text
stringlengths
11
12.4k
meta
dict
กระดูกไก่ มีหนุ่มยากจนคนหนึ่งชื่อ สุธน โชคดีได้แต่งงานกับสาวมณฑา ธิดาเศรษฐีผู้มั่งคั่งตระกูลหนึ่ง เธอมีน้องสาวสองคน คนแรกชื่อนารี มีสามีเป็นลูกเศรษฐีเช่นกัน คนที่สองชื่อศรีวัน กําลังจะแต่งงานกับลูกชายมหาเศรษฐี หนุ่มสุธนนับว่าโชคดีในสายตาคนทั่วไป แต่เขาเองคิดว่าโชคร้ายมากกว่า เพราะว่าตั้งแต่เข้ามาอยู่ในตระกูลนี้ มีแต่ความคับอกคับใจอันเกิดจากการกระทําของท่านเศรษฐี และบรรดาพี่น้องของภรรยาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาคิดว่าถ้าอยู่ในสภาพนี้สักวันหนึ่งความอดกลั้นของเขาคงจะสิ้นสุดลง ครั้นแล้ววันนั้นก็มาถึง กล่าวคือวันงานพิธีมงคลสมรสของศรีวัน สุธนได้รับมอบหมายให้ประจําหน้าที่หุงข้าวต้มแกงอยุ่ในโรงครัวหลังบ้าน และเมื่อพิธีกรรมต่าง ๆ เสร็จสิ้นลงแล้ว เศรษฐีจึงเรียกลูก ๆ มารับประทานอาหารร่วมกัน แต่ไม่ได้เรียกสุธนกับมณฑามาร่วมด้วย เมื่อทุกคนอิ่มหนําสําราญกันแล้ว เขาทั้งสองจึงถูกเรียกมารับประทานอาหารที่เศรษฐีเตรียมไว้ให้คือกระดูกไก่ล้วนๆ 1 จาน สุธนเห็นเช่นนั้นก็รู้มันทีว่าตนถูกกลั่นแกล้ง แต่มิได้พูดจาอะไรให้เป็นที่สะเทือนใจใคร ก้มหน้ากินข้าวคลุกกระดูกไก่จนอิ่มแล้วห่อกระดูกไก่นํากลับที่พักตัดสินใจที่จะปลีกตัวจากตระกูลภรรยาทันที เมื่อปรึกษากับภรรยาจนนางเห็นดีด้วยแล้ว จึงหนีออกไปพักอยู่กับตายาย ณ กระท่อมแห่งหนึ่ง พร้อมนํากระดูกไก่ติดมือไปด้วย เพราะคิดว่าอย่างไรเสียมันก็เป็นมรดกชิ้นเดียวที่พ่อตามอบให้ ตายายเห็นว่าเขาเป็นคนขยันขันแข็ง จึงแบ่งที่ดินในครอบครองของตนส่วนหนึ่งให้ทําประโยชน์ ทุกครั้งที่ออกถางป่า สุธนได้นํากระดูกไก่ติดมือไปด้วย เมื่อถึงที่หมายจึงหยิบกระดูกไก่ขึ้นชูเหนือศีรษะพร้อมกับอธิษฐานในใจว่า จะถางป่าให้ได้เท่าเนื้อที่ที่ตนปากระดูกไก่ไปตกทั้ง 4 ทิศ แล้วปาไปจนสุดแรง เขาทําได้ตามคําอธิษฐานทุกครั้งจนได้เนื่อที่เพาะปลูกมากมาย และได้ใช้วิธีการเดียวกันนี้กับงานอื่น ๆ ด้วย จนในที่สุดเขาก็สามารถสร้างฐานะให้แก่ตนเองได้ เมื่อสิ้นอายุตายาย เขาก็ได้เป็นทายาทรับมรดกทั้งหมด
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
กระต่ายบนดวงจันทร์ ชายคนหนึ่งมีอาชีพตัดไม้ขาย อยู่ ๆ ลูกชายของแกก็เป็นไข้ แกไม่รู้ว่าจะไปเอายาที่ไหนมารักษา คืนวันหนึ่งแกฝันว่า มีเทวดาองค์หนึ่งมาบอกให้แกไปเอาหางกระต่ายมารักษา รุ่งขึ้นแกจึงเข้าป่าไปหาหางกระต่าย พบกระต่ายตัวหนึ่งแกจึงร้องขอหางต่อกระต่ายตัวนั้น กระต่ายเกิดความสงสารลูกชายแก จึงยินดีมอบหางอันสวยงามให้ ชายคนนั้นจึงตัดหางกระต่ายไปรักษาลูกชายจนหาย ฝ่ายเทวดาเห็นกระต่ายนอนซมอยู่ในพงหญ้าเพราะถูกตัดหางออกไป และเห็นว่ากระต่ายเป็นสัตว์มีน้ําใจประเสริฐ จึงนําเอากระต่ายขึ้นไปไว้บนดวงจันทร์กระต่ายจึงอยู่บนดวงจันทร์มาจนทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
กล้วยสองปลี นานมาแล้วมีไชชายยากจนผู้หนึ่ง ไม่เจียมกายเจียมใจ ไปนึกรักเอากับลูกสาวเศรษฐีผู้หนึ่งเข้า จึงทําให้มันเป็นคนคิดมาก คิดแต่ว่าจะทําอย่างไรดี จึงจะได้ลูกสาวเศรษฐีผู้นั้นมาเป็นคู่ครองของตน ให้สมรักสักที มันจึงคิดว่าถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์เห็นจะต้องเอาด้วยกลอย่างใดอย่างหนึ่งเสียแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว มันจึงได้เดินทางไปสืบหาหมอเสน่ห์ชั้นดีที่จะช่วยมันในเรื่องนี้ได้ มันได้เดินทางไปหนึ่งวันเต็มๆ จึงพบกระท่อมหลังหนึ่ง ไชชายผู้นั้นจึงได้เข้าไปขอน้ําดื่มจากเจ้าของกระท่อมซึ่งเป็นหญิงชรา ยายแก่ผู้นั้นจึงได้ถามไชชายว่าเดินทางไปไหนมา ไชชายจึงเล่าความประสงค์ของตนให้ยายแก่ฟังโดยไม่ปิดบังแต่อย่างใด ยายแก่จึงบอกว่า แกนี่แหละเป็นหมอเสน่ห์ และยังได้กล่าวอีกว่า เรื่อที่ไชชายต้องการทําเสน่ห์นั้นแกช่วยได้ ถ้าหากว่าไชชายสามารถหากล้วยสองปลีมาให้เพื่อจะได้ใช้เป็นเครื่องยาเสน่ห์ดังกล่าว ไชชายผู้นั้นเมื่อได้ฟังหญิงชรารับปากจะช่วยเหลือก็ดีใจมาก จึงได้รีบเดินทางไปหากล้วยสองปลี ตั้งแต่บัดนั้นมันได้ท่องเที่ยวเสาะแสวงหากล้วยสองปลีอยู่เป็นเวลาสองเดือนก็ไม่พบ มันจึงได้ปลูกกล้วยเสียเองอย่างมากมายหลายชนิดและดูแลไร่กล้วยเป็นอย่างดี เช่น ใส่ปุ๋ยและเอาใจใส่ต้นกล้วยทุกอย่างเป็นพิเศษเพื่อให้กล้วยออกปลีสองปลีให้ได้ มันได้ทําไร่กล้วยอยู่นาน ก็ยังไม่ได้กล้วยสองปลีดังกล่าวแต่อย่างใด ไชชายผู้นั้นก็ไม่ละความพยายามมันได้ปลูกกล้วยเพิ่มขึ้นอีกโดยได้ขยายไร่กล้วยของมันให้กว้างขวางขึ้นกว่าเดิมไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะค้นหากล้วยสองปลีให้ได้ ปีแล้วปีเล่ามันก็ทําไร่กล้วยอยู่เช่นนั้น และมันก็ได้นําผลผลิตจากไร่ไปขายอยู่เป็นเวลา 7 ปี จนทําให้มันมีเงินทองเก็บไว้จากการขายกล้วยเป็นจํานวนมาก จนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐีในเวลาต่อมา เมื่อมีฐานะร่ํารวยขึ้นมาแล้ว มันก็ได้ขอลูกสาวเศรษฐีที่หมายปองเอาไว้จนได้ตกแต่งกันเป็นสามีภรรยาเป็นที่เรียบร้อย สมความปรารถนาของมัน แต่บรรดากล้วยที่มันปลูกไว้ก็ไม่เคยออกปลีเป็นสองปลีเลย จึงทําให้ไชชายผู้นั้นคิดได้ว่า กล้วยสองปลีที่ยายแก่บอกให้หามาทําเสน่ห์นั้น คงไม่มีในโลกนี้แน่นอน แต่การที่ยายผู้นั้นสั่งให้มันหากล้วยสองปลีให้ได้ก็คงเป็นอุบายเพื่อยั่วยุให้มันมีมานะ จนสามารถสร้างฐานะได้ในเวลาต่อมานั้นเอง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
การแบ่งอายุของสัตว์ ในสมัยดึกดําบรรพ์โลกเริ่มจะมีสัตว์ และสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นนั้น พระอิศวรผู้เป็นเจ้าโลกได้ทรงบัญญัติให้สัตว์บางชนิดมีอายุเท่า ๆ กัน คือให้มนุษย์ วัว หมา ลิง มีอายุขัยเพียง 40 ปีเท่านั้น แต่มนุษย์ ซึ่งมีความโลภอยู่ในสันดานกลับรู้สึกว่าอายุของตนนั้นน้อยเกินไป จึงได้กราบทูลพระอิศวรว่าตนนั้นน่าจะมีอายุมากกว่านี้ เพราะจะได้ทําประโยชน์ให้โลกได้นาน ๆ พระอิศวรผู้เป็นเจ้าก็ตรัสตอบว่า เมื่อได้บัญญัติไปแล้วจะขอเพิ่มอีกไม่ได้ แต่ถ้าขอลดลงนั้นได้ หรือให้ทั้งสี่ถัวเฉลี่ยอายุกันเอาเอง ฝ่ายวัวนั้นว่า 40 ปีนานเกินไปสําหรับตน แก่เกินไปที่จะลากเกวียนลากไถให้มนุษย์ จึงกราบทูลขอให้ลดอายุลงมาเหลือเพียง 20 ปี พระอิศวรก็ทรงยินยอมตามคําขอของวัวแต่อายุส่วนที่เหลือนั้น พระองค์จะเอากลับคืนไปไม่ได้เช่นกัน มนุษย์จึงสบโอกาสเช่นนั้นจึงขอรับเองเสียเอง มนุษย์จึงมีอายุเพิ่มขึ้นอีก 20 ปี ส่วนหมาก็ขอลดอายุลงเหลือ 20 ปีด้วย เพราะเห็น่วา 40 ปี นั้นแก่เกินไป อยู่ไปคงจะหากินลําบาก ขนก็จะร่วงหมดตัวทนหนาวทนร้อนไม่ได้ พระอิศวรผู้เป็นเจ้าจึงได้อนุญาตตามคําร้องขอของหมา อายุของหมาเหลือ 20 ปีนั้น มนุษย์ก็รับเอาไว้อีก อายุของมนุษย์จึงเพิ่มขึ้นเป็น 80 ปี ฝ่ายลิงเมื่อเห็นว่าวัวและหมาขอลดอายุลงได้ ตนจึงขอลดอายุลงเหลือ 20 ปีเช่นกัน โดยอ้างว่าถ้าตนอายุ 40 ปีแล้ว ร่างกายสังขารก็จะแก่เกินไป คงจะหาลูกไม้กินไม่ได้แน่นอนอยู่ไปก็ทรมานร่างกายโดยใช่เหตุ พระอิศวรก็ได้ทรงยินยอมตามที่ขออีก ส่วนอายุที่เหลือของลิง 20 ปี มนุษย์จึงได้ขอรับไว้อีก มนุษย์จึงมีอายุถึง 100 ปี ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏว่าสังขารของมนุษย์เมื่อมีอายุระหว่าง 20 - 40 ปี มนุษย์จึงมีความรู้สึกนึกคิด ร่างกายแข็งแรงว่องไว กระฉับกระเฉง เพราะอยู่ในระหว่างอายุของมนุษย์เอง พอมีอายุย่างเข้า 50 - 60 ปี ซึ่งอยู่ในอายุของวัวก็จะเห็นว่ามนุษย์ที่อยู่ในวัยนี้ ชอบทํางานทําการมากหรือมักจะขยันขันแข็งเป็นพิเศษ เช่น ตื่นขึ้นทํางานตั้งแต่เช้าตรู่ เป็นต้น เมื่ออายุผ่านไปอยู่ในระหว่าง 70 - 80 ปี อันอยู่ในอายุของหมา มนุษย์ในวัยนี้ชอบดุด่า พร่ําบ่น จนลูกหลานเอือมระอาไปตา มๆ กัน แต่พอมีอายุย่างเข้า 90 - 100 ปี ซึ่งอยู่ในอายุของลิง มนุษย์ในวัยนี้ชอบวุ่นวายงานการที่ทําเองไม่ได้ กินเองก็ไม่ได้ต้องให้คนอื่นป้อน ด้านจิตใจก็หลง ๆ ลืม ๆ ขี้เยี่ยวไม่เป็นที่เป็นทาง เหมือนพฤติกรรมของลิงนั้นเอง จึงเห็นได้ว่ามนุษย์เรานั้นมีอายุได้มากที่สุดก็ประมาณ 100 ปี ส่วนสัตว์ทั้ง 4 ชนิดดังกล่าว จะมีอายุประมาณเพียง 20 ปีเท่านั้น
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
การละอายความชั่ว อาจารย์คนหนึ่งสอนศิษย์สําเร็จวิชาแล้วก็เรียกบรรดาศิษย์มาประชุมพร้อมกันแล้วบอกว่า บัดนี้ศิษย์แต่ละคนก็ได้เรียนวิชาจากอาจารย์ไปจนหมดสิ้นแล้ว ถึงเวลาที่ทุกคนจะได้นําวิชาความรู้ไปประกอบอาชีพได้แล้ว และเนื่องจากอาจารย์เองแก่มากแล้วมีลูกสาวสวยอยู่คนหนึ่งจะยกให้ลูกศิษย์ทั่วถึงทุกคนก็ไม่ได้ จึงบอกกับลูกศิษย์ว่า อาจารย์รักศิษย์เท่ากันทุกคนไม่มีอคติ แต่มีลูกสาวอยู่คนเดียวจึงจะขอยกให้กับศิษย์ที่ดีที่สุด โดยอาจารย์จะขอพิสูจน์ให้ศิษย์ทุกคนทําอะไรสักอย่างหนึ่ง บรรดาศิษย์ก็ถามว่าจะให้ทําอะไร อาจารย์ก็บอกว่าให้ทุกคนไปลักสิ่งของที่มีค่าของชาวบ้านมาคนละอย่างให้ได้มาภายใน 7 วัน และถ้าใครทําให้เจ้าบ้านรู้ คนนั้นจะไม่มีสิทธิ์ได้ลูกสาวของอาจารย์แล้วยังถูกลงโทษอย่างหนักด้วย ครบ 7 วัน อาจารย์ก็เรียกศิษย์มาพร้อมกันแล้วตรวจดูสิ่งของว่าใครขโมยอะไรมาได้บ้าง ทุกคนมีของมาให้อาจารย์ตามเงื่อนไขของอาจารย์ แต่มีลูกศิษย์คนหนึ่งไม่มีอะไรมาส่งอาจารย์เลย อาจารย์จึงถามว่า อาจารย์ใช้ทําไมไม่ทํา ศิษย์คนนั้นตอบว่า ตั้งแต่ตนเองมาอยู่กับอาจารย์ ไม่เคยขัดคําสั่งของอาจารย์เลย แต่ครั้งนี้ทําไม่ได้จริง เพราะเป็นการทําชั่วถึงแม้คนอื่นจะไม่รู้แต่ตัวเองรู้อยู่แก่ใจ และอาจารย์ก็สอนว่าอย่าทําความชั่วทั้งที่ลับและที่แจ้ง ถ้าอาจารย์จะลงโทษที่ตนเองขัดคําสั่งก็ยอม อาจารย์จึงรู้ว่าศิษย์คนนี้เป็นคนดีมีคุณธรรมอย่างแท้จริง จึงยกลูกสาวให้และบอกให้ศิษย์คนอื่น ๆ ทุกคนเอาของที่ลักมาไปคืนเจ้าของเขาด้วย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
การเล่นจาโต พระเจ้าซิยงนั้น เป็นกษัตริย์ที่มีหน้าตาคล้ายหนุมานเรียกกันว่า "บาเต๊าะ" คือ มีเขี้ยว มีหาง เดิมพระเจ้าบันนังซาเร็งมีธิดาองค์หนึ่ง พระองค์ได้ประกาศว่า ถ้าใครสามารถขึ้นต้นซาเร็งได้สูงสุดจะยกธิดาให้ ต้นซาเร็งนี้สูงมาก คนธรรมดาไม่สามารถขึ้นได้ แต่พระเจ้าซิยงสามารถขึ้นได้ จึงได้แต่งงานกับธิดาของพระเจ้าบันนังซาเร็ง และได้เป็นกษัตริย์ครองเมือง พระเจ้าซิยงนั้น ไม่ยอมให้ใครเห็นหน้าจึงสร้างที่พักอยู่สูง ชอบกินตับแพะ เมื่อไม่มีแพะก็ให้ราษฎรนําเด็กมาถวายวันละ 1 คน จนราษฎรเหลือน้อยลงทุกวันๆ อํามาตย์จึงคิดว่าจะทําอย่างไรที่จะไม่ให้พระเจ้าซิยงกินมนุษย์อีกต่อไป ในที่สุดก็คิดเล่นหมากรุกขึ้น ขณะที่อํามาตย์เล่นจาโต (หมากรุก) กันอยู่นั้น พระเจ้าซิยงก็นั่งดูอยู่ด้วย เมื่อเล่นไปปรากฎว่าฝ่ายตรงข้ามกับอํามาตย์ขนะ ฝ่ายอํามาตย์เหลือแต่ขุน (คือ กษัตริย์) จึงจนมุมไม่สามารถแก้ปัญหาได้ พระเจ้าซิยงจึงได้ความคิดว่า "ถ้าเรากินราษฎรหมด แล้วจะไปรบกับศัตรูได้อย่างไร" พระเจ้าซิยงจึงเกิดความรักราษฎร ไม่กินราษฎรอีกต่อไป และได้ปกครองบ้านเมืองอย่างเป็นสุข
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
กิน นอน โกหก มีมานพน้อย 3 คน ชื่อ นายแก้ว นายทอง และนายสุข สําเร็จการศึกษาจากสํานักตักศิลา คนแรกสําเร็จวิชากิน คนที่สองสําเร็จวิชานอน และคนที่สามสําเร็จวิชาโกหก เมื่อกลับถึงบ้านเมืองตนก็หวังที่จะได้ใช้วิชาการที่ตนได้ร่ําเรียนมาให้เป็นประโยชน์กับตนเองและสังคม จึงพากันเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเผื่อโชคดีจะได้ถวายตัวเข้ารับใช้ในราชสํานัก ทั้งสามคนเดินทางไปพักแรมอยู่ ณ ศาลาหน้าวังหลวง เมื่อความทราบถึงพระกรรณของพระราชา จึงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเพื่อสอบถามวัตถุประสงค์ของการมาพักอยู่ของบุคคลทั้งสาม เมื่อทรงทราบแล้วจึงให้เจ้าหน้าที่ทดสอบความรู้ตามรายวิชาที่แต่ละคนได้ศึกษามา คนแรกให้ทายรสอาหารที่พระองค์ทรงรับสั่งให้ปรุงโดยลดเกลือเท่าปลายข้าวสาร เขาเพียงหยิบอาหารแตะปลายลิ้นก็ทายถูก คนที่สองให้ทายความสมบูรณ์ปลอดภัยของฟูกบรรทม โดยที่พระราชารับสั่งให้เอาเข็มกลัดติดไว้ข้างในเขาเพียงใช้มือกดไปโดยรอบก็รู้ว่าเป็นฟูกที่ไม่ปลอดภัย พระราชาเห็นความสามารถก็รับบุคคลทั้งสองเข้ารับราชการในราชสํานัก เหลือนายสุขมานพคนที่สามผู้เรียนจบวิชาโกหก พระองค์รับสั่งว่า ในเมืองนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งสามีตายเมื่อแต่งงานได้ 5 วัน เหตุที่ยึดมั่นในความรักเดียวใจเดียว จึงตัดใจออกถือบวชเป็นชีพร้อมกับเก็บกระดูกสามีบรรจุหม้อติดมือไปด้วยถือธุดงควัตรปฎิบัติอยู่ตามป่าช้า ถ้าเจ้ามีความสามารถใช้วิชาการของเจ้าทําให้นางสู่เพศปกติได้ เรายินดีรับเจ้าเป็นมหาดเล็ก เขารับไปปฏิบัติตามพระราชประสงค์แต่ขอพระราชทานกระดูกควายแห้งหนึ่งหม้อกับเครื่องแต่งกายตาสําหรุด (ชุดนุ่งขาวห่มขาว) หนึ่งชุด เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็รีบไปดําเนินการทันที เขาแต่งการด้วยชุดตาสําหรุด หิ้วหม้อกระดูกควายแห้งเข้าป่าช้าที่นางชีพํานักอยู่ แสร้งทําเป็นอาลัยอาวรณ์ถึงเจ้าของกระดูกในหม้อ พร้อมกับพร่ําบ่นให้นางได้ยินและเข้าใจว่าคนที่เขาอาลัยรักนั้นคือภรรยาสุดที่รักของเขาเอง จากนั้นก็เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของนางจนรู้แน่แล้วว่ามีความอาลัยอาวรณ์อยุ่กับกระดูกสามีเป็นอย่างยิ่ง หากทําลายเรื่องนี้ได้ทุกอย่างสําเร็จ ครั้นแล้วคืนหนึ่งเขาแอบเข้าไปขโมยกระดูกสามีของนางไป บรรจุไว้ในหม้อกระดูกควายของตน ฝ่ายนางชีตื่นเช้าเข้ากราบไหว้กระดูกสามีตามปกติแต่ไม่มีกระดูกในหม้อ คิดทบทวนแล้วก็ตัดสินใจออกไปถามตาสําหรุด เขาตอบไม่รู้ไม่ชี้แต่ก็ทําทีเที่ยวค้นหาดู สักครู่ก็ร้องอุทานออกมาว่า "เสียแรงๆ ที่ไว้ใจอาลัยรักที่แท้เจ้าไม่ได้รักเราจริง ตายไปแล้วยังริคบชู้สู่ชาย" พลางเรียกให้นางชีมาดูกระดูกในหม้อตน ซึ่งปะปนอยู่กับกระดูกสามีนางชีเห็นเช่นนั้นมิทันคิดก็เชื่อสนิทว่า จริงของเขา เราเองก็เสียแรงรัก ทั้งสองช่วยกันจับหม้อกระดูกโยนทิ้งลงแม่น้ําไป แล้วชวนกันออกจากป่าช้าและลาเพศนักบวช เมื่อพระราขาทรงทราบความสามารถของเขาก็รับสั่งให้เขารับตําแหน่งทันที
