date
stringlengths
12
13
title
stringlengths
20
290
text
stringlengths
9
61.3k
02 ต.ค. 2560
สกู๊ป : Medical Hub ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางสุขภาพโลก
Medical Hub หรือ การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ เป็นหนึ่งในเป้าหมายของรัฐบาลปัจจุบันเตรียมผลักดันให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากการแพทย์และบริการของไทย ต่างได้รับคำชื่นชมจากนานาประเทศทั่วโลก โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมขยายระยะเวลาพำนักให้กับหลายประเทศ พร้อมกับเตรียมประชาสัมพันธ์กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ตามนโยบาย Medical Hub เพื่อนำรายได้เข้าสู่ประเทศ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติฉบับปัจจุบัน รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องการเห็นขีดความสามารถของประเทศในด้านสุขภาพ และยกระดับมาตรฐานกับการดูแลสุขภาพในเชิงของการท่องเที่ยว ต่อยอดสู่การสร้างอาชีพ สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาล ที่ได้วางยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ หรือ Medical Hub ภายในระยะ 10 ปี นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2559-2568 ทั้งนี้ เพื่อให้สอดรับและได้มาตรฐานระดับโลก กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จึงได้กำหนดแนวทางการพัฒนาประเทศเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพ ออกเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย การเป็นศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ หรือ Wellness Hub ที่เป็นการบริการอย่างครบวงจร การเป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพ หรือ Medical Service Hub ที่ต่อยอดกับระบบสปา ระบบการทำงานเพื่อสร้างสุขภาพ รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทยและเป็นจุดหนึ่งที่หลายประเทศเข้ามาใช้บริการ การเป็นศูนย์กลางการศึกษา วิชาการและงานวิจัย หรือ Academic Hub ที่เกี่ยวกับสุขภาพ เป็นศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ หรือ Product Hub นอกจากนั้นคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ยังไม่เตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกขยายระยะเวลาพำนักในประเทศไทย ทั้งในกลุ่ม พักได้ไม่เกิน 90 วัน และกลุ่มพำนักระยะยาว Long Stay Visa อีกด้วย ขณะที่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งรับผิดชอบดูแลด้านการท่องเที่ยว ได้เตรียมประชาสัมพันธ์กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยส่งเสริมให้ปี 2561 เป็นปีการท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋ยั่งยืน ในหัวข้อกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงการเเพทย์และสุขภาพ Medical and Wellness Tourism รวมถึงงาน Medical Hub Expo 2018 เพื่อขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ และนำรายได้มาสู่ประเทศได้ในอนาคต ประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามามากที่สุดในโลก และด้วยการแพทย์และการบริการที่เป็นที่ยอมรับและประทับใจของนักท่องเที่ยว การยกระดับและผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ Medical Hub ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถือเป็นอีกหนึ่งหนทางที่สามารถสร้างเม็ดเงิน สร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงการแพทย์ของประเทศ สร้างความได้เปรียบของประเทศ กับการเป็นศูนย์กลางด้าน Medical Hub ในภูมิภาค
01 ต.ค. 2560
จ.ยะลา มีประชาชนสมัครจิตอาสาเฉพาะกิจฯ“ทำความดีเพื่อพ่อ”สานต่อพระราชปณิธาน น้อมถวายในหลวง รัชกาลที่ 9 รวมทั้งสิ้น 39,397 คน
30 วัน ชาวยะลา สมัครจิตอาสาเฉพาะกิจฯ“ทำความดีเพื่อพ่อ”สานต่อพระราชปณิธาน น้อมถวายในหลวง รัชกาลที่ 9 รวม 39,397 คน นางสาวศุภกร สุวรรณ์ ปลัดอำเภอ (เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการพิเศษ) หัวหน้ากลุ่มงานทะเบียนและบัตร ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองยะลา เปิดเผยว่า หลังจาก จ.ยะลา ได้เปิดรับสมัครจิตอาสาเฉพาะกิจ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ฯ เพื่อให้ประชาชนชาวยะลา ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมร่วมใจกันทำความดี สานต่อพระราชปณิธาน ถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน - 30 กันยายน 2560 ณ ที่ว่าการอำเภอ ทั้ง 8 อำเภอใน จ.ยะลา ในส่วนของ ที่ว่าการ อ.เมืองยะลา ในวันที่ 30 กันยายน 2560 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเปิดรับลงทะเบียน มีผู้มาลงทะเบียนสมัครจิตอาสาฯ รวมทั้งสิ้น 1,609 คน โดย ตั้งแต่วันที่ 1-30 ก.ย 60 มีผู้มาลงทะเบียน จำนวน ทั้งสิ้น 11,290 คน สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนในรอบที่ 1 จำนวน 3,093 คน สามารถมารับบัตรและสิ่งของพระราชทาน ได้ในวันที่ 10 ต.ค 60 ณ ที่ว่าการ อ.เมืองยะลา ซึ่งสิ่งของพระราชทาน ประกอบด้วย หมวก จำนวน 3,062 ใบ ผ้าพันคอ 3,062 ชิ้น เสื้อ 2,349 ตัว ปลอกแขน 3,093 ปลอก และ กระปุกออมสิน 833 ใบ ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนในรอบที่ 2 สามารถมารับสิ่งของพระราชทานได้ในวันที่ 22 ต.ค 60 ขณะที่ ยอดรวมประชาชนจิตอาสา จังหวัดยะลา ตั้งแต่วันที่ 1-30 ก.ย 60 มีผู้มาลงทะเบียน ทั้งสิ้น 39,397 คน (คิดเป็นร้อยละ 7.56 ของ จำนวนประชากร) แบ่งเป็น อ.เมือง ยะลา จำนวน 11,290 คน อ.เบตง จำนวน 3,674 คน อ.บันนังสตา จำนวน 3,720 คน อ.ธารโต จำนวน 1,768 คน อ.ยะหา จำนวน 5,142 คน อ.รามัน จำนวน 9,954 อ.กาบัง จำนวน 1,883 คน และ อ.กรงปินัง จำนวน 1,966 คน โดยงาน 8 ประเภท ที่มีประชาชนจิตอาสามาลงทะเบียน แบ่งเป็น ดอกไม้จันทน์ มีผู้ลงทะเบียน 3,108 คน งานประชาสัมพันธ์ มีผู้ลงทะเบียน 3,999 คน งานโยธา มีผู้ลงทะเบียน 1,717 คน งานขนส่ง มีผู้ลงทะเบียน 752 คน งานบริการ มีผู้ลงทะเบียน 18,788 คน งานแพทย์ มีผู้ลงทะเบียน 2,760 คน งานรักษาความปลอดภัย มีผู้ลงทะเบียน 7,191 คน และ งานจราจร มีผู้ลงทะเบียน 1,082 คน ซึ่งประเภทงานบริการ มีประชาชนเลือกลงทะเบียนมากที่สุด รองลงมา เป็นงานรักษาความปลอดภัย งานประชาสัมพันธ์ และงานดอกไม้จันทน์
29 ก.ย. 2560
รายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันนี้มาพบกันในบรรยากาศที่สบาย ๆ ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนได้เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ 28ตุลาคม 2559 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 นั้น ปัจจุบัน สรุปมียอดรวมประชาชนเดินทางมาสักการะพระบรมศพฯ กว่า 11 ล้านคนแล้วนะครับ เป็นที่น่าปลื้มใจ ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึงความอาลัยรัก ความศรัทธา และความจงรักภักดีของประชาชน ทุกหมู่เหล่า ที่มีต่อพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรนะครับ ก็ได้มุ่งมั่นเดินทางจากทุกสารทิศ เข้ามากราบถวายบังคมพระบรมศพ สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยทรงห่วงใยว่าประชาชนจะมีโอกาสกราบถวายบังคมพระบรมศพได้ไม่ทั่วถึง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ขยายเวลาการกราบถวายบังคมพระบรมศพ ออกไปจนถึงเวลา 24 นาฬิกา ของคืนวันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคมศกนี้ ซึ่งก็นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น อันหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ไม่เพียงแต่ทรงสถิตในดวงใจปวงชนชาวไทยทุกคนเท่านั้น แต่ยังทรงได้รับการถวายความยกย่องสรรเสริญ ในระดับนานาอารยประเทศอีกด้วย จากการที่ได้ทรงประกอบคุณงามความดี และดำเนินพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จนเป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้ ในการประชุมสันติภาพนานาชาติ 2017 เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีสนะครับ ได้มีการกำหนดหัวข้อ “การสร้างสังคมแห่งสันติภาพที่ยั่งยืน มรดกในพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช โดยผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก และผู้แทนถาวรประจำยูเนสโก จากประเทศต่าง ๆ ได้ขึ้นมากล่าวถวายราชสดุดี และแสดงความอาลัย เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ แด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 อันนำความซาบซึ้งมาสู่ปวงชนชาวไทย ทั้งประเทศ อีกวาระหนึ่ง ภายหลังจากที่ องค์การสหประชาชาติ ได้เคยจัดวาระพิเศษ ถวายแด่ “พ่อหลวงของเรา” เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ปีที่ผ่านมา โดยนายบัน คีมุน เลขาธิการสหประชาชาติ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การสหประชาชาติ จากหลายประเทศ ได้กล่าวถ้อยคำแสดงความอาลัยด้วยตัวเองเช่นกัน สิ่งสำคัญ คือ ขณะนี้ทางองค์การยูเนสโก ได้อัญเชิญแนวปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพียง” บรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ชาติสมาชิกได้นำไปประยุกต์ใช้ ในการกำหนดแผนพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทของประเทศตนเอง อันเป็นเครื่องยืนยันนะครับ ว่า “ศาสตร์พระราชา” นี้ เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและเป็นสากล เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโลก ผมจึงอยากให้พวกเราทุกคนได้ภาคภูมิใจ และหวงแหน “มรดกพระราชทาน” นี้ รวมทั้งร่วมมือกันน้อมนำไปประยุกต์ใช้ ในการสร้างความ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ให้กับประเทศชาติ และประชาชนสืบไปด้วยนะครับ พี่น้องประชาชนที่รักครับ รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ในวันนี้ ผมขอเปิดตึก “ภักดีบดินทร์” ให้พี่น้องชาวไทยทุกคนได้ชมกัน โดยตึกหลังนี้ จะเป็นสัญลักษณ์แห่ง “ความจงรักภักดี” ของปวงชนชาวไทย ที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะนี้ เราอยู่ในห้องทองธารา ภายใต้โดมสีทองประดับด้วยภาพศิลปกรรมสื่อผสม จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ชื่อภาพ “มหานที แห่งบารมีพระทรงธรรม” ที่สื่อความหมาย ถึงหยาดหยดจากน้ำพระทัย ที่รวมเป็นมหาสมุทรแห่งความเมตตา หล่อเลี้ยงผืนแผ่นดินที่แตกระแหง ให้พลิกฟื้นสู่ความชุ่มชื้น อุดมสมบูรณ์ ด้วยรอยยิ้มของความสุขสงบ ร่มเย็น ของพวกเราทุกคน วันนี้ผมมีเรื่องที่น่ายินดี มาเล่าให้พี่น้องประชาชนฟัง เกี่ยวกับการประกาศผลการจัดอันดับ ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ของสภาเศรษฐกิจโลก ซึ่งล่าสุดประเทศของเรา ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 32 จาก 137 ประเทศ ทั่วโลก หรือ “ดีขึ้น 2 อันดับ” จากปีที่แล้ว ทั้งนี้มีหลายประเด็นที่น่าสนใจผมขอยกตัวอย่าง ดังนี้ 1. ในภาพรวม ประเทศไทยมีคะแนนดีขึ้นใน 8 ด้านหลัก และอีก 4 ด้านหลักมีคะแนนเท่าเดิม โดยไม่มีด้านหลักใด ที่คะแนนลดลงเลย ทั้งนี้ ในส่วนที่ดีขึ้น มีในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ประสิทธิภาพตลาดแรงงาน การอุดมศึกษาและการฝึกอบรม รวมทั้งนวัตกรรม ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” และการพัฒนาต่าง ๆ เพื่อรองรับยุคดิจิทัลของประเทศในอนาคตด้วย 2. ด้านเศรษฐกิจมหภาค ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ของโลก ซึ่งเป็นด้านเดียว ที่เราอยู่ใน “10 อันดับแรก” ของโลก โดยมีปัจจัยส่งเสริมในหลายด้าน อาทิ การใช้จ่ายภาครัฐที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งมีกลไกในการปกป้องนักลงทุนที่ดีขึ้น ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมมากขึ้น ภาคเอกชนมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งมีการจดสิทธิบัตรเพิ่มขึ้น มีการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เช่น ตลาดทุนและสินเชื่อ ทำได้ง่ายขึ้น ความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขยายตัวดีขึ้น อันเป็นผลมาจากโครงการ “เน็ตประชารัฐ” ที่ส่งเสริมให้มีการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ตลาดต่างประเทศ และการส่งออก สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นต้น และ 3. ในนโยบายยกระดับการให้บริการของภาครัฐหลายมาตรการ โดยเฉพาะเรื่อง Ease of doing business ซึ่งมุ่งเน้นการลดระยะเวลาในการเริ่มก่อตั้งธุรกิจลงนั้น นับว่าเป็นปัจจัยแรก ๆ ที่บ่งชี้ให้เห็นถึงขีดความ สามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลการดำเนินการที่ผ่านมา ส่งผลให้คะแนนในส่วนนี้ ปรับดีขึ้น และคาดว่าในปีต่อไป จะดีขึ้นได้อีก เนื่องจากรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดจำนวนวัน ในกระบวนการต่าง ๆ ลง “10 เท่า” คือ จาก 25 วันครึ่ง ให้เหลือเพียง 2 วันครึ่งนะครับ และเราต้องให้ความ สำคัญกับธุรกิจ SMEs Startups สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน รวมทั้งบริษัทประชารัฐรู้รักสามัคคี จำกัด ทั่วประเทศด้วย เพราะว่าเป็นกลไก เครื่องมือ ที่สำคัญในการยกระดับรายได้ของประเทศด้วยการส่งออก มีการผลิตนวัตกรรมสินค้า ที่จะแข่งขันกันได้ เป็นโอกาสให้ทางเลือกให้กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่เหล่านี้ จะต้องเชื่อมโยงกันให้ได้ แล้วก็จะต้องผลิตสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น โดยสรุปแล้ว ผลการจัดอันดับดังกล่าวนั้นก็เป็นมุมมองจากภายนอก ที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นศักยภาพและความท้าทายของเรา ในอนาคตในหลาย ๆ ด้าน ได้แก่ (1) คือความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพของตลาดการเงิน (2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง (3) การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรในการสร้างนวัตกรรม (4) การเพิ่มขนาดของตลาดภายในประเทศและลดการพึ่งพาการส่งออก ทั้งนี้ ผมเห็นว่า เราจำเป็นนะครับ ที่จะต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไก “ประชารัฐ” ตั้งแต่ระดับชุมชน ไปจนถึงระดับชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงและเกื้อกูลกัน ในทุกๆ กิจกรรม นอกจากนั้นเราจำเป็นต้องดำเนินการอย่างมียุทธศาสตร์ เนื่องจากการลงทุนเพื่ออนาคตนั้น ต้องอาศัยการระดมทรัพยากรและเงินทุน รวมทั้งต้องอาศัยเวลาและความต่อเนื่อง ที่สำคัญคือความชัดเจนในการดำเนินนโยบายของภาครัฐที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทั้งภายในและภายนอกประเทศอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ หลายคนอาจไม่ทราบ หรือลืมไปแล้วว่าเป็นผลงานที่รัฐบาลนี้ ได้พยายามแก้ไข พยายามปรับปรุง และทำให้ดีขึ้นนะครับ เกิดขึ้นจนเป็นผลสัมฤทธิ์ จนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ สำหรับในประเทศ เราก็ต้องเชื่อมั่นกันเอง ผมว่าอย่าไปแบ่งแยกว่าอันนี้เป็นนายทุน หรือเป็นการลงทุนจากต่างประเทศ ไม่คำนึงถึงคนที่มีรายได้น้อย ไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะทุกอย่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แล้วทุกคนเข้าไปอยู่ในวงจร หรือในห่วงโซ่กันให้มากขึ้น เพราะฉะนั้นกลไกสำคัญก็คือกลไกประชารัฐ เราต้องร่วมมือกันให้มากกว่าเดิม เพื่อจะเข้าให้ถึงกับคนทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ เราต้องเรียนรู้การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลกันตั้งแต่วันนี้ เริ่มจากโทรศัพท์ มือถือของท่านเอง เว็ปไซต์ที่เป็นประโยชน์ของรัฐบาล ส่วนราชการ ภาคเอกชน อื่น ๆ ด้วย ทุกกิจกรรมทุกแผนงานโครงการ จะต้องมีการบูรณาการกัน ไม่ใช่ทำโครงสร้างเชื่อมต่อเสร็จแล้ว ในเรื่องดิจิตอล เราก็ต้องมาเสียเวลาเรียนรู้กันใหม่ เราต้องเตรียมให้พร้อมกับการทำงานในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิตอลไปพร้อมกันด้วย เมื่อเสร็จแล้วเราก็จะใช้งานได้ทันที ไม่ต้องมาสอนมาเรียนกันใหม่ พี่น้องประชาชน ครับ “ไทยแลนด์ 4.0” นั้น คือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ด้วยความรู้ ปัญญา และนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และทำน้อยลง แต่ได้ผลสัมฤทธิ์มากขึ้น หรือรายได้มากขึ้นด้วย ก็มีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาประเทศ เพื่อจะให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้ นโยบายของรัฐบาล ในการเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศ ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ ได้แก่ (1) โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อขยายโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ประมาณ 75,000 แห่ง หรือ ทุกหมู่บ้าน โดยเรากำลังเร่งดำเนินการอยู่เกือบ 25,000 หมู่บ้าน และ (2) โครงการระบบเคเบิลใต้น้ำ ระหว่างประเทศ ระหว่าง เอเชีย แอฟริกา ยุโรป ที่จะเพิ่มศักยภาพของวงจรสื่อสารระหว่างประเทศของไทย ลดต้นทุนในการเชื่อมต่อวงจรต่างประเทศลง เพิ่มโอกาสการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตสำหรับทุก ๆ คน รวมทั้งผู้มีรายได้น้อยด้วย เป็นช่องทางที่สำคัญที่สุด สำหรับผู้มีรายได้น้อย เข้าถึงได้ง่าย เข้าถึงได้เร็ว เราต้องพยายามเรียนรู้ ที่สำคัญคือจะส่งเสริมให้ไทยนั้นเป็น “ศูนย์กลางด้านดิจิทัล” ของภูมิภาคอาเซียนอีกเพราะเราเป็นแกนกลางของอาเซี่ยนอยู่แล้วทางภูมิศาสตร์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมได้กล่าวไปนั้น เป็นการลงทุนและภาพการพัฒนาในอนาคต แม้จะเป็นอนาคตที่ไม่นานนัก แต่ผมเห็นว่า “การพัฒนาตนเอง” ของเรานั้น เราไม่อาจชักช้าแม้วินาทีเดียว ดิจิตอลสามารถจะถึงกันได้ภายในไม่กี่วินาที เพราะฉะนั้นความคิดของเราก็ต้องปรับเปลี่ยนให้ทัน เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้วันนี้ เรียนรู้วิธีการพัฒนาตนเองให้ได้ผล ในทุกยุคทุกสมัย คือการปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ผมเคยพูดไปแล้วว่า หนังสือทุกเล่ม ตัวหนังสือหรือประโยคต่าง ๆ ในหนังสือนั้นมีชีวิตจิตใจ เมื่อจิตวิญญาณของผู้เขียน เพราะฉะนั้นคนอ่านก็สามารถที่จะติดตาม แล้วก็หาเหตุ หาผลไปได้ ซึ่งจะมีความรู้สึกที่ซาบซึ้ง ลึกซึ้ง มากว่าที่จะอ่นข้อความสั้น ๆ ง่าย ๆ สำหรับนักเรียน นักศึกษาแล้วนั้น การเรียนหนังสือ จากตำราเรียน ก็อาจจะเพียงพอสำหรับการสอบ แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการทำงานในอนาคต อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ หลายเรื่องที่ไม่มีสอนในหลักสูตร เพราะสอนให้คิด เขาสอนให้สมองได้รู้จักการคิดเป็นกระบวนการ มีการคิดวิเคราะห์ ตามหลักการ ตามวิชาการในหนังสือ แต่การที่จะเอาทุกอย่างมาร้อยเรียงต่อกันนี่ สติปัญญา สมองของเรา จะต้องเป็นคนทำเอง เราจะต้องอาศัยการค้นคว้าหาความรู้รอบตัวด้วยตนเอง รวมไปถึงการฝึกปฏิบัติ ลงมือทำด้วยตนเองด้วย เราจะได้คิดไปด้วย ไม่ใช่บางทีก็เชื่อไปทั้งหมด ก็ไม่มีความคิดของตัวเอง ต้องหาเหตุหาผลของตัวเองไปด้วย เคยเรียนไปแล้ว ว่าทุกคนไม่ใช่เชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน หรือไม่เชื่อทุกอย่างที่ได้ยินก็ไม่ได้ ทั้งสองอย่างต้องใช้สติปัญญาของตัวเองในการไตร่ตรอง ในการใคร่ครวญ เพื่อจะหาสิ่งที่ถูกต้อง และนำมาใช้ นำมาปฏิบัติ เหมือนกับนโยบายของกระทรวงศึกษาเวลานี้ก็คือการ “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ของรัฐบาลในปัจจุบัน สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว นอกจากการสืบค้นข้อมูลผ่านโลกอินเตอร์เน็ตแล้ว ผมเห็นว่าสื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ก็ยังคงมีความจำเป็น และเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ ผมเคยฝากไปแล้วว่า บรรดาสถานีโทรทัศน์ วิทยุต่าง ๆ นั้นควรจะสร้างขบวนการเรียนรู้ให้กับประชาชนไปด้วย นอกจากความบันเทิง เมื่อมีโอกาสทุกครั้ง อยากให้ทำแบบนั้น ซึ่งผมเองได้ติดตามอยู่บ้าง เปิดไปเจอตรงไหนที่มีสาระสำคัญผมก็จำไว้ แล้วศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม บางอย่างความคิดก็เกิดขึ้นดี ๆ หลายอย่าง นำไปสู่การบริหารราชการแผ่นดินได้ ผมดูตัวอย่างต่างประเทศบ้าง อ่านหนังสือ บทวิเคราะห์ต่าง ๆ เหล่านี้ เพราะมีองค์ความรู้ แล้วก็เป็นข้อมูลข่าวสารของทางราชการบ้าง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อันเป็นสาธารณะประโยชน์สำหรับทุกคน ถือว่าทุกคนเข้าถึงได้ง่าย แต่ทุกคนจะต้องอ่าน แล้วก็ไขว่คว้า หาเองจะได้ไม่ตกข่าว ที่สำคัญคือจะเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพราะว่ามีการอ้างอิง เนื่องจากมีกองบรรณาธิการ ต้องคอยดูแล ตรวจสอบความถูกต้องอยู่เสมอ ต้องมีจรรยาบรรณ ในการที่จะกำกับดูแลในเรื่องเหล่านี้ ก็อยากขอให้เจ้าของแหล่งความรู้ดังกล่าวได้มีการรักษามาตรฐาน รักษาจรรยาบรรณ ซึ่งเป็น “จุดแข็ง” ของตน ให้เป็นที่พึ่งของประชาชนตลอดไป นอกจากนั้น การจัดนิทรรศการต่าง ๆ โดยเฉพาะงานในระดับนานาชาติ ผมอยากให้ทุกคนมีความสำคัญให้ความสำคัญกับในเรื่องเหล่านี้มากยิ่งขึ้น นอกจากงานจัดของมาขายบางครั้งมีงานที่สำคัญ ๆ หลายงานซึ่งเหมาะกับการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะเด็ก เยาวชนโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นงาน Digital Thailand Big Bang หรืองาน Thai Tech Expo ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปแล้ว ก็ได้ช่วยสะท้อนศักยภาพของประเทศแล้วก็ความพร้อมของธุรกิจไทยในการที่เราจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งเทคโนโลยีและดิจิทัลไปพร้อมกับนานาประเทศด้วย สัปดาห์หน้า ก็จะมีงานนิทรรศการที่น่าสนใจ อาทิ 1. งาน Innovation Thailand Week 2017 ระหว่างวันที่ 5 ถึง 8 ตุลาคม นี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา นอกจากเป็นการจัดแสดงนวัตกรรม ในหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบัน การศึกษา สังคม ในทุกระดับแล้วก็ยังมีกิจกรรมส่งเสริมความรู้ เกี่ยวกับรูปแบบผลิตภัณฑ์ การออกแบบนวัตกรรมเชิงสังคม สตาร์ทอัพ แหล่งเงินทุนสนับสนุนนวัตกรรม การขอรับทุนพัฒนานวัตกรรม การส่งเสริมนวัตกรรมออกสู่ตลาด การทดสอบและมาตรฐานนวัตกรรมรวมถึงการเชื่อมโยงให้เกิดธุรกิจนวัตกรรม เป็นต้น 2. คืองานTalent Mobility Fair 2017 ในวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคมนี้ ณ ห้อง Ballroom Hall A ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งนอกจากจะมีการปาฐกถาพิเศษและการเสวนา ที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาคนและนวัตกรรม อันจะนำไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” แล้ว ยังมีการออกบูทของเครือข่าย กว่า 47 หน่วยงาน มีทั้งภาครัฐ เอกชน และ 20 มหาวิทยาลัย มีการจับคู่ เชื่อมโยงความช่วย เหลือด้านการวิจัย ให้กับนักวิจัยและทุนวิจัยภายในงานด้วย ทั้งนี้ ผมอยากให้ผู้ที่สนใจ ทั้งนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ได้ใช้เวลาว่างของตนเอง ถ้าเป็นนักเรียน นักศึกษาก็ในช่วงปิดเทอม ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น เปิดโลกให้กว้าง เป็นโลกที่เราต้องเรียนรู้นอกตำรา นอกห้องเรียน นอกหลักสูตร ท่านอาจจะพบประสบการณ์ใหม่ ๆ แล้วอาจจะค้นพบตนเอง หรือพบกับพรสวรรค์ในตัวเอง ซึ่งบางคนก็ยังไม่ทราบเลยว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในเรื่องอะไร ไปสนใจในเรื่องที่บางทีไม่ค่อยเป็นประโยชน์มากนัก เลยทำให้บดบังพรสวรรค์ของตัวเองออกไป จนมองไม่เห็น หลายคนอาจจะสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ จากการแสวงหาความรู้จากนิทรรศการเหล่านี้ ที่เปิดโอกาสให้มีการพบปะ พูดคุย ปรึกษาปัญหา และเชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง แล้วก็ปลายทาง คือ การผลิต การแปรรูป และการตลาด ที่ผมก็พูดอยู่เสมอ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในสามส่วนนี้แหละ ยังไงก็ออกนอกกรอบตรงนี้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ทำยังไงจะเข้าไปได้ ก็ต้องเปิดตา เปิดหูตัวเอง ศึกษา อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ ทุกช่องที่มีโอกาส มีประโยชน์ทุกช่อง อีกประการหนึ่งก็คือการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เราคงไม่ต้องไปคิดอะไรที่ยากจนเกินไป เพราะบางครั้งสลับซับซ้อน เราต้องเริ่มจากการวิจัยพัฒนา ที่กำหนดจากความต้องการ ประชาชนในเรื่องที่จะต้องแก้ไขปัญหาในชีวิต ในครอบครัวในการประกอบอาชีพ เพราะหลายคนที่ประสบปัญหาเดียวกันก็คือลูกค้าของท่านในอนาคต อันนี้พูดถึงว่าการที่จะใช้ดิจิตัล ในเรื่องของการวิจัยพัฒนา ยกตัวอย่างเช่น แอพพลิเคชั่น U Lease ซึ่งผันตัวจากเด็กแว้นท์นะครับ โดยพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับจัดไฟแน้นท์ เช่าซื้อมอเตอร์ไซต์ออนไลน์ ที่จะช่วยแก้ปัญหาและตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในวงจรธุรกิจดังกล่าวก็คือผู้ซื้อรถ ลูกค้า ผู้ขายรถ ร้านดีลเล่อร์ และผู้ให้สินเชื่อ บริษัทไฟแนนซ์ ซึ่งจุดประกายความคิด ก็เกิดจากประสบการณ์ทำงาน ประกอบความรู้ในห้องเรียนจนเป็นที่มาของอาชีพใหม่ แล้วก็ไม่กลับไปใช้ชีวิตของเด็กแว้นท์อีกต่อไป ก็ทราบว่านวัตกรรมนี้เข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย ในเวที Fintech Challenge 2017 ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ผมก็ได้จากการอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วนำมาเล่าในวันนี้ ก็ขอชื่นชม และขอให้เป็นตัวอย่างที่ดี สำหรับเด็กแว๊นที่ยังใช้ชีวิตที่เสี่ยงภัยและสูญเปล่า ให้ค้นหาตัวเองให้เจอ แล้วพัฒนาตนเองไปสู้เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เครื่องสำอางจาก “สเต็มเซลล์ข้าวไทย” ที่สกัดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อข้าว มีสรรพคุณช่วยชะลอริ้วรอยและช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำออกจากผิว เป็นเจ้าแรกในโลก แสดงให้เห็นว่าข้าวไทย สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมากมาย หลากหลายรูปแบบ ด้วยการวิจัย – การแปรรูปผลิตภัณฑ์ ท่านรู้หรือไม่ว่า น้ำมันรำข้าว ไขรำข้าว และแป้งข้าวเจ้า ก็สามารถนำมาเป็นส่วนผสมชั้นดีของลิปสติกข้าวไทย ซึ่งมีคุณสมบัติทั้งช่วยในการบำรุงและปกป้องแสงแดด โดย “ลิปสติกจากข้าว” ของไทย นับเป็นนวัตกรรม ที่ช่วยลด หรือทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศสำหรับการผลิตเครื่องสำอาง ลงได้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ผมได้ติดตามข่าวสารจากงานประชุมนานาชาติข้าว “Thailand Rice Convention 2017” เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับทราบถึงศักยภาพประเทศไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวเพื่อสุขภาพและความงาม ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพตามวิถีธรรมชาติ ทำให้เครื่องสำอางจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์เวชสำอางธรรมชาติ มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ยังมีนวัตกรรมข้าวไทยในอุตสาหกรรม เพื่อสุขภาพและความงามอีกหลายรายการ ที่ได้ตรารับรอง USDA Organic ไปแล้วและได้รับลิขสิทธิ์เทคโนโลยีข้าวแล้ว ทั้งนี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้นักวิจัยและขอกระตุ้นให้นักเรียน นักศึกษา ที่จะเติบโตขึ้นมาในวันข้างหน้า ได้ช่วยกันเร่งหาความรู้ใส่ตัว ทั้งในตำรา จากนิทรรศการต่าง ๆ สำหรับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ นวัตกรรมดี ๆ เพื่อยกระดับชีวิตของคนไทย ไปพร้อม ๆ กับที่รัฐบาลพยายามจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ต้องใช้ควบคู่กันไปมุมมองของต่างประเทศ และเราจะต้องเอามุมมองจากต่างประเทศเหล่านั้นมาคิดว่าเราจะได้ประโยชน์จากที่เขามองอย่างไรถ้าเราไม่พัฒนาตัวเอง ต่อให้เขามองดียังไงก็ตาม เราก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมา อย่าไปวาดหวังคอยแต่เพียงอย่างเดียว ที่กล่าวมาแล้วนั้น เราจะต้องไม่ปล่อยให้สิ่งประดิษฐ์ใดใดนั้นสูญเปล่า เรามีการคิดค้นมาตั้งหลายหมื่น เป็นแสนชิ้น แต่ถูกผลิตน้อยมาก เพราะฉะนั้นก็เหมือน “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” ก็ทำให้เกิดการผลิตไม่ได้ และใช้ได้ไม่มาก ไม่ทั่วถึง ราคาสูงมีความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ รายได้เราน้อย เราต้องมีการสานต่อ ขยายผล เพื่อจะนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ให้ได้ เอาเรื่องที่ใช้มาก ๆ เอาเรื่องที่เกษตรกรต้องใช้ เอาเรื่องที่ผู้มีรายได้น้อยต้องใช้ ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ ถ้าทำให้คุณภาพดีราคาถูกลง สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่น่าใช้ ทนทาน มีคุณภาพ มาตรฐาน ผมว่าขายดีหมด อันนี้ถือเป็นนวัตกรรมเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าต้องไปคิดเรื่องใหญ่โต เรื่องที่สลับซับซ้อน เครื่องจักร เครื่องยนต์ เหล่านี้อย่างเดียว อันนั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในเรื่องของอนาคต คนปัจจุบันเขามีปัญหาเรื่องรายรับกับรายจ่ายไม่ตรงกัน เพราะต้องไปซื้อของราคาแพง ที่เราทำเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราไปคิดอะไรที่ทำเองได้ แล้วจะได้ซื้อของแพง ๆ ให้น้อยลง ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งที่อยู่ในประเทศและอาศัยอยู่ต่างประเทศ โดยได้มีการร่วมกันประกอบพิธีวันที่ระลึกวันพระราชทาน ธงชาติไทย และเป็นวันครบรอบ 100 ปีของการประกาศให้ใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย โดยการเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา และร้องเพลงชาติไทยอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อวานนี้อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ ความผูกพัน ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ โดยไม่แบ่งชนชั้น เชื้อชาติและศาสนา คนไทยทุกคนมีความรู้สึกร่วมกันถึงความรักชาติ ทุกครั้งที่เราได้เห็นการเชิญธงชาติไทยขึ้นสูงยอดเสาในทุกสนามการแข่งขันกีฬา หรือแม้กระทั่งปลายยอดเขาเอเวอเรสต์เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของโลก ทั้งนี้ “ธงไตรรงค์” นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แทนชาติไทยและคนไทยแล้ว ยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ให้ทุกคนมีสำนึกในความเป็นชาติ “ทุกลมหายใจ” ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อ 4 ข้อคำถามของผม ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งนับจนถึงวันนี้ มีจำนวนกว่า 1 ล้านคนแล้ว ผมถือว่าเป็นทุกความเห็นมีคุณค่ามาก และยิ่งใหญ่กว่าการทำโพลสำนักใด ๆ ที่ผ่านมา ที่อาจจะเก็บตัวอย่างเพียงไม่กี่พันคนจากประชากร 65 ล้านคน ผมยังให้คณะกรรมการทำต่อไป ขอเชิญชวนทุกคน ทุกภาคส่วน ทั้งพ่อค้าประชาชน พลเรือน ตำรวจ ทหาร ครอบครัว ได้ช่วยกันมาแสดงความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ให้มากขึ้น คือถ้ามีอะไรที่จะเสนอแนะ หรือมีข้อคิดเห็นประการใดสามารถเขียนเพิ่มเติมมาได้ นอกจากตอบคำถามที่ผมถามไปแล้ว ผมจะได้นำมาสู่การคิด วิเคราะห์ มาสู่การนำสู่การปฏิบัติ เพื่อจะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินนั้นเป็นผลดี และเป็นที่พึงพอใจของทุกคน ในเรื่องของการการกำหนดนโยบายต่าง ๆ ก็จะได้ตรงตามที่พี่น้องประชาชนปรารถนา สำหรับสัปดาห์หน้า ผมมีกำหนดการเดินทางที่สำคัญไปปฏิบัติภารกิจ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามที่ได้รับเชิญไว้ล่วงหน้า ดังนั้นรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ครั้งต่อไป ก็จะมีการบันทึกเทปที่สหรัฐอเมริกา แล้วผมจะได้เล่าเรื่องราว สาระประโยชน์ จากการทำงาน ให้ทุกคนได้ฟัง ขอให้ติดตามชมด้วยในการไปต่างประเทศนั้น ผมได้สั่งการให้จัดช่างภาพ นักข่าว ได้ถ่ายภาพของบ้านเมืองของคนอื่นเขา ถนนหนทาง ตลาด บรรยากาศของเมืองเขา ให้พวกเราได้ดูด้วย จะได้คิดเปรียบเทียบกับบ้านเราว่าเราควรจะเป็นยังไง หลายอย่างถึงบอกว่าต้องอ่านหนังสือ หลายอย่างก็ต้องดูด้วยตาของตัวเอง หลายอย่างดูจากโทรทัศน์ก็ได้ สนใจประเทศอื่นเขาบ้าง ผมไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเหมือนเขา แต่เราเอาส่วนดี ๆ ของเขามาแล้วเอามาปรับปรุง ที่ดีอยู่มากพอสมควรแล้วให้ดียิ่งขึ้น ก็จะเป็นประเทศที่น่าอยู่น่าอาศัย น่าท่องเที่ยวอีกยาวนาน คนเขาจะได้ไม่เบื่อ วันนี้ก็มากันมากมาย วันหน้าผมก็อยากให้เขารักประเทศไทยมากันหลาย ๆ ครั้ง วันนี้น่ายินดีที่กรุงเทพเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวเป็นอันดับ 1 แล้วประเทศไทยก็มีรายได้จากการท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่การท่องเที่ยวจำนวนมากนั้น จริง ๆ แล้วรัฐบาลได้แต่เพียงส่วนเดียวเท่านั้น เป็นเรื่องของภาษี เรื่องอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ แต่ในส่วนที่ได้จริง ๆ คือรายได้ที่ลงไปสู่ผู้ให้บริการในพื้นที่ วันนี้ผมเน้นไปถึงชุมชนด้วย การท่องเที่ยวทางการเกษตร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือการท่องเที่ยวในพื้นที่หรือบรรยากาศสวยงาม หรือเป็นพื้นที่ที่เก่าแก่เชิงวัฒนธรรม เหล่านี้ต้องกระจายไปถึงข้างล่างให้ได้ในทุกจังหวัด นอกจากนั้น ในเรื่องของการที่พูดถึงการทุจริตโครงการต่าง ๆ ก็ต้องไปตรวจสอบ ผมไม่ได้นิ่งนอนใจ คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า มีหรือไม่มีในขณะนี้ พูดไม่ได้ ต้องไปตรวจสอบหลายประเด็น เป็นปัญหาละเอียดเล็กน้อย บางครั้ง ก็ต้องไปดูโดยเฉพาะโครงการ 9101 ผมให้ไปตรวจสอบ เพราะมีประเด็นปลีกย่อยมากมายที่ผมเรียนไปอันหนึ่งแล้ว แต่โครงการนี้เป็นโครงการที่ประชาชนมีส่วนร่วมจริง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการในลักษณะใหม่ที่ลงไปว่าจะมีคนที่ยังไม่เข้าใจ บางคนที่อาจจะไม่ไว้วางใจ แต่ผมก็พยายามหรือยืนยันว่าจะพยายามปราบปรามการทุจริตให้มากที่สุด แต่ขอให้ไปดูรายละเอียดข้างล่างด้วย ไม่ใช่ฟังอะไรมาทางแล้วไปแชร์กันต่อไป ก็ให้เวลาเขาตรวจสอบบ้าง ผมขอขอบคุณอีกครั้ง ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สำหรับเยาวชนก็ขอให้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ดูโทรทัศน์ อ่านโซเชียลมีเดียอะไรก็แล้วแต่ ลองอ่านแล้วก็คิด อันไหนไม่มีประโยชน์ก็ตัดทิ้งไปบ้าง บางทีก็ทำให้เราเสียสมาธิ ให้เราหาประสบการณ์นอกตำราเพิ่มเติม คิดว่าเราจะเอาที่โรงเรียนมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร อันนี้เป็นสิ่งที่ยาก นั่นคือความแตกต่าง ใครทำได้มากก็จะได้รับผลประโยชน์มาก ทำงานได้เก่งกว่าเขา ความคิดดีกว่าถ้าท่องอย่างเดียวไปสอบ สอบได้ที่หนึ่งแต่ทำงานไม่ได้ เพราะว่าใช้ตำราเหล่านั้นใช้วิชาการเหล่านั้นไปทำงานไม่เป็น ความคิดไม่ต่อเนื่อง วิเคราะห์ไม่เป็น ขบวนการไม่มี ผมขอฝากให้ลูกหลานทุกคนได้คิดตามด้วย ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
29 ก.ย. 2560
รายงานพิเศษ : นวัตกรรมเครื่องวิเคราะห์ความหอมของข้าว
ข้าว เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย เพราะเป็นอาหารหลักและสินค้าส่งออกที่ทำรายได้ให้กับประเทศ จังหวัดสุพรรณบุรี มีพื้นที่ปลูกข้าว คิดเป็นร้อยละ 62.16 ของพื้นที่ทำการเกษตร ซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ และสร้างรายได้ให้กับจังหวัดสุพรรณบุรีเช่นกัน รวมทั้งจังหวัดสุพรรณบุรี มีสถาบันวิทยาศาสตร์ข้าวแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานวิเคราะห์วิจัยเชิงลึก ที่สามารถวิเคราะห์ความหอมของข้าวด้วยเครื่องจมูกเล็กทรอนิกส์ แทนการใช้คนดม เพื่อบอกถึงความแตกต่างและไม่แตกต่างของกลิ่น นอกจากนี้ สถาบันวิทยาศาสตร์ข้าวแห่งชาติ ยังสามารถวิเคราะห์ความหอมในข้าวด้วยเครื่องแก๊สโครมาโทกราฟี เพื่อบอกถึงปริมาณและชนิดของกลิ่น นายอภิชาติ ลาวัณย์ประเสริฐ ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์ข้าวแห่งชาติ กล่าวว่า สถาบันวิทยาศาสตร์ข้าวแห่งชาติ เป็นหน่วยงานวิเคราะห์วิจัยข้าวเชิงลึกที่สามารถพัฒนาพันธุ์ข้าว และกลิ่นของข้าวให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดได้ สถาบันวิทยาศาสตร์ข้าวแห่งชาติ เป็นหน่วยงานที่เน้นการศึกษา วิเคราะห์ วิจัยเกี่ยวกับข้าว โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งบูรณาการระหว่างสาขาวิชาต่างๆ และหน่วยปฏิบัติการฐานพันธุกรรมข้าว ก่อนส่งต่อให้หน่วยปฏิบัติการปรับปรุงพันธุ์และการจัดการพืช ทำหน้าที่ทดสอบ ปรับใช้นวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่ถ่ายทอดสู่ศูนย์วิจัยข้าวต่างๆ นำไปต่อยอดใช้ประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชาวนาต่อไป อัศวิน โพธิ์ทัย ถ่ายภาพ อรจินดา บุรสมบูรณ์ สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงาน
26 ก.ย. 2560
นายกรัฐมนตรียืนยันธนาคารหลักของไทย 5 แห่งมีความเข้มแข็ง ย้ำประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นการปฏิบัติตามสากล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่วานนี้ (25 ก.ย.2560) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย 2 ฉบับ เรื่องแนวทางการระบุและการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศและรายชื่อธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ ว่า เป็นการกำหนดความเข้มงวดตามหลักสากลเท่านั้น โดยยืนยันทั้ง 5 ธนาคารที่อยู่ในประกาศนั้น มีความเข้มแข็งและมีความมั่นคงมาก นับตั้งแต่ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเป็นต้นมา พร้อมทั้งมีเงินสำรองมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ นายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกหรือแตกตื่นกับข่าวดังกล่าว ซึ่งในต่างประเทศก็ได้ปฏิบัติตามหลักสากลในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
24 ก.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมี
นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย เกี่ยวกับโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมี ว่า ช่วยพัฒนาชุมชนด้านเกษตรให้เข้มแข็งและการพัฒนาระบบเศรษฐกิจประเทศ ด้วยการน้อมนำแนวพระราชดำริต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มาสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ด้วยการระเบิดจากข้างใน ให้ชุมชนเป็นผู้ดำเนินการตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับเป็นของชุมชนโดยตรงและเน้นให้เกิดความยั่งยืนต่อเนื่องในอนาคตด้วย ที่สำคัญต้องการยกระดับศักยภาพการผลิต การลดต้นทุน และการสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรนำมาสู่การสร้างรายได้ให้เกษตรกรมีความมั่นคง เพื่อสร้างความเข็มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก ด้วยการกระจายให้ชุมชนละ 2.5 ล้านบาท ในเบื้องต้นดำเนินงานมาแล้ว 24,760 โครงการ ใช้งบประมาณไปแล้ว 24,054 ล้านบาท หากมีงบประมาณเหลือจะนำส่งคืนรัฐบาล ทั้งนี้ ภาพรวมเกษตรกรมีความพอใจมากถึงร้อยละ 96 เนื่องจากสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและแหล่งความรู้ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวย้ำว่า เงินงบประมาณจะถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง เพราะมีระบบการบริหารจัดการตั้งแต่ขั้นตอนการนำเสนอโครงการ โดยชุมชนต้องช่วยกันคิดโครงการในรูปแบบของคณะกรรมการชุมชน ควบคู่กับการจัดทำประชาคมชุมชนและสุดท้ายเงินงบประมาณจะเข้าบัญชีของชุมชน รวมทั้งยังมีระบบติดตาม ทั้งภาคราชการและภาคประชาชน
23 ก.ย. 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตามความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมการให้บริการประชาชนท่าอากาศยานนานาชา
วันนี้ (23 ก.ย. 60) ที่ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เดินทางมาตรวจติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการ เพื่อรองรับการให้บริการประชาชนของท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี โดยนายสิธิชัย จินดาหลวง รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้เข้าชี้แจงรายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าของโครงการในจุดต่างๆ ของท่าอากาศยาน ซึ่งในปัจจุบันรองรับเที่ยวบินวันละ 23 เที่ยวบิน ผู้โดยสารมากกว่าวันละ 2,500 คน นายมารุต ยิ่งคงดี รักษาการผู้อำนวยการท่าอากาศยานนานาชาติ อุดรธานี กล่าวว่า ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ได้ทำการปรับปรุงเพื่อเตรียมความพร้อมในการให้บริการประชาชน ในเรื่องของสถานที่จำหน่ายสินค้าในอาคาร สถานที่จอดรถที่เป็นมาตรฐานสามารถรองรับจำนวนรถได้มากขึ้น ปรับปรุงระบบไฟฟ้า ไฟส่องสว่าง ปรับปรุงระบบเครื่องปรับอากาศ ปรับปรุงลานจอดท่าอากาศยาน ปรับปรุงระบบการ Check In จากระบบเดิมให้เป็นระบบ In Line ซึ่งสามารถลดขั้นตอน มีความสะดวก รวดเร็ว ในการให้บริการประชาชนมากขึ้น รวมไปถึงการติดตั้งระบบตรวจอาวุธและวัตถุระเบิด EDS พร้อมสายพานลำเลียงสัมภาระห้องควบคุมและอุปกรณ์ โดยการดำเนินโครงการมีความคืบหน้าไปมาก คาดว่าภายในเดือนตุลาคม 2560 นี้ จะสามารถให้บริการกับประชาชนได้
23 ก.ย. 2560
