text
stringlengths
11
12.4k
meta
dict
เรือกาบกล้วย เรือกาบกล้วย ของเล่นที่ทํามาจากวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktoys", "title": "folktoys" }
เต่าวิ่ง เต่าวิ่งทําจากกะลามะพร้าว ของเล่นที่ทําจากวัสดุที่หาได้จากธรรมชาติ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktoys", "title": "folktoys" }
ตะกร้อใบลาน ใบลานอ่อน หรือ ยอดลานอ่อน สามารถนําไปใช้ในงานจักสารต่าง ๆ ใช้ทําเป็น พัด หมวก กระเป๋า เสื่อ งอบ ภาชนะต่างๆ ในครัวเรือน รวมไปถึงทําเป็นเครื่องประดับสําหรับตกแต่งบ้าน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktoys", "title": "folktoys" }
กังหันกระดาษ ของเล่นพื้นบ้านของไทยที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ สังคม และเสริมสร้างความเข้าใจในหลักกลศาสตร์ ซึ่งมักจะนําไปใช้กับเด็กโต เช่น เด็กประถมศึกษา หรือโดยทั่วไปก็นับจากอายุเด็กประมาณ 2-6 ปี
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktoys", "title": "folktoys" }
เครื่องบินโฟม เครื่องบินโฟม เป็นการจําลองของเล่นให้มีความคล้ายคลึงกับเครื่องบินลําจริงมากที่สุด
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktoys", "title": "folktoys" }
ลากกาบมะพร้าว ลากกาบมะพร้าวหรือลากกาบหมาก เป็นของเล่นพื้นบ้านของไทยในแถบภาคกลางที่ได้มาจากวัสดุธรรมชาติ และไม่จําเป็นต้องสร้างเพิ่มเติมอะไรมากมาย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktoys", "title": "folktoys" }
กังหันใบมะม่วง กังหันใบมะม่วงเป็นของเล่นพื้นบ้านของไทยที่สามารถสร้างความสนุกสนานให้กับเด็กๆ พร้อมทั้งได้ออกกําลังกายไปในตัว ทั้งนี้การที่ใบมะม่วงสามารถหาได้โดยทั่วไปในสมัยก่อน จึงทําให้ผู้ปกครองหลายๆ ท่านนําของเล่นนี้มาให้เด็กๆ เล่นร่วมกันกับเพื่อนๆ ซึ่งถ้าผู้ปกครองได้สอนให้เขาฝึกทําเองก็จะเป็นการส่งเสริมให้เค้าได้ใช้จินตนาการและรู้ประโยชน์ของสิ่งรอบตัวของเขา และการได้นํามาเล่นร่วมกับผู้อื่นก็จะเป็นการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในด้านอารมณ์ สังคม และภาษาได้ด้วย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktoys", "title": "folktoys" }
ตาบอดคลําช้าง มีคนตาบอดหกคน ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันอยู่ที่บ้านจันตคาม คนตาบอดทั้งหกได้เดินนออกมาคุยกันตามทางว่า "เราจะพาไปตั้งวงดนตรีจะไปไหม?" "เราก็อยากร้องเพลงแบบนั้นแบบนี้นะ" ตาบอดคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "นายจะร้องได้ไหม?" อีกคนตอบ "มันจะยากอะไร" เมื่อคุยกันได้สักพัก ก็มีเจ้าเมืองซึ่งเป็นเจ้านายขี่ช้างมาตามทางแล้วก็ตะโกนขึ้นมาว่า "หลบทางช้างเดินด้วย หลบท้างช้างเดินด้วย" ตาบอดคนหนึ่งเลยพูดขึ้นมาว่า "นั่นช้างหรอ" ตาบอดเลยอยากรู้ว่าช้างเป็นอย่างไร จึงขอเจ้าเมืองจับช้าง เจ้าเมืองจึงอนุญาตและให้คนตาบอดเข้ามาจับช้างได้ทีละคน ตาบอดคนแรกเข้าเดินเข้าไปทางหางช้าง และเข้าไปจับที่หาง แล้วพูดขึ้นมาว่า "โอ้โห ช้างนี่มันเหมือนไม้กวาดเลย" คนที่สองเข้ามาไปจับโดนตรงขาช้าง แล้วก็บอกว่า "ช้างนี่เหมือนสูบตีเหล็กนะ" คนที่สามเข้ามาทางด้านข้างของช้าง ก็จับดูทางด้านข้าง "โอ้ ช้างนี่เหมือนผนังยุ้งข้าวเลย" คนที่สี่เข้ามาถึง ก็จับไปโดนหูช้าง "โอ้ ช้างนี่เหมือนภาชนะสําหรับฝัดข้าวเลย" พอคนที่ห้าเข้ามาถึง ก็เข้าไปจับโดนมือช้างหรืองวงช้าง ก็พูดว่า "โอ้ช้างนี่มันเหมือนปลิงเลย ปลิงตัวใหญ่ด้วย" พอคนที่หกเข้ามาถึง ก็ไปจับโดนตรงส่วนของงาช้าง กระดูกหรือแก่นของงาช้าง อุทานว่า "ปัดโธ่เหมือนด้ามมีดตะขอเลย" ตาบอดทั้งหกเข้าใจว่าช้างมีลักษณะเป็นอย่างที่ตัวเองไปจับ จากนั้นเจ้าเมืองจึงขี่ช้างเดินทางต่อไป ตาบอดทั้งหกจึงเดินไปตามทางและไปหยุดที่ใต้ต้นมะกอก เพื่อพักให้หายเหนื่อย ตาบอดคนหนึ่งได้พูดขึ้นว่า "เอ้า พวกแกว่าช้างเหมือนอะไร?" "เราว่าช้างเหมือนปลิง" คนหนึ่งพูดขึ้นมา "มันไม่ใช่หรอกแก ไม่ใช่ช้างนี่เหมือนสูบตีเหล็ก พวกนี้ไม่รู้จักช้าง" อีกคนก็เถียง ส่วนคนตาบอดที่จับโดนข้างช้างเลยบอกว่า "ช้างนี่เหมือนผนังยุ้งข้าวสิ" คนที่จับโดนหางก็บอกว่าช้างนี่เหมือนไม้กวาดที่กวาดบ้าน คนที่หกกล่าวว่าช้างเหมือนตะขอมีด ตะขอสําหรับฟันไม้ ไม่นานนักมะกอกลูกสุกก็หล่นจากต้นตกใส่หัวตาบอดคนหนึ่ง จึงบอกว่าอย่าทะเลาะกันสิ อย่าตีกันเลย อีกคนก็บอกไม่ได้ตี ไอ้ลูกนี่มันโดนหัวนี่ สักพักก็ตกใส่หัวอีก ตาบอดจึงนึกว่าเพื่อนมาทําร้ายเนื่องจากถกเถียงกันเรื่องลักษณะของช้างที่แต่ละคนไปจับมา ตาอบอดทั้งหกจึงทะเลาะทุบตีกันเป็นพันวัล
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ขอคํากระฮอกด่อน ในขณะนั้นมีพญาผู้หนึ่งชื่อว่า พญาขอม ครองเมืองหนองหาน พญาขอมมีธิดาชื่อว่า นางไอ่ มีชายคนรักชื่อ ผาแดง และมีส่วนนาคหนุ่มนั้นชื่อ ท้าวภังคี เป็นลูกชายของพญานาคในเมืองบาดาล ซึ่งต่างก็ชอบนางไอ่ทั้งสอง อยากได้ไปเป็นคู่ครอง นาคหนุ่มท้าวภังคีได้จําแลงเป็นกระรอกเผือกไต่ขึ้นต้นงิ้ว และเพื่อแสดงตน จึงแขวนกระดิ่งทองไว้ด้วย กรอกเผือกกระโดดโลดเต้นไปมามาตามกิ่งไม้ เมื่อนางไอ่เห็นเข้าก็เกิดอยากได้ จึงไปเรียกเอาหมอพราหมณ์มายิงกระรอกเผือกตัวนั้น หลังจากโดนยิงก็ตกลงมาพื้นดิน กระรอกเผือกซึ่งตกจากต้นไม้ ก็ปรารถนา ขอให้ร่างกายของเราใหญ่โตเท่าช้างสารมีมากล้น เนื้อหนังของเราจงเพียงพอแก่การเลี้ยงดูผู้คนทั่วทั้งเมือง ใครไม่ได้กินไม่มี เมื่อทราบเรื่องการตายของท้าวภังคีแล้วพ่อพญานาคก็โกรธแค้นมาก จึงเกณฑ์พรรคพวกขึ้นมาจะรบราฆ่าฟันกัน ผาแดงนางไอ่ที่นั่งคุยกันอยู่ ก็ต้องวิ่งหนีกันไปคนละทางเนื่องจากแผ่นดินถล่มเกิดคลื่นน้ําอยู่ข้างใต้ นายสามที่เป็นนายม้าของผาแดง นายสามมาก็เอาผาแดงขึ้นขี่ เอานางไอ่ขึ้นขี่ และหนีตาย เลยได้ชื่อว่าห้วยสามพาด
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ครั้งหนึ่งนานมาแล้วในฤดูฝน มีการเตรียมปักดํากล้าข้าว ทุกครอบครัวจะออกไปไถนาเตรียมการเพาะปลูกมีครอบครัวของชายหนุ่มคนหนึ่งกําพร้าพ่อก็จะออกไปปฏิบัติภารกิจเช่นเดียวกัน วันหนึ่งเขาไถนาอยู่นานจนสายตะวันขึ้นสูงแล้ว เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมากกว่าปกติและหิวข้าวมากกว่าทุกวัน ปกติแล้วแม่ผู้ชราจะมาส่งข้าวให้ทุกวัน แต่วันนี้กลับมาช้าผิดปกติเขาจึงหยุดไถนา เข้ามาพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ปล่อยเจ้าทุยไปกินหญ้า สายตาเหมือนมองไปทางบ้านรอคอยแม่ที่จะมาส่งข้าวด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจ ยิ่งสายตะวันขึ้นสูงแดดยิ่งร้อนความหิวกระหายยิ่งทวีคูณขึ้น ทันใดนั้นเขามองเห็นแม่เดินเลียบมาตามคันนา พร้อมกับก่องข้าวน้อยๆ เขารู้สึกไม่พอใจที่แม่เอาก่องข้าวน้อยนั้นมาช้ามาก ด้วยความหิวกระหายจนตาลายอารมณ์พลุ่งพล่าน เขาคิดว่าในก่องข้าวน้อยนั้นคงกินไม่อิ่มเป็นแน่ จึงเอ่ยต่อว่าแม่ของตนว่า “อีแก่มึงไปทําอะไรอยู่ถึงมาส่งข้าวให้กูกินช้านัก ก่องข้าวก็เอามาแต่ก่องน้อยๆ กูจะกินอิ่มหรือ” ผู้เป็นแม่เอ่ยปากตอบลูกว่า “ถึงก่องข้าวจะน้อยแต่ก็น้อยต้อนแต้นแน่นในดอกลูกเอ๋ย ลองกินเบิ่งก่อน” ความหิว ความเหน็ดเหนื่อย ความโมโหหูอื้อตาลาย ไม่ยอมฟังเสียงใดๆเกิดบันดาลโทสะอย่างแรง จึงคว้าได้ไม้เข้าตีแม่ที่แก่ชราล้มลงแล้วเดินไปกินข้าวจนอิ่มแล้วแต่ข้าวยังไม่หมดก่อง จึงรู้สึกผิดชอบชั่วดีรีบไปดูอาการของแม่ และเข้ามาสวมกอดแม่ชายหนุ่มร้องไห้โฮ สํานึกผิดที่ฆ่าแม่ของตนด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ เมื่อชายหนุ่มปลงศพแม่แล้วขอร้องชักชวนญาติมิตรชาวบ้าน ช่วยกันปั้นอิฐก่อเป็นธาตุเจดีย์บรรจุอัฐิแม่ไว้จึงให้ชื่อว่า “ธาตุก่องข้าวน้อยฆ่าแม่” จนตราบทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
บักหําน้อย เรื่องมีอยู่ว่า ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งของภาคอีสาน กําลังตรวจสุขภาพฟันประจําปีของเด็ก เด็ก ๆ มาต่อคิวเพื่อที่จะตรวจสุขภาพฟัน หมอก็ตรวจเด็กเล็กทีละคน จนมาถึงเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เด็กคนนี้มีฟันผุ หมอเลยบอกเด็กคนนี่ว่า “โอ...ฟันผุนะจ๊ะหนู อย่างนี้ต้องถอนนะจ๊ะ” พอหมอพูดจบก็จัดการฉีดยาชา แล้วก็จัดการถอนฟันที่ผุซี่นั้นออก ด้วยความเจ็บปวดจากการถอนฟัน เด็กคนนั้นจึงร้องไห้ และพอถอนออกเรียบร้อยแล้ว เด็กคนนั้นก็ร้องไห้ไม่หยุดซักที คุณครูผู้ยืนให้กําลังใจเด็กอยู่ เลยถามเด็กน้อยคนนั้นว่า “เป็นจั่งใด๋ เจ็บบ่หํา” เด็กก็ตอบครูว่า “หําบ่เจ็บครับ เจ็บแต่แข่ว” พอทุกคนได้ยินประโยค ที่เด็กคนนั้นพูดจบก็พากันหัวเราะ ก็เลยเป็นที่มาของนิทานเรื่องที่ว่า “บักหําน้อย”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
รื้อบ่อน้ํา วันหนึ่งพ่อตากับลูกเขยพากันไปรื้อบ่อน้ําใช้ พอขุดไปขุดมาพ่อตาไม่รู้ว่าเป็นอะไรท้องไส้ไม่ดี เกิดผายลมออกมา ลูกเขยรู้สึกเหม็นมากเลยพูดว่า “เหม็นตดหมาตัวไหนครับพ่อ” พ่อตาโกรธมาก เลยพูดขึ้นว่า “อ้าว ไอ้ทิด ในบ่อนี้ก็มีแต่กูกับมึงเท่านั้น ทําไมมึงพูดงี้ว่ะ” พ่อตาได้แต่แค้นอยู่ในใจ ที่ลูกเขยเรียกตนเองว่าหมา และก็คิดหาโอกาสแก้แค้น พอรื้อบ่อน้ําเสร็จ พ่อตาก็เลยถามลูกเขยว่า “ไอ้ทิด มีเงินมั้ย” ลูกเขยตอบว่า “มีอยู่ไม่มากเท่าไหร่” พ่อตาเลยชวน “เล่นโบกกันมั้ยล่ะ” ลูกเขยตกลง ก็เลยพากันเล่นโบก เล่นไปเล่นมา ลูกเขยเสียเงินให้พ่อตาจนหมด ลูกเขยกําลังติดลมอยากเล่นต่อ เลยขอยืมพ่อตา “พ่อๆ ขอยืมเงินหน่อยพอได้ต่อทุน” พ่อตาตอบว่า “ยืมไม่ได้หรอกไอ้ทิด กูก็เสียเหมือนกัน” ลูกเขยเลยโกรธพ่อตามาก เลยพูดขึ้นว่า “โอ้ยไม่รู้เสียให้โคตรพ่อโคตรแม่ใคร เล่นกันอยู่สองคนเท่านั้น”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
กว่าจะได้เป็นเจ้านายก็ติดการอุจจาระปัสสาวะ มีกลุ่มเพื่อน 3 คนเป็นเพื่อนรักกัน มีแต่คนเกเรทั้ง 3 คน เมาไปด้วยกัน กินแต่เหล้าอย่างเดียว “ไปไหนก็ไปด้วยกันนะเพื่อน อย่าทิ้งกันนะเพื่อน อย่าทิ้งกันนะ มึงเป็นคนดีก็ดีด้วยกัน” อยู่ไปหลายวันหลายคืน ก็เดินทางไปถึง ณ เมืองหนึ่ง เมืองนั้นพระราชาก็เสียชีวิต ก็เลยเอาเพื่อนคนหนึ่งไปเป็นพระราชาแทนผู้ที่ตายไปแล้ว และก็เลยเอาอีกคนหนึ่งเป็นอํามาตย์ฝ่ายขวา แต่ยังขาดอํามาตย์ฝ่ายซ้าย พระราชาก็เลยสั่งให้อํามาตย์ฝ่ายขวา ไปนําเพื่อนอีกคนหนึ่งไปตัดขี้ยางขายอยู่เป็นประจํา พระราชาบอกว่า “30 นาทีนะให้มาถึง” พูดอย่างเด็ดขาด อํามาตย์ฝ่ายขวาก็เลยไปตามเพื่อน ก็เลยไปหาเสี่ยวมา หามมา หามมา “เอ็งอยากเป็นเจ้านายไหม” อํามาตย์ถาม “อยากเป็นอยู่” ไปกับข้า หามมาใกล้จะเข้าเมืองเหลืออยู่ประมาณ 10นาที เกิดปวดท้องมากๆ จนทนไม่ได้ “เพื่อน ข้าทําไมปวดท้องมากขนาดนี้ว่ะ” ผู้นั้นกล่าว “อดทนไว้ อดทนไว้ ใกล้จะถึงแล้ว” พอพูดเช่นนั้นแล้ว หามมาทนไม่ไหวแล้วปวดหนักมากจะราดแล้ว ว่าแล้วก็โดดลงจากเสลี่ยง วิ่งไปเลย พระราชาก็เลยแต่งตั้งผู้อื่นเป็นแทน เพื่อนก็เลยไม่ได้เป็นนายเลย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ตํานานกุดนางใย เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า จากนิทานพื้นบ้าน ครั้งโบราณที่บริเวณแหล่งน้ํากุดนางใย(ในปัจจุบัน) มีครอบครัวหนึ่งตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ มีแม่และลูกชาย ภายหลังลูกสะใภ้ได้มาอยู่ร่วมกัน มาวันหนึ่งลูกชายได้ไปขายของทางไกล แม่และลูกสะใภ้อยู่บ้านเพียงสองคน คืนหนึ่งแม่ผัวสังเกตเห็นว่าห้องนอนของลูกสะใภ้จุดตะเกียงตลอดคืน คืนหนึ่งแม่ผัวสงสัยจึงไปแอบดูว่า ลูกสะใภ้ทําอะไรอยู่ในห้อง แล้วเห็นว่าลูกสะใภ้กําลังสาวใยไหม ออกจากปากตัวเองมาม้วนเข้าฝัก จึงเกิดความกลัว นึกว่าลูกสะใภ้เป็นภูตผีเข้าไปในห้อง ซักถาม และให้ร้ายว่าเป็นภูตผี ปีศาจ ทําให้ลูกสะใภ้อับอายจนหนีออกจากบ้านไป กระโดดลงลําน้ํา(กุดนางใย) เมื่อลูกชายกลับมารู้เรื่องราวได้แต่เศร้าโสกเสียใจ เมื่อถึงคืนเดือนหงายจะไปนั่งริมน้ํา และจ้องมองลงไปในสายน้ําเข้าไปนานๆ ก็จะมองเห็นภรรยาในน้ํานั้น และสาวใยไหมออกจากปาก ต่อมาที่แห่งนี้จึงได้ชื่อว่า กุดนางใย (ใยมาจากใยไหม)
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หลวงพ่อน้องงัว นานมาแล้วมีหลวงพ่อกับเณรน้อยจําวัดอยู่ในหมู่บ้านหนึ่ง วันนี้มีญาติโยมที่มาวัดถวายภัตตาหารเช้า โดยนําน้องวัวหรือรกของวัวที่ทําอาหารมาถวาย หลวงพ่อก็เลยซ่อนไว้โดยไม่ฉัน เณรน้อยก็เลยถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อเป็นอะไรทําไมไม่ฉันข้าว ไม่ๆฉันก่อนเลยยังไม่หิว หลวงพ่อก็เลยเอาน้องวัวไว้หัวบนหัวนอน หลังจากนั้นหลวงพ่อก็นอนหลับ เณรน้อยก็มาขโมยเอาน้องวัวไปกินจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือเลยสักนิดเลยหลวงพ่อตื่นขึ้นมา ไปดูไม่เหลืออะไรเลยไม่ได้ฉันข้าว หลวงพ่อเครียดมากก็เลยวิ่งไล่เณร เณรทําไมเอาของหลวงพ่อไปกินหมด เณรน้อยก็บอกว่าไม่ยากหรอกหลวงพ่อนับประสาอะไรกับน้องวัวเฉยๆ ผมพาไปเอาก็ได้จะพาไปเอา เณรน้อยก็เลยพาหลวงพ่อไปเอาน้องวัว หลวงพ่อก็เลยถามเณรน้อยว่าตอนไหนจะได้ เณรน้อยก็บอกว่าตอนมันถ่ายก็ล้วงเอาเลยสิ ก็เลยพากันเดินไปเจอวัวกําลังขี้ เณรน้อยกะเลยร้องว่าวัวขี้เอามือล้วงไปเลยหลวงพ่อ หลวงพ่อก็เลยเอามือเข้าไปที่ตูดวัว เพื่อหวังจะเอาน้องวัวมาต้มกินพอล้วงเข้าไปแล้ววัวก็เลยขยุ้มเอาแขนหลวงพ่อไว้ วัวก็พาหลวงพ่อวิ่ง เณรน้อยกะหัวเราะ หลวงพ่อก็วิ่งตกคันแทนาเกือบตาย ส่วนเณรน้อยหัวเราะมากเกินไปก็เลยตัวแข็งตาย คราวนี้หลวงพ่อเอามือออกได้ ก็เลยวิ่งมาหาเณรน้อยหัวเราะยิงฟันจนตาย นั่นแหละคือกรรมตามสนอง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หลวงพ่อกับเณรน้อย วันหนึ่ง ตอนเช้าก่อนหลวงพ่อจะออกไปบินฑบาตร ก็ได้สั่งเณรน้อยว่า “น้อยน้อย หลวงพ่อจะไปบิณฑบาตรนะ อยู่กุฏิก็ให้ดูดีๆ อย่าให้ไก่มาขี้ใส่เด้อ ถ้าไก่มาขี้ใส่ได้จะลงโทษอย่างหนัก” แล้วก็เข้าไปบิณฑบาต เณรน้อยก็เลยวางแผนอุบายแกล้งหลวงพ่อ ก็คือเอาน้ําอ้อยไปหยอดไว้ตรงนั้นตรงนี้ เริ่มตั้งแต่ที่บันได ขึ้นมาหยอดให้เหมือนกองขี้ไก่ หยอดแล้วก็คอยเฝ้าไล่ไก่ไม่ให้ขึ้นกุฏิ พอประมาณเวลาหลวงพ่อจะกลับมา เณรน้อยก็ทําท่าว่าไม่ได้อยู่เฝ้ากุฏิ ไปเดินเล่นที่อื่น หลวงพ่อกลับมาเห็นกองน้ําอ้อย นึกว่าเป็นกองขี้ไก่ หลวงพ่อเลยโกรธมากร้องเรียกหาเณรน้อยว่า “น้อยเอ้ยน้อย ไปทําอะไรอยู่ไหนมา ทําไมไม่มาเฝ้ากุฏิ ปล่อยให้ไก่มาขี้ใส่เต็มเลยเนี่ย” พอเณรน้อยมาแล้วหลวงพ่อก็ลงโทษให้กินขี้ไก่ เณรน้อยก็ทําเป็นอิดออดไม่อยากกิน แต่ในที่สุดก็เอามือลงไปปาดกองขี้ไก่กองนั้นกองนี้ ฮู้อร่อยๆ ฮู้หวานดีอร่อย พอหลวงพ่อเห็นเณรน้อยกินน่าอร่อยก็เลยถามว่า มันอร่อยจริงๆหรอน้อยมันไม่เหม็นหรอ อร่อยจริงๆหลวงพ่อลองชิมดู หลวงพ่อก็เลยเอามือปาดลงมาชิม โฮ้หวานหอมอร่อยดี ขี้ไก่มันอร่อยอย่างนี้ ปล่อยให้ไก่มาขี้ใส่กุฏินานแล้ว พรุ่งนี้ไม่ต้องไล่มันนะน้อย เณรน้อยก็หัวเราะอยู่ในใจ วันต่อมาก็สั่งเณรน้อยว่า น้อยๆ วันนี้ปล่อยให้ไก่มันมาขี้ใส่เยอะๆนะ เณรน้อยเลยหนีไปเล่นที่อื่น พอหลวงพ่อกลับมาเห็นไก่อยู่กุฏิกะดีใจ หลวงพ่อติดใจรสชาติขี้ไก่ หลวงพ่อจึงเอามือเอาขี้ไก่มาเลียกิน เอ๊ะ กองนี่มันทําไมไม่อร่อยว่ะ เป็นเหม็นๆด้วย สงสัยก็เลยไปหาชิมกองอื่น เณรน้อยร้องถามหลวงพ่อว่า เป็นยังไงหลวงพ่ออร่อยไหมหลวงพ่อ เป็นเหม็นๆเปรี้ยวๆหลวงพ่อเผยอปากตอบ เณรน้อยก็หัวเราะ ใครว่าขี้ไก่มันอร่อยขี้ไก่มันไม่อร่อยหรอก ฮ่าๆๆ หลวงพ่อเสียรู้เณรน้อย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หัวล้านหลื่นครู วันหนึ่ง มีหนุ่มอ้วนกับหนุ่มผอม เป็นเพื่อนกันไปจีบผู้หญิงที่ไหนก็มีแต่เขาไม่พูดด้วย ไปเลี้ยงควายเด็กเล็กก็ไม่พูดด้วย เพราะตัวเองเป็นคนหัวโล้น มีวันหนึ่ง เขาก็พูดกันอย่างหนาหูว่ามีพระมาธุดงค์ หนุ่มอ้วนกับหนุ่มผอมก็ไปหา หนุ่มอ้วนกับหนุ่มผอมก็นั่งลงกราบแล้วก็พูดขึ้นมาว่า พระก็เลยว่าไม่ต้องพูดหรอก รู้แล้วให้นั่งสมาธิก่อน หนุ่มอ้วนกับหนุ่มผอมก็เลยคุยกันว่าพระทําไมท่านเก่งจัง พอสักครู่หนึ่ง พระก็บอกหนุ่มอ้วนกับหนุ่มผอมให้ว่าหันหลังไปแล้วก็บอกว่าเห็นสระน้ํานั้นไหม หนุ่มอ้วนกับหนุ่มผอมก็บอกว่าเห็นอยู่ครับ ให้เจ้าทั้ง2ไปโดดน้ําสระ3ครั้ง หนุ่มอ้วนกับหนุ่มผอมก็ไปโดด กระโดดครั้งที่หนึ่งผมก็งอกขึ้นมานิดหนึ่ง ครั้งที่สอง ที่สาม หนุ่มอ้วนก็พูดกับหนุ่มผอมว่าผอมทําไมผมเอ็งถึงเยอะจัง ผมข้าทําไมน้อยนัก พอหนุ่มอ้วนพูดแล้วมันก็กระโดดลงไปในสระอีกเป็นครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้าครั้งที่หก ผมหนุ่มอ้วนก็เลยไม่มี กลายเป็นคนหัวโล้นดังเดิม
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ซิ่นสองต่อน ว่ากันว่าเมื่อปี 2514 จําปารักกันกับบุญหลายมาก แต่พอแม่กีดกันเพราะเป็นศัตรูกันเมื่อ 20ปีก่อน ทั้งสองคนจึงแอบคบกันลับๆ ตลอดมา จนวันหนึ่งจําปีพี่ของจําปา ซึ่งแอบรักบุญหลายอยู่เห็นจําปากับบุญหลายคุยกัน จึงไม่พอใจและนําความไปบอกพ่อแม่ ทําให้พ่อแม่แค้นใจจึงจับจําปาบวชชี เวลาผ่านไปหลายเดือนจําปาก็แอบหนีจากการเป็นชี หนีไปอยู่หมู่บ้านอื่นกับบุญหลาย ฝ่ายจําปีเมื่อทราบว่าจําปาหนีไปกับบุญหลาย จึงนําความไปบอกพ่อกับแม่ของบุญหลาย ฝ่ายแม่ของบุญหลายก็ตรอมใจตาย ส่วนพ่อของบุญหลายไม่เชื่อ จึงจับจําปีไปขังไว้ที่บ้านของตนแล้วไปบอกพ่อกับแม่ของจําปีว่าให้ คืนบุญหลายให้กับตน แล้วตนจะคืนจําปีให้ พ่อของจําปีจึงแสร้งมาพูดว่าไม่ได้เอาบุญหลายไป พร้อมกับนําห่อข้าวใส่ยาพิษมาให้พ่อของบุญหลายกิน และเวลาต่อมาพ่อของบุญหลายก็ตาย พ่อแม่ของจําปีก็พาจําปีกลับบ้านแต่ระหว่างทางก็โดนโจรป่าปล้น และฆ่าทิ้งทั้ง3คน ส่วนจําปากับบุญหลายก็ครองคู่กันไม่นานก็มีลูกแต่แท้ง จําปาเลยเป็นบ้าสติไม่เต็มวันหนึ่งเห็นมีดในครัว จึงถือมาฟันหัวบุญหลายตาย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เซียงเมี่ยง ตอนหลอกเจ้าเมืองลงน้ํา เซียงเมี่ยงเป็นคนที่เกลียดคร้านและก็โกหกเก่ง เจ้าเมืองได้ยินชื่อเสียงของเซียงเมี่ยง ก็เลยอยากลองเชาวน์เซียงเหมี่ยงดูว่าเซียงเมี่ยงจะโกหกท่านเจ้าเมืองได้หรือไม่ เจ้าเมืองก็เลยเดินทางไปที่หมู่บ้านที่เซียงเมี่ยงอยู่เจ้าเมืองก็นั่งครุ่นคิดหาวิธีจะทดลองปัญญาของเซียงเหมี่ยง เจ้าเมืองก็เลยเหลือบไปเห็นหนองน้ําก็เลยคิดออก ท่านเจ้าเมืองพูดว่า “อ้าวเซียงเมี่ยง ข้ากะได้ยินชื่อเสียงเจ้ามามากเจ้าลองมาโกหกข้าลงน้ําดูสิว่าเจ้าจะโกหกข้าได้มั้ย” เจ้าเมืองพูดไปหัวเราะไป เซียงเมี่ยงก็เลยพูด “โอ้ยตัวข้านี้จะโกหกท่านเจ้าเมืองลงน้ําไม่ได้หรอก เว้นจากโกหกท่านเจ้าเมืองขึ้นจากน้ํา" เจ้าเมืองได้ยินเช่นนั้นก็เลยลงไปในน้ําเจ้าเมืองก็เลยพูดว่า “ข้าลงน้ําแล้วเอ้าเจ้าลองโกหกข้าขึ้นจากน้ําดูสิ” เซียงเมี่ยงก็เลยหัวเราะชอบใจ “ข้าน้อยก็โกหกท่านเจ้าเมืองลงน้ําได้แล้ว” ท่านเจ้าเมืองได้แต่เจ็บใจที่เสียรู้เซียงเมี่ยง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
แม่ใหญ่แฮก ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีครอบครัวหนึ่ง มียายกับลูกชายผู้หนึ่ง ลูกชายไม่มีเมียแม่จึงไปหาสะใภ้มาเลี้ยง แต่อยู่มาหลายปีก็ไม่มีลูก กลัวไม่มีผู้สืบสกุล ยายจึงไปเอาลูกสะใภ้ใหม่มาให้ลูกชายอีก เมียหลวงจึงบอกเมียน้อยว่า “ถ้ามีท้องเมื่อไหร่ให้บอกนะเดี๋ยวฉันจะเอายาให้กิน” พอเมียน้อยตั้งท้อง เมียหลวงก็เอายามาให้กิน นางเมียน้อยกินแล้วก็ทําให้แท้งลูกทันที พอท้องครั้งที่2 เมียน้อยท้องได้6เดือน เมียหลวงก็เอายามาให้กินอีก เมียน้อยก็แท้งลูกอีก พอครั้งที่3 เมียน้อยก็เลยรู้ทันเลยหนีไปอยู่บ้านพ่อแม่ เมียหลวงก็รู้เลยตามไปเอายาให้นางกิน แต่เมียน้อยไม่กิน เมียหลวงก็เลยเอายากรอกปากให้เมียน้อยกินจนเมียน้อยตาย พอผัวรู้ก็เลยฆ่าเมียหลวงตามกันไป เมียน้อยได้พูดก่อนตายว่า “เมียหลวงตามอิจฉา ฉันก็จะขอตามอิจฉาทุกชาติไป” พอแต่เกิดชาติใหม่เมียหลวงเกิดเป็นไก่ เมียน้อยก็เกิดเป็นแมวอยู่ในครอบครัวเดียวกัน พอแต่ไก่ไข่ แมวก็ไปกินไข่ไก่แล้วก็ไก่ เมียน้อยตามอาฆาตทุกชาติไปจนถึงชาติที่3 เมียหลวงได้เกิดเป็นยักษ์ก็เลยบอกว่า พอพระพุทธเจ้ารู้ก็บอกให้หยุด ให้รักให้สามัคคีกันนางยักษ์ก็เลยบอกว่า “ข้าพเจ้าจะขอไปอยู่ทุ่งนา” ด้วยความที่นางเป็นยักษ์นางจึงรู้จักฝนฟ้าอากาศ แห้งแล้ง ชาวบ้านก็เลยเคารพนับถือ นําข้าวปลาอาหารมาถวาย ชาวบ้านจึงเรียกว่า “ตาแฮก” แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นแม่ใหญ่แฮก