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เกาะสี่เกาะห้า นานมาแล้วที่บ้านคูขุด อําเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา มีตายายสองผัวเมียกับบุตรสาว อาศัยอยู่ครอบครัวหนึ่ง ผัวชื่อว่า ตาสา เมียชื่อว่า ยายโส บุตรสาวชื่อว่า นางหัวมวย อยู่มาวันหนึ่งมีพ่อค้าสําเภาจีนได้เดินทางผ่านมาพบนางหัวมวยก็เกิดความรักใคร่กัน นายสําเภาจึงสู่ขอนางหัวมวยจากยายโส เมื่อต่างฝ่ายตกลงกันทั้ง 2 ก็ได้แต่งงานกัน แล้วพากันไปอยู่ที่บ้านนายสําเภาที่เมืองจีน อยู่ด้วยกันเป็นเวลาหลายปี นางหัวมวยก็คิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน ทั้งสองจึงเดินทางโดยเรือสําเภาจีนมายังบ้านคูขุด ระหว่างทางเรือแล่นมาค่ําลงที่เกาะแห่งหนึ่ง เรียกเกาะนี้ว่า "เกาะนางค่ํา" ต่อมาเพี้ยนเป็นเกาะนางคํา ทั้ง 2 ได้นอนพักอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่ง เรียกเกาะนั้นว่า "เกาะบรรทม" ต่อมาเพี้ยนเป็นเกาะทม (เกาะทั้งสองอยู่ในทะเลสาปสงขลา) พอรุ่งขึ้นนายสําเภาก็แล่นเรือต่อไปจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง จึงนําเรือเข้าเทียบท่า เรียกสถานที่นั้นว่า "บ้านสําเภา" หรือ "บ้านท่าสําเภา" ฝ่ายยายโสตาสาก็ได้ทราบข่าวว่าลูกสาวและลูกเขยมาเยี่ยม ก็ตําข้าวเม่าใส่กระสอบเตรียมไว้รับลูกสาว แต่พอลูกสาวเห็นพ่อแม่แต่งตัวรุ่มร่าม นางหัวมวยเกิดความละอายผัว จึงทําทีไม่รู้จักพ่อแม่ของตน สั่งให้นายสําเภาออกเรือจากท่า ตายายทั้งสองมีความเสียใจและแค้นลูกสาวมาก ได้เทข้าวเม่าลงริมทะเลหน้าบ้านคูขุด ข้าวเม่ากลายเป็นดิน เรียกว่า "ดินข้าวเม่า" หรือ "เม่าดินสอ" หลังจากนั้นตายายจึงตรอมใจตายกลายเป็นธาตุหิน คือ "เกาะยายโส-ตาสา" แต่ก่อนตายได้สาปแช่งไว้ว่า ขอให้เรือที่แล่นไปกลางทะเลพบกับพายุจมลง นายสําเภากับนางหัวมวยแล่นเรือไปได้ไม่นาน ก็ถูกพายุพัดเรือจมกลางทะเลทั้ง 2 ถึงแก่ความตาย สมบัติข้าวของต่างๆ จมน้ํากระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ จนกลายเป็นธาตุหิน กลายเป็นเกาะต่างๆ ได้แก่ นายสําเภา กลายเป็น เกาะหน้าเทวดา , นางหัวมวย กลายเป็น เกาะหัวมวย , เรือสําเภา กลายเป็น เกาะท้ายถ้ําดํา , กันตัง กลายเป็น เกาะกันตัง , เข็ม กลายเป็น เกาะเข็ม , เล้าไก่ กลายเป็น เกาะร้านไก่ , ป้อย กลายเป็น เกาะป้อย , แก้ว กลายเป็น เกาะแก้ว , กระ กลายเป็น เกาะกระ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เกาะหนูเกาะแมว นานมาแล้วมีพ่อค้าจีนคนหนึ่งคุมเรือสําเภาเดินทางค้าขายแถบชายทะเลจากเมืองจีนมาถึงเมืองสงขลา เมื่อขายสินค้าจนหมดแล้วก็จะซื้อสินค้าจากสงขลาบรรทุกสําเภากลับไปขายเมืองจีน ปฏิบัติอยู่เช่นนี้เป็นเนืองนิจ วันหนึ่งเมื่อขายสินค้าหมดแล้วก็เข้าเมืองสงขลา เพื่อซื้อสินค้ากลับไปขายเมืองจีน ระหว่างที่เดินซื้อสินค้าอยู่นั้นพ่อค้าได้เห็นหมากับแมวคู่หนึ่งมีรูปร่างหน้าตาน่าเอ็นดู จึงขอซื้อหมากับแมวคู่นั้นเอาลงเรือไปด้วย ฝ่ายหมากับแมวเมื่อลงไปอยู่ในเรือนานๆ ก็เกิดความเบื่อหน่าย และอยากจะกลับไปอยู่ที่บ้านสงขลา จึงปรึกษากันหาวิธีการที่จะกลับบ้าน หมาได้บอกกับแมวว่าพ่อค้าเรือสําเภานั้นมีแก้ววิเศษสําหรับกันจมน้ํา หากใครได้ไว้จะว่ายน้ําไปไหนก็ไม่จม แมวจึงคิดอุบายที่จะได้แก้ววิเศษนั้นโดยไปข่มขู่หนูให้ขโมยแก้ววิเศษของพ่อค้ามาให้ โดยที่หนูขอหนีขึ้นฝั่งไปด้วย ครั้นเรือเดินทางมาถึงเมืองสงขลาอีกครั้งหนึ่ง หนูก็ลอบเข้าไปลักเอาดวงแก้วของพ่อค้ามา โดยอมเอาไว้ในปาก แล้วทั้งสามหนีลงจากเรือว่ายน้ําจะไปขึ้นที่ฝั่งหน้าเมืองสงขลา ขณะที่ว่ายน้ํามาด้วยกัน หนูซึ่งว่ายน้ํานําอยู่ข้างหน้า ก็นึกขึ้นได้ว่าดวงแก้วที่ตนเอาไว้ในปากนั้นมีค่ามหาศาล เมื่อถึงฝั่งหมากับแมวก็คงจะแย่งกันเอาไป จึงคิดจะหนีหมากับแมวขึ้นฝั่งไปตามลําพัง จะได้ครอบครองดวงแก้วเป็นสมบัติของตนตลอดไปแต่แมวซึ่งว่ายน้ําตามหลังหนูมาก็คิดอย่างเดียวกันกับที่หนูคิด ก็ว่ายน้ําตรงรี่เข้าไปหาหนู ฝ่ายหนูเห็นแมวตรงเข้ามาก็ตกใจนึกว่าแมวเข้ามาจะตะปบจึงว่ายน้ําหนีสุดแรง และไม่ทันระวังตัวดวงแก้ววิเศษที่อมไว้ในปากก็ตกลงจมหายไปในน้ํา เมื่อดวงแก้วจมน้ําไปแล้วทั้งหนูและแมวต่างก็หมดแรงไม่อาจจะว่ายน้ําต่อไปได้ สัตว์ทั้งสองจึงจมน้ําตายกลายเป็นเกาะหนู เกาะแมว อยู่ที่อ่าวหน้าเมืองสงขลา ส่วนหมาก็ตะเกียกตะกายว่ายน้ําไปจนถึงฝั่ง ด้วยความเหน็ดเหนื่อยหมาถึงขาดใจตายกลายเป็นหินเรียกว่า เขาตังกวน อยู่ริมอ่าวสงขลา ส่วนดวงแก้ววิเศษที่หล่นจากปากของหนู ก็แตกแหลกละเอียดเป็นหาดทรายเรียกกันว่า หาดทรายแก้ว อยู่ทางด้านเหนือของแหลมสนยื่นออกไปในอ่าวสงขลา จังหวัดสงขลา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
คนทีดํา เรื่องคนทีดํา : กาลครั้งหนึ่งมีชายหนุ่ม 3 คน ขึ้นไปตัดไม้บนเขาชัยสน ได้ตั้งทับอยู่บนเขา เพราะตัดไม้เป็นเวลาหลายวัน การตัดไม้จะผลัดเปลี่ยนเวรกันออกไปตัดครั้งละ 2 คน อีกหนึ่งคนเฝ้าทับคอยหุงหาอาหารไว้ให้เพื่อนทั้งสองอยู่มาวันหนึ่งชายหนุ่มผู้เฝ้าทับได้หุงข้าวขึ้นหม้อหนึ่ง ในขณะที่ข้าวกําลังเดือดอยู่นั้นชายหนุ่มได้ตัดไม้ชนิดหนึ่งใช้เป็นไม้กวนข้าว ปรากฏว่าเกิดเหตุอัศจรรย์ข้าวที่หุงกลายเป็นสีดําหมดเพราะไม้ที่กวนนั้นเป็นไม้คนที เมื่อเพื่อนทั้ง 2 กลับมาเห็นข้าวมีสีดําก็ไม่กล้ารับประทานเข้าใจว่าเพื่อนอีกคนหนึ่งคิดจะวางยาพาพวกตน จึงบังคับให้ชายหนุ่มผู้เฝ้าทับกินข้าวจนหมดหม้อ ชายหนุ่มก็เกิดมีพละกําลังมหาศาลสามารถถอนต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ได้ ขณะนั้นมีเมืองหนึ่งว่างกษัตริย์ลง และข้าศึกกําลังล้อมเมืองอยู่ด้วย พวกขุนนางและเสนาทั้งหลายได้ปรึกษากันแล้วออกประกาศหาคนดีมีฝีมือปราบศึก ถ้าชนะจะยกพระราชธิดาและเมืองให้ปกครอง ชายหนุ่มผู้มีพละกําลังก็รับอาสาปราบข้าศึกด้วยตนเองจนชนะได้อภิเษกกับพระราชธิดาและปกครองบ้านเมืองต่อมา คนทั่วไปเรียกว่า "พระยาแกรก"
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
คนธรรพ์ วันหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งขึ้นไปตัดไม้บนเขาชัยสน เพื่อนําไปขายในเมือง ปรากฎว่าชายหนุ่มเกิดหลงทางหาทางลงจากเขาไม่ได้ จนกระทั่งใกล้ค่ําจึงได้พบคนธรรพ์ซึ่งอาศัยอยู่บนเขานั้น คนธรรพ์ให้ชี้แนะทางให้ชายหนุ่มกลับลงไปจากเขา แต่ก่อนจากกันคนธรรพ์ได้มอบหัวขมิ้นจํานวนมากให้ชายหนุ่มใส่ย่ามสะพายลงจากเขา แต่เนื่องจากชายหนุ่มต้องแบกไม้ฟืนซึ่งมีน้ําหนักมากอยู่แล้ว จึงคิดว่าไม่จําเป็นต้องต้องสะพายหัวขมิ้นให้หนักอีก และที่บ้านก็มีอยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงทิ้งหัวขมิ้นไว้บนเขา นําติดตัวไปเพียงหัวเดียว เมื่อถึงบ้านชายหนุ่มได้หยิบเอาหัวขมิ้นออกมาดูปรากฎว่าหัวขมิ้นนั้นกลายป็นทองคํา ชายหนุ่มจึงกลับมาด้วยความผิดหวัง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ปลาเงินปลาทอง เล่ากันว่าที่ถ้ําน้ําร้อนที่เชิงเขาด้านทิศตะวันออก มีน้ําร้อนไหลออกมาจากถ้ําภายใต้เขาชัยสน ภายในถ้ํานั้นเมื่อตรงกับวันธรรมสวนะหรือวันพระ จะมีปลาเงินและปลาทองออกมาแหวกว่ายอยู่ในแอ่งน้ําร้อน เพื่อให้ประชาชนได้ชม อยู่มาวันหนึ่งตรงกับวันพระได้มีข้าหลวง (ข้าราชการ) มาจากในเมืองได้เห็นปลาเงินปลาทองแหวกว่ายในน้ําร้อน จึงจับเอาปลาทองไป ส่วนปลาเงินนั้นได้ว่ายหนีเข้าไปในถ้ํา ตั้งแต่นั้นมาประชาชนก็ไม่เคยเห็นปลาเงินออกจากถ้ํามาแหวกว่ายให้เห็นอีกเลย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เขาปู่เขาย่า ในสมัยก่อนมีคนเพียงสองคนอยู่กินด้วยกัน คือ ปู่กับย่า อาศัยอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ ต่อมามีลูกด้วยกัน 5 คน คือ โต๊ะบุญ แต่เป็นมุสลิมพูดภาษาไทยไม่ได้ คนที่ 2 ชื่อ ป้าเจ้ เป็นมุสลิม คนที่ 3 ชื่อ ป้าแหร้ เป็นมุสลิม คนที่ 4 ชื่อ ไชยบุรี คนนี้เป็นคนไทยพุทธ สามารถพูดจากับพ่อแม่รู้เรื่อง คนที่ 5 ชื่อ ญาโฮ้ง คนนี้เป็นคนจีนพูดภาษาไทยไม่ได้ พ่อแม่จึงมีลูกพูดถึง 3 ภาษา คือ ไทย จีน มลายู เกิดความหนักใจเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง ปู่กับย่าเลยหนีไปอยู่ที่ปัตตานี ลูกเกิดความคิดถึงก็ชวนกันออกติดตามผ่านเมืองสงขลาจนไปพบปู่และย่า ปู่และย่าทนคําอ้อนวอนของลูกไม่ได้ก็กลับมาอยู่ที่เดิม ฝ่ายโต๊ะบุญ ป้าเจ้ ป้าแหร้ ญาโฮ้ง ปรึกษากันว่า พวกเขาทั้ง 4 คนพูดจากับพ่อแม่ไม่รู้เรื่องเลยมอบสมบัติให้ไชยบุรี แล้วพากันไปอยู่ที่อื่น ต่อมาไชยบุรีได้ครองเมือง เรียกว่า เมืองไชยบุรี เมื่อบุคคลทั้งหมดถึงแก่กรรมแล้วก็กลายเป็นธาตุหิน คือ เขาปู่เขาย่า เขาป้าแหร้ อยู่ในท้องที่อําเภอศรีบรรพต เขาชัยบุรี (เขาเมือง) เขาป้าเจ้ เขาโต๊ะบุญ อยู่ในท้องที่อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เขาพญาโฮ้ง อยู่ในอําเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
คนพาซื่อ ชายคนหนึ่งเป็นคนที่ซื่อตรงมาก วันหนึ่งแกไปเที่ยวป่าพบเสือตัวหนึ่งกําลังติดกรงนายพรานอยู่ เสืออ้อนวอนให้แกช่วยเปิดประตูกรงให้มันออกมาด้วย โดยเสือให้สัญญาว่าจะไม่กินชายคนนั้น แต่เมื่อชายคนนั้นเปิดประตูกรงให้เสือออกมาแล้วเสือก็จะกินชายคนนั้น โดยอ้างว่าเป็นธรรมชาติที่เสือต้องกินมนุษย์ เสือจึงอนุญาตให้ชายคนนั้นไปถามอะไรก็ได้สัก 3 สิ่งแต่อย่าถามมนุษย์ด้วยกัน ว่าเสือควรจะกินชายคนนั้นหรือไม่ ถ้าทั้ง 3 สิ่งตอบว่าควรกินก็ให้ชายคนนั้นกลับมาให้เสือกิน ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดตอบว่าไม่ควรกินเสือก็จะไม่กินชายคนนั้น ชายคนนั้นจึงเดินทางไปถามตามเงื่อนไขนั้น โดยไปถามควาย ต้นม่วง และทางเดิน ตามลําดับ แต่ละสิ่งที่พรรณาให้เห็นความชั่วร้ายของมนุษย์ และสรุปตรงกันว่าเสือควรกินมนุษย์ ชายคนนั้นจึงเดินคอตกกลับมาให้เสือกิน ระหว่างทางได้พบกับลิงเจ้าปัญญาตัวหนึ่ง ลิงตัวนั้นถามความชายคนนั้นจนรู้เรื่องราว แล้วจึงขอร่วมเดินทางมาพบกับเสือด้วย เมื่อมาถึงที่เสืออยู่ ลิงก็ร้องขอไม่ให้เสือกินชายคนนั้น แล้วถามเสือว่าตัวเองสงสัยมากว่า เสือเข้าไปอยู่ในกรงนั้นได้อย่างไร เสืออธิบายเท่าไหร่ๆ ลิงก็ไม่เข้าใจ ในที่สุดเสอืก็ลองเข้าไปอยู่ในกรงให้ลิงดู ลิงได้โอกาสก็รีบปิดกรงทันที ชายคนนั้นก็รอดตาย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เจ้าชายกบ กาลครั้งหนึ่งยังมีผัวเมียคู่หนึ่ง อยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ไม่มีลูก จนทั้งสองย่างเข้าสู่วัยชราก็คิดอยากมีลูกไว้สืบสกุล จึงได้ไปบนบานต่อพระเจ้าขอให้ประทานลูกสักคน จะเป็นกบ ปลา ช้าง ม้า ก็ตาม ก็ขอเป็นลูกของเขา หลังจากนั้นไม่นาน ภรรยาก็ตั้งท้องและคลอดลูกออกมาเป็นกบ ลูกกบโตวันโตคืนจนเป็นหนุ่ม ได้ช่วยพ่อแม่ทํางานจนมีฐานะดีขึ้น อยู่มาวันหนึ่ง กบหนุ่มได้ยินข่าวจากชาวบ้านว่า กษัตริย์ที่ปกครองเมืองนี้มีพระธิดา 3 องค์ พระธิดาทั้ง 3 เป็นที่หมายปองของเจ้าชายเมืองต่างๆ กบหนุ่มจึงบอกให้พ่อแม่ไปสู่ขอธิดาให้กับตน เมื่อพ่อแม่ไปสู่ขอปรากฏว่าธิดาทั้ง 2 องค์ไม่ตกลงแต่องค์เล็กตกลง แต่เจ้าเมืองมีข้อตกลงว่า กบจะต้องสร้างพระราชวังทอง ปราสาทเงิน และปูพื้นด้วยเพชรนิลจินดา จึงจะยินยอมยกให้กบ กบหนุ่มกลับมาบ้านได้เนรมิตพระราชวังและปราสาทเงินตามที่เจ้าเมืองต้องการ เจ้าเมืองจึงต้องจัดพิธีอภิเษกให้กับเจ้าหญิงองค์เล็ก ในเวลากลางคืนกบนอนอยู่ข้างเตียง ส่วนเจ้าหญิงนอนอยู่บนเตียง หลายวันต่อมาเจ้าหญิงเห็นผิดสังเกตว่าสามีเป็นกบไม่ใช่กบธรรมดา จึงแอบดูปรากฏว่ามีเจ้าชายรูปงามพร้อมแสงสีเป็นประกายวูบวาบออกมาจากตัวกบ เมื่อเจ้าชายเดินไปอาบน้ํา เจ้าหญิงเห็นเช่นนั้นก็วิ่งไปเอาร่างกบมาเผาทันที เมื่อเจ้าชายกลับมาเข้าร่างกบ พบว่าถูกเผาไปแล้ว ก็รู้สึกเสียใจ จึงหนีนางไป เจ้าหญิงออกติดตามหาเจ้าชายในป่า ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เจ้าชายทราบข่าวเกิดความรักสงสาร เลยติดตามหาเจ้าหญิง แล้วทั้งสองก็เดินทางกลับบ้านเมืองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เจ้าชายปัญญา มีเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ในเมืองนี้มีเศรษฐีคนหนึ่ง มีลูกชายชื่อ อับดุลรอมัน เศรษฐีคนนี้ได้ส่งลูกชายไปเรียนจนมีความรู้สูงและจบการศึกษา อับดุลรอมันไม่ยอมกลับมาอยู่ที่บ้าน เขาสละทรัพย์สมบัติที่พ่อให้กับพี่ชาย เขาได้เดินทางเร่ร่อนไปตามประสาคนหนุ่ม โดยอาศัยวิชาความรู้ที่เรียนมาเป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพ จนในที่สุดเขาได้ไปชอบลูกสาวเจ้าเมืองๆ หนึ่ง เขาจําเป็นต้องมาขอร้องให้พ่อไปขอธิดาเจ้าเมืองให้กับเขา ฝ่ายเจ้าเมืองไม่พอใจที่จะยกธิดาให้แก่อับดุลรอมันเพราะเศรษฐีเป็นชาวเมืองธรมดา ไม่มียศตําแหน่ง แต่ก็ขัดไม่ได้เพราะเศรษฐีคนนี้มีอํานาจเท่าเทียมกับเจ้าเมืองทั่วไป เจ้าเมืองจึงยอมยกธิดาให้กับเศรษฐี แต่มีข้อตกลง 2 อย่าง ข้อหนึ่ง เมื่อแต่งงานกันแล้วจะต้องได้ลูกภายใน 2 ปี ข้อสองเมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายชายจะต้องไม่อยู่กับธิดาในเมือง จะต้องแยกกันอยู่ โดยให้อับดุลรอมันไปอยู่เกาะให้ครบ 2 ปี เมื่อครบ 2 ปี แล้ว ธิดาไม่มีโอรส อับดุลรอมันจะต้องสังเวยชีวิต อับดุลรอมันตอบตกลง และยอมไปอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง แต่อับดุลรอมันร้องขอให้เจ้าเมืองอนุญาตให้เขาส่งดอกไม้ ซึ่งทําด้วยเงินด้วยทอง ส่งให้กับธิดาทุกๆ เดือน เจ้าเมืองตกลง หนึ่งเดือนผ่านไปก็มีดอกไม้ส่งมาถึงราชธิดา พอถึงเดือนที่ 2 ดอกไม้ที่ส่งมาดอกโตกว่าเดิม และเดือนต่อมาดอกไม้ก็โตขึ้นเรื่อยๆ จนเดือนที่สิบ ดอกไม้มีขนาดใหญ่ คนสามารถลงไปอยู่ในดอกไม้ได้แล้ว อับดุลรอมันเข้าไปซ่อนอยู่ในดอกไม้แล้วส่งไปให้ราชธิดา เมื่อครบ 2 ปี ธิดาได้คลอดลูก เจ้าเมืองทราบข่าว พอใจในความเฉลียวฉลาดของอับดุลรอมัน และยินยอมให้อับดุลรอมันอยู่กับธิดาและลูกในเมืองในเมืองต่อไป