อบจ.พังงา ปิดท่าเรือ หลังฝนตกหนักต่อเนื่อง กระแสน้ำซัดโป๊ะจมน้ำ
นายบำรุง ปิยนามวาณิช นายก อบจ.พังงา นำเจ้าหน้าที่กองช่างเข้าตรวจสอบท่าเทียบเรือบ้านท่าด่าน ต.เกาะปันหยี อ.เมืองพังงา หลังจากได้รับแจ้งว่า โป๊ะที่ใช้เทียบเรือให้ผู้โดยสารขึ้นลงได้ถูกกระแสน้ำจากคลองพังงา ที่มีปริมาณมากจากการที่เกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ซัดโป๊ะเสียหายจนจมน้ำ ไม่สามารถลอยขึ้น-ลงตามระดับน้ำได้ จนทำให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในทะเล ซึ่งจะใช้ท่าเรือแห่งนี้เป็นหลักได้รับผลกระทบ เจ้าหน้าที่จึงได้นำป้ายมาติดประกาศปิดปรับปรุงชั่วคราว นายบำรุง ปิยนามวาณิช เปิดเผยว่า ท่าเทียบเรือท่ากลางของ อบจ.พังงา เป็นท่าเรือหลักที่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามเกาะในอ่าวพังงาใช้มากที่สุด จากการตรวจสอบพบว่า สภาพของโป๊ะที่มีสภาพเก่าและใช้งานมานานได้กระแสน้ำขึ้นลงซัดจนชำรุดจมอยู่ในน้ำ ล่าสุดทาง อบจ.พังงาได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 3.2 ล้านเพื่อเตรียมซ่อมปรับปรุงไว้เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ในระหว่างนี้ขอให้ไปใช้ท่าเรืออีก 3 จุดที่ยังใช้งานได้เป็นปกติ ประกอบด้วย ท่าเหนือ ท่าใต้ และท่าหน้าร้านอาหารจ่าจรัญ โดยทาง อบจ.พังงา จะเร่งรัดซ่อมปรับปรุงโดยเร็วต่อไป
23 ก.ย. 2560
บรรยากาศ 2 วัน การแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยจังหวัดอำนาจเจริญ
นายวิชยันต์ บูรณะกิจภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ เป็นประธานมอบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้กับผู้มีรายได้น้อย เมื่อวันที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา ที่สำนักงานคลังจังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งจังหวัดอำนาจเจริญมีผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 103,376 คน ผู้ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ และมีสิทธิ์รับบัตร จำนวน 82,317 คน รวม 2 วัน มีประชาชนผู้มีสิทธิ์ทยอยเดินทางมารับบัตรสวัสดิการที่ตนเองลงทะเบียนไว้ จำนวน 5,316 คน คิดเป็นร้อยละ 6.45 บัตรนี้จะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป ตามร้านค้าธงฟ้าที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 109 แห่งของจังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งขณะนี้ได้ติดตั้งเครื่อง EDC จำนวน 39 แห่งแล้ว นางวชิราพร บุญคล่อง คลังจังหวัดอำนาจเจริญ กล่าวว่า ผู้ที่ลงทะเบียนเป็นผู้มีรายได้น้อย และผ่านหลักเกณฑ์ สามารถเดินทางมารับบัตรสวัสดิการได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกว่าผู้มีสิทธิ์มารับบัตรจนครบ ตามธนาคารทั้ง 3 แห่ง และสำนักงานคลังจังหวัด สำหรับผู้ที่ไม่มีรายชื่อ สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ภายในวันที่ 29 กันยายนนี้ และจะประกาศรายชื่อผลการอุทธรณ์ในวันที่ 24 ตุลาคม 2560 นอกจากนี้ ตามจุดที่ประชาชนไปรับบัตรสวัสดิการจะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำ อำนวยความสะดวก และชี้แจงรายละเอียดการใช้บัตรของผู้ได้รับสิทธิ์ให้ทราบ เช่น ใช้ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการซื้อเครื่องอุปโภคบริโภค วัตถุดิบทางการเกษตร วงเงินค่าโดยสารรถเมล์/รถโดยสาร บขส./รถไฟฟ้า และวงเงินส่วนลดในการซื้อก๊าซหุงต้ม 45 บาท/3 เดือน ซึ่งจะโอนเงินเข้าทุกวันที่ 1 ของเดือน เว้นลดค่าก๊าซหุงต้ม 3 เดือน จะโอนให้ได้ 1 ครั้ง ในกรณีบัตรชำรุด หัก ขูดขีด จากการกระทำของตนเอง จะต้องมีค่าใช้จ่าย ในการทำบัตรใหม่ และถ้าหากทำบัตรสูญหาย ขอให้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรก่อน แล้วจึงไปติดต่อขอทำบัตรใหม่ได้ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด เท่านั้น
23 ก.ย. 2560
เปิดอบรม หลักสูตรพัฒนาร้านค้าประชารัฐต้นแบบเพื่อชุมชน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันนี้ (23 ก.ย. 60) ที่โรงแรมสกลแกรนด์พาเลช จังหวัดสกลนคร นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เป็นประธานในการแถลงข่าวเปิดตัว โครงการยกระดับร้านค้าประชารัฐเพื่อชุมชน พร้อมจัดอบรมโครงการยกระดับร้านค้าประชารัฐเพื่อชุมชน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีผู้แทนร้านค้าประชารัฐกองทุนหมู่บ้านฯ จำนวน 600 ทั่วอีสานเข้าร่วม ซึ่งโครงการนี้เป็นการขับเคลื่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจฐานราก ผ่านกลไกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ในการสนับสนุนร้านค้าประชารัฐเพื่อชุมชนใน 20,000 หมู่บ้าน ให้ยกระดับสู่ความสำเร็จในยุค 4.0 ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความร่วมมือสนับสนุนโครงการยกระดับร้านค้าประชารัฐเพื่อชุมชนของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาคนเพื่อพัฒนาประเทศ ตามนโยบายของประชารัฐเพื่อเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ท่ามกลางบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ได้สร้างความท้าทายให้แก่ตลาดและร้านค้าชุมชนหลายด้าน ได้แก่ 1.การแข่งขันที่เข้มข้นจากตลาดและร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ ที่มีอำนาจต่อรองและความได้เปรียบจากขนาด ทำให้ผู้บริโภคเลือกเข้าร้านค้าชุมชนน้อยลง 2.การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลทำให้ธุรกิจต่างๆ แข่งขันโดยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่ตลาดและร้านค้าชุมชน ยังไม่สามารถเข้าถึงและมีใช้ 3.ตลาดและร้านค้าชุมชนยังขาดช่องทางในการนำสินค้าที่มีหลากหลายและคุณภาพมาจำหน่ายเป็นทางเลือกให้ลูกค้า 4.ผู้ประกอบการตลาดและร้านค้ายังขาดความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐให้สามารถอยู่รอดและเติบโต เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนในการเข้าถึงสินค้าในราคายุติธรรม รักษาสมดุลของกลไกตลาดไม่ให้เกิดการผูกขาดของธุรกิจกลุ่มทุนขนาดใหญ่ และสร้างกลไกในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง ด้าน รศ.นที ขลิบทอง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนแห่งชาติ (สทบ.) กล่าวว่า แนวโน้มของยอดขายร้านค้าประชารัฐเพื่อชุมชน 20,000 แห่ง อยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากยอดขายเดือนละ 120,000 บาท/ร้าน คาดว่าในปี 2560 จะเพิ่มยอดขายเป็นเดือนละ 200,000 บาทต่อร้าน หรือปีละ 2 ล้านบาทต่อร้าน หากรวมร้านค้าทั้งประเทศจะมียอดมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 4 หมื่นล้านบาท และหากรวมเงินทุนหมุนเวียนด้วยจะประมาณ 5 – 6 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะผลักดันให้ร้านค้าชุมชนเป็นสถานที่รวบรวมผลผลิตของชุมชน และกระจายไปยังตลาดกลาง เพื่อนำผลผลิตออกสู่ตลาดนอกพื้นที่ และมีแผนที่จะจัดให้มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างตลาดด้วยกัน เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ต่อไป
23 ก.ย. 2560
จ.สตูล นำถุงยังชีพแจกจ่ายให้แก่พี่น้องประชาชนพื้นที่อำเภอละงู 400 ชุด หลังผู้ประสบภัยไม่สามารถเดิน
วันที่ 23 กันยาบน 2560 เวลา15.00 น.นายภัทรพนธ์ รัตนพิเชฏฐชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล นำถุงยังชีพ จากสภากาชาดไทย จำนวน 400 ถุง และข้าวกล่อง ลงเรือท้องแบน ไปมอบให้แก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัย บริเวณ ซอยขนมจีน หมู่ที่ 3 ตำบลกำแพง อำเภอละงู จังหวัดสตูล ซึ่งได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถที่จะเดินทางมาสู่ภายนอกเพื่อหาซื้ออาหารและของอุปโภคบริโภคได้ โดยพบว่าหลายจุดมีน้ำไหลเชี่ยว ระดับน้ำลึกประมาณ 1-2 เมตร โดยสำนักงานสาธารณสุขอำเภอละงู ได้มีการนำเวชภัณฑ์ ไปแจกจ่ายให้กับประชาชนไว้ประจำบ้านทุกหลัง เพื่อป้องกันและรักษาโรค ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเกิดอุทกภัย เข่น ยาไข้หวัด ยาแก้ปวด และยาป้องกันโรค น้ำกัดเท้า โดยมีหน่วยรักษาความปลอดภัยทางทะเล กองทัพเรือ เกาะหลีเป๊ะ และสถานีเรือละงู ประมาณ 20 นาย ได้มาช่วยขนย้ายสิ่งของหนีน้ำขึ้นที่สูง และสนับสนุนการแจกข้าวกล่องอาหารแห้ง น้ำดื่ม รวมทั้ง ช่วยเหลือประชาชนตามที่ได้ร้องขอ อย่างไรก็ตามการสำรวจเบื้องต้นขณะ อำเภอละงูมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 3,000 ครัวเรือน ประสำหรับจังหวัดสตูลได้รับผลกระทบ จากอุทกภัย ทั้ง 7 อำเภอ 29 ตำบล 212 หมู่บ้าน ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อน 17,156 ครัวเรือน 53,000 คน
23 ก.ย. 2560
สกุ๊ป : รู้เท่าทัน ซื้อของออนไลน์
การถูกหลอก ถูกโกงจากการซื้อของผ่านโลกออนไลน์ มีให้เห็นเป็นจำนวนมาก และนับวันยิ่งทวีคูณเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ซึ่งประชาชนจะมีวิธีการระวังตนเองอย่างไร เมื่อพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของประชาชนในยุคที่การติดต่อสื่อสารไร้พรมแดน การเข้าถึงข้อมูลสินค้า และบริการบนโลกอินเตอร์เน็ตสามารถทำได้ง่ายขึ้น ทำให้ประชาชนหันมาเลือกซื้อสินค้าผ่านซื้อออนไลน์มากขึ้น แทนการเลือกซื้อสินค้าด้วยตัวเองเหมือนในอดีต แต่ที่ผ่านมาการเลือกตั้งสินค้าผ่านทางออนไลน์ มีจำนวนไม่น้อยที่ประชาชน ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ ที่ใช้ช่องทางการขายของออนไลน์ ผ่านเว็ปไซด์ หรือ เฟสบุ๊ค หลอกลวงประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ได้รับเรื่องราวร้องเรียนมากกว่า 958 ราย และสามารถดำเนินคดีได้เพียง 3 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกรณีการสั่งซื้อสินค้าแล้วไม่ได้รับของ การทำสัญญาซื้อสินค้า และเมื่อมีการยกเลิก กลับไม่ได้รับเงินคืน รวมถึงกรณีการสั่งซื้อสินค้าแล้วได้รับสินค้าไม่ตรงตามสเปคที่สั่งซื้อไว้ สคบ. จึงได้แนะนำให้ประชาชนรู้เท่าทัน และเพิ่มความระมัดระวังในการเลือกซื้อสินค้าผ่านโลกออนไลน์มากขึ้น เพราะปัจจุบันมีมิจฉาชีพแฝงตัวเปิดร้านค้าออนไลน์ โดยไม่มีตัวตนชัดเจน จึงต้องมีการตรวจสอบให้มีความถี่ถ้วน แต่ที่ผ่านมาด้วยมูลค่าความเสียหายที่ไม่เกิน 1 พันบาท จึงอาจทำให้ผู้ที่ต้องเป็นเหยื่อละเลย กลายเป็นช่องทางทำมาหากินของมิจฉาชีพ ทั้งนี้ ผู้บริโภคควรเลือกร้านค้าที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการค้าหรือสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค เพราะผู้ประกอบการ จะมีตัวตัวที่ชัดเจน สามารถตรวจสอบได้ ขณะเดียวกันลักษณะสินค้า ต้องมีการระบุรายละเอียดชัดเจน ครบถ้วน มีช่องทางการจ่ายเงินให้เลือกชำระได้ โดยเฉพาะการเก็บเงินปลายทาง ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถตรวจสอบสินค้าได้ก่อนจ่ายเงิน แม้เทคโนโลยีปัจจุบันจะทำให้การซื้อขายสินค้าของประชาชนมีความสะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น แต่ท่ามกลางความความสะดวก กลับพบมีกลุ่มมิจฉาชีพที่ค่อยแผงตัว ใช้ช่องว่างที่เกิดขึ้น แสวงหาผลประโยชน์ จนทำให้ประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก การรู้เท่าทันกับการใช้เทคโนโลยีให้เกิดความคุ้มค่า และเป็นประโยชน์ ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีข้อมูล และความรู้ เพื่อเป็นเกราะกำบัง โดยมีภาครัฐเป็นสนับสนุนในการให้ความรู้และความช่วยเหลือ และหากประชาชนมีข้อสงสัย หรือตกเป็นเหยื่อ ไม่ได้รับการเป็นธรรมสามารถโทรร้องเรียนได้ที่สายด่วน สคบ. 1166 และสายด่วน 1111 สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ 24 ชั่วโมง
23 ก.ย. 2560
สกู๊ป : ก้าวต่อไป STARTUP Thailand 2018
หลังประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม จากงาน Startup Thailand 2017 ที่สร้างกระแสความตื่นตัวในธุรกิจสตาร์ทอัพให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเตรียมปั้นเด็กอาชีวะ สู่การเป็นนักรบทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 พร้อมหนุนการลงทุนจากต่างชาติในปีหน้า เพื่อให้ประเทศไทยของเรากลายเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วนนวัตกรรมและเทคโนโลยี นับเป็นภารกิจที่เร่งด่วนและท้าทายของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับการวางไทม์ไลน์กระตุ้นกิจกรรมธุรกิจสตาร์ทอัพในปี 2561 เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องให้โครงสร้างเศรษฐกิจประเทศไทยเดินหน้าสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม สำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพนับเป็นธุรกิจใหม่ในประเทศไทยที่มีการพัฒนาและเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มเป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างในงาน Startup Thailand 2017 ที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดสตาร์ทอัพรายใหม่ๆ กว่า 700 ราย สามารถระดุมเม็ดเงินการลงทุนได้ถึง 6,000 ล้านบาท สูงกว่าอัตราการเติบโตในปีที่แล้วถึงร้อยละ 50 ดังนั้นเพื่อให้เกิดการพัฒนาคนและธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลได้เตรียมจัดงาน Startup Thailand 2018ในช่วงกลางปีน้า ภายใต้แนวคิด INVEST NATION ที่จะเน้นการลงทุนจากต่างประเทศ โดยจะเชิญนักลงทุนจากต่างชาติให้มาลงทุนในสตาร์ทอัพไทย โดยตั้งเป้าหมายให้เกิดการลงทุนกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้งาน Startup Thailand กลายเป็นงานสตาร์ทอัพระดับโลก สำหรับความท้าทายก่อนการจัดงานในปีหน้า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเร่งปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อลดปัญหาและอุปสรรคในการประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพในไทย รวมถึงการวางรากฐานและพัฒนาทรัพยากรบุคคล ให้เพียงพอต่อการเติบโตในธุรกิจสตาร์ทอัพ เช่น การผลักดันกลุ่มอาชีวะศึกษา ให้กลายเป็นนักรบใหม่ทางเศรษฐกิจ และสุดท้ายคือการเพาะบ่มและเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยให้มีความสามารถในการขยายตลาดออกไปสู่ต่างประเทศ งาน Startup Thailand 2018 ที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2561 จะกลายเป็นเวทีที่แสดงความพร้อมของประเทศไทยที่จะร่วมมือทางธุรกิจกับทุกประเทศ และยังจะเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้บรรดาสตาร์ทอัพจากภูมิภาคเอเชียและทั่วโลกให้เข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์และการทำงาน ร่วมกับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไทย เพื่อยกระดับและเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การเป็นผู้นำด้านสตาร์ทอัพของภูมิภาคได้ในที่สุด
23 ก.ย. 2560
สกู๊ป : เทคโนโลยีไทยก้าวไกลสู่ไทยแลนด์ 4.0
การสร้างการรับรู้ถึงความจำเป็นที่เทคโนโลยีจะต้องเข้ามามีบทบาทในประเทศไทย คืออีกหนึ่งหน้าที่สำคัญที่รัฐบาลจะต้องช่วยสนับสนุน การจัดงาน งานไทยเท็กซ์ เอ็กซโป 2017 ภายใต้หัวข้องาน เทคโนโลยีไทยก้าวไกลสู่ไทยแลนด์ 4.0 นับเป็นอีกหนึ่งนิทรรศการ ที่จะเข้ามาช่วยให้ความรู้ถึงความจำเป็นในการพัฒนาชาติไทยในอนาคต เครื่องจักรที่ถูกนำมาแสดงภายในงาน ไทยเท็กซ เอ็กซโป 2017 ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต่อยอดจากความพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ผ่านโครงการ เทคโนโลยีไทยก้าวไกลสู่ไทยแลนด์ 4.0 ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจัดขึ้นเป็นสื่อกลาง เพื่อเทิดพระเกียรติในพระอัจฉริยะภาพที่หลากหลายด้านของพระองค์ จนได้รับการยอมรับในฐานะพระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย ก่อให้เกิดการต่อยอดพัฒนา เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ จนถึงปัจจุบัน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะหน่วยงานหลักของภาครัฐ ที่เข้ามามีบทบาทต่อการส่งเสริมการเรียนรู้ในด้านวิทยาศาสตร์ จึงได้นำองค์ความรู้ของพระองค์มาต่อยอด จัดเป็นนิทรรศการเพื่อให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้น้อมนำเอาไปศึกษาให้เกิดการเรียนรู้ที่เพิ่มเติม โดยมีองค์กรพันธมิตรอย่าง สมาคมเครื่องจักกลไทย และสภาอุตสาหกรรม เข้ามาร่วมกันถ่ายทอดเทคโนโลยีความก้าวหน้าของโครงการวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ โดยภายในงานยังได้นำเอาสิ่งประดิษฐ์ที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว มาจำหน่ายในราคาถูก เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในธุรกิจมากกว่า 700 ผลงาน นอกจากจะเป็นนิทรรศการที่ให้ความรู้แล้ว งาน ไทยเท็กซ เอ็กซโป 2017 ยังเป็นพื้นที่กลางให้ผู้ประกอบและนักวิจัยพูดคุย เพื่อให้เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันตามแต่ธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการซื้อกันและกัน เพื่อลดช่องว่างการทำธุรกิจและขั้นตอนที่ยุ่งยากลง สร้างความสะดวกรวดเร็วให้กันทั้งสองฝ่าย.ในการทำธุรกิจมากขึ้น สำหรับงานไทยเท็กซ เอ็กซโป 2017 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 20 -24 กันยายนนี้ ที่ศูนย์แสดงสินค้าไบเทคบางนา โดยกิจกรรมภายในงานจะมีโชว์นิทรรศการหลายแบบที่สำคัญเพื่อบ่งบอกการมุ่งสู่ยุคอุตสาหกรรมในอนาคต เช่น การพัฒนาย่านนวัตกรรม วัสดุวิศวกรรมนาโน อากาศยานไร้คนขับ เทคโนโลยีท้องฟ้าจำลองระบบดิจิตอล เทคโนโลยีทางการแพทย์ สิ่งสำคัญที่จะทำให้ประเทศมุ่งสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้ จะต้องเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่ต่อยอดให้เกิดการขยายเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรม ขณะเดียวยังสามารถขยายวงกว้างไปสู่ภาคการเกษตรได้อีกด้วย เพราะในอนาคตโลกแห่งการพัฒนาจะต้องขับเคลื่อนไปด้วยเทคโนโลยีที่และนวัตกรรมที่หลากหลาย การเปิดเวทีเป็นสื่อกลางศูนย์เรียนรู้ต่อยอดงานวิจัยจึงเป็นอีกหนึ่งแนวทาง ที่รัฐจะใช้สนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ต่อสังคม
23 ก.ย. 2560
สกู๊ป : ประชาชนขอบคุณรัฐ แจกบัตรสวัสดิการ
ประชาชนในหลายจังหวัดที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรผู้มีรายได้น้อยจากรัฐบาล ต่างพอใจและคาดหวังว่าจะนำบัตรนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น พร้อมกับขอบคุณรัฐบาลที่เข้ามาช่วยเหลือ แถวประชาชนที่ต่อคิวยาว เพื่อรอรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก่อนที่ธนาคารกรุงไทย สาขาข่วงสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ จะเปิดทำการ ถือเป็นภาพการตอบรับที่ดีของประชาชนที่เข้าร่วมโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จัดทำขึ้น เพื่อสำรวจความต้องการของประชาชนผู้มีรายได้น้อย ก่อนจะมีมาตรการให้การช่วยเหลือตรงกับความต้องการเพิ่มมากขึ้น ลดช่องว่างและความเหลือมล้ำของคนในสังคม ซึ่งจะเริ่มดีเดย์ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ นางอัมพร จันทร์ทิพย์ ชาวบ้านป่าตัน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นประชาชนอีกคนที่เดินทางมาติดต่อรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตั้งแต่ 7นาฬิกา เพื่อหวังจะได้บัตรเป็นคนแรก พร้อมยอมรับว่า มีความตื่นเต้นกับการที่จะได้บัตรสวัสดิการ เพื่อนำไปใช้รับการอุดหนุนจากภาครัฐในการช่วยเหลือค่าครองชีพ ซึ่งมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต จึงอยากขอขอบคุณรัฐบาลที่ให้ตนเองได้มีโอกาสที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีมีกำลังใจดิ้นรนสู้ชีวิตต่อไป ไม่ต่างจากที่จังหวัดลำปาง ซึ่งมีผู้เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับสวัสดิการแห่งรัฐอยู่ถึง 2 แสนคน โดยประชาชนชนต่างเดินทางทยอยมาเพื่อรับบัตรตั้งแต่ก่อนเวลาทำการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธกส. สาขาอาลัมภาค์ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เพื่อมาตรวจสอบรายชื่อและรับบัตรคิวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประชาชนที่มารอต่าง บอกว่า สวัสดิการที่ได้รับจากรัฐบาล สามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก โดยเฉพาะค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเดินทาง เพราะเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และเห็นความจริงใจของรัฐบาลที่เห็นความสำคัญของประชาชนผู้มีรายได้น้อย บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ประชาชนซึ่งผ่านการคัดกรองกว่า 11 ล้านคนจะได้รับ สามารถนำไปใช้เพื่อขอรับสวัสดิการแห่งรัฐ ในด้านต่างๆ อาทิ ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อคนต่อปี จะได้รับเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ 3 ร้อยบาทต่อคนต่อเดือน ส่วนผู้ที่มีรายได้สูงกว่า 3 หมื่นบาท จะได้รับเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ 2 ร้อยบาทต่อคนต่อเดือน และวงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าที่กระทรวงพลังงานกำหนด 45 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางรถเมล์ ขสมก รถไฟฟ้า 5 ร้อยบาทต่อคนต่อเดือน ซึ่งจะได้เฉพาะประชาชนในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล // วงเงินค่าโดยสารรถ บขส. 5 ร้อยบาทต่อคนต่อเดือน และ วงเงินค่าโดยสารรถไฟ 5 ร้อยบาทต่อคนต่อเดือน โดยในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และพระนครศรีอยุธยา จะได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แบบ Hybrid 2 Chips หรือ บัตรแมงมุม ซึ่งรับบัตรได้ในช่วงกลางเดือนตุลาคม การเริ่มต้นดีเดย์ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนและใช้ได้จริงในเดือนตุลาคม ถือเป็นโครงการที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้มีรายได้น้อย ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญที่รัฐบาลจะทำให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักที่มีรายได้ปานกลาง จากคุณภาพชีวิตของประชาชนที่สามารถดำรงชีวิตได้ด้วยตัวเอง และอยู่ในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี
23 ก.ย. 2560
สกู๊ป : สังคมไร้เงินสด ถนนสายใหม่ยุค Thailand 4.0
ปัจจุบันคนไทยหันมาใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์กว่าร้อยละ20 ซึ่งภายในระยะเวลาอีก 5 ปีข้างหน้า ภาคธนาคารตั้งเป้าให้ว่าจะมีคนไทยมั่นใจ และเข้าสู่สังคมไร้เงินสดเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ร้อยละ 20 ถึง 25 เนื่องจากการเดินหน้าสู่สังคมไร้เงินสด จะทำให้ประเทศไทยชิงความได้เปรียบบนถนนสายธุรกิจ ทำให้บรรดานักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างปักหมุดมาที่ประเทศไทย นำไปสู่เศรษฐกิจภายในประเทศเติบโตมากยิ่งขึ้น จำนวนประชากรที่ใช้เงินสดเพื่อใช้จ่าย หรือทำธุรกรรมทางการเงินที่มีอยู่ประมาณร้อยละ 80 ของประชากรทั้งประเทศ กำลังมีแนวโน้มที่ตัวเลขต่างๆจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายแผนยุทธศาสตร์และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ National e-Payment ของรัฐบาล โดยปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง รวมถึงผู้ประกอบการที่ให้บริการระบบการชำระเงินออนไลน์ ต่างหันมาตอบรับกับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย บนถนนสายการเงินสายใหม่ สู่ e-Payment เพื่อเป็นการยกระดับการแข่งขันในภาคธุรกิจ และยังเป็นการลดต้นทุนในด้านการผลิตธนบัตรและการขนส่งให้ตํ่าลงอีกด้วย ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่ในระยะที่ 2 ของโรดแมพ ของแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงิน ที่กำลังเดินหน้าผลักดันการใช้ระบบพร้อมเพย์ และมาตรฐานคิวอาร์โค้ด เพื่อการชำระเงินออนไลน์ ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของวงการการเงินไทย ที่มีความปลอดภัย สะดวกสบาย และตอบโจทย์เป้าหมาย เสริมทัพการแข่งขันและลดต้นทุนการผลิต รวมถึงการขนส่งธนบัตร สำหรับระยะต่อไปภาคธนาคารจะผลักดันและพัฒนาระบบการชำระเงินให้สะดวก และครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างเครือข่ายให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าถึงระบบธนาคารได้อย่างเท่าเทียม พร้อมทั้งสนับสนุนและส่งเสริมให้ภาครัฐเข้าถึง e-Payment ด้วยการปรับหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติในส่วนราชการ เช่น การเสียภาษี การรับเงินสวัสดิการต่างๆ ผ่านเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะเป็นการลดการทุจริตคอร์รัปชั่น การหลบหลีกภาษีเงินได้ ทำให้ประโยชน์กลับคืนสู่ประเทศชาติและประชาชนมากยิ่งขึ้น แม้ว่าในอนาคตประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์แบบ ที่ประชาชนไม่จำเป็นต้องใช้เงินสด เพื่อใช้ในการชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ลดปัญหาอาชญากรรมอื่นๆที่จะตามมาแล้ว แต่สิ่งที่เห็นและจะเป็นประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมบนถนนสายใหม่ในยุคประเทศไทย 4.0 อีกสิ่งหนึ่ง นั้นคือ การลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงของระบบธนาคาร นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้ประเทศไทยลงแข่งขันได้ในตลาดสากล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ ที่การทำธุรกิจกรรมต่างๆจะมีความรวดเร็ว และมีความปลอดภัยมากที่สุด
23 ก.ย. 2560
เปิดบ้าน วชช.ยะลา อนุรักษ์ขนมพื้นถิ่น “ชิม ช็อป โชว์” อาหารพื้นบ้าน
อนุรักษ์ขนมพื้นถิ่น วชช.ยะลา เปิดบ้าน“ชิม ช็อป โชว์” อาหารพื้นบ้านในสังคมพหุวัฒนธรรม ช่วงบ่ายวันนี้(23 ก.ย 60) วิทยาลัยชุมชนยะลา ได้จัดกิจกรรม“ชิม ช็อป โชว์” อาหารพื้นบ้าน ขนมพื้นถิ่นภายใต้โครงการจัดการเรียนรู้เกี่ยวกับอาหารพื้นบ้านในสังคมพหุวัฒนธรรม จ.ยะลา ขึ้น เพื่อเผยแพร่การทำอาหารพื้นบ้าน อาหารคาว-หวาน ให้กับประชาชนทั่วไปได้รับรู้ รับทราบ และได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาหารพื้นบ้าน ของ จ.ยะลา โดยมีนายวีระชัย กวีธีระวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาลัยชุมชน เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมโชว์การผัดหมี่เบตง ร่วมกับ นายจรูญ พรหมสุข ผู้อำนวยการวิทยาลัยชุมชนยะลา ส่วนราชการ แขกผู้มีเกียรติ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ร่วมชิม สำหรับกิจกรรม ซึ่งจัดขึ้น ภายในวิทยาลัยชุมชนยะลา มีการนำอาหาร ขนมพื้นบ้าน นานาชนิด ทั้งขนมปอลี ขนมอาเกาะ โรตี ซัมปูซ๊ะ มาสาธิต ให้ชิมฟรี และจำหน่าย ให้กับผู้เข้าร่วมงานได้เลือกซื้อโดยนักศึกษาสาขาวิชาการจัดการทั่วไป (ช็อป) และยังมีการจัดแสดง (โชว์) อาหารพื้นบ้าน ขนมพื้นบ้าน ขนมพื้นถิ่น ที่มีอยู่ใน จ.ยะลา รวมทั้ง ยังมีการประกวด แข่งขันการทำอาหารคาว-หวาน จำนวน 6 ชนิด ปนระกอบด้วย ไก่ฆอและ ละแซ สะเตไก่ ขนมจูโจ ขนมเจ๊ะแม๊ะ และขนมคลุกฝุ่น รวมทั้งกิจกรรมการแสดงลิเกฮูลู การแสดงมะโย่ง ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ มีประชาชน นักศึกษา คณาจารย์ ให้ความสนใจ เข้าร่วมกิจกรรมอย่างคึกคักโดยผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้จนถึงวันพรุ่งนี้(24 ก.ย 60) นายวีระชัย กวีธีระวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาลัยชุมชน กล่าวว่า การจัดงาน “ชิม ช็อป โชว์” อาหารพื้นบ้าน ขนมพื้นถิ่นครั้งนี้ เพื่อเป็นการเผยแพร่อาหารพื้นบ้าน อาหารคาว-หวาน และอนุรักษ์อาหารพื้นถิ่น ขนมพื้นบ้านในสังคมพหุวัฒนธรรม ของจังหวัดยะลา ให้คงอยู่สืบไปจนถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา และสามารถนำความรู้ ประสบการณ์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมงานไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาหารในครัวเรือน หรือสามารถต่อยอดไปประกอบอาชีพได้
21 ก.ย. 2560
รายงาน : โรงเรียนเกษตรกรชาวนา จ.สุพรรณบุรี
จังหวัดสุพรรณบุรี ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีฐานการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัย รวมทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ วันนี้เราจะพาคุณคุณผู้ชมไปรู้จักกับโรงเรียนเกษตรกรชาวนา ซึ่งเป็นโรงเรียนแห่งแรก ที่เปิดอบรมให้เกษตรกรได้เรียนรู้พัฒนาข้าว ตามกระบวนการผลิตอย่างถูกต้อง เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวและลดต้นทุนการผลิตลง ด้วยการใช้นวัตกรรมเข้ามาต่อยอดและพัฒนาผลผลิตให้มีความยั่งยืน ติดตามได้จากรายงาน ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีประสบกับปัญหาการผลิตข้าว เนื่องจากฝนไม่ตกตามฤดูกาล และราคาข้าวตกต่ำ ต้นทุนการผลิตสูง และหากเกษตรกร ยังคงผลิตข้าวตามรูปแบบเดิม เกษตรกรจะมีกำไรลดลง หรืออาจขาดทุน และส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ และภายหลังจากที่มีโรงเรียนเกษตรกรชาวนาจังหวัดสุพรรณบุรีขึ้น เกษตรกรได้มีโอกาสเรียนรู้กระบวนการผลิตแบบลดต้นทุนจากการพิสูจน์ด้วยตนเอง นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้มีการยกระดับศูนย์วิจัยข้าวจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นสถาบันวิทยาศาสตร์ข้าวแห่งชาติ เพื่อเป็นหน่วยวิจัยเชิงลึกในการทำวิจัยข้าวตามหลักยุทธศาสตร์ข้าว โรงเรียนเกษตรกรชาวนาจังหวัดสุพรรณบุรี จึงเป็นจุดศูนย์กลางที่บูรณาการการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร เพื่อสร้างเครือข่ายเกษตรกรด้านการเกษตรที่ปลอดภัยจากสารพิษ การรวมกลุ่มการผลิตที่เข้มแข็ง และสามารถเชื่อมโยงกลุ่มการผลิตเข้าสู่ตลาดแบบยั่งยืน อัศวิน โพธิ์ทัย : ถ่ายภาพ
20 ก.ย. 2560
สกู๊ป : Smart Packaging ความท้าทายในยุค 4.0
ปัจจุบันประเทศไทยถึงเวลาที่จะต้องปรับเปลี่ยนจากเศรษฐกิจในเชิงฐานการผลิต ไปสู่เศรษฐกิจเชิงมูลค่าด้วยนวัตกรรม ทั้งนี้การส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการสินค้านวัตกรรมให้มีรูปแบบและคุณภาพที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในต่างประเทศ และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่น นับว่าเป็นความท้าทายในภาคอุตสาหกรรมการผลิตในยุค ประเทศไทย 4.0 ไทยแลนด์ 4.0 ถือเป็นการผลักดันประเทศผ่านนวัตกรรม เพื่อก้าวพ้นกับดักประเทศ กลุ่มผู้ที่มีรายได้ปานกลางไปสู่กลุ่มประเทศผู้มีรายได้ระดับสูง โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ หรือ Packaging ถือว่ามีส่วนสำคัญต่อการพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มอาหารและกลุ่มสุขภาพและความงาม ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดและน่าสนใจ ด้วยการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้ก้าวทันต่อยุค 4.0 ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานการทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขาย การเข้าถึงสินค้าและตรวจสอบข้อมูลได้อย่างสะดวกสบาย โครงการ Smart Packaging เป็นการร่วมมือของหน่วยงานหลายแห่ง นำโดยสำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และบรรดาเหล่าพันธมิตรที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายเก่าและรายใหม่ สร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย สวยงาม และล้ำสมัยด้วยนวัตกรรม เพื่อให้สามารถสร้างความเชื่อมั่นและแข่งขันได้ในตลาดโลก ที่นอนเพื่อสุขภาพป้องกันหรือลดแผลกดทับจากแบรนด์ SAWAKY เป็นหนึ่งตัวอย่างที่บรรจุภัณฑ์เดิมใช้เพียงกระเป๋าถุงผ้าธรรมดา ซึ่งขาดข้อมูลต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งแม้ว่าตัวผลิตภัณฑ์จะได้รับรางวัลการรันตีมากมาย แต่บรรจุกลับไม่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อได้ แต่เมื่อแก้ไขปัญหาด้วยการปรับแบรนด์ใหม่ ปรับโลโก้ รวมถึงปรับบรรจุภัณฑ์ด้วยการนำกราฟิกมาใส่บนกล่อง กลับสามารถสร้างมูลค่าและสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มลูกค้าได้ เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโปรตีนสกัด ที่พัฒนาแบรนด์ด้วยการเข้าร่วมโครงการ Smart Packaging ซึ่งเดิมทีฉลากอาหารเสริมในท้องตลาด มักจะสื่อสารในด้านความแข็งแรง มีกลิ่นอายของความก้าวร้าว ซึ่งสวนทางกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ได้ต้องการร่างกายที่กำยำเช่นนั้น จึงปรับปรุงและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้ออกมาในลักษณะที่สมส่วน สื่อถึงการมีสุขภาพที่ดี ซึ่งทำให้รู้สึกถึงความเรียบง่ายแบบมินิมอลให้ดูทันสมัยมากขึ้น การดึงผู้ประกอบการให้เข้าถึงนวัตกรรมสำหรับบรรจุภัณฑ์ จึงเป็นหนึ่งความท้าทายของรัฐบาลที่ต้องเร่งพัฒนาให้เหล่าผู้ประกอบการนำเอาความรู้มาตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างเหมาะสม โดยยึดเอาคุณภาพและความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง สร้างอัตลักษณ์ที่มีความโดดเด่น เพื่อให้กลุ่มอุตสาหกรรมของไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้แข็งแรงและมั่นคงในเวทีโลก
20 ก.ย. 2560
ผบ.เรือนจำอุทัยธานีนำผู้ต้องขังชั้นดี บำเพ็ญประโยชน์ ทำความสะอาดปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณสถานที
ผบ.เรือนจำอุทัยธานีจัดผู้ควบคุมผู้ต้องขัง นำผู้ต้องขังชั้นดี บำเพ็ญประโยชน์ ทำความสะอาดปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณสถานที่ก่อสร้างพระเมรุมาศจำลองวัดสังกัสรัตนคีรี ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 หากพ้นโทษจะมุ่งมั่นทำความดียึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่จังหวัดอุทัยธานี นายณรงค์ คงปิ่น ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดอุทัยธานี ได้จัดผู้ควบคุมผู้ต้องขัง นำผู้ต้องขังจ่ายนอก หรือผู้ต้องขังชั้นดีที่มีความประพฤติเรียบร้อยและกำลังจะใกล้พ้นโทษจำนวน 20 คน ไปร่วมบำเพ็ญประโยชน์ทำความดีด้วยการทำความสะอาดโดยรอบสถานที่ก่อสร้างพระเมรุมาศจำลอง ในการถวายดอกไม้จันทน์ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่วัดสังกัสรัตนคีรี เขตเทศบาลเมืองอำเภอเมือง ด้วยการเก็บกวาดฉีดล้างคราบที่เกาะบันใดทางขึ้นยอดเขาสะแกกรัง และตัดแต่งกิ่งไม้ปรับภูมิทัศน์บริเวณเชิงเขาสะแกกรัง ทั้งนี้ ผู้ต้องขังดังกล่าวได้พูดเป็นเดียวกันว่า มีความตั้งใจที่จะทำความดีถวายแด่พระองค์ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่มีต่อปวงชนชาวไทย และขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำความดีในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ รวมทั้งที่จะขอกลับตัวเป็นคนดีของสังคม ประเทศชาติและครบครัว จะตั้งใจทำความดีเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป หากพ้นโทษออกไปก็จะยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ไปใช้ในชีวิตประจำวัน และนำเอาความรู้ วิชาชีพที่ได้รับจากการเรียนรู้ในเรือนจำ ออกไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และไม่หวนกลับมาทำในสิ่งที่ไม่ดีที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย อีกต่อไป
19 ก.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 19 กันยายน 2560
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการแผนงานแก้ไขปัญหาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง คลองระบายน้ำบางบาล-บางไทร ระยะทาง 22.4 กิโลเมตร เพื่อลดผลกระทบอุทกภัยซ้ำซากในพื้นที่ภาคกลาง รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำ ทั้งนี้คลองระบายน้ำดังกล่าวผันน้ำสูงสุด 2,400 ลูกบาศก์เมตร/วินาที และระหว่างนี้นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ กนช. ไปศึกษารายละเอียดโครงการให้เชื่อมโยงแผนแก้ไขปัญหาน้ำทั่วประเทศและศึกษาปลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ ไปศึกษารายละเอียดแผนดังกล่าวการเชื่อมโยง สำหรับการดำเนินการที่ได้อนุมัติในวันนี้ เป็นกระบวนการจัดหาที่ดินควบคู่กับการสำรวจออกแบบ คาดว่ากระบวนการดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปี 2562 ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติเริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการได้ภายในปี 2562 จะทำให้เริ่มก่อสร้างได้เร็วกว่าปกติ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการประกันสุขภาพ โดยยกเว้นเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันชีวิต หรือบริษัทประกันวินาศภัยที่ประกอบกิจการในราชอาณาจักร สำหรับการประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท สำหรับเบี้ยประกันภัยที่ได้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป สำหรับการประกันชีวิตของผู้มีเงินได้มาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนกรณีสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้มีการประกันชีวิตและความเป็นสามีและภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ผู้มีเงินได้มีสิทธินำค่าเบี้ยประกันชีวิตของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้มาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
17 ก.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : โฮมสเตย์สร้างชุมชนให้ยั่งยืน
นางสาววรรณศิริ โมรากุล อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า แนวโน้มของการท่องเที่ยวโดยชุมชนในอนาคตจะเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่หันมานิยมเดินทางท่องเที่ยวเชิงลึกมากขึ้น เพราะสามารถสัมผัสวิถีชีวิตในชุมชนที่เป็นอัตลักษณ์ ในแต่ละพื้นที่ของแต่ละประเทศได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งกรมการท่องเที่ยวได้ส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวในชุมชน โดยเชิญชุมชนหลายแห่งทั่วประเทศเข้าร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ และให้คำแนะนำชุมชนที่จัดการท่องเที่ยวเชิงลึก เช่น โฮมสเตย์ หรือชุมชน ที่จัดให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมทำกิจกรรมกับคนในชุมชน เช่น การร่วมผลิตชิ้นงานศิลปะ การประกอบอาหาร รวมถึงให้ชุมชนเขียนขอสนับสนุนเงินงบประมาณเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และการจัดให้ชุมชนแต่ละพื้นที่ได้มีเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการจัดการท่องเที่ยวในชุมชนด้วย ที่ผ่านมา กรมการท่องเที่ยวได้ห้ความสนับสนุนชุมชนทั่วประเทศ ไปแล้วรวมกว่า 300 แห่ง รวมถึงได้บูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวในชุมชนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน เกิดการกระจายรายได้ในท้องถิ่น และให้ชุมชนสามารถดูแลตนเองได้ เพชรทัย เกิดโชติ
16 ก.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : ทิศทางพัฒนาภาคกลาง
ว่าที่ ร.ต.สุพีร์พัตน์ จองพานิช ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย : ทิศทางการพัฒนาภาคกลาง ว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรพื้นที่ภาคกลาง จ.สุพรรณบุรี จะนำเสนอความสำเร็จของโครงการโรงเรียนเกษตรกรชาวนา สังกัดกรมการข้าว ด้วยการยกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยจังหวัดสุพรรรบุรีตั้งไว้ 6 ยุทธศาสตร์ คือ การเพิ่มขีดความสามารถด้านเกษตรเชื่อมโยงสู่เกษตรอุตสาหกรรมและพาณิชย์ เพื่อการบริโภคและการส่งออก การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวสู่สากล การส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ควบคู่การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสู่งความยั่งยืน การยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การส่งเสริมการศึกษาและการกีฬามุ่งความเป็นเลิศในระดับสากล และสุดท้ายการนำการเปลี่ยนแปลงด้านการบริการ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ซึ่งต้องพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัด จนเกิดเครือข่ายแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาและการเรียนรู้ด้านการข้าวที่เป็นวิถีชีวิตของชาวสุพรรณบุรี เพื่อเพิ่มผลิตข้าวและลดต้นทุนการผลิตลง ด้วยการใช้นวัตกรรมและวิชาการใหม่เข้ามาต่อยอดและพัฒนาผลผลิต ขณะที่นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะนำเสนอความสำเร็จของโครงการปลูกข้าวเหลื่อมเวลา หลังเกิดน้ำท่วมนาข้าวทุกปี จึงหันมากำหนดระยะเวลาปลูกข้าวให้เร็วขึ้น เพื่อเก็บเกี่ยวได้ทันก่อนน้ำท่วมได้มากขึ้นกว่าร้อยละ 90 รวม 7 ทุ่ง จากนั้นให้พักนาแล้วมาทำอาชีพประมง ถือว่าช่วยลดความขัดแย้ง ลดความสูญเสียจากน้ำท่วม และลดปัญหาการเผาตอซังข้าว รวมทั้งแผนการแก้ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งระบบการจัดการน้ำจะมองทั้งโครงการ ทั้งการสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมตามแผนไจก้า 2 แห่ง เพื่อให้ครบทั้ง 6 แห่ง สร้างความเข้มแข่งด้านตะวันออกแข็งแรงและภาคอุตสาหกรรมกว่า 2,000 แห่งในพื้นที่พระนครศรีอยุธยาย้ายฐานการผลิตไปที่อื่นอีก เพราะเป็นแหล่งสร้างระบบเศรษฐกิจที่ดี ควบคู่กับจัดระบบมรดกโลกแหล่งท่องเที่ยวให้เป็นระบบ ทั้งนี้ กรมชลประทานได้เพิ่มช่องทางระบายน้ำป้องกันน้ำหลากและน้ำท่วมด้วย คือ คลองบางบาล-บางไทร ระยะทาง 23.5 กิโลเมตร อยู่ระหว่างการสำรวจและออกแบบปิยาพรรณ ยังเทียน / สวท.
