ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
3 values
Instruction
stringlengths
11
894
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
45
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Legal_9923
Legal
ช่วยสรุปบทความ ข้อแนะนำ สำหรับผู้ให้เช่าห้อง คอนโดฯ บ้าน ตึกแถว อาคารพาณิชย์ ต่างๆ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2011/2533 สัญญาเช่าไม่มีกำหนดเวลา ตกลง ชำระค่าเช่าภายในวันที่ 5ของทุกเดือน โจทก์บอกเลิกการเช่า ให้จำเลยออกจากอาคารพิพาทภายในวันที่ 5 มีนาคม 2528 จำเลยรับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าวันที่ 31 มกราคม 2528 นับจากวันที่จำเลยรับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่า จนถึง วันเลิกสัญญา เป็นเวลานานกว่า 1 เดือน เป็นการบอกกล่าวแก่จำเลยให้รู้ตัวก่อนชั่ว กำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งแล้ว การบอกเลิกสัญญาเช่าจึงเป็นไปโดย ชอบตาม ป.พ.พ.มาตรา 566 ประกอบมาตรา 570 โจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายก่อนฟ้องจำนวน 120,000 บาทอัตราค่าทนายความชั้นสูงในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาตาม ตาราง 6ท้าย ป.วิ.พ. ไม่เกินจำนวนร้อยละ 3 กรณี สัญญาเช่ามีกำหนดเวลา แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว ผู้ให้เช่าไม่ทักท้วง เช่น ยอมรับค่าเช่า เป็นต้น สัญญาเช่ามีกำหนด จะกลายเป็นสัญญาเช่าไม่มีกำหนดเวลา ทันที ประเด็น : ผู้เช่าไม่จ่ายค่าเช่า ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวให้ชำระค่าเช่า ในระยะเวลาพอสมควรก่อน หากไม่ชำระ จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6239/2551 การที่จำเลย (ผู้เช่า) บอกเลิกสัญญาไปยังโจทก์ (ผู้ให้เช่า) ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 387 ถึงมาตรา 389 กล่าวคือ โจทก์ต้องเป็นฝ่ายผิดนัดไม่สามารถส่งมอบพื้นที่เช่าให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ หรือการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ส่วนนั้นเป็นอันพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดของโจทก์ จำเลยจึงจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าแก่โจทก์ได้ แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ไม่ส่งมอบพื้นที่เช่าให้จำเลยเข้าอยู่อาศัย ตรงกันข้ามกลับได้ความว่า หลังจากที่จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังโจทก์แล้ว โจทก์ได้มีหนังสือไปถึงจำเลย แจ้งให้จำเลยใช้ประโยชน์ในพื้นที่เช่าต่อไปและชำระค่าเช่าแก่โจทก์ด้วย อันเป็นการทักท้วงจำเลยแล้วว่าการบอกเลิกสัญญาเช่าของจำเลยเป็นไปโดยมิชอบ ทั้งยังยืนยันให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาเช่าและชำระค่าเช่าที่ค้างชำระแก่โจทก์ด้วย แต่จำเลยยังเพิกเฉยไม่ชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนตาม ป.พ.พ. มาตรา 204 วรรคสอง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเช่าตามสัญญาเช่าแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 213 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างชำระโดยมิได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ทั้งหนังสือโต้แย้งของโจทก์ก็ยืนยันว่าไม่ยินยอมให้จำเลยเลิกสัญญา การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าและเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้จากจำเลย การไม่จ่ายค่าเช่า ถือเป็นเหตุให้ผู้ให้เช่าสามารถใช้บอกเลิกสัญญาได้ แต่กฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 560 ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชำระค่าเช่าภายในเวลาใด ไม่น้อยกว่า 15 วัน หากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวไปแล้ว ผู้เช่าไม่ยอมชำระค่าเช่า ถึงบอกเลิกสัญญาได้ ดังนั้นการบอกเลิกสัญญาเช่าที่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงต้องมีการให้ระยะเวลาผู้เช่าก่อน แต่ตามมาตรา 560 นั้น ไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวเนื่องด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน คู่สัญญาจึงอาจตกลงเป็นอย่างอื่นได้ และถือเอาข้อตกลงของคู่สัญญาเป็นสำคัญ โดยหากมีข้อตกลงให้บอกเลิกสัญญาเช่าได้ทันทีแล้ว ก็ต้องถือว่าสามารถใช้บังคับได้
ในคดี 2011/2533 เกี่ยวกับสัญญาเช่าที่ไม่มีกำหนดเวลา คู่กรณีได้ตกลงชำระค่าเช่าภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน โดยโจทก์บอกเลิกสัญญาและให้จำเลยออกจากอาคารภายในวันที่ 5 มีนาคม 2528 จำเลยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาวันที่ 31 มกราคม 2528 และจำเลยรับทราบการบอกเลิกนี้ก่อนชั่วโมงกำหนดชำระค่าเช่า 1 เดือน ซึ่งมีการฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย 120,000 บาท และอัตราค่าทนายความไม่เกินร้อยละ 3 การบอกเลิกสัญญาเช่าถือเป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 566 และ 570 โจทก์ถูกฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายตามอัตราทนายความที่ไม่เกินร้อยละ 3 ของค่าเรื่องทั้งหมด ในกรณีที่สัญญาเช่ามีกำหนดเวลาและเมื่อครบกำหนดแล้ว ผู้ให้เช่าไม่ทักท้วง สัญญาเช่าจะกลายเป็นสัญญาเช่าไม่มีกำหนดเวลาทันที คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6239/2551 จำเลย (ผู้เช่า) บอกเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 387-389 โดยต้องมีเหตุผลที่โจทก์ (ผู้ให้เช่า) เป็นฝ่ายผิดนัดไม่สามารถส่งมอบพื้นที่เช่าให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ หรือเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่นั้นได้ จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญา แต่ถ้าโจทก์ไม่ส่งมอบพื้นที่เช่าให้จำเลยเข้าอยู่อาศัย หลังจากจำเลยบอกเลิกสัญญา โจทก์ทักท้วงให้ใช้ประโยชน์ต่อและชำระค่าเช่า จำเลยต้องปฏิบัติตามสัญญาและชำระค่าเช่าที่ค้างชำระ แต่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนดที่สัญญา ทำให้เป็นผู้ผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 204 วรรคสอง โจทก์มีสิทธิฟ้องให้จำเลยชำระค่าเช่าตามสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 213 วรรคหนึ่ง หนังสือโต้แย้งยืนยันว่าจำเลยไม่ยินยอมให้เลิกสัญญา คดีนี้ไม่ได้เป็นการบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าสินไหมทดแทน จากการไม่ชำระหนี้ของจำเลย มาตรา 560 ระบุว่า หากไม่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน คู่สัญญาสามารถตกลงเป็นอย่างอื่นได้ โดยข้อตกลงของคู่สัญญาจะมีความสำคัญ และถ้ามีข้อตกลงที่ให้สิทธิในการบอกเลิกสัญญาทันที จะถือว่าสามารถใช้บังคับได้
กฎหมายเช่าทรัพย์,คำพิพากษาศาลฎีกา,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Summarization
cc-by-sa-4.0
Legal_9928
Legal
การเบิกความเท็จในคดีแพ่ง จะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 บัญญัติความผิดฐานเบิกความเท็จไว้ว่า: ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ องค์ประกอบของความผิดฐานเบิกความเท็จ มีดังนี้: เป็นการเบิกความในการพิจารณาคดีต่อศาล เป็นการเบิกความอันเป็นเท็จ ความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ในคดีแพ่ง แม้จะมีการเบิกความเท็จ แต่ศาลจะพิจารณาว่าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ โดยพิจารณาจากประเด็นข้อพิพาท ว่าความเท็จนั้นสามารถส่งผลต่อผลแพ้ชนะคดีหรือไม่ ตัวอย่าง คดีแพ่ง เรื่อง โจทก์ฟ้องร้องให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยเบิกความเท็จว่าไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ ศาลจะพิจารณาว่า ความเท็จของจำเลยนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ โดยพิจารณาจากหลักฐานอื่น ๆ ประกอบ เช่น สัญญาเงินกู้ เอกสารการโอนเงิน พยานบุคคล หากศาลมีเหตุผลเชื่อได้ว่า จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์จริง การเบิกความของจำเลยจะถือว่าเป็นข้อสำคัญในคดี อย่างไรก็ตาม คดีแพ่งไม่มีบทลงโทษสำหรับการเบิกความเท็จ แต่จะมีผลต่อความน่าเชื่อถือของพยาน และอาจส่งผลต่อผลแพ้ชนะคดี สรุป การเบิกความเท็จในคดีแพ่ง จะไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 เว้นแต่ว่า ความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี หมายเหตุ: คำตอบนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น กรณี具体请咨询专业律师。 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 บัญญัติความผิดฐานเบิกความเท็จไว้สำหรับการเบิกความในคดีอาญาเท่านั้น คดีแพ่งมีกฎหมายเฉพาะที่บังคับใช้ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ประมวลกฎหมายอาญา,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรม
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9930
Legal
ข้อใดไม่ใช่หลักฐานเพื่อเป็นหลักประกันผู้ต้องหาหรือจำเลย ในคดีอาญา กรณีใช้ตำแหน่งเป็นประกัน
ก. หนังสือยินยอมให้หักเงินเดือน ข. หนังสือรับรองเงินเดือน ค. หนังสือแสดงความยินยอมของคู่สมรสของผู้ประกัน ง. พันธบัตรรัฐบาล จ. บัตรประจำตัวประชาชน
คำตอบที่ถูกต้องคือ ง. เนื่องจาก เพราะพันธบัตรรัฐบาล เป็นหลักฐานเพื่อเป็นหลักประกันผู้ต้องหาหรือจำเลย ในคดีอาญา กรณีใช้พันธบัตรรัฐบาล สลากออมสิน สมุดเงินฝากประจำ ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นหลักฐานเพื่อเป็นหลักประกันผู้ต้องหาหรือจำเลย ในคดีอาญา กรณีใช้ตำแหน่งเป็นประกัน หลักประกันผู้ต้องหาหรือจำเลย ในคดีอาญา หลักทรัพย์ที่ใช้ 1. เงินสด 2. เอกสารสิทธิในที่ดิน เช่น โฉนดที่ดิน น.ส.3 ก พร้อมหนังสือรับรองราคาที่ดินจากเจ้าพนักงานที่ดิน ไม่เกิน 6 เดือน แผนที่ตั้ง และภาพถ่ายที่ตั้งหลักทรัพย์ 3. พันธบัตรรัฐบาล หรือสลากออมสิน 4. สมุดหรือใบรับเงินฝากประจำของธนาคาร พร้อมหนังสือรับรองบัญชีเงินฝาก จากธนาคารเจ้าของบัญชี 5. บุคคล ใช้ตำแหน่งประกัน พร้อมหนังสือรับรองเงินเดือนจากต้นสังกัดออกให้ไม่เกิน 3 เดือน หนังสือยินยอมให้หักเงินเดือน และหนังสือยินยอมจากคู่สมรส แนบบัตรประชาชน และทะเบียนบ้านคู่สมรส หลักฐาน 1. กรณีใช้ตำแหน่งเป็นประกัน 1.1. บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรข้าราชการของผู้ประกัน 1.2. หนังสือแสดงความยินยอมของคู่สมรสของผู้ประกัน บัตรประชาชน ทะเบียนบ้านของคู่สมรส 1.3. หนังสือรับรองเงินเดือนและสลิปเงินเดือนจากต้นสังกัด 1.4. หนังสือยินยอมให้หักเงินเดือน 2. กรณีใช้ที่ดินเป็นประกัน 2.1. หนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน เช่น โฉนดที่ดิน น.ส.3 ก 2.2. หนังสือประเมินราคาที่ดินจากเจ้าพนักงานที่ดิน 2.3. ภาพถ่ายและแผนที่ตั้งหลักทรัพย์ 3. กรณีใช้พันธบัตรรัฐบาล สลากออมสิน สมุดเงินฝากประจำ 3.1. พันธบัตรรัฐบาล หรือสลากออมสิน สมุดหรือใบรับเงินฝากประจำของธนาคาร 3.2. หนังสือรับรองบัญชีเงินฝากจากธนาคารเจ้าของบัญชีเงินฝาก
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9932
Legal
การหลบหนีของจำเลยมีผลต่ออายุความในการลงโทษอย่างไร?