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ค่อยโถเอาใหม่ ยังมีชายหนุ่มผู้หนึ่งได้รับขวานเล่มหนึ่งเป็นมรดกจากปู่ เขาจึงรักลูกขวานเล่มนี้มาก ทะนุถนอมเป็นอย่างดียิ่ง ลับทุกวันจนคมกริบ แล้วเช็ดด้วยผ้าชโลมน้ํามัน จนเป็นเงาวาววับใช้ส่องดูใบหน้าแทนกระจกได้ เมื่อชายหนุ่มผู้นี้แต่งงานได้ขอร้องภรรยาว่า ลูกขวานเล่มนี้คือชีวิตของเขา อย่าพึ่งจับต้องก่อนไปประกอบกิจการงานใดๆ ลับแล้วลองโกนไรผมดู เห็นว่าคมกริบก็เช็ดด้วยผ้าชโลมน้ํามันเหมือนเคยปฏิบัติมาทุกวันและเก็บไว้เหนือหัวนอน ผ่านมาหลายวัน ถึงฤดูตําข้าวเม่า ภรรยาเห็นสามีไม่อยู่ จึงไปเอาขวานมาสับฟันไม้ไผ่ เพื่อทําไม้โยงเม่า เพราะขวานคมกริบเกินไป ทําให้คมขวานแหว่งไปหลายแห่ง ภรรยตกใจมากรีบนําขวานไปวางไว้ ณ ที่เดิม โชคดีสามีกลับบ้านค่ํามืดแล้ว หลังจากอาบน้ํารับประทานอาหารแล้ว ภรรยาชวนนั่งคุยที่ระเบียงบ้านแกล้งปล่อยเนื้อปล่อยตัวเพื่อล่อให้สามีเกิดอารมณ์ทางเพศ สามีบอกให้ดับไต้ ภรรยาก็พูดขึ้นเบาๆว่า “พี่ พี่ วันนี้ฉานเอาลูกขวานไปเหลาไม้ไผ่ทําไม้โยงเม่า ขวานแหว่งไปหลายแห่ง” ฝ่ายสามีกําลังอารมณ์สนุก ตอบว่า “ไม่ปรือ ไม่ปรือ ค่อยโถเอาใหม่”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
งูกายสิทธิ์ ตากับยายยากจนมาก หากุ้งหาปลาขายเลี้ยงชีพ วันนั้นไม่ได้กุ้งปลาเลย ใช้เครื่องมือช้อนหาทีไรติดแต่ลูกงูเหลือม จึงตัดสินใจนํามาเลี้ยงไว้ เมื่องูโตขึ้นงูก็หาให้กิน ตายายไปไหนก็เตรียมทําอาหารไว้ให้ ต่อมางูนั้นเกิดพอใจลูกสาวเศรษฐีจึงวอนให้ตายายไปสู่ขอให้ ตายายทนอ้อนวอนไม่ไหวจึงไปสู่ขอ ถูกเศรษฐีด่าว่าและไล่กลับมา ต่อมางูเกิดพอใจลูกสาวเจ้าเมืองอ้อนวอนให้ตายายไปสู่ขอให้อีก เจ้าเมืองไม่ให้ แต่ภริยาเจ้าเมืองว่า “เป็นป่าไม้ไม่ให้ถาง เป็นทางไม่ให้เขาเดิน” จึงตอบไม่ขัดข้องแต่เรียกสินสอนพิสดาร คือให้ทอดสะพานเงินสะพานทองตั้งแต่บ้านของตายายมาจนถึงวัง ตายายกลับไปบอกงู งูก็เนรมิตตามต้องการ เจ้าเมืองยังเกี่ยงโดยเรียกสินสอดทองหมั้นเป็นเพชรนิลจินดา 7 พาน ในที่สุดงูก้หามาได้ เจ้าเมืองอ้างว่าธิดาของตนไปอยู่ที่บ้านตายายไม่ได้ จะต้องสร้างปราสาทให้เหมือนของเจ้าเมือง งูก็เนรมิตขึ้นได้ในที่สุด เจ้าเมืองจําต้องยอมให้แต่งงานกันเพราะรู้ว่าเป็นงูกายสิทธิ์ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเจริญขึ้น จนรู้ถึงเศรษฐีว่างูนั้นที่แท้เป็นผู้มีบุญญาธิการ ก็อิจฉา ลูกสาวก็รบเร้าให้เศรษฐี จ้างให้หมองูไปจับงูมาให้อยู่กินกับลูกสาว ในที่สุดงูเหลือมก็กัดกินลูกสาวเสีย วิญญาณของลูกสาวก็ยังคอยตามอาฆาตหลอกหลอนธิดาของเจ้าเมืองด้วยความอิจฉาและผูกพยาบาทไม่สิ้นสุด
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
งูเหลือมคายพิษ วันหนึ่งมีไชชายผู้หนึ่งชื่อ “ไอ้ดําไม่ตาย” ตามที่จริงแล้วชื่อจริงๆ ของมันคือ “ดํา” คําว่า “ไม่ตาย” นั้น เป็นเพียงคําสร้อยคําเติมเข้าหลังชื่อเท่านั้น เพราะในสมัยก่อนยังไม่มีนามสกุลใช้กัน ถ้าใครมีพฤติกรรมเป็นคนตายยาก เช่น เคยประสบอุบัติเหตุ คือ ตกน้ําตกท่า ตกต้นไม้ และควายขวิดมาหลายครั้งหลายหนแล้ว มันจึงได้สมญานามจากคนทั่วไปว่า “ไอ้ดําไม่ตาย” แต่ในวันนั้นขณะที่ไชชายดําไม่ตายกําลังเดินอยู่นั้น ความที่มันรีบร้อนมาก มันจึงไม่เห็นงูเหลือมที่นอนขวางทางอยู่ มันจึงเหยียบลงบนหลังงูอย่างเต็มที่ งูเหลือมตัวนั้นโกรธมาที่ไชชายผู้นั้นไม่ได้เกรงขามมันเลย จึงได้ฉกเข้าที่เท้าของ “ไอ้ดํา” ทําให้ไอ้ดําถึงแก่ความตายลงทันที ผู้คนจึงโจษจันกันว่า “งูกัดไอ้ดําไม่ตาย” ฝ่ายงูเหลือมเมื่อได้ยินคนพูดว่า “งูกัดไอ้ดําไม่ตาย” ก็เข้าใจผิดว่าพิษของตนเสื่อมแล้ว เพราะเคยกัดสัตว์ใหญ่อย่างช้าง เสือ หมี ฯลฯ ก็ตายมาแล้วทั้งสิ้น แต่มากัดคนตัวเล็กๆ กลับไม่ตายงูเหลือมจึงรู้สึกเสียใจมาก เมื่อคิดว่าพิษของตนเสื่อมฤทธิ์เสียแล้ว มันก็ไม่รู้ว่าจะมีไว้ทําไม งูเหลือมจึงได้คายพิษของมันลงบนใบลังตังช้างทันที จึงทําให้ใบลังตังช้างมีพิษมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อคายพิษออกมาหมดแล้ว งูเหลือมจึงใช้ให้งูเขียวเที่ยวไปประกาศให้สัตว์เลื้อยคลานและพวกมด แมลง มารับพิษที่มันคายไว้ทั่วกัน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
จระเข้กับจิ้งจก จระเข้กับจิ้งจกเป็นเกลอที่รักชอบกันมากสัญญากันว่า ถ้าจระเข้กัดผู้ใดแต่ไม่ถึงตายให้จิ้งจกช่วยกัดซ้ําให้ตายด้วย จากข้อตกลงนี้พบว่าจิ้งจกชอบเลียแผลของคนที่ถูกจระเข้กัด และชาวบ้านเชื่อกันว่า ถ้าใครถูกจระเข้กัดแล้วถูกจิ้งจกเลียแผลจะต้องตาย เมื่อใครถูกจระเข้กัดจึงต้องป้องกันจิ้งจกกันเป็นพิเศษไม่ให้มาเลียแผลได้ มีการรักษาในเรือนแพ ศาลากลางน้ํา ถ้ารักษาบนบกก็จะต้องกําจัดจิ้งจกให้หมด แล้วเอาปูนขาวโรยโคนเสาทุกต้น มิให้จิ้งจกไต่ขึ้นมาได้ ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าเมื่อจิ้งจกถูกปูนขาวหางจะขาดและตาย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
จอมคาถา ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งคิดว่าถ้าตนเป็นหมอรักษาโรคคงจะช่วยให้ฐานะร่ํารวยขึ้น เขาจึงได้ติดประกาศที่หน้าบ้านว่าเขาเป็นหมอทางไสยศาสตร์ อยู่มาวันหนึ่งมีชายคนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆ กับหมู่บ้านของหมอคนนี้ ชายคนนั้นได้ไปถางป่าในไร่ เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง เมื่อกลับมาบ้านเขาได้ขอร้องให้ชาวบ้านช่วยตามหมอมารักษา ชาวบ้านได้ไปหาหมอที่ติดประกาศไว้หน้าบ้าน ไปรักษาชายคนนั้น เมื่อชาวบ้านพาหมอไสยศาสตร์ไปที่บ้านชายคนนั้น หมอก็ทําเป็นดูอาการพลางบอกว่าอาการของชายคนนี้ถูกมนต์คาถาทางไสยศาสตร์ทําให้มีอาการปวดหัว หมอคนนั้นก็บอกว่าจะทําพิธีในคืนนี้ พอใกล้จะค่ําหมอคนนั้นก็นําไข่ไก่ไปฝังใต้ต้นมะพร้าวใกล้ๆ กับบ้านของชายที่ป่วยเพื่อจะได้อ้างว่ามีคนอิจฉากลั่นแกล้ง เมื่อหมอไปที่ต้นมะพร้าว บังเอิญบนต้นมะพร้าวมีชาวบ้านคนหนึ่งที่สงสัยกิริยาอาการของหมอคนนี้ก็แอบขึ้นไปบนต้นมะพร้าว เห็นหมอเอาไข่ไก่ฝังดินได้ต้นมะพร้าวนั้น เมื่อหมอไปแล้วชาวบ้านคนนั้นก็ลงมาจากต้นมะพร้าว หยิบไข่ไก่ออกและถ่ายอุจาระลงในหลุมแทนไข่ไก่และกลบดินไว้ พอได้เวลาที่หมอจะทําพิธีรักษา หมอคนนั้นก็จุดธูปเทียนว่ามนต์คาถาเสร็จแล้วก็ให้ผู้ช่วย 2 คน ช่วยถือคบเพลิงและเทียนเดินตามหมอคนนั้นไปจนถึงใต้ต้นมะพร้าวที่ฝังไข่ไว้ หมอก็จัดการขุดดินออกมาเพื่อจะเอาไข่ไก่ขึ้นมาแต่กลับหยิบเอาอุจาระขึ้นมา หมอคนนั้นรู้ทันทีว่าจะต้องมีคนรู้และกลั่นแกล้งแต่เขาก็ทําเป็นไม่รู้ จึงวิ่งไปที่คลองเพื่อที่จะล้างมือ พวกที่ถือเทียนกับคบเพลิงก็วิ่งตามหมอไป เพราะหมอได้สั่งไว้ว่าให้ตามทุกฝีก้าว หมอจึงพูดว่า “พอแล้ว ไม่ต้องตามแล้ว ข้าเข็ดจนตายไม่เป็นหมออีกแล้ว”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
จังไรฉิบหาย มีครอบครัวหนึ่งมีลูกมากมายและยากจน ซ้ําร้ายลูกคนเล็กผิดปกติไปจากเด็กธรรมดาตั้งแต่ออกจากท้องแม่มาก็ได้แต่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด พ่อแม่จึงคิดว่าคงเป็นตัวจังไรนําเรื่องร้ายมาสู่ครอบครัว จึงนําตัวไปถวายวัด เมื่อเจ้าอาวาสถามชื่อพ่อแม่บอกว่าชื่อ “จังไรฉิบหาย” เด็กนั้นเติบโตอยู่ในวัด แต่ก็ถูกล้อเลียนและเป็นที่รังเกียจของเพื่อนๆ เพราะทุกคนกลัวจังไรฉิบหายจะติดกายตน เขาทนต่อไปไม่ไหวจึงตัดสินใจกราบลาพระอาจารย์ไปตายเอาดาบหน้าเข้าดงบุกป่าตั้งใจว่าจะหาทางตายให้ได้ ในดงเขาได้พบกับเสือ งูใหญ่ ยักษ์ และนกอินทรีย์ สัตว์ทั้ง 5 เป็นที่รู้กันว่าดุร้ายเอาชีวิตคนมามากต่อมาก แต่เขามิได้ตายเพราะสัตว์และยักษ์ร้ายเหล่านั้น เพราะเมื่อเขาเล่าเรื่องให้ฟังว่าเขาคือตัวจังไรฉิบหาย สัตว์ร้ายและยักษ์ก็พากันหนีหมด เพราะเกรงว่าจังไรฉิบหายจะติดกายตน เขาเดินทางต่อไปเข้าสู่ชานเมืองๆ หนึ่ง ชาวเมืองโจษจันกันว่าบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามข้าศึกกําลังประชิดเมืองหลวง ทหารเสือทั้งหลายล้มตายสิ้นแล้ว พระราชากําลังออกประกาศหาตัวผู้เก่งกล้าสามารถอาสาออกสู้ศึก หากเอาชนะได้จะยกพระราชธิดาให้อภิเษกด้วย เขาคิดว่าคราวนี้คงได้ตายแน่ จึงได้ไปอาสาออกศึก แต่เมื่อข้าศึกทราบว่าเขาคือเจ้า “จังไรฉิบหาย” ต่างก็แตกกระจายหลบหนีกันไปหมดสิ้น เพราะกลัวจังไรฉิบหายจะติดกายตน เขาจึงได้อภิเษกกับเจ้าหญิงและได้ครองเมืองนั้นสืบมาต่อจากพระราชาองค์ก่อน ด้วยความสํานึกในพระคุณของอาจารย์ที่เคยชุบเลี้ยงมา จึงพาพระมเหสีไปเพื่อนมัสการ เมื่อพระอาจารย์ทราบความเป็นไปของเจ้าจังไรครั้งแรกก็ไม่เชื่อใจ คิดว่าเขาทําเรื่องจังไรอีกแล้วจึงให้เขาทดลองโดยให้ปัสสาวะรดในถาดทองวิเศษก็มีรูปราชสีห์ปรากฏขึ้นในถาด และเมื่อกรีดเลือดรดตามลงไปก็ปรากฏรูปปราสาทราชวังใหญ่โตตระการตา พระอาจารย์จึงเชื่อว่าเขาเป็นผู้มีบุญวาสนาจริง แล้วกล่าวว่า “ฐานะของมนุษย์ทั้งหลาย มิได้อยู่ที่ชาติกําเนิด แต่อยู่ที่บุญกรรม หรือโชควาสนาของเขาเหล่านั้นด้วย”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ไชชายนายปลอก ชายคนหนึงชื่อนายปลอก มีนิสัยคดโกง วันหนึ่งได้ให้เมียตําเครื่องแกงแล้วฆ่าไก่แกง โดยตัดหัวตัดตีนไก่ทิ้งหมดสับเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนายปลอกก็ชวนเพื่อเข้าป่ายิงนก พอเห็นนกก็ยิงด้วยธนูแล้วพูดว่า “ไปตายบ้านไป” ทุกครั้งที่ยิงนกนายปลอกจะพูดแบบเดียวกัน เพื่อนเกิดสงสัยถามว่า “ไซ่ละ อ้ายปลอก” ไชชายนายปลอกก็บอกเพื่อนว่า “ยิงแล้วนกไปตายบ้านเพื่อนทั้งเพ (ทั้งนั้น) แหละ” ไชชายนายปลอกนําเพื่อนมาบ้าน เมียก็ยกแกงไก่มาให้เพื่อนๆ กิน เพื่อนก็ถามว่า “นี่คั่วไหร” ไชชายนายปลอกบอกว่า “กะคั่วนกที่เรายิงแล้วใช้มาให้ตายบ้านแรกเดียวนี้แหละ” เพื่อนคนหนึ่งก็ว่า “นูหมึงวิเศษ กูขอซื้อตะ” ไชชายนายปลอกก็ขายธนูให้เพื่อนและแถมสากกะเบือให้ด้วย และบอกว่าสากอันนี้เป็นสากวิเศษ ตีคนแก่ให้สาวได้ พอกลับไปบ้านเพื่อนไชชายนายปลอกคนนั้นเห็นว่าเมียตัวเองแก่แล้วอยากให้สาว ตีเมียด้วยสากกะเบือจนเมียตายเพราะคิดว่าเป็นสากวิเศษจริงๆ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ไชชายเลือกเมีย นานมาแล้ว มียายคนหนึ่งได้สอนหลายชายไว้ว่า “ถ้าหาผู้หญิงมาทําเมีย ให้เอาลูกสาว อย่าเอาลูกแส่ ให้เอาแม่ม่าย อย่าเอาแม่แหม้” (ลูกแส่ คือหญิงที่ไม่อยู่ในโอวาทไร้คุณสมบัติแม่บ้านแม่เรือน, แม่แหม้ คือหญิงที่ขอหย่าชาย) ฝ่ายหลานชายเลือกไม่ถูกก็หาหญิง 4 คน เอาหญิงสาว 2 คน แม่ม่าย 2 คนมาทําเมีย จากนั้นก็ลองดูว่าเมียคนไหนเป็นลูกสาว เมียคนไหนเป็นลูกแส่ เมียคนไหนเป็นแม่ม่าย เมียคนไหนเป็นแม่แหม้ โดยเข้าไปขโมยห่านเจ้าพระยามา 4 ตัว เอามาขังไว้ เอาไก่ 4 ตัวมาฆ่า ตัดหัวตัดตีนออกหมด แล้วแบ่งให้เมียคนละตัว กําชับทุกคนว่าเมื่อกินห่านเจ้าพระยาที่ไปขโมยมาแล้วอย่าไปบอกใคร เดี๋ยวเขาจะถูกลงโทษ เมื่อลูกแส่กับแม่แหม้กินไก่นั้นแล้ว ก็พูดทั่วไปว่าได้กินห่านเจ้าพระยา ฝ่ายเจ้าพระยาสืบหาห่านที่หายไปจนทั่วแล้วไม่พบก็ตั้งรางวัลให้ทองคําเท่าลูกฟักกับผู้ที่มาบอกว่าใครขโมยห่านไป ลูกแส่กับลูกแหม้อยากได้ทองก็ไปบอกเจ้าพระยาว่าผัวของตัวเองเป็นคนขโมยห่านมาให้ตัวเองกิน เจ้าพระยาก็จับผัวไปเพื่อลงโทษ ชายนั้นก็บอกความจริงแก่เจ้าพระยาว่าต้องการลองใจเมีย เพื่อให้รู้ว่าคนไหนเป็นลูกสาว คนไหนเป็นลูกแส่ คนไหนเป็นแม่ม่าย คนไหนเป็นแม่แหม้ บัดนี้ก็รู้แล้วและคืนห่านให้เจ้าพระยาไป เจ้าพระยาก็ให้ทองเท่าลูกฟักแก่ชายคนนั้น ส่วนลูกแส่กับแม่แหม้ก็ถูกเจ้าพระยาลงโทษฐานที่เป็นคนไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เณรทอง เณรทองเป็นผีที่อาศัยอยู่ในอุโมงค์ภายในถ้ําใต้ควนปริง แต่ไม่มีใครรู้ว่าปากอุโมงค์อยู่ตรงไหน เมื่อตกตอนเย็นของทุกวัน เณรทองจะออกจากถ้ํากลายเป็นสามเณรมาร่วมเตะตะกร้อกับเด็กและสามเณรในวัดควนปรง ในตอนเย็นวันหนึ่งมีข้าหลวง (หมายถึงข้าราชการ) มาที่วัดได้เห็นสามเณรและเด็กวัดกําลังเตะตะกร้อกันอยู่ ได้พิจารณาเห็นว่าเป็นเณรทองที่ปลอมมา ข้าหลวงจับพร้าได้ก็วิ่งเข้าไปหมายจะฟันเณรทอง เณรทองเห็นดังนั้นก็วิ่งหนีขึ้นไปบนควนปรงหมายจะเข้าอุโมงค์ ข้าหลวงจับขาข้างหนึ่งไว้ได้ฟันด้วยพร้าขาขาด เณรทองจึงหนีรอดไปได้ แต่ขาที่ขาดตกอยู่ที่ปากอุโมงค์และได้กลายเป็นทองคํา ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ปรากฎว่าเณรทองออกจากอุโมงค์อีกเลย ชาวบ้านเชื่อกันว่าแม้ปัจจุบันนี้ภายในควนปรงยังมีทรัพย์สมบัติซ่อนอยู่มากมายโดยมีเณรทองเป็นผู้เฝ้ารักษา สําหรับที่สัดควนกรวดก็มีเรื่องเล่าทํานองเดียวกัน แต่ที่อยู่ของเณรทองนั้นอยู่ภายในอุโมงค์ใต้อุโบสถซึ่งตั้งอยู่บนควนกรวด หน้าอุโบสถมีหลักหินทรายแดงขนาดใหญ่ปักไว้เป็นเครื่องหมาย ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นปากถ้ําเข้าไปสู่ขุมทรัพย์แต่ถูกปิดตายมาตั้งแต่เณรทองถูกข้าหลวงฟันขาขาด
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ดวงอาทิตย์กับไก่ นานมาแล้วตั้งแต่สมัยที่โลกเกิดขึ้นใหม่ๆ นั้น ในสมันนั้นมีดวงอาทิตย์อยู่ถึง 10 ดวงด้วยกัน เมื่อดวงอาทิตย์ทั้งสิบขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมๆ กัน ก็ทําให้แผ่นดินร้อนระอุไปทั่วกระทั่งน้ําในแม่น้ําลําคลองก็เหือดแห้งไปหมด คน สัตว์ พืช ในโลกก็มีอันล้มตายลงไปเป็นอย่างมากมาย เมื่อทุกชีวิตในโลกได้รับความเดือดร้อนกันเช่นนั้น สัตว์โลกทุกหมู่เหล่าก็ต่างหันหน้าเข้าหากันเพื่อปรึกษาหารือกันในอันที่จะยุติความเดือดร้อน ในขณะนั้นได้มีชายหนุ่มนักแม่นธนูผู้หนึ่งรับอาสาช่วยเหลือในเรื่องราวดังกล่าว นักแม่นธนูผู้นั้นสามารถยิงธนูได้ไกลและแม่นยําที่สุดในโลกของสมัยนั้น เขาได้ยิงธนูไปยังดวงอาทิตย์ทุกเดือน เพื่อเตือนและปรามให้ทั้ง 10 ดวงลดแสงสว่างและความร้อนลงเสียบ้าง เขาได้ยิงธนูไปยังดวงอาทิตย์ทุกวันและทุกดวง เป็นเวลาถึง 10 วัน จนกระทั้งดวงอาทิตย์ทั้ง 10 ต่างพากันหวาดเกรงธนูของเขา และในที่สุดดวงอาทิตย์ก็ได้หลบหนีลี้ภัยธนูไปจากโลกเสียทั้งหมดทุกดวง เมื่อไม่มีดวงอาทิตย์ โลกก็มืดลง ทุกชีวิตต่างก็อยู่ในท่ามกลางความมืด ความหนาวเย็นก็ได้เกิดขึ้น จึงทําให้บรรดาสัตว์โลกและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ต่างก็ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสโดยทั่วหน้า นับเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงยิ่งกว่าครั้งใดๆทั้งสิ้น สัตว์โลกจึงต่างหันหน้าเข้าหากันเพื่อร่วมกันแก้ไขเภทภัยที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นอีก ได้ประชุมตกลงให้ราชสีห์ผู้เป็นเจ้าป่าแก้ไขเหตุร้ายในครั้งนั้น โดยให้ส่งเสียงร้องขึ้นไปขอร้องต่อดวงอาทิตย์ให้ช่วยส่องแสงลงมายังโลก ราชสีห์ก็ได้แผดเสียงดังกึกก้องขึ้นไปถึงดวงอาทิตย์ เสียงดัง “โฮกๆ ฮึ่มๆ ... โฮกๆ ฮึ่มๆ...” จนดวงอาทิตย์ทั้งสิบตกใจกลัวและพากันเกลียดเสียงอันหยาบกระด้างนั้น จึงไม่คิดที่จะเยี่ยมกรายเข้ามาให้เห็นอีก เมื่อราชสีห์แก้ไขไม่ได้ ต่อมาก็เป็นหน้าที่ของช้างบ้าง ช้างได้ร้องอ้อนวอนดวงอาทิตย์ด้วยเสียงอันดังว่า “ฮูม แปร๋น... ฮูม แปร๋น” ดวงอาทิตย์ทั้งหมดก็ยังคงเฉยอยู่ ต่อมาก็ตกเป็นหน้าที่ของวัว วัวได้ร้องเรียนขึ้นไปด้วยเสียงอันดังว่า “มอ มอ ฮึก มอ ฮึด มอ” เสียงของวัวก็ไม่ได้ทําให้ดวงอาทิตย์สนใจแต่อย่างใด ที่ประชุมจึงลงมติให้เปลี่ยนมาเป็นสัตว์เล็ก เช่น กบ เขียด อึ่งอ่าง หรือจิ้งหรีดดูบ้าง เพราะคิดว่าบางทีดวงอาทิตย์คิดจะสงสารสัตว์พวกนี้บ้าง แต่เมื่อทดลองแล้วก็ไม่ได้ผลอยู่เช่นเคย ทําให้บรรดาสัตว์โลกต่างวิตกกันเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ นานไปโลกก็จะถึงกาลวิบัติลงอย่างแน่นอน ขณะที่ทุกฝ่ายตกอยู่ในห้วงแห่งความวิตกกังวลนั้น ไก่ก็ได้รับอาสาทดลองดูบ้างทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีความสําคัญของไก่กันเลย แต่เมื่อต่างก็จนปัญญากันหมดเช่นนั้นแล้วต่างก็ยอมให้ไก่ร้องเรียน อ้อนวอนต่อดวงอาทิตย์ดูบ้าง ไก่จึงขันขึ้นด้วยเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ค๊อกกี้ ค้างกื๊ด... ค๊อกกี้ ค้างกื๊ด...” ซ้ําๆ กันอยู่หลายครั้งหลายหน จนกระทั่งดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งนึกชอบใจเสียงขันของไก่ จึงค่อยๆ โผล่ขึ้นมาๆ จากขอบฟ้าทางทิศตะวันออก เพื่อต้องการฟังเสียงไก่ขันเพื่อต้องการฟังเสียงไก่ขันให้ชัดเจนขึ้น จึงเป็นอันว่าไก่ได้ช่วยโลกให้พ้นจากความวิบัติไว้ในที่สุด ตั้งแต่นั้นมาดวงอาทิตย์ดวงนั้นก็จะมาเยือนโลก เมื่อเวลาที่ไก่ขันในเวลาเช้ามืดของทุกวันเสมอมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ต้นลําพูกับนิทานหิ่งห้อย นานมาแล้วมีหญิงสาวกับชายหนุ่มคู่หนึ่งรักกันมากแต่ก็มีอุปสรรคเพราะทั้งสองถูกกีดกันไม่ให้พบกัน ด้วยสาเหตุที่ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงไม่ชอบชายหนุ่มผู้นั้น อูย่มาวันหนึ่งหญิงสาวผู้นั้นได้หายไปจากบ้าน พ่อแม่เที่ยวตามหาอยุ่ 2 – 3 วัน จึงได้พบศพลูกสาวผูกคอตายที่ต้นไม้ชนิดหนึ่งริมคลองในระแวกบ้านนั้น ชายหนุ่มคนรักเมื่อทราบข่าวก็เสียใจมาก จึงได้แทงตัวตายตามคนรักไปอีกคน ก่อนจะตายได้อธิษฐานขอให้ได้อยู่ร่วมกันกับคนรักในชาติต่อไปด้วยแรงอธิษฐานจึงทําให้ทั้งสองได้อยุ่ร่วมกัน โดยฝ่ายหญิงได้เกิดเป็นต้นลําพู ฝ่ายชายได้เกิดเป็นหิ่งห้อยชอบเกาะอยู่ตามต้นลําพู ดังที่เห็นกันมาทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ตาแขนปม ชายชราคนหนึ่งชื่อตาแขนปม ปลูกกระท่อมอยู่กลางป่า ทําสวนผักเป็นอาชีพ เมื่อฤดูร้อนมาถึงพืชผักทั่วไปก็ตายสิ้น ที่ลานดินหน้ากระท่อมมีมะเขือทรงตัวอยู่ได้ไม่ยอมตายเพียงต้นเดียวและยังออกดอกออกผลให้เขากินอีกด้วย ทั้งนี้เพราะเขาเอาใจใส่ ปัสสาวะรดทั้งเช้าและเย็น ต่อมาในฤดูกาลนั้นเอง เจ้าหญิงแห่งแคว้นที่เขาอาศัยทรงประชวร และมีพระราชประสงค์แรงกล้าที่จะเสวยมะเขือ เจ้าแห่งแคว้นจึงเกณฑ์ให้บริวารออกเสาะแสวงหาผลมะเขือ หาจนทั่วก็ไม่ได้สมประสงค์ เมื่อสอบถามพนักงานผู้ใกล้ชิดก็ได้รับรายงานว่า ในเขตแคว้นนี้ไม่มีแล้ว จะมีก็เฉพาะที่กระท่อมตาแขนปมที่ปลายแดนเท่านั้น เมื่อได้มะเขือดังกล่าวมาเสวยเจ้าหญิงก็หายประชวรอย่างมหัศจรรย์และตั้งครรภ์ในเวลาต่อมาโดยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับชายใด เป็นที่แปลกพระทัยของเจ้าหญิงเองและเกิดวุ่นวายกันไปทั่ว แต่มิได้รับการลงโทษแต่ประการใด เมื่อถึงกําหนดเธอก็ให้กําเนิดทารกเป็นชาย พระราชาทรงมุ่งหมายที่จะใช้ทารกเป็นเครื่องมือในการหาตัวพระราชบุตรเขยจึงออกประกาศโดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ใดสามารถทําให้ทารกน้อยคลานเข้าหาตนได้จะยกเจ้าหญิงให้ เพราะถือว่าผู้นั้นเป็นบิดาของเด็ก มีชายมากมายเข้าไปทดลองแต่ไม่เป็นผลสําเร็จ จนต้องให้ไปตามตาแขนปมมาเข้าเฝ้า เขานําข้าวเย็นติดมือมา 1 ก้อน เมื่อมีโอกาสได้อยู่ใกล้เขาหยิบก้อนข้าวที่เตรียมไว้ขึ้นมาถือ เด็กน้อยก็คลายเข้ามาหา พระราชาก็ทรงปฏิบัติตามสัญญาคือยอมยกพระราชธิดาให้ โดยทรงหักพระราชหฤทัยว่าเป็นบุพเพสันนิวาสของบุคคลทั้งสองที่เคยครองรักกันมาแต่ชาติปางก่อน ตาแขนปมรับนางและลูกกลับไปอยู่กระท่อมตามเดิม ประกอบอาชีพตามที่ตนเคยทํา แต่ประสบปัญหามากมาย ถางป่าต้นไม้ก็กลับคืนยืนต้นขึ้นมาใหม่ ภรรยาเอาข้าวห่อไปส่งให้ ก็ถูกฝูงลิงลงมาแอบขโมยกินเสมอ จึงดักจับลิงใหญ่ได้ตัวหนึ่งหมายจะฆ่าให้ตายสมแค้น แต่ลิงก็อ้อนวอนร้องขอชีวิต โดยขอแลกกับกลองศักดิ์สิทธิ์ที่นําไปใช้ได้สารพัดนึก เขายอมรับตามคําขอของลิง นํากลองกลับมาเล่าเรื่องให้ภรรยาฟัง แล้วช่วยกันนึกถึงสิ่งที่ต้องการและตีกลองซึ่งตีได้เพียง 3 ครั้ง ครั้งแรกนึกให้ตัวเองกลายเป็นหนุ่มหล่อ ครั้งที่ 2 นึกให้มีปราสาทราชวังและข้าทาสบริวาร และครั้งที่ 3 นึกให้มีถนนตัดเข้าสู่เมืองของพ่อตาแล้วตีกลอง เขาได้สิ่งที่ปรารถนาทั้งสามประการ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ตํานานมะโย่ง รายาบือราสะครองเมืองบรือดะ ทรงมีพระราชธิดาพระนามว่า ฆานอสุรี และโอรส (ไม่ปรากฏนาม) โอรสสามารถแปลงกายเป็นสุนัขดําได้ อยู่มาวันหนึ่งพระธิดาและสุนัขดําเสด็จประพาสป่าไปพบบาเตาะ (คนป่า) ซึ่งสามารถร้องเพลงได้ไพเราะจับใจพระธิดา พระธิดาจึงขอเรียนร้องเพลงด้วย เมื่อเรียนครบเจ็ดวันจึงเสด็จกลับวัง อยู่มาไม่นานฆานอสุรีทรงครรภ์กับพระเชษฐา เป็นสาเหตุให้ทั้งสองถูกขับออกจากเมือง ต่อมารายาบือราสะรับสั่งให้ทหารไปฆ่าสุนัขดํา และรับเอาพระธิดาพร้อมทั้งพระนัดดากลับเมือง วันหนึ่งพระกุมารล้มเจ็บลง รายาสั่งให้โหรทํานายและรักษาพระนัดดา โหรให้นํากะโหลกสุนัขดํามาทําเป็นซอ และเส้นพระเกศาฆานอสุรีเป็นสายคันซอ เอ็นสุนัขดําเป็นสายซอ เมื่อประกอบเสร็จโหรจึงให้พระกุมารสีซอ ซอมีเสียงดังว่า “พ่อตายแต่แม่ยังอยู่” พระกุมารได้ยินดังนั้นก็หายเจ็บไข้ จากนั้นพระกุมารได้ลาพระมารดาไปเรียนสีซอและการร้องรํากับบาเตาะปูเตะ เสียงซอที่บาเตาะสอนนั้นมีเสียงว่า “เปาะโย่ง” พระนัดดาจึงมีนามว่าเปาะโย่งมาแต่บัดนั้น เมื่อเปาะโย่งกลับถึงเมืองบรือดะแล้วได้แสดงความสามารถถวายรายา เปาะโย่งให้คนไปตัดไม้ทําซือแระ (แกระ) ทํากือแน (กลอง) จากไม้ปูตะ (ไม้จิก) ส่วนแกระทําจากไม้ไผ่ พร้อมกับผู้สีซออีกคน เสร็จแล้วเปาะโย่งร่ายรําและร้องเพลงเป็นที่สบอารมณ์ผู้ชมอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้การแสดงประเภทนี้แพร่หลายในเวลาต่อมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ตําราหมอดู มีตําราหลวงพ่ออยู่เล่มหนึ่ง เป็นตําราที่ทายแม่นยํามากไม่ว่าของสิ่งใดของใครหาย เมื่อเปิดตําราดู ตําราก็จะทายได้ถูกต้องว่าของนั้นอยู่ไหน จึงมีคนอยากได้ตําราเล่มนี้กันมาก หลวงพ่อจึงให้ผีตนหนึ่งเป็นผู้เฝ้ารักษาตําราเล่มนี้เอาไว้ มีชายคนหนึ่งคิดจะลักตําราเล่มนี้ ผีตนนั้นเปิดตําราออกดูก็รู้ว่ามีคนจะมาลักตํารา ผีจึงปรากฏตัวหลอกหลอนชายคนนั้น ชายคนนั้นกลัวผีจึงหนีไปซ่อนอยู่บนบ้าน ผีเปิดตําราออกดูก็รู้ว่าชายคนนั้นซ่อนอยู่ที่ไหน จึงไปปรากฏตัวหลอกหลอนอีก ชายคนนั้นจึงวิ่งหนีไปหลบซ่อนในป่ากล้วย ผีเปิดตําราดูก็รู้ที่ซ่อนและตามไปหลอกหลอนอีก ชายคนนั้นจึงวิ่งหนีและลงไปหลบซ่อนอยู่ในสระ ผีเปิดตําราดูก็รู่ว่า “อ้อ...มันอยู่ในสระ” ชายคนนั้นได้ยินก็ตกใจรีบขึ้นจากสระและวิ่งหนีไปพร้อมกับคิดว่าตนเองจะหลบซ่อนที่ไหนดี จึงจะไม่ให้ตํารานี้ทายได้ถูก ในที่สุดจึงเอาก้อนดินมาโปะ เข้าบนหัว แล้วตนเองขึ้นไปอยู่บนปลายไม้ ผีก็เปิดตําราดูอีกว่าชายคนนั้นซ่อนอยู่ที่ไหน ในตํารานั้นบอกว่า “อยู่ปลายไม้ แต่ใต้ธรณี” ผีตนนั้นก็งุนงง เพราะนึกไม่ออกว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะจะอยู่ปลายไม้ใต้ธรณีได้อย่างไร เปิดตําราดูเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ตําราก็คงบอกเช่นเดิม ผีตนนั้นจึงคิดว่าตํารานี้ไม่แม่นเสียแล้ว ด้วยความโกรธจึงเผาตําราเล่มนี้ใต้ต้นไม้ต้นนั้น แล้วผีก็จากไป ชายคนนั้นเห็นผีไปแล้วจึงลงมาจากต้นไม้รีบดับไฟที่เผาตํารานั้น เอาตํารานั้นเป็นของตนเองแล้วเที่ยวไปทายให้เพื่อนๆ แต่เนื่องจากตําราถูกไฟไหม้เสียหายบางส่วนจึงทําให้ทายถูกบ้างผิดบ้าง ด้วยเหตุนี้ตําราหมอดูจึงแม่นยําบ้างไม่แม่นยําบ้าง ดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เต่ากับพระพุทธเจ้า มีเต่าตัวหนึ่งเที่ยวหากินอยู่ตามชายป่าใกล้ทุ่ง ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จออกโปรดสัตว์ได้พบเต่าตัวนั้นเข้าจึงเทศนาเรื่องบุญบาปให้ฟัง เมื่อพระพุทธเจ้าเทศนาเสร็จก็เสด็จไปโปรดพุทธมารดาในเมืองสวรรค์ เต่าขอติดตามพระพุทธเจ้าด้วยโดยคาบชายจีวรของพระพุทธเจ้าขึ้นไป ขณะที่พระพุทธเจ้าเหาะไปถึงกลางทุ่งแห่งหนึ่ง วัวตัวหนึ่งเห็นเต่าคาบชายจีวรพระพุทธเจ้าเช่นนั้นก็หัวเราะ เต่าโกรธจึงด่าแม่ลงมาโดยลืมไปว่าตนกําลังคาบจีวรพระพุทธเจ้าอยู่ เต่าตกลงมาถึงปากวัวพอดี ทําให้วัวฟันบนหักหมด เต่าเองก็กระดองร้าวมาจนทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ถ้ําคูหาสวรรค์ นานมาแล้ว มีเทวดาอยู่องค์หนึ่งถูกพระอิศวรสาปให้ลงมาเกิดเป็นความชื่อว่า “ทรพา” มีบริวารตัวเมีย 500 ตัว เหตุที่มีบริวารเป็นตัวเมียก็เนื่องมาจากพระอิศวรได้สาปไว้ว่าถ้าทรพาได้ลูกตัวผู้เมื่อใดลูกจะเป็นผู้ฆ่าบิดา เพราะฉะนั้นเมื่อนางกระบือเกิดลูกเป็นตัวผู้ ทรพาฆ่าตายหมด จึงเหลือแต่ตัวเมีย อยู่มาวันหนึ่งมีนางกระบือชื่อว่า “นางกุรํา” ท้องแก่ใกล้จะคลอด ได้หลบหนีจากฝูงไปคลอดลูกในถ้ําแห่งหนึ่งต่อมาเรียกถ้ํานั้นว่า “ถ้ํานางคลอด” ลูกที่เกิดมาเป็นตัวผู้ นางจึงฝากฝังเทวดารักษาไว้ในถ้ํานางคลอด นางกุรําเมื่อกลับไปหาทรพา ก็ได้โกหกว่าลูกที่เกิดเป็นตัวผู้ทิ้งไว้ในป่าให้เสือกินเป็นอาหารแล้ว ทรพาก็เชื่อว่าเป็นความจริง พอตกกลางคืนนางกุรําก็จะหนีจากฝูงไปให้นมลูกกิน ทําเช่นนี้อยู่จนลูกเติบใหญ่ นางกุรําจะให้ลูกของตนออกหากินอยู่บริเวณใกล้ๆ ถ้ํานางคลอด ต่อมาสถานที่นั้น เรียกว่า “บ้านทรพี” หรือ “บ้านพี” และนางกุรําได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ลูกฟัง ทําให้ลูกของนางมีความโกรธแค้นทรพามาก จึงหาโอกาสเที่ยวตามวัดรอยตีนพ่อจนเห็นว่าเท่ากันแล้ว จึงออกจากถ้ําไปท้าทรพารบกัน สถานที่นั้นเรียกว่า “บ้านท้ารบ” ต่อมาเพี้ยนเป็น “บ้านท่ารบ” ปรากฏว่าทรพาถูกลูกตัวเองชนรุน (ดัน) ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ต่อมาเรียกว่า “บ้านดอนรุน” และถูกฆ่าตาย ณ สถานที่แห่งนั้น เลือดกระจายไปทั่ว เรียกที่นั้นว่า “บ้านน้ําเลือด” ชาวบ้านทั่วไปจึงเรียกลูกของนางกุรําว่า “ทรพี” หมายถึง ผู้ฆ่าบิดาผู้มีพระคุณ ทรพีเมื่อฆ่าพ่อตายแล้วก็มีจิตกําเริบ ไปเที่ยวท้ารบกับเทวดาต่างๆ จนถึงพระอิศวร พระอิศวรจึงแนะนําให้ไปรบกับพระยาพาลี พระยาพาลีออกอุบายให้ทรพีไปรบกันในถ้ําคูหาสวรรค์ ก่อนไปรบพระยาพาลีได้สั่งสุครีพน้องชายไว้ว่า ให้ไปคอยอยู่ที่ปากถ้ํา ถ้าเห็นว่าเลือดข้นไหลออกมาเป็นเลือดของทรพีแต่ถ้าเลือดใสเป็นเลือดของพระยาพาลี ให้สุครีพนําหินปิดปากถ้ําเสีย ปรากฏว่าพระยาพาลีได้ฆ่าทรพีตายขณะเดียวกันเกิดฝนตกหนักทําให้เลือดไหลออกมาผสมกับน้ําฝนกลายเป็นเลือดใส สุครีพเข้าใจว่าพี่ชายตายแล้ว จึงนําหินปิดปากถ้ําไว้ พระยาพาลีมีความโกรธมากที่ออกจากถ้ําไม่ได้จึงตัดเอาหัวของทรพีขว้างไปที่ปากถ้ําทําให้ปากถ้ําเปิดออก หัวของทรพีกลายเป็นธาตุดินตั้งพิงอยู่ปากถ้ํา จนถึงปัจจุบันชาวบ้านังเรียกหินก้อนนั้นว่า “หัวทรพี” พระยาพาลีเมื่อกลับถึงเมืองก็ไล่สุครีพออกจากเมือง สุครีพมีความเสียใจมากก็เข้าไปนั่งร้องไห้อยู่ในถ้ําคูหาสวรรค์ จนน้ําตากลายเป็นธาตุหินขนาดใหญ่ ชาวบ้านเรียกว่า “ขี้ตาสุครีพ”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ถ้ําทองและถ้ําเปอร์งง ถ้ําเปอร์งง มีลําธารไหลลอดถ้ําออกไปสู่แม่น้ําปัตตานีตรงน้ําไหลมาบรรจบกันนี้ เป็นสถานที่สรงน้ําของพระนางปุตรี อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่พระนางปุตรีกําลังสรงน้ําอยู่นั้น พญาครุฑบินผ่านมาเกาะที่ถ้ํากะเปอร์งง เห็นพระนางปุตรีกําลังสรงน้ําก็พูดเกี้ยวหวังจะเอาพระนางปุตรีไปเป็นภรรยา พระรามซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ําทอง ได้ยินเสียงพญาครุฑเกี้ยวพระนางปุตรีเช่นนั้น จึงเงื้อตามฟันฟาดลงบนคอพญาครุฑ เลือดสาดกระเด็นพุ่งติดหน้าผาถ้ําแดงชาดจนทุกวันนี้ และสืบเนื่องที่พระรามจะต้องออกแรงยกดาบขึ้นเพื่อฟันลงบนคอพระยาครุฑ ถ้ําทองทัดทาน และรับน้ําหนักไม่ไหว ถ้ําจึงทรุดและเอนไปทางทิศตะวันตกจนทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
กระต่าย เลี้ยงง่ายโตเร็ว ในปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจกันเป็นจํานวนมาก ไม่ว่าจะเป็น หมู เป็ด ไก่ หรือ วัว ที่เพื่อนๆ เกษตรกรมักจะเลี้ยงไว้เพื่อนําผลผลิตหรือเนื้อไปขาย เพราะเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับเรามาเป็นเวลาช้านานแล้ว แต่ใครจะรู้ล่ะว่านอกจากสัตว์เศรษฐกิจที่เราคุ้นชินกันแล้วยังมีการเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงอีกชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้ผู้เพาะเลี้ยงได้หลายบาทเลยทีเดียว สัตว์ที่ว่านั้นก็คือ เจ้ากระต่ายที่มีขนปุกปุยนั้นเองครับ เพราะกระต่ายสายพันธุ์ต่างๆ ที่นิยมเลี้ยงกันในไทยเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก โดยในท้องตลาดมักจะซื้อกระต่ายเพื่อนําไปเลี้ยงเป็นสัตว์สวยงาม และยังรับซื้อไว้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ในการเพาะเลี้ยงพันธุ์กระต่ายอีกด้วย ที่สําคัญยังมีการรับซื้อกระต่ายเพื่อนําไปแปรรูปเป็นเนื้อไว้บริโภครับประทานกันด้วยครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
หมูป่า สามารถเลี้ยงได้ หมูป่าเป็นสัตว์ป่าที่มักจะอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ําในบริเวณที่มีโคลนตม สามารถพบได้ในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศร้อนชื้น เพราะหมูป่าเป็นหมูที่ชอบนอนแช่โคลนตมเพื่อคลายความร้อนในช่วงเวลากลางวัน ในบ้านเรานั้นมีหมูป่าที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติเป็นจํานวนไม่มากนัก จนในปัจจุบันได้มีการนําพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ของหมูป่ามาเพาะเลี้ยงไว้เพื่อแปรรูปเป็นเนื้อหมูป่า หรือนําไปขายเป็นพ่อแม่พันธุ์ให้กับผู้ซื้อรายอื่นนําไปเลี้ยงต่อ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
สระน้ํา ปัจจัยการผลิตด้านการเกษตรที่สําคัญ น้ําถือเป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่สําคัญและเป็นปัจจัยการผลิตด้านการเกษตรที่สําคัญ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สําหรับพืชแทบทุกชนิดรวมไปถึงฟาร์มปศุสัตว์ต่างๆ ด้วย โดยในช่วงฤดูฝนนั้น เราอาจจะไม่ค่อยกังวลใจกับเรื่องน้ําท่ามากเท่าไหร่เพราะมีน้ําเพียงพอจากธรรมชาติ ที่สามารถให้ความชุ่มฉ่ํากับพืชพันธุ์ที่ปลูกได้ แต่หากเป็นช่วงฤดูหนาวหรือฤดูร้อน ซึ่งเป็นหน้าแล้งแล้ว หลายพื้นที่ในประเทศไทยเราต้องเผชิญกับภัยแล้ง ซึ่งอาจจะทําให้เราพบปัญหาการขาดแคลนน้ําเพื่อใช้ในการเกษตรและปศุสัตว์
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
โรคราสนิมขาว แม้โรคราสนิมขาว จะไม่ได้เป็นโรคพืชที่สร้างความเสียหายให้กับพืชอย่างรุนแรงเหมือนโรคอื่นๆ ถึงขั้นเหี่ยวเฉาและตายลงได้ แต่ก็สามารถสร้างความรําคาญใจให้กับเพื่อนๆ เกษตรกรได้ไม่น้อย เพราะผลกระทบจากโรคราสนิมขาวอาจทําให้พืชผักที่ปลูกมีราคาลดลงได้ เพราะจะทําให้พืชผักมีใบที่มีร่องรอยเชื้อรา ไม่สวย ไม่น่ารับประทาน ทําให้ผลผลิตที่ได้เป็นที่ต้องการของตลาดน้อยลง ก่อให้เกิดปัญหากับเราได้โดยตรงเลยครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
โรคเน่าเละ การสังเกตโรคพืชไม่ให้พืชที่ปลูกติดเชื้อราและแบคทีเรียเป็นสิ่งที่เราควรเฝ้าระวังเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะโรคเน่าเละซึ่งเป็นโรคที่สามารถแพร่ระบาดได้ในพืชผักที่เรานิยมเพาะปลูก โดยเฉพาะผักตระกูล ผักกาด และบร็อคโคลี่ ซึ่งเป็นผักที่มีลําต้นไม่สูงมากนัก มีลําต้นอวบอิ่มน้ําดึงดูดแมลงพาหะให้มาอาศัยและวางไข่ได้
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
โรคเน่าดํา โรคพืชต่างๆมักเกิดขึ้นได้ง่ายในสภาพอากาศที่เอื้ออํานวยต่อเชื้อโรค หรือ เชื้อราในพืชที่เพาะปลูก โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนและช่วงฤดูหนาวที่สภาพอากาศมีความชื้นสูง ทําให้ต้นไม้ได้รับแสงแดดได้น้อยลงและก่อให้เกิดความชื้นบริเวณแปลงปลูก ทําให้เชื้อราและแบคทีเรียมีจํานวนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกับเพื่อนๆ เกษตรกรที่ปลูกกล้วยไม้ที่มีดอกสีสันสวยงามไว้ค้าขาย ซึ่งต้องคอยระวังโรคพืชเป็นอย่างมาก เพราะกล้วยไม้เป็นไม้ดอกที่ไม่สามารถทนต่อโรคบางชนิดได้ โดยเฉพาะโรคเน่าดําในกล้วยไม้ ซึ่งสามารถทําให้ต้นไม้เหี่ยวเฉาและตายลงได้ เป็นโรคที่เข้าสู่พืชได้ในทุกส่วนของพืชไม่ว่าจะเป็น ดอก ใบ กิ่ง ลําต้น หรือ แม้แต่รากก็สามารถติดโรคเน่าดําได้ด้วยครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
โรคใบสีส้ม การทํานาไม่ว่าจะปลูกข้าวในฤดูกาล หรือ นอกฤดูกาล เราควรเฝ้าระวังโรคพืชจากสภาพอากาศและความชื้น รวมทั้งแมลงที่เป็นตัวพาหะชั้นดีในการนําโรคพืชต่างๆ มาสู่ต้นข้าวในนาได้ หากต้นข้าวในนาติดโรคพืชแล้วก็จะทําให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง ทําให้ผลผลิตข้าวลดลงเพราะข้าวออกรวงได้ไม่เต็มที่ จนทําให้รายได้ที่ควรจะเกิดขึ้นของเราลดลงได้
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
การรดน้ําต้นไม้ เทคนิคเล็ก ๆ ที่ต้องใส่ใจ การปลูกเพาะพันธุ์พืชนั้น นอกจากหมั่นดูแลพืชโดยการใส่ปุ๋ยให้อาหารและแร่ธาตุกับพืช เพื่อช่วยให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ดีแล้ว น้ําก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สําคัญของพืช เพราะน้ํามีส่วนช่วยในการสร้างอาหารโดยการสังเคราะห์แสงของพืช และยังช่วยให้พืชสามารถดูดซึมอาหารและแร่ธาตุที่อยู่ในดินเพื่อช่วยในการเจริญเติบโตได้อีกด้วยครับ เราจึงควรมีการรดน้ําต้นไม้ให้ถูกวิธี เพื่อให้พืชสามารถดูดซึมน้ําไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด ทั้งยังช่วยให้พืชเจริญเติบโตออกดอกออกผลได้อย่างสวยงามด้วยครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
โรคเน่าคอดิน โรคพืชที่มาพร้อมฤดูหนาว โรคเน่าคอดิน หนึ่งในโรคพืชที่ต้องเฝ้าระวัง ที่มาพร้อมกับฤดูหนาวและฤดูฝน เนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นขึ้น และยังมีความชื้นสูงในแปลงปลูกต่างๆ ทําให้เอื้ออํานวยต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคเน่าคอดินที่มักจะแพร่ระบาดได้ในพืชผักตระกูลผักกาดและกะหล่ําปลี เช่น ผักกาดขาว และผักกาดเขียว รวมทั้งผักคะน้า และผักกวางตุ้ง ดอกกะหล่ํา และกะหล่ําปลี ซึ่งพืชผักดังกล่าวจะมีลําต้นอวบอิ่มน้ําเหมาะแก่การแพร่พันธุ์ของเชื้อราโรคเน่าคอดินมากกว่าพืชผักชนิดอื่น
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
หนอนม้วนใบคือแมลงศัตรูพืชที่คอยดูดกินน้ําเลี้ยงในพืช โดยหากหนอนม้วนใบกัดกินน้ําเลี้ยงของต้นกล้าของพืชจะส่งผลให้ต้นกล้าตายได้ แต่หากไปกัดกินน้ําเลี้ยงใบของพืชผักที่เจริญเติบโตเต็มวัยก็จะทําให้พืชผักดังกล่าวให้ผลผลิตน้อยลง ทั้งยังอาจทําให้พืชผักที่ปลูกหยุดการเจริญเติบโตได้
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
โรคราแป้ง แพร่เร็วในสภาพอับชื้น โรคราแป้ง ถือว่าเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราที่เพื่อนๆ เกษตรกรควรเฝ้าระวังไม่ให้ระบาดในแปลงผลผลิตของเรา เพราะเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรานั้นสามารถแพร่ระบาดได้อย่างง่ายดาย โดยกระจายแพร่ตัวได้จากลมและฝนที่พัดพาเชื้อราดังกล่าวมาติดพืชพันธุ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงได้ เมื่อพืชพันธุ์ติดเชื้อราดังกล่าว ก็จะเริ่มแสดงอาการให้เห็น โดยสังเกตได้จากบริเวณใบพืชจะมีเส้นเชื้อราสีขาวๆ คล้ายแป้งเป็นกลุ่มๆ อยู่เป็นบริเวณกว้างบนผิวใบพืชทั้งหน้าใบไปจนถึงหลังใบ โดยโรคราแป้งจะเกิดบริเวณใบด้านล่าง สภาพอากาศที่เอื้ออํานวยต่อการระบาดของโรคราแป้ง คือสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิต่ําและมีความชื้นสูง เพราะเชื้อรานั้นจะเติบโตได้ดีในสภาพอับชื้น
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
โรคราน้ําค้าง การดูแลรักษาต้นพืชให้ห่างไกลจากโรคพืชนับว่าเป็นสิ่งสําคัญในการปลูกพืช โดยโรคพืชนั้นแต่ละฤดูกาลก็เกิดโรคแตกต่างกันไป แต่โรคที่สามารถระบาดได้ง่ายในช่วงฤดูฝน คือโรคที่เกิดจากเชื้อรา เนื่องจากภูมิอากาศเย็นขึ้นและมีความชื้นสูง ทําให้เหมาะแก่การเติบโตของเชื้อราบางชนิด โดยเฉพาะโรคราน้ําค้าง ซึ่งเป็นโรคที่สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายในต้นพืช และยังแฝงตัวอยู่ในใบพืชรวมทั้งเมล็ดพันธุ์ของพืชได้อีกด้วยครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
การพรวนดิน การเพาะปลูกพืชของเกษตรกรในปัจจุบันเพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพดีและทําให้สามารถขายผลผลิตได้ราคาดีนั้น นอกจากการคัดเลือกพันธุ์พืชที่สายพันธุ์ดีและหมั่นรดน้ําใส่ปุ๋ยดูแลแปลงผัก สวนไร่ ผลไม้แล้ว ขั้นตอนการเตรียมดินก่อนการเพาะปลูกพืชก็ถือเป็นปัจจัยสําคัญสําหรับพืชเพื่อให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ดี และป้องกันไม่ให้พืชถูกสิ่งแวดล้อมทําลายได้ง่ายอีกด้วย การเตรียมดิน การพรวนดินและการดูแลดินก่อนการเพาะปลูกพืชจึงเป็นสิ่งที่จําเป็นและสําคัญเป็นอย่างมาก
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ต้นจําปา ไม้ดอกกลิ่นหอม ต้นจําปาที่คอยส่งกลิ่นหอมนวลโดยเฉพาะเวลากลางคืนนั้น เป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกําเนิดในเขตร้อนชื้น อย่างประเทศไทยบ้านเรา รวมไปถึง อินโดนีเซีย อินเดีย มาเลเซียและจีนอีกด้วย โดยในบ้านเรานั้นจะมีชื่อเรียกแต่ล่ะท้องที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น จุมปา จุมป๋า จําปากอ จําปาเขา จําปาทอง และจําปาป่า
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
วิธีป้องกันเพลี้ยกระโดดหลังขาวให้หมดไปจากนาข้าว เพลี้ยกระโดดหลังขาว เป็นแมลงศัตรูพืชที่สามารถพบได้ทั่วไปในนาข้าว เช่นเดียวกับเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาล จะพบการระบาดใหญ่ในนาข้าวทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของบ้านเรา โดยทั่วไปเพลี้ยกระโดดหลังขาวจะมีลําตัวสีเหลืองและมีสีน้ําตาลปนดํา มีสีขาวอยู่บริเวณกลางอกระหว่างปีกทั้งสองปีก ตัวอ่อนของเพลี้ยกระโดดหลังขาวจะมีสีขาวและสีดําอยู่บนท้องแตกต่างจากตัวอ่อนของเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาลอย่างชัดเจน แต่ตัวอ่อนของเพลี้ยกระโดดหลังขาวจะอาศัยอยู่บริเวณกอข้าวเช่นเดียวกับตัวอ่อนของเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาล
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
เพลี้ยกระโดดสีน้ําตาล ศัตรูพืชในนาข้าว เพลี้ยกระโดดสีน้ําตาลเป็นแมลงศัตรูพืชอีกหนึ่งชนิดที่ชอบอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศชื้นและมีอาหารเพียงพอต่อการดํารงชีพ มักจะอาศัยอยู่ในนาข้าวสามารถแพร่พันธุ์กระจายได้อย่างรวดเร็ว สร้างปัญหาให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวเป็นอย่างมาก เพราะเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาลดังกล่าวจะอาศัยอยู่บริเวณต้นข้าวแล้วค่อยๆดูดกินน้ําเลี้ยงในลําต้นของต้นข้าวเป็นอาหาร ทําให้ต้นข้าวค่อยๆเหี่ยวเฉามีลําต้นและใบสีน้ําตาลจนทําให้ต้นข้าวไม่สามารถดูดซึมอาหารและน้ําไปเลี้ยงส่วนต่างๆของต้นและเหี่ยวเฉาตายในที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาล คือ ศัตรูของพืชในนาข้าวอีกหนึ่งชนิดที่เพื่อนๆ เกษตรกรจะต้องเฝ้าระวังไม่ให้แพร่ระบาดมาดูดกินน้ําเลี้ยงของต้นข้าวได้
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ตัวห้ํา แมลงผู้ช่วยปราบศัตรูพืชจากธรรมชาติ การเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่างๆเพื่อไว้บริโภค หรือ ค้าขายในท้องตลาดของเกษตรกร การดูแลไม่ให้วัชพืช รวมทั้งแมลงศัตรูพืชต่างๆเข้ามาทําลายแปลงเพาะปลูก รวมทั้งผลผลิตที่ได้จากการเพาะปลูกนับว่าเป็นเรื่องที่สําคัญ เพราะหากผลผลิต หรือ พืชที่ปลูกมีวัชพืชและมีศัตรูพืชมากวนใจแล้วก็อาจทําให้ผลผลิตลดลงและเกิดความเสียหายต่อผลผลิตได้ด้วยครับ โดยวิธีการป้องกันกําจัดแมลงศัตรูพืชอาจทําได้ด้วยการใช้สารเคมีเป็นตัวช่วย แต่ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสําหรับผู้ที่ปลูกผักผลไม้แบบเกษตรอินทรีย์ที่จะต้องมีขั้นตอนการเพาะปลูกแบบปราศจากสารเคมีทุกชนิด เพราะอย่างนั้นแล้วการใช้วิธีการทางธรรมชาติ เพื่อกําจัดศัตรูพืชจึงเหมาะสมกับการเพาะปลูกทั้งยังลดต้นทุนการเพาะปลูกพืช และยังได้พืชและผลผลิตที่ปราศจากสารเคมีอีกด้วยครับ การนํา “ตัวห้ํา” หรือแมลงที่กินศัตรูพืชเป็นอาหารมาปล่อย หรือ เลี้ยงไว้ในแปลงเพาะปลูกจึงถือเป็นการกําจัดวัชพืชได้ง่ายๆตามธรรมชาติ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
วัชพืชในนาข้าว การป้องกันและกําจัด การเพาะปลูกข้าวในแต่ละครั้ง นอกจากจะต้องปลูกข้าวให้ตรงกับฤดูกาลเก็บเกี่ยว ดูแลระดับน้ําในนาดําเป็นอย่างดีแล้ว การดูแลนาข้าวที่ปลูกให้ห่างไกลจากวัชพืชเพื่อให้ข้าวได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีตลอดทั้งปีถือเป็นสิ่งจําเป็นในการเพาะปลูกข้าวของเพื่อน ๆ เกษตรกรทีเดียวครับ เพราะโดยทั่วไปแล้วในนาข้าวมักจะพบเจอวัชพืชได้มากมาย โดยเฉพาะพืชตระกูลหญ้าที่สามารถเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้อย่างง่ายดาย ทําให้เราต้องกําจัดออกจากแปลงนาก่อนที่จะทําการเพาะปลูกให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้วัชพืชเหล่านั้นเติบโตและแย่งอาหารของข้าวที่ปลูกจนทําต้นข้าวได้รับธาตุอาหารน้อยลงและให้ผลผลิตน้อยลงได้
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
โรคแอนแทรคโนส แอนแทรคโนส เป็นโรคพืชที่เพื่อนๆ เกษตรกรควรเฝ้าระวัง เพราะถือเป็นเรื่องของศัตรูพืชที่เข้ามาสร้างความเสียหายให้แก่พืชผลของเราไม่ต่างจากพวกแมลงที่เป็นต้นเหตุทําให้พืชเหี่ยวเฉาและมีผลผลิตลดลง โรคพืชชนิดนี้เป็นโรคที่สามารถแพร่ระบาดจากพืชสู่พืชได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว หากมีสภาพอากาศรวมทั้งสภาพแวดล้อมที่เอื้ออํานวยต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราชนิดนี้ ซึ่งสามารถพบเจอโรคนี้ได้ในพืชพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก พืชตระกูลถั่ว หรือแม้แต่พืชผลที่เรานิยมเพาะปลูกกันเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่มะม่วง ส้มโอ พริก ถั่ว ต่างๆ โดยเฉพาะในบ้านเราซึ่งมีอยู่ในเขตร้อนและมีสภาพอากาศชื้นสูง
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ปุ๋ยขี้ไก่ ปุ๋ยจากธรรมชาติ ปุ๋ยขี้ไก่ หรือปุ๋ยคอกต่างๆ ถือเป็นอาหารที่สําคัญสําหรับต้นพืชทุกชนิด ทั้งพืชใบ พืชผล พืชไร่ และพืชไม้ดอกไม้ประดับ ที่เราเพาะปลูกไว้ เพราะช่วยเพิ่มสารอาหารแก่พืชและดิน ทําให้พืชสามารถเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพตามความต้องการของผู้บริโภคในตลาดได้ ปุ๋ยต่าง ๆ จึงเป็นปัจจัยการผลิตที่สําคัญในการเพาะปลูกพืช แต่การซื้อปุ๋ยสําเร็จรูปอาจมีส่วนประกอบของสารเคมีเข้ามาเป็นส่วนประกอบ ทําให้ไม่สามารถเพาะปลูกพืชแบบเกษตรอินทรีย์ หรือ พืชปลอดสารพิษได้ และปุ๋ยคอกที่ซื้อตามท้องตลาดอาจมีราคาสูงกว่าการทําปุ๋ยไว้ใช้เอง
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
หญ้างวงช้าง วัชพืชตัวร้าย เมื่อพูดถึงศัตรูพืชที่คอยทําร้ายต้นพืชสวนหัวไร่ปลายนาของเราแล้ว วัชพืชถือเป็นปัญหาที่น่าหนักใจไม่น้อย เพราะที่คอยแก่งแย่งอาหารและน้ํา รวมทั้งแสงแดดที่ใช้ในการผลิตอาหารของพืชหลักที่สร้างผลกําไรให้แก่เรา หากเป็นวัชพืชที่มีความแข็งแก่งมากก็จะสามารถปรับตัวตามสภาพอากาศได้ดี รวมทั้งสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี ไม่ว่าจะดินแบบไหน น้ําแล้งแค่ไหน วัชพืชก็จะสามารถเติบโตและแผ่ขยายในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว โดยวัชพืชที่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีและขยายพันธุ์ได้ในเวลารวดเร็วก็ได้แก่ ผักตบชวา พืชในวงศ์หญ้าหลากหลายชนิดรวมทั้งหญ้างวงช้างอีกด้วยครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
โรคของต้นทุเรียน ทุเรียนนับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจสําคัญในบ้านเราที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเพื่อนๆเกษตรกรได้อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการขายในท้องตลาดเกษตรทั่วไป หรือ ส่งขายในต่างประเทศ รวมทั้งการนําไปแปรรูปเป็นอาหารต่าง ๆ มากมาย ทําให้เพื่อนๆเกษตรกรที่ปลูกสวนทุเรียนขายมีรายได้เป็นกอบเป็นกําเลย แต่ในการปลูกทุเรียนนอกจากจะต้องลงทุนและคอยดูแลรดน้ําใส่ปุ๋ยต้นทุเรียนให้ได้รับสารอาหารอย่างสม่ําเสมอแล้ว ก็ยังต้องคอยระวังวัชพืช รวมถึงโรคทุเรียนที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรียชนิดต่างๆ เพราะจะทําให้ผลผลิตลดลงและทําให้ผลผลิตเสียราคาอีกด้วย การหมั่นสังเกตไม่ให้ทุเรียนติดโรคต่างๆ จึงจําเป็นอย่างมากเลยครับ วันนี้เราจึงรวบรวมโรคทุเรียนที่ควรรู้มาให้เพื่อนๆ ไว้คอยระวังไม่ให้โรคเกิดแพร่ระบาดในสวนทุเรียนได้ครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ไรโซเบียม แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อพืช หากพูดถึงการเพาะปลูกพันธุ์พืชต่างๆ เพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพดีสวยงามเป็นที่ต้องการในท้องตลาดแล้ว การบํารุงต้นพืชในสวนไร่ปลายนา จึงนับว่าเป็นสิ่งที่สําคัญ เพื่อให้พืชที่ปลูกสามารถมีผลิตผลได้ตามความต้องการของเกษตรกร การใช้ปุ๋ยบํารุงพืช ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยคอก ปุ๋ยชีวภาพ หรือปุ๋ยเคมี เพื่อกระตุ้นให้พืชสามารถผลิตผลผลิตได้มากขึ้น นับว่าเป็นตัวช่วยของเกษตรกรอีกทางหนึ่งเลยล่ะครับ แต่หากใครคํานึงถึงสารเคมีในการเพาะปลูกพันธุ์พืชแล้วก็จะเห็นได้ว่า พืชผักปลอดสารพิษที่นําไปขายในท้องตลาดหรือผักอินทรีย์จะให้ราคาดีกว่า และเป็นที่ต้องการของท้องตลาดเป็นอย่างมาก จึงมีการคิดค้นสูตรผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักชีวภาพต่างๆ เพื่อให้อาหารพืชอย่างเป็นธรรมชาติ โดยปราศจากการใช้สารเคมีต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้พืชออกผลผลิต ป้องกันการเกิดสารเคมีตกค้างในพืชผล รวมทั้งดิน เพราะเมื่อสะสมสารเคมีในดินเป็นจํานวนมากก็อาจทําให้ดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ กลายเป็นดินทีขาดแร่ธาตุอาหารจนไม่สามารถปลูกพืชได้อีก
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
หนอนตายหยาก พืชป้องกันกําจัดศัตรูพืช หนอนตายหยาก พืชสมุนไพรทางภาคเหนือที่ไม่ได้มีดีเพียงแค่ใช้เป็นยาสมุนไพรเท่านั้น แต่หนอนตายหยากยังเป็นพืชล้มลุกที่สามารถนํามาใช้กําจัดศัตรูพืชตัวร้ายที่คืบคลานเข้ามาทําลายผลผลิตพืชในสวนในไร่ ทําให้ผลผลิตในทางเกษตรเสียหายและเสียราคา หนอนตายหยากนั้นเป็นพืชพื้นเมืองของทางภาคเหนือ มีชื่อเรียกตามภาษาท้องถิ่นหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น ปงช้าง โป่งมดงาม สลอดเชียงคํา และกะเพียดหนู โดยพืชหนอนตายหยากสามารถเพาะพันธุ์ได้ด้วยวิธีการ เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การเพาะเมล็ด แต่ในบางสายพันธุ์ก็ติดเมล็ดยาก จึงใช้วิธีการแบ่งเหง้าในการขยายพันธุ์แทนครับ การเพาะเลี้ยงหนอนตายหยากก็เพื่อใช้แปรรูปเป็นยากําจัดศัตรูพืชต่างๆของเพื่อนๆเกษตรกรในพื้นที่ ทั้งยังถือเป็นการใช้วิธีการกําจัดศัตรูพืชแบบไม่ต้องพึ่งพาสารเคมีด้วยล่ะครับ ถือว่าเป็นวิธีที่สามารถกําจัดศัตรูพืชได้ง่ายๆ ทั้งยังเหมาะกับการปลูกพืชผักแบบปลอดสารพิษเป็นอย่างมากอีกด้วยครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
มวนเพชฌฆาต เลี้ยงไว้กําจัดศัตรูพืช มวนเพชฌฆาต เป็นแมลงที่มีหลายชนิด มักเรียกกันสั้นๆ ว่า “มวน” บางชนิดพบอาศัยอยู่บนบก บางชนิดก็มักจะอาศัยอยู่ในน้ํา มวนเพชฌฆาตมักดูดของเหลวจากสัตว์รวมทั้งแมลงต่างๆ เป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นหนอนผีเสื้อ หรือ ตั๊กแตนเองก็ตาม แต่ก็มีมวนเพชฌฆาตบางชนิดที่ดูดเลือดสัตว์เลือดอุ่นเป็นอาหารรวมทั้งคนด้วย การเลี้ยงมวนเพชฌฆาตจึงมักจะนํามวนชนิดที่ดูดของเหลวจากสัตว์เป็นอาหารมาเพาะเลี้ยงไว้เพื่อนําไปใช้กําจัดศัตรูพืชแมลง หนอนผีเสื้อ ในสวนผักไร่นา ซึ่งถือเป็นอีกวิธีหนึ่งในการกําจัดศัตรูพืชโดยใช้วิธีธรรมชาติปราศจากการใช้สารเคมี ทั้งยังประหยัดต้นทุนอีกด้วย โดยวิธีนี้เหมาะสําหรับผู้ที่เพาะปลูกผักปลอดสารพิษและผักอินทรีย์เป็นอย่างมากครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
หนอนด้วงศัตรูพืช ปัจจุบัน บ้านเรามีการเลี้ยงแมลง ด้วง และหนอน ซึ่งถูกนับว่าเป็นอาหารประเภทใหม่ หรือ “ Novel Food” เพื่อนํามาใช้ประโยชน์เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง รวมทั้งถูกนํามารับประทานเป็นขนมขบเคี้ยวต่างๆ ทําให้แมลงหรือหนอนแต่ละชนิดที่สามารถนํามาบริโภคได้นั้นมีราคาสูงขึ้น และยังเป็นการกําจัดแมลงรวมทั้งหนอนบางชนิดที่มีประชากรมากจนเกินไป จนทําให้เกิดผลเสียต่อพืชไร่พืชสวนที่เพาะปลูกได้ หรือเรียกได้ว่าเป็นการนําศัตรูพืชบางชนิดมาใช้ประโยชน์โดยการจับมาบริโภค หรือ แปรรูปเป็นอาหารที่มีราคาสูง จนเกิดเป็นธุรกิจเพาะเลี้ยงแมลงและตัวหนอนต่างๆ ที่เป็นที่ต้องการของตลาดไว้เพื่อจําหน่ายได้กําไรสูง
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
พืชตระกูลถั่ว พืชปรับปรุงดินหลังนา พืชตระกูลถั่วนั้น ประกอบด้วยถั่วหลากหลายชนิด นอกจากจะสามารถปลูกไว้ขายได้ราคาในท้องตลาดแล้ว ยังสามารถปลูกไว้ในแปลงนาสลับกับการปลูกข้าวหลังจากการเก็บเกี่ยว เพื่อป้องกันวัชพืชในนาข้าว ทั้งยังช่วยเพิ่มธาตุอาหารให้กับดินในการปลูกข้าวครั้งต่อไป โดยการปลูกพืชตระกูลถั่วไว้และไถกลบให้กลายเป็นอาหารแร่ธาตุกับดิน แม้ว่าพืชตระกูลถั่วในบ้านเราจะมีมากมายหลากหลายชนิด แต่พืชตระกูลถั่วที่นิยมปลูกไว้ป้องกันวัชพืชในนาข้าวก็คือ ถั่วเขียว และ ถั่วเหลือง ครับ โดยถั่วเขียวและถั่วเหลืองเป็นพืชล้มลุกอายุสั้น ทนต่อสภาพอากาศแล้งได้ดี สามารถปลูกเพื่อป้องกันวัชพืชในแปลงนา
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ใบไม้แห้ง แปรรูปเป็นปุ๋ยหมัก ของดีใกล้ตัว ใบไม้แห้งที่ร่วงโรยหล่นลงมาจากต้นไม้ต่างๆ ภายในสวนหรือในบริเวณบ้านนั้นจะมีประโยชน์มากกว่าที่คิด แทนที่เราจะนําไปกําจัดโดยการเผาทําลาย จนทําให้เกิดมลภาวะกับอากาศ ต้นเหตุหนึ่งแห่ง PM2.5 และยังทําให้ดินบริเวณดังกล่าวเกิดผลเสียตามมาอีกด้วย การแปรรูปใบไม้แห้งเป็นปุ๋ยหมัก จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อกําจัดเศษเหลือทิ้งจากธรรมชาติให้เกิดประโยชน์ ให้กลายมาเป็นอาหารพืชผักในแปลงต่างๆ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนในส่วนของปัจจัยการผลิตพืชผลต่างๆได้แล้ว ยังสามารถลดมลภาวะในอากาศได้อีกด้วย โดยปกติแล้วนั้นใบไม้แห้งที่ร่วงโรยลงมาจากต้นไม้ตามกาลเวลา หากเราไม่กําจัดและปล่อยทิ้งไว้ให้คลุมดินแล้ว ไม่นานใบไม้ดังกล่าวก็จะทับถมกันเป็นอาหารของจุลินทรีย์และย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยพืชในที่สุด แต่ทั้งนี้จะต้องใช้ระยะเวลานาน ดังนั้นการนําใบไม้แห้งมาทําเป็นปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก จะเป็นการเร่งให้จุลินทรีย์สามารถย่อยใบไม้ได้เร็วขึ้น และนําไปเป็นอาหารของพืช ที่ทําให้พืชให้ผลผลิตได้ดีขึ้นด้วยครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
โรคราสนิมในพืช เมื่อพูดถึงโรคพืชแล้ว ราสนิม เป็นโรคพืชอีกโรคหนึ่งที่สร้างความเสียหายให้กับต้นพืชพันธุ์รวมทั้งยังทําให้ผลผลิตน้อยลง สร้างความเสียหายให้กับเพื่อนๆ เกษตรกรส่วนใหญ่ที่พบเจอโรคพืชราสนิมในต้นพืช หรือ ผลผลิตของพืชที่ปลูก โรคราสนิมจะมากับสปอร์พืช หรือ ใบพืชที่มีเชื้อราอันก่อให้เกิดโรคสนิมกับต้นพืช และยังสามารถแฝงตัวอยู่ในดิน และอาจติดมากับเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกได้ด้วยครับ ก่อนที่จะอาศัยตัวกลางคือ ความชื้น หรือสภาพอากาศหนาวเย็น จนทําให้ราสนิมแสดงอาการขึ้นมาได้ ทั้งนี้ราสนิมยังอาศัย ลม และ ฝน เพื่อสาดพัดพาเชื้อราดังกล่าวมาติดต้นพืชของเราได้ ส่งผลให้ผลผลิตน้อยลงในฤดูกาลดังกล่าว โดยเฉพาะฤดูฝนที่สามารถพบเจอราสนิมได้ง่าย และสามารถเกิดโรคได้กับพืชพรรณทุกชนิด แม้แต่ไม้ดอกก็ตาม และยังพบเจอได้ง่ายในพืชประเภทถั่ว โดยเมื่อพืชดังกล่าวเป็นโรคราสนิมแล้ว ใบพืชจะค่อยๆเหี่ยวลงและทําให้ได้ผลผลิตช้าและลดลงอีกด้วยครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ไผ่ยักษ์น่าน พืชสร้างรายได้มหาศาล ไผ่ยักษ์น่านเป็นต้นไผ่ที่มีแหล่งกําเนิดในจังหวัดน่านในประเทศไทยบ้านเราเป็นที่แรก แต่เดิมนั้นไม่ได้มีการนําเนื้อไม้ไผ่ยักษ์น่านมาใช้ประโยชน์แต่อย่างใด เพราะคิดว่าเป็นไผ่ยักษ์ธรรมดาและไม่น่าจะนํามาแปรรูปเป็นอย่างอื่นได้ จนมีเกษตรกรรายหนึ่งได้หาวิธีปลูกเพื่อส่งขาย โดยลองถูกลองผิดจนขาดทุนไปไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ละความพยายามเพื่อที่จะได้ไผ่พันธุ์ดี มีเนื้อไม้งามเพื่อนําไปส่งขายในตลาดอุตสาหกรรมได้ จนในที่สุดก็สามารถปลูกไผ่ยักษ์น่านได้จํานวนมาก มีเนื้อไม้งามและตัดไผ่ส่งขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสามารถขายได้ราคาดี กลายเป็นไผ่ที่เป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในต่างประเทศที่มีการนําไผ่ชนิดนี้ไปแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือน ซึ่งให้ความสวยงามน่าใช้กว่าไผ่พันธุ์อื่น ทั้งยังมีความทนทานสูง ทําให้สามารถขายเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตออกมานั้นมีราคาสูง จัดว่าเป็น Premium Grade กันเลยครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
การปลูกไม้เศรษฐกิจสร้างรายได้ดี การปลูกไม้เศรษฐกิจในบ้านเราสามารถทําได้ง่าย เพราะมีการสนับสนุนจากทางภาครัฐซึ่งเพื่อนๆ เกษตรกรสามารถติดต่อและรับต้นพันธุ์กล้าไม้เศรษฐกิจที่ต้องการจะปลูกได้ที่สํานักงาป่าไม้ในท้องที่ที่อาศัยอยู่ การปลูกไม้เศรษฐกิจดังกล่าวสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรที่เพาะปลูกเป็นอย่างมาก ทั้งยังทําให้สามารถนําไม้ไปแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจําวันได้ เพราะเป็นที่ต้องการในตลาดและอุตสาหกรรมไม่น้อยไปกว่าไม้ชนิดอื่น ทําให้การค้าไม้เศรษฐกิจสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้เพาะปลูกได้อย่างงามครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ผักอินทรีย์ ผักเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมปลูกได้ไม่ยาก การทําการเกษตรอินทรีย์ในบ้านเรานั้น นอกจากจะปลูกพืชไว้ทานหรือบริโภคเองแล้ว ก็ยังสามารถปลูกไว้เพื่อส่งขายในตลาดเกษตรกรรมรวมทั้งในภาคอุตสาหกรรมอีกด้วย โดยต้องทําคํานึงถึงปริมาณผลผลิตผลที่ได้จากการเพาะปลูกผักและผลไม้ในแต่ละฤดูกาล และความปลอดภัยและสมดุลในธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ทําเกษตรกรรมได้ในระยะเวลายาวนานมากยิ่งขึ้น และยังลดปัญหามลภาวะและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาดินขาดแร่ธาตุอาหาร หรือ ปัญหาสารเคมีตกค้างในพืชผักต่าง ๆ ทําจนเกิดการพัฒนาการนําเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้กับการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ต่างๆ โดยปราศจากการใช้สารเคมีและยังลดต้นทุนการผลิตทําให้สามารถปลูกผักอินทรีย์ส่งขายในตลาดได้ราคาดีและได้มาตรฐาน เพราะได้รับการรับรองจากสํานักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ทําให้เพื่อนๆเกษตรกรในบ้านเราที่ปลูกพืชผักอินทรีย์มีโอกาสส่งออกผักอินทรีย์ไปขายต่างประเทศได้
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
บัวกระด้ง บัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก บัวกระด้งเป็นบัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยแต่เดิมบัวกระด้งมีถิ่นกําเนิดมาจากต่างประเทศและมีอีกชื่อหนึ่งในประเทศอังกฤษว่า บัววิคตอเรีย เนื่องจากเป็นชื่อพระราชินีที่ปกครองประเทศในขณะที่มีการนําบัวดังกล่าวมาปลูกในประเทศอังกฤษ จนแพร่หลายไปทั่วและมีการปลูกในประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน บัวกระด้งนอกจากจะปลูกไว้เพื่อความสวยงามแล้ว ยังปลูกไว้สําหรับส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ดีอีกด้วย โดยเพื่อนๆจะเห็นได้ว่าสวนสาธารณะที่ปลูกบัวกระด้งไว้นั้น มักจะมีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันเป็นจํานวนมาก ในบางแห่งยังอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถยืนถ่ายรูปบนใบบัวดังกล่าวได้อีกด้วย โดยการตั้งวัสดุคล้ายแผ่นจานเพื่อกระจายน้ําหนัก ทําให้ใบบัวสามารถรองรับน้ําหนักดังกล่าวไว้ได้ ถือเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกช่องทางหนึ่ง
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
หญ้าเกล็ดหอย พืชล้มลุก หญ้าเกล็ดหอยเป็นพืชล้มลุก สามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่นําก้านหรือลําต้นไปปักลงในดิน ไม่นานหญ้าเกล็ดหอยก็จะออกรากลงดินและแผ่ขยายลําต้น ผลิดอกออกใบไปทั่วบริเวณโดยรอบแล้วล่ะครับ หญ้าเกล็ดหอยเป็นหญ้าที่มีลําต้นขนาดเล็ก ออกใบสีเขียวลักษณะคล้ายรูปหัวใจกลับ หรือ รูปกลมรี มีใบแบบขนนกเป็นช่อ ช่อละ 3 ใบ ให้ดอกสีม่วงอ่อนและเข้มออกดอกปลายช่อ มีลักษณะคล้ายกับดอกถั่ว มีขนปกคลุมบริเวณก้านและใบโดยทั่ว ข้อดีของหญ้าเกล็ดหอย คือ มีลักษณะนุ่มและนิยมปลูกไว้เป็นไม้ประดับบริเวณบ้านเพราะเป็นหญ้าที่ไม่ต้องตัดแต่ง แถมยังสามารถเจริญเติบโตแตกกิ่งก้านสาขาออกดอกใบขนานกับพื้นดินในเวลารวดเร็วอีกด้วย และยังเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด ชื่นชอบแสงแดดปานกลาง รวมทั้งน้ําพอประมาณด้วยครับ เรียกได้ว่าหญ้าเกล็ดหอยเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราและสามารถเจริญเติบโตได้ง่ายในทุกพื้นที่
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
สบู่ดํา พืชผลิตน้ํามันแทนไบโอดีเซล สบู่ดํา เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกําเนิดมาจากทวีปอเมริกา โดยมีชาวโปรตุเกสนําต้นสบู่ดําเข้ามาปลูกในไทยตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว จนในปัจจุบันมีการปลูกพืชชนิดนี้กันอย่างแพร่หลายในบ้านเรา และที่สําคัญนอกจากสบู่ดําจะสามารถปลูกไว้เพื่อเป็นกําแพงธรรมชาติ กั้นสัตว์เลี้ยงอย่าง วัว ควายได้แล้ว สบู่ดํายังสามารถปลูกไว้เพื่อแปรรูปเป็นน้ํามันขับเคลื่อนเครื่องยนต์ต่างๆ ซึ่งน้ํามันที่ได้จากต้นสบู่ดําสามารถใช้แทนน้ํามันไบโอดีเซลที่มีราคาสูงในท้องตลาดได้อีกด้วย และที่สําคัญน้ํามันเครื่องยนต์ที่ผลิตจากสบู่ดํายังช่วยลดการเกิดมลพิษต่อสภาพแวดล้อมได้ ทําให้เพื่อน ๆ เกษตรกรบางกลุ่มหันมาปลูกต้นสบู่ดําเพื่อนําเมล็ดมาขายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตน้ํามันไว้ใช้สําหรับเครื่องยนต์ต่างๆ นอกจากนี้สบู่ดํายังมีประโยชน์ที่สามารถนําไปใช้เป็นยารักษาโรคและนําไปแปรรูปเป็นยาสระผม รวมทั้งรากของสบู่ดําสามารถสกัดใช้ยับยั้งการเจริญเติบโตของลําต้นข้าวโพด เพื่อให้ธาตุอาหารไปเลี้ยงฝักข้าวโพดมากขึ้น ทําให้ได้ฝักสวย ขนาดใหญ่ น่ารับประทาน
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ไขความลับการขยายพันธุ์พืชแบบอาศัยเพศ สําหรับการทําอาชีพเกษตรกรรม การเพาะพันธุ์พืช หรือ การขยายพันธุ์พืชนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่สําคัญของเพื่อน ๆ เกษตรกร เพราะในการสร้างรายได้ หรือ ผลิตผลของพืชรวมทั้งผลผลิตนั้นจะต้องเริ่มจากการเพาะพันธุ์ หรือ ศึกษาวิธีการขยายพันธุ์พืชเพื่อให้ได้พืชพันธุ์รวมทั้งผลผลิตตามที่ต้องการ ซึ่งการเรียนรู้การขยายพันธุ์พืช ยังมีประโยชน์ในการคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมสําหรับปลูกในบ้านเราและทําให้ได้พืชพันธุ์ดังกล่าวที่มีผลผลิตถูกอกถูกใจเราด้วย และยังสร้างรายได้ให้เราได้ดีขึ้น
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
พืชกินแมลง ประดับไว้ไร้แมลงกวนใจ หากพูดถึงไม้ประดับในบ้านในบ้านเรานั้นมีมากมายหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือกซื้อกันได้ตามใจชอบ แต่นอกจากจะมีไม้ประดับที่บริโภคอาหารและแร่ธาตุในดินแล้ว ยังมีพืชไม้ประดับที่สามารถบริโภคแมลงผ่านทางใบ หรือดอกได้อีกด้วยครับ ไม้ประดับหรือต้นไม้กินแมลงส่วนใหญ่จะเป็นไม้ล้มลุกที่อยู่ได้ไม่กี่ปีเท่านั้น แต่ก็ยังมีต้นไม้กินแมลงที่มีอายุยืนยาวอยู่บ้าง
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
โรคใบไหม้ โรคระบาดในพืช โรคใบไหม้ เป็นโรคอีกหนึ่งชนิดที่ระบาดจากพืชสู่พืช สร้างความกังวลใจให้เพื่อนๆเกษตรกรได้ไม่น้อย เพราะเป็นโรคติดต่อที่สามารถระบาดได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วหากมีสภาพอากาศ หรือ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออํานวยต่อเชื้อโรคอันก่อให้เกิดโรคใบไหม้ได้ และยังไม่มีวิธีรักษาโรคใบไหม้ให้หายขาดอย่างถาวรสําหรับพืชที่ติดโรคชนิดนี้ได้ด้วย มีแต่เพียงวิธีการรักษาและกําจัดส่วนที่ติดโรคตามอาการเท่านั้น
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
หนอนชอนใบ ศัตรูพืชตัวร้าย เมื่อพูดถึงศัตรูพืชที่คอยทําร้ายพืชแล้ว หนอนชอนใบเป็นศัตรูพืช อีกหนึ่งชนิดที่สร้างความรําคาญใจให้กับเพื่อนๆ เกษตรกรที่เพาะปลูกพืชผักต่างๆ เป็นอย่างมาก เพราะหนอนชอนใบทําให้ราคาผลผลิตตกต่ําลง ทําให้พืชผลเจริญเติบโตช้าและได้รับความเสียหายเป็นจํานวนมากได้ หนอนชอนใบสามารถพบเห็นได้ง่ายตามสวนผักต่างๆ และตามต้นไม้ที่ปลูกในครัวเรือนอีกด้วยครับ โดยเฉพาะในสวนมะนาวที่เพื่อนๆ เกษตรกรมักจะพบปัญหาหนอนชอนใบต้นมะนาว ที่ทําให้ต้นมะนาวออกลูกช้าและเจริญเติบโตได้ช้าจนทําให้มะนาวมีผลเล็กขายได้ราคาไม่ดีเท่าทีควร
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
การเลี้ยงหมู สัตว์เศรษฐกิจสร้างรายได้ การเลี้ยงหมูเนื้อ หรือ หมูขุนของเพื่อนๆ เกษตรกร มีการเลี้ยงกันมาอย่างยาวนานแล้ว ทําให้ในปัจจุบันมีการพัฒนาระบบการเลี้ยงและคุณภาพการเลี้ยงไปจนถึงการส่งออกของเนื้อหมู ให้ได้มาตรฐาน เพื่อสามารถแข่งขันในภาคการตลาดให้ขายในราคาที่สูงได้ แต่ก็ยังมีเพื่อนๆที่เลี้ยงหมูเนื้อไว้เพื่อบริโภคกันในครัวเรือนและส่งขายในตลาดขนาดเล็กอีกด้วยนะครับ สิ่งที่น่าสนใจคือการเลี้ยงหมูสัตว์เศรษฐกิจที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวัน ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถสร้างรายได้ดี หากว่างจากการปลูกพืชทําสวนแล้วก็สามารถเลี้ยงหมูไว้บริโภคและขายเองได้ง่าย ๆ ครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ต้นมะสัง พืชไม้ประดับ ผลเปรี้ยวจี๊ด ต้นมะสัง คือ พืชไม้ที่มีลักษณะสวยงามสะดุดตา มีรูปร่างของลําต้นและใบแตกต่างจากต้นไม้เขตร้อนชนิดอื่น จึงนิยมปลูกไว้เพื่อเป็นไม้ประดับตกแต่งภายในบ้าน เพราะมีใบและลําต้นที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์นั่นเองครับ นอกจากนี้แล้วในบ้านเรายังนิยมนําผลมาบริโภค ปอกเปลือกทานจิ้มกับพริกเกลือ บ้างก็เอามายําใส่พริกเล็กน้อยเพราะผลของมะสังมีรสเปรี้ยวมาก อีกทั้งยังนําผลมะสังไปแปรรูปเป็นน้ําดื่มแก้กระหาย หรือแปรรูปเป็นแยมไว้ทาขนมปังได้อีกด้วย บ้างก็เอาไปใส่ในอาหารใช้แทนมะนาวเพราะให้รสเปรี้ยว นอกจากผลของมะสังแล้ว ใบของต้นมะสังยังสามารถนําไปประกอบอาหารเช่น นําไปลวกรับประทานกับน้ําพริกได้ ยังมีเพื่อนๆเกษตรกรไม่เยอะที่ปลูกต้นมะสังเพื่อบริโภคผล หรือจําหน่ายผล เพราะส่วนใหญ่จะปลูกกันไว้บริโภคแต่ในครัวเรือนเท่านั้นครับ แต่ถ้าหากปลูกไว้เป็นไม้ประดับแล้วจะสามารถทําราคาได้ดีเลยครับ เพราะเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก นอกจากจะวางขายตามท้องตลาดแล้ว ต้นมะสังไม้ประดับยังมีการวางขายในช่องทางออนไลน์อีกด้วย โดยหากดัดไว้สวยงามแล้วสามารถขายได้ถึง 180-200 บาทต่อต้นเลยทีเดียวครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
มันเทศญี่ปุ่น ปลูกง่ายรายได้ดี มันเทศญี่ปุ่น หรือที่เพื่อนๆ รู้จักกันในนามว่า มันหวานญี่ปุ่น เป็นมันเทศที่นิยมรับประทานกันในบ้านเราเป็นอย่างมาก เพราะเนื้อมันที่หวานมันอร่อยทําให้นิยมนํามาทานกันเปล่าๆ บ้างก็นําไปทอดโรยเกลือทาน นอกจากนี้ยังมีการนํามันเทศญี่ปุ่นไปแปรรูปเป็นอาหาร เครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยวอีกมากมาย เพราะเป็นที่ต้องการของท้องตลาด และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ทําให้มันเทศญี่ปุ่นสามารถสร้างรายได้ให้กับเพื่อนๆ เกษตรกรที่ปลูกมันเทศได้เป็นจํานวนมาก
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
มะกอกฝรั่ง ผลไม้รสเปรี้ยว ปลูกง่ายขายได้ทั้งปี มะกอกฝรั่ง ผลไม้รสเปรี้ยวนําหวานตาม อันเป็นเอกลักษณ์และเป็นที่ชื่นชอบในหมู่คนที่ชอบทานของเปรี้ยวส่วนใหญ่ ทําให้สามารถพบมะกอกฝรั่งวางขายในร้านผลไม้ต่างๆตามตลาด หรือตามรถเข็นผลไม้ โดยจะนิยมนําผลมะกอกฝรั่งสุกมาปอกเปลือกทานคู่กับพริกเกลือ หรือ นํามายําใส่พริกทานกัน เพราะมะกอกฝรั่งจะให้รสชาติเปรี้ยวอมหวานมัน ทั้งยังกรอบอร่อยจึงเป็นที่ต้องการของตลาดในบ้านเราครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ต้นฝอยทอง พืชกาฝากชื่อน่ารับประทาน เมื่อพูดถึงฝอยทองแล้วหลายๆ คนก็คงจะนึกถึง ขนมฝอยทองที่มีสีเหลืองอร่ามและมีรสชาติหวานหอมอร่อยกันใช่ไหมล่ะครับ แต่ฝอยทองที่จะพูดถึงในที่นี้นั้น คือ ต้นพืชชนิดหนึ่งที่มีสีคล้ายกับขนมฝอยทอง มีลักษณะลําต้นเล็กเป็นเส้นๆ อันเป็นที่มาของชื่อต้นไม้ชนิดนี้ ที่มักจะขึ้นในพื้นที่เขตร้อนชื้น มีลักษณะเป็นต้นกาฝากอิงอาศัยกับพืชชนิดอื่นเพื่อดูดน้ําเลี้ยงภายในต้นไม้เหล่านั้น โดยเราสามารถพบเห็นต้นฝอยทองได้ในทุกภาคของบ้านเรา เพราะเป็นต้นไม้ที่สามารถแพร่พันธุ์ได้ง่าย สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และยังสามารถแตกแขนงรากออกจากลําต้นที่ไม่มีรากอยู่ เพื่อที่จะเกาะเกี่ยวต้นไม้ต้นอื่นได้อีกด้วย
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ชมพู่ทับทิมจันทร์ ชมพู่พันธุ์ดี มีมูลค่า ผลไม้ไทยที่ให้รสชาติหวานกรอบ ฉ่ําน้ํา ดับอาการกระหายน้ํา หรือ แก้ร้อนในได้ ที่คนไทยเรานึกถึง คือ ชมพู่ ซึ่งถือเป็นผลไม้ไทยอีกหนึ่งชนิดในบ้านเราที่เพื่อนๆ เกษตรกรนิยมปลูกไว้เพื่อบริโภคและนําไปชายเชิงพาณิชย์ โดยแต่เดิมนั้นมีการปลูกชมพู่เพื่อค้าขายในตลาดเกษตรไม่มากนัก จึงไม่ค่อยมีการดัดแปลงพันธุ์ของชมพู่กันมากเท่าไหร่ แต่ในปัจจุบัน ภาคการเกษตรได้มีการปลูกชมพู่เชิงการค้ากันมากยิ่งขึ้น ทําให้เกษตรกรต้องคัดเลือกดัดแปลงพันธุ์ชมพู่ เพื่อหาพันธุ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุดและทําราคาในตลาดได้สูง เพื่อสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่นได้ จึงมีการคิดค้น “ชมพู่ทับทิมจันทร์” ขึ้น โดยเริ่มแรกปลูกกันในจังหวัดราชบุรีจนในปัจจุบันถือเป็นชมพู่พันธุ์ที่สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรถึง 7 หลักต่อปีเลยทีเดียวครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
พันธุ์ทุเรียน ยอดฮิตที่ตลาดนิยม ทุเรียนนับได้ว่าเป็นราชาผลไม้ของเมืองไทย เพราะนอกจากจะมีลักษณะของผลและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครแล้ว รสชาติภายในของทุเรียนแต่ละชนิดยังอร่อยหวานมันและกลมกล่อม ทําให้เป็นที่นิยมรับประทานกันอย่างมากทั้งในและต่างประเทศ จนทําให้ทุเรียนกลายเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยเราเป็นจํานวนมาก เพราะในแต่ล่ะปีเราสามารถผลิตทุเรียนขายได้ถึง 5-7 แสนตัน ซึ่งทําเงินเข้าประเทศกว่า 2 หมื่นล้านบาท เพราะนอกจากทุเรียนจะนิยมขายบริโภคผลสดกันแล้ว ก็ยังมีการนําทุเรียนไปแปรรูปเป็นอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้างเหนียวทุเรียน ไอศครีมทุเรียน หรือแม้แต่ขนมทุเรียนกรอบ ในภาคเกษตรกรรมเองก็ได้มีการเปิดสวนทุเรียนเพื่อสร้างรายได้จากผู้เข้าชมสวนและยังถือเป็นการขายในรูปแบบใหม่ด้วย
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ตะคร้อ ผลไม้รสเปรี้ยว ออกลูกปีละครั้ง ตะคร้อ เป็นผลไม้รสเปรี้ยวที่สามารถพบได้ในทุกของบ้านเรา และยังพบได้ในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง อินเดีย อินโดนีเซีย ไปจนถึงแถวคาบสมุทรอินโดจีนด้วย เพราะต้นตะคร้อเป็นต้นไม้ที่สามารถทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นได้เป็นอย่างดี ความพิเศษของตะคร้อนั้น คือสามารถออกผลได้แค่เพียงปีล่ะหนึ่งครั้งเท่านั้น จึงเป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ยากมาก และหลายๆ คนก็คงจะยังไม่รู้จัก แต่บอกเลยว่า นอกจากจะสามารถบริโภคผลสดที่สุกได้แล้ว ยังนําผลดิบไปแปรรูปเป็นผลไม้ดอง และใช้ปรุงรสอาหารแทนมะนาวได้อีกด้วย นิยมนําไปประกอบอาหารประเภทยําต่างๆ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ไผ่ตง ไผ่สร้างรายได้ ไผ่ตง เป็นพืชตระกูลไผ่ชนิดหนึ่งที่บ้านเรานิยมปลูกไว้เพื่อนําไปแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ นิยมรองลงมาจากไผ่หม่นหรือไผ่เศรษฐกิจชนิดอื่น นอกจากนี้ยังมีการใช้หน่อของไผ่ตงไปขายและบริโภคเป็นอาหาร โดยหน่อไผ่ตงนอกฤดูกาลนั้นจะมีราคาสูงกว่าในช่วงฤดูกาล เพราะเป็นช่วงที่หาหน่อไผ่ตงได้ยาก ทําให้หน่อไผ่ตงเป็นที่ต้องการในตลาดไม่แพ้ต้นไผ่ จึงทําให้ปัจจุบันเพื่อนๆ เกษตรกรบ้านเราจะนิยมปลูกไผ่ตงกันเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพันธุ์ลืมแล้ง เพราะเป็นไผ่ตงพันธุ์ที่สามารถให้หน่อไผ่ได้เยอะ เหมาะแก่การขายหน่อและนําไปขายแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