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ทําไมมนุษย์จึงรู้จักการกินเมล็ดข้าว ในสมัยก่อนคนยังไม่รู้จักกินข้าว กินแต่รําข้าว ตอนทํานาได้ก็จะผัดเอาแต่รําข้าวมากิน ส่วนแก่นข้าวก็จะทิ้งไป มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่งมีลูกเล็กๆหนึ่งคน ลูกเล็กไม่ยอมกินรําข้าวเวลาพ่อแม่จะต้มรําข้าวให้กินลูกก็จะร้อง พ่อแม่ก็รู้สึกรําคาญจึงพูดว่า “เอ็งจะกินอะไรหา ร้องมากเดี๋ยวจะต้มแก่นข้าวให้กินตายๆไปซะแหละ” พอพูดจบลูกก็หยุดร้อง แต่พักเดียวก็ร้องอีก ทีนี้แม่ก็อารมณ์เสียแล้วพูดไปว่า “ทีนี้จะต้มเอาแก่นข้าว ให้กินจริงๆแหละ ร้องไปเลย” จากนั้นพ่อแม่ก็เอาแก่นข้าวไปต้มให้ลูกกินจริงๆ แล้วลูกก็ดีใจกินข้าวได้เยอะ พอกินอิ่มนอนหลับ พ่อแม่นั้นก็ตกใจนึกว่าลูกตายที่เอาแก่นข้าวที่คนกินกันไปให้ลูกกิน ก็ร้องไห้ใหญ่สักพักลูกก็ตื่นขึ้นมาอย่างมีความสุข จากนั้นพ่อแม่ก็ดีใจมากก็ต้มแก่นข้าวให้ลูกกินตลอด จนมีข่าวลือไปทั่วจากนั้นคนก็หันมากินแก่นข้าวแทนรําข้าวมาจนถึงปัจจุบัน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ปัญญาของพ่อ ชาวนาผู้หนึ่งมีบุตรอยู่สองคน วันหนึ่งอยากจะทดลองปัญญาของบุตรทั้งสอง จึงส่งแตงโมให้บุตรทั้งสอง 1ใบ โดยบอกให้ทั้งสองแบ่งกันกินเท่าๆกัน เพื่อจะได้ไม่ต้องโต้เถียงทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องได้มากได้น้อย ถ้าแบ่งไม่ได้เท่าๆกันเกิดทุ่มเถียงกันเกิดขึ้นเมื่อใดจะต้องถูกลงโทษทั้งสองคน เมื่อเด็กทั้งสองได้รับแตงโมมาแล้วไม่รู้ว่าจะผ่าแบ่งกันอย่างไรจึงจะได้ส่วนเท่าๆกัน ด้วยเกรงจะต้องถูกลงโทษ ในที่สุดจึงตกลงกันในวิธีการดังนี้ โดยที่เด็กทั้งสอง เห็นว่าเป็นวิธีที่ยุติธรรมที่สุด คือถ้าหากใครเป็นผู้ผ่าแตงโมออกเป็นสองซีก ผู้นั้นจะต้องเป็นฝ่ายเลือกทีหลัง และจะต้องยอมให้ฝ่ายที่ไม่ใช่เป็นคนผ่าเลือกก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนผ่าลําเอียง โดยผ่าเป็นชิ้นโตชิ้นหนึ่งและชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง แล้วคนผ่ารีบเอาชิ้นโตเป็นของตนเองเสียก่อน เมื่อเด็กทั้งสองได้ผ่าแตงโมแล้ว จึงรีบวิ่งไปเล่าให้บิดาฟัง บิดามีความพอใจในสติปัญญาของเด็กทั้งสองมาก
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ศรีธนนชัย ตอนเลี้ยงน้อง ศรีธนนชัยอยู่กับแม่และน้องชาย วันหนึ่งแม่บอกให้ศรีธนนชัยเลี้ยงน้อง “ศรีธนนชัยเอ้ย อาบน้ําล้างไส้ล้างพุงให้น้องนะลูก และเอาน้องนอน” ศรีธนนชัยรับปาก หลังจากแม่ไปทํางานศรีธนนชัยจึงเอาน้องไปอาบน้ําจนสะอาดและนึกออกว่าแม่ให้ล้างไส้ล้างพุงด้วย จึงหยิบมีดมากรีดท้อง เอาไส้ออกมาล้างและเก็บไว้เหมือนเดิม และได้พาน้องนอน แม่กลับมาเห็นน้องตายด้วยความซื่อและโง่ของศรีธนนชัย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
สร้อยขี้ตะกั่ว หนุ่มน้อยพ่อตายไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรติดตัว มีแต่สร้อยขี้กั่วที่พ่อทิ้งไว้ให้ หนุ่มน้อยจึงเอาสร้อยคอไว้ วันหนึ่งไปหาปลาในคลองน้ําที่เคยไปเป็นประจําแต่เกิด ทําสร้อยหล่นหายในน้ํา หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ หนุ่มน้อยเลยขึ้นมานั่งร้องไห้ใต้ต้นไม้ พญานาคเห็นเข้าจึงแปลงกายเป็นคนถามว่าเป็นอะไร หนุ่มน้อยจึงเล่าเรื่องให้พญานาคฟัง พญานาคจึงไปหาสร้อยมาร้อยเป็นสร้อยทองคําให้ แต่หนุ่มน้อยบอกพญานาคว่าไม่ใช่ของตน พญานาคจึงดําน้ําลงไปใหม่ได้สร้อยเงินขึ้นมามากมาย แต่หนุ่มน้อยไม่รับเพราะไม่ใช่ของตน พญานาคจึงดําลงไปเอาสร้อยขี้กั่วขึ้นมา หนุ่มน้อยบอกว่าใช่ นี่คือสร้อยของตน พญานาคเห็นความซื่อตรง ไม่โลภของหนุ่มน้อย จึงยกสร้อยทั้งหมดให้ พอลูกชายเศรษฐีรู้ข่าวจึงแกล้งไปทําสร้อยหล่นในคลองนั้น พญานาคก็ช่วยหาสร้อยเอาสร้อยทองขึ้นมาเศรษฐีบอกว่าเป็นสร้อยของตน แต่ยังเหลืออีกเอาสร้อยเงินขึ้นมาก็บอกว่าเป็นของตนด้วยความโลภ สร้อยทั้งหมดจึงกลายเป็นพญานาครัดเศรษฐีหนุ่มตายในที่สุด
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ขายปัญญา ครั้งก่อนสติปัญญานั้น มีการนํามาขายเหมือนสินค้าทั่วไป วันหนึ่งเวลาบ่ายซึ่งแดดร้อนจัดมีชายคนหนึ่งหาบปัญญามาขาย เมื่อมาถึงเมืองๆ หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเข้าไปเขาได้นอนพักใต้ต้นหว้าใหญ่ พอตื่นขึ้นมาก็จะนําปัญญาไปขายต่อ แต่เขาได้พบกับชายหนุ่ม 3 คน จึงได้ถามว่าจะซื้อปัญญาไหม ซึ่งปัญญาเป็นดั่งแก้วสารพัดนึก จะดลบันดาลให้ทําทุกสิ่งได้ ชายหนุ่มคนหนึ่งได้ยินดังนั้น จึงอยากลองว่าผู้นําปัญญามาขายจะฉลาดจริงหรือไม่ จึงถามชายขายปัญญาว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าต้นหว้านี้มีอะไร” ชายขายปัญญาคิดอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถตอบได้ ชายหนุ่มจึงเฉลยว่า “ใต้ต้นหว้านี้ย่อมมีดินและมด” ชายขายปัญญาได้ยินดังนั้นจึงเกิดความอับอายมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงยกหาบปัญญาเดินกลับไปทางเดิมที่เคยมา ระหว่างทางนั้นเขาได้พบกับชาวผิวขาวหรือพวกฝรั่งนั่นเอง เขาจึงได้เอาปัญญาไปขายให้แก่ชาวผิวขาว ด้วยเหตุนี้จึงทําให้ชาวยุโรปสามารถคิดและประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
จับราว ณ กรุงเทพ บนรถเมล์ทิดจ่อยได้เข้ามากรุงเทพเพื่อมาหางานทํา ก็ขึ้นรถเมล์จะไปหาเพื่อนให้ฝากงานให้ คราวนี้เขาอยู่บนรถเมล์แล้วพอดีรถเมล์เดินทางมาถึง กรุงเทพ กําลังก่อสร้างถนนมีหลุมใหญ่ กระเป๋ารถเมล์เขาก็บอกให้คนโดยสารให้ระวังและจับราวไว้แต่ออกสําเนียง ร.เรือไม่ชัดว่า “ละวัง ละวัง จับลาว จับลาว จับลาวไว้” ทิดจ่อยเขาก็นึกอารมณืร้อนขึ้นมา คิดในใจว่าเราไม่ได้ทําอะไรผิดทําไมจะต้องมาจับเราเป็นไงก็เป็นกันละ รอจังหวะพอรถช้าเขากระโดดลงจากรถเมล์ทันที แล้วก็ยกมือชี้ตามรถเมล์ร้องขึ้นอย่างดังว่า “ใครจะจับลาว แน่จริงก็วิ่งตามมาสิ” แล้วทิดจ่อยก็วิ่งหนีไป เห็นแต่ข้างหลังไกลๆ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
บักแหมบกับอีทา มีหนุ่มสาวที่รักกันมาตั้งนานแต่ด้วยทั้งสองไม่มีเวลาให้กันมีวันหนึ่ง ทาแฟนสาวได้บอกนายแหมบว่าคืนนี้ตอนสองทุ่มเราจะหย่อนผ้าขาวม้าลงมาหน้าต่างแล้วกะให้อ้ายแหมบปีนขึ้นไป พอถึงเวลาตอนสองทุ่มสาวทาก็ได้หย่อนผ้าขาวม้าลงมาหน้าต่าง นายแหมบก็ปีนขึ้นไปพอดี ผ้าขาวม้ามันขาดนายแหมบตกลงพื้นเสียงดังตุ้บ พ่อตาได้ยินเสียงเลยมาถามลูกว่า "อะไรตกลูก" ลูกสาวก็ตอบว่า "กระด้งจ้าพ่อ" นายแหมบก็เลยพูดขึ้นว่า "กระด้งพ่อกระด้งแม่มึงหรอ กระดูกกูหักสามท่อนสี่ท่อน แล้วยังมาว่ากระด้งตกอยู่"
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
แม่เฒ่ากับลูกเขย วันหนึ่งมีลูกเขยกับแม่ยายคุยกันไว้ว่า “ผมจะไปนาสักพักก่อนนะแม่ ให้แม่หมกนกคุ่มรอผมก่อนนะแม่” ลูกเขยพูดก่อนจะไปนาแม่ยายก็เลยย่างนกคุ่มแล้ว ก็เลยเดินไปเอาก้านกล้วยเอาใบตอง หมาก็เลยแอบมากินนกที่ย่างไว้จนเกือบหมด แม่ยายเดินมาไล่หมา “เส้ะ ไปมึงมากินของกูทําไม จะไปไหนก็ไป” แม่ยายไล่หมา ลูกเขยเดินมา “แม่ๆ เป็นอะไรทําไมเสียงดังโวยวาย” "โอ้ยหมามากินนกคุ่มเกือบหมดเลย แล้วจะทํายังไงกันดี พ่อเอ็งจะด่าแม่นะ" "ไม่เป็นไรหรอกแม่เดี่ยวผมจะทําให้" ลูกเขยก็จัดการเหลาก้านกล้วยใส่แล้วให้แม่หมก พอสุกแล้วแม่ยายก็เรียกพ่อตามากิน พ่อบอกว่า "ลดก้านกล้วยลงอีกสักนิดหน่อยนะแต่ก็อร่อยอยู่"
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
จําปาสี่ต้น มีแม่พญาอยู่เมืองหนึ่งชื่อนางอัดชี พ่อพญาชื่อพญาพรหมทัต ไม่มีมีลูกมีเต้า วันนั้นพญาพรหมทัตเกิดบังเอิญออกไปเที่ยวประพาสป่าวันนั้นพญานั้น เสด็จไปในป่าไปนอนในกลางป่าฝันเห็นไปเรื่อยๆ ตื่นมาก็เห็นนางคํากองไปในเมืองหนึ่งในเมืองนั้นมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง นกอินทรีย์ใหญ่นั้นแต่ละวันนั้นมาจับกินราษฏรอยู่ในเมื่องนั้นทุกวันๆ กินจนหมดเมืองนั้น พ่อพญากล่าวว่า "ทํายังไงลูกกู ลูกสาวคนเดียว จะทํายังไงดี ถ้ามันมากินจนหมดแล้วไม่มีใครสืบพระราชบัลลังก์" แล้วที่นี้พญานั้นคิดได้ก็เลยให้พวกเสนาอํามาตย์เอาไม้มาทํากลอง ชื่อนางปทุมมาชื่อลูกนั้นทํากลองอันใหญ่ ใหญ่กว่ากลองเพลแล้วก็เอาสิ่งของเงินทองของอยู่ของกินเอาเข้าไว้ในกลองนั้น ทีนี้ก็เอานางปทุมมาเข้าไว้ในกลองนั้นไว้ไปซ่อนไว้กลัวนกมากิน ทีนี้พญาทั้งพ่อทั้งแม่นกนั้นกินหมดเหลือแค่นางปทุมมาเพียงคนเดียวในเมืองนั้น ไปคร่าวนั้นพ่อพญาพรหมทัตไม่มีเพื่อนไม่มีเมียผัวนางอัคคีนั้น พญาพรหมทัตขี่ม้าเข้าไป พอไปถึงพญาพรหมทัตกล่าว "เมืองนี้ทําไมเงียบอย่างนี้ ทําไมไม่มีคน ไปดูสิเสนาอํามาตย์มันเมืองมันเมืองอะไรทําไมไม่มีคน" พอเข้าไปในเมืองก็เห็นแต่กองกระดูกเหมือนภูเขาที่นกอินทรีย์กินแล้วก็กองไว้ พญาพรหมทัต "มันทําไมแปลกมันทําไมจึงไม่มีคน" เดินไปเดินมาและมองดูไปเห็นกลองใหญ่ "นั้นกลองอะไรมันทําไมใหญ่ขนาดนี้ไม่เคยพบเห็น" พอพูดจบก็ตีกลองนั้น นางปทุมมาอยู่ในกลองจึงพูดขึ้นว่า "ถ้าจะกินข้าก็ให้มากินเสียให้ตายไปตามพ่อข้า" ก็มีเสียงออกจากกลอง พระเจ้าพรหมทัตเกิดความสงสัยจึงตีอีกรอบที่สองและรอบที่สามก็ยังมีเสียงพูดก็เลยตัดสินใจเอาดาบแทงกลองนั้นออกมาเมื่อเปิดเข้าไปก็เห็นสาวงามจึงเกิดอยากได้เป็นมเหสี ก็เลยถามชื่อเสียงเรียงนาม นางปทุมมาจึงเล่า "พ่อแม่นั้นโดนนกอินทรีย์จับกินจนหมดแล้วเหลือเพียงข้าคนเดียวที่ท่านพ่อนํามาซ่อนไว้ในกลอง" เมื่อพญาพรหมทัตได้ยินเช่นนั้นจึงขอและตกลงให้มาเป็นมเหสีของพระองค์ พญาจุลมณีไม่ใช้พญาพรหมทัตก็เลยตั้งชื้อให้ว่านางคํากองเพราะนางอยู่ในกลองแต่ก่อนนั้นชื่อนางปทุมมา พญาจุลมณีจึงนํานางมาที่เมือง นางอัคคีนั้นที่เป็นเมียหลวงเห็นอย่างนั้นจึงเกิดอิจฉาเพราะพญาจุลมณีก็รักนางคํากองอย่างมาก อยู่ได้ไม่นานนางคํากองก็ตั้งท้องเมื่อนางคลอดลูกออกมานั้นก็เป็นลูกชายทั้งสี่คน นางอัคคีก็เกิดความอิจฉาหวาดกลัวโอรสทั้งสี่จะมาแย่งราชสมบัติและบ้านเมือง ในวันที่นางคํากองให้กําเนิดโอรสทั้งสี่ พญาจุลมณีได้ประพาสป่า นางอัคคีได้นําลูกสุนัขมาสับเปลี่ยนโอรสทั้งสี่แล้วนําผ้ามาปิดตานางคํากองเพื่อไม่ให้นางคํากองมองเห็น นางคํากองจึงถาม "นําผ้ามาปิดตาข้าทําไม" นางอัคคีจึงโกหกว่ากลัวเห็นเลือดแล้ววิงเวียน เมื่อนางคํากองเปิดตาออกมาก็เห็นลูกของตนนั้นเป็นลูกสุนัขนางจึงกล่าว "ข้าได้ยินเสียงเด็กร้องไห้แต่ทําไมลูกข้าจึงเป็นลูกสุนัข" เมื่อพญาจุลมณีกลับมาเห็นลูกเป็นสุนัขจึงโมโหแล้วว่าร้ายนางคํากองนั้นไปสมสู่กับสุนัข ส่วนนางอัคคีนั้นแอบนําลูกตัวจริงนางนั้นใส่ไหแล้วนําไปลอยน้ํา เด็กทั้งสี่ก็ลอยน้ําไปเรื่อยๆ จนสองตายายสองผัวเมียผ่านไปที่ท่าน้ําจึงเห็นไหสี่ใบลอยมา จึงเปิดดูข้างในมีเด็กทารกอยู่ในไหคนละใบ สองตายายจึงเก็บเด็กทั้งสี่มาเลี้ยงจนโตเป็นเด็กน่ารัก เมื่อนางอัคคีทราบข่าวว่าเด็กทั้งสี่ยังมีชีวิตจึงหวังฆ่าเด็กทั้งสี่ เมื่อสองตายายออกไปทํางานที่สวนและทิ้งให้เด็กๆ อยู่บ้านเพียงลําพัง นางอัคคีจึงให้ทหารนําข้าวต้มและขนมผสมยาพิษมาให้เด็กๆ กิน เด็กๆ ผู้ไม่รู้อะไรก็กินขนมจนหมดและได้ตายลงอย่าทรมาน เมื่อสองตายายกลับถึงบ้านจึงเห็นเด็กๆ นอนตายระเนระนาด ผู้เป็นยายถึงขั้นเข่าอ่อนร้องไห้ระงม "ใครมาฆ่าลูกข้า คนหนึ่งนั้นนอนตายที่บันได คนที่สองนอนตายอยู่ที่กลางบ้าน คนที่สามนอนตายอยู่หน้าประตู คนที่สี่นั้นนอนตายอยู่ข้างในบ้าน" ตายายจึงนําศพเด็กทั้งสี่ไปเผาข้างรั้วบ้าน เด็กทั้งสี่จึงเกิดมาเป็นดอกจําปาสี่ต้นเรียงกันอยู่ มีกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วเมือง นางอัคคีทราบข่าวอีกว่าเด็กทั้งสี่นั้นเกิดเป็นต้นดอกจําปา จึงส่งทหารให้มาถอนต้นจําปาทิ้งแต่ถอนอย่างไรก็ถอนไม่ขึ้น จึงให้สองตายายทั้งสองที่เลี้ยงเด็กทั้งสี่นั้นถอน ถ้าไม่ถอนก็จะฆ่าสองตายาย สองตายายจึงถอนแล้วมัดต้นดอกจําปาทั้งสี่เข้าด้วยกันแล้วนําไปลอยน้ําไม่ให้มีต้นจําปาในเมืองนั้น ส่วนนางคํากองนั้นพญาจุลมณีไล่ออกจากวังให้ไปเป็นคนเลี้ยงหมู ต้นจําปาทั้งสี่นั้นไหลลงไปทางทิศใต้ แต่ต้นจําปานั้นไหลไปทางเหนือไหลไปถึงวัดพระฤษี เณรน้อยได้ลงมาที่ทาน้ําเห็นต้นดอกจําปาทั้งสี่ "โอ้ต้นจําปาอะไรถึงไหลมาที่นี้ น้ําไหลไปทางทิศใต้แต่ทําไมจําปาไหลขึ้นมาทางทิศเหนือ" เมื่อใกล้ถึงวัดพระฤษีจึงลอยเข้าฝั่ง เณรน้อยจึงลองเด็ดดอกจําปานั้นแต่เด็ดถูกนิ้วก้อย "เฮ้ยดอกจําปาอะไรมีเลือด" จึงถือดอกจําปาวิ่งไปหาพระฤษี พระฤษีจึงบอกให้เณรน้อยไปนําต้นดอกจําปามาเพราะนี้ไม่ใช่ดอกจําปาธรรมดา เมื่อเณรน้อยนําต้นจําปามาแล้วพระฤษีจึงเสกพรมน้ําเต้าแก้วให้เป็นคนส่วนนิ้วก้อยก็เสกต่อให้ เด็กทั้งสี่ก็ได้ร่ําเรียนวิชาอาคมกับพระฤษีเรียนจนจบ และได้ถามพระฤษีแม่อยู่ที่ใดเป็นใคร และอยากที่จะแก้แค้นพ่อที่ทํากับแม่ ทั้งสี่พี่น้องขึ้นเรือมายังวังเมื่อมาใกล้จะถึงก็ส่งสารไปท้าพญาจุลมณีจะมาแย่งเมือง เมื่อขึ้นถึงบกทั้งสี่ก็ได้สู้รบกับพญาจุลมณีแต่ก็สู้ไม่ได้เสนาอํามาตย์ก็สู้ไม่ได้เพราะว่าทั้งสี่นั้นมีวิชาที่ฤษีนั้นได้สอนมา ทั้งสี่นั้นได้แกล้งพ่อด้วยการวาดรูปอวัยวะเพศหญิงที่หน้าผาก และอวัยวะเพศชายที่หน้าผากนางอัคคีในตอนกลางคืน พอตื่นมานางอัคคีเห็นหน้าผากพญาจุลมณีก็หัวเราะ พญาจุลมณีก็หัวเราะนางอัคคี เมื่อนางรู้จึงพูดขึ้นใครถึงบังอาจทํากับข้าอย่างนี้ ที่นี้จึงเห็นสารของทั้งสี่กุมารแล้วจึงเปิดอ่านให้ไปสู้รบกันที่ท่าน้ํา ทั้งสี่กุมารจะรอที่ท่าน้ํา เมื่อไปถึงก็สู้สี่กุมารไม่ได้ พญาจุลมณีจึงได้ถามเจ้านั้นลูกเต้าเหล่าใคร สี่กุมารจึงบอกแม่ข้านั้นคือนางคํากองเป็นข้าทาสเลี้ยงอยากกินข้าวก็ได้กินแบบอดๆ อยากๆ ใส่เสื้อผ้าก็ขาดๆ พญาจุลมณีจึงพาทั้งสี่กุมารนั้นไปหานางคํากอง ส่วนนางคํากองนั้นลูกอยู่แล้วว่ากุมารทั้งสี่นั้นเป็นลูกของตน นางอัคคีนั้นก็กลัวเมื่อรู้ว่าทั้งสี่กุมารนั้นยังไม่ตาย นางคํากองก็กลับเข้ามาในวังอีกครั้ง ก็แห่ประจานนํานางอัคคีมาเป็นทาสเลี้ยงหมูแทนนางคํากอง ส่วนพญาจุลมณีก็รักลูกของตนอย่างมากเมื่อรู้ว่าทั้งสี่นั้นคือลูกของตน และบอกว่าแท้จริงแล้วตนนั้นเข้าใจผิดว่านางคํากองมีลูกเป็นสุนัข แท้จริงแล้วเป็นคนมีบุญบารมีสมควรที่จะมาครองบ้านเมือง และได้ยกเมืองทั้งสี่กุมารนั้นปกครอง ส่วนนางอัคคีก็ไปเป็นทาสรับใช่เลี้ยงหมู
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หลวงพ่อกลัวผีหลอก กาลครั้งหนึ่งมีหลวงพ่อกับเณรน้อยอาศัยอยู่ด้วยกันในวัดแห่งหนึ่ง หลวงพ่อท่านเป็นคนกลัวผีหลอกมาก ยิ่งเณรน้อยรู้เณรน้อยก็ยิ่งชอบแกล้ง วันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อและเณรน้อยกําลังนั่งกรรมฐานอยู่ภายในกุฏิสงฆ์ วันนั้นไฟดับและมืดไปหมด หลวงพ่อเลยบอกกับเณรน้อยว่า "เณรๆ ไปเก็บดอกไม้มาไหว้พระซิ" เณรน้อยตอบว่า "ไม่ไปหรอกมืดก็มืด กลัวผีหลวงพ่อไปเองสิ" หลวงพ่อเลยพูดว่า "แค่นี้ก็กลัวเหรอ" และลุกขึ้นเดินแต่ข้างนอกมืดมาก จึงชวนเณรน้อยให้ไปด้วยกัน พอได้ดอกไม้ไปไหว้พระแล้ว จึงพากันเข้านอน ขณะนอนอยู่เณรน้อยจึงคิดแกล้งหลวงพ่อ และเดินลงกุฏิไปแล้วปาก้อนหินใส่กุฏิ หลวงพ่อซึ่งกลัวพี่อยู่แล้วก็ตกใจ และอุจจาระใส่จีวร
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หลวงพ่อเข้าลอดช่อง ในวัดแห่งหนึ่งมีหลวงพ่อกับเณรน้อยอาศัยอยู่ด้วยกัน ทุกเช้าเวลาฉันเพลจะมีคนมาถวายอาหาร เณรน้อยจึงคิดแกล้งหลวงพ่อจึง ไปบอกคนทําครัวว่า หลวงพ่อทานของหวานไม่ได้มัผิดสําแดง พอถึงเวลาฉันเพล คนทําครัวจึงถวายแต่อาหารกับหลวงพ่อแต่ไม่ถวายลอดช่องกับหลวงพ่อ และถวายแต่ของหวานให้กับเณรน้อย หลวงพ่อจึงพูดขึ้นว่า ทําไมจึงไม่ถวายลอดช่องให้กับท่าน เณรน้อยจึงตอบไปว่า หลวงพ่อกินไม่ได้ และว่าไม่อร่อยอย่างนั้นอย่างนี้ หลวงพ่อจึง ใช้ไม้ตีเณรน้อย พอกลางวันหลวงพ่อนอนอยู่เณรน้อยก็ใช้ไม้ที่หลวงพ่อตีไปตีหลวงพ่อคืน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ลูกหลงพ่อ มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่กลางทุ่งนา ทุกวันผู้เป็นพ่อและลูกชายอายุประมาณ 8 ขวบ จะออกไปด้วยกันสองคนเพื่อที่จะไปทอดแห ผู้เป็นพ่อนั้นเป็นคนชอบใส่หมวกมากไม่เคยถอดเลยสักครั้ง ในวันนั้นพ่อกําลังถอดแหอยู่แหก็ได้ไปเกี่ยวติดกับไม้ที่อยู่ใต้น้ํา ผู้เป็นพ่อจึงดําน้ําลงไปเพื่อที่จะปลดแหออก ปรากฏว่าหมวกที่เขาใส่มาตลอดนั้นหลุดลอยอยู่บนผิวน้ํา เขาโผล่หัวขึ้นมา ลูกชายเห็นจึงพูดขึ้นว่า ตาๆเห็นพ่อหนูมั้ย ทําไมถึงถามแบบนั้น ก็พ่อหนูดําน้ําลงไปที่เดียวกันกับตานั่นแหละ ลูกชายจึงวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อไปถามหาพ่อ ส่วนพ่อก็รีบหาหมวกใส่เพื่อให้ลูกจําตัวเองได้ ลูกชายก็ไปถามคนในหมู่บ้านว่าเห็นพ่อหนูบ้างมั้ย คนในหมู่บ้านก็ตอบว่า พ่อหนูก็ทอดแหอยู่ที่คลองนั่นไง ไม่ใช่มีแต่คนหัวล้านอยู่ที่นั่น ลูกชายบอก ชาวบ้านจึงบอกว่า ก็พ่อหนูไง เขาจึงกลับไปที่คลองก็เห็นพ่อตัวเองใส่หมวก จึงบอกพ่อว่า พ่อลองถอดหมวกดุสิ จึงรู้ว่าพ่อตัวเองไม่อยากถอดหมวกก็เพราะหัวล้าน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เจ็ดหวดเจ็ดไห มีครอบครัวอยู่ครอบครัวนึงได้ให้กําเนิดลูกชายและเขากินจุมาก ในแต่ละวันเขาจะกินข้าว 7 หวดกินปลา 7 ไห จากที่ครอบครัวเคยมั่งคั่งก็กลายเป็นอับจนในทันที และในคืนนั้นพ่อกับแม่จึงได้ปรึกษากันว่าจะเอาลูกชายไปตัดต้นไม้ในป่าด้วย พอรุ่งเช้า ก็พากันออกไปตัดไม้ในกลางป่าใหญ่ ขณะที่พ่อกําลังตัดไม้อยู่นั้น ลูกชายของเขาได้ไปเล่นอยู่แถวนั้นแล้วต้นไม้ก็โค่นลงมา ทับตัวลูกชายจนจมลงดิน พ่อกับแม่ของเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงคิดว่าลูกตัวเองตายแล้วก็เดินทางกลับบ้าน ไม่นานพวกเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าลูกชายเขาได้แบกต้นไม้กลับมาบ้าน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ท้าวหมาหยุ๋ย นิทานโบราณเก่าแก่อยู่ในใบลานหนังสือเก่าหนังสือปู่เดินเรื่องว่าอะไรมีองค์เอกเจ้าพญาใหญ่จันทร์ตรัยครองนครจันทร์ตรัยผู้คนเญอยอ ฝองประชาเชื้อชาวเมืองชมพากันสูงกราบรื้น บานชื้นทั่วนครก็ไม่ได้เดือดร้อนประการสิ่งอันใด ชาวนครจันทร์ตรัยชื่นใจทั้งค่า สายเสมอแก้วมเหสีเทียมฟ่า จันทร์แดงณะจันทร์แดงนางจันทร์เจ้าเป็นร่มเหงามิ่งเมือง ว่าอย่างไรได้ลูกน้อยคนแรกเป็นหมา ทําให้องค์ราชาแปลกใจอย่างมากลูกชายเป็นหมาน้อยพลอยดูน่าอับอายชาวบ้านเหมือนดั้งไม้แทงตา พระองค์ก็เลยว่าเห็นลูกเกิดขึ้นมาคนแรกเป็นหมา ทําให้ราชาไม่พอใจเหตุฉไหนถึงได้ลูกหมาปรึกษากันว่าจะเอาไปฆ่าทิ่งแล้วฝั่งเสียหมาน้อยตัวนั้นจึงว่าขึ้นว่าขอโทษเถิดตนพ่อผู้พระราชาลูกก็เป็นเหมือนหมาก็อย่าเอาไปทิ้งเป็นเพราะกรรมนําเกี้ยวเทียวมาใช้ชาติเหมือนว่ามีเหตุร้อนยังจะได้พึ่งบุญในภายภาคหน้าถ้าเกิดสงครามลูกจะตามเคียงรบปราบมานให้ตายเกี้ยง ขอใบบุญเถิด เลี้ยงไว้ก่อนพ่อเอ้ย ผู้เป็นพ่อก็เลยเลี้ยงท้าวไว้ ใช้ชื่อว่าหมาหยุ๋ยอีกไม่นานหลายปีก็มีลูกอีกคนคนที่สองนี้มีธนูศรเกิดมาพร้อมท่าทางแข็งแรงชื่อว่าท้าวพุทธราช มีธนูสินติดมาท้าวพุทธราชเกิดมาได้เจ็ดวันแม่จันทร์แดงก็เลยตายพระราชาก็จัดการอุทิศบุญไปให้ พระจันทร์ตรัยมีเมียอีกคนหนึ่งชื่อว่าคําปองมีลูกด้วยกันคนหนึ่งเป็นหญิง ชื่อว่าคําฟองลูกทั้งสองทั้งสามก็เจริญวัยใหญ่ขึ้นมา นางคําปองแม่น้อยจึงเกิดความอิจฉาว่าลูกชายกลัวว่าลูกสาวของตัวจะไม่ได้สมบัติ จึงหาทางกําจัดลูกเมียหลวงแม่หลวงออกหนี คือท้าวพุทธราชจึงออกอุบายหาวิธีอยากให้พระราชาโกรธขับไล่ลูกชาย นางจึงทําเป็นร้องไห้เสียใจหาว่าท้าวพุทธราชเข้ามาข่มขืนในห้องบรรทม ในที่นอนขณะที่พระราชาไม่อยู่ เมื่อพระองค์กลับมาเห็นก็ถามนางคําปองได้ความว่าลูกชายมาได้ทํามิดีมิร้ายจึงโกรธอย่างแรงโดยยังไม่ทันสอบสวนสั่งให้เพรชฆาตจัดการทันที่ เพรชฆาตจึงจับท้าวพุทธราชไปโยนลงเหวในตอนนั้น พุทธราชจึงกล่าวว่าโอยพ่อเอ้ย ลูกไม่มีคําค่องหมองใจสักอย่าง ลูกไม่เคยก่อสร้างทางชั่วอย่างใด ไม่เคยได้คิดชั่วไม่เคยคิดชั่วเลวชาม ไม่เคยไปนอนกับแม่คําปองของท่าน นางหาคําว่าเอาความมาใส่ขอให้พระบาทไท้กรุณาท้าวลูกชายด้วยเถิด สงสารลูกด้วยเถิดพ่อเอ้ย พ่อก็ว่ามึงเป็นลูกเนรคุณไม่ต้องอยู่กูเลี้ยงมึงมาแม่มึงก็เลี้ยงมึงมามึงยังทําอับปรีลงด็ เพรชฆาตจับไปเดียวนี้ ไม่ต้องเอาไว้ให้กุเห็นอีก ท้าวขอยังไงพ่อก็ไม่ฟังเสียงมีแต่เร่งให้เอาไปฆ่า ท้าวก็จํายอมใช้กรรมต่อไป เพรชฆาตนําตัวพุทธราชไปโยนลงเหวแต่ว่าในเหวนั้นมีเครื่อไม้มืดมุมประสานกันหนาแน่นเมื่อพุทธราชตกลงไปก็ไม่ถึงตายไปค้างอยู่ในเครือฟางเครือไม้ ครั้งนั้นหมาหยุ๋ยผู้เป็นพี่ชายไม่เห็นน้องชายจึงสูดดมกลิ่นหาน้องติดตามจนถึงเหวที่เขาโยนลงไปนั้น คราวนั้นท้าวหมาหยุ๋ยไม่เห็นท่าวพุทธราชไปทางไหนก็ไม่เจอไปหายังไงก็ไม่เห็นหมาผู้ดมกลิ้นน้องวิ่งตามหาไปตามทางป่าดงแดนไม้ไปถึงเท่าผู้เขาแดนใหญ่ลัดป่าถึงเท่าตรงเหว หมาก็รู้แล้วก็เลยล่วงเวหนเอาตันฝันเพ็ญพญมยั้งฟ่า เหินเวหาไปรีบคาวเดียวถึงป่าคูหาตรงน้องลงข้างแขกเฟื่อยลงไปรับน้องจากเหวโดยให้น้องนั่งหลังตนแล้วพาเหาะขึ้นมาแล้วเหาะไปเอาธนูสินของพุทธราชที่ห้องปราสาทของพุทธราชโดยไม่ให้ใครรู้เวลาดึกสงัดแล้วก็พาน้องหนีจากพระนครไปสู่ป่าหินมพราณเพื่อเรียนวิชาจากพระฤษีคราวนันหมาหยุ๋ยพาพุทธราชเหาะไปถึงข้างสระน้ําใกล้กับที่อยู่ของฤษีพากันพักผ่อนนอนอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้ฝั่งสระ ขณะนั้นบัวคําลูกสาวฤษีซึ่งได้เกิดจากดอกบัวได้นําไปเลี้ยงไว้โตเป็นสาวแล้วได้มาเก็บดอกไม้ฝั่งสระน้ําได้มาพบกับพุทธราชฝ่ายพุทธราชก็สงสัยว่านางผู้นี้เป็นคนแท้หรือผีในป่าพ่อแม่น้องเป็นใครในเมืองบ้านทางไหนประเทศอยู่หรือว่าเป็นเปรตเป่าพงเชื้อในดงนี้หน้อ นางก็เลยว่าน้องนี้ไม่ใช่ผีสางกลางป่า ไม่ใช้ผีเปรตเป่าพงเชื้ออยู่ดงนี้หน่า หากว่าเป็นลูกเต้าตนพ่อก็เป็นฤษี นําครีรีที่ดงแดนไม้อาศัยเจ้าพระฤษีเป็นพ่อไม่ใช้ผีป่าเป้าอย่างเจ้าคิดไปพี่เอ้ย พี่นั้นมาจากหนแห่งเมืองใด ดั้นด้นเดินพงไพรด่วนมาถึงพี่ มีประสงค์แท้อย่างไรหนอพี่ เดินดงมาครั้งนี้ประสงค์ได้สิ่งใดหนอ ท้าวก็เลยพูดว่าพี่นั้นมาจากเมืองใหญ่จันทร์ตรัย เดินพงไพรเพื่อไปเรียนรู้ อันว่าฤษีนั้นบิดาตนพ่อนางหรือ ท่านพักเงาอยู่ที่ใด พี่อยากไปกราบวัณทาเพื่อศึกษาอยู่เรียนความรู้นางจะพอใจหรือไม่ให้พี่ชายไปด้วย ขอให้พี่อุ่นใจน้องเอ้ยคราวนั้นนางคัณน้อยบัวคําแถลงตอบถ้าว่าที่เจ้าประสงค์เข้าสูตรเรียนนางไม่ขืนขัดใจพี่ตามใจ ตั้งแต่ที่พระฤษีพ่อน้องคงจะให้อยู่เรียน ท้าวเลยกล่าวว่านางเอยพี่อยากอยู่เรียนความรู้ทั้งอยากเป็นเนื้อคู่ทั้งอยากอู่หอมหอบทางน้องจะว่าอย่างไร นางก็กล่าวว่าไม่ใช้พระพี่เจ้านี้มีคู่เทียมสองแล้วหรอกหรอไมใช่มีเมียครองชายอยู่ที่บ้านนู้นหรือ ท้าวก็เลยกล่าวว่าพี่นั้นเป็นโสดแท้ไม่มีคู่เทียมสองนอนเดียวดายอยู่คนเดียว แรกพี่มาเห็นน้องอยากขอเป็นเนื้อคู่อยากขอเป็นคู่ยามเช้าอยู่ด้วยน้องเอย นางก็กล่าวว่าถ้าพี่รักน้องนางไม่ว่าอย่างไรนางไม่ขัดข้องการตัดสินใจของพี่ชาย แต่ว่ายังติดที่บิดาผู้เป็นพ่อ ขอให้พระพี่เจ้าไปพูดกล่าวขอด้วยเถิด ถ้าพ่อตกลงให้ตามใจน้องจะไม่ว่าพี่เอยท้าวก็เลยกล่าวว่าถ้าอย่างนั้นขอให้นางพาพี่เข้าไปหาพ่อฤษีไปหาองค์ทมุณีอย่ารอช้าไปเถิด นางก็เลยไม่ช้าพาพี่ไปหาองพระบิดาก็ไม่นานนัก คร่าวเมื่อไปถึงแล้ววรรณทาก้มกราบทูลพระองค์เจ้านําเรื่องนั่งลงกราบพ่อแล้วฤษีก็เลยถามว่าพวกเจ้านี้ท้าวนี้มาจากหนแห่งเมืองใดเป็นลูกชายผู้ใดถึงมาถึงดงนี้ ท่าวก็เลยกล่าวว่าข้ามาจากเมืองใหญ่จันทร์ตรัยเดินพงไพรเพื่อเรียนความรู้ว่าจะมาหาเจ้าองค์พ่อพระฤษีพอดีมาเห็นนางลูกพระองค์เจ้าอยู่สระน้ํา ก็จึงถามหาเจ้าองค์มุณีผู้เป็นพ่อ นางก็แจ้งข่าวแก่ข้าประการบัดนี้จึงได้ทูลไหว้ตนพ่อขออยู่ด้วยรับใช้เพื่อเรียนได้ศาสตร์ศิลป์ด้วยเถิด กับด้วยข้ามาสู่ขอน้องนาถบัวคําเป็นมเหสีอยู่เชยชมซ้อนพ่อเอ้ย ฤษีได้ฟังดังนั้นก็ยินดีรับเป็นลูกศิษย์และถามลูกสาวว่าจะรับท้าวพุทธราชเป็นสามีจึงตกลงให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันได้นิรมิตรปราสาทให้ท้าวและนางอยู่อย่างสวยงามนางกล่าวว่าถ้าพี่ไม่ลวงหลอกน้อง ถ้าเป็นความจริงน้องไม่ขัดข้องให้พี่ไปขอพูดกล่าวต่อบิดา ให้พี่ไปขอองค์เจ้าพ่อฤษี หากพี่พอใจอยากได้น้องจริงๆขอเชิญพี่ไปพูดต่อพระฤษีของน้องสะก่อนพูดแล้วนางและท้าวก็พากันไปหาพ่อพระฤษีที่อาศรมพอท้าวกับนางบัวคําไหว้แล้วฤษีก็ถามว่าลูกเต้าเล่าใครอยู่ที่ใดเหตุประสงค์อะไรจึงมาที่นี้ ท่าวก็เลยกล่าวว่าท้าวผู้นั่งแทบเท้าตนพ่อพระฤษีขอกราบองค์มุณีแทบธุรีทูลพระทูลเกล้าข้านี้เป็นลูกพญาใหญ่จันทร์ตรัยทางนครจันทร์ตรัยราชธาณี ชื่อว่าพุทธราชท้าวพระองค์พ่อขับไล่หนีหวังจะตัดชีวีให้ขาดตายจริงแท้ให้เขาเอาไปทิ้งลงเหวกว้างใหญ่ตกลงไปค้างอยู่เครือพุ่มไม้ตัวข้าเกือบตายทางฝ่ายน้องชื่อหมาหยุ๋ยลงไปช่วยจึงไม่ตายคร่าวนี้ ข้าจึงมาถึงนี้ฤษีพระพ่อว่าจะมาขอเป็นลูกพ่อเจ้าเป็นแก้วมิ่งเมืองกับทั้งขอเรียนรู้เอาทั้งศาสตร์เทศศาสตร์ศิลป์สู้ด้านตอมเจ้าอรศรีด้วยเถิดฤษีจึงว่าถามลูกสาวว่าอย่างไรบัวคําจะอยู่กับท้าวกุมารพุทธราชหรือว่านางลูกแก้วจะว่าอย่างไร แล้วท่านพ่อละนางกล่าวถามถ้าพ่อพอใจท้าวฟ้าบุญพุทธราชถ้าพระพ่อเจ้าไม่ข้องใจสิ่งใดน้องก็จะอยู่ด้วย แล้วฤษีก็เลยว่าโอโถ่มันรักกันอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อมาเห็น ตั้งแต่มาเห็นกันอยู่ริมสระน้ํา ถ้ารักกันจริงก็อยู่ด้วยกันธรรมดาบ่าวแต่สาวเดือนแต่ดาวโตมาก็แต่งงานนั้นละให้ไปอยู่โน้นนะอยู่ศาลาหลังพ่อนิรมิตให้อยู่ทางโน้นละขณะนั้นนางและท้าวก็ลาพ่อฤษีไปพักศาลาที่อยู่ของนางบัวคําพร้อมพี่ชายหมาหยุ๋ยพุทธราชอยู่ด้วยกันกับนางบัวคําแล้วก็ไปเรียนวิชาอาคมกับพ่อฤษีจนจบสิ้นทุกวิชาป้องกันอันตรายศตรูอาวุธทุกอย่าอยู่คงอยู่ยงคงกะพันได้สารพัด เวลาล้วงมานานกาลต่อมาพญาจันทร์ตรัยคิดถึงลูกชายทั้งสองไม่เป็นอยู่อันกินเป็นห่วงหมาหยุ๋ยมากว่าจะไปประสบพบความลําบากกลัวว่าจะไปพบประสบความลําบากและท้าวพุทธราชลูกก็ไม่รู้ว่าตายหรือไม่ตายคิดถึงเป็นห่วงตามภายหลังจึงชวนขุนทหารพากันออกติดตามหาลูกชายพอพระคิดได้ก็เตือนภัยพ้นทหารบริวารชาวขุนแต่งเตรียมออกม้าจัดเอาพลทหารกล้าพากันไปเดินป่าเตรียมทหารขี่ม้าพาเข้าป่าไพรว่าแล้วได้ตีม้าวิ่งนําทางหลวงล่วงเลยไม่รอช้าตั้งแต่พระองค์พร้อมทหารควบม้าเข้าป่าดงหนาไปพาราป่าดงกลางดงคร่าวนั้นยังมีคีรีร้ายตัวมารยักษ์ใหญ่อยู่ในกลางป่าไม้เห็นเจ้าพ่อพญามันก็คิดอยากได้เป็นเหยื่อของมัน เอาไปเป็นอาหารฉีกกินลงท้องมันจึงแปลงตัวให้เป็นกวางของกวางทองงาม ทําให้พระพญาเจ้าเห็นแล้วอยากได้องค์พระพญาจึงว่านี้พลทหารกวางทองตัวนั้นทําอย่างไรถึงจะได้มันพวกเราจงพากันขี้ม้าล้อมจับให้ได้ทุกคนต้องใจโอบล้อมจับตัวให้ได้อย่าปล่อยให้มันหนีได้เป็นเด็ดขาดถ้ากวางออกทางใดแล้วออกได้ผู้นั้นจะต้องถูกตัดคอว่าแล้วกะตีวงล้อมทันทียักษ์คีรีกวางปลอมก็วิ่งออกทางพระราชาพระองค์ไล่ม้าควบตามอย่างสุดกําลังจนพวกทหารหลงทางไม่เห็นพระองค์ไปพระองค์ไล่ตามไปคนเดียวเมื่อมาถึงกลางดงกลางป่ากวางปลอมก็แปลงร่างเป็นนางยักษ์ใหญ่แล้วจะจับพญากินเป็นอาหาร พระองค์เห็นดังนั้นก็ซีดเข่าอ่อนมีความปวดเป็นกําลังจึงนั่งลงขอชีวิต พระก็เลยขอว่าข้านี้เป็นพระเจ้าเมืองใหญ่จันทร์ตรัยเดินพงไพรป่าค้ําทหารชาวบ้านอย่าได้กินตัวข้าเป็นพญาผู้เป็นใหญ่ไปกินผู้น้อยชาวบ้านจึงสมควรยักษ์เอยขอชีวิตไว้ก่อนหากว่ายักษ์จะกินตัวข้าแล้วยักษ์จะได้กินแค่คนเดียวตัวข้าขอชีวิตไว้จะส่งชาวเมืองมาให้กินทุกวันไม่ให้ขาดยักษ์ก็จะไม่อดกินขอให้ปล่อยตัวข้าไปเสียก่อนเถิดยักษ์ได้ฟังพญาพูดดังกล่าวก็เลยปล่อยและได้ทําสัญญา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
บอดตาใส nan
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
บั้งปัญญา มนุษย์ได้ขี่ช้างเที่ยวป่าเที่ยวเขาหาสัตว์ก็ไปเจอเสือ เสือก็เลยหัวเราะ เสือเลยถามช้างว่า คนตัวเท่ากําปั้นยังให้มันขี่คอได้ ช้างเลยตอบกลับไปว่า คนมันดีมีปัญญา มันเป็นยังไงกันปัญญาเอามาให้ข้ามาดูสิ ช้างเลยถามคนว่า คนบั้งปัญญามีอยู่บ้านมั้ยเอามาให้เสือมันดูหน่อย ถ้าไปเอาบั้งปัญญามาเสือหนีก่อนข้าสิ เสือเลยบอกให้คนมัดแข้งมัดขาตัวเสือไว้ คนก็เลยมัดแขนมัดขาเสือไว้แน่น อยู่นี่นะข้าไปเอาไปบั้งปัญญาก่อน พอคนมาก็ถือแส้ไหวใหญ่ๆมา ไหนหละบั้งปัญญาเสือถาม นี่ไงบั้งปัญญาในมือข้านี่ไง ทีนี่ก็เอาบั้งปัญญาตีเสือ จนลาย จนร้องยอมแล้วยอมแล้วยอมแล้ว จนทุกคนหัวเราะหัวน้ําตาเล็ด
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
คนไม่มีคุณ มีหลุมขนาดใหญ่ลึกหลุมนึงอยู่ในกลางป่ากลางเขา ดันมีเสือตัวหนึ่งตกลงไปหลุมนั้นแล้วขึ้นมาไม่ได้ แล้วมีลิงตัวนึงตกลงไปก็ขึ้นมาไม่ได้ ยังมีคนคนนึงตกลงไปก็ไม่สามารถขึ้นมาได้ มีงูตกลงไปอีกก็ไม่สามารถขึ้นมาได้ อีกยังมีเฒ่าสอง เฒ่าทําไร่ทําสวนมาเก็บเห็ดอยู่กลางป่ากลางเขา เลยพากันหิวน้ําเลยมองไปเจอหลุม เห็นน้ําประมาณครึ่งเอว เลยเอาถังมัดใส่เชือกมัดใส่เครือเขลาหย่อนลงไปตักน้ําขึ้นมากิน พอเริ่มหนักตึงก็เลยดึงขึ้นมาดันขึ้นมาเป็นลิง ลิงก็เลยคิดว่าสมัยก่อนคนลิงช่วยไม่ได้ ก็เลยว่าขอบคุณผู้มีอุปการะคุณ ที่ช่วยชีวิตข้าไว้ เฒ่าเลยว่าไม่เป้นไร แล้วลิงก็บอกให้ไปเยี่ยมข้าบ้าง แล้วหลังจากนั้นก็ตักน้ําอีกครั้ง ได้งูเหลือม งูเหลือมก็ขอบคุณแล้วก็พูดเช่นเดียวกับลิงว่าให้ไปเยี่ยมบ้าง พอตักน้ําลงไปอีก ได้เสือ เสือก็บอกเช่นเดียวกันให้ไปเยี่ยมตรงนั้นตรงนี้บ้าง ครั้งที่สี่หย่อนถังลงไปอีก ได้คนขึ้นมา คนก็ว่าเป็นคนแท้ๆก็ไม่เอาข้าขึ้นมาก่อน แต่ขึ้นมาได้ก็ดีละ ไปเยี่ยมข้าบ้างหล่ะ หลังจากเดือนสองเดือนสัตว์สาวาสิ่งที่บอกไปเยี่ยมเฒ่าจึงไปเยี่ยมงูเหลือม งุเหลือมก็ให้ทองมา ไปเยี่ยมลิง ลิงก็เก็บผลไม้มาให้ พอไปหาเสือเสือก็หาสิ่งของให้เป็นอาหารต่างๆนานามากมาย แล้วก็ไปหาคน ก็ว่ารู้ว่าจะเอาไรให้ไม่มีอะไรให้ แต่เห็นมากับเมีย เมียมันก็สวย เห็นไปเห็นมาก็รู้สึกอยากได้เมียเขา คนก็เลยพาไปเอาเมียเขา แต่ไม่นานก็ตาย เขาเลยเรียกว่าคนไม่มีคุณ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
บักขาติด กับบักตาบอด ไอ้ตาบอดกับไอ้ขาติดเขาทั้งสองจะพากันไปจับนก ไอ้ขาติดนั้นตาดีส่วนไอ้ตาบอดมองไม่เห็นให้ไอ้ขาติดเขี่ยพาไปถึงต้นไม้ พาไปถึงรังนกอยู่กลางทุ่งนา พอไปถึงต้นไม้ก็ไม่สูงมากสักเท่าไรเป็นต้นตระง่าอยู่ต้นเดียวไอ้ขาติดบอก ต้นไม้ก็ดูสูงอยู่ไอ้ตาบอดจะขึ้นได้ไหม ไอ้ขาติดถามไอ้ตาบอดจะขึ้นได้ไหม ถ้าไม่งั้นนายตาบอดก็จะใช้มือคล้ําแล้วให้นายขาติดบอกกิ่งไม้ตรงนั้น ตรงนี้นายตาบอดมองไม้เห็นก็คล่ําไปเรื่อยๆจนถึงรังนกก็คิดว่ากิ่งไม้เลยเอามือแหย่เข้าไปในรังนก นั้นละรังนกนั้นละรังนกนายขาติดเรียกบอก นายตาบอดจึงเอามือแหย่เข้าไปคิดว่าเป็นลูกนกไปชนถูกคองูเห่าจึงดึงออกมา เมื่อนายขาติดผู้มองเห็นจึงเรียกบอกมันไม่ใช่นก บอดวางบอด งูๆ นายตาบอดไม่รู้ว่าหัวงูอยู่ที่ไหน งูก็เลื่อยมาที่ตางูเห่าก็เป่าตานายตาบอด นายตาบอดลืมตาขึ้นก็เห็นงูก็ฟาดลงพื้นแต่ถูกขานายขาติด นายขาติดนั่งอยู่ก็พยายามแกว่งขาปลีกออกวิ่งอย่างดี ไอ้ขาติดขาก็ดี ไอ้ตาบอดตาก็ มันกะจบเนาะ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ไม้เท้าผ้าดํา ลูกเต้าเหล่ากอเขาไม่ระบุไว้ ลูกพ่ออันนั้น แม่อย่างนี้ เขาไม่ได้อันนั้นไว้เกิดมาพอดี อายุได้ประมาณยี่สิบปีเราก็ออกบวชเป็นพ่อขาว ออกบวชถือศีลกินธรรมถือศีลแปดแล้วก็ถือใหญ่มาๆ แล้วก็พอดีเกิดรู้เองทําเองพอดีโตมาถือศิลกินธรรมในถ้ําดานหลวง ในถ้ําดานหลวงนี้แหละผมเห็นพระครั้งหนึ่งแล้วในตรงที่ท่านอยู่ถือศิลกินธรรมอย่างเคร่งครัด มีคนหนึ่งชวนเข้าไปดูของศักดิ์สิทธิ์ในถ้ําดานหลวงมีควายตู้ตัวหนึ่ง ควายตู้เขาปั้นไว้แต่เมื่อก่อน เมื่อก่อนมีหนังสือพุทธโบราณ มีคัมภีร์พุทธโบราณ มีคาถาบทใหญ่พอสมควร พอดีเรียนจบอันนั้นตัวขอมตัวธรรมเรียนจบอันนั้นก็เกิดปฏิหารขึ้นมารู้เองทําเองดําดินบินบนได้เรียนจบก็ได้องค์เจ้าฟ้าดําได้อันนี้ที่แรกก็ลงมาอยู่ในวัดนี้หลายปีแล้วก็ตอนบําเพ็ญสําเร็จแล้วได้ก็เลยพญาอะไรก็ไม่รู้ผมก็ไม่รู้จักอันนี้ก็เขียนสารแต่ก่อนสารเนาะสมัยแต่ก่อนมันส่งกับนกพิราบพญาเขียนสารมาว่าให้โหรภาคอีสานไปทํานาย ถ้าไม่รู้วันนี้ถูกตัดคอคอขาดบาดตายพอดีองค์เจ้าฟ้าดํานี้ก็ไปเขาเชิญไปลงมาจังหรร อันแม่ออกบ้านออกบ้านเรา หลวงพ่อพญาให้ไปถ้าไปไม่ตรงเวลาเขาตัดคอถวายพญาไม่เป็นไรแม่ออกเอยสบายๆตัวข้าเอามาไว้ในนิถอบดินก็ได้โพงพญาเอามาไว้ในตักเราทั้งพูดทั้งดู ฉันข้าวแล้วจะไปสามโมงเช้าเก้านาฬิกาให้ถึงโพ่งพญาพอฉันข้าวเสร็จก็ลาแม่ออกไปก่อนนะแม่ออกนะแล้วก็ไปถึงพอดีสามโมงเช้าเก้านาฬิกาพอถึงก็ทูลถวายพญาว่าท่านพญาให้ตัวข้ามาทําอะไร โอยก็มีเรื่องนั้นละพญาจึงให้มาก็เลยให้ทํานายว่าช้างตัวนี้มันจะออกลูกเป็นตัวผู้หรือตัวเมียให้ทํานายดูว่าเมื่อไรมันจะได้องค์ฟ้าดําก็เลยเอากะดานขึ้นขีดไปขีดมาตกเลขเก้าเป็นเลขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมีวาสนาเลขเก้าก็เลยองค์ฟ้าดําทํานายว่าพอดีช้างตัวนี้วันที่เจ็ดจะคลอดลูก อาทิตย์หน้านี้จะได้ลูกได้ออกมาแล้วจะเป็นตัวผู้ช้างเผือกนานิน ช้างตัวนี้จะทําให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืององค์เจ้าฟ้าดําท่านพูดต่อองค์เจ้าพญา พญาก็พอใจจะให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข พญาก็พอใจแล้วก็พูดว่าจะเอาอะไรหน้อเป็นของกํานันแทนบุญแทนที่พูดถูกใจพญาเมื่อเช้ามาก็ได้จิงๆได้ช้างวันที่เจ็ดก็เป็นสีขาวสีเผือกนานินนั้นละก็พอใจก็เลยได้ไม้หมากเฒ่านี้มาพญาถวายแก่องค์ฟ้าดําก็เอามายังไงเอามาตัวหนึ่งก็เน็บรักแร่คู่หนึ่งตัวผู้กับตัวแม่ตัวหนึ่งกะถือมา ถือเอาเฮายอกะบ่ลุกเพิ่ลเอาเน็บสิขี้แห่มาตั้งแต่คนสิบสองพุ่นได๋อันนั้นคนแปดศอกเจ้าฟ้าดําคนใหญ่เนาะกะเลยเหาะมา เหาะมาก็มาในวัดบ้านเรานิละบ้านนาตาลวันนนั้นก็วันศิลเพ็งพอดีมาถึงตีกล้องแต่ก่อนเราตีกล้องลงวัดเนาะก็เลยตีกล้องให้แม่ออกลงมาฟังเทศน์ฟังธรรมในสมัยแต่ก่อนก็เลยว่ากับแม่ออกว่าตัวนี้ตัวข้าจะเอาไปกับตัวข้าจะเอาไปถือธุดงตามภูเขาเหล่ากาตัวนี้เอาไว้ในบ้านเราถ้ามันแล้งถ้าเหมือนคือสมัยแต่ก่อนเจ็ดปีเจ็ดเดือนก็ให้เอาไปแช่น้ําฝนก็ตกละ ถ้าเจ็บหัวมัวตาเป็นฝากเป็นพินก็ให้ล้างเอาไปตบหัวกินด้วยอาบด้วยก็ยิ่งดี ไม้เท้าองค์นี้ก็เลยบอกสั่งแม่ออกพ่อออกในบ้านนาตาลแล้วก็ออกไปเลย ออกไปถือธุดงตามภูเขาเหล่ากาอดข้าวเป็นเจ็ดเป็นเดือนเป็นปีอดได้นะที่นี้ เพราะว่าท่านได้วิชาจากถ้ําดานหลวงเดียวนี้ก็ยังอยู่เดียวนี้ใครเข้าได้ก็เข้าไปดูอ่านเลยตัวขอมตัวอะไรจบดําดินบินบนเป็นคนวิเศษ ก็เลยถือซ้ําตําศิลเท่าจนไปไม่รู้กั่ปีบวชเป็นพระฤษีสักพักหนึ่งงามๆไปดูก็ได้ในข้างถาดในวัดบ้านมะนาวก็เลยถือถ้ําจําศิลไปจนทั่วหมดแผ่นดินไทยนี้เยียบหมดแล้วก็เลยหมดบุญวาสนาในการบวชนี้ก็เลยสึก สึกออกมากก็ทํานายู่ในเถียงนาน้อยอยู่คนเดียวแล้วก็มีรากไม้รากยาแล้วคนก็มารักษา โอยอาจารย์คนนั้นได้รากไม้ดีแท้ผู้เฒ่าป่วยจนจะตายแล้วพอดีกินรากยาองค์เจ้าฟ้าดําอันนี้กินแค่หม้อเดียวดีแกได้ยาต้นยาใหญ่ในหลังภูค้อพวกผมว่าจะขึ้นไปเอาอยู่แต่ไปไม่ถึงพอดีหินตกลงมาก็เลยไปไม่ถึงกินเฒ่ากินหนุ่มรากไม้ยาใหญ่ต้นยาใหญ่ของพระฤษีได้เป็นคนปลูกผู้เฒ่าคนนั้นไม่มีเงินให้สมัยนั้นสมัยแต่ก่อนเงินตําลึงเงินบาทเงินสี่เฟื่องสี่สลึงสี่ตําลึงก็เลยเอาลูกสาวมาถวายให้เอาแทนรากไม้ดีอันนั้น มีถวายไม่ใช้เป็นเมียเป็นผู้อุปถัมภ์แม่ออกอุปถัมป์เอาไปเอามาก็มีลูก ชื่อลูกแกก็ท้าวคํา พิสัยคํานามคนที่สองก็นางมะลิ พิสัยคําก็อยู่ในบ้านหมากนาวอันนี้ละนี้ก็เป็ฯประวัติของท้าวฟ้าดํา ผมพูดย่อนะอันนี้ไม่ได้พูดยาวพอเป็นสังเขป
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในฤดูฝนนั้นจะมาการเตรียมปักกล้าดํานาทุกครอบครัวจะออกไปไถนาเตรียมการเพาะปลูก มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่งมีแม่อาศัยอยู่กับลูกชายซึ่งกําพร้าพ่อ วันนั้นเขาได้ออกไปไถนาอย่างเช่นทุกวัน จนสายตะวันขึ้นสูงแล้วเขาก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกว่าปกติ และหิวข้าวมากกว่าทุกวัน ทุกๆวันแล้วแม่ของเขาจะมาส่งข้าวเขาในตอนสายของทุกวันแต่วันนี้กลับมาช้ากว่าปกติ เขาจึงหยุดไถนาและไปนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ สายตาเหม่อมองไปที่บ้านรอคอยแม่ที่จะมาส่งข้าวด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย สายแล้วแสงแดดก็ยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ ความหิวก็ยอ่งทวีคูณขึ้นไปอีก ทันใดนั้นเขาก็เห็นแม่เดินมาตามคันนาในมือถือก่องข้าวน้อยๆ เขารู้สึกไม่พอใจที่แม่เอาข้าวมาส่งช้า เขาหิวจนตาลายจึงคิดว่าข้าวก่องแค่นี้คงกินไม่อิ่มแน่ๆ จึงต่อว่าผู้เป็นแม่ด้วยอารมณ์โกรธว่า อีแก่มึงมัวทําอะไรทําไมจึงมาส่งข้าวให้กูช้านักข้าวก็เอามาแค่นี้กูจะกินอิ่มหรือยังไง ผู้เป็นแม่จึงตอบว่า ถึงก่องข้าวมันจะก่องน้อยแต่มันก็ยัดจนเต็มและแน่นในนะลูก ลองกินดูเถอะลูก ด้วยความโมโหหิวจนตาลาย ไม่ยอมฟังอะไร จึงบันดาลโทสะคว้าไม้ตีแม่ที่แก่ชราจนล้มลงเสียชีวิตในที่สุด เขาเดินไปกินข้าวจนอิ่มแต่ข้าวยังไม่หมดจึงเกิดรู้สึกผิดชอบชั่วดี เขาเดินไปดูแม่แต่ก็ต้องเสียใจเข้าโอบกอดแม่ร้องไห้โฮสํานึกผิดที่ฆ่าแม่ของตน หลังจากนั้นเขาจึงได้ขอร้องชาวบ้านมาช่วยก่ออิฐก่อปูนสร้างธาตุเจดีย์บรรจุแม่ของเขา จนกลายเป็นตํานานธาตุก่องข้าวน้อยฆ่าแม่จนทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หูดสามเปา nan