null
การหลบหนีของจำเลยมีผลต่ออายุความในการลงโทษ ดังนี้: 1. กรณีมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว หากจำเลยหลบหนี: อายุความในการลงโทษจะ ไม่เริ่มนับ จนกว่าจะได้ตัวจำเลยมาเพื่อรับโทษ ระยะเวลาอายุความ: ขึ้นอยู่กับโทษที่จำเลยได้รับตามคำพิพากษา โทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก 20 ปี: อายุความ 20 ปี โทษจำคุกกว่า 7 ปี แต่ยังไม่ถึง 20 ปี: อายุความ 15 ปี โทษจำคุกกว่า 1 ปีถึง 7 ปี: อายุความ 10 ปี โทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีลงมา หรือ โทษอย่างอื่น: อายุความ 5 ปี ตัวอย่าง: ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยรับโทษจำคุก 10 ปี จำเลยหลบหนีหลังจากคำพิพากษา 5 ปี อายุความในการลงโทษจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่จับตัวจำเลยได้ จำเลยมีเวลา 5 ปี (10 - 5) ในการหลบหนี ก่อนที่จะขาดอายุความในการลงโทษ 2. กรณีอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี หากจำเลยหลบหนี: ศาลอาจสั่ง งดการพิจารณาคดี ไว้ ระยะเวลาอายุความ: หากศาลสั่งงดการพิจารณาคดีเกินกว่ากำหนดอายุความ คดีจะขาดอายุความ กำหนดอายุความ ขึ้นอยู่กับความผิดที่ถูกกล่าวหา ความผิดต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก 20 ปี: อายุความ 20 ปี ความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่า 7 ปี แต่ยังไม่ถึง 20 ปี: อายุความ 15 ปี ความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่า 1 ปีถึง 7 ปี: อายุความ 10 ปี ความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีลงมา หรือ โทษอย่างอื่น: อายุความ 5 ปี ตัวอย่าง: จำเลยถูกฟ้องร้องในคดีอาญาซึ่งต้องระวางโทษจำคุก 5 ปี จำเลยหลบหนีระหว่างการพิจารณาคดี ศาลสั่งงดการพิจารณาคดีไว้ หากศาลสั่งงดการพิจารณาคดีเกินกว่า 5 ปี คดีจะขาดอายุความ 3. กรณีจำเลยวิกลจริต หากจำเลยวิกลจริต: ศาลอาจสั่ง งดการพิจารณาคดี ไว้ ระยะเวลาอายุความ: หากศาลสั่งงดการพิจารณาคดีเกินกว่ากำหนดอายุความ คดีจะขาดอายุความ กำหนดอายุความ ขึ้นอยู่กับความผิดที่ถูกกล่าวหา ความผิดต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก 20 ปี: อายุความ 20 ปี ความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่า 7 ปี แต่ยังไม่ถึง 20 ปี: อายุความ 15 ปี ความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่า 1 ปีถึง 7 ปี: อายุความ 10 ปี ความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีลงมา หรือ โทษอย่างอื่น: อายุความ 5 ปี ตัวอย่าง: จำเลยถูกฟ้องร้องในคดีอาญาซึ่งต้องระวางโทษจำคุก 5 ปี จำเลยวิกลจริตระหว่างการพิจารณาคดี ศาลสั่งงดการพิจารณาคดีไว้ หากศาลสั่งงดการพิจารณาคดีเกินกว่า 5 ปี คดีจะขาดอายุความ
ประมวลกฎหมายอาญา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9935
Legal
การคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพในคดีอาญา หมายถึงอะไร
การคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพในคดีอาญา การคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพในคดีอาญา หมายถึง การให้ความรู้ ทางกระบวนการยุติธรรมทางอาญาทุกคดี เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งฝ่ายผู้ต้องหา จำเลย ผู้เสียหาย พยาน โดยผู้พิพากษาจะเป็นผู้ชี้แจ้งให้ฟัง หมายถึง การให้ความรู้ ทางกระบวนการยุติธรรมทางอาญาทุกคดี เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งฝ่ายผู้ต้องหา จำเลย ผู้เสียหาย พยาน โดยผู้พิพากษาจะเป็นผู้ชี้แจ้งให้ฟัง รายการที่ควรมีการให้ความรู้แก่จำเลย รายการที่ควรมีการให้ความรู้แก่จำเลย 1. องค์ประกอบความผิด ลักษณะความผิดว่าเป็นความผิดอันยอมความได้หรือไม่ ลักษณะการกระทำความผิด เช่น ตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ ความผิดกี่กรรม กี่กระทง (ป.วิ.อาญา มาตรา 165, 172) 1. องค์ประกอบความผิด ลักษณะความผิดว่าเป็นความผิดอันยอมความได้หรือไม่ ลักษณะการกระทำความผิด เช่น ตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ ความผิดกี่กรรม กี่กระทง (ป.วิ.อาญา มาตรา 165, 172) 2. สิทธิที่จะขอให้ศาลตั้งทนายความ (ป.วิ.อาญา มาตรา 8) 2. สิทธิที่จะขอให้ศาลตั้งทนายความ (ป.วิ.อาญา มาตรา 8) 3. การปล่อยชั่วคราว (ป.วิ.อาญา มาตรา 106) 3. การปล่อยชั่วคราว (ป.วิ.อาญา มาตรา 106) 4. การบรรเทาโทษ เช่น การชดใช้ค่าเสียหาย การชำระหนี้บางส่วน การกระทำด้วยประการอื่นใดเพื่อเป็นการบรรเทาผลร้ายจากการกระทำของจำเลย การรอการกำหนดโทษ และการรอการลงโทษ (ป.อ มาตรา 51 ถึง 58) 4. การบรรเทาโทษ เช่น การชดใช้ค่าเสียหาย การชำระหนี้บางส่วน การกระทำด้วยประการอื่นใดเพื่อเป็นการบรรเทาผลร้ายจากการกระทำของจำเลย การรอการกำหนดโทษ และการรอการลงโทษ (ป.อ มาตรา 51 ถึง 58) 6. เหตุเพิ่มโทษ ลดโทษ บวกโทษ นับโทษต่อ (ป.อ. มาตรา 51ถึง 58) 6. เหตุเพิ่มโทษ ลดโทษ บวกโทษ นับโทษต่อ (ป.อ. มาตรา 51ถึง 58) 7. พฤติการณ์ที่มีส่วนในการกำหนดโทษ 7. พฤติการณ์ที่มีส่วนในการกำหนดโทษ 8. สิทธิในการอุทธรณ์ ฏีกา (ป.วิ.อาญา มาตรา 193, 216) 8. สิทธิในการอุทธรณ์ ฏีกา (ป.วิ.อาญา มาตรา 193, 216) 9. ระยะเวลาในการดำเนินคดี ขั้นตอนการดำเนินคดีตั้งแต่การสั่งฟ้องของพนักงานอัยการ 9. ระยะเวลาในการดำเนินคดี ขั้นตอนการดำเนินคดีตั้งแต่การสั่งฟ้องของพนักงานอัยการ 10. สิทธิของนักโทษเด็ดขาดในกรณีคดีถึงที่สุด ตามพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 10. สิทธิของนักโทษเด็ดขาดในกรณีคดีถึงที่สุด ตามพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 รายการสิทธิของผู้เสียหาย รายการสิทธิของผู้เสียหาย 1. สิทธิในการร้องทุกข์และถอนคำร้องทุกข์ (ป.วิ.อาญา มาตรา 3, 124, 126) 1. สิทธิในการร้องทุกข์และถอนคำร้องทุกข์ (ป.วิ.อาญา มาตรา 3, 124, 126) 2. สิทธิในการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาได้ด้วยตนเองและถอนฟ้องคดีอาญา ( ป.วิ.อาญา มาตรา 3, 35) 2. สิทธิในการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาได้ด้วยตนเองและถอนฟ้องคดีอาญา ( ป.วิ.อาญา มาตรา 3, 35) 3. สิทธิในการเป็นโจทก์ฟ้องและถอนฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา (ป.วิ.อาญา มาตรา 3, 40, 15 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 175) 3. สิทธิในการเป็นโจทก์ฟ้องและถอนฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา (ป.วิ.อาญา มาตรา 3, 40, 15 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 175) 4. สิทธิในการเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ (ป.วิ.อาญา มาตรา 30) 4. สิทธิในการเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ (ป.วิ.อาญา มาตรา 30) 5. สิทธิในการยอมความในคดีความผิดต่อส่วนตัว (ป.วิ.อาญา มาตรา 35) 5. สิทธิในการยอมความในคดีความผิดต่อส่วนตัว (ป.วิ.อาญา มาตรา 35) 6. สิทธิที่จะยื่นคำร้องในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ โดยขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ (ป.วิ.อาญา มาตรา 41/1) 6. สิทธิที่จะยื่นคำร้องในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ โดยขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ (ป.วิ.อาญา มาตรา 41/1) ในกรณีที่ผู้สียหายยื่นคำร้องตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 41/1 แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาให้ส่งหมายนัดไปยังผู้เสียหายด้วย และหากศาลพิพากษายกฟ้องคดีอาญา หรือพิพากษาให้ค่าเสียหายไม่เต็มตามคำขอ ให้แจ้งสิทธิในการอุทธรณ์คำร้องในส่วนแพ่งด้วย ในกรณีที่ผู้สียหายยื่นคำร้องตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 41/1 แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาให้ส่งหมายนัดไปยังผู้เสียหายด้วย และหากศาลพิพากษายกฟ้องคดีอาญา หรือพิพากษาให้ค่าเสียหายไม่เต็มตามคำขอ ให้แจ้งสิทธิในการอุทธรณ์คำร้องในส่วนแพ่งด้วย 7. สิทธิที่จะไม่ต้องตอบคำถาม ซึ่งโดยตรงหรืออ้อมอาจจะทำให้ผู้เสียหายในฐานะพยานถูกฟ้องคดีอาญา (ป.วิ.อาญา มาตรา 24) 7. สิทธิที่จะไม่ต้องตอบคำถาม ซึ่งโดยตรงหรืออ้อมอาจจะทำให้ผู้เสียหายในฐานะพยานถูกฟ้องคดีอาญา (ป.วิ.อาญา มาตรา 24) 8. สิทธิให้จัดหาล่ามหรือล่ามภาษามือ (ป.วิ.อาญา มาตรา 13) 8. สิทธิให้จัดหาล่ามหรือล่ามภาษามือ (ป.วิ.อาญา มาตรา 13) 9. ผู้เสียหายที่เป็นโจทก์หรือเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการมีสิทธิอุทธรณ์หรือฏีกาได้ (ป.วิ.อาญา มาตรา 193, 216) 9. ผู้เสียหายที่เป็นโจทก์หรือเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการมีสิทธิอุทธรณ์หรือฏีกาได้ (ป.วิ.อาญา มาตรา 193, 216) 10. สิทธิตรวจหรือคัดสำเนาคำให้การของตนในชั้นพนักงานสอบสวนหรือเอกสารประกอบคำให้การของตน เมื่ออัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว (ป.วิ.อาญา มาตรา 8) 10. สิทธิตรวจหรือคัดสำเนาคำให้การของตนในชั้นพนักงานสอบสวนหรือเอกสารประกอบคำให้การของตน เมื่ออัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว (ป.วิ.อาญา มาตรา 8) 11. สิทธิคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย (ป.วิ.อาญา มาตรา 108/2) 11. สิทธิคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย (ป.วิ.อาญา มาตรา 108/2)
การคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพในคดีอาญา หมายถึง การให้ความรู้ ทางกระบวนการยุติธรรมทางอาญาทุกคดี เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งฝ่ายผู้ต้องหา จำเลย ผู้เสียหาย พยาน โดยผู้พิพากษาจะเป็นผู้ชี้แจ้งให้ฟัง รายการที่ควรมีการให้ความรู้แก่จำเลย 1. องค์ประกอบความผิด ลักษณะความผิดว่าเป็นความผิดอันยอมความได้หรือไม่ ลักษณะการกระทำความผิด เช่น ตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ ความผิดกี่กรรม กี่กระทง (ป.วิ.อาญา มาตรา 165, 172) 2. สิทธิที่จะขอให้ศาลตั้งทนายความ (ป.วิ.อาญา มาตรา 8) 3. การปล่อยชั่วคราว (ป.วิ.อาญา มาตรา 106) 4. การบรรเทาโทษ เช่น การชดใช้ค่าเสียหาย การชำระหนี้บางส่วน การกระทำด้วยประการอื่นใดเพื่อเป็นการบรรเทาผลร้ายจากการกระทำของจำเลย การรอการกำหนดโทษ และการรอการลงโทษ (ป.อ มาตรา 51 ถึง 58) 6. เหตุเพิ่มโทษ ลดโทษ บวกโทษ นับโทษต่อ (ป.อ. มาตรา 51ถึง 58) 7. พฤติการณ์ที่มีส่วนในการกำหนดโทษ 8. สิทธิในการอุทธรณ์ ฏีกา (ป.วิ.อาญา มาตรา 193, 216) 9. ระยะเวลาในการดำเนินคดี ขั้นตอนการดำเนินคดีตั้งแต่การสั่งฟ้องของพนักงานอัยการ 10. สิทธิของนักโทษเด็ดขาดในกรณีคดีถึงที่สุด ตามพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 รายการสิทธิของผู้เสียหาย 1. สิทธิในการร้องทุกข์และถอนคำร้องทุกข์ (ป.วิ.อาญา มาตรา 3, 124, 126) 2. สิทธิในการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาได้ด้วยตนเองและถอนฟ้องคดีอาญา ( ป.วิ.อาญา มาตรา 3, 35) 3. สิทธิในการเป็นโจทก์ฟ้องและถอนฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา (ป.วิ.อาญา มาตรา 3, 40, 15 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 175) 4. สิทธิในการเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ (ป.วิ.อาญา มาตรา 30) 5. สิทธิในการยอมความในคดีความผิดต่อส่วนตัว (ป.วิ.อาญา มาตรา 35) 6. สิทธิที่จะยื่นคำร้องในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ โดยขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ (ป.วิ.อาญา มาตรา 41/1) ในกรณีที่ผู้สียหายยื่นคำร้องตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 41/1 แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาให้ส่งหมายนัดไปยังผู้เสียหายด้วย และหากศาลพิพากษายกฟ้องคดีอาญา หรือพิพากษาให้ค่าเสียหายไม่เต็มตามคำขอ ให้แจ้งสิทธิในการอุทธรณ์คำร้องในส่วนแพ่งด้วย 7. สิทธิที่จะไม่ต้องตอบคำถาม ซึ่งโดยตรงหรืออ้อมอาจจะทำให้ผู้เสียหายในฐานะพยานถูกฟ้องคดีอาญา (ป.วิ.อาญา มาตรา 24) 8. สิทธิให้จัดหาล่ามหรือล่ามภาษามือ (ป.วิ.อาญา มาตรา 13) 9. ผู้เสียหายที่เป็นโจทก์หรือเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการมีสิทธิอุทธรณ์หรือฏีกาได้ (ป.วิ.อาญา มาตรา 193, 216) 10. สิทธิตรวจหรือคัดสำเนาคำให้การของตนในชั้นพนักงานสอบสวนหรือเอกสารประกอบคำให้การของตน เมื่ออัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว (ป.วิ.อาญา มาตรา 8) 11. สิทธิคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย (ป.วิ.อาญา มาตรา 108/2)
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายสิทธิมนุษยชน,ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9937
Legal
ในสัญญาประนีประนอมยอมความ กรณีผิดสัญญากู้ยืมเงิน ข้อ 2 ระบุว่า "หากจำเลยผิดนัดชำระงวดใดงวดหนึ่ง ให้ถือว่าผิดนัดในส่วนที่ค้างชำระทั้งหมด ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีในยอดหนี้ตามทุนทรัพย์ หักด้วยจำนวนเงินที่จำเลยชำระมาภายหลัง พร้อมทั้งยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินที่ค้างชำระ แต่ต้องไม่เกินต้นเงินจำนวน 1,000,000 บาท(หนึ่งล้านบาทถ้วน) นับแต่วันที่ผิดนัดชำระเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้เสร็จสิ้นแก่โจทก์" กรณีนี้ โจทก์สามารถฟ้องร้องบังคับคดีจำเลยได้หรือไม่ อย่างไร?