16 ก.ย. 2560
คืบหน้าเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดในอำเภอยะหา จ.ยะลา ล่าสุดหน่วยความมั่นคง คุมหนึ่งผู้ต้องสงสัยส่งสอบแล้
คืบหน้าเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดในอำเภอยะหา จังหวัดยะลา ล่าสุดหน่วยความมั่นคง คุมหนึ่งผู้ต้องสงสัยส่งสอบแล้ว ขณะแม่ทัพภาค 4 ระบุไม่เกิน 1 อาทิตย์ จับกุมได้ หลังทราบตัวผู้ลงมือ พลโท ปิยวัฒน์ นาควานิช เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ทหาร ตำรวจ ภาคประชาชน เร่งติดตามกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ในพื้นที่อำเภอยะหา เมื่อวันที่ (14 ก.ย. 60) แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนก็จะจับหมด ถ้ามีพยานหลักฐาน ทหาร ตำรวจ ประชาชน ชี้เป้า ก็จะเข้าดำเนินการทันที ส่วนผิดถูกมาพูดกันทีหลัง ก็จะเชิญไปคุยก่อน ขณะนี้ก็พอจะทราบตัวกลุ่มที่ก่อเหตุแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอน เชื่อว่าไม่เกิน 1 อาทิตย์ ก็น่าจะได้ตัวผู้ก่อเหตุหลายคน ขณะมีรายงานจากหน่วยความมั่นคงยะลา ว่า หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ได้สนธิกำลังร่วมเข้าตรวจสอบพื้นที่ใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ ที่ บ้านปะแดรู หมู่ที่ 1 ตำบลกาตอง อำเภอยะหา จังหวัดยะลา โดยสามารถควบคุมผู้ต้องสงสัย ไว้ได้ 1 คน ซึ่งบุคคลดังกล่าวมีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของจังหวัดนราธิวาส เจ้าหน้าที่จึงได้เชิญตัวไปเข้ากระบวนการซักถามที่กรมหารพรานที่ 41 ซึ่งหลังจากนี้ก็จะนำกำลังลงพื้นที่เกิดเหตุอีกครั้ง เพื่อหาข้อมูลเชื่อมโยงกลุ่มที่ก่อเหตุต่อไป
15 ก.ย. 2560
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เมื่อวันศุกร์ที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขากฎหมายจากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วยเป็นที่ประจักษ์ ถึงพระปรีชาสามารถด้านกฎหมาย และพระกรณียกิจด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ อาทิทรงริเริ่มโครงการช่วยเหลือผู้ต้องขังหญิงและเด็กติดผู้ต้องขังหญิงภายใต้ “โครงการกำลังใจ” ในปี 2549 ด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ และนอกจากนั้น โครงการนี้ ภายใต้พระดำริของพระเจ้าหลานเธอฯ ก็ได้แพร่ขยายความร่วมมือไปยังพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ อีกทั้งทรงผลักดันให้เกิดแนวทางการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำความผิดที่เป็นหญิง อันเป็นมาตรฐานระหว่างประเทศฉบับใหม่ หรือที่เรียกว่า “ข้อกำหนดกรุงเทพ” ซึ่งที่ประชุมใหญ่องค์การสหประชาชาติ ได้มีมติให้การรับรองไว้ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 จนนำไปสู่การจัดตั้ง “สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย” และในเวลาต่อมา เพื่อสานต่อพระกรณียกิจดังกล่าว นอกจากนี้ ถือเป็นเกียรติภูมิของประเทศไทยอย่างมาก ที่สหประชาชาติได้ถวายรางวัลเกียรติยศสูงสุดแด่พระเจ้าหลานเธอฯ ในฐานะที่ทรงมีบทบาทสำคัญในระดับนานาชาติ ในการที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขังหญิง และผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง นับเป็นความภาคภูมิใจของประชาชนชาวไทยทั้งชาติ ที่พระบรมวงศานุวงศ์ ได้ทรงมีพระเมตตาโดยทรงริเริ่มและช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม แล้วก็เป็นสิ่งที่ประชาชนชาวไทย จะได้รำลึกถึงคุณูปการ ของพระเจ้าหลานเธอฯ อย่างมิอาจลืมเลือน ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยอู่ฮั่น เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีประวัติเก่าแก่ และมีชื่อเสียงในลำดับต้นของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขานิติศาสตร์ ซึ่งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านกฎหมายระหว่างประเทศ จนเป็นที่ยอมรับ นับว่าเป็นสถาบันอุดมศึกษาของต่างประเทศแห่งที่ 2 ที่ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ แด่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา หลังจากที่มหาวิทยาลัยชิคาโก-เค้นส์ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาในสาขาเดียวกันมาแล้ว ในปี 2555 ในการดังกล่าวนี้ พระเจ้าหลานเธอฯ ทรงมีพระดำรัสตอบรับ การถวายปริญญาฯ อันมีสาระสำคัญ ที่ผมขอเชิญมากล่าวซ้ำ สำหรับปวงชนชาวในวันนี้ คือ “...หลักนิติธรรมเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยทรงตระหนักอยู่เสมอว่าระบบยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพ และทุกคนเข้าถึงได้อย่างเสมอภาคนั้น มีความ สำคัญยิ่ง เพราะเป็นหลักประกันว่า เราทุกคนจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาร่วมกัน ไม่ว่าจะคนผู้นั้นจะเป็นผู้ยากไร้ เด็ก เหยื่ออาชญากรรม ผู้ลี้ภัยจากสงคราม เหตุการณ์ความไม่สงบ ผู้ประสบภัยธรรมชาติ หรือ กลุ่มผู้เปราะบางอื่นใดในสังคม...” ซึ่งในพระดำรัสดังกล่าวจะมีคำว่า “ความเสมอภาค” ที่สังคมของเรา ยังแยกความแตกต่างไม่ออก หรือ อาจยังไม่เข้าใจกับอีกคำ คือ “ความเท่าเทียม” หมายถึงการให้ทุกคนได้ทุกอย่าง เหมือนกัน เช่น โครงการรถเมล์ฟรีและรถไฟฟรี ซึ่งไม่ว่ายาก ดี มี จน ก็ได้รับสิทธิ์นี้ เท่าเทียมกัน แต่อาจจะกลับเป็นภาระด้านงบประมาณเกินไป ขัดหลักความคุ้มค่าอันเป็น “1 ใน 6” ของหลักธรรมาภิบาล ดังนั้น รัฐบาลนี้ จึงเห็นว่า เราควรยึดแนวทาง “ความเสมอภาค” ซึ่งไม่ใช่ความเท่าเทียมเท่านั้น แต่หมายความว่าทุกคนจะได้รับ “โอกาสในการเข้าถึง...เหมือนกัน” แต่เราจะต้องเข้าใจเป็นพื้นฐานก่อนว่าการจะทำให้เกิดความเท่าเทียมนั้นจะต้องให้มีความเสมอภาคกันก่อน จึงจะเกิด “ความยุติธรรม” ในสังคม ทั้งนี้ คนที่มีโอกาสน้อยที่สุดควรจะได้รับการช่วยเหลือส่งเสริมมากที่สุด ส่วนคนที่ได้เปรียบอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับอะไรมาเสริม หรือหนุนเนื่อง แต่ในทางกลับกัน อาจจะต้องเสียสละให้คนอื่นที่ไม่มีโอกาสอีกด้วย เช่น กรณีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่รัฐได้จัดทำเวลานี้ สำหรับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ไม่ใช่การเอามา “หารยาว” จึงสามารถลดภาระด้านงบประมาณได้บางส่วน แล้วนำไปเพิ่มเติมในกิจกรรมอื่น ๆ ได้ในอนาคต ซึ่งแนวคิดในการตั้ง “กองทุนชราภาพ” เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ซึ่งหากมีผู้สูงอายุ ที่มีกำลังทรัพย์ ดูแลตัวเองได้ ลูกหลานดูแลได้ สละสิทธิ์สวัสดิการในส่วนนี้ของตนเอง เพียง 10% จากการประเมินเบื้องต้นทราบว่าจะมีเงินเข้ากองทุนชราภาพนี้ราว 4,000 ล้านบาทต่อปี รัฐบาลก็สามารถดูแลผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยได้ดีกว่าในปัจจุบัน เป็นต้น ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจหลักการข้อนี้ และหลักคิดของรัฐบาลนี้ ในการบริหารประเทศด้วย จะได้ไม่มีใครหยิบยกเป็นประเด็นบิดเบือน ด้วยการว่ามีช่องว่าง ของความไม่เข้าใจจนนำไปสู่ความไม่ไว้ใจกัน พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ การขับเคลื่อนประเทศ ให้ผ่านพ้นประเทศรายได้ปานกลาง คือการสนับสนุน ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วน ได้มีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ มาสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อจะยกระดับศักยภาพให้กับภาคการผลิต ทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และ ภาคบริการของประเทศ อื่น ๆ ด้วย เรามักจะมองว่าการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าต้องมาจากการคิดค้น ที่มีเงินลงทุนจำนวนมาก มหาศาล เหล่านี้ จำเป็นต้องมีการผลิตของโรงงานขนาดใหญ่ แต่ที่จริงแล้วนั้น การสร้างมูลค่าให้กับสินค้าไม่จำเป็น ที่ต้องใช้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลเสมอไป เราทำแบบของเรา แบบไทย ๆ ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ เช่น พี่น้องเกษตรกรก็สามารถแปรรูปผลผลิต เพิ่มเติมจากการขายผลผลิตที่เป็นผลไม้สด อาหารสด หรืออื่น ๆ อาจจะใช้วิธีการตากแดด อบแห้ง หรือ ใช้เครื่องจักรในการแพ็คอาหารแบบสุญญากาศ ซึ่งก็จะช่วยถนอมอาหาร เพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ยืดอายุสินค้าเกษตร สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร แล้วขายผ่านช่องทางออนไลน์ ส่งทางไปรษณีย์ เหล่านี้เราเรียกว่าเป็นการใช้นวัตกรรม ใช้ดิจิตอลมาเสริมในการสร้างมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกัน โดยขณะนี้ “ยุค 4.0” ไม่ใช่เป็นเรื่องไกลตัว เพราะในชีวิตประจำวันนี้ เทคโนโลยีดิจิทัล และสารสนเทศใกล้ตัวและอยู่รอบตัวเราแล้ว เช่น วันนี้เราใช้โทรศัพท์ ใช้สมาร์ทโฟนในมือท่านก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะนอกจากท่านสามารถสืบค้นหาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้เพียงจากปลายนิ้วสัมผัสแล้ว ท่านยังสามารถเชื่อมโยง สร้างเครือข่ายสำหรับการทำงาน การทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ทั้งนี้ เพียงเราทุกคนรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ เพื่อสร้างโอกาส สร้างรายได้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของพวกเราทุกคน ผมขอชื่นชมเกษตรกรจำนวนมากที่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีการพัฒนาตนเองร่วมมือกับรัฐในโครงการต่าง ๆ จนเกิดผลเป็นรูปธรรม สร้างมูลค่าเพิ่มมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้วจำนวนมาก ทั้งสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ทั้งการค้าขายออนไลน์มีการสร้างนวัตกรรมเกี่ยวกับการเกษตร มีการเปลี่ยนแปลงการทำงานในภาคการเกษตรให้มากยิ่งขึ้น ทำปศุสัตว์มากขึ้น แล้วก็ใช้ประโยชน์จาก Agri Map แผนที่ทางการเกษตร ที่ระบุไว้เรื่องดิน เรื่องน้ำ แล้วพื้นที่ ๆ เหมาะสมในการปลูกพืชแต่ละชนิด และข้อมูลทันสมัยต่างๆ ที่เราได้แพร่ออกไปในปัจจุบันมาประกอบการทำเกษตรกรรม แล้วนำตัวอย่างจากบรรดาปราชญ์ชาวบ้าน หรือ สปก. ของกระทรวงเกษตรที่จัดตั้งขึ้นนั้นมีการแพร่กระจายกันกว้างไกลออกไป มีการพัฒนากระบวนการผลิตที่เหมาะสมยิ่งขึ้น ส่วนในเรื่องของการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นั้น ผมเคยบอกไว้แล้วว่าเราประเทศไทยต้องเจริญไปด้วยกันในทุกภาคส่วน เจริญได้ 2 อย่าง คือเจริญจากภายใน เข้มแข็งจากภายในที่เรากำลังเสริมสร้างวันนี้ แล้วเสริมด้วยจากภายนอกจากต่างประเทศด้วย อะไรด้วยมาช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนไปมาเหล่านี้ จะทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยนั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในส่วนของการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นั้นเราจำเป็นต้องทำควบคู่กันไปด้วย กับในส่วนเล็กๆ ที่เราทำกันอยู่ ไม่ว่าจะภายใน ระดับพื้นที่ ระดับชุมชนหรือกลุ่มต่าง ๆ เหล่านั้น ในภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม และภาคบริการ เราจะต้องเติบโตพร้อม ๆ กันไปอย่างสมดุล รัฐบาลก็ได้เห็นชอบในหลักการ ในเรื่องของมาตรในการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อจะกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจบริการ ให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยการใช้หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติทดแทนบ้าง มากยิ่งขึ้นรวมทั้ง การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ในด้านต้นทุนการผลิตของประเทศ อาทิ มาตรการภาษี มีการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 สำหรับกิจการที่นำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้เป็นเวลา 3 ปี ก็คาดว่ามาตรการนี้จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนใช้หุ่นยนต์ ในปีแรกได้ 12,000 ล้านบาทนะครับ และในระยะ 5 ปี ต่อไป จะเกิดการลงทุนในห่วงโซ่การผลิตไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท เราจะ สามารถทดแทนการนำเข้าหุ่นยนต์ได้ 30% จากเดิมที่มีการขาดทุนแต่ละปีกว่า 1.3 แสนล้านบาท นอกจากนี้ รัฐบาลก็มีแนวทาง ในการที่จะให้การสนับสนุนผ่านกองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวทางประชารัฐ แล้วสนับสนุนงบประมาณให้หน่วยงานภาครัฐ ในการจัดซื้อจัดจ้างหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่ผลิตในประเทศได้อีกด้วย เราต้องคิดร่วมกันว่าทำอย่างไร เราจะสร้างความสมดุลในการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี่สมัยใหม่ กับในเรืองของการจ้างแรงงานในประเทศของเรา ที่ยังคงมีความจำเป็นอยู่ในการประกอบอาชีพ เราจำเป็นต้องมีการพัฒนาฝีมือแรงงานของเราให้มากขึ้น คนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ทุกคนก็ต้องยอมรับว่าไม่ค่อยชอบการทำงานที่ต้องใช้แรงงานหนัก เป็นสาเหตุสำคัญในการที่เรามีความจำเป็นต้องใช้แรงงานต่างด้าวในขณะนี้ แต่ต้องอย่าลืมว่า เมื่อถึงเวลาที่ประเทศเขามีการพัฒนา เขาก็กลับไปทำงานที่ประเทศเขา เราก็จะขาดแคลนแรงงานทันที เพราะฉะนั้นอยากจะให้ทุกคนได้เข้าใจด้วย แรงงานไทยก็ต้องพัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นหัวหน้างาน ไปสู่การทำงานที่ใช้เทคโนโลยีได้มากขึ้น ตัวเองก็จะได้รายได้มากขึ้น ถ้าส่วนใหญ่ไปอยู่ในภาคการท่องเที่ยวและบริการในอนาคตอาจจะมากเกินไป เกินความจำเป็นจนหางานทำได้ยาก เพราะฉะนั้นต้องไปทั้ง 2 ทางนั่นแหละ ทั้งนี้ การเตรียมความพร้อมของคนในประเทศนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ก็ไม่อยากให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานเป็นกังวล แต่ควรแปลงความกังวลเหล่านั้นเป็นการปรับตัว เรียนรู้และยกระดับตัวเอง เพิ่มทักษะในการทำงาน เช่น จากผู้ใช้แรงงานที่เป็นเพียงควบคุมการทำงานแบบง่าย ๆ วันนี้ก็ต้องพัฒนาตัวเองไปสู่การมีความรู้ เป็นผู้ควบคุมเครื่องจักรกล หุ่นยนต์ได้ ซึ่งคงต้องหาความรู้เพิ่มเติมอีกมากมาย สำหรับค่าแรง ค่าจ้าง ก็จะสูงขึ้น ตามทักษะ แล้วก็มาตรฐานในการทำงานที่มากขึ้นด้วย มีการใช้สติ ปัญญา มากยิ่งขึ้น ใช้ฝีมือ ใช้ความรู้มากขึ้นรัฐบาลได้ให้ความเห็นชอบในหลักการสำหรับการจัดให้มีการจัดฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร จำนวน 1,500 คน ภายใน 5 ปีนะครับ ในการที่จะสร้างเครือข่ายความร่วมมือแลกเปลี่ยนความรู้ และการจัดสัมมนาธุรกิจและวิชาการหุ่นยนต์ระดับชาติและนานาชาติอันนี้เป็นสิ่งจำเป็นนะครับ ต้องเตรียมการเพื่ออนาคต เมื่อเราขาดแรงงานจากต่างประเทศนะครับโดย ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พิจารณาแนวทางการประสานความร่วมมือกับต่างประเทศ ประเทศอุตสาหกรรม โดยเฉพาะที่มีความก้าวหน้าในการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ อาทิ ญี่ปุ่น จีน เยอรมัน สหรัฐฯ เหล่านี้เป็นต้น เพื่อนำองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง มาประยุกต์ใช้ ตามห้วงระยะเวลาที่เหมาะสม ในการที่จะปรับปรุงพัฒนาอุตสาหกรรม ของไทยให้เหมาะสมต่อไป นี่คือโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ก็ไปทางโน้น ของเดิมเราก็พัฒนาไปพร้อมๆ กันด้วย ขออย่ากังวลว่าจะไม่มีงานทำ ตราบใดทีประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ ทางด้านภูมิศาสตร์แล้ว ยังไงเราก็มีศักยภาพ ถ้าเราช่วยกันพัฒนาตนเอง สร้างงานให้มากขึ้น ก็จะทำให้เครือข่าย หรือว่าห่วงโซ่ในเรื่องของการทำงาน ห่วงโซ่ในเรื่องรายได้ ห่วงโซ่ในเรื่องของการผลิต การแปรรูป การตลาด ก็จะกว้างขวางยิ่งขึ้น รัฐบาลกำลังทำทุกอย่าง ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก แต่เราก็ต้องทำให้เต็มที่ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา เมื่อสัปดาห์ก่อนก็ได้มีการนำ “YuMi หุ่นยนต์อัจฉริยะชงกาแฟ” ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ต้นแบบสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตยุค 4.0 muj ที่สามารถการทำงานร่วมกับมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ไม่เป็นอันตราย มีความแม่นยำ และคล่องแคล่วสูง สามารถตั้งโปรแกรมในการใช้งานในหลากหลายลักษณะ ผมอยากเชิญชวนพี่น้องประชาชนได้พาครอบครัว ลูกหลาน นักเรียนนักศึกษา ข้าราชการ และหน่วยงาน ภาครัฐ นักธุรกิจ SMEs Startup และผู้สนใจเรื่องดิจิทัลมาร่วมในกิจกรรม งานนิทรรศการนานาชาติ Digital Thailand Big Bang 2017 ซึ่งเป็นมหกรรมการแสดงนิทรรศการนานาชาติ ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเห็นได้ว่าถ้าบ้านเมืองเราสงบก็มีการจัดงานต่าง ๆ มากมายในระดับภูมิภาคและระดับโลกด้วย อันนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 และ 2 ศูนย์ประชุมอิมแพคเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ภายใต้สโลแกน Digital Transformation โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน อันนี้เป็นชื่อของสโลแกน ชื่อของงาน เป็นการเข้าชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายทุกรายการ ผู้ที่สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติม ในรายละเอียดตามช่องทางต่าง ๆ ที่ปรากฎบนหน้าจอ ทุกคนเกี่ยวข้องกันทั้งหมด ใครส่วนหนึ่งมีความสามารถก็ใช้ไป อันไหนที่อยากจะพัฒนาตนเองก็ไปเรียนรู้เรื่องการบังคับเครื่องมือ ใช้เครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้ ก็จะเป็นการเพิ่มรายได้ของเราในอนาคต ถ้าอยู่ที่เดิมก็เท่าเดิม มุ่งหวังแต่เพียงอย่างเดียวให้ขึ้นค่าแรง ๆ อย่างเดียวก็คงเป็นไปได้ยาก ก็ต้องช่วยกันทั้งหมดหลายมาตรการด้วยกันพวกเราอย่ากังวลว่าจะตกงาน เพราะเป็นการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ หรือหุ่นยนต์นั้นเราทดแทนในอุตสาหกรรมที่มีอันตราย มีมาตรฐานสูง ต้องการความปลอดภัยสูง หรือแม้กระทั่งในการใช้ในครัวเรือน ก็จะใช้ในการดูแลคนไข้ผู้สูงอายุ สำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์สามารถจะไปซื้อหามาใช้งานได้ อื่น ๆ ถ้ากำลังทรัพย์ไม่พอก็คงต้องใช้แรงงานอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ต้องพัฒนาแรงงานให้มากยิ่งขึ้น ก็ขอเชิญชวนพี่น้องคนไทยที่ทำงานอยู่ภาคบริการ ท่องเที่ยวอะไรต่าง ๆ มากมาย ต้องไปเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้ด้วย เผื่อวันหน้ามีปัญหาเราจะได้มีงานทำทางด้านนี้อีก ผมอยากให้พี่น้องสื่อมวลชนทุกแขนง ได้นำบรรยากาศ จินตนาการ วิสัยทัศน์ องค์ความรู้ แห่งอนาคตภายในงาน ช่วยกันเผยแพร่ไปสู่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างกว้างขวางและทั่วถึง เพราะเป็นการจัดงานระดับชาติเมื่อใช้จ่ายงบประมาณแล้วก็อยากให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ใช่เพียงคนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น ผมอยากให้คนไทยทั้ง 65 ล้านคนได้มีโอกาส ได้รับข้อมูล องค์ความรู้ต่าง ๆ ผ่านช่องทางสื่อมวลชน และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งดำเนินการอยู่แล้ว แต่อาจไม่ทั่วถึง หรือไม่ตื่นตาตื่นใจ เท่ากับสื่อมืออาชีพ เราก็ต้องขอร้อง ขอให้ท่านร่วมมือช่วยเหลือในการนำเสนอด้วย เพราะเป็นกิจกรรมที่ดี กิจกรรมภายในงานก็ล้วนแต่เป็นสาธารณะประโยชน์ ตอบโจทย์นโยบาย “ประเทศไทย 4.0” แล้วเราก็ไม่ลืมคน 1.0, 2.0, 3.0 ไปด้วย ว่าจะใช้กันตรงไหนอย่างไร ไม่ใช่ทั้งหมดจะเลิก อันนี้ไปใช้อันโน้นอย่างเดียวเป็นไปไม่ได้ อยากจะฝากถึง “เน็ต-ไอดอล” หรือ “ยู-ทูบเบอร์” ที่ปกติก็จะมีการแชร์ประสบการณ์ นำเสนอสิ่งต่าง ๆ สู่สายตา “ผู้ติดตาม (Followers)” ของท่าน ที่เป็นเยาวชนอยู่แล้ว ผมก็อยากให้ชักชวนกัน มานำเสนอในมุมมองที่จะเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนเกี่ยวกับกิจกรรมในงานนี้ ขอให้ใช้ “พรสวรรค์ - ความริเริ่ม” ของท่าน มาช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ เพราะท่านก็เป็นส่วนหนึ่งของกลไกประชารัฐ ด้วย ผมเชื่อว่าจะเป็นการจุดประกายสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลาย ๆ คน ในการเข้าสู่วงการดิจิทัล หุ่นยนต์ เครื่องจักรอัจฉริยะของประเทศในอนาคต ผมอยากให้ทุกคนสนใจเรื่องนี้ให้มาก ๆ มีแนวโน้มใช้กันมากขึ้นในโลกอนาคต อันนี้ทุกคนในประเทศไทยมีการใช้โทรศัพท์ ใช้สมาร์ทโฟนกันมากอยู่แล้ว หรืออาจจะถือได้ว่ามากลำดับแรก ๆ ของอาเซียนเลย ของโลกด้วยซ้ำไป ในสัดส่วนของ 60 กว่าล้าน ผมทราบตัวเลขคร่าว ๆ 50 กว่าล้าน ใช้กันหมดแล้ว ใช้ให้เกิดประโยชน์ พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ ในช่วงต้นอาทิตย์ที่ผ่านมา ไทยเราได้มีโอกาสต้อนรับคณะนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น เกือบ 600 ราย เป็นมิตรประเทศที่สำคัญของเรา ที่นำโดยนายฮิโรชิ เซโกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม ของญี่ปุ่น หรือ “เมติ” (METI) ตามที่ท่านรองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้เรียนเชิญไว้ในระหว่างการเดินทางไปเข้าร่วมประชุมที่ประเทศญี่ปุ่น ในนามของรัฐบาลในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ ความเป็นมาก็คือ ประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นนั้น เรามีความสัมพันธ์อันดีทางการทูต ระหว่างกันมาอย่างยาวนานและแน่นแฟ้น ทั้งระดับสถาบัน ระดับรัฐบาล และระดับประชาชน มีการไปมาหาสู่กัน มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาในอดีต ซึ่งจะครบรอบ 130 ปี ในวันที่ 26 กันยายน 2560 นี้ ญี่ปุ่นนั้นเป็นมิตรประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศของไทยมาอย่างต่อเนื่องซึ่งในด้านการค้า ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในคู่ค้าหลัก อันดับต้น ๆ ของไทยมาโดยตลอด จนถึงในปัจจุบัน ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่น คิดเป็นร้อยละ 15.8 ของการนำเข้าทั้งหมดและ เป็นประเทศที่ไทยส่งออกสินค้าไปเป็นอันดับ 3 รองจากสหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่งคิดเป็นประมาณ ร้อยละ 9.5 ของการส่งออกทั้งหมด ในช่วงที่ทั้งสองประเทศ อยู่ระหว่างการฟื้นตัวนั้น มูลค่าการค้าระหว่างกัน ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นมาตามลำดับ เมื่อเทียบในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนแล้ว ไทยเรายังคงเป็นตลาดส่งออก ที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่นด้วย สำหรับเรื่องการลงทุนนั้น ประเทศญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยบริษัทญี่ปุ่นมีการลงทุน ถึง 1 ใน 5 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านอุตสาหกรรมการผลิต รวมถึงการลงทุนใน SMEs และธุรกิจท้องถิ่นของญี่ปุ่น ที่เข้ามาใช้ไทยเป็นฐานในการลงทุน ต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 1 ของรัฐบาลด้วย ในช่วงพบปะหารือกันนั้นคณะนักลงทุนญี่ปุ่น ได้แสดงความสนใจ ในนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลและ ต้องการจะศึกษาลู่ทางการลงทุน รวมถึงการขยายการลงทุนต่อยอดและการพัฒนา 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในไทย ที่กำหนดไว้มากขึ้น ซึ่งผมได้เล่าให้นักลงทุนญี่ปุ่นฟังถึงทิศทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของรัฐบาลไทย ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจ ของนักลงทุนชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย โดยผมได้เน้นย้ำ ความพยายามของรัฐบาลไทย ในการจะปรับปรุงในเรื่องของการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ (หรือ Ease of doing business) ให้กับนักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศเช่น การตั้ง “ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS)” เพื่อให้การทำธุรกรรมในการประกอบธุรกิจ การขอหรือออกใบอนุญาตต่าง ๆ สามารถดำเนินการ ณ ที่เดียวได้โดยไม่ต้องวิ่งเอกสารไปยัง 6 - 7 กระทรวงเหมือนเดิม หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา ถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญในกระบวนการเริ่มต้นของการลงทุน นอกจากนี้ ผมได้อธิบายนโยบายของรัฐบาลนี้ในการส่งเสริมการลงทุนและทิศทางในการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องของการจัดตั้ง “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนของประเทศตามกลไก “ประชารัฐ”ที่เราต้องการพัฒนาให้ EEC เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ดีที่สุดและทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เพื่อจะยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมรวมถึง จะเป็น “พื้นที่ยุทธศาสตร์” ของภูมิภาค และของโลก เพื่อจะเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ “1 Belt 1 Road” ของจีน ทั้งในมิติการคมนาคมขนส่ง และ เชื่อมโยงเทคโนโลยีโดยการพัฒนา EEC ให้มีความพร้อมในทุก ๆ ด้านอีกครั้งและต่อยอด “ยุคโชติช่วงชัชวาล” ในอดีต คือยุคสมัยที่เราทำอีสเทิร์นซีบอร์ด จนประสบความสำเร็จมาแล้วให้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยให้ประเทศไทยเป็น “ที่หมาย” ในการลงทุนขนาดใหญ่ และการเชื่อมโยงธุรกิจ และภาคการผลิตในทุกระดับ ทั้งนี้ EEC จะมีโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมขนส่งที่เพียบพร้อม ทั้งทางบก ทางราง ทางทะเล และทางอากาศ อาทิ ท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด สนามบินอู่ตะเภา รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง เหล่านี้ เป็นต้น สำหรับการยกระดับด้านการบริหารจัดการและการให้บริการภาครัฐ นับว่ามีความสำคัญอย่างมาก เราจะทำอะไรใหม่ ๆ ก็ตามต้องปรับปรุงทั้งหมด รัฐบาลนี้ได้ผลักดันให้มี พ.ร.บ. EEC อันเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการขับเคลื่อน EEC ก็สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาล ในการสนับสนุนการลงทุนในโครงการนี้เพื่อจะให้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ ในการพัฒนาประเทศในระยะยาวอีกด้วย ทั้งนี้ ข้อมูลและนโยบายภาครัฐที่ชัดเจนเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยของคณะนักลงทุนญี่ปุ่นเหล่านี้ในอนาคต เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนให้ได้ เพราะการลงทุนขนาดใหญ่นั้นมีความเสี่ยง การที่เขามาลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลก็เพื่อต้องการฐานการผลิตที่มั่นคง ดังนั้น ความไว้เนื้อเชื่อใจกันจึงสำคัญ วันนี้รัฐบาลได้ทำให้เขาเห็นและทำให้เขาเกิดความมั่นใจให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ผมได้เน้นย้ำในเรื่องการให้ความสำคัญต่อการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะทางการเมืองโดยจะมุ่งบริหารประเทศตาม Roadmap ที่ชัดเจนเพื่อเดินหน้าประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ในแบบฉบับที่สอดคล้องกับบริบทของเรา ที่ไม่ขัดแย้งกับของสากลด้วย ทั้งนี้ เมื่อทุกอย่างลงตัว กระบวนการด้านกฎหมายมีความพร้อม ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ มีความปรองดอง เราก็จะมี “การเลือกตั้งทั่วไป” ในปีหน้า นอกจากนี้ การมียุทธศาสตร์ชาติ ระยะยาว 20 ปี ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่สะท้อนว่า การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยจะมีความต่อเนื่องและมั่นคง มีการปฏิรูปประเทศในทุก ๆ ด้าน ย่อมแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในอนาคต นอกจากนั้น นโยบายที่มุ่งผลักดันประเทศไทยเข้าสู่โมเดล “ประเทศไทย 4.0” หรือ การขับเคลื่อนประเทศด้วย “นวัตกรรม” เพื่อการก้าวเข้าสู่ยุค ที่ให้ความสำคัญกับการผลิต ด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีขั้นสูง เราก็ได้เตรียมการในด้านต่าง ๆ ทั้งเรื่องบุคลากร นโยบายสนับสนุนนวัตกรรมและการปรับกฎระเบียบ ให้เอื้อต่อการลงทุน ซึ่งภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่น จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การถ่ายทอด การสร้างบุคลากรทางเทคนิคขั้นสูง เพื่อเข้าสู่ยุค 4.0 และ สามารถใช้ไทยเป็นฐาน ในการพัฒนาบุคลากร ในภูมิภาคร่วมกันในการดำเนินการเหล่านั้น ผ่านความร่วมมือ การแลกเปลี่ยนความรู้ และบุคลากร ระหว่างกัน ในอนาคตต่อไป คณะนักลงทุนญี่ปุ่น ได้ให้ความสนใจดูงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน มีการประชุมร่วม มีการจับคู่สนทนา เจรจาเจรจาธุรกิจร่วมกันจำนวนมาก และได้ไปเยี่ยมชมพื้นที่ EEC ให้ความสนใจ ได้รับรายงานว่าจากการลงพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมเหมราช และอื่น ๆ ด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจฯ ที่เป็นหัวหน้าคณะของญี่ปุ่น รู้สึกพอใจที่ประเทศไทยเห็นความสำคัญในการทำงานร่วมกับญี่ปุ่น ที่เป็นมิตรอันดีของเราของเขาด้วย ภายใต้กรอบการพัฒนาประเทศไทย 4.0 โดยรับทราบเจตนารมย์อันมุ่งมั่น และมีความเข้าใจ ต่อนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทย และยืนยันว่าบริษัทญี่ปุ่น ที่มีการลงทุนในไทยอยู่แล้ว จะขยายการลงทุนต่อเนื่อง ต้องขอขอบคุณ ในช่วงที่ผ่านมานั้น น้ำท่วมในพื้นที่อุตสาหกรรมหลายแห่ง ซึ่งก็ไม่ได้ย้ายฐานการผลิตออกไปเลย มีแต่ปรับปรุงและพัฒนาต่อก็แสดงว่า เขารักประเทศไทย มีความคุ้นเคย มีความพอใจ เราก็ต้องช่วยดูแลเขาด้วย เช่นเดียวกัน ต้องดูแลทุกประเทศที่มาลงทุนในประเทศไทย เราคาดว่าจะมีนักลงทุนญี่ปุ่นรายใหม่ที่มีความเชื่อมั่น ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้มีโอกาสหารือในเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินสะอาด ซึ่งมีการทดสอบแล้ว ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบันว่า มีประสิทธิภาพสูง ราคาถูก และมีความปลอดภัยต่อชุมชนอย่างไร ซึ่งเราก็ต้องศึกษา พิจารณากันต่อไป ญี่ปุ่นพร้อมให้ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยน - ถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวกับไทย อีกทั้งยังมีความร่วมมือในสาขายานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งญี่ปุ่นยินดีร่วมมือกับไทย ในการยกระดับให้ไทยเป็น “ฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า” ที่สำคัญในภูมิภาคต่อไปด้วย วันนี้เขาคิดไปถึงระยะต่อไปหลังจากรถไฟฟ้าแล้วเสร็จ เขาคิดต่อแล้วว่าจะพัฒนาไปสู่พลังงานไฮโดรเจนได้อย่างไร ผมคุยกับท่านรัฐมนตรีญี่ปุ่นมา ในส่วนของด้านการแพทย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจฯ ญี่ปุ่น ก็ได้นำคณะธุรกิจ และภาครัฐ ในสาขาการแพทย์ เข้าพบปะกับภาครัฐ และภาคเอกชนของไทย เพื่อแนะนำเครื่องมือทางการแพทย์ ที่มีคุณภาพสูงของญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้ไทยและญี่ปุ่นมีความร่วมมือทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ในอนาคตด้วย ทั้งนี้ การมาเยือนไทยของคณะนักลงทุนญี่ปุ่นในครั้งนี้ เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่เราได้เห็นการลงนามใน MOU และ MOI จำนวน 7 ฉบับ ระหว่างนักธุรกิจญี่ปุ่น กับนักธุรกิจไทย ซึ่งนับเป็นอีกก้าว ในการไปสู่ความสำเร็จของการส่งเสริมการค้า การลงทุน และ ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นเหนือกาลเวลาของทั้งสองประเทศด้วย ทั้งนี้ เรายังคงให้ความสำคัญกับทุกโครงการของมิตรประเทศของเรา ในสิ่งที่เรามีศักยภาพและ ตรงกับความต้องการของซึ่งกันและกัน พี่น้องประชาชน ครับ ต้นสัปดาห์หน้า วันที่ 18 - 19 กันยายนนี้ ผมและคณะรัฐมนตรี จะได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน อีกครั้งโดยครั้งนี้จะเดินทางไปพบพี่น้องชาวสุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา ส่วนรัฐมนตรีต่าง ๆ ก็มีแผนที่จะกระจายกันลงปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐ เพราะผ่านไปแล้ว ออกนโยบายไปแล้ว ขับเคลื่อนไปแล้ว ก็ต้องติดตามประเมินผล ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลทุกรัฐบาล กำกับดูแล เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมรับทราบปัญหา ข้อเรียกร้องจากพี่น้องประชาชนเพิ่มเติมเช่นเคย ในพื้นที่ก็ขอให้ส่ง ผมจะให้มีการเปิดศูนย์รับเรื่องความเดือดร้อน ข้อเสนอแนะอะไรต่าง ๆ ก็ส่งให้เขา ไม่ต้องตรวจดูให้ตรง เดี๋ยวก็ถึงผมเอง ไม่งั้นจะวุ่นวายสับสน มีปัญหาเรื่อง รปภ. อีก เพราะรัฐบาลนี้ เห็นว่า “ตำบล - ชุมชน -หมู่บ้าน” ประชาชนทุกหมู่เหล่านั้นแหละเป็น จุดยุทธศาสตร์ของการพัฒนาประเทศ หากเราสามารถสร้างความเข้มแข็งในระดับฐานรากนี้ ได้สำเร็จ เหมือนกับเราปลูกต้นไม้มีรากแก้วที่มั่นคงประเทศชาติก็จะมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนด้วยถ้าประชาชนเราเข้มแข็ง ทราบว่ามีหลายโครงการ ทั้งในปัจจุบัน และในปีหน้า ตามแผนพัฒนาภาคกลาง เราบอกแล้วว่าเรามีการพัฒนาโครงการเป็นภาค 6 ภาคด้วยกัน ในการบริหารจัดการด้วยงบประมาณในแผนงานดำเนินโครงการต่าง ๆ ซึ่งผมต้องการรับทราบความคืบหน้า และ ลงไปแก้ปัญหาให้ โดยหยิบยกขึ้นมาสู่ “โต๊ะประชุม ครม.” เพื่อให้การสั่งการต่าง ๆ รวดเร็วยิ่งขึ้น อะไรทำได้ และต้องเร่งดำเนินการ ก็ให้ทำทันทีทั้งการเพิ่มศักยภาพภาคการเกษตร เรื่องเกษตรแปลงใหญ่ - เกษตรปลอดภัย การยกระดับภาคอุตสาหกรรม การค้า และการลงทุน รวมทั้งการค้าชายแดน การพัฒนาโครงการพิเศษขนาดใหญ่ อาทิ โครงการเมืองสมุนไพร การบริหารจัดการน้ำ และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เชิงธรรมชาติ เชิงประวัติศาสตร์ และที่สำคัญ คือการพัฒนาสังคม การยกระดับคุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม ซึ่งผมก็ดีใจที่จะได้ไปพบพี่น้องถึงถิ่นอาศัยของท่าน บางท่านอาจจะต้องเดินทางมาบ้าง เพราะเราไม่มีเวลามากขนาดนั้นที่จะไปเยี่ยมในทุกพื้นที่ ก็อยากให้มาทุกภาคส่วน รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการก็มีความกระตือรือร้นและเตรียมทำการบ้านล่วงหน้า ก่อนลงพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนสูงสุด ส่วนราชการต้องไม่สร้างภาระให้กับประชาชนในการต้อนรับ หรือมีพิธีการใหญ่โต ไปเอาเรื่องว่าเราจะทำงานกันยังไง พบปะประชาชนพ่อแม่พี่น้อง คนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกกลุ่ม ต้องไม่สร้างความเข้าใจผิด ให้ใครนำไปบิดเบือนได้เช่นที่ผ่านมา รัฐบาลและ คสช. ต้องการลงไปรับทราบปัญหา และเร่งแก้ไข ไม่ใช่ไปสร้างคะแนนเสียง ความนิยมอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กันในปัจจุบัน ผมทำอะไรที่แตกต่าง เพราะวันนี้หลายคนก็อ้างว่าไม่มี สส.ไม่มีใครไปดูแล วันนี้เราก็มีศูนย์ดำรงธรรมรับข้อมูลอยู่แล้วทุกพื้นที่ระดับอำเภอ และคล้าย ๆ กับมี สส. อยู่แล้ว แต่เราไปรับทุกคน ทุกพวก ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะใครก็ตามทุกกลุ่ม และก็ขึ้นมา ที่ผ่านมาหลายล้านเรื่อง ก็แก้ปัญหาได้ประมาณ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ อะไรที่ซับซ้อน อะไรที่มีปัญหาเรื่องกฎหมายก็ต้องใช้เวลาบ้าง ยังไม่ทั่วถึงทั้งหมด เพราะมีจำนวนมากมายมหาศาล เรามีคนตั้งเกือบ 70 ล้านคน รายได้น้อยก็ 14 ล้านกว่า ต่ำกว่า 3 หมื่น 14 ล้านกว่าเป็นเกษตรกรส่วนใหญ่ อันนี้ผมก็จะนำผลการลงพื้นที่ดังกล่าวในรายการครั้งหน้า สุดท้ายนี้ ผมอ่านหนังสือมาก หนังสือราชการ หนังสือนอก หนังสือทั่วไปในการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ผ่านมาผมได้ให้ข้อมูลมีหนังสือ 1 เล่มไม่ได้แจก ให้เฉพาะสรุปใบข้างหน้า 10 ข้อหลักการของเขาที่ผมให้เขาย่อมา มีชื่อว่า The Speed of Trust ให้ ครม. ไปอ่านหลักการไปก่อน แล้วค่อยไปหาหนังสืออ่านเพราะเล่มใหญ่ แล้วพิจารณาตนเองว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นประโยชน์เช่นกัน หากพี่น้องประชาชนได้รับทราบ รับฟังด้วย กล่าวโดยสรุปได้ว่า สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ หากขาดหายไปไม่ได้ ถ้าหากขาดหายไป เราจะไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะทำงานหรือดำรงชีวิตอะไรก็ตาม แต่ถ้าสามารถสร้างขึ้นมาได้ ทั้งตนเอง ทั้งชุมชน ครอบครัว เพื่อนฝูงยิ่งมาก ก็จะยิ่งให้ประสบความสำเร็จ อันยิ่งใหญ่ สิ่งนั้นก็คือ “ความไว้วางใจ” ซึ่งเป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้ แต่ต้อง “แลกกันด้วยใจ” ต้อง “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” ต้องพิสูจน์ตนเอง และผมหวังว่า “ความจริงใจ” ของผมที่มีต่อพี่น้องประชาชน และประเทศชาติจะสามารถสร้าง "ความไว้เนื้อเชื่อใจ" ให้กับทุกคน จนนำไปสู่ความเข้าใจและความร่วมมือกันในการช่วยกัน นำพาประเทศก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ และเดินหน้าต่อไป อย่างยั่งยืน ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
15 ก.ย. 2560
เจ้าหน้าที่เร่งติดตามผู้ก่อเหตุวางระเบิด อ.ยะหา เชื่ออูไบดีละห์ รอมือลี ลงมือ
หน่วยความมั่นคงยะลาสนธิกำลังออกติดตามไล่ล่ากลุ่มผู้ก่อเหตุวางระเบิดทหาร ตำรวจ ที่ อ.ยะหา เชื่อ “อูไบดีละห์ รอมือลี” ลงมือ ความคืบหน้าจากเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ที่ถนนสายยะลา-กาบัง หมู่ 1 บ้านปาแดรู อ.ยะหา จ.ยะลา ในขณะเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ คนร้ายลอบวางระเบิดที่ริมเสาไฟฟ้า บ้านลาเตอะ ม.5 ต.กาบัง อ.กาบัง จ.ยะลา เมื่อวานนี้ (14 ก.ย.2560) เป็นให้มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 2 นาย ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เบื้องต้นทางหน่วยความมั่นคงเชื่อว่ากลุ่มคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุ เป็นกลุ่มของนายอูไบดีละห์ รอมือลี แกนนำผู้ก่อเหตุและพวก ซึ่งเคลื่อนไหวก่อเหตุในพื้นที่ อ.ยะหา และ อ.กาบัง จ.ยะลา ขณะหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 47 ได้สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษและเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เข้าปิดล้อมพื้นที่ต้องสงสัย เป้าหมาย ติดตามไล่ล่ากลุ่มบุคคลต้องสงสัย เป็นการเร่งด่วนแล้ว
14 ก.ย. 2560
สกู๊ป : ไทยติดอันดับโลก...กับการยกระดับประเทศ
องค์กรสำรวจต่างประเทศ ยกระดับให้ไทยติดอันดับต้นๆ ของประเทศที่น่าท่องเที่ยว และขนส่งมวลชนที่ดีที่สุด พร้อมกับติด 1 ใน 65 ประเทศคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในโลก นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาประเทศที่รัฐบาลมุ่งมั่นยกระดับในการพัฒนาประเทศ ติดตามได้ในรายงานค่ะ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมืองไทย เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่สำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ที่จะปักหมุดเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ด้วยความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยว และมนต์เสน่ห์ชีวิตความเป็นอยู่แบบไทยๆ ทั้งอาหารการกิน และรอยยิ้มของคนไทย ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยเป็นเวลานาน สอดคล้องกับข้อมูลการสำรวจขององค์กรสำรวจต่างประเทศ ร่วมมือกับเว็บไซต์อินเตอร์เนชั่น ผ่านทางเว็บไซต์ เอ็กแพท อินไซเดอร์ ในการสอบถามชาวต่างชาติที่อาศัยในเมืองต่างๆ สองหมื่นกว่าคน จาก 166 สัญชาติ พบว่าประเทศไทย ติดอันดับต้นๆในด้านต่างๆ ซึ่งนั่นสอดคล้องกับนโยบายการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน ที่รัฐบาลนั้นตั้งเป้าหมายไว้ โดยประเทศไทยติดอยู่ในอันดับที่ 18 จาก 65 ประเทศ เกี่ยวกับประเทศน่าท่องเที่ยวและการขนส่งที่ดีที่สุด ในหัวข้อประเทศที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด ซึ่งวัดจากการดูแลรักษาสุขภาพและระบบสาธารณูปโภค ขณะที่อันดับหนึ่งตกเป็นของประเทศโปรตุเกส ด้านดัชนีคุณภาพชีวิติที่ดีที่สุดในโลก ไทยติดอยู่ในอันดับที่ 30 โดยแซงหน้าประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนที่อยู่ในอันดับที่ 52 และอิตาลีในอันดับที่ 34 ด้วยผลพวงที่มาจากค่าครองชีพ พร้อมกับไทยยังคงเป็นประเทศในอันดับต้นๆที่ชาวต่างชาติอยากมาอาศัยอยู่มากที่สุด ในอันดับที่ 18 เช่นกัน และคมนาคมของไทยอยู่ในอันดับที่ 26 อีกด้วย ขณะที่โรงเรียนนานาชาติในไทย ยังถูกจัดอันดับเป็นส่วนหนึ่งที่ดึงดูดชาวต่างชาติ โดยผู้ปกครองต่างชาติกว่าร้อยละ 32 มักส่งลูกเข้ามาเรียนในเอเชีย โดยเฉพาะในฮ่องกงและไทย แต่ด้านค่าครองชีพนั้น ประเทศไทยมีค่าครองชีพที่สูงสุดอยู่ในอันดับที่ 6 พร้อมกับด้านการศึกษาของไทยในภาพรวมอยู่ในอันดับที่ 30 ด้านความมั่นคงทางการงานในอันดับที่ 41 และด้านภาษาในอันดับที่ 43 ผลสำรวจของต่างประเทศ เรียกได้ว่าสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาล ที่กำลังเดินหน้าแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทั้งการปฏิรูปการศึกษา ส่งเสริมทักษะด้านอาชีพ พร้อมกับยกระดับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาใช้ไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศในการอยู่อาศัย และใช้ไทยเป็นฐานในการผลิต เดินหน้าระบบเศรษฐกิจให้มีความเข้มแข็ง
14 ก.ย. 2560
สกู๊ป : ภาษีไปไหน...คำถามคาใจที่ใครก็อยากรู้
หลายคนอาจตั้งข้อสงสัย กับการใช้จ่ายและบริหารจัดการภาษีของประชาชนที่เสียไป รวมถึงต้องการตรวจสอบและร้องเรียนเมื่อพบการทุจริต รัฐบาลจึงเปิดช่องทางการตรวจสอบงบประมาณที่ได้รับจากภาษีไปใช้ในส่วนใดบ้าง ผ่านแอพลิเคชั่น “ภาษีไปไหน” เพื่อสร้างความมั่นใจในทุกการจ่ายภาษีของประชาชน ติดตามได้ใน ภาษีไปไหน...คำถามคาใจที่ใครก็อยากรู้ ค่ะ “ภาษีไปไหน” ยังเป็นคำถามคาใจของคนไทยที่เสียภาษีให้กับประเทศในแต่ละปีที่มีมูลราคารวมหลายพันล้านบาท ถือนำไปใช้กับการบริหาร และพัฒนาประเทศในส่วนใดบ้าง ซึ่งคำถามที่เกิดขึ้นตรงใจกับรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องการเปิดเผยข้อมูลการใช้งบประมาณของประเทศในหน่วยงานต่างๆ ให้เกิดความคุ้มค่า และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด แอพพิเคชั่น “ภาษีไปไหน” จึงเป็นช่องทางที่จะทำให้ประชาชนได้รับคำตอบว่าภาษีที่เสียไปถูกนำไปใช้ประโยชน์ในส่วนใดบ้าง ซึ่งเป็นการพัฒนาของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี โดยผู้ใช้สามารถตรวจสอบการใช้งบประมาณภาครัฐทั้งหมด ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่างๆของภาครัฐ พร้อมทั้งยังเปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถร้องเรียน หรือแจ้งเบาะแสการทุจริต การดำเนินโครงการต่างๆของภาครัฐผ่านแอพลิเคชันตัวนี้ ที่ผ่านมา รัฐบาลมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาทุจริต โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณในแต่ปี ต้องมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ ว่างบประมาณที่แต่ละหน่วยงานได้รับจากการเสียภาษีของประชาชนสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกัน ประชาชนผู้เสียภาษี ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาในการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ ทั้งนี้ ประชาชนที่สามารถดาวน์โหลดแอพพิเคชันได้ผ่าน แอพสโตร์ หรือ เพลย์สโตร์ โดยพิมพ์คำว่า ภาษีไปไหน ซึ่งภายในแอพิเคชั่นจะบอกโครงการสำคัญที่แต่ละหน่วยงานกำลังทำ ในพื้นที่ที่ผู้ใช้งานอาศัยอยู่ รวมถึงการตรวจสอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีทั้งหมด รายจ่ายลงทุน งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งมีให้เลือกใช้ทั้งรูปแบบภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เพื่อจุดประกายให้คนไทยเห็นความสำคัญ และหันมาใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
14 ก.ย. 2560
สกู๊ป : มะม่วงมหาชนก ผลไม้ต้านมะเร็ง
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร สามารถวิจัยสกัดสารรักษาโรคมะเร็ง จากมะม่วงมหาชนก ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ได้สารสกัดจากพืชหาทานได้ทั่วไปอย่างมะม่วง โดยในอนาคตก็เชื่อว่าจะกลายเป็นมะม่วงอีกหนึ่งพันธุ์ที่มีความต้องการตลาดเป็นอย่างสูง สอดคล้องกับแนวทางรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่อยากให้สถานบันการศึกษาส่งเสริมให้เกิดงานวิจัยใหม่ๆมากขึ้น ติดตามได้จากรายงาน ด้วยขนาดผลที่ใหญ่ และกลิ่นที่หอมหวานคล้ายแคปตาลูป ทำให้มะม่วงมหาชนก ถือเป็นมะม่วงอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ซึ่งถูกคิดค้นโดยคนไทย ที่นำเอาพันธุ์ที่ได้จากต้นที่ปลูกโดยการเพาะเมล็ดของมะม่วงพันธุ์ซันเซทกับพันธุ์หนังกลางวันมาปรับปรุง จนกลายเป็นมะม่วงพันธุ์มหาชนก โดยจุดเด่นของมะม่วงมหาชก คือ ผลใหญ่ยาวคล้ายมะม่วงพันธุ์หนังกลางวัน แต่เมื่อผลสุกกลับมีสีผิวเหลืองอมแดง คล้ายพันธุ์ซันเซท รสชาติตอนดิบเปรี้ยว หากรับประทานตอนสุกจะหวาน เป็นที่นิยมของนักชิมจำนวนมาก แต่ไม่เพียงเฉพาะรสชาติที่แสนอร่อย มะม่วงมหาชนก ยังกลายเป็นยารักษาโรคร้าย อย่างโรคมะเร็งอีกด้วย นักพัฒนาและวิจัย ของคณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ทดลองทำการวิจัยสารที่อยู่ภายในมะม่วงมหาชนก พบว่า มีสารแบต้าแคโรทีน ที่เป็นสารสำคัญของการรักษาโรคมะเร็ง และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลายชนิด โรคหัวใจ เส้นเลือดอุดตันในสมอง โรคต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อมได้ สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญของงานวิจัย ที่ก่อให้เกิดการต่อยอดผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าสินค้า ซึ่งในอนาคตอาจจะจดลิขสิทธิ์สร้างองค์ความรู้เพื่อต่อยอดได้ สิ่งที่ได้รับจากงานวิจัยชิ้นนี้ นอกจากจะเป็นการต่อยอดนวัตนกรรมด้านการรักษาโรคแล้ว ยังเป็นงานวิจัยที่ส่งเสริมเชิงพาณิชย์ ให้เกิดการเพาะปลูกของเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของเกษตรแปลงใหญ่ที่รัฐบาลกำลังสนับสนุน ให้เกษตรกรร่วมตัว และหันมาเพาะปลูกพืชเชิงพาณิชย์ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ นำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ด้านการแพทย์ในการรักษาโรค ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น งานวิจัยมะม่วงมหาชนก ของมหาวิทยาลัยนเรศวร ถือเป็นหนึ่งตัวอย่างที่รัฐบาลกำลังส่งเสริม ให้สถานบันการศึกษาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกิดงานวิจัยใหม่ พร้อมสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพต่องานด้านงานวิจัย สรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ก่อนถ่ายโอนความรู้สู่เกษตรกร เริ่มตั้งแต่การดูแลรักษาการเพาะปลูก การฉีดสารละลาย การเก็บเกี่ยว ซึ่งจะทำให้ผลผลิตนั้นมีคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังส่งเสริมการทำวิจัยและนวัตกรรม ด้วยการออกมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อให้ภาคเอกชนนำค่าใช้จ่ายจากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปขอยกเว้นภาษีได้สูงสุด 3 เท่าของที่จ่ายจริง พร้อมจัดทำบัญชีนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ไทยให้ผู้ที่สนใจนำไปใช้ประโยชน์อีกด้วย ซึ่งถือเป็นความตั้งใจของรัฐบาลเติมเต็มที่ส่วนที่หายไปกับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะงานวิจัย และการต่อยอดยอดเป็นนวัตกรรม ที่จะทำให้ประเทศไทยในอนาคตกลายเป็นประเทศที่พัฒนา ทัดเทียมกับนานาอารยะประเทศ