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พญาคันคาก พระนางสีดา มเหสีของพระยาเอกราชผู้ครองเมือง ได้กําเนิดพระโอรสลักษณะแปลกประหลาด คือผิวกายเหลืองอร่ามดังทองคํา แต่เป็นตุ่มตอเหมือนผิวคางคก คนทั้งหลายจึงขนานนามพระกุมารว่า ท้าวคันคาก ซึ่งคันคากแปลว่าคางคก เมื่อเติบโตพระกุมารได้หมายพระชายาที่มีศิริโฉมงดงาม แต่พระยาเอกราชได้ปรามไว้ เพราะทรงอับอายในรูปกายของท้าวคันคาก แต่ท้าวคันคากกะบ่ย่อท้อ จึงตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากพระอินทร์ ด้วยบุญบารมีมาแต่ชาติปางก่อนของท้าวคันคาก พระอินทร์จึงเนรมิตปราสาทพร้อมอุตรกุรุทวีปผู้เป็นเนื้อคู่ให้เป็นพระชายา ส่วนท้าวคันคากก็ถอดรูปคันคากออกให้เห็นเป็นชายหนุ่มรูปงาม พระยาเอกราชยินดีกับพระโอรส จึงยกราชบัลลังค์ให้ครองต่อ ทรงพระนามว่า พญาคันคาก และครองบัลลังก์โดยตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม เดชานุภาพเป็นที่เลื่องลือ จนเมืองน้อยใหญ่มาสวามิภักดิ์ ทําให้เดือดร้อนไปจนถึงพญาแถนที่อยู่บนฟ้า เพราะคนหันไปส่งส่วยให้พญาคันคากแทนจนลืมบูชาพญาแถน จึงสั่งให้พญานาคงดให้น้ําในฤดูทํานา ทําให้เกิดเข้ายุคข้าวยากหมากแพง และความแห้งแล้ง ผู้คนเลยรวมตัวไปขอให้พญาคันคากช่วย พญาคันคากรวบรวมกองทัพสัตว์มีพิษ เช่น มด ผึ้ง แตน ตะขาบ กบ เขียด ให้ทําทางยกทัพขึ้นไปสู่กับพญาแถน โดยส่งมดปลวกไปกัดกินศัตราวุธของพญาแถนที่เตรียมไว้ เมื่อถึงเวลารบพญาแถนจึงไม่มีอาวุธ ยามร่ายมนต์ ก็ถูกเสียงเขียด กา ไก่ กลบไปหมด จะเสกงูมากินเขียดก็ถูกแร้งของพญาคันคากจับกิน พญาแถนจึงยอมแพ้ พญาคันคากเลยว่า ขอเมตตาประทานฝนให้คนตรงตามฤดูกาล พญาแถนว่า ถ้าข้าลืมเล่า พญาคันคากตอบว่า จะให้คนจุดบั้งไฟขึ้นมาบอก ตั้งแต่นั้นมาชาวอีสานจึงมีประเพณีบุญบั้งไฟเพื่อบูชาพญาแถน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ผาแดงนางไอ่ ณ เมืองสวรรณโคม มีพญาขอมครองเมืองมเหสี ชื่อนางจันทร์มีธิดาชื่อ นางไอ่ หรือนางไอ่คํา นางสวยมากจนไม่มีใครเปรียบเทียบความงามของนางได้ จนเรื่องไปถึงหูของ ท้าวผาแดง ท้าวผาแดงจึงแอบมาหานางไอ่ที่วัง โดยผ่านทางคนใช้เป็นแม่สื่อ จนทั้งสองได้รักกัน และสัญญาว่าจะมาสู่ขอตามประเพณี ที่เมืองบาดาล มีพญานาคชื่อ สุทโธนาครองเมือง มีลูกชายชื่อท้าวภังคี ชาติที่แล้วท้าวภังคีเกิดเป็นคู่กับนางไอ่ซึ่งเป็นใบ้ นางไอ่ในชาติที่แล้วจึงอธิษฐานว่า ชาติต่อไปไอ้ใบ้ต้องตายด้วยมือของนางเอง ด้านพญาขอมเดือนหกก็ได้จัดบุญบั้งไฟ แข่งขันว่าใครจะได้สูงกว่ากัน ตอนนั้นพญาขอมรู้แล้วว่าท้าวผาแดงจะมาสู่ขอนางไอ่ จึงตรัสว่า หากบั้งไฟของเราสูงกว่าจะไม่ยกนางไอ่ให้ แต่ถ้าของท้าวผาแดงสูงกว่าก็จะยกนางไอ่ให้ แต่การประลองครั้งนี้ท้าวผาแดงแพ้เห็นๆ เพราะบั้งไฟแตกก่อนขึ้น ท้าวผาแดงจึงหอบความช้ํากลับบ้านเมืองไป ด้านท้าวภังคี แปลงเป็นกระรอกขึ้นมาเที่ยวงาน แต่นายพรานจับได้ จึงนําไปให้นางไอ่เอาไปแกง ท้าวภังคีจึงอธิษฐานว่า ขอให้เนื้อของตนอร่อยที่สุด และเลี้ยงคนได้ทั้งเมือง ชาวบ้านมาเห็นกะพากันแย่งกินแกงกระรอก บริวารของท้าวภังคีเห็นจึงนําเรื่องไปบอกท้าวสุทโธนา จึงโกรธแค้นก็พาบริวารของตนไปถล่มเมืองพญาขอม เมืองกะถล่มเกิดน้ําท่วมอย่างหนัก อุทกภัยครั้งนี้ใหญ่นัก ท้าวผาแดงห่วงนางไอ่จึงพานางควบม้าหนีอันตรายไป แต่ท้าวนาคาได้ใช้หางรัดนางลงไปเมืองบาดาล ท้าวผาแดงปลอดภัยและกลับเมืองจึงอธิษฐานว่า จะขอตายเพื่อไปเอานางไอ่กลับมาแล้วก็กลั้นใจตายไปต่อสู้กับนาคา สู้จนน้ําบาดาลขุ่น พระอินทร์จึงลงมาระงับศึก ให้ผีกลับเมืองผีให้นาคากลับเมืองนาคา ส่วนนางไอ่ก็รอเนื้อคู่ของตนในเมืองบาดาลต่อไป จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ นางไอ่ก็เลยรอมาจนถึงทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ศรีทนนท์ชัย (ตอนเลี้ยงน้อง) วันหนึ่งแม่บอกให้ศรีทนนท์ชัยดูแลน้องอาบน้ําล้างไส้ล้างพุงน้องให้สะอาดและให้น้องนอน แต่ศรีทนนท์ชัยเข้าใจว่าการล้างไส้ล้างพุงคือการเอาไส้ออกมาล้างน้ํา มันจึงเอามีดผ่าท้องน้องแล้วเอาไส้ออกมาล้างจนสะอาด และเก็บเข้าที่ทาแป้งใส่เสื้อผ้าให้น้อง เห็นน้องไม่พูดไม่จาเลยให้น้องนอน พอแม่กลับมาจึงรุ้ว่าน้องตายแล้ว
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
คาดสิทุกข์บ่ฮอนมี nan
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
กําพร้าผีน้อย nan
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เซี่ยงเมี่ยงกับช้างและเสือ nan
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ปะติโมง nan
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หลวงพ่อกับน้องงัว nan
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เณรน้อยขี้ไก่โป กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหลวงพ่อกับเณรน้อยอยู่คู่หนึ่ง ชอบหยอกล้อกันมาก กําลังกวาดลานวัดอยู่ หลวงพ่อก็คิดแผนล่ะทีนี้ เดินถือไม้กวาดไปวางไว้เฉยๆ ปล่อยให้เณรน้อยกวาดอยู่คนเดียว เณรน้อยก็ไม่ได้เต็มใจที่จะกวาดเท่าไรหรอก รู้อยู่แล้วว่าหลวงพ่อมีแผน หลวงพ่อก็มานั่งพักใต้ร่มไม้ให้หายเหนื่อย ทําท่าชื่นชมเณรน้อยว่าขยันขันแข็ง วันต่อมา หลังจากฉันเพลเสร็จ เณรน้อยก็หลบมานอนเล่นใต้ร่มไม้ หลวงพ่อก็ตามมาดุวาเณรน้อยขี้เกียจ และบอกเณรน้อยว่ามีกิจนิมนต์ เณรน้อยก็ทั้งกวาดทั้งบ่นให้หลวงพ่อ ว่าจะใช้ให้ทําอะไรนักหนา พอหลวงพ่อไปลับตา เณรน้อยก็กลับมานอนใต้ล้มไม้เหมือนเดิม พอหลวงพ่อกลับมาท่านก็ถือไม้วิ่งไล่ตีเณรน้อย วันต่อมา หลวงพ่อก็เตรียมตัวจะไปทํากิจนิมนต์ ท่านก็ได้เรียกหาเณรน้อย และบอกเณรน้อยว่า หลวงพ่อมีกิจนิมนต์ที่ต้องทํา ให้เณรน้อยกวาดลานวัดให้สะอาด ระวังไก่จะไปขี้ใส่พื้นศาลาวัด ถ้าหลวงพ่อกลับมา แล้วยังมีขี้ไก่ จะให้เณรน้อยกินให้หมด เณรน้อยก็นึกในใจว่าจะยอมกินขี้ไก่ได้ไง จึงคิดแผนขึ้นมาจะเอาคืนหลวงพ่อ จึงไปเอาน้ําอ้อย มาหยอดไว้ให้ดูเหมือนขี้ไก่ พอจัดการตามแผนจึงกลับมานอนเล่นใต้ร่มไม้อย่างสบายใจ พอหลวงพ่อกลับมาก็ดุด่าว่าเณรน้อยทําไมปล่อยให้ไก่มาขี่ใส่ศาลาแบบนี้ และบอกให้เณรน้อยกินขี้ไก่ในเสื่อให้หมด เณรน้อยก็กินแบบอร่อยปาก คําแล้วคําเล่า หลวงพ่อจึงถามว่า ทําไมถึงกินเหมือนอร่อยจังเณร อร่อยสิหลวงพ่อลองชิมดู หลวงพ่อก็ชิมทั้งอร่อยทั้งหวาน แต่หารู้ไม่ว่าโดนเณรน้อยหลอกให้กินขี้ไก่ จึงบอกเณรว่าอย่าลืมเก็บใส่ถ้วยไว้เลยนะวันหลัง พอตอนเช้า หลังจากฉันเพลเสร็จ เณรก็ทําท่าหลบมาอ่านหนังสือใต้ร่มไม้ หลวงพ่อก็บอกว่า ปล่อยให้ไก่มันมาขี่ไว้เลยนะ แล้วก็เป็นไปตามแผนเณร จึงปล่อยให้ไก่มาขี่ใส่ และนั่งเฝ้าแมลงวันให้อย่างดี พอหลวงพ่อมา ท่านเลยลองชิมดู คําแรกทําไมมันเป็นขมๆ คําที่สองทําไมมันเปรี้ยวๆล่ะ ทําไมมันไม่หวานเหมือนเมื่อหวาน ก็เมื่อวานมันเป็นน้ําอ้อย แลัววันนี้ล่ะ วันนี้ป็นขี้ไก่ไงหลวงพ่อ พอหลวงพ่อรู้ว่าโดนเณรหลอกให้กินขี้ไก่ก็ได้ทีจับไม้วิ่งไล่เณรอ้อมวัด พวกคนที่มาถวายเพลจึงได้ห้ามไว้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ชาวนาครอบครัวหนึ่งในจังหวัดยโสธร มีแม่กับลูกอาศัยอยู่ด้วยกัน ลูกเป็นคนขยันไปทํานาแต่เช้ามืดทุกวัน นับวันแม่ยิ่งแก่ชรา จนวันหนึ่งแม่เอาอาหารไปให้ลูกกินสายกว่าทุกวัน ลูกที่กําลังไถนาท่ามกลางอากาศร้อน จึงโมโหมาก ด้วยความหิวจัด บวกกับเห็นว่ากระติบข้าวเหนียวที่แม่ถือมาพร้อมกับข้าวนั้น เล็กนิดเดียวไม่พออิ่ม จึงหยิบแอกไถนามาตีแม่จนสลบไป แล้วลูกก็นั่งกินข้าวคนเดียว จนอิ่มแล้ว ข้าวก็ยังไม่หมดกระติบ ลูกจึงสํานึกได้ว่าตัวเองทําร้ายแม่ซึ่งก็สายเกินไป เพราะแม่นั้นเสียชีวิตไปแล้ว ลูกจึงได้บวชและสร้างเจดีย์ไว้เพื่อทดแทนบุญคุณบุพการี
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ท้าวกําพร้าหมากเขือ นานมาแล้วมียายเลี้ยงหลานกําพร้าไว้จนโตเป็นหนุ่ม หลานกําพร้ามักจะปลูกหมากเขือไว้เขียวสดงามน่ากินเพราะว่าเอาปัสสาวะของตนรดต้นหมากเขือ ยายจึงตั้งชื่อว่าท้าวกําพร้าหมากเขือ วันหนึ่งนางหล้าธิดาองค์สุดท้องของพระราชาเสด็จออกมาชมบ้านเมือง มองไปเห็นสวนหมากเขืองามเขียวสดน่ากิน จึงรับสั่งนางสนมกํานัลให้ไปขอหมากเขือมาชิม แต่ท้าวกําพร้าหมากเขือบอกว่าให้ไม่ได้เพราะเขามีสิ่งมีค่าที่สุดคือหมากเขือพวกนี้ หากนางหล้าอยากชิมให้มาขอด้วยตนเอง นางหล้าได้ฟังดังนั้นก็เสด็จมาขอจากท้าวกําพร้าหมากเขือด้วยตนเอง จนท้าวกําพร้าหมากเขือยอมให้หมากเขือนางหล้าไปชิมเพียงแค่ขอร้องนางหล้าว่าเวลาเสวยหมากเขือก็ให้นึกถึงตน เวลาผ่านไปไม่นาน นางหล้าเกิดอาการประหลาดเพราะนางเริ่มตั้งครรภ์และไม่ทราบว่าตั้งครรภ์ได้เพราะสาเหตุอะไร พระราชาทรงกริ้วที่นางไม่ยอมทูลแจ้งความจริง จึงรอให้นางคลอดลูกออกมาก่อนแล้วประกาศไปทั่วเมืองว่าให้ชายหนุ่มมาชุมนุมกันแล้วให้ลูกคลานไปหาพ่อบังเกิดเกล้าเอง แต่ก็ไม่มีใครเป็นพ่อของโอรสน้อยนั้น จนกระทั่งมีชายสวมชุดขาดๆ มาปรากฏตัวแล้วโอรสน้อยก็คลานเข้าไปหา จึงได้ข้อสรุปว่าโอรสน้อยมีพ่อเป็นท้าวกําพร้าหมากเขือ พระราชายิ่งกริ้วโกรธเป็นไฟเพราะรู้สึกอับอาย ประกาศเนรเทศลอยแพท้าวกําพร้าหมากเขือกับนางหล้าออกจากพระราชวังไปตามแม่น้ํา ก่อนออกจากพระราชวังท้าวกําพร้าหมากเขือขอให้นางหล้านําขวานกับเมล็ดข้าวเมล็ดผักติดตัวไปด้วย แพลอยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลอยไปติดเกาะใหญ่กลางน้ํา ทั้งสองจึงลงจากแพแล้วตั้งรกรากสร้างบ้านปลูกผักทํานาที่นั่น อยู่ไปไม่นานท้าวกําพร้าหมากเขือสังเกตเห็นฝูงลิงมีฆ้องวิเศษที่ทําให้ต้นไม้ตายมีชีวิตคืนมาได้ จึงวางแผนจับลิงโดยใช้เชือกทําจากเถาวัลย์ จับลิงได้แล้วและได้ฆ้องวิเศษมาและตีได้สามครั้งและขอพรได้สามข้อ หลังจากนั้นเป็นต้นมาท้าวกําพร้าหมากเขือกับนางหล้าก็มั่งมีเงินทองและมีความเป็นอยู่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งข่าวคราวเรื่องฆ้องวิเศษเลื่องลือไปถึงพระราชา พระราชาจึงส่งเสนาอํามาตย์มาขอฆ้องวิเศษจากท้าวกําพร้าหมากเขือแต่ขอกี่ครั้งท้าวกําพร้าหมากเขือก็ปฏิเสธ พระราชาเสด็จบนหลังช้างมาด้วยตนเองแต่ท้าวกําพร้าหมากเขือก็ยืนกรานปฏิเสธเช่นเดิม องค์หญิงไม่อยากให้เกิดการนองเลือดจึงขอร้องท้าวกําพร้าหมากเขือให้ยินยอมมอบฆ้องวิเศษให้พระบิดาแต่ก็ไม่สําเร็จเพราะท้าวกําพร้าหมากเขือยังปฏิเสธอีก พระราชาจึงสั่งทหารให้จับท้าวกําพร้าหมากเขือเพื่อจะเอาไปกําจัดแต่ท้าวกําพร้าหมากเขือตีฆ้องวิเศษทําให้เหล่าทหารขยับตัวไม่ได้ พระราชายิ่งกริ้วมากกว่าเดิมจึงบังคับสั่งช้างให้เข้าเหยียบทําร้ายท้าวกําพร้าหมากเขือแต่ท้าวกําพร้าหมากเขือก็ตีกลองอีกครั้งจนพระราชากับช้างก็ขยับตัวไม่ได้เช่นกันกับเหล่าทหาร นางหล้าเห็นดังนั้นจึงขอร้องอ้อนวอนท้าวกําพร้าหมากเขือให้พระบิดากับเหล่าทหารกลับมามีชีวิตดังเดิม ท้าวกําพร้าหมากเขือจึงตีฆ้องวิเศษอีกครั้งทําให้ทุกคนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ครั้งนี้พระราชาและเหล่าเสนาอํามาตย์รู้สึกสํานึกผิดและเสียใจกับสิ่งที่ได้กระทํากับท้าวกําพร้าหมากเขือและนางหล้าจึงได้แบ่งเมืองอีกครึ่งหนึ่งให้ท้าวกําพร้าหมากเขือกับนางหล้าได้ปกครอง ท้าวกําพร้าหมากเขือก็ได้ทําให้ทุกคนได้ตระหนักว่าทุกคนมีความเท่าเทียมกันและสมควรได้รับการปฏิบัติที่เสมอภาคกัน ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ คนมั่งมี คนทุกข์คนยาก ทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ผีหวงผัว ในสมัยก่อน คู่รักที่หมั้นหมายกันแล้วจะมีธรรมเนียมห้ามแยกจากกัน มีคู่รักคู่หนึ่งในหมู่บ้านที่ตกลงหมั้นหมายกันแต่ว่าฝ่ายชายต้องออกเดินทางไปค้าขายต่างถิ่นจึงต้องเดินทางไปหลายที่ พอฝ่ายชายเดินทางกลับมาจึงรีบไปหาคู่หมั้นของตนทันที แต่ว่านางก็ได้ตายจากเขาไปนานแล้ว ชายคนนั้นก็อยู่กินกับคู่หมั้นของตนโดยหารู้ไม่ว่านางได้ตายไปนานแล้ว นางก็เป็นผีคู่หมั้นที่ยังทําตนเหมือนเป็นคนปกติทั่วไป อยู่กันมาเรื่อยๆ แม่ชายคนนั้นก็ได้ออกปากเตือนเขาว่าคู่หมั้นได้ตายไปนานแล้วแต่ชายคนนั้นก็ไม่เชื่อแม่ คืนหนึ่งก็ได้ยินเสียงว่า “แวะ แวะ แวะ เจ้า บ่ แวะ นี้ สิ ไป แวะ เฮือน ใด?” ในขณะที่เขาหลับอยู่ผีคู่หมั้นก็เกาเนื้อเกาตัว เขาเลยถามนางว่า “เจ้า เฮ็ด หยัง เสียง ขบ ดัง เผาะ?” นางผีคู่หมั้นตอบว่า “ข้อย ขบ เหา ขบ เหา ขบ เหา” “เหม็น เหม็น เหม็น” “ฮืด ฮืด ฮืด” ชายคนนั้นรู้ทันทีว่าคู่หมั้นของตนเป็นผีแล้วจริงๆ จึงพยายามจะหนี จึงบอกนางผีคู่หมั้นไปว่า ข้อยอยากเข้าห้องน้ํา อยากไปเข้าห้องน้ําอยู่บ้านแม่ข้อย นางผีคู่หมั้นบอกเขาว่าให้ปัสสาวะอยู่นี่แหละไม่ต้องไปบ้านแม่หรอก ฝ่ายชายพยายามจะหนีให้ได้จึงบอกนางผีคู่หมั้นว่าปัสสาวะอยู่นี่ไม่ค่อยสะดวก แต่ว่าจะลงไปใต้ถุนบ้านให้นางผีคู่หมั้นมัดตนไว้กับโอ่งมังกรก็ได้ นางผีคู่หมั้นได้ฟังดังนั้นจึงยอมให้เขาลงไปใต้ถุนบ้าน ชายคนนั้นมัดเชือกกับโอ่งมังกรพร้อมทั้งเจาะรูให้น้ําไหลออกจะได้ฟังเหมือนเสียงปัสสาวะไหล นางผีคู่หมั้นรู้แล้วว่าฝ่ายชายหนีไปแล้วเพราะนางลองกระตุกเชือกดูแต่ไม่เจอเขา นางจึงออกตามล่าฝ่ายชาย และไปเจอเขาที่ต้นโพธิ์นางตามล่าจนเขาเป็นลมล้มตายใต้ต้นโพธิ์
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พ่อตากับลูกเขย ตอน ลูกเขยขายขี้ มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่งมีลูกสาวสี่คนและลูกเขยสี่คน แต่พ่อตาไม่ค่อยยอมรับลูกเขยคนสุดที่สี่นักเพราะว่าลูกเขยคนนี้เคยบวชเรียนมาก่อนและมีความฉลาดหลักแหลมกว่าตน พ่อตาจึงอยากจะชิงไหวชิงพริบกับลูกเขยคนที่สี่ วันหนึ่งพ่อตาจึงถามคําถามปริศนาให้ลูกเขยทั้งสี่คนตอบ หากใครตอบถูกจะมอบทรัพย์สมบัติให้ทั้งหมดที่ตนมี พ่อตาจึงพาลูกเขยทั้งสี่คนเข้าไปในป่าและถามคําถามสี่คําถาม ลูกเขยทั้งสามคนตอบเหมือนกัน ยกเว้นคนที่สี่ที่ตอบว่าทุกสิ่งอย่างก็เป็นไปธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ พ่อตาโกรธจัดจึงสั่งให้ลูกเขยคนที่สี่สร้างบ้านแต่ไม่ให้ต้นทุนอะไรเลย ลูกเขยคนที่สี่จึงถ่ายใส่ไหแล้วเอาไหไปลอยในสระน้ํา พร้อมกับท้าทายชาวบ้านรอบๆ สระให้พนันว่าอะไรอยู่ในโอ่งมังกรแต่ไม่มีใครตอบถูก วันต่อมาลูกเขยคนที่สี่จึงกลับบ้านพร้อมบอกพ่อตาว่าเขาเอาอุจจาระเขาไปขายได้เงินมาสร้างบ้านตามที่พ่อตาสั่ง พ่อตาได้ฟังดังนั้นจึงทําตามที่เขาเล่าให้ฟังพร้อมแบกไหอุจจาระตนเองไปขายในตลาด ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตํารวจจับพ่อตา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ภรรยาปากพาทุกข์พายาก ภรรยาคนหนึ่งเป็นคนมักจะพูดไม่ดี พูดเรื่องอะไรก็จะบอกว่าทุกอย่างเหมือนของสงวนของนาง อยู่มาวันหนึ่งสามีของนางไปหยิบยืมคันธนูกับลูกธนูมายิงไหมีทองคําอยู่ข้างใน ทันทีที่สามีของนางยิงได้ไหใส่ทองคํามาแล้ว นางก็พูดเปรียบเปรยทันทีว่าไหใส่ทองคําใบนั้นเล็กเท่ากับของสงวนของนาง พอนางพูดจบทองคําในไหใบนั้นก็กลายเป็นของสงวนของนางทันที
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พ่อตากับลูกเขยใหม่ มีครอบครัวหนึ่งมีลูกเขยใหม่ ในสมัยก่อนบ้านจะสร้างด้วยไม้ไผ่กับใบไม้ ทุกครอบครัวที่มีลูกเขยใหม่จะต้องเตรียมห้องไว้ห้องหนึ่งเรียกว่า ห้องส้วม ไว้ให้คู่สามีภรรยา หลังพิธีแต่งงาน ครอบครัวรวมทั้งคู่สามีภรรยาใหม่ต้องรับประทานอาหารร่วมกันตามธรรมเนียม ครอบครัวนี้มีพ่อตาแม่ยาย น้องสะใภ้ และสามีภรรยาคู่นี้รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ในขณะที่กินไปได้ซักครู่ก็มีอาหารติดคอลูกเขย เขาจึงลุกออกจากครัวไปหาน้ําดื่ม หลังจากลุกออกไปแล้วแม่ยายก็พูดถามว่า ทําไม(ลูกเขย)กินอิ่มเร็วจังล่ะ พ่อตาก็ตอบกลับไปว่า (ลูกเขย)น่าจะอิ่มแล้ว พอได้ฟังดังนั้นลูกเขยจึงออกไปทั้งๆ ที่ยังหิวอยู่ คืนนั้นลูกเขยหิวมากจึงไปแอบกินขนุนที่แม่ยายเพิ่งเก็บมาหมดทั้งลูกรวมทั้งกินเม็ดขนุนลงไปด้วย กินเยอะเกินไปเลยท้องอืดจึงค่อยๆ ผายลมออกมาเป็นระยะๆ พ่อตาเริ่มเอะใจว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น แต่ลูกเขยก็ยังไม่ปริปากพูดอะไร ทุกๆ ครั้งที่เขาผายลมออกมาเม็ดขนุนก็จะออกมาด้วย ออกมาจนเสียงผายลมเริ่มดังขึ้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนดังเหมือนเสียงลูกกระสุนปืน ลูกเขยทนไม่ไหวต้องออกไปถ่ายที่ทุ่งนาใกล้ๆ บ้านแต่ระหว่างที่เดินไปทุ่งนาก็ยังผายลมอยู่เรื่อยๆ จนเขาเป็นลมขณะที่เม็ดขนุนยังติดก้นเขาอยู่ นกอีแร้งเห็นเขานอนสลบอยู่คิดว่าเขาตายแล้วจึงบินลงมาเพื่อกินเขาเป็นอาหาร มันเหลือบไปเห็นเม็ดขนุนจึงกินเม็ดขนุนก่อนแล้วในขณะเดียวกันนั้นเองขนุนทั้งลูกที่ลูกเขยกินเข้าไปก็ออกมาหมดทั้งลูกและกระแทกหัวนกอีแร้งจนมันตาย ลูกเขยได้สติตื่นมาเห็นนกอีแร้งนอนตายอยู่ข้างๆ จึงจับมันล้างทําความสะอาดและแบกกลับบ้าน พอกลับถึงบ้านพ่อตาทักทายว่าลูกเขยตื่นแต่เช้าจริงๆ ลูกเขยจึงตอบกลับไปว่าที่ต้องตี่นเช้าเพราะต้องไปวางกับดักจับนกอีแร้งมาทํายา พร้อมยื่นนกอีแร้งให้พ่อตา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ผีกองกอย ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีท้าวขึ้คร้านเดินขออาหารชาวบ้านกินเพื่อประทังชีวิต ชาวบ้านขับไล่เขาออกนอกหมู่บ้านให้ไปอยู่กับผีกองกอย นางผีกองกอยเห็นท้าวขี้คร้านเกิดจิตพิศวาสตกหลุมรักท้าวขี้คร้านจนอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน ท้าวขี้คร้านอยู่กินฉันท์สามีภรรยากับนางผีกองกอยเป็นเวลานาน จึงคิดวางแผนอยากจะหนีออกมาจากถ้ําที่อยู่ กลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป แต่นางผีกองกอยก็รักและดูแลเอาใจใส่ท้าวขี้คร้านอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อยู่มาวันหนึ่งท้าวขี้คร้านอาศัยจังหวะช่วงนางผีกองกอยออกไปหาของป่าอาหารจึงหนีออกมาได้ หนีมาได้ไม่ไกลนักนางผีกองกอยก็กลับมาจากหาอาหารและของป่า นางผีกองกอยไม่เห็นท้าวขี้คร้านสามีจึงออกตามหา ส่วนท้าวขี้คร้านหนีมาถึงทุ่งนาที่ต้นข้าวออกรวงเหลืองทองและมีดอกข้าวเต็มทุ่งพอดีนางผีกองกอยก็ไล่ตามมาเกือบจะทัน ท้าวขี้คร้านจวนตัวจึงแกล้งทําเป็นว่าตนเองตายแล้วจึงนอนเกลือกกลิ้งในทุ่งจนเกสรดอกข้าวท่วมตัว นางผีกองกอยตามมาทันจึงเห็นว่าสามีตนตายแล้ว ตามธรรมเนียมนางผีกองกอยจึงนําทองคํา เครื่องเงินและเครื่องประดับเพชรนิลจินดามาทําบุญให้สามีของนาง ส่วนท้าวขี้คร้านพอนางผีกองกอยกลับไปแล้วก็มุ่งหน้ากลับหมู่บ้านของตนพร้อมเพชรนิลจินดา เครื่องเงิน ทองคําและเครื่องประดับจนกลายเป็นคนร่ํารวย เพื่อนของท้าวขี้คร้านเห็นดังนั้นรีบเข้ามาสอบถามว่าทําอย่างไรถึงได้กลับมามั่งมีร่ํารวยแบบนี้ ท้าวขี้คร้านเล่าให้เพื่อนฟังทุกอย่างที่ตนทํา ส่วนเพื่อนท้าวขี้คร้านผู้โลภมากก็อยากร่ํารวยกว่าท้าวขี้คร้านจึงทําตามทุกอย่างที่ท้าวขี้คร้านเล่าให้ฟัง จนถึงตอนที่ตนต้องแกล้งตายแล้วนางผีกองกอยนําเครื่องเงิน ทอง เพชรนิลจินดา มาทําบุญให้สามี เพื่อนท้าวขี้คร้านจึงรีบลืมตาขึ้นบอกนางผีกองกอยว่าขอทองมาเพิ่มให้อีก นางผีกองกอยก็รู้ทันทีว่าตนถูกชายคนนี้หลอกลวงจึงพาเขาไปอยู่ในเมืองผีกองกอยตลอดไปเพราะตอนนี้เพื่อนโลภมากของท้าวขี้คร้านก็เป็นผีเหมือนกัน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ทําไมต้องมัดตราสังศพด้วยด้ายสายสิญจน์ ในสมัยก่อนชาวบ้านไม่ได้มัดข้อมือข้อเท้าศพด้วยด้ายสายสิญจน์ก่อนจะทําพิธีเผา วันหนึ่งมีงานศพในหมู่บ้านชาวบ้านต่างก็มาร่วมพิธีสวดศพที่บ้านของผู้ตาย ระหว่างที่พระคุณเจ้าสวดศพชาวบ้านก็มักจะเล่นการพนันพร้อมกับฟังพระคุณเจ้าอ่านหนังสือใบลานเล่านิทานไปด้วย หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า เทศน์หนังสือธรรม คืนนั้นเป็นคืนฝนตกสามเณรน้อยเป็นผู้รับผิดชอบอ่านหนังสือธรรมระหว่างทําพิธีสวด พอฝนหยุดผีผู้ตายก็ออกมาหลอกหลอนชาวบ้านที่มาฟังสวดให้หลับไหลไม่รู้สึกตัว ยกเว้นสามเณรที่กําลังสวดทําพิธีอยู่คนเดียว สามเณรจึงถูกผีหลอกและเผชิญหน้ากับผีตามลําพัง สามเณรพยายามปลุกชาวบ้านให้ตื่นมาช่วยตนแต่ก็ไม่สําเร็จเพราะหลับกันหมดและไม่มีใครอยากตื่นมาช่วยเลย เมื่อขอความช่วยเหลือไม่สําเร็จสามเณรจึงคิดหาอุบายเพื่อหนีจากผีผู้ตายให้ได้ จึงออกอุบายว่าตนต้องลงไปปัสสาวะแต่ถ้าผีไม่มั่นใจให้มัดข้อมือเขาไว้กับโอ่งมังกรก็ได้ ผีหลงเชื่อจึงตกลงยินยอม เมื่อสามเณรลงไปใต้ถุนบ้านแล้วจึงใช้มีดเจาะโอ่งมังกรให้น้ําไหลเหมือนเสียงตนกําลังปัสสาวะอยู่ เมื่อผีรู้ตัวแล้วว่าสามเณรหนีไปแล้วจึงออกตาม สามเณรวิ่งหนีเร็วเท่าที่จะวิ่งได้จนเข้าไปในวัดแล้วจึงหนีผีพ้น พอถึงรุ่งเช้าสามเณรบอกชาวบ้านให้มัดข้อมือข้อเท้าของผีผู้ตายไว้ในโลงและเล่าให้ชาวบ้านฟังเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนแต่ว่าไม่มีใครเชื่อ สามเณรจึงให้ชาวบ้านไปดูในโลงชาวบ้านจึงเห็นว่าเท้าของผีผู้ตายมีดินโคลนติดอยู่ตามที่สามเณรเล่าให้ฟัง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมื่อมีคนตายในหมู่บ้าน ชาวบ้านต้องมัดตราสังศพด้วยด้ายสายสิญจน์ก่อนนําศพใส่โลง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ผีขาเดียว มีกลุ่มพ่อค้าหม้อปั้นดินเผาอยู่กลุ่มหนึ่ง ทั้งกลุ่มไม่มีใครอ่านออกเขียนได้เลยแม้แต่คนเดียว วันหนึ่งกลุ่มพ่อค้าต้องพักระหว่างทางก่อนเดินทางกลับถึงหมู่บ้านของตน พวกพ่อค้าเห็นกระท่อมอยู่หลังหนึ่ง มีป้ายเตือนว่าในป่าแห่งนี้ห้ามไม่ให้ใครมานอนพักแรมเพราะมีเสือสมิงออกมาล่าเหยื่อตอนกลางคืน เนื่องจากว่าพ่อค้ากลุ่มนี้ไม่มีใครอ่านคําเตือนออกทุกคนจึงตกลงพักค้างคืนที่กระท่อมหลังนี้ ตกดึกเสือสมิงออกล่าเหยื่อเช่นเคย แรกๆ ก็ส่งเสียง วุง วุง วุง พอซักพักหนึ่งผ่านไปก็กลายร่างเป็นผีขาเดียว แต่พ่อค้าหม้อก็ใช้หม้อดินเผาปิดบังตนเองไว้ แล้วจึงช่วยกันกําจัดเสือสมิงได้สําเร็จ ตั้งแต่นั้นมาในป่าแห่งนั้นก็ไม่มีเสือสมิงมาทําร้ายชาวบ้านอีกเลย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ทําไมกระต่ายถึงมีหางสั้น ผู้เล่าอธิบายสาเหตุที่เล่านิทานเรื่องนี้ว่าตอนเป็นเด็กเคยไปไล่จับกระต่ายในป่าละเมาะแถวหมู่บ้านกับปู่ จับกระต่ายได้สามตัว ปู่เลยให้เขามาดูรูก้นของกระต่ายทั้งสามตัวพร้อมถามหลานชายว่ากระต่ายสามตัวมีรูก้นกี่รู? พี่ชายมาดูก่อนจึงตอบปู่ไปว่ามี 3-4 รูนะปู่ (พี่ชายเคยบวชเรียนเป็นพระมาก่อนและเคยได้ยินนิทานเกี่ยวกับกระต่ายมาแล้ว) พี่ชายจึงเล่านิทานประกอบด้วย เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยก่อน มีหมู่บ้านอยู่ในเมืองพาราณสี ในหมู่บ้านนั้นมีชายขายฟืนคนหนึ่งเอาฟืนใส่เกวียนไปขายหมู่บ้านอื่นที่อยู่ห่างออกไป กว่าจะไปถึงหมู่บ้านนั้นชายขายฟืนต้องลากเกวียนข้ามแม่น้ําห้วยแล้วขึ้นเนินเขาไปต่ออีก พอขากลับจากขายฟืนก็ต้องกลับทางเดิมและต้องลากเกวียนข้ามลําห้วยอีกเช่นเคย วันนั้นขณะที่ชายขายฟืนกําลังลากเกวียนข้ามลําห้วยนั้นก็เหลือบไปเห็นจระเข้นอนขวางลําห้วยอยู่แบบไร้เรี่ยวแรง จระเข้ได้ยินเสียงชายขายฟืนผ่านมาจึงเงยหน้าขึ้นมามอง สมัยก่อนสัตว์ทุกตัวพูดภาษาเดียวกับมนุษย์ได้ ชายขายฟืนจึงตะโกนออกไปว่า “เอ๊า! เจ้าจระเข้ หลีกทางให้ข้าหน่อย เจ้านอนขวางทางข้าอยู่นะ นี่ก็ค่ํามากแล้ว ข้าจะได้รีบลากเกวียนกลับบ้าน.” จระเข้ได้ยินดังนั้นก็ตอบแบบไร้เรี่ยวแรงว่า “ชายขายฟืน, ข้าไม่มีเรี่ยวแรงขยับตัวไปไหนเลย เหนื่อยเหลือเกิน หาอาหารก็ไม่ได้ นี่ข้าก็ว่าจะรอขี่เกวียนข้ามไปฝั่งโน้นกับท่านพอดีเลย.” ชายขายฟืนตอบกลับไปทันทีว่า “โถๆ เจ้าจระเข้, เจ้าจะขี่เกวียนไปกับข้าได้อย่างไรล่ะ? เจ้าตัวใหญ่ยักษ์ซะขนาดนี้ เกวียนข้าก็มีฟืนเต็มแล้ว ไม่มีที่ว่างให้เจ้าไปด้วยหรอก รีบๆ หลบออกจากลําห้วยนี้ซะทีเถอะ ไป๊!” แต่จระเข้ก็ไม่หลีกทางให้ชายขายฟืนจนเขาต้องยอมเอามันใส่เกวียนไปด้วย พอไปถึงกลางลําห้วย ชายขายฟืนก็บอกกับจระเข้ว่า “ไป ไป ลงน้ําไปซะให้พ้นๆ!” แต่เจ้าจระเข้ก็ยังไม่ขยับตัวไปไหนจึงตอบชายขายฟืนว่า “ไม่! ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะกินเจ้าเป็นอาหารเย็นเดี๋ยวนี้ ทนหิวมาทั้งวันแล้ว!” “เจ้าจะกินข้าเป็นอาหารเหรอ? เจ้ามันไม่รู้จักสํานึกบุญคุณคน ข้าพาเจ้าข้ามลําห้วยมาจนถึงกลางห้วยทั้งๆ ที่ลําห้วยนี้ก็เป็นบ้านของเจ้า! เจ้าไม่รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณข้าบ้างเลย!” ชายขายฟืนกล่าวตําหนิเจ้าจระเข้เนรคุณ จระเข้ตอบไปทันทีว่า “ข้าไม่รู้จักบุญคุณอะไรทั้งนั้น ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว ข้าจะกินเจ้าซะเดี๋ยวนี้เลย!” ชายขายฟืนรีบแย้งทันควันว่า “เจ้าจะกินข้าตอนนี้ไม่ได้นะ! เราต้องหาใครมาตัดสินว่าเจ้าสมควรจะได้กินข้าหรือไม่ก่อน รอก่อนนะ เดี๋ยวจะไปหาใครซักคนก่อน.” ชายขายฟืนพูดพร้อมรีบเดินไปในป่า จนกระทั่งไปพบกับเจ้ากระต่ายน้อยนั่งอยู่บนตอต้นชาดที่มียางติดอยู่ พอนั่งไปนานๆ ก้นกระต่ายก็ติดอยู่กับตอต้นชาด ชายขายฟืนเห็นดังนั้นจึงร้องเรียกกระต่ายน้อยให้ไปช่วยตัดสิน “กระต่ายน้อย ไปช่วยข้าตัดสินหน่อยซิ ว่าเจ้าจระเข้สมควรจะได้กินข้าเป็นอาหารหรือไม่?” กระต่ายน้อยตอบว่า “ข้าจะไปกับท่านได้อย่างไร เพราะก้นของข้าติดอยู่กับตอแบบนี้? ท่านช่วยข้าหน่อยสิ!” ว่าแล้วชายขายฟืนก็ไปหากิ่งไม้มางัดก้นกระต่ายออกจากตอไม้ พอหลุดมาได้แล้วกระต่ายน้อยก็ไปพบเจ้าจระเข้ตามคําขอของชายขายฟืน พอไปถึงก็ถามเจ้าจระเข้ว่า “ทําไมถึงอยากจะกินชายขายฟืนเป็นอาหารทั้งๆ ที่เค้าช่วยเจ้าและมีบุญคุณกับเจ้า!” จระเข้ตอบกลับไปว่า “ข้าไม่รู้จักบุญคุณอะไรทั้งนั้น ตอนนี้ก็หิวมากแล้วจะกินชายขายฟืนเดี๋ยวนี้!” กระต่ายรีบบอกว่า “เดี๋ยวก่อนนะ! ก่อนที่จะกินชายขายฟืน ข้าอยากจะรู้ว่าเค้ามัดคอเจ้าแน่นหนาเพียงใด ได้ยินกระต่ายพูดดังนั้นแล้วจระเข้ก็คลานไปใต้ท้องเกวียน ชายขายฟืนรีบใช้เชือกมัดจระเข้ให้แน่นทันที เจ้ากระต่ายเจ้าปัญญาก็รีบถามจระเข้ว่า “แค่นี้แน่นพอไหม?” ส่วนเจ้าจระเข้ตอบพาซื่อตอบไปว่า “ยังๆ ต้องแน่นกว่านี้อีกนิดหน่อย!” ชายขายฟืนได้ยินดังนั้นก็รีบดึงเชือกให้แน่นยิ่งกว่าเดิมจนจระเข้แทบจะหายใจไม่ออก กระต่ายเจ้าปัญญาจึงรีบบอกให้ชายขายฟืนใช้ไม้ตีจระเข้สั่งสอนให้หลาบจํา พร้อมกับกําชับกับจระเข้ว่าอย่าคิดอยากมากินชายขายฟืนอีก จระเข้รับปากแล้วรีบหนีลงลําห้วยอย่างรวดเร็ว
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หลวงพ่ออยากกินจิ้งหรีด ในลานวัดแห่งหนึ่ง มีเด็กๆ พากันมาขุดหาจิ้งหรีดกันอย่างสนุกสนาน หลวงพ่อเจ้าอาวาสไม่ค่อยพอใจนักเพราะยิ่งขุดมากลานวัดก็ยิ่งเป็นหลุมเป็นรูมากเท่านั้น แม่ของเด็กๆ ที่ไปขุดหาจิ้งหรีดเลยบอกเด็กๆ ไปว่า ให้บอกหลวงพ่อเจ้าอาวาสว่าที่ขุดหาจิ้งหรีดเยอะเพราะจํานํามาถวายเพลหลวงพ่อ พอหลวงพ่อได้ยินดังนั้นก็พอใจและบอกให้เด็กๆ ขุดมาอีกเยอะๆ วันหนึ่งก็ถึงเวลาเพล หลวงพ่อท่านก็นั่งรอชาวบ้านนําอาหารเพลมาถวาย แต่ก็ไม่มีใครเอามาถวายซักที วันนั้นหลวงพ่ออยากฉันแหนมเนื้อ เพราะมีอยู่วันหนึ่งมีญาติโยมนําแหนมเนื้อมาถวายเพลหลวงพ่อจึงอยากฉันอีก จึงบอกญาติโยมไปว่า “พรุ่งนี้อย่าลืมนํามาถวายอีกนะ เพราะว่าอร่อยมาก.” ชาวบ้านไม่มีเนื้อวัวมาทําแหนมจึงเอาเศษไม้ห่อใบตองใส่ไปถวายเพลหลวงพ่อแทนชิ้นเนื้อ หลวงพ่อเก็บห่อแหนมนั้นไว้ฉันรูปเดียว พอหลวงพ่อฉันไปแล้วจึงรู้ว่าเป็นเศษไม้เลยโยนเศษไม้ออกนอกหน้าต่าง แต่ก็โยนไม่พ้นขอบหน้าต่างเศษกิ่งไม้เลยกระเด็นมาโดนหน้าผากหลวงพ่อจนปูดขึ้นเป็นก้อนๆ หลวงพ่อไม่กล้าออกไปข้างนอกกุฏิ ตอนที่สามเณรไปขอพบหลวงพ่อๆ ก็เอาผ้าจีวรมาปิดหน้าผาก สามเณรสงสัยเลยเปิดผ้าจีวรดูจึงเห็นว่าหลวงพ่อหน้าผากปูดใหญ่มาก เพราะว่าเหมือนโดนค้อนกระแทก
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
นกกาเหว่าสองพี่น้อง นกกาเหว่าสองพี่น้องเกิดมาจากแม่ตัวเดียวกัน ตัวพี่ได้รับการอุปถัมภ์เลี้ยงดูโดยจอมโจรกลุ่มนึง ส่วนตัวน้องมีท่านบัณฑิตเป็นผู้เลี้ยงดู วันหนึ่งพระสัมมาสัมพทธเจ้าเสด็จไปใกล้ๆ กับหมู่บ้านของจอมโจร ก็ได้ยินเสียงนกกาเหว่าตัวพี่พูด พระองค์ก็เสด็จจากไปโดยไม่ได้กล่าวอะไร แล้วจึงเสด็จไปยังหมู่บ้านของท่านบัณฑิตแล้วก็ได้ยินเสียงนกกาเหว่าตัวน้องพูดจาไพเราะมีสัมมาคารวะ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
มะม่วงของพระราชา พระราชามีมะม่วงสามฤดูอยู่ต้นหนึ่ง คนสวนขยันรดน้ําพรวนดินใส่ปุ๋ยจึงออกดอกออกผลงอกงามตลอดทั้งปี อยู่มาวันหนึ่งทรงกริ้วชายคนทําสวนจึงขับไล่ออกจากพระราชวังและจัดการหาคนดูแลสวนคนใหม่มาแทน พระราชาจากอีกเมืองนึงมาพร้อมกับคนทําสวนคนใหม่พร้อมกับปลูกต้นสะเดากับต้นบอระเพ็ดใกล้ๆ กับต้นมะม่วง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามะม่วงสามฤดูต้นนั้นก็มีรสไม่เหมือนเดิม ไม่หวานหอมเหมือนเมื่อก่อนแต่กลับมีรสขมแทน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
สี่สหาย นานมาแล้วสี่สหายเป็นเพื่อนกัน คนที่หนึ่งชื่อนายตําราซึ่งขณะที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็เห็นนกยักษ์ตัวหนึ่งกําลังคาบเจ้าหญิงผู้ทรงสิริโฉมงดงามมา ส่วนนายคันธนูมองเห็นดังนั้นก็ง้างธนูพร้อมยิงนกยักษ์ตกลงมาทําให้เจ้าหญิงตกลงไปในน้ําแล้วสิ้นพระชนม์ทันที สหายคนที่สามดําน้ําเก่งจึงดําน้ําลงไปงมหาเจ้าหญิงขึ้นมา พอขึ้นมาจากน้ําได้แล้ว สหายคนสุดท้ายมีเวทย์มนต์คาถาจึงช่วยชุบชีวิตให้นางฟื้นขึ้นมา พอนางมีชีวิตคืนมาแล้วสหายทั้งสี่จึงถกเถียงกันว่าใครเหมาะสมที่จะได้สมรสกับนาง ทุกคนก็อ้างว่าตนได้มีส่วนช่วยชีวิตนางทั้งนั้นแต่ก็ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครเหมาะสมที่สุดเพราะก็เหมาะสมกันทุกคน เรื่องนี้ทราบไปถึงพระราชาพระราชบิดาของนาง พระองค์ได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้วจึงตัดสินสรุปให้ชายคนที่สามที่ได้ดําน้ําลงไปงมหาตัวนางเพราะเป็นคนเดียวที่ได้ถูกเนื้อต้องพระองค์ของนางเพียงคนเดียวและในที่นี้คงจะดูเหมาะสมที่สุดที่จะได้สมรสกับนาง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หมาจิ้งจอกอยากกินกุ้ง วันหนึ่งหมาจิ้งจอกเดินไปถึงหนองน้ําที่เต็มไปด้วยกุ้งมากมาย จึงอยากกินกุ้งมากแต่กุ้งก็คิดหาวิธีเอาตัวรอดด้วยวิธีการต่างๆ ฝูงกุ้งหลอกให้หมาจิ้งจอกเดินลงไปในน้ําลึกๆ เพื่อที่จะได้ล้างกุ้งให้สะอาดเพราะฝูงกุ้งมีแต่โคลนติดอยู่ แต่จนแล้วจนรอดหมาจิ้งจอกก็ไม่ได้กินกุ้งสักที หลังจากโดนฝูงกุ้งหลอกให้เดินลงไปกลางหนองน้ํา หมาจิ้งจอกก็โมโหมากจึงเรียกประชุมบรรดาสัตว์ใหญ่น้อยในป่าเพื่อให้มาช่วยกันจับกุ้งฝูงนี้ให้ได้ หมาจิ้งจอกสั่งการให้งูเหลือมนอนขวางกั้นเป็นเขื่อนในหนองน้ํา แล้วจึงสั่งให้ช้างพลายตัวใหญ่ช่วยกันออกแรงสูบน้ําออกจากหนองจนแห้ง ส่วนนกอีแร้งหมาจิ้งจอกก็สั่งการให้บินวนรอบหนองน้ําเพื่อสังเกตการณ์และเฝ้าจับตาดูกุ้งฝูงนั้นไม่ให้มีตัวใดหนีออกจากหนองน้ําได้ แต่ว่าก็มีกุ้งเจ้าปัญญาอยู่ตัวหนึ่งได้ร้องขอความช่วยเหลือจากนกอีแร้งให้ไปหาใบไม้ใบใหญ่ๆ มา แล้วกุ้งเจ้าปัญญาตัวนั้นก็ใช้ใบใม้มาม้วนทําเป็นลําโพงขยายเสียง พร้อมกับตะโกนใส่ลําโพงดังๆ ว่า “ฝูงสัตว์ใหญ่น้อยทั้งหลาย! ฟังทางนี้! ตอนนี้ มีผีเจ้าป่าเจ้าเขากําลังมาทางนี้ ถ้าใครไม่หนีก็จะถูกลงโทษ!” หมาจิ้งจอก งูเหลือม ช้างพลายและสัตว์ใหญ่สัตว์น้อยได้ยินดังนั้นแล้วก็รีบหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต และสุดท้ายกุ้งทั้งฝูงก็ปลอดภัยจากหมาจิ้งจอกอันพาล
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พญาช้างผู้อารี นิทานเรื่องนี้เล่าและถูกนํามาเล่าเพราะเชื่อว่าเป็นนิทานชาดกว่าเป็นอดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเคยเสวยชาติเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ และเป็นมนุษย์บ้าง และชาตินี้ได้เสวยชาติเป็นพญาช้างที่มีฝูงสัตว์และช้างป่าเป็นบริวารมากมาย อาศัยอยู่ในป่าใหญ่อย่างสงบสุขเรื่อยมา พญาช้างได้สอนให้บริวารทั้งหลายเป็นผู้ที่รู้จักให้และรู้จักการทํางานร่วมกันรวมถึงให้รู้จักร่วมกันแบ่งปันความสุขแก่กันและกันด้วย วันหนึ่งมีชายหาของป่าเดินหลงทางเข้ามาในป่าลึก เขาตะโกนสุดเสียง “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ข้าหลงทาง!” แต่ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือเลย ชายหาของป่าเริ่มตะโกนเสียงดังขึ้นอีก “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ข้าหลงทาง! ช่วยข้าหาทางกลับบ้านหน่อย ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!” ชายหาขอป่าตะโกนอยู่นานก็เริ่มกลัวพลางนึกว่าตนเองต้องหลงป่าจนตายอยู่ที่นี่จริงๆ ในขณะนั้นเองก็มีพญาช้าง และฝูงช้างโขลงหนึ่งเดินผ่านมา พอเห็นช้างทั้งโขลงครั้งแรกชายหาของป่าก็หวาดกลัวมากจนตั้งสติได้แล้วว่าช้างไม่ทําร้ายตน ชายหาของป่าจึงออกปากร้องขอความช่วยเหลือ “ช่วยข้าด้วยเถิด ข้าหลงทางและอยากกลับบ้าน ช่วยบอกทางออกจากป่านี้ให้ข้าด้วยเถิด!” พญาช้างได้ฟังดังนั้นจึงบอกชายหาของป่าว่า “ได้สิ! ไม่มีปัญหา” ชายหาของป่าได้ฟังพญาช้างผู้เมตตากล่าวดังนั้นก็เริ่มสังเกตเห็นว่าพญาช้างตนนี้มีความสง่างามยิ่งนัก งาทั้งสองข้างของพญาช้างก็ดูทรงพลังและงดงามเช่นกัน พญาช้างกล่าวกับชายหาของป่าว่า “เหยียบขึ้นมาบนคอของข้าสิ แล้วจงขี่หลังข้า เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าออกจากป่าเอง” ชายหาของป่าได้ยินดังนั้นจึงปฏิบัติตามที่พญาช้างบอกแล้วพญาช้างจึงนําทางชายหาของป่าออกจากป่าแห่งนั้น ระหว่างทางนั้นพญาช้างยังได้ช่วยชายหาของป่าเก็บอาหารป่า ผักผลไม้ และเห็ดต่างๆ เพื่อนํามาขายในตลาดหมู่บ้านอีกด้วย พอออกมาจากป่าและชายหาของป่าจําทางกลับหมู่บ้านของตนได้แล้ว จึงกล่าวกับพญาช้างว่า “ข้าจะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ของท่านได้อย่างไร และข้าจะได้พบท่านอีกได้อย่างไร?” พญาช้างกล่าวตอบด้วยความเมตตาว่า “หากเจ้าอยากพบเราอีกก็ให้ร้องเรียกหาเราได้” ว่า “พญาช้าง พญาช้าง ได้โปรดออกมาพบข้าด้วยเถิด” พอกล่าวจบทั้งสองก็แยกย้ายกัน ชายหาของป่าก็กลับเข้าไปในหมู่บ้านของตนส่วนพญาช้างก็กลับคืนสู่ป่าผืนใหญ่ วันต่อมาชายหาของป่านําของป่าที่เขาและพญาช้างช่วยหามาได้ไปขายในตลาดหมู่บ้าน อีกทั้งยังได้เล่าเรื่องที่เขาหลงทางเข้าไปในป่าลึกจนได้พบกับพญาช้างผู้อารีที่ได้พาเขาออกมาได้ให้ชาวบ้านฟัง พร้อมทั้งเล่าให้ชาวบ้านฟังด้วยว่า “ท่านพญาช้างผู้มีเมตตานั้น ยังดูสง่างามทรงพลังและสําคัญที่สุดยังมีงาทั้งสองข้างที่สวยงามอีกด้วย”ในหมู่คนฟังนั้นก็มีพ่อค้างาช้างฟังอยู่ด้วย เมื่อพ่อค้างาช้างได้ฟังดังนั้นหลังจากฟังเรื่องทั้งหมดแล้วเขาจึงกล่าวกับชายหาของป่าว่า “นี่ พ่อหนุ่ม! ทําไมเจ้าไม่เข้าไปในป่าไปเอางาช้างออกมาขายให้ข้าล่ะ? งาช้างมีราคาสูงมาทีเดียว เจ้าจะได้มีเงินร่ํารวยขึ้น” ชายหาของป่าได้ยินดังนั้นจึงตอบกลับไปทันทีว่า“ข้าจะเนรคุณกับผู้มีพระคุณอย่างพญาช้างได้อย่างไร ท่านพญาช้างนอกจากจะช่วยข้าหาทางกลับบ้านแล้วยังช่วยข้าหาของป่าออกมาขายอีกด้วย ข้าไม่ทําอย่างที่เจ้าพูดเด็ดขาด!” เมื่อได้ฟังดังนั้นพ่อค้างาช้างจึงหว่านล้อมต่อไปว่า“เจ้ารู้รึไม่ว่าเงินที่ขายงาช้างนั้นมากพอที่เจ้าจะซื้อบ้านหลังใหญ่อยู่ได้อย่างสุขสบายกับภรรยาหลายๆ คนเลยทีเดียว เจ้าก็จะมีความสุขอย่างที่เจ้าไม่เคยมีมาก่อนเลย” หลังจากพูดจาหว่านล้อมเสร็จพ่อค้างาช้างจึงยื่นข้อเสนอปิดท้ายว่า “เอาอย่างนี้แล้วกันนะ! ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจอยากขายงาช้างให้ข้าก็บอกข้าได้นะ!” ชายหาของป่าคิดพิจารณาข้อเสนอ เขาคิดแล้วคิดอีก นึกถึงเงินก้อนโตที่เขาจะได้รับหลังจากขายงาช้างได้ นึกถึงความสุขต่างๆ นานาที่จะตามมา นึกถึงความสะดวกสบายที่เขาจะได้รับต่อจากนี้ คิดไปคิดมาจนหลับไปและเก็บไปฝันหวาน แต่วันต่อมาชายหาของป่าจึงเข้าไปในป่าลึกเดินไปจนกระทั่งไปถึงจุดที่เขาพบพญาช้างเชือกนั้นแล้วเขาร้องเรียก“พญาช้าง พญาช้าง ได้โปรดออกมาพบข้าด้วยเถิด” ทันใดนั้นก็ออกมาพบชายหาของป่าตามเสียงเรียกของเขา ทันทีที่พบพญาช้าง ชายหาของป่าก็กล่าวกับพญาช้างว่า “โอ! ท่านพญาช้างผู้อารี ท่านใจดีมีเมตตากับข้าจริงๆ” เขากล่าวกับพญาช้างด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตัว “ข้า เป็นชาวบ้านหาของป่าผู้ยากจน ข้าไม่มีบ้านดีๆ อยู่เหมือนเช่นคนอื่นๆ เขา” พญาช้างได้ฟังดังนั้นจึงถามออกไปอย่างมีเมตตาว่า“เจ้าจะให้เราช่วยได้อย่างไร?”ชายหาของป่ากล่าวตอบด้วยความดีใจว่า “งาของท่านนั้นมีค่ามีราคายิ่งนัก ข้อจะขอตัดงาท่านซักครึ่งหนึ่งเพื่อนําไปขายเอาเงิน ท่านจะว่าอะไรข้ารึไม่?” พญาช้างก้มมองดูชายขายของป่าด้วยความเมตตาพร้อมกับกล่าวว่า“มาตัดงาของเราไปสิ! เจ้าจะได้เอาไปขายแล้วค่อยนําเงินไปซื้อบ้านใหม่” ชายหาของป่าไม่รีรอรีบเอาเลื่อยมาตัดงาของพญาช้างออกไปขายทันที เขาขายได้เงินมากมายจึงนําเงินไปซื้อบ้านหลังใหม่ดังที่ตั้งใจไว้ มีเพื่อนฝูงมาเยี่ยมเยียนมากหน้าหลายตา เป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมาก หนึ่งเดือนผ่านไปเงินที่เหลือจากซื้อบ้านก็หมดไป เขาจึงเข้าไปในป่าอีกเพื่อไปของาช้างจากพญาช้างอีก เมื่อไปถึงจึงตะโกนร้องเรียกพญาช้างทันที “พญาช้าง พญาช้าง ได้โปรดออกมาพบข้าด้วยเถิด” ไม่นานนักพญาช้างก็ปรากฏตัวต่อหน้าชายหาของป่าพร้อมกับกล่าวด้วยน้ําเสียงนุ่มนวลว่า“ทําไมเจ้าถึงดูเศร้าหมองนักล่ะ?” ชายหาของป่าตอบไปว่า “ท่านพญาช้างผู้มีเมตตา ข้าไม่มีความสุขเหลืออยู่อีกแล้ว ข้าขอตัดงาของท่านไปขายอีกจะได้ไหม?” “ได้สิ มาตัดงาอีกข้างของเราไปสิ! เจ้าจะได้มีเงินและเงินก็จะทําให้เจ้ามีความสุขขึ้นมาอีก” พญาช้างตอบไปพร้อมกับน้ําตาก็ไหลไปด้วย ชายหาของป่าใช้เลื่อยที่เขานํามาด้วยตัดงาของพญาช้างไปอย่างรวดเร็ว ขายได้เงินมาเขาก็ใช้เงินหมดไปภายในหนึ่งเดือน พอเงินหมดจึงเข้าไปในป่าอีกพร้อมกับร้องเรียก “พญาช้าง พญาช้าง ได้โปรดออกมาพบข้าด้วยเถิด ท่านยังพอมีงาเหลืออยู่บ้างข้าจะขอตัดงาส่วนที่เหลือของท่านไปได้หรือไม่” ทันที่ที่ได้ฟังคําขอของชายหาของป่าพญาช้างก็ไม่ขัดข้อง ชายหาของป่าไม่รีรอรีบใช้เลื่อยตัดงาส่วนที่เหลืออยู่ของพญาช้างออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชายหาของป่าตัดงาพญาช้างนั้นพญาช้างก็น้ําตาไหลไปด้วยความเศร้าโศกและเจ็บปวด ส่วนชายหาของป่าก็ไม่ได้สังเกตสิ่งทีเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่เขาตัดงาช้างส่วนที่เหลือได้แล้วเขาก็รีบนํางาพญาช้างไปขายที่ตลาดในหมู่บ้าน หลังจากที่พญาช้างถูกตัดงาไปขายจนหมดแล้ว พญาช้างก็ทนความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดไม่ได้อีกต่อไป พญาช้างล้มลงท่ามกลางเหล่าบริวารช้างทั้งหลายในป่า ก่อนจะสิ้นใจได้กล่าวกับบรรดาบริวารช้างทั้งหลายว่า “เหล่าบริวารทั้งหลายของเรา จงฟังไว้ว่าเราได้มอบงาช้างให้กับชายหาของป่าไปจนหมดแล้ว ตอนนี้เราก็สุขใจที่ได้เป็นผู้ให้แล้วเราก็จากจากไปอย่างสุขใจเช่นกันเราก็สุขใจที่ได้เป็นผู้ให้แก่ชายหาของป่าผู้นั้น” พอกล่าวจบลงพญาช้างก็จากไปจากสงบ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
งูเขียวน้อยจอมขี้เกียจ วันหนึ่ง งูเขียวน้อยได้ออกมาลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก ในขณะที่งูตัวพี่ๆ ก็โตแล้วและออกไปหาอาหารกินเองได้แต่เจ้างูเขียวน้อยจอมขี้เกียจก็ไม่ยอมออกไปหาอาหารเลย ไม่ยอมแม้แต่จะขยับตัวไปไหนตั้งแต่เกิดมาอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ขี้เกียจมากจนไม่อยากจะทําอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว มีอยู่วันหนึ่งฝนตกลงมาอย่างหนักและเจ้างูเขียวน้อยจอมขี้เกียจก็หิวมากเสียด้วย มองไปรอบๆ ตัวที่ตัวเองนอนอยู่ก็ไม่มีอะไรที่จะกินเป็นอาหารได้เลย แต่เจ้างูเขียวน้อยก็เหลือบไปเห็นหางอวบๆ ของตัวเอง มองดูแล้วช่างน่ากินนักจึงเริ่มกัดกินหางอวบๆ ของตัวเองแล้วตัวเจ้างูน้อยก็เริ่มใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น วันต่อมาฝนก็ตกลงมาอีก และเจ้างูเขียวจอมขี้เกียจก็ไม่อยากออกไปหาอาหารอีกเช่นเคย พอมองไปเห็นหางอวบๆ ที่เหลือของตนเอง ก็ยังน่ากินอยู่ พร้อมกับพูดว่า “โอ้โห หางอวบๆ ของเราน่ากินจังเลย!” พอพูดเสร็จก็กัดกินหางของตัวเองอีกเช่นเคย พอกินเสร็จก็นอนอยู่ที่เดิมแล้วก็หลับไป ต่อมาวันที่สาม ฝนก็ตกลงมาอีกเช่นเคย งูเขียวจอมขี้เกียจก็ไม่อยากคลานออกไปหาอาหารอีกเช่นเคย เวลาหิวก็มองไปที่หางตนเองอีกแล้วก็พูดพึมพํากับตนเองว่า “โอ้โห หางอวบๆ ของเราน่ากินจังเลย!” พอพูดเสร็จก็กัดกินหางของตัวเองอีกเช่นเคย พอกินเสร็จก็นอนอยู่ที่เดิมแล้วก็หลับไป ต่อมาวันที่สี่ วันที่ห้า และวันที่หก หลังจากกินหางของตนเองจนสั้นกุดหมดแล้วจึงเริ่มกัดกินตัวของตนเองจนสุดท้ายจึงเหลือแค่ส่วนหัวเท่านั้น วันที่เจ็ดงูเขียวจอมขี้เกียจหิวจัดแต่ก็หาอาหารกินไม่ได้เพราะความขี้เกียจเกินเยียวยาของตนจึงอ้าปากออกและก็กลืนกินหัวส่วนที่เหลือของตนเองจนหมด!!!