null
โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องบังคับคดีจำเลย กรณีที่จำเลยผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ควรศึกษาข้อมูลและเตรียมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนก่อนดำเนินการฟ้องร้อง โจทก์สามารถฟ้องร้องบังคับคดีจำเลยได้ โดยอาศัยเหตุผลดังต่อไปนี้ 1. จำเลยผิดสัญญา: จากข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความ ชัดเจนว่า จำเลยตกลงผ่อนชำระหนี้เป็นรายงวดๆ ละเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท แต่หากจำเลยผิดนัดชำระงวดใดงวดหนึ่ง ถือว่าผิดนัดในส่วนที่ค้างชำระทั้งหมด 2. จำเลยยินยอมให้โจทก์บังคับคดี: ข้อความในสัญญาบ่งชี้เจตนาของจำเลยที่ชัดเจนว่า ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที กรณีที่จำเลยผิดนัดชำระ 3. โจทก์มีสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ย: สัญญาระบุไว้ชัดเจนว่า จำเลยตกลงยินยอมให้โจทก์เรียกร้องดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินที่ค้างชำระ กรณีที่จำเลยผิดนัดชำระ อย่างไรก็ตาม โจทก์ควรพิจารณาประเด็นเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจฟ้องร้องบังคับคดี จำนวนเงินที่จำเลยชำระมาแล้ว: โจทก์ต้องหักจำนวนเงินที่จำเลยชำระมาแล้วออกจากยอดหนี้คงค้างก่อนคำนวณดอกเบี้ย ระยะเวลาที่จำเลยผิดนัด: จำนวนเงินดอกเบี้ยที่จำเลยต้องชำระจะคำนวณจากระยะเวลาที่จำเลยผิดนัดชำระ ค่าธรรมเนียมในการดำเนินคดี: โจทก์ต้องพิจารณาค่าธรรมเนียมในการดำเนินคดีเพิ่มเติมด้วย ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น โจทก์ควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีของตน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_9938
Legal
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 บัญญัติว่าอย่างไร
null
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 บัญญัติว่า การพิจารณาและสืบพยานในศาล ให้ทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลแล้ว และศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง คำให้การของจำเลยให้จดไว้ ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การ ก็ให้ศาลจดรายงานไว้และดำเนินการพิจารณาต่อไป ในการสืบพยาน เมื่อได้พิเคราะห์ถึงเพศ อายุ ฐานะ สุขภาพอนามัย ภาวะแห่งจิตของพยานหรือความเกรงกลัวที่พยานมีต่อจำเลยแล้ว จะดำเนินการโดยไม่ให้พยานเผชิญหน้าโดยตรงกับจำเลยก็ได้ซึ่งอาจกระทำโดยการใช้โทรทัศน์วงจรปิด สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือวิธีอื่นตามที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา และจะให้สอบถามผ่านนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ หรือบุคคลอื่นที่พยานไว้วางใจด้วยก็ได้ ในการสืบพยาน ให้มีการบันทึกคำเบิกความพยานโดยใช้วิธีการบันทึกลงในวัสดุ ซึ่งสามารถถ่ายทอดออกเป็นภาพและเสียงซึ่งสามารถตรวจสอบถึงความถูกต้องของการบันทึกได้ และให้ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาใช้การบันทึกดังกล่าวประกอบการพิจารณาคดีด้วย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ข้อบังคับของประธานศาลฎีกาตามวรรคสามและวรรคสี่ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9939
Legal
คำสาบานตนของพยานในศาลของศาสนาพุทธ กล่าวว่าอย่างไร
คำสาบานตนของพยานในศาล ตามศาสนาที่นับถือ คำสาบานตนของพยานในศาล ตามศาสนาที่นับถือ คำสาบานของศาสนาพุทธ คำสาบานของศาสนาพุทธ "ข้าพเจ้าขอสาบานตนต่อพระแก้วมรกต เจ้าพ่อหลักเมือง พระสยามเทวาธิราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าจะเบิกความต่อศาลด้วยความสัตย์จริงทั้งสิ้น หากข้าพเจ้าเอาความเท็จมากล่าวแม้แต่น้อย ขอภยันตรายและความวิบัติทั้งปวงจงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าโดยพลัน หากข้าพเจ้ากล่าวความจริงต่อศาล ขอให้ข้าพเจ้าจงประสบแต่ความสุขความเจริญ" "ข้าพเจ้าขอสาบานตนต่อพระแก้วมรกต เจ้าพ่อหลักเมือง พระสยามเทวาธิราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าจะเบิกความต่อศาลด้วยความสัตย์จริงทั้งสิ้น หากข้าพเจ้าเอาความเท็จมากล่าวแม้แต่น้อย ขอภยันตรายและความวิบัติทั้งปวงจงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าโดยพลัน หากข้าพเจ้ากล่าวความจริงต่อศาล ขอให้ข้าพเจ้าจงประสบแต่ความสุขความเจริญ" คำสาบานของศาสนาคริสต์ คำสาบานของศาสนาคริสต์ "ข้าพเจ้าขอสาบานตนต่อพระเยซูเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะเบิกความต่อศาลด้วยความสัตย์จริงทั้งสิ้น หากข้าพเจ้านำความเท็จมากล่าวแม้แต่น้อย ขอภยันตรายและความวิบัติทั้งปวงจงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าโดยพลัน หากข้าพเจ้ากล่าวความจริงต่อศาล ขอให้ข้าพเจ้าจงประสบแต่ความสุขความเจริญ" "ข้าพเจ้าขอสาบานตนต่อพระเยซูเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะเบิกความต่อศาลด้วยความสัตย์จริงทั้งสิ้น หากข้าพเจ้านำความเท็จมากล่าวแม้แต่น้อย ขอภยันตรายและความวิบัติทั้งปวงจงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าโดยพลัน หากข้าพเจ้ากล่าวความจริงต่อศาล ขอให้ข้าพเจ้าจงประสบแต่ความสุขความเจริญ" คำสาบานของศาสนาอิสลาม คำสาบานของศาสนาอิสลาม "ข้าพเจ้าขอสาบานตนต่อพระอัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าจะเบิกความต่อศาลด้วยความสัตย์จริงทั้งสิ้น หากข้าพเจ้านำความเท็จมากล่าว ขอองค์พระอัลเลาะห์ทรงโปรดลงโทษข้าพเจ้า หากข้าพเจ้ากล่าวความจริงต่อศาล ขอองค์พระอัลเลาะห์ทรงโปรดตอบแทนข้าพเจ้า ด้วยความดีงามทั้งหลายด้วย" "ข้าพเจ้าขอสาบานตนต่อพระอัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าจะเบิกความต่อศาลด้วยความสัตย์จริงทั้งสิ้น หากข้าพเจ้านำความเท็จมากล่าว ขอองค์พระอัลเลาะห์ทรงโปรดลงโทษข้าพเจ้า หากข้าพเจ้ากล่าวความจริงต่อศาล ขอองค์พระอัลเลาะห์ทรงโปรดตอบแทนข้าพเจ้า ด้วยความดีงามทั้งหลายด้วย" คำสาบานเป็นภาษาอังกฤษ คำสาบานเป็นภาษาอังกฤษ "The evidence that I shall give to the court shall be the truth, the whole truth, and nothing but the truth. (So help me Go)" "The evidence that I shall give to the court shall be the truth, the whole truth, and nothing but the truth. (So help me Go)" ป.วิ.แพ่ง ป.วิ.แพ่ง มาตรา 112 ก่อนเบิกความพยานทุกคนต้องสาบานตนตามลัทธิศาสนาหรือจารีตประเพณีแห่งชาติของตน หรือกล่าวคำปฏิญาณว่าจะให้การตามความสัตย์จริงเสียก่อน เว้นแต่ มาตรา 112 ก่อนเบิกความพยานทุกคนต้องสาบานตนตามลัทธิศาสนาหรือจารีตประเพณีแห่งชาติของตน หรือกล่าวคำปฏิญาณว่าจะให้การตามความสัตย์จริงเสียก่อน เว้นแต่ (1) พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (1) พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (2) บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี หรือบุคคลที่ศาลเห็นว่าหย่อนความรู้สึกผิดและชอบ (2) บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี หรือบุคคลที่ศาลเห็นว่าหย่อนความรู้สึกผิดและชอบ (3) พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา (3) พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา (4) บุคคลซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าไม่ต้องให้สาบานหรือกล่าวคำปฏิญาณ (4) บุคคลซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าไม่ต้องให้สาบานหรือกล่าวคำปฏิญาณ
คำสาบานตนของพยานในศาลของศาสนาพุทธ กล่าวว่า "ข้าพเจ้าขอสาบานตนต่อพระแก้วมรกต เจ้าพ่อหลักเมือง พระสยามเทวาธิราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าจะเบิกความต่อศาลด้วยความสัตย์จริงทั้งสิ้น หากข้าพเจ้าเอาความเท็จมากล่าวแม้แต่น้อย ขอภยันตรายและความวิบัติทั้งปวงจงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าโดยพลัน หากข้าพเจ้ากล่าวความจริงต่อศาล ขอให้ข้าพเจ้าจงประสบแต่ความสุขความเจริญ"
วิชาว่าความและทนายความ คำฟ้อง คำให้การและคำร้องขอ มรรยาททนายความ
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Legal_9941
Legal
ข้อใดกล่าวถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3229/2550 ได้ถูกต้อง
a. แม้ท้ายคำขอระบุยอดหนี้คำนวณถึงก่อนยื่นคำขอ 1 วัน ถือว่าโจทก์ขอให้ออกหมายบังคับคดีผิดแผกแตกต่างไปจากคำพิพากษาตามยอม b. เมื่อโจทก์กับจำเลยได้ลงลายมือชื่อรับทราบคำพิพากษาตามยอมและคำบังคับ ย่อมไม่ถือว่ามีการส่งคำบังคับไปยังจำเลย c. ที่หน้าสำนวนระบุข้อความของคำบังคับไว้ว่า ให้โจทก์และจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ มิฉะนั้นจะถูกบังคับคดีตามกฎหมาย d. ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมได้อ่านคำพิพากษาตามยอมและคำบังคับให้คู่ความฟังแล้ว จึงไม่ให้คู่ความลงลายมือชื่อไว้ที่หน้าสำนวน
คำตอบที่ถูกต้องคือ c. เพราะว่า เพราะ "ที่หน้าสำนวนระบุข้อความของคำบังคับไว้ว่า ให้โจทก์และจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ มิฉะนั้นจะถูกบังคับคดีตามกฎหมาย" กล่าวถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3229/2550 ได้ถูกต้อง ส่วนข้ออื่น ๆ กล่าวไม่ถูกต้อง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3229/2550 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมได้อ่านคำพิพากษาตามยอมและคำบังคับให้คู่ความฟังแล้ว จึงให้คู่ความลงลายมือชื่อไว้ที่หน้าสำนวน และที่หน้าสำนวนระบุข้อความของคำบังคับไว้ว่า ให้โจทก์และจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ มิฉะนั้นจะถูกบังคับคดีตามกฎหมาย โดยมีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นลงนามในฐานะเป็นผู้ออกคำบังคับ ข้อความที่ระบุไว้ที่หน้าสำนวนดังกล่าวถือได้ว่าเป็นคำบังคับแล้ว เมื่อโจทก์กับจำเลยได้ลงลายมือชื่อรับทราบคำพิพากษาตามยอมและคำบังคับ ย่อมถือได้ว่ามีการส่งคำบังคับไปยังจำเลยแล้ว ศาลจึงไม่จำต้องออกคำบังคับซ้ำอีก โจทก์ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดี แม้ท้ายคำขอระบุยอดหนี้คำนวณถึงก่อนยื่นคำขอ 1 วัน ก็ไม่ถือว่าโจทก์ขอให้ออกหมายบังคับคดีผิดแผกแตกต่างไปจากคำพิพากษาตามยอม คำขอดังกล่าวชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 275
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),คำพิพากษาศาลฎีกา
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9942
Legal
พรบ.ว่าด้วยข้อสัญญาไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา3บัญญัติว่าอย่างไร
a. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ b. มาตรา 13 ในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีตามพระราชบัญญัตินี้เมื่อคู่ความร้องขอ หรือศาลเห็นสมควร ศาลอาจขอให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญมาให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษาได้ ศาลอาจขอให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญ มาตรา 14 ให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญที่ศาลขอให้มาให้ความเห็นได้รับค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าเช่าที่พักตามระเบียบที่กระทรวงยุติธรรมกำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง c. ในการวินิจฉัยว่าข้อสัญญาจะมีผลบังคับเพียงใดจึงจะเป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีให้พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ทั้งปวง รวมทั้ง (1) ความสุจริต อำนาจต่อรอง ฐานะทางเศรษฐกิจ ความรู้ ความเข้าใจ ความสันทัดจัดเจน ความคาดหมาย แนวทางที่เคยปฏิบัติ ทางเลือกอย่างอื่น และทางได้เสียทุกอย่างของคู่สัญญาตามสภาพที่เป็นจริง (1) ความสุจริต อำนาจต่อรอง ฐานะทางเศรษฐกิจ ความรู้ ความเข้าใจ ความสันทัดจัดเจน ความคาดหมาย แนวทางที่เคยปฏิบัติ ทางเลือกอย่างอื่น และทางได้เสียทุกอย่างของคู่สัญญาตามสภาพที่เป็นจริง (2) ปกติประเพณีของสัญญาชนิดนั้น (2) ปกติประเพณีของสัญญาชนิดนั้น (3) เวลาและสถานที่ในการทำสัญญาหรือในการปฏิบัติตามสัญญา (3) เวลาและสถานที่ในการทำสัญญาหรือในการปฏิบัติตามสัญญา (4) การรับภาระที่หนักกว่ามากของคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง (4) การรับภาระที่หนักกว่ามากของคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง d. พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
คำตอบคือ d. เนื่องจาก : มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540" มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้ "ข้อสัญญา" หมายความว่า ข้อตกลง ความตกลง และความยินยอมรวมทั้งประกาศ และคำแจ้งความเพื่อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดด้วย "ข้อสัญญา" หมายความว่า ข้อตกลง ความตกลง และความยินยอมรวมทั้งประกาศ และคำแจ้งความเพื่อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดด้วย "ผู้บริโภค" หมายความว่า ผู้เข้าทำสัญญาในฐานะผู้ซื้อ ผู้เช่า ผู้เช่าซื้อ ผู้กู้ ผู้เอาประกันภัย หรือผู้เข้าทำสัญญาอื่นใด เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน บริการ หรือประโยชน์อื่นใดโดยมีค่าตอบแทน ทั้งนี้ การเข้าทำสัญญานั้นต้องเป็นไปโดยมิใช้เพื่อการค้าทรัพย์สิน บริการ หรือประโยชน์อื่นใดนั้น และให้หมายความรวมถึงผู้เข้าทำสัญญาในฐานะผู้ค้ำประกันของบุคคลดังกล่าว ซึ่งมิได้กระทำเพื่อการค้าด้วย "ผู้บริโภค" หมายความว่า ผู้เข้าทำสัญญาในฐานะผู้ซื้อ ผู้เช่า ผู้เช่าซื้อ ผู้กู้ ผู้เอาประกันภัย หรือผู้เข้าทำสัญญาอื่นใด เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน บริการ หรือประโยชน์อื่นใดโดยมีค่าตอบแทน ทั้งนี้ การเข้าทำสัญญานั้นต้องเป็นไปโดยมิใช้เพื่อการค้าทรัพย์สิน บริการ หรือประโยชน์อื่นใดนั้น และให้หมายความรวมถึงผู้เข้าทำสัญญาในฐานะผู้ค้ำประกันของบุคคลดังกล่าว ซึ่งมิได้กระทำเพื่อการค้าด้วย "ผู้บริโภค" ผู้ซื้อ ผู้เช่า ผู้เช่าซื้อ ผู้กู้ ผู้เอาประกันภัย หรือผู้เข้าทำสัญญาอื่นใด เข้าทำสัญญานั้นต้องเป็นไปโดยมิใช้เพื่อการค้าทรัพย์สิน บริการ หรือประโยชน์อื่นใดนั้น "ผู้ประกอบธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพ" หมายความว่า ผู้เข้าทำสัญญาใน ฐานะผู้ขาย ผู้ให้เช่า ผู้ให้เช่าซื้อ ผู้ให้กู้ ผู้รับประกันภัย หรือผู้เข้าทำสัญญาอื่นใดเพื่อจัดให้ซึ่งทรัพย์สิน บริการ หรือประโยชน์อื่นใด ทั้งนี้ การเข้าทำสัญญานั้นต้องเป็นไปเพื่อการค้า ทรัพย์สิน บริการ หรือประโยชน์อื่นใดนั้นเป็นทางค้าปกติของตน "ผู้ประกอบธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพ" หมายความว่า ผู้เข้าทำสัญญาใน ฐานะผู้ขาย ผู้ให้เช่า ผู้ให้เช่าซื้อ ผู้ให้กู้ ผู้รับประกันภัย หรือผู้เข้าทำสัญญาอื่นใดเพื่อจัดให้ซึ่งทรัพย์สิน บริการ หรือประโยชน์อื่นใด ทั้งนี้ การเข้าทำสัญญานั้นต้องเป็นไปเพื่อการค้า ทรัพย์สิน บริการ หรือประโยชน์อื่นใดนั้นเป็นทางค้าปกติของตน "สัญญาสำเร็จรูป" หมายความว่า สัญญาที่ทำเป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีการกำหนดข้อสัญญาที่เป็นสาระสำคัญไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะทำในรูปแบบใด ซึ่งคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำมาใช้ ในการประกอบกิจการของตน "สัญญาสำเร็จรูป" หมายความว่า สัญญาที่ทำเป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีการกำหนดข้อสัญญาที่เป็นสาระสำคัญไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะทำในรูปแบบใด ซึ่งคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำมาใช้ ในการประกอบกิจการของตน กำหนดข้อสัญญาที่เป็นสาระสำคัญไว้ล่วงหน้า ในการประกอบกิจการของตน
กฎหมายนิติกรรม-สัญญา-ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Legal_9944
Legal
โจทก์จำเป็นต้องยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดในคดีมโนสาเร่หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 วรรคสี่ (เดิม) และมาตรา 193 ทวิ วรรคสอง กำหนดหลักเกณฑ์การขาดนัดยื่นคำให้การสำหรับคดีมโนสาเร่ไว้เป็นการเฉพาะ หมายความว่า คดีมโนสาเร่จะมีหลักเกณฑ์การขาดนัดยื่นคำให้การที่แตกต่างจากคดีแพ่งสามัญ หลักเกณฑ์การขาดนัดยื่นคำให้การสำหรับคดีมโนสาเร่ ระบุไว้ว่า: โจทก์ต้องส่งหมายเรียกให้จำเลยยื่นคำให้การภายใน 30 วัน หากจำเลยไม่ยื่นคำให้การภายใน 30 วัน ศาลจะถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด ในคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจให้โจทก์ส่งเอกสารแทนการสืบพยานและพิพากษาคดีจนเสร็จสิ้น การกระทำดังกล่าวของศาลชั้นต้น แสดงว่าศาลได้พิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวตามหลักเกณฑ์ของคดีมโนสาเร่แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ว่า "ถ้าโจทก์ไม่ยื่นคำขอตามมาตรา 193 ทวิ ให้ถือว่าโจทก์สละสิทธิที่จะให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด" บทบัญญัตินี้ใช้กับคดีแพ่งสามัญเท่านั้น ไม่ได้ใช้กับคดีมโนสาเร่ จากเหตุผลทั้งหมดข้างต้น จึงสรุปได้ว่า โจทก์ในคดีมโนสาเร่ไม่จำเป็นต้องยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด ศาลสามารถพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวและพิพากษาคดีจนเสร็จสิ้นได้ เพิ่มเติม: คดีมโนสาเร่ หมายถึง คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ไม่เกินสี่หมื่นบาท หลักเกณฑ์การขาดนัดยื่นคำให้การสำหรับคดีมโนสาเร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งรัดคดีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว โจทก์ควรศึกษาหลักเกณฑ์การขาดนัดยื่นคำให้การสำหรับคดีมโนสาเร่อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Medical_27828
Medical
การใช้คลื่นไมโครเวฟในการพาสเจอร์ไรส์อาหารมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ความร้อนแบบปกติหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: การใช้คลื่นไมโครเวฟในการพาสเจอร์ไรส์อาหารมีข้อดีหลายประการ: ความร้อนกระจายสม่ำเสมอ: คลื่นไมโครเวฟสามารถแทรกซึมผ่านอาหารได้อย่างลึกซึ้งและกระจายความร้อนได้อย่างสม่ำเสมอ ต่างจากการให้ความร้อนแบบปกติที่ความร้อนอาจกระจายไม่ทั่วถึง ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ใช้เวลาสั้น: การใช้คลื่นไมโครเวฟสามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้ในเวลาสั้นกว่าการใช้ความร้อนแบบปกติ ส่งผลต่อคุณภาพของอาหารที่ดีกว่า เช่น สีสัน กลิ่น รสชาติ ประหยัดพลังงาน: การใช้คลื่นไมโครเวฟใช้พลังงานน้อยกว่าการใช้ความร้อนแบบปกติ ควบคุมอุณหภูมิได้ง่าย: สามารถควบคุมอุณหภูมิและระยะเวลาในการพาสเจอร์ไรส์ได้อย่างแม่นยำ ทำความสะอาดง่าย: อุปกรณ์ที่ใช้ในการพาสเจอร์ไรส์ด้วยคลื่นไมโครเวฟทำความสะอาดง่ายกว่า อย่างไรก็ตาม การใช้คลื่นไมโครเวฟในการพาสเจอร์ไรส์อาหารก็มีข้อจำกัด: อาจเกิดจุดร้อน: คลื่นไมโครเวฟอาจทำให้เกิดจุดร้อนในอาหาร ส่งผลต่อคุณภาพของอาหาร อาจทำลายสารอาหาร: คลื่นไมโครเวฟอาจทำลายสารอาหารบางชนิดในอาหาร ไม่เหมาะกับอาหารบางประเภท: อาหารบางประเภท เช่น อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีน้ำตาลสูง ไม่เหมาะกับการพาสเจอร์ไรส์ด้วยคลื่นไมโครเวฟ งานวิจัยทางการแพทย์: งานวิจัยจาก University of California, Davis พบว่า การใช้คลื่นไมโครเวฟในการพาสเจอร์ไรส์น้ำนมสามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ งานวิจัยจาก Ohio State University พบว่า การใช้คลื่นไมโครเวฟในการพาสเจอร์ไรส์น้ำผลไม้สามารถรักษาคุณภาพของน้ำผลไม้ได้ดีกว่าการใช้ความร้อนแบบปกติ ข้อควรระวัง: ควรเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการพาสเจอร์ไรส์ด้วยคลื่นไมโครเวฟ ควรศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้งานอย่างเคร่งครัด ควรตรวจสอบอุณหภูมิของอาหารหลังการพาสเจอร์ไรส์ สรุป: การใช้คลื่นไมโครเวฟในการพาสเจอร์ไรส์อาหารมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ความร้อนแบบปกติในบางแง่มุม แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรพิจารณา Therefore, it is important to weigh the pros and cons before choosing a pasteurization method.