14 ก.ย. 2560
สกู๊ป : อนาคตภาษีสรรพสามิตใหม่
วันที่ 16 กันยายนนี้ จะเป็นวันที่พระราชบัญญัติสรรพสามิตฉบับใหม่ จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ทำให้คณะรัฐมนตรี ต้องจัดทำหลักเกณฑ์โครงสร้างภาษีใหม่ ทั้งกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ไพ่ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีความหวาน ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพความไทย ติดตามจากรายงาน เป็นไปตามความคาดหมาย หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยกำหนดอัตราภาษีสินค้าประเภทสุรา ยาสูบ และไพ่ ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต 2560 ฉบับใหม่ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 กันยายน 2560 เพื่อปรับปรุงแนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน โดยคาดว่าจะประกาศลงราชกิจจานุเบกษาก่อนวันที่มีผลบังคับใช้ หรือในวันที่ 15 กันยายน 2560 ส่วนอัตราภาษีประเภทอื่นที่ ครม.เห็นชอบไปก่อนหน้านี้ จะทยอยประกาศในราชกิจจานุเบกษาอีก 1-2 วัน ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค สำหรับการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิต จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มกระทบกับสิ่งแวดล้อม และกลุ่มสินค้าบาป ซึ่งจะเน้นสิ่งที่ทำลายสุขภาพ และมีภาษีใหม่ เช่น การเก็บภาษีจากค่าความหวาน รวมทั้งได้ยกเลิกการเว้นเก็บภาษีบางรายการในเครื่องดื่มที่อยู่ในตู้แช่ 111 รายการ อาทิ ชา กาแฟ ทำให้สินค้าประเภทนี้ หากมีส่วนผสมของชา กาแฟ เพียงร้อยละ 1 จะถูกจัดเก็บทั้งหมด ทั้งนี้ มีรายงานว่า พระราชบัญญัติสรรพสามิตฉบับใหม่ จะเป็นการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต เปลี่ยนฐานคำนวณภาษีจากราคาหน้าโรงงานอุตสาหกรรม และราคานำเข้าซีไอเอฟ มาเป็นราคาขายปลีกแนะนำ ซึ่งจะมีการปรับลดอัตราภาษีแต่ละสินค้าให้เกิดความสมดุล ไม่สร้างภาระผู้ประกอบการและผู้บริโภค ทั้งนี้ กฎหมายฉบับใหม่ไม่ได้สร้างภาระให้กับผู้ประกอบการ แต่เพื่อต้องการสร้างความโปร่งใส เป็นธรรม และมีความเหมาะสม ส่วนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจะเป็นกลุ่มที่ไม่เคยถูกเก็บภาษีมาก่อน เช่น ภาษีน้ำหวานที่ให้แคลอรี่ โดยจะให้เวลาผู้ประกอบการปรับตัว 2 ปี ยกเว้นส่วนผสมน้ำตาลเทียมที่ให้พลังงานแคลอรี่ จะได้รับการยกเว้น โดยอัตราการจัดเก็บภาษีค่าความหวาน จะแบ่งเป็น 6 ระดับ ได้แก่ ค่าความหวาน 0-6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ไม่เสียภาษี ส่วนค่าความหวาน 6-8 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 10 สตางค์ต่อลิตร ค่าความหวาน 8-10 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 30 สตางค์ต่อลิตร ค่าความหวาน 10-14 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 50 สตางค์ต่อลิตร ค่าความหวาน 14-18 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 1 บาทต่อลิตร ค่าความหวาน 18 กรัมขึ้นไป ต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 1 บาทต่อลิตร และหลังจากนั้นจะทยอยปรับทุก 2 ปีแบบขั้นบันได ซึ่งจะมีเวลาเพียงพอที่ให้ทุกฝ่ายเกิดการปรับตัวตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรูปแบบใหม่
13 ก.ย. 2560
สกู๊ป : e-Market Place
การที่จะทำให้ประเทศเกิดการพัฒนา โดยเฉพาะการยกระดับเศรษฐกิจของไทยสู่ยุค 4.0 ได้นั้น ต้องทำให้เศรษฐกิจฐานรากมีความเข้มแข็ง โครงการดิจิทัลชุมชนด้าน e-Commerce เป็นหนึ่งโครงการที่จะเข้าไปส่งเสริมการค้าขายของชุมชน เพิ่มช่องทางด้านการตลาดผ่านการขายในระบบออนไลน์ เกิดเป็นระบบ e-Market Place กลาง การส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการประกอบอาชีพ เป็นแนวนโยบายสำคัญที่รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังขับเคลื่อนยกระดับประเทศสู่ Thailand 4.0 ที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ โครงการดิจิทัลชุมชนด้าน e-Commerce ที่เป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนขายสินค้าและบริการของท้องถิ่นในรูปแบบออนไลน์ได้ ในอนาคต เป็นหนึ่งโครงการที่ส่งเสริมให้ประชาชนใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม เพิ่มช่องทางด้านการตลาด โดยภาครัฐจะเข้าไปสนับสนุนการพัฒนา “ระบบ e-Market Place กลาง” ที่จะเป็นฐานข้อมูลสินค้าชุมชน เพื่อให้ภาคเอกชน ร้านค้าต่าง ๆ สามารถเลือกเชื่อมโยงข้อมูลสินค้า นำไปไปวางขายในพื้นที่ e-Market Place ของตัวเองได้ นอกจากนี้ จะมีการพัฒนาระบบบริหารจัดการร้านค้า หรือ Point of Sale ระบบการจัดส่ง e-Logistics ซึ่งจะเชื่อมโยงกับระบบ Prompt Pay และระบบการชำระเงิน e-Payment ในทำนองเดียวกับที่ไปรษณีย์ไทยดำเนินการอยู่ในเว็บไซต์ “ไทยแลนด์-โพส-มาร์ท” ให้ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ได้ขายสินค้าของตนได้ “โดยตรง” สู่ผู้บริโภคและร้านค้าขนาดใหญ่ ทั้งผลิตผลทางการเกษตร หรือสินค้า OTOP สิ่งที่รัฐบาลขับเคลื่อนทั้งหมด กับการพัฒนา ระบบ e-Commerce ของชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็ง และให้เกิดการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ อยู่บนพื้นฐานที่คำนึงถึงคนทั้งประเทศ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมให้ทุกคนมีส่วนช่วยกัน ในการจะสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ ตั้งแต่ในระดับของตน ไปจนถึงระดับชาติ เป็น “ห่วงโซ่คุณค่า”เดียวกัน เกิดความยั่งยืนตามแนวทาง “เศรษฐกิจ 4.0” ที่รัฐบาลได้ตั้งใจไว้
13 ก.ย. 2560
สกู๊ป : เน็ตประชารัฐ ยกระดับประเทศไทย
ยุคสมัยที่เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ รัฐบาลจึงเร่งพัฒนายกระดับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตให้เกิดขึ้นทั้งประเทศอย่างเท่าเทียม อย่างโครงการเน็ตประชารัฐในพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ หวังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ประชาชนจะสามารถใช้บริการได้อย่างราคาถูกที่เป็นสวัสดิการจากภาครัฐ ไทยแลนด์ 4.0 คือ นโยบายที่สำคัญของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับการยกระดับประเทศ โดยอาศัยการใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้ามาต่อยอดและสร้างการเรียนรู้ทุกด้านแบบไร้ขีดจำกัดในชีวิตประจำวัน ผ่านเทคโนโลยีสารเทศไร้สาย หรือ อินเทอร์เน็ต ที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนผ่าน โครงการประชารัฐให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อเป็นการยกระดับความเท่าเทียมในการเข้าถึงเทคโนโลยีแบบไม่แบ่งพื้นความเจริญ เหตุผลสำคัญในการจัดทำโครงการ เน็ตประชารัฐ นั้นคือ ความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงโลกอินเตอร์ได้ในราคาถูก ในเบื้องต้นหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้กำหนดเอาไว้ว่าอัตราค่าบริการนั้นจะอยู่ที่ประมาน 300 บาทต่อเดือนเท่านั้น ในการใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และจะดำเนินการติดตั้งให้แล้วเสร็จทั้งหมดติดตั้งอินเทอร์เน็ต 24,700 หมู่บ้านตามแผนการที่วางไว้ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในการดำเนินการเพื่อติดตั้งเพิ่มเติมให้ครบทั้งประเทศ เมื่อโครงข่ายอินเทอร์ความเร็วสูงสามารถครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศได้เพียงพอ จะทำให้การวางรากฐานโครงสร้างเศรษฐกิจ 4.0 นั้นเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยประชาชนทุกคนสามารถนำเอาไปต่อยอดโดยใช้เน็ตประชารัฐให้เกิดประโยชน์ได้ อาทิ การขายสินค้าออนไลน์ การเปิดระบบบริการเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ทำให้การจัดการเกิดความเร็วมากยิ่งขึ้น เป็นการสร้างโอกาสและสร้างอาชีพให้กับคนที่อยู่ให้พื้นที่ห่างไกลความเจริญอีกทางหนึ่ง ในอนาคตรัฐบาลจะเร่งการพัฒนาการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเป็นไปอย่างครอบคุลมที่สุดทั่วประเทศ ผ่านโครงการเน็ตชายขอบ เพื่อติดตั้งให้กับหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญที่อยู่บริเวณแนวชายแดน การเข้าถึงเป็นไปอย่างอย่างลำบาก โดยให้ กสทช.จัดการประมูลกับบริษัทเอกชน ถือเป็นการจัดทำร่วมกันที่รัฐบาลผลักดันให้เกิดขึ้นร่วมกันระหว่างรัฐกับเอกชน ซึ่งจะทำให้หมู่บ้านมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพิ่มขึ้นอีก 3,920 หมู่บ้านทันที โดยคาดว่านโยบายการสร้างโครงข่ายอินเตอร์นี้ทั้งหมดนี้จะสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มระบบและครอบคุลมทั้งหมดภายในปี 2561
13 ก.ย. 2560
สกู๊ป : โรงพยาบาลอาหารปลอดภัย
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมผลักดันให้โรงพยาบาลทุกแห่งในประเทศ เป็นโรงพยาบาลอาหารปลอดภัย ภายในปี 2561 เพื่อสร้างความมั่นใจและสร้างสุขภาพที่ดีแก่ผู้ป่วยและประชาชนที่เข้ามารับบริการในโรงพยาบาล ปี 2560 กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้เป็นปีแห่งผักและผลไม้ปลอดภัย ตามนโยบายโรงพยาบาลอาหารปลอดภัย พร้อมกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์แห่งชาติ โดยในปีนี้มีโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป จำนวน 116 แห่งให้ความร่วมมือด้านการสร้างความปลอดภัยอาหารในโรงพยาบาล เริ่มจากจัดหาผักและผลไม้ปลอดสารพิษนำมาปรุงอาหารให้ผู้ป่วยและญาติ โดยมีมาตรการควบคุมตรวจสอบคุณภาพความปลอดภัยของอาหารทุกกระบวนการ ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบ การขนส่งวัตถุดิบ การปรุงอาหาร โดยโรงครัวที่ปรุงอาหารผู้ป่วย และร้านอาหารในโรงพยาบาลต้องผ่านมาตรฐานด้านสุขาภิบาลอาหารตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อสร้างความมั่นใจและสุขภาพที่ดีแก่ผู้ป่วยและประชาชน พร้อมสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่สามารถเป็นต้นแบบในโครงการโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยแล้ว 5 แห่ง คือ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จังหวัดเชียงราย โรงพยาบาลนครปฐม จังหวัดนครปฐม โรงพยาบาลแพร่ จังหวัดแพร่ โรงพยาบาลตรัง จังหวัดตรัง และโรงพยาบาลอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะขยายยังโรงพยาบาลชุมชนให้ครบ 780 แห่งภายในปี 2561 พร้อมกับร่วมมืออีก 6 หน่วยงาน บูรณาการการทำงานเพื่อสนับสนุนให้โรงพยาบาลมีการบริหารจัดการความปลอดภัยด้านอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการยกระดับให้คนไทยมีสุขภาพและสุขภาพวะที่ดีถ้วนหน้า การร่วมมือแบบบูรณาการ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมจะเป็นการพัฒนาสาธารณสุขของไทยเกิดความยั่งยืนในทุกมิติ กับการยกระดับคุณภาพชีวิตให้มีความสุขภาพที่ดี ทั้งอาหารการกิน และร่างกายแข็งแรง เพราะเมื่อประชาชนอยู่ดีกินดี มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ก็จะทำให้คนไทยหลุดพ้นจากกับดักโรคภัยไข้เจ็บนี้ไปได้
13 ก.ย. 2560
สกู๊ป : ผนึกกำลัง...เอาจริงให้ยุงสิ้นลาย
สกู๊ป : ผนึกกำลัง...เอาจริงให้ยุงสิ้นลาย การสร้างการรับรู้และเข้าใจ ในการป้องกันตนเองจากการโดนยุงลายกัน เป็นเรื่องที่จำเป็นในการลดอัตราการป่วยของโรคไข้เลือดออก ผ่านสื่อโฆษณาที่ร่วมกันระหว่างกรมควบคุมโรค และ สสส. ที่รับรองความคิดสร้างสรรค์และสร้างการจดจำอย่างแน่นอน ยุงลาย 1 ตัว ออกลูกได้ 500 ตัว เป็นหนึ่งในสื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพหรือ สสส. มาใช้เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักในการจำกัดยุงลาย ซึ่งเป็นพาหนะนำโรคไข้เลือดออก ซึ่งพบว่า ในช่วงนี้มีประชาชนป่วยเป็นจำนวนมาก สำหรับสื่อโฆษณา “เอาจริงให้ยุงสิ้นลาย” กรมควบคุมโรค และ สสส. ได้จัดทำออกมา 4 แบบ ซึ่งเป็นการให้ความรู้กับประชาชนในรูปแบบอินโฟกราฟิกที่เข้าใจง่าย กับวิธีการกำจัดยุงลาย และจุดเพาะพันธุ์ยุงลายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง การจัดทำโฆษณาทั้ง 4 แบบ ถือเป็นสื่อที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การป้องกันตนเองจากโรคไข้เลือดออก พร้อมตระหนักถึงอันตรายของโลก โดยใช้ข้อมูลทางวิชาการเข้ามาเชื่อมโยง ซึ่งการนำสื่อในยุคดิจิทัลเข้ามาใช้ กับโลกยุคปัจจุบันที่สื่อออนไลน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมา พบว่าที่อัตราการเสียชีวิตใกล้เคียงกับปี 2559 และผู้ป่วยที่เสียชีวิตส่วนใหญ่มีแนวโน้มเป็นผู้ใหญ่ กว่าครึ่งจากจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด โดยสาเหตุเกิดจากการที่ผู้ป่วยซื้อยามารับประทานเอง ซึ่งต้องขอความร่วมมือกับร้านขายยาในการคัดกรองผู้ป่วยต่อไป สำหรับสถานการณ์ของโรคไข้เลือดออกในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 4 กันยายน 2560 มีผู้ป่วยแล้ว 34,459 ราย เสียชีวิตแล้ว 49 ราย ซึ่งสาเหตุที่เสียชีวิต มาจากโรคประจำตัวเรื้อรัง ภาวะอ้วน และมารับการรักษาช้า โดยสิ่งที่คนสามารถช่วยกันได้ นั้นคือ มาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ได้แก่ การเก็บบ้านให้สะอาด โล่ง ไม่ให้มีมุมอับทึบ เป็นที่เกาะพักของยุง การเก็บขยะเศษภาชนะรอบบ้าน โดยทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้ง ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง การเก็บน้ำ สำรวจภาชนะใส่น้ำ ต้องปิดฝาให้มิดชิด ป้องกันยุงลายไปวางไข่ ซึ่งจะช่วยป้องกัน 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคไข้ปวดข้อยุงลาย และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่าย กำลังช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักรู้ต่อโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะการกำจัดยุงลาย ซึ่งถือเป็นต้นตอของโรคให้หมดไป จะทำให้ประชาชนทุกคนห่างไกลจากโรค ลดการสูญเสียชีวิต เพราะโรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวของเราทุกคนอีกต่อไป
13 ก.ย. 2560
รายงานพิเศษ : สร้างมูลค่าเพิ่ม...ทางออกของยางพาราไทย
จากสถานการณ์ราคายางพาราแผ่นตกต่ำ รัฐบาลได้หาทางออกหลากหลายวิธี ทั้งการส่งเสริมและสนับสนุนการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากยางพารา การส่งเสริมให้มีการใช้ยางในระบบอุตสาหกรรมมากขึ้น การกำหนดมาตรการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว รวมทั้งการส่งเสริมการผลิตในประเทศ และการเพิ่มมูลค่ายางพาราให้สูงขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินการของกลุ่มเกษตร หรือในรูปแบบของสหกรณ์ต่างๆ ชุมนุมสหกรณ์อุตสาหกรรมบางพาราภาคใต้ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอบ้านนาเดิม จังหวัดสุราษฎร์ธานี นับเป็นสถาบันเกษตรกรแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่มีการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์ โดยใช้วัตถุดิบจากยางแผ่นรมควันที่มีคุณภาพของภาคใต้ นำมาแปรรูปเป็นสายพานลำเลียง ส่งจำหน่ายยังโรงงานอุตสาหกรรมในหลายพื้นที่ อีกทั้งได้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายอย่าง นายหิรัญ เรืองสวัสดิ์ ผู้จัดการชุมนุมสหกรณ์อุตสาหกรรมยางพาราภาคใต้ จำกัด เล่าว่า ชุมนุมสหกรณ์แห่งนี้ เกิดขึ้นจากการรวมตัวของสหกรณ์ต่างๆ ในภาคใต้ เพื่อให้เป็นสถาบันการเงินและจัดตั้งโรงงานขึ้นมาแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่ายางพารา โดยจดทะเบียนสหกรณ์เป็นชุมนุมสหกรณ์ระดับภาค เมื่อปี พ.ศ.2553 ปัจจุบันได้ดำเนินการแปรรูปยางพาราเป็นยางคอมปาวด์ และแปรรูปจากยางคอมปาวด์เป็นวัสดุขึ้นรูปสายสะพานเครื่องจักร รวมทั้งแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ ล้อยางรถโฟล์คลิฟท์ ยางรองแท่นเครื่อง ยางปูสนามเด็กเล่น บล็อกยางปูพื้น ยางปูคอกปศุสัตว์ และลู่วิงสนามกีฬา เป็นต้น นับว่าชุมนุมสหกรณ์อุตสาหกรรมยางพาราภาคใต้ จำกัด คือตัวอย่างความสำเร็จของการดำเนินงานในรูปแบบสหกรณ์ ซึ่งปัจจุบันมีการดำเนินงานในรูปแบบประชารัฐ คือมีภาคราชการให้การสนับสนุนส่งเสริม มีภาคเอกชนเข้ามารองรับด้านการตลาด และการรวมกลุ่มของชุมชนในรูปแบบสหกรณ์ที่มีความเข้มแข็ง แนวโน้มการเติบโตที่ดี จากมติ ครม. เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 ที่เห็นชอบโครงการขอสนับสนุนงบกลางปี 2560 วงเงิน 1,851 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการใช้ยางพาราในส่วนราชการ จาก 3 กระทรวง คือ กระทรวงกลาโหม ในการจัดซื้อที่นอนยางพารา การก่อสร้างลานเอนกประสงค์ การจัดหายางรถยนต์ การสร้างทางผิวจราจรลาดยาง การปูสระเก็บน้ำ ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อใช้ในการปรับปรุงเครื่องนอน การเพิ่มใช้ถุงมือยาง การใช้แผ่นยางปูพื้นคอกสัตว์ เพื่อลดการบาดเจ็บ การปรับปรุงก่อสร้างอาคาร และส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อใช้ในพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของสนามกีฬา ทั้งนี้ ภาพความชัดเจนในการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่แปรรูปจากยางพารา รวมทั้งการเพิ่มปริมาณความต้องการใช้ยางพาราภายในประเทศคงจะมีมากขึ้น สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ / รายงาน
13 ก.ย. 2560
ศูนย์ข่าวฮัจย์ไทยเผยผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ฮัจย์เป็นที่น่าพอใจ พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความร่วม
ศูนย์ข่าวฮัจย์ไทย กรมประชาสัมพันธ์ เปิดเผยผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ฮัจย์ไทย เป็นที่น่าพอใจพร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือการทำงานเป็นอย่างดี นายจักรกฤช วรสูตร ในฐานะหัวหน้าศูนย์ข่าวฮัจย์ไทย กรมประชาสัมพันธ์ เปิดเผยว่า กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการที่ทำหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารภาครัฐ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ โดยในปีนี้ พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด รักษาราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมกรมประชาสัมพันธ์ ได้อนุมัติงบประมาณ นำทีมข่าวจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดยะลาและสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยจังหวัดยะลา รวมทั้งสำนักการประชาสัมพันธ์ต่างประเทศ กรมประชาสัมพันธ์ มาทำหน้าที่รายงานข่าวสารความเคลื่อนไหวของผู้แสวงบุญชาวไทยที่เดินทางมาประกอบพิธีฮัจย์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งจากการดำเนินงานดังกล่าวทำให้เราได้ทราบถึงที่ทางการซาอุดิอาระเบียชื่นชมรัฐบาลไทยอย่างมาก ในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้แสวงบุญชาวไทยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องของการจัดเที่ยวบินแบบเช่าเหมาลำ ทำให้ผู้แสวงบุญชาวไทยได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งผ่านการนำเสนอข้อมูลจากทีมข่าวของกรมประชาสัมพันธ์ โดยในปีนี้ ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งใหม่ที่เราได้มีการเผยแพร่ในหลากหลายช่องทางมากยิ่งขึ้น อาทิ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ทั้งจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค นอกจากนี้ยังมีการออกอากาศทางช่องทางสถานีโทรทัศน์ภาคภาษาอังกฤษ NBT World ตลอดจนสื่อออนไลน์ของกรมประชาสัมพันธ์อีกด้วย หัวหน้าศูนย์ข่าวฮัจย์ไทย กรมประชาสัมพันธ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ให้ความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกข้อมูลให้กับทีมข่าวเป็นอย่างดี ทั้งจากที่ประเทศซาอุดิอาระเบียและประเทศไทย เพื่อช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยและผู้แสวงบุญชาวไทยสู่สายตาชาวต่างประเทศ รวมถึงส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรัฐบาลไทยและซาอุดิอาระเบียอีกด้วย และเพื่อให้ผู้ติดตามข่าวสารในประเทศไทยเกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมในการประกอบพิธีฮัจย์ ซึ่งผลการดำเนินงานในปีนี้ถือเป็นที่น่าพอใจอย่างมากและหวังว่าในปีต่อๆ ไป ทีมข่าวฮัจย์ไทย กรมประชาสัมพันธ์จะทำหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ได้อย่างดีที่สุดต่อไป
12 ก.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 12 กันยายน 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 12 กันยายน 2560
10 ก.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : ร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย เรื่องร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ว่า รัฐวิสาหกิจเป็นกลไกของรัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ รวมถึงเป็นผู้ให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน ดังนั้น ภาครัฐจำเป็นต้องมีการปฏิรูปการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ประกอบไปด้วยหลักการสำคัญจำนวน 6 เรื่อง อาทิ มีแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจเพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนารัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องแผนพัฒนาฯ และยุทธศาสตร์ชาติ และเป็นช่องทางในการส่งผ่านนโยบายของภาครัฐไปยังรัฐวิสาหกิจให้มีความชัดเจนและโปร่งใส มีกระบวนการสรรหากรรมการที่ชัดเจน โปร่งใส และมุ่งเน้นประสบการณ์และความรู้ความสามารถที่จำเป็นต่อการดำเนินงานและการพัฒนาของรัฐวิสาหกิจ มีกลไกระบบการกำกับดูแลที่ดี เพื่อเปิดเผยข้อมูลให้เกิดความโปร่งใสและส่งเสริมความรับผิดรับชอบในการดำเนินตามนโยบายของรัฐบาล พัฒนาระบบประเมินผลที่เชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจและนโยบายอย่างเป็นระบบ และจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติและทำหน้าที่ในฐานะผู้ถือหุ้นเชิง เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้มีความพร้อมในการแข่งขันเชิงพาณิชย์และสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยคงความเป็นรัฐวิสาหกิจไว้ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ยังได้ย้ำว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวจะทำให้การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจมีความบูรณาการ เป็นระบบ และโปร่งใสมากยิ่งขึ้น อันเป็นแนวทางหนึ่งในการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจที่จะนำไปสู่สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดทำบริการสาธารณะที่มีคุณภาพให้แก่ประชาชนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนให้กับประเทศต่อไป นพรุจ กล่ำทอง รายการเดินหน้าประเทศไทย : ร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ ผู้ร่วมรายการ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ/อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ออกอากาศวันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2560
10 ก.ย. 2560
จังหวัดสิงห์บุรี จัดโครงการวันเยาวชนแห่งชาติ “ย้อนเสน่ห์วิถีไทย ร้อยดวงใจ เทิดไท้องค์ภูมินทร์”
ณ ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน วัดโพธิ์เก้าต้น อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี พันตำรวจโท หม่อมหลวง กิติบดี ประวิตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการวันเยาวชนแห่งชาติ พร้อมมอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีแก่เยาวชนที่ได้รับรางวัลเยาวชนคนเก่งในโครงการด้วยรักและห่วงใย ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดย นางพรทิพย์ สุขสราญ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสิงห์บุรี และคณะบริหารสภาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ เนื่องจากในวันที่ 20 กันยายน 2560 เป็นวันเยาวชนแห่งชาติ จัดกิจกรรมในหัวข้อ “ย้อนเสน่ห์วิถีไทย ร้อยดวงใจ เทิดไท้องค์ภูมินทร์” มีการเดินขบวนพาเหรดเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี รำถวายพระพรราชวงศ์จักรี การขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ การแสดงชุดวีรกรรมรำลึก และร้องเพลงประสานเสียงของเด็กและเยาวชนชุด รักพ่อไม่มีวันพอเพียง มีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก โดยกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. สภาเด็กและเยาวชนจังหวัดสิงห์บุรี เยาวชนจากสถานศึกษา พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสิงห์บุรี เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 250 คน เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนให้รู้จักการมีส่วนร่วมและความสามัคคี ให้เด็กและเยาวชนได้แสดงศักยภาพเชิงบวก กล้าคิดกล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ มีคุณธรรมจิริยธรมใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ สนับสนุนให้เด็กและเยาวชน ได้ทำกิจกรรมร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ เกิดการบูรณาการดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทางสังคม
10 ก.ย. 2560
จ.สระแก้ว จัดกิจกรรมปั่นจักยานตามรอยพระราชดำริ SAKAEO GREEN RUNNING ปั่น ๙ สานต่อพระราชปณิธาน
ที่อ่างเก็บน้ำท่ากะบาก จังหวัดสระแก้ว นายสมชัย อมรวัฒนสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เป็นประธานเปิดกิจกรรมปั่นจักยานเสือภูเขาตามรอยพระราชดำริ SAKAEO GREEN RUNNING ปั่น ๙ สานต่อพระราชปณิธาน โดยท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสระแก้ว จัดกิจกรรม ปั่นจักยานเสือภูเขาตามรอยพระราชดำริ SAKAEO GREEN RUNNING ปั่น ๙ สานต่อพระราชปณิธาน ระยะทาง 64 กิโลเมตร พร้อมทั้งร่วมปล่อยพันธุ์ปลา จำนวน 1,000,000 ตัว เพื่อเป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ สำหรับกิจกรรมการปั่นจักยานเสือภูเขาตามรอยพระราชดำริ SAKAEO GREEN RUNNING ปั่น ๙ สานต่อพระราชปณิธาน ตามรอยพ่อสร้าง คน น้ำ ป่า เขา เป็นการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงกีฬา Sports Tourism กับการท่องเที่ยวเพื่อการศึกษา และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว รวมไปถึงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากจังหวัดสระแก้วเป็นพื้นที่ที่ตั้งโครงการพระราชดำริพื้นที่ราบเชิงเขาสระแก้ว - ปราจีนบุรี และในปัจจุบันเป็นแหล่งเรียนรู้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สำคัญ และมีนักท่องเที่ยวได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้โครงการพระราชดำริพื้นที่ราบเชิงเขาสระแก้ว - ปราจีนบุรีตามพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ดังนั้น เพื่อเป็นการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ จังหวัดสระแก้วจึงได้จัดกิจกรรมโดยมีนักปั่นในจังหวัดใกล้เคียงและประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นการได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในการท่องเที่ยวตามเส้นทางและร่วมทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ สร้างสรรค์สังคมและวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดสระแก้วให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติต่อไป
10 ก.ย. 2560
ความคืบหน้าการก่อสร้างพระเมรุมาศจำลอง จ.ยะลา ดำเนินการไปแล้ว 40 เปอร์เซ็นต์
ความคืบหน้าการก่อสร้างพระเมรุมาศจำลอง จ.ยะลา เจ้าหน้าที่ เร่งประกอบยอดฉัตร ขณะดำเนินการไปแล้ว 40 เปอร์เซ็นต์ วันนี้ (10 ก.ย. 60) ความคืบหน้าในการก่อสร้างพระเมรุมาศจำลอง จังหวัดยะลา ที่บริเวณสถานที่ก่อสร้าง ภายในสนามโรงพิธีช้างเผือก เทศบาลนครยะลา เจ้าหน้าที่จาก หจก.อัชชะครูวัสดุภัณฑ์ ยังคงเร่งมือกันก่อสร้างฐานราก ประกอบยอดฉัตร ตามแผนดำเนินการก่อสร้างพระเมรุมาศจำลอง เพื่อให้แล้วเสร็จทันตามกำหนดเวลา นายประกอบ ประภัย โฟว์แมน กล่าวว่า ขณะนี้การดำเนินการก่อสร้าง ดำเนินการแล้ว ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในขั้นตอนการประกอบยอดฉัตร และนำขึ้นไปวางบนแท่น เพื่อดูว่าเพลทตรงกันหรือไม่ ก็ไม่มีปัญหาอะไร สามารถประกอบกันได้พอดี ก็เลยนำลงมาด้านล่าง เพื่อเตรียมให้ช่างเฟอร์นิเจอร์ เข้ามาทำการตกแต่งยอดฉัตร โดยจะทำเต้นท์ คลุมยอดฉัตรไว้ ถ้าหากฝนตกก็สามารถดำเนินการตกแต่งยอดฉัตรได้ ถ้านำไปตกแต่งข้างบนการทำงานจะลำบาก เมื่อตกแต่งยอดฉัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะยกขึ้นไปวางบนตัวแท่น ต่อไป สำหรับฐานราก ขณะนี้เหลือเพียงขั้นตอนการปูไม้อัด ปูบล็อค การดำเนินการขณะนี้ก็เป็นไปตามแผน ขั้นตอน และกำหนดเวลา ที่จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2560
10 ก.ย. 2560
ชมรมนักวิ่งจังหวัดลำพูน จัดกิจกรรม เดิน - วิ่ง สลากย้อม 1 เดียวในโลก
ชมรมนักวิ่งจังหวัดลำพูน จัดกิจกรรม เดิน - วิ่ง สลากย้อม 1 เดียวในโลก ส่งเสริมการท่องเทียวของจังหวัดลำพูนให้ประเพณีถวายต้นสลากย้อม เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วทั้งประเทศ วันนี้ ( 10 ก.ย. 60 ) ที่หน้าวัดพระธาตุหริภุญชัย อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน นายวีระชัย ภู่เพียงใจ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ได้เป็นประธานปล่อยตัวนักนักกีฬา เดิน - วิ่ง สลากย้อม 1 เดียวในโลก ส่งเสริมการท่องเทียวและประเพณีถวายต้นลากย้อม 1 เดียวในโลกของจังหวัดลำพูน ให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเทียวและประชาชนทั่วไป มีนักวิ่งจากทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน จำนวน 1,009 คน จ่าสิบเอกอนนต์ จิตร์สบาย ประธานชมรมนักวิ่งจังหวัดลำพูน กล่าวว่า ชมรมนักวิ่งจังหวัดลำพูน ร่วมกับ จังหวัดลำพูน ได้จัดกิจกรรม เดิน - วิ่ง สลากย้อม 1 เดียวในโลก ขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมการออกกำลังกายโดยการ เดิน - วิ่ง เพื่อเสริมสร้างสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดี ในหมู่คณะนักวิ่ง และเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเทียวของจังหวัดลำพูน ให้ประเพณีถวายตันสลากย้อม 1 เดียวในโลก ได้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไป โดยการจัดงานในครั้งนี้ มีนักวิ่งจากทั่วประเทศ เข้าร่วมแข่งขัน จำนวน 1,009 คน แบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภท ระยะทาง 5 กิโลเมตร และประเภท 10.5 กิโลเมตร รวม 22 กลุ่มอายุ โดยเส้นทางการวิ่ง เริ่มจากกจุดปล่อยตัวนักกีฬา ที่หน้าวัดพระธาตุหริภุญชัย วิ่งผ่านสะพานท่านาง เลียบแม่น้ำกวง ผ่านกู่ช้าง - กู่ม้า เลี้ยวเข้าถนนเลียบทางรถไฟ ผ่านสะพานดำ(สะพานประวัติศาสตร์) และกลับตัวที่จุดตัดทางข้ามรถไฟแยกดอยติ และวิ่งกลับมาจนถึงจุดเข้าเส้นชัย หน้าวัดพระธาตุหริภุญชัย รวมระยะทาง 10.5 กิโลเมตร สำหรับประเพณีสลากย้อม ในอดีต เป็นการทำบุญที่เจาะจงเฉพาะสุภาพสตรีเท่านั้น โดยต้นสลากย้อมจะมีการตกแต่งอย่างสวยงาม ใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุหลักในการประกอบ มีการย้อมสีตรงปลายเรียวไม้ไผ่หลายหลากสี ของที่นำมาแขวนจะแต่งย้อมสีให้สวยงาม เพื่อให้สมกับเป็นการทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต สิ่งของที่นำมาถวายจะเป็นของที่ช่วยบำรุงความสวยงามของสตรี เช่น กระจก, แป้ง, หวี, สิ่ง ของเครื่องใช้ต่างๆ โดยมีความเชื่อว่าการร่วมทำบุญในพิธีสลากย้อมจะได้รับอนิสงฆ์เทียบเท่ากับการบวชของผู้ชาย และเชื่อว่าจะทำให้เป็นผู้ที่มีความสวยงาม ถือเป็นประเพณีท้องถิ่นที่สามารถพบได้แห่งเดียวที่จังหวัดลำพูน
10 ก.ย. 2560
สกู๊ป : เสียงตอบรับ...ใบขับขี่ QR Code
การเพิ่มคิวอาร์โค้ดลงในใบอนุญาตขับขี่ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลของประชาชน กับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนทั้งที่มีใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพ และผู้ที่ใบอนุญาตขับขี่ยังไม่หมดอายุมาขอทำใบอนุญาตขับขี่แบบใหม่จำนวนมาก แถวประชาชนที่รอคิวเพื่อขอรับบริการเปลี่ยนใบอนุญาตขับขี่แบบใหม่ ที่มีความทันสมัย แข็งแรง และนำนวัตกรรมในยุค 4.0 อย่างคิวอาร์โค้ดมาใช้ ที่กรมการขนส่งทางบก เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน ถือเป็นภาพสะท้อนการตอบรับที่ดีจากประชาชน ทั้งผู้ที่ใบขับขี่หมดอายุ หรือแม้แต่ผู้ที่ใบขับขี่ยังไม่หมดอายุก็ตาม อย่างนายเลิศ มาเจริญ วัย 70 ปี ที่แม้ว่าใบอนุญาตขับขี่ที่มีจะเป็นแบบตลอดชีพ ซึ่งกรมการขนส่งจะยังอนุญาตให้ใช้ต่อได้ แต่ส่วนตัวมองว่าใบอนุญาตขับขี่รูปแบบใหม่ เป็นใบขับขี่ที่จะช่วยในการอำนวยความสะดวกในการขับขี่ หรือเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น ก็สามารถขอความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที เช่นเดียวกับนางสาวพรรณี วงษ์พระจันทร์ มองว่าการเพิ่มคิวอาร์โค้ดลงไปในใบอนุญาตขับขี่นั้น จะส่งผลดีกับผู้ใช้ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของทางกรมการขนส่งทางบก พร้อมกับยังสามารถตรวจสอบ เมื่อต้องใช้บริการขนส่งสาธารณะ ในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือ พนักงานขับรถมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม พร้อมกับอยากให้เข้มงวดกับการออกใบอนุญาตเพื่อคัดกรองผู้ขับขี่ให้เกิดความปลอดภัยบนท้องถนนให้ได้มากที่สุด สำหรับประชาชนที่ใบอนุญาตขับขี่เดิมยังไม่หมดอายุ และต้องการทำใบอนุญาตขับขี่ใหม่ จะได้รับยกเว้นค่าใช้จ่าย 100 บาท กรณีทำใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ชั่วคราว จากอัตราเดิม 305 บาท เสียเฉพาะค่าธรรมเนียมและค่าคำขอรวม 205 บาท กรณีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล จากอัตราเดิมคือ 605 บาท เสียเฉพาะค่าธรรมเนียมและค่าคำขอรวม 505 บาท ส่วนผู้ที่ถือใบอนุญาตขับขี่แบบตลอดชีพ หากจะเปลี่ยนเป็นบัตรแบบใหม่จะเสียค่าธรรมเนียม 105 บาท เพื่อเปลี่ยนเป็นใบแทน เหมือนบัตรสูญหาย หากเปลี่ยนชื่อ เสียค่าธรรมเนียม 55 บาท การเพิ่มคิวอาร์โค้ดลงในใบอนุญาตขับขี่ กรมการขนส่งทางบกมุ่งหวังให้ประชาชนเกิดการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และเชื่อมโยงข้อมูลการกระทำความผิดของจากสำนักงานตำรวจ พร้อมกับให้ยากต่อการปลอมแปลง ยกระดับมาตรฐานการอนุญาตการขับขี่ของไทย ให้ทุกการขับขี่บนท้องถนนนั้นเกิดความปลอดภัย กับการใช้เทคโนโลยีในยุค 4.0
10 ก.ย. 2560
สกู๊ป : ก้าวข้ามประชานิยมเพื่อความยั่งยืนด้วย 'เกษตรแปลงใหญ่'
เกษตรแปลงใหญ่ คืออีกหนึ่งนโยบายที่รัฐบาลนำมาใช้เพื่อก้าวข้ามประชานิยมเพื่อความยั่งยืน หวังแก้ปัญหาราคาข้าวในระยะยาว โดยนายกสมาคมเครือข่ายชาวนาไทย มองว่า การรวมกลุ่มเพื่อต่อรองในการซื้อผลผลิตและปลูกข้าวนั้น จะช่วยทำให้ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการปลูกข้าวให้มีคุณภาพได้ เป็นการเพิ่มกำไรในขายข้าวในระยะยาว การสนับสนุนให้ชาวนาได้ปลูกข้าว และผ่านพ้นในช่วงวิกฤตที่เกิดจากปัญหาราคาข้าวตกต่ำ คือนโยบายของภาครัฐที่ต้องเข้าไปส่งเสริม ให้การปลูกข้าวสามารถออกผลได้เป็นที่น่าพอใจและมีผลผลิตที่ได้ราคา แต่ในขณะเดียวกันที่ผ่านมานั้นปรากฏว่าการปลูกข้าวส่วนใหญ่ ของเกษตรกรยังไม่สามารถมีรายได้ที่ดูแลตัวเองและยังต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากภาครัฐ จึงทำให้รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจึงต้องเร่งแก้ปัญหาในขณะนี้ นโยบายเกษตรแปลงใหญ่ เป็นหนึ่งในแนวทางทำให้ชาวนาสามารถลดต้นทุนการปลูกข้าวได้ โดยรัฐบาลจะเข้าไปสนับสนุนให้การช่วยเหลือในการรวมกลุ่มกันของชาวนา เพื่อต่อรองผลประโยชน์กับการซื้อสินค้าทางการเกษตรที่จำเป็นมากขึ้น อาทิ ปุ๋ยคุณภาพดี ยาป้องกันศัตรูพืช ค่าหว่านไถ ปัจจัยการผลิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือรายจ่ายที่ชาวนาต้องแบกรับภาระทั้งสิ้นหากต้องการผลผลิตที่มีคุณภาพดี นายกสมาคมเครือข่ายชาวนาไทย เห็นว่านโยบายเกษตรแปลงใหญ่ของรัฐบาลคือการช่วยชาวนาอย่างแท้จริง มุ่งแก้ปัญหาที่เป็นจุดอ่อน พร้อมๆกับพัฒนาศักยภาพความร่วมมือกันของชาวนาให้เกิดประสิทธิภาพ สร้างความร่วมมือในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยในอนาคตจะพัฒนาไปสู่การเป็นรูปแบบสหกรณ์ ทำให้รายได้มีความมั่นคงมากขึ้นจากการค้าข้าว เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการของรัฐบาลก่อนหน้านี้กับการรับจำนำข้าวทุกชนิดที่ให้ราคาสูง นายกสมาคมเครือข่ายชาวนาไทย ยืนยันว่า แนวทางการทำเกษตรแปลงใหญ่ถือเป็นการช่วยเหลือชาวนาที่แท้จริงและมีความยั่งยืนมากกว่า ซึ่งการรับจำนำข้าวนั้น ไม่ได้สะท้อนความต้องการที่เป็นจริงของตลาด ทำให้ชาวนาแข่งขันที่จะปลูกข้าวให้ได้มาก แต่ไม่เน้นคุณภาพ การทำเกษตรแปลงใหญ่เป็นการส่งเสริมให้ข้าวมีคุณภาพมากกว่า ซึ่งลดการพึ่งพาจากภาครัฐในอนาคตและเกิดเป็นแนวทางที่ยั่งยืน การปรับเปลี่ยนชาวนาให้หันมาใช้ระบบเกษตรแปลงใหญ่นั้น แม้จะต้องใช้เวลาในการปรับตัว แต่ผลที่ได้ในอนาคตถือว่าคุ้มค่ากับการรอคอย เพราะเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก ผ่านการส่งเสริมจากรัฐบาลให้ชาวนาทุกคนร่วมมือกันเป็นกลุ่มใหญ่ พร้อมหาช่องทางในการซื้อปัจจัยต่างๆในราคาถูก และเชื่อว่าในอนาคตเมื่อผลผลิตมีคุณภาพ ชาวนาทั้งหมดก็จะสามารถเพิ่มมูลค่าของข้าวได้ให้มีกำไรมากขึ้น และกลายเป็นผู้ควบคุมตลาดได้ในที่สุดเพราะสินค้าเป็นที่ต้องการของตลาด ในเมื่อชาวนาแต่ละกลุ่มมีความเข้มแข็งมากขึ้นก็จะพัฒนาไปสู่กระบวนการที่เป็นรูปแบบของสหกรณ์ที่มีมีการช่วยเหลือกันในแต่ละกลุ่ม ซึ่งระบบสหกรณ์นั้นจะช่วยให้การจัดการได้ดีขึ้นสามารถนำเงินไปลงทุนต่อยอดอื่นๆได้อีกทางหากชาวนาตัดสินใจที่จะเกษียณอายุเมื่อสูงวัยอีกด้วย ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะเป็นการยกระดับการช่วยเหลือชาวงนาอย่างแท้จริงในระยะยาว
10 ก.ย. 2560
จ.เชียงราย จัดเทศกาลโล้ชิงช้า กระทุ้งกระบอกไม้ไผ่ "บ่อ ฉ่อง ตุ๊" นานาชาติของกลุ่มชาติพันธุ์ ยิ่งใหญ่
ชนเผ่าอาข่าทั่วทุกสารทิศแต่งกายอย่างสวยสดงดงามร่วมงานเทศกาลโล้ชิงช้า กระทุ้งกระบอกไม้ไผ่ นานาชาติ ประจำปี 2560 เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟู ประเพณีวัฒนธรรมชนเผ่า สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ที่บริเวณลานพระสยามเทวาธิราช บ้านสามแยกอาข่า หมู่ที่ 24 ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย นายสัมฤทธิ์ สวามิภักดิ์ ปลัดจังหวัดเชียงราย เป็นประธานพิธีเปิดงานเทศกาลโล้ชิงช้า กระทุ้งกระบอกไม้ไผ่ "บ่อ ฉ่อง ตุ๊" นานาชาติประจำปี 2560 ซึ่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เข้ามาสัมผัสบรรยากาศ ท่ามกลางวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี ที่สืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ นายปิยะเดช เชิงพิทักษ์กุล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองใน กล่าวว่า เทศกาลโล้ชิงช้า กระทงกระบอกไม้ไผ่ "บ่อ ฉ่อง ตุ๊" ซึ่งเป็นประเพณี และวัฒนธรรมของชนเผ่าอาข่า ที่มีต้นกำเนิดในดินแดนที่มีชื่อว่า “จาแดล้อง” คือพื้นที่ประเทศจีนในปัจจุบัน โดยดินแดนแห่งนี้มีผู้นำอาข่าที่ยิ่งใหญ่ที่ชาวอาข่า ให้ความเคารพนับถืออย่างมาก เป็นการบอกเล่าถึงความเป็นมาของประเพณีโล้ชิงช้า ที่เป็นสัญลักษณ์การจัดประเพณีให้กับผู้หญิง เนื่องจากในเทศกาลนี้ ผู้หญิงอาข่า จะแต่งตัวประดับประดาด้วยเครื่องแต่งกาย อย่างสวยสดงดงามที่จัดเพื่อเฉลิมฉลองให้พืชพันธุ์ที่จะได้เก็บเกี่ยวไว้บริโภคอีกด้วย ทางองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองใน จึงได้เล็งเห็นความสำคัญของประเพณีดังกล่าวจึงได้จัดเทศกาลโล้ชิงช้า นานาชาติประจำปี 2560 เพื่อฟื้นฟูประเพณีวัฒนธรรมชนเผ่า และพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เสริมสร้างให้คนในชุมชนเกิดความเข้มแข็งสมัครสมานสามัคคี และให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี และปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์สืบสานประเพณีวัฒนธรรมชนเผ่า และสร้างโอกาสให้ชนเผ่ามีพื้นที่ในการแสดงออกถึงประเพณีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น อีกด้วย
10 ก.ย. 2560
ชวนลอง “บูดูอบแห้ง” สูตรแปลก รสชาติอร่อย ชาวยะลา สร้างรายได้
“ของฝากชายแดนใต้” ชาวบ้านสะตงนอก ยะลา รวมกลุ่ม Start Up แปรรูปน้ำบูดู ของกินขึ้นชื่อภาคใต้เป็น “บูดูอบแห้ง” “อร่อยเด็ด สูตรแปลก ถูกใจ” ขาย สร้างรายได้เสริม หลังว่างจากงานประจำ “ของฝากชายแดนใต้” กลุ่มบูดูอบแห้ง “อร่อยเด็ด สูตรแปลก ถูกใจ” ผู้ประกอบการรายใหม่ (Start Up) ต.สะเตงนอก อ.เมือง จ.ยะลา ได้นำผลิตภัณฑ์ ไปเปิดบูธวางจำหน่ายในสถานที่การจัดงานต่างๆ ในเขตเมืองยะลา เพื่อให้ประชาชนได้เลือกซื้อ เลือกชิม ความอร่อย ของ บูดูอบแห้งสูตรแปลก พร้อมทั้งแพ็กกิ้ง ข้าวสวย ข้าวเหนียวคู่กับบูดู และผักลวก ผักจิ้ม ดูแล้วน่ารับประทานยิ่ง ช่วยสร้างแรงดึงดูดให้ผู้บริโภคมาเลือกซื้อไปรับประทานอย่างต่อเนื่อง นายอาแว เจ๊ะมะ ประธานกลุ่ม/ ผู้ผลิต หรือ "เปาะแว" กล่าวถึงจุดเริ่มต้นในการทำ “บูดูอบแห้ง” ว่า เกิดจากการที่ตนเองได้นำสินค้าเป็นบูดูซึ่งเป็นน้ำไปขาย พกพาลำบาก ก็เลยมาคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะพกพาไปขายได้อย่างสะดวก จะให้น้ำบูดูไปเกาะกับอะไร ก็เลยไปซื้อเนื้อปลาแห้งมาใส่กับน้ำบูดู ก็สามารถเกาะได้ รสชาติบูดู ก็มาอยู่ที่เนื้อปลา ทดลองทำ ขายไปเรื่อยๆ พร้อมกับจัดตั้งเป็นกลุ่มบูดูอบแห้ง จนปีกว่า ประชาชนให้การตอบรับดี มีออเดอร์สั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยจะผลิต 2 วัน ต่อครั้งๆ ละ 200 กระปุก บรรจุกระปุกละ 100 กรัม จำหน่ายปลีกกระปุกละ 40 บาท 3 กระปุก 100 บาท โดยจะจำหน่ายทั้งการไปออกบูธในงานต่างๆ ขายตามตลาดนัด และร้านค้ามารับไปขายที่ผ่านมา ก็ได้ส่งไปขายที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ประเทศมาเลเซีย ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ที่มาของ คำว่า “อร่อยแปลก สูตรแปลก” มาจากน้ำบูดู ซึ่งในส่วนของการทำบูดดูอบแห้ง ก็จะใช้บูดูสดไม่ผสมอะไร ซึ่งเป็นเจ้าแรกใน จ.ยะลา ที่ผลิต บูดูอบแห้ง ขาย ส่วนวิธีการทำบูดูอบแห้ง นั้น ก็จะใช้น้ำบูดูสดเป็นหลัก นำมาผสมกับน้ำตาลปิ๊ป เนื้อปลาแห้ง น้ำมะนาว พริกแห้งป่น คลุกเคล้าและผัดให้เข้ากัน โดยใช้เวลา ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็นำมาตักใส่กระปุก รอจนเย็น ก็ปิดกระปุก แพ็กกิ้งไว้จำหน่ายได้เลย บูดูอบแห้งนี้ หากเก็บไว้ในตู้เย็น สามารถเก็บไว้รับประทานได้นานเป็นเดือน ด้านนายมาหะมะ ดารี รองประธานกลุ่ม/ฝ่ายประสานงาน กล่าวว่า กลุ่มบูดูอบแห้งนี้ เป็นกลุ่มผู้ประกอบการรายใหม่ (Start Up) จัดตั้งขึ้น โดยนำหลัก เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา รวมทั้งหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ 9 มาใช้ในการดำเนินการของกลุ่ม มีสมาชิกเข้าร่วมกลุ่ม จำนวน 7 คน โดยการสนับสนุนของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งช่วยเหลือในการแปรรูปอาหาร ให้เป็นอาหารมาตรฐาน นานาชาติ ในระดับอาเซียน รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ ทั้งพาณิชย์ อุตสาหกรรม ธ.ก.ส.พัฒนาชุมชน เกษตรอำเภอ ก็ได้ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง หลังจากดำเนินการมาได้ 1 ปี บูดูอบแห้ง ก็สามารถไปถึงระดับคัดเลือกผลิตภัณฑ์ จาก 900 ผลิตภัณฑ์ ติด 1 ใน 135 ผลิตภัณฑ์ ที่ได้ไปจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในห้าง ในงานเกี่ยวกับการแปรรูปอาหาร และผ่านการรับรองของสถาบันทาง กทม. แล้ว โดยสมาชิกกลุ่มได้ผ่านการอบรม ทั้งในเรื่อง อย.ฮาลาล มาตรฐานของอุตสาหกรรมจังหวัด ขณะนี้ทางกลุ่มอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา อนาคตข้างหน้าก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับ 5 ดาว ต่อไป ก็อยากให้หน่วยงานต่างๆ มาส่งเสริม ให้ความช่วยเหลือทางกลุ่ม ให้สามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง และขยายต่อไปอย่างเข้มแข็ง เพื่อเสริมอาชีพ สร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน หรือกลุ่ม Start Up รายอื่นๆ รวมทั้ง เครือข่ายในชุมชน สำหรับ น้ำบูดู นี้ ทุกคนจะรู้จัก เพราะเป็นอาหารในพื้นที่ภาคใต้ ทางกลุ่มก็เลยได้คิดทำบูดูอบแห้งขาย เพื่อให้เกิดความสะดวกในการพกพา นำไปรับประทานในช่วงของการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ ในส่วนของงบประมาณด้านวัตถุดิบ ทางกลุ่มจะใช้ไม่มาก จะเน้นใช้วัตถุดิบในพื้นที่ 3 จชต. เพื่อลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านการขนส่ง และอื่นๆ รวมทั้ง ไม่ใส่สารเคมีใดๆ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภคด้วย แต่ช่วงนี้ก็ยังขาดหลายๆ อย่างทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตไม่ว่าจะเป็น เครื่องผัด เครื่องผสม ความรู้ในเรื่องการทำบัญชี การตลาด ก็ยังคงต้องพัฒนาเพื่อให้สามารถต่อยอดได้ต่อไป ส่วนรายได้ที่ผ่านมานั้น ก็ถือว่าอยู่ในระดับดี ผลิต 15 วัน ใน 1 เดือน ครั้งละ 200 กระปุก ขายปลีกในราคากระปุก ละ 40 บาท 3 กระปุก 100 บาท
09 ก.ย. 2560
รายงานพิเศษ : งานธงช้างอุทัยธานี 100 ปี ธงชาติไทย ชวนร่วมย้อนรอยอดีตธงชาติไทย ปฐมเหตุการณ์เปลี่ยนธงช้างเผือกสู่ธงไตรรงค์