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รอง มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายคนเดียว พอถึงเวลาแต่งงานออกเรือนแม่จึงรีบสรรหาสะใภ้มาให้ แต่สะใภ้คนนี้มีลูกยากแม่ย่าจึงพยายามสรรหาภรรยาใหม่มาให้ลูกชายสุดที่รักอีกคนเพราะว่าอยากอุ้มหลานมาก หลังจากสรรหาสะใภ้คนรองมาได้ไม่นาน สะใภ้รองก็ตั้งครรภ์อ่อนๆ พอสะใภ้ใหญ่ทราบเรื่องก็เกิดจิตริษยาจึงหาวิธีต่างๆ นานา ทําให้สะใภ้รองแท้งบุตร พอสะใภ้รองตั้งครรภ์หนที่ 3 ระหว่างคลอดนางก็เสียชีวิตขณะที่กําลังคลอดบุตร (ตายทั้งกลม) สะใภ้รองมีความโกรธแค้นสะใภ้ใหญ่มากนางจึงสาปแช่งต่างๆ นานาและจะจองเวรจองกรรมกับสะใภ้ใหญ่หลังจากที่นางสิ้นใจไปแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสะใภ้ใหญ่ก็ไม่มีความสุขอีกเลยและแม่ย่าก็ไม่สรรหาสะใภ้คนใหม่ให้ลูกชายของตนอีกเพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์เศร้าสลดใจเหมือนสะใภ้รอง หลังจากที่สะใภ้รองแท้งลูกหนที่ 3 (คนที่ 3) และตายทั้งกลม นางจึงประกาศกร้าวจองเวรจองกรรมกับสะใภ้ใหญ่ไปทุกภพทุกชาติ มีอยู่ชาติหนึ่งที่สะใภ้รองเกิดเป็นแมว ส่วนสะใภ้ใหญ่เกิดเป็นแม่ไก่ ชาติต่อมาสะใภ้รองเกิดเป็นเสือ สะใภใหญ่เกิดเป็นแม่วัว ส่วนชาติภพสุดท้ายสะใภ้ใหญ่เกิดเป็นองค์หญิงและสะใภ้รองเกิดเป็นนางยักษิณี นางทั้งสองผูกเวรผูกกรรมกันไม่สิ้นสุด พอองค์หญิง (สะใภ้ใหญ่) ประสูติพระโอรส นางยักษิณี (สะใภ้รอง) ก็อยากจะกินพระโอรสทันที เมื่อองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์และเทศนาสั่งสอนธรรม นางยักษิณี จึงได้พบพระองค์เป็นครั้งแรก พระองค์จึงเทศนาสั่งสอนให้นางรู้จักละเวรละกรรม ว่าเวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับด้วยการไม่ผูกเวร เพราะมิเช่นนั้นก็จะจองเวรจองกรรมกันไปชั่วกัปชั่วกัลป์ นางยักษิณีได้ยินได้ฟังดังนั้นจึงเกิดความซาบซึ้งในพระธรรมคําสอนนางจึงละเวรละกรรมกับองค์หญิง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานางทั้งสองจึงตัดเวรตัดกรรมจากกันได้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
อยากรวยแต่ถูกหวยกิน ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งชอบซื้อหวยเป็นประจํา วันหนึ่งมีพระธุดงผ่านมา เขาจึงไปขอหวยจากพระธุดง แต่พระธุดงก็ไม่ได้ใบ้หวยให้เขา กลับให้ข้อคิดเตือนสติเขามาแทน ชายคนนั้นไม่เชื่อว่าสุดท้ายแล้วเขาก็จะไม่ถูกหวยแต่กลับถูกเจ้ามือหวยกิน ทั้งๆ ที่รู้ว่าการซื้อหวยเป็นการพนันที่ไม่ดีแต่ชายคนนั้นก็ไม่เคยคิดอยากจะเลิก
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
กําเนิดหอยขม กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเรื่องเล่าอยู่ว่ามีแม่หม้ายอาศัยอยู่กับลูกสาว แต่เคราะห์ซ้ํากรรมซัดลูกสาวคนเดียวของนางก็หนีออกจากบ้านไปกับผู้ชายต่างหมู่บ้าน ทิ้งนางไว้เพียงลําพัง ไร้คนห่วงใยดูแล นางต้องหาอาหารมาประทังชีวิตอย่างยากลําบาก แต่ก็ไม่เคยสนใจอยากเข้าวัดฟังธรรมเลย นางจึงอดมื้อกินมื้อเรื่อยมา วันหนึ่งพระอินทร์ทอดพระเนตรลงมามองเห็นแม่หม้ายต้องตกระกําลําบากเพียงลําพัง จึงอยากช่วยให้นางได้พบกับแสงสว่างทางธรรมและอยากให้นางรู้จักทําบุญทําทานบ้าง จึงจําแลงแปลงกายลงมาเป็นพระคุณเจ้าผู้ทรงศีลออกบิณฑบาตเผื่อแม่หม้ายจะมีจิตศรัทธาบ้างนางจะได้หลุดพ้นจากสภาพความเป็นอยู่อย่างเช่นทุกวันนี้ แต่ตรงกันข้ามพอนางมองเห็นพระคุณเจ้าผู้ทรงศีลนางกลับคิดว่าจะนําความอับโชคมาให้นาง นางจึงไม่ใส่ใจและแสดงกิริยาเฉยเมย พระอินทร์มองเห็นกิริยาของนางดังนั้นแล้วจึงสาปให้นางกลายเป็นหอยขม ก้มหน้าก้มตาไม่มีโอกาสได้พบแสงสว่างในชีวิตอีกเลย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
นกฮูกกับอีกา ในสมัยก่อนอีกากับนกฮูกเป็นเพื่อนรักกันมาก และทั้งสองก็มีสีขาวล้วนเหมือนกัน อีการักเพื่อนมากก็อาสาทํางานช่วยนกฮูกทุกอย่าง วันหนึ่งนกฮูกอยากกินไข่ไก่ชาวนาที่อาศัยอยู่ไม่ไกลนัก อีกาเพื่อนรักก็รีบอาสาไปหามาให้ทันที แต่โชคไม่ดีอีกาถูกชาวนาตีจนช้ําเลือดจนมีสีดําคล้ําแต่นกฮูกก็ไม่ได้ช่วยเหลือเพื่อนของตนเลย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอีกาก็มีสีเดียวดําคล้ํา และอีกากับนกฮูกก็ไม่ได้เป็นเพื่อนรักกันเหมือนเคย ตรงกันข้ามกลับต่างคนต่างอยู่ หากนกฮูกออกหาอาหารเวลากลางคืนอีกาก็จะออกหาอาหารตอนกลางวัน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ใบตองกุง มีอยู่วันหนึ่งพ่อตากับลูกเขยไปเก็บใบตองตึงเพื่อนํามาทําหลังคากับฝาบ้าน ทั้งสองช่วยกันเก็บอย่างขยันขันแข็งจนเก็บได้เต็มสองกระบุงใหญ่ พอทั้งสองได้ใบตองตึงในปริมาณที่ต้องการแล้ว พ่อตากับลูกเขยจึงพากันกลับบ้าน ระหว่างทางกลับบ้าน พ่อตาอยากทําธุระส่วนตัว จึงให้ลูกเขยเฝ้ากระบุงใบตองตึงทั้งสองใบให้ดี พอลับตาพ่อตาแล้ว ลูกเขยจึงรีบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในกระบุงพร้อมกับเอาใบตองตึงมาปกคลุมไว้อย่างมิดชิด พอพ่อตากลับมาไม่เห็นลูกเขยจึงคิดว่าลูกเขยเดินกลับบ้านไปก่อนตนเองแล้ว จึงแบกกระบุงทั้งสองใบกลับบ้านเองอย่างทุลักทุเล พอถึงบ้านแม่ยายจึงถามถึงลูกเขย ว่าไม่ได้มาด้วยกันหรอกหรือ พ่อตายังไม่ทันได้ตอบคําถามลูกเขยที่ซ่อนตัวอยู่ก็รีบกระโดดออกมาจากกระบุงทันที พ่อตาเห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงรู้สึกโมโหที่ตนเสียรู้ลูกเขย จึงรอเวลาที่จะแกล้งลูกเขยคืนบ้าง วันต่อมาพ่อตากับลูกเขยจึงพากันแบกกระบุงไปเก็บใบตองตึงเพิ่มอีก พอเก็บได้เต็มกระบุงดีแล้วจึงพากันกลับบ้าน แต่ระหว่างทางลูกเขยก็ขอแวะทําธุระส่วนตัวบ้าง จึงฝากให้พ่อตาเฝ้ากระบุงใบตองตึงของตน พอสบโอกาสพ่อตาจึงรีบเข้าไปซ่อนตัวในกระบุงบ้าง ลูกเขยเสร็จธุระกลับมาไม่เจอพ่อตาจึงแบกกระบุงทั้งสองใบกลับบ้าน เดินมาได้ไม่นานก็ผ่านแม่น้ําลูกเขยจึงเอากระบุงใบที่พ่อตาซ่อนตัวอยู่ไปวางไว้ริมน้ํา หลังจากนั้นก็ตะโกนสุดเสียงว่า ช้างกําลังมากินน้ํา พ่อตาได้ยินดังนั้นตกใจลนลานรีบกระโดดออกจากกระบุงเลยพลัดตกน้ําเปียกโชก พอได้สติจึงตระหนักแล้วว่าตนเองอยากแกล้งเอาคืนลูกเขยแต่ก็ถูกลูกเขยเอาคืนซะเอง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
แมวบักคํา นานมาแล้วมีแมวตัวหนึ่งชื่อว่า บักคํา ทุกๆ วันมันจะเฝ้ามองปลาแห้งที่ชาวนาตากไว้ มันนึกไว้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ชาวนาเผลอมันจะรีบขโมยปลาแห้งไปกินทันที แต่ว่าบักคําโชคไม่ค่อยดีนักเพราะจังหวะที่ชาวนาเผลอก็มีอินทรีตาคมบินโฉบมาคาบปลาแห้งที่มันหมายตาไปต่อหน้าต่อตามันทันที บักคําโกรธอินทรีตาคมมากมันจึงร้องตะโกนดังๆ ว่า “เจ้าอินทรีตาคม หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าจะขโมยปลาแห้งที่ข้ารอคอยไปง่ายๆ แบบนี้ไปไม่ได้นะ! ปลาแห้งตัวนั้นต้องเป็นของข้าสิ!” อินทรีตาคมได้ยินเสียงบักคําจึงตกใจมากพร้อมกับรําพึงรําพันกับตนเองว่า “โห! นี่เราบินหนีมาตั้งไกลแล้วเสียงแมวตัวนั้นยังจะตามมาเอาปลาแห้งคืนได้อีกหรือ?” อินทรีตาคมจึงตะโกนถามเมฆสีขาวว่า “เมฆสีขาว เมฆสีขาว ใครกันนะที่แข็งแกร่งกว่าเมฆสีขาว?” เมฆสีขาวได้ยินดังนั้นจึงตอบไปอย่างไม่รอช้าว่า “อ๋อ! ก็ลมเจ้าพายุอย่างไรล่ะ พัดมาเราก็กระจัดกระจายเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยในพริบตา” อินทรีตาคมได้ยินดังนั้นรีบบินไปถามเมฆสีขาวทันทีว่ามีใครที่แข็งแรงกว่าลมเจ้าพายุหรือไม่ “ลมเจ้าพายุ ลมเจ้าพายุ ใครกันนะที่แข็งแกร่งกว่าลมเจ้าพายุ?” ลมเจ้าพายุ ไม่ลังเล ตอบอินทรีตาคมไปว่ า“อ๋อ! ก็เจ้าเนินเขาลูกเล็กๆ ลูกนั้นอย่างไรล่ะ เราใช้แรงพัดเท่าไหร่ก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย!” อินทรีตาคมสงสัยอีกว่าจะมีใครที่แข็งแกร่งกว่าเนินเขาลูกเล็กลูกนั้นหรือไม่ จึงรีบโฉบเข้าไปถามเนินเขาลูกเล็กทันที “เนินเขาลูกเล็ก เนินเขาลูกเล็ก ใครกันนะที่แข็งแกร่งกว่าเนินเขาลูกเล็ก?” เนินเขาลูกเล็กได้ยินดังนั้นก็ตอบอินทรีตาคมไปอย่างไม่รีรอว่า “อ๋อ! ก็เจ้าควายเขาแหลมตัวนั้นอย่างไรล่ะ เขามันแหลมมาก ถูไถเนินดินของเราไปจนแหว่งเกือบจะหมดลูกแล้ว! " อินทรีตาคม จึงปรี่ไปถามควายเขาแหลมทันทีว่า มีใครที่ยังแข็งแกร่งกว่าควายเขาแหลมอีกหรือไม่ “ควายเขาแหลม ควายเขาแหลม ใครกันนะที่แข็งแกร่งกว่าควายเขาแหลม?” ควายเขาแหลมได้ยินดังนั้นจึงตอบอินทรีตาคมไปทันทีว่า “อ๋อ! ก็เจ้าเชือกหนังเหนียวๆ เส้นนี้อย่างไรล่ะ เหนียวมากเราดึงเท่าไหร่ก็ไม่ขาดสักที” อินทรีตาคมจึงถามเชือกหนังเส้นนั้นทันทีว่า ใครกันนะที่แข็งแกร่งกว่าเชือกหนังเส้นนี้ เชือกหนังได้ยินนกอินทรีถามเช่นนั้นจึงตอบไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า “อ๋อ! ก็เจ้าหนูฟันคม ตัวนั้นอย่างไรล่ะ ฟันมันคมและแข็งแรงมาก กัดเราครู่เดียวก็ขาดวิ่นหมด” อินทรีตาคมได้ยินดังนั้นจึงเกิดความสงสัยว่ายังจะมีใครที่แข็งแกร่งและเก่งกว่าเจ้าหนูฟันคมตัวนี้อีกไหม มันไม่รอช้าจึงเข้าไปถามเจ้าหนูฟันคมทันที “หนูฟันคม หนูฟันคม ใครกันนะที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า? เราอยากรู้” หนูฟันคมได้ยินดังนั้นจึงตอบไปว่า “อ๋อ! แข็งแกร่งกว่าเราก็เจ้าแมวบักคํา ตัวนั้นอย่างไรล่ะ จ้องคอยจะเขมือบเราตลอดเวลาเลย! แข็งแรงมากวิ่งไล่เราทั้งวัน” อินทรีตาคมได้ยินดังนั้นจึงอุทานออกมาดังๆ ว่า “โห!!! เจ้าแมวบักคํานี่เก่งจริงๆ เราคงต้องรีบเอาปลาแห้งตัวนี้ไปคืนแมวบักคําดีกว่า ก่อนที่มันจะโมโหไปมากกว่านี้”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
กาขาว กาดํา นานมาแล้วมีสองสามีภรรยามีอาชีพหาปลาเลี้ยงชีพ หาปลาจากเช้าจนค่ําและทํางานหนักมากแต่ก็ยังไม่พอกินพอขาย วันหนึ่งสามีพูดกับภรรยาว่า “วันนี้มีเรือสําปั้นมาจากจีนหลายลํา มาหาปลาในทะเล เราสองคนหาปลาอยู่แถวแม่น้ําเล็กๆ แบบนี้เลยได้ปลาน้อยไม่พอกินพอขาย เราสองคนพากันไปหาปลาในทะเลเหมือนชาวประมงจีนดีไหม?” ฝ่ายภรรยาไม่เคยขัดแย้งกันกับสามี สามีพูดอะไรก็เห็นพ้องต้องกันด้วยตลอดจึงตอบสามีของนางไปว่า “ก็ดีเหมือนกันนะพี่ เราจะได้หาปลาได้มากพอที่จะได้เก็บไว้กินไว้ขายตลอดปีตลอดชาติ” วันรุ่งขึ้นสองสามีภรรยาก็พากันออกเรือไปทะเล พอไปถึงก็จัดแจงช่วยกันวิดน้ําอย่างขยันขันแข็งไม่ได้พักเลยแม้แต่น้อย พระอินทร์มองเห็นสองสามีภรรยาขยันขันแข็งและช่วยกันวิดน้ําไม่หยุดเกรงว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยจะตายหมด จึงหาวิธีทําให้สองสามีภรรยาทะเลาะกันจะได้หยุดวิดน้ํา พระอินทร์จึงแปลงกายลงมาเป็นอีกา พอสามีเห็นอีกาบินผ่านมาก็ชี้ไม้ชี้มือให้ภรรยาของตนดูอีกาพร้อมกับพูดว่า “โอ้โห!!! ดูนั่นสิน้อง ดูอีกาสีขาวบินมาทางนี้” ฝ่ายภรรยามองเห็นแล้วว่าอีกาไม่ใช่อีกาสีขาวตามที่สามีตนพูดแต่ก็ไม่อยากขัดใจกันจึงตอบสามีนางไปว่า “โอ้โห!!! น่าแปลกจังเลยนะพี่ น้องเองก็ไม่เคยเห็นอีกาสีขาวมาก่อนเลย สวยดีเหมือนกันนะพี่” ว่าแล้วสองสามีภรรยาก็ก้มหน้าก้มตาช่วยกันทํางานต่อไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เมื่อพระอินทร์เห็นว่าแผนการของตนไม่ได้ผลจึงแปลงกายเป็นปลาช่อนตัวใหญ่ สามีมองเห็นปลาช่อนจึงชี้ให้ภรรยาของตนดู “โอ้โห!!! ดูฉลามตัวนั้นสิน้อง”ส่วนภรรยามองเห็นแล้วว่าไม่ใช่ฉลามตามที่สามีตนพูดแต่ก็ไม่อยากขัดใจกันจึงตอบสามีนางไปว่า “โอ้โห!!! ช่างวิเศษจังเลยนะพี่ น้องก็ไม่เคยเห็นฉลามมาก่อนเลย ขอบใจพี่มากนะที่พาน้องมาทะเล น่าตื่นตาตื่นใจจังพี่” ว่าแล้วสองสามีภรรยาก็ก้มหน้าก้มตาช่วยกันทํางานต่อไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เมื่อพระอินทร์เห็นว่าแผนการของตนไม่ได้ผลจึงปรากฏกายให้สองสามีภรรยาเห็นพร้อมกับบอกทั้งสองว่า “เจ้าสองคนขยันขันแข็ง เราจะให้รางวัลกับเจ้าทั้งสอง” ว่าแล้วก็ยื่นฆ้องวิเศษให้สองสามีภรรยา และบอกทั้งสองว่า “ให้เจ้าขอพรได้ 3 ประการ เวลาตีฆ้องก็จะได้สมปราถนาทุกประการ แต่ให้จําไว้ว่าเจ้าทั้งสองขอพรได้เพียงแค่ 3 ประการเท่านั้น” แล้วพระอินทร์ก็อันตรธานหายไปต่อหน้าสองสามีภรรยา ทั้งสองดีใจมากจึงพากันรีบกลับบ้านเพื่อไปขอพร หลังจากสองสามีภรรยากลับไปแล้วน้ําก็ไหลลงที่เดิมทําให้สัตว์ใหญ่น้อยมีชีวิตชีวาดังเดิม เมื่อกลับถึงบ้านทั้งสองตกลงกันว่าจะขอพรเป็นบ้าน เรือกสวนไร่นาและขอทองคําซักกองหนึ่งจะได้มีกินมีใช้ไปตลอดชั่วอายุของตน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสองสามีภรรยาก็มีความเป็นอยู่สุขสบายขึ้น แต่ก็มีเพื่อนบ้านชาวประมงสองสามีภรรยาอีกคู่หนึ่งพอได้ข่าวคราวความร่ํารวยสุขสบายของสองสามีภรรยาคู่นี้จึงอยากร่ํารวยบ้าง ทั้งสองพากันมาปรึกษาและสามีภรรยาคู่นี้ก็เล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วจึงแยกย้ายกันไปทําตามที่สามีภรรยาคู่นี้เล่าให้ฟัง ทั้งสองก็ดีใจมากเพราะอยากร่ํารวยเหมือนสองสามีภรรยาคู่แรกมากสามีจึงบอกภรรยาว่า “เรารีบไปช่วยกันวิดน้ําทะเลกันเถอะ เราจะได้รวยๆ เหมือนเขาบ้าง” ส่วนภรรยาซึ่งปกติแล้วก็จะมีความเห็นขัดแย้งกับสามีอยู่บ้าง แต่เพราะความอยากรวยครั้งนี้นางจึงตอบสามีไปว่า“ได้สิพี่ เราจะได้รวยๆ เหมือนเขา” วันต่อมาสองสามีภรรยารีบมุ่งหน้าลงทะเลพร้อมกับถือกระบวยเอาไปวิดน้ํากันด้วยคนละไม้คนละมือ พอไปถึงก็ไม่รอช้ารีบช่วยกันวิดอย่างรวดเร็ว วิดน้ําไปได้สักพักหนึ่งฝ่ายภรรยาก็เริ่มบ่น “ทําไมเราต้องมาทํางานหนักแบบนี้ด้วยนะ เริ่มเหนื่อยแล้วนะ!!!” “ที่บ่นๆ นี่ ไม่อยากรวยเหมือนเขาบ้างหรืออย่างไร?” ภรรยาได้ยินดังนั้นจึงก้มหน้าก้มตาวิดน้ําต่อไปเงียบๆ ทั้งสองวิดน้ําต่อไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยจนกระทั่งน้ําเริ่มลดและปลาเล็กปลาน้อยเริ่มขาดน้ํา พระอินทร์เห็นดังนั้นแล้วจึงรําพึงว่า “โอ้ ปล่อยให้สองคนนี้วิดน้ําแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะปลาเล็กปลาใหญ่จะพากันขาดน้ําตายกันหมด ต้องหาวิธีทําให้สองคนนี้หยุดวิดน้ําให้ได้” พระอินทร์จึงแปลงกายเป็นอีกาบินผ่านมาใกล้ๆ กับที่สองคนนี้วิดน้ําอยู่ พอสามีมองเห็นอีกาจึงชี้ให้ภรรยาของตนมองดูบ้าง “โอ้โห!!! ดูอีกาสีขาวตัวนั้นสิน้อง” เมื่อภรรยามองเห็นอีกาก็รู้ทันทีว่ามันไม่ใช่สีขาว จึงแย้งกับสามีนางว่า “มันสีขาวซะที่ไหนล่ะ บ้าไปแล้วหรือ กาสีดําก็สีดําสิ ตาบอดรึเปล่า เด็กเล็กๆ ยังรู้เลยว่าอีกามีสีดํา” พอสามีนางได้ฟังดังนั้นแล้วก็ไม่โต้แย้งเพราะสามีนางรู้ดีว่าเป็นกลอุบายของพระอินทร์ เลยก้มหน้าก้มตาทํางานต่อไปเรื่อยๆ พอพระอินทร์เห็นว่าวิธีการแรกไม่สําเร็จผล จึงแปลงกายมาเป็นปลาช่อนตัวใหญ่ว่ายน้ํามาใกล้กับที่สองคนนั้นวิดน้ําอยู่ พอสามีนางมองเห็นปลาช่อนก็ชี้ให้ภรรยาดูว่า “โอ้โห!!! ดูฉลามตัวนั้นสิ” ฝ่ายภรรยาก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ฉลามอย่างที่สามีนางบอก จึงแย้งสามีทันทีว่า “มันใช่ฉลามซะที่ไหนล่ะ บ้าไปแล้วหรือ ปลาช่อนก็บอกปลาช่อนสิ ตาบอดรึเปล่า เด็กเล็กๆ ยังรู้เลยว่าเป็นฉลาม” พอสามีนางได้ฟังดังนั้นแล้วก็ไม่โต้แย้งเพราะสามีนางรู้ดีว่าเป็นกลอุบายของพระอินทร์ เลยก้มหน้าก้มตาทํางานต่อไปเรื่อยๆ เมื่อพระอินทร์เห็นแล้วว่าแผนการของตนไม่ได้ผลจึงปรากฏกายให้สองสามีภรรยาเห็นพร้อมกับบอกทั้งสองว่า “เจ้าสองคนขยันขันแข็ง เราจะให้รางวัลกับเจ้าทั้งสอง” ว่าแล้วก็ยื่นฆ้องวิเศษให้สองสามีภรรยา และบอกทั้งสองว่า “ให้เจ้าขอพรได้ 3 ประการ เวลาตีฆ้องก็จะได้สมปราถนาทุกประการ แต่ให้จําไว้ว่าเจ้าทั้งสองขอพรได้เพียงแค่ 3 ประการเท่านั้น” แล้วพระอินทร์ก็อันตรธานหายไปต่อหน้าสองสามีภรรยา ทั้งสองดีใจมากจึงพากันรีบกลับบ้านเพื่อไปขอพร หลังจากสองสามีภรรยากลับไปแล้วน้ําก็ไหลลงที่เดิมทําให้สัตว์ใหญ่น้อยมีชีวิตชีวาดังเดิม พอกลับถึงบ้านสองสามีภรรยาเริ่มขัดแย้งกันว่าจะขอพรอะไรดีจะได้ร่ํารวยเหมือนสองสามีภรรยาคู่ก่อน สามีจึงบอกว่า “อยากได้บ้านหลังใหญ่ๆ พร้อมข้าทาสบริวารเป็นพันๆ คนเลย” ส่วนฝ่ายภรรยาพอได้ยินดังนั้นจึงถามสามีกลับไปว่า “อะไรนะ พี่อยากได้บ้านหลังใหญ่พร้อมข้าทาสบริวารเป็นพันๆ พี่ว่าพี่จะมีข้าวเลี้ยงพวกข้าทาสบริวารเหล่านั้นให้พอกินและมีเวลาดูแลบ้านหลังใหญ่ๆ แบบนั้นไหมล่ะ? ฉันไม่อยากทํานะ ไม่เอาแบบที่พี่ขอแล้ว พอเถอะ” สามีได้ยินนางพูดดังนั้นจึงตอบกลับไปว่า “ถ้าน้องไม่อยากได้แบบที่พี่ขอ น้องอยากได้อะไรล่ะ?” นางรีบตอบสามีทันทีว่า “ก็อยากได้แก้วแหวนเงินทองเพชรนิลจินดาสิ จะได้แต่งตัวสวยๆ ทุกวัน” “อะไรนะ??? อยากได้แก้วแหวนเงินทองเพชรนิลจินดา เราจะมีที่เก็บรักษารึเปล่าล่ะ? ไม่กลัวโจรขโมยหรอกหรือ? พี่ยังไม่อยากถูกโจรปล้นตายตอนนี้นะ พี่ไม่เอาด้วยหรอก” สองสามีภรรยาก็ตกลงกันไม่ได้ว่าอยากได้อะไร ไม่ว่าใครเอ่ยปากอยากได้อะไร อีกฝ่ายก็จะหยิบยกหาเหตุผลมาโต้แย้งอยู่เรื่อยไป แย้งกันไปแย้งกันมาจากเที่ยงจนตกค่ําก็ยังตกลงกันไม่ได้ จนทั้งสองเริ่มเหนื่อย ภรรยามองเห็นว่าสามีของนางนั้นมีคอสั้น นางจึงถามสามีนางว่า “คอพี่มันสั้นนะ พี่ไม่อยากมีคอใหม่ที่ยาวขึ้นหรอกหรือ?” ว่าแล้วนางก็ตีฆ้องขอพรให้สามีนางคอขาวขึ้น สามีนางคอยาวเฟื้อย จึงขอพรข้อที่สอง นางจึงตีกลองให้คอสามีนางสั้นพอตีเสร็จก็สั้นยิ่งกว่าเดิม จนพรข้อสุดท้ายนางกับสามีนางจึงขอพรให้มีคอกลับมาเป็นปกติดังเดิม สองสามีภรรยาจึงขอพรครบหมดทุกข้อแต่ไม่ได้ร่ํารวยสมดังที่ตั้งใจไว้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสองสามีภรรยาจึงไม่ทะเลาะโต้เถียงกันอีกเลย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หลวงพ่อไม้ไผ่ หลวงพ่อมะเขือ นานมาแล้วในหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีวัดอยู่สองแห่งวัดตั้งอยู่ทางทิศเหนือกับทิศใต้ของแม่น้ําในหมู่บ้าน หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดเหนือปลูกต้นไผ่ไว้รอบๆ บริเวณวัด ส่วนหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดใต้ก็ปลูกมะเขือเปราะไว้เต็มวัด ใกล้ๆ กับวัดเหนือมีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนั้นก็พากันไปถวายภัตาหารและทําบุญที่วัดหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดเหนือเป็นประจํา ในสมัยก่อนบ้านเรือนของคนอีสานจะทําด้วยไม้ไผ่ มีอยู่วันหนึ่งบ้านของครอบครัวนี้ก็พังลงมาเพราะเก่ามากแล้ว แม่กับลูกสาวจึงปรึกษากันและตัดสินใจว่าจะไปขอซื้อไม้ไผ่จากหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดเหนือเพื่อมาใช้ซ่อมแซมบ้าน แม่จึงไปขอซื้อไม้ไผ่จากหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดเหนือ นางจึงบอกท่านหลวงพ่อเจ้าอาวาสว่า “พระคุณเจ้า ดิฉันขอซื้อไม้ไผ่ไปซ่อมแซมบ้านได้ไหมคะ?” หลวงพ่อเจ้าอาวาสได้ยินดังนั้นก็ลังเล สองจิตสองใจ ใจหนึ่งก็อยากจะขายให้แต่อีกใจหนึ่งก็เสียดายไม่อยากขาย ระหว่างที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสกําลังครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจ นางจึงพูดต่อว่า “ดิฉันจะให้ลูกสาวมาถวายภัตตาหารเพลทุกวันเลยค่ะ” พอหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกพึงพอใจอย่างมากและยอมขายไม้ไผ่ให้นางทันที เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็มีลูกสาวของนางมาถวายภัตาหารเพลให้ทุกวัน พอได้ไม้ไผ่แล้วนางจึงรีบนําไปซ่อมแซมบ้านเรือนของนาง มีชาวบ้านและญาติพี่น้องของนางมาช่วยสองแม่ลูกนี้มากมายหลายคน พอมีคนมาช่วยงานที่บ้านนางเยอะ นางกับลูกสาวจึงมีอาหารเลี้ยงญาติพี่น้องที่มาช่วยซ่อมแซมบ้านไม่พอ นางจึงนึกได้ว่าหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดใต้ปลูกมะเขือเปราะไว้มากมาย จึงไปขอมะเขือเปราะจากหลวงพ่อเจ้าอาวาสเพื่อมาทําอาหารเลี้ยงญาติพี่น้องที่มาช่วยซ่อมบ้าน พอไปถึงวัดใต้นางจึงบอกหลวงพ่อว่า“นมัสการ หลวงพ่อ ตอนนี้ดิฉันกําลังซ่อมแซมบ้านที่ผุพัง มีญาติพี่น้องมาช่วยกันซ่อมแซมบ้านมากมายหลายคน อาหารจึงไม่พอกิน ดิฉันอยากขอมะเขือเปราะหลวงพ่อเจ้าอาวาสไปทํายํามะเขือได้ไหมคะ?” หลวงพ่อเจ้าอาวาสได้ยินดังนั้นก็ตอบไปว่า “เอ๊า!?! ฮ่วย!?! หลวงพ่อปลูกมะเขือไว้ขายนะโยม ไม่ได้เอาไว้แจกญาติโยมเฉยๆ โยม นะ โยม!?!” พอนางได้ยินดังนั้นนางจึงตอบหลวงพ่อไปว่า “หลวงพ่อจะให้ดิฉันทําอย่างไรคะ? ดิฉันไม่มีเงินซื้อหรอกค่ะ” แล้วนางก็พูดต่อว่า “เอาอย่างนี้แล้วกันนะคะ หลวงพ่อ ดิฉันจะให้ลูกสาวมาถวายภัตาหารเพลให้หลวงพ่อทุกวันเลยค่ะ” เมื่อหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้ยินดังนั้นก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง นางจึงไปเก็บมะเขือเปราะมาทํายํามะเขือให้ญาติๆ ที่มาช่วยซ่อมแซมบ้าน หลังจากซ่อมแซมบ้านเสร็จ นางจึงให้ลูกสาวไปถวายภัตาหารเช้าหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดเหนือ ส่วนอาหารเพลก็ให้ลูกสาวนางไปถวายหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดใต้ อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดเหนือกับวัดใต้จึงสอบถามกันว่าทําไมลูกสาวนางจึงต้องไปถวายภัตาหารทั้งสองวัด พอสันนิษฐานได้ว่าแม่ของนางต้องไปขอมะเขือเปราะจากหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดใต้กับไม้ไผ่จากหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดเหนือ หลวงพ่อเจ้าอาวาสทั้งสองจึงเกิดความริษยากัน เจ้าอาวาสทั้งสองจึงพากันไปเยี่ยมครอบครัวของสองแม่ลูก จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งทั้งสองก็มาเจอกันที่บ้านของสองแม่ลูก หลวงพ่อเจ้าอาวาสทั้งสองจึงถกเถียงกันว่าลูกสาวควรจะถวายอยู่ทีวัดของตนวัดใดวัดเดียว ทั้งสองตกลงกันไม่ได้จึงบันดาลโทสะทะเลาะกันชุลมุนวุ่นวาย ต่างถามกันเสียงดังว่า “หลวงพ่อไม้ไผ่ ท่านมาอยู่ที่นี่ทําไม?” “หลวงพ่อมะเขือเปราะท่านมานี่ทําไม?” “เรามาพบโยมแม่ออก” สองแม่ลูกเห็นท่าไม่ดีจึงขอร้องให้ชาวบ้านมาช่วยห้าม พอได้สติทั้งสองจึงหยุดโวยวายและต่างก็กลับวัดของตนไปเงียบๆ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
นางสิบสอง นานมาแล้วมีครอบครัวยากจนอยู่ครอบครัวหนึ่งมีลูกสาว 12 คน พอนานวันเข้าพ่อกับแม่เริ่มเลี้ยงลูกด้วยความทุกข์ยากและลําบากอย่างแสนสาหัส ทั้งสองสามีภรรยาจึงปรึกษากันว่าจะพาลูกๆ ทั้ง 12 คน ไปปล่อยทิ้งไว้ในป่าจะได้ไม่เป็นภาระเลี้ยงดู วันที่จะพาลูกๆ ทั้ง 12 คนเข้าไปในป่าพ่อกับแม่เตรียมอ้อยไว้ให้ลูกคนละท่อนเพื่อจะได้ไว้กินระหว่างทาง แล้วทั้งสองสามีภรรยาก็นําทางลูกๆ เดินเข้าไปในป่าลึกมากพอสมควร พอเข้าไปไกลมากแล้วทั้งสองสามีภรรยาจึงบอกลูกๆ ทั้ง 12 คนว่าให้รอพ่อกับแม่อยู่ตรงนี้และอย่าพากันไปไหนไกล พอสั่งไว้เรียบร้อยแล้วสองสามีภรรยาจึงพากันแอบหนีลูกๆ ทั้ง 12 คนกลับบ้าน ทิ้งให้ลูกๆ ทั้ง 12 อยู่ในป่าลึก พอลูกๆ นั่งรอพ่อกับแม่นานมากแล้วไม่มารับกลับบ้าน พวกนางทั้ง 12 คนจึงพากันเดินกลับบ้านตามทางที่พวกพ่อกับแม่พามาเพราะพวกนางทิ้งเปลือกอ้อยไว้ระหว่างทางจึงจําทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย วันต่อมาสองสามีภรรยาก็เตรียมตัวพาลูกๆ ทั้ง 12 คนไปทิ้งไว้ในป่าเหมือนเดิม แต่ว่าครั้งนี้ทั้งสองสามีภรรยาไม่ได้เตรียมอ้อยไว้ให้ลูกๆ แต่เตรียมข้าวให้คนละห่อแทน ครั้งนี้ลูกๆ ทั้ง 12 คน หาทางกลับบ้านไม่ได้เพราะเมล็ดข้าวที่โปรยทิ้งไว้ระหว่างทางมีมดมีนกมากินจนหมด หาทางกลับบ้านเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จึงหลงทางวนเวียนอยู่ในป่าแห่งนั้น ตกค่ํามาจึงรู้สึกหิวเพราะหลงป่าเป็นเวลานานมากแล้ว พระอินทร์มองลงมาเห็นพี่น้องทั้ง 12 คนจึงเกิดความเวทนาสงสาร เลยใช้เวทย์มนต์วิเศษเสกต้นผลไม้ ไว้ใกล้ๆ กับที่ที่พวกนางทั้ง 12 หลงป่าอยู่ ทุกๆ วัน ทุกๆ คืน พวกนางทั้ง 12 จะพากันปีนป่ายเก็บผลไม้นั้นมากินประทังชีวิตแต่ก็ยังหลงป่าและหาทางกลับบ้านไม่ได้ จึงพากันอาศัยอยู่ตามกิ่งไม้ต้นไม้บริเวณนั้นเหมือนกับบ้านของพวกนางจนเติบโต (ต้นมณีโคตร) ทุกๆ วันที่พวกนางทั้ง 12 กินผลไม้ เส้นผมเส้นขนพวกนางทั้ง 12 ก็จะยาวขึ้นยาวขึ้นแล้วพวกนางทั้ง 12 ก็ปีนป่ายต้นไม้ได้คล่องแคล่วมาก พวกนางทั้ง 12 ก็อยู่ในป่ากันเรื่อยมา หลังจากที่สองสามีภรรยาพาลูกๆ ทั้ง 12 ไปปล่อยทิ้งไว้ในป่าได้หลายปี ทั้งสองสามีภรรยาก็มีความมั่งคั่งอีกครั้ง จึงพากันคิดถึงลูกๆ ทั้ง 12 ของตน จึงตัดสินใจไปตามหาลูกๆ ทั้ง 12 คนในป่าอีกครั้งเพื่อจะพากลับมาอยู่กับตน พอสองสามีภรรยาไปถึงที่ที่ตนทั้งสองเคยปล่อยลูกๆ ทั้ง 12 ทิ้งไว้ จึงพากันตะโกนร้องเรียกหาลูกๆ ว่า “ลูกๆ เอ๊ย! มาๆ มากินข้าวกัน มากินข้าวกับปลาย่าง มาไวไว” หลังจากที่ร้องเรียกลูกๆไปได้สักครู่ สองสามีภรรยาก็ได้ยินเสียงตอบว่า “กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก” เสียงนี้ดังอยู่นานหลายครั้ง แต่ทั้งสองสามีภรรยาก็มองไม่เห็นลูกๆ ทั้ง 12 คนของตนเลย แต่กลับมองเห็นตัวคนผมยาวขนยาวหน้าตาเหมือนลูกๆ ทั้ง 12 คน แทน ตัวคนผมยาวขนยาวก็พูดกับสองสามีภรรยาว่า “แม่ เอ๊ย! พ่อ เอ๊ย! ข้อยไปบ่ได้ดอก ขนแข้งข้อยพอได้หอยปลา, ขนขาข้อยพอได้หอยเขียด, ขนขี้แฮ้ข้อยพอได้สายไซเสียแล้วหล่ะ!” “พ่อจ๋า! แม่จ๋า! ลูกๆ กลับบ้านไปกับพ่อกับไม่ได้แล้ว ตอนนี้ขนหน้าแข้งของพวกเรายาวพอจะใช้ตกเบ็ดหาหอยหาปลาได้แล้ว เส้นขนที่ต้นขาก็ยาวพอที่จะตกเบ็ดหาปลาหากบได้แล้ว เส้นขนรักแร้ของพวกเราก็ยาวพอที่จะเอามักสานเป็นไซดักปลาได้แล้วพ่อจ๋าแม่จ๋า พวกเราคงกลับบ้านไปด้วยไม่ได้หรอกจ้ะ เดี๋ยวพวกเราจะทําให้พ่อกับแม่อับอายขายหน้าชาวบ้านเสียหน้าจ้ะ” เมื่อสองสามีภรรยาได้ยินลูกๆ ทั้ง 12 คนกล่าวดังนั้นจึงตัดสินใจปล่อยให้พวกนางอยู่ในป่าเหมือนเดิม แล้วทั้งสองจึงพากันกลับบ้านไปด้วยความเศร้าโศก
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
คนจีนกับหลวงพ่อเจ้าอาวาส ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีสาวสวยหน้าตาดีคนหนึ่งเป็นที่หมายปองของหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยในหมู่บ้าน รวมทั้งท่านหลวงพ่อเจ้าอาวาสด้วย ส่วนนางก็ชอบหว่านเสน่ห์ไปทั่วรวมทั้งหลวงพ่อเจ้าอาวาสและหนุ่มพ่อค้าชาวจีนด้วยพร้อมๆ กัน วันหนึ่งนางก็บอกหลวงพ่อเจ้าอาวาสว่าให้หลวงพ่อไปพบนางที่กระท่อมทุ่งนาท้ายหมู่บ้าน แต่ในขณะเดียวกันนางก็นัดพบกับหนุ่มพ่อค้าชาวจีนด้วยในเย็นวันเดียวกันที่เดียวกัน แต่พอถึงเวลานัดหมายนางก็ไม่ได้ไปตามที่นัดหมายไว้ พอตกเย็นถึงเวลานัดหมายหลวงพ่อเจ้าอาวาสกับหนุ่มพ่อค้าชาวจีนก็ออกไปพบนางตามที่นางนัดหมายไว้ ตรงกระท่อมทุ่งนาท้ายหมู่บ้าน แต่ทั้งสองคนไม่ทราบมาก่อนว่าใครเป็นใครและนางนัดหมายไว้กี่คน พอหลวงพ่อเจ้าอาวาสเห็นหนุ่มพ่อค้าชาวจีนไปนั่งรออยู่ก่อนแล้วจึงรีบวิ่งหนี หนุ่มพ่อค้าชาวจีนเห็นจีวรสีเหลืองปลิวอยู่กลางทุ่งเพราะหลวงพ่อเจ้าอาวาสรีบมากทําหล่นไว้จึงรีบวิ่งตามพร้อมกับตะโกนเรียกว่า “น้อง น้อง กลับมาก่อน อย่าเพิ่งไป! น้องลืมกระโปรงสีเหลือง!”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ลูกเขยใหม่ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่งที่เพิ่งมีลูกเขยใหม่ ลูกเขยใหม่เคยศึกษาบวชเรียนถือสมณเพศมาก่อนจึงเป็นคนธรรมะธรรมโมมีศีลธรรม คืนวันแต่งงานหลังจากแขกทุกคนได้กลับไปกันหมดแล้วนั้น พ่อตาก็นั่งสูบยาสูบอยู่ริมระเบียงบ้าน พ่อตาก็มีความสุขใจที่ลูกสาวของตนได้แต่งงาน ส่วนลูกเขยพองานแต่งเสร็จแล้วจึงลงไปอาบน้ํา อาบเสร็จก็เตรียมตัวเข้านอน จึงบอกกับพ่อตาด้วยเสียงร่าเริงว่า “ไปนอนก่อนนะพ่อ” พูดเสร็จก็เดินเข้าไปในบ้าน “เอ้อ ตามสบาย!” สักพักหนึ่งผ่านไป พ่อตายังนั่งสูบยาสูบเห็นลูกเขยเดินมาหาไม่เข้าไปนอนซักทีจึงถามไปว่า “อ้าว! ทําไมยังไม่เข้านอนอีกล่ะ เกิดอะไรขึ้น?” ลูกเขยตอบกระซิบตอบเบาๆ ว่า “ผมไม่รู้ว่าจะเข้าไปข้างในได้อย่างไร?” “ก็เข้าไประหว่างขาทั้งสองข้างนั่นแหละ!” พูดเสร็จก็นั่งขําอยู่คนเดียว ลูกเขยเดินเข้าไปในบ้านสักครู่หนึ่งก็เดินกลับออกมาอีกและบอกกับพ่อตาว่า “ก็มองดูหว่างขาทั้งสองข้างแล้วนะพ่อ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเข้าไปข้างในได้อย่างไร?” พ่อตาก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับบอกลูกเขยไปว่า “งั้นก็ลองเอาน้ําลายมาป้ายหัวดูนะ” พูดไปด้วยก็หัวเราะคิกๆ ไปด้วย ลูกเขยเดินเข้าไปในบ้านสักครู่หนึ่งก็เดินกลับออกมาอีกและบอกกับพ่อตาว่า “ลองเอาน้ําลายป้ายหัวดูแล้วก็ยังเข้าไปข้างในไม่ได้นะพ่อ" พ่อตาก็นึกในใจ เอ!?! เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวเราล่ะทีนี้? ทําไมถึงไม่ให้สามีเข้าไปข้างใน พอนึกอะไรบางอย่างออกจึงบอกลูกเขยไปว่า “งั้น เอาแบบนี้! ลองใช้ไข่ขาวมาป้ายหัวแล้วแทนแล้วกัน น่าจะได้ผลแน่คราวนี้” ลูกเขยได้ฟังคําแนะนําเช่นนั้นก็ทําตาม รีบเข้าไปหาไข่ไก่ในครัวพร้อมกับตอกไข่มาป้ายหัวทันที พอเสร็จก็เข้าไปในบ้านซักครู่ก็ออกมาหาพ่อตาอีกรอบ พร้อมกับบอกพ่อตาว่า “ลองดูแล้วพ่อ แต่ว่าไม่ได้ผลเลย ลองตั้งหลายอย่างแล้วแต่ก็ยังเข้าไปข้างในไม่ได้!” พอพ่อตาได้ฟังดังนั้นแล้วจึงสูดลมหายใจจนเต็มปอด และเริ่มจนปัญญาที่จะช่วยลูกเขยคิดหาวิธีเข้าไปข้างใน จึงบอกลูกเขยไปว่า “งั้น เอาอย่างนี้สิ! ถ้ามันเล็กและแคบมากๆ ก็ใช้ไข่ไก่หลายๆ ฟอง เดี๋ยวก็เข้าไปข้างในได้เอง!!!” ลูกเขยก็เข้าไปในครัว ยกไข่มาทั้งแผงออกมาตีแล้วก็เอามายีหัวตัวเอง ส่วนพ่อตาที่นั่งสูบยาสูบอยู่ระเบียงบ้านไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย นอกจากเสียงลูกเขยตอกไข่ จึงเกิดความสงสัย พอพ่อตาเข้ามาดูเห็นเปลือกไข่แตกกระจายเต็มพื้นและเห็นลูกเขยเดินอ้อมมุ้งวนไปวนมา พ่อตาก็โมโหกับความซื่อปนโง่ของลูกเขย เลยตะโกน ออกไปว่า “เจ้าลูกเขยทึ่มเอ๊ย!!! ตีไข่แตกเป็นพันๆ ฟองก็ยังหาทางเข้าไปข้างในไม่ได้อีก!!!”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เศรษฐียกสมบัติให้ลูก นานมาแล้วมีเศรษฐีคนหนึ่งมีลูกชายทั้งหมดสี่คน หลังจากพ่อเศรษฐีตายไป พ่อเศรษฐีก็มอบทรัพย์สมบัติให้ลูกทั้งสี่คนในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน ลูกเศรษฐีทั้งสี่คนก็เฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนานใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหลังจากได้รับทรัพย์สมบัติจากบิดา ทั้งดื่มเครื่องดื่มมึนเมา การพนัน และมีหญิงงามมาห้อมล้อมมากมาย หลวงพ่อก็เทศนาสั่งสอนไปว่าดื่มสุรามึนเมาทําให้ลูกเศรษฐีทั้งสีเสียผู้เสียคน ฉ้อโกง ไม่มีสัจจะ ไม่ทําการทํางาน ซ้ํายังไปผิดศีลเอาภรรยาผู้อื่นเพื่อนํามาเป็นภรรยาตนอีก พอลูกชายทั้งสี่ของพ่อเศรษฐีตายไปแล้วจึงตกนรกขุมที่ 8 สี่พี่น้องลูกเศรษฐีจึงไปเข้าฝันของเจ้าเกษมโกศล และขอให้พระองค์ถวายทองคํา 100 โกฏิ (หรือประมาณ 10 ล้าน) วัว 100 ตัว พร้อมข้าทาสบริวารอีก 100 คน นิทานเรื่องนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ใช้เพื่อเทศนาสั่งสอนให้หมั่นทําความดีละเว้นความชั่ว รู้จักใช้ทรัพย์และให้ทานเป็นนิจ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ผีสองหัว นานมาแล้วมีครอบครัวยากจนอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีพี่น้องสองคนต้องหาเลี้ยงชีพอย่างลําบากยากเข็ญ วันหนึ่งเนื่องจากสองพี่น้องกลับมาจากค้าขายเย็นมากจึงต้องนอนพักค้างคืนในป่าละเมาะ ทั้งสองพี่น้องหวาดกลัวเพราะยิ่งมืดยิ่งน่ากลัวจึงตกลงตัดสินใจว่าจะนอนหันเท้ามาชนกันจะได้อยู่ตรงกึ่งกลางเท่าๆ กัน หากมองดูดีๆ จะเห็นว่านอนหันหัวออกคนละข้างแล้วเอาเท้าชนกันแบบนี้ดูๆ ไปก็เหมือนผีมีสองหัว ตกดึกคืนนั้นมีเสือตัวใหญ่ตัวหนึ่งมองมาเห็นสองพี่น้องนอนหลับอยู่ มองๆ ไปก็เหมือนมีหัวเดียวแต่พอพี่ชายยกส่วนหัวของตนมาก็เจ้าเสือตัวใหญ่มองดูแล้วก็เป็นสิ่งมีชีวิตสองหัวดีๆ นี่เอง เห็นดังนั้นแล้วเจ้าเสือตัวใหญ่ก็วิ่งเข้าไปในป่าเพื่อไปเรียกบรรดาสัตว์ใหญ่น้อยมาดูให้เห็นกับตา ส่วนเจ้าเต่าเฒ่าตัวเล็กกว่าเพื่อนจึงต้องให้ช้างสูงใหญ่ใช้งวงยกมันขึ้นมาดูบ้าง ทันทีที่เต่าได้เห็นสิ่งมีชีวิตสองหัวตัวเดียวแบบนั้นแล้วก็ร้องเสียงดังว่า “ผีสองหัว!!! ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!!!” สัตว์ทุกตัวได้ยินเต่าร้องก็ต่างพากันตกใจวิ่งหนีเข้าไปในป่ากระจัดกระจายกันคนละทิศละทาง บางตัวก็ตกใจกลัวมากถึงขั้นเหยียบกันตาย ส่วนเจ้าหมาจิ้งจอกขาหัก วิ่งหนีไม่ทันเพื่อนๆ พอเห็นว่าสองพี่น้องนั้นลากเกวียนมาด้วยเป็นร้อยๆ เล่ม จึงก็ไม่ทําร้ายสองพี่น้องนั้นแต่ขอเดินทางไปกับสองพี่น้องด้วยเพื่อติดตามไปคอยรับใช้หาอาหารให้สองพี่น้องตั้งแต่นั้นมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ข้าวเม่าอ่อน ช่วงเดือน พฤศจิกายน ธันวาคม ของทุกปี จะเป็นช่วงลมแรงและข้าวในนาเริ่มสุกเหลืองอร่ามเต็มที่พร้อมที่จะเก็บเกี่ยว บางหมู่บ้านและบางพื้นที่ก็จะเก็บเกี่ยวข้าวก่อนที่มันจะสุกเหลืองเพือเอามาทําข้าวเม่าอ่อน ในภาคต่างๆ ของประเทศไทยจะมีการทํานาประเภทต่างๆ เช่น นาทาม, นาห้วย, นาหนอง, นาเขา ช่วงนี้ข้าวเหมาะที่จะเอามาทําข้าวเม่าพอดี ส่วนที่นาของนางคํากอง นางมีนาบ้านที่ข้าวยังสุกไม่ทันนาบ้านอื่นๆ ข้าวของนางคํากองยังทําข้าวเม่าไม่ได้ แต่นางคํากองก็อยากกินข้าวเม่ามาก ชาวบ้านคนอื่นๆ ในหมู่บ้านของนางคํากองก็เริ่มทําข้าวเม่ากินกันแล้วและก็กินกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง ก็ยังเหลือแต่นางคํากอง นางก็รอให้ข้าวในนาของนางสุกพอดีก่อนแต่เห็นคนอื่นๆ ได้กินข้าวเม่ากันแล้วนางจึงรอไม่ไหวเพราะอยากกินข้าวเม่ามากนางจึงไปเกี่ยวข้าวในนาของนางมาทําข้าวเม่าอ่อนกิน พอข้าวยังสุกไม่ได้ที่นางเอามาทําข้าวเม่ากินนางจึงปวดท้อง เพราะกินไปเยอะมากพอสมควร เย็นวันเดียวกันนั้นนางคํากองมีนัดคุยกับผู้บ่าวจานกาน ผู้บ่าวของนางก็ถือแคน (เครื่องดนตรีเป่าของชาวอีสาน ทําจากไม้ไผ่) มาด้วยเพราะอยากมาเป่าให้นางคํากองฟัง ทั้งสองก็นั่งคุยกันจนดึกดื่นเที่ยงคืน ส่วนนางคํากองที่ท้องอืดอยู่แล้วคุยกันไปก็อยากจะผายลมไปด้วย นางก็นึกในใจว่าถ้าจะไปผายลมใส่ไหน่าจะเสียงดังเกินไป นางก็เลยไปผายลมใส่ก้นน้องสาวของนางที่นอนหลับอยู่ น้องสาวของนางตื่นมาพอดีเลยตะโกนเสียงดังโวยวายว่า “เอื้อยคํากองมาผายลมใส่เฮา!” ผู้บ่าวของนางที่นั่งรออยู่ข้างนอกระเบียงได้ยินดังนั้นจึงรีบลงจากเรือนกลับบ้านไปก่อน เพราะเกรงว่านางคํากองจะรู้สึกอับอาย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
คางคก ลิง และเสือ นานมาแล้วมีลิงกับคางคกแข่งขันกันว่าใครจะกินสัตว์ได้ตัวใหญ่กว่ากัน ลิงนึกในใจว่าตนต้องแพ้แน่ๆ เพราะตนเป็นสัตว์กินพืช เพราะแม้แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยลิงก็กินไม่ได้ ลิงจึงไปขอร้องให้เสือเพื่อนของตนช่วย เสือได้ฟังดังนั้นจึงตัดสินใจช่วยเพื่อนลิงของตน วันต่อมาเสือจึงไปล่าเหยื่อกินวัว กินควาย และกินสัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่นๆ อีกหลายตัว แต่ว่าคางคกก็ไม่ได้กินอะไรมากนอกจากไปกินรากหญ้าและไปกินถ่านดําๆ ก้อนหนึ่ง ในสมัยก่อนนั้นเสือยังไม่มีลายริ้วๆ รอบตัวเหมือนทุกวันนี้ พอถึงวันแข่ง เสือกับคางคก ต้องคายเศษอาหารหรือซากสัตว์ที่ตนกินไปให้สัตว์ตัวอื่นๆ ดูจะได้ช่วยกันตัดสินว่าใครกินสัตว์ได้ใหญ่กว่ากัน คางคกก็ไม่รีรอ มันรีบคายรากหญ้าขาวๆ ออกมาก่อน พร้อมกับบอกสัตว์อื่นๆ พร้อมกับลิงและเสือว่ามัน “นั่นคืองาช้าง!” เสือเห็นดังนั้นก็รู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนักแล้วคางคกก็รีบคายถ่านสีดําออกมา พอคายออกมาแล้วจึงบอกกับสัตว์อื่นๆ พร้อมทั้งลิงและเสือว่าที่มันเพิ่งคายออกมา “นั่นคือตับของเสือตัวเมื่อวาน!” พอเสือกับลิงได้ฟังดังนั้นแล้วก็ตื่นตกใจจึงพากันวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปไกลมากส่วนหางของลิงก็พันกันกับหางของเสือเพราะลิงกับเสือแตกตื่นวิ่งหนีกันพัลวัน พอเสือวิ่งเข้าไปในป่าลิงที่ขี่อยู่บนหลังเสือก็ตกลงมาก้นไถไปกับพื้นดิน ตั้งแต่นั้นมาลิงจึงมีก้นที่มีสีไม่เท่ากัน เรียกว่าก้นด่าง และส่วนเสือวิ่งหนีไม่ดูทางที่ไปจึงวิ่งเข้าไปในพุ่มหนามเถาวัลย์ หนามจึงขูดขีดลําตัวทําให้เสือมีลายริ้วๆ รอบตัวจนกระทั่งทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พญาคันคาก พญาคันคาก เป็นราชาครองเมืองชมพู บรรดาบ้านเมืองบริวารใหญ่น้อย พร้อมใจกันบังคมก้มให้พญาคันคากถ้วนทั่วทุกหัวระแหง จนลืมส่งสการไหว้สาฟ้าแถนเหมือนแต่ก่อน ...ผีฟ้า “พญาแถน” เป็นใหญ่อยู่เมืองแมนแดนสวรรค์ ครั้นเมื่อฝูงคนทั้งหลายไปภักดีต่อ พญาคันคากหมดสิ้น ผีฟ้าพญาแถนเลยโกรธ ก็ไม่ส่งน้ําฟ้าน้ําฝนหล่นลงมาให้บ้านเมืองแว่นแคว้นใหญ่น้อย จนเกิดความแห้งแล้งทุกหย่อมหญ้าสาหัส พญาคันคากเห็นความทุกข์ยากของไพร่บ้านพลเมือง ก็มุดลงไปเมืองบาดาลนาค แล้วไต่ถามความนัยว่าเหตุไฉนถึงเกิดภัยแล้งแห้งน้ํามานานปี ...พญานาคจอมบาดาล จึงบอกเหตุว่าเพราะผีฟ้าพญาแถนไม่ให้นาคทั้งหลายขึ้นไปเล่นน้ําบนสวรรค์เหมือนแต่ก่อน น้ําเลยไม่แตก ฉานซ่านกระเซ็นกระเด็นกระดอนเป็นฝนฝอยหล่นลงมาเลี้ยงโลกมนุษย์ เมืองชมพูและบริวารเลยยากแค้นแสนกันดาร ด้วยแถนฟ้าเคืองรําคาญผู้คนที่ไม่บัตรพลีดีไหว้ มัวแต่ไปบังคมพญาคันคากนั้นแล ...พญาคันคากรู้ความตามจริงก็ยิ่งโกรธพิโรธนัก สั่งให้พญานาคผู้เป็นเมืองบริวารทําทางถนนจากเมืองชมพูขึ้นไปเมืองแถนแดนสวรรค์พญาคันคากมีใจเมตตา แล้วเจรจาว่ากล่าวอบรมบ่มนิสัยพญาแถนให้ประพฤติธรรม ต้องเอาใจใส่ดูแลทั้งชาวแถนและชาวมนุษย์จนสุดใจดินใจฟ้า ด้วยโลกนี้มีทั้ง ดิน หญ้าและฟ้าแถน ต้องพึ่งพาอาศัยกันมั่นคงถึงจะดํารงอยู่ได้ชั่วฟ้าดิน ถึงฤดูเดือนปีที่นาคต้องขึ้นมาเล่นน้ําบนฟ้าก็อย่าห้ามปราม เพราะนาคจะได้พ่นน้ํากระแทกคลื่น ดื่นดกตกเป็นฝอยฝนหล่นไปชุบเลี้ยงเอี้ยงดูหมู่มนุษย์ ทําไร่ไถนา ได้พืชพันธุ์ว่านยาอาหารอุดมสมบูรณ์ ถ้าไม่มีน้ําฟ้าน้ําฝน คนในเมืองมนุษย์สุดลําบาก จะได้ยากโหยหิวชิวหาดังราไฟ เมื่อไม่มีพืชพันธุ์ว่านยาอาหารเลี้ยงชีวังสังขาร แล้วจะเอาอะไรส่งสักการสังเวยให้แถนกินบนฟ้า แถนฟ้าก็ต้องเงือดงดอดตายไ ม่เป็นสุข นอกจากคนทั้งหลายแล้ว ในเมืองมนุษย์ยังมีพืชและสัตว์ ต้องอาศัยน้ําฝนน้ําฟ้าจากเมืองแถน ถ้าอนาถขาดแคลนเสียแ ล้วก็ต้องเดือดร้อนสารพัด ทั้งสัตว์และพืชเป็นล้นพ้น เราเองพญาคันคาก คือ คางคกสัตว์ไม่มีขน ยังต้องดูแลเผื่อแผ่เกื้อหนุนฝูงม นุษย์ พี่น้องเราทั้งหมดก็ล้วนสัตว์บริสุทธิ์ที่พิทักษ์รักษาผู้คนให้มีความสุขอุดมสมบูรณ์เสมอกัน ท่านซึ่งเป็นพญาแถนควรจดจําเป็นเยี่ยง อย่าง อย่าเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน แถนฟ้าต้องรักษาหน้าที่ปล่อยน้ําฟ้าน้ําฝนให้ตกต้องตามฤดู ไม่อย่างนั้นจะขึ้นมาลงโทษอีกให้สาสม