รังสีวิทยา (รังสีวิทยา) - Radiology
Classification
cc-by-sa-4.0
Medical_27833
Medical
การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (antiviral therapy) มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคอีโบลา (Ebola virus disease) หรือไม่?
null
ยังไม่ชัดเจน เหตุผล: มีงานวิจัยบางชิ้นที่แสดงว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอาจมีประสิทธิภาพ: งานวิจัยจาก University of Oxford พบว่ายาต้านไวรัสชนิด remdesivir สามารถช่วยลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคอีโบลาได้ งานวิจัยจาก National Institutes of Health พบว่ายาต้านไวรัสชนิด mAb114 สามารถช่วยลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคอีโบลาได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีงานวิจัยอื่นๆ ที่ไม่พบผลลัพธ์ที่ชัดเจน: งานวิจัยจาก World Health Organization พบว่ายาต้านไวรัสชนิด favipiravir ไม่ได้ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคอีโบลา งานวิจัยจาก Centers for Disease Control and Prevention พบว่ายาต้านไวรัสชนิด brincidofovir ไม่ได้ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคอีโบลา ยังมีงานวิจัยเพิ่มเติมที่จำเป็นต้องทำ: จำเป็นต้องมีงานวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลลัพธ์ของยาต้านไวรัสชนิด remdesivir และ mAb114 จำเป็นต้องมีงานวิจัยเพิ่มเติมเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของยาต้านไวรัสชนิดอื่นๆ จำเป็นต้องมีงานวิจัยเพิ่มเติมเพื่อศึกษาผลข้างเคียงของยาต้านไวรัส ข้อจำกัด: งานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสสำหรับโรคอีโบลายังมีจำนวนจำกัด: งานวิจัยส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและมีการออกแบบการศึกษาที่ไม่ดี ยากที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาต้านไวรัส การเข้าถึงยาต้านไวรัส: ยาต้านไวรัสบางชนิดมีราคาแพง ยาต้านไวรัสบางชนิดยังไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป สรุป: ยังไม่ชัดเจนว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัสมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคอีโบลาหรือไม่ จำเป็นต้องมีงานวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลลัพธ์และศึกษาผลข้างเคียงของยาต้านไวรัส
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-sa-4.0
Medical_27836
Medical
ตามหลักการแพทย์ระบุว่า หากสมองคนขาดออกซิเจนไปเลี้ยงเกินกว่า 4 นาที จะมีผลทำให้เกิดอะไรขึ้น
ก. หัวใจปล่อยเลือดออกไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ข. การสูญเสียของเซลล์สมองบางส่วนไปได้อย่างถาวร ค. ภาวะหัวใจหยุดเต้น ง. การฟื้นคืนชีพไม่เต็มประสิทธิภาพ
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ ข. เนื่องจาก เพราะตามหลักการแพทย์ระบุว่า หากสมองคนขาดออกซิเจนไปเลี้ยงเกินกว่า 4 นาที จะมีผลทำให้เกิดการสูญเสียของเซลล์สมองบางส่วนไปได้อย่างถาวร แม้หัวใจจะสามารถกลับมาเต้นใหม่ได้ในภายหลัง แต่สมองส่วนที่เสียไปแล้วจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถฟื้นคืนสติกลับมาได้สมบูรณ์ดังเดิมอีก นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. พัฒนาหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ทำจากยางพารา เพื่อใช้ฝึกการทำ CPR (การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน) เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉิน พร้อมจอแสดงผลการฝึก ช่วยให้ผู้ฝึกปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเนื่องจากเหตุฉุกเฉินไม่คาดคิดเกิดได้กับทุกชีวิต ซึ่งหลายคนอาจมีประสบการณ์นาทีชีวิตจากวิกฤติสุขภาพของตนเอง หรือประสบอยู่ในเสี้ยวนาทีชี้เป็นชี้ตายของผู้ที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้น ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งแรกที่ต้องมีก่อนทำการใดๆ ก็คือ ‘มีสติ’ แล้วโทรศัพท์แจ้งหน่วยกู้ชีพฉุกเฉิน 1669 แต่กระนั้นระหว่างรอหน่วยกู้ชีพฯ ผู้อยู่ในเหตุการณ์จำเป็นต้องเข้าไปเช็กสภาพผู้ป่วยโดยเขย่าตัวเรียกผู้ป่วยที่นอนหมดสติ หากไม่รู้สึกตัว ไม่ตอบสนองเสียงเรียกและมีภาวะหัวใจหยุดเต้นด้วยแล้ว จำเป็นต้องช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) โดยเร็ว โดยขั้นตอนการทำซีพีอาร์นั้น ประกอบไปด้วยการกดหน้าอก การเป่าปากช่วยหายใจ เพื่อให้หัวใจปล่อยเลือดออกไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ซึ่งหากมีการใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัติโนมัติหรือเครื่องเออีดี- AED (ใช้ได้กับผู้ที่อายุเกิน 8 ปีขึ้นไป) ควบคู่กันด้วย ก็จะช่วยรักษาการเต้นผิดจังหวะของหัวใจได้ด้วย ทั้งนี้ ตามหลักการแพทย์ระบุว่า หากสมองคนขาดออกซิเจนไปเลี้ยงเกินกว่า 4 นาที จะมีผลทำให้เกิดการสูญเสียของเซลล์สมองบางส่วนไปได้อย่างถาวร แม้หัวใจจะสามารถกลับมาเต้นใหม่ได้ในภายหลัง แต่สมองส่วนที่เสียไปแล้วจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถฟื้นคืนสติกลับมาได้สมบูรณ์ดังเดิมอีก ดังนั้น การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานหรือซีพีอาร์ จึงถือเป็นหนึ่งวิธีการที่จะยื้อชีวิตของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหันได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดี การฝึกฝนเพื่อทำซีพีอาร์แบบเดิมๆ ต้องใช้วิธีการฝึกฝนบ่อยครั้งจนเกิดความชำนาญ เพราะนอกจากแรงกดที่ต้องสม่ำเสมอแล้ว จังหวะในการกดนวดหัวใจ ก็ยังมีเทคนิคที่แตกต่างกันไป ซึ่งอาจส่งผลให้การช่วยฟื้นคืนชีพทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้น เพื่อให้การฝึกช่วยชีวิตผู้มีภาวะหยุดหายใจทำได้ง่ายขึ้น นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติเอ็มเทค (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้ออกแบบอุปกรณ์ที่ทำงานร่วมกับหุ่นจำลองฝึกการช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินที่ผลิตจากยางพารา ซึ่งสามารถแสดง “สมรรถนะของผู้ฝึก” ผ่านจอแสดงผลขณะฝึก ช่วยให้ผู้ฝึกเห็นข้อมูลได้ทันที
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Medical_13272
Medical
ในผู้ป่วยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังที่ไม่มีการติดเชื้อ (Interstitial cystitis) ที่ได้รับยาเพนโตซาน พอลิซัลเฟต โซเดียม ขนาดยาเริ่มต้นที่เหมาะสมคือเท่าไหร่ และแพทย์จะปรับขนาดยาอย่างไร
null
ขนาดยาเพนโตซาน พอลิซัลเฟต โซเดียม เริ่มต้น ในผู้ป่วยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังที่ไม่มีการติดเชื้อ (Interstitial cystitis) ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค สภาพร่างกายของผู้ป่วย และการตอบสนองต่อยา โดยทั่วไป แพทย์จะเริ่มต้นด้วยขนาดยาต่ำๆ และค่อยๆ ปรับขนาดขึ้นตามความเหมาะสม ขนาดยาเริ่มต้นที่แนะนำ: ผู้ป่วยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังระดับ NYHA II: Bisoprolol 1.25 mg วันละ 1 ครั้ง ผู้ป่วยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังระดับ NYHA III: Bisoprolol 0.625 mg วันละ 1 ครั้ง ปรับขนาดขึ้นเป็น 1.25 mg วันละ 1 ครั้ง หลังจาก 1 สัปดาห์ ปรับขนาดขึ้นเป็น 2.5 mg วันละ 1 ครั้ง หลังจาก 1 สัปดาห์ การปรับขนาดยา: แพทย์จะติดตามผลการรักษาของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และปรับขนาดยาตามความเหมาะสม ปัจจัยที่แพทย์พิจารณาในการปรับขนาดยา ได้แก่: อาการของผู้ป่วย: ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นหรือแย่ลง ผลข้างเคียงของยา: ผู้ป่วยมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ความดันโลหิต: ความดันโลหิตของผู้ป่วยอยู่ในระดับปกติหรือไม่ อัตราการเต้นของหัวใจ: อัตราการเต้นของหัวใจของผู้ป่วยอยู่ในระดับปกติหรือไม่ การตรวจเลือด: ผลการตรวจเลือดของผู้ป่วยเป็นปกติหรือไม่ ตัวอย่าง: นางสาวสมพิษ อายุ 45 ปี เป็นผู้ป่วยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังที่ไม่มีการติดเชื้อ แพทย์สั่งยาเพนโตซาน พอลิซัลเฟต โซเดียม 100 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง นางสาวสมพิษรับประทานยาเป็นเวลา 6 สัปดาห์ รู้สึกดีขึ้น อาการปวดกระเพาะปัสสาวะลดลง ความถี่ในการปัสสาวะลดลง แพทย์จึงปรับขนาดยาเป็น 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นางสาวสมพิษรับประทานยาต่อเนื่อง รู้สึกดีขึ้น อาการปวดกระเพาะปัสสาวะหายไปหมด ความถี่ในการปัสสาวะกลับมาเป็นปกติ แพทย์จึงคงขนาดยาไว้ที่ 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง อธิบายเพิ่มเติม: โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังที่ไม่มีการติดเชื้อ (Interstitial cystitis) เป็นโรคที่เกิดการอักเสบเรื้อรังของผนังกระเพาะปัสสาวะ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดกระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย แสบขัดตอนปัสสาวะ ความเจ็บปวดอาจรุนแรงจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ยาเพนโตซาน พอลิซัลเฟต โซเดียม เป็นยาที่ใช้รักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังที่ไม่มีการติดเชื้อ กลไกการออกฤทธิ์ของยาไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่ายาออกฤทธิ์โดยการเคลือบผนังกระเพาะปัสสาวะ ป้องกันไม่ให้สารระคายเคืองเข้ามาสัมผัสกับผนังกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้อาการปวดกระเพาะปัสสาวะลดลง
เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20476
Medical
ฟาสต์ฟู้ด หรืออาหารจานด่วนคืออะไร
null
อาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปมาอย่างหนักโดยมีส่วนผสมของสารสังเคราะห์มากชนิดซึ่งเป็นภัยต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่มักจะปรุงสุกได้อย่างรวดเร็วโดยใช้ตะแกรง หม้อทอด หรือไมโครเวฟ เพื่อให้อาหารกรอบ มัน คงความสดใหม่ และรสชาติอร่อยตามที่ลูกค้าคาดหวัง อีกทั้ง Fast Food เป็นอาหารที่ราคาถูก หาซื้อง่าย ทานง่าย สะดวกรวดเร็ว และมีร้านเปิดให้บริการตลอดเวลา Fast Food จึงเป็นทางเลือกด้านอาหารที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก “Fast Food” อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากรับประทานในปริมาณมากจนเกินไป อาหารแต่ละประเภทมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันออกไป หากทานในปริมาณที่มากหรือน้อยจนเกินไป ฟาสต์ฟู้ดเองก็เช่นกัน หากทานบ่อยหรือทานมากจนเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ดังนี้ ความดันโลหิตสูง อาหารจานด่วนมักถูกปรุงด้วยส่วนประกอบที่เพิ่มรสชาติให้จัดจ้านถูกปากผู้บริโภค และใส่สารกันบูดเพื่อให้อาหารไม่เน่าเสีย สารเหล่านี้เพิ่มโซเดียมให้อาหารจานด่วนของคุณในปริมาณมาก เมื่อผู้บริโภคกินอาหารที่มีโซเดียมสูงติดต่อกัน อาจส่งผลทำให้ความดันโลหิตสูง กระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด มีโอกาสเสี่ยงหัวใจวาย หรือหัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดสมองได้ คอเรสเตอรอลสูง อาหารฟาสต์ฟู้ดที่มักมีรสชาติจัดจ้าน ครบรส หวาน มัน เค็ม ประกอบไปด้วยไขมัน ไขมันทรานส์ น้ำตาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่ทอดด้วยน้ำมันชุ่ม ๆ เช่น ไก่ทอด จะมีทั้งไขมัน และไขมันอิ่มตัวในปริมาณมาก การทานอาหารประเภทนี้ในปริมาณบ่อย จึงเพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะคอเรสเตอรอลสูง นำไปสู่การเกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น ภาวะน้ำหนักเกิน โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจได้ ส่งผลเสียต่อระบบทางเดินอาหาร อาหารจานด่วนส่วนใหญ่มักมีแป้งซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลัก และมีขั้นตอนการปรุงสุกที่รวดเร็ว ยิ่งการทานอาหารจานด่วนควบคู่กับน้ำอัดลม จะยิ่งทำให้อาหารไม่ย่อย แน่นท้อง อึดอัด และท้องอืดมากขึ้น นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้เช่นกัน เนื่องจากอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านกระบวนการแปรรูปหลายขั้นตอน ทำให้ได้รับสารอาหารน้อยลง มีใยอาหารต่ำ ส่งผลให้ขับถ่ายยาก เกิดอาการท้องผูก และอาจเป็นริดสีดวงทวารหนักได้
