “ ” หากเราได้กำไรจากการลงทุนไม่ว่าจะมากหรือน้อย เรามักจะหลงลืมดูเรื่องต้นทุนในการทำธุรกรรมหรือค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย เพราะมีผลต่อพอร์ตเรามากแบบที่นึกไม่ถึงเลยทีเดียวครับ เวลาที่เราทำธุรกิจซื้อของมาขายต่อ การผลิตของเพื่อมาขายต่อ เรากังวลและให้ความสำคัญมากกับเรื่องต้นทุน ทำทุกทางเพื่อให้ต้นทุนถูกลง แต่ยามเทรดกลับมองข้ามประเด็นนี้ไป บทความนี้จะมาขยายความและทำการบ้านเรื่องนี้ให้ทุกคนดูครับ ยิ่งซื้อขายบ่อยเท่าไหร่ ค่าธรรมเนียมยิ่งสำคัญ ในการทดสอบครั้งนี้ขอหยิบเครื่องมือง่าย ๆ ที่หลายคนรู้จักกันดีมาเป็นสัญญาณซื้อ สัญญาณขาย ก็คือเครื่องมือที่ชื่อว่า Moving Average Convergence Divergence (MACD) โดยมีสมมติฐานและเงื่อนไขดังนี้ครับ Moving Average Convergence Divergence (MACD) เงินลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท ช่วงเวลาที่ทำการทดสอบ 1/1/2015 – 31/12/2020 สัญญาณซื้อ – ขาย = MACD > Signal , MACD < Signal สินทรัพย์ที่ทำการทดสอบ BTC , ETH ค่าธรรมเนียม = 0.25 % , 0 % 1 ช่วงเวลาที่ทำการทดสอบ สัญญาณซื้อ ขาย BTC , ETH ค่าธรรมเนียม ถ้าอยากรู้กันแล้วว่าผลการทดสอบนั้นแตกต่างกันแค่ไหน ตามมาดูกันเลยครับ ซื้อขายบิทคอยน์แบบเสียค่าธรรมเนียม จากภาพประกอบจะเห็นได้ชัดเลยว่า สินทรัพย์ที่เติบโตสูงและเป็นขาขึ้นอย่าง Bitcoin จะใช้วิธีการไหน ท่าไหน ก็สามารถทำให้พอร์ตเติบโตได้ อย่างกลยุทธ์การดู MACD Cross Signal เป็นสิ่งที่หลายคนรู้จัก เคยศึกษา เคยใช้ประกอบการตัดสินใจมาแล้ว เราจึงหยิบมายกตัวอย่างเพื่อชี้ให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ไม่ได้มีเจตนาชี้นำว่าใช้วิธีการนี้แล้วจะดีในอนาคตนะครับ Bitcoin MACD Cross Signal ผลลัพธ์ที่ได้คือจากเงิน 1 ล้านบาทขยับไปเป็น 35 ล้านภายใน 6 ปี คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้น 81 % มีการเทรดทั้งหมด 80 ครั้ง ผลกำไรต่อครั้งโดยเฉลี่ย 20 % ขาดทุนต่อครั้ง 6.7 % และข้อสำคัญคือกว่า 80 รอบที่ทำการเทรดซื้อขาย ๆ เราเสียค่าธรรมเนียมไป 3.3 ล้านบาท!!! 1 35 6 81 % 80 20 % 6.7 % 80 3.3 !!! ซื้อขายบิทคอยน์แบบไม่เสียค่าธรรมเนียม ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมื่อเราไม่ต้องเสียต้นทุนการทำธุรกรรมหรือค่าธรรมเนียมในการซื้อขายผลลัพธ์จะแตกต่างกันขนาดนี้ จากเงิน 1 ล้านบาทเท่ากันกลายมาเป็น 52.8 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 94 % จำนวนการเทรด 80 ครั้ง กำไรโดยเฉลี่ยต่อครั้ง 21 % ขาดทุนเฉลี่ยต่อครั้ง 6.2 % ทั้ง ๆ ที่ใช้สัญญาณซื้อขายเดียวกัน จำนวนเงินเท่ากันแต่ทำไมพอณืตถึงโตต่างกันได้มากขนาดนี้… 1 52.8 94 % 80 21 % 6.2 % … สาเหตุก็เป็นเพราะว่า ในทุกครั้งที่เราเข้าไป Action ในตลาด จะซื้อจะขาย จะกำไรหรือขาดทุน เราจะถูกหัก Value บางส่วนเล็ก ๆ จากพอร์ตเสมอ นั่นทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นตลอดครับ Action Value เวลากำไรก็ถูกหัก Value บางส่วนออกไป เวลาขาดทุนก็ถูกหัก Value บางส่วนออกไป Value Value ซึ่งในส่วนนี้ไม่นับการลงทุนผ่านกองทุนรวมนะครับ เพราะลงทุนผ่านกองทุนคือการที่เราให้ผู้เชี่ยวชาญบริหารจัดการพอร์ตให้เรา ซึ่งการดูแลเหล่านั้นมีต้นทุนบ้างอยู่แล้ว ในกรณีนี้หมายถึงการเทรดด้วยตนเองเท่านั้น เมื่อเรา Run Model นี้ไปเรื่อย ๆ เวลากำไรถูกดึงเงินออก เวลาขาดทุนก็ถูกดึงเงินออก แม้ครั้งแรกอาจเป็นเงินที่ไม่เยอะ แต่เมื่อหลายครั้งมากขึ้น เราเทรดบ่อยขึ้น ยาวนานขึ้น การทบต้นของเงินก็จะน้อยกว่าการไม่เสียต้นทุนหรือเสียต้นทุนถูกกว่าอยู่แล้วครับ Run Model ซื้อขายอีเธอเรียมแบบเสียค่าธรรมเนียม อีเธอเรียมคืออีกหนึ่งเหรียญที่ปรับตัวขึ้นแรงมากในปีที่ผ่านมา แรงกว่า Bitcoin ด้วยซ้ำแต่หลายคนมักไม่ค่อยพูดถึง หากนับจากช่วงต้นปี 2020 อีเธอเรียมปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดก่อนการปรับฐานกว่า 1,500 % เรามาดูผลลัพธ์กันครับว่าถ้าเราเป็นสายเทรดโดยใช้ MACD และ Signal โดยที่เสียค่าธรรมเนียมกับไม่เสียค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันมากแค่ไหน Bitcoin 2020 1,500 % MACD Signal จากเงินหนึ่งล้านบาท กลายเป็น 273 ล้านภายใน 6 ปี คิดเป็นผลตอบแทน 155 % ต่อปี ผลกำไรเฉลี่ยต่อครั้ง 50 % ขาดทุนเฉลี่ยต่อครั้ง 9.18 % และเสียค่าธรรมเนียมถึง 34.8 ล้านบาท !!! หากนำค่าธรรมเนียมนี้มาคิดเป็นสัดส่วนของมูลค่าพอร์ตจะอยู่ที่เกือบ 13 % เลยทีเดียว 273 6 155 % 50 % 9.18 % 34.8 !!! 13 % ซื้อขายอีเธอเรียมแบบไม่เสียค่าธรรมเนียม ส่วนพอร์ตที่ไม่คิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายนั้นผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ถ้านับแค่เงินในพอร์ตนั้นต่างกันถึง 103 ล้านหรือกว่า 37 % ครับ 103 37 % ทุกปัจจัยล้วนมีผลต่อการพอร์ตลงทุนเราเสมอ ทุกองค์ประกอบที่เราเคยหยิบมาคุยกันไม่ว่าจะเป็นสัญญาณซื้อ สัญญาณขาย การวางเงิน การบริหารพอร์ต การกระจายความเสี่ยง หรือแม้กระทั่งการคุมต้นทุนให้น้อยที่สุด ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้พอร์ตแตกต่างกับนักลงทุนท่านอื่น ๆ อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นเลือกให้ดีนะครับ ทุกการตัดสินใจในวันนี้คือผลลัพธ์ที่แตกต่างในวันพรุ่งนี้เสมอครับ
ในการทดสอบครั้งนี้ขอหยิบเครื่องมือง่าย ๆ ที่หลายคนรู้จักกันดีมาเป็นสัญญาณซื้อ สัญญาณขาย ก็คือเครื่องมือที่ชื่อว่า Moving Average Convergence Divergence (MACD) โดยมีสมมติฐานและเงื่อนไขดังนี้ เงินลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท ช่วงเวลาที่ทำการทดสอบ 1/1/2015 – 31/12/2020 สัญญาณซื้อ – ขาย = MACD > Signal , MACD < Signal สินทรัพย์ที่ทำการทดสอบ BTC , ETH ค่าธรรมเนียม = 0.25 % , 0 % ซื้อขายบิทคอยน์แบบเสียค่าธรรมเนียม จากเงิน 1 ล้านบาทขยับไปเป็น 35 ล้านภายใน 6 ปี คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้น 81 % มีการเทรดทั้งหมด 80 ครั้ง ผลกำไรต่อครั้งโดยเฉลี่ย 20 % ขาดทุนต่อครั้ง 6.7 % และข้อสำคัญคือกว่า 80 รอบที่ทำการเทรดซื้อขาย ๆ เราเสียค่าธรรมเนียมไป 3.3 ล้านบาท ซื้อขายบิทคอยน์แบบไม่เสียค่าธรรมเนียม จากเงิน 1 ล้านบาทเท่ากันกลายมาเป็น 52.8 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 94 % จำนวนการเทรด 80 ครั้ง กำไรโดยเฉลี่ยต่อครั้ง 21 % ขาดทุนเฉลี่ยต่อครั้ง 6.2 % ทั้ง ๆ ที่ใช้สัญญาณซื้อขายเดียวกัน สาเหตุก็เป็นเพราะว่า ในทุกครั้งที่เราเข้าไป Action ในตลาด จะซื้อจะขาย จะกำไรหรือขาดทุน เราจะถูกหัก Value บางส่วนเล็ก ๆ จากพอร์ตเสมอ นั่นทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นตลอด 1.เวลากำไรก็ถูกหัก Value บางส่วนออกไป 2.เวลาขาดทุนก็ถูกหัก Value บางส่วนออกไป ซึ่งในส่วนนี้ไม่นับการลงทุนผ่านกองทุนรวม เพราะลงทุนผ่านกองทุนคือการที่เราให้ผู้เชี่ยวชาญบริหารจัดการพอร์ตให้เรา ซึ่งการดูแลเหล่านั้นมีต้นทุนบ้างอยู่แล้ว ในกรณีนี้หมายถึงการเทรดด้วยตนเองเท่านั้น เมื่อ Run Model นี้ไปเรื่อย ๆ เวลากำไรถูกดึงเงินออก เวลาขาดทุนก็ถูกดึงเงินออก แม้ครั้งแรกอาจเป็นเงินที่ไม่เยอะ แต่เมื่อหลายครั้งมากขึ้น เราเทรดบ่อยขึ้น ยาวนานขึ้น การทบต้นของเงินก็จะน้อยกว่าการไม่เสียต้นทุนหรือเสียต้นทุนถูกกว่าอยู่แล้ว
4.เครื่องมือทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,7.การจัดการการเงินส่วนบุคคล,11.เทคโนโลยีทางการเงิน,12.การเงินดิจิทัล
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_17
Finance
เรื่องที่ควรรู้สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในปี 2562 มีอะไรบ้าง
เรื่องที่ควรรู้สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในปี 62 เรื่องที่ควรรู้สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในปี 62* มองว่าภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกจะขยายตัวในระดับที่ลดลงจากปี 2561 กำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตในระดับที่น้อยกว่าช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการที่เศรษฐกิจและผลประกอบการโดยรวมยังคงมีการขยายตัวทำให้มีโอกาสน้อยที่ตลาดทุนโลกจะเข้าสู่ภาวะวิกฤต (Financial Crisis) สำหรับตลาดทุนปี 2562 ที่มีแนวโน้มเป็นภาวะ Sideway คือผันผวนในกรอบกว้างๆ จึงแนะนำให้มีการกระจายการลงทุนในระดับสูงสุดเพื่อลดความผันผวนของพอร์ทการลงทุนโดยรวมลงและช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระยะยาว โดยมีเรื่องที่น่าสนใจดังนี้ 1. Yield Play Theme กลับมาอีกครั้งเมื่อสหรัฐฯ ใกล้จบวงจรการขึ้นดอกเบี้ย การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED เริ่มมีสัญญาณผ่อนคลาย (Dovish) มากขึ้น โดยคาดว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 - 2 ครั้งในปี 2562 และจะเป็นการสิ้นสุดวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ 2. เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังโต แต่จะโตในอัตราที่ลดลง (Soft Landing) ในปี 2561 สหรัฐฯ มีนโยบายปรับลดการเก็บภาษีภาคเอกชน การเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และตลาดแรงงานที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวด้วยอัตราที่สูง แต่ในปี 2562 จะไม่มีนโยบายลดการเก็บภาษีดังกล่าว ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้น และสงครามการค้า อย่างไรก็ตามตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ จะขยายตัวในระดับที่น้อยกว่าเดิม 3. Harmful Political ประเด็นการเมืองยังสร้างความกังวลให้ตลาดทั่วโลก ภูมิภาคยุโรปยังคงมีปัจจัยเสี่ยงทั้งจากกรณี Brexit, การเติบโตทางเศรษฐกิจที่น้อย, การบังคับใช้ระเบียบทางการคลัง และการขยายตัวของแนวคิดชาตินิยมที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปในปีหน้า จึงยังคงไม่แนะลงทุน ในขณะที่ประเด็นสงครามการค้า แม้จะมีปัจจัยบวกในการเลื่อนเก็บภาษีสินค้านำเข้า 90 วัน แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่สหรัฐฯ และจีนจะหาข้อสรุปและยุติประเด็นดังกล่าวอย่างเด็ดขาด 4. Valuation ของตลาดหุ้น Asia ex Japan และตลาดหุ้นจีน กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ตลาดหุ้น Asia ex. Japan มีการปรับฐานมากพอสมควรแล้วในปี 2561 ทำให้ระดับ Valuation ถูกลงเมื่อเทียบกับในอดีต เมื่อประกอบกับอัตราการเติบโตของตลาดเกิดใหม่ที่มากกว่าตลาดพัฒนาแล้ว และความพยายามสร้่างเสถียรภาพทางการเงินด้วยการเปลี่ยนสัดส่วนเงินทุนสำรองไปยังทองคำ ส่งผลให้ตลาด Asia Ex. Japan มีความน่าสนใจ 5. Pre-election rally (ถ้ามี) เป็นจังหวะทำกำไรตลาดหุ้นไทย จากสถิติที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นไทยทำผลงานได้ดีในช่วงก่อนการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามด้วยระดับ Valuation ที่ค่อนข้างแพง และระดับ Earning Growth ของปี 2562 ที่ระดับต่ำกว่า 10% ทำให้มีมุมมองที่จะขายทำกำไรตลาดหุ้นไทยหากมี Pre-election Rally เกิดขึ้น 6. แรงกดดันเงินเฟ้อคลี่คลายหลังราคาน้ำมันปรับตัวลง มองว่าราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 50-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สร้างแรงกดดันต่ออัตรา เงินเฟ้อน้อยลง ซึ่งแรงกดดันเงินเฟ้อที่น้อยลงจะส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกไม่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัด เงินเฟ้อ และสามารถหันมาใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (Dovish) ได้มากขึ้น 7. ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าสูง ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งในปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเด็นสงครามการค้าส่งผลให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าก็เป็นตัวกระตุ้นให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเช่นกัน โดยในปี 2562 มองว่าประเด็น Trade War จะชะลอความรุนแรลงง ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย FED ที่จะขึ้นช้าลง มีโอกาสสูงที่จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่าในปี 2019 8. ความผันผวนปลุกทองคำให้น่าลงทุน (Overweight) ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2561 ราคาทองคำถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ แต่ในครึ่งปีหลังราคาทองเริ่มกลับมาสร้างฐานและขยับตัวสูงขึ้น เมื่อประกอบกับปริมาณการถือครองทองคำผ่านกองทุน ETF และ ธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้น ทำให้ทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน 9. Absolute Return Strategy (Overweight) กองทุนรวม Absolute Return ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนแบบไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดการลงทุนใดๆ จากสถานะ Long/Short เพื่อค้ากำไรส่วนต่าง เป็นอีกกลยุทธ์ที่แนะนำลงทุน เพื่อกระจายการลงทุนระดับสูงสุด 10. กองทุนอสังหาฯ และโครงสร้างพื้นฐาน (Overweight) ภาวะตลาดที่ยังมีความผันผวนสูงจากเหตุปัจจัยข้างต้น จึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนอสังหาฯ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และ REITs เนื่องจากความกังวลในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยลง จากโอกาสรับปันผลสม่ำเสมอในระดับที่ชนะเงินเฟ้อได้ (5-7%) _______________ * แหล่งที่มาของข้อมูล : เจษฎา สุขทิศ นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย ผู้ร่วมก่อตั้ง FINNOMENA กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร ฝ่ายสื่อสารองค์กร เรื่องที่ควรรู้สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในปี 62* มองว่าภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกจะขยายตัวในระดับที่ลดลงจากปี 2561 กำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตในระดับที่น้อยกว่าช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการที่เศรษฐกิจและผลประกอบการโดยรวมยังคงมีการขยายตัวทำให้มีโอกาสน้อยที่ตลาดทุนโลกจะเข้าสู่ภาวะวิกฤต (Financial Crisis) สำหรับตลาดทุนปี 2562 ที่มีแนวโน้มเป็นภาวะ Sideway คือผันผวนในกรอบกว้างๆ จึงแนะนำให้มีการกระจายการลงทุนในระดับสูงสุดเพื่อลดความผันผวนของพอร์ทการลงทุนโดยรวมลงและช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระยะยาว โดยมีเรื่องที่น่าสนใจดังนี้ 1. Yield Play Theme กลับมาอีกครั้งเมื่อสหรัฐฯ ใกล้จบวงจรการขึ้นดอกเบี้ย การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED เริ่มมีสัญญาณผ่อนคลาย (Dovish) มากขึ้น โดยคาดว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 - 2 ครั้งในปี 2562 และจะเป็นการสิ้นสุดวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ 2. เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังโต แต่จะโตในอัตราที่ลดลง (Soft Landing) ในปี 2561 สหรัฐฯ มีนโยบายปรับลดการเก็บภาษีภาคเอกชน การเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และตลาดแรงงานที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวด้วยอัตราที่สูง แต่ในปี 2562 จะไม่มีนโยบายลดการเก็บภาษีดังกล่าว ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้น และสงครามการค้า อย่างไรก็ตามตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ จะขยายตัวในระดับที่น้อยกว่าเดิม 3. Harmful Political ประเด็นการเมืองยังสร้างความกังวลให้ตลาดทั่วโลก ภูมิภาคยุโรปยังคงมีปัจจัยเสี่ยงทั้งจากกรณี Brexit, การเติบโตทางเศรษฐกิจที่น้อย, การบังคับใช้ระเบียบทางการคลัง และการขยายตัวของแนวคิดชาตินิยมที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปในปีหน้า จึงยังคงไม่แนะลงทุน ในขณะที่ประเด็นสงครามการค้า แม้จะมีปัจจัยบวกในการเลื่อนเก็บภาษีสินค้านำเข้า 90 วัน แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่สหรัฐฯ และจีนจะหาข้อสรุปและยุติประเด็นดังกล่าวอย่างเด็ดขาด 4. Valuation ของตลาดหุ้น Asia ex Japan และตลาดหุ้นจีน กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ตลาดหุ้น Asia ex. Japan มีการปรับฐานมากพอสมควรแล้วในปี 2561 ทำให้ระดับ Valuation ถูกลงเมื่อเทียบกับในอดีต เมื่อประกอบกับอัตราการเติบโตของตลาดเกิดใหม่ที่มากกว่าตลาดพัฒนาแล้ว และความพยายามสร้่างเสถียรภาพทางการเงินด้วยการเปลี่ยนสัดส่วนเงินทุนสำรองไปยังทองคำ ส่งผลให้ตลาด Asia Ex. Japan มีความน่าสนใจ 5. Pre-election rally (ถ้ามี) เป็นจังหวะทำกำไรตลาดหุ้นไทย จากสถิติที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นไทยทำผลงานได้ดีในช่วงก่อนการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามด้วยระดับ Valuation ที่ค่อนข้างแพง และระดับ Earning Growth ของปี 2562 ที่ระดับต่ำกว่า 10% ทำให้มีมุมมองที่จะขายทำกำไรตลาดหุ้นไทยหากมี Pre-election Rally เกิดขึ้น 6. แรงกดดันเงินเฟ้อคลี่คลายหลังราคาน้ำมันปรับตัวลง มองว่าราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 50-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สร้างแรงกดดันต่ออัตรา เงินเฟ้อน้อยลง ซึ่งแรงกดดันเงินเฟ้อที่น้อยลงจะส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกไม่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัด เงินเฟ้อ และสามารถหันมาใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (Dovish) ได้มากขึ้น 7. ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าสูง ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งในปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเด็นสงครามการค้าส่งผลให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าก็เป็นตัวกระตุ้นให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเช่นกัน โดยในปี 2562 มองว่าประเด็น Trade War จะชะลอความรุนแรลงง ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย FED ที่จะขึ้นช้าลง มีโอกาสสูงที่จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่าในปี 2019 8. ความผันผวนปลุกทองคำให้น่าลงทุน (Overweight) ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2561 ราคาทองคำถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ แต่ในครึ่งปีหลังราคาทองเริ่มกลับมาสร้างฐานและขยับตัวสูงขึ้น เมื่อประกอบกับปริมาณการถือครองทองคำผ่านกองทุน ETF และ ธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้น ทำให้ทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน 9. Absolute Return Strategy (Overweight) กองทุนรวม Absolute Return ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนแบบไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดการลงทุนใดๆ จากสถานะ Long/Short เพื่อค้ากำไรส่วนต่าง เป็นอีกกลยุทธ์ที่แนะนำลงทุน เพื่อกระจายการลงทุนระดับสูงสุด 10. กองทุนอสังหาฯ และโครงสร้างพื้นฐาน (Overweight) ภาวะตลาดที่ยังมีความผันผวนสูงจากเหตุปัจจัยข้างต้น จึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนอสังหาฯ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และ REITs เนื่องจากความกังวลในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยลง จากโอกาสรับปันผลสม่ำเสมอในระดับที่ชนะเงินเฟ้อได้ (5-7%) _______________ * แหล่งที่มาของข้อมูล : เจษฎา สุขทิศ นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย ผู้ร่วมก่อตั้ง FINNOMENA กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร ฝ่ายสื่อสารองค์กร
เรื่องที่ควรรู้สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในปี 2562 ได้แก่ 1. Yield Play Theme กลับมาอีกครั้งเมื่อสหรัฐฯ ใกล้จบวงจรการขึ้นดอกเบี้ย การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED เริ่มมีสัญญาณผ่อนคลาย (Dovish) มากขึ้น โดยคาดว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 - 2 ครั้งในปี 2562 และจะเป็นการสิ้นสุดวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ 2. เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังโต แต่จะโตในอัตราที่ลดลง (Soft Landing) ในปี 2561 สหรัฐฯ มีนโยบายปรับลดการเก็บภาษีภาคเอกชน การเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และตลาดแรงงานที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวด้วยอัตราที่สูง แต่ในปี 2562 จะไม่มีนโยบายลดการเก็บภาษีดังกล่าว ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้น และสงครามการค้า อย่างไรก็ตามตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ จะขยายตัวในระดับที่น้อยกว่าเดิม 3. Harmful Political ประเด็นการเมืองยังสร้างความกังวลให้ตลาดทั่วโลก ภูมิภาคยุโรปยังคงมีปัจจัยเสี่ยงทั้งจากกรณี Brexit, การเติบโตทางเศรษฐกิจที่น้อย, การบังคับใช้ระเบียบทางการคลัง และการขยายตัวของแนวคิดชาตินิยมที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปในปีหน้า จึงยังคงไม่แนะลงทุน ในขณะที่ประเด็นสงครามการค้า แม้จะมีปัจจัยบวกในการเลื่อนเก็บภาษีสินค้านำเข้า 90 วัน แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่สหรัฐฯ และจีนจะหาข้อสรุปและยุติประเด็นดังกล่าวอย่างเด็ดขาด 4. Valuation ของตลาดหุ้น Asia ex Japan และตลาดหุ้นจีน กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ตลาดหุ้น Asia ex. Japan มีการปรับฐานมากพอสมควรแล้วในปี 2561 ทำให้ระดับ Valuation ถูกลงเมื่อเทียบกับในอดีต เมื่อประกอบกับอัตราการเติบโตของตลาดเกิดใหม่ที่มากกว่าตลาดพัฒนาแล้ว และความพยายามสร้่างเสถียรภาพทางการเงินด้วยการเปลี่ยนสัดส่วนเงินทุนสำรองไปยังทองคำ ส่งผลให้ตลาด Asia Ex. Japan มีความน่าสนใจ 5. Pre-election rally (ถ้ามี) เป็นจังหวะทำกำไรตลาดหุ้นไทย จากสถิติที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นไทยทำผลงานได้ดีในช่วงก่อนการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามด้วยระดับ Valuation ที่ค่อนข้างแพง และระดับ Earning Growth ของปี 2562 ที่ระดับต่ำกว่า 10% ทำให้มีมุมมองที่จะขายทำกำไรตลาดหุ้นไทยหากมี Pre-election Rally เกิดขึ้น 6. แรงกดดันเงินเฟ้อคลี่คลายหลังราคาน้ำมันปรับตัวลง มองว่าราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 50-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อน้อยลง ซึ่งแรงกดดันเงินเฟ้อที่น้อยลงจะส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกไม่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และสามารถหันมาใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (Dovish) ได้มากขึ้น 7. ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าสูง ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งในปี 2018 ขณะที่ประเด็นสงครามการค้าส่งผลให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าก็เป็นตัวกระตุ้นให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเช่นกัน โดยในปี 2562 มองว่าประเด็น Trade War จะชะลอความรุนแรงลง ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย FED ที่จะขึ้นช้าลง มีโอกาสสูงที่จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่าในปี 2019 8. ความผันผวนปลุกทองคำให้น่าลงทุน (Overweight) ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2561 ราคาทองคำถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ แต่ในครึ่งปีหลังราคาทองเริ่มกลับมาสร้างฐานและขยับตัวสูงขึ้น เมื่อประกอบกับปริมาณการถือครองทองคำผ่านกองทุน ETF และ ธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้น ทำให้ทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน 9. Absolute Return Strategy (Overweight) กองทุนรวม Absolute Return ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนแบบไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดการลงทุนใดๆ จากสถานะ Long/Short เพื่อค้ากำไรส่วนต่าง เป็นอีกกลยุทธ์ที่แนะนำลงทุน เพื่อกระจายการลงทุนระดับสูงสุด 10. กองทุนอสังหาฯ และโครงสร้างพื้นฐาน (Overweight) ภาวะตลาดที่ยังมีความผันผวนสูงจากเหตุปัจจัยข้างต้น จึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนอสังหาฯ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และ REITs เนื่องจากความกังวลในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยลง จากโอกาสรับปันผลสม่ำเสมอในระดับที่ชนะเงินเฟ้อได้ (5-7%)
5.ความรู้ทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_170
Finance
ในมุมมองของทาง บล.กสิกรไทย (KS) มองว่าการเข้าซื้อหุ้น Bitkub ด้วยสภาพคล่องส่วนเกิน จะเป็นทางลัดให้กับธนาคารใดในการเข้าสู่ธุรกิจแพล็ตฟอร์มการซื้อขาย Cryptocurrency
null
ในมุมมองของทาง บล.กสิกรไทย (KS) มองว่าการเข้าซื้อหุ้น Bitkub ด้วยสภาพคล่องส่วนเกิน จะเป็นทางลัดให้กับธนาคารไทยพาณิชย์ในการเข้าสู่ธุรกิจแพล็ตฟอร์มการซื้อขาย Cryptocurrency ช่วยลดเวลาพัฒนาได้ 1-3 ปี และได้ทีมบริหารที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยดำเนินธุรกิจ รวมทั้งบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ยังได้รับประโยชน์จากการที่มีผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าได้ลงทุน หรือกระจายความเสี่ยงได้เพิ่มเติมอีกด้วย นอกจากนี้ KS ยังมองว่าการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้ จะช่วยสร้างศักยภาพในการเติบโต เพิ่ม ROE และมูลค่าหุ้นในระยะยาวอีกด้วย KS มองว่าในปัจจุบัน ยังไม่สามารถที่จะประเมินถึงความสมเหตุสมผลของการซื้อหุ้น 51% ด้วยจำนวนเงิน 17,850 ล้านบาทได้ เนื่องจากข้อมูลทางการเงินยังไม่เพียงพอ แต่หากดูกำไรสะสม 9 เดือนของปี 2021 จะพบว่า Bitkub มีกำไรสูงถึง 1,530 ล้านบาท ประเมินว่ากำไรทั้งปี 2021 อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท สะท้อน PER ที่ 18 เท่า ซึ่งเป็นตัวคูณที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับทิศทางการเติบโตของตลาด Cryptocurrency ในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อสงสัยว่ากำไร 1,530 ล้านบาทนั้น มาจากการดำเนินธุรกิจหลัก หรือมาจากการ Mark to market ของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทางบริษัทถืออยู่
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1701
Finance
นักลงทุนรายย่อยควรลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียวหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ความเสี่ยง: การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยงสูง ความผันผวน: ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูง ดัชนี SET เคยร่วงลงกว่า 50% ในช่วงวิกฤตปี 2540 สัดส่วนการลงทุน: นักลงทุนรายย่อยไทยส่วนใหญ่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย ความหลากหลาย: การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว ทำให้พอร์ตการลงทุนขาดความหลากหลาย โอกาส: - การเติบโต: ตลาดหุ้นไทยมีศักยภาพการเติบโตจำกัด - เศรษฐกิจ: เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตต่ำ - ประชากร: ประชากรไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทางเลือก: - ตลาดหุ้นต่างประเทศ: ตลาดหุ้นต่างประเทศมีศักยภาพการเติบโตสูง - สินทรัพย์ประเภทอื่น: สินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ตัวอย่าง: นักลงทุนรายย่อยไทย ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว พอร์ตการลงทุนมีความเสี่ยงสูง ดัชนี SET ร่วงลง 50% นักลงทุนสูญเสียเงินลงทุน ข้อควรระวัง: - การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยง - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน - นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยง สรุป: - นักลงทุนรายย่อยควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ - การลงทุนในต่างประเทศมีศักยภาพการเติบโตสูง - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1702
Finance
บอกสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ''รีวิวกองทุน KFINFRA-A: คว้าโอกาสลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่'' ให้หน่อย
null
"รีวิวกองทุน KFINFRA-A : คว้าโอกาสลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่" เป็นหัวข้อที่น่าสนใจเนื่องจากมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับกองทุนนี้ที่มีศักยภาพในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นี่คือบางจุดที่น่าสนใจเกี่ยวกับกองทุน KFINFRA-A: 1. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน : กองทุน KFINFRA-A เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นที่ต้องการในยุคปัจจุบัน เช่น ถนน ระบบขนส่ง พลังงาน และสารสนเทศ-การสื่อสาร เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและพัฒนาฐานรากฐานของประเทศ. 2. การดำเนินงานโดยความเชี่ยวชาญ : กองทุนนี้มักจะมีผู้จัดการที่มีความเชี่ยวชาญในการทำงานในสายงานของโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าการจัดการและการลงทุนนั้นถูกดำเนินโดยผู้เชี่ยวชาญ. 3. การดำเนินการในยุคใหม่ : กองทุนนี้อาจมีแนวโน้มที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของยุคใหม่ เช่น การลงทุนในพื้นที่เมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) หรือการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การใช้งานปัญญาประดิษฐ์ในการดูแลรักษาสถานที่สาธารณะ. 4. โอกาสและความเสี่ยง: เช่นเดียวกับการลงทุนในกองทุนอื่น ๆ การลงทุนใน KFINFRA-A ก็มีโอกาสและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยความเสี่ยงอาจมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงทางการเงิน ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโครงการ หรือความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาวะเศรษฐกิจทั่วไปของประเทศ. การตัดสินใจในการลงทุนใน KFINFRA-A หรือกองทุนใด ๆ ควรพิจารณาข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่อย่างรอบคอบ และปรึกษากับที่ปรึกษาการเงินหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนก่อนที่จะตัดสินใจเพื่อให้มั่นใจในการตัดสินใจของตนเอง.
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1706
Finance
ช่วยแต่งนิยายเรื่อง "รอยหมุนของชีวิต ของหกบุคคล" ให้หน่อยได้ไหม
null
เรื่องราวของนิยายที่เกี่ยวกับ"ประกันสังคม: จ่ายแล้ว...ไปไหน?" ชื่อเรื่อง: รอยหมุนของชีวิต ของหกบุคคล ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนของชีวิต เราต้องหันสู่ระบบประกันสังคมเพื่อความคุ้มครองในช่วงเวลาที่เรายังไม่รู้จักแนวทางของอนาคต นี่คือเรื่องราวของหกบุคคลที่มีชีวิตแต่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนของชีวิตและระบบประกันสังคมที่พวกเขาอยู่ในกระแสของมัน 1. นางสาวพลอย : นักเรียนมหาวิทยาลัยที่พยายามทำงานเพื่อเอาตัวรอดจากค่าเล่าเรียนที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา แต่เธอพบว่าการทำงานที่เธอทำมีผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นไปได้ในการซึมเศร้า 2. คุณป้ามาลี: หญิงสาวกลางอายุที่ทำงานเกษียณแล้ว แต่พบว่าการรับเงินเกษียณไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งเธอต้องเริ่มคิดใหม่เกี่ยวกับการผ่อนชำระค่าเช่าหอพักและค่าน้ำ-ค่าไฟ 3. นายอภิสิทธิ์: ผู้จัดการในบริษัทที่ต้องการที่จะเกษียณอายุแต่พบว่าเงินออมไม่เพียงพอ และเขาต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ส่งผลกระทบต่อแผนการเกษียณของเขา 4. คุณป้าศรีรัตน์: หญิงสาวที่สูญเสียงานเนื่องจากการล้างบัตรของธนาคาร ซึ่งเธอต้องเริ่มต้นใหม่โดยการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการจัดการกับการเงินและการลงทุนในช่วงเวลาที่ยังไม่มั่นใจ 5. นายวรเดช: นักลงทุนที่มีเงินในบัญชีส่วนตัวมากมาย แต่เขาพบว่าการเงินในชีวิตส่วนตัวและระบบประกันสังคมเกิดความแตกต่างอย่างมาก และเขาต้องพยายามหาทางเชื่อมโยงระหว่างการลงทุนกับชีวิตประจำวันของเขา 6. นางสาวอรชร : ผู้หญิงสาวที่เพิ่งเริ่มชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเธอต้องพบกับความไม่แน่นอนในการหางานและการเข้าถึงระบบประกันสังคมเป็นครั้งแรก นิยายเรื่อง "รอยหมุนของชีวิต" เป็นเรื่องราวที่สร้างความรู้สึกถึงความเป็นมาของระบบประกันสังคมและผลกระทบที่มันส่งผลต่อชีวิตของคนทั้งหกคนนี้ โดยแต่ละตอนของนิยายจะเป็นการพูดถึงประสบการณ์และความกังวลของแต่ละตัวละครในการเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนของชีวิตและระบบที่ควรคุ้มครองชีวิต และโชคชะตาที่อาจจะประสบในอนาคตที่ไม่แน่นอนนี้
5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1708
Finance
ASP-POWER ลงทุนผ่าน 3 กองทุน ได้แก่กองทุนใดบ้าง
null
ASP-POWER ลงทุนผ่าน 3 กองทุนพร้อมการจัดการแบบยืดหยุ่นเพื่อผลตอบแทนที่ดีที่สุด 1) iShares Global Clean Energy ETF (ICLN) กองทุน ETF จากค่าย iShares ที่เน้นลงทุนในพลังงานทางเลือกอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานสะอาดในรูปแบบอื่น ๆ 2) Global X Lithium & Battery Tech ETF (LIT) ลงทุนแบบจัดเต็มในเทคโนโลยีลิเธียมจากการขุดและการกลั่นแร่ ไปจนถึงการผลิตแบตเตอรี่ 3) KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF เฟ้นหาการลงทุนในบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าหรือมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนา ในส่วนของการผลิต เทคโนโลยีไร้คนขับ แบตเตอรี่แบบลิเธียม รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับไฟฟ้า *กองทุนอาจลงทุนในแต่ละธีมในสัดส่วนเท่า ๆ กัน แต่อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต สัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุนในแต่ละกองทุน 1) iShares Global Clean Energy ETF (ICLN) 1.1) PLUG POWER INC ผู้ให้บริการเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก ผลิตเซลล์พลังงานแบบไฮโดรเจนที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมและสำหรับตลาดพลังงานสะอาด ซึ่งมีสินค้าและบริการหลัก ๆ อย่าง Genkey ที่ช่วยให้คำปรึกษาในการปรับเปลี่ยนในการใช้เซลล์พลังงานทางเลือก, GenDrive เซลล์พลังงานสำหรับพาหนะ, GenFuel ระบบการขนส่งพลังงานแบบไฮโดรเจน, และ GenCare สำหรับให้บริการการดูแลผลิตภัณฑ์จาก GenDrive และ GenFuel 1.2) ENPHASE ENERGY INC ผู้ให้บริการการจัดการพลังงานทางเลือกตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การดีไซน์ระบบ การพัฒนา การผลิต ไปจนถึงการขาย อย่างครบครัน ซึ่งมีผลิตภัณฑ์อย่างอุปกรณ์ Microinverter ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้คู่กับแผงโซลาร์เซลล์รูปแบบใหม่ ซึ่งใช้แผงวงจรแบบแยกที่จะช่วยลดการขัดข้อง จากเดิมที่เป็นการต่อรวมกันรวดเดียว 1.3) DAQO NEW ENERGY ADR REPRESENTING บริษัทผู้ผลิต Polysilicon (ใช้ในแผงโซลาร์เซลล์ แผงวงจรและอุปกรณ์ semiconductor) และ wafer (ซิลิคอนเกรดที่ใช้สำหรับ semiconductor) ในจีนซึ่งใช้เป็นฉนวนสำหรับอุตสาหกรรมมาแรงอย่าง semiconductor และแผงโซลาร์เซลล์ โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 12,150 เมตริกตันในเขตซินเจียง 2) Global X Lithium & Battery Tech ETF (LIT) 2.1) ALBEMARLE CORP บริษัทผู้ให้บริการระดับโลกในการพัฒนา การผลิต ในส่วนของสารเคมีเฉพาะทาง เช่น ลิเธียม ซึ่งเป็นสารสำคัญที่เปรัยบเสมือนแขนขาของแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน 2.2) GANFENG LITHIUM CO LTD-A บริษัทจากจีนที่เน้นวิจัย พัฒนา และผลิต ในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับลิเธียมโดยเฉพาะ มีทั้งแบบเป็นสารประกอบ เหล็กลิเธียมไปจนถึงแบตเตอรี่ลิเธียม 2.3) SAMSUNG SDI CO LTD บริษัทจากเกาหลีชื่อคุ้นหู ที่หันมาทำในส่วนของแบตเตอรี่ที่ทั้งผลิต จัดจำหน่าย แบตเตอรี่มือถือ แบตเตอรี่ยานยนต์ รวมไปถึงอุปกรณ์เก็บพลังงาน ซึ่งจัดจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ 3) KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF 3.1) NIO INC – ADR บริษัทผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ที่มีระบบไร้คนขับและเทคโนโลยี AI โดยมีสินค้าอย่างรถ SUV 7 ที่นั่งที่เร่งความเร็วถึง 100 กม/ชม. ในเวลา 4.4 วินาที 3.2) INFINEON TECHNOLOGIES AG บริษัทเทคโนโลยีจากเยอรมันที่ออกแบบ พัฒนาและผลิต semiconductor สำหรับยานยนต์ อุตสาหกรรมต่าง ๆ และชิปต่าง ๆ 3.3) SOUTHERN COPPER CORP บริษัท ผู้ผลิตโลหะทองแดงซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับใช้ในการผลิตแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งการใช้ทองแดงกำลังมีการเติบโตล้อไปกับรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน
5.ความรู้ทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1711
Finance
กองทุน UCHI ลงทุนในหลักทรัพย์อะไรบ้าง
รีวิวกองทุน UCHI: การผนึกกำลังของเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีน ​ สำหรับช่วงนี้ที่กองทุน IPO ดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษในบทความนี้จึงเลือกหยิบยกอีกหนึ่งกองทุนที่อาจจะไม่ใช่ IPO ซะทีเดียวแต่เป็นกองทุนน้องใหม่แกะกล่องที่เพิ่ง IPO กันไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 15 – 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา กองทุนนั้นก็คือกองทุน UCHI จากบลจ. UOB นั่นเอง กองทุนนี้ลงทุนเกี่ยวกับอะไร มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้ สำหรับช่วงนี้ที่กองทุน IPO ดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษในบทความนี้จึงเลือกหยิบยกอีกหนึ่งกองทุนที่อาจจะไม่ใช่ IPO ซะทีเดียวแต่เป็นกองทุนน้องใหม่แกะกล่องที่เพิ่ง IPO กันไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 15 – 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา กองทุนนั้นก็คือกองทุน UCHI จากบลจ. UOB นั่นเอง กองทุนนี้ลงทุนเกี่ยวกับอะไร มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้ การระบาดของ COVID-19 ทำให้ตลาด Healthcare เป็นที่ต้องการ Mindray ผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจชั้นนำในประเทศจีน ผลิตเครื่องช่วยหายใจกว่า 3,000 เครื่องต่อเดือน ซึ่งบริษัทได้ขยายขอบเขตในการเข้าถึงไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วจากการขาดแคลนเครื่องช่วยหายใจเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 โดยได้ขยายตลาดเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ หลังจากได้รับอนุญาตจาก FDA Jiangsu Yuyue ได้รับอนุญาตจาก FDA ให้ขายเครื่องช่วยหายใจให้กับสหรัฐฯ ในวันที่ 1 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเป็นผู้จัดหาเครื่องวัดอุณหภูมิและยาพ่นแบบฝอยละอองรายใหญ่ WuXi Apptec and WuXi Biologics เป็นองค์กรที่รับทำวิจัยตามสัญญา (CROs) ซึ่งให้บริการ R&D ด้านเภสัชกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ ตลอดจนการบริการด้านการผลิตทั้งในและต่างประเทศ Mindray ผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจชั้นนำในประเทศจีน ผลิตเครื่องช่วยหายใจกว่า 3,000 เครื่องต่อเดือน ซึ่งบริษัทได้ขยายขอบเขตในการเข้าถึงไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วจากการขาดแคลนเครื่องช่วยหายใจเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 โดยได้ขยายตลาดเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ หลังจากได้รับอนุญาตจาก FDA Jiangsu Yuyue ได้รับอนุญาตจาก FDA ให้ขายเครื่องช่วยหายใจให้กับสหรัฐฯ ในวันที่ 1 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเป็นผู้จัดหาเครื่องวัดอุณหภูมิและ ยาพ่นแบบฝอยละอองรายใหญ่ WuXi Apptec and WuXi Biologics เป็นองค์กรที่รับทำวิจัยตามสัญญา (CROs) ซึ่งให้บริการ R&D ด้านเภสัชกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ ตลอดจนการบริการด้านการผลิตทั้งในและต่างประเทศ สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: อุตสาหกรรม Healthcare ของประเทศจีนน่าสนใจอย่างไร? ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่อุตสาหกรรม Healthcare มีการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในโลกด้วยอัตราการเติบโต 13% ในขณะที่สหรัฐฯ และญี่ปุ่น มีอัตราการเติบโตที่ 3% และ 2% ตามลำดับ ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่อุตสาหกรรม Healthcare มีการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในโลกด้วย อัตราการเติบโต 13% ในขณะที่สหรัฐฯ และญี่ปุ่น มีอัตราการเติบโตที่ 3% และ 2% ตามลำดับ 5 อันดับประเทศที่มีอัตราการเติบโตของตลาด Healthcare สูงสุด 5 อันดับประเทศที่มีอัตราการเติบโตของตลาด Healthcare สูงสุด ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก National Bureau of Statistics of China ณ วันที่ 31/12/2017) ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก National Bureau of Statistics of China ณ วันที่ 31/12/2017) อุตสาหกรรม Healthcare ของจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกด้วยมูลค่าการใช้จ่ายรวมในด้าน Healthcare กว่า 1.02 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2019 เพิ่มขึ้นประมาณ 87% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โอกาสในการเติบโตสำหรับอุตสาหกรรม Healthcare ยังมีอีกมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายในด้าน Healthcare ของจีนยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ $501 เทียบกับค่าเฉลี่ย 8 ประเทศที่มีรายจ่ายด้าน Healthcare สูงสุดที่ประมาณ $5,700 ต่อคน อุตสาหกรรม Healthcare ของจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกด้วยมูลค่าการใช้จ่ายรวมในด้าน Healthcare กว่า 1.02 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2019 เพิ่มขึ้นประมาณ 87% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โอกาสในการเติบโตสำหรับอุตสาหกรรม Healthcare ยังมีอีกมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายในด้าน Healthcare ของจีนยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ $501 เทียบกับค่าเฉลี่ย 8 ประเทศที่มีรายจ่ายด้าน Healthcare สูงสุดที่ประมาณ $5,700 ต่อคน อัตราการใช้จ่ายด้าน Healthcare ของ GDP ในสหรัฐฯ และจีน อัตราการใช้จ่ายด้าน Healthcare ของ GDP ในสหรัฐฯ และจีน ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก National Bureau of Statistics of China ณ วันที่ 31/12/2017) ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก National Bureau of Statistics of China ณ วันที่ 31/12/2017) โครงสร้างประชากรผู้สูงอายุของจีนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของประชากรชนชั้นกลาง และการขยายตัวของประชากรเมือง เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม Healthcare ในประเทศจีน โครงสร้างประชากรผู้สูงอายุของจีนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของประชากรชนชั้นกลาง และการขยายตัวของประชากรเมือง เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม Healthcare ในประเทศจีน อัตราประชากรในประเทศจีนที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป อัตราประชากรในประเทศจีนที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก World Bank ณ วันที่ 31/12/2019) ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก World Bank ณ วันที่ 31/12/2019) รัฐบาลจีนส่งเสริมอุตสาหกรรม Biotech อย่างเต็มกำลัง กรุงปักกิ่งได้ระบุให้เทคโนโลยีชีวภาพหรือ Biotech เป็นหนึ่งใน 10 ภาคส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ พร้อมมีแผนเปลี่ยนจีนให้เป็นโรงไฟฟ้าในอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าสูง กรุงปักกิ่งได้ระบุให้เทคโนโลยีชีวภาพหรือ Biotech เป็นหนึ่งใน 10 ภาคส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ พร้อมมีแผนเปลี่ยนจีนให้เป็นโรงไฟฟ้าในอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าสูง ออกใบอนุญาตสำหรับการจำหน่ายยาที่คิดค้นขึ้นมาใหม่และสารเคมีที่ใช้สำหรับการวินิจฉัยโรค เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลการดูแลสุขภาพ สรรหาผู้ที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีชีวภาพ สร้างสวนสาธารณะ Biotech ทั่วประเทศ ออกใบอนุญาตสำหรับการจำหน่ายยาที่คิดค้นขึ้นมาใหม่และสารเคมีที่ใช้สำหรับการวินิจฉัยโรค เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลการดูแลสุขภาพ สรรหาผู้ที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีชีวภาพ สร้างสวนสาธารณะ Biotech ทั่วประเทศ ผนึกกำลังเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีนไปพร้อมกับ UCHI กองทุน UCHI หรือกองทุน United China Healthcare Innovation Fund จากบลจ.ยูโอบี (UOB) มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านเฮลท์แคร์ (Healthcare) ของประเทศจีน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมด้านเฮลท์แคร์ (Healthcare Innovation) ของประเทศจีน เช่น การพัฒนาและค้นคว้าด้านเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ การบริหารสถานพยาบาล การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาจีนแผนโบราณ ระบบไอทีด้านการดูแลสุขภาพ เป็นต้น กองทุน UCHI หรือกองทุน United China Healthcare Innovation Fund จากบลจ.