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ผีตาแฮก กาลครั้งหนึ่ง มีชาย 2 คนพ่อลูก พอลูกชายโตก็เข้าไปในป่า ไปเห็นรอยเท้าของคน 2 คน พ่อเลยบอกกับลูกว่า ถ้าเป็นรอยเท้าผู้หญิง พ่อสิขอเอามาเป็นเมีย รอยเท้าเล็กให้เป็นเมียลูก รอยเท้าโตให้เป็นเมียพ่อ แต่พ่อก็ได้เอาทั้งสองมาเป็นเมีย ผิดสัญญากับลูก แต่แล้วพ่อกะให้รอยเท้าคนโตแต่งงานกับลูก ซึ่งมันผิดปรกวิสัยของมนุษย์ เลยถูกเทวดาสาปแช่ง พอสองพ่อลูกตายไป ก็ไม่ได้ไปเกิดแต่ถูกสาปให้เป็น ”ผี” เฝ้าไฮ่นา เพื่อเป็นการไถ่บาป เรียกว่า “ผีตาแฮก”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
อันนินทากาเลเหมือนเทน้ํา ไม่ชอกช้ําเหมือนมีดที่กรีดหิน มีเศรษฐีคนหนึ่ง ร่ํารวย มีไร่นาให้ทํา แต่ภรรยาเสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังมีลูกชายคนหนึ่ง เศรษฐีผู้นี้รักลูกชายตนมาก พอลูกชายโตเป็นหนุ่มก็บวช พอบวชครบพรรษาแล้ว ด้วยความที่ว่าบ้านไกล เศรษฐีจึงขี่ม้าไปรับลูกชาย แต่เศรษฐีนั้นได้นําม้ามาเพียงตัวเดียว ลูกชายเลยให้พ่อขี่ม้าส่วนตนก็เดินจูงม้าเอา พอจูงไปได้สักพักก็มีหญิงสาวบ่นให้ว่า “แก่แล้วยังไม่มีความคิด ปล่อยให้ลูกลําบาก อุตส่าห์บวชเรียนให้ยังไม่เห็นใจอีก คนอะไรใจร้ายนัก” เมื่อเศรษฐีได้ยินดังนั้นจึงให้ลูกชายขี่ม้าแทน ส่วนตนก็เดินจูงม้า พอเดินทางไปได้สักพัก ก็มียายแก่พูดขึ้นมาว่า “คนอัปรีย์ บวชเรียนเสียผ้าเหลือง ปล่อยให้พ่อลําบากจูงม้าอยู่ได้ คนอาไร้” เมื่อลูกชายได้ยินดังนั้นก็ถามพ่อว่าจะเอายังไงต่อ สองพ่อลูกเลยตัดสินใจขี่ม้าด้วยกันทั้งสองคน เดินทางไปได้สักพักก็มีชายชราพูดขึ้นเปรย ๆ ว่า “คนอะไรไม่มีความคิด ทั้งหัวหงอกหัวดํา ไม่มีความเวทนาต่อสัตว์มั่งเลย ม้าตัวเดียวแต่ดันขึ้นกันทั้งสองคน” สองพ่อลูกเลยคิดหนักว่าจะเอายังไง ทั้งสองจึงตัดสินใจที่จะเดินจูงม้าทั้งสองคน แล้วออกเดินทางต่อ ระหว่างเดินทางก็มีวัยรุ่นสองคนพูดขึ้นว่า “ดูสองพ่อลูกนั่นสิ มีม้าให้ขี่กลับเดินจูงไปได้” พ่อลูกเลยปรึกษากันว่าจะทําอย่างไร เพราะถูกด่ามาตลอดทาง พ่อเลยพูดขึ้นว่า “ขี่ม้าด้วยกันทั้งสองคนนี่แหละ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ถือว่านินทากาเลเหมือนเทน้ํา ไม่ชอกช้ําเหมือนเอามีดมากรีดหิน ถ้าขืนฟังคําพูดของคนอื่นต่อไปคงไม่ได้ทําอะไรกันพอดี”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ทีใครทีมัน มีเศรษฐีผู้หนึ่ง ท่านมีลูกสาวที่สวยและเพียบพร้อมทุกอย่าง ท่านจึงหวงลูกสาวมาก และถ้าลูกสาวจะแต่งงานก็ต้องเป็นผู้ชายที่ร่ํารวย และเพียบพร้อมทุกอย่างเหมือนกัน แต่ว่าลูกสาวของตนนั้นกลับรักกับหนุ่มแถวบ้านซึ่งยากจน แต่เป็นคนดี ขยันทํามาหากิน แต่ชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่กล้าไปสู่ขอลูกสาวของเศรษฐีผู้นี้เพราะไม่มีเงินพอที่จะให้เป็นค่าสินสอดทองหมั้นได้ หญิงสาวจึงไปบอกพ่อของตนว่ารักใคร่กับหนุ่มแถวบ้าน พ่อโกรธมาก และไม่ชอบ ไม่อยากได้ลูกเขยจน เพราะกลัวจะมาทําให้ทรัพย์สินของตนหายไป เศรษฐีผู้นี้จึงประกาศให้ทั่วหมู่บ้านว่าถ้าใครสามารถแช่อยู่ในบ่อน้ําที่บ้านของเขาได้ตลอดทั้งคืนจะได้แต่งงานกับลูกสาวเขา และก็มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เข้ามาสมัครกันเพียบ รวมทั้งหนุ่มผู้นั้นที่เป็นที่รักของลูกสาวเศรษฐี พอถึงช่วงเวลาทดสอบ หนุ่มๆ หลายคนทนความหนาวเย็นไม่ไหว เลยถอยกลับบ้านไป แต่พอถึงคราวหนุ่มผู้เป็นที่รักของลูกสาว ลูกสาวก็มาพูดคุยและจุดไฟรอบๆ บ่อ หวังจะให้ความร้อนข้างนอกช่วยบรรเทาความหนาวเย็นข้างในบ่อนั้นได้ พอรุ่งสาง ชายหนุ่มก็สามารถทนได้จนถึงที่สุด แต่เศรษฐีก็ไม่ยอมให้แต่งกับลูกสาวของตนเพราะลูกสาวของตนทําผิดกติกา พอวันใหม่มาลูกสาวทําแกงส้มไปให้ผู้เป็นพ่อกิน รสชาติก็แปลกๆ “อีหนู แกใส่ส้มมะขามลงไปรึป่าว” ลูกสาวเลยตอบ “ใส่จ้ะพ่อ” “ใส่แล้วทําไมมันไม่เปรี้ยวเลยล่ะ” ลูกสาวตอบ “ก็ใส่ไว้ก้นถ้วยไงจ้ะ” “อะไรของเอ็ง” เศรษฐีจึงแงะเอาส้มมะขาวมาใส่ในถ้วย เศรษฐีจึงถามลูกสาวอีกว่า “วันนี้เอ็งเป็นอะไร ทําไมแปลกๆ” ลูกสาวจึงตอบ “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ก็แค่ส้มมะขามมันอยู่นอกถ้วยมันจะเปรี้ยวได้ยังไง ก็เหมือนกับไฟอยู่นอกบ่อ มันจะทําให้ข้างในอบอุ่นได้อย่างไรล่ะจ้ะ” เศรษฐีได้ยินอย่างนั้นเลยรู้ว่าลูกสาวคงเอาคืน และมันก็จริงอยากที่ลูกสาวบอก จึงบอกลูกสาวให้ไปบอกคู่รักว่าพรุ่งนี้ให้มาสู่ขอ “เออ ทีใครก็ทีมันวะ”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
โลภมาก มักลาภหาย ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่ง มีลูกสาวสองคน ลูกสาวคนโตเป็นลูกรักของพ่อ ส่วนลูกสาวคนเล็กเป็นลูกรักของแม่ และคนโตก็ไม่ค่อยชอบคนน้อง เพราะคิดว่าคนน้องหัวรั้น ดื้อ ไม่ยอมฟัง เนื่องจากโดนคนเป็นพี่เป่าหูพ่อ พอแม่ตายคนเป็นพ่อก็ยิ่งไม่ชอบคนน้อง และพอพ่อตาย คนเป็นพี่ก็ได้รับมรดกเยอะกว่าน้อง และได้ทําการขับไล่ ใส่ความน้องให้ออกจากบ้านไป เพราะตนอยากครอบครองสมบัติเพียงผู้เดียว น้องสาวก็ได้เดินเร่ร่อนไปตามหมูบ้านต่างๆ ก็มีชาวบ้านแถวนั้นให้ไปอยู่ด้วยและได้แต่งงานกับลูกชายบ้านนั้น ครั้นเมื่อหมู่บ้านนั้นเกิดน้ําท่วม ข้าว ปลา ก็เสียหายหมด น้องสาวกับสามีของตนจึงกลับไปขอความช่วยเหลือกับพี่สาว แต่พี่สาวก็ไม่ให้ความช่วยเหลือ ทั้งสองจึงเดินทางเข้าป่าเพื่อหาอาหาร และตอนนั้นท่านเทวดาก็สงสารเเละเห็นใจ จึงแปลงกายเป็นงู ทั้งสองเห็นจึงขออนุญาตตัดหางงูไปทําเป็นอาหาร ครั้นเมื่อทั้งสองกลับมาบ้าน นางก็ตกใจและเรียกสามีตนมาดู ก็พบว่าหางงูที่ตนจะนํามาต้มนั้นเป็นทอง ทั้งสองจึงนําไปขายและมีกินตลอดมา พอพี่สาวทราบข่าว ก็ได้เข้าป่าไปหาตัดหางงูมาบ้าง แต่งูตัวนั้นไม่ใช่งูที่เทวดาแปลงกายมา จึงโดนงูตัวนั้นฉกและรัด จนนางเสียชีวิต พอเช้าวันใหม่ น้องสาวทราบข่าวก็มาพบศพพี่ "ไม่ควรเลยที่จะต้องมาตายอย่างนี้ นี่แหละนะ ที่โบราณกล่าวว่าโลภมากมักลาภหาย"
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ตาดีกับยายดัน ตาดีกับยายดัน สองสามีภรรยาทุกข์ยากที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่หนุ่มสาว ตาดีเป็นคนโอบอ้อมอารี ก็ดีสมชื่อ ส่วนยายดันก็ดันทุรังสมชื่อ ชอบทําอะไรตรงข้าม เช่น ตาดีบอกให้หุงข้าวเยอะๆ ยายดันก็ดันหุงข้าวน้อยๆ ตาดีเลยต้องพูดอะไรตรงข้ามไว้ก่อน วันหนึ่งทั้งสองได้เข้าไปเก็บของในควน ก็เจอเสือเข้า ตาดีก็ตกใจเผลอหลุดพูดเป็นปกติกับยายดี "ยาย! นั่นเสือ มาอยู่หลังข้า" ยายดันไม่ยอมฟัง "ไม่ใช่เสือหรอก นั่นแมว" "อย่าไปทางนั้นนะยาย! นั่นมันปากเหว" "ข้าจะไปทางนั้น" แล้วยายดันก็ตกเหว ด้วยเหตุนี่ ยายดันเลยเสียชีวิตเพราะความดันทุรังของตนเอง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
นายดัน นายดันเป็นชายตาบอดตาใส ชาวบ้านแถวนั้นพูดว่าอาจเป็นเพราะชาติก่อน นายดันมีหน้าที่บอกชาวบ้านว่าพระมาบิณฑบาตแล้ว แต่ความนึกสนุก จึงแกล้งมองไม่เห็นพระ ชาตินี้เลยเกิดมาตาบอด ครั้นเมื่อแต่งงานกับสาว สาวไม่รู้ว่านายดันมองไม่เห็น นายดันก็ยังดันทุรัง เอาตัวรอดได้ดี มีวันหนึ่ง นายดันจะเคี้ยวหมากแต่หาปูนขาวไม่เจอ ถามภรรยาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เจอ นายดันจึงบอกไปว่า "ถ้ามีปูนขาวอยู่แถวนี้จริง ให้เอามาขยี้ตาพี่ได้เลย" ภรรยาได้ยินดังนั้นจึงเอาปูนขาวขยี้ตานายดัน นายดันร้องเจ็บปวด "โอ้ยแสบ ตาข้าบอดแน่ๆ" ภรรยาเลยหาหมอดีมารักษาจนนายดันมองเห็น
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พญาหงส์ คืนหนึ่งพระนางเขมาฝันถึงหงส์ทองตัวหนึ่ง เทศนาธรรมให้นางฟัง นางชอบมาก พอตื่นขึ้นมานางสั่งให้นายพรานขุดบ่อ เอาบัวมาปลูกเยอะแยะสวยงามเพื่อล่อให้หงส์ทองตัวนั้นติดกับ จนในที่สุดหงส์ทองตัวนั้นก็โดนจับได้ แต่ได้เทศนาธรรมให้พระนางเขมาฟังอีกครั้ง นางชอบมาก ซึ้งใจ เลยยกสระนั้นให้หงส์ทองและปล่อยให้กลับถ้ําได้ หงส์ทองก็สัญญากับพระนางเขมาว่าจะกลับมาเยี่ยมอีกครั้ง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
กบกินเดือน ครอบครัวหนึ่ง มีฐานะยากจนมีลูกชายสองคน พี่ชายชื่อ สุริยคราส น้องชายชื่อ จันทรคราส วันหนึ่งพ่อและแม่ไปหาเผือกมันในป่าเพื่อนํามาเป็นอาหาร สองพี่น้องก็ทานอาหารจนหมดไม่ได้แบ่งอาหารเผื่อไว้ให้พ่อกับแม่ เมื่อพ่อแม่กลับมาถึงบ้านจึงโกรธลูกทั้งสองมากจึงไล่ออกจากบ้าน สองพี่น้องหนีเข้าไปในป่า ในระหว่างทาง เทวดาที่เป็นเทพพระอาทิตย์และพระจันทร์ เห็นว่าทั้งสองเป็นคนดีเลยช่วยเหลือโดยการปลอมตัวเป็นงูเห่าและพังพอนต่อสู้กัน ครั้นพอฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตจึงไปกัดเปลือกไม้มาพ่นใส่ร่างกายจึงฟื้นคืนมาได้ สองพี่น้องจึงเก็บเอาสมุนไพรใส่ห่อยาเดินทางไปด้วย ในระหว่างทางพบกากินลูกไทรแล้วตกลงมาตายจึงเอายาสมุนไพรเป่า ทําให้กาฟื้นขึ้นมาได้ กาจึงขอเป็นทาสรับใช้ สองพี่น้องเดินทางไปเรื่อยๆ พบปลาดุก, ไก่, ช้าง, ตะกวดและกบตาย ก็เอายาสมุนไพรเป่าจนสัตว์เหล่านั้นฟื้นขึ้นมาและยอมเป็นทาสรับใช้ ครั้นเมื่อสองพี่น้องได้แต่งงานกับลูกสาวคนรวย จึงนําทองกลับไปให้พ่อแม่ ก่อนจะกลับบ้านก็สั่งกับภรรยาตนว่าห้ามนํายาสมุนไพรออกมาผึ่งในคืนเดือนเพ็ญ เพราะจะทําให้พระอาทิตย์และพระจันทร์ลงมาเอายาสมุนไพรคืน และภรรยาที่ถูกเทวดาดลใจให้ทําในสิ่งที่สามีห้าม เทวดาก็ได้ยาสมุนไพรกลับคืนไป สองพี่น้องจึงกลับไปเอาคืนแต่จนปัจจุบันกบก็ยังไม่ได้สมุนไพรวิเศษคืนยังตามต่อสู้กับพระจันทร์และพระอาทิตย์อยู่
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ตํานานพระธาตุอรหันต์โมคคัลลาน์ ในสมัยนั้นได้เกิดเหตุนกอินทรีย์สองผัวเมียออกอาละวาดกินสัตว์และชาวบ้านเป็นอาหาร ทําให้เกิดความเดือดร้อน แม้แต่พระอินทร์ก็ช่วยไม่ได้ พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกได้นิมิตรเห็นความโหดร้ายของนกอินทรีย์สองผัวเมีย จึงให้พระโมคคัลลาน์ไปช่วยสรรพสัตว์ที่ได้รับความเดือดร้อน และปราบนกอินทรีย์สองผัวเมียได้สําเร็จ หลังจากนั้นมาชาวบ้านกะเลยนับถือพระโมคคัลลาน์ แล้วก็ร่วมใจสร้างพระธาตุอรหันต์โมคคัลลาน์ขึ้นไว้เพื่อเป็นที่ระลึก
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
รากไม้วิเศษ ครั้งหนึ่งมีตายายสองคนอาศัยอยู่ในป่า มีลูกด้วยกัน 6 คน วันหนึ่งลูกชายคนโตของออกไปหาของล่าสัตว์ในป่า และได้พาน้องเล็กๆ ไปด้วย ได้พากันนอนค้างในป่าคืนนึง แต่พอเข้าป่าแล้วจับสัตว์อะไรไม่ได้เลยนอกจากงูเหลือม และหลังจากนั้นก็หั่นงูเป็นชิ้นๆ ถลกหนังออกมาย่างไฟ แล้วบอกน้องว่าให้เฝ้าไว้ดีๆ สักพักก็มีงูเหลือมตัวหนึ่งเลื้อยมา แล้วก็เอารากไม้มาด้วย งูตัวนั้นเคี้ยวรากไม้แล้วพ่นงูตัวที่ตาย งูตัวที่ตายกลับพื้นขึ้นมา แล้วเลื้อยไปกับอีกตัว พอพี่กลับมาก็ว่าน้องที่ทําเนื้องูหายไป แล้วก็ไม่ให้กลับบ้านด้วย น้องจึงเดินเตร็ดเตร่ไปในป่า และเอารากไม้ไปด้วย จนไปเจอหมู่บ้านและในหมู่บ้านมีงาน จึงทราบว่าเป็นงานศพของธิดาแห่งเมือง จึงขอเข้าไปรักษาด้วยรากไม้ พระธิดาพื้นขึ้นมา พระราชาจะมองของรางวัลให้แต่เขาไมเอา ขอเพียงแค่เป็ดตัวเดียว เขาเดินทางออกจากวัง ไปที่แม่น้ําและผูกเป็ดไว้ เป็ดออกไข่ ไข่แตกตูมกลายเป็นวัง มีคนรับใช้ มีภรรยา และทางบ้านได้ทราบข่าว และมีฐานะยากจน พวกพี่ชายกลายเป็นขอทานแต่จําน้องไม่ได้ จึงมาขอทานทางวังของเขา และเขาได้แอบถามถึงแม่ที่แก่ชรา และให้แม่มาอยู่ด้วย ส่วนพี่ชายพอรู้ความจริงก็อายและหนีไป
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ศิษย์ไม่มีปัญญา มีศิษย์คนนึงเรียนไม่ได้เรื่องเลย แม้แต่สระอะตัวเดียวก็เรียนไม่ได้ วันหนึ่งหลวงพ่อได้เรียกไปหาแล้วถามว่าได้อยากได้ของดีไหม ศิษย์โง่ก็ตอบว่าอยากได้ หลวงพ่อจึงให้ไปที่ป่าช้า และแลกของกับผี ซึ่งก็คือแกง แต่อย่าเพิ่งให้แกงกับผี ให้หลอกแลกของกับผีก่อน และห้ามมองหน้าผี วันต่อมาเขาจึงที่ป่าช้า และพบกับผีและหลอกว่าจะให้แกงถ้าผีถอดชฎาให้เขา ผีตนนั้นถอดชฎาให้เขา แล้วเขาก็รีบวิ่งหนีมาหาหลวงพ่อ ผีบริวารก็วิ่งตามมา แต่หลวงพ่อมาผูกด้ายศักดิ์สิทธิ์ไว้ ผีพวกนั้นก็กลับไป สิ่งที่เขาได้มานั้นคือชฎา พอสวมแล้วเขาหายตัวได้ หลังจากนั้นจึงเทียวไปล่วงเกินสตรีในหมู่บ้าน สร้างความเดือดร้อน ชาวบ้านจึงทํากับดักฟัน และเขาก็ตกบันไดตาย แต่ชาวบ้านมองไม่เห็น หลายวันศพก็ส่งกลิ่นเหม็นเน่า จึงไปนิมนต์หลวงพ่อมา พอหลวงพ่อมาถึงก็มองเห็นและเอาชฎาออก ชาวบ้านได้แต่ยืนมองศพเขาด้วยความเวทนาและช่วยกันเอาศพไปฝัง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ท่งป่ะหลาน นานมาแล้วมียายกับหลานมาจากเมืองลาวจะไปหากินทางเมืองโคราช เดินทางมาถึงทุ่งกว้างแห่งหนึ่งใหญ่สุดลูกหูลูกตา ยายกับหลานก็เดินกันมากลางแดดร้อนเปรี้ยงๆ เหนื่อยก็เหนื่อย หาต้นไม้ร่มสักต้นก็ไม่มี ก็เดินทางกันต่อไปเจอเถียงนาร้างอันหนึ่งก็พากันนั่งพักดื่มน้ํา และทั้งสองก็หิว ยายเลยว่า “โน้นเห็นหมู่บ้านไหม น่าจะอยู่ไม่ไกล” แต่หลานบอกไม่เดินไปแล้วนะ ไม่มีแรงเหลือ ยายเลยบอกกับหลานว่า ”งั้นเจ้าก็รออยู่นี่ เดี๋ยวยายจะเดินไปขอน้ําขออาหารกับคนในหมู่บ้านมาให้” แล้วก็ให้หลานรอที่เถียงนา ยายก็เดินทางไป ไม่ถึงสักที เหนื่อยสิ้นใจตายกลางทุ่ง ส่วนหลานก็รอยาย ไม่กลับมาสักที ร้องไห้ไปหลายวันก็หมดแรงตายตามไป จึงเรียกทุ่งแห่งนี้ว่า ทุ่งปะหลาน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ทุ่งกุลาฮ่องไห้ ในสมัยก่อนมีพ่อค้าอยู่เมืองลาว เรียกว่า พวกกุลา พวกกุลาจะไปค้าขายอยู่แถวเมืองโคราช พอมาถึงทุ่งหนึ่งเป็นทุ่งกว้างใหญ่ ต้นไม้จะให้ร่มก็ไม่มี น้ําจะกินก็ไม่มี แดดก็ร้อนเปรี้ยงๆ พวกกุลาก็พากันหายเหนื่อย แล้วก็เดินทางต่อ เสบียงอาหารที่นํามาด้วยนั้นก็ค่อยๆ หมดไป ในที่สุดก็ไม่มีอะไรเหลือ พวกกุลาก็ยังข้ามทุ่งนี้ไปไม่ได้ ก็เลยพากันนั่งร้องไห้ จึงเรียกทุ่งนี้ว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้” จนถึงทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ย่ากินปลิง หญิงชราคนนึงป็นคนตาบอด มีลูกชายคนเดียว พอลูกชายโตขึ้น ก็ได้มีภรรยาและแต่งงานพาภรรยามาอยู่กินที่บ้าน แต่ลูกสะใภ้คนนี้เป็นคนไม่ดี และเกลียดแม่ย่า จึงมักจะแกล้งแม่อยู่บ่อยๆ วันหนึ่ง ลูกสะใภ้คนนี้ทําแกงปลิงให้แม่กิน แม่ตาบอดไม่รู้อะไรก็กินจนอิ่ม ต่อมาก็ตาย พอตายแล้ววันจะเผานั้น ชาวบ้านจะมาช่วยยกศพไปเผาที่วัด ยกยังไงก็ยกไม่ชึ้น ทุกคนในหมู่บ้านก็มายก ก็ยกไม่ขึ้น เหลือแต่ลูกสะใภ้ที่ยังไม่ยก พอมายกก็ปรากฏว่าสามารถยกได้คนเดียวขึ้น ชาวบ้านเลยให้ลูกสะใภ้ยกโลงศพใส่บ่าไปเผาที่วัดคนเดียว แต่พอไปถึงจะเอาโลงลงก็เอาลงไม่ได้ เชือกที่มัดอยู่กับบ่าแกะยังไงก็ไม่ออก เอาอะไรมางัดก็ไม่ออก จนชาวบ้านหมดหนทางเลยเผาลูกสะใภ้คนนี้ไปพร้อมกับศพของแม่ย่านั่นเอง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หลวงพ่อกินขี้ไก่โป่ วัดหนึ่ง มีหลวงพ่อกับเณรน้อยสององค์ วันหนึ่งชาวบ้านนิมนต์หลวงพ่อไปฉันเพลในบ้าน ก่อนหลวงพ่อจะไปก็สั่งเณรเป็นดิบดีว่าให้มานอนเฝ้ากุฏิ ห้ามให้ไก่ขึ้นมาขี้ใส่บนกุฏิ ถ้ากลับมาเห็นขี้ไก่ จะให้เณรกิน พอหลวงพ่อไป เณรน้อยก็ทําอุบาย เอาน้ําตาลอ้อยมาหยอดในกุฏิแล้วแอบไปงีบหลับ พอหลวงพ่อกลับมาเห็นน้ําตาลอ้อยเป็นขี้ไก่ก็โมโหให้เณรที่ปล่อยไก่ขึ้นมาขี้บนกุฏิตนเอง จึงเรียกเณรออกมาแล้วก็บังให้กินขี้ไก่ที่อยู่บนพื้น ตอนแรกเณรไม่ยอม หลวงพ่อก็บังคับ สุดท้ายเณรยอมก้มลงไปกิน กินแล้วกินอีก หลวงพ่อเลยถามว่า ”อร่อยมากหรอทําไมกินหมด” เณรก็ตอบว่า”อร่อยสิ ไม่งั้นจะกินหมดหรอ” หลวงพ่อเห็นเหลืออีกกองก็เลยลองกิน ปรากฏว่าอร่อย จึงสั่งเณรว่า วันหลังก็ปล่อยให้ไก่ขึ้นมาขี้ใส่กุฏิเลยนะ ไม่ต้องไล่ พอวันหลังหลวงพ่อก็เห็นไก่ขึ้นมาขี้บนกุฏิก็ไปกินขี้ไก่ แต่กินกองไหนๆ ก็เหม็นทุกกอง เลยไปถามเณรว่า ”ทําไมขี้ไก้เหม็นจัง ไม่หวานเหมือนวันนั้น” เณรก็บอกว่า “จะไม่เหม็นได้ไงก็นี่นะขี้ไก่ กินวันนั้นนะน้ําตาลอ้อย” หลวงพ่อได้ยินดังนั้นแล้วก็โมโหที่โดนเณรน้อยหลอกให้กินขี้ไก่ ก็วิ่งไล่ตีเณรน้อย.
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หลวงพ่อม้าน้อยหลังแอ่น วันหนึ่งหลวงพ่อบอกให้เณรไปดายหญ้าให้ เพื่อว่าจะปลูกมะเขือ เณรน้อยสงสัยเลยถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อๆ ทําไมปลูกมะเขือเยอะจัง ปลูกไว้เยอะๆจะกินยังไงหมด” “เอ๊ะ ถ้ากินไม่หมดก็เอาไปขายสิว๊ะ” “ถ้าขายได้เงินเยอะๆ แล้ว หลวงพ่อจะเอาเงินไปทําอะไร” “ก็จะเอาไปซื้อม้านะสิ” “ซื้อม้าตัวผู้หรือตัวเมีย” “ม้าตัวเมีย” “ถ้ามันมีลูกให้ผมขี่ลูกมันนะหลวงพ่อ” “ไม่ให้หรอกหลังมันจะแอ่น” “ไม่แอ่นหรอกๆ ผมตัวเบาๆ เอง ให้ผมขี่เถอะนะหลวงพ่อ” “ไม่ได้” เณรน้อยไม่ฟังหลวงพ่อ อยากขี่แต่ม้า ถึงจะชวนคุยไปเรื่องอื่น ก็วกกลับมาคุยแต่เรื่องนี้ ในที่สุดหลวงพ่อโมโหเลยเอาเสียมเสียบไปที่กลางหลังของเณร “เห็นไหมที่นี้ แกอย่ามาร่ําไร หลวงพ่อบอกแล้ว บอกแล้วว่าหลังมันจะแอ่น”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
คนไหวพริบดี ตาเคนมีลูกชายอยู่คนนึง พอโตเป็นหนุ่มก็ไปชอบสาวสวยคนนึง เลยให้พ่อไปสู่ขอให้ แล้วก็ได้แต่งงานกินอยู่ด้วยกัน วันหนึ่งตาเคนก็กลับมาจากงานแต่งคนในหมู่บ้าน เลยแวะไปที่บ้านลูกชาย ก็เห็นลูกสะใภ้เอานมให้หลานกิน ก็เดินเข้าไปถามหาลูกชายว่าไปไหน ลุกสะใภ้ก็บอกไม่รู้ไปไหน ไปนานแล้ว ตาเคนพอรู้ว่า ลูกชายไม่อยู่บ้านก็เลยนั่งลงถามหลานน้อยว่า กินนมหรอ หลานน้อยก็เงยหน้าขึ้นมาดู แต่ก็ไม่ยอมกินนม ตาเคนก็บอกให้กิน หลานก็ไม่กิน เลยจับหัวหลานกับนมลูกสะใภ้ พอดีลูกชายกลับมาบ้าน เห็นเข้าพอดีก็บอกว่า พ่อทําไม่ถูก เดี๋ยวจะเอาเรื่องพ่อวันนี้แหละ พ่อเลยบอกให้ลูกชายใจเย็น แล้วก็ย้อนลูกชายว่า ที่กูให้มึงกินนมเมียกู จับนมเมียกู นอนกับเมียกู กูยังไม่เอาเรื่องอะไรมึงเลย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }