en
stringlengths
9
458
th
stringlengths
13
451
This policy is a significant step towards universal health coverage, which is designed to broaden healthcare access across Thailand, with particular attention to the needs of vulnerable groups and ethnic minorities, ensuring no one is left behind.
โดยนโยบายนี้เป็นก้าวสำคัญสู่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งออกแบบมาเพื่อขยายการเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลทั่วประเทศไทย โดยให้ความสำคัญกับความต้องการของกลุ่มเปราะบางและชนกลุ่มน้อย เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
Dr. Kitisak Aksornwong, Deputy Permanent Secretary, underscored the enduring partnership between Thailand and WHO, dating back to 1951.
นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เน้นย้ำถึงความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างประเทศไทยและองค์การอนามัยโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494
This collaboration has been instrumental in achieving major health milestones, such as the establishment of a robust primary healthcare system and the effective management of pandemics.
ซึ่งความร่วมมือกันนี้เป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายสำคัญด้านสุขภาพ อาทิ การจัดตั้งระบบการดูแลสาธารณสุขพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และการจัดการกับโรคระบาดอย่างมีประสิทธิภาพ
These achievements are a testament to Thailand's dedication to elevating health standards, not only nationally but also on a global scale.
โดยความสำเร็จเหล่านี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงความทุ่มเทของประเทศไทยในการยกระดับมาตรฐานด้านสุขภาพ ไม่เพียงแค่ในระดับประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในระดับสากลด้วย
Despite Thailand's remarkable progress in public health, challenges persist in ensuring equitable healthcare access across all sectors of society.
แม้ว่าประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดในด้านสาธารณสุข แต่ความท้าทายก็ยังคงมีอยู่ ในการรับประกันการเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกันของทุกภาคส่วนในสังคม
In particular, ethnic minorities and migrant workers face unique health vulnerabilities that often go unaddressed.
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนกลุ่มน้อยและแรงงานข้ามชาติที่ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางด้านสุขภาพที่มีลักษณะเฉพาะตัวซึ่งมักไม่ได้รับการแก้ไข
This disparity highlights a critical gap in healthcare provision, prompting a need for focused discussions on how to effectively bridge these gaps and extend comprehensive health services to every community.
ความเหลื่อมล้ำนี้ยังเน้นย้ำถึงช่องว่างสำคัญในการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ กระตุ้นให้เกิดการอภิปรายที่มุ่งเน้นเกี่ยวกับวิธีการลดความเหลื่อมล้ำนี้อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายบริการด้านสุขภาพเพื่อครอบคลุมไปยังผู้คนทุกๆ กลุ่ม
Building on the foundation, the panel discussion titled "Realisation of the Right to Health: from Global to Community," featured influential voices
การอภิปรายแบบเสวนาบนพื้นฐานหัวข้อ "การตระหนักถึงสิทธิด้านสุขภาพ: การตระหนักถึงสิทธิด้านสุขภาพ : จากระดับโลกสู่ระดับชุมชน" ได้มีการอภิปรายโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
They explored health rights across various levels, emphasized the Border Health Action Plan, and discussed the development of public health for foreign workers and vulnerable populations in 31 border provinces.
ทั้งหมดได้ร่วมกันพินิจพิเคราะห์สิทธิด้านสุขภาพในระดับต่างๆ โดยเน้นไปที่แผนปฏิบัติการสาธารณสุขชายแดน และหารือเกี่ยวกับการพัฒนาด้านสาธารณสุขสําหรับแรงงานต่างด้าวและประชากรกลุ่มเปราะบางใน 31 จังหวัดชายแดน
The Border Health Action Plan specifically targets health disparities in border provinces through mobile clinics, community health worker training, and culturally sensitive health awareness campaigns.
ซึ่งแผนปฏิบัติการดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่การแก้ไขความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพในจังหวัดชายแดนผ่านคลินิกเคลื่อนที่ ผ่านการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชุมชน และการรณรงค์ให้ความรู้ด้านสุขภาพที่มีความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม
The conversation shed light on the real-world implications of health policies and the introduction of the Health Insurance for Non-Thai People System (HINT).