ธงไตรรงค์ 3 สีได้ใช้เป็นธงชาติไทย ตั้งแต่เมื่อ 100 ปีที่แล้ว ประกอบด้วยสีแดง ขาว น้ำเงิน ซึ่งเป็นศูนย์รวมใจไทยทั้งชาติมาอย่างยาวนาน มีประวัติศาสตร์ปฐมเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงจากธงช้างเผือกมาเป็นธงไตรรงค์ที่จังหวัดอุทัยธานี ชาวอุทัยธานีจึงได้ร่วมกันย้อนรอยประวัติศาสตร์ธงไตรรงค์ ชวนกันประดับธงช้างเผือกตามอาคาร บ้านเรือน สถานที่ราชการ ย่านเศรษฐกิจและการค้า เพื่อสร้างบรรยากาศการเตรียมจัดงานธงช้างอุทัยธานี 100 ปี ธงชาติไทย นายพงษ์พันธ์ วิเชียรสมุทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จเมืองอุทัยธานี พระองค์ท่านได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรไปเรื่อยๆ ในบริเวณถนนท่าช้างไปจนถึงถึงวัดสังกัสรัตนคีรี ในระหว่างการเสด็จ พระองค์ท่านมาพบกับบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านที่มีความรักชาติ รักในหลวง ประดับธงช้าง แต่ประดับธงช้างกลับหัว เป็นช้างนอนหงายขาชี้ฟ้า พระองค์ท่านพร้อมทั้งพสกนิกรได้เห็นพร้อมกัน ในพงศาวดารกล่าวไว้ว่าพระองค์ท่านมีสายพระเนตรที่จ่ำลง มีสายพระเนตรสลดพระทัย สะเทือนใจ แต่ก็ไม่โกรธ ท่ารู้ว่าชาวบ้านรัก แต่ว่าประดับธงผิด ผลจากตัวนี้เองจึงทำให้พระองค์ท่าน หลังจากเสด็จกลับจากอุทัยธานี จึงมีการเรียกประชุมเสนาบดีที่จะเปลี่ยนธงชาติ จากการเสด็จเยือนเมืองอุทัยธานีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ในครั้งนั้น จึงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในการตัดสินใจเปลี่ยนธงช้างเผือกเป็นธงไตรรงค์ จังหวัดอุทัยธานีจึงได้จัดงานย้อนรอยประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ในวันที่ 12-17 กันยายนนี้ ที่บริเวณลานสะแกกรัง อำเภอเมือง เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงพระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย โดยจากปฐมเหตุเกิดที่จังหวัดอุทัยธานี เมื่อคราเสด็จประพาสต้น นายพงษ์พันธ์ วิเชียรสมุทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี กล่าวว่า เราประดับธงช้างกันทั้งเมือง เราแต่งกายแบบไทย เรามีตลาดโบราณ นั่งเรือท่องล่องสะแกกรังฟรี รวมทั้งนิทรรศการเครื่องสังเค็ตของรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 เรียนเชิญพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศ ได้มาร่วมกันรำลึกถึงธงช้าง ซึ่งต้นกำเนิดของการเปลี่ยนจากธงช้างเป็นธงไตรรงค์ เริ่มขึ้นที่อุทัยธานีแห่งนี้
09 ก.ย. 2560
รายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2560
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูรทรงพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยมาโดยตลอดและด้วยพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะทรงสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริของสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนี ที่ทรงคุณอเนกอนันต์ และสร้างสุขแก่ปวงประชา จึงพระราชทานพระราชานุญาตให้จัดทำ โครงการ “จิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ” ขึ้น ตามที่ผมได้นำมากล่าวในรายการนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น ทราบว่าปัจจุบัน มีพี่น้องประชาชน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ในหลากหลายอาชีพ ต่างมาสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เป็นจำนวนมาก ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระรูปพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ขณะทรงร่วมทำกิจกรรมจิตอาสา ร่วมกับข้าราชบริพารในช่วงวันหยุดเรียน โดยทรงกวาดลานวัด ทรงทำความสะอาดรอยพระพุทธบาทจำลองและบริเวณรอบใต้ฐานพระพุทธรูป ทรงเช็ดถูกระจกหน้าต่างวัด ทรงถูพื้นด้วยพระองค์เอง และถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์เป็นต้น พร้อมทั้ง ทรงให้กำลังใจ “จิตอาสาเฉพาะกิจฯ” ทุกคนว่า “สู้ ๆ ครับผม” อีกด้วย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ “ทรงพระเจริญ” พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ ช่วงของการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” ในยุคดิจิทัลนี้ หากเปรียบประเทศไทยเป็นคอมพิวเตอร์แล้วผมเห็นว่า ส่วนประกอบต่าง ๆ ของประเทศ จำเป็นต้องได้รับการอัพเกรด ยกระดับทั้งระบบ เพื่อจะให้ประเทศของเรา ได้มีศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน บนโลกดิจิทัลได้ ส่วนประกอบเหล่านั้น ได้แก่ 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) เช่น โครง สร้างพื้นฐานทั้งปวง ต้องลงทุนขนาดใหญ่ เพื่ออนาคต อาทิ ด้านการคมนาคมขนส่ง และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ 2. ซอฟท์แวร์ (Software) คือ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งเราจะต้องปรับปรุงให้ทันสมัย เพื่อจะอำนวยความสะดวกต่อการให้บริการประชาชน ไม่เป็นอุปสรรคต่อภาคการค้า การลงทุน และป้องกันไวรัส คือการทุจริต 3. ทรัพยากรมนุษย์ (People ware) คือ การยกระดับคุณภาพชีวิต และการพัฒนาศักยภาพให้เป็น “คนไทย 4.0” ด้วยการศึกษา สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาและตลาดแรงงานของประเทศ 4. ระบบปฏิบัติการ OS คือ โครงสร้างระบบราชการ ที่ต้องอัพเดทให้ทันสมัย ทันโลก ทันเทคโนโลยี อยู่เสมอ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงการทำงาน ระหว่าง People ware – Software – Hardware ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งรัฐบาลนี้ยกเครื่องระบบปฏิบัติการใหม่ ให้เป็นการขับเคลื่อนประเทศด้วยกลไกประชารัฐ ซึ่งข้าราชการจะเป็นผู้ประสานงาน ผู้อำนวยความสะดวก ไม่ใช่เพียงผู้คุมกฎ เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ทั้งนี้ กลไกประชารัฐ ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน เป็นสำคัญ วันนี้ผมอยากจะเพิ่มเรื่องสื่อมวลชนด้วย ทั้งสื่อกระแสหลักที่มีสังกัด และสื่อออนไลน์ที่ไร้สังกัด รวมทั้งภาควิชาการ เข้าไปอยู่ในกลไกประชารัฐของเราอีกด้วย โดยเฉพาะภาควิชาการ นั้น ในหลวงรัชกาลที่ 10 เคยมีรับสั่งให้ส่งเสริมสนับสนุนมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) อย่างเต็มที่ ใน 2 เรื่องหลัก ๆ คือ (1) การผลิตและพัฒนาครู จะต้องวางระบบที่ดี (2) ให้มหาวิทยาลัยราชภัฏ ทำหน้าที่พัฒนาท้องถิ่น แต่ละแห่งของตน ซึ่งต้องวิเคราะห์สภาพ ปัญหาและความต้องการของท้องถิ่นนั้น ๆ ด้วย ในการนี้ รัฐบาลนี้ ได้น้อมนำพระราชดำรัสดังกล่าว นับเป็นอีก “ศาสตร์พระราชา” เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ โดยมีแนวทางให้ทั้งมหาวิทยาลัยต่างๆ มหาวิทยาลัยราชภัฏ สถาบันอุดมศึกษา และอาชีวศึกษาต่างๆ ต้องมีบทบาท ในเชิงวิชาการ คงไม่เพียงแต่ผลิตบัณฑิต นักศึกษา สู่ตลาดแรงงานของท้องถิ่นของตน และประเทศเท่านั้น แต่ยังคงต้องมีส่วนร่วมในการวิจัย พัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ที่สอดคล้องกับศักยภาพของตนเองท้องถิ่นด้วยคลัสเตอร์ภาคการผลิต ทั้งเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ รวมทั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ทั้ง 10 แห่ง ซึ่งมีเป้าหมายให้เป็นฐานการผลิต ที่แตกต่างกันออกไปตามศักยภาพของแต่ละภูมิภาค ซึ่งมีเป้าหมายที่ปลายทาง คือ การกระจายความเจริญไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศ ไม่มากระจุกตัวอยู่เฉพาะกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใหญ่ ๆ ที่เป็นหัวเมืองของภูมิภาคเท่านั้น พี่น้องประชาชน แรงงาน นักเรียน นักศึกษา จะได้กลับไปใช้ชีวิต ประกอบอาชีพ ณ ถิ่นฐานของตน อยู่กับครอบครัวของตน ไม่ต้องเสี่ยงภัย แสวงโชคในเมืองใหญ่ อีกต่อไป ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้า สังคมก็จะเข้มแข็ง สำหรับคำว่า “ราชภัฏ” ซึ่งหมายถึง “คนของพระราชา ข้าของแผ่นดิน” นั้น ย่อมมีนัยสำคัญ ที่ลึกซึ้งเปรียบเสมือนว่า “สถาบันราชภัฏ มหาวิทยาลัยราชภัฏ” หรือ “วิทยาลัยครู” ในอดีต จะเป็นผู้ทำงานถวาย และสนองพระราชกรณียกิจ ในเรื่องที่สำคัญ ๆ เพื่อพัฒนาประชาชนทุกหมู่เหล่า ให้ได้มีโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาตนเองในทุก ๆ ด้าน ช่วยให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกสถานที่รวมถึงชุมชนสังคมที่ส่วนราชการ หรือหน่วยงานอื่น ๆ ยังเข้าไม่ถึง หรือละเลยในการเข้าไปพัฒนาอย่าต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน “ตราประจำพระองค์” หรือ “พระราชลัญจกร” เพื่อให้เป็น “ตราประจำสถาบัน” ของทุกมหาวิทยาลัยราชภัฏได้ใช้มาจนตราบทุกวันนี้นะครับ ดังนั้น ผมจึงอยากให้มหาวิทยาลัยราชภัฏได้ภาคภูมิใจ และทุ่มเทพลังกาย พลังใจ พลังสมอง ในการสนองพระราชปณิธานของ “ในหลวง” รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ของปวงชนชาวไทย รวมทั้งทุกสถาบันการศึกษา ได้ดำเนินการในบทบาทเพิ่มเติมของตน ที่เป็นส่วนหนึ่งของกลไกประชารัฐ เพื่อการพัฒนาประเทศของเราในอนาคตด้วย ฝากช่วยริเริ่ม ช่วยดำเนินการด้วย ให้ทุกคนรักที่อยู่ ที่อาศัย ภูมิลำเนาของตนเอง แล้วคาดหวังว่าจะพัฒนาได้อย่างไร ก็จะไปสู่การเรียนรู้ และการศึกษาที่สอดคล้องต้องกันกับสิ่งที่ผมพูดไปแล้ว พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ ในการวางรากฐานด้านโครงสร้างสู่ “เศรษฐกิจ 4.0” เรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือการวางโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วประเทศ หรือ “โครงการเน็ตประชารัฐ” ทั้งนี้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงบริการต่าง ๆ ของภาครัฐได้ดีขึ้น สร้างโอกาส สร้างอาชีพ เช่น ในเรื่องของการขายสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เปิดช่อง ทางการเข้าสู่ถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชน รวมถึงการศึกษาค้นคว้าของภาคเอกชนและภาควิชาการ เป็นต้น ทั้งนี้ กว่า 70,000 หมู่บ้านทั่วประเทศพบว่า เกินกว่า 50% หรือ 40,000 กว่าหมู่บ้าน ที่อยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์และยังไม่มีบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ในจำนวนนี้มี 3,920 หมู่บ้าน ไม่มีบริการอินเตอร์เน็ตและยากต่อการเข้าถึง ดังนั้น รัฐบาลจึงได้วางแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนี้ มาตั้งแต่ห้วงปลายปีที่แล้ว โดยมุ่งเน้นยกระดับการให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแก่หมู่บ้านเหล่านี้เป็นความเร่งด่วนลำดับแรก และก็เป็นที่น่ายินดี วันนี้ผมได้รับรายงานว่าในเบื้องต้น บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้ส่งมอบการติดตั้งอินเตอร์ เน็ตในหมู่บ้านแล้วกว่า 11,250 หมู่บ้าน โดยส่วนที่เหลือจะได้ทยอยดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ อีกโครงการหนึ่งที่รัฐบาลทำคู่ขนานกันไปคือ โครงการดิจิทัลชุมชนด้าน e-Commerce โดยบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้ร่วมกันดำเนินการ เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนขายสินค้าและบริการของท้องถิ่นในรูปแบบออนไลน์ได้ ในอนาคตอีกไม่นานต่อจากนี้ สำหรับความคืบหน้าโครงการนี้ ได้มีการสำรวจร้านค้าในชุมชน รวมทั้งประเมินความพร้อมของจุดรับลงทะเบียนสินค้า และคำสั่งซื้อสินค้า ครอบคลุม ทุกจังหวัด ทั่วประเทศแล้ว ให้ติดตามกันนะครับ โดยในขั้นตอนต่อไป จะเป็นการพัฒนา “ระบบe-Market Place กลาง” ที่จะเป็นฐานข้อมูลสินค้าชุมชนซึ่งต่อไปภาคเอกชน ร้านค้ารายน้อยใหญ่ ก็จะสามารถเลือกเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าดังกล่าว ไปวางขายในพื้นที่ e-Market Place ของตัวเองได้ อีกทั้งจะมีการพัฒนาระบบบริหารจัดการร้านค้า (Point of Sale), ระบบ e-Logistics ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบ Prompt Pay ที่คนไทยเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้นแล้วในปัจจุบันนะครับ และระบบ e-Payment ในทำนองเดียวกับที่ไปรษณีย์ไทยดำเนินการอยู่ในเว็บไซต์ “ไทยแลนด์-โพส-มาร์ท” (www.thailandpostmart.com) ซึ่งผมได้เร่งรัดให้โครงการนี้ ดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ก็จะได้ช่วยให้พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ได้ขายสินค้าของตนได้ “โดยตรง” สู่ผู้บริโภคและร้านค้าขนาดใหญ่ ทั้งผลิตผลทางการเกษตร หรือสินค้า OTOP สินค้าพื้นบ้าน สินค้าประจำท้องถิ่น ซึ่งเป็นศิลปหัตถกรรม ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น สินค้า GI เป็นต้น ก็เพื่อเป็นอีกช่องทางในการจำหน่ายสินค้า เพื่อจะสร้างรายได้ให้แก่พี่น้องประชาชน ไม่ว่าอยู่มุมใดของประเทศ ก็จะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีใครช่วย ว้าเหว่ ไม่มีกำลังใจ เพราะรัฐบาลนี้ มีนโยบายว่า เราต้องทำทุกอย่างโดยคำนึงถึงคนทั้งประเทศ เราไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทุกคน ทุกชุมชน จะได้มีส่วนช่วยกัน ในการจะสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ ตั้งแต่ในระดับของตน ไปจนถึงระดับชาติ เป็น “ห่วงโซ่คุณค่า”เดียวกัน เกิดความยั่งยืนต่อไปนะครับ ตามแนวทาง “เศรษฐกิจ 4.0” ที่รัฐบาลได้ตั้งใจไว้ เราต้องสร้างความเชื่อมโยงกันให้ได้ วันนี้หลายเวทีในต่างประเทศก็พูดถึงเรื่องนี้ การสร้างความเชื่อมโยง สำหรับระยะยาว รัฐบาลนี้ ได้ยกร่างแผนปฏิบัติการดิจิทัลนะครับ เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 5 ปี พ.ศ. 2560 ถึง 2564 และร่างแผนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ระยะ 5 ปี พ.ศ. 2560 ถึง 2564 ซึ่งก็เป็นเรื่องใหญ่นะครับ แต่คงไม่ใช่เรื่องที่ยาก หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน หาหนทางปฏิบัติให้ได้ และถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เราก็สามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามสถานการณ์โลก สถานการณ์ภายใน ภายนอกของดรานะครับ แล้วผมก็จะหาโอกาสมาเล่ารายละเอียดให้พี่น้องฟังในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ผมก็ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงทีเกี่ยวข้อง ได้เตรียมแผนงาน การใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม ที่คู่ขนานกันไปด้วย เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ทันที ไม่อย่างนั้นก็พอสร้างเสร็จแล้ว ก็ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อจะดำเนินการต่อ ผมให้คิดไปพร้อมกันเลย เมื่อติดได้ครบแล้ว ก็ไปใช้ประโยชน์อย่างที่เราต้องการได้นะครับ ประชาชนก็ต้องเรียนรู้ตั้งแต่วันนี้ ไม่อย่างนั้นจะเสียเวลาอีก พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ ในการที่จะสร้างความเจริญเติบโตให้กับประเทศ อย่างยั่งยืนและสมดุลนั้น นอกเหนือไปจากยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน หรือที่เรียกว่า “ระเบิดจากข้างใน” แล้วนั้น เราต้องคำนึงถึงยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือ “กิจการต่างประเทศ” ด้วย ที่ผ่านมา เห็นได้ว่าเราไม่สามารถละเลยสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้น ณ ส่วนใดของโลกก็ตาม เพราะสิ่งเหล่านั้น ย่อมจะส่งผลทั้งทางตรง หรือทางอ้อม ต่อบ้านเมืองของเรา ประชาชนของเรานะครับ ในมิติต่าง ๆ อาทิ ความมั่นคง สังคม เศรษฐกิจ หรือสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบจาก “เทคโนโลยีสารสนเทศ และดิจิทัล” ที่ขยายความเชื่อมโยงกันทั่วโลก เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ มากขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเจนนะครับ เช่น เรื่องราคาสินค้าเกษตรของไทย ที่ตกต่ำมานาน ก็เป็นผลมาจากราคาในตลาดโลกที่อยู่ในระดับต่ำมาตั้งแต่ช่วง “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” หรือในประเด็นความไม่แน่นอน ของเวทีการเมืองต่างประเทศ เช่น BREXIT หรือประเด็นความกังวลในเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นและตลาดการเงินทั่วโลก ที่มีผลติดต่อหรือมีผลต่อเนื่องมายังตลาดการเงินไทย รวมทั้งการดำเนินนโยบายของชาติมหาอำนาจ หรือประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะขยับอะไร ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้า การส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้อีกด้วย ดังนั้น ความเชื่อมโยงเรากับโลก นั้นเราจะต้องเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประชาคมโลก ให้มากยิ่งขึ้น อย่างเหมาะสม และสมดุล จึงมีความสำคัญยิ่ง นะครับ วันนี้ถ้าเรามุ่งหวังแต่เพียงค้าขายระหว่างกันเท่านั้น คงไม่เพียงพอ ต้องมีการเชื่อมโยง มีการช่วยเหลือ มีการสนับสนุน มีการค้าการลงทุนในลักษณะ ต่างตอบแทนซึ่งกันและกันนะครับ จะเพิ่มมูลค่าทั้งสองด้าน เราจะหวังแต่เพียงว่าเอาข้าเราขึ้นข้างเดียวไม่ได้ แม้กระทั่งในเรื่องการท่องเที่ยวก็ตาม วันนี้เราก็ต้องมีการท่องเที่ยวในแบบแพคเกจบ้าง คือให้เพิ่มทั้งสองทาง รวมให้เกิดมูลค่ามากขึ้น จัดที่ท่องเที่ยว ของแต่ละประเทศแล้วมาเชื่อมโยงกัน เชื่อมโยงกับประเทศอื่นด้วย ในทั้งต้นทางและปลายทาง ก็ทำให้สามารถเกิดการสัญจรไปมาของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ สามารถที่จะไปเยี่ยมเยือนกันได้ ไปท่องเที่ยวกันได้ทั้งปี จะเพิ่มมูลค่าขึ้นทั้งสองด้าน สองทาง เราจะต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง รอบคอบ ในเรื่องการดำเนินนโยบายต่างประเทศควบคู่ ไปกับการสร้างความแข็งแกร่ง และความมีเสถียรภาพของประเทศ เหตุการณ์ภายในของเราก็เช่นกัน บางอย่างถ้าไม่ใช่เรื่องที่คอขาดบาดตาย ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากนัก ก็อย่าช่วยกันประโคมข่าวกันมากนักเลย ทำให้ต่างประเทศเขามองเราว่าไม่ยุติกันเสียที หลายอย่างก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ก็ให้เขาดำเนินการไป ติดตามไป รอผลออกมา ไม่อย่างนั้นมีผลกระทบไปทั้งสิ้นกับความเชื่อมั่น และการดำเนินการทางต่างประเทศ ที่ผมไปนั้นช่วงต้นสัปดาห์ ผมได้เดินทางไปร่วมหารือกับมิตรประเทศต่าง ๆ ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ด้วยกัน ซึ่งผมอยากมาเล่าสู่กันฟังว่า สิ่งที่ประชาคมโลกและประเทศเพื่อนบ้านของเราให้ความสำคัญ มีอะไรบ้าง แล้วบทบาทและจุดยืน นโยบายของไทย ควรจะเป็นอย่างไร เราต้องเอาของเขามาดูด้วย เราคิดของเราคนเดียวก็ไม่ได้อะไร เพราะว่าเขาไม่ได้ตกลงด้วย ไม่ได้ยินยอมด้วย เราต้องร่วมมือกันอย่างไร ก็ต้องหาแนวทางให้ได้ ที่จะช่วยกระชับความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กันและกัน พึ่งพากัน และ “เดินหน้าไปด้วยกัน” ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกันนะครับ เรื่องอะไรที่เป็นเรื่องของประเด็นอ่อนไหวต่าง ๆ ก็ไม่ควรจะพูดอกไปในเวทีใหญ่ หรือเวทีสื่อประชาสัมพันธ์อะไรก็แล้วแต่ ไม่ควรพูด บางเรื่องก็เป็นการพูดหารือเพื่อจะแก้ปัญหา หรือคณะ ครม. ร่วม คณะกรรมาธิการร่วม ในการแก้ปัญหาแต่ละเรื่อง ๆ อย่าเอาทุกอย่างมาปนกันหมด ทำให้การเดินหน้าต่างประเทศมีปัญหา แล้วในประเทศก็จะมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั้นนะครับ สำหรับการประชุมแรก เป็นการประชุมระหว่างผู้นำกลุ่มประเทศ BRICS นะครับ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและมีบทบาทในเวทีโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้กับประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา ที่เมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีนนะครับ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งใน 5 ประเทศ “นอกกลุ่ม BRICS” ที่ได้รับเชิญไปร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย เราก็มองได้ว่า สะท้อนให้เห็นถึงบทบาท และความสำคัญ ในด้านความเชื่อมโยงของไทย ที่มีต่อกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญ ๆ เหล่านี้ โดยในส่วนการประชุมของประเทศ BRICSนั้น มีหัวข้อหลัก ก็คือความเป็นหุ้นส่วน เพื่ออนาคตที่ดีขึ้น ซึ่งมีประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ ได้แก่ (1) การขยายความมีส่วนร่วม อย่างทั่วถึง ในระบบธรรมาภิบาลโลก (2) การขับเคลื่อนโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจ ที่เปิดกว้าง ครอบคลุม สมดุล และยั่งยืน (3) การสร้างความเชื่อมโยงในระดับประชาชน (4) การพัฒนาเชิงสถาบัน โดยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติจริงเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกประเทศ ทั้งผู้สนับสนุน และผู้รับการสนับสนุนก็ต้องหารือซึ่งกันและกันว่า ต้องการอะไรกัน และเราให้อะไรกันได้ ก็ต้องไปเจรจากัน พูดคุยกันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ในโอกาสที่ผมได้พบปะหารือ กับประธานาธิบดีของจีน แบบทวิภาคี ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น และน่าประทับใจโดยท่านประธานาธิบดี สี จิ้งผิง ได้แสดงออกถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิด ท่านได้กล่าวว่าไทยกับจีนนั้นเหมือน คนในครอบครัว เป็นพี่ เป็นน้องกันของทั้ง 2 ประเทศ ไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน จะเห็นได้ว่าการท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็เป็นจำนวนมาก คนไทยเชื้อสายจีนในประเทศไทยก็เป็นจำนวนมาก จีนยอมรับในการตัดสินใจของเรา ไม่ได้ใช้อำนาจ ไม่ได้ใช้ในฐานะมหาอำนาจเพื่อมาบังคับเรา ยอมรับในการตัดสินใจของเราในทุก ๆ เรื่อง และเชื่อมั่นในแนวทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาล วันนี้ว่าเหมาะสมกับบริบทของเรา ในช่วงที่มีการปฏิรูป พร้อมทั้งจะยึดมั่นและดำรงรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีเช่นนี้ ในความร่วมมือ และ การแลกเปลี่ยนระหว่างกัน ในทุกระดับ ในอนาคตต่อไป ผมก็จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขอขอบคุณท่านประธานาธิบดีของจีนด้วย สำหรับในส่วนของประเทศไทย เราได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศเกิดใหม่ และ ประเทศกำลังพัฒนา ที่หารือกันในเรื่องของการเสริมสร้างความร่วมมือ เพื่อการเติบโตร่วมกัน โดยมุ่งเน้นการดำเนินการ เพื่อให้บรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนค.ศ. 2030 ที่หลาย ๆ ท่านเรียกกันติดปาก ว่า SDG 2030 รวมทั้ง เสริมสร้างความร่วมมือ ในด้านการให้ความช่วยเหลือ ระหว่างประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศเริ่มพัฒนา ด้วยกันเองให้มากขึ้น ซึ่งหลักคิดที่ผมนำมาใช้ในการหารือเรื่องนี้ เริ่มจากการที่เราได้เห็น กระแสต่อต้านโลกาภิวัฒน์มากขึ้น เริ่มมีหลายประเทศ ที่ไม่อยากอยู่รวมกลุ่ม โดยเห็นว่าการรวมกลุ่ม มีความสำคัญลดลง แต่ผมยังเชื่อในความร่วมมือ ร่วมใจกัน เพราะหากเราไม่เกื้อกูลกัน มุ่งแต่แสวงหาแต่ผลประโยชน์ ไขว่คว้าให้มากขึ้น ๆ เรื่อยๆ เข้าสู่ประเทศของตนเองแต่เพียงด้านเดียว ก็จะทำให้โลกนั้นเข้าสู่ภาวะของการแข่งขัน อย่างรุนแรง จนในที่สุด ก็อาจเป็นทุกฝ่ายที่พ่ายแพ้ไม่มีใครได้อะไร มีแต่ผลเสีย หรือสูญเปล่านะครับ สำหรับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา อย่างเรานี้ เห็นได้ว่า ต่างก็มีนโยบายมุ่งบรรลุเป้าหมาย คือ การพัฒนาที่ยั่งยืน และเกื้อกูลกันดี มีความร่วมมือหลากหลาย ทำให้เกิดความเชื่อมโยง ที่แน่นแฟ้น นำไปสู่การให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมกันพัฒนา ร่วมกันแก้ปัญหา อันจะนำไปสู่การสร้าง “หุ้นส่วน” เพื่อการพัฒนาที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ และตอบโจทย์ความต้องการในการยกระดับรายได้ และความเป็นอยู่ของประชากร ไปพร้อม ๆ กัน อย่างยั่งยืนด้วย ทั้งนี้ สิ่งที่ผมกล่าวในที่ประชุมนั้น ประเด็นแรก คือ การส่งสัญญาณว่าไทยยังคงให้ความสำคัญ ในความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ และเชื่อว่าเราไม่อาจเติบโตได้ แต่เพียงลำพังเราต้องเดินหน้า เคียงคู่ และพร้อมๆ กันกับประเทศเพื่อนบ้าน ในอนุภูมิภาค ซึ่งเรายึดถือแนวทาง “ประเทศไทย 1 2 3 …” เพื่อสนับสนุนให้การลงทุน และความร่วมมือ กับต่างประเทศ ได้ขยายผลไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านของเราด้วย หากพวกเราแข็งแกร่ง ก็จะสามารถส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกันและกันได้ เราก็จะเจริญเติบโตไปด้วยกัน ประเด็นที่สอง คือหากเราจะผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน และครอบคลุม แล้ว หัวใจสำคัญ ก็คือความเชื่อมโยงที่จะช่วยกระจายความเจริญ รายได้ และโอกาส ทั้งทางการศึกษาและทางธุรกิจ ไปยังภาคส่วนต่างๆ อย่างทั่วถึงเพื่อให้ ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนซึ่งการที่ไทยตั้งอยู่ใจกลางของอาเซียน จะสามารถเป็นประตูเชื่อมโยงภูมิภาคอื่น ๆ กับเพื่อนบ้านในอาเซียนได้ เราจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งทุกระบบ เพื่อจะเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางกายภาพ เช่น โครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีน ซึ่งจะเชื่อมโยงไทย ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เข้าสู่จีน และจะมีการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ ตลอดแนวเส้นทางที่รถไฟผ่าน มีการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และเขตเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดชายแดน รวมทั้งการผลักดันแผนแม่บทอาเซียน ด้านความเชื่อมโยงด้วย ทั้งหมดนี้ จะนำมาซึ่งการพัฒนาอย่างรอบด้าน ไม่เพียงแต่ในภูมิภาคเอเชียเท่านั้น ก็ยังจะเชื่อมโยงกับภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก อย่างที่สมาชิกที่ไปร่วมประชุมเขาก็กล่าวกันว่า ทุกคนก็จะสร้างความเชื่อมโยงของตัวเอง กับประเทศเพื่อนบ้าน กับประชาคม และก็จะเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจของเรา ซึ่งจีนมีบทบาทในการเชื่อมโยงนี้ ก็ให้ทุกคนได้มีสิทธิมีเสียง มีการพูดคุยมีการได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียม ก็เลิกในลักษณะที่ว่าเป็นการบังคับ หรือเป็นการสร้างอิทธิพล อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ได้มีการพูดคุยในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ด้วย สำหรับ “ความเชื่อมโยงระดับประชาชน” นับว่าเป็นอีกมิติที่สำคัญ ในการจะขับเคลื่อนความร่วมมือ เพราะว่าถ้าคนเจอกัน พบกัน รักกัน สามัคคีกันข้ามประเทศ ก็จะทำให้เรามีมิตรมากขึ้น จะช่วยสร้างความเข้าใจ ลดความขัดแย้ง ทำให้การเกิดการรวมตัวอย่างราบรื่นในทุกกิจกรรม ซึ่งประเทศที่กำลังพัฒนา ก็ต้องเร่งสร้างความเป็นหุ้นส่วน เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษากับเอกชน เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถ และพัฒนาทักษะแรงงาน การร่วมมือแลกเปลี่ยนด้านวิจัยและพัฒนา เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม และในยุคสมัยนี้ ประเทศที่กำลังพัฒนาก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเพิ่มขีดความสามารถเพื่อรองรับ “ความเชื่อมโยงทางดิจิทัล” ซึ่งจะช่วยขยายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งมีสัดส่วน กว่าร้อยละ 90 ของธุรกิจในภูมิภาคให้เติบโตไปกับเศรษฐกิจในภาพรวมได้ ผ่านการพัฒนา e-Commerce และบริการทางการเงินอื่น ๆ ที่ผมได้เล่าให้ฟังในสัปดาห์ก่อนไปแล้ว ประเด็นสุดท้าย ที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน ก็คือการพัฒนาที่สมบูรณ์จะต้องมีความยั่งยืนด้วย เราจึงต้องร่วมมือกันสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการปกป้องสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และรัชกาลปัจจุบัน และต้องตระหนักว่า ทุกประเทศมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความเป็นอยู่ การศึกษา อาชีพ รายได้ต่าง ๆ ต่างกันทั้งสิ้น ฉะนั้นการดำเนินความร่วมมือ จึงต้องคำนึงถึงความต้องการ และข้อจำกัด ของผู้รับด้วย ตลอดจน ของผู้ที่มีส่วนร่วมเป็นสำคัญ อีกทั้งควรมีหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้การรวมกลุ่มของพวกเรา สามารถขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างประเทศ ในประชาคมโลกให้กว้างขึ้นไปอีกด้วย ก็เหมือนกับประชารัฐของเราในประเทศแล้ว เราน่าจะต้องมีประชารัฐกับต่างประเทศด้วย ก็เป็นตัวอย่างเทียบกันง่าย ๆ เจริญเติบโตทั้งภายในและภายนอก จะได้เร่งให้เร็วขึ้น สำหรับอีกการประชุมหนึ่ง ที่ผมได้เดินทางไปเข้าร่วมในช่วงสัปดาห์นี้ คือการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี อย่างไม่เป็นทางการ ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 3 เป็นการเตรียมการมาล่วงหน้าแล้ว ก็ถือว่าเป็นการเดินทางไปหารือ เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งสลับกัน ครั้งที่แล้วเราเป็นเจ้าภาพในหลาย ๆ ด้าน ให้สอดรับกับความเชื่อมโยงในภูมิภาค ที่รัฐบาลนี้ ต้องการส่งเสริม ภายใต้นโยบาย “ประเทศไทย 1…” ตามที่ผมได้กล่าวถึง ในข้างต้น เพราะกัมพูชา เป็นหนึ่งในประเทศอนุภูมิภาค ที่มีประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ที่เชื่อมโยงกับไทยมายาวนาน มีภูมิศาสตร์ที่ใกล้ชิด ชายแดนติดกับไทย ทำให้มีการค้าระหว่างกัน ทั้งสินค้า บริการ รวมถึงแรงงาน ที่เป็นส่วนสำคัญ ในภาคการผลิตของเศรษฐกิจไทยด้วย มีความเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง การหารือครั้งนี้ เพื่อจะกำหนดแนวทาง และทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ ให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้น วันนี้ก็ดีมากอยู่แล้ว เราจะต้องเพิ่มความร่วมมือ ที่จะสร้างประโยชน์ให้กับทั้ง 2 ฝ่าย 2 ประเทศได้ให้เติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งเราได้เห็นความคืบหน้าของความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ในเรื่องการพัฒนาจุดผ่านแดน มาตรการด้านภาษี การพัฒนาด้านแรงงาน การส่งเสริมด้านการศึกษาและการเกษตร การเชื่อมโยงทางถนน รถไฟ และทางน้ำ ซึ่งจะต้องต่อไปถึงประเทศอื่น ๆ อีกด้วย การกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในด้านต่าง ๆ รวมถึง การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในบริเวณพื้นที่ชายแดนที่ติดกัน เพื่อจะสร้างงานและเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศด้วย ทั้งนี้ การส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในและนอกภูมิภาค ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมา เหล่านี้จะถือเป็นการช่วยสร้างสมดุล ให้กับการพัฒนาประเทศ ลดการพึ่งพาเพียงเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างเดียว และสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กันด้วย เพื่อให้ไทยสามารถได้ประโยชน์จากการเติบโตของประเทศอื่น ๆ ในโลก โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจไทยโตได้ช้ากว่า จากปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าของไทยไปยังต่างประเทศ ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกแรงหนึ่งด้วย ก็จะต้องเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรมให้มากยิ่งขึ้น พี่น้องประชาชนครับ เราอาจมองได้ว่าความเชื่อมโยง ทั้งทางโครงสร้างพื้นฐาน ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระหว่างประเทศต่าง ๆ ในโลกนั้น จะเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสให้กับประเทศไทย ซึ่งคงเป็นการยากที่เราจะปิดตัว จากความเชื่อมโยงเหล่านี้ ไม่ค้าขาย ไม่ติดต่ออยู่แต่เพียงลำพัง ย่อมทำไม่ได้แล้วในวันนี้ เราจะทำอย่างไร เราจะพลิกฟื้นให้ความท้าทาย หรือวิกฤติเหล่านั้น ให้เพิ่มความเชื่อมโยง นำมาสู่การแข่งขันที่ลดลง มีความร่วมมือซึ่งกันและกัน เพราะว่ามีผลจากตลาดการเงินที่ผันผวนมากขึ้น คือพูดง่าย ๆ ว่า เอาวิกฤตมาเป็นโอกาสให้ได้ จากสิ่งที่เป็นปัจจัยที่ทำให้ทุกอย่างไม่ดี ต้องเอาทุกปัญหาทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาและหาหนทางปฏิบัติ ลดวิกฤติ เพิ่มโอกาส อย่าทำโอกาสให้เป็นวิกฤติเลย ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้น เราจะถือว่า สิ่งที่เราร่วมมือกันทำวันนี้ ก็จะเป็นโอกาสของประเทศ เป็นประวัติศาสตร์ที่คนไทยทุกคนได้ร่วมมือกัน ซึ่งนอกเหนือไปจาก เราจะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อให้ยืนอยู่ในประชาคมโลกในยุค 4.0 นี้แล้ว เราคงต้องร่วมมือกับนานาประเทศให้มากยิ่งขึ้นในการสร้างภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และสังคมที่แข็งแรงไปด้วยกัน อย่าไปมองปัญหาการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อให้เราสามารถจะช่วยเหลือกัน บรรเทาปัญหาให้แก่กันได้ เมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งเกิดปัญหา ก็เดือดร้อนไปด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีเขตแดนติดกัน แล้วอาจจะลุกลามไปยังประเทศอื่น ๆ ได้มาก ก็ทำให้การแก้ปัญหา แก้ได้ยากไปเรื่อย ๆ จากยากอยู่แล้วก็ยากไปเรื่อย ๆ ทุกคนต้องระมัดระวัง ถ้าเราทำได้ดีแล้ว ก็จะเป็นการสร้างอำนาจการต่อรอง ให้กับกลุ่มประเทศอื่น ๆ ทำให้ประเทศเล็กอย่างเรานั้น หรืออาเซียนที่รวมกันหลายประเทศ ประเทศเล็ก ๆ เหล่านั้น เราก็จะไม่เสียเปรียบในเวทีโลกอีกต่อไป สุดท้ายนี้ ปัจจุบัน เรามีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันแล้ว ทั้งนี้ การปฏิรูป คงไม่สามารถทำได้ ทำเสร็จภายในปี หรือ 2 ปี ทั้งหมด ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลนี้ รัฐบาลต่อไป บางเรื่อง อาจใช้เวลาถึง 5 ปี 10 ปี แต่สิ่งสำคัญ 2 ประการ ที่ผมอยากจะเน้นย้ำในช่วงท้ายรายการนี้ คือ (1) เราจะมีส่วนร่วม มีการสร้างความปรองดองเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะเปลี่ยนแปลงในการจะปฏิรูปประเทศ แล้วก็เดินหน้าประเทศตามยุทธศาสตร์เหล่านั้น (2) ความอดทน อดกลั้น ไม่ใจร้อน ไม่บิดเบือน ทุกคนก็วิพากษ์วิจารณ์กัน บางทีก็ไม่ใช่ ต้องไว้ใจกัน ร่วมมือกัน ในการจะนำพาประเทศไปสู่จุดหมายของเราคือ “ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” หลายอย่าง อย่างที่ผมเรียนไปแล้วว่า บางคนอาจจะบอกว่ายังไม่ได้อะไรเลยจากรัฐบาลนี้ ท่านก็ต้องคอย ถ้าท่านยังเข้าไม่ถึงตรงนี้ ก็ต้องใช้เวลาในการที่จะเข้าถึงให้ได้ มี 2 ทางคือ ท่านเข้าถึงเอง หรือ 2.รัฐบาลยื่นแขนยื่นขาออกไปอีก ซึ่งเราต้องสร้างความเข้มแข็ง ยั่งยืนไปด้วย เราให้แต่เพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ ให้แล้วก็ต้องเข้มแข็งด้วย ท่านก็ต้องปรับปรุงตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนกัน ด้วยการเรียนรู้ ด้วยการศึกษา ด้วยการหาข้อมูลอันเป็นประโยชน์ ถ้าทุกคนเข้าไม่ได้เข้าไม่ถึง อยู่เฉย ๆ แล้วก็บ่นว่าทำไมไม่ได้อะไรเลย ถ้าอย่างนี้ผมว่าไปได้ยาก ทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน รัฐบาลพร้อมที่จะนำทาง พร้อมที่จะช่วยเหลือสนับสนุนท่าน แต่ต้องเป็นการสนับสนุนที่ถูกต้องเป็นไปตามทำนองคลองธรรม ตามกฎหมาย อย่าให้เกิดปัญหาเกิดขึ้นอีกเลย จากนี้เป็นต้นไป ขอบคุณครับ ขอให้“ทุกคน” มีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
07 ก.ย. 2560
ผอ.อุตุนิยมวิทยาระนอง ยืนยันพายุโซนร้อนมาวาร์และกูซอร์ ไม่ส่งผลกระทบประเทศไทย
ผู้อำนวยการสถานีอุตุนิยมวิทยาระนอง ยืนยันในระยะนี้มีการเกิดพายุโซนร้อน 2 ลูกในทะเลจีนใต้จริง คือ พายุโซนร้อนมาวาร์และกูซอร์ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย จากกรณีที่มีข่าวลือว่าในวันที่ 8 กันยายนนี้ จะมีการเกิดพายุลูกใหม่ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ และจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยนั้น นายไพบูลย์ เอี่ยมสุวรรณ ผู้อำนวยการสถานีอุตุนิยมวิทยาระนอง กล่าวว่า มีการเกิดพายุขึ้นจริงในทะเลจีนใต้ แนวทางที่เคลื่อนเข้ามาของพายุ ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง โดยจะเคลื่อนตัวจากทะเลจีนใต้เข้าสู่ประเทศจีน ในขณะนี้พายุตัวแรก ชื่อมาวาร์ พัดเข้าสู่ประเทศจีนและอ่อนกำลังลงแล้ว ส่วนพายุโซนร้อนกูซอร์ กำลังพัดเข้าสู่ประเทศจีน และอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชั่น พายุทั้ง 2 ลูกนี้ ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง ผู้อำนวยการสถานีอุตุนิยมวิทยาระนอง ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง คือ ร่องความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านประเทศไทยตอนบนและตอนใต้ของประเทศจีน จะทำให้ภาคเหนือ ภาคอีสาน มีฝนตก ส่วนภาคใต้ได้รับผลกระทบจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดปกคลุมประเทศไทยและทะเลอันดามัน ส่งผลให้มีฝนตกเป็นประจำอยู่แล้ว
06 ก.ย. 2560
สกู๊ป : ข้าวอินทรีย์มาตรฐาน EU ของดีชาวบ้านหนองสะโน จังหวัดนครพนม
สุขภาพที่แข็งแรงเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และสิ่งที่จะมาช่วยเติมเต็ม นอกจากการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ ก็คือ การรับประทานอาหาร ดังนั้น อาหารอินทรีย์หรืออาหารออแกนิค จึงเป็นทางเลือกที่หลายคนให้ความสำคัญ เพราะไม่ต้องเสี่ยงต่อการได้รับสารเคมีต่างๆ ที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร และชาวบ้านหนองสะโน ตำบลดอนนางหงส์ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ที่ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ โดยมีหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุน จนกลายเป็นกลุ่มผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ขนาดใหญ่ ที่ได้คุณภาพ มีมาตรฐานอาหารปลอดภัย และการรับรองระบบเกษตรอินทรีย์สหภาพยุโรป (EU) นายปราโมท แสงสว่าง ประธานคณะกรรมการศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านหนองสะโน กล่าวว่า ศูนย์เรียนรู้แห่งนี้มีสมาชิกอยู่ 200 ราย โดยมีการรวมกลุ่มกันปลูกข้าวในรูปแบบนาแปลงใหญ่ มีพื้นที่เพาะปลูก 1,910 ไร่ แบ่งเป็นข้าวอินทรีย์ 804 ไร่ ที่เหลือเป็นข้าว GAP อาหารปลอดภัย และมีการบริหารจัดการโดยการแปรรูปข้าวอินทรีย์เป็นสินค้าหลักเพื่อวางจำหน่าย ภายใต้สโลแกนที่ว่า ร่วมกันผลิต ร่วมกันขาย ร่วมกันรับผลประโยชน์ในราคาที่เป็นธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน เน้นความเอื้ออาทรตามคำพ่อหลวง ซึ่งมีทั้งข้าวขาวอินทรีย์ ข้าวกล้องและข้าวไรช์เบอรี่ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ได้ก็มีการจำหน่ายให้กับสมาชิก ภาคีเครือข่าย และตามสถานที่ต่างๆ เช่น โรงพยาบาลนครพนม โรงแรมฟอร์จูนริเวอร์วิว โรงแรมฟอร์จูนวิวโขง ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือของบริษัทซีพีแลนด์จำกัด (มหาชน) ร่วมถึงบุคคลที่รักสุขภาพทั่วไป ซึ่งมีแพ็คเกจให้เลือกตั้งแต่แบบครึ่งกิโลกรัม , 1 กิโลกรัม และ 5 กิโลกรัม หรือถ้าต้องการเป็นกระสอบก็ได้เช่นเดียวกัน ส่วนราคาข้าวขาวอินทรีย์และข้าวกล้อง จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 50 บาท ข้าวไรช์เบอรี่จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 60 บาท โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่โทร 087-8555861 หรือจะมาดูขั้นตอนการผลิต มาเรียนรู้ก็สามารถเดินทางมาได้ที่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านหนองสะโน ตำบลดอนนางหงส์ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เช่นเดียวกัน นี่คือผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ ของดีที่ชาวบ้านหนองสะโนได้ร่วมกันผลิต ร่วมกันสร้างเพื่อให้ทุกคนที่ได้รับประทาน มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ภาพ/ข่าว/ ทินกร เพชรดี/ ส.ปชส.นครพนม
04 ก.ย. 2560
สกู๊ป : ผนึกกำลังติดปีก OTOP - SMEs 4.0
กรมท่าอากาศยานเตรียมเปิดพื้นที่สนามบิน 28 แห่งให้ผู้ประกอบการนำผลิตภัณฑ์ OTOP และ SMEs มาจัดจำหน่ายในรูปแบบเดียวกับตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ผู้ประกอบการมีช่องทางจำหน่ายสินค้า และสามารถต่อยอดสู่ตลาดต่างประเทศได้ จากดำริของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องการให้หน่วยงานทุกภาคส่วนจัดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กจำหน่ายสินค้าได้เหมือนกัน เช่น ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล จึงนำมาสู่ “โครงการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ OTOP และ SMEs ติดปีก 4.0” ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง กรมท่าอากาศยาน สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ และ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME Bank โดยจะมีการจัดพื้นที่ใน 28 ท่าอากาศยาน ที่อยู่ในความดูแลของกรมท่าอากาศยาน ให้ผู้ประกอบการนำผลิตภัณฑ์ OTOP และ SMEs มาจัดจำหน่าย เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ กรรมการผู้จัดการ SME Bank ย้ำถึงแนวคิดการเพิ่มช่องทางขายสินค้าในสนามบิน เนื่องจากเป็นประตูสู่ตลาดต่างประเทศได้ง่าย และสอดคล้องนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้สินค้าของผู้ประกอบการ SMEs และ OTOP ไทย ขยายตลาดให้มากขึ้น โดยจัดรูปแบบเดียวกับตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ที่สลับหมุนเวียนกันไป เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs และ OTOP ทั่วไทยมีช่องทางจำหน่ายสินค้าเท่าเทียมกัน นอกจากนี้ SME Bank ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว เข้าถึงแหล่งเงิน ต้นทุนต่ำผ่านโครงการสินเชื่อสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยวและผู้ประกอบการท่องเที่ยวชุมชนวงเงิน 7,500 ล้านบาท เพื่อยกระดับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในชุมชนและภูมิภาค การเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบจำหน่ายสินค้าในท่าอากาศยาน 28 แห่ง ครอบคลุมทุกภาคทั่วประเทศ ถือเป็นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ OTOP และ SMEs ไทย ให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ สามารถต่อยอดขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศได้ นอกจากจะทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้ว ยังส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ นำพาไทยก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจยุค 4.0 ของรัฐบาล
04 ก.ย. 2560
สกู๊ป : ปฎิรูประบบราชการ ที่พึ่งใหม่ของประชาชน
ในอนาคตระบบราชการไทยจะมีความคล่องตัวมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งผลักดันการปฏิรูปการทำงานของระบบราชการ หวังให้เป็นที่พึ่งให้กับประชาชนเมื่อมีเหตุให้ต้องติดต่อกับหน่วยงานราชการ เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบายและความรวดเร็ว การเพิ่มขีดความสามารถระบบราชการไทยให้มีความทันสมัย และมีความรวดเร็วในการทำงาน ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 คือหนึ่งนโยบายสำคัญที่รัฐบาลกำลังผลักดันให้เกิดขึ้นจริง ตามแผนพัฒนายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพราะระบบราชการนับเป็นหัวใจสำคัญจะทำให้ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้า การปฏิรูประบบบริหาราชการแผ่นดิน เป็นเป้าหมายสำคัญที่จะยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของระบบราชการไทยให้ดีขึ้น ผ่าน 4 เป้าหมายสำคัญที่รัฐบาลวางเป็นแนวทำที่ให้เกิดระบบราชการเกิดการพัฒนา และมีศักยภาพมากขึ้น เริ่มตั้งแต่การเน้นความรวดเร็วในการทำงานงานแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ลุล่วงเมื่อต้องดำเนินการ การบริการผู้มาติดต่อหน่วยงานราชการให้มีความสะดวกหากติดขัดปัญหา จะต้องได้รับแก้ไขให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันความเสียหาย การทำโครงการต่างให้เกิดความคุ้มค่ากับงบประมาณของประเทศที่สุด และที่สำคัญต้องทำทุกอย่างให้เกิดความสุจริตโปร่งใสและเที่ยงธรรม การน้อมนำเอาศาสตร์พระราชามาปฏิบัติใช้ในการทำงานของระบบราชการ นับว่าเป็นแนวทางที่มีมีส่วนสำคัญให้เกิดการพัฒนา นั่นคือ หลักวิธีคิดแบบเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เน้นย้ำถึงความสำคัญที่ต้องให้ข้าราชการเกิดการปฏิรูป และสร้างการรับรู้กับประชาชนให้เกิดความไว้วางใจ ซึ่งหลักการเหล่านี้จะทำให้ระบบราชการเกิดความน่าเชื่อ ส่งผลต่อการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม ที่ผ่านมา การบริการของระบบราชการ จะต้องอาศัยเงื่อนไขเรื่องเวลาในการปฏิบัติ จนบางครั้งทำให้เกิดความล่าช้า ส่งผลให้ปัจจุบันรัฐบาล ได้จัดทำกฎหมาย ที่ทำให้การทำงานของระบบราชการไทยมีความคล่องตัว ลดขั้นตอนในการทำงาน และเพิ่มการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนมากขึ้น พร้อมเปิดช่องให้สามารถร้องเรียนการทำงานของข้าราชการ ส่งผลให้ข้าราชการต้องตั้งใจทำงานให้มากกว่าเดิม พร้อมกับการสร้างจิตสำนึกให้ข้าราชการยุคใหม่ เป็นข้าราชการที่พร้อมทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ สมกับการเป็น “ข้าราชการของแผ่นดิน”
04 ก.ย. 2560
สกู๊ป : Herbal City สร้างรายได้ให้เกษตรกรไทย
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความโดดเด่นในเรื่องสมุนไพร โดยรัฐบาลได้โครงการ Herbal City หรือเมืองสมุนไพรขึ้น เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ๆ ให้กับจังหวัดที่มีความโดดเด่นด้านสมุนไพรในประเทศไทย และยังเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งจะส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โครงการเมืองสมุนไพร หรือ Herbal City เป็นโครงการภายใต้การนำของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้หันมาให้ความสำคัญและมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย โดยนำร่องใน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย สกลนคร ปราจีนบุรี และสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีเอกลักษณ์ มีภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพและมีความโดดเด่นในผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย โดย 4 เมืองสมุนไพร นับเป็นโครงการที่สนองนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งโชว์ความเป็นที่สุดของเมืองสมุนไพรทั้ง 4 หรือThe BEST ซึ่ง B คือ Business Model โดยจังหวัดปราจีนบุรีเป็นต้นแบบธุรกิจไทยที่ใช้สมุนไพรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วน E คือ Empower Network มีจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่เป็นต้นแบบระบบเครือข่ายสมุนไพรที่เข้มแข็ง สามารถสร้างความมั่นคงด้านเศรษฐกิจได้ จังหวัดสกลนคร แทนตัว S หรือ Social Enterprise เป็นชุมชนที่พึ่งพาตนเองได้ และสุดท้าย คือ จังหวัดเชียงราย แทนตัว T หรือ Traditional Medicine การนำภูมิปัญญาพื้นเมืองสู่ระบบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สมุนไพรจัดเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอาหาร ยารักษาโรค และเครื่องสำอาง ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ คาดว่ามูลค่าทางการตลาดของสมุนไพรจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และในปี 2563 ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเสริมอาหารและการรักษาด้วยสมุนไพรในตลาดโลกจะมีมูลค่าเพิ่มสูงถึง 1.15 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากผู้บริโภคมีแนวโน้มในการดูแลสุขภาพและความงามเพิ่มมากขึ้น ในอนาคตรัฐบาลคาดหวังว่าโมเดลเมืองสมุนไพรทั้ง 4 จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพซึ่งจะดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติให้เข้ามาท่องเที่ยวให้พื้นที่ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรในพื้นที่มีอาชีพ มีรายได้ และจะกลายเป็นพื้นที่ต้นแบบไว้แลกเปลี่ยนความรู้ก่อนที่จะขยายโครงการให้กระจายไปยังจังหวัดอื่น ๆ ให้ครอบคลุมทั้งประเทศ ตามแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจกระแสใหม่ ภายใต้แผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพร ฉบับ ที่ 1 ปี 2560-2564 ซึ่งจะสามารถขับเคลื่อนและสร้างรายได้ให้กับประเทศและยังเป็นการสร้างความมั่นคงด้านเศรษฐกิจกลับคืนสู่ชุมชนอีกด้วย
04 ก.ย. 2560
สกู๊ป : กม. ซูเปอร์บอร์ดคุม 11 รัฐวิสาหกิจ
ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ เป็นอีกหนึ่งกฎหมายอยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช. ซึ่งมีความสำคัญต่อการปฏิรูป และพัฒนาศักยภาพของรัฐวิสาหกิจ ให้เป็นองค์กรที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รัฐวิสาหกิจ ถือเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีโครงสร้างองค์กรคล่องตัวมากกว่าหน่วยงานราชการทั่วไป เนื่องจากรูปแบบการทำงานคล้ายคลึงกับหน่วยงานเอกชน โดยมีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทำหน้าที่เป็นกลไกของรัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ รวมถึงเป็นผู้ให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน แต่ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า หน่วยงานรัฐวิสาหกิจหลายแห่งประสบปัญหาการบริหารงาน และผลการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ ที่รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่นำมาปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ให้กลายเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน และการบริการประชาชน ได้แก่ การกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ คนร. ที่กำหนดเป้าหมาย นโยบายและทิศทางในการพัฒนา 11 รัฐวิสาหกิจ ในภาพรวมทั้งระบบให้เป็นไปตามโดยสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ โดยมี นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน คนร. รองนายกรัฐมนตรี ที่นายกรัฐมนตรี มอบหมาย 1 คน เป็นรองประธาน ขณะที่กรรมการ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง รัฐมนตรีอื่นที่ ครม. แต่งตั้งจำนวน 2 คน ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยสำนักงบประมาณ และประธานกรรมการบริษัท พร้อมกำหนดให้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ ครม. แต่งตั้งอีกจำนวน 5 คน โดย คนร. จะมีอำนาจหน้าที่ 15 ด้าน อาทิ จัดทำแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจเพื่อเสนอต่อ ครม. กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังหรือบรรษัทในรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดโดยความเห็นชอบของ ครม. การเสนอความเห็นต่อ ครม.ในการควบหรือยุบเลิกรัฐวิสาหกิจและการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนให้หุ้นที่บรรษัทถือครองจนพ้นสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจ หรือทำให้เป็นรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้ ร่างกฎหมาย ยังกำหนดให้ มีกระบวนการสรรหากรรมการที่ชัดเจน โปร่งใสและมุ่งเน้นประสบการณ์และความรู้ความสามารถที่จำเป็นต่อการดำเนินงานและการพัฒนาของรัฐวิสาหกิจ พร้อมกลไกระบบการกำกับดูแลที่ดี เพื่อเปิดเผยข้อมูลให้เกิดความโปร่งใส และส่งเสริมความรับผิดรับชอบในการดำเนินตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงการจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติและทำหน้าที่ในฐานะผู้ถือหุ้นเชิงรุก เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้มีความพร้อมในการแข่งขันเชิงพาณิชย์และสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยคงความเป็นรัฐวิสาหกิจไว้ หลังจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ได้มีมติรับหลักการวาระ 1 ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ หลังจากนี้ไป คณะกรรมาธิการวิสามัญที่ได้รับการแต่งตั้ง จะทำหน้าที่ปรับปรุงข้อกฎหมาย เพื่อให้การจัดทำร่างกฎหมายฉบับนี้ ส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจของไทย เป็นฟันเฟืองสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมอุดช่องว่างที่หลายฝ่ายยังเป็นห่วงกับการเข้ามาแทรกแซงของฝ่ายการเมืองในอนาคต ทำให้รัฐวิสาหกิจในยุคใหม่ เป็นหน่วยงานที่ตอบสนองการขับเคลื่อนของรัฐบาลตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ มีความแข็งแกร่ง และสามารถให้บริการสาธารณะกับประชาชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ
02 ก.ย. 2560
สกู๊ป : ภักดีบดินทร์ เรือนรับรองใหม่ทำเนียบรัฐบาล
สกู๊ป : ภักดีบดินทร์ เรือนรับรองใหม่ทำเนียบรัฐบาล เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับตึกภักดีบดินทร์ เรือนรับรองหลังใหม่ของทำเนียบรัฐบาล ซึ่งนำเอาสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ที่นำมาจากตึกไทยคู่ฟ้า มาเป็นแบบจำลองในการก่อสร้าง จนมีความสวยงาม และทรงคุณค่าต่อการต้อนรับแขกคนสำคัญของประเทศ การนำรูปแบบงานสถาปัตยกรรมกอทิกตอนปลาย หรือ Neo Venetian Gothic ของตึกไทยคู่ฟ้า โดยลดทอนลวดลาย และเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่ให้มีความโดดเด่นกว่าตึกไทยคู่ฟ้า ทำให้ตึกภักดีบดินทร์ ซึ่งเป็นเรือนรับรองหลังใหม่ ภายในทำเนียบรัฐบาล ที่รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หวังใช้เป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่มาเยือน กลายเป็นอีกหนึ่งอาคารภายในสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่มีทั้งความสง่างาม และทรงคุณค่า ภายในตึกภักดีบดินทร์ มีพื้นที่ใช้สอยประโยชน์รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,385 ตารางเมตร ประกอบด้วย พื้นที่ชั้น 1 จำนวน 1,181 ตารางเมตร ได้แก่ ห้องโถงใหญ่ สำหรับการจัดประชุม งานเลี้ยงรับรองและอื่นๆ จุคนได้ 150 คน ห้องรับรอง 1 หรือ ทองธารา เป็นห้องรับรอง ภายใต้หลังคาทรงโดม ใช้สำหรับรับรองแขกนายกรัฐมนตรี จุคนได้ จำนวน 10 คน ห้องรับรอง 2 หรือ วนาสิริ เป็นห้องรับรองรูปทรงสี่เหลี่ยม ใช้สำหรับรับรองแขกนายกรัฐมนตรี จุคนได้จำนวน 8 คน ห้องเตรียมอาหาร และห้องน้ำ ซึ่งมีทั้งห้องน้ำแยกชายและหญิง รวมถึงห้องน้ำผู้พิการ ส่วนพื้นที่ชั้น 2 จำนวน 204 ตารางเมตร ประกอบด้วย ห้องควบคุม และพื้นที่ร่วม โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ใช้ฤกษ์งามยามดี ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 10 เวลา 10 นาฬิกา 30 นาที นิมนต์พระสงฆ์ 10 รูป ประกอบด้วย สมเด็จพระวันรัต จากวัดบวรนิเวศวิหาร ,สมเด็จพระพุทธาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยาราม ,พระพรหมดิลก วัดสามพระยา ,พระธรรมรัตนดิลก วัดสุทัศนเทพวราราม ,พระธรรมสุธี วัดหัวลำโพง, พระเทพกิตติเวที วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ,พระเทพสังวรญาณ วัดบวรนิเวศวิหาร ,พระราชจริยาภรณ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคราราม ,พระราชวินยาภรณ์ วัดบูรณสิริมาตยาราม และพระบวรรังษี วัดระฆังโฆษิตาราม มาร่วมเจริญพระพุทธมนต์ และทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลกับการเปิดใช้งานอาคารอันทรงคุณค่าหลังใหม่ของทำเนียบรัฐบาล ตึกภักดีบดินทร์จะเป็นอีกหนึ่งของตึกที่มีความสำคัญภายในบริเวณทำเนียบรัฐบาลที่มีความสง่างาม มีความสวยงามทางมุมมอง และทรงคุณค่าทางด้านสถาปัตยกรรม มีความเชื่อมผสมผสานของยุคสมัย และทรงคุณค่าอย่างยิ่ง พร้อมการตกแต่งภายในและภูมิทัศน์โดยรอบภายนอกของตึกภักดีบดินทร์อย่างสมบูรณ์แบบ เคียงคู่กับตึกอื่น ๆ ที่มีความงดงาม และทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของไทย
01 ก.ย. 2560
ชาวมุสลิมยะลากว่าสองพันคน ร่วมละหมาดอีด ฉลอง "อีดิลอัฎฮา" ฮิจเราะห์ศักราช 1438
ชาวมุสลิมยะลากว่าสองพันคน ร่วมละหมาดอีด ฉลอง "อีดิลอัฎฮา" ฮิจเราะห์ศักราช 1438 เมื่อเวลา 07.30 น. วันนี้ (1 ก.ย.2560) ชาวมุสลิมในพื้นที่จังหวัดยะลาและพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงกว่า 2,000 คน ได้เดินทางมาร่วมละหมาดอีดิ้ลอัฎฮา ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1438 ซึ่งเครือข่ายองค์กรมุสลิม มัสยิดและชุมชนจังหวัดยะลา จัดขึ้นที่สนามศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้ศรัทธา ประกอบศาสนกิจตามแบบอย่างของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด โดยพร้อมกัน และเป็นการส่งเสริมความเป็นเอกภาพและภราดรภาพในบรรดาผู้ศรัทธา โดยยึดหลักบัญญัติศาสนาเป็นแกนกลาง เพื่อเข้าสู่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม โดยการรับฟังศาสโนวาท (คุฎบะฮ) รวมทั้งเป็นการเปิดพื้นที่ทางสังคม สร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล องค์กร มัสยิด และชุมชน ประชาชน ได้มีโอกาสมาร่วมพบปะ สลาม อวยพร ชื่นชมยินกับผู้นำทุกระดับ ด้วยความปิติยินดี ในวันเฉลิมฉลองอีดิ้ลอัฎฮา ซึ่งการละหมาดครั้งนี้ มีนายวรเชษฐ พรมโอภาษ รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับพี่น้องชาวมุสลิมร่วมกับส่วนราชการต่างๆ อีกด้วย สำหรับการละหมาดวันตรุษอีดิลอัฎฮาหรืออีดใหญ่ ตรงกับวันที่ 10 เดือนซุลฮิจญะฮฺ เป็นเดือนที่ 12 ของเดือนในศาสนาอิสลามถือเป็นศาสนกิจที่สำคัญที่สุด ซึ่งมุสลิมทุกเพศทุกวัยจะต้องไปร่วมกันละหมาดที่มัสยิดใกล้บ้าน หรือในสถานที่ที่จัดไว้ เมื่อเสร็จพิธีละหมาด ก็จะมีการบรรยายธรรม (คุตบะห์) โดยโต๊ะอิหม่าม จากนั้นจะมีการแสดงความยินดีและขออภัยต่อกัน และบริจาคทานให้กับเด็ก คนชรา หรือผู้ยากไร้ พร้อมทั้งออกไปเยี่ยมเยียนซึ่งกันและกัน นอกจากนั้นยังมีพิธีกรรมที่สำคัญ คือ การเชือดสัตว์พลีทาน (กุรบ่าน) อีกด้วย
29 ส.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 29 สิงหาคม 2560
คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าใน กทม. และปริมณฑล (ประชานิเวศน์ 3) จำนวน 556 หน่วย วงเงินลงทุนรวม 464.40 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ก.ค.2560 – มิ.ย.2562 เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง มีโอกาสได้อยู่อาศัยใกล้เส้นทาง โดยจะนำร่อง ที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ที่คาดว่าจะเสร็จในปี 2564 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เพื่อกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมให้หันมาใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การผลักดันให้มีผู้ให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ System Integrator (SI) ให้เพียงพอกับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและการพัฒนาศักยภาพและความร่วมมือในเครือข่ายหน่วยงาน Center of Robotics Excellence เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและบุคลากรให้กับอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และลดการพึ่งพาแรงงานต่างด้าว โดยมี 5 มาตรการหลักในการขับเคลื่อน ได้แก่ 1. ด้านการตลาด ส่งเสริมการผลิตหุ่นยนต์ในประเทศไทยให้มีมากขึ้น ลดการนำเข้า 2. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการยกเว้นอากรขาเข้าชิ้นส่วนอุตสาหกรรมการผลิตหุ่นยนต์ 3. สร้างอุปทาน เตรียมพร้อมบุคลากร ให้มีความรู้ความสามารถในการใช้ ควบคุมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 4. สร้างศูนย์ในการสนับสนุนเร่งรัด Center of Robotics Excellence หรือ CoRE พัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ 5. สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็นเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ 2560 เพื่อดำเนินโครงการสำคัญ 11 โครงการ ในกรอบวงเงิน 2,225.42 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ด้านบริหารจัดการน้ำ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากการลงพื้นที่ตรวจราชการ โครงการสนับสนุนนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และโครงการบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ 66 รายการ 2. โครงการด้านการพัฒนาการเกษตร รวม 8 โครงการ ได้แก่ ตลาดเกษตรอินทรีย์ ตลาดน้ำ อ.ต.ก. โรงแช่แข็งผลไม้และห้องเย็น การสร้างปัจจัยพื้นฐานรวบรวมและจัดเก็บข้าวเปลือกคุณภาพ การส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพในสถาบันเกษตรกรในพื้นที่นิคมสหกรณ์ การเพิ่มศักยภาพศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร การสร้างเครือข่ายการผลิตเมล็ดพันธุ์พืชตระกูลถั่วพันธุ์ดีสนับสนุนการปลูกพืชหลังนาในพื้นที่แปลงใหญ่ และการผลิตไข่ไหม คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม โดยมีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้มีคณะกรรมการปาล์มน้ำมันแห่งชาติ 40 คน ประกอบด้วย กรรมการจากภารัฐและเอกชน เกษตรกร สถาบันเกษตรกร สภาเกษตรกร สภาผู้ทรงคุณวุฒิ และเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่เสนอนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาและแผนบริหารจัดการอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีแหล่งเงินทุนจากกองทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม เพื่อสนับสนุนด้านการเงินสำหรับการศึกษา วิจัยพัฒนาด้านการผลิต การแปรรูป การตลาด การใช้ประโยชน์น้ำมันปาล์มและปาล์มน้ำมัน และผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมัน และกำหนดหลักเกณฑ์การนำเข้าส่งออกพันธุ์ปาล์มน้ำมัน น้ำมันปาล์มชนิดต่างๆ รวมทั้งไบโอดีเซล และผลิตภัณฑ์โอรีโอเคมี พร้อมกำหนดบทลงโทษผู้เกี่ยวข้องในระบบอุตสาหกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืน คณะรัฐมนตรีเห็นชอบระบบตั๋วร่วม หรือ e-ticket หรือบัตรแมงมุม ซึ่งในอนาคตสามารถใช้ร่วมกันทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า เรือโดยสาร แอร์พอร์ตเรียลลิงค์ โดยรถเมล์ ขสมก. 800 คันแรกจะติดตั้งระบบตั๋วร่วมภายใน 1 ต.ค.นี้ และ 2,600 คันจะติดตั้งภายในต้นปี 2561 หลังจากนั้นรถไฟฟ้าต่างๆ คือรถไฟฟ้าสายสีม่วง แอร์พอร์ตเรียลลิงค์ สายสีเขียว และสายสีน้ำเงินน่าจะติดตั้งภายใน ก.ค.2561 คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการประชารัฐสวัสดิการเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ค่าใช้จ่ายเดินทางและค่าใช้จ่ายใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค โดยรัฐบาลจะให้วงเงินในบัตร เป็นค่ารถเมล์ รถไฟฟ้า รถ บขส. และค่าโดยสารรถไฟ อย่างละ 500 บาทต่อเดือน ส่วนค่าใช้จ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค จากร้านธงฟ้าหรือร้านอื่นที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อปีได้วงเงิน 300 บาทต่อเดือน รายได้สูงกว่า 3 หมื่นบาทต่อปีได้วงเงิน 200 บาทต่อเดือน และมีวงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 45 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน ส่วนความช่วยเหลือค่าน้ำ ค่าไฟ ยังใช้มาตรการเดิม
29 ส.ค. 2560
สกู๊ป : รัฐเร่งสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจไทย
รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจในระดับฐานราก ควบคู่กับการปรับปรุงข้อกฎหมายที่ล้าสมัย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ เพื่อให้ไทยก้าวสู่โมเดลไทยแลนด์ 4.0 ตามนโยบายรัฐบาลได้อย่างมั่นคงและยั่นยืน ความพยามยามในการเดินหน้าพัฒนาประเทศของรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ไทยก้าวสู่โมเดลไทยแลน์ด 4.0 ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้วยการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งจากภายใน ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจระดับฐานราก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แม้ตลอด 3 ปีที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2 ปีนี้มีอัตราการเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจเฉลี่ยระดับร้อยละ 3.7 แม้ว่าจะดีที่สุดแล้วในปัจจุบัน และถือว่ายังไม่เข้มแข็งมากพอ แม้ที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมทั้งปรับปรุงกฏหมาย กติกา ข้อบังคับ ที่ล้าสมัย และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ โดยไทยมีกฎหมายที่เป็นพระราชบัญญัติมาก ถึง 20,000 ฉบับ และหากรวมกฎหมายอื่นๆ ก็จะมากถึง 105,000 ฉบับ ซึ่งถือเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องเร่งปฏิรูป เพื่อปลดล็อกอุปสรรค และอำนวยความสะดวกในการลงทุนมากขึ้น การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้ความสำคัญตั้งแต่เศรษฐกิจระดับ“ฐานราก” ทั้งมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือSMEs อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ได้ง่าย และสะดวกขึ้น รวมทั้งผลักดันเข้ามาสู่ “ห่วงโซ่การผลิต” ของประเทศ อาทิ การค้ำประกันสินเชื่อ ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือ บสย.วงเงินค้ำประกัน 81,000 ล้านบาท โดย บสย.เริ่มให้ความช่วยเหลือตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะช่วยเหลือ SMEs ได้ราว 27,000 ราย นอกจากนี้ ยังปล่อยสินเชื่อ SMEs ในกลุ่มธุรกิจและบริการด้านการท่องเที่ยวประมาณ 7,500 ล้านบาท ผ่านกลไก ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ เอสเอ็มอีแบงก์ สำหรับบุคคลธรรมดาไม่เกิน 2 ล้านบาท และ นิติบุคคลไม่เกิน 15 ล้านบาท / รวมทั้งมีเม็ดเงินสินเชื่อจาก กองทุนประชารัฐวงเงินรวม 38,000 ล้านบาท ที่คาดว่าสามารถสร้างเงินหมุนเวียนภายในระบบเศรษฐกิจ ได้ถึง 5 - 6 แสนล้านบาท ในช่วงปลายปีนี้ไปจนถึงต้นปีหน้า และตั้งเป้าว่าจะมีผู้ยื่นขออนุมัติวงเงิน ในกองทุนประชารัฐทั้งหมด และจะพิจารณาให้เสร็จสิ้นได้ ภายในเดือนตุลาคมนี้ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในมาตรการสร้างความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลมุ่งสร้างความเข้มแข็งจากภายใน โดยเฉพาะระดับฐานราก นำไปสู่ความเข้มแข็งต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมทั้งประเทศ นำพาประเทศไทยก้าวสู่โมเดลไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
29 ส.ค. 2560
สกู๊ป : บิ๊กดาต้าเซนเตอร์ ศูนย์ข้อมูลอุตสาหกรรม 4.0
ดาต้า เซนเตอร์ หรือ ฐานข้อมูลภาครัฐ คืออีกหนึ่งนโยบายของรัฐที่จะเข้ามาศูนย์กลางการให้ความช่วยเหลือทางข้อมูลกับผู้ประกอบธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม เพื่อต่อยอดนวัตกรรมและการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆโดยใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก การเพิ่มขีดความสามรถให้ประเทศได้ก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีที่อย่างเต็มตัว และขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างทันสมัย นับเป็นสิ่งที่รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นยุทธศาสตร์หลัก โดยเฉพาะนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งหวังให้ทุกฝ่ายได้ใช้เทคโนโลยี เป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการองค์ความรู้ใหม่ๆเข้ามาต่อยอดในอนาคต บิ๊กดาต้า เซนเตอร์ หรือ ฐานข้อมูลภาครัฐ เป็นอีกหนึ่งศูนย์รวมข้อมูลที่รัฐบาลกำลังเร่งผลักดันอย่างเป็นรูปธรรม บูรณการร่วมกันกับ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการพัฒนา ต่อยอดเป็นองค์ความรู้ต่างทางเทคโนโลยี แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เพื่อใช้เป็นฐานต่อยอดยกระดับ การเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งถือเป็นอีกนโยบายที่เอื้อต่อการสร้างเครือข่าย ทำให้ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สามารถเข้าถึงข้อมูลมีคุณภาพทันสมัยแล้วนำมาใช้ในภาคธุรของแต่ละหน่วยงาน สำหรับ บิ๊กดาต้า เซนเตอร์ รัฐบาลได้ใช้งบประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบบิ๊ก ดาต้า 3 ด้าน คือ เริ่มตั้งแต่การสร้างทีมบุคลากรเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลในระยะสั้น / การบริหารจัดการข้อมูลที่มีอยู่แล้วของแต่ละหน่วยงาน มาร่วมกันจัดทำข้อมูลใหม่ที่พร้อมใช้งาน / การพัฒนาระบบซอฟแวร์ใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ให้มีความเหมาะสมกับประเภทข้อมูล โดยรัฐบาลประเมินการจัดทำบิ๊กดาต้าครั้งนี้จะก่อให้เกิดการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการต่อยอดการแข่งขันสู่อนาคต โดยนโยบายการจัดทำบิ๊กดาต้าครั้งนี้ จะทำให้การประกอบธุรกิจของภาคระฐ และเอกชน มีความสะดวกสบายมากขึ้นในเรื่องของการใช้ข้อมูลต่างๆมาประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคเกษตร อุตสาหกรรมและบริการ ส่งผลให้จีดีพีโตขึ้นถึงร้อยละ 0.82 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 84,000 ล้านบาท ตลาดแรงงานในอนาคตจึงต้องหันมาให้ความสนใจและความสำคัญของนักวิเคราะห์บิ๊กดาต้าให้มากขึ้น โดยการเปิดการเรียนการสอนโดยตรง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดการปรับตัวสู่ไทยแลนด์ 4.0 อย่างเต็มตัวในอนาคตของประเทศ
29 ส.ค. 2560
สกู๊ป : นวัตกรรมสุขภาพ...ตอบโจทย์กับการดำรงชีวิต
การเดินหน้าผลิตนวัตกรรมของเหล่านักศึกษา เพื่อเป็นนวัตกรรมต้นแบบ สู่การต่อยอดพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนด้านสาธารณสุข ที่นำมาจัดแสดงภายในงาน นวัตกรรมแห่งชาติ 2560 ที่นำปัญหาในชีวิตจริง มาคิดค้นเป็นงานวิจัย และต่อยอดเป็นวัตกรรม จะมีสิ่งประดิษฐ์อะไรบ้างที่จะเข้ามาตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุที่จะมาถึง เซนเซอร์เสริมแรงจูงใจ คือนวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง ผลงานการประดิษฐ์ของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภาการชาดไทย เพื่อตอบโจทย์กับสังคมผู้สูงอายุที่นับวันประเทศจะมีประชากรกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น ที่นำมาจัดแสดงภายในงาน มหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2560 ซึ่งเป็นผลลงานของคนไทย โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา ที่ร่วมสรรค์สร้างนวัตกรรมในการพัฒนาประเทศ โดยเซนเซอร์เสริมแรงจูงใจ จะเป็นตัวช่วยในการกระตุ้นการทำกายภาพบำบัดของผู้ป่วย เพราะทุกครั้งที่ยกขาทำกายภาพเครื่องจะบันทึกจำนวนครั้งในการยก รวมถึงองศาที่ยก หากยกไม่ได้องศาที่ต้องการ เซนเซอร์เสริมแรงจูงใจ จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนในทันที เพื่อให้ผู้ทำกายภาพได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ส่วนอีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือถุงเท้ามหัศจรรย์ ที่เป็นนวัตกรรมที่ช่วยในการอำนวยความสะดวกในการรักษาในหอผู้ป่วยเด็ก เพื่อลดปัจจัยที่มีผลต่อความเสี่ยงต่อความคลาดเคลื่อนของเครื่องตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง นับว่าเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าของการพัฒนางานวิจัยของไทย ที่ตอบโจทย์ต่อบริบทของสังคมที่แท้จริง ผ่านการคิดค้นและวิจัยของนักศึกษาที่นำปัญหาในชีวิตประจำวัน กับการดูแลสุขภาพคนไทย มาต่อยอดพัฒนาสู่การพัฒนาระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพ ทำให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มุ่งหวังส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาประเทศด้วยงานวิจัย สรรค์สร้างเป็นนวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตทั้งสาธารณสุข สังคม การศึกษา ที่จะทำให้ประชาชนเกิดความเท่าเทียมกันในสังคม สร้างความมั่นคงและยั่งยืน กับการก้าวเป็นไทยแลนด์ 4.0
29 ส.ค. 2560
สกู๊ป : SCG eldercare solution นวัตกรรมบ้านเพื่อผู้สูงอายุ
ปัจจุบันหลายประเทศเดินหน้าเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในอีกไม่ถึง 10 ปี ซึ่งทำให้หลายหน่วยงานต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสังคมสูงวัยในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องของบ้านปัจจัยขั้นพื้นฐานที่จะให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดี SCG eldercare solution เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ รองรับการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทย หลังจำนวนผู้สูงอายุมีเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี โดย SCG ถือเป็นบริษัทหนึ่งที่ขานรับนโยบายของรัฐบาล พร้อมๆ กับตอบรับเทรนด์โลก ที่คำนึงถึงความต้องการของลูกค้าผู้สูงอายุ ด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรม และแนวคิดที่ดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม ที่จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รวมไปถึงครอบครัวและคนใกล้ชิด โดยคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย ความสะดวกสะบาย และการส่งเสริมสุขภาวะที่ดีเป็นสำคัญ สำหรับการเตรียมที่อยู่อาศัยให้พร้อมสำหรับผู้สูงวัย จะถูกแบ่งออก เป็น 3 ระดับ ตามลักษณะทางกายภาพและสมรรถนะทางกายในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ คือกลุ่มผู้สูงอายุสีเขียว ซึ่งสุขภาพยังแข็งแรง สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ โดยการออกแบบจะมุ่งเน้นไปที่การป้องกันและลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น และการส่งเสริมสุขภาวะที่ดี ขณะที่กลุ่มผู้สูงสีเหลือง เป็นผู้มี่เริ่มมีปัญหาสุขภาพเล็กน้อย แต่ยังสามารถช่วยตัวเองได้ ซึ่งการออกแบบจะผนวกเรื่องการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายและป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น และสุดท้ายคือกลุ่มผู้สูงอายุสีส้ม เป็นผู้ที่มีปัญหาสุขภาพค่อนข้างมาก ซึ่งอาจต้องใช้วีลแชร์เป็นส่วนใหญ่ และมีผู้ดูแลใกล้ชิด ซึ่งกลุ่มนี้การออกแบบจะต้องคำนึงทุกอย่างทั้งกรลดอุบัติเหตุจากการนั่ง การนอน การทำกิจกรรม โดยเฉพาะสภาพจิตใจที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก SCG eldercare solution จึงถือว่าเป็นนวัตกรรมแห่งปี สำหรับที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุ ในยุคไทยแลนด์ 4.0 เพื่อมีส่วนร่วมกับรัฐบาล ในการเตรียมความพร้อมของประเทศ กับการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย และทำให้ผู้สูงอายุอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข ตามเจตนารมย์รัฐบาลต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน กินดี อยู่ดี และมีความสุข อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
28 ส.ค. 2560
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดตั้ง "จิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบรมชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้ ได้ทรงเล็งเห็น และทรงรับรู้จากพระราชหฤทัยของพระองค์ถึงพลังแห่งคุณค่าของความรัก ความศรัทธาเทิดทูน และความจงรักภักดี ที่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงประจักษ์ความต่อสายพระเนตรพระกรรณมาโดยตลอด ถึงพลังน้ำใจ พลังความรัก อันประเสริฐสุดของท่านทั้งหลาย นับตั้งแต่วันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตตราบจนทุกวันนี้ และเพื่อทรงสนองตอบต่อความรัก และน้ำใจอันประเสริฐสุดของท่านทั้งหลาย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้ประชาชนทุกภาคส่วน ได้มีส่วนร่วมถวายความอาลัยรัก น้อมส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในห้วงเดือนตุลาคมศกนี้ และเพื่อเป็นการสานต่อพระราชดำริของโครงการจิตอาสา "เราทำความดี ด้วยหัวใจ" ซึ่งเป็นโครงการทำความดีร่วมกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ปฏิบัติภารกิจมาโดยตลอด เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของท่านทั้งหลายอยู่แล้วนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดตั้ง "จิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ" ขึ้น เพื่อเป็นการรวมพลังความรักอันมีค่า รวมพลังน้ำใจ ของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่จะน้อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนเสด็จสู่สวรรคาลัย "จิตอาสาเฉพาะกิจ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร" จะเปิดให้ลงทะเบียน รับสมัคร ระหว่างวันที่ 1 ถึง 30 กันยายน 2560 เวลา 8 นาฬิกา ถึง 16 นาฬิกา ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ - ในกรุงเทพมหานคร สมัครที่อาคารรับรองสนามเสือป่า ปฏิบัติหน้าที่ ณ พระลานพระราชวังดุสิต และพื้นที่ใกล้เคียง และสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ปฏิบัติหน้าที่ในเขตนั้นๆ - ต่างจังหวัด สมัครที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ - และในต่างประเทศ สมัครที่สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุล ประชาชนทุกคน สามารถมาสมัครได้โดยใช้บัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับจริง) กรณีเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปีที่ไม่มีบัตรประชาชน ให้นำเอกสาร เช่น สูติบัตรหรือทะเบียนบ้านมาแสดงด้วย สำหรับจิตอาสา "เราทำความดี ด้วยหัวใจ" ที่เคยลงทะเบียนแล้ว สามารถมาลงทะเบียนสมัครจิตอาสาเฉพาะกิจฯ ได้ และขอให้นำสมุดบันทึกความดีมาลงทะเบียนในครั้งนี้ด้วย จิตอาสาเฉพาะกิจฯ นี้ ผู้สมัครสามารถเลือกประเภทของงานได้ตามความสามารถและความสมัครใจ ในงาน 8 ประเภท ได้แก่ - งานดอกไม้จันทน์ - งานประชาสัมพันธ์ - งานโยธา - งานขนส่งเพื่อความปลอดภัยของประชาชน - งานบริการประชาชน - งานแพทย์ - งานรักษาความปลอดภัย - และงานจราจร ผู้สมัครทุกคน จะได้รับบัตรประชาชนจิตอาสาสีฟ้า และบัตรจิตอาสา "งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ" ซึ่งมีสีตามประเภทของงาน และจะได้รับพระราชทานหมวกแก๊ป ผ้าพันคอ เสื้อโปโลสีดำ ปลอกแขน สำหรับจิตอาสาเก่า ที่เคยลงทะเบียนและรับของพระราชทานไปแล้ว จะได้รับเพิ่มเติมในส่วนที่ยังไม่ได้รับพระราชทาน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทุกวัน ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1510 และ 1511 เวลา 08.30 น. - 1630 น. และนอกเวลาราชการ ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1548
27 ส.ค. 2560
สนช.ลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีรับฟังปัญหาของประชาชนในพื้นที่เพื่อนำเสนอรัฐบาล
สนช.ลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี รับฟังปัญหาของประชาชนในพื้นที่เพื่อนำเสนอรัฐบาล ที่หอประชุมวชิราลงกรณมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายอวยชัย อินทร์นาค ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวต้อนรับพลเรือเอก ทวี พงศ์พิพัฒน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติพร้อมคณะ โดยมีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะพบประชาชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 400 คน ประกอบด้วยสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตัวแทนภาคเอกชน ตัวแทนภาคประชาชน และตัวแทนเยาวชน ซึ่งคณะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จัดโครงการสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติพบประชาชน ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 26 -27 สิงหาคม 2560 โดยแบ่งเป็น 7 ชุด เพื่อลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาขยะมูลฝอย ณ เตาเผาขยะ หมูที่1 ตำบลมะเร็ด อำเภอเกาะสมุย ชุดที่ 2 รับฟังปัญหาการขออนุญาตประกอบกิจการโรงแรม ณ หาดเฉวง หมู่ที่ 1,2และหมู่ที่ 4 ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย ชุดที่ 3 ลงพื้นที่พบตัวแทนกลุ่มสตรี ณ วัดสมุทราราม (วัดลิปะน้อย) ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย ชุดที่ 4 ลงพื้นที่ รับฟังปัญหาการบุกรุก ยึดถือครอบครองพื้นที่ทะเลอ่าวบ้านดอน ณ อ่าวบ้านดอน ตำบลลีเล็ด อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุดที่ 5 ลงพื้นที่รับฟังปัญหาราคายางพาราและปาล์มนน้ำมันตกต่ำ ณ ห้องศาลจำลอง มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ชุดที่ 6 รับฟังปัญหาการจัดที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรผู้ยากจน ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และชุดที่ 7 รับฟังปัญหาของเยาวชน ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ในช่วงเวลา 14.00 น. สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติพร้อมคณะร่วมประชุมหารือกับส่วนราชการ โดยนายเจริญศักดิ์ ศาลากิจ กล่าวสรุปการรับฟังปัญหาต่างๆของประชาชนในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประเด็นการแก้ไขปัญหาการบุกรุกยึดถือครอบครองพื้นที่ทะเลอ่าวบ้านดอน การจัดที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรผู้ยากจน ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ปัญหาขยะมูลฝอย ปัญหาของกลุ่มสตรี และปัญหาของเยาวชน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหาต่างๆจากประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อนำปัญหาต่างๆเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป
28 ส.ค. 2560
รายงาน : รมว.พลังาน ลงพื้นที่จ.นครราชสีมา
จากการลงพื้นที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังาน ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ระหว่างวันที่ 21 -22 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เยี่ยมชมศูนย์กำจัดขยะแบบครบวงจรและการใช้ระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เยี่ยมชมกระบวนการผลิตเอทานอล บริษัท เคไอ เอทานอล จำกัด และความสำเร็จจากโครงการระบบสูบน้ำแสงอาทิตย์ เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งของชุมชน บ้านหนองพฤกษ์ อำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งถือเป็นต้นแบบ โครงการประชารัฐด้านพลังงาน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังได้เยี่ยมชมความคืบหน้าผลการดำเนินงาน ศูนย์สาธิตการผลิตพลังงานจากของเสียและขยะชุมชน ต้นแบบโรงไฟฟ้าพลาสมาแก๊สซิฟิเคชั่นจากเชื้อเพลิงขยะ และการวิจัยพัฒนาระบบกักเก็บไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีอีกด้วย
27 ส.ค. 2560
ปศุสัตว์ ยะลา หนุนเกษตรกรเร่งพัฒนาคุณภาพไก่ จัดประกวดไก่พื้นเมือง-ไก่เบตง
ที่สนามโรงพิธีช้างเผือกเทศบาลนครยะลา ปศุสัตว์ จ.ยะลา ได้จัดกิจกรรมการประกวดไก่พื้นเมืองทั่วไป เพศผู้ และไก่เบตง งาน“มหกรรมผลไม้และของดีเมืองยะลา 60” ขึ้น โดยมี เกษตรกรในพื้นที่ 8 อำเภอของ จ.ยะลา นำไก่พื้นเมือง และไก่เบตง มาเข้าร่วมการแข่งขันอย่างคึกคัก แบ่งเป็น ไก่พื้นเมืองจำนวน 60 ตัว จาก อ.เมือง 10 ตัว อ.รามัน 10 ตัว อ.ยะหา 7 ตัว อ.บันนังสตา 7 ตัว อ.กาบัง 7 ตัว อ.เบตง 6 ตัว และ อ.ธารโต 6 ตัว และ ไก่เบตง เพศเมีย,เพศผู้ (คู่) จากทุกอำเภอเข้าร่วมการแข่งขัน อำเภอละ 5 คู่ รวม 40 ตัว นายสมพร เอ่งฉ้วน นายสัตวแพทย์ชำนาญการพิเศษ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดยะลา รักษาการปศุสัตว์ จ.ยะลา กล่าวว่า สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดยะลา โดย นายธัญญา สุขย้อย ปศุสัตว์ จ.ยะลา ร่วมกับ ปศุสัตว์ทุกอำเภอในพื้นที่ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมด้านปศุสัตว์ ขึ้น โดยมีทั้งการประกวด แข่งขันสัตว์เลี้ยง ชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแพะ โค ซึ่งวันนี้ เป็นการประกวดไก่พื้นเมือง และไก่เบตง ทั้งนี้ ก็เพื่อต้องการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่พื้นเมือง ได้นำไก่มาเข้าร่วมแข่งขัน เพื่อนำไปปรับปรุงพันธุ์ให้เข้ากับเกณฑ์ของไก่พันธุ์พื้นเมือง ซึ่งจะต้องมีสี มี รูปร่างดี ทั้งหัว ขน ขนสร้อย รวมทั้ง สุขภาพดีด้วย ไก่เบตง ก็เช่นกัน นอกจากนี้ไก่เบตง ก็ยังอยู่ในระบบ GI เป็นพันธุ์สัตว์เฉพาะพื้นที่ จึงได้ส่งเสริม ให้จัดประกวดไก่เบตง ด้วย เพื่อให้เกษตรกร นำไปปรับปรุงพันธุ์ให้เข้ากับสายพันธุ์ไก่เบตง และให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ ได้มีโอกาสมาพบปะ และแลกเปลี่ยนวิธีเลี้ยง วิธีการดูแล นอกจากนี้ ก็ยังเป็นการสร้างความสามัคคี ความสมานฉันท์ของคนในพื้นที่ อีกด้วย ซึ่งวันนี้ ได้รับความสนใจจากเกษตรกร นำไก่มาประกวด ทั้ง 2 ประเภท จำนวนมาก
27 ส.ค. 2560
จ.ปราจีนบุรี จัดกิจกรรม “ปั่นชมตะวัน สัมผัสมหัศจรรย์เขื่อนดิน”
ที่บริเวณกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ นายทิวา วัชรกาฬ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เป็นประธานเปิดกิจกรรม “ปั่นชมตะวัน สัมผัสมหัศจรรย์เขื่อนดิน” ตามโครงการปั่นจักรยานแรลลี่เพื่อการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกลุ่มจังหวัด เบญจบูรพาสุวรรณภูมิ “Benja Burapha Cycling Rally 2017” สนามที่ 7 จังหวัดปราจีนบุรี – จังหวัดนครนายก โครงการปั่นจักรยานแรลลี่เพื่อการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกลุ่มจังหวัด เบญจบูรพาสุวรรณภูมิ “Benja Burapha Cycling Rally 2017” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง ประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ นครนายก และสระแก้ว เป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว วิถีชีวิต ชื่นชมธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ของกลุ่มจังหวัดให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ในการเดินทางท่องเที่ยวตามเส้นทางจักรยานและร่วมทำกิจกรรม CSR ที่เป็นประโยชน์สร้างสรรค์สังคมและวิถีวัฒนธรรม ประกอบด้วยเส้นทางการท่องเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ ทั้งสิ้น 8 เส้นทาง รวมทั้งเป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่อไปในอนาคตได้เป็นอย่างดี สำหรับจังหวัดปราจีนบุรี “ปั่นชมตะวัน สัมผัสมหัศจรรย์เขื่อนดิน” ตามเส้นทางจักรยานท่องเที่ยวผ่านอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ผ่านจังหวัดนครนายก ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ และเข้าสู่เขื่อนขุนด่านปราการชล รวมระยะทาง 80 กิโลเมตร ทั้งนี้กลุ่มนักปั่นจักรยานยังได้ปลูกต้นดาวเรือง จำนวน 99 ต้น และร่วมกันเก็บขยะ บริเวณเขื่อนขุนด่านปราการชลอีกด้วย
27 ส.ค. 2560
ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุทัยธานี แจ้งเตือนภัยจากอิทธิพลของพายุ อาจเกิดฝนตกหนัก และเกิดน้ำป
ที่จังหวัดอุทัยธานี นายสันต์ สร้อยแสง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุทัยธานี เปิดเผยว่า ทางกรมอุตุนิยมวิทยา ได้แจ้งเตือนมาเป็นระยะๆ โดยในช่วงที่ผ่านมาได้เกิดอิทธิพยของพายุฮาโตะ และต่อเนื่องถึงอิทธิพลพายุปาข่า ซึ่งทำให้ตอนนี้แม้ประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลจากอิทธิพลพายุดังกล่าว แต่ก็ทำให้ฝนตกในพื้นที่ภาคกลางตอนบนรวมทั้งภาคเหนือ และรวมถึงจังหวัดอุทัยธานีด้วย โดยนายพงษ์พันธ์ วิเชียรสมุทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีได้ลงนามทำหนังสือแจ้งไปยัง นายอำเภอทุกอำเภอ เรื่องแจ้งเตือนภัยไปยังพื้นที่ของตนเองซึ่งคาดว่าฝนจะตกมาตั้งแต่วันที่ 24 - 28 โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มในอำเภอบ้านไร่ ได้แก่ บ้านแก่นมะกรูด บ้านใหม่คลองอังวะ บ้านตะละเซิ่ง ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดอยู่ในเขตพื้นที่ราบสูงเป็นพื้นที่ภูเขา ส่วนพื้นที่อยู่ในเชิงเขาก็จะมีบ้านใหม่ บ้านคอกควาย บ้านพุบอน และบ้านห้วยแห้ง ส่วนทางตอนเหนือของจังหวัดอุทัยธานี ในพื้นที่ของอำเภอสว่างอารมณ์ ได้แก่ตำบลไผ่เขียว ตำบลบ่อยาง ตำบลสว่างอารมณ์ ซึ่งอาจจะเกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมถนนหนทางทำให้การสัญจร ไม่สะดวก จึงแจ้งเตือนไปทั่วทุกอำเภอและเน้นย้ำให้ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ดำเนินการ กำจัดสวะ สิ่งกีดขวางทาง น้ำผักตบชวา ซึ่งอาจจะทำให้น้ำไหลไม่สะดวกและเกิดอันตรายต่อพื้นที่ได้ นอกจากนี้ให้เฝ้าระวังปริมาณน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดอุทัยธานีมีระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขอให้ประชาชนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในพื้นที่ลุ่มต่ำให้เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมี่จะอพยพสิ่งของไว้ที่สูงและปลอดภัย
27 ส.ค. 2560
ททท ร่วมกับ จ.บุรีรัมย์ จัดกิจกรรม “ปั่น Slow life ไปตามรอยพระบาท 12 เมืองต้องห้ามพลาด”
นายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นประธาน และร่วมกิจกรรม “ปั่น Slow life ไปตามรอยพระบาท 12 เมืองต้องห้ามพลาด @ บุรีรัมย์” ที่บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีส่วนราชการ ชมรมจักรยาน เข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างเนืองแน่น ซึ่ง ททท. ร่วมกับจังหวัดบุรีรัมย์ร่วมกันจัดขึ้น เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่เคยเสด็จเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดบุรีรัมย์ และมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริหลายโครงการ สำหรับกิจกรรมประกอบไปด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์นำนักปั่นจักรยานร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ยืนสงบนิ่งแสดงความอาลัยเป็นเวลา 89 วินาที จากนั้นได้ปล่อยขบวนจักรยานที่ศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ (แห่งใหม่) แล้วปั่นมุ่งหน้าไปหน้าสนามไอโมบายสเตเดียม วงเวียนอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 ศาลหลักเมือง ศาลากลางจังหวัด(หลังเก่า) โรงเรียนเสนศิริอนุสรณ์ โครงการชลประทาน จ.บุรีรัมย์ และสิ้นสุดที่ศาลากลางจังหวัด (หลังใหม่) รวมระยะทาง 36 กิโลเมตร โอกาสนี้ บริษัทมิตซูบิชิ อีเล็คทริคได้มอบสถานีจอดรถจักรยาน และรถจักรยานจำนวน 16 คันให้โครงการชลประทานจังหวัดบุรีรัมย์ รองรับเส้นทางปั่นจักรยานรอบอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก เป็นการพัฒนาชุมชนให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น สร้างจิตสำนึกยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมให้ตระหนักถึงการรักสิ่งแวดล้อม และออกกำลังบนเส้นทางรอบอ่างเก็บน้ำ ซึ่งจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของจังหวัดบุรีรัมย์ในอนาคต
27 ส.ค. 2560
เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะ ร่วมแข่งวิ่งแพะ “ศึกจ้าวลมกรด”คึกคัก
ที่สนามโรงพิธีช้างเผือกเทศบาลนครยะลา ปศุสัตว์ จ.ยะลา จัดกิจกรรม วิ่งแพะ “ศึกจ้าวลมกรด” ขึ้นที่บริเวณซุ้มปศุสัตว์ การจัดงาน“มหกรรมผลไม้และของดีเมืองยะลา 60” ระหว่างวันที่ 25-27 สิงหาคม 2560 เพื่อเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้กับเกษตรกรผู้ลี้ยงแพะ และให้ผู้ที่เลี้ยงแพะ ได้มีโอกาสมาพบปะ ทำกิจกรรมร่วมกัน ผ่อนคลายความตึงเครียด สร้างความสนุกสนาน รวมทั้งยังเป็นการเสริมสร้าง ความรัก ความสามัคคี ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จ.ยะลา อีกด้วย ขณะบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีบรรดาเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะ นำแพะทั้ง 8 อำเภอของ จ.ยะลา ประกอบด้วย อ.เมืองยะลา อ.เบตง อ.ธารโต อ.บันนังสตา อ.ยะหา อ.กาบัง อ.บันนังสตา และ อ.กรงปินัง มาเข้าร่วมการแข่งขัน วิ่งแพะเพศผู้และเพศเมีย ซึ่งกติกาของการแข่งวิ่งแพะ ผู้ที่ทำการแข่งขันจะต้องวิ่งตามแพะ พร้อมกับต้อนแพะ ให้แพะวิ่งไปตามลู่ให้เร็วที่สุด จึงจะเป็นผู้ชนะ โดยมีกองเชียร์ส่งเสียงเชียร์ อยู่รอบๆ กันอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ ก็ยังมีการแข่งขันเด็กวิ่งแข่งกับแพะ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมให้กับบรรดาลูกหลานของเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะ โดยการแข่งขัน ก็จะนำแพะเพศผู้ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศ มาวิ่งสู้กับเด็กๆ จำนวน 3 คน ใครวิ่งถึงเส้นชัยก่อนก็จะเป็นผู้ชนะ ได้รับรางวัล 500 บาทไป หลังเสียงกรรมการเป่านกหวีดเด็กๆ ต่างวิ่งกันสุดชีวิต เพื่อจะวิ่งให้ถึงเส้นชัยก่อนแพะ ผลปรากฏว่า แพะ เป็นฝ่ายชนะ เจ้าของแพะเป็นฝ่ายได้รับรางวัลไป ส่วนเด็กๆ ก็ได้รับเงินรางวัลปลอบใจจากนายสมพร เอ่งฉ้วน นายสัตวแพทย์ชำนาญการพิเศษ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดยะลา ซึ่งมาร่วมเป็นกำลังใจเกษตรกรที่มาเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้
27 ส.ค. 2560
ปภ.ชัยนาท เตรียมรับสถานการณ์ฝน 24 ชม.
นางปวีณ์นุช พุ่มพฤกษ์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดชัยนาท เปิดเผยว่า ได้รับหนังสือ แจ้งเตือน ว่าจะเกิดเหตุฝนตกหนักในพื้นที่จังหวัดชัยนาท ไปจนถึงวันที่ 28 สิงหาคม โดยเป็นผลมาจากพายุไต้ฝุ่นฮาโตะ ทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น ซึ่งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารภัยจังหวัดชัยนาท ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ เจ้าหน้าขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ ทั้งน้ำฝน น้ำล้นตลิ่งจากแม่น้ำเจ้าพระยา และน้ำป่าที่อาจไหลหลากตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอ สรรพยาและอำเภอเมือง ที่มีบ้านเรือนประชาชนอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาและพื้นที่อำเภอ หนองมะโมง เนินขาม หันคาและวัดสิงห์ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงเกิดน้ำป่าไหลหลาก “ มีผลในเรื่องน้ำที่ระบายจากทางเหนือ เราต้องเฝ้าระวัง ส่วนฝนที่ตกในพื้นที่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ภาคกลางมีผลกระทบด้วย แต่ก็ให้ทางอำเภอหรือ อปท.แจ้งมา ถ้าเป็นสาธารณภัยก็จะประกาศให้ ” หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดชัยนาท ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำออกจากเขื่อนในอัตราไม่เกิน 1,5000 ลบ.ม./วินาที เพื่อลดผลกระทบจากน้ำเหนือให้กับเกษตรกรที่ยังอยู่ระหว่างการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าว ซึ่งคาดว่าจะเก็บเกี่ยวจนแล้วเสร็จภายในช่วงเดือนกันยายน และจะใช้ที่นาของ เกษตกรเป็นพื้นที่รับน้ำ
24 ส.ค. 2560
สารคดี : พืชพรรณ ปลูกชีวิตมั่นคง
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานวีดิทัศน์ "สืบสาน รักษา ต่อยอด สร้างสุขปวงประชา" ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดทำขึ้นเพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 โดยวีดิทัศน์ชุดนี้ มี 4 เรื่อง ได้แก่ น้ำ คือ ชีวิตแผ่นดิน, พิทักษ์ป่า พัฒนาสินสายน้ำ, พืชพรรณ ปลูกชีวิตมั่นคง และเศรษฐกิจพอเพียงนำทางชีวิต ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ เพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชปณิธาน และแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 มาสานต่อ เพื่อสร้างสุขแก่ปวงประชา ทั้งนี้ ได้พระราชทานวีดิทัศน์ชุดนี้ให้รัฐบาลได้นำไปเผยแพร่แก่หน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชนทั่วไป เพื่อสร้างความเข้าใจในแนวพระราชดำริ และน้อมนำสู่การปฏิบัติต่อไป
24 ส.ค. 2560
สารคดี : พิทักษ์ป่า พัฒนาสินสายน้ำ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานวีดิทัศน์ "สืบสาน รักษา ต่อยอด สร้างสุขปวงประชา" ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดทำขึ้นเพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 โดยวีดิทัศน์ชุดนี้ มี 4 เรื่อง ได้แก่ น้ำ คือ ชีวิตแผ่นดิน, พิทักษ์ป่า พัฒนาสินสายน้ำ, พืชพรรณ ปลูกชีวิตมั่นคง และเศรษฐกิจพอเพียงนำทางชีวิต ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ เพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชปณิธาน และแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 มาสานต่อ เพื่อสร้างสุขแก่ปวงประชา ทั้งนี้ ได้พระราชทานวีดิทัศน์ชุดนี้ให้รัฐบาลได้นำไปเผยแพร่แก่หน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชนทั่วไป เพื่อสร้างความเข้าใจในแนวพระราชดำริ และน้อมนำสู่การปฏิบัติต่อไป
24 ส.ค. 2560
สารคดี : น้ำคือชีวิตแผ่นดิน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานวีดิทัศน์ "สืบสาน รักษา ต่อยอด สร้างสุขปวงประชา" ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดทำขึ้นเพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 โดยวีดิทัศน์ชุดนี้ มี 4 เรื่อง ได้แก่ น้ำ คือ ชีวิตแผ่นดิน, พิทักษ์ป่า พัฒนาสินสายน้ำ, พืชพรรณ ปลูกชีวิตมั่นคง และเศรษฐกิจพอเพียงนำทางชีวิต ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ เพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชปณิธาน และแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 มาสานต่อ เพื่อสร้างสุขแก่ปวงประชา ทั้งนี้ ได้พระราชทานวีดิทัศน์ชุดนี้ให้รัฐบาลได้นำไปเผยแพร่แก่หน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชนทั่วไป เพื่อสร้างความเข้าใจในแนวพระราชดำริ และน้อมนำสู่การปฏิบัติต่อไป
24 ส.ค. 2560
นายกรัฐมนตรีประทับใจการจัดประชุม ครม.สัญจรภาคอีสาน ย้ำเดินหน้าทำงานเพื่อคนไทยทั้งประเทศ
นายกรัฐมนตรีประทับใจการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรภาคอีสาน ย้ำเดินหน้าทำงานเพื่อคนไทยทั้งประเทศ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ภาคอีสาน ว่า รู้สึกดีใจที่ได้มาลงพื้นที่พบกับประชาชน พร้อมชมว่าประชาชนชาวอีสานมีความน่ารัก ทำให้มีความประทับใจและยืนยันว่าตนเองจะทำงานเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชน เช่นเดียวกับประชาชนในทุกจังหวัด เพราะตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทั้งประเทศ ซึ่งการลงพื้นที่ครั้งนี้ ถือว่าได้ติดตามการทำงานเพื่อประชาชน ทั้งเรื่องของการแก้ปัญหาน้ำท่วม ที่ได้เร่งรัดโครงการเพื่อบริหารจัดการน้ำ โดยเฉพาะการเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ขณะที่ปัญหาที่ดินทำกินนั้น รัฐบาลกำลังเร่งแก้ไข ซึ่งเมื่อการจัดทำแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 4,000 แล้วเสร็จ ก็จะทำให้เห็นภาพชัดเจนในการแก้ปัญหา พร้อมกันนี้จะต้องพิจารณาเรื่องของการสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชน ซึ่งมีที่ดินรกร้างว่างเปล่า หันมาปลูกพืชยืนต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศ ส่วนระบบโครงสร้างพื้นฐาน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ คณะรัฐมนตรีได้อนมุติงบประมาณ 2,600 ล้านบาท เพื่อยกระดับเส้นทางรถไฟทางคู่ ที่ผ่านตัวเมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นการพิจารณาตามเหตุผลและความเหมาะสม นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้พิจารณาแผนก่อสร้างถนนอ้อมเมืองนครราชสีมา ลดปัญหาการจราจรติดขัด ขณะที่การหารือกับภาคเอกชนในพื้นที่ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าภาคธุรกิจยังพอใจกับเสถียรภาพและสถานการณ์ความมั่นคงในขณะนี้ และยังเชื่อมั่นในสถานการณ์บ้านเมือง ที่ทำให้สามารถประกอบธุรกิจได้ ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งต่อไปนั้น อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะจัดขึ้นที่ภูมิภาคใด
24 ส.ค. 2560
สกู๊ป : ยกระดับรถไฟทางคู่ผ่านเมืองโคราช
นายกรัฐมนตรียืนยันปรับแบบก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่เส้นทางจิระ – ขอนแก่น ช่วงผ่านตัวเมืองนครราชสีมา ตามข้อเรียกร้องของชาวโคราช เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตจราจรในตัวเมืองและคงวิถีชิวิตของชุมชน 2 ฟากฝั่ง แม้จะเพิ่มงบก่อสร้างอีกกว่า 2,600 ล้านบาท ขณะที่การก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 35 ซึ่งโครงการนี้เชื่อว่าจะช่วยยกระดับการขนส่งทางถนนสู่ทางรางมากขึ้น นี่ถือเป็นคำยืนยันของผู้นำประเทศที่ให้คำมั่นกับชาวบ้านตำบลหัวทะเล อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ว่า จะยกระดับการก่อสร้างรถไฟทางคู่จิระ – ขอนแก่น ที่ผ่านตัวเมืองนคร ระยะทาง 4 กิโลเมตร ตามข้อเรียกร้องของชาวบ้าน เนื่องจากหากก่อสร้างบนพื้นราบผ่านตัวเมืองจะทำให้แบ่งชุมชนออกเป็น 2 ฟากฝั่ง จะกระทบต่อวิถีชีวิตในชุมชน แม้การปรับแบบก่อสร้างใหม่จะเพิ่มงบอีกกว่า 2,600 ล้านบาท โครงการรถไฟทางคู่ เป็นหนึ่งในเมกะโปรเจคที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พยายามผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมภายในรัฐบาลชุดนี้ เพื่อพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศสู่ระบบราง ควบคู่ไปกับโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยมีแผนที่จะเชื่อมต่อกับระบบคมนาคมขนส่งทางรางกับประเทศในภูมิภาค CLMV และประเทศมหาอำนาจอย่างจีน ภายใต้ยุทธศาสตร์ "วันเบลท์วันโรด" เพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมในภูมิภาคนี้ โดยรถไฟทางคู่จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้การคมนาคมต่างๆ เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ จากการลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าโครงการที่สถานีบ้านกระโดนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่า โครงการรถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ -ขอนแก่น ระยะทาง 187 กิโลเมตร ที่เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 มีความคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 35 ซึ่งเร็วกว่าแผนที่กำหนด โดยมีสถานีรับ – ส่งผู้โดยสาร 19 สถานี 7 จุดจอด และ 3 สถานีขนถ่ายตู้สินค้า หรือศูนย์ CY ซึ่งหากก่อสร้างแล้วเสร็จจะเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้ามากขึ้น แม้การก่อสร้างจะเร็วกว่าแผนที่กำหนด แต่การปรับแบบก่อสร้างใหม่ ต้องมีการประกวดราคาใหม่ ซึ่งอาจทำให้โครงการล่าช้าออกไป แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมยืนยันว่าจะเร่งเดินหน้าโครงการให้เร็วที่สุด เพื่อให้สามารถเปิดบริการได้ภายในปี 2562 ตามแผน และนำไปสู่การยกระดับจากการขนส่งทางถนนไปสู่รางมากขึ้น คาดว่าจะผู้โดยสารใช้บริการ 27,200-38,800 คนต่อวัน และเพิ่มขึ้นเป็น 37,000-55,000 คนต่อวัน ขณะที่ปริมาณขนส่งสินค้าที่ผ่านเส้นทางประมาณ 10,900-11,300 ตันต่อวัน จะเพิ่มขึ้นเป็น 36,400 ตันต่อวัน ภายในปี 2577 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางและขนส่งทางรถไฟในเส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
22 ส.ค. 2560
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับโครงการประชารัฐ เร่งรัดทำงานให้บรรลุวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ว่า การเดินทางมาในครั้งนี้ ไม่มีปัญหาอุปสรรคแต่อย่างใด รู้สึกดีที่ได้พบกับประชาชนไม่เฉพาะคนอีสาน แต่เป็นความรู้สึกที่ดีต่อคนทั้งประเทศ เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทั้งประเทศ โดยในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 20 จังหวัด เพื่อรับทราบปัญหาอุปสรรค วิเคราะห์ถึงศักยภาพ ที่มีอยู่ และมีการนำฟังชั่นของแต่ละกระทรวงมาบูรณาการและข้ามกระทรวง เพื่อให้เกิดมูลค่า ลดความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลให้ความสำคัญกับโครงการประชารัฐที่ต้องเร่งรัดทำงานให้บรรลุวิสัยทัศน์ โดยความร่วมมือกันทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน มองอนาคตร่วมกันให้ได้ ถ้ามองแต่วันนี้ปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นแน่นอน จึงต้องวิเคราะห์ถึง ศักยภาพ โอกาส วิกฤติ ซึ่งมี คู่กัน สำหรับพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม มีการจัดสรรที่ดินและมอบที่ดินเอกสารสิทธิที่ทำกินให้นับแสนไร่ จัดทำเศรษฐกิจที่เป็นคลัสเตอร์ ส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษ ด้านการเกษตร สินค้าผ้าไหม ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เชื่อมโยงกันทั้งระดับจังหวัด ระดับภูมิภาค และประเทศเพื่อนบ้าน ให้สามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ทั้งปี รัฐบาลต้องทำให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ในส่วนของการบริหารจัดการน้ำ รัฐบาลได้มีแผนการบริหารจัดการน้ำ มีคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและทำแผน ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2557 และมีการปรับแผนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อความสมบูรณ์ ไม่มีปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง ซึ่งจะต้องใช้เวลาดำเนินการในช่วงระยะเวลา 20 ปี ต้องปรับโครงสร้างให้ประชาชนเข้าถึงน้ำสะอาด ทั้งอุปโภคบริโภค และมีน้ำใช้เพียงพอในการทำการเกษตร เราทำชลประทานได้ไม่เกิน 40 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ จึงต้องวิเคราะห์ วางแผนการทำการเกษตรที่เหมาะสม ส่วนปัญหาน้ำท่วม รัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหาด้วยการจัดการอย่างเป็นระบบโดยเร็ว ซึ่งต้องทำต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนตามแนวแนวพระราชดำริ ปรับการทำการเกษตรให้เหมาะสม ครบวงจร อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาพพื้นที่และสภาพดินจะแตกต่างกัน ต้องแก้ปัญหาให้ได้
22 ส.ค. 2560
กองทัพเรือลำเลียงเรือผลักดันน้ำกลับที่ตั้ง หลังช่วยชาวนครพนมพ้นวิกฤติอุทกภัย
พลเรือเอก พลเดช เจริญพูล รองผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามผลการดำเนินงานในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดนครพนมของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง และชุดเฉพาะกิจเรือผลักดันน้ำจังหวัดนครพนม โดยมีนายประทีป ฤทธิกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พลเรือตรี วราห์ แทนขำ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง นาวาเอก อภิชาติ ทินนะลักษณ์ รองผู้อำนวยการพัฒนาการบริหาร อู่ทหารเรือป้อมพระจุลจอมเกล้า ตลอดจนเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับและรายงานผลการดำเนินงาน ณ กองบัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม จากนั้นได้เดินทางไปที่สะพานข้ามแม่น้ำสงคราม บ้านนาเพียง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม เพื่อตรวจเยี่ยมกำลังพลและกล่าวขอบคุณในการปฏิบัติภารกิจเร่งผลักดันน้ำในลำน้ำอูนและลำน้ำสงครามให้ลงสู่แม่น้ำโขง เพื่อช่วยเหลือประชาชนชาวจังหวัดนครพนมจนแล้วเสร็จในครั้งนี้ พร้อมปล่อยขบวนลำเลียงเรือผลักดันน้ำ เดินทางกลับสู่หน่วยที่ตั้ง โดยมีชาวบ้านนาเพียงร่วมส่งพร้อมกล่าวขอบคุณที่ทางกองทัพเรือได้เดินทางมาช่วยเหลือในครั้งนี้ สำหรับการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ กองทัพเรือได้ส่งเรือผลักดันน้ำในสังกัด ฐานทัพเรือกรุงเทพ กรมการขนส่งทหารเรือ อู่พระจุลจอมเกล้า กรมอู่ทหารเรือ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ฐานทัพเรือสัตหีบ กรมสรรพาวุธทหารเรือ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง กรมก่อสร้างและพัฒนา ฐานทัพเรือสัตหีบ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ และกรมสารวัตรทหารเรือ จำนวน 47 ลำพร้อมเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือ โดยเริ่มปฏิบัติภารกิจ ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2560 และแล้วเสร็จในวันที่ 18 สิงหาคม 2560 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 14 วัน ซึ่งสามารถผลักดันมวลน้ำที่เออท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรให้ลงสู่แม่น้ำโขงได้ 68,884,704 ลูกบาศก์เมตร ทำให้ผู้ที่ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ได้กลับมาดำเนินชีวิตตามปกติด้วยความรวดเร็ว ซึ่งถ้าปล่อยตามธรรมชาติจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 วันจึงจะเข้าสู่ภาวะปกติ นายทินกร เพชรดี/ส.ปชส.นครพนม ข่าว/ภาพ
22 ส.ค. 2560
ชาวสมุทรสาครแห่จองเหรียญที่ระลึกในโอกาสการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ประชาชนชาวจังหวัดสมุทรสาครจำนวนมากแห่จองเหรียญที่ระลึกในโอกาสการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันนี้ (22 สิงหาคม 2560) ที่สำนักงานธนารักษ์จังหวัดสมุทรสาคร ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร มีประชาชนจำนวนมากเดินทางมาจองเหรียญที่ระลึกในโอกาสการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร กันเป็นจำนวนมาก นางบุษกร ปราบณศักดิ์ ธนารักษ์พื้นที่สมุทรสาคร เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ได้จัดทำเหรียญที่ระลึกในโอกาสการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยเปิดรับจองตั้งแต่วันนี้ (22 สิงหาคม 2560) เป็นวันแรกและสิ้นสุดการจองในวันที่ 30 กันยายน 2560 ซึ่งเหรียญที่ระลึกมี 4 ประเภท ได้แก่ เหรียญที่ระลึกทองคำ ราคาเหรียญละ 50,000 บาท, เหรียญที่ระลึกเงิน ราคาเหรียญละ 2,000 บาท เหรียญที่ระลึกทองแดงพ่นทราย ราคาเหรียญละ 3,000 บาท และเหรียญที่ระลึกคิวโปรนิกเกิล ราคาเหรียญละ 100 บาท สำหรับประชาชนที่จะเดินทางมาจองเหรียญที่ระลึกสามารถจองได้ที่สำนักงานธนารักษ์จังหวัดสมุทรสาคร และธนาคารต่างๆ 19 ธนาคารทุกสาขา (สำหรับธนาคารเปิดรับจองเหรียญที่ระลึก 3 ประเภท ยกเว้นเหรียญที่ระลึกทองแดงรมดำพ่นทราย) โดยประชาชนต้องเตรียมบัตรประชาชนมาเพื่อลงทะเบียน ผู้สั่งจอง 1 คน สามารถจองได้ไม่เกิน 3 สิทธิ (3 บัตรประชาชนรวมตนเองต้องเป็นบัตรตัวจริงเท่านั้น) ทั้งนี้ ผู้ที่ใช้สิทธิ์แล้ว ก็จะไม่สามารถมาใช้สิทธิ์ซ้ำได้อีก เพราะได้ใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชนเป็นการลงทะเบียน ทั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สำนักงานธนารักษ์จังหวัดสมุทรสาคร ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร ตำบลมหาชัย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร โทรศัพท์.034-411712
19 ส.ค. 2560
รมช.คมนาคมลงพื้นที่ผลักดันเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร
รมช.คมนาคมลงพื้นที่ผลักดันเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร และการขนส่งสินค้าผ่านสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 2 ( มุกดาหาร-สะหวันนะเขต ) นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและคณะ ลงพื้นที่ตรวจราชการโครงข่ายคมนาคมเพื่อสนับสนุนการขนส่งผ่านแดน โดยนายสรสิทธิ์ ฤทธิ์สรไกร ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วยส่วนราชการ บรรยายสรุปถึงปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร และการขนส่งสินค้าผ่านสะพานมิตรภาพ ไทย – ลาว แห่งที่ 2 ที่ห้องประชุมด่านศุลกากรมุกดาหาร สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 ตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร พร้อมกันนี้ส่วนราชการที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องได้ร่วมให้ข้อมูล กับทางคณะเพื่อเป็นข้อมูลในการเป็นแนวทางการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหารต่อไป ทั้งนี้ นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งลงมาให้คณะรัฐมนตรีลงพื้นที่ เพื่อที่จะได้รับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะต่างๆ จากพื้นที่ นำไปแก้ปัญหาการพัฒนาประเทศต่อไป ในวันนี้ได้ลงมาพื้นที่จังหวัดมุกดาหารและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้กำชับว่าเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องการที่จะลดความเลื่อมล้ำของรายได้ของประชาชน โดยดูเรื่องเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ EEC ( Eastern Economic Corridor ) เป็นโครงการนำร่องต่อไป โครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ก็จะเป็นเขตเศรษฐกิจที่สืบเนื่องต่อมา โดยพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดนครพนม และจังหวัดสกลนคร ซึ่งมีศักยภาพอย่างมาก ในการเชื่อมต่อไปยังประเทศลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มาก และการมาดูพื้นที่ในครั้งนี้จะเห็นว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร ก็ได้ทำโครงสร้างพื้นฐานไปบ้างพอสมควร และมีศักยภาพอย่างมาก ที่จะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศและในประเทศ เข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มุกดาหาร ก็จะทำให้ประชาชนมีงานทำ และทำให้พื้นที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างมากในเรื่องการค้าการลงทุน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวต่อไปอีกว่า อย่างไรก็ตาม ได้รับทราบปัญหาเรื่องถนนและการเร่งรัดรถไฟรางคู่ ที่จะมาถึงมุกดาหาร นครพนม และข้อเสนอเกี่ยวกับการก่อสร้างสนามบิน ก็จะได้พิจารณาในระยะต่อไป สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดมุกดาหาร ข่าว/ภาพ
19 ส.ค. 2560
สกู๊ป : ก้าวไกล...สมุนไพรไทย 4.0
การแพทย์แผนไทยกับสมุนไพร เป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาของคนไทยที่ส่งต่อจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน โดยไม่มีผลข้างเคียงในการดูแลรักษาสุขภาพของมนุษย์ ทำให้กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้ายกระดับสมุนไพรไทย ให้เป็นที่ยอมรับของนานาชาติมากขึ้น ผ่านแผนยุทธศาสตร์สมุนไพรไทย สู่ 4.0 เมื่อมีอาการเจ็บป่วย ไม่ว่ามากหรือน้อย “ยา” มักจะใช้เป็นทางเลือกในการรักษาอันดับต้นๆ แน่นอนว่าสมุนไพรเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษา ที่คนทั้งโลกกำลังหันมาให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะนอกจากจะไม่มีสารเคมีตกค้างในร่างกาย ยังเป็นการใช้ธรรมชาติในการรักษา รัฐบาลจึงเดินหน้าการพัฒนาสมุนไพรไทย เกิดเป็นแผนแม่บทว่าด้วยการการพัฒนาสมุนไพรแห่งชาติ เพื่อให้สามารถส่งออกสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศจำนวนมหาศาล แผนการพัฒนาสมุนไพรไทย ในยุค 4.0 เป็นแผนที่กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมไว้เป็นแนวทางที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาเสริมคุณภาพสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับเพิ่มมากขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมยาของประเทศ เพื่อให้สมุนไพรไทยมีความมั่นคงทางสุขภาพและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สำหรับแผนการพัฒนาสมุนไพร จะขับเคลื่อนผ่านยุทธศาสตร์ 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ส่งเสริมผลิตผลของสมุนไพรไทยที่มีศักยภาพตามความต้องการทั้งของตลาดในและต่างประเทศ /พัฒนาอุตสาหกรรมและการตลาดสมุนไพรให้มีคุณภาพระดับสากล /ส่งเสริมการใช้สมุนไพรเพื่อการรักษาโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ /สร้างความเข้มแข็งของการบริหารและนโยบายของภาครัฐ เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมยาของไทยนั้นสามารถเติบโตได้ดีขึ้น เกิดห่วงโซ่ทางคุณค่า การส่งเสริมการพัฒนาสมุนไพร ถือเป็นทางเลือกที่จะมีความสำคัญกับการดูแลสุขภาพคนไทยในอนาคต แทนการใช้ยาแผนปัจจุบัน ซึ่งมีส่วนประกอบของสารเคมี กระทรวงสาธารณสุขจึงเตรียมจัดการแสดงและรวบรวมสมุนไพร รวมถึงนวัตกรรมสุขภาพ ไว้ภายในงาน “มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 14 ภายใต้แนวคิด “เสน่ห์ไทย สมุนไพรไทย 4.0” เปิดมุมมองให้เห็นถึงการพัฒนาภูมิปัญญา และองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทย ในวันที่ 30 สิงหาคม – 3 กันยายน 2560 ฮอลล์ 6-8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อต่อยอดการพัฒนาและทำให้สังคมรู้จักสมุนไพรไทยมากขึ้น แม้การพัฒนาต่อยอดให้สมุนไพรของไทยเป็นที่ยอมรับนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ยาก เพียงแค่ประชาชนคนไทยหันมาใส่ใจและเห็นคุณค่าของสมุนไพรมากขึ้น เพราะสมุนไพรไทยคือหนึ่งในภูมิปัญญาของคนไทย ที่ควรสืบสานและอนุรักษ์ให้คงอยู่สืบต่อไป และไม่เป็นอันตรายต่อการดูแลสุขภาพ
19 ส.ค. 2560
สกู๊ป : ประชาชนไม่หวั่นขึ้นราคาเรือโดยสาร
จากสถานการณ์ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ยังคงอัตราสูงกว่าลิตรละ 25 บาท ติดต่อกันกว่า 10 วัน ทำให้กรมเจ้าท่าประกาศขึ้นค่าโดยสารเรือทุกประเภท ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ด้านผู้ใช้บริการเรือโดยสารบอกว่าไม่ได้กังวลกับราคาที่ปรับขึ้น เนื่องจากอัตราที่เพิ่มขึ้นยังอยู่ในอัตราที่รับได้ เมื่อเทียบกับความสะดวกและรวดเร็วที่ได้รับ แม้จะเป็นวันแรกที่เรือโดยสารจะปรับขึ้นราคา แต่ประชาชนยังเลือกใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เพราะเรือโดยสารยังเป็นหนึ่งในเส้นทางสำคัญของการคมนาคมขนส่งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่ยังได้รับความนิยมอยู่ เพราะสามารถย่นระยะเวลาในการเดินทางได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางวิถีชีวิตคนกรุงที่ต้องเผชิญกับรถติดหนัก โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน แต่เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลในปัจจุบัน อยู่ที่ลิตรละ 25.19 บาท ซึ่งกรมเจ้าท่าได้อาศัยประกาศคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับเรือเดินประจำทาง ลงวันที่ 25 กันยายน 2559 ว่า หากราคาน้ำมันดีเซลสูงกว่าลิตรละ 25.01 บาท ติดต่อกัน 10 วัน สามารถให้ผู้ประกาศการขึ้นค่าโดยสารได้ สำหรับอัตราการปรับปรุงค่าโดยสาร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยค่าโดยสารเรือด่วนเจ้าพระยาและเรือคลองแสนแสบปรับขึ้นเที่ยวละ 1 บาท ซึ่งในมุมมองประชาชนผู้ใช้บริการเรือโดยสารคลองแสนแสบอยู่เป็นประจำ มองว่าเป็นอัตราที่รับได้ เนื่องจากเป็นการซื้อความสะดวกสบายและหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนน ไม่ต่างจากผู้ใช้บริการเรือข้ามฟากเเม่น้ำเจ้าพระยา มองว่ายังสามารถรับได้กับการปรับอัตราค่าโดยสารตามสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลอยู่แล้ว ซึ่งในอนาคตหากราคาน้ำมันดีเซลลดลง ราคาค่าโดยสารก็จะถูกปรับลงตามกลไกของการประกอบธุรกิจ ซึ่งหลังจากนี้แม้ว่าจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเที่ยวละ 50 สตางค์ก็ตาม แต่หากคำนึงถึงความสะดวกสบายและความรวดเร็ว ก็ไม่มีผลกระทบ สำหรับค่าโดยสารเรือทุกประเภทจะถูกควบคุมโดยกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เพื่อให้ผู้โดยสารไม่ต้องแบกรับภาระที่มากเกินไป โดยเรือประจำทางอัตราค่าโดยสารจะไม่เกิน 9-13 บาท ส่วนเรือด่วนพิเศษ ธงส้ม อัตราค่าโดยสารไม่เกิน 15 บาท เรือด่วนพิเศษ ธงเหลือง ราคาไม่เกิน 20 บาท ส่วนเรือด่วนธงเขียว จะอยู่ที่ ราคา 13-32 บาท ราคาค่าเรือโดยสารในคลองแสนแสบที่วิ่งตั้งแต่ท่าเรือวัดศรีบุญเรืองไปจนถึงท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศ จะอยู่ที่ 9-19 บาท และสุดท้ายเรือโดยสารข้ามฟาก อยู่ที่ราคา 3.50 - 6 บาท ซึ่งราคาปัจจุบันอยู่ที่ 4.50 บาท ทั้งนี้หากในอนาคตราคาน้ำมันดีเซลลดราคาแล้ว ประชาชนผู้ใช้บริการเรือโดยสารทุกประเภทก็จะประหยัดราคาค่าตั๋วเรือโดยสารลง และกลับมาใช้บริการในราคาอัตราที่ถูกลงต่อไป
29 ส.ค. 2560
รายการ ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้นะครับ ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดทำวีดิทัศน์ชุด “สืบสาน รักษา ต่อยอด สร้างสุขปวงประชา” ขึ้น เพื่อรวบรวมแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี นาถ ในรัชกาลที่ 9 ในการถวายพระเกียรติและเผยแพร่สร้างความเข้าใจในแนวพระราชดำริ ให้น้อมนำสู่การปฏิบัติ อีกทั้งเพื่อให้รัฐบาลและทุกภาคส่วนได้นำไปใช้ประโยชน์ในการสานต่อและต่อยอดพระราชปณิธานของทั้งสองพระองค์อีกด้วย วีดิทัศน์ชุดดังกล่าวมี 4 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 น้ำคือชีวิตแผ่นดิน ตอนที่ 2 พิทักษ์ป่า พัฒนาสินสายน้ำ ตอนที่ 3 พืชพรรณ ปลูกชีวิตมั่นคง และตอนที่ 4 เศรษฐกิจพอเพียงนำทางชีวิต ซึ่งผมได้เปิดให้คณะรัฐมนตรีได้รับชมเพื่อรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมแล้วนะครับ และมอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์นำไปเผยแพร่และส่งต่อไปยังสถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ แล้ว พี่น้องประชาชนสามารถติดตามรับชม และร่วมกันน้อมรำลึกถึงสิ่งที่ทั้งสองพระองค์ ได้ทรงวางรากฐานไว้ เพื่อให้ปวงชนชาวไทยทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดี มีทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ยาวนานและยั่งยืน ขอให้พวกเราทุกคนรวมทั้งประชาชนด้วย รับพระราชดำริใส่เกล้าใส่กระหม่อมและช่วยกันสานต่อสืบไป สำหรับในวันที่ 18 สิงหาคม ปี 2561 ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะเป็นวาระครบรอบ 150 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสด็จพระราชดำเนินมาพิสูจน์การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ซึ่งก็เป็นจริง ตามที่ได้ทรงคำนวณไว้ด้วยพระองค์เอง ล่วงหน้า 2 ปี ณ บ้านหว้ากอ ตำบลคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยพระองค์ได้ทรงเชิญคณะสำรวจ ทั้งจากฝรั่งเศส อังกฤษ และสิงคโปร์ เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย และด้วยพระปรีชาญาณที่ได้ทรงทำนายการเกิดสุริยุปราคาอย่างแม่นยำ ประชาคมดาราศาสตร์ในระดับสากล ได้ยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยการกล่าวถึงสุริยุปราคาเต็มดวงในครั้งนั้นว่าเป็น “King of Siam's Eclipse”ด้วยสำหรับพวกเรานั้น พสกนิกรชาวไทย เพื่อเป็นการประกาศพระเกียรติคุณ และพระปรีชาญาณของพระองค์ท่านให้โลกรับรู้ จึงได้มีการพัฒนา “อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” ให้เป็นสถานที่สำคัญในการท่องเที่ยว และเป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ระดับชาติอย่างสมพระเกียรติ ซึ่งจะเป็นแหล่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของประเทศ ของภูมิภาค และของโลก ทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมกันนี้ คณะกรรมการบูรณาการด้านพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ได้จัดให้มี “เส้นทางการท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้จากกรุงเทพมหานคร ถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์” โดยได้รวบรวมพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้สำคัญ จำนวน 30 แห่ง ในพื้นที่ 4 จังหวัด อันได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้ก็เพื่อจะกระตุ้นนะครับ และส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ ที่กระจายอยู่ในพื้นที่ สามาถนำความรู้ไปพัฒนาตนเอง และพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืนต่อไป ผมขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้มาใช้ประโยชน์จากเส้นทางแห่งความรู้นี้ รวมถึงเยี่ยมชมอุทยานวิทยาศาสตร์ ณ หว้ากอฯ และร่วมใจกันน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 4 ที่ทรงเป็น “บิดาแห่งวิทยาศาสตร์” ของไทย ที่ได้ทรงพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์ไว้อีกหลายแขนงให้กับพวกเราชาวไทยอีกด้วย ด้วยรากฐานและแนวทางการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ที่มั่นคงนี้เอง งานด้านการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของไทย ก็ได้เดินหน้ามาอย่างต่อเนื่องในหลายๆ ด้าน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการก้าวเข้าสู่ “ยุคดิจิทัล” ของประเทศ และให้พี่น้องประชาชนได้ทยอยปรับตัวนะครับกับการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นนะครับ ผมอยากเรียนให้พี่น้องประชาชนได้ทราบถึงงานสำคัญด้านวิทยาศาสตร์ที่กำลังดำเนินอยู่ในช่วงนี้ งานแรก ได้แก่ “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติประจำปี 2560”เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็น “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมไทย” โดยเป็นกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปี และของประเทศ โดยมีการจัดแสดงนิทรรศการ และกิจกรรมจากความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ทั้งในและต่างประเทศกว่า 30 แห่ง เพื่อจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีที่นำสมัย สามารถสร้างความตื่นเต้น สร้างแรงบันดาลใจ และความตระหนักรู้ด้านวิทยาศาสตร์แก่สังคมไทย โดยเป็นโอกาสที่ประชาชนและเยาวชนทั่วไป จะได้เข้าถึงข้อมูลความรู้ ได้รับประสบการณ์ และมีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ ในรูปแบบที่สนุกสนานและทันสมัย เปิดโอกาสให้ผู้ชมมีส่วนร่วม โดยเน้นหัวข้อที่สำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ New S-Curve นอกจากนี้ ยังได้มีการนำเสนอประเด็นการเปลี่ยนแปลงของวิกฤตโลก เช่น ภาวะโลกร้อน ความหลากหลายทางชีวภาพ วิทยาศาสตร์สุขภาพ และอื่นๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดทัศนคติเชิงบวก กระตุ้นการคิดและการตั้งคำถาม และนำไปสู่การเป็น “ผู้รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต” ทางวิทยาศาสตร์ต่อไป งานนี้จัดขึ้นจนถึงวันที่ 27 สิงหาคมนี้ ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี พี่น้องประชาชนสามารถมาเยี่ยมชม และพาลูกหลานมาปลูกฝังการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ และตระหนักรู้ถึงความสำคัญของนวัตกรรมและประโยชน์ของการนำมาใช้นะครับ เพื่อให้เยาวชนได้เติบโตเป็นกำลังสำคัญของประเทศต่อไป อีกงานหนึ่งที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กันคือ งานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 ครั้งที่ 12 ภายใต้แนวคิด “วิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ตลอดจนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่องานวิจัยไทย โดยภายในงานจะมีการนำเสนอผลงานวิจัยที่น่าสนใจ เช่น เครื่องมือเฝ้าตรวจพื้นที่ระยะไกล ในการตรวจจับการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาตามแนวชายแดน การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าใยกล้วย ด้วยการพิมพ์แบบกราฟฟิกและตกแต่ง นวัตกรรมนาโนที่สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียได้ และการใช้เทคนิคคลื่นอัลตราซาวด์ สำหรับการรักษาก้อนมะเร็งเต้านม ซึ่งสามารถจะกำจัดก้อนมะเร็งโดยที่ไม่ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณข้างเคียงของร่างกายอีกด้วย สำหรับงานมหกรรมงานวิจัยนี้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-27 สิงหาคม 2560 ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ผมขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชน ได้แวะเวียนไปชมผลงานที่น่าชื่นชมเหล่านี้นะครับ เพื่อร่วมกับผมในการเป็นกำลังใจให้กับบรรดานักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ทุกท่าน และสนับสนุนให้มีการสร้างสรรค์นวัตกรรมดี ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ อย่างที่ผมได้เคยเรียนมาแล้วว่า นับเป็นโชคดีอย่างที่สุดของประเทศไทย และประชาชนชาวไทยที่มีพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ได้ทรงเล็งเห็นความสำคัญและสนับสนุนงานด้านวิทยาศาสตร์ในหลายแขนงมาทุกยุคทุกสมัย เห็นได้ชัดเจนจากการแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรม ที่ไม่ได้มีขึ้นเพื่อตอบโจทย์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพียงด้านเดียว ในช่วงเดียวกันนี้ เราได้เห็นงานที่จัดขึ้นเพื่อแสดงผลงานและสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมในภาคเกษตร ซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วย นั่นก็คืองาน “เกษตรไทยก้าวหน้า ภายใต้ร่มพระบารมี” หรือ Thai Farmer Expo 2017 งานนี้จัดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า นวัตกรรมภาคการเกษตรของไทยได้มีการพัฒนา ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมาอย่างต่อเนื่อง และมีความพร้อมในการสนับสนุนในการก้าวเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยในงานจะมีการแสดงศักยภาพของ Smart Farmer เกษตรกรต้นแบบ Young Smart Farmer เกษตรกรรุ่นใหม่ และ Smart Group กลุ่มวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งหมดกว่า 4,000 คน ที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน ทั้งยังได้เชิญคณะทูตานุทูตประจำประเทศไทยกว่า 30 ประเทศ เข้าร่วมชมงาน เพื่อให้แสดงให้เห็นถึงพลังและศักยภาพของการเกษตรไทยในฐานะเป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญของโลก โดยได้รับความร่วมมือครอบคลุมทุกมิติทั้งเศรษฐกิจ และการลงทุน นอกจากนี้ ภายในงานมีการจัดแสดงผลผลิตทางการเกษตร ที่มีคุณภาพ ที่หลากหลาย ในราคายุติธรรม มีนิทรรศการ สานต่อพระราชปณิธานทางด้านการเกษตร การให้บริการคลินิกทางการเกษตร พร้อมให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ การให้บริการความรู้การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผึ้งและแมลงเศรษฐกิจ รวมทั้งการให้คำปรึกษาการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงในสังคมเมืองแล้วก็มีการฝึกอบรมด้วยนะครับ มากกว่า 20 หลักสูตร มีการสาธิตการแปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตร สู่การประกอบอาชีพในอนาคต อีกทั้งได้จัดให้มีโซน Business Matching เพื่อเจรจาธุรกิจระหว่างเกษตรกรกับผู้ประกอบการ เพื่อจะสร้างเครือข่ายสินค้าการเกษตรให้กว้างขวางด้วย ผมได้เดินทางไปเปิดงานเมื่อวันที่ 16 ที่ผ่านมา และงานจะมีไปจนถึงวันที่ 20 สิงหาคม นี้ ที่สวนลุมพินี มีสินค้าที่น่าสนใจมากมาย ลองไปเยี่ยมชมความก้าวหน้าของภาคเกษตรไทย และช่วยกันสนับสนุนพี่น้องเกษตรกรกันให้มาก ๆ ขอขอบคุณภาคเอกชน ที่มาร่วมมือสนับสนุนให้เกิดงานนี้ขึ้นด้วยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพลังประชารัฐต่างๆ พี่น้องประชาชนครับ การเกษตรกรรมนั้น เป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศและประชาชนคนไทย โดยเฉพาะการปลูกข้าว เนื่องจากเป็นทั้งอาหารหลักในการบริโภคของพี่น้องประชนในทุกภาคทุกพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นสินค้าออกที่สำคัญที่สร้างรายได้ให้กับประเทศมาช้านาน อย่างไรก็ตาม พี่น้องเกษตรกรที่ปลูกข้าว ต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ทั้งจากภัยธรรมชาติ ทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม ราคาข้าวที่ผันผวนจากราคาในตลาดโลก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น และต่อเนื่องจากประเทศผู้ส่งออกข้าวต่าง ๆ ในโลกอีกด้วยนะครับ มีหลายประเทศที่ผลิตข้าวแล้วส่งออกเช่นกัน แนวทางการแก้ปัญหาหนึ่งที่จะช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืน และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับพี่น้องเกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าว ก็คือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการผลิตนั่นเอง ตัวอย่างล่าสุดนะครับ ของการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าว ที่ผมได้ไปพบปะพูดคุยและอยากจะมาเล่าให้พวกเราฟัง ก็คือเรื่องน้ำมันรำข้าว เริ่มต้นจากข้าวเปลือกที่มีมูลค่าประมาณ 8,000 บาทต่อตัน เมื่อเราไปแปรรูปเป็นข้าวสาร จะมีผลิตผลพลอยได้เป็นรำข้าว มูลค่า 10,000 บาทต่อตัน และเมื่อนำรำข้าว มาแปรรูปเป็นน้ำมันสำหรับบริโภค จะมีมูลค่าถึง 60,000 บาทต่อตัน แต่ถ้าแปรรูปเป็นอาหารเสริมชนิดน้ำมันรำข้าวบรรจุแคปซูล จะมีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านบาทต่อตัน ในปัจจุบันนั้น อุตสาหกรรมน้ำมันรำข้าวของไทย ใช้รำข้าวประมาณ 800,000 ตันต่อปี จะได้น้ำมันรำข้าวดิบ 140,000 ตันต่อปี และทำรายได้เข้าประเทศปีละกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งน้ำมันรำข้าว นอกจากจะใช้ประกอบอาหารแล้ว เรายังสามารถใช้ประโยชน์ด้านโภชนเภสัช แล้วก็เป็นอาหารเสริมได้ แต่การสร้างมูลค่าเพิ่มจากรำข้าวในปัจจุบัน อาจจะยังทำได้น้อย ซึ่งในระยะต่อไป รัฐบาลจะมุ่งสนับสนุนในเรื่องการทำวิจัยและพัฒนาการสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงคุณประโยชน์ และส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องนะครับ ถ้าเราช่วยกันอุดหนุน ราคาก็ค่อยลดลง ยิ่งผลิตมาก ราคาก็จะถูกลง ถ้าผลิตน้อย คนไม่เข้าใจ ไม่นิยมใช้ ราคาก็ต้องสูงนะครับ ถึงแม้จะมีคุณภาพดีก็ตาม ผมขอความร่วมมือ ให้ช่วยกันมาใช้แล้วกัน ไม่มีอันตรายอะไร เพราะมีการรับรองคุณภาพผ่านเรียบร้อยแล้ว ในวันที่ 24 – 25 สิงหาคมที่จะถึงนี้ มหาวิทยาลัยนเรศวรและผู้ประกอบการน้ำมันรำข้าว จะร่วมกันจัดประชุมวิชาการน้ำมันรำข้าวนานาชาติ ครั้งที่ 4 ในการประยุกต์ใช้น้ำมันรำข้าวทางเวชสำอาง โภชนเภสัช และอาหาร ที่โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส โดยจะมีนักวิชาการและผู้ประกอบการกว่า 200 คนจากทั่วโลกมาเข้าร่วม เพื่อจะหาแนวทางผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านน้ำมันรำข้าวอย่างยั่งยืน และส่งผ่านประโยชน์ไปยังเกษตรกรได้มากขึ้น ผมอยากให้พี่น้องประชาชนหันมาบริโภคน้ำมันรำข้าวในรูปแบบต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และเป็นการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอีกทางหนึ่งด้วย ครับ เมื่อวันก่อนนี้ผมก็ได้เห็นการนำข้าวมาทำในลักษณะที่เป็นเหมือนนมเม็ด ดูแล้วผมก็ชิมก็อร่อยดีและเป็นประโยชน์ด้วย ก็ลองอุดหนุนกันที่เป็นผลผลิตจากข้าว และอีกอันที่อยากให้ทำเพิ่มเติมก็คือการทำนมข้าว น้ำนมข้าว เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสได้รับประทานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ เมื่อถึงวัยที่สามารถรับประทานได้แล้วนะครับ สำหรับเด็กแรกเกิดก็รับประทานนมแม่ไปก่อน ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องนำนมผงเข้ามาอีกมากมาย ลองดูว่าทำอย่างไรให้มันมีคุณภาพดีกว่าที่เรารับประทานอยู่ทุกวันนี้ ในเรื่องการดูแลเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม สำหรับการพัฒนาประเทศในภาพรวม วันนี้เรายังมีงานที่ต้องทำอีกมาก โดยเฉพาะการปรับปรุงสภาพแวดล้อม “เดิม” เพื่อจะสร้างภาพลักษณ์ของประเทศให้เป็นสากล ให้พร้อมรองรับการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ต้อนรับนักธุรกิจ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เรามีโอกาสอีกมากนะครับ ตัวอย่าง สิ่งที่รัฐบาลนี้กำลังดำเนินการอยู่ อาทิ? ตัวอย่างแรก “อย. 4.0” คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาต ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งเสริมศักยภาพบริการสาธารณสุขของประเทศแล้ว ยังเป็นการปูทางไปสู่ “ศูนย์กลางการแพทย์” (Medical Hub)โดยให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ดำเนินการขจัดอุปสรรคในอดีตอย่างครบวงจร อาทิ การจ้างผู้เชี่ยวชาญและผู้ตรวจสอบเอกสารจากภายนอกเพิ่มขึ้น เพื่อจะช่วยประเมินเอกสารทางวิชาการ การลดขั้นตอนโดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วย การจ้างหน่วยงานภายนอกมาช่วยตรวจสถานประกอบการ รวมทั้งการหาแหล่งเงินนอกเหนือจากเงินงบประมาณมาสนับสนุนกิจกรรม ทั้งนี้ เพื่อทำให้กระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งช่วยให้กลไกการคุ้มครอง “ผู้บริโภค” ก็คือ พี่น้องประชาชนทุกคน มีความคล่องตัว และเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น การปรับระบบใหม่นี้ เกิดผลดีต่อ ผู้ประกอบการ”หลายประการ ได้แก่ ?(1) ช่วยลดระยะเวลา ตั้งแต่การให้คำปรึกษา - เตรียมเอกสาร - ตรวจสอบ - ติดตามเรื่อง - จนได้รับการพิจารณา “อนุญาต” รวดเร็วมากขึ้น โดยเฉลี่ยร้อยละ 20 เช่น การขออนุญาตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เดิมใช้เวลา 35 วันทำการ เหลือ 28 วันทำการ การขึ้นทะเบียนตำรับยาใหม่ - ชีววัตถุใหม่ เดิม 280 วันทำการ เหลือ 220 วันทำการ คำขอขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย กรณีสารใหม่ เดิม 120 วันทำการ เหลือ 100 วันทำการ เป็นต้น (2) ส่งเสริมการวางแผนธุรกิจได้แม่นยำและรวดเร็วขึ้น โดยการพัฒนาระบบ e-Submission ซึ่งใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยในการเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆ นั่นหมายถึง การเพิ่มความสะดวกในการสรรค์สร้างธุรกิจและนวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ เปิดใช้งานระบบ e-Submission แล้ว 29 ระบบ และจะพัฒนาเพิ่มเติม จนครบสมบูรณ์ ทั้ง 70 ระบบ ภายในปี 2562 ช่วยกันดูด้วย (3) อำนวยความสะดวกในวิธีการชำระค่าใช้จ่าย ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ตามนโยบาย Digital Economy ของรัฐบาล โดยเริ่มใช้ในเดือนสิงหาคมนี้ และ (4) สร้างความมั่นใจ และยกระดับการให้บริการ ให้มีความทันสมัย ตอบสนองต่อ “ผู้ประกอบการในยุค 4.0” มากยิ่งขึ้น ที่เน้นความถูกต้อง รวดเร็ว และโปร่งใส โดยการจัดตั้ง “สถาบันนวัตกรรม” และ “ศูนย์ให้คำปรึกษา” สำหรับผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการให้ “ผู้บริโภคปลอดภัย ผู้ประกอบการก้าวไกล และมีระบบคุ้มครองสุขภาพไทย ที่ยั่งยืน” ในเรื่องนี้ผมก็ฝากไปถึงสมอ. คือสำนักงานตรวจสอบมาตรฐานอุตสาหกรรมด้วยนะครับ ตัวอย่างที่สอง คือ การพัฒนาไปสู่ “มหานครไร้สาย” โดยนำสายไฟฟ้า –สายสื่อสารลงใต้ดิน นำร่องโครงการถนนพหลโยธิน จากแยกลาดพร้าว ถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ใช้เวลาดำเนินการ ช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายนนี้ ซึ่งต้องบูรณาการทำงานกันหลายหน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงมหาดไทยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาระบบโทรคมนาคมในประเทศ ซึ่งในอนาคตสายสื่อสารจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับทำให้เกิดปัญหาการพาดสายสื่อสารที่รกรุงรัง อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้นะครับ จัดระเบียบยาก บางทีวางพาดกับสะพานลอย ทางข้ามอะไรต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับพี่น้องประชาชนได้ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ตลอดจนบดบังทัศนียภาพ ความงดงาม เสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ผมอยากให้พี่น้องประชาชนเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลง ในอีก 2 เดือน แล้วจะเห็นว่า สิ่งนี้เราควรที่จะดำเนินการมานานแล้ว สำหรับเสาไฟฟ้าที่รื้อถอนแล้ว ประมาณ 800 เสา กฟน.ก็จะได้มอบให้ กทม. เพื่อนำไปใช้ใน “โครงการปลูกป่าในใจคน” ตามศาสตร์พระราชา ในการช่วยฟื้นฟูและป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลกรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน ตามแผนงาน เป็นระยะทาง 4.7 กิโลเมตร ต่อไป พี่น้องประชาชนที่รัก เป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่สำคัญ คือ คนไทยมีรายได้ต่อหัว เฉลี่ย 450,000 บาท/คน/ปี, เศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ย 5% ต่อปี โดยมีอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่ต่ำกว่าอันดับ 10 ของโลก ภายในปี 2579 และเราต้องเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศ ให้ได้ร้อยละ 40 ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดของการพัฒนาที่ยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ “3 ปีที่ผ่านมา” รัฐบาลปัจจุบันนี้ ได้แก้ปัญหาเดิมๆ ของพี่น้องประชาชน และของประเทศ รวมทั้งวางรากฐานการพัฒนาไว้ในหลายเรื่อง โดยยึดหลัก “ศาสตร์พระราชา” ที่ว่า “การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชน ในการประกอบอาชีพ และตั้งตัวให้มีความพอกินพอใช้ก่อนอื่นเป็นพื้นฐานนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดเพราะผู้ที่มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งพาตนเอง ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้า ระดับที่สูงขึ้นต่อไปได้แน่นอน” แต่ทุกคนก็ต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีด้วยนะครับ อย่างที่ผมกล่าวไว้แล้วทั้งหมด ความมีเหตุมีผล ความพอประมาณ การมีภูมิคุ้มกันที่ดี ภายใต้หลักการเศรษฐกิจพอเพียงความรู้กับหลักคุณธรรม ดังนั้น ผมจึงให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาปากท้องเป็นเรื่องแรกๆ จน “ตัวชี้วัด” ในภาพรวมของประเทศดีขึ้นตามลำดับ เมื่อเทียบกันระหว่างปี 2557 กับไตรมาสแรกของปี 2560 นี้ เช่น ผลผลิตภาคเกษตรที่ “ติดลบ” 5.3% กลับมาเป็น “บวก” 20.1%, การลงทุนที่ “ติดลบ” 2.2% กลับมาเป็น “บวก” 1.7% และการส่งออกที่ย่ำแย่ แทบไม่เติบโต กลับฟื้นตัวเป็นบวกที่ 2.7% ทำให้โดยรวมแล้ว GDP ของประเทศในไตรมาส 1 ของปีนี้ เป็น “บวก” 3.3% ครับ ซึ่งทางสภาพัฒน์จะชี้แจงรายละเอียดต่อไป อย่างไรก็ตาม นี่เป็นภาพรวมของ “ทั้งประเทศ” เท่านั้น ที่เราต้องประคับประคองสถานการณ์ไว้ให้ได้ก่อน แล้ววันนี้ถึงเวลาที่ผมและคณะรัฐมนตรี จะลงพื้นที่เพื่อ “X-ray” ปัญหาของพี่น้องประชาชนที่ย่อมแตกต่างกันออกไป ตามภาค ตามจังหวัด ตามแต่ละท้องถิ่นจะได้สร้างการเชื่อมโยงให้ได้ ลดความเหลื่อมล้ำ เพราะเมื่อโครงสร้างหลักของบ้าน ของประเทศ มีความมั่นคงดีแล้ว ส่วนประกอบที่เหลือ ทั้งขื่อ คาน - ผนังบ้าน ก็จะยึดเข้าด้วยกันได้อย่างแข็งแรงตามไปด้วยครับ เช่นเดียวกับประชาธิปไตยของเรานะครับ ต้องสร้างโครงสร้างให้เข้มแข็ง แข็งแรง แล้วเราจะเป็นประชาธิปไตยที่มั่นคงแข็งแรง โดยกิจกรรมหลัก 3 ประการ สำหรับการจัดประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ได้แก่ (1) การลงพื้นที่ของรัฐมนตรี “ทุกกระทรวง” ทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อรับทราบปัญหา “ใหม่” ที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่ และติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหา “เดิม” ตามมาตรการต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว (2) การพบปะพี่น้องประชาชน ในลักษณะเวทีสาธารณะ เพื่อสร้างการรับรู้ “ยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาภาค เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจ” ในภูมิภาค จะได้เข้าใจตรงกัน เห็นทิศทาง และอนาคตร่วมกัน ซึ่งจะนำมาสู่ความร่วมมือ อันจะนำมาสู่การพัฒนาชีวิตที่ยั่งยืนให้ได้ ในอนาคต และ (3) การประชุมคณะรัฐมนตรี ที่จะนำประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ได้จาก การลงพื้นที่และเวทีสาธารณะดังกล่าวมาหารือกันในที่ประชุม เพื่อจะอนุมัติสั่งการด้วยแผนการ โครงการ และงบประมาณ จะได้มีความรวดเร็วในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ไม่ใช่มองปัญหาจากกรุงเทพฯ วันนี้ผมก็รับฟังจากทุกที่อยู่แล้ว แต่ลงไปให้เห็นด้วยตาอีกนะครับ เพื่อจะได้เห็นชัดเจนให้ดีขึ้น พบปะกับประชาชน พูดคุยกับบรรดาพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายนะครับ อย่างไรก็ตามที่เราทำมาแล้ว 3 ปีน่าจะได้รับทราบด้วย และแผนงานอีก 2 ปี 60 – 62 นะครับ ที่เราจะเร่งเติมลงไปให้อีกนะครับ เพราะว่าโครงสร้างแรกๆก็ได้ทำไปบ้างแล้วใน 3 ปีแรกนะครับ อีก 2 ปีนี่ก็จะใช้งบประมาณที่เราจัดทำมาแล้วทำให้มันต่อเนื่องเชื่อมโยง ลดความเหลื่อมล้ำทางกายภาพให้ได้นะครับ แล้วก็ทำยังไงจะมีรายได้สูงขึ้น ก็ต้องไปดูคนที่ยังไม่ได้เข้าในระบบ ก็ยังมีคนจนจำนวนมาก คิดว่ามากกว่า 14.9 ล้านคน ตัวเลขที่ทำมานะครับ มากกว่านั้น เพราะเป็นเพียงผู้มีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาท คิดว่ามันอยู่ไม่ได้หรอกครับ 1 แสนบาท ยังไงก็ต้อง 3 แสนขึ้นนะครับ คิดอย่างนั้นนะครับ แต่จะทำยังไง มันก็ต้องมาเข้าในระบบ ในโครงการ แต่ถ้ายังไม่เข้าจะทำอย่างไร รัฐบาลก็ต้องไปหาวิธีการ แต่ข้อสำคัญประชาชนก็ต้องยอมรับหลักการด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นไปไม่ได้ รัฐบาลคิด รัฐบาลทำโครงการ แต่ประชาชนไม่เห็นด้วยมันก็ไปไม่ได้ทั้งหมด มันก็เกิดอะไรขึ้นมาใหม่ไม่ได้ การสร้างงาน สร้างอาชีพ มันก็เกิดขึ้นไม่ได้ ขอร้องก็แล้วกัน ก็พยายามเข้าใจกันหน่อย ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักการทรงงาน ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วย “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เข้าใจถึงปัญหา เข้าใจถึงพื้นที่ เข้าใจถึงประชาชน และเข้าใจถึงวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งหมดและจะนำไปสู่การพัฒนา สำหรับแนวทางการพัฒนาเชิงพื้นที่ของภาคและเมืองนั้น ต้องมุ่งสร้างความเข้มแข็งของฐานการผลิต และบริการของประชาชนในภูมิภาค โดยกระจายความเจริญและโอกาสทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึงมากขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ และพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจอย่างมีทิศทาง และมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้เราต้องศึกษาข้อมูลสภาพทั่วไปของภาค ประมวลสถานการณ์การพัฒนาภาคในด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประเมินบริบทการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาภาคอีกด้วย รวมทั้งการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในรูปแบบต่างๆ เช่น เส้นทางคมนาคมทางถนน - ทางราง การค้าชายแดน การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ในลักษณะ “ไทยแลนด์ 1 2 3...” เป็นต้น ซึ่งในช่วงวันเสาร์ที่ 19 ถึงวันอังคารที่ 22 สิงหาคมนี้ ผมอยากให้พี่น้องประชาชนทุกคน โดยเฉพาะ “ชาวอีสาน” ติดตามข่าวสารการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี ตามที่ผมได้กล่าวไปโดยรายละเอียด “ทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” และบทสรุปต่างๆ ผมจะนำมาเล่าให้ฟังอีกครั้งในวันศุกร์หน้า ส่วนภูมิภาคอื่นๆ ก็อยากให้ตื่นตัว เตรียมการและรอพบปะ “จับเข่าคุยกัน” กับคณะรัฐมนตรี ในโอกาสต่อๆ ไปด้วย นะครับ ก็ขอให้หน่วยงานในพื้นที่ไม่ต้องวิตกกังวล ไม่ต้องเตรียมการ ใหญ่โต หรูหรา ผมต้องการเพียงแค่พบปะกับประชาชน พบกับข้าราชการรับทราบปัญหา ไม่ต้องต้อนรับใหญ่โต เสียเงินเสียทองมากมายแล้ว ทำให้คนเดือดร้อน เราต้องปรับรูปแบบใหม่ สุดท้ายนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทย ร่วมกันส่งแรงกาย - แรงใจ เชียร์ “กองทัพนักกีฬาไทย” ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ปี 2017 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ตั้งแต่วันที่ 20 - 30 สิงหาคม นี้ แม้ว่า “ชัยชนะ” จะเป็นเป้าหมายในการแข่งขันของนักกีฬาและกองเชียร์ และเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงถึงศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ของแต่ละประเทศ แต่ความจริงแล้ว “หัวใจ” ในการเล่นกีฬา คือ น้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ - รู้ชนะ - รู้อภัย และความเป็นเพื่อน ที่มีค่ายิ่งกว่า นอกจากนี้ สิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญเช่นกัน คือ การเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพกายและใจที่ดี จึงอยากให้กีฬาซีเกมส์ และการชมการแข่งขันใดๆ ก็ตาม จะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทย - เยาวชนไทย รักสุขภาพ รักการเล่นกีฬา เพื่อสุขภาพของตัวเองด้วย ขอขอบคุณโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) ช่อง 3, 5, 7, โมเดิร์นไนน์ทีวี, และช่อง 11 ที่หมุนเวียนกันถ่ายทอดสด ตลอดการแข่งขัน เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ติดตาม ให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง รายละเอียดตามหน้าจอนะครับ ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สำหรับพี่น้องชาวโคราช พบกันวันจันทร์นะครับ สวัสดีครับ
17 ส.ค. 2560
ลมกระโชกแรงพัดเต็นท์ตลาดประชารัฐ ริมชายหาดบางสัก อ.ตะกั่วป่า เสียหาย
จังหวัดพังงาลมกระโชกแรงพัดเต็นท์ตลาดประชารัฐ ริมชายหาดบางสัก อ.ตะกั่วป่า ปลิวว่อนส่งผลกระทบร้านอาหารริมชายหาดเงียบเหงา เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน สภาพคลื่นลมแรงประกอบกับมีลมกระโชคแรงที่พัดเข้าบริเวณชายหาดบางสัก ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ทำให้เต้นท์ตลาดประชารัฐของอำเภอตะกั่วป่า จำนวน 4 หลังถูกลมพัดหลังคาปลิวว่อนได้รับความเสียหาย และบริเวณร้านอาหารที่อยู่ติดริมชายหาด ก็ยังมีโต๊ะเก้าอี้และซุ้มร้าน ถูกกระแสลมพัดได้รับความเสียหายเช่นเดียวกัน โดยในช่วงนี้พบว่าสภาพอากาศแปรปรวน มีลมกระโชกแรงและทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและภาคใต้มีกำลังแรง จนทำให้บรรยากาศร้านอาหาร ริมชายหาดบางสักค่อนข้างเงียบเหงาและมีร้านอาหารบางร้าน ต้องหยุดบริการชั่วคราว เพราะไม่มีประชาชนหรือนักท่องเที่ยวมานั่งพักผ่อนสั่งอาหารกิน ทำให้ช่วงนี้ยอดขายลดลงกว่าช่วงที่ผ่านมา ด้านนายเอกรัฐ หลีเส็น รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ได้แจ้งสถานการณ์ไปถึงทั้ง 8 อำเภอ ในจังหวัดพังงาและส่วนท้องถิ่น ให้เฝ้าระวังในช่วงวันที่ 16-21 สิงหาคม 2560 นี้ ว่า จากการเฝ้าติดตามข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยาทำให้ทราบถึงสภาวะอากาศที่อาจเกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในภาคใต้ ทั้งนี้จังหวัดพังงาอาจได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้น เพื่อให้เป็นการเตรียมความพร้อม จึงได้ให้ส่วนท้องถิ่นและอำเภอทำการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย บริเวณที่ลาดเชิงเขา ที่ลุ่มต่ำและบริเวณริมชายหาดฝั่งทะเล รวมถึงบริเวณที่เคยเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม ให้ประชาชนเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น การปฏิบัติตนเมื่อเกิดอุทกภัย ทั้งกรณีที่อาศัยอยู่ในบ้านเรือนได้และกรณีที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่ กำชับให้หน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่ให้เฝ้าติดตามสถานการณ์ ข้อมูล ข่าวสารของทางราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะพื้นที่ ที่เกิดฝนตกหนักสะสมในพื้นที่ พร้อมประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น ทหาร ตำรวจ มูลนิธิ อาสาสมัคร เตรียมพร้อมกำลังพล วัสดุ อุปกรณ์เครื่องจักรและยานพาหนะให้พร้อมปฏิบัติงานทันที เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและทำการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
17 ส.ค. 2560
รัฐบาลเร่งจ่ายค่าชดเชยความเสียหายอุทกภัยจังหวัดกาฬสินธุ์ ร้องขอผู้ได้รับความเสียหายให้ข้อมูลเจ้าหน้าที่
จังหวัดกาฬสินธุ์เสนอแผนงานโครงการเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่อย่างยั่งยืนต่อรองนายกรัฐมนตรี 4 โครงการเป็นเงิน 735 ล้านบาท วันนี้ (17 ส.ค.2560) พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี รับฟังสรุปสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่วัดบ้านโนศิลาเลิง อำเภอฆ้องชัย จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยนายสุวิทย์ คำดี ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้สรุปสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ว่า จังหวัดกาฬสินธุ์ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุตาลัสและเซินกา เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ทั้ง 18 อำเภอ ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว เหลือเพียง 5 อำเภอที่ยังมีน้ำท่วมในพื้นที่ ได้แก่ อำเภอเมือง ยางตลาด กมลาไสย ฆ้องชัยและอำเภอร่องคำ ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำจากการระบายน้ำของเขื่อนลำปาว ผ่านทางลำน้ำปาวและลำน้ำพาน ก่อนไหลลงน้ำชีที่อำเภอฆ้องชัย ในภาพรวมความเสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ครั้งนี้ มีพื้นที่ทางการเกษตรเสียหายจำนวน 3 แสนกว่าไร่ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 21-30 สิงหาคมเป็นต้นไป เขื่อนลำปาวจะลดการระบายน้ำจากเขื่อน จากวันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เหลือวันละ 15 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ถ้าหากไม่มีปัจจัยที่ทำให้น้ำเข้าเขื่อนมากเกินไป ซึ่งจะทำให้พื้นที่5 อำเภอดังกล่าวที่ถูกน้ำท่วม ระดับน้ำก็จะลดลงตามไปด้วย โอกาสนี้ พลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบยาสามัญประจำบ้านและถุงยังชีพแก่ราษฎรตำบลโนนศิลาเลิง ที่ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลมีความห่วงใยผู้ประสบภัยน้ำท่วมทุกคน ได้กำชับให้จังหวัดดูแลช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง ส่วนการแก้ปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว รัฐบาลมีคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำแห่งชาติ ที่จะวางแผนแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ จากนั้น พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี ได้ตรวจพื้นที่สร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำชี ที่วัดบ้านท่าเยี่ยม อำเภอฆ้องชัย พร้อมรับฟังสรุปสถานการณ์และแนวทางการแก้ปัญหาน้ำชีทะลักเข้ามาในพื้นที่อำเภอฆ้องชัย ซึ่งจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้เสนอแผนงานโครงการเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอฆ้องชัยและพื้นที่อื่นๆ จำนวน 4 โครงการ ใช้งบประมาณเป็นเงิน 735 ล้านบาท ได้แก่ โครงการสร้างพนังกั้นน้ำชี ถนนทางหลวงชนบทที่บ้านสีถาน ในเขตอำเภอฆ้องชัย โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมลำน้ำชี วัดลำชีศรีวนาราม บ้านวังยาง ตำบลลำชี ความยาว 320 เมตร ในเขตอำเภอฆ้องชัยเช่นกัน โครงการปรับปรุงพนังกั้นน้ำ ถึงลำปาวหลง และโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะเร่งรัดการชดเชยค่าเสียหายจากกอุทกภัยครั้งนี้ โดยขอให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายให้รีบให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปสำรวจ ส่วนการจัดสรรงบประมาณที่จังหวัดร้องขอ ก็จะได้กำชับให้หน่วยงานที่ร้องขอใช้งบประมาณที่มีอยู่หรือใช้งบประมาณกลุ่มจังหวัดมาการดำเนินการต่อไป สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดกาฬสินธุ์
16 ส.ค. 2560
จังหวัดพังงาเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม ระหว่างวันที่ 16-21 สิงหาคมนี้
จังหวัดพังงาเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม ระหว่างวันที่ 16-21 สิงหาคมนี้ อาจเกิดฝนตกหนัก เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย นายเอกรัฐ หลีเส็น รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา แจ้ง 8 อำเภอในจังหวัดพังงาและส่วนท้องถิ่น ให้เฝ้าระวังในช่วงวันที่ 16-21 สิงหาคม 2560 นี้ ว่า จากการเฝ้าติดตามข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยา ทำให้ทราบถึงสภาวะอากาศที่อาจเกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในภาคใต้ ทั้งนี้ จังหวัดพังงาอาจได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้น เพื่อให้เป็นการเตรียมความพร้อม จึงได้ให้ส่วนท้องถิ่นและอำเภอ ทำการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย บริเวณที่ลาดเชิงเขา ที่ลุ่มต่ำและบริเวณริมชายหาดฝั่งทะเล รวมถึงบริเวณที่เคยเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม ให้ประชาชนเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น การปฏิบัติตนเมื่อเกิดอุทกภัย ทั้งกรณีที่อาศัยอยู่ในบ้านเรือนได้และกรณีที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่ กำชับให้หน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่ให้เฝ้าติดตามสถานการณ์ ข้อมูล ข่าวสารของทางราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะพื้นที่ที่เกิดฝนตกหนักสะสมในพื้นที่ พร้อมประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น ทหาร ตำรวจ มูลนิธิ อาสาสมัคร เตรียมพร้อมกำลังพล วัสดุ อุปกรณ์เครื่องจักรและยานพาหนะให้พร้อมปฏิบัติงานทันที เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและทำการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
16 ส.ค. 2560
จ.เพชรบุรีเปิดศูนย์พิสูจน์ความสัมพันธ์นายจ้าง – ลูกจ้าง ยอดรวม 8 วัน มีนายจ้างนำลูกจ้างมาพิสูจน์ 1,368 คน
หลังจากที่กระทรวงแรงงานมีมาตรการในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวให้จัดตั้งศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม - 7 สิงหาคม 2560 ทุกวันไม่มีวันหยุด ซึ่งจังหวัดเพชรบุรีมีนายจ้างนำลูกจ้างต่างด้าวมาแจ้งการทำงานทั้งหมด 1,111 คน แยกเป็นประเภทบุคคลธรรมดา 961 คน นิติบุคคล 150 คน ขณะที่ลูกจ้างมีทั้งหมดจำนวน 3,413 คน เป็นเมียนมา 1,961 คน ลาว 670 คน และกัมพูชา 782 คน ซึ่งส่วนใหญ่เข้ามาใช้แรงงานประเภทเกษตรและปศุสัตว์ รองลงมาคือ ก่อสร้าง ประมง จำหน่ายอาหาร ตามลำดับ นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ จัดหางานจังหวัดเพชรบุรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงของการพิสูจน์ความสัมพันธ์นายจ้าง – ลูกจ้าง ที่มีระยะเวลาระหว่างวันที่ 8 สิงหาคม - 6 กันยายน 2560 ไม่เว้นวันหยุดราชการ โดยจะมีการตรวจสอบเอกสารและสัมภาษณ์นายจ้าง-ลูกจ้าง ในชุดคำถามพิสูจน์ทราบตามที่กรมการจัดหางานได้กำหนดไว้ รวมถึงการตรวจสอบไม่ให้มีการใช้แรงงานเด็กต่ำกว่า 15 ปีและ 18 ปี ในลักษณะงานที่เป็นอันตรายตามที่กฎหมายกำหนด หากพบว่าไม่มีความสัมพันธ์ในการเป็นนายจ้าง - ลูกจ้าง นายจ้างมีเวลาในการอุทธรณ์ภายใน 15 วัน กับจัดหางานจังหวัดหรืออธิบดีกรมการจัดหางาน หลังจากนั้นให้ถือเป็นที่สิ้นสุด แต่หากพบว่านายจ้าง – ลูกจ้างมีความสัมพันธ์กันก็จะออกหนังสือรับรองให้ เพื่อให้แรงงานต่างด้าวนำไปแจ้งตรวจสัญชาติให้ตรงกับศูนย์ของแต่ละประเทศ ซึ่งหลังจากเปิดทำการคัดกรองความสัมพันธ์ ตั้งแต่วันที่ 8 – 15 สิงหาคม 2560 จังหวัดเพชรบุรีมีนายจ้าง 459 คน นำลูกจ้างมาคัดกรองความสัมพันธ์ 1,368 คน คิดเป็นร้อยละ 40 ของจำนวนลูกจ้างที่มาแจ้งการทำงาน โดยเมียนมา มีศูนย์พิสูจน์สัญชาติ 6 ศูนย์ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย ตาก สมุทรปราการ ระนอง และจังหวัดสมุทรสาคร ด้านกัมพูชามีศูนย์ในกรุงเทพฯ ระยอง สงขลา ซึ่งในศูนย์บริการจะเจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกระทรวงแรงงานคอยให้บริการ One Stop Service ขณะที่สัญชาติลาวไม่มีการพิสูจน์สัญชาติ ให้นำหนังสือรับรองไปขอรับหนังสือจากสถานทูต/กงสุลลาวประจำประเทศไทย เพื่อกลับไปรับการพิสูจน์สัญชาติที่ประเทศลาว ทั้งนี้ แรงงานยังคงสามารถทำงานต่อได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2561 และหากสิ้นสุดการอนุญาตแล้ว จะต่ออายุให้ 2 ครั้งๆ ละ 2 ปี อนนท์ ชิ้นฟัก ภาพ//ฐิติพร การะเกตุ ข่าว
16 ส.ค. 2560
สกู๊ป : ทำความรู้จัก…รถเมล์สายใหม่
ออกสตาร์ทเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับรถเมล์สายปฏิรูป ที่จะทดลองเดินรถทั้งหมด 8 สาย เป็นเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคมไปจนถึงวันที่ 15 กันยายน กระจายไปทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งปรับเปลี่ยนทั้งสี หมายเลขและเส้นทางการเดินรถ ภาพรถเมล์ขาวแดง และตัวเลขที่บอกเส้นทางการเดินรถที่คุ้นตาของคนกรุงเทพมหานครกำลังจะเปลี่ยนไป ตามแผนการปฏิรูปรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลของกระทรวงคมนาคม โดยการพลิกโฉมเลขหมายในการกำหนดเส้นทางเดินรถให้ทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพชุมชนเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป จะยกระดับให้เกิดการพัฒนาระบบการให้บริการที่ดีมากยิ่งขึ้น และในอนาคตจะเกิดการเชื่อมโยงกันของโครงข่ายการคมนาคมของกรุงเทพมหานครและเขตพื้นที่ปริมณฑลให้เชื่อมถึงกันแบบครบวงจร สำหรับการยกเครื่องเส้นทางเดินรถเมล์ใหม่ จะแบ่งเป็นโซนสี โดยหากเห็นหัวรถสีเขียว มีตัวอักษร G แสดงว่าแทนเขตการเดินรถที่ 1 และ 2 ที่มาจากทิศตะออกของกรุงเทพมหานคร ขณะที่หัวรถสีแดง ตัวอักษร R แทนเขตการเดินรถที่ 3 และ 4 ซึ่งเป็นเขตการเดินรถด้านทิศตะออกเฉียงใต้ของกรุงเทพ ส่วนหัวรถสีเหลือง มีตัวอักษร Y นั้นเป็นเขตการเดินรถที่ 5 และ 6 ที่วิ่งมาจากทิศตะตกของกรุงเทพ และสุดท้ายคือหัวรถสีน้ำเงิน ซึ่งใช้ตัวอักษร B แทนเขตการเดินรถที่ 7 และ 8 ซึ่งเดินรถทางทิศเหนือเชื่อมต่อใจกลางกรุงเทพมหานคร และหากประชาชนเห็นตัว E หรือ Express ต่อท้ายนั้นหมายความว่ารถคันนั้นจะวิ่งขึ้นทางด่วน พร้อมกันนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถจดจำได้ง่าย กรมการขนส่งทางบก ได้ให้ ขสมก จัดทำป้ายบอกเส้นทางเดิมของรถแต่ละคันในระหว่างที่มีการปรับตัว สำหรับช่วงทดลองวิ่งช่วงแรก ระยะเวลา 1 เดือนนับจากนี้ ทั้ง 8 เส้นทาง จะมีรถเมล์ธรรมดาวิ่งเส้นทางละ 5 คัน เดินรถควบคู่กับการให้บริการในเส้นทางเดิม โดยทั้ง 8 เส้นทางนำร่องประกอบด้วย สาย G21 รังสิต - ท่าเรือพระราม 5 ซึ่งเทียบเคียงสาย 114 สาย G59E มีนบุรี -ท่าเรือสี่พระยา (ทางด่วน) เทียบเคียงสาย 514 สาย R3 สวนหลวง ร.9 - รถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งเทียบเคียงสาย 11 สาย R41 ถนนตก-แฮปปี้แลนด์ ซึ่งเทียบเคียงจากสาย 22 สาย Y59 สถานีรถไฟชุมทางตลิ่งชัน - กระทุ่มแบน เทียบเคียงสาย 189 เดิม สาย Y61 หมู่บ้านเศรษฐกิจถึงสถานีขนส่งจตุจักร เทียบเคียงสาย 509 สาย B44 อู่พระราม 9 - สุทธิสาร เทียบเคียงสาย 54 วงกลมรอบเมืองห้วยขวาง และสุดท้ายคือสาย B45 จากเอื้ออาทรบึงกุ่มถึงสะพานพุทธ ซึ่งเดิมคือสาย 73 นอกจากสิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่เห็นได้จากภายนอกตัวรถแล้ว ภายในรถเมล์แต่ละคันที่กำลังยกเครื่องปฏิรูปนั้น ประชาชนจะสังเกตเห็นป้ายการเดินรถที่ติดไว้ภายในรถ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบ GPS ติดตามการเดินรถ เพื่อรองรับระบบ E-Ticket และการตรวจสอบเวลาการเดินทางของรถที่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนจะปฏิรูปรถเมล์ไทยใหม่ยกเซตภายใน 2 ปี และหากผู้ใช้บริการต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงต้องการเสนอแนะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทางกรมการขนส่งทางบกและ ขสมก. ก็พร้อมที่จะรับฟังและนำไปปรับปรุงเพื่อประโยชน์ของประชาชนและเพื่อการคมนาคมของประเทศไทยสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
16 ส.ค. 2560
สกู๊ป : ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมแห่งอนาคต 4.0
สกู๊ป : ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมแห่งอนาคต 4.0 ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อีกหนึ่งองค์กรที่จะมาให้ความรู้เรื่องเทคโนโลยีเครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรม ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนให้เกิดขึ้น หวังเป็นจุดศูนย์กลางให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาล ในการพัฒนาเทคโนโลยีและองค์ความรู้ เพื่อต่อยอดทางด้านธุรกิจ เครื่องจักรพิมพ์สามมิติระบบ Selective laser melting machine ที่เห็นนี้ คือ ชิ้นงานต้นแบบที่สามารถผลิตสินค้าที่ทำมาจากผงโลหะได้อย่างหลายชนิด ซึ่งสามารถนำไปเป็นชิ้นส่วนในแวดวงอุตสาหกรรมได้ อาทิ ทำเป็นส่วนประกอบของเครื่องประดับ ชิ้นส่วนเครื่องบิน ชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องมือแพทย์ โดยจุดเด่นคือมีขนาดเล็ก เหมาะและราคาถูก ที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นที่โรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในอนาคตกำลังหันมาเลือกใช้ ชิ้นที่จัดแสดง ถือเป็นผลิตผล จากนวัตกรรมใหม่ที่ได้นำมาจัดแสดงโชว์ให้เห็นใน Open house เปิดบ้านศูนย์ปฏิบัติการอุตสาหกรรมสู่อนาคต ที่กระทรวงอุตสาหกรรมนำมาจัดแสดงโชว์ โดยเครื่องจักรทั้งหมดนี้เกิดจากองค์ความรู้ที่ภาครัฐได้สนับสนุนต่อยอดให้ภาคเอกชนได้เกิดการเรียนรู้หวังนำมาใช้เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าจากเครื่องจักรอุปกรณ์เหล่านี้จากต่างประเทศ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นการพัฒนาไปตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยต้องการยกระดับอุตสาหกรรมให้เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ เพื่อให้ตอบโจทย์การพัฒนาอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดตั้งศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อสนับสนุนภาคเอกชน โดยจะแบ่งการทำงาน 4 รูปแบบ คือ Match ทำหน้าที่เชื่อมโยงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากเอกชน Innovate พัฒนาศูนย์สาธิตและฝึกอบรมการทำงานร่วมกับระหว่างภาครัฐและเอกชนในการทดสอบเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ ๆ / Share แหล่งรวบรวบเครื่องมือ เครื่องจักร ไว้เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการทำในวัตกรรมใหม่ๆ และ Fund นโยบายสนับสนุนการเงิน เพื่อดึงดูดนักลงทุนมาลงทุนกับภาคอุตสาหกรรมให้มากขึ้น ในอนาคตอันใกล้ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะเป้าหมายการพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ที่จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด การเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตเหล่านี้ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องสนับสนุนนักลงทุนทุกด้านให้มีความพร้อม โดยศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ก็คืออีกหนึ่งองค์ความรู้ที่จะมาร่วมถ่ายทอดเทคโนโลยีที่สำคัญในภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้อย่างครบวงจรที่สุด
16 ส.ค. 2560
สกู๊ป : ไทยคว้าแชมป์โลก...เมืองท่องเที่ยว
สกู๊ป : ไทยคว้าแชมป์โลก...เมืองท่องเที่ยว ไทยได้รับอีกหนึ่งการจัดอันดับการรันตี เมืองท่องเที่ยวคุ้มค่าที่สุดในโลก จากเว็บไซต์มิเรอร์ ของประเทศอังกฤษ มาดูกันว่าทำไมนักท่องเที่ยวจึงเลือกไทยให้เป็นอันดับ 1ของโลก ศิลปะ วัฒนธรรม ภาษา กิริยา มารยาทที่อ่อนช้อยและงดงาม อันเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย รวมไปถึงอาหารที่ถูกปาก รสชาติที่ถูกใจ ที่นักท่องเที่ยวต่างประทับใจและเดินทางกลับมาเที่ยวไทยครั้งแล้วครั้งเล่า นี่คืออีกหนึ่งการการันตีความนิยมในการเลือกไทย เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว โดยเว็บไซต์มิเรอร์ของประเทศอังกฤษ ที่เผยแพร่รายงานของโพสต์ออฟฟิศ ทราเวล มันนี่ จัดให้กรุงเทพมหานคร ถูกจัดเป็นเมืองน่าเที่ยวอับดับ 1 ของโลก โดยพิจารณาจากค่าใช้จ่ายระยะยาวในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเกณฑ์ที่จัดคัดเลือกเป็นเมืองน่าท่องเที่ยวนั้น กว่าที่ไทยจะผ่านด่านสู่อันดับ 1 ได้นั้น ต้องผ่านมาตรฐานเรื่องค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว 11 รายการ อาทิ ค่าอาหารเครื่องดื่ม ค่าเยี่ยมชม ค่าเดินทาง และค่าที่พักระยะเวลา 3 คืน พบว่ากรุงเทพมหานครนั้น มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด ที่มีจุดเด่นมากที่สุดในด้านที่พัก ที่มีราคาเริ่มต้นเพียง 260 บาทเท่านั้น แน่นอนว่าอาหารไทยเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ทั้งรสชาติที่จัดจ้าน และราคาที่ย่อมเยา จนเรียกได้ว่า เป็นราคาที่สบายกระเป๋า ส่วนรายการอาหารที่เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว คงหนีไม่พ้นอาหารยอดฮิตอย่างผัดไท ต้มยำกุ้ง ส้มตำ และผัดกะเพรา ที่หากพลาดแล้วถือได้ว่ายังมาไม่ถึง ด้านสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร ที่มีความวิจิตรบรรจงด้วนศิลปะ และสถาปัตยกรรม ที่ครองใจนักท่อง ยังคงเป็นย่านที่นักท่องเที่ยวสามารถเสพกับงานศิลปะของไทยได้อย่างเต็มที่ อาทิ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร วัดโพธิ์ รวมไปถึงสถานที่แหล่งรวมความบันเทิงอย่าง สีลม และข้าวสาร รวมไปถึงการร่องเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมิใช้น้อย ซึ่งนอกจากกรุงเทพมหานครของไทยแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศที่ได้รับรางวัลในอันดับรองลงมา คือ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ สิงคโปร์ วอชิงตัน ดี.ซี.สหรัฐอเมริกา เมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา นครนิวยอร์ก และนครบอสตัน สหรัฐอเมริกา รางวัลที่ไทยได้รับ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่การันตีได้ว่า ไทยยังคงเป็นอันดับต้นๆที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย ซึ่งประชาชนคนไทย ในฐานะของเจ้าบ้าน ก็ควรหันมามองคุณค่ากับเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ที่ทรงคุณค่าแก่การรักษา รวมถึงเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการตอนรับนักท่องเที่ยวให้เกิดความประทับใจ ในฐานะของผู้มาเยือน
15 ส.ค. 2560
กระทรวงวัฒนธรรมจัดทำจดหมายเหตุฉบับวีดิทัศน์และหนังสือประมวลภาพเหตุการณ์ในพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
กระทรวงวัฒนธรรมจัดทำจดหมายเหตุฉบับวีดิทัศน์ และหนังสือประมวลภาพเหตุการณ์ในพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมเปิดให้ประชาชนดาวน์โหลดเป็นที่ระลึก นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดทำจดหมายเหตุที่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวทั้งในและต่างประเทศ บันทึกเป็นประวัติศาสตร์ของชาติทั้งฉบับราชการและฉบับประชาชน ล่าสุดได้จัดทำจดหมายเหตุฉบับวีดิทัศน์ "ทรงสถิตในดวงใจไทยนิรันดร์" แล้วเสร็จ จำนวน 18 ตอน จากทั้งหมด 22 ตอน เป็นสารคดีบันทึกเหตุการณ์นับตั้งแต่เสด็จสวรรคตและหนังสือประมวลภาพเหตุการณ์งานพระบรมศพ ประกอบด้วยภาพเหตุการณ์นับตั้งแต่เสด็จสวรรคต แบ่งเป็นกรุงเทพมหานคร ส่วนภูมิภาค และนานาอารยประเทศ โดยคัดเลือกมาจากภาพจากประชาชนที่ส่งมาจำนวนกว่า 40,000 ภาพ เบื้องต้นจัดทำแล้วเสร็จ จำนวน 8 ชุด จาก 13 ชุด พร้อมจัดทำเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรืออีบุ๊คให้ประชาชน และผู้สนใจดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์กระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้ได้ประสานงานสื่อมวลชนนำสารคดีฉบับวีดีทัศน์ไปเผยแพร่สู่ประชาชนต่อไป นอกจากนี้ยังจัดทำฉบับภาษาอังกฤษพร้อมประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ และองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโกเผยแพร่ในต่างประเทศ พร้อมรวบรวมภาพไปจัดแสดงนิทรรศการที่จัดแสดงในการประชุมขององค์การยูเนสโก ระหว่างวันที่ 26 - 28 กันยายน ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจะมีการกล่าวสดุดียกย่องในหลวงรัชกาลที่ 9 ตลอดจนนำเสนอพระราชกรณียกิจ โดยมีทูตถาวร และผู้แทนจากทั่วโลกเข้าร่วมประชุมกว่า 1,500 คน
15 ส.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 15 สิงหาคม 2560
คณะรัฐมนตรีขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่า เหลือร้อยละ 7 ต่อไปอีก 1 ปี คือ วันที่ 1 ต.ค.2560 – 30 ก.ย.2561 เพื่อลดผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน ร่าง แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) โดยมีจุดประสงค์เพื่อ “ยกระดับระบบโลจิสติกส์ของประเทศ สนับสนุนการเป็นศูนย์กลางทางการค้าการบริการ การลงทุนในภูมิภาคอาเซียน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน” ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาเพิ่มมูลค่าระบบห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการพัฒนามาตรฐานตั้งแต่ฟาร์มจนถึงส่งมอบสินค้าแก่ผู้บริโภค การจัดเก็บและขนส่ง เพื่อลดความสูญเสีย ลดต้นทุน ตรวจสอบย้อนกลับได้ จัดระบบการขนส่งเชื่อมโยงจากแหล่งวัตถุดิบ ไปถึงตลาด การส่งสินค้าด้วย e-Delivery มีการสนับสนุนทางมาตรการภาษี การเงิน ให้แข่งขันกับผู้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศได้ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น พัฒนาเส้นทางและรูปแบบการขนส่งต่อเนื่องเพื่อลดต้นทุน (ราง – น้ำ – อากาศ) สร้างชุมชนโลจิสติกส์ตามด่านชายแดนสำคัญและ EEC เพื่อมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า-ส่งออก ตั้งหน่วยงานบริหารกลาง ทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลรัฐและเอกชน ลดขั้นตอน การออกใบอนุญาต และเอกสารต่างๆ ในการนำเข้า – ส่งออก ตามมาตรฐานสากล เจรจาข้อตกลงระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาปัจจัยสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ โดยพัฒนากำลังคนที่มีความเชี่ยวชาญ สร้างหลักสูตร ตั้งสถาบัน ศูนย์พัฒนาบุคลากร วิจัยพัฒนานวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี เช่น ระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ พัฒนาการติดตามและประเมินผล คณะรัฐมนตรีเห็นชอบจัดตั้งกองทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มให้มีเสถียรภาพ เช่น o การวิจัยพัฒนา การใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมมาช่วยในการผลิต แปรรูป ตลาด และใช้ประโยชน์ผลิตภัณฑ์ o เป็นทุนสงเคราะห์แก่เกษตรกรในการปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ที่มีคุณภาพดีทดแทนต้นเก่าในพื้นที่เดิม o ทำประกันภัยความเสี่ยงจากภัยพิบัติธรรมชาติ o สนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกรเพื่อสร้างความเข้มแข็ง โดยเงินกองทุน ประเดิมด้วยเงินจากรัฐบาล 1,000 ล้านบาท (จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ปีละ 10 ล้านบาท) เงินสมทบที่เก็บจากผู้ประกอบการโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม เงินค่าปรับ เงินและทรัพย์สินที่มีผู้มอบให้ ดอกผลที่ได้จากเงินหรือทรัพย์สินอื่นๆ ของกองทุน
14 ส.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : โอกาสแห่งอาชีพสำหรับผู้พ้นผิด
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย เรื่องโอกาสแห่งอาชีพสำหรับผู้พ้นผิด ว่า นักบำบัด บ้านกึ่งวิถี "เธอ" คือ กลุ่มผู้ที่เคยทำผิดพลาดได้รับโทษจนพ้นออกมาจากเรือนจำแล้ว ซึ่งไม่มีงานทำ ไม่มีอาชีพ จึงเข้าร่วมโครงการบ้านกึ่งวิถี "เธอ" เพื่อฝึกอาชีพการนวดบำบัด ซึ่งเป็นการฝึกทักษะการนวดที่จะติดตัวไปจนเป็นอาชีพหลักได้ ขณะที่นายแพทย์พูลชัย จิตอนันตวิทยา ประธานฝ่ายการแพทย์วิสาหกิจสุขภาพชุมชน ผู้ดำเนินโครงการบ้านกึ่งวิถี "เธอ" กล่าวว่า การสร้างอาชีพที่ยั่งยืนให้แก่ผู้พ้นโทษจะต้องคำนึงถึงหลัก 2 ข้อ คือ ต้องเป็นอาชีพที่มีลูกค้าจำนวนมาก และลูกค้าเหล่านี้จะต้องซื้อซ้ำด้วย ซึ่งการนวดบำบัดหรือคลายกล้ามเนื้อจากอาการออฟฟิศซินโดรม ที่ปัจจุบันคนไทยและทั่วโลกเป็นกันจำนวนมาก จากผลพวงการใช้สมาร์ทโฟน ทำให้กล้ามเนื้อตึงล้าไปทั้งตัว จึงตอบโจทย์และการออกแบบยังคำนึงถึงวิถีชีวิตของลูกค้าด้วย โดยออกแบบการนวดที่ใช้เวลาน้อยและไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกทั้งราคาถูกกว่ากาแฟ 1 แก้ว ทำให้ตอนนี้มีคนรอใช้บริการอยู่จำนวนมาก นอกจากนี้ยังประสานความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่พาไปรู้จักกับบริษัทมหาชนกว่า 600 แห่ง เพื่อให้เกิดการจ้างงานกลุ่มบ้านกึ่งวิถี "เธอ" ไปให้บริการแก่พนักงานถึงห้องทำงานหรือสำนักงาน ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอด้วยฐิตาวัลย์ ลาภขจรสงวน/สวท.
12 ส.ค. 2560
จ.อุดรธานี ปลูกดอกดาวเรือง 99,999 ต้น วันแม่น้อมส่งใจถวายพ่อ
จังหวัดอุดรธานี ร่วมกับ มณฑลทหารบกที่ 24 และเทศบาลนครอุดรธานี จัดกิจกรรม “ปลูกดอกดาวเรืองวันแม่ น้อมส่งใจถวายพ่อ” 99,999 ต้น วันนี้ (12 ส.ค. 60) เวลา 10.00 น. ที่บริเวณลานสังคีต สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี นายชยาวุธ จันทร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นประธานเปิดโครงการปลูกดอกดาวเรืองเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กิจกรรม “ปลูกดอกดาวเรืองวันแม่ น้อมส่งใจถวายพ่อ” โดยมีนายสมหวัง พ่วงบางโพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พลตรีกนก ภู่ม่วง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ชมรม สโมสร มูลนิธิ นักเรียน นักศึกษา ประชาชนชาวจังหวัดอุดรธานี ร่วมกิจกรรมจำนวนมาก สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการรับมอบกล้าดอกดาวเรือง และย้ายกล้าจากถาดเพาะลงถุงเตรียมปลูก ที่ทุกภาคส่วนได้ร่วมแรงร่วมใจ เตรียมการร่วมกันตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา จนครบถ้วนตามที่กำหนด 99,999 ต้น นายอิทธิพนธ์ ตรีวัฒนสุวรรณ นายกเทศมนตรีนครอุดรธานี กล่าวว่า ตามที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 อันนำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจเป็นล้นพ้นต่อพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า รัฐบาลได้กำหนดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม 2560 และได้เชิญชวนให้ภาคราชการ เอกชน ประชาชน ทั้งประเทศร่วมกันปลูกดอกดาวเรือง ซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระองค์ ให้ออกดอกและบานสะพรั่งพร้อมกันในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เพื่อให้ทั่วทั้งประเทศอยู่ในบรรยากาศของการแสดงความอาลัย ให้สถานที่สำคัญต่างๆ ของจังหวัดอุดรธานีเรียบร้อยสวยงาม เป็นการสร้างเสริมความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ด้านนายชยาวุธ จันทร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า การรวมพลังของทุกภาคส่วนในครั้งนี้ ซึ่งเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของปวงชนชาวไทยคือ วันแม่แห่งชาติ เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 จึงเป็นการร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของทั้งสองพระองค์ ที่มีต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ ซึ่งทุกคนจะได้ร่วมกันปลูกต้นดาวเรือง เพื่อให้ออกดอกงดงามบานสะพรั่งพร้อมกัน
12 ส.ค. 2560
พสกนิกรจังหวัดนครพนม รวมใจจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชก
วันนี้ (12 ส.ค. 60) ที่บริเวณศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายสมชาย วิทย์ดำรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางปัทมา วิทย์ดำรงค์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ดร.ไพฑูรย์ รักษ์ประเทศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายประทีป ฤทธิกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำข้าราชการพลเรือน ตุลาการ ศาล ทหาร ตำรวจ สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม คณะครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา พ่อค้าและประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมประกอบพิธีวางพานพุ่ม ถวายเครื่องราชสักการะและจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560 โดยก่อนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ประธานในพิธีจะเดินทางมาถึง เหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดนครพนม ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์การต่างๆ ได้ประกอบพิธีวางพานพุ่มเงิน พุ่มทอง เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และในเวลา 19.19 น. เมื่อประธานในพิธีเดินทางมาถึง ได้ประกอบพิธีวางพานพุ่มเงิน พุ่มทอง เปิดกรวยกระทงดอกไม้ ธูปเทียนแพ ถวายเครื่องราชสักการะ และประกอบพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล กล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ นำทุกคนกล่าวถวายพระพรชัยมงคล และร่วมกันร้องเพลงเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม และเพลงสดุดีมหาราชินี ซึ่งเมื่อสิ้นเสียงเพลงทุกคนต่างเปล่งเสียงคำว่า ทรงพระเจริญ ออกมาโดยพร้อมเพียงกัน
12 ส.ค. 2560
จ.สมุทรสาคร มอบบ้านหลังใหม่ให้ผู้สูงอายุผู้ยากไร้
วันนี้ (12 ส.ค. 60) นายประภัสสร์ มาลากาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วย พ.ต.ท.สมชาย ขอค้า รอง ผกก.สส.สภ.โคกขาม ผู้ก่อตั้งโครงการสร้างบ้านหลังใหม่ให้ผู้สูงอายุผู้ยากไร้ โรงพยาบาลสมุทรสาคร นายชาติชาย เพราะดีงาม ประธานชมรมคนช่วยคนสมุทรสาคร นายธนัช เหล็งสุดใจ รองประธานฯ กลุ่มชมรมชาวปักษ์ใต้จังหวัดสมุทรสาคร กลุ่มพลังรวมใจ บริษัทพ่อเต่า และกลุ่มไบค์วีค ได้ลงพื้นที่หมู่ที่ 3 ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อมอบบ้านในโครงการสร้างบ้านหลังใหม่ให้ผู้สูงอายุผู้ยากไร้ ให้แก่คุณป้าล้วน ก้อนใจ อยู่บ้านเลขที่ 51/2 หมู่ 3 ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ในการนี้ยังได้มีการจัดมอบอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องอุปโภค บริโภค และเงินสดเพื่อการยังชีพ ให้แก่ครอบครัวแก่ผู้สูงอายุผู้ยากไร้รายนี้อีกด้วย พ.ต.ท.สมชาย ขอค้า รอง.ผกก.สส.สภ.โคกขาม ผู้ก่อตั้งโครงการสร้างบ้านหลังใหม่ให้ผู้สูงอายุยากไร้ 3 หลัง 3 อำเภอ จังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า โครงการสร้างบ้านหลังใหม่ให้ผู้สูงอายุยากไร้ 3 หลัง 3 อำเภอนี้ ได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแล้ว โดยบ้านของคุณป้าล้วน ก้อนใจ อยู่บ้านเลขที่ 51/2 หมู่ 3 ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร นับเป็นบ้านหลังที่ 5 ของโครงการฯ นี้ สำหรับโครงการนี้ได้จัดทำขึ้นมาเพื่อต้องการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ยากไร้ ให้ได้มีบ้านที่พักอาศัยที่มั่นคงแข็งแรงเป็นของตนเอง อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการทำความดีตอบแทนคุณแผ่นดิน ถิ่นที่อยู่อาศัยและตอบแทนสังคม เป็นการเติมเต็มในสิ่งที่ผู้สูงอายุบางรายยังขาดอยู่ รวมทั้งยังเป็นการช่วยเหลือสาธารณกุศล โดยบ้านหลังที่ก่อสร้างนั้นจะมีลักษณะเป็นบ้านชั้นเดียว มีห้องนอน 1 ห้อง และ 1 ห้องน้ำ รวมมูลค่าเป็น 150,000 บาท
12 ส.ค. 2560
นายกฯ พร้อมคณะรัฐมนตรี ร่วมพิธีตักบาตรถวายพระราชกุศล
ช่วงเช้าที่ผ่านมา ณ พระลานพระราชวังดุสิต พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและภริยา เดินทางมาเป็นประธานในงานพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร 851 รูปจากวัดต่างๆในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลกับถวายพระราชกุศลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2560 ทั้งนี้ ก่อนเริ่มพิธีตักบาตรได้มีการนิมนต์สมเด็จพระราชาคณะ พระสงฆ์ รวม 10 รูป ประกอบพิธีสงฆ์ ณ ปะรำพิธี โดยอัญเชิญ “พระพุทธโลกนาถสิริคุณ” ซึ่งจัดสร้างในโอกาสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 12 สิงหาคม 2535 เป็นพระพุทธรูปประธานในพิธีด้วย ทั้งนี้ สำหรับสิ่งของและอาหารแห้งในการตักบาตรครั้งนี้ จะรวบรวมส่งไปยังศูนย์เราทำดีด้วยหัวใจ ส่วนหน้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อนำช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยโดยด่วนต่อไป
12 ส.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : สายธารพระเมตตา จากภูมิปัญญาสู่งานศิลป์
กระทรวงวัฒนธรรมสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ด้านการอนุรักษ์ผ้าไทย พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมชมนิทรรศการผ้าไทย "สายธารพระเมตตา จากภูมิปัญญาสู่งานศิลป์" ณ หอศิลป์ร่วมสมัย ถนนราชดำเนิน นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย ว่า นิทรรศการสายธารพระเมตตา จากภูมิปัญญาสู่งานศิลป์ ที่จัดขึ้น ณ หอศิลป์ร่วมสมัย ถนนราชดำเนิน เป็นนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีคุณูปการอเนกอนันต์ในด้านการส่งเสริมผ้าไทย ซึ่งภายในงานมีการจัดแสดงผ้าไทยหลากหลายประเภท ทั้งผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าชาวเขา และตัวอย่างการออกแบบเสื้อผ้าไทยแฟชั่นร่วมสมัย สามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวด้วยว่า กระทรวงวัฒนธรรมยังจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 อีก 3 คือ กิจกรรม 5 ศาสนามหามงคล ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย วันที่ 16 สิงหาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป การแสดงโขนเฉลิมพระเกียรติ ณ โรงละครแห่งชาติและศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และจัดทำวีดีทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ความยาว 4 นาที ออกอากาศทางสถานีโทรทัศร์ต่างๆ และโซเชียลมีเดีย ฐิตาวัลย์ ลาภขจรสงวน /สวท.
12 ส.ค. 2560
สกู๊ป : ปฏิรูปตรวจคนเข้าเมือง เสริมท่องเที่ยวไทย
จากกรณีที่มีผู้โพสต์ภาพบรรยากาศภายในพื้นที่ตรวจคนเข้าเมืองของท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ที่มีผู้รอใช้บริการจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมมาท่องเที่ยวประเทศไทย ทำให้รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาระบบตรวจคนเข้าเมือง เพิ่มจำนวนบุคลากร ลดขั้นตอนที่มีความล่าช้า พร้อมพัฒนา ใบ ตม. 6 ให้ทันสมัย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศมากขึ้น ภาพความเห็นอัดบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองในสนามบินนานาชาติดอนเมือง ที่มีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย นำมาโพสต์ เพื่อสอบถามปัญหา และอุปสรรคในการทำงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นปัญหาที่รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้ามาประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เห็นได้จากการลงนามให้ยกเลิกแบบรายการบุคคล ซึ่งเดินทางเข้ามาใน หรือ ออกไปนอกราชอาณาจักร หรือ ตม. 6 แบบเดิม ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดำเนินการทันทีเมื่อรับทราบปัญหา และหาแนวทางที่จะปรับปรุงกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง บริเวณท่าอากาศยานต่างๆ มีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาการรอตรวจ และลดความแออัดของผู้โดยสารที่เดินทางเข้า ออกประเทศ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 สำหรับใบ ตม. 6 แบบใหม่ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเตรียมนำมาใช้ จะมีข้อมูลที่จำเป็นต้องกรอกน้อยลง เพื่อลดระยะเวลาด้านเอกสาร ซึ่งข้อมูลที่กรอกมีความจำเป็นต่อการนำไปวิเคราะห์แผนด้านการตลาด และการท่องเที่ยวของประเทศไทย นอกจากนี้ ปัญหาจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศมากขึ้น เบื้องต้นการท่าอากาศยานดอนเมืองจะเพิ่มช่องตรวจอีก 14 ช่อง จากเดิมที่มีอยู่ 21 ช่อง รวมเป็น 35 ช่อง พร้อมจะนำบุคลากรภายนอกมาเสริมการทำงาน โดยจะมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ให้สอดคล้องกับเที่ยวบินที่เข้ามามากกว่าปกติในบางช่วงเวลา พร้อมกับการเตรียมเสนอให้ชาวต่างชาติบางประเทศ สามารถใช้ช่องตรวจอัตโนมัติได้ เพื่อลดความแอดอัดอีกทางหนึ่ง ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จะรับบุคลากรภายนอกเข้ามาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจำนวน 300 อัตรา รองรับการเติมโตของท่าอากาศยานนานาชาติทั่วประเทศ รวมไปถึงการประชุมวางแผนเที่ยวบินร่วมกับบริษัท การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ในการบริหารจัดการเที่ยวบินที่จะเดินทางเข้าออกประเทศ จำนวนผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศไทยจำนวนมาก สะท้อนถึงความเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ความหนาแน่นของผู้ที่เข้าเที่ยวรอตรวจสอบเอกสาร และตรวจสอบประวัติการตรวจคนเข้าเมือง จึงถือเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้น เสียงสะท้อนของสังคมที่เกิดขึ้นต่องานด้านตรวจคนเข้าเมือง จึงถือเป็นการช่วยกันในการตรวจสอบ นำไปสู่การพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ที่จะทำให้ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศได้รับการตอนรับที่ดี และมีความสะดวกสบายมากที่สุด
12 ส.ค. 2560
สกู๊ป : ปฎิรูปกฏหมายเศรษฐกิจ เพื่อพัฒนาชาติ
การพัฒนาประเทศไปข้างหน้า การปฏิรูปกฎหมายก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ เพราะกฎหมายคือกติกาที่ทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุขหากเกิดการยอมรับจากทุกฝ่าย ไม่เพียงเท่านั้นกฎหมายที่ล้าสมัยบางฉบับอาจจะสร้างปัญหาและการติดขัดต่อการดำเนินการพัฒนาประเทศได้ โดยเฉพาะกฎหมายในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ติดตามได้จากรายงาน การปฏิรูปกฎหมายนับเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถือเป็นอีกหนึ่งกลไกที่จะสร้างความเป็นธรรมในสังคม พร้อมๆกับการทำให้สังคมมั่นใจว่า จากนี้กฎหมายจะเป็นกฎกติกาที่ทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และเกิดความเป็นสำหรับคนทุกกลุ่ม สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องการปฏิรูปไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการเดินหน้าปรับปรุงกฎหมายที่มีความล้าสมัย ให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจ อาทิ กฎหมายแรงงานคนต่างด้าว กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร ที่ประเทศไทยไม่เคยมีมาก่อน หรือ กฎหมายที่เกี่ยวกับบัตรเครดิต และกฎหมายยึดทรัพย์บุคคลที่ฟ้องล้มละลาย ซึ่งขณะนี้ประเทศไม่สามารถดำเนินการยึดทรัพย์ได้ ซึ่งล้วนเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลัง จัดลำดับความสำคัญในการแก้กฎหมาย เพราะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาระยะ และดำเนินการด้วยความรอบคอบไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประเทศในอนาคต ในช่วงประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการวาวรากฐานประเทศให้มีความมั่นคง และทำให้ก้าวต่อไปในอนาคตมีความยั่งยืน จึงจำเป็นที่ต้องยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่ล้าสมัย การปฏิรูปที่เกิดขึ้นจึงสร้างสิ่งใหม่โดยการใช้กฎหมายใหม่เข้ามาบังคับใช้ เพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวสิทธิบัตรและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะที่รัฐบาลจะต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพให้รัดกุม ปัจจุบันรัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย อยู่ในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง มีหน้าที่ในการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วนในทุกมิติ ซึ่งเป็นการแสดงความจริงใจของรัฐบาลที่ต้องการปฏิรูปกฎหมายให้เกิดขึ้น การปรับปรุงกฎหมายครั้งนี้รัฐบาลยืนยันว่าจะต้องอยู่กรอบที่ทุกฝ่ายยอมรับนั่นคือเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย หน่วยงานของรัฐ และประชาชน ที่ให้ความร่วมมือ เพื่อไม่ให้กลายเป็นอุปสรรคต่อการบังคับใช้กฎหมายในอนาคตหรือเอื้อประโยชน์กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
12 ส.ค. 2560
สกู๊ป : ชวนเที่ยวคลองผดุงฯ Gift for Mom ของขวัญวันแม่
ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมในช่วงเทศกาลวันแม่ปีนี้ รัฐบาลได้เตรียมกิจกรรมพิเศษไว้หลายกิจกรรม สำหรับประชาชนที่พาครอบครัวมาจับจ่ายใช้สอยสินค้าภายในงาน จะมีอะไรบ้างนั้น ติดตามได้จากรายงาน ตลาดนัดคลองผดุงกรุงเกษม หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญในกลางกรุงเทพมหานคร ที่รัฐบาลเปิดเป็นพื้นที่สำหรับประชาชน และเกษตรกร นำสินค้ามาจัดแสดง ทำให้ประชาชนรู้จักอย่างแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งจัดอย่างต่อเนื่องมาแล้วถึง 3 ปี จนได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย สำหรับเดือนนี้ที่เป็นเดือนแห่งการบอกรักแม่ ภายใต้คอนเซปต์ของการจัดงาน ตลาดของดี SMEs เกษตรไทย รัฐบาลจึงมีกิจกรรมพิเศษเพิ่มเติม เพื่อเป็นการมอบความสุขให้กับวันแม่แห่งชาติ ซึ่งเป็นวันครอบครัวของใครหลายคน ได้ที่มาเที่ยวจับจ่ายใช้สอย นอกจากเครื่องประดับของกินและของใช้แล้ว ในงานนี่ได้มีการจำหน่ายสลาก ธกส.รอบพิเศษแห่งปี โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 500 บาท ซึ่งถือเป็น ล๊อตสุดท้ายที่สามารถซื้อได้ในปี 2560 มีมูลค่ารางวัลสูงสุดถึง 20 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุก อาทิ ถ่ายรูปกับทั้งครอบครัว เพื่อออกเป็นแสตมป์เก็บไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับคนที่พาพ่อและแม่มาเที่ยวในวันหยุด นอกจากนั้นยังมีบริการจัดตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ให้แก่คุณแม่ในช่วงวันที่ 12-13 สิงหาคม นอกจากนี้ สำหรับประชาชนที่ต้องการซื้อของฝากคุณแม่ ภายในงาน ยังมีสินค้ามากมายจัดจำหน่าย อาทิ ผ้าไหม เครื่องประดับ เสื้อผ้าสำเร็จรูป กระเป๋าหนัง กลุ่มจักสานผักตบชวา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัดที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี ยังไม่นับของรับประทานที่มีอย่างหลากหลาย ทั้งผลไม้ท้องถิ่นและอาหารสำเร็จรูป อย่างหลากหลายชนิด ได้แก่ กาแฟจากตาลโตนด จังหวัดสงขลา หมูยอ-ไส้กรอกอีสาน จังหวัดอุบลราชธานี มะพร้าวน้ำหอมพร้อมทาน จังหวัดสมุทรสาคร น้ำอ้อยไร่ไม่จน จังหวัดนครปฐม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของขึ้นชื่อของดีประจำหวัดแทบทั้งสิ้น นอกจากนี้ ในช่วงพิเศษเทศกาลวันแม่นี้ รัฐบาลได้อำนวยความสะดวกสำหรับประชาชนที่มาซื้อของ ให้ไปรษณีย์มารบริการประชาชนทุกคนที่มาเดินตลาดนัดคลองผดุงแห่งนี้ สามารถซื้อของแล้วสามารถห่อเป็นพัสดุ เพื่อส่งต่อให้กับคนที่รักได้ทันทีในต่างจังหวัด นับเป็นการอำนวยความสะดวกให้คนที่อยู่ห่างไกลหรือต่างจังหวัดที่ไม่ต้องมาเลือกซื้อด้วยตนเองอีกทางหนึ่ง สำหรับประชาชนที่สนใจที่จะมาเที่ยวงาน ชม ชิม ช๊อป งานตลาดของดี SMEs เกษตรไทย ที่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม สามารถมาได้ที่บริเวณข้างทำเนียบรัฐบาล โดยงานจะจัดขึ้นตั้งวันนี้ จนถึงวันที่ 27 สิงหาคม 2560