เกาลัดไทย เป็นได้ทั้งไม้ผลและไม้ประดับไปในตัว เกาลัดไทย เป็นไม้ยืนต้น ที่จัดว่าเป็นได้ทั้งไม้ผลและไม้ประดับไปในตัว เพราะนอกจากคนทั่วไปจะปลูกเพื่อนําผลเกาลัดมาคั่วรับประทานเป็นอาหารประเภทธัญพืชแล้ว บรรดานักสะสมพรรณไม้ยังนิยมสะสมไว้เป็นไม้มงคลและไม้ประดับสวนหน้าบ้าน เพราะมีผลที่มีสีสันแสดส้มสวยงาม ใบหนา ใหญ่ สีเขียววาววับ และยังให้ดอกสีชมพูงามตา
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
มูลไส้เดือน ปุ๋ยชั้นดี มูลไส้เดือน มีฮอร์โมนที่เราสามารถนํามาเร่งกระบวนการเจริญเติบโตของพืชผัก โดยมูลไส้เดือนนั้นเราจะใช้มูลจากไส้เดือนดิน ที่เลี้ยงกันทั่วไปในเขตประเทศเขตร้อนชื้น เป็นพันธุ์ที่แพร่ขยายพันธุ์ได้ง่ายและไว มีถิ่นกําเนิดพันธุ์มาจากแถบอัฟริกา ซึ่งปัจจุบันไทยเราเองก็นํามาเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายเพื่อนํามูลมาผลิตเป็นปุ๋ย โดยพันธุ์ที่นิยมนํามาเลี้ยงนั้นมีชื่อว่า พันธุ์แอฟริกัน ไนท์คลอเล่อร์ หรือเรียกกันย่อๆ ว่า พันธุ์เอเอฟและอีกพันธุ์คือพันธุ์ไทเกอร์เพราะว่าขยายพันธุ์ได้ทันใจ ให้มูลเยอะ นํามาทําเป็นปุ๋ยได้ปริมาณมากและคุณภาพดี
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
เห็ดถั่งเช่า อาหารสุขภาพราคาแพง เห็ดถั่งเช่า เป็นเห็ดอีกหนึ่งชนิดที่รู้จักกันดีในวงการอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะเห็ดถั่งเช่ามีสารอาหารที่ให้คุณประโยชน์สูง ทั้งยังมีสรรพคุณช่วยบํารุงร่างกาย ทําให้มีการนําเห็ดถั่งเช่าไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อบริโภคกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ หรือแม้แต่อาหารก็ยังมีวัตถุดิบส่วนผสมของเห็ดถั่งเช่า แต่ทั้งนี้แล้วก็ไม่มีใครบริโภคเห็ดถั่งเช่าโดยการนํามาปรุงรสเป็นอาหารโดยตรง
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
มะละกอแขกดํา มะละกอพันธุ์ดี สร้างรายได้งาม มะละกอเป็นอีกหนึ่งผลไม้ยอดฮิตในไทยบ้านเราที่นิยมบริโภคกันทั้งผลดิบและผลสุก โดยผลสุกนั้นจะให้รสชาติหวานหอมอร่อย แถมยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วยครับ และมะละกอยังสามารถใช้ผลดิบเป็นวัตถุดิบของส้มตํา อาหารรสแซ่บยอดนิยม ที่ขาดตัวเอกอย่างมะละกอไปไม่ได้ ทําให้เพื่อน ๆ เกษตรกรในบ้านเรานิยมปลูกมะละกอเพื่อค้าขายและส่งออกทั้งในตลาดและในภาคอุตสาหกรรม เพื่อนําไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สําเร็จรูปต่างๆ และยังมีการนําไปถนอมอาหารทําให้มะละกอมีอายุการเก็บรักษาอยู่ได้นานยิ่งขึ้น ทําให้เพื่อนๆ เกษตรกรหลายรายต่างพากันคัดเลือกพันธุ์มะละกอ เพื่อให้ได้พันธุ์ดีตรงกับความต้องการของตลาดมะละกอกันมากยิ่งขึ้น
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ผักขี้หูด “วาซาบิ” เมืองไทย ปลูกง่ายรสชาติอร่อย ผักขี้หูด เป็นผักพื้นบ้านทางภาคเหนือ นิยมเพาะปลูกไว้เป็นพืชสวนครัว โดยจะปลูกแซมพืชชนิดอื่นในดินที่มีความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ นิยมบริโภคใบและผล โดยนําใบอ่อนมาทานดิบๆ จะให้รสชาติที่เผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุนคล้ายกับวาซาบิ อันเป็นที่มาของฉายาว่าเป็นวาซาบิเมืองไทย ทั้งยังมีการนําใบของผักขี้หูดมาปรุงรสเป็นอาหารพื้นบ้านของภาคเหนือ ไม่ว่าจะนํามาลวกรับประทานคู่กับน้ําพริก หรือใส่ในแกง ต้มต่าง ๆ เช่น แกงผักขี้หูดใส่ปลาย่าง ที่เป็นเมนูของคนเหนือดั้งเดิม ที่ปรุงขึ้นมาได้รสชาติเข้ากันได้ดีระหว่างผักขี้หูดกับกลิ่นหอมของปลาย่าง เป็นต้นครับแต่เมื่อนํามาลวกแล้วกลิ่นฉุนของผักขี้หูดก็จะหายไปบ้างนะครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
หนอนกระทู้ หนอนกระทู้ คือ ตัวหนอนผีเสื้อชนิดหนึ่ง มีความหลากหลายของแต่ละชนิดและสายพันธุ์ เป็นแมลงศัตรูพืชที่สําคัญของพืชเศรษฐกิจทั้งพืชสวนและพืชไร่ เมื่อเกิดการระบาดขึ้นจะทําลายพืชผลกระจายเป็นพื้นที่กว้าง โดยมักเข้าทําลายพืชอาหารที่เป็นพืชไร่ เช่น ข้าว ข้าวโพด ถั่ว มันสําปะหลัง เป็นต้น และยังทําลายพืชผัก เช่นผักในตระกูลกะหล่ํา ผักกาดขาว คะน้า มะเขือเทศ เป็นต้น รวมไปถึงพืชดอก เช่น เบญจมาศ และเยอร์บีร่า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพืชส่งออกที่สําคัญของไทยเราทั้งสิ้น
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
หอยแมลงภู่ กับการเพาะเลี้ยงที่ต้องฝากชีวิตไว้กับธรรมชาติ 100% หอยแมลงภู่ คือหอยทะเลที่เป็นอาหารยอดนิยมอีกชนิดหนึ่ง ที่มีราคาย่อมเยากว่าหอยทะเลชนิดอื่นอย่างหอยแครงหรือหอยนางรม เนื่องจากในประเทศไทยยังเพาะเลี้ยงหอยแมลงภู่ได้ในปริมาณมาก ทําให้มีหอยป้อนเข้าสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งแบบหอยสด หรือหอยแปรรูป นอกจากนี้การเพาะเลี้ยงหอยแมลงภู่นั้นยังมีต้นทุนที่ต่ํามาก มีเพียงต้นทุนค่าเครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ เพื่อสร้างที่ยึดเกาะให้กับลูกหอยอาศัยเท่านั้น ส่วนลูกพันธุ์หอยแมลงภู่นั้น ผู้เลี้ยงไม่จําเป็นต้องลงทุนซื้อเพราะลูกหอยในธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ต่างจากการเพาะเลี้ยงหอยแครง และหอยนางรม ที่จําเป็นเป็นต้องลงทุนหาซื้อลูกพันธุ์หอยมาเพาะเลี้ยงเอง เนื่องจากปริมาณลูกหอยในธรรมชาติของหอยทั้งสองชนิดนี้หายาก และขาดแคลนมาก
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
น้ําบาดาล ต้องเจาะระดับความลึกที่เหมาะสมของแต่ละพื้นที่ น้ําบาดาล นับเป็นแหล่งน้ําสําคัญสําหรับเกษตรกร เพราะถือว่าเป็นแหล่งน้ําธรรมชาติที่มีต้นทุนในการจัดหาต่ํากว่าแหล่งน้ําต่างๆ เพราะน้ําบาดาลนั้นเป็นน้ําใต้ดินที่แทรกซึมอยู่ทั่วไป โดยมีต้นกําเนิดของน้ําจากฝนและแหล่งน้ําผิวดินและน้ําใต้ดินที่ซึมผ่านชั้นดินลงไปสะสมอยู่ในชั้นดินหรือช่องว่างระหว่างช่องหิน ปริมาณของน้ําบาดาลในแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกันไปตามโครงสร้างของชั้นดินและชั้นหิน ภูมิประเทศและภูมิอากาศ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ปุ๋ยน้ํา คืออะไร ปุ๋ยน้ํา คือปุ๋ยชนิดหนึ่งจากปุ๋ยอินทรีย์ 4 ประเภท ซึ่งได้แก่ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสดและปุ๋ยอินทรีย์น้ํา ซึ่งเป็นแหล่งอินทรียวัตถุและแหล่งธาตุอาหารที่สําคัญสําหรับพืช และยังมีผลต่อคุณสมบัติทางเคมี กายภาพ และชีวภาพของดินด้วย
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ผักคาวตอง ผักพื้นบ้านล้านนา ผักคาวตอง คือ ผักพื้นบ้านล้านนา ส่วนภาคกลางเรานั้นเรียกกันว่า พลูคาว เพราะลักษณะใบของผักชนิดมีความคล้ายคลึงกับใบพลู แต่ใบสดมีกลิ่นแรง รสคาวติดปาก จึงเป็นที่มาของชื่อพลูคาวนั่นเองครับ เป็นพืชล้มลุกที่เกิดขึ้นเองตามแหล่งน้ํา ลําห้วย หรือบริเวณที่มีความชุ่มชื้น จนชาวบ้านนํามาใช้เป็นผักรับประทานแนมกับลาบ ยํา โดยจะเป็นนิยมมากในแถบภาคเหนือและภาคอีสาน
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
เพลี้ยจักจั่น แมลงร้ายช่วงฝนแล้ง เพลี้ยจักจั่น เป็นหนึ่งในแมลงศัตรูพืชที่เข้าทําลายพืชผลของเราโดยตรงและยังเป็นพาหะนําโรคและเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ มาสู่ต้นพืช พบการระบาดในเขตเกษตรกรรมภายในทวีปเอเชียมาช้านาน เพราะแมลงชนิดนี้จะสามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้ดีในสภาพอากาศที่ร้อนจัด แดดแรง ยิ่งร้อนยิ่งระบาดเยอะ ทําให้พืชผลที่มักให้ผลผลิตในช่วงแล้งได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะ มะม่วง ที่มักจะแตกช่อดอกในช่วงฤดูร้อนนั้น มักจะโดนเพลี้ยจักจั่นเข้าทําลาย จนส่งผลกระทบต่อการผลผลิตกันอย่างมากเลยครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
รถตัดอ้อย ช่วยให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็วขึ้น รถตัดอ้อย คือเครื่องจักรกลที่ใช้เพื่อเก็บเกี่ยวอ้อย ที่ถูกนํามาใช้ทดแทนการว่าจ้างแรงงานในการเก็บเกี่ยวผลผลิต เพราะจําเป็นต้องที่จะต้องเร่งตัดอ้อยเพื่อส่งเข้าโรงงานผลิตน้ําตาลให้ทันช่วงเวลาหีบอ้อย ขณะที่พื้นที่การปลูกอ้อยส่วนใหญ่นั้นกว้างใหญ่ไพศาล กินเนื้อที่นับล้านไร่ทั่วประเทศ ซึ่งหากต้องใช้แรงงานคน อาจจะมีการจ้างแรงงานจํานวนมาก และมักจะเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในห้วงเวลาดังกล่าว ทําให้ผู้ประกอบการต้องนําเข้ารถตัดอ้อยมาจากต่างประเทศ และได้ประดิษฐ์เครื่องเก็บเกี่ยวแบบนี้ขึ้นมาใช้กันเอง เพื่อเป็นการลดต้นทุนเครื่องจักรกลลง ทําให้มีความคุ้มค่าในการใช้งานมากขึ้น
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ผักเสี้ยน เป็นอาหารก็ได้ เป็นสมุนไพรก็ดี ผักเสี้ยน ไม่ว่าจะเป็นผักเสี้ยนไทย ที่เราอาจเรียกกันว่าผักส้มเสี้ยน ผักเสี้ยนขาว เราจะนํามารับประทานเป็นอาหาร หรือจะเป็นผักเสี้ยนผี ที่แพทย์พื้นบ้านและแพทย์แผนไทยจะนํามาปรุงยา ซึ่งจัดเป็นสมุนไพรที่หาง่าย โดยผักเสี้ยนทั้ง 2 ชนิดนี้มีฤทธิ์ร้อน ช่วยบํารุงเลือดลมและสายตา แก้ปัญหาท้องผูก คลายเส้น คลายกล้ามเนื้อ อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และจุลินทรีย์ จึงนับว่าเป็นสมุนไพรที่น่าสนใจอย่างมากครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ไมยราบยักษ์ พืชคุกคามที่มาจากต่างถิ่น ไมยราบยักษ์ พืชคุกคามที่สร้างความเสียหายให้แก่ภาคการเกษตรของไทยเราอย่างมาก มีชื่อเรียกหลากหลายเช่น ไมยราบน้ํา ไมยราบหลวง จิยอบหลวง เป็นต้น เป็นพืชที่อยู่วงศ์เดียวกันกับพืชถั่ว ถูกจัดเป็นวัชพืชต่างถิ่นประเภทรุกรานที่มีความรุนแรง เพราะว่าเป็นพืชที่กระจายพันธุ์ได้เร็วมาก เติบโตได้ในทุกสภาพแวดล้อมทั้งสภาพน้ําท่วมและน้ําแล้ง รุกรานเข้าไปในพื้นที่ทําการเกษตร ปศุสัตว์ รวมไปถึงแหล่งน้ํา และยังเป็นวัชพืชที่กําจัดยากเพราะลําต้นปกคลุมไปด้วยหนามแหลม
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ต้นคราม ไม่ใช่เพียงสีย้อม แต่มีพร้อมด้วยสรรพคุณทางยา ต้นคราม พืชที่เรารู้จักชื่อและรู้กันดีว่าสามารถนํามาย้อมสีผ้าได้นั้น มีเพียงไม่กี่คนที่พอจะรู้จักต้นไม้ชนิดนี้อย่างแท้จริง โดยในบทความนี้เราจะเขียนถึงต้นครามที่เป็นต้นคราม ที่ไม่ใช่ต้นฮ่อมนะครับเพราะต้นฮ่อมนั้นเป็นไม้คนละวงศ์กับต้นครามโดยสิ้นเชิง แม้จะมีบางท้องถิ่นเรียกต้นฮ่อมว่าต้นครามดอยก็ตามครับ เพราะต้นครามที่เรานํามาย้อมสีนี้ เป็นต้นไม้ที่อยู่ในวงศ์เดียวกับถั่ว มีหลายสายพันธุ์ที่พบในประเทศไทย แต่ที่เรานิยมนํามาใช้ย้อมสีคือสายพันธุ์ Indigofera tinctoria เพราะสามารถหาได้ทั่วไปในทุกท้องถิ่น เพราะสามารถปรับตัวได้เข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างดี ทนต่อความแห้งแล้งและความร้อนได้ดี เจริญได้ในดินเค็ม
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
ต้นมันปู วิตามินซีสูง ต้นมันปู เป็นต้นไม้ที่มักนํามาปลูกภายในบริเวณบ้าน เพราะมีพุ่มให้ร่มเงาได้ แต่หากเจริญในป่า หรือตามธรรมชาติโดยทั่วไปจะมีลําต้นขนาดใหญ่ มีความสูงมากกว่า 15 เมตร แต่หากปลูกในบ้าน เรามักจะนิยมตัดแต่งกิ่งไม่ให้ลําต้นสูงใหญ่มากเกินไป โดยมากจะสูงไม่เกิน 2-3 เมตร
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
เครื่องขุดดิน ช่วยทุ่นแรงให้เกษตรกร เครื่องขุดดิน คือเครื่องมือที่ถูกนํามาใช้เพื่อให้เพื่อนๆ เกษตรกรทํางานง่ายขึ้น ใช้เวลาในการขุดดินน้อยลงกว่าการขุดด้วยการใช้จอบเสียมและแรงงานคน ทําให้ลดการเมื่อยล้าของร่างกายและประหยัดต้นทุนการจ้างแรงงานได้ด้วย เครื่องขุดดินหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าเครื่องขุดหลุมหรือเครื่องเจาะดินนั้น คือ เครื่องยนต์ที่มีลักษณะของการทํางานคล้ายสว่านเจาะทั่วไป ที่มีวัตถุประสงค์ในการใช้งานเพื่อขุดดินสําหรับปลูกต้นไม้หรือขุดดินฝังเสาต่างๆ บ้างก็เรียกกันว่าสว่านเจาะดินก็มีนะครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
แก้วกาญจนา ไม้ประดับใบสวย แก้วกาญจนาหรือต้นอโกลมีนา เป็นไม้ประดับที่มีใบหลากหลายสีสัน และใบหลากหลายรูปทรง กลายเป็นเสน่ห์ของต้นพืชที่ทําให้นักสะสมไม้ใบต่างเสาะแสวงมาครอบครอง ทั้งนํามาใช้เป็นไม้กระถางประดับบ้านเรือน หรือจะปลูกเป็นแปลง และยังสามารถตัดใบขายได้อีกด้วยครับ ทําให้มีกระแสความต้องการพืชชนิดนี้สูขึ้นเรื่อยๆทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ จนราคาบางต้น บางสายพันธุ์ทะยานสูงลิ่ว ยิ่งเป็นสายพันธุ์ที่เลี้ยงยาก โตช้า สวยงามจัด ด้วยแล้ว นักเลงต้นไม้ยอมจ่ายกันไม่อั้น ตลาดส่งออกที่สําคัญของไม้ประดับชนิดนี้คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เกาหลี ฮ่องกง ญี่ปุ่น อเมริกาและไต้หวัน โดยแหล่งผลิตที่สําคัญในบ้านเราจะกระจุกตัวอยู่ในแถบภาคกลาง
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }
แกลบดํา ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย แกลบดําเป็นผลผลิตจากแกลบ โดยแกลบนั้นเป็นวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่เหลือจากขั้นตอนการสีข้าวเปลือกให้กลายเป็นข้าวสาร เป็นเศษของข้าวเปลือกที่เราเรียกกันว่าแกลบดิบที่เป็นวัสดุที่มีความพรุนดีแต่กลับไม่สามารถดูดซับน้ําได้ดี ทําให้ไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร จึงได้มีการนําแกลบดิบมาเผาโดยใช้ความร้อนต่ํากว่า 1,200 องศาเซลเซียส แบบไร้ออกซิเจนหรือออกซิเจนต่ํา เพื่อไม่ทําให้เกิดเปลวไฟลุกไหม้ จนแกลบดิบกลายเป็นขี้เถ้าที่เราเรียกว่าแกลบดําที่มีน้ําหนักเบาและดูดซับน้ําได้มาก ด้วยคุณสมบัติที่เบาโปร่ง ร่วนซุยจึงถูกนํามาใช้เป็นวัสดุปลูกพืชบางชนิดได้ดี ข้อควรระวังคือแกลบดําจะมีความเป็นด่างสูง ดังนั้นก่อนนําไปใช้งานให้เรานําไปแช่น้ําเพื่อเจือจางความเป็นด่างออกไปก่อนนะครับ
{ "domain": "articles", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/blog", "title": "agriculture articles" }