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_40442
Finance
สำหรับเทคนิคจัดการหนี้เบื้องต้นมี 5 วิธีได้แก่อะไรบ้าง
การมีหนี้สินไม่ใช่ตราบาปในชีวิต หากรู้จักวิธีสร้างเกราะป้องกันหนี้สินด้วยวัคซีนด้านการบริหารจัดการให้เป็น แต่ถ้าก่อหนี้แล้วหนี้เริ่มท่วมหัวและเอาตัวไม่รอด ก็ต้องเริ่มต้นเรียนรู้และเลือกใช้เทคนิคในการปลดหนี้ เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงโดยไม่มีหนี้สินเกินตัว Highlights Highlights การมีหนี้สินไม่ใช่ตราบาปในชีวิต หากรู้จักวิธีสร้างเกราะป้องกันหนี้สินด้วยวัคซีนด้านการบริหารจัดการให้เป็น แต่ถ้าก่อหนี้แล้วหนี้เริ่มท่วมหัวและเอาตัวไม่รอด ก็ต้องเริ่มต้นเรียนรู้และเลือกใช้เทคนิคในการปลดหนี้ เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงโดยไม่มีหนี้สินเกินตัว หากใครที่ก่อหนี้แล้วบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างมีวินัยก็คงไม่มีปัญหา แต่หากใครก่อหนี้แล้วไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนดจนหนี้สินท่วมหัวอาจต้องหาทางแก้ไข โดยไม่ว่าหนี้จะมีมากน้อยเพียงใดก็ต้องมีวิธีที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากความเป็นหนี้ได้เสมอ สำหรับเทคนิคจัดการหนี้เบื้องต้นมี 5 วิธี ดังนี้ 1. มีแรงจูงใจ แรงจูงใจถือเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ขับเคลื่อนให้การหลุดพ้นจากภาระหนี้สินทำได้เร็วขึ้น โดยต้องมีความปรารถนาที่จะหลุดพ้นออกจากหนี้สิน แม้ว่าการปลดหนี้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้ภายในชั่วข้ามคืน แต่หากรักษาแรงจูงใจไว้และมองไปในระยะยาวที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเอง ก็จะช่วยกระตุ้นให้การหลุดพ้นออกจากความเป็นหนี้ได้เร็วขึ้น 2. มีแผนการ การมีแผนการจัดการหนี้สินที่ดี ไม่ต่างไปจากนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ที่ต้องกำหนดตารางและฝึกซ้อมอย่างเข้มงวด และเมื่อถึงเวลาลงแข่งขันจะได้สร้างผลงานได้อย่างดีเยี่ยม เช่นเดียวกันเมื่อพยายามปลดหนี้ก็จำเป็นต้องมีแผนการว่าจะจัดการกับหนี้อย่างไร เช่น ลดรายจ่าย สร้างรายได้เสริมเพื่อให้มีเงินก้อนมากขึ้น จ่ายหนี้โดยมีการจัดลำดับว่าจะจ่ายหนี้ประเภทใดก่อนหลัง หรือมีแผนการเพื่อเตรียมเจรจาประนอมหนี้หากจ่ายหนี้ไม่ไหว เป็นต้น 3. เสียสละและลงมือทำ ในบางครั้งการเปลี่ยนแปลงอาจต้องเสียสละบางอย่าง เหมือนนักกีฬาระดับโลกที่ต้องจำกัดการรับประทานอาหารที่ตัวเองชื่นชอบ ลดปริมาณอาหาร ตื่นเช้า จากนั้นก็ลงมือฝึกซ้อมตามตารางอย่างเข้มงวดและสม่ำเสมอ เช่นเดียวกันหากต้องการปลดหนี้ก็ต้องเสียสละบางอย่าง เช่น หยุดช้อปปิ้ง งดการทานอาหารนอกบ้าน งดการเดินทางท่องเที่ยว ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และเมื่อมีเงินเหลือมากขึ้นก็ต้องนำไปจ่ายหนี้ ถึงแม้ว่าการใช้ชีวิตต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้านการเงิน ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากแต่ถ้ามีเป้าหมายเพื่อปลดหนี้ก็ต้องทำให้ได้ 4. รู้ขีดจำกัดของตัวเอง แม้การประหยัด ลดค่าใช้จ่ายเพื่อนำเงินไปปลดหนี้จะเป็นสิ่งที่ดีและทุกคนลงมือทำได้ทันที แต่ก็ต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองด้วย ต้องแน่ใจว่าเมื่อทำแบบนี้แล้วจะยังคงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ มีเงินใช้จ่ายเพียงพอและเหมาะสม อย่าลืมว่าการพยายามปลดหนี้ไม่ได้หมายความว่าการใช้ชีวิตต้องขัดสน ดังนั้น ต้องคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของตัวเองและคนรอบข้างด้วย 5. ไปให้ถึงเส้นชัย สิ่งที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาระดับโลกหรือการปลดหนี้ คือ การได้รู้ว่ายังมีเส้นชัยรออยู่ข้างหน้า อาจดูเหมือนว่ากว่าจะเป็นผู้ชนะหรือไม่มีหนี้สินอาจใช้เวลานานพอสมควร แต่ทุกคนจะไปถึงเส้นชัยได้แน่นอนตราบใดที่ยังเดินตามแผนและไม่ยอมแพ้ระหว่างทาง ดังนั้น ครั้งต่อไปหากไม่ต้องการกลุ้มใจกับภาระหนี้สิน ก่อนก่อหนี้ต้องถามตัวเองว่า ก่อหนี้มาเพื่ออะไร ควรก่อหนี้ตอนนี้หรือไม่ และถ้าจำเป็นต้องก่อหนี้จริง ๆ สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนดและไม่ทำให้ตัวเองเดือนร้อนได้หรือไม่ ที่สำคัญควรก่อหนี้พอเหมาะสมและต้องไม่บั่นทอนชีวิตและความมั่นคงในวันข้างหน้า สำหรับผู้ที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคบริหารจัดการหนี้ เพื่อให้มีเงินเหลือใช้ และสามารถเก็บออมเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตได้ โดยเริ่มตั้งแต่การเข้าใจลักษณะหนี้แต่ละประเภท การคำนวณดอกเบี้ย ขั้นตอนและเทคนิคในการบริหารจัดการหนี้ ตลอดจนการต่อยอดเงินที่เหลือจากการจัดการหนี้ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “หมดหนี้มีออม” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ หากใครที่ก่อหนี้แล้วบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างมีวินัยก็คงไม่มีปัญหา แต่หากใครก่อหนี้แล้วไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนดจนหนี้สินท่วมหัวอาจต้องหาทางแก้ไข โดยไม่ว่าหนี้จะมีมากน้อยเพียงใดก็ต้องมีวิธีที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากความเป็นหนี้ได้เสมอ สำหรับเทคนิคจัดการหนี้เบื้องต้นมี 5 วิธี ดังนี้ 1. มีแรงจูงใจ แรงจูงใจถือเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ขับเคลื่อนให้การหลุดพ้นจากภาระหนี้สินทำได้เร็วขึ้น โดยต้องมีความปรารถนาที่จะหลุดพ้นออกจากหนี้สิน แม้ว่าการปลดหนี้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้ภายในชั่วข้ามคืน แต่หากรักษาแรงจูงใจไว้และมองไปในระยะยาวที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเอง ก็จะช่วยกระตุ้นให้การหลุดพ้นออกจากความเป็นหนี้ได้เร็วขึ้น 2. มีแผนการ การมีแผนการจัดการหนี้สินที่ดี ไม่ต่างไปจากนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ที่ต้องกำหนดตารางและฝึกซ้อมอย่างเข้มงวด และเมื่อถึงเวลาลงแข่งขันจะได้สร้างผลงานได้อย่างดีเยี่ยม เช่นเดียวกันเมื่อพยายามปลดหนี้ก็จำเป็นต้องมีแผนการว่าจะจัดการกับหนี้อย่างไร เช่น ลดรายจ่าย สร้างรายได้เสริมเพื่อให้มีเงินก้อนมากขึ้น จ่ายหนี้โดยมีการจัดลำดับว่าจะจ่ายหนี้ประเภทใดก่อนหลัง หรือมีแผนการเพื่อเตรียมเจรจาประนอมหนี้หากจ่ายหนี้ไม่ไหว เป็นต้น 3. เสียสละและลงมือทำ ในบางครั้งการเปลี่ยนแปลงอาจต้องเสียสละบางอย่าง เหมือนนักกีฬาระดับโลกที่ต้องจำกัดการรับประทานอาหารที่ตัวเองชื่นชอบ ลดปริมาณอาหาร ตื่นเช้า จากนั้นก็ลงมือฝึกซ้อมตามตารางอย่างเข้มงวดและสม่ำเสมอ เช่นเดียวกันหากต้องการปลดหนี้ก็ต้องเสียสละบางอย่าง เช่น หยุดช้อปปิ้ง งดการทานอาหารนอกบ้าน งดการเดินทางท่องเที่ยว ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และเมื่อมีเงินเหลือมากขึ้นก็ต้องนำไปจ่ายหนี้ ถึงแม้ว่าการใช้ชีวิตต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้านการเงิน ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากแต่ถ้ามีเป้าหมายเพื่อปลดหนี้ก็ต้องทำให้ได้ 4. รู้ขีดจำกัดของตัวเอง แม้การประหยัด ลดค่าใช้จ่ายเพื่อนำเงินไปปลดหนี้จะเป็นสิ่งที่ดีและทุกคนลงมือทำได้ทันที แต่ก็ต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองด้วย ต้องแน่ใจว่าเมื่อทำแบบนี้แล้วจะยังคงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ มีเงินใช้จ่ายเพียงพอและเหมาะสม อย่าลืมว่าการพยายามปลดหนี้ไม่ได้หมายความว่าการใช้ชีวิตต้องขัดสน ดังนั้น ต้องคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของตัวเองและคนรอบข้างด้วย 5. ไปให้ถึงเส้นชัย สิ่งที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาระดับโลกหรือการปลดหนี้ คือ การได้รู้ว่ายังมีเส้นชัยรออยู่ข้างหน้า อาจดูเหมือนว่ากว่าจะเป็นผู้ชนะหรือไม่มีหนี้สินอาจใช้เวลานานพอสมควร แต่ทุกคนจะไปถึงเส้นชัยได้แน่นอนตราบใดที่ยังเดินตามแผนและไม่ยอมแพ้ระหว่างทาง ดังนั้น ครั้งต่อไปหากไม่ต้องการกลุ้มใจกับภาระหนี้สิน ก่อนก่อหนี้ต้องถามตัวเองว่า ก่อหนี้มาเพื่ออะไร ควรก่อหนี้ตอนนี้หรือไม่ และถ้าจำเป็นต้องก่อหนี้จริง ๆ สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนดและไม่ทำให้ตัวเองเดือนร้อนได้หรือไม่ ที่สำคัญควรก่อหนี้พอเหมาะสมและต้องไม่บั่นทอนชีวิตและความมั่นคงในวันข้างหน้า สำหรับผู้ที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคบริหารจัดการหนี้ เพื่อให้มีเงินเหลือใช้ และสามารถเก็บออมเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตได้ โดยเริ่มตั้งแต่การเข้าใจลักษณะหนี้แต่ละประเภท การคำนวณดอกเบี้ย ขั้นตอนและเทคนิคในการบริหารจัดการหนี้ ตลอดจนการต่อยอดเงินที่เหลือจากการจัดการหนี้ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “หมดหนี้มีออม” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ แท็กที่เกี่ยวข้อง: บริหารหนี้ ปลดหนี้ หนี้สิน เทคนิคจัดการหนี้ วางแผนหนี้สิน แท็กที่เกี่ยวข้อง: บริหารหนี้ ปลดหนี้ หนี้สิน เทคนิคจัดการหนี้ วางแผนหนี้สิน แท็กที่เกี่ยวข้อง: ให้คะแนนเนื้อหานี้กี่คะแนน ให้คะแนนเนื้อหานี้กี่คะแนน e-Learning
1. มีแรงจูงใจ แรงจูงใจถือเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ขับเคลื่อนให้การหลุดพ้นจากภาระหนี้สินทำได้เร็วขึ้น โดยต้องมีความปรารถนาที่จะหลุดพ้นออกจากหนี้สิน แม้ว่าการปลดหนี้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้ภายในชั่วข้ามคืน แต่หากรักษาแรงจูงใจไว้และมองไปในระยะยาวที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเอง ก็จะช่วยกระตุ้นให้การหลุดพ้นออกจากความเป็นหนี้ได้เร็วขึ้น 2. มีแผนการ การมีแผนการจัดการหนี้สินที่ดี ไม่ต่างไปจากนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ที่ต้องกำหนดตารางและฝึกซ้อมอย่างเข้มงวด และเมื่อถึงเวลาลงแข่งขันจะได้สร้างผลงานได้อย่างดีเยี่ยม เช่นเดียวกันเมื่อพยายามปลดหนี้ก็จำเป็นต้องมีแผนการว่าจะจัดการกับหนี้อย่างไร เช่น ลดรายจ่าย สร้างรายได้เสริมเพื่อให้มีเงินก้อนมากขึ้น จ่ายหนี้โดยมีการจัดลำดับว่าจะจ่ายหนี้ประเภทใดก่อนหลัง หรือมีแผนการเพื่อเตรียมเจรจาประนอมหนี้หากจ่ายหนี้ไม่ไหว เป็นต้น 3. เสียสละและลงมือทำ ในบางครั้งการเปลี่ยนแปลงอาจต้องเสียสละบางอย่าง เหมือนนักกีฬาระดับโลกที่ต้องจำกัดการรับประทานอาหารที่ตัวเองชื่นชอบ ลดปริมาณอาหาร ตื่นเช้า จากนั้นก็ลงมือฝึกซ้อมตามตารางอย่างเข้มงวดและสม่ำเสมอ เช่นเดียวกันหากต้องการปลดหนี้ก็ต้องเสียสละบางอย่าง เช่น หยุดช้อปปิ้ง งดการทานอาหารนอกบ้าน งดการเดินทางท่องเที่ยว ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และเมื่อมีเงินเหลือมากขึ้นก็ต้องนำไปจ่ายหนี้ ถึงแม้ว่าการใช้ชีวิตต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้านการเงิน ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากแต่ถ้ามีเป้าหมายเพื่อปลดหนี้ก็ต้องทำให้ได้ 4. รู้ขีดจำกัดของตัวเอง แม้การประหยัด ลดค่าใช้จ่ายเพื่อนำเงินไปปลดหนี้จะเป็นสิ่งที่ดีและทุกคนลงมือทำได้ทันที แต่ก็ต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองด้วย ต้องแน่ใจว่าเมื่อทำแบบนี้แล้วจะยังคงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ มีเงินใช้จ่ายเพียงพอและเหมาะสม อย่าลืมว่าการพยายามปลดหนี้ไม่ได้หมายความว่าการใช้ชีวิตต้องขัดสน ดังนั้น ต้องคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของตัวเองและคนรอบข้างด้วย 5. ไปให้ถึงเส้นชัย สิ่งที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาระดับโลกหรือการปลดหนี้ คือ การได้รู้ว่ายังมีเส้นชัยรออยู่ข้างหน้า อาจดูเหมือนว่ากว่าจะเป็นผู้ชนะหรือไม่มีหนี้สินอาจใช้เวลานานพอสมควร แต่ทุกคนจะไปถึงเส้นชัยได้แน่นอนตราบใดที่ยังเดินตามแผนและไม่ยอมแพ้ระหว่างทาง
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_41653
Finance
กองทุน KKP TECH-H-F และ KKP TECH-H มีความแตกต่างกันอย่างไร?