ยูโอบี (UOB) มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านเฮลท์แคร์ (Healthcare) ของประเทศจีน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมด้านเฮลท์แคร์ (Healthcare Innovation) ของประเทศจีน เช่น การพัฒนาและค้นคว้าด้านเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ การบริหารสถานพยาบาล การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาจีนแผนโบราณ ระบบไอทีด้านการดูแลสุขภาพ เป็นต้น อุตสาหกรรม Healthcare ของประเทศจีนที่มีความหลากหลาย อุตสาหกรรม Healthcare ของประเทศจีนที่มีความหลากหลาย ที่มา: KraneShares ที่มา: KraneShares กองทุน UCHI ลงทุนในหลักทรัพย์อะไรบ้าง? สำหรับหลักทรัพย์ที่กองทุน UCHI ลงทุนเป็นกองทุนหลัก (Master Fund) มีอยู่ 2 กองทุนด้วยกัน ได้แก่ สำหรับหลักทรัพย์ที่กองทุน UCHI ลงทุนเป็นกองทุนหลัก (Master Fund) มีอยู่ 2 กองทุนด้วยกัน ได้แก่ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF กองทุนจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 โดยดัชนีดังกล่าวเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเพื่อติดตามผลการดำเนินงานในตลาดตราสารทุนของบริษัทจีนที่มีธุรกิจในอุตสาหกรรม Healthcare หลักทรัพย์ในดัชนีประกอบด้วยหุ้นซึ่งจดทะเบียนในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา ตราสารที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกจะต้องได้รับการจัดประเภทภายใต้ มาตรฐานการจัดประเภทอุตสาหกรรมทั่วโลก (Global Industry Classification Standard) ให้อยู่ในอุตสาหกรรม Healthcare ผู้ออกที่รวมอยู่ในดัชนีอ้างอิงอาจรวมถึงบริษัทขนาดเล็ก ขนาด กลาง และขนาดใหญ่ กองทุนจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 โดยดัชนีดังกล่าวเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเพื่อติดตามผลการดำเนินงานในตลาดตราสารทุนของบริษัทจีนที่มีธุรกิจในอุตสาหกรรม Healthcare หลักทรัพย์ในดัชนีประกอบด้วยหุ้นซึ่งจดทะเบียนในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา ตราสารที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกจะต้องได้รับการจัดประเภทภายใต้ มาตรฐานการจัดประเภทอุตสาหกรรมทั่วโลก (Global Industry Classification Standard) ให้อยู่ในอุตสาหกรรม Healthcare ผู้ออกที่รวมอยู่ในดัชนีอ้างอิงอาจรวมถึงบริษัทขนาดเล็ก ขนาด กลาง และขนาดใหญ่ KURE Portfolio Characteristics (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) KURE Portfolio Characteristics (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) ที่มา: KraneShares ที่มา: KraneShares Top 10 Holdings ของ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) Top 10 Holdings ของ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) ที่มา: ที่มา: WuXi Biologics Cayman — บริษัทดำเนินธุรกิจหลักในการจัดหา วิจัย พัฒนา และการบริการด้านชีววิทยา นอกจากนี้บริษัทยังมีโรงงานผลิตวัคซีนเพื่อจำหน่ายทั่วโลก โดยดำเนินธุรกิจทั้งในจีนและต่างประเทศ เช่น อเมริกาเหนือ ยุโรป และประเทศอื่น ๆ Jiangsu Hengrui Medicine — บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายยาเม็ด ยาฉีด และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยา กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักประกอบด้วย ยาต้านมะเร็ง, ยา angiomyocardiac, ยาที่ใช้ในการผ่าตัด, ยาปฏิชีวนะ และอื่น ๆ โดย จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ Shenzhen Mindray Bio-Medical Electronics — ผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัย พัฒนา ผลิต รวมไปถึงการจำหน่าย นอกจากนี้บริษัทยังมีส่วนร่วมในการจัดหาโซลูชั่นแบบครบวงจรให้กับสถาบันทางการแพทย์อีกด้วย — บริษัทดำเนินธุรกิจหลักในการจัดหา วิจัย พัฒนา และการบริการด้านชีววิทยา นอกจากนี้บริษัทยังมีโรงงานผลิตวัคซีนเพื่อจำหน่ายทั่วโลก โดยดำเนินธุรกิจทั้งในจีนและต่างประเทศ เช่น อเมริกาเหนือ ยุโรป และประเทศอื่น ๆ — บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายยาเม็ด ยาฉีด และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยา กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักประกอบด้วย ยาต้านมะเร็ง, ยา angiomyocardiac, ยาที่ใช้ในการผ่าตัด, ยาปฏิชีวนะ และอื่น ๆ โดย จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ — ผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัย พัฒนา ผลิต รวมไปถึงการจำหน่าย นอกจากนี้บริษัทยังมีส่วนร่วมในการจัดหาโซลูชั่นแบบครบวงจรให้กับสถาบันทางการแพทย์อีกด้วย Global X China Biotech ETF Global X China Biotech ETF เป็นกองทุน ETF แบบ Passive ที่มีวัตถุประสงค์ให้ผลการดำเนินงานก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายสอดคล้องไปผลการดำเนินงานของ Solactive China Biotech Index NTR โดยดัชนีดังกล่าวกำหนด Universe การลงทุนต้องเป็นบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศจีนหรือฮ่องกงที่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด เป็นกองทุน ETF แบบ Passive ที่มีวัตถุประสงค์ให้ผลการดำเนินงานก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายสอดคล้องไปผลการดำเนินงานของ Solactive China Biotech Index NTR โดยดัชนีดังกล่าวกำหนด Universe การลงทุนต้องเป็นบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศจีนหรือฮ่องกงที่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด Industry Breakdown ของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 29/01/2021) Industry Breakdown ของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 29/01/2021) ที่มา: Global X China Biotech ETF Factsheet ที่มา: Global X China Biotech ETF Factsheet Top 10 Holdings ของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) Top 10 Holdings ของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) ที่มา: ที่มา: BeiGene — บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับชีวเภสัชภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนา การผลิตและการขายยาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในระดับโมเลกุลและภูมิคุ้มกันวิทยาสำหรับการรักษาโรคมะเร็ง WuXi AppTec — บริษัทผู้ผลิต จัดหา วิจัยและพัฒนายาที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ (R&D) พร้อมให้บริการเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทมีศูนย์การศึกษาขนาดเล็กในการวิจัย พัฒนา ผลิตยา ตลอดจนการให้บริการทดสอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ Shenzhen Kangtai Biological Products — บริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาการผลิตและจำหน่ายวัคซีน ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทได้แก่ ไวรัสตับอักเสบบีชนิดรีคอมบิแนนท์, วัคซีนรวมฮีโมฟิลัสอินฟลูเอนเซชนิดบี, วัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยดำเนินธุรกิจเฉพาะตลาดในประเทศเท่านั้น — บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับชีวเภสัชภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนา การผลิตและการขายยาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในระดับโมเลกุลและภูมิคุ้มกันวิทยาสำหรับการรักษาโรคมะเร็ง — บริษัทผู้ผลิต จัดหา วิจัยและพัฒนายาที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ (R&D) พร้อมให้บริการเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทมีศูนย์การศึกษาขนาดเล็กในการวิจัย พัฒนา ผลิตยา ตลอดจนการให้บริการทดสอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ — บริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาการผลิตและจำหน่ายวัคซีน ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทได้แก่ ไวรัสตับอักเสบบีชนิดรีคอมบิแนนท์, วัคซีนรวมฮีโมฟิลัสอินฟลูเอนเซชนิดบี, วัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยดำเนินธุรกิจเฉพาะตลาดในประเทศเท่านั้น ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ผลการดำเนินงานของ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020 และ วันที่ 31/01/2021) ผลการดำเนินงานของ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020 และ วันที่ 31/01/2021) ที่มา: ที่มา: ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) ผลการดำเนินงานของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) ที่มา: ที่มา: ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** อย่างที่บอกไปในช่วงต้นบทความว่า Master Fund ของกองทุน UCHI ทั้ง 2 กองทุนล้วนแล้วแต่มีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการกองทุนแบบ Passive นั่นคือมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนให้ผลการดำเนินงานสอดคล้องไปกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 Index และ ดัชนี Solactive China Biotech Index NTR ดังนั้นผลการดำเนินงานของ Master Fund จึงใกล้เคียงกับดัชนีเปรียบเทียบทั้ง 2 ดัชนี อย่างที่บอกไปในช่วงต้นบทความว่า Master Fund ของกองทุน UCHI ทั้ง 2 กองทุนล้วนแล้วแต่มีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการกองทุนแบบ Passive นั่นคือมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนให้ผลการดำเนินงานสอดคล้องไปกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 Index และ ดัชนี Solactive China Biotech Index NTR ดังนั้นผลการดำเนินงานของ Master Fund จึงใกล้เคียงกับดัชนีเปรียบเทียบทั้ง 2 ดัชนี ปัจจัยความเสี่ยงของกองทุน UCHI กองทุน UCHI จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 7 โดยมีปัจจัยความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ กองทุน UCHI จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 7 โดยมีปัจจัยความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD): >25% (สูง) ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรม Healthcare ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD): >25% (สูง) ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรม Healthcare ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรม Healthcare ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุน โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนจากฟินโนมีนาได้ที่ อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุน โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนจากฟินโนมีนาได้ที่ t/ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ของกองทุน UCHI ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.605% ค่าธรรมเนียมการขายและ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.8532% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.605% ค่าธรรมเนียมการขายและ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.8532% เงินลงทุนขั้นต่ำในการลงทุน UCHI มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: ไม่กำหนด มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: ไม่กำหนด มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: ไม่กำหนด มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: ไม่กำหนด สรุป 4 ข้อกองทุน UCHI มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้าน Healthcare ของประเทศจีน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมด้าน Healthcare ของประเทศจีน ให้น้ำหนักกับสัดส่วนการลงทุนไปที่ภาคอุตสาหกรรม Healthcare จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 7 โดยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาท ก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผนึกกำลังของเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีนพร้อมกับ UCHI ได้ มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้าน Healthcare ของประเทศจีน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมด้าน Healthcare ของประเทศจีน ให้น้ำหนักกับสัดส่วนการลงทุนไปที่ภาคอุตสาหกรรม Healthcare จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 7 โดยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาท ก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผนึกกำลังของเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีนพร้อมกับ UCHI ได้ กองทุน UCHI เหมาะกับใคร ? ผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำทางด้าน Healthcare ในประเทศจีน ผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังอุตสาหกรรม Healthcare ผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ผู้ที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงยาวได้ ผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำทางด้าน Healthcare ในประเทศจีน ผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังอุตสาหกรรม Healthcare ผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ผู้ที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงยาวได้ — planet 46. — planet 46. — planet 46. สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: อ้างอิง อ้างอิง คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
หลักทรัพย์ที่กองทุน UCHI ลงทุนเป็นกองทุนหลัก (Master Fund) มีอยู่ 2 กองทุนด้วยกัน ได้แก่ 1. KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF กองทุนจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 โดยดัชนีดังกล่าวเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเพื่อติดตามผลการดำเนินงานในตลาดตราสารทุนของบริษัทจีนที่มีธุรกิจในอุตสาหกรรม Healthcare หลักทรัพย์ในดัชนีประกอบด้วยหุ้นซึ่งจดทะเบียนในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา ตราสารที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกจะต้องได้รับการจัดประเภทภายใต้มาตรฐานการจัดประเภทอุตสาหกรรมทั่วโลก (Global Industry Classification Standard) ให้อยู่ในอุตสาหกรรม Healthcare ผู้ออกที่รวมอยู่ในดัชนีอ้างอิงอาจรวมถึงบริษัทขนาดเล็ก ขนาด กลาง และขนาดใหญ่ 2. Global X China Biotech ETF เป็นกองทุน ETF แบบ Passive ที่มีวัตถุประสงค์ให้ผลการดำเนินงานก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายสอดคล้องไปผลการดำเนินงานของ Solactive China Biotech Index NTR โดยดัชนีดังกล่าวกำหนด Universe การลงทุนต้องเป็นบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศจีนหรือฮ่องกงที่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1714
Finance
บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์ เหมาะกับการเก็บเงินระยะยาวหรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ข้อดี ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป: บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์มักให้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์แบบดั้งเดิม สะดวก: สามารถเปิดบัญชีและทำธุรกรรมได้ทั้งหมดผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ โดยไม่ต้องไปธนาคาร ไม่มีค่าธรรมเนียม: บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์ส่วนใหญ่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือน หรือค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ข้อเสีย ความเสี่ยงทางไซเบอร์: บัญชีออนไลน์มีความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล เงื่อนไขการให้ดอกเบี้ย: บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์บางบัญชีมีเงื่อนไขการให้ดอกเบี้ยที่ยุ่งยาก เช่น ต้องรักษายอดเงินคงเหลือขั้นต่ำ หรือต้องทำธุรกรรมผ่านบัญชีออนไลน์ ตัวเลือกการลงทุนจำกัด: บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์ส่วนใหญ่ไม่มีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย ปัจจัยที่ต้องพิจารณา เป้าหมายทางการเงิน ระยะสั้น: บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์อาจเป็นตัวเลือกที่ดี ระยะยาว: อาจต้องการพิจารณาตัวเลือกอื่นที่มีผลตอบแทนสูงกว่า เช่น กองทุนรวม หรือประกันชีวิต ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ความเสี่ยงต่ำ: บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์เป็นตัวเลือกที่มีความเสี่ยงต่ำ ความเสี่ยงสูง: อาจต้องการพิจารณาตัวเลือกอื่นที่มีผลตอบแทนสูงกว่า แต่มีความเสี่ยงสูงกว่า ความสะดวก ต้องการความสะดวกในการทำธุรกรรม บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์เป็นตัวเลือกที่ดี ค่าธรรมเนียม เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของบัญชีออมทรัพย์ออนไลน์ต่างๆ ตัวเลือกการลงทุน ต้องการตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี สรุป บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์อาจเหมาะกับการเก็บเงินระยะยาว ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงิน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และปัจจัยอื่นๆ คำแนะนำ - เปรียบเทียบบัญชีออมทรัพย์ออนไลน์ต่างๆ - ศึกษาเงื่อนไขการให้ดอกเบี้ย - พิจารณาตัวเลือกการลงทุนอื่นๆ - ตัดสินใจโดยคำนึงถึงเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1716
Finance
ทำไมธีม Energy Transition ถึงน่าสนใจ
null
เหตุผลที่ Energy Transtion เป็นเรื่องน่าสนใจ คือ "ภาวะโลกร้อน” ทุกคนต่างก็ได้ยินสภาวะนี้มานานแล้ว การที่อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แบบผิดปกตินั้น เป็นเหตุมาจากการที่มนุษย์ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่สร้างก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ (CO2) เพิ่มขึ้น เมื่อกิจกรรมทางอุตสาหกรรมของมนุษย์เพิ่มขึ้น การปล่อย CO2 ก็มากขึ้นตาม ทำให้เกิดการสะสมความร้อนมากตามมา ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน หรือถ้าให้เรียกแบบครอบคลุมกว่า ก็คือ “การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ” (Climate Change) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตโดยรวม เหล่าประเทศพัฒนาแล้วต่าง ๆ ก็ไม่นิ่งนอนใจ เหล่ารัฐบาลต่างสนับสนุน - สหรัฐฯ: กลับเข้าสู่ Paris Agreement ที่ให้ความสำคัญกับการควบคุมอุณหภูมิโลก สะท้อนผ่านประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่มีแผนลงทุน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม - จีน: ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ตั้งเป้าว่าในปี 2060 จะไม่มีการปล่อยก๊าซ CO2 เลย และมีแผนสนับสนุนเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมในอีก 5 ปีข้างหน้า - สหภาพยุโรป: อีกหนึ่งภูมิภาคที่ตั้งเป้าว่าจะไม่ปล่อยก๊าซ CO2 เลยในปี 2050 ตอนนี้ก็มีการเพิ่มเงินสนับสนุนสิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนมาก เป็นผลมาจาก Paris Agreement และแผน European Green Deal และยังมีอีกหลาย ๆ ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร ที่ตั้งเป้าลดก๊าซ CO2 เช่นกัน นอกจากนี้ยังมี 3 ปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุน Energy Transition: 1. ประชากรที่เพิ่มขึ้น: ปัจจุบัน (ก.พ. 2021) ประชากรโลกอยู่ที่ 7.8 พันล้านคน ข้อมูลจากเว็บ Our Word in Data คาดการณ์ว่าในปี 2050 ประชากรทั่วโลกจะอยู่ระดับ 9.7 พันล้านคน และในปี 2100 จะอยู่ที่ 1 หมื่นล้านคน 2. ความต้องการบริโภคพลังงานที่เพิ่มขึ้น: ผลจากข้อที่แล้ว ยิ่งมีคนมากขึ้น ยิ่งเศรษฐกิจเติบโตขึ้น พลังงานก็ยิ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้น แต่ถ้าจะให้พึ่งเชื้อเพลิงที่ทำให้โลกร้อนต่อไปก็คงไม่ไหว 3. เป้าหมายลด CO2: จากที่แต่ละประเทศตั้งปณิธานกันว่าจะช่วยกันลดการปล่อยก๊าซ CO2 ก็จะยิ่งช่วยให้แต่ละธุรกิจต้องหาวิธีใช้พลังงานแบบใหม่ ๆ ที่ไม่ทำร้ายโลก ซึ่งปัจจุบันนั้น CO2 จากอุตสาหกรรมนั้นนับเป็น 70% ของการปล่อย CO2 ทั้งหมด แน่นอนว่านี่เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจพลังงานสีเขียวที่จะเข้ามาช่วยลดสัดส่วนตรงนี้
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1717
Finance
สิทธิลดหย่อนภาษีเพื่อการเกษียณ กลุ่ม “ร่วมด้วยช่วยออม” มีอะไรบ้าง
null
สิทธิลดหย่อนภาษีเพื่อการเกษียณ กลุ่ม “ร่วมด้วยช่วยออม” เมื่อออมแล้วจะมีคนสมทบเงินออมเพิ่มให้ด้วย - กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) เป็นระบบการออมเพื่อการเกษียณสำหรับพนักงานประจำในบริษัทเอกชน บังคับพนักงานออมเงินโดยการหักเงินสะสมออกจากเงินเดือนให้อัตโนมัติ เริ่มต้นที่ 3% ไปจนถึงสูงสุดที่ 15% ของเงินเดือน ออมเท่าไหร่ลดหย่อนได้เท่านั้น นายจ้างจะมีหน้าที่ต้องสมทบเงินออมให้ด้วยไม่น้อยกว่าที่ลูกจ้างได้สะสมเข้ามาด้วย - กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) สำหรับข้าราชการทุกคน เป็นระบบการบังคับออมลักษณะใกล้เคียงกันกับ Provident fund คือ ออมขั้นต่ำ 3% ของเงินเดือน สูงสุดออมเพิ่มได้ถึง 15% ต่อเดือน แต่ที่แตกต่างคือนายจ้าง (รัฐบาล) จะสมทบเงินออมให้ไม่เกิน 3% เท่านั้น มีการสมทบเงินในส่วน “เงินชดเชย” โดยข้าราชการจะได้รับเงินชดเชยก็ต่อเมื่อตอนเกษียณแล้วเลือกรับเงินบำนาญเท่านั้น - กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน สำหรับบุคลากรทางการศึกษา ในโรงเรียนเอกชน ลูกจ้างหักสะสมจากเงินเดือน 3% โรงเรียนในฐานะนายจ้างสมทบเงินให้อีก 3% รัฐช่วยสมทบให้อีก 6% - กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เป็นกองทุนเดียวที่ใช้ความสมัครใจ ไม่บังคับออม เป็นระบบการออมเพื่อการเกษียณที่ออกแบบมาเพื่อ Freelance และผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนโดยเฉพาะ ออมได้สูงสุด 13,200 บาทต่อปี นอกจากลดหย่อนภาษีได้ เมื่อออมแล้วก็จะมีรัฐบาลสมทบเงินให้ด้วย โดยจะกำหนดวงเงินสมทบตามช่วงอายุของผู้ออม เช่น ถ้าอายุระหว่าง 15 – 30 ปี รัฐจะสมทบเงินออมให้ 50% แต่จะไม่เกิน 600 บาท เป็นต้น ยิ่งอายุมากขึ้น รัฐก็จะสมทบให้มากขึ้นไปอีก ถ้าออมครบตามเงื่อนไข ก็จะได้รับบำนาญตลอดชีพด้วย สิ่งที่น่าสนใจสำหรับกลุ่ม “ร่วมด้วยช่วยออม” เป็นการออมเพื่อการเกษียณที่ได้ประโยชน์หลายเด้ง ได้วินัยการออม ได้เงินออมเพิ่มจากนายจ้างหรือภาครัฐ แล้วยังลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในแต่ละช่วงเวลา ผู้ออมจะได้รับเงินสมทบจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง เพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น อย่างเช่น พนักงานประจำที่ได้สะสมเงินใน Provident fund และกองทุนประกันสังคมอยู่แล้ว ก็จะไปออมเงินใน กอช. เพื่อให้ได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลด้วยอีกไม่ได้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1719
Finance
คำกล่าวที่ว่าภาษีกับความตาย เป็นสองสิ่งที่หนีไม่พ้น หมายความว่าอย่างไร
ก. การจะมาคอยเรียกร้องให้ภาครัฐมาช่วยดูแล จะเป็นทางเลือกที่ไม่ดีเท่าที่ควร ข. เงินเป็นจำนวนมาก ย่อมต้องใช้จ่ายมาก ค. การประกอบธุรกรรมต่าง ๆ ในปัจจุบัน เลขประจำตัวประชาชน หรือเลข 13 หลัก เป็นตัวติดตามในการรับเงินทุกครั้ง ง. เดี๋ยวสิ้นเดือนก็ได้เงิน โดยไม่เคยมีการวางแผนเก็บออม หรือวางแผนในการลดหย่อนภาษี
คำตอบได้แก่ ค. เนื่องจาก เพราะคำกล่าวที่ว่าภาษี กับความตาย เป็นสองสิ่งที่หนีไม่พ้น เพราะอย่างไรในการประกอบธุรกรรมต่าง ๆ ในปัจจุบัน เลขประจำตัวประชาชน หรือเลข 13 หลัก ก็เป็นตัวติดตามในการรับเงินทุกครั้งอยู่แล้ว บริษัท ห้างร้านต่าง ๆ เวลาจ่ายเงินต้องระบุผู้รับ ดังนั้น ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นเท่าไร ความทั่วถึงของข้อมูลยิ่งเพิ่มมากขึ้น วันที่มีโอกาสหลุดรอดยิ่งแทบจะไม่มี ดังนั้น การยื่นภาษี และการใช้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่สามารถใช้ในการลดหย่อนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ นักกีฬาอาชีพหลายคน ตอนมีเงิน ซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ แบ่งเงินให้ญาติพี่น้องมากมาย เพราะมองว่ายังหาได้ สิ้นเดือนก็ได้เงิน โดยไม่มีการวางแผนเก็บออม ซ้ำร้ายบางคนถึงขนาดไม่ยอมยื่นภาษี เพราะกลัวจะต้องเสียเงิน
5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_1720
Finance
การซื้อบิทคอยน์จำนวน 1.5 พันล้านเหรียญและการประกาศว่าเทสลาจะรับบิทคอยน์เป็นค่าซื้อรถเทสลาของ อีลอน มัสก์ เป็น “ข่าวใหญ่” ในแวดวงธุรกิจการเงินและการลงทุน หลังจากที่ข่าวออกไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 64 ราคาบิทคอยน์ก็ปรับตัวขึ้นถึงเท่าไหร่
null
การซื้อบิทคอยน์จำนวน 1.5 พันล้านเหรียญและการประกาศว่าเทสลาจะรับบิทคอยน์เป็นค่าซื้อรถเทสลาของ อีลอน มัสก์ เป็น “ข่าวใหญ่” ในแวดวงธุรกิจการเงินและการลงทุน หลังจากที่ข่าวออกไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 64 ราคาบิทคอยน์ก็ปรับตัวขึ้นถึง 19% เป็นประมาณ 1.4 ล้านบาทไทยและสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้มูลค่าทั้งหมดหรือ Market Cap. ของบิทคอยน์เท่ากับประมาณ 8.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 26 ล้านล้านบาทไทย แน่นอนว่า “อิทธิพล” ของมัสก์ ได้ช่วยขับเคลื่อนราคาของบิทคอยน์ขึ้นไปมาก คนคงจะเชื่อมั่นในตัวมัสก์ว่ามองอะไรไม่ผิด เหนือสิ่งอื่นใด หุ้นเทสลาของเขาก็มีการปรับตัวขึ้นมามโหฬารจนมีมูลค่าประมาณ 8.2 แสนล้านดอลลาร์ใกล้เคียงกับมูลค่าของบิทคอยน์ ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นเทสลาปรับตัวขึ้นมาประมาณ 5.6 เท่า ในขณะที่บิทคอยน์ก็ขึ้นมาประมาณ 4.6 เท่า ใกล้เคียงกัน ถ้ามองทางด้านของ “พื้นฐาน” หรือเหตุผลที่ทั้งสองหลักทรัพย์หรือตราสารมีคล้าย ๆ กันอีกอย่างหนึ่งก็คือ เทสลานั้นขายความเป็น “โลกแห่งอนาคต” ของรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ต้องใช้คนขับที่จะ “ปฏิวัติ” รถยนต์ดั้งเดิมของโลก ในขณะที่บิทคอยน์เองนั้นก็จะเป็น “โลกแห่งอนาคต” ของ “เงิน” ที่จะใช้กันทั่วโลกในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ดังนั้น ราคาที่ขึ้นมาแรงและเร็วมากจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนว่า เทสลาจะยิ่งใหญ่มากในโลกของรถยนต์ ในขณะที่บิทคอยน์ก็จะยิ่งใหญ่มากในโลกของเงินที่เรียกว่า “Cryptocurrency” ที่วันหนึ่งคนจะใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันทั่วโลกแทนระบบเงินตราปัจจุบันที่เป็นดอลลาร์ หยวน หรือบาทและอื่น ๆ ที่เป็นเงินของแต่ละประเทศที่ใช้กันมานาน
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1721
Finance
เขียนบทสนทนา ถาม-ตอบ ระหว่างนักลงทุน 2 คน เกี่ยวกับ 6 ข้อคิด จากหนังสือ Thinking, Fast and Slow ที่นำไปปรับใช้กับการลงทุนได้
null
บทสนทนา ถาม-ตอบ ระหว่างนักลงทุน 2 คน คือ เชิดกับสิน เกี่ยวกับ 6 ข้อคิด จากหนังสือ Thinking, Fast and Slow ที่นำไปปรับใช้กับการลงทุนได้ เชิด : สิน นายได้อ่านหนังสือ Thinking, Fast and Slow ไปหรือยัง สิน : อ่านแล้ว ได้ข้อคิดเยอะเลย เชิด : เราก็อ่านจบแล้วเหมือนกัน เอางี้ มาไล่ข้อคิดทีละข้อกันเลย สิน : หนังสือเล่มนี้ได้ข้อคิดตั้ง 6 ข้อ เลย เชิด : อ๋อเหรอ งั้นเรามาผลัดกันตอบนะ สิน : ข้อแรก อย่าเผลอยึดผลลัพธ์ เชิด : ข้อสอง อย่าซื้อขายระยะสั้น ถ้าใจไม่ถึง สิน : ข้อสาม บัญชีในใจมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เชิด : ข้อสี่ อะไรที่ไปสูงมาก หรือตกต่ำมาก สุดท้ายก็จะกลับคืนสู่จุดสามัญ สิน : ข้อห้า ทำไมบางคนขายหุ้นดี ทนถือหุ้นแย่ เชิด : และข้อสุดท้าย พูดพร้อมกันนะ สิน/เชิด : “ต้นทุนจม” ตัวฉุดไม่ให้เราก้าวหน้า!!! บทเรียนจากบทสนทนานี้ ข้อคิด จากหนังสือ Thinking, Fast and Slow ที่นำไปปรับใช้กับการลงทุนได้ 1. อย่าเผลอยึดผลลัพธ์ Outcome Bias คือชื่อเรียกของความลำเอียงประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อเราตัดสินใจโดยอ้างอิงจากผลลัพธ์ล้วน ๆ ไม่ได้ดูลึกลงไปว่าอะไรทำให้เกิดผลลัพธ์นั้น ๆ เช่น หากขาดทุนจากการลงทุน อาจจะมองว่ากลยุทธ์การลงทุนที่ผ่านมานั้นผันผวน เสี่ยงสูงเกินไป หรือสินทรัพย์ที่ลงทุนนั้นเป็นสินทรัพย์ที่ “แย่” ในขณะเดียวกันหากได้กำไร ก็จะมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดี เหมาะกับตัวเอง มองว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนไปนั้น “ดีเยี่ยม” ความลำเอียงนี้จะส่งผลกับการตัดสินใจต่อ ๆ ไป หากเคยขาดทุน ก็จะระมัดระวังมากขึ้น (จนเผลอมองข้ามโอกาสดี ๆ อื่น ๆ) และหากเคยกำไร ก็จะยิ่งบู๊มากขึ้น (จนไม่ทันระวังตัวก็มี) ซึ่งถามว่าการตัดสินใจมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับผลตอบแทนไหม ก็ต้องตอบว่ามีบางส่วน แต่สิ่งที่คาดคะเนไม่ได้เลยคือปัจจัยอื่น ๆ ที่จะมาพร้อมกับโชค ทางที่ดีคือ ควรมองหลาย ๆ ปัจจัย ไม่ใช่แค่ตัวเลขเงินที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างเดียว แล้วยึดว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปตลอด แต่ควรดูว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ช่วยส่งให้การลงทุนที่ผ่านมานั้นดี/แย่ บางทีอาจจะเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้เลย 2. อย่าซื้อขายระยะสั้น ถ้าใจไม่ถึง เวลาตัดสินใจมักจะมองเป็นอย่าง ๆ ไป หรือที่เรียกว่า Narrow Framing เพราะมันง่ายกว่า แต่ถ้ามองอีกแบบ มองแบบภาพรวม (Broad Framing) ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ต่างกันออกไป การพนันด้วยการทอยเหรียญเพียงครั้งเดียว แล้วเสี่ยงดวงเอาครึ่งต่อครึ่งว่าจะเสียเงินหรือได้เงิน ฟัง ๆ แล้วอาจจะดูไม่น่าสนใจ ฟังดูเสี่ยงเกินไป โดยเฉพาะสำหรับคนที่กลัวความเสี่ยง แม้ว่าจะเป็นจำนวนเท่า ๆ กัน แต่การเสียนั้นจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าเป็นสองเท่า เมื่อเทียบกับความรู้สึกดีใจจากการได้ในจำนวนเท่า ๆ กันเสียอีก (ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Loss Aversion) ถ้าเป็นการพนันหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็คงจะชนะบ้างแพ้บ้าง จะดูน่าสนใจขึ้นทันทีหากมองภาพรวม โอกาสการสูญเสียถูกลดทอนน้ำหนักลงไป ส่วนโอกาสการชนะก็ถูกเน้นย้ำมากขึ้น จุดนี้มีการเปรียบเทียบกับการลงทุน หนังสือบอกว่าคนที่มองการลงทุนเป็นภาพรวม เป็น “พอร์ตโฟลิโอ” ระยะยาวจะสามารถบริหารการลงทุน (และสภาพจิตใจ) ได้ดีกว่าคนที่มองว่าการลงทุนคือการซื้อ ๆ ขาย ๆ ระยะสั้นในแต่ละครั้ง ตรงกับวลีที่ว่าเวลาคือเพื่อนของนักลงทุน 3. “บัญชีในใจ” มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยปกติแล้ว “เงิน” ก็คือ “เงิน” เงินทุกบาททุกสตางค์ล้วนมีค่าเท่ากัน และสามารถใช้แทนกันได้หมด แต่ปรากฏการณ์ Mental Accounting ไม่ทำให้คิดแบบนั้น มองในแง่ดี Mental Accounting ช่วยให้แบ่งเงินออกตามวัตถุประสงค์การใช้งานได้ เช่น เงินก้อนนี้สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เงินก้อนนี้เป็นเงินลงทุนระยะยาว เงินก้อนนี้ไว้สำหรับไปเที่ยว ฯลฯ ซึ่งนี่ก็คือลักษณะของ Narrow Framing ช่วยให้บริหารจัดการเงินได้ดีขึ้น ผลเสียของ Mental Accounting มีไหม ต้องบอกว่ามีเหมือนกัน เพราะบางครั้งมันอาจจะส่งผลให้ตัดสินใจ “ใช้เงินเยอะ” ในส่วนที่เป็นเงินโบนัส หรือเงินจากการถูกหวย ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันก็คือเงินเหมือนกัน เหมือนกับเงินเดือนที่ขวนขวายหามา หรือเงินทุนที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเพื่อซื้อหุ้น นั่นก็เพราะพอเป็นเงินที่หามาได้จากความพยายาม อาจจะไม่กล้าใช้มันเท่าไร แต่พอเป็นเงินลาภลอย ก็จะกล้าใช้มากขึ้น ทั้งที่จริง ๆ สามารถนำลาภลอยไปเก็บออม ไปลงทุนต่อก็ได้ 4. อะไรที่ไปสูงมาก หรือตกต่ำมาก สุดท้ายก็จะกลับคืนสู่จุดสามัญ Regression to The Mean คือแนวคิดที่ว่าอะไรที่สุดโต่งมาก ๆ สุดท้ายก็จะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าสู่จุดค่าเฉลี่ยของมันเอง เด็กที่เคยสอบได้คะแนนสูงมาก ๆ ในครั้งแรก มักจะทำได้ไม่ดีเท่าเดิมในครั้งที่สอง เพราะครั้งแรกเขาอาจจะโชคดีมาก ๆ และโอกาสที่จะโชคดีเท่าเดิมนั้นก็ไม่เยอะ (ในเชิงจิตใจ เด็กอาจจะกดดันในครั้งที่สอง ทำให้ทำข้อสอบได้ไม่ดีเท่าครั้งแรก) ในขณะที่เด็กซึ่งทำผลสอบได้ไม่ดีในครั้งแรก ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งต่อไปจะไม่ดีเช่นกัน เสร็จจากครั้งนั้นเขาอาจจะไปติวมากขึ้น ทำให้รอบต่อไปผลสอบดีขึ้นได้ ในฝั่งของการลงทุน อาจจะได้เห็นผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ที่เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง บางปีก็ขึ้นสูงมาก บางปีก็ตกต่ำมาก แต่แน่นอนว่าไม่มีสินทรัพย์ไหนเลยที่จะขึ้นไปตลอด หรือลงไปตลอด สุดท้ายทุก ๆ สินทรัพย์ย่อมกลับมาสู่จุดค่าเฉลี่ยระยะยาว นี่ก็ส่งผลต่อระยะเวลาการลงทุนด้วยเช่นกัน หากลงทุนสั้น ๆ ซื้อขายไว ๆ ก็จะพบกับความเสี่ยงที่มากกว่า เพราะอาจจะเจอปีที่ “โชคดีเป็นพิเศษ” หรือ “โชคร้ายเป็นพิเศษ” ก็ได้ แต่ถ้าเลงทุนยาว ๆ ไป ความเสี่ยงหรือ “โชค” ระยะสั้นจะไม่มีผลมากนัก ผลตอบแทนก็จะได้เป็นค่าเฉลี่ยระยะยาวไป 5. ทำไมบางคนขายหุ้นดี ทนถือหุ้นแย่ Disposition Effect เป็นปรากฏการณ์ที่ใช้อธิบายว่าทำไมนักลงทุนบางคนถึงขายหุ้นที่กำไรดี ๆ ไป แต่ยังทนขาดทุนกับหุ้นแย่ ๆ เหตุผลคือการขายหุ้นดี ๆ ที่กำไรแล้ว จะทำให้เขารู้สึกว่า “ทำแต้ม” ได้ ในขณะที่การขายหุ้นแย่ ๆ แบบขาดทุนจะทำให้เขารู้สึกว่า “เสียแต้ม” สมมติว่า ต้องการขายหุ้นสักตัว มีตัวเลือกระหว่างหุ้นดีอย่างหุ้น A ที่กำไรแล้ว กับหุ้น B ที่เป็นหุ้นแย่แถมกำลังขาดทุนอยู่ หากขายหุ้น A จะทำกำไรได้ 5,000 บาท ส่วนหุ้น B นั้น มูลค่าทั้งหมดที่ถือตอนนี้อยู่ที่ 5,000 บาท น้อยกว่าตอนที่ซื้อมันมา หากโดน Disposition Effect ครอบงำ ก็จะเลือกขายหุ้น A เพราะมันทำให้รู้สึกว่าตัวเองได้กำไร ทั้งที่จริง ๆ แล้วหากขายหุ้น B เราก็ได้ 5,000 บาทเหมือนกัน แต่จะรู้สึกแย่กว่าเพราะว่าขายหุ้น B แบบขาดทุน 6. “ต้นทุนจม” ตัวฉุดไม่ให้ก้าวหน้า Sunk-Cost Fallacy เป็นปรากฏการณ์ที่อธิบายถึงการจมปลักอยู่กับสถานการณ์ที่แย่ไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่มีตัวเลือกอื่น ๆ ที่ดีกว่าอยู่ ตัวอย่างในด้านการเงินการลงทุนก็เช่น สมมติทุ่มเงินซื้อหุ้นไปแล้ว แต่หุ้นดันตกหนักมาก ขณะเดียวกันก็เห็นว่ามีหุ้นอีกตัวหนึ่งที่เป็นขาขึ้น ทำกำไรได้ดี จะขายหุ้นที่ขาดทุนอยู่ทิ้งแล้วไปซื้อหุ้นอีกตัวที่มีแนวโน้มดีกว่าหรือไม่ หากโดนกับดักของ Sunk-Cost Fallacy จะไม่กล้า เพราะมองว่าได้เสียเงินไปกับหุ้นแย่ตัวนี้แล้ว ถ้าขายไปมันจะกลายเป็น Sure Loss ทนถือ ๆ ไปหน่อย ทั้งที่ความจริงไม่ควรนำต้นทุนที่เสียไปแล้ว มากำหนดการตัดสินใจ อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ควรผ่านไป แล้วมองไปข้างหน้าดีกว่าว่ามีโอกาสอะไรให้คว้าบ้าง ถ้าหยุดใช้ระบบ 2 เข้ามาไตร่ตรอง ก็จะเข้าใจว่าเงินที่ได้มันเท่ากัน ทีนี้ก็ต้องไปดูที่หุ้นรายตัวแล้วละว่าตัวไหนมีแนวโน้มไปได้ดีต่อ และตัวไหนที่ควรขายทิ้ง ก็จะช่วยให้ไม่ต้องเผลอขายหมู หรือติดดอย อีกวิธีที่จะช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์นี้ได้คือ การจัดพอร์ตให้มีหลาย ๆ สินทรัพย์ นั่นเพราะในช่วงเวลา ณ ขณะหนึ่ง ไม่มีทางที่ทุกสินทรัพย์จะพร้อมใจกันทำผลงานได้ดีสุด ๆ หรือแย่สุด ๆ จะต้องมีสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งที่ดี หรือ ไม่ดี ปะปนกันไป การจัดพอร์ตให้ครอบคลุมทุก ๆ สินทรัพย์ จะช่วยพยุงการลงทุนระยะยาวของเราไปได้อย่างมั่นคงมากขึ้น
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1723
Finance
Blockchain คืออะไร
a. บล็อกเชนเป็นเครือข่ายสำหรับการเก็บข้อมูลแบบกระจายอำนาจ หรือ Decentralized b. การโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าหมายมาที่เครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว c. ส่งไปต่อท้ายข้อมูลชุดก่อนโดยเรียงต่อกันไปเรื่อย ๆ เหมือนกับโซ่ d. การแชร์ข้อมูลภายในองค์กร หรือแม้แต่การป้องกันภัยทางไซเบอร์
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ a. เพราะว่า ในขณะที่กระแสคริปโทเคอร์เรนซีกำลังเป็นที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ก็มีอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือ Blockchain (บล็อกเชน) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเบื้องหลังความสำเร็จของคริปโทเคอร์เรนซีนั่นเอง ทำไมผู้ประกอบการควรพิจารณาหันมาประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain เข้ากับธุรกิจ Blockchain คืออะไร? - บล็อกเชนเป็นเครือข่ายสำหรับการเก็บข้อมูลแบบกระจายอำนาจ หรือ Decentralized หมายความว่าข้อมูลทุกอย่างจะไม่ถูกเก็บอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว แต่คอมพิวเตอร์ทั้งเครือข่ายจะเก็บข้อมูลชุดเดียวกัน และมีการตรวจสอบอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ข้อมูลในทุกเครื่องตรงกัน ที่มาของคำว่าบล็อกเชน คือทุกครั้งที่มีข้อมูลชุดใหม่เกิดขึ้น ข้อมูลก็จะถูกรวบรวมเป็นบล็อก (Block) จากนั้นเครือข่ายจะตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และส่งไปต่อท้ายข้อมูลชุดก่อนโดยเรียงต่อกันไปเรื่อย ๆ เหมือนกับโซ่ (Chain) ข้อมูลที่ขึ้นไปอยู่บนบล็อกเชนจะไม่สามารถถูกแก้ไขได้ บล็อกเชนจึงโดดเด่นในเรื่องของความโปร่งใส ความปลอดภัย และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ เหตุผลที่ผู้ประกอบการควรประยุกต์ใช้ Blockchain บล็อกเชนคือเทคโนโลยีเบื้องหลัง Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีสกุลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Ethereum, Litecoin, หรือ Dogecoin เป็นต้น ประโยชน์ของบล็อกเชนไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในเรื่องของการเงินเท่านั้น บล็อกเชนสามารถช่วยในเรื่องของความโปร่งใสและความปลอดภัยอย่างที่กล่าวเอาไว้ อีกทั้งความสามารถในการเขียน Smart Contract บนบล็อกเชน ยังเปิดโอกาสให้เกิดการสร้าง Application ต่าง ๆ ขึ้นบนบล็อกเชนได้อีกด้วย โดยเหตุผลหลัก ๆ 3 ข้อที่ผู้ประกอบการควรหันมาประยุกต์ใช้บล็อกเชนเข้ากับธุรกิจ มีดังต่อไปนี้ 1. เพิ่มความโปร่งใส พื้นฐานของบล็อกเชนที่เป็น Public Ledger หรือสมุดบัญชีสาธารณะ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่อยู่บนบล็อกเชนเพื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้ โดยเฉพาะเรื่องของการเงินที่ต้องการความโปร่งใสเป็นพิเศษ การนำบล็อกเชนมาใช้จึงสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี 2. เสริมประสิทธิภาพและความรวดเร็ว การนำบล็อกเชนและ Smart contract มาใช้ ทำให้สามารถตัดคนกลางออกจากการทำงานในหลาย ๆ ขั้นตอนได้ ยกตัวอย่าง เช่น การโอนเงินข้ามประเทศ จากเดิมที่ต้องดำเนินการผ่านธนาคาร ก็สามารถโอนเงินให้กับผู้รับโดยตรงได้เลย โดยอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีและยังสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอย่างค่าธรรมเนียมลงไปได้ด้วย 3. ยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ ข้อมูลที่อยู่บนบล็อกเชนจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้ หากไม่ได้รับการยินยอมอย่างน้อย 51% จากทั้งเครือข่าย นอกจากนี้ การโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าหมายมาที่เครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวก็ไม่สามารถทำอะไรเครือข่ายบล็อกเชนได้เช่นกัน เพราะว่าข้อมูลบนบล็อกเชนจะถูกเก็บโดยเครื่องพิวเตอร์ทั้งเครือข่าย ตัวอย่างองค์กรที่ใช้ Blockchain ปัจจุบัน องค์กรระดับโลกหลายองค์กรได้มีการประยุกต์ใช้บล็อกเชนเข้ากับธุรกิจของตนเองเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_1725
Finance
จางหยิน ราชินีแห่งขยะ ผู้ก่อตั้งบริษัท Nine Dragon Paper Holdings คือใคร
null
คุณจางหยิน (Zhang Yin) เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Nine Dragon Paper Holdings บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องด้วยมูลค่าบริษัท ณ ปัจจุบันสูงกว่า 1,7 ล้านล้านบาท โดย Nine Dragon Paper Holdings เป็นบริษัทที่นำเศษกระดาษหรือกระดาษที่ใช้แล้ว มารีไซเคิลเป็น cardboard หรือก็คือ กระดาษแข็ง ที่นำมาประกอบเป็นกล่องกระดาษสำหรับใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ใส่ของเล่น หรือใส่สินค้าอื่น ๆ ทั่วไป ณ ปัจจุบัน Nine Dragon Paper ถือเป็นบริษัทกระดาษที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน สำหรับคุณจางหยิน จากการจัดอันดับในปี ค.ศ. 2018 เธอเป็นผู้หญิงที่รวยที่สุดอันดับ 4 ของประเทศจีน ด้วยทรัพย์สินกว่า 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ หนึ่งแสนล้านบาท อะไรที่ทำให้เธอเห็นโอกาสจากธุรกิจ “ขยะ” เหล่านี้ และทำไมบริษัทถึงมีมูลค่าหลักล้านล้านบาท ? จุดเริ่มต้นของเรื่องราว เกิดขึ้นหลังจากที่คุณจางหยินได้เริ่มทำงานเป็นพนักงานบัญชีของบริษัทผลิตกระดาษแห่งหนึ่งในเมืองเสิ่นเจิ้น โดยในช่วงทศวรรษ 1980 เสิ่นเจิ้นถือเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน และถือเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าจีนแห่งหนึ่ง ที่เมืองเสิ่นเจิ้น และบริษัทที่คุณจางหยินทำงานอยู่ ทำให้เธอเริ่มเห็นโอกาสในการรีไซเคิลกระดาษเป็นบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งออก หลังจากทำงานเป็นพนักงานบัญชีสักพัก ในปี ค.ศ. 1985 คุณจางหยินเองได้เริ่มหันมาเปิดธุรกิจค้าเศษกระดาษที่ฮ่องกงเอง ด้วยเงินเก็บเพียง 1 แสนบาทเท่านั้น ด้วยภาวะเศรษฐกิจประเทศจีน ณ ขณะนั้น ที่กำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ทั้งการส่งออก และการบริโภคภายในประเทศ ไม่ว่าสินค้าใด ๆ ก็ตาม ต่างต้องการบรรจุภัณฑ์ หรือลังกระดาษมาบรรจุสินค้า ทำให้เศษกระดาษหรือกระดาษที่ใข้แล้ว ซึ่งจะนำไปรีไซเคิลเป็นลังกระดาษต่อไปมีความต้องการสูงมาก อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ประเทศจีนกำลังอยู่ภาวะขาดแคลนกระดาษอย่างมาก และไม่มีต้นไม้เหลือพอให้ตัดมาทำกระดาษอีกแล้วครับในปี ค.ศ. 1990 คุณจางหยิน ก็เลยย้ายธุรกิจของตัวเองไปอยู่ที่เมืองลอสแองเจลิส และก่อตั้งบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า “America Chung Nam” ขึ้นมาร่วมกับสามีของเธอ โมเดลธุรกิจนั้นเรียบง่ายมาก เธอกับสามีจะตระเวนไปยังแหล่งของเสีย หรือแหล่งที่มีกระดาษที่ถูกใช้แล้วแถวแคลิฟอร์เนีย เพื่อขอซื้อเศษกระดาษ เธอจะซื้อกระดาษที่ใช้แล้วในละแวกนั้นด้วยราคาไม่ถึง 100 เหรียญต่อตัน ซึ่งถ้าผลิตกระดาษใหม่จากต้นไม้ อาจมีต้นทุนถึงสูงถึง 500 เหรียญสหรัฐในขณะนั้น เมื่อคุณจางหยินตระเวนซื้อเศษกระดาษมาแล้ว ก็จะดำเนินการซื้อพื้นที่ตู้คอนเทนเนอร์โล่งๆ ที่จะต้องส่งกลับจีนอยู่แล้ว ในตู้คอนเทนเนอร์ที่จะส่งกลับจีน (ซึ่งปกติว่างเปล่า) จึงเต็มไปด้วยเศษกระดาษ ที่จะถูกนำกลับมาขายที่ประเทศจีน โดยในปี 2001 America Chung Nam ของเธอ นับว่าเป็นบริษัทที่ส่งออกกระดาษอันดับหนึ่งของสหรัฐ การดำเนินธุรกิจของคุณจางหยินยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากที่เธอดำเนินธุรกิจส่งเศษกระดาษกลับมาขายที่จีนแล้ว ตัวคุณจางหยินเอง ก็กลับมาที่ฮ่องกงในปีค.ศ. 1995 เพื่อก่อตั้งบริษัท Nine Dragon Paper ร่วมกับสามีและน้องชาย เพื่อดำเนินธุรกิจที่ไม่ใช่แค่ขายเศษกระดาษ แต่นำเศษกระดาษเหล่านั้นมารีไซเคิลเป็นบรรจุภัณฑ์ หรือลังกระดาษเพื่อใส่สินค้า โดยปกติแล้วการจะรีไซเคิลเศษกระดาษเป็นกระดาษแข็ง จะต้องใช้น้ำจนวนมาก จากข้อมูลบนเว็บไซต์ Recycle Paper UK ระบุว่า ปกติแล้วกระบวนการรีไซเคิลกระดาษ จะใช้น้ำอยู่ที่ประมาณ 23,400 ลิตร ต่อกระดาษหนึ่งตัน คุณจางหยินเองก็ตระหนักถึงปัญหานี้ เมื่อบริษัทเริ่มมีกำไรจากการแปรรูปและค้าเศษกระดาษ ก็จะนำกำไรเหล่านั้นมาลงทุนใน R&D (Research and Development) เพื่อพัฒนาเทคนิคการแปรรูปกระดาษที่ใช้น้ำน้อยกว่าเดิมมาก ทำให้ลดปริมาณการใช้น้ำลงได้มาก นอกจากนี้ เวลาบริษัทไปตั้งโรงงานที่ไหน ก็มักจะตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ หรืออยู่ใกล้บริเวณเมืองที่ไม่ขาดแคลนน้ำ จากในปี ค.ศ. 1995 ที่เริ่มก่อตั้ง Nine Dragon Paper Holdings พอถึง ปี ค.ศ. 2006 บริษัทได้ทำการ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ด้วยมูลค่ากว่าหนึ่งหมื่นห้าพันล้านบาท จาก ค.ศ. 2006 จนถึงปัจจุบัน Nine Dragon Paper ถือเป็นบริษัทผลิตกระดาษแข็ง ลังกระดาษ และบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ด้วยมูลค่าบริษัทกว่า 1.7 ล้านล้านบาท โดยบริษัทได้ส่งบรรจุภัณฑ์ หรือลังกระดาษแข็ง ออกไปขายแทบจะทั่วโลก บริษัทดัง ๆ ที่ใช้บริการก็เช่น Nike, Coca-Cola, Sony, และ TCL เป็นต้น บนเว็บไซต์ของ Nine Dragon Paper ได้มีการระบุวิสัยทัศน์ไว้ว่า “บริษัทมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการรีไซเคิลกระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทใช้แต่เศษกระดาษหรือกระดาษที่ใช้แล้ว นำมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์เท่านั้น” การใช้แต่กระดาษที่ใช้แล้วมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์ ก็เพื่อที่จะยึดมั่นต่อลูกค้าว่า ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทุกอย่าง ล้วนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การดำเนินธุรกิจของคุณจางหยิน และบริษัท Nine Dragon Paper อาจเรียกได้ว่าเป็นการดำเนินธุรกิจแบบ Win-Win เพราะลูกค้าเองก็ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะที่บริษัทเองก็มีรายได้จากผลิตภัณฑ์เหล่านั้น เรื่องราวของคุณจางหยิน ผู้ก่อตั้งบริษัท Nine Dragon Paper และร่ำรวยระดับแสนล้านบาทจากธุรกิจที่หลายคนอาจมองข้าม อย่างการรีไซเคิลกระดาษ อาจเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาได้ว่า จริง ๆ แล้วธุรกิจที่ทำเงินได้เป็นแสนล้าน หรือล้านล้านบาท ก็สามารถเป็นธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์
6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1727
Finance
กองทุน TMBCOF มีความโดดเด่นหรือจุดเด่นอย่างไรที่ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ?
หัวข้อ เจาะลึกโอกาสลงทุนใน “ประเทศจีน” ผ่านกองทุน TMBCOF, KT-ASHARES-A, UCI I FUND OF FAME EP1 พลาดไม่ได้เด็ดขาดสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในประเทศจีน คลิปนี้คุณมาร์ช BuffettCode จะพาไปเจาะลึก 3 กองทุนจีนสุดฮอตอย่าง TMBCOF, KT-ASHARES-A และ UCI พร้อมพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ ถึงโอกาสการลงทุนในประเทศจีน! รับชมพร้อมกันวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 12:00 น.
กองทุน TMBCOF (TMB China Opportunity Fund) มีจุดเด่นและความโดดเด่นหลายประการที่ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในประเทศจีน ดังนี้ 1. การเข้าถึงโอกาสการเติบโตในเศรษฐกิจจีน - เศรษฐกิจจีนเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก กองทุน TMBCOF มีการลงทุนในบริษัทชั้นนำของจีนที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง 2. การจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ - กองทุนนี้มีทีมผู้จัดการการลงทุนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาดและการคัดเลือกหุ้นในประเทศจีน ทำให้สามารถเลือกหุ้นที่มีศักยภาพสูงและลดความเสี่ยงในการลงทุน 3. การกระจายการลงทุน - กองทุน TMBCOF มีการกระจายการลงทุนในหลากหลายภาคส่วนและอุตสาหกรรมในประเทศจีน ทำให้ลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นเพียงไม่กี่ตัวหรือในอุตสาหกรรมเดียว 4. ความยืดหยุ่นในการลงทุน - กองทุนนี้มีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตโฟลิโอตามสภาวะตลาดและแนวโน้มเศรษฐกิจ ทำให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างรวดเร็ว 5. โอกาสในการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม - ประเทศจีนเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมหลายด้าน กองทุน TMBCOF มีการลงทุนในบริษัทที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงในอนาคต 6. นโยบายการลงทุนที่เน้นความยั่งยืน - กองทุนนี้อาจมีนโยบายการลงทุนที่คำนึงถึงความยั่งยืนและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนหลายคนให้ความสำคัญในปัจจุบัน การลงทุนในกองทุน TMBCOF จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าถึงโอกาสการเติบโตในประเทศจีนผ่านการจัดการที่มีประสิทธิภาพและการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1728
Finance
วิธีที่ควรใช้คัดเลือกประกันสุขภาพ และ ประกันมะเร็ง ต้องดูเรื่องอะไรกันบ้าง
null
วิธีที่ควรใช้คัดเลือกประกันสุขภาพ และ ประกันมะเร็ง ต้องดูเรื่องดังต่อไปนี้ 1. “วงเงินความคุ้มครอง” เหมาะสม หากต้องการให้ประกันสุขภาพ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายการรักษา ทั้งโรคทั่วไป โรคร้ายแรง และช่วยให้สามารถเข้าถึงนวัตกรรมการรักษารูปแบบใหม่ที่ดียิ่งขึ้นได้ในอนาคต แนะนำว่าอาจต้อง “เลือก” แบบประกันฯ ที่มีความคุ้มครองขั้นต่ำราว 3 – 5 ล้านบาท ก็จะช่วยให้สบายใจยิ่งขึ้นเมื่อเข้ารับการรักษา 2. “ค่าห้องพัก” ใกล้เคียงกับ รพ. ที่ใช้ประจำ ค่าห้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ มีความแตกต่างกันมาก โดยโรงพยาบาลรัฐฯ จะมีค่าห้องผู้ป่วยปกติอยู่ที่ประมาณ 2,500 -3,500 บาทต่อคืน ส่วนโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ จะอยู่ที่ประมาณ 8,000 บาทต่อคืนขึ้นไป ดังนั้นควรดูให้ดีว่า กรมธรรม์ที่เลือก มีวงเงิน “ค่าห้อง” สอดคล้องกับโรงพยาบาลที่ใช้ประจำหรือเปล่า 3. ไม่ปฏิเสธการต่ออายุ อาจเคยได้ยินว่ามีคนถูกบริษัทประกันปฏิเสธการต่ออายุความคุ้มครอง ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากเราพบว่าเป็นโรคร้ายแรงแล้ว และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเริ่มทำประกันใหม่กับบริษัทอื่น เพื่อให้มีความคุ้มครองครบถ้วนหลังจากที่มีประวัติโรคร้ายแรง ดังนั้น จึงควรเลือกทำประกันที่ไม่ปฏิเสธการต่ออายุ เพื่อเป็นหลักประกันว่าเรายังมีความคุ้มครองต่อเนื่องได้ตลอดการรักษาตัว 4. ค่าเบี้ยฯ หลังเกษียณไม่แพงก้าวกระโดด หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่า ค่าเบี้ยฯ หลังเกษียณอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี ไปจนถึงเสียชีวิตหรือสิ้นสุดระยะเวลาคุ้มครองสูงสุด จะต้องเตรียมเงินล่วงหน้าไว้เท่าไหร่ รู้หรือไม่ว่า ยิ่งอายุมากขึ้น ค่าเบี้ยฯ ก็มักจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นอย่าลืมดูค่าเบี้ยฯ ให้ดี 4.1 เลือกกรมธรรม์ทั้งแบบจ่ายเงินก้อน + แบบจ่ายวงเงินค่ารักษาฯ โดยหลักแล้ว ความคุ้มครองจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ – แบบจ่ายเงินก้อน : ได้รับเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง – แบบจ่ายวงเงินค่ารักษาฯ : คุ้มครองการรักษาฯ ตามวงเงินที่กำหนด อย่างไรก็ตาม แนะนำว่าควรมีทั้งกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองแบบ “เงินก้อน” และ “วงเงินค่ารักษาฯ” เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ที่จำเป็นต้องมี “เงินก้อน” เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำรอง และจำเป็นต้องมี “เงินค่ารักษาพยาบาล” ในระหว่างที่รักษาตัว 4.2 ตรวจสอบการปรับขึ้นของค่าเบี้ยฯ ลักษณะการคิดค่าเบี้ยประกันรายปี มีด้วยกัน 2 รูปแบบ ได้แก่ – ค่าเบี้ยประกันแบบคงที่ – ค่าเบี้ยประกันแบบปรับเพิ่มขึ้นตามช่วงอายุ แนะนำให้เลือกค่าเบี้ยประกันแบบคงที่ จะคุ้มค่ากว่า เนื่องจากหากทำประกันประเภทนี้ตอนอายุยังน้อย ค่าเบี้ยประกันก็จะยิ่งถูก และจะช่วยให้วางแผนการเงินในระยะยาวได้ชัดเจนขึ้นว่า ต้องเตรียมเงินค่าเบี้ยประกันไว้เท่าไหร่ 4.3 สำรวจข้อยกเว้น ว่าไม่คุ้มครองมะเร็งชนิดใด สิ่งที่จะลืมไม่ได้อีกเรื่องก็คือ การตรวจเช็กข้อยกเว้นความคุ้มครองของกรมธรรม์ให้ดี ว่าครอบคลุมการเป็นมะเร็งชนิดใดบ้าง เพราะบางกรมธรรม์ อาจจะไม่คุ้มครองหากเป็นมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1730
Finance
ประกันที่สามารถซื้อแล้วนำมาลดหย่อนภาษีได้ มี 3 ประเภท ได้แก่อะไรบ้าง
null
ประกันที่สามารถซื้อแล้วนำมาลดหย่อนภาษีได้ มี 3 ประเภท ได้แก่ 1. ประกันชีวิต ให้ความคุ้มครองชีวิตแก่ผู้ที่ทำประกันชีวิตเอาไว้ โดยหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น บริษัทประกันก็จะจ่ายเงินตามทุนประกัน ให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญา ซึ่งก็จะเป็นผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการจากไปของผู้ที่ทำประกันชีวิตเอาไว้ทางใดทางหนึ่ง เช่น บุคคลในครอบครัว ประกันชีวิตที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป จะได้แก่ 1. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ: เบี้ยประกันถูก ทุนประกันสูง แต่ไม่มีเงินคืนระหว่างทาง 2. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์: ให้เงินคืนระหว่างทาง แต่ให้ทุนประกันต่ำ และมักคุ้มครองในระยะเวลาสั้น 3. ประกันชีวิตแบบ Unit-Linked: ให้ทุนประกันสูง เบี้ยประกันถูกใกล้เคียงแบบตลอดชีพ มีความยืดหยุ่นสูง ปรับเปลี่ยนแผนการจ่ายเบี้ยประกันได้ แต่ไม่สามารถการันตีผลตอบแทน เพราะเป็นการควบการลงทุนในกองทุนรวม 4. ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term): จะเป็นแบบที่เบี้ยประกันต่ำ ความคุ้มครองสูง แต่จะไม่มีเงินคืนและไม่มีมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ เป็นการจ่ายเบี้ยประกันแลกกับความคุ้มครองชีวิตล้วน ๆ เกณฑ์การลดหย่อนภาษี ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนกรณีที่มีคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ ก็สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตของคู่สมรสมาลดหย่อนภาษีได้อีก ไม่เกิน 10,000 บาท ประกันชีวิตที่นำมาลดหย่อนภาษีได้ จะต้องให้ความคุ้มครองชีวิตอย่างน้อย 10 ปีเป็นต้นไป และถ้าเป็นแบบที่มีการจ่ายเงินคืนระหว่างทางก็จะต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันสะสมในแต่ละช่วงเวลา ในส่วนของ Unit-Linked จะนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้ เฉพาะส่วนที่เป็นค่าธรรมเนียมความคุ้มครองเท่านั้น ส่วนที่เป็นเงินในกองทุนรวม ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 2. ประกันสุขภาพ ให้ความคุ้มครองสุขภาพ ทั้งกรณีเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่าง ๆ และด้วยอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพที่ได้รับความนิยมหลัก ๆ ก็จะได้แก่ 1. ประกันสุขภาพแบบคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล 2. ประกันชดเชยรายได้รายวัน กรณีนอนโรงพยาบาล 3. ประกันโรคร้ายแรงแบบให้เงินชดเชยเป็นเงินก้อน เกณฑ์การลดหย่อนภาษี ประกันสุขภาพแบบชดเชยรายได้รายวัน กรณีนอนโรงพยาบาล จะเป็นแบบเดียวในนี้ที่ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ประกันโควิดที่หลายคนน่าจะได้ซื้อกันไว้ ก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไข สำหรับใครที่ซื้อประกันสุขภาพประเภท UDR ที่ย่อมาจาก Unit Deducting Rider ซึ่งเป็นประกันสุขภาพประเภทที่ซื้อพ่วงกับประกันชีวิตแบบ Unit-Linked ได้เท่านั้น ก็จะนำมาลดหย่อนภาษีได้ เฉพาะส่วนที่เป็นค่าธรรมเนียมเพื่อความคุ้มครองสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท เพิ่มขึ้นมาจากก่อนหน้านี้ที่ลดหย่อนได้ 15,000 เท่านั้น และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้ว จะนำมาลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับใครที่คุณพ่อคุณแม่ ที่มีเงินได้ทั้งปีไม่เกิน 30,000 บาท ก็สามารถซื้อประกันสุขภาพให้คุณพ่อคุณแม่ แล้วนำมาลดหย่อนภาษีได้รวมกันไม่เกิน 15,000 บาท โดยไม่ต้องพิจารณาอายุของคุณพ่อคุณแม่ และถ้ามีพี่น้อง ก็สามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพพ่อแม่มาหารแบ่งกันเพื่อยื่นลดหย่อนภาษีของแต่ละคนได้ 3. ประกันบำนาญ ให้ความคุ้มครองในรูปแบบการการันตีรายได้หลังเกษียณเป็นหลัก ประกันลักษณะนี้จะมีลักษณะกำหนดให้จ่ายเบี้ยประกันต่อเนื่องไปจนกว่าจะเริ่มรับเงินบำนาญ คือเมื่ออายุครบ 55 ปีเป็นอย่างน้อย แล้วจะการันตีเงินเกษียณเป็นงวดรายปีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบสัญญา สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประกันบำนาญ 1. เป็นการล็อกผลตอบแทนแบบการันตีในระยะยาว ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่ผลตอบแทนสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำมีแนวโน้มลดลงเรื่อย 2. ประกันบำนาญก็อาจไม่เหมาะกับการวางแผนความคุ้มครองชีวิต เพราะถึงมีความคุ้มครองชีวิตด้วย แต่ก็ให้ความคุ้มครองน้อยมากเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันที่ได้จ่าย รวมถึงทุนประกันแต่ละปีก็ไม่แน่นอน คือจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงที่จ่ายเบี้ยประกัน และลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเริ่มรับเงินบำนาญแล้ว เกณฑ์การลดหย่อนภาษี ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ และไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อรวมกับสิทธิลดหย่อนภาษีเพื่อการเกษียณอื่นๆ เช่น Provident fund, กบข. และ RMF ก็จะนำมาลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท ถ้าส่วนประกันชีวิตและประกันสุขภาพยังไม่ครบ 100,000 ก็สามารถนำเบี้ยประกันบำนาญส่วนที่เกินโควต้า 15% หรือ 200,000 มาโปะในช่องประกันชีวิตและสุขภาพได้
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1732
Finance
ในการเลือกประกันสุขภาพ ถ้าเป็นโรคร้ายแรงหลายโรค จะเคลมพร้อมกันได้หรือไม่
a. ไม่ได้ หากเกิดโรคร้ายแรงขึ้น ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาทันที b. ได้ แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแบบประกันของแต่ละบริษัท c. ได้ แต่จะจ่ายเคลมให้อีกโรค ก็ต่อเมื่อเป็นระยะไม่รุนแรง d. ไม่ได้ จะจ่ายก็ต่อเมื่อโรคแรกกับโรคที่สองต้องมีระยะเวลาเท่ากัน
คำตอบคือ b. เนื่องจาก ถ้าเป็นโรคร้ายแรงหลายโรค จะเคลมพร้อมกันได้หรือเปล่า ? คำตอบคือ “ได้” แต่บริษัทรับประกันจะจ่ายให้แบบไหน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแบบประกัน ยกตัวอย่างเช่น ▪ บางที่จะจ่ายเคลมให้อีกโรค ก็ต่อเมื่อเป็นระยะรุนแรงมากเท่านั้น ▪ บางที่จะจ่ายก็ต่อเมื่อโรคแรกกับโรคที่สองต้องมีระยะเวลาห่างกัน เช่น มีการกำหนดเงื่อนไขว่า โรคแรก กับโรคที่สอง ต้องมีระยะห่างกันตั้งแต่ 90 วัน หรือ บางแห่งอาจกำหนดระยะเวลา 1 ปี เป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริง หากเกิดโรคร้ายแรงขึ้น ก็จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาทันที ไม่สามารถรอได้ ตามเงื่อนไขแบบนั้น ดังนั้นถ้าจะเลือกประกันที่คุ้มครองโรคร้ายแรง อย่าลืมดูเงื่อนไขเรื่องการเคลมโรคร้ายแรงครั้งที่ 2 3 4 ด้วยว่ามีเงื่อนไขที่ไม่ได้อ่านหรือไม่
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1734
Finance
Arkk Disruptive Innovation Fund คืออะไร
null
Arkk Disruptive Innovation Fund เป็นกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นในปี 2564 ในประเทศไทย มี 2 กองทุนรวมที่ได้นำ Arkk Disruptive Innovation Fund มาให้คนไทยได้ลงทุน ซึ่งนั่นก็คือ TMB-ES-GINNO และ TNEXTGEN TMB-ES-GINNO เป็นกองทุนรวมที่นำเงินของนักลงทุน ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่บริหารโดย Nikko AM Disruptive Innovation Fund กองทุนนี้บริหารโดย Nikko Assetment Management ซึ่งได้รับคำแนะนำโดย Arkk Investment Manageme Team ส่วน TNEXTGEN เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนผ่านกอง The ARK Next Generation Internet ETF กองทุนหลักถูกบริหารและจัดการโดย Arkk Investment Management TMB-ES-GINNO และ TNEXTGEN จะเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีสินค้าและบริการที่เน้นเทคโนโลยีในการตอบโจทย์ต่อ mega trend อย่างไรก็ตาม 2 กองทุนนี้มีความแตกต่างกันเล็กน้อย TMB-ES-GINNO จะมีการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านพันธุกรรม (Gene sequencing) เมื่อดูสถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 2019 TNEXTGEN (Arkk Next Generation) ทำผลตอบได้ค่อนข้างโดดเด่นกว่า TMB-ES-GINNO (Nikko Am Disruptive Innovation Fund) ทั้งในแง่ของผลตอบและความเสี่ยง แม้ว่าผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนที่บริหารโดย Arkk Investment Management จะดูโดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนี SET Index และ Nasdaq แต่ในแง่ของความเสี่ยงกองทุนทั้ง 2 กองมีความผันผวนค่อนข้างมากและมีโอกาสปรับตัวลงจากจุดสูงสุดได้มากกว่า SET Index และ Nasdaq ดังนั้น กองทุนของ Arkk ETF เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างมาก
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1736
Finance
ช่วยสรุปบทความ Bitcoin ทะลุ 1.4 ล้านบาท หลัง Tesla ร่วมทัพ!
เมื่อช่วงหัวค่ำของวันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ราคา Bitcoin ได้ปรับขึ้นทะลุจุดสูงสุดเดิมที่ 1,280,000 บาท และเมื่อช่วงเช้าวันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ราคาได้ปรับขึ้นต่อเนื่องและทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 1,400,000 บาท บนกระดานเทรดสกุลเงินดิจิทัลของไทยอย่าง Bitkub หรือประมาณ 46,794 ดอลลาร์ฯ บนกระดานเทรดต่างประเทศ Tesla ร่วมทัพถือ Bitcoin! การปรับตัวทะลุจุดสูงสุดเดิมของ Bitcoin ครั้งนี้ มาจากการเข้าซื้อของ Tesla บริษัทเทคโนโลยีชื่อดังระดับโลก ซึ่งมีบุคคลที่ทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างนาย Elon Musk ผู้เป็น CEO ของ Tesla โดยทาง Tesla ได้เข้าซื้อ Bitcoin เป็นมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท! ทาง Tesla ได้ให้เหตุผลของการเข้าซื้อครั้งนี้ว่า “เพื่อความยืดหยุ่นทางการเงินและเพื่อเป็นการเก็งกำไรให้กับบริษัทฯ” นอกจากนี้ Tesla ยังระบุด้วยว่า “จะมีการพัฒนาระบบรับชำระเงินด้วย Bitcoin เพื่อซื้อสินค้าและบริการของ Tesla ผ่านกระดานเทรดต่าง ๆ ” ซึ่งจะทำให้ Tesla กลายเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์บริษัทแรกของโลกที่รับชำระเงินด้วยคริปโทเคอร์เรนซี ก่อนหน้านี้ นาย Elon Musk ก็เคยส่งสัญญาณสนับสนุน Bitcoin โดยการเปลี่ยนสถานะบนบัญชีทวิตเตอร์ของเขาเป็นสัญลักษณ์ของ Bitcoin และกล่าวให้การสนับสนุน Bitcoin ผ่านทางนิตยสาร Forbes โดยระบุว่า Bitcoin เป็นสิ่งที่ดี และกำลังจะได้รับการสนับสนุนเป็นวงกว้างจากสังคมในอีกไม่นาน ราคา Bitcoin ขึ้นเพราะบริษัทยักษ์ใหญ่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ราคา Bitcoin ปรับสูงขึ้นโดยมีแรงหนุนมาจากข่าวการเข้าซื้อของบริษัทระดับโลก โดยก่อนหน้านี้ราคา Bitcoin ก็เคยปรับสูงขึ้นจากการเข้าซื้อของ Microstrategy บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ที่เข้าซื้อ Bitcoin เพื่อถือครองเป็นทรัพย์สินสำรองรวมกันแล้วมากกว่า 70,470 เหรียญ หากลองคิดมูลค่าเป็นเงินบาทไทยคร่าว ๆ จะอยู่ที่ประมาณ 9.2 หมื่นล้านบาท หรือ 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจาก Tesla กับ Microstrategy แล้วยังมีบริษัทหรือองค์กรที่ตัดสินใจเข้าซื้อ Bitcoin เป็นทรัพย์สินสำรองอีกมากมาย ไม่ว่าจะ Grayscale บริษัทการเงินรายใหญ่ในสหรัฐฯ ที่มี Bitcoin ในความครอบครองสูงถึง 64,000 เหรียญ หรือแม้แต่สถาบันด้านการศึกษาอย่าง Harvard University ที่ถือครอง Bitcoin รวมกันเป็นมูลค่าสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ราคา Bitcoin ทะลุจุดสูงสุดที่ 1,280,000 บาทในวันจันทร์ 8 กุมภาพันธ์ 2564 และเพิ่มขึ้นไปถึง 1,400,000 บาทในวันอังคาร 9 กุมภาพันธ์ 2564 บน Bitkub ด้วยปริมาณการซื้อขายมากขึ้น เป็นผลมาจากการซื้อ Bitcoin มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย Tesla ที่มี CEO Elon Musk เป็นบุคคลที่มีผลกระทบทั่วโลก โดย Tesla ได้แถลงว่าจะพัฒนาระบบรับชำระเงินด้วย Bitcoin เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อรถและบริการของ Tesla ผ่าน Bitcoin ทำให้ Tesla เป็นบริษัทรถยนต์แรกที่รับ Bitcoin เป็นเงินชำระ นอกจากนี้ Elon Musk ยังแสดงการสนับสนุน Bitcoin อย่างต่อเนื่องทั้งในทวิตเตอร์และสื่อมวลชนอื่น ๆ และท่านได้กล่าวถึงคุณค่าทางการเงินและการกำไรที่ Bitcoin สามารถนำเข้ามาให้กับ Tesla ในระยะยาว ราคา Bitcoin ปรับสูงขึ้นเนื่องจากการเข้าซื้อของบริษัทระดับโลกอย่าง Tesla ซึ่งซื้อ Bitcoin มูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และได้กล่าวว่าจะพัฒนาระบบรับชำระเงินด้วย Bitcoin เพื่อซื้อสินค้าและบริการของ Tesla นอกจากนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทระดับโลกมีส่วนร่วมในการเพิ่มมูลค่า Bitcoin โดย Microstrategy ได้เข้าซื้อ Bitcoin เพื่อถือครองมากกว่า 70,470 เหรียญ มูลค่าประมาณ 9.2 หมื่นล้านบาท และ Grayscale มี Bitcoin ในความครอบครองถึง 64,000 เหรียญ นอกจากนี้ Harvard University ยังถือ Bitcoin มูลค่าสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ Bitcoin ได้รับการยกย่องในฐานะทรัพย์สินสำรองจากหลายหน่วยงานและองค์กรทั่วโลก
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1738
Finance
VI คืออะไร
null
VI (Value Investor) คือ นักลงทุนเน้นคุณค่า ที่ลงทุนโดยใช้วิธีการประเมินมูลค่าของหุ้นเป็นหลักในการตัดสินใจเข้าซื้อหรือขายหุ้น วีไอจะซื้อหุ้นเมื่อสามารถประเมินได้ว่าหุ้นตัวนั้นมีราคาตํ่ากว่า “มูลค่าที่แท้จริง” ในทางกลับกันจะขายหุ้นออกเมื่อหุ้นนั้นมีราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง หัวใจของการเป็นวีไอจึงอยู่ที่การประเมินมูลค่าที่แท้จริงนั่นเอง การประเมินมูลค่าที่แท้จริงนั้น ก็สามารถประเมินได้หลากหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การประเมินด้วยการใช้อัตราส่วนทางการเงินเพื่อเปรียบเทียบกับหุ้นตัวอื่น ๆ ที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกัน หรือการประเมินมูลค่าด้วยการคิดลดกระแสเงินสดในอนาคตให้อยู่ในรูปแบบของมูลค่าในปัจจุบันก็สามารถนำมาใช้เพื่อหามูลค่าที่แท้จริงได้เช่นกัน เรื่องที่ยากของการหามูลค่าที่แท้จริงคือ การประเมินผลกำไรและกระแสเงินสดในอนาคตให้แม่นยำ เพราะมูลค่าของบริษัทในวันนี้ไม่ได้มีแค่สินทรัพย์หรือกระแสเงินสดในปัจจุบันซึ่งประเมินไม่ยากแต่ยังรวมไปถึงแผนธุรกิจและการขยายกิจการในอนาคตซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงด้วย อนาคตเป็นสิ่งที่ประเมินได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่าแล้วการประเมินอนาคตจะต้องทำด้วยความอนุรักษ์นิยมหรือปลอดภัยไว้ก่อนให้มากที่สุด
5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1739
Finance
จงสรุปบทความ บิตคอยน์’ เป็นการลงทุนไหม? ในมุม ‘เรย์ ดาลิโอ’
ถ้าจะมีผู้ที่สามารถให้ความเห็นเกี่ยวกับบิตคอยน์ได้อย่างมีความน่าเชื่อถือที่สุดในยุคนี้ ผมว่าหนึ่งในนั้นคือ เรย์ ดาลิโอ บทความนี้จะขอนำเสนอมุมมองดังกล่าวผ่านความเห็นจาก เรย์ ดาลิโอ แบบคำต่อคำ ก่อนอื่นเขาออกตัวว่าเขาเองไม่ได้เป็นผู้ชำนาญด้านเงินสกุลคริปโตเคอร์เรนซี่ การที่เขาเองมาเขียนบทความให้ความเห็นเกี่ยวกับบิตคอยน์แบบเต็มตัวเป็นครั้งแรก ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการนำคำพูดบางประโยคของเขาที่ให้ความเห็นเพื่อตอบคำถามที่พิธีกรถามในงานต่าง ๆ แล้วมีการไปตีความให้สอดคล้องกับบริบทของผู้ที่ต้องการสื่อสารเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ดาลิโอ ได้แบ่งบทความนี้ ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก เป็นความเห็นของเขาเองแบบที่เขียนเอง และ ส่วนที่สอง คือ บทวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ให้ทีมงานของเขาช่วยเพิ่มตัวเลขและสถิติต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนบทความในส่วนแรก ผมขอพูดถึงความคิดเห็นของดาลิโอก่อน โดยดาลิโอชมบิตคอยน์ว่า ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการเงิน ทว่าเขาเองก็มองว่าด้วยทั้งปัจจัยทางเทคนิค การเมือง และธนาคารกลาง ทำให้เขามองว่าบิตคอยน์ยังไม่ใช่การลงทุน ทว่าเป็นเพียงการซื้อ ‘ออปชั่น’ เผื่อว่าจะได้กำไรก้อนโต โดยเขาได้แบ่งจุดเด่นและจุดด้อยของบิตคอยน์ไว้เป็นอย่างละ 3 ประการ โดยขอเริ่มจาก จุดเด่น ก่อน ดังนี้ 1. ดาลิโอ เปรียบเทียบ บิตคอยน์ เหมือนกับนวัตกรรมทางการเงินอย่าง Medicis เมื่อปี 1350 ที่สามารถเป็นเสมือนผลิตภัณฑ์สินเชื่อรูปแบบใหม่ที่สามารถตีตลาดการเงินในยุคนั้น จนสามารถทำให้นักลงทุนทำกำไรจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าว 2. ในแง่ของการตลาด ดาลิโอให้ความเห็นว่าบิตคอยน์สามารถหาตลาดซึ่งต้องการมีความเป็นส่วนตัวและไม่ได้มีขนาดใหญ่มากเพื่อมาแข่งกับทองคำได้สำเร็จ โดยตลาดดังกล่าวถือเป็น untapped demand มาอย่างยาวนาน 3. ดาลิโอได้ชมบิตคอยน์ว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ได้ก้าวข้ามผ่านการเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็งกำไรระยะสั้นแบบสมบูรณ์ มาเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงมากทว่าก็สามารถใช้เก็บมูลค่าได้ไว้ในอนาคตแม้จะอยู่ในระดับที่ไม่มากนัก ส่วนจุดด้อยของบิตคอยน์ ที่ดาลิได้กล่าวไว้ มี 3 ประการเช่นกัน ดังนี้ 1. แม้บิตคอยน์จะมีจุดเด่นเมื่อเทียบกันเงินสกุลเงินสกุลคริปโตประเภทอื่น ๆ ที่มีอุปทานของเหรียญอยู่จำกัด ทว่าดาลิโอมองว่าจุดเด่นดังกล่าว ไม่น่าจะเพียงพอที่จะสกัดไม่ให้เงินสกุลคริปโตใหม่ ๆ ในอนาคต ที่จะมาตีตลาดบิตคอยน์ให้หล่นจากเบอร์ 1 ในบรรดาสกุลเงินคริปโตได้ โดยยกตัวอย่างมือถือแบล็กเบอร์รี ที่การจำกัดจำนวนเครื่องหรือบริษัทเดียวที่ผลิตได้ ยังไม่เพียงพอต่อการอยู่เป็นเจ้าตลาดอย่างยั่งยืน 2. แม้บิตคอยน์จะมีเทคโนโลยีที่โฆษณาตนเองว่าไม่สามารถจะโดนเจาะระบบหรือแฮ็กได้ ทว่าดาลิโอมองว่า สิ่งนี้ก็อาจไม่เป็นจริงตลอดไปในอนาคต โดยได้อ้างอิงถึงหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐที่ยังถูกมือดีเจาะระบบได้เมื่อเร็ว ๆ นี้ รวมถึงการเป็นผู้เล่นแบบ Cyber Defense หรือคอยเป็นผู้รับหรือป้องกันไม่ให้ตนเองถูกเจาะระบบ ถือว่าเสียเปรียบต่อการเป็น Cyber Offense หรือผู้ที่จ้องเจาะระบบคอมพิวเตอร์หน่วยงานอื่น ๆ 3. การที่ตลาดบิตคอยน์มีอุปทานที่ถือว่ามีปริมาณคงที่ ราคาของบิตคอยน์ จึงถูกกำหนดโดยระดับอุปสงค์ ซึ่งดาลิโอมองว่าหากเขาเองเป็นรัฐบาลหรือธนาคารกลาง เมื่อเห็นว่าบิตคอยน์กำลังทำหน้าที่ถือเป็นคู่แข่งของเงินสกุล (fiat money) ของตนเอง เขาเองคงจะต้องลดระดับอุปสงค์ของบิตคอยน์ ด้วยการหาทางขัดขวางหรือจำกัดไม่ให้ประชาชนสามารถใช้บิตคอยน์ได้ตามต้องการ ผ่านการออกกฎเกณฑ์หรือระเบียบทางการเงิน หรือการหาเหตุผลทางสังคมหรือเทคโนโลยีในการสกัดไม่ให้ประชาชนต้องการใช้ หรือสะสมบิตคอยน์เพื่อหวังทำกำไรให้กับตนเอง นอกจากนี้ ในส่วนที่ทีมงานของดาลิโอวิเคราะห์ไว้ ได้มองบิตคอยน์ในลักษณะที่เป็นเหมือนการซื้อออปชั่นเพื่อหวังกำไรคำโต ๆ ทว่าก็ต้องทำใจหากจะต้องเสียเงินไปกับการซื้อพรีเมี่ยมของออปชั่นแบบทั้งจำนวน หากเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามคาด หากพิจารณาจากสถิติระยะเวลาการถือครองหรือการเทรดระหว่างกัน พบว่ามีเพียงราวหนึ่งในห้าที่ถือบิตคอยน์ยาวนานเกิน 5 ปี รวมถึงมีค่าเฉลี่ยปริมาณการเทรดต่อวันเมื่อเทียบปริมาณคงค้าง ก็พบว่าอยู่ที่ระหว่างร้อยละ 20-50 ในขณะที่ทองคำเทรดกันไม่ถึงร้อยละ 1 อีกทั้งความผันผวนของราคาบิตคอยน์อยู่ที่ร้อยละ 20-28 ส่วนความผันผวนของหุ้นสหรัฐและทองคำไม่ถึงร้อยละ 5 อย่างไรก็ดี แม้นักลงทุนสถาบันบางแห่งจะประกาศว่าสนใจจะถือบิตคอยน์เพิ่มขึ้น ทว่าด้วยโครงสร้างตลาดรวมถึงสภาพคล่องของบิตคอยน์ ก็ยังถือเป็นการยากมาก ๆ จนอาจจะพูดได้ว่าแทบเป็นไปได้ที่บิตคอยน์จะกลายเป็นหนึ่งในชั้นสินทรัพย์สำหรับการลงทุนในเร็ววันนี้ ผมมองว่าดาลิโอเขียนบทความนี้ได้อย่างเป็นกลางค่อนข้างมาก ทว่ามีอยู่สองจุดซึ่งผมมองดาลิโออาจจะตั้งใจไม่เน้น คือความโปร่งใสของผู้ถือครองรายใหญ่ในโลกของบิตคอยน์ รวมถึงการสร้างเรื่องราวของบิตคอยน์ให้กลายเป็นดราม่าแห่งโลกการลงทุนผ่านการเขียนตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมถึงบทความ White Paper ในบิตคอยน์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกับการสร้างเหตุการณ์ที่บ้านกกกอดในบ้านเราให้โด่งดัง ผ่านการปั่นกระแสเรื่องราวลุง ๆ ป้า ๆ ในหมู่บ้านดังกล่าวอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแต่ว่าสำหรับบิตคอยน์นั้น มีความโลภและเม็ดเงินผสมเข้ามาเพื่อให้ติดตลาดได้ง่ายในยุคโควิด จนทำให้กลายเป็นเรื่องราวของการลงทุนแห่งยุคมิลเลนเนี่ยมได้ตามแบบช่องทีวีข่าวในบ้านเราได้เคยทำไว้
บทความนี้จะขอนำเสนอมุมมองดังกล่าวผ่านความเห็นจาก เรย์ ดาลิโอ โดย บทความนี้ ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก เป็นความเห็นของเขาเองแบบที่เขียนเอง และ ส่วนที่สอง คือ บทวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ให้ทีมงานของเขาช่วยเพิ่มตัวเลขและสถิติต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนบทความในส่วนแรก ดาลิโอชมบิตคอยน์ว่า บิตคอยน์ยังไม่ใช่การลงทุน ทว่าเป็นเพียงการซื้อ ‘ออปชั่น’ เผื่อว่าจะได้กำไรก้อนโต โดยเขาได้แบ่งจุดเด่นและจุดด้อยของบิตคอยน์ไว้เป็นอย่างละ 3 ประการ 1. ดาลิโอ เปรียบเทียบ บิตคอยน์ เหมือนกับนวัตกรรมทางการเงินอย่าง Medicis 2. ในแง่ของการตลาด ดาลิโอให้ความเห็นว่าบิตคอยน์สามารถหาตลาดซึ่งต้องการมีความเป็นส่วนตัวและไม่ได้มีขนาดใหญ่มากเพื่อมาแข่งกับทองคำได้สำเร็จ 3. ดาลิโอได้ชมบิตคอยน์ว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ได้ก้าวข้ามผ่านการเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็งกำไรระยะสั้นแบบสมบูรณ์ ส่วนจุดด้อยของบิตคอยน์ ที่ดาลิได้กล่าวไว้ มี 3 ประการเช่นกัน ดังนี้ 1. แม้บิตคอยน์จะมีจุดเด่นเมื่อเทียบกันเงินสกุลเงินสกุลคริปโตประเภทอื่น ๆ ที่มีอุปทานของเหรียญอยู่จำกัด ทว่าดาลิโอมองว่าจุดเด่นดังกล่าว ไม่น่าจะเพียงพอที่จะสกัดไม่ให้เงินสกุลคริปโตใหม่ ๆ ในอนาคต ที่จะมาตีตลาดบิตคอยน์ให้หล่นจากเบอร์ 1 ในบรรดาสกุลเงินคริปโตได้ 2. แม้บิตคอยน์จะมีเทคโนโลยีที่โฆษณาตนเองว่าไม่สามารถจะโดนเจาะระบบหรือแฮ็กได้ ทว่าดาลิโอมองว่า สิ่งนี้ก็อาจไม่เป็นจริงตลอดไปในอนาคต 3. การที่ตลาดบิตคอยน์มีอุปทานที่ถือว่ามีปริมาณคงที่ ราคาของบิตคอยน์ จึงถูกกำหนดโดยระดับอุปสงค์ ซึ่งดาลิโอมองว่าหากเขาเองเป็นรัฐบาลหรือธนาคารกลาง หากพิจารณาจากสถิติระยะเวลาการถือครองหรือการเทรดระหว่างกัน พบว่ามีเพียงราวหนึ่งในห้าที่ถือบิตคอยน์ยาวนานเกิน 5 ปี มีอยู่สองจุดซึ่งผมมองดาลิโออาจจะตั้งใจไม่เน้น คือความโปร่งใสของผู้ถือครองรายใหญ่ในโลกของบิตคอยน์ รวมถึงการสร้างเรื่องราวของบิตคอยน์ให้กลายเป็นดราม่าแห่งโลกการลงทุนผ่านการเขียนตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ สำหรับบิตคอยน์นั้น มีความโลภและเม็ดเงินผสมเข้ามาเพื่อให้ติดตลาดได้ง่ายในยุคโควิด จนทำให้กลายเป็นเรื่องราวของการลงทุนแห่งยุคมิลเลนเนี่ยมได้
11.เทคโนโลยีทางการเงิน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_174
Finance
ความเสี่ยงที่อาจกระทบกองทุนตราสารหนี้ มีอะไรบ้าง
null
ความเสี่ยงที่อาจกระทบกองทุนตราสารหนี้ มีทั้งหมด 5 ความเสี่ยง ได้แก่ ​1. ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้​ เป็นความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ (ดูได้จาก Credit Rating) ส่งผลให้กองทุนสูญเสียเงินต้น หรืออาจได้รับเงินไม่ครบตามจำนวนที่สัญญา ราคากองทุนก็จะมีการปรับตัวลง ​​​2. ​​​​ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง อาจเจอเหตุการณ์ตราสารหนี้ถูกเทขายจำนวนมาก แต่มีผู้ซื้อจำนวนน้อย ส่งผลให้จำนวนตราสารหนี้บางส่วนขายไม่ได้ จึงต้องปรับลดราคาลงมามากกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ราคากองทุนมีการปรับตัวลง ​​​3. ​​​​ความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย เป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความผันผวนให้กับราคาตราสารหนี้ เนื่องจากราคาตราสารหนี้จะเคลื่อนไหวตรงข้ามกับอัตราดอกเบี้ย มักเกิดในสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลต่อราคาตราสารหนี้ในตลาดทำให้ปรับตัวลงเนื่องจากถูกเทขาย เพื่อไปซื้อตราสารหนี้ตัวใหม่ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า โดยราคาตราสารหนี้ระยะยาวจะปรับตัวลงมากกว่าราคาตราสารหนี้ระยะสั้น ส่งผลให้หากกองทุนถือตราสารหนี้ระยะยาวจำนวนมาก ราคากองทุนจะปรับตัวลงมาก เมื่อเทียบกับกองทุนที่เน้นถือตราสารหนี้ระยะสั้น แต่ในทางตรงกันข้าม สภาวะดอกเบี้ยขาลง นักลงทุนก็จะได้รับประโยชน์จากราคาตราสารหนี้เพิ่มสูงขึ้น 4. ​​​​ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เป็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น แต่ผลตอบแทนตราสารหนี้ไม่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริงลดลงกว่าที่เคยคิดว่าจะได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความผันผวนให้กับราคาตราสารหนี้ 5. ​​​​ความเสี่ยงจากการนำเงินไปลงทุนต่อ เป็นความเสี่ยงที่มักเกิดขึ้นในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง เมื่อตราสารหนี้ครบกำหนดอายุไถ่ถอน หรือบริษัทขอไถ่ถอนก่อนกำหนดตามเงื่อนไข ส่งผลให้กองทุนต้องนำเงินไปลงทุนตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเดิม ซึ่งจะกระทบกับผลตอบแทนของกองทุนโดยตรง แต่ในทางตรงกันข้าม สภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น กองทุนก็สามารถนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเดิมได้เช่นกัน
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1741
Finance
ทำไมถึงต้องลงทุนในกองทุน KFGBRAND-A
รีวิวกองทุน KFGBRAND-A เพราะ “มูลค่า” ให้คุณได้มากกว่าผลตอบแทน ​ การลงทุนในสินทรัพย์ที่ซ่อนมูลค่าที่แท้จริงอย่าง “มูลค่าในเชิงแบรนด์” (Brand Value) ถือว่าเป็นการลงทุนในธุรกิจชั้นเยี่ยมที่มีศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายใต้ราคาของหุ้น แต่จะมีสักกี่คนที่มองเห็นมูลค่าที่ว่านั้นได้ อย่างไรก็ตามกองทุนที่มองเห็นเพชรเม็ดงามที่ซ่อนอยู่อาจจะเป็น KFGBRAND-A ที่ลงทุนใน Morgan Stanley – Global Brand Funds จะเป็นอย่างไรนั้นติดตามได้ในการรีวิวครั้งนี้เลยครับ การลงทุนในสินทรัพย์ที่ซ่อนมูลค่าที่แท้จริงอย่าง “มูลค่าในเชิงแบรนด์” (Brand Value) ถือว่าเป็นการลงทุนในธุรกิจชั้นเยี่ยมที่มีศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายใต้ราคาของหุ้น แต่จะมีสักกี่คนที่มองเห็นมูลค่าที่ว่านั้นได้ อย่างไรก็ตามกองทุนที่มองเห็นเพชรเม็ดงามที่ซ่อนอยู่อาจจะเป็น KFGBRAND-A ที่ลงทุนใน Morgan Stanley – Global Brand Funds จะเป็นอย่างไรนั้นติดตามได้ในการรีวิวครั้งนี้เลยครับ KFGBRAND-A ทำไมต้อง “Brand” เป็นสินค้าที่มีความต้องการอยู่เสมอ ๆ ผู้คนให้คุณค่า โดดเด่นเหนือคู่แข่งทำกำไรได้ต่อเนื่องมากกว่า จากความต้องการอันเหลือล้นของลูกค้า ธุรกิจมีความยั่งยืนแข็งแกร่ง สร้างกระแสเงินสดที่ยั่งยืนต่อเนื่อง จากความต้องการของลูกค้า เป็นธุรกิจที่ครองใจลูกค้า และเป็น “Top of Mind” เวลาคนนึกถึงสินค้าประเภทนั้น ๆ เสมอ เช่น สมาร์ทโฟนต้อง IPhone เป็นต้น ขายสินค้าใหม่ ๆ ได้ทุกเมื่อไม่ต้องกลัวขายไม่ออก ธุรกิจที่มีมูลค่าในเชิง Brand สูง สามารถขึ้นราคาสินค้าได้สูง ทำให้รายได้สูงตามไปด้วย เป็นสินค้าที่มีความต้องการอยู่เสมอ ๆ ผู้คนให้คุณค่า โดดเด่นเหนือคู่แข่งทำกำไรได้ต่อเนื่องมากกว่า จากความต้องการอันเหลือล้นของลูกค้า ธุรกิจมีความยั่งยืนแข็งแกร่ง สร้างกระแสเงินสดที่ยั่งยืนต่อเนื่อง จากความต้องการของลูกค้า เป็นธุรกิจที่ครองใจลูกค้า และเป็น “Top of Mind” เวลาคนนึกถึงสินค้าประเภทนั้น ๆ เสมอ เช่น สมาร์ทโฟนต้อง IPhone เป็นต้น ขายสินค้าใหม่ ๆ ได้ทุกเมื่อไม่ต้องกลัวขายไม่ออก ธุรกิจที่มีมูลค่าในเชิง Brand สูง สามารถขึ้นราคาสินค้าได้สูง ทำให้รายได้สูงตามไปด้วย KFGBRAND-A ลงทุนในอะไร? KFGBRAND-A ลงทุนใน Morgan Stanley Investment Funds – Global Brand Funds ซึ่งกองทุนนี้จะลงทุนในบริษัทระดับโลกต่างๆ มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และมีความมั่นคง KFGBRAND-A ลงทุนใน Morgan Stanley Investment Funds – Global Brand Funds ซึ่ง กองทุนนี้จะลงทุนในบริษัทระดับโลกต่างๆ มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และมีความมั่นคง ทำไมถึงต้องลงทุนใน KFGBRAND-A 1) ลงทุนในหุ้นคุณภาพเยี่ยม เลือกลงทุนใน บริษัท ที่ยั่งยืนแข็งแกร่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้กับผู้ลงทุน และลดความเสี่ยงของการขาดทุน โดยตัวกองทุนมีการสร้างสมดุลให้ผลตอบแทนเหมาะสมกับความเสี่ยงที่ได้รับ เลือกลงทุนใน บริษัท ที่ยั่งยืนแข็งแกร่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้กับผู้ลงทุน และลดความเสี่ยงของการขาดทุน โดยตัวกองทุนมีการสร้างสมดุลให้ผลตอบแทนเหมาะสมกับความเสี่ยงที่ได้รับ 2) มีมูลค่าใน Brand ที่แข็งแกร่ง ทางกองทุนเฟ้นหาบริษัท ที่ยากจะมีใครเหมือน มีสินทรัพย์ในเชิงมูลค่า เช่น แบรนด์, ลิขสิทธิ์ต่าง ๆ รวมถึงโครงข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยธุรกิจที่มีทรัพย์สินเหล่านี้มักจะสร้างยอดขายและรายได้อย่างต่อเนื่อง มีความมั่นคงยั่งยืนอีกทั้งยังมีทีมบริหารที่แข็งแกร่ง ทำให้มั่นใจได้ว่าเงินลงทุนของนักลงทุนจะถูกนำไปขยายธุรกิจได้อย่างคุ้มค่า และเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทางกองทุนเฟ้นหาบริษัท ที่ยากจะมีใครเหมือน มีสินทรัพย์ในเชิงมูลค่า เช่น แบรนด์, ลิขสิทธิ์ต่าง ๆ รวมถึงโครงข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยธุรกิจที่มีทรัพย์สินเหล่านี้มักจะสร้างยอดขายและรายได้อย่างต่อเนื่อง มีความมั่นคงยั่งยืนอีกทั้งยังมีทีมบริหารที่แข็งแกร่ง ทำให้มั่นใจได้ว่าเงินลงทุนของนักลงทุนจะถูกนำไปขยายธุรกิจได้อย่างคุ้มค่า และเติบโตอย่างต่อเนื่อง 3) มีความแข็งแกร่งแม้ภาวะตลาดไม่เป็นใจ ทางกองทุนพิสูจน์ผ่านวิกฤติมาแล้วว่าถึงแม้ภาวะตลาดจะเข้าสู่ภาวะวิกฤติหรือไม่เป็นใจเพียงใด การขาดทุนนั้นยังถือได้ว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูง ปกป้องผลตอบแทนได้อย่างดีเยี่ยมในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการรักษาผลตอบแทน ทางกองทุนพิสูจน์ผ่านวิกฤติมาแล้วว่าถึงแม้ภาวะตลาดจะเข้าสู่ภาวะวิกฤติหรือไม่เป็นใจเพียงใด การขาดทุนนั้นยังถือได้ว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูง ปกป้องผลตอบแทนได้อย่างดีเยี่ยมในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการรักษาผลตอบแทน สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: เป้าหมายการลงทุนของ KFGBRAND-A สร้างการเติบโตในระยะยาวผ่านบริษัทที่มีศักยภาพสูง มีความสามารถในการครองตลาด ไม่ถูกควบคุมโดยผู้มีอำนาจ มีมูลค่าในเชิงแบรนด์หรือมีผลกระทบในเชิงมูลค่าต่อความรู้สึกของลูกค้า เพื่อให้ได้หุ้นที่สร้างผลตอบแทนได้แบบเหนือชั้น มีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง สร้างกระแสเงินสดได้ต่อเนื่อง สร้างการเติบโตในระยะยาวผ่านบริษัทที่มีศักยภาพสูง มีความสามารถในการครองตลาด ไม่ถูกควบคุมโดยผู้มีอำนาจ มีมูลค่าในเชิงแบรนด์หรือมีผลกระทบในเชิงมูลค่าต่อความรู้สึกของลูกค้า เพื่อให้ได้หุ้นที่สร้างผลตอบแทนได้แบบเหนือชั้น มีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง สร้างกระแสเงินสดได้ต่อเนื่อง ผลตอบแทนโดดเด่นเหนือดัชนีชี้วัด (Benchmark) ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ภาพแสดงผลตอบแทนกองทุน Morgan Stanley – Global Brand Funds (กองทุนแม่ของ KFGBRAND-A) เทียบกับดัชนีหุ้นโลก (MSCI World) ที่มา : www.morganstanley.com ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2563 ภาพแสดงผลตอบแทนกองทุน Morgan Stanley – Global Brand Funds (กองทุนแม่ของ KFGBRAND-A) เทียบกับดัชนีหุ้นโลก (MSCI World) ที่มา : www.morganstanley.com ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2563 ในด้านของผลตอบแทนก็ถือได้ว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงขนาดที่เทียบกับดัชนีหุ้นโลกอย่าง MSCI World Index ก็อยู่ในระดับที่เหนือกว่ามาโดยตลอด อีกทั้งยังแข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤติ และขาดทุนน้อยกว่า โดยผ่านบทพิสูจน์มาทั้งช่วงวิกฤติปี 2008 รวมถึงวิกฤติล่าสุดอย่างวิกฤติ COVID-19 ที่มีการลดลงของเงินทุนที่น้อยกว่า ในด้านของผลตอบแทนก็ถือได้ว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงขนาดที่เทียบกับดัชนีหุ้นโลกอย่าง MSCI World Index ก็อยู่ในระดับที่เหนือกว่ามาโดยตลอด อีกทั้งยังแข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤติ และขาดทุนน้อยกว่า โดยผ่านบทพิสูจน์มาทั้งช่วงวิกฤติปี 2008 รวมถึงวิกฤติล่าสุดอย่างวิกฤติ COVID-19 ที่มีการลดลงของเงินทุนที่น้อยกว่า นอกจากนั้นในช่วงที่ภาวะตลาดเป็นใจทางกองทุนเองก็ยังสร้างผลตอบแทนได้อย่างเหนือชั้นและเอาชนะ “ดัชนีหุ้นโลก” ไปได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นในช่วงที่ภาวะตลาดเป็นใจทางกองทุนเองก็ยังสร้างผลตอบแทนได้อย่างเหนือชั้นและเอาชนะ “ดัชนีหุ้นโลก” ไปได้ด้วยเช่นกัน ทำไม KFGBRAND-A ถึงเหมาะสมที่สุดในตอนนี้ ภาพแสดงสัดส่วน Sector หลักของกองทุน Morgan Stanley – Global Brand Funds ที่มา :.www.morganstanley.com ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2563 Morgan Stanley – Global Brand Funds www.morganstanley.com สัดส่วนหลัก ๆ เน้นหนักของกองทุน KFGBRAND-A ในตอนนี้ก็ถือได้ว่าลงทุนเน้นหนักในกลุ่ม Concumer Staples (สินค้าจำเป็น) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในช่วงขาลง ของภาวะตลาดที่ไม่แน่นอนในตอนนี้ เนื่องจากกลุ่มสินค้าจำเป็น เป็นธุรกิจที่ยังสามารถสร้างรายได้ ได้ในยามวิกฤติจากข้าวของ เครื่องใช้ ที่ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างใดก็จำเป็นกับความเป็นอยู่ของผู้คน หรือจะเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่เล่นกับ “ปัจจัย 4” ของคนก็ว่าได้ สัดส่วนหลัก ๆ เน้นหนักของกองทุน KFGBRAND-A ในตอนนี้ก็ถือได้ว่าลงทุนเน้นหนักในกลุ่ม Concumer Staples (สินค้าจำเป็น) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในช่วงขาลง ของภาวะตลาดที่ไม่แน่นอนในตอนนี้ เนื่องจากกลุ่มสินค้าจำเป็น เป็นธุรกิจที่ยังสามารถสร้างรายได้ ได้ในยามวิกฤติจากข้าวของ เครื่องใช้ ที่ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างใดก็จำเป็นกับความเป็นอยู่ของผู้คน หรือจะเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่เล่นกับ “ปัจจัย 4” ของคนก็ว่าได้ อีกทั้งยังมีการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นกลุ่มผู้นำเหนือชั้น การเติบโตเยี่ยม ที่ฝ่าฟันทะลุผ่านวิกฤติมาได้ อีกทั้งยังมีการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นกลุ่มผู้นำเหนือชั้น การเติบโตเยี่ยม ที่ฝ่าฟันทะลุผ่านวิกฤติมาได้ ดังนั้นจึงถือได้ว่าสัดส่วนในตอนนี้ถือว่าเหมาะสมและน่าลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะมีสัดส่วนหลักอย่างการลงทุนในหุ้นกลุ่มผู้นำอย่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อีกทั้งยังมีการลงทุนในหุ้นที่สร้างรายได้ ได้ท่ามกลางความไม่แน่นอน สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของกองทุนอย่างการสร้างผลตอบแทนให้เหมาะสมกับความเสี่ยง! ป้องกันการปรับฐานของหุ้นเทคโนโลยีที่ขึ้นมาแบบมองข้ามช็อต ไม่สนมูลค่า! ดังนั้นจึงถือได้ว่าสัดส่วนในตอนนี้ถือว่าเหมาะสมและน่าลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะมีสัดส่วนหลักอย่างการลงทุนในหุ้นกลุ่มผู้นำอย่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อีกทั้งยังมีการลงทุนในหุ้นที่สร้างรายได้ ได้ท่ามกลางความไม่แน่นอน สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของกองทุนอย่างการสร้างผลตอบแทนให้เหมาะสมกับความเสี่ยง! ป้องกันการปรับฐานของหุ้นเทคโนโลยีที่ขึ้นมาแบบมองข้ามช็อต ไม่สนมูลค่า! ลงทุนในธุรกิจฐานแข็งแรง มีมูลค่าในเชิง Brand ภาพแสดงสัดส่วนหุ้นหลักของกองทุน Morgan Stanley – Global Brand Funds ที่มา : www.morganstanley.com ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2563 Morgan Stanley – Global Brand Funds www.morganstanley.com ของมันต้องใช้! ธุรกิจใน KFGBRAND-A อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด ต่อไปเราจะมาเจาะลึกธุรกิจหลัก ๆ ที่ทาง KFGBRAND-A กำลังลงทุนอยู่ในตอนนี้ว่ามีศักยภาพและใกล้ตัวทุกคนขนาดไหน ต่อไปเราจะมาเจาะลึกธุรกิจหลัก ๆ ที่ทาง KFGBRAND-A กำลังลงทุนอยู่ในตอนนี้ว่ามีศักยภาพและใกล้ตัวทุกคนขนาดไหน 1) Reckitt Benckiser บริษัท ขายสินค้าใกล้ตัวยามจำเป็นแม้ยามวิกฤติ Reckitt Benckiser เป็นบริษัท จากเมืองผู้ดีมีสินค้าชั้นนำคุ้นหูมากมายไม่ว่าจะเป็น Dettol ผู้นำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ผู้คนต้องมีติดบ้าน, Veet สินค้าสำหรับคุณผู้หญิงที่แม้ยามวิกฤติก็ยังต้องใช้ เพราะ คงไม่มีใครอยากให้ขนมาเป็นปัญหากวนใจ และส่งผลต่อภาพลักษณ์ หรือจะเป็น Brasso สินค้าที่หากใครได้ยินก็คงนึกถึงผลิตภัณฑ์ยอดนิยมสมัยวัยรุ่น และ Durex ของที่ขาดไม่ได้ เพราะ คงไม่มีใครอยากติดโรคร้ายรักษาไม่หาย บริษัท ขายสินค้าใกล้ตัวยามจำเป็นแม้ยามวิกฤติ Reckitt Benckiser เป็นบริษัท จากเมืองผู้ดีมีสินค้าชั้นนำคุ้นหูมากมายไม่ว่าจะเป็น Dettol ผู้นำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ผู้คนต้องมีติดบ้าน, Veet สินค้าสำหรับคุณผู้หญิงที่แม้ยามวิกฤติก็ยังต้องใช้ เพราะ คงไม่มีใครอยากให้ขนมาเป็นปัญหากวนใจ และส่งผลต่อภาพลักษณ์ หรือจะเป็น Brasso สินค้าที่หากใครได้ยินก็คงนึกถึงผลิตภัณฑ์ยอดนิยมสมัยวัยรุ่น และ Durex ของที่ขาดไม่ได้ เพราะ คงไม่มีใครอยากติดโรคร้ายรักษาไม่หาย โดยรวมแล้ว Reckitt Benckiser จึงเป็นผู้นำของใช้ที่ยากจะหยุดซื้อ และเป็นหนึ่งในบริษัทที่แข็งแกร่ง โดยรวมแล้ว Reckitt Benckiser จึงเป็นผู้นำของใช้ที่ยากจะหยุดซื้อ และเป็นหนึ่งในบริษัทที่แข็งแกร่ง 2) Microsoft หนึ่งในหุ้นกลุ่มผู้นำสุดแกร่งนำทีมโดย CEO หัวใสก้าวไกลอย่าง Satya Nadella ผู้นำบริษัทที่ทำให้ Microsoft เติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤติ อีกทั้งยังเป็นผู้นำในธุรกิจ Cloud ธุรกิจเก็บข้อมูลแห่งอนาคต ที่สามารถแทรกแซงเข้าไปได้ในธุรกิจ เพราะ คงไม่มีธุรกิจไหนไม่ต้องเก็บข้อมูล หนึ่งในหุ้นกลุ่มผู้นำสุดแกร่งนำทีมโดย CEO หัวใสก้าวไกลอย่าง Satya Nadella ผู้นำบริษัทที่ทำให้ Microsoft เติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤติ อีกทั้งยังเป็นผู้นำในธุรกิจ Cloud ธุรกิจเก็บข้อมูลแห่งอนาคต ที่สามารถแทรกแซงเข้าไปได้ในธุรกิจ เพราะ คงไม่มีธุรกิจไหนไม่ต้องเก็บข้อมูล ดังนั้นหาก Cloud ของ Microsoft มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในอนาคตคงไปเข้า Gap กับธุรกิจ “ขายจอบ” หรือธุรกิจที่สร้างเครื่องมือสนับสนุนธุรกิจอื่น ๆ ที่สร้างการเติบโตของธุรกิจเป็นวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นหาก Cloud ของ Microsoft มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในอนาคตคงไปเข้า Gap กับธุรกิจ “ขายจอบ” หรือธุรกิจที่สร้างเครื่องมือสนับสนุนธุรกิจอื่น ๆ ที่สร้างการเติบโตของธุรกิจเป็นวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว 3) Philip Morris สิ่งหนึ่งที่ Philip Morris ยากที่จะมีใครเหมือนคือการขายสินค้าที่มีความต้องการต่อเนื่อง ไม่แพ้ Coca-cola อย่างบุหรี่ เพราะ หากว่ากันถึงสารพิเศษที่ทำให้ธุรกิจเหล่านี้โดดเด่น และทำให้ทุกคนติดอกติดใจอย่าง “กาเฟอีน” ใน โค้กแล้ว “นิโคติน” ก็ถือเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบของสินค้าอย่างบุหรี่ สิ่งหนึ่งที่ Philip Morris ยากที่จะมีใครเหมือนคือการขายสินค้าที่มีความต้องการต่อเนื่อง ไม่แพ้ Coca-cola อย่างบุหรี่ เพราะ หากว่ากันถึงสารพิเศษที่ทำให้ธุรกิจเหล่านี้โดดเด่น และทำให้ทุกคนติดอกติดใจอย่าง “กาเฟอีน” ใน โค้กแล้ว “นิโคติน” ก็ถือเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบของสินค้าอย่างบุหรี่ Philip Morris เป็นเจ้าของยาสูบแบรนด์ดังอย่าง Marlboro ที่มีชื่อติดหูนักสูบหลาย ๆ ท่าน อีกทั้งยังเคยติดอันดับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สูงจากรายได้ในอันดับที่ 108 ของ Fortune 500 มาแล้วอีกด้วย Philip Morris เป็นเจ้าของยาสูบแบรนด์ดังอย่าง Marlboro ที่มีชื่อติดหูนักสูบหลาย ๆ ท่าน อีกทั้งยังเคยติดอันดับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สูงจากรายได้ในอันดับที่ 108 ของ Fortune 500 มาแล้วอีกด้วย 4) Accenture บริษัท ให้คำปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consulting) สัญชาติไอริชที่ใช้เทคโนโลยีมาประสานงานกับการให้คำปรึกษาควบคู่กันไปด้วย มีความเชี่ยวชาญในกว่า 40 อุตสาหกรรม และลูกค้าถึง 513,000 รายในกว่า 120 ประเทศทั่วโลกที่ไว้วางใจให้ Accenture เสริมสร้างและพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็น Apple, Amazon ในบริการ Web Services, Facebook, Alphabet, Microsoft รวมถึง SAP หรือจะเรียกได้ว่าส่วนใหญ่แล้ว Accenture ล้วน partner กับธุรกิจเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ที่พร้อมเติบโตทั้งสิ้น! บริษัท ให้คำปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consulting) สัญชาติไอริชที่ใช้เทคโนโลยีมาประสานงานกับการให้คำปรึกษาควบคู่กันไปด้วย มีความเชี่ยวชาญในกว่า 40 อุตสาหกรรม และลูกค้าถึง 513,000 รายในกว่า 120 ประเทศทั่วโลกที่ไว้วางใจให้ Accenture เสริมสร้างและพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็น Apple, Amazon ในบริการ Web Services, Facebook, Alphabet, Microsoft รวมถึง SAP หรือจะเรียกได้ว่าส่วนใหญ่แล้ว Accenture ล้วน partner กับธุรกิจเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ที่พร้อมเติบโตทั้งสิ้น! 5) Visa ผู้ให้บริการระบบจ่ายเงินและทำธุรกรรมออนไลน์อันเลื่องชื่อ เติบโตสอดคล้องและล้อไปกับเทรนด์ธุรกิจมาแรงในปัจจุบันอย่างธุรกิจ E-commerce ซึ่งถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่น่าจับตามอง หลัง COVID-19 เข้ามามีบทบาทปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักสำคัญสำหรับสังคมไร้เงินสดใช้จ่ายออนไลน์ในอนาคต ผู้ให้บริการระบบจ่ายเงินและทำธุรกรรมออนไลน์อันเลื่องชื่อ เติบโตสอดคล้องและล้อไปกับเทรนด์ธุรกิจมาแรงในปัจจุบันอย่างธุรกิจ E-commerce ซึ่งถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่น่าจับตามอง หลัง COVID-19 เข้ามามีบทบาทปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักสำคัญสำหรับสังคมไร้เงินสดใช้จ่ายออนไลน์ในอนาคต สรุปจุดเด่นกองทุน KFGBRAND-A เป็นกองทุนที่มีความมั่นคงจากมูลค่าในเชิงแบรนด์ ซึ่งเป็นศักยภาพเชิงแฝงที่ซ่อนอยู่ในธุรกิจ ลงทุนในบริษัท ที่ยั่งยืนแข็งแกร่งลดการขาดทุนยามวิกฤติ เหมาะสำหรับรักษาผลตอบแทน ลงทุนในบริษัทที่สร้างกระแสเงินสดได้ต่อเนื่องแข็งแกร่ง สามารถนำเงินที่ได้ไปพัฒนาธุรกิจสร้างการเติบโตเพิ่มเติม ได้รับรางวัลการันตี 5 ดาว จาก Morningstar* เป็นกองทุนที่มีความมั่นคงจากมูลค่าในเชิงแบรนด์ ซึ่งเป็นศักยภาพเชิงแฝงที่ซ่อนอยู่ในธุรกิจ ลงทุนในบริษัท ที่ยั่งยืนแข็งแกร่งลดการขาดทุนยามวิกฤติ เหมาะสำหรับรักษาผลตอบแทน ลงทุนในบริษัทที่สร้างกระแสเงินสดได้ต่อเนื่องแข็งแกร่ง สามารถนำเงินที่ได้ไปพัฒนาธุรกิจสร้างการเติบโตเพิ่มเติม ได้รับรางวัลการันตี 5 ดาว จาก Morningstar* *ข้อมูลจาก Morgan Stanley Factsheet วันที่ 31 กรกฎาคม 2020 *ข้อมูลจาก Morgan Stanley Factsheet วันที่ 31 กรกฎาคม 2020 สรุปโดยรวมแล้ว KFGBRAND-A เป็นกองทุนหนึ่งที่ดีกองหนึ่งสำหรับปกป้องผลตอบแทนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากลงทุนในบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง มั่นคงทนทานต่อสภาวะตลาด อีกทั้งยังมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมเหนือดัชนีหุ้นโลก สรุปโดยรวมแล้ว KFGBRAND-A เป็นกองทุนหนึ่งที่ดีกองหนึ่งสำหรับปกป้องผลตอบแทนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากลงทุนในบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง มั่นคงทนทานต่อสภาวะตลาด อีกทั้งยังมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมเหนือดัชนีหุ้นโลก และหากใครสนใจศึกษาข้อมูลเบื้องลึก ถึงคำแนะนำเพิ่มเติมของ FINNOMENA สำหรับลูกค้า DIY ที่ปรับการลงทุนเพิ่มเติมเข้ามาใน KFGBRAND-A คลิกที่นี่ ได้เลยครับ คลิกที่นี่ คลิกที่นี่ สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: References Jessada Sookdhis Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ ตรวจทานบทความ คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน I ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ I สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน I ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ I สอ บถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ทำไมถึงต้องลงทุนใน กองทุน KFGBRAND-A 1) ลงทุนในหุ้นคุณภาพเยี่ยม เลือกลงทุนในบริษัทที่ยั่งยืนแข็งแกร่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้กับผู้ลงทุน และลดความเสี่ยงของการขาดทุน โดยตัวกองทุนมีการสร้างสมดุลให้ผลตอบแทนเหมาะสมกับความเสี่ยงที่ได้รับ 2) มีมูลค่าใน Brand ที่แข็งแกร่ง ทางกองทุนเฟ้นหาบริษัทที่ยากจะมีใครเหมือน มีสินทรัพย์ในเชิงมูลค่า เช่น แบรนด์, ลิขสิทธิ์ต่าง ๆ รวมถึงโครงข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยธุรกิจที่มีทรัพย์สินเหล่านี้มักจะสร้างยอดขายและรายได้อย่างต่อเนื่อง มีความมั่นคงยั่งยืนอีกทั้งยังมีทีมบริหารที่แข็งแกร่ง ทำให้มั่นใจได้ว่าเงินลงทุนของนักลงทุนจะถูกนำไปขยายธุรกิจได้อย่างคุ้มค่า และเติบโตอย่างต่อเนื่อง 3) มีความแข็งแกร่งแม้ภาวะตลาดไม่เป็นใจ ทางกองทุนพิสูจน์ผ่านวิกฤติมาแล้วว่าถึงแม้ภาวะตลาดจะเข้าสู่ภาวะวิกฤติหรือไม่เป็นใจเพียงใด การขาดทุนนั้นยังถือได้ว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูง ปกป้องผลตอบแทนได้อย่างดีเยี่ยมในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการรักษาผลตอบแทน
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1744
Finance
ใครไม่เหมาะกับการซื้อกองทุน K-USA-A(D) และ K-USA-A(A)
A. กบ ต้องการลงทุนระยะยาวประมาณ 7 ปี B. ก้อย ต้องการผลตอบแทนสูงแลกกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น C. กิ่ง ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน และรักษาเงินต้นให้อยู่ครบ D. ไก่ ต้องการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นอเมริกา
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ C. เนื่องจาก K-USA-A กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นอเมริกาหรือ กองทุนเปิดเค ยูเอสเอจัดการโดย บลจ. กสิกรไทย มีให้เลือก 2 คลาส ได้แก่ - K-USA-A(D) เป็นชนิดจ่ายปันผล (Dividend) เริ่มเปิดกองมาตั้งแต่วันที่ 7 ก.ย. 55 - K-USA-A(A) เป็นชนิดสะสมมูลค่า (Accumulation) เปิดกองตามมาทีหลังเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 62 ทั้ง 2 กองเป็น กองทุนประเภท Feeder Fund หรือกองทุนที่ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศอีกต่อหนึ่ง มีนโยบายการลงทุนเหมือนกันทุกประการ ต่างกันแค่ชื่อกับชนิดหน่วยลงทุน เหมาะสำ หรับผู้ลงทุนที่มีคุณสมบัติดังนี้ 1. นักลงทุนที่อยากกระจายการลงทุนไปยังหุ้นอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่ง มีบุคลากรคุณภาพ เติบโตไว และพิสูจน์มาแล้วว่าเป็นประเทศที่เอาอยู่ในทุกสถานการณ์ 2. กองทุนนี้เป็นกองทุนตราสารทุน ความเสี่ยงระดับ 6 มีความผันผวนค่อนข้างสูง เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่สูงขึ้น 3. ควรลงทุนตามสัดส่วนที่เรารับความเสี่ยงได้ ไม่ลงทุนมากเกินกำลัง 4. กองทุนนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่เน้นการได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน หรือรักษาเงินต้นให้อยู่ครบ 5. เหมาะกับการลงทุนระยะยาว โดยผู้ลงทุนควรมีเงินเย็นลงทุนในระยะยาวได้ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_1745
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของกองทุน B-INNOTECH
null
B-INNOTECH คือกองทุนรวมประเภทอุตสาหกรรม ที่สามารถลงทุนได้ในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก เป็นกองทุนเปิดที่เน้นเจาะหุ้นเฉพาะกลุ่ม และมีความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับ 7 โดย B-INNOTECH มีชื่อกองทุนเป็นภาษาไทยว่า กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี จะมีการลงทุนตามกองทุน Fidelity Funds – Global Technology Fund Y-Acc-USD ซึ่งเป็นกองทุนแม่ของกองทุนรวมนี้ ส่วนใหญ่กองทุน B-INNOTECH จะถือหุ้นที่เป็นหุ้นจากบริษัทเทคโนโลยี บทเรียนจากย่อหน้านี้ B-INNOTECH ชื่อเต็มคือ กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี เป็นกองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (เจาะหุ้นเฉพาะกลุ่ม มีความเสี่ยงกองทุนระดับ 7) ลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก โดยกอง B-INNOTECH ลงทุนตามกองแม่ (Feeder Fund) คือ Fidelity Funds – Global Technology Fund Y-Acc-USD กองนี้ถือหุ้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเป็นส่วนใหญ่ หลายบริษัททุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น Apple ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านล้านเหรียญเป็นบริษัทแรกของสหรัฐฯ และตอนนี้ก็ยังอยู่ในตำแหน่งต้นๆ ของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เรียกได้ว่าโตวันโตคืน, Samsung Electronics บริษัทที่ทุกคนรู้ว่าผลิตมือถือ แต่รายได้จากการขายมือถือมีสัดส่วนไม่ถึงครึ่ง รายได้ส่วนใหญ่มาจาก Semiconductor ต่างหาก, Alphabet ทุกวันนี้เว็บไซต์ที่คนเข้าเยอะสุดทุกวัน 2 อันดับแรกคือ Google และ Youtube ซึ่งทั้งสองเว็บเป็นของ Alphabet ทั้งหมด และตัวอย่างบริษัทอื่นๆ ที่เราอาจจะไม่คุ้นชื่อ เช่น NXP, Analog Devices หรือแม้แต่บริษัทที่รู้จักคุ้นหูกันเป็นดีอย่าง Intel บริษัทเหล่านี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับ Semiconductor และการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งอุปกรณ์ไอทีที่ใช้อยู่ทุกวันล้วนต้องอาศัยชิ้นส่วนเหล่านี้ทั้งนั้น ซึ่งสามารถเป็นเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกได้ง่ายๆ เพียงแค่มีกองทุน B-INNOTECH อยู่ในพอร์ต ซึ่งกองทุน B-INNOTECH จะไปลงทุนในกอง Fidelity Funds – Global Technology Fund Y-Acc-USD อีกที ซึ่งกองนี้จะไปคัดเลือกและซื้อหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพมาสะสมไว้
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1746
Finance
สูตรคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดแบบใหม่ ที่มีผลบังคับกับการผิดนัดชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2564 เป็นอย่างไร
ทำความเข้าใจ “สูตรคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดแบบใหม่” ถูกลงเป็นหมื่น ! I POCKET MONEY EP2 ​  มาทำความรู้จักวิธีคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดแบบใหม่จากธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะทำให้ผู้กู้ประหยัดดอกเบี้ยผิดนัดลงจากหลักหมื่น เหลือหลักสิบ ! จริงหรือไม่ แล้วคำนวณกันยังไง ผู้ที่กำลังผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโด หรือผู้กู้สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อ SME ไม่ฟังไม่ได้แล้วละ มาทำความรู้จักวิธีคำนวณดอกเบี้ย ผิดนัด แบบใหม่จากธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะทำให้ผู้กู้ประหยัดดอกเบี้ยผิดนัดลงจากหลักหมื่น เหลือหลักสิบ ! จริงหรือไม่ แล้วคำนวณกันยังไง ผู้ที่กำลังผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโด หรือผู้กู้สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อ SME ไม่ฟังไม่ได้แล้วละ สูตรคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดแบบเก่า ดอกเบี้ยผิดนัด จะถูกคำนวณจากเงินต้นคงเหลือทั้งหมด เช่น สมมติวันนี้กู้เงินซื้อบ้าน 5 ล้านบาท ระยะเวลาการผ่อน 20 ปี หรือก็คือ 240 งวด เป็นยอดเงินผ่อนงวดละ 42,000 บาท ซึ่งใน 42,000 บาท จะเป็นส่วนของเงินต้น 10,000 บาท และดอกเบี้ยเงินกู้ตามปกติ 32,000 บาท ทีนี้สมมติว่าจ่ายมาต่อเนื่อง 24 งวด งวดที่ 25 ดันผิดนัด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อัตราดอกเบี้ยผิดนัดจะถูกนำไปคูณกับเงินต้นคงเหลือของงวดที่ 25 ยาวถึงงวดที่ 240 ทันที อย่างในกรณีตามที่ยกตัวอย่าง ก็จะกลายเป็นเงินต้นคงเหลือประมาณ 4,770,000 บาท คูณกับอัตราดอกเบี้ยผิดนัดแล้ว ก็อาจกลายเป็นดอกเบี้ยผิดนัดที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมาประมาณ 27,000 บาท ซึ่งมากเกือบเท่านึงของดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องจ่ายตามปกติอยู่แล้วเลย โดยการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดตามสูตรเดิมนี้ จะทำให้ผู้กู้ที่ผิดนัดแม้เพียงครั้งเดียว ได้รับภาระเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้โอกาสที่ผู้กู้จะเคลียร์หนี้สำเร็จยิ่งเป็นไปได้ยากมาก ๆ ดอกเบี้ยผิดนัด จะถูกคำนวณจากเงินต้นคงเหลือทั้งหมด เช่น สมมติวันนี้กู้เงินซื้อบ้าน ถูกคำนวณจากเงินต้นคงเหลือทั้งหมด 5 ล้านบาท ระยะเวลาการผ่อน 20 ปี หรือก็คือ 240 งวด เป็นยอดเงินผ่อนงวดละ 42,000 บาท ซึ่งใน 42,000 บาท จะเป็นส่วนของเงินต้น 10,000 บาท และดอกเบี้ยเงินกู้ตามปกติ 32,000 บาท 24 งวด งวดที่ 25 ดันผิดนัด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อัตราดอกเบี้ยผิดนัดจะถูกนำไปคูณกับเงินต้นคงเหลือของงวดที่ 25 ยาวถึงงวดที่ 240 ทันที อย่างในกรณีตามที่ยกตัวอย่าง ก็จะกลายเป็นเงินต้นคงเหลือประมาณ 4,770,000 บาท คูณกับอัตราดอกเบี้ยผิดนัดแล้ว ก็อาจกลายเป็นดอกเบี้ยผิดนัดที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมาประมาณ ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมาประมาณ 27,000 บาท บาท ซึ่งมากเกือบเท่านึงของดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องจ่ายตามปกติอยู่แล้วเลย การคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดตามสูตรเดิมนี้ จะทำให้ผู้กู้ที่ผิดนัดแม้เพียงครั้งเดียว ได้รับภาระเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้โอกาสที่ผู้กู้จะเคลียร์หนี้สำเร็จ ยิ่ง เป็นไปได้ยาก มาก ๆ สูตรคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดแบบใหม่ มีผลบังคับกับการผิดนัดชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. เป็นต้นมา ฐานที่ใช้คำนวณดอกเบี้ยผิดนัด จะต้องเป็นเงินต้นเฉพาะงวดที่ผิดนัดนั้น เพียงงวดเดียว อย่างถ้ายกตัวอย่างตามกรณีเดิม ที่ได้ผ่อนมาแล้ว 24 งวด แล้วมาผิดนัดในงวดที่ 25 ก็จะนำเงินต้นคงเหลือเฉพาะงวดที่ 25 คือเงินจำนวน 10,000 บาท มาคูณกับอัตราดอกเบี้ยผิดนัด ก็อาจกลายเป็นดอกเบี้ยผิดนัดที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมาเพียง 57.53 บาทเท่านั้น มีผลบังคับกับการผิดนัดชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 พ . ค . เป็นต้นมา ฐานที่ใช้คำนวณดอกเบี้ยผิดนัด จะต้องเป็นเงินต้นเฉพาะงวดที่ผิดนัดนั้น เพียงงวดเดียว เฉพาะงวดที่ผิดนัดนั้น เพียงงวดเดียว 24 งวด แล้วมาผิดนัดในงวดที่ 25 ก็จะนำเงินต้นคงเหลือเฉพาะงวดที่ 25 คือเงินจำนวน 10,000 บาท มาคูณกับอัตราดอกเบี้ยผิดนัด ก็อาจกลายเป็นดอกเบี้ยผิดนัดที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมาเพียง จ่ายเพิ่มขึ้นมาเพียง 57.53 บาทเท่านั้น นอกจากการปรับรุงการคำนวณแล้ว ยังกำหนดให้มีช่วงผ่อนผัน หรือที่เรียกว่า Grace Period ที่จะต้องไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดก่อนจนกว่าช่วงผ่อนผันนี้จะหมดไป โดยอาจกำหนดช่วงผ่อนผันที่ประมาณ 3-5 วันก่อน พ้นไปเมื่อไหร่ ถึงจะนับว่าผิดนัดชำระแล้วถูกคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดต่อไป นอกจากการปรับรุงการคำนวณแล้ว ยังกำหนดให้มีช่วงผ่อนผัน หรือที่เรียกว่า Grace Period ที่จะต้องไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดก่อนจนกว่าช่วงผ่อนผันนี้จะหมดไป โดยอาจกำหนดช่วงผ่อนผันที่ประมาณ 3-5 วันก่อน พ้นไปเมื่อไหร่ ถึงจะนับว่าผิดนัดชำระแล้วถูกคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดต่อไป อีก 2 นโยบายที่รอบังคับใช้ในปี 2564 การกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดใหม่ จากเดิมอยู่ที่ 15% ให้ลดลงมาเหลือเพียงไม่เกิน 1-3% ของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามปกติตามสัญญา เช่น ถ้าตามสัญญาการกู้ กำหนดดอกเบี้ยที่ 8% ก็จะคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้สูงสุดไม่เกิน 11% เป็นต้นค่ะ การลำดับการตัดชำระหนี้แบบแนวนอน เพื่อแก้ปัญหากรณีที่เมื่อผู้กู้ค้างชำระแล้วได้จ่ายเงินเข้าแล้ว จะถูกนำไปตัดชำระจากดอกเบี้ยผิดนัด และดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งหมดรวมทุกงวดที่ผิดนัดก่อน ถึงจะไปหักเงินต้นยอดที่ค้างชำระ ซึ่งการลำดับการตัดชำระหนี้แบบนี้ จะทำให้เงินต้นของผู้กู้ไม่ลดซักที แล้วถ้าผิดนัดต่อเนื่องอีก ก็จะต้องถูกคำนวณบนฐานเงินต้นที่สูง แต่วิธีการแบบใหม่ จะนำไปตัดชำระดอกเบี้ยผิดนัด ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินต้นที่ค้างชำระในงวดเก่าที่สุดก่อน แล้วค่อยตัดยอดลำดับถัด ๆ มา วิธีนี้เงินต้นค้างจ่ายของผู้กู้ก็จะค่อย ๆ ลดลงตามไปด้วย ทุกครั้งที่มีการชำระเงินเข้ามา การกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดใหม่ จากเดิมอยู่ที่ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดใหม่ 15% ให้ลดลงมาเหลือเพียงไม่เกิน 1-3% ของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามปกติตามสัญญา เช่น ถ้าตามสัญญาการกู้ กำหนดดอกเบี้ยที่ 8% ก็จะคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้สูงสุดไม่เกิน 11% เป็นต้นค่ะ การลำดับการตัดชำระหนี้แบบแนวนอน วิธีนี้เงินต้นค้างจ่ายของผู้กู้ก็จะค่อย ๆ ลดลงตามไปด้วย ทุกครั้งที่มีการชำระเงินเข้ามา
สูตรคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดแบบใหม่ ที่มีผลบังคับกับการผิดนัดชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2564 เป็นต้นมา ฐานที่ใช้คำนวณดอกเบี้ยผิดนัด จะต้องเป็นเงินต้นเฉพาะงวดที่ผิดนัดนั้น เพียงงวดเดียว ตัวอย่างเช่น จากการใช้สูตรคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดแบบเก่า สมมติวันนี้กู้เงินซื้อบ้าน 5 ล้านบาท ระยะเวลาการผ่อน 20 ปี หรือก็คือ 240 งวด เป็นยอดเงินผ่อนงวดละ 42,000 บาท ซึ่งใน 42,000 บาท จะเป็นส่วนของเงินต้น 10,000 บาท และดอกเบี้ยเงินกู้ตามปกติ 32,000 บาท ทีนี้สมมติว่าจ่ายมาต่อเนื่อง 24 งวด งวดที่ 25 ดันผิดนัด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อัตราดอกเบี้ยผิดนัดจะถูกนำไปคูณกับเงินต้นคงเหลือของงวดที่ 25 ยาวถึงงวดที่ 240 ทันที อย่างในกรณีตามที่ยกตัวอย่าง ก็จะกลายเป็นเงินต้นคงเหลือประมาณ 4,770,000 บาท คูณกับอัตราดอกเบี้ยผิดนัดแล้ว ก็อาจกลายเป็นดอกเบี้ยผิดนัดที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมาประมาณ 27,000 บาท ซึ่งมากเกือบเท่านึงของดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องจ่ายตามปกติอยู่แล้วเลย โดยการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดตามสูตรเดิมนี้ จะทำให้ผู้กู้ที่ผิดนัดแม้เพียงครั้งเดียว ได้รับภาระเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้โอกาสที่ผู้กู้จะเคลียร์หนี้สำเร็จยิ่งเป็นไปได้ยากมาก ๆ อย่างถ้ายกตัวอย่างตามกรณีใช้สูตรคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดแบบเก่า ที่ได้ผ่อนมาแล้ว 24 งวด แล้วมาผิดนัดในงวดที่ 25 ก็จะนำเงินต้นคงเหลือเฉพาะงวดที่ 25 คือ เงินจำนวน 10,000 บาท มาคูณกับอัตราดอกเบี้ยผิดนัด ก็อาจกลายเป็นดอกเบี้ยผิดนัดที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมาเพียง 57.53 บาทเท่านั้น นอกจากการปรับรุงการคำนวณแล้ว ยังกำหนดให้มีช่วงผ่อนผัน หรือที่เรียกว่า Grace Period ที่จะต้องไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดก่อนจนกว่าช่วงผ่อนผันนี้จะหมดไป โดยอาจกำหนดช่วงผ่อนผันที่ประมาณ 3-5 วันก่อน พ้นไปเมื่อไหร่ ถึงจะนับว่าผิดนัดชำระแล้วถูกคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดต่อไป
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1748
Finance
Dogecoin คืออะไร
เหรียญน้องหมา Dogecoin ทำไมถึงขึ้นกว่า 400% !? ​ เมื่อไม่นานมานี้ ราคาเหรียญน้องหมาชิบะ Dogecoin (DOGE) ได้ปรับสูงขึ้นกว่า 400% จากประมาณ 0.5 บาท ขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ประมาณ 2 บาทภายในวันเดียว บนกระดานเทรดคริปโทเคอร์เรนซีของไทยอย่าง Bitkub อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของการปรับขึ้นครั้งนี้กันแน่? Dogecoin คืออะไร? ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักเหรียญ Dogecoin กันก่อน โดยเจ้าเหรียญ Dogecoin มีที่มาจากมีม (Meme) Doge ที่ล้อเลียนคำว่า Dog บนโลกอินเทอร์เน็ต ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ Knowyourmeme มีมนี้เกิดขึ้นมาในปี 2013 และได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนถูกยกย่องให้เป็น “Meme of the year” ของปีนั้นเลยทีเดียว สำหรับเหรียญ Dogecoin ถูกสร้างขึ้นโดยนาย Billy Markus วิศวกรซอฟต์แวร์ของ IBM และนาย Jackson Palmer วิศวกรซอฟต์แวร์ของ Adobe โดยมีแนวคิดที่จะสร้างสกุลเงินดิจิทัลที่ “รวดเร็ว เป็นมิตร สนุก และปราศจากค่าธรรมเนียมธนาคาร” แรกเริ่มนั้น นาย Jackson แค่กล่าวติดตลกเกี่ยวกับ Dogecoin บนอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ก่อนที่นาย Billy จะติดต่อเข้ามา ทั้งคู่เลยตัดสินสร้าง Dogecoin ขึ้นมาจริง ๆ เสียอย่างนั้น Dogecoin ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2013 โดยมีเทคโนโลยีพื้นฐานเหมือนกับ Litecoin และ Luckycoin ที่ใช้ระบบ Proof-of-work เหมือนกัน ส่งผลให้ Dogecoin ไม่มีฟีเจอร์สำคัญอะไรที่แตกต่างไปจากสกุลเงินดิจิทัลสกุลอื่น ๆ ในช่วงนั้น จุดเปลี่ยนสำคัญของ Dogecoin ด้วยความที่เป็นเหรียญที่ดูเป็นมิตร ทำให้ Dogecoin มีชุมชนที่ให้สนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมากพอสมควร ส่งผลให้เกิดการนำ Dogecoin มาใช้กันจริง ๆ โดยหลัก ๆ จะใช้ในการ “ให้ทิป” บนโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง Reddit หรือ Twitch แก่ผู้ที่ทำคอนเทนต์หรือแสดงความคิดเห็นออกมาได้น่าสนใจ คล้าย ๆ กับการกด Like บน Facebook หมายความว่ามูลค่าของ Dogecoin ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง แต่มาจากเครือข่ายการใช้งานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง และในช่วงต้นปี 2018 นั่นเอง Dogecoin ได้กลายเป็นที่สนใจของบรรดาสื่อมวลชนต่างประเทศ เนื่องจากมูลค่าตลาดรวมของ Dogecoin ได้ขึ้นแตะระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับ Dogecoin ออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ จึงส่งผลให้มีนักลงทุนหน้าใหม่ ๆ ไหลเข้ามากันอย่างล้นหลาม ปัจจุบัน Dogecoin กลายเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดรวมกันสูงที่สุดอันดับที่ 7 ของโลก โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามข้อมูลจาก Coinmarketcap สาเหตุที่แท้จริงของการขึ้นครั้งล่าสุด? หากติดตามข่าวตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้ ก็น่าจะเห็นกรณีของหุ้น Gamestop ที่ถูกเข้าซื้อโดยนักลงทุนรายย่อยจนราคาขึ้นกว่า 1,700% ภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ เกิดจากการที่ผู้ใช้ในกลุ่ม Wall Street Bets (WSB) ของเว็บบอร์ด Reddit ที่มีสมาชิกในกลุ่มถึง 3 ล้านคน พยายามปลุกกระแสต่อต้านนายทุนในตลาด Wall Street ที่พากันตั้งสถานะ Short Selling ในหุ้น Gamestop มาโดยตลอด (การ Short Selling อธิบายง่าย ๆ ได้ว่าเป็นการคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะตก เพื่อรอทำกำไรเมื่อราคาตกลงมาจริงๆ) กลุ่ม WSB ต้องการที่จะ “สั่งสอน” พวกนายทุนเหล่านี้ จึงปลุกกระแสให้คนในกลุ่ม WSB และทั้งเว็บบอร์ด Reddit พากันไปซื้อหุ้นของ Gamestop เพื่อหนุนให้ราคาหุ้นสูงขึ้นมา ส่งผลให้เหล่านายทุนขาดทุนกันไปอย่างยับเยิน ใช่แล้ว สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาของ Dogecoin พุ่งสูงขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ นี้มาจากการที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์นามว่า WSB Chairman ที่มีผู้ติดตามเกือบ 7 แสนคน เป็นผู้เริ่มปลุกกระแส โดยทวีตข้อความสั้น ๆ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า “Doge เคยขึ้นไปถึง 1 ดอลลาร์หรือเปล่านะ?” จากนั้นไม่นานก็เริ่มเกิดความเคลื่อนไหวภายในกลุ่ม WSB ไม่ว่าจะเป็นในเว็บบอร์ด Reddit หรือแม้กระทั่งในกลุ่ม Telegram ไม่ใช่แค่ WSB Chairman เท่านั้น แต่บุคคลที่ทั้งโลกกำลังจับตามองอย่างนาย Elon Musk CEO ของ Tesla ก็มีการทวีตข้อความถึง Dogecoin เมื่อไม่นานมานี้ด้วยเช่นกัน โดยเป็นการทวีตรูปปกนิตยสารที่เป็นรูปสุนัขเท่านั้น แต่ก็เป็นการช่วยหนุนกระแสเข้าซื้อ Dogecoin ให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Elon Musk กล่าวถึง Dogecoin โดยในเดือน ธ.ค. ปีที่ผ่านมา Elon Musk ได้ทวีตข้อความสั้น ๆ ว่า “ขอคำเดียว: Doge” แต่ก็ทำให้ราคา Dogecoin ในช่วงนั้นปรับขึ้นไปถึง 20% และหากย้อนกลับไปอีกในเดือน ก.ค. นาย Elon Musk ก็ได้ทวีตรูปเกี่ยวกับ Dogecoin และครั้งนั้นก็ทำให้ราคา Dogecoin พุ่งขึ้นไปถึง 14% เลยทีเดียว ในขณะที่เขียนบทความนี้ ราคาของเหรียญ Dogecoin ได้พุ่งสูงขึ้นถึง 443% จากระดับ 0.5 บาท ทำระดับสูงสุดที่ 2.0589 บาท บนกระดานเทรด Bitkub ขณะที่ยอดแฮชแท็ก #Dogecoin บนโลกอินเทอร์เน็ตก็พุ่งสูงขึ้นถึง 1800% กลายเป็น Altcoin เหรียญแรกที่มีคนกล่าวถึงมากกว่า Bitcoin ในระยะเวลา 24 ชม. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าจดจำของวงการคริปโทเคอร์เรนซี การที่มูลค่าของสินทรัพย์จะสามารถปรับขึ้นได้อย่างรุนแรงในระยะเวลาสั้น ๆ จากการเข้าซื้อจากนักลงทุนรายย่อย แสดงให้เห็นถึงพลังของโซเชียลเน็ตเวิร์คและคนตัวเล็ก ๆ ที่มารวมตัวกัน ทำให้สามารถสั่นคลอนได้แม้กระทั่งตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Wall Street รวมถึงตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งเป็นตลาดที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ อ้างอิง: Cointelegraph, Commodity.com, CNN, Coinmarketcap Bitkub.com
เหรียญ Dogecoin มีที่มาจากมีม (Meme) Doge ที่ล้อเลียนคำว่า Dog บนโลกอินเทอร์เน็ต ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ Knowyourmeme มีมนี้เกิดขึ้นมาในปี 2013 และได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนถูกยกย่องให้เป็น “Meme of the year” ของปี 2013 เลย สำหรับเหรียญ Dogecoin ถูกสร้างขึ้นโดยนาย Billy Markus วิศวกรซอฟต์แวร์ของ IBM และนาย Jackson Palmer วิศวกรซอฟต์แวร์ของ Adobe โดยมีแนวคิดที่จะสร้างสกุลเงินดิจิทัลที่ “รวดเร็ว เป็นมิตร สนุก และปราศจากค่าธรรมเนียมธนาคาร” แรกเริ่มนั้น นาย Jackson แค่กล่าวติดตลกเกี่ยวกับ Dogecoin บนอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ก่อนที่นาย Billy จะติดต่อเข้ามา ทั้งคู่เลยตัดสินสร้าง Dogecoin ขึ้นมาจริง ๆ เสียอย่างนั้น Dogecoin ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2013 โดยมีเทคโนโลยีพื้นฐานเหมือนกับ Litecoin และ Luckycoin ที่ใช้ระบบ Proof-of-work เหมือนกัน ส่งผลให้ Dogecoin ไม่มีฟีเจอร์สำคัญอะไรที่แตกต่างไปจากสกุลเงินดิจิทัลสกุลอื่น ๆ ในช่วงนั้น ด้วยความที่เป็นเหรียญที่ดูเป็นมิตร ทำให้ Dogecoin มีชุมชนที่ให้สนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมากพอสมควร ส่งผลให้เกิดการนำ Dogecoin มาใช้กันจริง ๆ โดยหลัก ๆ จะใช้ในการ “ให้ทิป” บนโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง Reddit หรือ Twitch แก่ผู้ที่ทำคอนเทนต์หรือแสดงความคิดเห็นออกมาได้น่าสนใจ คล้าย ๆ กับการกด Like บน Facebook หมายความว่ามูลค่าของ Dogecoin ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง แต่มาจากเครือข่ายการใช้งานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง และในช่วงต้นปี 2018 นั่นเอง Dogecoin ได้กลายเป็นที่สนใจของบรรดาสื่อมวลชนต่างประเทศ เนื่องจากมูลค่าตลาดรวมของ Dogecoin ได้ขึ้นแตะระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับ Dogecoin ออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ จึงส่งผลให้มีนักลงทุนหน้าใหม่ ๆ ไหลเข้ามากันอย่างล้นหลาม
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1751
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สมมติฐานและเงื่อนไขที่กำหนดใน Fix % VS Volatility
null
สำหรับ Fix % VS Volatility มีสมมติฐานและเงื่อนไขที่จะต้องกำหนด 4 อย่างด้วยกัน ได้แก่ เงินลงทุนซึ่งต้องเริ่มต้น 1 ล้านบาท ช่วงเวลาที่ทดสอบ จะใช้วันที่ 1 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ดังนั้น การทดสอบจะใช้เวลา 5 ปี ต่อมาเป็นกลยุทธ์การซื้อขาย ใช้แบบ Donchian Channel และเงื่อนไขสุดท้ายก็คือ สินทรัพย์ที่ใช้ทดสอบ โดยใช้สกุลเงิน Cryptocurrency ทั้งหมด 6 ชนิด บทเรียนจากย่อหน้านี้ Fix % VS Volatility สมมติฐานและเงื่อนไขที่กำหนดคือ - เงินลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท - ช่วงเวลาที่ทดสอบ 1/1/2015-31/10/2020 - กลยุทธ์การซื้อขาย Donchian Channel - สินทรัพย์ที่ทดสอบ Cryptocurrency 6 ชนิด จะสังเกตเห็นว่าการกำหนดน้ำหนักการลงทุนแบบ Fix % เอาไว้ที่ 20 % ต่อหนึ่งตัว พูดง่ายๆ คือในพอร์ตจะลงทุนเต็มที่ได้เพียง 5 เหรียญเท่านั้น ซึ่งการกำหนดแบบนี้จะง่ายต่อการทำความเข้าใจ ง่ายต่อการใช้จริง เพราะไม่ต้องคำนวณอะไรมากมาย แต่ข้อเสียคือ ไม่ได้นำความผันผวนหรือความเสี่ยงของแต่ละเหรียญเข้ามาคำนวณเลย จะทราบดีว่าช่วงเวลาเดียวกันแต่สินทรัพย์แต่ละตัวก็มีความผันผวนไม่เท่ากัน ฉะนั้นไม่ Make Sense เลยที่จะซื้อเหรียญที่ผันผวนสูงเท่ากับเหรียญที่ผันผวนต่ำๆ
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1752
Finance
จงบอกหุ้น 5 อันดับแรก ที่กองทุน 1AMSET50-RA ลงทุน
null
กองทุน 1AMSET50-RA ลงทุนในหุ้น 91.98% ในสินทรัพย์และหนี้สินอื่น 8.02% โดยหุ้น 5 อันดับแรกที่กองทุนนี้ถือ คือ 1. PTT 2. AOT 3. INTUCH 4. IVL 5. ADVANC กองทุน 1AMSET50-RA มีชื่อ SET50 แอบแฝงอยู่ แต่จะแตกต่างจากกองทุน SET50 อื่นๆ เนื่องจากเป็นกองทุน Active ที่ถือหุ้นทั้งหมดประมาณ 25-30 บริษัท เพื่อให้ผลตอบแทนมีโอกาสชนะตลาดได้ โดยจะกระจายการลงทุนในหุ้นใหญ่เป็นหลักประมาณ 65% และอีก 35% เป็นการไปลงทุนในบริษัทนอก SET50 โดยจะมีการเลือกลงทุนในอุตสาหกรรม (Sector) ตามแนวโน้มเศรษฐกิจ (Top-Down Approach) ผลตอบแทนของกองทุน 1AMSET50-RA ถือว่าทำได้ดี ชนะค่าเฉลี่ยในกลุ่ม ส่วนในฝั่งของ Standard Deviation หรือ ค่าความเสี่ยง ยิ่งต่ำยิ่งดี จะเห็นว่ามีค่าที่ใกล้เคียงกับในกลุ่ม นั่นหมายถึงในความเสี่ยงที่เท่ากัน กองทุนนี้สามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่า ซึ่งถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ กองทุน 1AMSET50-RA มีค่าธรรมเนียมขาเข้าอยู่ที่ 0.27% ถ้าเทียบกับในกอง Active ด้วยกันถือว่าถูกมาก เพราะกองทุนหุ้นส่วนใหญ่จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ประมาณ 1% ทว่าถ้าเทียบกับกอง Passive ใน SET50 ก็จะสูงกว่า (ไม่มาก) แต่มีโอกาสที่จะทำผลตอบแทนได้ดีกว่า เนื่องจากผู้จัดการมีการคัดเลือกหุ้นให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด มูลค่าสำหรับการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดๆ ไปเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1756
Finance
การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF นั้น เหมาะกับทุกคนหรือไม่ จงอธิบาย
null
การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF นั้น เหมาะกับผู้ที่มีรายได้และต้องการออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น การเกษียณอายุ หรือเพื่อการศึกษาบุตร ข้อดี: สิทธิประโยชน์ทางภาษี: ผู้ลงทุนสามารถนำเงินที่ลงทุนในกองทุน SSF และ RMF ไปหักลดหย่อนภาษีได้ โอกาสรับผลตอบแทน: มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินออมทรัพย์ วินัยในการออม: การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF เป็นการส่งเสริมวินัยในการออมเงิน ข้อเสีย: ความเสี่ยง: กองทุน SSF และ RMF ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าเงินลงทุน หรืออาจขาดทุน สภาพคล่อง: เงินลงทุนในกองทุน SSF และ RMF มีสภาพคล่องต่ำ ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินออกมาใช้ได้ก่อนครบกำหนด **ดังนั้น การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF นั้น เหมาะกับผู้ที่มีรายได้และต้องการออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะยาว ** ผู้ลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน: เป้าหมายการลงทุน: เป้าหมายการลงทุนของผู้ลงทุนคืออะไร ระยะเวลาการลงทุน: ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้นานแค่ไหน ความเสี่ยงที่รับได้: ผู้ลงทุนรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน สภาพคล่อง: ผู้ลงทุนต้องการใช้เงินลงทุนก่อนครบกำหนดหรือไม่ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุน SSF และ RMF อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกอื่น ๆ สำหรับการออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น ประกันชีวิต: ประกันชีวิตบางประเภทมีเงินออมครบกำหนด กองทุนรวม: กองทุนรวมมีหลากหลายประเภท ผู้ลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยง การออมเงินแบบออมทรัพย์พิเศษ: เงินฝากออมทรัพย์พิเศษมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป ผู้ลงทุนควรเลือกวิธีออมเงินที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ความเสี่ยง และสภาพคล่องของตนเอง
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1759
Finance
การลงทุนใน Bitcoin โดยไม่มีวินัยและความสม่ำเสมอ ส่งผลต่อผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนหรือไม่
null
ใช่ การลงทุนใน Bitcoin โดยไม่มีวินัยและความสม่ำเสมอ ส่งผลต่อผลตอบแทนของพอร์ตลงทุน เหตุผล: Bitcoin มีความผันผวนสูง: ราคา Bitcoin มีการขึ้นลงรุนแรงในระยะสั้น การลงทุนโดยไม่มีวินัย เช่น ซื้อตอนราคาสูง ขายตอนราคาต่ำ อาจทำให้สูญเสียเงินทุน การพลาดโอกาส: Bitcoin มีผลตอบแทนรายปีที่สูง แต่มีบางเดือนที่ให้ผลตอบแทนติดลบ การลงทุนโดยไม่มีความสม่ำเสมอ เช่น พลาดโอกาสลงทุนในเดือนที่มีผลตอบแทนสูง อาจทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตลดลง อารมณ์: การลงทุนโดยไม่มีวินัย อาจทำให้ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ เช่น ซื้อตอน FOMO ขายตอน Panic ส่งผลต่อผลตอบแทนของพอร์ต ตัวอย่าง: จากข้อมูลของ FINNOMENA Podcast Ep.7 พบว่า: Bitcoin มีผลตอบแทนรายปีที่สูง แต่มีบางเดือนที่ให้ผลตอบแทนติดลบ การตัดเดือนที่มีผลตอบแทนดีที่สุด 1 เดือน ออกไป ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตลดลง การตัดเดือนที่มีผลตอบแทนดีที่สุด 2 เดือน ออกไป ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตลดลง significantly สรุป: การลงทุนใน Bitcoin โดยไม่มีวินัยและความสม่ำเสมอ อาจทำให้พลาดโอกาส สูญเสียเงินทุน และผลตอบแทนของพอร์ตลดลง คำแนะนำ: ลงทุนใน Bitcoin ตามกลยุทธ์ที่ชัดเจน กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ใจเย็น มีวินัย และควบคุมอารมณ์ หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ
5.ความรู้ทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_176
Finance
เคล็ดลับลงทุน จาก 3 เซียนระดับโลก (โรเบิร์ต อาร์น็อตต์, ปีเตอร์ ลินช์ และ วอเร็น บัฟเฟตต์) คืออะไร
null
เมื่อพูดถึงคำว่าลงทุน หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องยาก เพราะฟังข่าวทีไรก็เจอแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจ แถมบ่อยครั้งที่ได้ยินคำว่าขาดทุน ก็ยิ่งทำให้รู้สึกกลัว ไม่กล้าลงทุน ไม่กล้าเอาเงินมาเสี่ยง แต่มีนักลงทุนไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก อย่าง 3 เซียน ซึ่งมีแนวคิดที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ ได้แก่ • โรเบิร์ต อาร์น็อตต์ เคยกล่าวว่า “ในโลกของการลงทุน เมื่อไหร่ที่รู้สึกสบายย่อมหมายถึง จะไม่ได้กำไรจากการลงทุน” หมายถึง เมื่อรู้สึกว่าเงินเก็บปลอดภัย แสดงว่าแทบไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย หรือมีขาดทุนบ้างแต่ยังรู้สึกสบายใจ แสดงว่ากำลังรับผลตอบแทนต่ำกว่าความเสี่ยงที่รับได้ • ปีเตอร์ ลินช์ เคยแนะนำผ่านบทสัมภาษณ์ต่างๆ สรุปได้ 5 ประเด็น ได้แก่ (1) “รู้ว่ากำลังลงทุนอะไร” หุ้นจะดีได้ บริษัทต้องดีก่อน (2) “มองการณ์ไกล” ลงทุนระยะยาวมักประสบความสำเร็จมากกว่าลงทุนระยะสั้น (3) “เข้าใจความผันผวน” เป็นสิ่งเลี่ยงไม่ได้ในโลกการลงทุน (4) “กระจายความเสี่ยง” ลงทุนสินทรัพย์ให้หลากหลาย (5) “มองหาโอกาสในวิกฤต” ในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง ถือเป็นโอกาสมองหาสินทรัพย์ที่ยังพื้นฐานดีราคาถูก • วอเร็น บัฟเฟตต์ มีวลีเด็ดว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า และจงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว” หมายถึง เมื่อคนส่วนใหญ่ฮึกเหิมช่วงตลาดขาขึ้นจนราคาสินทรัพย์สูงเกินกว่าความเป็นจริงก็ควรรีบทำกำไรหรือถอยออกมา แต่หากคนส่วนใหญ่เกิดความกังวลจนราคาสินทรัพย์ต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็นนั่นถือเป็นโอกาสเข้าลงทุน % อยากลงทุนให้ประสบความสำเร็จอย่าง 3 เซียน ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องศึกษา อาศัยประสบการณ์ ควบคุมอารมณ์ไม่ให้ไหลไปตามตลาด แต่หากค่อยๆ เริ่มต้น และใช้ตัวช่วยที่เหมาะสม ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินตัวเลย
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1760
Finance
ลงทุนในกองทุน TMB-ES-GINNO แล้วจะได้ลงทุนในบริษัทไหนบ้าง