การเสวนาครั้งนี้ทําให้เห็นถึงผลกระทบในโลกแห่งความเป็นจริงของนโยบายด้านสุขภาพ และการนําระบบประกันสุขภาพบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิและบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย (Health Insurance for Non-Thai People System : HINT) มาใช้
This initiative, in done in collaboration between the Thai MoPH and the WHO, is transforming healthcare access.
ซึ่งโครงการริเริ่มที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขไทยและองค์การอนามัยโลกนี้กําลังเปลี่ยนแปลงการเข้าถึงการรักษาพยาบาล
HINT utilizes digital technologies to ensure real-time registration and faster service delivery, significantly improving access for stateless individuals and foreigners, aligning with Thailand's broader health goals.
โดยระบบประกันสุขภาพ HINT ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้แน่ใจว่าการลงทะเบียนเป็นไปตามเวลาจริงและการส่งมอบบริการที่รวดเร็วขึ้นช่วยเพิ่มการเข้าถึงของบุคคลไร้สัญชาติและชาวต่างชาติอย่างมีนัยสําคัญ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสุขภาพของประเทศไทยที่ขยายขอบเขตให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
Community representatives Ms. Oon Eye and Ms. Maliwan Sakor shared their transformative experiences with accessible healthcare via HINT.
นางอ่อน อ้ายยี่ และนางสาวมะลิวัลย์ สะกอ ตัวแทนชุมชนได้แบ่งปันประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงในการบริการด้านสุขภาพที่เข้าถึงได้ผ่านระบบประกันสุขภาพ HINT
Ms. Oon recounted her journey from self-medication to becoming a community health volunteer, "Before HINT, I had no access to proper, affordable healthcare, and I relied on self-medication which often made things worse. Now, I not only receive the care I need, but also help others in my community understand their health rights and access the services they deserve."
โดยคุณอ่อนได้เล่าถึงเส้นทางที่ตนเองเผชิญมา เริ่มตั้งแต่การใช้ยารักษาด้วยตนเองจนมาถึงการเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขชุมชนว่า "ก่อนที่จะมีระบบประกันสุขภาพ HINT ฉันไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่เหมาะสมและราคาไม่แพง สิ่งที่ทำได้ในตอนนั้นคือการพึ่งพาการใช้ยาด้วยตนเองซึ่งมักจะทําให้สิ่งต่างๆ แย่ลง แต่ตอนนี้ฉันไม่เพียงแต่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม แต่ยังช่วยให้คนอื่นๆ ในชุมชนของฉันเข้าใจถึงสิทธิด้านสุขภาพของพวกเขา และเข้าถึงบริการที่พวกเขาสมควรได้รับ"
Her story illuminated the profound social impact of equitable health access.
เรื่องราวของคุณอ่อน อ้ายยี่ แสดงให้เห็นถึงผลกระทบทางสังคมเชิงลึกในการเข้าถึงระบบบริการด้านสุขภาพอย่างเท่าเทียมกัน
Similarly, Ms. Maliwan shared her struggles and subsequent life improvements, "Gaining access to healthcare transformed my life and my family's. It's not just about treatment; it's about the dignity and security that comes with knowing you and your loved ones are covered."
ในทํานองเดียวกัน คุณมะลิวัลย์ได้แบ่งปันเรื่องราวของตนเองในการต่อสู้ดิ้นรนและการมีชีวิตที่ดีขึ้นตามมาว่า "การเข้าถึงการรักษาพยาบาลเปลี่ยนชีวิตของฉันและครอบครัว ไม่ใช่แค่การรักษาเท่านั้น แต่มันยังเกี่ยวกับศักดิ์ศรีและความปลอดภัยที่มาพร้อมกับการรับรู้ว่าคุณและคนที่คุณรักได้รับการคุ้มครอง"
These narratives emphasized the crucial role of inclusive health policies in enhancing community well-being and fostering social integration.
เรื่องราวเหล่านี้เน้นให้เห็นถึงบทบาทสําคัญของนโยบายด้านสุขภาพที่ครอบคลุมในการเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนและส่งเสริมการรวมกลุ่มทางสังคม
These stories not only highlighted the direct benefits of the HINT platform but also its role in fostering community empowerment and belonging.
เรื่องราวเหล่านี้ไม่เพียงแต่เน้นถึงประโยชน์โดยตรงของระบบประกันสุขภาพ HINT แต่ยังรวมถึงบทบาทในการเสริมสร้างพลังและการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอีกด้วย
The event illustrated collective progress toward a future where health is universally accessible and recognized as an indisputable right,
การเสวนาในวันนี้เปิดโอกาสให้เราได้เห็นถึงความก้าวหน้าร่วมกันไปสู่อนาคตที่เราทั้งหลายสามารถเข้าถึงระบบบริการสุขภาพได้อย่างทั่วถึงและได้รับการยอมรับว่าเป็นสิทธิที่ไม่สามารถโต้แย้งได้
culminating in a powerful call to action: to unite in making health access universally equitable,
และปิดท้ายด้วยการเรียกร้องให้มีการดําเนินการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อร่วมกันทําให้การเข้าถึงระบบบริการด้านสุขภาพมีความเท่าเทียมกันในระดับสากล
illustrating that health is not merely an individual aim but a conduit for societal contribution,
แสดงให้เห็นว่าสุขภาพไม่ได้เป็นเพียงจุดมุ่งหมายส่วนบุคคล แต่เป็นช่องทางสําหรับการช่วยเหลือสังคม
reinforcing a shared dedication to a healthier, inclusive future.
ตอกย้ำให้เห็นถึงการอุทิศตนร่วมกันเพื่ออนาคตในการมีสุขภาพที่ดีและครอบคลุมอย่างทั่วถึง
The World Health Organization (WHO) advises limiting alcohol availability and advertising as cost-effective measures to safeguard young individuals from alcohol-related risks.
องค์การอนามัยโลกแนะนำ ควบคุมการเข้าถึงทางกายภาพและจำกัดการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คือเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
Young people are susceptible to alcohol's effects due to adult consumption, easy access at retail points, and exposure to advertising across various media.
เด็กและเยาวชนเป็นประชากรกลุ่มอ่อนไหวต่อผลกระทบจากเครืองดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งจากการดื่มของผู้ใหญ่ การเข้าถึงจุดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้ง่าย และการพบเห็นกิจกรรมการตลาดและการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในหลากหลายช่องทาง
Alcohol marketing influences positive attitudes, perceptions, and expectations towards drinking.
กิจกรรมการตลาดและการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลต่อทัศนคติ การรับรู้ และความคาดหวังเชิงบวกต่อการดื่ม
It impacts the initiation of drinking, the desire to try, choice of consumption, and societal attitudes towards drinking.
ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจเริ่มดื่ม การอยากทดลองดื่ม การเลือกบริโภค และยังส่งผลต่อทัศนคติของสังคมว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเรื่องธรรมดา
Over 21 global studies confirm the link between exposure to alcohol advertising and the initiation of drinking among young people, and the progression to heavy drinking for existing drinkers.
ผลงานวิจัยศึกษาระยะยาวกว่า 21 ชิ้นทั่วโลกยืนยันว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับสื่อโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการเริ่มต้นดื่มของเด็กและเยาวชน และการดื่มหนักมากขึ้นกรณีเป็นนักดื่มอยู่แล้ว
Dr. Jos Vandelaer, WHO Representative to Thailand, stated that the WHO Global Strategy to Reduce Harmful Use of Alcohol recommends ten evidence-based policy options at the national level.
นายแพทย์จอส ฟอนเดลาร์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยกล่าวว่า ยุทธศาสตร์โลกในการจัดการปัญหาจากบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขององค์การอนามัย (WHO Global Strategy to reduce Harmful Use of Alcohol) แนะนำ 10 ข้อเสนอแนะที่ได้ผล
The three most cost-effective interventions to reduce alcohol consumption and its impacts are controlling alcohol availability, regulating alcohol marketing, and implementing pricing policies.