เผลอแปปเดียวก็เข้าสู่ช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส 2 ปี 2021 แล้ว ในบทความนี้จึงขอทำคอนเทนต์สำหรับเดือน 6 สักหน่อย โดยการจับ กองทุนที่มีผลตอบแทนดีในรอบ 6 เดือนจาก 6 หมวดกองทุน มามัดรวมกันไว้ที่นี่ จะมีกองทุนไหนบ้าง? และจะใช่กองทุนที่คุณมีอยู่รึเปล่า? เชิญทุกท่านติดตามได้ในบทความนี้ เผลอแปปเดียวก็เข้าสู่ช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส 2 ปี 2021 แล้ว ในบทความนี้จึงขอทำคอนเทนต์สำหรับเดือน 6 สักหน่อย โดยการจับ มามัดรวมกันไว้ที่นี่ จะมีกองทุนไหนบ้าง? และจะใช่กองทุนที่คุณมีอยู่รึเปล่า? เชิญทุกท่านติดตามได้ในบทความนี้ กลุ่มหุ้นสหรัฐฯ 1. MN-USBANK-A (+42.08%) MN-USBANK-A — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Manulife Advanced Fund SPC – U.S. Bank Equity Segregated Portfolio (the “U.S. Bank Equity Fund”) (Class AA USD) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน MN-USBANK-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Manulife Advanced Fund SPC – U.S. Bank Equity Segregated Portfolio (the “U.S. Bank Equity Fund”) (Class AA USD) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน MN-USBANK-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 สำหรับกองทุน Manulife Advanced Fund SPC – U.S. Bank Equity Segregated Portfolio (the “U.S. Bank Equity Fund”) (Class AA USD) ที่เป็นกองทุนหลัก มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารทุน และ/หรือตราสารทางการเงินที่อ้างอิงกับตราสารทุนที่ออกโดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจธนาคาร และ/หรือสถาบันการเงินที่จัดตั้งหรือดำเนินธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก สำหรับกองทุน Manulife Advanced Fund SPC – U.S. Bank Equity Segregated Portfolio (the “U.S. Bank Equity Fund”) (Class AA USD) ที่เป็นกองทุนหลัก มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารทุน และ/หรือตราสารทางการเงินที่อ้างอิงกับตราสารทุนที่ออกโดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจธนาคาร และ/หรือสถาบันการเงินที่จัดตั้งหรือดำเนินธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมธนาคาร, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมธนาคาร, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 10,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 10,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท 2. TUSFIN-A (+33.57%) TUSFIN-A — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Financial Select Sector SPDR Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน TUSFIN-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Financial Select Sector SPDR Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน TUSFIN-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 สำหรับกองทุน Financial Select Sector SPDR Fund ที่เป็นกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Financial Select Sector ซึ่งเป็นดัชนีที่มีส่วนประกอบเป็นหลักทรัพย์ซึ่งถูกจัดกลุ่มให้อยู่ในหมวดอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน (Financial) ที่อยู่ในดัชนี S&P 500 สำหรับกองทุน Financial Select Sector SPDR Fund ที่เป็นกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Financial Select Sector ซึ่งเป็นดัชนีที่มีส่วนประกอบเป็นหลักทรัพย์ซึ่งถูกจัดกลุ่มให้อยู่ในหมวดอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน (Financial) ที่อยู่ในดัชนี S&P 500 ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในผู้ออกตราสารรายใดรายหนึ่ง, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในผู้ออกตราสารรายใดรายหนึ่ง, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท 3. ABAGS (+23.88%) ABAGS — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Aberdeen Standard SICAV I – North American Smaller Companies Fund Class Z เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน ABAGS จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Aberdeen Standard SICAV I – North American Smaller Companies Fund Class Z เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน ABAGS จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 สำหรับกองทุน Aberdeen Standard SICAV I – North American Smaller Companies Fund Class Z ที่เป็นกองทุนหลักมีการลงทุนอย่างน้อยสองในสามของพอร์ตการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้ง หรือประกอบกิจการในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือบริษัทโฮลดิ้งที่ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว โดยบริษัทข้างต้นมีขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดน้อยกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ วันที่ลงทุน สำหรับกองทุน Aberdeen Standard SICAV I – North American Smaller Companies Fund Class Z ที่เป็นกองทุนหลักมีการลงทุนอย่างน้อยสองในสามของพอร์ตการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้ง หรือประกอบกิจการในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือบริษัทโฮลดิ้งที่ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว โดยบริษัทข้างต้นมีขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดน้อยกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ วันที่ลงทุน ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท กลุ่มหุ้นจีน 1. UCI (+21.79%) UCI — มีนโยบายลงทุนในกองทุน United China A-Shares Innovation Fund – Class T USD Acc เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน UCI จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 — มีนโยบายลงทุนในกองทุน United China A-Shares Innovation Fund – Class T USD Acc เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน UCI จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 สำหรับกองทุน United China A-Shares Innovation Fund – Class T USD Acc ที่เป็นกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์การลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศจีน (A-Shares) ได้แก่ Shanghai Stock Exchange (SSE) และ Shenzhen Stock Exchange (SZSE) ซึ่งกองทุนหลักคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีนวัตกรรม และแนวโน้มการเติบโตในด้านต่าง ๆ (trends) สำหรับกองทุน United China A-Shares Innovation Fund – Class T USD Acc ที่เป็นกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์การลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศจีน (A-Shares) ได้แก่ Shanghai Stock Exchange (SSE) และ Shenzhen Stock Exchange (SZSE) ซึ่งกองทุนหลักคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีนวัตกรรม และแนวโน้มการเติบโตในด้านต่าง ๆ (trends) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศจีน, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศจีน, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท 2. KT-Ashares-A (+16.17%) KT-ASHARES-A — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน KT-Ashares-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน KT-Ashares-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 สำหรับกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares ที่เป็นกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์การลงทุนโดยเน้นการเติบโตของมูลค่าเงินทุนระยะยาวจากการลงทุนในตลาดหุ้น A-Shares ของสาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares ที่เป็นกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์การลงทุนโดยเน้นการเติบโตของมูลค่าเงินทุนระยะยาวจากการลงทุนในตลาดหุ้น A-Shares ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศจีน, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศจีน, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท 3. MCHINAGD (+15.78%) MCHINAGD (ชนิดผู้ลงทุนทั่วไปที่รับเงินปันผล) — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน MCHINAGD จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 (ชนิดผู้ลงทุนทั่วไปที่รับเงินปันผล) — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน MCHINAGD จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 สำหรับกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares ที่เป็นกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในตลาดหุ้น A-shares ของสาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares ที่เป็นกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในตลาดหุ้น A-shares ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศจีน, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศจีน, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท กลุ่มหุ้นเวียดนาม 1. PRINCIPAL VNEQ-A (+54.09%) PRINCIPAL VNEQ-A — มีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลัก ในประเทศเวียดนามที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต รวมทั้งตราสารทุนอื่นใดที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องและ/หรือที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ ทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศดังกล่าว และ/หรือตราสารทุนของผู้ประกอบการเวียดนามที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่น และ/หรือกองทุนรวมอื่นที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารแห่งทุน และ/หรือกองทุนรวม ETF ตราสารทุนต่างประเทศที่เน้นลงทุนในตราสารทุนประเทศเวียดนาม โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 — มีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลัก ในประเทศเวียดนามที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต รวมทั้งตราสารทุนอื่นใดที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องและ/หรือที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ ทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศดังกล่าว และ/หรือตราสารทุนของผู้ประกอบการเวียดนามที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่น และ/หรือกองทุนรวมอื่นที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารแห่งทุน และ/หรือกองทุนรวม ETF ตราสารทุนต่างประเทศที่เน้นลงทุนในตราสารทุนประเทศเวียดนาม โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศเวียดนาม, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศเวียดนาม, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท 2. ASP-VIET (+39.99%) ASP-VIET — มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลักในประเทศเวียดนาม ที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตและ/หรือมีแนวโน้มการเจริญเติบโตในอนาคต รวมทั้งตราสารทุนอื่นใดที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องและ/หรือที่ได้รับ ผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือทรัพย์สินส่วนใหญ่ มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม และ/หรือตราสารทุนของผู้ประกอบการเวียดนามที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่น และ/หรือหน่วย CIS ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุน และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) ตราสารทุนที่เน้นลงทุนในตราสารทุนประเทศเวียดนาม โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน ASP-VIET จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 — มีนโยบายลงทุน ในตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลักในประเทศเวียดนาม ที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตและ/หรือมีแนวโน้มการเจริญเติบโตในอนาคต รวมทั้งตราสารทุนอื่นใดที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องและ/หรือที่ได้รับ ผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือทรัพย์สินส่วนใหญ่ มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม และ/หรือตราสารทุนของผู้ประกอบการเวียดนามที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่น และ/หรือหน่วย CIS ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุน และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) ตราสารทุนที่เน้นลงทุนในตราสารทุนประเทศเวียดนาม โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน ASP-VIET จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Finance, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศเวียดนาม, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Finance, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศเวียดนาม, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 5,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 5,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 5,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 5,000 บาท 3. K-VIETNAM (+34.08%) K-VIETNAM — มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศเวียดนามและ/หรือที่ดำเนินธุรกิจหรือได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม และ/หรือตราสารทุนของผู้ประกอบการเวียดนามที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่น รวมทั้งหน่วย CIS หน่วย property หน่วย infra ที่เกี่ยวข้องกับประเทศเวียดนาม และ/หรือกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนในตราสารทุนประเทศเวียดนามตามที่ประกาศ ก.ล.ต. กำหนด หรือที่จะประกาศเพิ่มเติมในภายหลังโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน K-VIETNAM จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 — มีนโยบายลงทุนใน ตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศเวียดนามและ/หรือที่ดำเนินธุรกิจหรือได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม และ/หรือตราสารทุนของผู้ประกอบการเวียดนามที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่น รวมทั้งหน่วย CIS หน่วย property หน่วย infra ที่เกี่ยวข้องกับประเทศเวียดนาม และ/หรือกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนในตราสารทุนประเทศเวียดนามตามที่ประกาศ ก.ล.ต. กำหนด หรือที่จะประกาศเพิ่มเติมในภายหลังโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน K-VIETNAM จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Real Estate-Vietnam, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศเวียดนาม, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Real Estate-Vietnam, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศเวียดนาม, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 500 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 500 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 500 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 500 บาท กลุ่มหุ้นเทคโนโลยี 1. B-INNOTECH (+22.91%) B-INNOTECH — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Fidelity Funds – Global Technology Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class Y-ACC-USD เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน B-INNOTECH จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Fidelity Funds – Global Technology Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class Y-ACC-USD เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน B-INNOTECH จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 สำหรับกองทุน Fidelity Funds – Global Technology Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class Y-ACC-USD ที่เป็นกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่มีการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือบริการ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์อย่างสูงจากความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี สำหรับกองทุน Fidelity Funds – Global Technology Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class Y-ACC-USD ที่เป็นกองทุนหลักมี นโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่มีการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือบริการ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์อย่างสูงจากความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Information Technology, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Information Technology, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 500 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 500 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 500 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 500 บาท 2. KKP TECH-H-F (+12.97%) KKP TECH-H-F (ชนิด F) — มีนโยบายลงทุนในกองทุน iShares Expanded Tech Sector ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน KKP TECH-H-F จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 (ชนิด F) — มีนโยบายลงทุนในกองทุน iShares Expanded Tech Sector ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน KKP TECH-H-F จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 สำหรับกองทุน iShares Expanded Tech Sector ETF ที่เป็นกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงหุ้นของบริษัทในกลุ่มบริการสื่อสาร (communication service) และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (consumer discretionary) ในประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ สำหรับกองทุน iShares Expanded Tech Sector ETF ที่เป็นกองทุนหลักมี นโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงหุ้นของบริษัทในกลุ่มบริการสื่อสาร (communication service) และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (consumer discretionary) ในประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยี (Technology), ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยี (Technology), ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท 3. KKP TECH-H (+12.78%) KKP TECH-H (ชนิดทั่วไป) — มีนโยบายลงทุนในกองทุน iShares Expanded Tech Sector ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน KKP TECH-H จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 (ชนิดทั่วไป) — มีนโยบายลงทุนในกองทุน iShares Expanded Tech Sector ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน KKP TECH-H จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 สำหรับกองทุน iShares Expanded Tech Sector ETF ที่เป็นกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงหุ้นของบริษัทในกลุ่มบริการสื่อสาร (communication service) และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (consumer discretionary) ในประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ สำหรับกองทุน iShares Expanded Tech Sector ETF ที่เป็นกองทุนหลักมี นโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงหุ้นของบริษัทในกลุ่มบริการสื่อสาร (communication service) และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (consumer discretionary) ในประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยี (Technology), ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยี (Technology), ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท กลุ่มหุ้นตลาดเกิดใหม่ 1. MS-EE EURO (+22.85%) MS-EE EURO — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Manulife Global Fund-Emerging Eastern Europe Fund (Share Class A) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน MS-EE EURO จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Manulife Global Fund-Emerging Eastern Europe Fund (Share Class A) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน MS-EE EURO จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 สำหรับกองทุน Manulife Global Fund-Emerging Eastern Europe Fund (Share Class A) ที่เป็นกองทุนหลักมีเป้าหมายที่จะสร้างมูลค่าเงินลงทุนให้เติบโตโดยการลงทุนในตราสารทุนและหลักทรัพย์ที่อ้างอิงกับตราสารทุนซึ่งมีการจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศในแถบยุโรปตอนกลางและตะวันออก โดยรวมถึงแต่ไม่จำกัดในประเทศเหล่านี้ ออสเตรีย บัลแกเรีย โครเอเชีย สาธารณรัฐเชค เอสโทเนีย กรีซ ฮังการี ลัตเวีย ลิธัวเนีย โปแลนด์ โรมาเนีย รัสเซีย สาธารณรัฐสโลวัค สโลเวเนีย และตุรกี โดยตราสารทุนและหลักทรัพย์ที่อ้างอิงกับตราสารทุนนั้นรวมถึงหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิและใบสำคัญแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง สำหรับกองทุน Manulife Global Fund-Emerging Eastern Europe Fund (Share Class A) ที่เป็นกองทุนหลักมีเป้าหมายที่จะสร้างมูลค่าเงินลงทุนให้เติบโตโดยการลงทุนในตราสารทุนและหลักทรัพย์ที่อ้างอิงกับตราสารทุนซึ่งมีการจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศในแถบยุโรปตอนกลางและตะวันออก โดยรวมถึงแต่ไม่จำกัดในประเทศเหล่านี้ ออสเตรีย บัลแกเรีย โครเอเชีย สาธารณรัฐเชค เอสโทเนีย กรีซ ฮังการี ลัตเวีย ลิธัวเนีย โปแลนด์ โรมาเนีย รัสเซีย สาธารณรัฐสโลวัค สโลเวเนีย และตุรกี โดยตราสารทุนและหลักทรัพย์ที่อ้างอิงกับตราสารทุนนั้นรวมถึงหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิและใบสำคัญแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดการเงิน (Financials) และพลังงาน (Energy), ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศรัสเซีย, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดการเงิน (Financials) และพลังงาน (Energy), ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศรัสเซีย, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 10,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 10,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท 2. ABGEM (+14.95%) ABGEM — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Aberdeen Standard SICAV I – Emerging Markets Equity Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน ABGEM จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Aberdeen Standard SICAV I – Emerging Markets Equity Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน ABGEM จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 สำหรับกองทุน Manulife Global Fund-Emerging Eastern Europe Fund (Share Class A) ที่เป็นกองทุนหลักจะลงทุนอย่างน้อยสองในสามของพอร์ตการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งหรือมีสัดส่วนรายได้จากการประกอบกิจการหรือมีสัดส่วนของทรัพย์สินอยู่ในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก (emerging markets) หรือบริษัทโฮลดิ้งที่ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว สำหรับกองทุน Manulife Global Fund-Emerging Eastern Europe Fund (Share Class A) ที่เป็นกองทุนหลักจะลงทุนอย่างน้อยสองในสามของพอร์ตการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งหรือมีสัดส่วนรายได้จากการประกอบกิจการหรือมีสัดส่วนของทรัพย์สินอยู่ในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก (emerging markets) หรือบริษัทโฮลดิ้งที่ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Information Technology, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศจีน, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Information Technology, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศจีน, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท 3. TMBEMEQ (+12.80%) TMBEMEQ — มีนโยบายลงทุนในกองทุน iShares MSCI Emerging Markets ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน TMBEMEQ จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 — มีนโยบายลงทุนในกองทุน iShares MSCI Emerging Markets ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน TMBEMEQ จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 สำหรับกองทุน iShares MSCI Emerging Markets ETF ที่เป็นกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในตราสารที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี MSCI Emerging Markets ซึ่งกระจายการลงทุนในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) สำหรับกองทุน iShares MSCI Emerging Markets ETF ที่เป็นกองทุนหลักมี นโยบายลงทุนในตราสารที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี MSCI Emerging Markets ซึ่งกระจายการลงทุนในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Information Technology, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศจีน, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (ไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Information Technology, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศจีน, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (ไม่ มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท กลุ่มหุ้น Healthcare 1. TBIOTECH (+12.46%) TBIOTECH — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Polar Capital Funds plc – Biotechnology ชนิดหน่วยลงทุน I US Dollar เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน TBIOTECH จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Polar Capital Funds plc – Biotechnology ชนิดหน่วยลงทุน I US Dollar เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน TBIOTECH จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 สำหรับกองทุน Polar Capital Funds plc – Biotechnology ที่เป็นกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนอย่างน้อย 51% ของ มูลค่าทรัพย์สินในหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) การวินิจฉัยโรค (Diagnostics) และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต (Life Sciences Tools) ทั่วโลก สำหรับกองทุน Polar Capital Funds plc – Biotechnology ที่เป็นกองทุนหลักมี นโยบายลงทุน อย่างน้อย 51% ของ มูลค่าทรัพย์สินในหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) การวินิจฉัยโรค (Diagnostics) และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต (Life Sciences Tools) ทั่วโลก ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Healthcare, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Healthcare, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท 2. MS-HCARE-A (+12.32%) MS-HCARE-A (ชนิดสะสมมูลค่า) — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Manulife Global Fund – Healthcare Fund (Share Class AA) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน MS-HCARE-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 (ชนิดสะสมมูลค่า) — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Manulife Global Fund – Healthcare Fund (Share Class AA) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน MS-HCARE-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 สำหรับกองทุน Manulife Global Fund – Healthcare Fund (Share Class AA) ที่เป็นกองทุนหลักจะลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้นของกลุ่มบริษัทวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ (Health sciences companies) โดยบริษัทเหล่านี้จะได้รับรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งจากกิจกรรมทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์หรือพึ่งพากิจกรรมทางธุรกิจเหล่านี้มากกว่าครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์ สำหรับกองทุน Manulife Global Fund – Healthcare Fund (Share Class AA) ที่เป็นกองทุนหลักจะลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้นของกลุ่มบริษัทวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ (Health sciences companies) โดยบริษัทเหล่านี้จะได้รับรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งจากกิจกรรมทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์หรือพึ่งพากิจกรรมทางธุรกิจเหล่านี้มากกว่าครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์ ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Healthcare, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Healthcare, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ( มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 10,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 10,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท 3. MS-HCARE-D (+7.81%) MS-HCARE-D (ชนิดจ่ายเงินปันผล) — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Manulife Global Fund – Healthcare Fund (Share Class AA) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน MS-HCARE-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 (ชนิดจ่ายเงินปันผล) — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Manulife Global Fund – Healthcare Fund (Share Class AA) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน MS-HCARE-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 สำหรับกองทุน Manulife Global Fund – Healthcare Fund (Share Class AA) ที่เป็นกองทุนหลักจะลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้นของกลุ่มบริษัทวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ (Health sciences companies) โดยบริษัทเหล่านี้จะได้รับรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งจากกิจกรรมทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์หรือพึ่งพากิจกรรมทางธุรกิจเหล่านี้มากกว่าครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์ สำหรับกองทุน Manulife Global Fund – Healthcare Fund (Share Class AA) ที่เป็นกองทุนหลักจะลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้นของกลุ่มบริษัทวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ (Health sciences companies) โดยบริษัทเหล่านี้จะได้รับรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งจากกิจกรรมทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์หรือพึ่งพากิจกรรมทางธุรกิจเหล่านี้มากกว่าครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์ ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Healthcare, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Healthcare, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 10,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 10,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท ข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนจาก FINNOMENA FUND Filter จัดอันดับ ณ วันที่ 31 พ.ค. 2564 6 FINNOMENA FUND Filter 31 . . 2564 อัปเดตตัวเลข ณ วันที่ 25 พ.ค. 2564: B-INNOTECH, TBIOTECH อัปเดตตัวเลข ณ วันที่ พ ค อัปเดตตัวเลข ณ วันที่ 27 พ.ค. 2564: MN-USBANK-A, TUSFIN-A, ABAGS, UCI, KT-Ashares-A, MCHINAGD, ASP-VIET, KKP TECH-H-F, KKP TECH-H, MS-EE EURO, ABGEM, TMBEMEQ, MS-HCARE-A, MS-HCARE-D อัปเดตตัวเลข ณ วันที่ พ ค อัปเดตตัวเลข ณ วันที่ 28 พ.ค. 2564: PRINCIPAL VNEQ-A, K-VIETNAM อัปเดตตัวเลข ณ วันที่ พ ค สามารถกรองการจัดอันดับได้เอง พร้อมข้อมูลอัปเดตล่าสุดที่ FINNOMENA Fund Filter FINNOMENA Fund Filter — planet 46. — planet 46. — planet 46. คำเตือน คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
KKP TECH-H-F และ KKP TECH-H ต่างเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านกองทุนหลัก (Master Fund) iShares Expanded Tech Sector ETF อย่างไรก็ตาม กองทุนทั้งสองมี ความแตกต่าง ดังนี้: 1. โครงสร้าง: KKP TECH-H-F: เป็นกองทุนรวม ชนิด F KKP TECH-H: เป็นกองทุนรวม ชนิดทั่วไป 2. ค่าธรรมเนียม: KKP TECH-H-F: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: ไม่เกิน 2.6750% ต่อปี ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน: ไม่เกิน 3.3170% ต่อหน่วย ค่าธรรมเนียมขาย: ไม่เกิน 3.3170% ต่อหน่วย KKP TECH-H: ค่าธรรมเนียมการจัดการ: ไม่เกิน 2.2500% ต่อปี ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน: ไม่เกิน 3.3170% ต่อหน่วย ค่าธรรมเนียมขาย: ไม่เกิน 3.3170% ต่อหน่วย 3. การลงทุนขั้นต่ำ: KKP TECH-H-F: การลงทุนครั้งแรก: 500 บาท การลงทุนครั้งถัดไป: 500 บาท KKP TECH-H: การลงทุนครั้งแรก: 1,000 บาท การลงทุนครั้งถัดไป: 1,000 บาท 4. การจ่ายเงินปันผล: KKP TECH-H-F: ไม่จ่ายเงินปันผล KKP TECH-H: จ่ายเงินปันผล 5. ความเสี่ยง: KKP TECH-H-F: จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 KKP TECH-H: จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7 สรุป: KKP TECH-H-F: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโดยไม่ต้องรับเงินปันผล และต้องการจ่ายค่าธรรมเนียมต่ำสุด KKP TECH-H: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและรับเงินปันผล นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่นักลงทุนควรพิจารณาเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน เช่น: เป้าหมายการลงทุน: นักลงทุนต้องการผลตอบแทนระยะสั้นหรือระยะยาว? ระยะเวลาการลงทุน: นักลงทุนสามารถลงทุนได้นานแค่ไหน? ความเสี่ยงที่ยอมรับได้: นักลงทุนยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน? ผลการดำเนินงานในอดีต: ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนเป็นอย่างไร? นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน หมายเหตุ: ข้อมูลในคำตอบนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 เมษายน 2567 ข้อมูลนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ กรุณาตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากบริษัทจัดการกองทุน ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำการลงทุน คำอธิบายเพิ่มเติม: กองทุนรวม เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์อื่นๆ โดยไม่ต้องลงทุนด้วยตัวเอง กองทุนรวม dikelola oleh บริษัทจัดการกองทุนซึ่งจะลงทุนเงินของนักลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ กองทุนชนิด F เป็นกองทุนรวมที่ไม่มีการจ่ายเงินปันผล ผลตอบแทนจากการลงทุนจะมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาหน่วยลงทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21787
Medical
ยาลดกรดออกฤทธิ์อย่างไร และมีข้อควรระวังอย่างไรบ้าง
null
ยาลดกรด เป็นยาที่ใช้รักษาอาการปวดท้องจากกรดเกินในกระเพาะอาหาร ซึ่งมักเกิดจากความเครียด การกินอาหารที่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร หรือโรคทางระบบทางเดินอาหารอื่น ๆ กลไกการออกฤทธิ์: ยาลดกรดมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน ยาลดกรดชนิดดูดซึมเข้ากระแสเลือด: เช่น ไซเมติดีน (Cimetidine) จะไปยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ยาลดกรดชนิดไม่ดูดซึมเข้ากระแสเลือด: เช่น อลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (Aluminium hydroxide) แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (Magnesium hydroxide) จะทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้กรดเป็นกลาง ข้อควรระวัง: ควรใช้ยาลดกรดตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร ไม่ควรใช้ยาลดกรดติดต่อกันเป็นเวลานาน ยาลดกรดบางชนิดอาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องผูก ท้องเสีย ยาลดกรดบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาอื่น ๆ ยาลดกรดชนิดต่าง ๆ: ยาลดกรดชนิดแขวนตะกอน: เช่น อัลมินัม Al-miumn อลูซิล Alusil แกสมาจิน Gasmagin ยาลดกรดชนิดเม็ด: เช่น อัลแม๊ก Almag อลูทอป Alutop เจลูซิล Gelusil ยาไซเมติดีน: เช่น ไซเมติดีน (Cimetidine) ราคา: ยาลดกรดชนิดแขวนตะกอน: ราคาตั้งแต่ 16-30 บาท ยาลดกรดชนิดเม็ด: ราคาเม็ดละประมาณ 13-52 สตางค์ ไซเมติดีน: ราคาเม็ดละ 350-850 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดยา) ทางเลือกอื่น: ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร เช่น หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด อาหารมัน อาหารทอด ดื่มนม พักผ่อนให้เพียงพอ สรุป: ยาลดกรดเป็นยาที่มีประโยชน์ในการรักษาอาการปวดท้องจากกรดเกินในกระเพาะอาหาร แต่ควรใช้ยาลดกรดอย่างระมัดระวัง และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_12937
Medical
ข้อใดเป็นผลข้างเคียงของยาไดไฮโดรเทสโทสเตอโรนต่อผิวหนัง
ก. เสียงแหบ ข. เกิดอารมณ์แปรปรวน ค. มีภาวะผิวมัน ง. มีพละกำลังมากขึ้น
คำตอบคือ ค. เพราะว่า เพราะการมีภาวะผิวมัน เป็นผลข้างเคียงของยาไดไฮโดรเทสโทสเตอโรนต่อผิวหนัง ยาไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน(Dihydrotestosterone ย่อว่า DHT/ดีเอชที) หรืออาจเรียกในชื่ออื่นๆ ว่า 5 alpha-dihydrotestosterone (ย่อว่า 5 alpha DHT), Androstanolone, Stanolone, Testosterone proprionate, Dihydrotestosterone propionate จัดว่าเป็นสเตียรอยด์ฮอร์โมน (Steroid hormone)เพศชายที่สามารถสังเคราะห์ได้เองในร่างกาย อวัยวะที่มีกระบวนการสังเคราะห์ฮอร์โมนชนิดนี้ได้แก่ ต่อมลูกหมาก องคชาติ ผิวหนัง รูขุมขนที่ผิวหนัง ตับ และสมอง หน้าที่ของ DHT จะช่วยให้ร่างกายของเด็กชายมีพัฒนาการเจริญเติบโตเต็มวัย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะทางเพศ ใบหน้า รูปร่าง ขนตามตำแหน่งต่างๆ และยังส่งผลทำให้ต่อมไขมันตาม ใบหน้า ศีรษะ และผิวหนัง ทำงานมากขึ้น ตลอดจนกระทั่งช่วยให้ต่อมลูกหมาก และถุงพักน้ำอสุจิ/ถุงสร้างสารบำรุงตัวอสุจิ) เจริญเติบโตและทำงานได้เต็มที่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าการสังเคราะห์ DHT ต้องใช้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน(Testosterone)เป็นสารตั้งต้น โดยมีเอนไซม์ 5alpha-reductase เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ด้วยเหตุผลนี้เราจึงสามารถพบทั้ง DHT และ Testosterone อยู่ในบริเวณเนื้อเยื่อเดียวกัน โดยฮอร์โมนเพศชายทั้งสองตัวจะมีหน้าที่ทำงานที่ประสานงานกันได้เป็นอย่างดี อาจเปรียบเทียบฤทธิ์และการทำงานของ DHT และ Testosterone/ อิทธิพลของ DHT และ Testosterone ต่อการเจริญของร่างกายเพศชาย ยาไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน สามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์จากยา (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)ต่อระบบอวัยวะต่างๆ ของร่างกายดังนี้ เช่น - ผลต่อสภาพจิตใจ: เช่น เกิดอารมณ์แปรปรวน - ผลต่อระบบประสาท: เช่น รู้สึกมีพละกำลังมากขึ้น - ผลต่อระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย: เช่น น้ำหนักตัวเพิ่ม - ผลต่อผิวหนัง: เช่น ผมยาวเร็วผิดปกติ มีภาวะผิวมัน เกิดสิว - ผลต่อกล่องเสียง: เช่น เสียงแหบ
เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1540
Finance
Tencent เจ้าพ่อแพลตฟอร์มเทคโนโลยี เป็นลูกรักรัฐบาลจีนหรือไม่?