รีวิวกองทุน TMB-ES-GINNO: กองทุนแห่งนวัตกรรมสู่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ​ ในขณะที่โลกกำลังหมุนไปทุกวัน ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าการเติบโตของเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ นั้นได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์เราเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจากการระบาดของ COVID-19 ในปี 2020 ที่ผ่านมาก็ทำให้เราต้องปรับตัวในการใช้ชีวิตหลาย ๆ อย่าง รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมในรูปแบบต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะเป็น การเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning) การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ฯลฯ ในขณะที่โลกกำลังหมุนไปทุกวัน ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าการเติบโตของเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ นั้นได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์เราเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจากการระบาดของ COVID-19 ในปี 2020 ที่ผ่านมาก็ทำให้เราต้องปรับตัวในการใช้ชีวิตหลาย ๆ อย่าง รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมในรูปแบบต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะเป็น การเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning) การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ฯลฯ รูปที่ 1 การเติบโตแบบทวีคูณของเทคโนโลยี ที่มา: arcgis.com รูปที่ 1 การเติบโตแบบทวีคูณของเทคโนโลยี ที่มา: arcgis.com โดยการเติบโตแบบทวีคูณของเทคโนโลยีและนวัตกรรมก็ได้ทำให้เกิดนวัตกรรมที่เรียกว่า “Disruptive Innovation” ที่จะเข้าไป “ก่อกวน” คู่แข่งเดิมที่อยู่ในตลาดจนสามารถก้าวขึ้นมาแทนที่คู่แข่งนั้นได้ และด้วยนวัตกรรมก่อกวนนี้เองจึงนำไปสู่ธีมการลงทุนของกองทุน TMB-ES-GINNO ที่จะแนะนำให้ได้รู้จักกันในบทความนี้ เพราะกองทุน TMB-ES-GINNO ไม่เพียงแต่ลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมธรรมดา แต่เป็นกองทุนที่ “มองไปข้างหน้า” กับการลงทุนใน 5 กลุ่ม “นวัตกรรมแห่งอนาคต” โดยการเติบโตแบบทวีคูณของเทคโนโลยีและนวัตกรรมก็ได้ทำให้เกิดนวัตกรรมที่เรียกว่า ที่จะเข้าไป คู่แข่งเดิมที่อยู่ในตลาดจนสามารถก้าวขึ้นมาแทนที่คู่แข่งนั้นได้ และด้วยนวัตกรรมก่อกวนนี้เองจึงนำไปสู่ธีมการลงทุนของกองทุน TMB-ES-GINNO ที่จะแนะนำให้ได้รู้จักกันในบทความนี้ เพราะกองทุน TMB-ES-GINNO ไม่เพียงแต่ลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมธรรมดา แต่เป็นกองทุนที่ กับการลงทุนใน 5 กลุ่ม สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: ลงทุนในนวัตกรรมแห่งอนาคตด้วยกองทุน TMB-ES-GINNO กองทุน TMB-ES-GINNO หรือ กองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง Global Innovation จาก บลจ. ทหารไทย (TMB) มีนโยบายลงทุนในกองทุน Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ในหน่วยลงทุนชนิด Class A USD (Class ที่เสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนผ่านการลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลก โดยเน้นลงทุนในหุ้น 5 กลุ่มนวัตกรรมหลักที่เกี่ยวข้องหรือได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Disruptive Innovation theme) กองทุน TMB-ES-GINNO หรือ กองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง Global Innovation จาก บลจ. ทหารไทย ( TMB) มีนโยบายลงทุนในกองทุน Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ในหน่วยลงทุนชนิด Class A USD (Class ที่เสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) มีวัตถุประสงค์ในการลงทุน เพื่อเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนผ่านการลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลก โดยเน้นลงทุนในหุ้น 5 กลุ่มนวัตกรรมหลักที่เกี่ยวข้องหรือได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Disruptive Innovation theme) รูปที่ 2 5 กลุ่มนวัตกรรมหลักที่กองทุน Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ลงทุน ที่มา: nikkoam.com.sg/ รูปที่ 2 5 กลุ่มนวัตกรรมหลักที่กองทุน Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ลงทุน ที่มา: nikkoam.com.sg/ ขั้นตอนการลงทุนของ Master Fund เนื่องจากกองทุน TMB-ES-GINNO เป็นกองทุนประเภท Feeder Fund จึงขอหยิบยกขั้นตอนการลงทุนที่น่าสนใจของกองทุน Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ที่เป็น Master Fund มากล่าวถึงในหัวข้อนี้ โดยเทคนิควิเคราะห์การลงทุนจะใช้ทั้งแบบ Top-down และ Bottom-up เพื่อคัดสรรบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตและได้เปรียบในการแข่งขัน เนื่องจากกองทุน TMB-ES-GINNO เป็นกองทุนประเภท Feeder Fund จึงขอหยิบยกขั้นตอนการลงทุนที่น่าสนใจของกองทุน Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ที่เป็น Master Fund มากล่าวถึงในหัวข้อนี้ โดยเทคนิควิเคราะห์การลงทุนจะใช้ทั้งแบบ Top-down และ Bottom-up เพื่อคัดสรรบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตและได้เปรียบในการแข่งขัน รูปที่ 3 ขั้นตอนการลงทุนของ Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ที่มา: emea.nikkoam.com รูปที่ 3 ขั้นตอนการลงทุนของ Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ที่มา: emea.nikkoam.com Top-down: เพื่อกำหนดขอบเขตในการลงทุน ตรวจสอบว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด เพื่อทำความเข้าใจกับรูปแบบของนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยทำการรวบรวมข้อมูลจาก Open Research Ecosystem เพื่อปรับขนาดโอกาส ตรวจสอบว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด เพื่อทำความเข้าใจกับรูปแบบของนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยทำการรวบรวมข้อมูลจาก Open Research Ecosystem เพื่อปรับขนาดโอกาส Bottom-up: เพื่อปรับแต่งโอกาสในการลงทุน เริ่มต้นด้วยการคัดสรรการลงทุนในกลุ่มที่มีศักยภาพ โดยการให้คะแนนบริษัท พร้อมทั้งประเมินมูลค่าผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี เพื่อจัดพอร์ตการลงทุนและบริหารความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน เริ่มต้นด้วยการคัดสรรการลงทุนในกลุ่มที่มีศักยภาพ โดยการให้คะแนนบริษัท พร้อมทั้งประเมินมูลค่าผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี เพื่อจัดพอร์ตการลงทุนและบริหารความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน ลงทุนใน TMB-ES-GINNO แล้วจะได้ลงทุนในบริษัทไหนบ้าง ? รูปที่ 4 สัดส่วนการลงทุนแบ่งตามภาคอุตสาหกรรมของ Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Class A USD (ข้อมูล ณ เดือน พฤศจิกายน 2020) ที่มา: Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Factsheet รูปที่ 4 สัดส่วนการลงทุนแบ่งตามภาคอุตสาหกรรมของ Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Class A USD (ข้อมูล ณ เดือน พฤศจิกายน 2020) ที่มา: Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Factsheet ตามชื่อบทความที่ได้กล่าวไว้ว่ากองทุนนี้เป็น “กองทุนแห่งนวัตกรรมสู่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่” สัดส่วนการลงทุนจึงเน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรม Healthcare และ Information Technology เป็นหลัก โดยให้น้ำหนักการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมทั้งสองนี้เกินกว่าครึ่งของภาคอุตสาหกรรมที่กองทุนนี้เข้าไปลงทุน ตามชื่อบทความที่ได้กล่าวไว้ว่ากองทุนนี้เป็น สัดส่วนการลงทุนจึงเน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรม Healthcare และ Information Technology เป็นหลัก โดยให้น้ำหนักการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมทั้งสองนี้เกินกว่าครึ่งของภาคอุตสาหกรรมที่กองทุนนี้เข้าไปลงทุน รูปที่ 5 Top 10 Holdings ของ Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund (ข้อมูล ณ เดือน พฤศจิกายน 2020) ที่มา: Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Factsheet รูปที่ 5 Top 10 Holdings ของ Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund (ข้อมูล ณ เดือน พฤศจิกายน 2020) ที่มา: Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Factsheet ส่วนหุ้นที่ Master Fund เข้าไปลงทุนจะขอเลือกมา 4 บริษัทให้ได้รู้จักกันมากขึ้นว่าถ้าลงทุนในกองทุน TMB-ES-GINNO แล้วเราจะได้ลงทุนในนวัตกรรมแห่งอนาคตอะไรกันบ้าง ส่วนหุ้นที่ Master Fund เข้าไปลงทุนจะขอเลือกมา 4 บริษัทให้ได้รู้จักกันมากขึ้นว่าถ้าลงทุนในกองทุน TMB-ES-GINNO แล้วเราจะได้ลงทุนในนวัตกรรมแห่งอนาคตอะไรกันบ้าง Tesla, Inc. — ออกแบบ พัฒนา ผลิต จำหน่าย และให้เช่ายานยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งเป็นผู้ให้บริการในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และผลิตภัณฑ์จัดเก็บพลังงาน Tesla, Inc. — ออกแบบ พัฒนา ผลิต จำหน่าย และให้เช่ายานยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งเป็นผู้ให้บริการในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และผลิตภัณฑ์จัดเก็บพลังงาน รูปที่ 6 10 อันดับบริษัทผลิตรถยนต์ที่มี Market Cap สูงที่สุดในโลก (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) รูปที่ 6 10 อันดับบริษัทผลิตรถยนต์ที่มี Market Cap สูงที่สุดในโลก (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) Tesla ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มี Market Cap สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ในบรรดาอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 1 ปี ด้วยมูลค่ามากถึง 668.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีมูลค่ามากกว่า Toyota ที่เป็นอันดับ 2 ด้วยมูลค่า 215.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เกือบ 3 เท่าเลยทีเดียว Tesla ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มี Market Cap สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ในบรรดาอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 1 ปี ด้วยมูลค่ามากถึง 668.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีมูลค่ามากกว่า Toyota ที่เป็นอันดับ 2 ด้วยมูลค่า 215.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เกือบ 3 เท่าเลยทีเดียว รูปที่ 7 ผลิตภัณฑ์จัดเก็บพลังงาน Powerwall ของ Tesla ที่มา: tesla.com/powerwall รูปที่ 7 ผลิตภัณฑ์จัดเก็บพลังงาน Powerwall ของ Tesla ที่มา: tesla.com/powerwall Invitae Corp — ดำเนินธุรกิจเป็นบริษัทข้อมูลทางพันธุกรรม มีความเชี่ยวชาญในการให้ข้อมูลสำหรับการวินิจฉัยทางพันธุกรรมก่อนการฝังตัว การตรวจคัดกรองพาหะสำหรับความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม การวิเคราะห์การแท้งบุตร และมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม Roku, Inc. — ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม Streaming Television พร้อมผลิตเครื่องเล่นสื่อดิจิทัลหลายประเภทสำหรับ Video Streaming นอกจากนี้ยังมีธุรกิจโฆษณา และการให้ใบอนุญาตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แก่บริษัทอื่น ๆ Invitae Corp — ดำเนินธุรกิจเป็นบริษัทข้อมูลทางพันธุกรรม มีความเชี่ยวชาญในการให้ข้อมูลสำหรับการวินิจฉัยทางพันธุกรรมก่อนการฝังตัว การตรวจคัดกรองพาหะสำหรับความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม การวิเคราะห์การแท้งบุตร และมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม Roku, Inc. — ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม Streaming Television พร้อมผลิตเครื่องเล่นสื่อดิจิทัลหลายประเภทสำหรับ Video Streaming นอกจากนี้ยังมีธุรกิจโฆษณา และการให้ใบอนุญาตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แก่บริษัทอื่น ๆ รูปที่ 8 Roku Streaming Player ที่มา: roku.com/ รูปที่ 8 Roku Streaming Player ที่มา: roku.com/ Teladoc Health, Inc. — ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพด้วยระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) โดยมีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่หลากหลายตั้งแต่ภาวะทางการแพทย์ที่ไม่เร่งด่วน เช่น โรคไข้หวัด ไปจนถึงภาวะทางการแพทย์ที่เรื้อรังและซับซ้อน เช่น มะเร็ง และภาวะหัวใจล้มเหลว Teladoc Health, Inc. — ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพด้วยระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) โดยมีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่หลากหลายตั้งแต่ภาวะทางการแพทย์ที่ไม่เร่งด่วน เช่น โรคไข้หวัด ไปจนถึงภาวะทางการแพทย์ที่เรื้อรังและซับซ้อน เช่น มะเร็ง และภาวะหัวใจล้มเหลว รูปที่ 9 ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่มา: forbes.com รูปที่ 9 ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่มา: forbes.com สร้างผลตอบแทนได้อย่างก้าวกระโดด รูปที่ 10 ผลการดำเนินงานของกองทุน TMB-ES-GINNO เทียบ MSCI World Net Total Return Index (ข้อมูล ณ วันที่ 08/01/2021) ที่มา: tmbameastspring.com/funds/mutual-funds/funddetails?fundcode=I33f รูปที่ 10 ผลการดำเนินงานของกองทุน TMB-ES-GINNO เทียบ MSCI World Net Total Return Index (ข้อมูล ณ วันที่ 08/01/2021) ที่มา: tmbameastspring.com/funds/mutual-funds/funddetails?fundcode=I33f tmbameastspring.com/funds/mutual-funds/funddetails?fundcode=I33f ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** มาดูกันที่ผลตอบแทนย้อนหลังกันบ้าง เนื่องจากกองทุน TMB-ES-GINNO เพิ่งเข้าจดทะเบียนกองทุนในวันที่ 29 ต.ค. 2563 จึงยังไม่มีผลตอบแทนย้อนหลังให้ดูมากนัก แต่จากข้อมูลที่มีนับตั้งแต่วันที่กองทุนจดทะเบียนมาจนถึงปัจจุบัน กองทุน TMB-ES-GINNO สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 45.60% (ข้อมูล ณ วันที่ 08/01/2021) ท่ามกลางยุคที่ต้องเผชิญกับวิกฤตที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจมากมายแต่กองทุนนี้สามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกได้ในอัตราที่ถือว่าดีมากสำหรับกองทุนที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนได้เพียงแค่ 2 เดือนกว่า ๆ เท่านั้น มาดูกันที่ผลตอบแทนย้อนหลังกันบ้าง เนื่องจากกองทุน TMB-ES-GINNO เพิ่งเข้าจดทะเบียนกองทุนในวันที่ 29 ต.ค. 2563 จึงยังไม่มีผลตอบแทนย้อนหลังให้ดูมากนัก แต่จากข้อมูลที่มีนับตั้งแต่วันที่กองทุนจดทะเบียนมาจนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 08/01/2021) ท่ามกลางยุคที่ต้องเผชิญกับวิกฤตที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจมากมายแต่กองทุนนี้สามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกได้ในอัตราที่ถือว่าดีมากสำหรับกองทุนที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนได้เพียงแค่ 2 เดือนกว่า ๆ เท่านั้น ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุน TMB-ES-GINNO เปรียบเทียบกับ MSCI World Net Total Return USD Index (Benchmark ของ Master Fund) จากรูปที่ 10 จะเห็นได้ว่าในช่วงแรกที่กองทุนเข้าจดทะเบียนอาจสร้างผลตอบแทนได้ต่ำกว่า Benchmark แต่หลังจากนั้นเพียง 1 เดือนก็สามารถเอาชนะ Benchmark ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งนี้ก็สามารถพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของกองทุนนี้ได้เป็นอย่างดี ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุน TMB-ES-GINNO เปรียบเทียบกับ MSCI World Net Total Return USD Index (Benchmark ของ Master Fund) จากรูปที่ 10 จะเห็นได้ว่าในช่วงแรกที่กองทุนเข้าจดทะเบียนอาจสร้างผลตอบแทนได้ต่ำกว่า Benchmark แต่หลังจากนั้นเพียง 1 เดือนก็สามารถเอาชนะ Benchmark ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งนี้ก็สามารถพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของกองทุนนี้ได้เป็นอย่างดี รูปที่ 11 ผลการดำเนินงานของ Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund เทียบ Benchmark (ข้อมูล ณ เดือน พฤศจิกายน 2020) ที่มา: Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Factsheet รูปที่ 11 ผลการดำเนินงานของ Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund เทียบ Benchmark (ข้อมูล ณ เดือน พฤศจิกายน 2020) ที่มา: Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Factsheet ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** สำหรับผลการดำเนินงานของ Master Fund อย่าง Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund เปรียบเทียบกับ MSCI World Net Total Return USD Index (Benchmark) พบว่า Master Fund สามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีได้ถึง 118.83% ในขณะที่ Benchmark สร้างผลตอบแทนไปได้เพียง 14.52% ถือว่า Master Fund เอาชนะได้แบบขาดลอยเลยทีเดียว สำหรับผลการดำเนินงานของ Master Fund อย่าง Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund เปรียบเทียบกับ MSCI World Net Total Return USD Index ( Benchmark) พบว่า Master Fund สามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีได้ถึง 118.83% ในขณะที่ Benchmark สร้างผลตอบแทนไปได้เพียง 14.52% ถือว่า Master Fund เอาชนะได้แบบขาดลอยเลยทีเดียว ค่าธรรมเนียมและเงินลงทุนขั้นต่ำ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลาย ๆ คนคงเริ่มมีความสนใจในกองทุน TMB-ES-GINNO กันบ้างแล้ว แต่เรื่องค่าธรรมเนียมกองทุนก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณาประกอบก่อนตัดสินใจซื้อกองทุนใด ๆ สำหรับกองทุน TMB-ES-GINNO มีค่าธรรมเนียมการจัดการที่ 1.605% ต่อปี ส่วนค่าธรรมเนียมการขายและ switching in อยู่ที่ 1.5% โดยค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวมจะเท่ากับ 1.7881% ต่อปี และไม่ต้องกังวลว่าจะต้องใช้เงินจำนวนมากในการลงทุน เพราะด้วยมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 บาท ก็สามารถลงทุนในกองทุนแห่งนวัตกรรมสู่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่อย่างกองทุน TMB-ES-GINNO ได้ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลาย ๆ คนคงเริ่มมีความสนใจในกองทุน TMB-ES-GINNO กันบ้างแล้ว แต่เรื่องค่าธรรมเนียมกองทุนก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณาประกอบก่อนตัดสินใจซื้อกองทุนใด ๆ สำหรับกองทุน TMB-ES-GINNO มีค่าธรรมเนียมการจัดการที่ 1.605% ต่อปี ส่วนค่าธรรมเนียมการขายและ switching in อยู่ที่ 1.5% โดยค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวมจะเท่ากับ 1.7881% ต่อปี และไม่ต้องกังวลว่าจะต้องใช้เงินจำนวนมากในการลงทุน เพราะด้วยมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 บาท ก็สามารถลงทุนในกองทุนแห่งนวัตกรรมสู่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่อย่างกองทุน TMB-ES-GINNO ได้ ความเสี่ยงที่ต้องเจอเมื่อลงทุนในกองทุน TMB-ES-GINNO กองทุน TMB-ES-GINNO จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดยมีค่าความผันผวนของผลการดำเนินงานสูงมากกว่า 25% และเนื่องจากกองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศจึงต้องพบกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน กองทุนจึงมีนโยบายการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน นอกจากความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนในกองทุน TMB-ES-GINNO จะต้องเจอคือความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ทั้งความเสี่ยงจากการกระจุกตัวที่เกิดจากการลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว และความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง เนื่องจากกองทุนนี้มีการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม Healthcare และ Information Technology ดังนั้นผู้ลงทุนควรกระจายความเสี่ยงในการจัดพอร์ตการลงทุนของผู้ลงทุนเองด้วยเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในส่วนนี้ โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนจากฟินโนมีนาได้ที่ กองทุน TMB-ES-GINNO จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดย มีค่าความผันผวนของผลการดำเนินงานสูงมากกว่า 25% และ เนื่องจากกองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศจึงต้องพบกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน กองทุนจึงมีนโยบายการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน นอกจากความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนในกองทุน TMB-ES-GINNO จะต้องเจอคือความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ทั้งความเสี่ยงจากการกระจุกตัวที่เกิดจากการลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว และความเสี่ยงจากการกระจุกตัว ในหมวดอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง เนื่องจากกองทุนนี้มีการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม Healthcare และ Information Technology ดังนั้นผู้ลงทุนควรกระจายความเสี่ยงในการจัดพอร์ตการลงทุนของผู้ลงทุนเองด้วยเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในส่วนนี้ โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนจากฟินโนมีนาได้ที่ สรุป 5 ข้อกองทุน TMB-ES-GINNO มีนโยบายการลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสอดคล้องหรือได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีผ่าน 5 กลุ่มนวัตกรรมหลัก เน้นการลงทุนในระยะยาว โดยเลือกเฟ้นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตและได้เปรียบในการแข่งขัน ให้น้ำหนักกับสัดส่วนการลงทุนไปที่ภาคอุตสาหกรรม Healthcare และ Information Technology จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากเป็นกองทุนประเภท Feeder Fund ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาท ก็สามารถลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมแห่งอนาคตได้ มีนโยบายการลงทุนใน บริษัทที่ดำเนินธุรกิจสอดคล้องหรือได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีผ่าน 5 กลุ่มนวัตกรรมหลัก เน้นการลงทุนในระยะยาว โดยเลือกเฟ้นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตและได้เปรียบในการแข่งขัน ให้น้ำหนักกับสัดส่วนการลงทุนไปที่ภาคอุตสาหกรรม Healthcare และ Information Technology จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากเป็นกองทุนประเภท Feeder Fund ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาท ก็สามารถลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมแห่งอนาคตได้ กองทุน TMB-ES-GINNO เหมาะกับใคร ? ผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมแห่งอนาคต ผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังต่างประเทศ ผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ผู้ที่สามารถลงทุนในระยะยาวได้ ผู้ที่ต้องการลงทุนใน บริษัทที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมแห่งอนาคต ผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังต่างประเทศ ผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ผู้ที่สามารถลงทุนในระยะยาวได้ และทั้งหมดนี้ก็เป็นรีวิวกองทุน TMB-ES-GINNO ที่นำมาฝากกัน หากผู้ใดสนใจกองทุนนี้สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมในหนังสือชี้ชวนกองทุน หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก ส่วนผู้ที่ศึกษาข้อมูลของกองทุนนี้โดยละเอียดแล้วและพร้อมที่จะเติบโตไปกับนวัตกรรมแห่งอนาคตกับกองทุน TMB-ES-GINNO ก็สามารถเปิดบัญชีกับ FINNOMENA เพื่อเริ่มลงทุนได้เลย และทั้งหมดนี้ก็เป็นรีวิวกองทุน TMB-ES-GINNO ที่นำมาฝากกัน หากผู้ใดสนใจกองทุนนี้สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมในหนังสือชี้ชวนกองทุน หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก ส่วนผู้ที่ศึกษาข้อมูลของกองทุนนี้โดยละเอียดแล้วและพร้อมที่จะเติบโตไปกับนวัตกรรมแห่งอนาคตกับกองทุน TMB-ES-GINNO ก็สามารถเปิดบัญชีกับ FINNOMENA เพื่อเริ่มลงทุนได้เลย — planet 46. — planet 46. — planet 46. สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: —————————- อ้างอิง: อ้างอิง: คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
กองทุน TMB-ES-GINNO เป็น “กองทุนแห่งนวัตกรรมสู่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่” สัดส่วนการลงทุนจึงเน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรม Healthcare และ Information Technology เป็นหลัก โดยให้น้ำหนักการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมทั้งสองนี้เกินกว่าครึ่งของภาคอุตสาหกรรมที่กองทุนนี้เข้าไปลงทุน ส่วนหุ้นที่ Master Fund เข้าไปลงทุน มีดังนี้ 1. Tesla, Inc. — ออกแบบ พัฒนา ผลิต จำหน่าย และให้เช่ายานยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งเป็นผู้ให้บริการในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และผลิตภัณฑ์จัดเก็บพลังงาน Tesla ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มี Market Cap สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ในบรรดาอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 1 ปี ด้วยมูลค่ามากถึง 668.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีมูลค่ามากกว่า Toyota ที่เป็นอันดับ 2 ด้วยมูลค่า 215.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เกือบ 3 เท่าเลย 2. Invitae Corp — ดำเนินธุรกิจเป็นบริษัทข้อมูลทางพันธุกรรม มีความเชี่ยวชาญในการให้ข้อมูลสำหรับการวินิจฉัยทางพันธุกรรมก่อนการฝังตัว การตรวจคัดกรองพาหะสำหรับความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม การวิเคราะห์การแท้งบุตร และมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม 3. Roku, Inc. — ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม Streaming Television พร้อมผลิตเครื่องเล่นสื่อดิจิทัลหลายประเภทสำหรับ Video Streaming นอกจากนี้ยังมีธุรกิจโฆษณา และการให้ใบอนุญาตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แก่บริษัทอื่น ๆ 4. Teladoc Health, Inc. — ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพด้วยระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) โดยมีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่หลากหลายตั้งแต่ภาวะทางการแพทย์ที่ไม่เร่งด่วน เช่น โรคไข้หวัด ไปจนถึงภาวะทางการแพทย์ที่เรื้อรังและซับซ้อน เช่น มะเร็ง และภาวะหัวใจล้มเหลว
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1762
Finance
GDP คืออะไร
1. การนำเข้า (รับสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย) 2. เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจในการศึกษาเปรียบเทียบถึงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยใช้ข้อมูลจากการศึกษาเปรียบเทียบในการวางแผนและกำหนดนโยบายต่าง ๆ สำหรับพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ 3. การลงทุนของภาคเอกชน ในการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ถนนทางเดิน รถไฟฟ้า 4. การใช้จ่ายของรัฐบาล หรือ การลงทุนภาครัฐ ตามนโยบายต่างๆ
ข้อที่ถูกต้องคือ 2. เพราะว่า ดูเศรษฐกิจโลกแบบง่ายๆ เริ่มจากอะไร รู้จัก GDP หากพูดถึงภาพรวมเศรษฐกิจในภาพรวม มักจะดูที่ GDP กัน คงจะได้ยินคำนี้กันบ่อยๆ แต่ GDP คืออะไร สำคัญยังไง เราจะเล่าให้ฟัง หากพูดถึงภาพรวมเศรษฐกิจในภาพรวม มักจะดูที่ GDP กัน คงจะได้ยินคำนี้กันบ่อยๆ แต่ GDP คืออะไร สำคัญยังไง เราจะเล่าให้ฟัง GDP คือ อะไร? GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product หรือแปลเป็นไทยว่าผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ แปลจากไทยเป็นไทยอีกที คือ การที่นับรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศเท่านั้น ไม่ว่าจะสัญชาติใดก็ตาม โดย GDP ประเทศไทย จะนับการคำนวณเฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นในไทยเท่านั้น แต่ถ้าเป็นคนไทย แล้วมีรายได้ที่ต่างประเทศ ไม่นับ อันนั้นเรียก GNP : Gross National Product ที่จะนับเฉพาะรายได้จากคนไทยเท่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใดในโลกนี้ก็ตาม แล้ว GDP เอาไว้ทำอะไร ? GDP เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจในการศึกษาเปรียบเทียบถึงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยใช้ข้อมูลจากการศึกษาเปรียบเทียบในการวางแผนและกำหนดนโยบายต่าง ๆ สำหรับพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ การคำนวณ GDP มีกี่วิธี ? การคำนวณ GDP จะมี 3 วิธีด้วยกัน ได้แก่ - ด้านรายได้: เป็นการคำนวณ GDP โดยการรวมรายได้ประเภทต่าง ๆ ที่บุคคลได้รับในฐานะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตในรอบระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง - ด้านรายจ่าย: เป็นการคำนวณ GDP โดยการนำรายจ่ายของครัวเรือนในการซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายรวมกันในระยะเวลา 1 ปี - ด้านผลผลิต: เป็นการคำนวณ GDP โดยการรวมมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจจะเป็นตัววัด มูลค่าของสินค้าและบริการ GDP ด้านรายจ่ายประกอบด้วยอะไรบ้าง? C = Consumption คือ การบริโภคของภาคเอกชนและประชาชน เป็นการจับจ่ายใช้สอยทั่วไป เช่น ค่าอาหาร สาธาณูปโภค เป็นต้น I = Investment คือ การลงทุนของภาคเอกชน ในการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ถนนทางเดิน รถไฟฟ้า ฯลฯ G = Government Spending คือ การใช้จ่ายของรัฐบาล หรือ การลงทุนภาครัฐ ตามนโยบายต่างๆ X = Export คือ การส่งออก (ขายสินค้าให้กับต่างประเทศ) M = Import คือ การนำเข้า (รับสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย) มีสมการด้วยนะ GDP = C+I+G+(X-M) ทำไมต้องเขียนว่า X-M? การเขียนแบบนี้หมายถึง Net Export เป็นการดูมูลค่าการส่งออกสุทธิ เปรียบเหมือนการส่งออกคือรายได้ การนำเข้าคือรายจ่าย
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_1764
Finance
การคำนวณเงินชราภาพของผู้ประกันตนมีวิธีการอะไรบ้าง
หลังเกษียณอายุเงินที่คุณจะได้รับคืนจากประกันสังคมมีจำนวนเงินเท่าไร โดยปกติแล้ว เราจะจ่ายเงินในประกันสังคมอยู่ที่ 5% ของเงินเดือนทุกเดือน ซึ่งเงินเดือนสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท หมายความว่า คุณมีเงินเดือน 20,000 บาท คุณจะจ่ายเงินในประสังคม 15,000 x 5% = 750 บาท แต่ช้าก่อน 5% มิใช่เป็นเงินเพื่อการเกษียณทั้งหมด เงินเพื่อเกษียณจะมีแค่ 3% เท่านั้น หรือ 450 บาท โดยถ้ารวมกับที่นายจ้างสมทบและรัฐบาล จะเป็น 7% หรือ 1,050 บาทถ้าเงินเดือนคุณเกิน 15,000 บาท การคำนวณเงินชราภาพของผู้ประกันตนมีดังนี้ 1) จ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือน จะได้เงินบำนาญชราภาพ คำนวณโดยใช้สูตร 20% + ((จำนวนเดือนสมทบ-180)/12*1.5)% คูณกับเงินเดือนค่าเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ ผู้ประกันตนอายุ 30 ปี เงินเดือน 20,000 บาท จ่ายเงินสมทบทั้งหมดก่อนเกษียณ 300 เดือน คาดว่าจะมีเงินเดือน ก่อนเกษียณเฉลี่ย 60 เดือนย้อนหลังอยู่ที่ 70,000 บาท แต่ก็จะโดนจำกัดที่ 15,000 บาทเหมือนเดิม ดังนั้นเงินเดือนค่าเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือน จะเท่ากับ 15,000 บาท ดังนั้นเงินเกษียณเป็นบำนาญจะได้เท่ากับ เดือนละ 15,000 x (20%+((300-180)/12)*1.5% = 5,250 บาทต่อเดือน 2) จ่ายเงินสมทบไม่เกิน 180 เดือน และไม่เกิน 12 เดือน จะได้เป็นบำเหน็จจำนวนที่ตัวเองจ่ายเท่านั้น เช่น จ่ายเงินสมทบของตัวเอง 450 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 11 เดือน ก็จะได้เงินคือ 450x 11 = 4,590 บาท 3) จ่ายเงินสมทบไม่เกิน 180 เดือน และเกิน 12 เดือน จะได้ เงินสมทบตัวเอง นายจ้าง และรัฐบาล + ผลประโยชน์หมายถึงกำไรจากที่ประกันสังคมเอาเงินไปลงทุน ซึ่งอาจจะอยู่ราว 3-6% โดยที่ในปี 2557 จะอยู่ที่ 3.66% เห็นตัวเลขแบบนี้แล้ว คุณยังจะรอเงินเกษียณจากประกันสังคมอยู่หรือไม่ ? ลองคิดดู อีก 10 ปี อีก 20 ปี ข้าวของเครื่องใช้จะแพงขึ้นเพราะเงินเฟ้อ
การคำนวณเงินชราภาพของผู้ประกันตนมีดังนี้ 1) จ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือน จะได้เงินบำนาญชราภาพ คำนวณโดยใช้สูตร 20% + ((จำนวนเดือนสมทบ-180)/12*1.5)% คูณกับเงินเดือนค่าเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ ผู้ประกันตนอายุ 30 ปี เงินเดือน 20,000 บาท จ่ายเงินสมทบทั้งหมดก่อนเกษียณ 300 เดือน คาดว่าจะมีเงินเดือน ก่อนเกษียณเฉลี่ย 60 เดือนย้อนหลังอยู่ที่ 70,000 บาท แต่ก็จะโดนจำกัดที่ 15,000 บาทเหมือนเดิม ดังนั้นเงินเดือนค่าเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือน จะเท่ากับ 15,000 บาท ดังนั้นเงินเกษียณเป็นบำนาญจะได้เท่ากับ เดือนละ 15,000 x (20%+((300-180)/12)*1.5% = 5,250 บาทต่อเดือน 2) จ่ายเงินสมทบไม่เกิน 180 เดือน และไม่เกิน 12 เดือน จะได้เป็นบำเหน็จจำนวนที่ตัวเองจ่ายเท่านั้น เช่น จ่ายเงินสมทบของตัวเอง 450 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 11 เดือน ก็จะได้เงินคือ 450x 11 = 4,590 บาท 3) จ่ายเงินสมทบไม่เกิน 180 เดือน และเกิน 12 เดือน จะได้ เงินสมทบตัวเอง นายจ้าง และรัฐบาล + ผลประโยชน์หมายถึงกำไรจากที่ประกันสังคมเอาเงินไปลงทุน ซึ่งอาจจะอยู่ราว 3-6% โดยที่ในปี 2557 จะอยู่ที่ 3.66%
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1767
Finance
การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉินหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: กองทุนรวมตราสารหนี้ ลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรองค์กร เอกสารสิทธิ์การเงิน ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อค้ำประกัน ฯลฯ -ตราสารหนี้ มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเช่นกัน -กองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี หมายถึง กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี ซึ่งหมายความว่า เงินลงทุนจะถูกผูกไว้กับตราสารหนี้เหล่านี้เป็นเวลา 3 ปี -เงินทุนสำรองฉุกเฉิน ควรเป็นเงินที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอขายตราสารหนี้ การขายตราสารหนี้ก่อนครบกำหนด อาจทำให้ได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่คาดไว้ หรืออาจขาดทุนได้ หากต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉิน ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น เงินฝากออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว นาย A ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉินไว้ใช้ยามจำเป็น นาย A ลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี 3 ปีต่อมา นาย A ประสบอุบัติเหตุ ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉินเพื่อรักษาพยาบาล นาย A ต้องการขายกองทุนรวมตราสารหนี้ เพื่อนำเงินมาใช้ แต่เนื่องจากตลาดตราสารหนี้กำลังผันผวน ราคาตราสารหนี้ตกลง นาย A ขายกองทุนรวมตราสารหนี้ ขาดทุน นาย A ไม่ได้เงินทุนสำรองฉุกเฉิน ไปใช้ยามจำเป็น สรุป: การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี ไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉิน เนื่องจากเงินลงทุนจะถูกผูกไว้กับตราสารหนี้เป็นเวลา 3 ปี และอาจขายตราสารหนี้ก่อนครบกำหนดได้ยาก ทางเลือก: -เงินฝากออมทรัพย์: ให้ผลตอบแทนต่ำ แต่มีความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง -กองทุนรวมตลาดเงิน: ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ แต่มีความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง -กองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุสั้น: ให้ผลตอบแทนมากกว่ากองทุนรวมตลาดเงิน แต่มีความเสี่ยงมากกว่า สภาพคล่องปานกลาง นักลงทุนควรเลือกสินทรัพย์สำหรับเงินทุนสำรองฉุกเฉินให้เหมาะสมกับความต้องการและความเสี่ยงที่รับได้
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_177
Finance
ค่าธรรมเนียมในการลงทุนอะไรบ้าง สามารถนำมาร่วมมาตรการช้อปดีมีคืนและใช้ประโยชน์ทางภาษีได้
null
ค่าธรรมเนียมในการลงทุนบางอย่าง สามารถนำมาร่วมกับช้อปดีมีคืนและใช้ประโยชน์ทางภาษีได้ เช่น ค่าธรรมเนียมเทรดหุ้น ตราสารอนุพันธ์ ค่าธรรมเนียมการขายหน่วยลงทุน (Front-end Fee) ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (Back-end Fee) และค่ากำเหน็จสำหรับการซื้อทองรูปพรรณ เป็นต้น • ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายกองทุนรวม : เป็นค่าธรรมเนียมที่นักลงทุนจะถูกหักเงินออกตอนที่ซื้อหรือขาย เช่น ซื้อกองทุน K-CHANGE 500,000 บาท มีค่าธรรรมเนียมตอนซื้อ 1.5 % คิดเป็น 7,500 บาท ซึ่งค่าธรรมเนียมนี้ใช้ร่วมกับช้อปดีมีคืน โดยต้องมีใบกำกับภาษี ซึ่งสามารถขอได้จาก บลจ. ที่ซื้อขายกองทุนนั้นเองและสามารถเลือกได้ว่าจะรับเอกสารทางอีเมลหรือทางไปรษณีย์ • ค่าธรรมเนียมในการสับเปลี่ยนกองทุน : หากนักลงทุนมีการสับเปลี่ยนกองทุนที่ถืออยู่ไปยังกองทุนอื่นและกองทุนนั้นมีค่าธรรมเนียมในการซื้อ สามารถนำค่าธรรมเนียมนี้ไปรวมกับโครงการช้อปดีมีคืนได้เช่นกัน เมื่อทำรายการภายในเวลาที่กำหนด • ค่าธรรมเนียมในการเทรดหุ้น : ไม่ว่านักลงทุนจะซื้อขายหุ้นด้วยตนเองผ่านอินเตอร์เน็ตหรือซื้อขายหุ้นผ่าน Marketing ต่างก็มีค่าธรรมเนียมด้วยกันทั้งนั้น และจะแตกต่างกันตามประเภทบัญชีที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นบัญชีเงินสด บัญชีแคชบาลานซ์ บัญชีเครดิตบาลานซ์ เช่น ซื้อหุ้น ABC กับบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งผ่านบัญชีแคชบาลานซ์เป็นจำนวนเงิน 5 ล้านบาท จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 0.157% + VAT 7% เท่ากับประมาณ 8,400 บาท สามารถนำค่าธรรมเนียมนี้ไปรวมกับโครงการช้อปดีมีคืนได้เช่นกัน โดยนำใบกำกับภาษี ที่บริษัทออกให้เป็นหลักฐานไปหักลดหย่อนภาษีนั้นเอง • ค่ากำเหน็จในการซื้อทองรูปพรรณ : ในการซื้อทองรูปพรรณสามารถใช้สิทธิได้เฉพาะส่วนที่เป็นค่ากำเหน็จหรือบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ตัวราคาทองคำไม่สามารถนำมารวมได้ เช่น ซื้อทองคำหนัก 2 บาท ราคาบาทละ 28,600 บาท และมีค่ากำเหน็จอีกบาทละ 800 บาทรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว จะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวน (28,600 x 2) + (800x2) = 58,880 บาท แต่จะสามารถนำไปในสิทธิช้อปดีมีคืนได้ในส่วนของค่ากำเหน็จ 1,600 บาท เท่านั้น • ค่าธรรมเนียมในการเทรดคริปโทเคอร์เรนซี : ในการเทรดคริปโทเคอร์เรนซีไม่ว่าจะทำการซื้อขายกับผู้ให้บริการรายไหนต่างก็มีค่าดำเนินการทั้งสิ้นซึ่งจะอยู่ที่ระหว่าง 0.1% - 0.25% เช่น ซื้อเหรียญ ABC เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท มีค่าธรรมเนียมซื้อขาย 0.25% คิดเป็น 2,500 บาท ทั้งนี้ ยังไม่มีประกาศแน่ชัดสำหรับเรื่องค่าธรรมเนียมการเทรดคริปโตว่าจะสามารถนำมารวมกับมาตรการช้อปดีมีคืนหรือไม่ แต่ในเมื่อเป็นค่าธรรมเนียมที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในฐานะนักลงทุนก็ควรขอใบกำกับภาษีจากผู้ให้บริการไว้ก่อน
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1772
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง เกาะกระแส “ไดโนเศร้า” หาหุ้นเทค 10 เด้ง !! ให้หน่อยค่ะ
เกาะกระแส “ไดโนเศร้า” หาหุ้นเทค 10 เด้ง !! ​ ไดโนเศร้า เพจที่มีผู้ติดตามเกิน 4 แสนคนภายใน 17 วัน !! นี่คือตัวอย่างกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ และเราสามารถนำมาเป็นตัวอย่างในการหาหุ้น Tech ลงทุนได้ ไดโนเศร้า ใช้วิธีการเปรียบเทียบโดยแบ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ ไดโนเศร้า กับบริษัท Tech ประสบความสำเร็จ 1. บริษัทที่ดีต้องหา Pain Point ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายให้เจอ ไดโนเศร้า: เพจเลือกเขียนถึงการแอบรัก/อกหักที่คนทั่วไปเคยเจอมากับตัวทั้งนั้น ทำให้เนื้อหาเข้าถึงใจผู้อ่าน จึงขยายจำนวนผู้ติดตามมหาศาลภายในเวลารวดเร็ว บริษัท Tech: หุ้นชื่อดังในกลุ่ม E-Commerce เริ่มต้นทำธุรกิจด้วยการหา Pain Point ลูกค้าแล้วแก้มัน เช่น Amazon รู้ว่าสินค้าหลายอย่างผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางมาซื้อ จึงเสนอระบบขายของออนไลน์ที่ตอบโจทย์สุด ๆ หรือ Grab ที่สร้าง Platform การขนส่งอย่างมีมาตรฐานแก้ปัญหาการเอาเปรียบของแท็กซี่ 2. เน้นขยายฐานผู้ใช้งานก่อน กำไรไว้ทีหลัง ไดโนเศร้า: เขียนโพสต์ความรักในมุมต่าง ๆ ที่คนทั่วไปเคยเจอ แล้วอาศัยพลังของ Network ให้คนกด Like หรือ Share ขยายยอดผู้ติดตามอย่างรวดเร็ว โดยยังไม่สนใจเรื่องโฆษณาจะเข้าหรือไม่ บริษัท Tech: Pinterest และ Snap เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ทั้งสองบริษัทกำลังเน้นขยายฐานผู้ใช้งานผ่านการเสนอลูกเล่นหรือระบบใหม่ ๆ ซึ่งหลังประกาศงบไตรมาส 3 ทั้งคู่ก็ยืนยันมี User เพิ่มขึ้นมาก (ส่วนหนึ่งได้ประโยชน์จากโควิด) แต่บริษัทก็ไม่รีบฉวยโอกาสยิงโฆษณาแหลกในช่วงนี้เนื่องจากจะเป็นการทำลายความสนุกของผู้ใช้งาน จึงกลายเป็นว่าทั้งคู่ยังคงขาดทุนอยู่ (แต่ถ้ามองอนาคตก็น่าจะคุ้ม) 3. ต้องยึดหัวหาดให้แน่น ไดโนเศร้า: ปัจจุบันมีเพจสร้างขึ้นล้อเลียนเต็มไปหมด เช่น ไดโนสู้, ไดโนเสี้ยม ซึ่งทั้งหมดมีกลุ่มผู้ติดตามคล้าย ๆ กัน ดังนั้นถ้าไดโนเศร้าอยากให้เพจดังต่อไป ต้องครองใจผู้ติดตามให้แน่น ไม่ปล่อยให้เพจอื่นมาแย่ง Engagement ได้ ! ไดโนสู้ ไดโนเสี้ยม บริษัท Tech: เป็นธรรมดาที่หุ้นซึ่งเติบโตไวจะต้องมีคู่แข่งเข้ามาแย่งตลาด ดังนั้นหุ้นที่ดีต้องสามารถยึดหัวหาดของธุรกิจได้ โดยเมื่อไปดูหุ้นระดับโลกอย่าง Amazon, Facebook, Microsoft, Alibaba, Tencent ทั้งหมดผ่านการต่อสู้กับคู่แข่งจำนวนมากและยังสามารถเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม จึงสร้างผลตอบแทนมหาศาลให้ผู้ถือหุ้น เห็นแนวทางเพจ “ไดโนเศร้า” แล้วนึกถึงเรื่องกลยุทธ์หุ้นเทคที่สามารถเข้าใจได้แบบง่าย ๆ เลยอยากแชร์ให้อ่านครับ สรุปสั้น ๆ บริษัท Tech ที่จะโตไวได้ต้อง แก้ Pain Point > เน้นขยายผู้ใช้งาน กำไรไว้ทีหลัง > สร้างคูเมืองให้ดี ถ้าชอบเพจไดโนเศร้าในหมวดความรักก็อย่าลืม BottomLiner ในหมวดลงทุนด้วยนะ แอดมินแนท BottomLiner ที่มาบทความ:
ไดโนเศร้า เพจที่มีผู้ติดตามเกิน 4 แสนคนภายใน 17 วัน คือตัวอย่างกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ และสามารถนำมาเป็นตัวอย่างในการหาหุ้น Tech ลงทุนได้ โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบโดยแบ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ไดโนเศร้า กับบริษัท Tech ประสบความสำเร็จ ดังนี้ 1. บริษัทที่ดีต้องหา Pain Point ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายให้เจอ เพจไดโนเศร้า: เลือกเขียนถึงการแอบรัก/อกหักที่คนทั่วไปเคยเจอมากับตัว ทำให้เนื้อหาเข้าถึงใจผู้อ่าน จึงขยายจำนวนผู้ติดตามมหาศาลภายในเวลารวดเร็ว ส่วนบริษัท Tech หุ้นชื่อดังที่อยู่ในกลุ่ม E-Commerce เริ่มต้นทำธุรกิจด้วยการหา Pain Point ลูกค้าแล้วแก้มัน 2. เน้นขยายฐานผู้ใช้งานก่อน กำไรไว้ทีหลัง เพจไดโนเศร้า เขียนโพสต์ความรักในมุมต่าง ๆ ที่คนทั่วไปเคยเจอ แล้วอาศัยพลังของ Network ให้คนกด Like หรือ Share ขยายยอดผู้ติดตามอย่างรวดเร็ว โดยยังไม่สนใจเรื่องโฆษณาจะเข้าหรือไม่ ส่วนบริษัท Tech ให้ตัวอย่าง Pinterest และ Snap เพราะเป็นบริษัทกำลังเน้นขยายฐานผู้ใช้งานผ่านการเสนอลูกเล่นหรือระบบใหม่ ๆ ซึ่งมี User เพิ่มขึ้นมาก (ส่วนหนึ่งได้ประโยชน์จากโควิด) แต่บริษัทไม่รีบฉวยโอกาสยิงโฆษณาแหลก เนื่องจากจะเป็นการทำลายความสนุกของผู้ใช้งาน จึงกลายเป็นว่าทั้งคู่ยังคงขาดทุนอยู่ 3. ต้องยึดหัวหาดให้แน่น เพจไดโนเศร้า มีเพจสร้างขึ้นล้อเลียนเต็มไปหมด เช่น ไดโนสู้, ไดโนเสี้ยม ซึ่งทั้งหมดมีกลุ่มผู้ติดตามคล้าย ๆ กัน ดังนั้น ถ้าไดโนเศร้าอยากให้เพจดังต่อไป ต้องครองใจผู้ติดตามให้แน่น ไม่ปล่อยให้เพจอื่นมาแย่ง Engagement ได้ ส่วนบริษัท Tech เป็นธรรมดาที่หุ้นซึ่งเติบโตไวจะต้องมีคู่แข่งเข้ามาแย่งตลาด ดังนั้น หุ้นที่ดีต้องสามารถยึดหัวหาดของธุรกิจได้ เมื่อไปดูหุ้นระดับโลกอย่าง Amazon, Facebook, Microsoft, Alibaba, Tencent ทั้งหมดผ่านการต่อสู้กับคู่แข่งจำนวนมากและยังสามารถเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม จึงสร้างผลตอบแทนมหาศาลให้ผู้ถือหุ้น
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1773
Finance
การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Clean Energy (พลังงานสะอาด) ภายใต้การบริหารของ Joe Biden มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Technology (เทคโนโลยี) หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: 1. นโยบายของ Biden สนับสนุน Clean Energy: Biden สนับสนุนนโยบายแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ นโยบายเหล่านี้จะส่งผลดีต่อธุรกิจในกลุ่ม Clean Energy 2. Technology เผชิญความเสี่ยงจากนโยบาย Biden: Biden มีนโยบายขึ้นภาษี นโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ บริษัทเหล่านี้มีกำไรสูงและจ่ายภาษีน้อย การขึ้นภาษีจะทำให้กำไรของบริษัทเหล่านี้ลดลง 3. Clean Energy มีความเสี่ยงด้าน Regulatory Risk น้อยกว่า: ธุรกิจ Clean Energy ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ มีโอกาสได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ มีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงด้าน Regulatory Risk 4. Technology เผชิญความเสี่ยงด้าน Regulatory Risk สูง: ธุรกิจเทคโนโลยีอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง หน่วยงานกำกับดูแลเหล่านี้มีแนวโน้มออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมธุรกิจเทคโนโลยี กฎหมายใหม่เหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจเทคโนโลยี 5. Clean Energy มีความผันผวนของราคาหุ้น (Volatility) น้อยกว่า: ธุรกิจ Clean Energy มีความมั่นคง รายได้ของธุรกิจ Clean Energy ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ราคาหุ้นของธุรกิจ Clean Energy จึงมีความผันผวนน้อย 6. Technology มีความผันผวนของราคาหุ้น (Volatility) สูง: ธุรกิจเทคโนโลยีมีการแข่งขันสูง เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ราคาหุ้นของธุรกิจเทคโนโลยีมีความผันผวนสูง สรุป: การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Clean Energy ภายใต้การบริหารของ Joe Biden มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Technology ข้อควรระวัง: การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1774
Finance
ผู้ที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto เปิดตัว Bitcoin ผ่าน White Paper เมื่อวันที่เท่าไหร่
null
ผู้ที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto เปิดตัว Bitcoin ผ่าน White Paper เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2008 โดยระบุว่า Bitcoin คือ สกุลเงินดิจิทัลแบบ Peer-to-Peer หรือ การเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายด้วยกันเองแบบไม่มีตัวกลาง โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain Blockchain ก็คือ เทคโนโลยีที่ใช้เก็บข้อมูลธุรกรรมแบบไม่มีตัวกลาง โดยทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะเก็บชุดข้อมูลที่เหมือนกัน ข้อมูลในเครือข่ายจะถูกเก็บชุด ๆ หรือเรียกว่าเป็น Block ที่ไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ ส่วนการสร้างข้อมูลชุดใหม่ขึ้นบนเครือข่ายจะถูกตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากทั้งเครือข่ายผ่านระบบที่เรียกว่า Proof-of-Work หมายความว่ายิ่งเป็นเครือข่าย Blockchain ที่ใหญ่แค่ไหน ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น ข้อมูลธุรกรรมชุดแรกของ Bitcoin (Block 0 หรือ Genesis Block) ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2009 โดยมีรางวัลในการสร้าง Block ที่ 50 Bitcoin ถือเป็นวันที่เครือข่าย Bitcoin ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ และพลิกโฉมประวัติศาสตร์การเงินของโลกมานับตั้งแต่นั้น การที่ Bitcoin มีเทคโนโลยีหลังบ้านที่เรียกว่า Blockchain ในการเก็บข้อมูลธุรกรรม ทำให้ Bitcoin คือ สกุลเงินดิจิทัลตัวแรกของโลกที่เป็น “Decentralized” แตกต่างกับสกุลเงินที่ใช้กันในปัจจุบันหรือที่เรียกว่า Fiat Currency ที่เป็นแบบ “Centralized” มูลค่าของ Bitcoin จึงขึ้นอยู่กับปริมาณอุปสงค์-อุปทานของตลาดอย่างแท้จริง นอกจากนี้ เครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ยังถูกสร้างขึ้นมาให้มีจำนวนจำกัดอยู่ที่ 21 ล้าน Bitcoin ด้วยความมั่นคงของเครือข่าย การใช้งานที่กว้างขวาง และจำนวนที่จำกัด Bitcoin จึงได้รับการยอมรับว่าเป็น Digital Gold สำหรับระบบการเงินในยุคใหม่ และด้วยคุณสมบัตินี้เอง ทำให้บรรดาสถาบันการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือ Federal Reserve รวมถึงบริษัทเอกชนต่าง ๆ เช่น MicroStrategy, Square และ Skybridge พากันถือ Bitcoin เป็นทรัพย์สินสำรอง ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาดของ Bitcoin ได้ขึ้นแตะระดับ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 18 ล้านล้านบาท)
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1775
Finance
ARK ให้เกณฑ์ใดบ้างในการที่จะตัดสินว่าเทคโนโลยีใด จะมีโอกาสจะก้าวมาเป็นจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต
ตราสารอีทีเอฟแห่งปี 2020: ARK ​ ปี 2020 หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐที่ร้อนแรงสุด ๆ ได้สร้างแบรนด์ของตราสารอีทีเอฟ ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ชื่อว่า ARK Investment ให้ทุกคนในวงการได้พูดถึงแบบมากมาย โดยตราสารอีทีเอฟทุกตัวของ ARK ในปี 2020 มีอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ มากกว่า 1 เท่าตัวต่อปี จึงไม่น่าแปลกใจที่กระแสเงินลงทุนจึงไหลเข้ามาสู่ ARK ในปีนี้ มากเป็นอันดับ 3 รองจาก Blackrock และ Vanguard เพียงเท่านั้น บทความนี้ จะขอพูดถึงจุดเด่นของ ARK และแน่นอนว่า จะขอพูดถึงจุดอ่อนสำหรับธีมการลงทุนที่เน้นแนวคิดเชิงนวัตกรรมของ ARK ในมุมมองของผม ผมมองว่าจุดแข็งที่ ARK สามารถฉีกออกจากคู่แข่งที่เน้นการลงทุนในธีมคล้ายคลึงกัน ได้แก่ การที่ ARK ถือว่ามีการนำเสนอธีมการลงทุนตามแนวทางของเทคโนโลยีได้ทั้งกว้างและลึกไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งบริษัทการลงทุนแนวเดียวกันเจ้าอื่นมักจะมีแต่เน้นความลึกมากกว่าความกว้าง โดย ARK มองว่าเทคโนโลยีในไลน์ใหม่ที่จะมีอิทธิพลแบบรุนแรงเพียงพอเหมือนกับในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งหมายถึงการมาถึงของโทรศัพท์ ยานยนต์ และ ไฟฟ้า ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ได้ทำให้ระดับผลิตภาพของโลกในตอนนั้นสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ในขณะที่ต้นทุนของการผลิตลดลงอย่างรวดเร็ว จนส่งผลให้อุปสงค์ของสินค้าเพิ่มขึ้นแบบล้นทะลักครอบคลุมทุกรายอุตสาหกรรม โดย ARK ให้เกณฑ์ 3 ข้อในการที่จะตัดสินว่าเทคโนโลยีใดในขณะนี้ จะมีโอกาสจะก้าวมาเป็นจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตไว้ ดังนี้ 1. ต้องสามารถลดต้นทุนลงแบบเยอะ ๆ เพื่อที่จะทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นส่งต่อกันในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นแบบระลอกคลื่น โดยเมื่อเทคโนโลยีได้ก้าวกระโดดผ่านจุด ๆ หนึ่ง ตลาดของสินค้าและบริการที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวก็จะเติบโตทั้งแนวกว้างและหลากหลายชนิดเป็นอย่างมาก โดย ARK ได้ใช้กฎของ Wright ที่ระบุว่ายิ่งสินค้าผลิตเยอะ ต้นทุนก็จะถูกลงอย่างรวดเร็วในการทำความเข้าใจขอบเขตของเทคโนโลยีที่เป็นจุดกำเนิดของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว 2. เทคโนโลยีต้องสามารถตัดข้ามรายอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในระดับที่มีนัยต่อเศรษฐกิจ จะทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าหลายส่วนเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยงที่มีต่อความเสี่ยงด้านวัฏจักรธุรกิจ 3. ต้องสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนแพลตฟอร์มเพื่อเสริมสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกมากมาย โดยแพลตฟอร์มนี้ จะส่งผลให้เกิดกรณีศึกษาที่จะนำไปใช้งานได้อีกมากอย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง โดยความสำคัญของแพลตฟอร์มมักจะถูกตลาดประเมินค่าต่ำเกินไป โดยแพลตฟอร์มที่ดีนั้น จะส่งผลทำให้ได้สินค้าและบริการใหม่ ๆ อีกมากมายอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดมาก่อน โดยมี 4 เทคโนโลยีใหม่ที่ ARK มองว่าเข้าข่ายเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกตามเกณฑ์ดังกล่าว คือ หนึ่ง ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI ซึ่งประกอบด้วย เครือข่ายแบบ Neural อุปกรณ์พกพาที่ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ระบบคอมพิวเตอร์แบบคลาวด์ การสตรีมมิง และ Internet of Things โดยที่ระบบการเรียนแบบ AI จะสามารถเปลี่ยนไม่เพียงแต่ธุรกิจค้าปลีก สื่อ และโทรคมนาคม ยังรวมถึงอุตสาหกรรมสาธารณสุขและการบริการการเงิน ที่ในอดีตไม่โดนผลกระทบเชิงลบจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ สอง การเก็บพลังงาน (Energy Storage) โดยการลดลงของต้นทุนผลิตแบตเตอรี่ จะสามารถสร้างอุปสงค์ใหม่ ๆ ของพลังงานไฟฟ้า รวมถึงการทดแทนเชื้อเพลิงแบบฟอสซิลด้วยการลดอัตราการไม่ทำงานของระบบไฟฟ้าแบบเครือข่าย รวมถึงลดต้นทุนด้านปฏิบัติการ และลดการใช้อุปกรณ์การส่งและกระจายไฟฟ้าให้น้อยลง โดยเทคโนโลยีนี้ประกอบด้วย ระบบแบตเตอรี ยานยนต์ไฟฟ้า และยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเอง สาม หุ่นยนต์ (Robotics) โดยความก้าวหน้าของซอฟต์แวร์และตัวตรวจจับหรือที่เรียกกันว่าเซนเซอร์ จะสามารถทำให้หุ่นยนต์สามารถทำงานได้ในทุกสภาวะแวดล้อม โดยต้นทุนต่อหน่วยจะลดลงมากกว่าร้อยละ 50 ในขณะที่ความสามารถในการทำงานก็จะเพิ่มขึ้น โดยหุ่นยนต์สามารถที่จะเปลี่ยนธุรกิจที่เน้นพึ่งพาระบบทางกายภาพและกระบวนการได้ดีเป็นอย่างมาก โดยเทคโนโลยีนี้ ประกอบด้วยหุ่นยนต์แบบ Adaptive ระบบการพิมพ์แบบ 3 มิติ โดรน และจรวดที่นำกลับมาใช้งานซ้ำได้ ท้ายสุด การเรียงลำดับของ DNA จากการที่ต้นทุนของระบบเทคโนโลยีด้านยีนของมนุษย์ลดลงอย่างรวดเร็ว การเรียงลำดับ DNA (DNA Sequencing) ที่ครั้งหนึ่งเคยจำกัดเฉพาะที่ห้องปฏิบัติการ ก็สามารถนำมาใช้จริงในคลินิกและโรงพยาบาล ส่งผลให้ปริมาณการใช้งานเทคโนโลยีนี้ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยเท่า ทำให้ระบบสาธารณสุขเปลี่ยนโฉมไปอย่างรวดเร็ว โดยเทคโนโลยีนี้ ประกอบด้วย เทคโนโลยีเรียงลำดับ DNA การตัดต่อยีน และการรักษาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย อย่างไรก็ดี จุดอ่อนของกองทุนที่เน้นเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง ARK ผมมองว่ามีอยู่ 4 ประการ ได้แก่ 1. หุ้นเทคโนโลยีในช่วงที่ตลาดหุ้นขาลงจะลงแรงกว่าเพื่อน ซึ่งในจังหวะนั้น ARK ก็ยากจะหนีความจริงนี้พ้น 2. ปัจจัย ‘ด้านการเมือง’ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยที่ใช้พิจารณาในกรอบการวิเคราะห์ของ ARK น่าจะทำให้การวิเคราะห์ไม่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมวดการลงทุนสกุลเงิน cryptocurrency 3. อุตสาหกรรมที่ ARK เลือกว่าจะเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต มีอยู่กว่า 20 อุตสาหกรรม ซึ่งต้องมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ในแต่ละอุตสาหกรรม คำถามคือ ARK ไม่ได้ช่วยเลือกว่าจะตัดอุตสาหกรรมใดออกจากความสนใจของตนเอง 4. ช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำอย่างปี 2020 ไม่แปลกที่หุ้นเทคโนโลยีแบบใหม่ ๆ จะได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำ ทว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า หากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น จะส่งผลต่อ ARK อย่างไร ที่สำคัญ ผมยังไม่แน่ใจว่าหุ้นเทคโนโลยีในอนาคต จะยังสามารถทำผลประกอบการที่ดีเหมือนในช่วงโควิดที่มีธีม Work from Home เป็นตัวช่วยได้หรือไม่ นอกจากนี้ แม้ว่า ARK จะบอกว่าตนเองเป็นบริษัทด้านการลงทุน ที่มีการทำงานโดยใช้ทีมเวิร์คสไตล์แบบธีมเพื่ออนาคต ทว่าก็มี แคเธอลีน วู้ดส์ เบอร์ 1 ของ ARK ที่มีบทบาทในการเลือกหุ้น ซึ่ง ณ ตอนนี้ มีหุ้นทั้งหมดไม่ถึง 50 ตัวอยู่ในพอร์ตลงทุนของ ARK นั้น ทำให้เธอได้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในวงการการลงทุนในปี 2020 ไปแล้ว อย่างไรก็ดี ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา อาจจะยกเว้น ปีเตอร์ ลินช์ เพียงคนเดียวเท่านั้นซึ่งก็ได้อำลาวงการไปแล้ว แทบไม่มีใครที่สามารถเลือกหุ้นได้ชนะตลาดได้เป็นเวลามากกว่า 10 ปีติดต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กูรูนักเลือกหุ้นไม่ว่าจะเก่งขนาดไหน แม้กระทั่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์เอง ก็ไม่สามารถที่จะชนะตลาดได้แบบต่อเนื่องดังเช่นในอดีต MacroView ที่มาบทความ:
ARK ให้เกณฑ์ 3 ข้อในการที่จะตัดสินว่าเทคโนโลยีใด จะมีโอกาสจะก้าวมาเป็นจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตไว้ ดังนี้ 1. ต้องสามารถลดต้นทุนลงแบบเยอะ ๆ เพื่อที่จะทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นส่งต่อกันในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นแบบระลอกคลื่น โดยเมื่อเทคโนโลยีได้ก้าวกระโดดผ่านจุด ๆ หนึ่ง ตลาดของสินค้าและบริการที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวก็จะเติบโตทั้งแนวกว้างและหลากหลายชนิดเป็นอย่างมาก โดย ARK ได้ใช้กฎของ Wright ที่ระบุว่ายิ่งสินค้าผลิตเยอะ ต้นทุนก็จะถูกลงอย่างรวดเร็วในการทำความเข้าใจขอบเขตของเทคโนโลยีที่เป็นจุดกำเนิดของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว 2. เทคโนโลยีต้องสามารถตัดข้ามรายอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในระดับที่มีนัยต่อเศรษฐกิจ จะทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าหลายส่วนเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยงที่มีต่อความเสี่ยงด้านวัฏจักรธุรกิจ 3. ต้องสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนแพลตฟอร์มเพื่อเสริมสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกมากมาย โดยแพลตฟอร์มนี้ จะส่งผลให้เกิดกรณีศึกษาที่จะนำไปใช้งานได้อีกมากอย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง โดยความสำคัญของแพลตฟอร์มมักจะถูกตลาดประเมินค่าต่ำเกินไป โดยแพลตฟอร์มที่ดีนั้น จะส่งผลทำให้ได้สินค้าและบริการใหม่ ๆ อีกมากมายอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดมาก่อน
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1777
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ วิธีการขายหุ้นของ Mark Minervini จากหนังสือ Think & Trade Like a Champion
null
วิธีการขายหุ้นของ Mark Minervini จากหนังสือ Think & Trade Like a Champion จะมีหลักการดังนี้ หุ้นนำตลาดจะจบรอบหลังจากที่ราคาได้เร่งตัวอย่างรุนแรง เนื่องจากกองทุนอยากจะให้มีแรงซื้อในตลาดมากที่สุด เพื่อให้คนมาซื้อหุ้น เมื่อมีแรงขายของกองทุนมากกว่าแรงซื้อของรายย่อย หุ้นจะถล่มลงมา เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องเอามาขายบ้าง เพราะอาจเกิด Climax Top หรือสัญญาณที่หุ้นวิ่งขึ้นแรงกว่าเดิมจากการที่หุ้นนำตลาดขึ้นมาอย่างแข็งแรงในหลาย ๆ เดือน บทเรียนจากย่อหน้านี้ วิธีการขายหุ้นของ Mark Minervini จากหนังสือ Think & Trade Like a Champion หุ้นนำตลาดมักจะจบรอบหลังจากราคาเร่งตัวขึ้นอย่างรุนแรง เพราะสถาบันหรือกองทุนต้องการให้เกิดแรงซื้อมากที่สุด เพื่อให้มีคนมารับซื้อหุ้นจำนวนมหาศาลต่อจากพวกเขา อาจจะเหมือนหุ้นบางตัวที่ขึ้นแรงในไม่กี่วัน แท่งเขียวยาว บวกวันละร้อยบาท คือ ตอนที่เขาออกของนั่นเอง และเมื่อแรงขายจำนวนมากของกองทุนมากกว่าแรงซื้อของรายย่อย หุ้นตัวนั้นก็ถล่มลงมา ถ้ารอให้เห็นการถล่มก่อนก็อาจจะไม่ทันการณ์ ดังนั้นคือ ควรจะขายออกมาบ้าง ถ้าเห็นหุ้นนำตลาดที่ขึ้นมาอย่างแข็งแรงหลายเดือน เริ่มวิ่งขึ้นอย่างรุนแรงกว่าเดิม เพราะนั่นคือ สัญญาณของ Climax Top ในกรณีของหุ้น RBF Checklist ในการขายแบบ Climax Top - ราคาวิ่งจากฐานเดิมเยอะ จะมีการสร้างฐานราคา มากกว่า 4-5 ฐาน ก็ควรจะระวัง - PE Expend ขึ้นมาจากเดิมสูงมาก ถ้าสูงกว่าการเติบโตในอนาคตจะต้องระวัง - การเติบโตของ EPS เริ่มจะลดลง แนวโน้ม Q ต่อไปลดลงจากเดิม ถ้าลดลงมากจะต้องระวังให้จงมาก - มีการเร่งราคาขึ้นแบบอย่างรุนแรง เป็นลักษณะของ Climax Top ในกรณีของ DELTA จุดที่ทำ Climax Top ชัดเจนมาก ราคาเร่งขึ้นแบบรวดเร็ว PE สูงขึ้นผิดปกติ มากกว่า % การเติบโตของกำไร นี่เป็นจุดที่จะต้องขาย ห้ามซื้อ ก็ซื้อเหมือนไปรับของแพงจากคนอื่นมา
5.ความรู้ทางการเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_178
Finance
ผลกระทบภาษีขายหุ้นในมุมใด ที่มองการเก็บภาษีขายหุ้นกระทบกับนักลงทุนโดยตรง ระหว่าง มุมนักลงทุน, มุมตลาดหุ้นไทย หรือ มุมกองทุนรวม
null
มุมนักลงทุน เพราะ ผลกระทบภาษีขายหุ้น ในมุมนักลงทุน มองการเก็บภาษีขายหุ้นกระทบกับนักลงทุนโดยตรง โดยเฉพาะนักลงทุนที่ทำการซื้อขายบ่อยๆ จะมีต้นทุนที่ต้องแบกรับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากดูค่าเฉลี่ยการซื้อขายหุ้นมูลค่า 1 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมการซื้อขายของตลาดเฉลี่ย 2,200 บาท/ธุรกรรม จะทำให้นักลงทุนมีต้นทุนสูงขึ้น 25% หากคิดจากภาษีขายหุ้น 550 บาท ในปี 2566 และ 50% คิดจากภาษีขายหุ้น 1,100 ที่เริ่มเก็บภาษีขายหุ้นตั้งแต่ปี 2567 ส่วนในมุมตลาดหุ้นไทย มองการเก็บภาษีขายหุ้นส่งผลกระทบต่อมูลค่าการซื้อขายให้ลดลง แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการขึ้นหรือลงของตลาดหุ้นไทย เพราะภาษีขายหุ้นลดแรงจูงใจในการซื้อขายของนักลงทุน โดยเฉพาะกลุ่ม High-Frequency Trading (HFT) ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายคิดเป็น 20-30% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด และเมื่อปริมาณการซื้อขายปรับลดลง ส่งผลต่อ PE ของหุ้นลดลง และสุดท้ายความน่าสนใจในการนำธุรกิจเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นไทยก็ลดลงตาม ทั้งนี้ในระยะยาวทั้งนักลงทุน และตลาดหุ้นไทยก็น่าจะปรับตัวกับการเก็บภาษีขายหุ้นได้ และในมุมกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นไทย หรือกองทุนผสมที่ลงทุนหุ้นไทยบางส่วน ก็จะได้รับผลกระทบทั้งประเภทกองทุนรวมที่มีผู้จัดการคอยบริหาร ซึ่งมีการซื้อขายบ่อย หรือ แม้แต่กองทุนดัชนีที่ต้องปรับสัดส่วนบ่อย เพื่อให้ล้อไปกับดัชนีอ้างอิง เช่น SET50 ก็ถูกเก็บภาษีขายหุ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งกองทุนจะถูกเก็บมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณการขายของกองทุนนั้นๆ โดยสะท้อนออกมาในรูปของ Portfolio Turnover Ratio หรืออัตราส่วนหมุนเวียนการลงทุน ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงความถี่ในการปรับพอร์ตการลงทุน ยิ่งตัวเลขสูง แปลว่ากองทุนนี้ปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนบ่อย ซื้อขายบ่อย ทำให้ถูกเก็บภาษีขายหุ้นเยอะ
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_1781
Finance
16 ธ.ค. 2563 ราคา Bitcoin ได้ทะลุผ่านแนวต้านสำคัญที่ 20,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 600,000 บาท) และทำระดับสูงสุดครั้งประวัติศาสตร์ที่ระดับ 21,569 ดอลลาร์บนกระดานเทรด Coinbase นักวิเคราะห์มีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง
16 ธ.ค. 2563 ราคา Bitcoin ได้ทะลุผ่านแนวต้านสำคัญที่ 20,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 600,000 บาท) และทำระดับสูงสุดครั้งประวัติศาสตร์ที่ระดับ 21,569 ดอลลาร์บนกระดานเทรด Coinbase หรือปรับขึ้นมาประมาณ 12.51% ในขณะที่กระดานเทรดในประเทศไทยอย่าง Bitkub ขึ้นทำระดับสูงสุดที่ 659,780 บาท การปรับขึ้นของราคาในครั้งนี้สามารถทะลุเหนือจุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 19,857 ดอลลาร์ หรือ 587,900 บาท เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมรายปีปรับขึ้นได้ประมาณ 200% นับเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีผลประกอบการดีที่สุดสำหรับปี 2020 Gunnar Jaerv, COO จาก First Digital Trust บริษัทผู้ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่ ประเมินว่า การพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin น่าจะสอดคล้องกันรายงานข่าวที่ว่าบรรดานักลงทุนระดับสถาบันเริ่มเข้าซื้อ Bitcoin เพื่อถือครองเป็นสินทรัพย์สำรองกันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น MicroStrategy ที่ได้ทำการเสนอขายตราสารหนี้เพื่อนำมาซื้อ Bitcoin เพิ่มเป็นมูลค่ากว่า 650 ล้านดอลลาร์เมื่อไม่นานมานี้ และก่อนหน้านี้ก็ได้เข้าซื้อ Bitcoin ไปแล้วเป็นมูลค่าถึง 425 ล้านดอลลาร์ อีกตัวอย่างหนึ่งของนักลงทุนระดับสถาบันก็คือ สถาบัน Grayscale ที่มีการเข้าซื้อ Bitcoin รวมกันมากกว่า 7,000 เหรียญ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ การที่ราคา Bitcoin สามารถผ่านแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยาที่ระดับ 20,000 ดอลลาร์ นั่นจึงเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรงในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทางด้านมุมมองของ Pedro Febrocas นักวิเคราะห์จาก Quantum Economics มองว่า ราคา Bitcoin น่าจะมีแนวต้านอยู่ที่ระดับ 23,000 ดอลลาร์ หากขึ้นไปถึงระดับนี้ก็น่าจะมีแรงเทขายตามเข้ามาค่อนข้างสูง โดยราคาอาจย่อลงมาได้ถึงระดับ 19,500 บาทเลยทีเดียว ขณะที่ Rob Viglione, Co-founder และ CEO ของ Horizen labs มองว่าการที่ราคา Bitcoin สามารถผ่านแนวต้านที่ 20,000 ดอลลาร์ขึ้นมาได้ถือเป็นการเข้าสู่วัฎจักรใหม่ของ Bitcoin เหมือนกับกรณีที่เกิดขึ้นในปี 2017 ส่วน Alex Mashinsky, CEO แห่ง Celsius Network มองว่า ราคา Bitcoin น่าจะย่อตัวลงมาในเร็ว ๆ นี้ แต่ก็จะเป็นโอกาสสำหรับการเข้าซื้ออีกเช่นกัน โดยมองว่าราคาจะย่อกลับมาแถว 20,000 ดอลลาร์ที่จะกลายมาเป็นแนวรับสำคัญสำหรับ 2021 ส่วนเป้าหมายต่อไปของขาขึ้นปี 2021 จะอยู่ที่ระดับ 30,000 ดอลลาร์ **ความเห็นนักวิเคราะห์ด้านบนมีขึ้นเพื่อนำเสนอมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในตลาดเท่านั้น ไม่ได้เป็นการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด**
16 ธ.ค. 2563 ราคา Bitcoin ได้ทะลุผ่านแนวต้านสำคัญที่ 20,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 600,000 บาท) และทำระดับสูงสุดครั้งประวัติศาสตร์ที่ระดับ 21,569 ดอลลาร์บนกระดานเทรด Coinbase หรือปรับขึ้นมาประมาณ 12.51% ในขณะที่กระดานเทรดในประเทศไทยอย่าง Bitkub ขึ้นทำระดับสูงสุดที่ 659,780 บาท การปรับขึ้นของราคาในครั้งนี้สามารถทะลุเหนือจุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 19,857 ดอลลาร์ หรือ 587,900 บาท เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมรายปีปรับขึ้นได้ประมาณ 200% นับเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีผลประกอบการดีที่สุดสำหรับปี 2020 Gunnar Jaerv, COO จาก First Digital Trust บริษัทผู้ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่ ประเมินว่า การพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin น่าจะสอดคล้องกันรายงานข่าวที่ว่าบรรดานักลงทุนระดับสถาบันเริ่มเข้าซื้อ Bitcoin เพื่อถือครองเป็นสินทรัพย์สำรองกันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น MicroStrategy ที่ได้ทำการเสนอขายตราสารหนี้เพื่อนำมาซื้อ Bitcoin เพิ่มเป็นมูลค่ากว่า 650 ล้านดอลลาร์เมื่อไม่นานมานี้ และก่อนหน้านี้ก็ได้เข้าซื้อ Bitcoin ไปแล้วเป็นมูลค่าถึง 425 ล้านดอลลาร์ อีกตัวอย่างหนึ่งของนักลงทุนระดับสถาบันก็คือ สถาบัน Grayscale ที่มีการเข้าซื้อ Bitcoin รวมกันมากกว่า 7,000 เหรียญ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ การที่ราคา Bitcoin สามารถผ่านแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยาที่ระดับ 20,000 ดอลลาร์ นั่นจึงเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรงในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทางด้านมุมมองของ Pedro Febrocas นักวิเคราะห์จาก Quantum Economics มองว่า ราคา Bitcoin น่าจะมีแนวต้านอยู่ที่ระดับ 23,000 ดอลลาร์ หากขึ้นไปถึงระดับนี้ก็น่าจะมีแรงเทขายตามเข้ามาค่อนข้างสูง โดยราคาอาจย่อลงมาได้ถึงระดับ 19,500 บาทเลยทีเดียว ขณะที่ Rob Viglione, Co-founder และ CEO ของ Horizen labs มองว่าการที่ราคา Bitcoin สามารถผ่านแนวต้านที่ 20,000 ดอลลาร์ขึ้นมาได้ถือเป็นการเข้าสู่วัฎจักรใหม่ของ Bitcoin เหมือนกับกรณีที่เกิดขึ้นในปี 2017 ส่วน Alex Mashinsky, CEO แห่ง Celsius Network มองว่า ราคา Bitcoin น่าจะย่อตัวลงมาในเร็ว ๆ นี้ แต่ก็จะเป็นโอกาสสำหรับการเข้าซื้ออีกเช่นกัน โดยมองว่าราคาจะย่อกลับมาแถว 20,000 ดอลลาร์ที่จะกลายมาเป็นแนวรับสำคัญสำหรับ 2021 ส่วนเป้าหมายต่อไปของขาขึ้นปี 2021 จะอยู่ที่ระดับ 30,000 ดอลลาร์
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1783
Finance
กลยุทธ์ "Take Profit" เหมาะกับสินทรัพย์ประเภทใด?
null
กลยุทธ์ "Take Profit" เหมาะกับสินทรัพย์ประเภท "ดัชนีหุ้น" มากกว่า "สินทรัพย์ดิจิทัล" เหตุผล ดัชนีหุ้น: มีการเคลื่อนไหวของราคาที่ค่อนข้างผันผวน แต่มีแนวโน้มที่จะ "กลับสู่ค่าเฉลี่ย" (Mean Reversion) ในระยะยาว สินทรัพย์ดิจิทัล: มีการเคลื่อนไหวของราคาที่ "เป็นเทรนด์" (Trend) ชัดเจน หมายความว่าราคาจะขึ้นหรือลงแรง และอาจไม่กลับมาที่ราคาเดิม ผลลัพธ์ ดัชนีหุ้น: กลยุทธ์ "Take Profit" ที่ 20% ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับการ "Let Profit Run" และมีความเสี่ยงที่ไม่แตกต่างกันมาก สินทรัพย์ดิจิทัล: กลยุทธ์ "Take Profit" ทุกระดับ ให้ผลตอบแทน "น้อยกว่า" การ "Let Profit Run" อย่างมาก ข้อควรระวัง กลยุทธ์ "Take Profit" ไม่ได้**"รับประกัน"** ผลตอบแทนที่ดีเสมอไป กลยุทธ์นี้เหมาะกับนักลงทุนที่มี "วินัย" และสามารถ "ควบคุมอารมณ์" ได้ คำแนะนำ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ต้องการลงทุนอย่างละเอียด พิจารณากลยุทธ์ "Take Profit" ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดและความเสี่ยงที่รับได้ สรุป กลยุทธ์ "Take Profit" เหมาะกับ "ดัชนีหุ้น" มากกว่า "สินทรัพย์ดิจิทัล" นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณากลยุทธ์อื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1784
Finance
หุ้นที่มีคุณสมบัติและมีอาการของการเป็นหุ้นที่ถูกต้อนเข้ามุมคือหุ้นอะไร
null
หุ้นที่มีคุณสมบัติและมีอาการของการเป็นหุ้นที่ถูกต้อนเข้ามุมคือ หุ้นที่มีสตอรี่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะว่ามันจะโตเร็วมากในอนาคตด้วยเหตุผลที่ “น่าเชื่อถือ” และส่วนมากก็มีข้อมูลพิสูจน์ได้มาระยะหนึ่งเช่นอย่างน้อยใน 2-3 ไตรมาสที่ผ่านมา และเมื่อ “เกิดขึ้น” ราคาหุ้นก็จะวิ่งขึ้นไปแรงและเร็วมาก ภายในระยะเวลาอันสั้นบางทีหุ้นขึ้นไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์หรือหลายเท่าในเวลาไม่กี่เดือน ซึ่งแทบทั้งหมดก็ทำให้ราคาหุ้น “แพงมาก” เทียบกับหุ้นอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือเทียบกับตลาดหลักทรัพย์โดยรวม บ่อยครั้งราคาขึ้นไปสูงจน “เป็นไปไม่ได้” ในระยะยาว หลังจากที่ขึ้นไปแล้ว ราคาหุ้นต่อจากนั้นก็มักจะ “ผันผวนรุนแรง” ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากมีคน “ขายทำกำไร” เป็นระยะ อย่างไรก็ตาม อานิสงส์จากคนถือหุ้นหรือนักลงทุนรายใหม่ที่อาจจะ “เปลี่ยนมุมมองของหุ้น” และคิดว่าราคาหุ้นที่สูงลิ่วนั้น “สมเหตุผล” เนื่องจากราคาที่ยืนอยู่ได้พร้อมกับปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันที่สูงลิ่ว ก็มักจะเข้ามาซื้อขายหรือลงทุนหรือเก็งกำไรในหุ้นเหล่านั้น ทำให้หุ้นก็ยังแพงสุดกู่ต่อไป หุ้นส่วนใหญ่ที่ถูก Corner ในที่สุดก็มักจะ “แตก” โดยเฉพาะเมื่อคนเริ่ม “เปลี่ยนมุมมอง” ที่มีต่อหุ้น อาจจะเนื่องจากสตอรี่ เช่น การเติบโตนั้นไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่มีการคาดไว้และคนเริ่มตระหนักว่ามัน “ไม่ได้เป็นหรือดีอย่างที่คิด” จึงเริ่มขายหุ้นและในที่สุดก็มีแต่คนที่คิดจะขายโดยคนที่จะซื้อนั้นมีน้อยมากเนื่องจากราคาหุ้นที่อาจจะแพงเกินไปมาก ผลก็คือ ราคาหุ้นดิ่งแบบ “ถล่มทลาย” และนั่นก็คือเกมการเงินหรือการลงทุนที่จบลงและคนที่เจ็บตัวก็โทษความผิดพลาดของตนเองที่เข้ามา “ผิดจังหวะ” ขายไม่ทันในช่วงที่หุ้นขึ้น ก่อนที่เขาจะตัดใจขายไปและหันไปหาหุ้นที่อาจจะกำลังถูก Corner ตัวใหม่
5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1785
Finance
SET Index จะเป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของอะไร
SET Index จะเป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ทั้งหมด (Composite Index) และจะมี SET50 Index คำนวณ โดยใช้หุ้นสามัญจดทะเบียนที่ผ่านการคัดเลือก 50 อันดับแรก และ SET100 Index คำนวณโดยใช้หุ้นสามัญจดทะเบียนที่ผ่านการคัดเลือก 100 อันดับแรก โดยคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
SET Index จะเป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ทั้งหมด (Composite Index) และจะมี SET50 Index คำนวณ โดยใช้หุ้นสามัญจดทะเบียนที่ผ่านการคัดเลือก 50 อันดับแรก และ SET100 Index คำนวณโดยใช้หุ้นสามัญจดทะเบียนที่ผ่านการคัดเลือก 100 อันดับแรก โดยคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หุ้นที่อยู่ใน SET 50 เป็นหุ้นที่มี market cap ขนาดใหญ่ทั้งหมด ซึ่งหุ้นมีน้ำหนักกับ SET Index ค่อนข้างมาก ดังนั้น การที่ SET Index ตกติดลบทุกวัน ก็ไม่ได้หมายถึงหุ้นตัวอื่น ๆ จะโดนไปด้วย ในปี 2020 มีกรณีศึกษา หุ้นที่วิ่งสวนตลาด หรือ วิ่งคนละทางกับ SET Index หุ้นตัวแรกเป็นหุ้นขนาดกลาง Asian ผลตอบแทนตั้งแต่ในปี 2019 ประมาณเดือน ต.ค 2019 วิ่งสวนผลตอบแทนของ SET index ในช่วงปี 2020 มาก เพราะผลประกอบการของ Asian Q1 โตแบบปีต่อปี ถึงประมาณ 75% และโตแบบราย 3 เดือนต่อ 3 เดือน โตประมาณ 500% และโตต่อเนื่องไป Q2 และ Q3 หุ้นตัวที่สอง เป็นหุ้นขนาดใหญ่ Delta ผลตอบแทนตั้งแต่ในปี 2019 ประมาณเดือน ต.ค 2019 วิ่งสวนผลตอบแทนของ SET index ในช่วงปี 2020 มาก เพราะแม้ผลประกอบการของ Delta Q1 โตแบบปีต่อปี ติดลบประมาณ – 21% แต่ โตแบบราย 3 เดือนต่อ 3 เดือน โตประมาณ 120% และโตต่อเนื่องแบบปีต่อปีใน Q2 และ Q3 ระดับบวก 100% กว่าขึ้นไป ดังนั้น อย่าให้ SET Index ลวงตาหลอกว่า ตลาดแย่แล้ว ไม่ดีไปหมด เพราะหุ้นผู้นำที่เติบโตเหนือตลาดยังมี
5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1786
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ทฤษฎีตลาดสมบูรณ์ (Efficient Market Theory)
null
ทฤษฎีตลาดสมบูรณ์ (Efficient Market Theory) เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการที่ทุกคนในตลาดสามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างเท่าเทียมกัน เพราะทุกคนมีความสามารถ มีจุดมุ่งหมาย และมีความมุ่งมั่นในการลงทุน จากความเท่าเทียมกัน ข้อมูลจึงออกมาในตลาดผ่านราคาที่ไร้ข้อบกพร่องในทุก ๆ สินทรัพย์ และมีการซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสมเหตุสมผลได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ราคาเป็นไปอย่างเท่าเทียม เป็นเหตุให้ราคาหุ้นในตลาดสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้อย่างสมบูรณ์ ความผิดพลาดของผู้คนก็ไม่มีโอกาสเกิด บทเรียนจากย่อหน้านี้ ทฤษฎีตลาดสมบูรณ์ (Efficient Market Theory) ทุก ๆ คนในตลาดเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเท่าเทียมกัน ทุกคนมีความสามารถ มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน มีความมุ่งมั่นและทำงานอย่างหนักกับการลงทุน รวมถึงวิธีการวิเคราะห์ของทุก ๆ คนนั้นเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไป และเนื่องด้วยการที่ทุก ๆ คนใช้ความพยายามอย่างเท่าเทียมกัน ข้อมูลจึงสะท้อนออกไปในตลาดผ่านราคาอย่างไร้ข้อบกพร่องในทุก ๆ สินทรัพย์ และผู้คนในตลาดจะทำการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่มีมูลค่าที่สมเหตุสมผลตลอดเวลา จึงทำให้ราคาของสินทรัพย์ต่าง ๆ สะท้อนออกมาอย่างเท่าเทียม ดังนั้น ราคาหุ้นในตลาดจึงสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้น ๆ อย่างสมบูรณ์ จึงทำให้ไม่มีโอกาสผ่านความผิดพลาดของผู้คน สินทรัพย์ทุก ๆ ชนิดจึงให้ผลตอบแทนอย่างสมเหตุสมผลโดยตลอดและไล่ไปตามความเสี่ยง (พันธบัตรไปยังหุ้น หุ้นไปยังตราสารหนี้เกรดต่ำและอื่น ๆ) แต่ถึงอย่างนั้นหากทฤษฎีที่ว่ามีอยู่จริง คงไม่ได้เห็นผลตอบแทนพันธบัตรในระดับที่สูงกว่าหุ้น คงไม่ได้เห็นพันธบัตรระยะสั้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรระยะยาว และที่สำคัญคงไม่ได้เห็นนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett หรือนักเก็งกำไรระดับโลกอย่าง George Soros กันเป็นแน่ เพราะว่านักลงทุนและนักเก็งกำไรเหล่านั้นต่างก็หาโอกาสจากความไม่สมเหตุสมผลของคน ไม่ว่าจะเป็น bargain หรือข้อต่อรองที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จากการคิดมูลค่าทรัพย์สินของบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่าราคาที่สะท้อนออกไปในมุมมองของนักลงทุน หรือจะเป็นความไม่สมเหตุสมผลและความร้อนแรงที่เกินเหตุ หรือความสุดโต่งของอะไรบางอย่างที่ทำให้นักเก็งกำไร เล็งเห็นโอกาสและสร้างผลตอบแทนอันน่าทึ่งมานัดต่อนัด และ Michael Burry เองก็อาจจะเป็นคนที่มองเห็นโอกาสส่วนนั้น
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1787
Finance
4 ขั้นตอนง่าย ๆ ใน การอ่านงบการเงิน
null
1. เริ่มที่กำไรสุทธิ อาจจะสวนทางกับคำแนะนำของคนอื่น แต่ผมอยากให้เปิดดูก่อนเลยว่า หุ้นที่เราสนใจกำไรเท่าไหร่ เพิ่มขึ้นหรือลดลงแค่ไหน ที่บอกแบบนี้เพราะว่า กำไรเป็นสิ่งที่ตลาดคาดหวัง เป็นสิ่งที่ทุกคนถามกันตลอด เราก็ควรต้องเปิดดูก่อน ซึ่งเราสามารถดูได้จากหลายที่เลยทั้งตาม Line ของโบรกเกอร์ต่าง ๆ FINNOMENAหรือ Jitta ก็มี แต่ขอให้ดูแบบนี้ • ดู YoY เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว แต่ให้ระวังอย่างนึงคือช่วงนี้เป็นงบปี เราจะไม่เห็นงบ Q4 บางครั้งการที่กำไรเพิ่มขึ้นเยอะ ๆ อาจจะมาจาก 9 เดือนแรกก็ได้ อย่าเพิ่งรีบดีใจเพราะตัวเลขอาจหลอกตาเราได้ • ดู QoQ เปรียบเทียบกับไตรมาสที่แล้ว เพื่อให้เห็นพัฒนาการ แต่ให้ระวังว่าบางธุรกิจมี seasonal เช่น โรงพยาบาล Q3 โรงแรมและท่องเที่ยว Q4 กับ Q1 พัดลม เครื่องดื่ม Q2 • เห็นกำไรโตเป็น 100% อย่าเพิ่งรีบดีใจเยอะ ให้ยิ้มที่มุมปากนิดเดียวพอ เพราะบางทีอาจมีกำไรพิเศษ ต้องตามไปดูต่อว่าใช่มั้ย 2. ดูคำอธิบายงบการเงิน เข้าไปที่ www.set.or.th พิมพ์ชื่อหุ้นที่สนใจ กดเลือกที่ “ข่าว” แล้วคลิกไปที่ข่าวที่เขียนว่า “สรุปผลการดำเนินงาน” หน้านี้ก็จะมีกำไรขาดทุนให้ดูเหมือนกัน แต่สิ่งที่อยากให้ดูมากกว่า คือข้อความที่เขียนว่า “รายงานของผู้ตรวจสอบบัญชี” ซึ่งจะมีด้วยกัน 5 แบบดังนี้ • ไม่มีเงื่อนไข • ไม่มีเงื่อนไขแต่ให้ข้อสังเกต • มีเงื่อนไข • ไม่แสดงความเห็น หรือ ไม่แสดงความเชื่อมั่น • งบการเงินไม่ถูกต้อง ถ้าเจอแบบแรกก็สบายใจ เปิดอ่านได้ตามสะดวก ไม่น่ากังวล แต่ถ้าเจอแบบอื่น ๆ โดยเฉพาะ 2 แบบหลัง อาจมีอะไรไม่ชอบมาพากล อาจมีคดีความ หรือมีอะไรผิดปกติซ่อนอยู่ในงบ ให้ระวัง 3. คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการหรือเรียกว่า MD&A เป็นคำอธิบายของบริษัทที่จะมาบอกเราว่า กำไรที่เราเห็นเพิ่มขึ้นหรือลดลง มาจากสาเหตุอะไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทว่าจะอธิบายละเอียดมากน้อยแค่ไหน มีหลายบริษัทที่ดีเขียนอธิบายที่มาที่ไป รายได้แยกเป็นกลุ่ม ต้นทุน ค่าใช้จ่ายตามรายการ ภาพรวมอุตสาหกรรม แนวโน้ม ฯลฯ แต่ก็มีอีกหลายบริษัทที่เขียนแบบเสียไม่ได้ เช่น รายได้โต xx% ต้นทุนเพิ่ม xx% ทำให้กำไรเพิ่ม xx% คือ อ่านแล้วไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ 4. Zip File งบการเงิน บางครั้งใน MD&A ไม่ได้บอกรายละเอียด ให้เรามาที่หน้า “ข่าว” อีกครั้ง เปิดตรงที่เขียนว่า “งบการเงิน” ที่เป็น zip file คลิ๊กเข้าไปจะเจอะ 3 ไฟล์สำคัญ คือ • Auditor’s Report คือ รายงานผู้สอบบัญชี ที่เราเคยคุยกันไปในข้อ 2 ข้อสังเกตง่าย ๆ คือ ถ้าเปิดมาแล้วสั้น ๆ 1-2 หน้าคือดี แต่ถ้าเปิดมาแล้วยาวเหยียด 5-10 หน้า อันตรายแล้วแบบนี้ • Financial Statements เป็น excel มีทั้งงบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด วิธีอ่านงบดุลก็คล้าย ๆ กับที่บอกไว้ในข้อ 3 ส่วน Cash Flow ให้ดูเงินสดเข้าออกแต่ละประเภทอย่างไร (เรื่องนี้ยาว เดี๋ยวไว้มีโอกาสหยิบมาเขียนอีกทีครับ) • Notes เป็นหมายเหตุประกอบงบ คือ ถ้าเราเปิด excel บางบรรทัดจะมีตัวเลขกำกับไว้ ก็ให้เรามาเปิดใน Notes ดูจะเห็นรายละเอียดที่มากขึ้น
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1788
Finance
จงบอกกลยุทธ์การวิจัยจากการนำแนวคิดการลงทุนแบบ Fundamental Analysis และ Technical Analysis ด้วยรูปแบบของ Quantitative ที่วัดและประเมินผลได้โดยไม่ Bias
null
- Technical – Momentum Based กลยุทธ์ตามแนวโน้ม สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นจะต้องรู้จักการดูกราฟ เพราะเป็นสิ่งที่ง่าย ใช้เวลาน้อย สามารถปรับใช้ได้กับทุกสินทรัพย์ทั่วโลก แต่จากการลองผิดลองถูก มันสามารถปรับใช้ได้กับทุกสินทรัพย์ก็จริง แต่ต้องปรับจูนพอสมควร เพราะการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือการเอา Data ของราคามาทำการคำนวณและเข้าสูตรทางคณิตศาสตร์มากมายจนได้เส้น ๆ ขีด ๆ แบบที่ทุกคนเห็น แต่มันเป็นเพียงเครื่องมือในการช่วยวิเคราะห์เท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมดของการลงทุน - ทดสอบกลยุทธ์การลงทุนแบบ Momentum Based สามารถใช้ได้จริงหรือไม่ในระยะยาว จึงหยิบกลยุทธ์ง่าย ๆ ที่มีชื่อว่า 52 Week High หรือ การซื้อตามแนวโน้มเมื่อราคาทะลุแนวต้านใหญ่ในรอบ 1 ปีโดยประมาณ และใช้ Indicator ใส่เข้าไปนิดหน่อย ซึ่งกำหนดเงินเริ่มต้นไว้ 1 ล้านบาท จำนวนหุ้นสูงสุดที่ซื้ออยู่ที่ไม่เกิน 20 ตัว หรือ 5 % ต่อ 1 ตัว ช่วงเวลาที่ทบสอบคือตั้งแต่ปี 1/2000 – 11/2020 สินทรัพย์ที่เลือกมาทดสอบคือหุ้นไทยทั้งหมด - ทดสอบกลยุทธ์การลงทุนแบบ Value Based เลือกหยิบ F-Score formula ของ Mr.Joseph D. Piotroski เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคัดหุ้น โดยมีเกณฑ์ถึง 9 เกณฑ์ตามแนวทางการเลือกหุ้นแบบ Value Investing โดยมีการให้คะแนนถ้าผ่านเกณฑ์และให้ 0 ถ้าไม่ผ่าน สุดท้ายก็เอามาทำเป็น Score - Hybrid Investment ส่วนผสมที่ลงตัวของโลกการลงทุน หยิบปัจจัยทั้งของ TA และ FA เข้ามาไว้ด้วยกัน คือ เอาทั้ง Data Price และ Data งบการเงินเข้ามาประกอบกันและทดสอบในเชิง Quantitative - Bitcoin ก็มี Model ที่คาดการณ์ราคาในอนาคตเหมือนกัน แม้ BTC จะไม่มีปัจจัยพื้นฐานเช่น งบการเงินมาให้วิเคราะห์ แต่เนื่องจากมีเรื่องเกี่ยวกับ Demand Supply ของเหรียญที่ออกมาหมุนเวียนในตลาดจากการขุด จึงมีคนทำ Model เพื่อคาดการณ์ราคาในอนาคต ซึ่งมีความแม่นยำในอดีตสูงงมาก แต่ในอนาคตไม่อาจตอบได้ โมเดลนี้มีชื่อว่า Stock to Flow Model
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1789
Finance
ช่วยสรุปบทความ รีวิวกองทุน TMB-ES-CHINA-A: เรื่องจริงไม่อิงนิยาย สรุปปาฏิหาริย์ประเทศจีน
สถานการณ์ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจจีนที่ผ่านมา GDP อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Sentiment หรือมุมมองของนักลงทุนเปลี่ยนไป แต่ตัวเลขอื่น ๆ ที่รายงานมาของประเทศจีนก็ดีอย่างต่อเนื่องเช่นกันไม่ว่าจะเป็น …. จำนวนตู้คอนเทนเนอร์ส่งของที่ท่าเรือหลักทั้ง 8 ของจีน มีการเติบโตที่ 3.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตัวเลขดูไม่เยอะนะครับ แต่ลองนึกภาพว่าในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ยังปิดเมืองแต่ปริมาณจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ส่งของกลับมากขึ้น อันนี้น่าจะ Surprise ตลาดพอสมควร ยอดขายรถของเมืองจีน: เดือนเมษายนโต 4.4% พฤษภาคมโต 14.5% Goldman Sachs ออกมาเชียร์หุ้นจีนว่าจะขึ้นอีก 15% ใน 2-3 เดือนข้างหน้าด้วยเหตุผลคือการที่เศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้งและ ท่าทีเชิงบวกของรัฐบาลจีนต่อตลาดหุ้นในประเทศ ซึ่งมันก็มาเกี่ยวกับการที่หนังสือพิมพ์ของรัฐบาลจีนออกพูดเกี่ยวกับ “Wealth Effect ของตลาดหุ้น” และ “ตลาดหุ้นขาขึ้น” ฝรั่งเอาไปเปรียบเทียบว่าถ้าสหรัฐฯ มี Fed จีนก็มีสื่อฯ ของรัฐบาลเนี่ยแหละที่จะ Manipulate ตลาดได้ CNN ได้เขียนบอกไว้ว่าสาเหตุที่ต้องใช้สื่อมาชี้นำตลาดหุ้นเพราะตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะกระทบภาพลักษณ์ของประเทศจีน ผู้นำกำปั้นเหล็กอย่างสี จิ้นผิงจะไม่มีวันยอมให้ภาพลักษณ์ของประเทศจีนที่ออกไปสู่ชาวโลกดูเป็นเหมือนระบบการปกครองและสังคมที่ล้มเหลว การทำแบบนี้ ยิ่งในระยะเวลานี้จะทำให้ประเทศจีนดูเป็นประเทศที่โคตรประสบความสำเร็จและแข็งแกร่งมาก ๆ (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ) นักวิเคราะห์บางคนเอาขาขึ้นตลาดจีนครั้งนี้ไปเปรียบกับขาขึ้นเมื่อปี 2015 ที่พุ่งขึ้นไปแรง และก็ตกลงมาแรงเช่นกัน แม้เรื่องรัฐบาลใช้สื่อจีนในการประโคมข่าวเรื่องตลาดหุ้น แต่ในความจริงก็คือตัวเลขเศรษฐกิจจีนก็ทำได้ดีจริง ๆ แบบที่ผมกล่าวไปแล้ว ในขณะที่ประเทศอื่นยังเละอยู่ ดังนั้นขาขึ้นครั้งนี้จึงเป็นขาขึ้นที่ไม่ควรมองข้าม ในฐานะนักลงทุนถ้าอยากจะหาประโยชน์จากขาขึ้นครั้งนี้ก็มีหลายกองทุนที่สามารถซื้อได้เช่น ASP-EVOCHINA, TMBCOF, SCBCHA, K-CHX, TMB-ES-CHINA-A และกองอื่น ๆ อีกหลายบลจ. ดูในเชิงนโยบายกองนี้เป็นกองทุน Feeder Fund ลงทุนในกองแม่ต่างประเทศชื่อ UBS (Lux) IS – China A Opportunity ซึ่งเน้นลงทุนในประเทศจีนเป็นหลัก บริษัทที่ลงทุนก็ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนที่น่าสนใจ เช่น Kweichow Moutai 9.14% – บริษัทสุรายักษ์ใหญ่ “Blue Label แห่งประเทศจีน” เหมาไถเป็นต้นแบบสุราจีนที่มีความหอมแบบดั้งเดิม ได้รับการยกย่องว่าเป็น “สุราประจำชาติจีน” และเป็นเครื่องดื่มที่ใช้รับรองแขกระดับประเทศเช่นประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันและ บิล คลินตันมาแล้ว Ping An Insurance 5.87% – คนไทยอาจไม่เคยได้ยินชื่อประกันผิงอัน แต่ถ้าเป็นคนจีนจะรู้จักกันดีเพราะ Ping An เป็นประกันอันดับ 1 ของจีน และอันดับ 2 ของโลกเป็นรองเพียง Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ในปี 2012 กลุ่ม CP ของเจ้าสัวธนินท์ได้เข้าซื้อหุ้น Ping An จาก HSBC โดยถือหุ้นรวมเป็นสัดส่วน 9.9% มูลค่าประมาณ 5.9 แสนล้านบาท คาดว่าจะเป็น Wealth หลักของกลุ่ม CP เลยทีเดียว Tencent Holding 5.17% – ผู้ให้บริการ Social Platform อันดับ 1 ของประเทศจีน WeChat ถ้าไม่รู้จักว่า WeChat คืออะไร? ลองนึกภาพ LINE + Facebook + Instagram + Grab + Shopee + Booking รวม ๆ กัน WeChat เติบโตจากการเป็น Messaging Platform สู่ Super-App ที่ทำได้แทบทุกอย่างตั้งแต่ส่งข้อความ จองโรงแรม แจกอั่งเปา จนไปถึงจีบสาว