โดยเฉพาะมาตรการที่ได้ผลสูงในการลดการบริโภคและผลกระทบในประชากร ได้แก่ (1) การควบคุมการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (2) การควบคุมกิจกรรมการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ (3) นโยบายด้านภาษีและราคา
These interventions should complement each other.
ซึ่งประเทศต้องดำเนินมาตรการไปพร้อมๆ กันทุกมิติ
For marketing control, the most effective approach is to enforce legal measures that regulate both the content and volume of marketing activities.
การควบคุมกิจกรรมการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะได้ผลดีที่สุดก็คือ มาตรการทางกฎหมายที่ควบคุมทั้งเนื้อหาและปริมาณกิจกรรมการตลาด
This includes regulating direct and indirect marketing across all channels, prohibiting sponsorship activities promoting alcoholic beverages, restricting or banning alcohol promotion at events involving children and adolescents, and controlling emerging alcohol marketing techniques, such as social media communications.
ควบคุมการตลาดทางตรงและทางอ้อมในสื่อทุกช่องทาง ควบคุมการกิจกรรมการให้ทุนอุปถัมภ์ (sponsorship activities) ที่ส่งเสริมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำกัดหรือห้ามการส่งเสริมการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกิจกรรมที่มีเยาวชนเป็นผู้เข้าร่วม และควบคุมเทคนิคการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รูปแบบใหม่ (เช่น การสื่อสารการตลาดใน social media)
These measures can reduce overall marketing exposure among children and adolescents, potentially preventing early alcohol initiation and reducing alcohol cravings among those with addiction.
เหล่านี้เป็นกลไกที่ทำให้เด็ก วัยรุ่น และเยาวชน ได้รับสื่อกิจกรรมการตลาดลดลงในภาพรวม (exposure) ซึ่งเป็นกลไกการป้องกันการเริ่มต้นดื่มของประชากรกลุ่มนี้ และยังช่วยลดปัจจัยกระตุ้นการดื่ม (reactivity) หรือความอยากดื่ม (craving) ของผู้ดื่มหรือผู้ติดสุราด้วย
Importantly, this could counteract the alcohol industry's influence in normalizing or creating positive social values related to alcohol consumption behavior, which has widespread negative impacts on public health, the economy, and society.
ที่สำคัญเป็นการป้องกันอิทธิพลของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อการปรับเปลี่ยนหรือชี้นำค่านิยมเชิงบวกทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบอย่างกว้างขวางต่อทั้งในมิติด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคมโดยรวม
Given that children and adolescents often share the same physical environment as adults and have access to both offline and online media, enforcing marketing restrictions directed at children is challenging.
เนื่องจากเด็กและเยาวชนอยู่บนพื้นที่และสภาพแวดล้อมทางกายภาพเดียวกันกับผู้ใหญ่ และยังเข้าถึงสื่อทางกายภาพและออนไลน์ได้ตลอดเวลา ในแนวปฏิบัติมาตรการควบคุมกิจกรรมการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่สามารถแยกกฎหมายควบคุมเฉพาะการตลาดที่มุ่งเป้าไปสู่เด็กได้
Therefore, marketing should be regulated across all channels and techniques to protect children from marketing influences.
ดังนั้น การปกป้องและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากโฆษณาและกิจกรรมการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควรเป็นมาตรการที่กำหนดสำหรับทุกช่องทางและเทคนิคกลยุทธ์การตลาด
This should be supplemented with effective measures to limit physical access and a licensing system that considers the distribution of alcohol consumption problems.
ควบคู่ไปกับมาตรการที่จำกัดการเข้าถึงทางกายภาพที่มีประสิทธิผลและระบบใบอนุญาตที่คำนึงถึงการกระจายของปัญหาจากการบริโภคร่วมด้วย
Update on COVID-19 in Thailand: 7 February 2024
สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย: 7 กุมภาพันธ์ 2567
We have now entered our 5th year since the first recognition of COVID-19.
โลกได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 นับจากการตรวจพบโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ครั้งแรก
Overall, to date, 774 million cases and 7 million deaths due to this infection have been reported worldwide.
โดยภาพรวมการรายงานทั่วโลก ณ ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อแล้วทั้งสิ้น 774 ล้านคนและมีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคนี้กว่า 7 ล้านคน
Although we are past the worst phase of the pandemic, COVID-19 has not gone away.
แม้เราจะผ่านระยะระบาดหนักของโรคนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามโควิด 19 ยังไม่หมดไป
Thailand is currently experiencing a significant surge in COVID-related hospital admissions, serious pneumonia cases, individuals needing support from a mechanical ventilator and deaths.
จากข้อมูลพบว่าประเทศไทยยังคงมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 และยังมีผู้ป่วยจำเป็นต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ผู้ป่วยปอดอักเสบรุนแรง ผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ รวมถึงผู้เสียชีวิตเพิ่มจำนวนขึ้น
There is no evidence that current COVID-19 strains cause higher levels of illness;
ทั้งนี้ยังไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่า ไวรัสโควิด 19 สายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบัน ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยรุนแรงเพิ่มขึ้น
instead, the upsurge in Thailand is due to higher transmissibility of the virus and lower adherence of people to personal protective measures.
แต่เชื้อมีความสามารถในการแพร่ระบาดได้รวดเร็วขึ้น กอปรกับประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองลดลง เป็นเหตุให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
In addition, a significant minority of people in Thailand are either unvaccinated or are incompletely vaccinated.
นอกจากนี้ประชาชนบางส่วนในประเทศไทย ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน หรือได้รับวัคซีนไม่ครบ
What is the current situation with COVID-19 variants?
สถานการณ์ของโควิด 19 สายพันธุ์ใหม่ในปัจจุบันเป็นอย่างไร
The dominant COVID-19 strain in Thailand and in most other countries is known as JN.1.
ปัจจุบัน สายพันธุ์โควิด 19 ที่ระบาดในประเทศไทยและต่างประเทศ คือสายพันธุ์ JN.1.
Based current evidence, tests, treatment, and vaccines all continue to work with this strain, as with previous variants
จากหลักฐานนี้ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การรักษาพยาบาลและวัคซีนจึงต้องมีการพัฒนาต่อเนื่อง
Are COVID-19 vaccinations effective?
วัคซีนโควิด 19 มีประสิทธิภาพหรือไม่
Being immunized with the COVID-19 vaccine lowers the risk of severe illness and death.
การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคโดยการฉีดวัคซีนโควิด 19 ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตได้
More than 13 billion doses of COVID-19 Vaccine have been administered globally since 2021, with careful monitoring of side effects.
นับจากปีพ.ศ.2564 จนถึงปัจจุบัน ทั่วโลกมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้วกว่า 13,000 ล้านโดส ซึ่งมีการติดตามและเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์อย่างเป็นระบบในแต่ละประเทศ
In 2021 alone, COVID-19 vaccines saved an estimated 14.4 million lives.
ในปี พ.ศ.2564 วัคซีนโควิด 19 ช่วยป้องกันการเสียชีวิตของประชาชนกว่า 14.4 ล้านคนทั่วโลก
Do COVID-19 vaccinations have side effects?
วัคซีนโควิด 19 มีผลข้างเคียง หรืออาการไม่พึงประสงค์หรือไม่
COVID-19 vaccines are safe and effective in preventing severe disease and death.
วัคซีนโควิด 19 ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดอาการรุนแรงและการเสียชีวิต
No vaccine is free of side effects, but countries, including Thailand, have long-established systems in place as part of their immunization programmes to monitor for adverse events of any vaccine administered in the country.
ทั้งนี้ไม่มีวัคซีนชนิดใดที่ไม่มีผลข้างเคียง นานาประเทศ รวมถึงประเทศไทยมีแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศและดำเนินการมาอย่างยาวนานและมีระบบการติดตาม เฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากวัคซีนทุกชนิดที่ใช้ในประเทศ
These surveillance systems across the world have shown that severe reactions to COVID-19 vaccines are extremely rare.
ข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ของวัคซีนทั่วโลกบ่งชี้ว่า ผลข้างเคียงที่รุนแรงจากวัคซีนโควิด 19 พบได้น้อยมาก
Data for Thailand can be found at
ทั้งนี้ข้อมูลของประเทศไทยสามารถสืบค้นได้ที่
What do we know about post-COVID syndrome?
เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับกลุ่มอาการหลังติดเชื้อโควิด 19
Some people diagnosed with COVID-19 go on to develop post COVID-19 condition, (also called 'long COVID'), with lingering symptoms that can include fatigue, breathlessness, and cognitive dysfunction, e.g., 'brain fog'.
ผู้ป่วยโควิด 19 บางรายสามารถพบอาการภายหลังจากการติดเชื้อโควิด 19 หรือเรียกว่า ลองโควิด โดยผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนเพลีย หายใจไม่อิ่ม ความจำและการทำงานของสมองไม่ปกติเหมือนเดิม เช่น ภาวะสมองล้า เป็นต้น
Data suggests that about 6% of people with symptomatic COVID-19 infection develop post COVID-19 condition; of these, approximately 15% continue to have symptoms at 12 months, but most people fully recover.
จากข้อมูลปัจจุบันพบว่า ร้อยละ 6 ของผู้ป่วยโควิด 19 ที่แสดงอาการ มีอาการของลองโควิด และผู้ป่วยกลุ่มนี้ร้อยละ 15 อาจมีอาการนานได้ถึง 12 เดือน ทั้งนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายเป็นปกติ
The risk of post-COVID syndrome is associated with being female, of older age, being overweight or obese, smoking, pre-existing medical conditions, and having had severe infection that included hospitalization or ICU admission.
ความเสี่ยงของการเกิดภาวะลองโควิด มีความสัมพันธุ์กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้ ได้แก่ เพศหญิง ผู้สูงอายุ ภาวะน้ำหนักเกิน การสูบบุหรี่ การมีโรคประจำตัวและการติดเชื้อโควิดรุนแรง ซึ่งหมายรวมถึงการนอนโรงพยาบาลและการรักษา ณ หอผู้ป่วยวิกฤต
Although it is less common in children and adolescents, long-term effects after COVID-19 do occur in this age group.
ลองโควิดสามารถพบได้ในเด็กและวัยรุ่นแต่พบได้น้อยในกลุ่มวัยนี้
Studies have shown that vaccination provides significant protection against post COVID-19 condition
งานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนสามารถป้องกันภาวะลองโควิดได้
The reason why some people develop post COVID syndrome is not well understood.
อย่างไรก็ตามสาเหตุการเกิดภาวะลองโควิดยังไม่ทราบแน่ชัดและอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติม
Several possible mechanisms are being studied, including direct immune effects, neurological effects, modulation of inflammation, impact on the gut microbiome and others.
ซึ่งรวมถึง ผลกระทบโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทและสมอง กระบวนการอักเสบ ผลกระทบต่อไมโครไบโอม และอื่นๆ
There may be multiple causes, and these may differ from patient to patient.
ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
WHO strongly encourages research on this topic and guidance will be updated as we learn more.
องค์การอนามัยโลกสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ และข้อแนะนำต่างๆ จะมีการปรับปรุงและเผยแพร่เมื่อมีข้อมูลสนับสนุนอย่างเพียงพอ
Although research is ongoing, there is currently no specific drug to treat post COVID-19 condition.
อย่างไรก็ตาม การรักษาพยาบาลอย่างเหมาะสมจะช่วยบรรเทาอาการลองโควิด
However, proper medical management can make a big difference, and there are specific treatments for certain symptoms/subtypes.
ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น
WHO recommends that patients who have COVID-19 have access to follow-up with multi-disciplinary care if they have persistent, new, or changing symptoms.
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ผู้ป่วยลองโควิด 19 สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์และติดตามการรักษาโดยสหวิชาชีพได้
What can individuals do to protect infection against COVID-19?
เราทุกคนสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 ได้อย่างไร
WHO strongly recommends individuals to get vaccinated against COVID-19.
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้บุคคลที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อและมีอาการรุนแรง เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19
Those at high risk of severe COVID-19 need one dose if they have not yet been vaccinated, followed by an additional dose six months to one year later.
อย่างน้อยหนึ่งเข็มและรับเข็มต่อไปห่างจากเข็มแรก 6-12 เดือน
It is important that people who are in regular contact with other individuals who are vulnerable also get vaccinated and consider the regular use of personal protective measures including masks, cough etiquette and handwashing.
นอกจากนี้ บุคคลที่ต้องติดต่อหรือสัมผัสกับกลุ่มเปราะบาง หรือกลุ่มเสี่ยงอยู่เป็นประจำควรพิจารณารับวัคซีน ร่วมกับการปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันการติดเชื้ออย่างสม่ำเสมอ เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การปิดปาก ปิดจมูกเมื่อไอหรือจาม และการล้างมือเป็นประจำ
If individuals are unsure whether they might need a booster vaccine, they should seek guidance from a health professional
หากท่านไม่แน่ใจว่าท่านควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือไม่ โปรดปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์
What should I do if I think I might be infected with COVID-19?
เราควรทำอย่างไรหากสงสัยว่าติดเชื้อโควิด 19
Anyone who develops symptoms of COVID-19, especially if they have risk factors of severe illness should get tested to confirm the diagnosis and should seek medical care if the test is positive, so that appropriate decisions can be made about treatment and case management.
ผู้ที่มีอาการโควิด 19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงควรได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยแพทย์ เพื่อการรักษาพยาบาลและการจัดการผู้ป่วยที่เหมาะสม
Are some countries currently seeing levels of deaths that are higher than levels experienced before the COVID pandemic?
อัตราการเสียชีวิตของประชากรในบางประเทศสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนการระบาดใหญ่ของโควิด 19 หรือไม่
Most countries experienced a rise in deaths above expected (pre-COVID) levels during the COVID pandemic.
หลายประเทศพบว่าอัตราการเสียชีวิตของประชากรสูงกว่าการคาดการณ์ (ช่วงก่อนโควิด)
In some countries, this increased level of deaths (sometimes referred to as excess all-cause mortality) has continued even as the numbers of COVID deaths decreased.
ในบางประเทศอัตราการเสียชีวิตโดยรวมของประชากรเพิ่มขึ้น (อัตราการตายจากทุกสาเหตุ)แม้จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด 19 จะลดลง
These excess deaths are likely to have multiple causes.
อัตราการเสียชีวิตโดยรวมที่เพิ่มขึ้นอาจมาจากหลายสาเหตุ
A proportion of this excess mortality is still due to ongoing COVID-19 infection, but it can also be due to the legacy of interruption to chronic disease detection and management services at a time when healthcare facilities were overwhelmed with COVID infected individuals seeking care.
อาทิ สถานการณ์การติดเชื้อโควิด 19 ที่ยังคงอยู่ ระบบบริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ทำให้การตรวจพบและรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ ล่าช้า
Further analysis of data is needed to fully understand these observations, including why in some counties this excess mortality seems to be much lower, or even non-existent.
ข้อสังเกตเหล่านี้ต้องการการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ทั้งนี้บางประเทศมีรายงานอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำลง
WHO awards countries for progress in eliminating industrially produced trans fats for first tim
องค์การอนามัยโลกมอบรางวัลแก่ประเทศต่างๆ สำหรับความก้าวหน้าในการกำจัดไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรมเป็นครั้งแรก
WHO has awarded its first-ever certificates validating progress in eliminating industrially produced trans fatty-acids to five countries
เป็นครั้งแรกที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้มอบประกาศนียบัตรรับรองความก้าวหน้าในการกำจัดไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรมให้แก่ 5 ประเทศ
Denmark, Lithuania, Poland, Saudi Arabia, and Thailand have each demonstrated they have a best practice policy for industrially produced trans-fatty acids (iTFA) elimination in effect, supported by adequate monitoring and enforcement systems
คือ เดนมาร์ก ลิทัวเนีย โปแลนด์ ซาอุดิอาระเบีย และไทย ซึ่งประเทศเหล่านี้มีนโยบายและวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการกำจัดไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรม (iTFA) อีกทั้งยังมีระบบการติดตามเฝ้าระวังและการบังคับใช้ที่เหมาะสม
WHO also released results from the first five years of itsREPLACE initiativeto eliminate iTFA
นอกจากนั้นองค์การอนามัยโลกยังเปิดเผยผลลัพธ์ในช่วง 5 ปีแรกของการดำเนินโครงการREPLACEเพื่อกำจัดไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรม
While the ambitious target set by WHO in 2018—to fully eliminate iTFA from the global food supply by the end of 2023—was not met, there has been remarkable progress made towards this goal in every region of the world
ในปี 2561 องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายในการกำจัดไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรมจากแหล่งอาหารทั่วโลกภายในสิ้นปี 2566 ถึงแม้ว่า ณ ปัจจุบันเป้าหมายนั้นยังไม่บรรลุผล แต่ก็มีความก้าวหน้าที่โดดเด่นในการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ในทุกภูมิภาคของโลก
In 2023 alone, new best-practice policies became effective in 7 countries (Egypt, Mexico, Moldova, Nigeria, North Macedonia, Philippines, and Ukraine)
เฉพาะในปี 2566 เพียงปีเดียว นโยบายและวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดนั้นเริ่มมีผลบังคับใช้ใน 7 ประเทศ (อียิปต์ เม็กซิโก มอลโดวา ไนจีเรีย มาซิโดเนียเหนือ ฟิลิปปินส์ และยูเครน)
Trans-fatty acids (TFA) are semisolid to solid fats that occur in two forms: industrially produced and naturally occurring
กรดไขมันทรานส์ (TFA) เป็นไขมันกึ่งแข็งถึงแข็งซึ่งเกิดขึ้นในสองรูปแบบ คือ การผลิตจากอุตสาหกรรมและเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
Intake of TFA is associated with increased risk of heart attacks and death from heart disease
การบริโภคไขมันทรานส์มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะหัวใจวายและการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ
TFA have no known health benefits, and foods high in iTFA (e.g. fried foods, cakes and ready meals) are often high in sugar, fat and salt
ไขมันทรานส์ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และอาหารที่มีปริมาณ iTFA สูง (เช่น อาหารทอด เค้ก และอาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน) มักจะเป็นอาหารที่มีปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูงด้วย
A total of 53 countries have now best practice policies in effect for tackling iTFA in food, vastly improving the food environment for 3.7 billion people, or 46% of the world's population, as compared to 6% just 5 years ago
ในปัจจุบัน พบว่ามีทั้งสิ้น 53 ประเทศที่มีนโยบายและวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดการ iTFA ในอาหาร ซึ่งช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางอาหารที่ดีและครอบคลุมประชากรถึงกว่า 3.7 พันล้านคน หรือ คิดเป็นร้อยละ 46 ของประชากรโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับความครอบคลุมที่มีเพียงร้อยและ 6 จากเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
These policies are expected to save approximately 183 000 lives a year
ทั้งนี้นโยบายเหล่านี้คาดว่าจะช่วยรักษาชีวิตประชากรได้กว่า 183,000 คนต่อปี
"Trans fat has no known health benefit, but huge health risks," said Dr Tedros Adhanom Ghebreyesus, WHO Director-General
"เราทราบดีว่าไขมันทรานส์ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างมาก" นายแพทย์เทดรอส อาดานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลกกล่าว
"We are very pleased that so many countries have introduced policies banning or limiting trans fat in food
"เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่หลายประเทศออกนโยบายห้ามหรือจำกัดไขมันทรานส์ในอาหาร
But introducing a policy is one thing; implementing it is another
การมีนโยบายนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่การดำเนินการและบังคับใช้ก็สำคัญไม่แพ้กัน
I congratulate Denmark, Lithuania, Poland, Saudi Arabia and Thailand, who are leading the world in monitoring and enforcing their trans fat policies
ผมขอแสดงความยินดีกับประเทศเดนมาร์ก ลิทัวเนีย โปแลนด์ ซาอุดิอาระเบีย และไทย ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในการติดตามและบังคับใช้นโยบายกำจัดไขมันทรานส์
We urge other countries to follow their lead.
เราขอเรียกร้องให้ประเทศอื่นๆ ปฏิบัติเช่นเดียวกัน"