สถานการณ์ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจจีนที่ผ่านมา GDP อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ มุมมองของนักลงทุนเปลี่ยนไป แต่ตัวเลขอื่น ๆ ที่รายงานมาของประเทศจีนก็ดีอย่างต่อเนื่องเช่นกันไม่ว่าจะเป็น -จำนวนตู้คอนเทนเนอร์ส่งของจีนที่ท่าเรือหลัก 8 ของประเทศมีการเติบโตที่ 3.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว -ยอดขายรถในจีนเพิ่มขึ้นโดยต่อเนื่อง, เดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 4.4% และพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 14.5% -Goldman Sachs เชียร์หุ้นจีนว่าจะขึ้นอีก 15% ใน 2-3 เดือนถัดไปเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นและการสนับสนุนจากรัฐบาล -การใช้สื่อจีนเพื่อชี้นำตลาดหุ้นเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของประเทศเพื่อป้องกันภาพลักษณ์ที่ล้มเหลว -นักวิเคราะห์บางคนเปรียบเทียบขาขึ้นนี้กับปี 2015 ที่เกิดขาขึ้นและตกลงมาอย่างรุนแรง -ภาวะเศรษฐกิจของจีนดี ขาขึ้นครั้งนี้ควรได้รับการให้ความสนใจ กอง Feeder Fund ลงทุนในกองแม่ UBS (Lux) IS – China A Opportunity ที่เน้นในตลาดจีน มีการลงทุนในบริษัทโดดเด่นของจีน เช่น Kweichow Moutai (9.14%) บริษัทสุรายักษ์ที่ได้รับความยกย่อง เป็นสุราประจำชาติจีน Ping An Insurance (5.87%) บริษัทประกันอันดับ 1 ในจีน และ Tencent Holding (5.17%) ผู้ให้บริการ Social Platform อันดับ 1 ในประเทศจีน เติบโตจาก Messaging Platform เป็น Super-App ที่ทำทุกอย่าง เช่น การส่งข้อความ, จองโรงแรม, แจกอั่งเปา, และการจีบสาว
5.กลยุทธ์การลงทุน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_179
Finance
ขอคำแนะนำวิธีทำประกันบำนาญ ให้มีเงินพอใช้หลังเกษียณ
null
ชีวิตวัยเกษียณจะเป็นอย่างไร เราสามารถออกแบบเองได้ นอกจากการออมเงินและลงทุนระยะยาวเพื่อเป็นเงินก้อนไว้ใช้ตอนเกษียณแล้ว การออกแบบสร้างเงินบำนาญไว้ใช้จ่ายตามที่ต้องการด้วยประกันบำนาญเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เพื่อชีวิตวัยเกษียณที่มั่นคงและแน่นอน วิธีออกแบบสร้างเงินบำนาญหลังเกษียณตามที่ต้องการทำได้ดังนี้ - ตั้งเป้าหมายว่าอยากได้รายได้หลังเกษียณที่เดือนละเท่าไหร่ รวมได้ปีละเท่าไหร่ - เช็กเงื่อนไขการจ่ายเงินบำนาญรายงวดของประกันบำนาญที่สนใจว่าจ่ายในอัตรากี่เปอร์เซ็นต์ของทุนประกัน - คำนวณทุนประกันที่ต้องทำเพื่อให้ได้รับเงินบำนาญรายงวดตามที่ต้องการ - เช็กค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายเพื่อประเมินความสามารถและความเป็นไปได้ในการสร้างเงินบำนาญตามที่ต้องการ ยกตัวอย่าง เพศชาย อายุ 40 ปี ตั้งเป้าหมายมีรายได้หลังเกษียณเดือนละ 50,000 บาท ปีละ 600,000 บาท หากทำประกันชีวิตเพื่อบำนาญแบบลดหย่อนได้ A85/5 ซึ่งมีเงื่อนไขจ่ายเงินบำนาญรายงวด 20% ของทุนประกัน ดังนั้น จะต้องทำประกันบำนาญที่ทุนประกัน 3,000,000 บาท และจ่ายเบี้ยปีละ 1,786,980 บาท* รวม 5 ปีเป็นเงิน 8,934,900 บาท เพื่อให้ได้รับเงินบำนาญปีละ 600,000 บาท ตั้งแต่อายุ 55 ปีไปจนถึงอายุ 85 ปีตามที่ต้องการ โดยหากมีชีวิตอยู่ถึงอายุ 70 ปี จะได้รับบำนาญรวม 9,000,000 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มกับค่าเบี้ยที่จ่ายไป เงินบำนาญที่ได้รับหลังจากนั้นจนถึงอายุ 85 ปี ถือเป็นกำไร หากมองว่าค่าเบี้ยประกันบำนาญที่จ่ายรายปีค่อนข้างสูง อาจใช้วิธีทยอยทำประกันบำนาญ 3 ฉบับ ทุกๆ 5 ปี ที่ทุนประกันฉบับละ 1,000,000 บาท รวมทุนประกัน 3 ฉบับ 3,000,000 บาท เพื่อให้มีรายได้หลังเกษียณรวมเดือนละ 50,000 บาท ปีละ 600,000 บาทตามที่ต้องการได้เช่นกัน
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1790
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ หมวดหมู่หุ้นกับค่า P/E
null
การแบ่งหมวดหมู่หุ้นตามลักษณะของค่า P/E สามารถแบ่งได้ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ หุ้นมูลค่า เป็นหุ้นที่มีทรัพย์สินในราคาตลาดที่ต่ำกว่าความเป็นจริง หลายคนคิดว่ามีค่า P/E ที่ไม่สูง แต่ความเป็นจริงแล้ว หุ้นมูลค่ามีค่า EPS growth ที่ไม่สูงนัก ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือ หุ้นเติบโต เป็นหุ้นที่คาดหวังในการเติบโต มีค่า PE สูง ราคาก็สูง ค่า EPS Growth ที่คาดหวังก็สูงตามด้วย บทเรียนจากย่อหน้านี้ หมวดหมู่หุ้นกับค่า P/E โดยทั่วไปแล้วหลัก ๆ อาจจะแบ่งหุ้นตามลักษณะ P/E ได้เป็น 2 กลุ่ม 1) หุ้นมูลค่า (Value Stocks) หุ้นที่มีทรัพย์สิน หรือหลังจากคิดมูลค่าเนื้อแท้ของบริษัทแล้ว ราคาในตลาดต่ำกว่าความเป็นจริง หรือหุ้นที่ดูมูลค่าได้นั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นหุ้นเหล่านี้ราคาก็ไม่ได้สะท้อนตาม value จริง ๆ เสมอไป อาจจะมีช่วงที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงหรือสูงกว่าความเป็นจริงจากความไม่สมเหตุสมผลของคนนั่นเอง ตลาดมักจะมองว่ากลุ่ม value มี P/E ที่ไม่สูงจะมีค่า P/E ที่ไม่สูงมากอาจจะ 10x 20x ว่ากันไป … แต่จริงๆแล้วก็คือมี EPS growth ที่ไม่สูงนัก 2) หุ้นเติบโต (Growth Stocks) เป็นหุ้นที่เล่นล้อไปกับอนาคต ราคาแพง PE สูง เนื่องจากคาดหวังการเติบโต คาดหวัง EPS Growth ที่สูง หรือราคาอาจให้ความหวังไปกับสตอรี่และนวัตกรรมต่าง ๆ ในอนาคต ดังนั้นจึงเห็นค่า PE สูง ๆ ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหรือกลุ่ม Healthcare ที่มีโปรเจคเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคตต่าง ๆ โดยอาจจะสูงถึงหลัก 100x หรือ 1,000x ก็มีมาแล้ว (เนื่องจากฐานต่ำ หรือมองว่าเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก มูลค่าตลาดมหาศาลรออยู่) ต้องคำนึงไว้อย่างนึงด้วยว่า หุ้นเติบโตเป็นหุ้นที่เล่นไปกับอนาคตผ่านความคาดหวังที่ค่อนข้างสูงซึ่งอาจมีความไม่แน่นอนได้ เช่น บริษัทอาจวางแผนพัฒนา product ขึ้นมาซึ่งคาดการณ์ว่าจะเสร็จในปี 20XX แต่เลื่อนกำหนดการณ์ออกไป ส่งผลให้นักลงทุนผิดหวังและราคาอาจจะปรับตัวลงมารุนแรงจากค่า P/E ที่สูงกว่า
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1792
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เหตุผลหลักที่ราคา Bitcoin สามารถปรับขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2020
null
เหตุผลหลักที่ราคา Bitcoin สามารถปรับขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2020 คือ ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่มันก็ส่งผลให้เกิดความกังวลในเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้สกุลเงินดอลลาร์สูญเสียมูลค่า แถมยังส่งผลกระทบต่ระบบเศรษฐกิจของประเทศอื่น ๆ ที่ใช้มาตราการแบบเดียวกับสหรัฐอเมริกา บทเรียนจากย่อหน้านี้ เหตุผลหลักที่ราคา Bitcoin สามารถปรับขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2020 มาจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Federal Reserve เช่นการปรับลดดอกเบี้ย หรือพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจจากวิกฤติ COVID-19 แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่อาจทำให้สกุลเงินดอลลาร์สูญเสียมูลค่าไปได้ และไม่ใช่แค่สหรัฐฯ เท่านั้น หลาย ๆ ภาคเศรษฐกิจทั่วโลกก็มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการที่บรรดาสถาบันทางการเงินรายใหญ่ ๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจใน Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีต่าง ๆ เพื่อถือเป็นทรัพย์สินสำรอง เช่นสถาบัน Greyscale ที่เข้าถือ Bitcoin มากกว่า 500,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 8.3 พันล้านดอลลาร์ แต่ข่าวที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการคริปโตมากที่สุด ก็คือข่าวที่ Paypal ประกาศเตรียมเปิดให้บริการชำระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซีภายในปี 2021 นี้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ Paypal เกือบ 300 ล้านรายสามารถเข้าถึงคริปโตได้นั่นเอง
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1799
Finance
นักลงทุนรายย่อยควรลงทุนในกองทุน Quant หรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับ เหตุผล: ข้อดีของกองทุน Quant: 1. ผลตอบแทนที่โดดเด่น: กองทุน Quant หลายกองสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดได้ในอดีต ตัวอย่างเช่น กองทุน Renaissance Technologies ของ Jim Simons เคยสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (CAGR) มากกว่า 30% เป็นเวลายาวนาน 2. ความเสี่ยงที่ต่ำ: กองทุน Quant บางกองมีกลยุทธ์ที่ควบคุมความเสี่ยงได้ดี ทำให้มี Max Drawdown (การลดลงสูงสุดของเงินทุน) ที่ต่ำ 3. การกระจายความเสี่ยง: กองทุน Quant หลายกองลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ 4. ความสะดวก: กองทุน Quant เป็นการลงทุนแบบ Passive นักลงทุนไม่จำเป็นต้องติดตามตลาดหรือเลือกหุ้นเอง ข้อเสียของกองทุน Quant: 1. ค่าธรรมเนียมที่สูง: กองทุน Quant หลายกองมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่ากองทุนรวมแบบ Active 2. ความซับซ้อน: กลยุทธ์การลงทุนของกองทุน Quant นั้นซับซ้อน นักลงทุนอาจจะเข้าใจได้ยาก 3. ผลตอบแทนในอดีตไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ผลตอบแทนในอนาคต: ผลตอบแทนในอดีตของกองทุน Quant ไม่ได้เป็นประกันว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต 4. ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง: กองทุน Quant บางกองอาจลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ ทำให้ยากต่อการขาย ปัจจัยที่นักลงทุนรายย่อยควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุน Quant: 1. เป้าหมายการลงทุน: นักลงทุนควรมีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน และพิจารณาว่ากองทุน Quant นั้นเหมาะสมกับเป้าหมายของตนหรือไม่ 2. ระดับความเสี่ยงที่รับได้: นักลงทุนควรประเมินระดับความเสี่ยงที่ตนรับได้ และเลือกกองทุน Quant ที่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ตนสามารถรับได้ 3. ระยะเวลาการลงทุน: นักลงทุนควรลงทุนในกองทุน Quant ในระยะยาว เนื่องจากผลตอบแทนในอดีตของกองทุน Quant นั้นไม่ได้เป็นประกันว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต 4. ค่าธรรมเนียม: นักลงทุนควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของกองทุน Quant ต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน 5. ความเข้าใจกลยุทธ์: นักลงทุนควรศึกษาและเข้าใจกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน Quant ก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: กองทุน Quant นั้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด และควบคุมความเสี่ยงได้ อย่างไรก็ดี นักลงทุนรายย่อยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_18
Finance
วิธีกลยุทธ์ในการลงทุน LTF/RMF ให้มีประสิทธิภาพอย่างไรบ้าง
a. ซื้อกองทุนแบบสม่ำเสมอทุกๆ ปีไป b. กลยุทธ์ในการลงทุนกับกองทุน LTF/RMF ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ วิธีที่ 1 ซื้อแบบสม่ำเสมอ (DCA หรือ Dollar Cost Average) โดยปกติจะซื้อกองทุนแบบสม่ำเสมอทุกๆ เดือนไป แต่เนื่องจากว่าใกล้ๆ สิ้นปีแบบนี้ เวลาเหลืออีกเพียงไม่กี่เดือน หากลงทุนแบบรายเดือนเหมือนเดิม เชื่อว่าจะได้ราคาหน่วยลงทุนที่ค่อนข้างจะสูง ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงอาจจะทำการ DCA ทุกๆ สัปดาห์เพื่อกระจายความเสี่ยงและถัวเฉลี่ยราคาหน่วยลงทุน วิธีที่ 2 DCA + Market Timing ง่ายๆ ก็แค่แบ่งเงินเป็น 2 ก้อน โดยก้อนแรกจะทำการซื้อเฉลี่ยทุกสัปดาห์ หรือว่า DCA แบบปกติ เพื่อให้ได้ราคาเฉลี่ยที่ไม่แพงมากนัก จากนั้นเงินอีกก้อนจะเก็บเอาไว้ซื้อตามจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง เพื่อให้ได้หน่วยลงทุนที่ราคาถูกลงไปอีก ซึ่งบางคนอาจจะชอบวิธีนี้เพราะว่าได้เห็นแนวโน้มของราคา รวมทั้งได้ความมีวินัยไปพร้อมๆ กัน แต่ว่าวิธีนี้ก็มีข้อจำกัด ซึ่งอาจจะทำให้คำนวณการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีผิดพลาดได้ เนื่องจากหากเป็นปีที่หุ้นดี ก็อาจจะไม่ได้ลงทุนเพิ่มเติม และซื้อกองทุนไม่ถึงสิทธิที่จะลดหย่อน วิธีที่ 3 หากนักลงทุนลืมซื้อ LTF/RMF มาตลอดทั้งปี ซื้อกองทุนในช่วงปลายๆ ปีที่มีแนวโน้มราคาหุ้นสูงขึ้น แทนที่นักลงทุนจะซื้อกองทุน LTF/RMF แบบหุ้นล้วนๆ ก็อาจจะพิจารณากองทุนที่มีสัดส่วนหุ้นไม่สูงมากนักเพื่อลดความเสี่ยงของการลงทุนลง เช่น ถือกองทุน LTF ที่มีหุ้น 70% ตราสารหนี้ 30% แบบนี้ หรือว่าบางท่านที่ชอบซื้อ RMF ก็อาจจะซื้อกองทุน RMF แบบตราสารหนี้ไปก่อน หากมั่นใจแล้วว่าตลาดหุ้นไม่ได้แย่ หรือว่าไม่ได้เกิดวิกฤตตามมา ก็ค่อยๆ ทยอยย้ายกองทุน RMF ตราสารหนี้ มาลงทุนในกองทุนหุ้น RMF วิธีที่ 4 หากนักลงทุนไม่อยากคิดมาก อยากลงทุนแบบเงินก้อน โดยที่ไม่ต้องยุ่งกับการลงทุนมากนัก และไม่อยากจับจังหวะเอง สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญก็คือ การจัดพอร์ตการลงทุน ซึ่งการจัดพอร์ตจะช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนไปได้มากทีเดียว และยังได้ผลตอบแทนที่ดีได้อีกด้วย โดยสามารถที่จะเอากองทุน LTF/RMF มาจัดพอร์ตพร้อมๆ กันก็ได้ เช่น เลือกกองทุน RMF ตราสารหนี้เพื่อให้ความเสี่ยงไม่สูงจนเกินไป แต่ในส่วนสัดส่วนการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงอาจจะใช้ LTF เป็นตัวลงทุน เนื่องจาก LTF จะมีหุ้นอยู่ในกองทุนเป็นสัดส่วนที่สูง c. ซื้อเฉลี่ยทุกเดือน หรือว่า DCA แบบปกติ d. ซื้อแบบไม่สม่ำเสมอ
คำตอบที่ถูกต้องคือ b. เนื่องจาก วิธีที่ 1 ซื้อแบบสม่ำเสมอ (DCA หรือ Dollar Cost Average) โดยปกติจะซื้อกองทุนแบบสม่ำเสมอทุกๆ เดือนไป เพื่อกระจายความเสี่ยงและถัวเฉลี่ยราคาหน่วยลงทุน วิธีที่ 2 DCA + Market Timing ง่ายๆ ก็แค่แบ่งเงินเป็น 2 ก้อน โดยก้อนแรกจะทำการซื้อเฉลี่ยทุกสัปดาห์ หรือว่า DCA แบบปกติ เพื่อให้ได้ราคาเฉลี่ยที่ไม่แพงมากนัก จากนั้นเงินอีกก้อนจะเก็บเอาไว้ซื้อตามจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง วิธีที่ 3 หากนักลงทุนลืมซื้อ LTF/RMF มาตลอดทั้งปี ซื้อกองทุนในช่วงปลายๆ ปีที่มีแนวโน้มราคาหุ้นสูงขึ้น อาจจะพิจารณากองทุนที่มีสัดส่วนหุ้นไม่สูงมากนักเพื่อลดความเสี่ยงของการลงทุนลง วิธีที่ 4 หากนักลงทุนไม่อยากคิดมาก อยากลงทุนแบบเงินก้อน โดยที่ไม่ต้องยุ่งกับการลงทุนมากนัก และไม่อยากจับจังหวะเอง สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญก็คือ การจัดพอร์ตการลงทุน ซึ่งการจัดพอร์ตจะช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนไปได้มากทีเดียว และยังได้ผลตอบแทนที่ดีได้อีกด้วย
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_180
Finance
เกณฑ์การลงทุนกองทุน SSF และ RMF มีอะไรบ้าง
null
กองทุน SSF มีระยะเวลาลงทุน 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อ โดยไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี มีกองทุนให้เลือกทุกสินทรัพย์ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนอสังหาฯ ส่วนกองทุน RMF มีระยะเวลาลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อและต้องถือจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี เว้นวรรคได้ไม่เกิน 1 ปี มีกองทุนให้เลือกทุกสินทรัพย์ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนอสังหาฯ เงื่อนไขการซื้อกองทุน SSF ลงทุนได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้รวมทั้งปี (ก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนตามกฎหมาย) และไม่เกิน 200,000 บาท ส่วนกองทุน RMF ลงทุนได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้รวมทั้งปี (ก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนตามกฎหมาย) และไม่เกิน 500,000 บาท โดยทั้งกองทุน SSF และ RMF เมื่อรวมกับกองทุนการออม เพื่อการเกษียณอายุอื่น เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.), ประกันชีวิตแบบบำนาญ ถ้าซื้อกองทุน SSF อย่างเดียวเต็มที่ ก็ได้สูงสุดไม่เกิน 180,000 บาท หรือกองทุน RMF อย่างเดียวเต็มที่สูงสุดไม่เกิน 180,000 บาท แต่ถ้าซื้อกันเต็มจำนวนอาจเป็นวิธีสุดโต่งไป ถ้าใครมีเงินสดไม่เพียงพอ ก็อาจใช้วิธีซื้อบางส่วน เพื่อลดฐานภาษีลงได้ เช่น เงินเดือน 50,000 บาท อยู่ที่ฐานภาษี 10% ซื้อกองทุน SSF และ RMF บางส่วนให้ลดลงมาที่ฐาน 5% ก็ช่วยลดหย่อนภาษีไปได้ไม่น้อย
5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1800
Finance
Margin of Safety คืออะไร
null
Margin of Safety คือ ส่วนเผื่อความปลอดภัย ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับการลงทุนได้ในการหา Bargain หรือข้อต่อรองที่จะหาได้ในเวลาที่ตลาด ราคาพังครืนร่วงลงมาแรง ๆ จนทำให้หุ้นบางตัวหรือแม้แต่ตราสารหนี้มี “มูลค่านำราคา” และอาจทำให้หุ้นตัวนั้น ๆ นำพาราคากลับไปสู่มูลค่าที่แท้จริงได้ในเวลาถัดไป ซึ่งในส่วนของตราสารหนี้ อาจจะหาตราสารหนี้ที่มีเครดิตที่ดีมีศักยภาพจ่ายหนี้ได้สูง ในจังหวะที่ราคาร่วงลงมาจนตำ่กว่าราคาตั้งต้น (ราคา par) และยิ่งราคาต่ำกว่าราคาตั้งต้นเท่าไรส่วนเผื่อความปลอดภัยที่ว่าก็จะมากขึ้นเท่านั้น และในส่วนของหุ้นอาจจะหาหุ้นที่มีมูลค่า “ถูก” จากมูลค่าสินทรัพย์หรือจากศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทหรือที่ชอบใช้กันในรูปแบบของ PE และ PBV มุมมองของภาพรวมตลาดที่หากดูในเรื่องส่วนของ Margin of Safety แล้ว อาจจะค่อนข้างอันตราย ซึ่งโดยปกติแล้วในเชิงของตลาดผลตอบแทนของหุ้นก็ควรอยู่ในระดับที่สูงกว่าตราสารหนี้หรือพันธบัตร ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า และยิ่งส่วนต่างนี้สูงมากเท่าไรก็หมายความว่าส่วนเผื่อความปลอดภัยก็จะยิ่งมากขึ้นไปเท่านั้น สิ่งที่เชื่อและเข้าใจก็คือ เหล่านักลงทุนเน้นคุณค่าหรือนักลงทุน VI จะใส่ใจกับเรื่องดังกล่าวมากเป็นพิเศษ จนทำให้เขาเข้าซื้อในจุดที่ได้เปรียบและถึงแม้นักลงทุนเหล่านั้นจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เขาก็จะมีส่วนเผื่อความปลอดภัยและขาดทุนได้ยากกว่านักลงทุนแนวเก็งกำไร
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1801
Finance
หุ้นที่ถูกขายหนักมากที่สุดและราคาหุ้นตกลงไปมากที่สุดก็คือหุ้นที่ถูกกระทบมากที่สุดจากโควิด-19 ชึ่งมันคือหุ้นอะไรบ้าง
null
หุ้นที่ถูกขายหนักมากที่สุดและราคาหุ้นตกลงไปมากที่สุดก็คือหุ้นที่ถูกกระทบมากที่สุดจากโควิด-19 นั่นก็คือหุ้นที่เกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวเฉพาะอย่างยิ่งสายการบินและโรงแรมที่ธุรกิจแทบจะหยุดในช่วงแรกและก็ยังไม่ฟื้น นอกจากนั้นก็คือหุ้นแบงก์โดยเฉพาะขนาดใหญ่ที่อาจจะประสบกับหนี้เสียอย่างหนักเนื่องจากลูกหนี้เงินกู้จำนวนมากกำลังจะประสบปัญหาทางการเงิน ว่าที่จริงแทบทุกธุรกิจที่อิงอยู่กับการใช้จ่ายของประชาชนทั่วไปต่างก็ประสบปัญหาแทบทั้งสิ้นเพราะเศรษฐกิจถดถอยลงไปมาก ดังนั้น นักลงทุนซึ่งเล่นหุ้นตามสถานการณ์ต่างก็ขายหุ้นเหล่านั้นทิ้งโดยไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานระยะยาวของกิจการว่า เมื่อเรื่องโควิด-19 จบลงแล้ว กิจการจะฟื้นตัวกลับมาได้มากน้อยแค่ไหน ผลก็คือ หุ้นขนาดใหญ่เหล่านั้นก็ตกลงมามากในระดับ 30-40% จากช่วงก่อนวิกฤติ เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและกระทบกับโลกรวมถึงประเทศไทยก่อนหน้านั้นอย่างมีนัยสำคัญ นั่นก็คือการแถลงว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทยาไฟเซอร์จากการทดลองได้ผลดีมาก และการที่นาย โจ ไบเดนน่าจะชนะในการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาซึ่งจะทำให้โลกสงบลงจากการทำสงครามการค้าซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกดีขึ้น และดังนั้น การ “ซื้อขายหุ้นตามสถานการณ์” ครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้ก็เป็นตรงกันข้ามกับครั้งแรกนั่นก็คือ หุ้นไฮเท็คตกลงมาและหุ้นดั้งเดิมปรับตัวขึ้น คนที่เข้าไปซื้อหุ้นไฮเท็คในช่วงที่ราคาขึ้นไปสูงมาก ขาดทุน และคนที่ซื้อหุ้นดั้งเดิมเช่นแบ้งค์ตอนราคาตกต่ำ กำไร อย่างไรก็ตาม การปรับตัวครั้งนี้ก็อาจจะเป็นระยะสั้น เหตุผลก็เพราะว่าโดย “พื้นฐาน” แล้ว หุ้นไฮเท็คนั้นดีขึ้นจริงเนื่องจากโควิด เพียงแต่ราคาหุ้นอาจจะถูกเร่งมากเกินไปจากการเก็งกำไร ดังนั้น การปรับตัวลงครั้งนี้จึงอาจจะเป็นเรื่อง “ชั่วคราว”หลังจากนี้แล้วมันก็อาจจะกลับมาใหม่
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1803
Finance
รายละเอียดของมาตรการช้อปดีมีคืน มีอะไรบ้าง
null
รายละเอียดของมาตรการช้อปดีมีคืน - สินค้าและบริการที่เมื่อซื้อแล้วสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามโครงการนี้จะได้แก่ 1. สินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จด VAT 2. สินค้า OTOP และ 3. หนังสือ - สำหรับสินค้ากลุ่มแรก (สินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จด VAT) ต้องขอใบกำกับภาษีเต็มรูปด้วย ส่วนวิธีการที่จะทำให้รู้ว่าร้านค้าไหนจด VAT หรือไม่จด VAT ง่าย ๆ เลยเพียงแค่ถามว่าร้านสามารถออกใบกำกับภาษีให้ได้หรือไม่ - ส่วนสินค้ากลุ่มที่ 2 (สินค้า OTOP) และ 3 (หนังสือ) สามารถซื้อแล้วนำมาลดหย่อนภาษีได้ถึงแม้ร้านค้าจะไม่ได้จด VAT แต่ต้องขอใบเสร็จที่มีการลงรายละเอียดสำคัญ เช่น ชื่อและเลขบัตรประจำตัวประชาชน ชื่อสินค้าหรือบริการที่ซื้อ ราคาสินค้า และวันที่ของใบเสร็จก็ต้องลงเป็นวันที่ในช่วงระหว่างวันที่ 23 ตุลาคมถึง 31 ธันวาคม 2563 - ผู้มีเงินได้ สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการเท่าที่ได้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ/ร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าดังกล่าว ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท - สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2563 - ระยะเวลาโครงการ: 23 ตุลาคม 2563 – 31 ธันวาคม 2563 - หากใช้สิทธิ์ในโครงการนี้แล้ว จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ของอีก 2 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ นั่นคือ 1) โครงการคนละครึ่ง และ 2) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สินค้า/บริการที่ไม่ร่วมโครงการช้อปดีมีคืน ได้แก่ - สุรา เบียร์ และไวน์ - ยาสูบ - น้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ - รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ - หนังสือพิมพ์ & นิตยสาร - บริการหนังสือพิมพ์ & นิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ - บริการจัดนำเที่ยว - ที่พักในโรงแรม
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1805
Finance
ข้อจำกัดของ Samsung มีอะไรบ้าง
Samsung จากเส้นก๋วยเตี๋ยว สู่หนึ่งในบริษัท เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลก ​ จากเส้นก๋วยเตี๋ยว สู่หนึ่งในบริษัท เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลก เชื่อหรือไม่ว่าแรกเริ่มแต่เดิมที Samsung ไม่ได้เป็นบริษัท เทคโนโลยีอย่างที่เราเห็น? Samsung นั้นถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อราว ๆ ช่วงปี 1930 หลังช่วงวิกฤติถดถอยรุนแรง (Great Depression) โดยแรกเริ่มแต่เดิมที Samsung นั้นเริ่มต้นการทำธุรกิจโดยการขายเส้นก๋วยเตี๋ยว! รวมไปถึงสินค้าอารมณ์ที่แบบที่เราเห็นได้ตามร้านโชว์ห่วยต่าง ๆ (สินค้าของชำทั่ว ๆ ไป) น้ำตาล ไปยันขนสัตว์เสียด้วยซ้ำ จนในปี 1950 ทาง Samsung ได้หันมาทำธุรกิจประกันภัยและค้าปลีก เปลี่ยนผ่านมาอีกหน่อยในช่วงปี 1960 Samsung เริ่มหันมาแตะผลิตภัณฑ์อิเล็คทรอนิคส์ ทีวี คอมพิวเตอร์ Smart watch กล้องดิจิตอล ชิปมือถือและสมาร์ทโฟน สินค้าหัวเรือหลักในทุกวันนี้ที่เราเห็น จนในปี 1993 Samsung ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก และนี่ก็คือเรื่องราวคร่าว ๆ ทั้งหมดก่อน Samsung จะก้าวมาถึงจุดยิ่งใหญ่อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้… ธุรกิจหลักของ Samsung ในทุกวันนี้ Consumer Electronics ในส่วนนี้หลาย ๆ คนคงเคยเห็นและคุ้นชินกันอยู่แล้ว และผมเชื่อว่าหลาย ๆ บ้านคงมีอุปกรณ์เหล่านี้จาก Samsung ติดบ้านกันมาบ้างในช่วงชีวิตวัยเด็ก หรือแม้จะในตอนนี้ก็ตาม สินค้าจาก Samsung ที่ว่านี้ก็เป็นของใช้จิปาถะที่มีความจำเป็นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ภายในบ้านต่าง ๆ ที่ครบครันไม่ต่างกับรถรับซื้อของเก่า ไม่ว่าจะเป็น ตู้เย็น ทีวี จอคอม เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ รวมไปถึงอาวุธลับที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนยังไม่รู้อย่างเครื่องเอ็กซ์เรย์ผ่านมือถือ ระบบอัลตร้าซาวด์ หรือจะเรียกได้ว่า Samsung มีตั้งแต่ของใช้ทั่ว ๆ ไปภายในบ้าน จนไปถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์เลยก็ว่าได้ และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราก็ยังคงเห็นสินค้าจาก Samsung อยู่รอบตัวเราเสมอ ๆ IT & Mobile Communications มาถึงอีกส่วนที่ทำให้ Samsung ฮอตฮิตคุ้นหูจนเป็นภาพจำกับทุกคนและเป็นส่วนสร้างสรรค์รายได้หลักที่สำคัญของ Samsung อีกด้วยสิ่ง ๆ นั้นก็คือ “โทรศัพท์มือถือ” นั่นเองครับ แต่ถึงแม้รายได้จากการขายโทรศัพท์จะเป็นส่วนสำคัญ แต่รายได้ของ Samsung ก็ไม่ได้มาจากการขายโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว แต่ Samsung ยังมีสินค้าอย่างอุปกรณ์สำหรับโครงข่ายสื่อสาร อุปกรณ์จิปาถะต่าง ๆ รวมถึงบริการรวมทุกอย่างตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำอย่างบริการเชื่อมโยงทุกอย่างเข้ากับอินเทอร์เน็ต (Internet of Things) Semiconductor ในส่วนของการผลิตชิปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผลในมือถือ การ์ดความจำต่าง ๆ และอื่น ๆ ก็ถือว่าเป็นรายได้หลักอีกทางหนึ่งของ Samsung โดยที่ Samsung เองก็ยังคงครองตำแหน่งผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก รวมถึงยังมีบริษัทอย่าง Apple เป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่อีกด้วย แล้วทุกวันนี้ Samsung มีรายได้หลักมาจากการทำธุรกิจอะไร? หากดูจากภาพข้างต้นหลัก ๆ แล้วเราก็จะเห็นได้ว่า Samsung มีรายได้หลัก ๆ มาจากส่วนของ IT & Mobile Communication ซะส่วนใหญ่ เมื่อการชิงความได้เปรียบในตลาดสูงขึ้น Samsung จะยืนอยู่ตรงไหน? เมื่อเรารู้แล้วว่าตำนานบทใหม่ของ Samsung คือการโลดแล่นไปกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ซึ่งเราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้เติบโตได้รวดเร็วอย่างน่าทึ่ง แต่ก็แลกมาด้วยการแข่งขันที่สูงเช่นกัน หากมาเทียบในส่วนของสมาร์ทโฟนซึ่งเปรียบเสมือนรายได้หลักทางหนึ่งของ Samsung แล้วแต่ก่อนเราคงนึกถึง Apple เจ้าของ IPhone เพียงอย่างเดียวที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับ Samsung ได้ แต่ในปัจจุบันแบรนด์จีนอย่าง Huawei ก็เริ่มปรับตัวมาเขมือบส่วนแบ่งตลาดได้เป็นอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนของโลก ด้วยราคาที่ไม่แพง พร้อมกับระบบที่ลื่นไหล ฟังก์ชั่นที่กั๊กน้อยกว่าสมาร์ทโฟนเจ้าหนึ่ง ก็ส่งผลให้ Huawei ออกตัวแรงขึ้นมาได้มายาก และยิ่งประกอบกับการที่เราได้ประธานาธิบดีคนใหม่อย่าง “โจ ไบเดน” ด้วยแล้ว เราอาจได้เห็นการเปิดกว้างที่มากขึ้น ซึ่งทาง Huawei เองอาจจะไม่ได้โดนแบนกีดกันอย่างหนักหน่วงเช่นเดียวกับยุคของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ดังนั้นแล้ว Huawei จึงเป็นอีกหนึ่งบริษัท ที่น่าจับตามองหลังการเปลี่ยนถ่ายอำนาจในครั้งนี้ก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้นเองตัว Samsung ก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้เป็นอันดับ 2 แซงหน้า Apple ที่อยู่อันดับ 3 ซึ่งเป็นอีกเครื่องหมายหนึ่งว่า สมาร์ทโฟนของ Samsung เองก็ยังไม่ได้แพ้แบรนด์ใดในโลก และคงความเป็นผู้นำไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม เรื่องราวบทต่อไปที่อาจช่วยขับเคลื่อน (ประคอง) รายได้ให้ก้าวไปข้างหน้า หากมองไปในมุมของนักลงทุนเชิงรุกแล้วนอกจากราคาและมูลค่าที่สมเหตุสมผล การมองเกมธุรกิจและสตอรี่ในอนาคต คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรามาดูกันว่าในตอนนี้ทาง Samsung เอง มีสตอรี่เรื่องราวพัฒนาธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง หลัก ๆ แล้ว Samsung อาจมองไปที่การผลักดันระบบ 5G ทั้งในส่วนของชิป มือถือและเครือข่ายสัญญาณ ซึ่งการพัฒนาในส่วนนี้อาจเป็นส่วนที่ทำให้ Samsung มีความทัดเทียมกับคู่แข่งมากขึ้น พยายามสร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ พร้อมพยายามตั้งราคามือถือที่รองรับ 5G ให้ถูกลง ซึ่งอาจทำให้ทัดเทียมคู่แข่งได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากตลาดสมาร์ทโฟนมีการแข่งขันสูง หากใครมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ จ้าวอื่น ๆ คงพยายามไล่ตามให้ทันโดยไว ความแน่นอนเรื่องโรคระบาดในเอเชียที่ควบคุมได้ดีกว่ายุโรปและอเมริกา อาจทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของคนเอเชียมีความแน่นอนที่มากกว่า และอาจทำให้ผู้คนกลับมาซื้อสินค้าผลักดันรายได้อีกครั้ง ทั้งนี้และทั้งนั้นที่กล่าวไปทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงมุมมองส่วนตัวนะครับ และเรื่องราวเหล่านี้เป็นข้อมูลในเชิงคุณภาพ ซึ่งอาจมีความผิดพลาดได้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นสิ่งสำคัญของข้อมูลข้างต้นก็คือ Facts หรือข้อเท็จจริง ที่ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงนำไปประกอบการตัดสินใจต่อยอดลงทุนเองได้ (ไม่มากก็น้อย) งบการเงินเบา ๆ จาก Samsung หลังจากเราได้ดูสตอรี่ธุรกิจของ Samsung กันไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการลงทุน ก็คงเป็นพื้นฐานทางการเงินของบริษัท ที่บ่งบอกได้ทั้งการเติบโต และความปลอดภัย เพราะฉะนั้นผมจึงขอรวม Financial Ratios (อัตราส่วนทางการเงิน) คร่าว ๆ ที่ผมคิดว่าสำคัญของ Samsung มาให้ทุกคนดูละกันครับ กำไรเติบโต (Earning Growth) 5 ปีย้อนหลัง (เฉลี่ย) -9.26% กำไรเติบโต (Earning Growth) 7 ปีย้อนหลัง (เฉลี่ย) -13.73% ค่า P/E (รายปี) 19.12 เท่า ค่า P/BV (รายปี) 1.60 เท่า หนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) (รายปี) 7.22 สินทรัพย์ระยะสั้นเทียบหนี้สินระยะสั้น (Current Ratio) 2.85 เท่า มูลค่าตลาด (Market Capitalisation) ราว ๆ 3 แสนล้านเหรียญ** *ข้อมูลสัดส่วนทางการเงินจาก reuters.com วันที่ 11 พฤศจิกายน 2020 **ข้อมูลเมื่อ 12 มกราคม 2020 ที่มา: koreaherald.com ข้อจำกัดของ Samsung ด้วยขนาดมูลค่าตลาดที่ใหญ่และมีการตีตลาดไปทั่วโลกแล้ว จึงอาจทำให้ทุกหน่วยการขายสินค้าของ Samsung นั้นขยายตัวได้ไม่มาก จึงอาจทำให้ในส่วนของการเติบโต Samsung อาจต้องพึ่งพาเรื่องราวสตอรี่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทใหม่ ๆ เพื่อที่จะทำให้ราคาหุ้นเติบโตต่อไปได้ในอนาคต เพราะฉะนั้นความยิ่งใหญ่ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งก็คงเหมือนดาบสองคม ที่ทำให้บริษัทนั้น ๆ ขยายตัวได้ยากหากไม่มีธุรกิจใหม่ ๆ โดยส่วนตัวแล้วบริษัทใหญ่ ๆ แบบนี้รอราคาร่วงลงมา จนมูลค่าน่าสนใจแล้วรับซื้อก็ดูจะเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียวครับ เพราะ มีความมั่นคงจากงบการเงินที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง (เงินสดเยอะ ทรัพย์สินเทียบกับหนี้ระยะสั้น ๆ ค่อนข้างสูง) ข้อจำกัดอีกอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญก็คือ Huawei ที่เคยเป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ในส่วนของชิป Samsung ได้ลงบัลลังก์การเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ และได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งคนสำคัญ อีกทั้งยังมี Apple ที่มีผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแกร่ง มีมูลค่าในเชิงแบรนด์สูง ปล่อย Iphone X และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ รวมไปถึงคู่แข่งอื่น ๆ อีกมากมายอย่าง Oppo, Vivo และ Xiaomi จนทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้กำไรต่อหุ้นของ Samsung ค่อนข้างน่าหดหู่ในรอบปี 2018 และ 2019 ครับ และเราก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า Samsung จะมีทีเด็ดอะไรขึ้นมางัดสู้ใหม่กันบ้าง ดู ๆ แล้วทุกอย่างดูเหมือนจะแย่ไปเสียหมด แต่ถึงอย่างนั้นก้อย่างที่บอกไปครับ เราอาจไม่ต้องเล่น Samsung ในแง่ของการเติบโต แต่ไปเล่นในแง่ของสินทรัพย์และงบการเงินที่แข็งแกร่ง ยามที่ราคาร่วงลงมาก็ดูจะเป็นวิธีที่น่าสนใจและสมเหตุสมผลเลยทีเดียวครับ กองทุนอะไรถือ Samsung บ้าง? เชื่อว่ามาถึงจุด ๆ นี้หลายคนคงเริ่มมีคำถามกันแล้วว่า ถ้าอยากลงทุนในกองทุนที่มี SAMSUNG มีกองทุนอะไรบ้าง? คำตอบก็อยู่ตามรายชื่อด้านล่างนี้เลยครับ TMBAGLF สรุปแล้วสตอรี่ของ Samsung ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการอาศัยโอกาสในช่วงวิกฤติที่หนักหน่วง และอาศัยการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงนั้น จนสร้างเนื้อสร้างตัว ปรับเปลี่ยนและพัฒนาธุรกิจ จนกลายมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin References
ด้วยขนาดมูลค่าตลาดที่ใหญ่และมีการตีตลาดไปทั่วโลกแล้ว จึงอาจทำให้ทุกหน่วยการขายสินค้าของ Samsung นั้นขยายตัวได้ไม่มาก จึงอาจทำให้ในส่วนของการเติบโต Samsung อาจต้องพึ่งพาเรื่องราวสตอรี่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทใหม่ ๆ เพื่อที่จะทำให้ราคาหุ้นเติบโตต่อไปได้ในอนาคต เพราะฉะนั้นความยิ่งใหญ่ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งก็คงเหมือนดาบสองคม ที่ทำให้บริษัทนั้น ๆ ขยายตัวได้ยากหากไม่มีธุรกิจใหม่ ๆ โดยส่วนตัวแล้วบริษัทใหญ่ ๆ แบบนี้รอราคาร่วงลงมา จนมูลค่าน่าสนใจแล้วรับซื้อก็ดูจะเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะมีความมั่นคงจากงบการเงินที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง (เงินสดเยอะ ทรัพย์สินเทียบกับหนี้ระยะสั้น ๆ ค่อนข้างสูง) ข้อจำกัดอีกอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญก็คือ Huawei ที่เคยเป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ในส่วนของชิป Samsung ได้ลงบัลลังก์การเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ และได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งคนสำคัญ อีกทั้งยังมี Apple ที่มีผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแกร่ง มีมูลค่าในเชิงแบรนด์สูง ปล่อย Iphone X และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ รวมไปถึงคู่แข่งอื่น ๆ อีกมากมายอย่าง Oppo, Vivo และ Xiaomi จนทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้กำไรต่อหุ้นของ Samsung ค่อนข้างน่าหดหู่ในรอบปี 2018 และ 2019 ครับ และก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า Samsung จะมีทีเด็ดอะไรขึ้นมางัดสู้ใหม่กันบ้าง ดู ๆ แล้วทุกอย่างดูเหมือนจะแย่ไปเสียหมด แต่ถึงอย่างนั้นอาจไม่ต้องเล่น Samsung ในแง่ของการเติบโต แต่ไปเล่นในแง่ของสินทรัพย์และงบการเงินที่แข็งแกร่ง ยามที่ราคาร่วงลงมาก็ดูจะเป็นวิธีที่น่าสนใจและสมเหตุสมผล
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1806
Finance
ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ แก้ว 3 ประการ ในการวางแผนการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่ง
1. การลงทุนอย่างถูกต้องและชาญฉลาดที่จะสร้างผลตอบแทนทบต้นที่สูงต่อเนื่องยาวนาน 2. การกระจายความเสี่ยง 3. การลงทุนด้วยระยะเวลาที่ยาวนานที่สุด 4. การหาเงินมาลงทุนซึ่งก็มักจะมาจากการทำงานและเก็บออมมาลงทุน
ข้อที่ถูกต้องคือ 2. เพราะว่า เพราะการกระจายความเสี่ยง เป็นแนวทางลดความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในการลงทุน อย่าถือหุ้นน้อยตัวเกินไปและหุ้นตัวใหญ่ที่สุดที่ถือก็จะต้องไม่ใหญ่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต เช่น กรณีที่ถือว่าค่อนข้างสุดโต่งคือ ตัวเดียวเกิน 50% ของพอร์ต นอกจากการกระจายโดยตัวหุ้นแล้ว การกระจายตลาด เช่น ถือหุ้นต่างประเทศด้วยก็อาจจะเป็นสิ่งที่จำเป็นในยุคนี้ที่แม้แต่ประเทศก็เป็นความเสี่ยงที่เรียกว่า “Country Risk” และก็เช่นเดียวกัน การถือแต่หุ้นก็เป็นเรื่องที่อันตรายแม้ว่าจะเป็นการลงทุนระยะยาวมากที่บอกว่าหุ้นมีความเสี่ยงน้อยถ้าถือเป็นสิบ ๆ ปีขึ้นไปเป็นต้น ดังนั้น การถือทรัพย์สินอื่นเช่น พันธบัตรหรืออสังหาริมทรัพย์ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ควรทำ ส่วนแก้ว 3 ประการ ในการวางแผนการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่ง ประกอบไปด้วย แก้วดวงแรกคือ การหาเงินมาลงทุนซึ่งก็มักจะมาจากการทำงานและเก็บออมมาลงทุน แก้วดวงที่ 2 ก็คือ การลงทุนอย่างถูกต้องและชาญฉลาดที่จะสร้างผลตอบแทนทบต้นที่สูงต่อเนื่องยาวนาน และแก้วดวงสุดท้ายก็คือ การลงทุนด้วยระยะเวลาที่ยาวนานที่สุด ทั้งสามเรื่องนั้น ถ้าทำได้ดี คือแก้วทุกดวงต่างก็สุกสว่าง คือมีเงินมาลงทุนเพิ่มมากขึ้น ได้รับผลตอบแทนการลงทุนสูง และลงทุนต่อเนื่องยาวนานไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าหากว่าแก้วทุกดวงต่างก็ “ริบหรี่” อนาคตทางการเงินก็ไม่สดใส
5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_1807
Finance
Zoom มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้ทั้ง Hardware และ Software โดยมีผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง
null
Zoom มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้ทั้ง Hardware และ Software “Zoom Meeting” ที่สามารถใช้ผ่านโปรเเกรมคอมพิวเตอร์หรือแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์ก็ได้ ที่มี “Chat” เป็นส่วนเสริมให้ Meeting สามารถส่งข้อความ เเชร์ไฟล์ หรือสร้างกลุ่มย่อยใน Meeting นั้น ๆ ได้ ใช้งานได้ฟรี รองรับสูงสุด 100 คน ไม่เกิน 40 นาที หรือใช้งานได้ไม่จำกัดเวลา เเต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายเดือนที่ 14.99 ดอลลาร์ เเละรายปีที่ 12.49 ดอลลาร์ ต่อ host นอกจากนี้ยังมี “Zoom Rooms & Workspaces” ที่ให้บริการ Hardware ที่พัฒนาร่วมกับ Poly X Series เเละ DTEN ON เอง หรือใช้ Hardware ของ Partner อย่าง Cisco, Polycom สำหรับจัดประชุมในองค์กรขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น กล้อง ไมโครโฟน โต๊ะ คอมพิวเตอร์ เพื่อการประชุมที่ลื่นไหลไม่มีสะดุด ง่าย ๆ คือ จัดการระบบทุกอย่างในห้องประชุมเเละให้เช่าอุปกรณ์ เสียค่าบริการเป็นรายเดือนที่ 49 ดอลลาร์หรือรายปีที่ 41.58 ดอลลาร์ ต่อ 1 ห้องประชุม ถ้าองค์กรใหญ่มาก ๆ เเละต้องการประชุมมากกว่า 500 คน ทาง Zoom เองก็พัฒนา “Zoom Video Webinars” สำหรับความต้องการนี้ โดยสามารถประชุมได้สูงถึง 10,000 คน ค่าบริการอยู่ที่ 14.99 ดอลลาร์ต่อเดือน Zoom เริ่มทำร่วมมือกับบริษัท Software สำหรับใช้งานในองค์กรอย่าง Slack, Hubspot, Trello, Saleforce เตรียมความพร้อมสำหรับการเพิ่มฟังก์ชันของ Zoom เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายเเละประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีขึ้นของลูกค้าในอนาคต ผลิตภัณฑ์อีกตัวอย่าง Zoom Phone โทรศัพท์สำหรับธุรกิจชนิด Cloud-Calling ที่มี Feature เด็ด ๆ อย่างการส่ง Voicemail, การบันทึกบทสนทนา, บล็อคเบอร์, การโอนสายเข้าเบอร์ภายในองค์กร/เบอร์ส่วนบุคคลอื่น, “Whisper” เเค่พูดเบา ๆ คนที่อยู่ในสายก็ได้ยิน (บางสถานที่พูดเสียงดังไม่ได้), นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับ Slack ที่สามารถโทรหา user ของ Slack ได้โดยตรง นอกจากนี้ยังมีเเพคเกจเสริมให้องค์กรที่มีความต้องการจำเพาะ เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล รัฐบาล เเละสถาบันการเงิน ปี 2017 มีรายได้ 60 ล้านดอลลาร์ ปี 2018 มีรายได้ 151 ล้านดอลลาร์ ปี 2019 มีรายได้ 330 ล้านดอลลาร์ ปี 2020 มีรายได้ 622 ล้านดอลลาร์ (Year End January 31) จะเห็นว่ารายได้โตเกือบ 2 เท่าทุกปี
6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1809
Finance
ข้อใดเป็นใจความที่สำคัญในการจัดพอร์ตความสนใจสำหรับคนที่มีความรู้ มีประสบการณ์การลงทุน
A. โฟกัสที่การลงทุนแบบเข้มข้น B. โฟกัสที่การหาเงินให้มาก C. โฟกัสในการออมเงินให้มาก D. ทำทุกอย่างตามกันหมด เหมือนกันหมด
คำตอบได้แก่ A. เพราะว่า การจัดพอร์ตความสนใจของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน บางคนอาจมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมาก ก็ต้อง focus ที่การหาเงินให้มากเข้าไว้ เพราะแค่ค่าใช้จ่ายก็ไม่เพียงพอต่อการออมแล้ว หรือคนที่มีค่าใช้จ่ายน้อย ก็อาจต้อง focus ในการออมเงินให้มากเข้าไว้ เพื่อใช้เป็นฐานทุนในการลงทุน สำหรับคนที่มีความรู้ มีประสบการณ์การลงทุน มีชั่วโมงบิน ศึกษาอย่างจริงจัง ลึกซึ้ง การ focus ไปยังการลงทุน ควรเป็นหลักใหญ่ใจความที่สำคัญ เพราะความได้เปรียบของเราในด้านการศึกษาหาความรู้ที่เข้มข้นกว่าคนอื่น และแน่นอนที่สุดว่า การจัดพอร์ตความสนใจนั้น dynamic หมายความว่า มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ หากจัดพอร์ตความสนใจแล้ว พบว่า ผลลัพธ์ไม่ได้ดี หมายความว่า มันต้องมีอะไรผิดพลาดบางอย่าง ซึ่งเมื่อทบทวนแบบไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป จะมองเห็นความผิดพลาดนั้น และหันมาจัดแจงความสนใจเสียใหม่ เพื่อรอดูผลลัพธ์ใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นนั่นเอง
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_181
Finance
การเลือกประกันสุขภาพที่เหมาะกับ First Jobber มีอะไรบ้าง
วิธีเลือกประกันสำหรับคนเริ่มทำงาน สมัครออนไลน์ได้ เบี้ยไม่แพง ​ 13 ธันวาคม 2565 2 นาที 13 ธันวาคม 2565 2 นาที วิธีเลือกประกันสำหรับคนเริ่มทำงาน สมัครออนไลน์ได้ เบี้ยไม่แพง " ● ประกันสุขภาพที่สมัครครั้งเดียวแล้วไม่ต้องปวดหัวอะไรเพิ่มเติม น่าจะตอบโจทย์กลุ่ม First Jobber ที่ไม่ชอบความวุ่นวายในชีวิตมากที่สุด ● ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย IPD (ผู้ป่วยใน) และ OPD (ผู้ป่วยนอก) ที่สมัครแบบออนไลน์ และไม่ต้องตรวจสุขภาพมีหลากหลาย โดยรายละเอียดความคุ้มครอง IPD+OPD เป็นจุดที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุด ● ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตของที่มาพร้อมการซื้อประกันสุขภาพ ก็ให้ความคุ้มครองที่แตกต่างกัน ดังนั้นก็ต้องทราบว่าเราควรเลือกแบบไหน อย่างไร " First Jobber หรือคนที่พึ่งเริ่มทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนได้ไม่นาน ไปจนถึงทำงานมาไม่ถึง 10 ปี ที่เป็นคนรุ่นใหม่ หากต้องการทำประกันสุขภาพเพื่อปิดความเสี่ยงเรื่องค่ารักษาพยาบาลจำนวนมหาศาล แบบที่คาดไม่ถึงยามเจ็บป่วย ทางเลือกการทำประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่ครอบคลุมการรักษาทั้งผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก ดูจะตอบโจทย์กับคนกลุ่มนี้ที่ไปโรงพยาบาลเฉพาะเมื่อจำเป็นมากที่สุด แต่หลายคนก็มักพบความไม่สะดวกสบายในการทำประกันสุขภาพสักเท่าใด ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ First jobber หลายคนยังไม่ตัดสินใจทำประกันสุขภาพ First Jobber หรือคนที่พึ่งเริ่มทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนได้ไม่นาน ไปจนถึงทำงานมาไม่ถึง 10 ปี ที่เป็นคนรุ่นใหม่ หากต้องการทำประกันสุขภาพเพื่อปิดความเสี่ยงเรื่องค่ารักษาพยาบาลจำนวนมหาศาล แบบที่คาดไม่ถึงยามเจ็บป่วย ทางเลือกการทำประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่ครอบคลุมการรักษาทั้งผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก ดูจะตอบโจทย์กับคนกลุ่มนี้ที่ไปโรงพยาบาลเฉพาะเมื่อจำเป็นมากที่สุด แต่หลายคนก็มักพบความไม่สะดวกสบายในการทำประกันสุขภาพสักเท่าใด ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ First jobber หลายคนยังไม่ตัดสินใจทำประกันสุขภาพ First Jobber หรือคนที่พึ่งเริ่มทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนได้ไม่นาน ไปจนถึงทำงานมาไม่ถึง 10 ปี ที่เป็นคนรุ่นใหม่ หากต้องการทำประกันสุขภาพเพื่อปิดความเสี่ยงเรื่องค่ารักษาพยาบาลจำนวนมหาศาล แบบที่คาดไม่ถึงยามเจ็บป่วย ทางเลือกการทำประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่ครอบคลุมการรักษาทั้งผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก ดูจะตอบโจทย์กับคนกลุ่มนี้ที่ไปโรงพยาบาลเฉพาะเมื่อจำเป็นมากที่สุด แต่หลายคนก็มักพบความไม่สะดวกสบายในการทำประกันสุขภาพสักเท่าใด ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ First jobber หลายคนยังไม่ตัดสินใจทำประกันสุขภาพ First Jobber วัยนี้ อยากได้ความง่าย ไม่วุ่นวาย First Jobber วัยนี้ อยากได้ความง่าย ไม่วุ่นวาย ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำประกันสุขภาพ ในความคิดของ First Jobber มักมีความวุ่นวาย ไม่สะดวกสบาย อยากสมัครแต่ต้องไปคุยกับตัวแทนประกันแบบเจอตัว เสียค่ารถ ค่าเดินทาง หรือ ต้องไปคุยกับ Call center ซึ่งต้องเสียเวลาฟังรายละเอียดอยุ่นาน ทั้งที่สามารถหาอ่านเองได้ง่ายๆ หรือแม้แต่เรื่องร่างกายของคนวัยนี้ที่ยังแข็งแรง แต่ประกันสุขภาพหลายที่ก็มักจะมีเงื่อนไข หรือเหตุผลที่มีโอกาสให้คนอายุน้อยอย่าง First Jobber ต้องไปตรวจสุขภาพ ทำให้ชีวิต First Jobber มีความวุ่นวายเพิ่มมากขึ้นไปอีก เช่น เสียเวลาทำงาน หรือต้องลางานเพื่อไปทำสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นประกันสุขภาพเหมาจ่าย ที่สมัครง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และไม่ต้องตรวจสุขภาพจึงตอบโจทย์กลุ่ม First Jobber มากที่สุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำประกันสุขภาพ ในความคิดของ First Jobber มักมีความวุ่นวาย ไม่สะดวกสบาย อยากสมัครแต่ต้องไปคุยกับตัวแทนประกันแบบเจอตัว เสียค่ารถ ค่าเดินทาง หรือ ต้องไปคุยกับ Call center ซึ่งต้องเสียเวลาฟังรายละเอียดอยุ่นาน ทั้งที่สามารถหาอ่านเองได้ง่ายๆ หรือแม้แต่เรื่องร่างกายของคนวัยนี้ที่ยังแข็งแรง แต่ประกันสุขภาพหลายที่ก็มักจะมีเงื่อนไข หรือเหตุผลที่มีโอกาสให้คนอายุน้อยอย่าง First Jobber ต้องไปตรวจสุขภาพ ทำให้ชีวิต First Jobber มีความวุ่นวายเพิ่มมากขึ้นไปอีก เช่น เสียเวลาทำงาน หรือต้องลางานเพื่อไปทำสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นประกันสุขภาพเหมาจ่าย ที่สมัครง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และไม่ต้องตรวจสุขภาพจึงตอบโจทย์กลุ่ม First Jobber มากที่สุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำประกันสุขภาพ ในความคิดของ First Jobber มักมีความวุ่นวาย ไม่สะดวกสบาย อยากสมัครแต่ต้องไปคุยกับตัวแทนประกันแบบเจอตัว เสียค่ารถ ค่าเดินทาง หรือ ต้องไปคุยกับ Call center ซึ่งต้องเสียเวลาฟังรายละเอียดอยุ่นาน ทั้งที่สามารถหาอ่านเองได้ง่ายๆ หรือแม้แต่เรื่องร่างกายของคนวัยนี้ที่ยังแข็งแรง แต่ประกันสุขภาพหลายที่ก็มักจะมีเงื่อนไข หรือเหตุผลที่มีโอกาสให้คนอายุน้อยอย่าง First Jobber ต้องไปตรวจสุขภาพ ทำให้ชีวิต First Jobber มีความวุ่นวายเพิ่มมากขึ้นไปอีก เช่น เสียเวลาทำงาน หรือต้องลางานเพื่อไปทำสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นประกันสุขภาพเหมาจ่าย ที่สมัครง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และไม่ต้องตรวจสุขภาพจึงตอบโจทย์กลุ่ม First Jobber มากที่สุด เปรียบเทียบประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่ซื้อออนไลน์ได้และไม่ต้องตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่ซื้อออนไลน์ได้และไม่ต้องตรวจสุขภาพ ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายที่คุ้มครองกรณีนอนรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน (IPD) และกรณีไปตรวจรักษาแล้วกลับบ้านเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) ในตลาดมีหลากหลายรูปแบบให้เลือก ดังนั้น K WEALTH จึงนำ D Health Easy Care ที่ซื้อได้บนเว็บไซต์ธนาคารกสิกรไทย มาเปรียบเทียบกับประกันสุขภาพบริษัทอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน เพื่อให้ผู้อ่านใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย IPD และ OPD ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายที่คุ้มครองกรณีนอนรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน (IPD) และกรณีไปตรวจรักษาแล้วกลับบ้านเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) ในตลาดมีหลากหลายรูปแบบให้เลือก ดังนั้น K WEALTH จึงนำ D Health Easy Care ที่ซื้อได้บนเว็บไซต์ธนาคารกสิกรไทย มาเปรียบเทียบกับประกันสุขภาพบริษัทอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน เพื่อให้ผู้อ่านใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย IPD และ OPD ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายที่คุ้มครองกรณีนอนรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน (IPD) และกรณีไปตรวจรักษาแล้วกลับบ้านเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) ในตลาดมีหลากหลายรูปแบบให้เลือก ดังนั้น K WEALTH จึงนำ D Health Easy Care ที่ซื้อได้บนเว็บไซต์ธนาคารกสิกรไทย มาเปรียบเทียบกับประกันสุขภาพบริษัทอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน เพื่อให้ผู้อ่านใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย IPD และ OPD จากตารางจะเห็นว่าการเลือกสมัครประกันสุขภาพ D Health Easy Care หรือประกันสุขภาพอีก 2 บริษัท ก็น่าจะดูทำให้ชีวิตไม่ต้องวุ่นวายทั้งการตรวจสุขภาพ และสามารถสมัครผ่านช่องทางออนไลน์ได้ รวมถึงการเลือกประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายที่คุ้มครองการรักษาครอบคลุมทั้งกรณี First Jobber ป่วยหนักต้องนอนโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยในวงเงินไม่ถึงหลักล้าน และการรักษาเล็กๆน้อยๆแบบไปหาหมอ เสร็จแล้วกลับบ้านแบบผู้ป่วยนอก ที่วงเงินหลักพัน ก็ดูเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการรักษา แถมช่วยประหยัดค่าเบี้ยให้อยู่ในระดับที่ First Jobber จ่ายไหวได้อีกด้วย จากตารางจะเห็นว่าการเลือกสมัครประกันสุขภาพ D Health Easy Care หรือประกันสุขภาพอีก 2 บริษัท ก็น่าจะดูทำให้ชีวิตไม่ต้องวุ่นวายทั้งการตรวจสุขภาพ และสามารถสมัครผ่านช่องทางออนไลน์ได้ รวมถึงการเลือกประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายที่คุ้มครองการรักษาครอบคลุมทั้งกรณี First Jobber ป่วยหนักต้องนอนโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยในวงเงินไม่ถึงหลักล้าน และการรักษาเล็กๆน้อยๆแบบไปหาหมอ เสร็จแล้วกลับบ้านแบบผู้ป่วยนอก ที่วงเงินหลักพัน ก็ดูเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการรักษา แถมช่วยประหยัดค่าเบี้ยให้อยู่ในระดับ ที่ First Jobber จ่ายไหวได้อีกด้วย เปรียบเทียบความคุ้มครอง เปรียบเทียบความคุ้มครอง 1.ค่าห้องสำหรับการรักษา ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆของการพิจารณาประกันสุขภาพ เนื่องจากหากเราเจ็บป่วยก็มีโอกาสสูงที่ต้องนอนโรงพยาบาล และค่าห้องก็มีการปรับขึ้นได้เสมอ รวมทั้งกรณีฉุกเฉินบางครั้ง ก็อาจต้องไปรักษาในโรงพยาบาลที่เราไม่ได้ใช้ประจำ ซึ่งหากเราทำแผนประกันสุขภาพที่กำหนดค่าห้องตายตัว อาจทำให้ไม่เพียงพอในกรณีที่ค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานของโรงพยาบาลนั้น สูงกว่าแผนประกันสุขภาพที่มี ทำให้ต้องควักกระเป๋าสตางค์จ่ายเงินเพิ่มเติม ดังนั้นการเลือกแผนประกันสุขภาพที่จ่ายตามค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน ค่าห้อง ICU รวมทั้งจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริง อย่าง D Health Easy Care น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับเจ้าอื่นตามตารางด้านบน 1.ค่าห้องสำหรับการรักษา ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆของการพิจารณาประกันสุขภาพ เนื่องจากหากเราเจ็บป่วยก็มีโอกาสสูงที่ต้องนอนโรงพยาบาล และค่าห้องก็มีการปรับขึ้นได้เสมอ รวมทั้งกรณีฉุกเฉินบางครั้ง ก็อาจต้องไปรักษาในโรงพยาบาลที่เราไม่ได้ใช้ประจำ ซึ่งหากเราทำแผนประกันสุขภาพที่กำหนดค่าห้องตายตัว อาจทำให้ไม่เพียงพอในกรณีที่ค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานของโรงพยาบาลนั้น สูงกว่าแผนประกันสุขภาพที่มี ทำให้ต้องควักกระเป๋าสตางค์จ่ายเงินเพิ่มเติม ดังนั้นการเลือกแผนประกันสุขภาพที่จ่ายตามค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน ค่าห้อง ICU รวมทั้งจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริง อย่าง D Health Easy Care น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับเจ้าอื่นตามตารางด้านบน 2.ความคุ้มครองค่ารักษากรณีผู้ป่วยนอก (OPD) หลายครั้งที่ First Jobber ป่วยไม่รุนแรงถึงกับต้องนอนโรงพยาบาล แค่ป่วยเล็กน้อยไปให้หมอรักษาแล้วกลับบ้านก็มี แต่หากเราเลือกทำแผนประกันสุขภาพที่มีแต่ IPD ก็จะไม่ครอบคลุมค่ารักษากรณีผู้ป่วยนอก ต้องควักกระเป๋าสตางค์จ่ายเงินเอง ดังนั้น OPD จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณา โดยสามารถเลือกความคุ้มครองค่ารักษา OPD ตามความพึงพอใจของเรา 2.ความคุ้มครองค่ารักษากรณีผู้ป่วยนอก (OPD) หลายครั้งที่ First Jobber ป่วยไม่รุนแรงถึงกับต้องนอนโรงพยาบาล แค่ป่วยเล็กน้อยไปให้หมอรักษาแล้วกลับบ้านก็มี แต่หากเราเลือกทำแผนประกันสุขภาพที่มีแต่ IPD ก็จะไม่ครอบคลุมค่ารักษากรณีผู้ป่วยนอก ต้องควักกระเป๋าสตางค์จ่ายเงินเอง ดังนั้น OPD จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณา โดยสามารถเลือกความคุ้มครองค่ารักษา OPD ตามความพึงพอใจของเรา 2.ความคุ้มครองค่ารักษากรณีผู้ป่วยนอก (OPD) หลายครั้งที่ First Jobber ป่วยไม่รุนแรงถึงกับต้องนอนโรงพยาบาล แค่ป่วยเล็กน้อยไปให้หมอรักษาแล้วกลับบ้านก็มี แต่หากเราเลือกทำแผนประกันสุขภาพที่มีแต่ IPD ก็จะไม่ครอบคลุมค่ารักษากรณีผู้ป่วยนอก ต้องควักกระเป๋าสตางค์จ่ายเงินเอง ดังนั้น OPD จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณา โดยสามารถเลือกความคุ้มครองค่ารักษา OPD ตามความพึงพอใจของเรา 3.ความคุ้มครองอื่นๆ เป็นอีกปัจจัยที่ควรพิจารณาเป็นอันดับรองลงมา หลังจากพิจารณาแผนความคุ้มครอง IPD และ OPD แล้ว เพราะในความเป็นจริง First Jobber ที่สุขภาพแข็งแรง ก็มีโอกาสใช้ความคุ้มครองส่วนนี้ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองกรณีตรวจเจอโรคมะเร็งแล้วรับเป็นเงินก้อนอย่างเดียวแบบของ D Health Easy Care ซึ่งไม่มีความคุ้มครองการรักษามะเร็ง และการล้างไต หรือจะเป็นความคุ้มครองผลประโยชน์กรณีป่วยแล้วต้องล้างไต หรือรักษาโรคมะเร็งแบบไม่ต้องนอนโรงพยาบาลของประกันสุขภาพ แอ็คทีฟ และอีซี่ 3.ความคุ้มครองอื่นๆ เป็นอีกปัจจัยที่ควรพิจารณาเป็นอันดับรองลงมา หลังจากพิจารณาแผนความคุ้มครอง IPD และ OPD แล้ว เพราะในความเป็นจริง First Jobber ที่สุขภาพแข็งแรง ก็มีโอกาสใช้ความคุ้มครองส่วนนี้ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองกรณีตรวจเจอโรคมะเร็งแล้วรับเป็นเงินก้อนอย่างเดียวแบบของ D Health Easy Care ซึ่งไม่มีความคุ้มครองการรักษามะเร็ง และการล้างไต หรือจะเป็นความคุ้มครองผลประโยชน์กรณีป่วยแล้วต้องล้างไต หรือรักษาโรคมะเร็งแบบไม่ต้องนอนโรงพยาบาลของประกันสุขภาพ แอ็คทีฟ และอีซี่ 3.ความคุ้มครองอื่นๆ เป็นอีกปัจจัยที่ควรพิจารณาเป็นอันดับรองลงมา หลังจากพิจารณาแผนความคุ้มครอง IPD และ OPD แล้ว เพราะในความเป็นจริง First Jobber ที่สุขภาพแข็งแรง ก็มีโอกาสใช้ความคุ้มครองส่วนนี้ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองกรณีตรวจเจอโรคมะเร็งแล้วรับเป็นเงินก้อนอย่างเดียวแบบของ D Health Easy Care ซึ่งไม่มีความคุ้มครองการรักษามะเร็ง และการล้างไต หรือจะเป็นความคุ้มครองผลประโยชน์กรณีป่วยแล้วต้องล้างไต หรือรักษาโรคมะเร็งแบบไม่ต้องนอนโรงพยาบาลของประกันสุขภาพ แอ็คทีฟ และอีซี่ 4.ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หลายบริษัทประกันมักพ่วงความคุ้มครองส่วนนี้มาด้วย หากเรามีครอบครัวที่ต้องดูแล หรือเป็นห่วงอยู่ การเลือกความคุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี หรือคุ้มครองการเสียชีวิตเฉพาะอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณา หลังจากนั้นจึงเลือกวงเงินความคุ้มครองที่ได้รับ โดยตัวเลือกประกันสุขภาพอีซี่ ที่มีแผนความคุ้มครองเสียชีวิตทุกกรณี วงเงิน 150,000 บาท ก็จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด 4.ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หลายบริษัทประกันมักพ่วงความคุ้มครองส่วนนี้มาด้วย หากเรามีครอบครัวที่ต้องดูแล หรือเป็นห่วงอยู่ การเลือกความคุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี หรือคุ้มครองการเสียชีวิตเฉพาะอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณา หลังจากนั้นจึงเลือกวงเงินความคุ้มครองที่ได้รับ โดยตัวเลือกประกันสุขภาพอีซี่ ที่มีแผนความคุ้มครองเสียชีวิตทุกกรณี วงเงิน 150,000 บาท ก็จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด สรุปการเลือกประกันสุขภาพที่เหมาะกับ First Jobber สรุปการเลือกประกันสุขภาพที่เหมาะกับ First Jobber 1.เลือกประกันสุขภาพที่สมัครได้ง่ายบนช่องทางออนไลน์ ตอบโจทย์ชีวิต First Jobber ที่ไม่ชอบความวุ่นวาย 1.เลือกประกันสุขภาพที่สมัครได้ง่ายบนช่องทางออนไลน์ ตอบโจทย์ชีวิต First Jobber ที่ไม่ชอบความวุ่นวาย 1.เลือกประกันสุขภาพที่สมัครได้ง่ายบนช่องทางออนไลน์ ตอบโจทย์ชีวิต First Jobber ที่ไม่ชอบความวุ่นวาย 2.เลือกประกันสุขภาพที่เน้นเหมาจ่ายตามจริง โดยเฉพาะค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน ค่าห้อง ICU และค่ารักษากรณีผู้ป่วยใน (IPD) เพราะค่าใช้จ่ายเมื่อนอนโรงพยาบาลนอกจากเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า OPD แล้ว ยังอาจปรับขึ้นได้ในอนาคต 2.เลือกประกันสุขภาพที่เน้นเหมาจ่ายตามจริง โดยเฉพาะค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน ค่าห้อง ICU และค่ารักษากรณีผู้ป่วยใน (IPD) เพราะค่าใช้จ่ายเมื่อนอนโรงพยาบาลนอกจากเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า OPD แล้ว ยังอาจปรับขึ้นได้ในอนาคต 2.เลือกประกันสุขภาพที่เน้นเหมาจ่ายตามจริง โดยเฉพาะค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน ค่าห้อง ICU และค่ารักษากรณีผู้ป่วยใน (IPD) เพราะค่าใช้จ่ายเมื่อนอนโรงพยาบาลนอกจากเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า OPD แล้ว ยังอาจปรับขึ้นได้ในอนาคต 3.เลือกประกันสุขภาพที่วงเงินค่ารักษา IPD +OPD สูงที่สุดเป็นหลัก บนเบี้ยประกันที่ถูกที่สุด ที่เราสามารถจ่ายได้ 3.เลือกประกันสุขภาพที่วงเงินค่ารักษา IPD +OPD สูงที่สุดเป็นหลัก บนเบี้ยประกันที่ถูกที่สุด ที่เราสามารถจ่ายได้ นอกจากนี้สำหรับ First Jobber ที่รายได้มากกว่าเดือนละ 26,000 บาท ประกันสุขภาพยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย โดยสามารถนำค่าเบี้ยที่ชำระในปีนั้นมาลดหย่อนภาษีในปีนั้นได้ ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท แต่หากมีประกันชีวิตด้วย เมื่อรวมกับค่าเบี้ยประกันชีวิตแล้วใช้สิทธิได้ไม่เกิน 100,000 บาทในปีนั้น และเมื่อซื้อแล้วอย่าลืมแจ้งกับทางบริษัทประกันเพิ่มเติมว่าต้องการนำนำเบี้ยมาลดหย่อนภาษี เพื่อให้บริษัทส่งข้อมูลค่าเบี้ยที่ใช้ลดหย่อนภาษีไปที่สรรพากร โดยไม่ต้องจัดเก็บหรือขอเอกสารจากบริษัทประกันอีก นอกจากนี้สำหรับ First Jobber ที่รายได้มากกว่าเดือนละ 26,000 บาท ประกันสุขภาพยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย โดยสามารถนำค่าเบี้ยที่ชำระในปีนั้นมาลดหย่อนภาษีในปีนั้นได้ ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท แต่หากมีประกันชีวิตด้วย เมื่อรวมกับค่าเบี้ยประกันชีวิตแล้วใช้สิทธิได้ไม่เกิน 100,000 บาทในปีนั้น และเมื่อซื้อแล้วอย่าลืมแจ้งกับทางบริษัทประกันเพิ่มเติมว่าต้องการนำนำเบี้ยมาลดหย่อนภาษี เพื่อให้บริษัทส่งข้อมูลค่าเบี้ยที่ใช้ลดหย่อนภาษีไปที่สรรพากร โดยไม่ต้องจัดเก็บหรือขอเอกสารจากบริษัทประกันอีก บทความโดย K WEALTH TRAINER มนัสวี เด็ดอนันต์กุล AFPT™ K WEALTH TRAINER มนัสวี เด็ดอนันต์กุล AFPT™ แชร์ แชร์
ประกันสุขภาพเหมาจ่าย ที่สมัครง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และไม่ต้องตรวจสุขภาพจึงตอบโจทย์กลุ่ม First Jobber มากที่สุด การเลือกประกันสุขภาพที่เหมาะกับ First Jobber 1. เลือกประกันสุขภาพ​ที่สมัครได้ง่ายบนช่องทางออนไลน์ ตอบโจทย์ชีวิต First Jobber ที่ไม่ชอบความวุ่นวาย 2. เลือกประกันสุขภาพที่เน้นเหมาจ่ายตามจริง โดยเฉพาะค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน ค่าห้อง ICU และค่ารักษากรณีผู้ป่วยใน (IPD) เพราะค่าใช้จ่ายเมื่อนอนโรงพยาบาลนอกจากเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า OPD แล้ว ยังอาจปรับขึ้นได้ในอนาคต 3. เลือกประกันสุขภาพที่วงเงินค่ารักษา IPD +OPD สูงที่สุดเป็นหลัก บนเบี้ยประกันที่ถูกที่สุด ที่สามารถจ่ายได้ นอกจากนี้ สำหรับ First Jobber ที่รายได้มากกว่าเดือนละ 26,000 บาท ประกันสุขภาพยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย โดยสามารถนำค่าเบี้ยที่ชำระในปีนั้นมาลดหย่อนภาษีในปีนั้นได้ ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท แต่หากมีประกันชีวิตด้วย เมื่อรวมกับค่าเบี้ยประกันชีวิตแล้วใช้สิทธิได้ไม่เกิน 100,000 บาทในปีนั้น และเมื่อซื้อแล้วอย่าลืมแจ้งกับทางบริษัทประกันเพิ่มเติมว่าต้องการนำนำเบี้ยมาลดหย่อนภาษี เพื่อให้บริษัทส่งข้อมูลค่าเบี้ยที่ใช้ลดหย่อนภาษีไปที่สรรพากร โดยไม่ต้องจัดเก็บหรือขอเอกสารจากบริษัทประกันอีก
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1812
Finance
เขียนย่อหย้าเกี่ยวกับ การกระจายการลงทุนให้อัตโนมัติ
null
การกระจายการลงทุนให้อัตโนมัติ จะมีวิธีก็คือ ถ้าอยากลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี แล้วอยากลงทุน SET50 ทั้งดัชนี จะทำอย่างไร ความเป็นจริงเราสามารถลงทุนในตลาดหุ้นก็ได้แต่จะเหนื่อย เพราะฉะนั้น วิธีที่ง่ายกว่าคือ การกระจายการลงทุนในกองทุนรวม สมมติว่าสนใจการลงทุนในดัชนี เพรามันโตตามเศรษฐกิจได้ในระยะยาว และสนใจ SET50 ด้วย ก็ไม่ซื้อหุ้นในตลาดหุ้นทีละตัว แค่ซื้อเฉพาะหน่วยลงทุน ก็สามารถครอบครองหุ้นในดัชนีนั้นได้แล้ว บทเรียนจากย่อหน้านี้ กระจายการลงทุนให้อัตโนมัติ สมมติอยากลงทุนหุ้นเทคโนโลยี จะเลือกลงตัวไหนดี แต่ละตัวลงในสัดส่วนเท่าไร สมมติอยากลงทุน SET50 ทั้งดัชนี ต้องทำยังไง ต้องไปไล่ซื้อเองทุกตัวเลยรึเปล่า จริงๆ ลงทุนในตลาดหุ้นก็สามารถทำเองได้ (อาจจะเหนื่อยหน่อย) แต่เรื่องกระจายการลงทุนเป็นเรื่องที่กองทุนรวมทำได้ง่ายกว่ามาก เช่น ถ้าสนใจการลงทุนในดัชนี เพราะมองว่าดัชนียังไงก็โตตามเศรษฐกิจในระยะยาว ดัชนีที่ไม่โตคือประเทศที่เจ๊ง ถ้าสนใจ SET50 ก็ไม่ต้องไปนั่งซื้อในตลาดหุ้นทีละตัว แค่ซื้อหน่วยลงทุนจากกองทุนที่ลงใน SET50 ก็เหมือนได้ครอบครองหุ้นในดัชนีนั้นแล้ว หรือถ้าสนใจลงทุนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ถ้ามองว่าช่วงนี้หุ้นเทคโนโลยีเติบโตดี ก็แค่ซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี ก็จะได้ลงทุนในหุ้นเด่นในกลุ่มทันที ทีนี้ก็ไม่ต้องมานั่งเสี่ยงดวงว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น เพราะเหมาหมด ถึงจะมีตัวขาดทุนบ้าง แต่ถ้ามีตัวขึ้นแรงๆ ก็จะสามารถชดเชยและดันให้ผลตอบแทนของกองนั้นเป็นบวกได้ (หลักการคล้ายๆ ลงทุนในดัชนี)
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1815
Finance
นักลงทุนควรขายหุ้นทั้งหมดเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวนหรือไม่?
null
ไม่ เพราะ การขายหุ้นทั้งหมดเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวนอาจส่งผลเสียต่อผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว ตลาดหุ้นมีความผันผวนอยู่เสมอ การพยายามจับจังหวะตลาดนั้นยากและอาจทำได้ไม่ดีเท่าการลงทุนระยะยาว การขายหุ้นทั้งหมดอาจทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรเมื่อตลาดหุ้นกลับมา คำอธิบายเพิ่มเติม: ตลาดหุ้นมีความผันผวนอยู่เสมอ หมายความว่า ราคาหุ้นมีขึ้นมีลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะในระยะสั้น ความผันผวนนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ข่าวเศรษฐกิจ สถานการณ์การเมือง ภัยธรรมชาติ ฯลฯ การพยายามจับจังหวะตลาด หมายถึง การพยายามขายหุ้นเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวน และซื้อหุ้นกลับเมื่อตลาดหุ้นกลับมา เป็นกลยุทธ์ที่ยากและอาจทำได้ไม่ดีเท่าการลงทุนระยะยาว เพราะว่า การคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลงนั้นยากมาก แม้จะคาดการณ์ได้ถูกต้อง แต่การจับจังหวะซื้อขายให้ตรงกับจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดของตลาดนั้นยากยิ่ง การซื้อขายหุ้นบ่อยครั้งอาจทำให้เสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายและภาษีมากขึ้น การลงทุนระยะยาว หมายถึง การลงทุนในหุ้นเป็นระยะเวลาหลายปี โดยไม่คำนึงถึงความผันผวนของตลาดหุ้นในระยะสั้น กลยุทธ์นี้มีหลักการว่า ในระยะยาว ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้น ตัวอย่าง: สมมติว่านักลงทุนคนหนึ่งลงทุนในดัชนี S&P 500 ในปี 2000 และขายหุ้นทั้งหมดเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวนในปี 2008 นักลงทุนคนนี้จะพลาดโอกาสในการทำกำไรเมื่อตลาดหุ้นกลับมาในปี 2009 และ 2010 ผลตอบแทนการลงทุนของนักลงทุนคนนี้จะน้อยกว่านักลงทุนที่ลงทุนระยะยาว ในทางตรงกันข้าม สมมติว่านักลงทุนอีกคนหนึ่งลงทุนในดัชนี S&P 500 ในปี 2000 และถือหุ้นไว้จนถึงปี 2020 นักลงทุนคนนี้จะได้รับผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี แม้จะผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจหลายครั้งก็ตาม ข้อควรระวัง: - การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงอยู่เสมอ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน - นักลงทุนควรเลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ - นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สรุป: - นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการขายหุ้นทั้งหมดเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวน - การลงทุนระยะยาวเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในหุ้น - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน
5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_182
Finance
อธิบายหุ้น Defensive มีความน่าสนใจเนื่องจาก
null
1. รายได้และกำไรมีเสถียรภาพ ไม่ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ รายได้และกำไรของหุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างมีเสถียรภาพ เนื่องจากสินค้าและบริการของหุ้นกลุ่มนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้อุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ไม่ว่าเศรษฐกิจในช่วงนี้จะดีหรือไม่ดี บริษัทก็ยังสามารถสร้างผลประกอบการที่ดีและจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ ภาวะเศรษฐกิจจึงไม่ค่อยมีผลกับผลประกอบการของบริษัท 2. ความผันผวนต่ำ ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ตลาดหุ้นเป็นขาลง หุ้น Defensive มักจะได้รับผลกระทบไม่มากเนื่องจากทุกคนยังมีความต้องการใช้สินค้าหรือบริการอย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นจึงลดลงน้อยกว่าตลาด เรียกว่าเป็นหุ้นที่มีความผันผวนของราคาต่ำเมื่อเทียบกับความผันผวนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ จึงเหมาะกับการลงทุนในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง 3. ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัว ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น หุ้น Defensive มักทำผลตอบแทนได้ดีและให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แต่ผลตอบแทนอาจไม่สูงหรือไม่หวือหวาเท่ากับหุ้นเติบโต อย่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ทำผลตอบแทนได้ดีกว่า ซึ่งจากข้อมูลบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) พบว่า ปีนี้หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ หลายตัวราคาปรับตัวขึ้นมา 40-100% จากกระแสของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่กำลังมาแรง ทั้งนี้ หากมองในมุมความเสี่ยง หุ้นเติบโตก็มีความเสี่ยงมากกว่าหุ้น Defensive เช่นกัน สาเหตุที่แนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนหุ้น Defensive ในช่วงนี้เนื่องจากตลาดหุ้นมีความผันผวนและความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย โดยหุ้นไทยยังคงต้องติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด รวมถึงทิศทางของเงินทุนต่างชาติ ส่วนหุ้นโลกยังไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ๆ เข้ามา ในขณะที่ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของธนาคารต่างๆ ของสหรัฐฯ จากการที่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_1820
Finance
จงบอก 7 ความคิดต้องห้ามถ้าอยากรวย ในรูปแบบของการเปรียบเทียบคำพูดระหว่างพ่อจนกับพ่อรวย
null
1. พ่อจนบอกว่า “ฉันซื้อมันไม่ได้หรอก” พ่อรวยบอกว่า “ฉันจะซื้อมันได้อย่างไร” ประโยคของพ่อจนเป็นเพียงประโยคบอกเล่าที่ชวนให้ท้อถอยเสียเหลือเกิน แค่พูดคำนี้สมองก็ไม่ทำงานต่อแล้ว ส่วนประโยคของพ่อรวยเป็นคำถามที่กระตุ้นสมองให้คิดหาวิธีสร้างเงินเพื่อมาซื้อสิ่งนั้น ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าควรจะซื้อทุกอย่างที่ปรารถนา แต่ประเด็นอยู่ที่การฝึกสมองให้คิดหาคำตอบเรื่อยๆ ต่างหาก ว่าจะหาทางสร้างเงินอย่างไร 2. พ่อจนบอกว่า “ฉันทำงานเพื่อเงิน” พ่อรวยบอกว่า “เงินทำงานให้ฉัน” ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนธรรมดาอย่างหนึ่ง คือ วิธีที่พวกเขาได้รับเงิน คนธรรมดาส่วนใหญ่ทำงานแลกเวลาหาเงินกันไป แม้จะการันตีว่าได้เงินแน่นอนแต่ถ้ามัวแต่ทำงานแบบนี้อย่างเดียวโดยไม่หาทางให้เงินงอกเงยทางอื่นเลย ก็อาจจะทำให้เงินไม่พอในอนาคต และมีความเสี่ยงหากเกิดกรณีตกงานอีก ในขณะที่คนรวยนั้นส่วนใหญ่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ทำงานแบบมีค่าคอมมิชชั่น หรือเลือกลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ 3. พ่อจนบอกว่า “เรื่องเงินทอง อย่าไปเสี่ยง” พ่อรวยบอกว่า “จงเรียนรู้วิธีบริหารความเสี่ยง” มีหลายคนที่กลัวความเสี่ยง จึงเก็บเงินไว้กับตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าจริง ๆ ว่าความเสี่ยงนั้นสามารถบริหารจัดการกันได้ คนรวยส่วนใหญ่ลงเล่นเกมการเงินเพื่อเอาชนะ ซึ่งต้องมีความกล้าได้กล้าเสียระดับหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็สามารถรับความไม่แน่ไม่นอนได้ นั่นหมายความว่า พวกเขาไม่ได้แค่หลับหูหลับตาก้าวเข้าไปสู้รบแบบไม่รู้เรื่องอะไร แบบนั้นอันตราย พวกเขาต้องกล้าที่จะรับความเสี่ยงแบบชาญฉลาด ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์และความรู้ระดับหนึ่ง ดังนั้น เพื่อที่จะให้ได้ประสบการณ์และความรู้มากขึ้น ก็ต้องลองผิดลองถูกและเรียนรู้ทุกครั้งเมื่อสำเร็จหรือล้มเหลว เพื่อช่วยสร้างความแข็งแกร่งและเข้าใจความเสี่ยงมากขึ้น 4. พ่อจนบอกว่า “บ้านของฉันคือสินทรัพย์” พ่อรวยบอกว่า “บ้านของฉันคือหนี้สิน” ความแตกต่างระหว่างสินทรัพย์และหนี้สิน คือ สินทรัพย์คือสิ่งที่จะยังทำเงินได้ ส่วนหนี้สินจะดึงเงินออกจากตนเอง จุดสำคัญคือต้องเข้าใจว่าสินทรัพย์และหนี้สินต่างกันอย่างไร 5. พ่อจนบอกว่า “เรียนให้หนักเข้าไว้ จะได้ทำงานในบริษัทดีๆ” พ่อรวยบอกว่า “เรียนให้หนักเข้าไว้ จะได้สามารถเป็นเจ้าของบริษัทดีๆ ได้” เหล่าคนรวยมักไม่กลัวที่จะคิดการใหญ่ ตั้งความหวังไว้สูงๆ และคาดหวังว่าจะทำเงินได้เยอะๆ ในขณะที่คนธรรมดาทั่วไปคาดหวังว่าจะต้องลำบาก และไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้สูงมาก 6. พ่อจนบอกว่า “ฉันไม่มีวันรวยหรอก” พ่อรวยบอกว่า “ฉันเป็นคนรวย” แม้ว่าพ่อรวยจะเจอภาวะล้มละลาย ก็ยังเรียกตัวเองว่า “คนรวย” โดยเสริมว่า ความแตกต่างระหว่างการล้มละลายกับความจนคือ การล้มละลายมันแค่ชั่วคราว แต่ความจนคือตลอดไป 7. พ่อจนบอกว่า “ฉันไม่สนใจเรื่องเงินหรอก” พ่อรวยบอกว่า “เงินคืออำนาจ” ส่วนใหญ่มักถูกสอนให้เรียนดีๆ หางานดีๆ และพอใจในชีวิตที่มีอยู่ จะว่าเป็นความคิดที่ดีมันก็ดี มันทำให้ไม่โลภอยากได้อะไรเกินตัวเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจจะปิดกั้นศักยภาพบางอย่างที่อาจจะเติบโตได้อีก ในทางตรงกันข้าม คนรวยจะคิดถึงเรื่องเงินแบบเป็นขั้นเป็นตอน และมองเงินว่าเป็นเครื่องมือที่มีอำนาจซึ่งสามารถนำมาซึ่งตัวเลือกและโอกาสต่างๆ ได้ พูดง่ายๆ คือ ไม่ว่าเงินจะถูกมองไม่ดีอย่างไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีเงินเยอะๆ ก็ถือเป็นแต้มต่อให้ชีวิตจริงๆ
5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1821
Finance
คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นลงทุนในกองทุนรวม มีอะไรบ้าง
null
1. ศึกษาหาความรู้: - เรียนรู้พื้นฐานการลงทุน ประเภทของกองทุนรวม ความเสี่ยง ผลตอบแทน - ศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมที่สนใจ เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน นโยบายการลงทุน - ศึกษากลยุทธ์การลงทุน 2. เริ่มต้นลงทุน: - ลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย เรียนรู้จากประสบการณ์จริง - กระจายความเสี่ยง ลงทุนในกองทุนรวมหลายประเภท - ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องกังวลกับภาวะตลาด 3. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: - ปรึกษานักวางแผนการเงิน ที่ปรึกษาการลงทุน - เลือกใช้บริการ robo-advisor 4. อดทนรอคอย: - เข้าใจธรรมชาติของตลาดหุ้น มีทั้งขาขึ้นและขาลง - อดทนรอคอย ผลตอบแทนที่ดีจะมาในระยะยาว เพิ่มเติม: เริ่มต้น: ลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ ตั้งเป้าหมาย: ระบุเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลา เงินทุน ควบคุมอารมณ์: ลงทุนอย่างมีสติ ไม่ใช้อารมณ์ ทบทวนพอร์ต: ตรวจสอบผลการลงทุน ปรับพอร์ตตามความเหมาะสม ตัวอย่าง: ศึกษา: เข้าคอร์สเรียนการลงทุน อ่านหนังสือ บทความ เว็บไซต์ เกี่ยวกับการลงทุน เริ่มต้น: ลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ ปรึกษา: ปรึกษานักวางแผนการเงิน ที่ปรึกษาการลงทุน อดทน: อดทนรอคอย ผลตอบแทนที่ดีจะมาในระยะยาว สรุป: การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้ เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย กระจายความเสี่ยง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และอดทนรอคอย
5.กลยุทธ์การลงทุน,6.การบริหารสินทรัพย์,7.การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1823
Finance
กลยุทธ์การลงทุนของ Jack Ma เน้นไปที่การเก็งกำไรระยะสั้นหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: กลยุทธ์การลงทุนของ Jack Ma เน้นไปที่การลงทุนระยะยาว เขาให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวมากกว่าผลกำไรระยะสั้น เขาลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แม้ว่าธุรกิจเหล่านั้นจะยังไม่盈亏平衡ก็ตาม คำอธิบายเพิ่มเติม: Jack Ma เริ่มต้นธุรกิจ Alibaba ด้วยเงินลงทุนเพียง $20,000 เขาเชื่อว่า Alibaba มีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ในที่สุด Alibaba ก็กลายเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน ปัจจุบัน Alibaba มีมูลค่าตลาดมากกว่า $200 พันล้าน ตัวอย่าง: ในปี 1999 Jack Ma ลงทุนในธุรกิจ Taobao ซึ่งเป็นเว็บไซต์ประมูลออนไลน์ ในช่วงแรก Taobao ไม่ได้盈亏平衡 แต่ Jack Ma ยังคงลงทุนในธุรกิจต่อไป เขาเชื่อว่า Taobao มีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ในที่สุด Taobao ก็กลายเป็นเว็บไซต์ประมูลออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน ข้อควรระวัง: การลงทุนระยะยาวมีความเสี่ยงอยู่เสมอ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรเลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สรุป: กลยุทธ์การลงทุนของ Jack Ma เน้นไปที่การลงทุนระยะยาว เขาให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวมากกว่าผลกำไรระยะสั้น เขาลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แม้ว่าธุรกิจเหล่านั้นจะยังไม่盈亏平衡ก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1824
Finance
การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ผ่านแพลตฟอร์ม Zipmex เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ความเสี่ยงสูง: คริปโทเคอร์เรนซีเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง (High Volatility) ราคาสามารถขึ้นลงได้อย่างรุนแรงในระยะเวลาสั้น ๆ นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด 2. ความรู้ความเข้าใจ: การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) กลยุทธ์การลงทุน การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) 3. กฎระเบียบ: กฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซียังอยู่ในช่วงเริ่มต้น กฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ นักลงทุนอาจเผชิญความเสี่ยงด้านกฎหมาย 4. ค่าธรรมเนียม: แพลตฟอร์ม Zipmex มีค่าธรรมเนียมในการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี นักลงทุนควรศึกษาเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมก่อนตัดสินใจลงทุน 5. ความปลอดภัย: แพลตฟอร์ม Zipmex เป็นเป้าหมายของแฮ็กเกอร์ นักลงทุนควรศึกษาและเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ปลอดภัย ประเภทของนักลงทุนที่เหมาะสม: นักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง (High Risk Tolerance) เข้าใจเทคโนโลยีบล็อกเชน กลยุทธ์การลงทุน การวิเคราะห์ทางเทคนิค การบริหารความเสี่ยง ศึกษาและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกฎระเบียบ เข้าใจค่าธรรมเนียม เลือกใช้แพลตฟอร์มที่ปลอดภัย ประเภทของนักลงทุนที่ไม่เหมาะสม: นักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ (Low Risk Tolerance) ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน กลยุทธ์การลงทุน การวิเคราะห์ทางเทคนิค การบริหารความเสี่ยง ไม่ศึกษาและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกฎระเบียบ ไม่เข้าใจค่าธรรมเนียม ไม่เลือกใช้แพลตฟอร์มที่ปลอดภัย สรุป: การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีผ่านแพลตฟอร์ม Zipmex ไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภท นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล ความเสี่ยง กฎระเบียบ ค่าธรรมเนียม และความปลอดภัยก่อนตัดสินใจลงทุน
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1825
Finance
จงสรุปบทความ เตรียมแผนเกษียณอย่างไร? กับทศวรรษที่กำลังจากหายไปของประเทศไทย
หลายคนคงเคยได้ยิน “3 ทศวรรษที่หายไป ของญี่ปุ่น” ประเทศไทยกำลังจะเป็นแบบนั้น ประเทศที่ครั้งหนึ่งตลาดหุ้นมีดัชนีอยู่ 39,916 จุด ในปีที่ 1989 ปัจจุบันปี 2020 อยู่ที่ประมาณ 23,000 จุดที่ไม่เคยทะลุจุดเดิมอีกเลย ประเทศที่เคยใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกได้สูญเสียตำแหน่งนี้ไปให้กับจีนแล้ว ดูจากรูปข้างล่าง คุณเคยคิดไหม…ประเทศจะเกิดทศวรรษที่กำลังจากหายไป ถ้าคุณไม่เคยคิด วันนี้ผมมีข่าวร้ายมาบอก “ประเทศไทยกำลังจะเจอทศวรรษที่กำลังจากหายไป” ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ผมขอสรุปงานวิจัยเรื่อง “ทศวรรษถัดไปของไทย ธุรกิจโตอย่างไรเมื่อคนไทยกว่า 40% เข้าสู่วัยเกษียณ” จากบทวิจัยของ เกียรตินาคินภัทร จากรูปที่ 1: จำนวนประชากรสูงวัยจะมีสัดส่วนมากขึ้นมาก ในขณะที่ประชากรในวัยที่กำลังทำงานและมีกำลังใช้จ่าย จะมีสัดส่วนลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากรูปที่ 2: GDP มีแนวโน้มลดต่ำลง เนื่องจากสาเหตุหนึ่งคือ โครงสร้างประชากรวัยทำงานลดลง ขาดกำลังซื้อการบริโภค จะส่งต่อไปยังการเก็บภาษีภาครัฐบาลเพื่อนำลงทุนต่อในระบบลดน้อยลง จากรูปที่ 3 บ่งบอกชัดเจนว่า ปัจจุบัน รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนไทยนั้น อยู่ระดับแค่ต่ำ แต่สัดส่วนของคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป กลับอยู่ระดับเดียวกับ Singapore ที่อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง แต่ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะมีสัดส่วนของคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมากขึ้นกว่าเดิม แต่รายได้กลับอยู่ในระดับเดิม รูปที่ 6 ธุรกิจดั้งเดิมที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เช่น รถยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม และเสื้อผ้า จะไม่สามารถขยายตัวได้ดีเหมือนเก่า ธุรกิจที่ยังสามารถขยายตัวได้ดี เช่น อุตสาหกรรมยา สุขภาพ โรงพยาบาล หรือด้านบริการ โดยสรุปจากบทวิจัยคือ การบริโภคจะเริ่มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ตลาดสินค้าในประเทศไม่เติบโตได้มากเหมือนในอดีต การขาดแคลนแรงงานจะซ้ำเติมให้ไทยดึงดูดการลงทุนได้น้อยลง ธุรกิจดั้งเดิมที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เช่น รถยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม และเสื้อผ้า จะไม่สามารถขยายตัวได้ดีเหมือนเก่า ธุรกิจที่ยังสามารถขยายตัวได้ดีตามแนวโน้มสังคมสูงวัย เช่น อุตสาหกรรมยา สุขภาพ โรงพยาบาล ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย และบริการอื่น ๆ ภาวะสังคมสูงวัยมีส่วนสร้างแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ เงินบาทแข็งค่า ยังสร้างความท้าทายและข้อจำกัดต่อนโยบายการเงินและนโยบายการคลังในระยะต่อไป คำถามใหญ่ที่คุณจะถามตัวเอง คือ จะเตรียมแผนเกษียณอย่างไรกับทศวรรษที่กำลังจากหายไปของประเทศไทย วันนี้ ผมขอฝากข้อคิด 3 ข้อที่อยากให้ทุกท่านเตรียมการรับมือทศวรรษที่กำลังจากหายไปของประเทศไทย 1. แผนการลงทุนเพื่อเกษียณ ถ้าคุณลงทุนเฉพาะ กองทุน LTF และ RMF หุ้นไทย คุณจะเจอขาดทุนเกือบ -20% จากต้นปี สิ่งที่คุณควรจะดูคือ พอร์ตการลงทุนเพื่อเกษียณตอนนี้สัดส่วนเป็นอย่างไร กุญแจที่สำคัญคือ พอร์ตการลงทุนจะต้องมีการกระจายหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก พอร์ตการลงทุนจะต้องมีการกระจายหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก ยิ่งถ้าคุณใกล้วัยเกษียณ การจัดพอร์ตเพื่อถอนเงินเกษียณจะทวีความสำคัญมาก เพราะหมดเวลาที่วัยหลังเกษียณจะลงทุนในตราสารหนี้อย่างเดียว การจัดพอร์ตเพื่อถอนเงินเกษียณจะทวีความสำคัญมาก ซึ่งก่อนจะจัดพอร์ตลงทุนคุณจะได้ทำ Gap Analysis ของการเกษียณให้ได้ก่อน เพื่อจะวางแผนได้อย่างถูกต้อง Gap Analysis 2. แผนการจัดการค่ารักษาพยาบาล เป็นที่ประจักษ์มาหลายปีแล้วว่า ค่ารักษาพยาบาลจะปรับตัวมากขึ้น โดยเฉพาะโรคร้ายแรงที่สูงมาก ดังนั้นคุณควรจะทบทวนแผนการจัดการค่ารักษาพยาบาลก่อนเกษียณและหลังเกษียณ แผนการจัดการค่ารักษาพยาบาล แผนแรก คุณควรจะมีแผนค่าใช้จ่ายครบตามรูป 3 เหลี่ยม คือ ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป ทุพพลภาพ โรคร้ายแรงระยะต่าง ๆ ทบทวนของเก่าและเพิ่มเติมตามความเหมาะสม โอนความเสี่ยงไปให้ประกันสุขภาพจะช่วยให้คุณบริหารค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญ อย่าลืม Heath Care Fund กองทุนค่ารักษาพยาบาล เพื่อนำมาจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณ และเป็นค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกที่อาจจะใช้ประกันสุขภาพไม่ได้ 3. การสร้างมรดกเพิ่มให้ลูกหลาน มรดกมี 2 ระดับ ระดับที่ 1 คือระดับพื้นฐาน เช่นภาระการศึกษาของบุตร หนี้สิน ระดับที่ 2 คือระดับความปรารถนา เช่น ต้องการจะให้ทายาทมีแต้มต่อ ไม่ได้เริ่มต้นนับ 0 มีเงินตั้งต้น ดังนั้น คุณจะต้องมีแผนสร้างมรดกเพิ่มให้ลูกหลานอย่างต่อความมั่งคั่งที่ยั่งยืน สร้างคุณค่ายามเราจากไป แผนสร้างมรดกเพิ่ม ทั้ง 3 ข้อแนะนำนี้ คุณลองกลับไปทบทวนแผนแต่ละแผนที่คุณมี ทศวรรษที่กำลังจากหายไปของประเทศไทยกำลังจะมาถึงแล้ว
ทศวรรษถัดไปของไทย ธุรกิจโตอย่างไร เมื่อคนไทยกว่า 40% เข้าสู่วัยเกษียณ โดยสรุปจากบทวิจัยคือ - การบริโภคจะเริ่มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ - ตลาดสินค้าในประเทศไม่เติบโตได้มากเหมือนในอดีต การขาดแคลนแรงงานจะซ้ำเติมให้ไทยดึงดูดการลงทุนได้น้อยลง - ธุรกิจดั้งเดิมที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เช่น รถยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม และเสื้อผ้า จะไม่สามารถขยายตัวได้ดีเหมือนเก่า - ธุรกิจที่ยังสามารถขยายตัวได้ดีตามแนวโน้มสังคมสูงวัย เช่น อุตสาหกรรมยา สุขภาพ โรงพยาบาล ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย และบริการอื่น ๆ - ภาวะสังคมสูงวัยมีส่วนสร้างแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ - เงินบาทแข็งค่า ยังสร้างความท้าทายและข้อจำกัดต่อนโยบายการเงินและนโยบายการคลังในระยะต่อไป คำถามใหญ่ที่คุณจะถามตัวเอง คือ จะเตรียมแผนเกษียณอย่างไรกับทศวรรษที่กำลังจากหายไปของประเทศไทย ข้อคิด 3 ประการ ได้แก่ 1. แผนการลงทุนเพื่อเกษียณ ถ้าคุณลงทุนเฉพาะ กองทุน LTF และ RMF หุ้นไทย คุณจะเจอขาดทุนเกือบ -20% จากต้นปี สิ่งที่คุณควรจะดูคือ พอร์ตการลงทุนเพื่อเกษียณตอนนี้สัดส่วนเป็นอย่างไร กุญแจที่สำคัญคือ พอร์ตการลงทุนจะต้องมีการกระจายหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก 2. แผนการจัดการค่ารักษาพยาบาล เป็นที่ประจักษ์มาหลายปีแล้วว่า ค่ารักษาพยาบาลจะปรับตัวมากขึ้น โดยเฉพาะโรคร้ายแรงที่สูงมาก ดังนั้นคุณควรจะทบทวนแผนการจัดการค่ารักษาพยาบาลก่อนเกษียณและหลังเกษียณ 3. การสร้างมรดกเพิ่มให้ลูกหลาน มรดกมี 2 ระดับ ระดับที่ 1 คือระดับพื้นฐาน เช่นภาระการศึกษาของบุตร หนี้สิน ระดับที่ 2 คือระดับความปรารถนา เช่น ต้องการจะให้ทายาทมีแต้มต่อ ไม่ได้เริ่มต้นนับ 0 มีเงินตั้งต้น ดังนั้น คุณจะต้องมีแผนสร้างมรดกเพิ่มให้ลูกหลานอย่างต่อความมั่งคั่งที่ยั่งยืน สร้างคุณค่ายามเราจากไป
5.ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0