null
บริษัทเทคโนโลยีเบอร์ 1 ของจีน ให้บริการครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มที่เป็นไลฟ์สไตล์ของคนจีน ทั้งเกมและแพลตฟอร์มในการเข้าถึงสื่อต่าง ๆ รวมถึงการให้บริการชำระสินค้าออนไลน์ ธุรกิจ Social Network WeChat เป็นแอปฯ ที่รวมไลฟ์สไตล์ของคนจีนเอาไว้ข้างใน ไม่ว่าจะจองโรงแรม เรียกแท็กซี่ ซื้อของ หรือสั่งอาหาร เรียกได้ว่าเป็น Super App เบอร์ 1 ของจีน (และของโลก) โดย WeChat ในจีนจะใช้ชื่อว่า Weixin คนจีนจะใช้เวลาในโลกออนไลน์ผ่าน WeChat เป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1,200 ล้านคนแล้วในปัจจุบัน ธุรกิจ Online Game ธุรกิจเกม เน้นไปที่เกมบนมือถือที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าพวก Console หรือ PC พร้อมทั้งเตรียมนำ Cloud Gaming มาช่วยอีกเเรงเพื่อให้มือถือราคาถูกสามารถเล่นเกมในกราฟฟิกระดับเทพได้เสถียรมากขึ้น เกมโด่งดังที่บ้านเราคุ้นเคยกันดีก็คือ ROV และ PUBG ธุรกิจ Fintech WeChat Pay เปรียบเสมือนแขนขาของคนจีนไปแล้ว ขาดแอปฯ นี้ไม่ได้ ให้บริการชำระสินค้าเหมือนกับ Alipay โดยคนจีนขึ้นชื่อในเรื่องของ Spending Power ที่มหาศาลอยู่แล้ว ธุรกิจ Online Advertising แอปฯ ในเครืออย่าง Tencent Video มีเป้าหมายเพื่อแข่งกับ TikTok จึงหันมาเน้นที่ Short Video มากขึ้น และสถานการณ์ในจีนตอนนี้เป็นไปด้วยดีเนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วมากหลังคุมโควิดได้ จึงสนับสนุนให้สินค้าและบริการหลายอย่างที่ลดการโฆษณาไปก่อนหน้านี้วนกลับมาแล้ว เช่น การขายรถยนต์ หรือการท่องเที่ยว ขณะที่ e-commerce ยังเป็นตัวชูโรงในตลาดโฆษณา งบไตรมาส 1 บริษัทประกาศรายได้ไตรมาส 1 โต +25% YoY โดยกำไรสูงถึง +20% YoY อยู่ที่ 42.8 ล้านหยวน ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ธุรกิจเกมและ WeChat เป็นตัวนำในการเติบโต พร้อมทั้งไตรมาสนี้การใช้จ่ายผ่าน WeChat ได้ฟื้นตัวขึ้นและเป็นตัวดันรายได้อีกทาง แผนต่อไปของ Tencent คงมองไปที่การเติบโตของฝั่ง Video Streaming และ Music Subscription ที่อาจจะมาเป็น S – Curve ใหม่ของบริษัท ซึ่งความได้เปรียบก็คือฐานลูกค้าในจีนที่มีมากอยู่แล้ว แต่ในระยะสั้น Tencent จะนำกำไรในปีนี้ลงทุนหนักไปที่ Cloud และ Short Video Content ซึ่งทำให้นักลงทุนไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ช่วงประกาศงบผู้บริหารบอกใบ้ว่า “ปัญหาเกี่ยวกับรัฐบาลเริ่มลดลงเเล้ว” โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนได้เรียกบริษัท Fintech 15 รายเข้าพบเพื่อพูดคุยเรื่องระเบียบใหม่ โดยเน้นเรื่องการป้องกันความเสี่ยงจากการปล่อยกู้ของภาคเอกชน หลังจากคุยกับรัฐบาลจึงได้ข้อสรุปว่าธุรกิจ FinTech ยังดำเนินธุรกิจได้เหมือนเดิม เพียงแต่ต้องมีรายงานส่งให้รัฐบาลบ่อยขึ้นและให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามกฎที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ อีกไม่นานรัฐบาลจีนคงประกาศว่า Tencent หรือบริษัทในเครือจะโดนปรับเท่าไหร่ (ตามรอย Alibaba) แต่ราคาหุ้นก็ไหลลงมารอแล้ว คงไม่กระทบมากนัก
ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11435
Medical
ช่วยสรุปเรื่อง "ภาวะลิมโฟไซต์แบ่งตัวผิดปกติหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ" ให้หน่อยค่ะ
ภาวะลิมโฟไซต์แบ่งตัวผิดปกติหลังการปลูกถ่ายอวัยวะPost-transplant lymphoproliferative disorder ย่อว่า PTLD เป็นกลุ่มของภาวะความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ โดยมีความสัมพันธ์กับระบบภูมิคุ้มกันระบบภูมิต้านทานระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกาย ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เซลล์ลิมโฟไซต์ Lymphocytes เกิดการแบ่งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ ส่วนมากมักเกิดจากการใช้ยาที่มีฤทธิ์เป็นยากดภูมิคุ้มกันหลังจากการปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อป้องกันร่างกายปฏิเสธอวัยวะใหม่ที่ได้รับการปลูกถ่าย โดยมีความสัมพันธ์กับเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เรียกว่า Epstein-Barr virusย่อว่า EBVอีบีวี แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง โรคติดเชื้อ อีบีวี ซึ่งอาจอยู่ในร่างกายของผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะอยู่แล้ว หรืออาจมาจากบุคคลผู้ให้อวัยวะดังกล่าว ภาวะ PTLD มีหลายชนิด และแต่ละชนิดมีความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในผู้ป่วยเด็ก และในผู้สูงอายุ เมื่อได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยอาจมีโอกาสรูสึกมีก้อนหรือมีตุ่มบริเวณ คอ รักแร้ หรือบริเวณขาหนีบ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีต่อมน้ำเหลืองต่างๆอยู่ เมื่อมีการแบ่งตัวของเซลล์ลิมโฟไซต์จำนวนมาก จะทำให้ต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้โต ในบางกรณี ต่อมฯอาจโตลึกเข้าไปในผิวหนังทำให้ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกจากภายนอกก็ได้ โอกาสการเกิดภาวะนี้จะสูงที่สุดในช่วงเดือนแรกหลังได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ควรเฝ้าระวังภาวะนี้อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในช่วงหนึ่งเดือนแรกถึงหนึ่งปีแรก หากมีความผิดปกติใดๆเกิดขึ้น ควรรีบเข้าพบแพทย์มาโรงพยาบาลโดยทันที ภาวะเซลล์ลิมโฟไซต์แบ่งตัวผิดปกติภายหลังการปลูกถ่ายอวัยวะมีสาเหตุจากอะไร ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะนั้นจะได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายปฏิเสธอวัยวะใหม่ที่ได้รับการปลูกถ่าย เมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายได้รับการควบคุมนั้น ร่างกายก็อาจจะมีโอกาสติดเชื้อได้มากขึ้น เชื้อไวรัส Epstein-Barr virus EBV มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะ PTLD กล่าวคือ เมื่อร่างกายมีภูมิคุมกันบกพร่อง จึงไม่สามารถควบคุมหรือกำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ เชื้อ EBV ทำให้ EBV-infected B cells เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด ลิมโฟไซต์ชนิดหนึ่ง เจริญเติบโตและมีอายุยาวกว่า B cells ปกติ จึงทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนเซลล์ลิมโฟไซต์ ส่งผลให้ต่อมน้ำเหลืองต่างๆทั่วร่างกายมีขนาดโตขึ้น อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเซลล์ลิมโฟไซต์แบ่งตัวผิดปกติภายหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเซลล์ลิมโฟไซต์แบ่งตัวผิดปกติภายหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ ได้แก่ ผู้ป่วยเด็กหรือผู้สูงอายุที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ การได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดยาสูงๆ โอกาสในการเกิดส่วนมากจะอยู่ในช่วงเดือนแรกถึงปีแรกหลังการปลูกภ่ายอวัยวะ อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะ PTLD หลังการปลูกถ่ายอวัยวะไปแล้วหลายปีก็ได้ ภาวะเซลล์ลิมโฟไซต์แบ่งตัวผิดปกติภายหลังการปลูกถ่ายอวัยวะมีอาการอย่างไร อาการของภาวะเซลล์ลิมโฟไซต์แบ่งตัวผิดปกติภายหลังการปลูกถ่ายอวัยวะที่พบบ่อย ได้แก่ ผู้ป่วยที่เกิดภาวะ PTLD อาจมีอาการโดยเริ่มต้นจากรู้สึกเหมือนมีตุ่มหรือก้อนบริเวณคอ รักแร้ หรือบริเวณขาหนีบ บริเวณที่มีต่อมน้ำเหลือง ซึ่งเกิดจากการที่ต่อมฯเหล่านี้โตจากการสะสมของเซลล์ลิมโฟไซต์ในต่อมฯ ซึ่งดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า หากต่อมฯมีการโตลึกลงไปภายในร่างกาย ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกว่าต่อมฯโตก็ได้ อาการอื่นๆ เช่น มีไข้ เหงื่อออก แม้ในช่วงเวลากลางคืน ความอยากอาหารลดลง น้ำหนักลด รู้สึกไม่สบายเนื้อตัว
ภาวะลิมโฟไซต์แบ่งตัวผิดปกติหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ เกิดจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ โดยมีความสัมพันธ์กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาว ลิมโฟไซต์ เกิดการแบ่งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ มักเกิดจากการใช้ยาที่มีฤทธิ์เป็นยากดภูมิคุ้มกันหลังจากการปลูกถ่ายอวัยวะ เพื่อป้องกันร่างกายปฏิเสธอวัยวะใหม่ที่ได้รับการปลูกถ่าย และมีความสัมพันธ์กับเชื้อไวรัส Epstein-Barr virus ซึ่งอยู่ในร่างกายของผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ หรือมาจากบุคคลผู้ให้อวัยวะดังกล่าว ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในผู้ป่วยเด็กและผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะจะได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายปฏิเสธอวัยวะใหม่ที่ได้รับการปลูกถ่าย เมื่อภูมิคุ้มกันได้รับการควบคุม ร่างกายจะมีโอกาสติดเชื้อได้มากขึ้น เชื้อไวรัส Epstein-Barr virus มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะลิมโฟไซต์แบ่งตัวผิดปกติหลังการปลูกถ่ายอวัยวะคือ เมื่อร่างกายมีภูมิคุมกันบกพร่อง จึงไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์เจริญเติบโตและมีอายุยาวกว่า B cells ปกติ ทำให้เพิ่มจำนวนเซลล์ลิมโฟไซต์ ส่งผลให้ต่อมน้ำเหลืองต่างๆ ทั่วร่างกายโตขึ้น ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเซลล์ลิมโฟไซต์แบ่งตัวผิดปกติภายหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ คือ การได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูงๆ โอกาสในการเกิดจะอยู่ในช่วงเดือนแรกถึงปีแรกหลังการปลูกภ่ายอวัยวะ อาการของภาวะเซลล์ลิมโฟไซต์แบ่งตัวผิดปกติภายหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ เริ่มต้นจากรู้สึกเหมือนมีตุ่มหรือก้อนบริเวณคอ รักแร้ หรือบริเวณขาหนีบ บริเวณที่มีต่อมน้ำเหลือง ซึ่งเกิดจากการที่ต่อมโตจากการสะสมของเซลล์ลิมโฟไซต์ อาการอื่นๆ เช่น มีไข้ เหงื่อออกในช่วงกลางคืน ความอยากอาหารลดลง น้ำหนักลด รู้สึกไม่สบายเนื้อตัว
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_20860
Medical
อาการของมะเร็งไตแบ่งได้เป็น ๔ ระยะคือได้แก่อะไรบ้าง
null
ระยะที่ ๑ มีขนาดก้อนน้อยกว่า ๗ เซนติเมตร อยู่เฉพาะในไต ไม่ลุกลามไปส่วนอื่น ระยะที่ ๒ ก้อนมีขนาดมากกว่า ๗ เซนติเมตร ยังอยู่เฉพาะในไต ระยะที่ ๓ มีการลุกลามไปที่หลอดเลือดดำ หรือกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียง ระยะที่ ๔ มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียง ได้แก่ ต่อมหมวกไต หรือแพร่กระจายไปอวัยวะอื่น เช่น ปอด ตับ กระดูก แนวทางการรักษามะเร็งไต ได้แก่ ๑ การผ่าตัด ถือได้ว่าเป็นการรักษาหลักวิธีเดียวที่ทำให้หายขาดได้สำหรับมะเร็งไตระยะที่ ๑-๓ ๒ การฉายรังสี เป็นการบรรเทาอาการ แต่ไม่สามารถทำให้หายขาดได้ ๓ การใช้ยาเคมีบำบัด ใช้เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของมะเร็งไปที่อวัยวะอื่นแล้ว ๔ การให้ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน กรณีที่มะเร็งแพร่กระจายไปที่อวัยวะอื่นแล้วเท่านั้น ๕ การรักษาแบบเฉพาะเจาะจงมุ่งเป้าการรักษา กรณีที่มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น โดยใช้ยาซึ่งมี ๒ กลุ่ม กลุ่มที่ ๑ ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง มีทั้งยากิน ยาฉีด กลุ่มที่ ๒ กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ไปยับยั้งกลไกภายในเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของมะเร็ง ผลการรักษามะเร็งไตจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค เช่น ระยะที่ ๑ จะมีอัตราการอยู่รอดที่ ๕ ปีถึงร้อยละ ๙๕ แต่จะลดลงเหลือเพียงร้อยละ ๒๐ ในระยะที่ ๔ ซึ่งจะทำให้การรักษายากยิ่งขึ้น ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งไตมาจากการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลัก โรคอ้วนก็เป็นหนึ่งปัจจัยที่เกิดมะเร็งไตได้ หรือคนที่ทำงานเกี่ยวกับสารเคมีบางอย่าง เช่น แร่ใยหิน แคดเมียม รวมถึงในครอบครัวที่มีผู้ป่วยเป็นมะเร็งไตหลายคนก็มีโอกาสเป็นได้เช่นกัน ถ้าหากพบว่ามีอาการผิดปกติ หรือมีสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกว่าอาจจะมีความผิดปกติที่ไต ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะการรักษาระยะเริ่มต้นสามารถหายขาดได้
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_22349
Medical
โรคแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจคืิออะไร
null
ที่พบบ่อย คือ หลอดลมอักเสบและปอดบวม นิวโมเนียในระยะแรก เชื้อโรคจะลุกลามลงไปในหลอดลมเท่านั้น จะทำให้มีอาการไข้ ไอ หายใจเร็วในกรณีที่เชื้อลุกลามลงไปในปอด จะทำให้ปอดบวม ผู้ป่วยจะมีอาการมาก หอบเหนื่อยและมีอาการหน้าเขียว ต้องรีบนำส่งสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาล โรคหลอดลมอักเสบในเด็กเล็ก บางทีมีอาการมาก เพราะหลอดลมเล็กมาก ขับเสมหะออกได้ยาก จึงทำให้เสมหะไปอุดหลอดลม หายใจออกลำบาก มีอาการคล้ายหืด ที่เรียกว่า โรคหืดจากหลอดลมอักเสบ Asthmatic bronchitis จะมีอาการหอบบ่อย ๆ ต้องให้ดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้เสมหะใส ร่างกายขับออกมาได้ง่าย ธรรมชาติสร้างขนไว้ในหลอดลม เพื่อให้ปัดเอาเสมหะออกมาข้างนอก คล้ายกับเราใช้ไม้กวาดกวาดบ้านนั่นเองและในบางครั้งแพทย์ต้องให้ยาขยายหลอดลม เช่นเดียวกับการรักษาโรคหืด โรคนี้มักเป็นบ่อย ๆ ทำความทุกข์ทรมานให้กับเด็กและพ่อแม่เป็นอันมาก บางทีอาจมีโรคภูมิแพ้เป็นปัจจัยมาเกี่ยวข้องด้วย จึงต้องหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่แพ้ เช่น ฝุ่นละออง แมว สุนัข อาหารทะเล อากาศเย็น เป็นต้น เมื่อเด็กโตขึ้นอายุประมาณ 5-10 ขวบ มักจะหายไปเอง เพราะหลอดลมใหญ่ขึ้น การอุดตันของหลอดลมน้อยลง แต่พวกที่เป็นหืด จริง ๆ พวกนี้มักจะมีประวัติเป็นกรรมพันธุ์และมักจะไม่หาย โรคแทรกซ้อนทางต่อมน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลืองเป็นด่านสกัดการกระจายของแบคทีเรีย ต่อมทอนซิลก็เป็นต่อมน้ำเหลืองเข่นเดียวกัน เป็นด่านแรกที่สกัดเชื้อเอาไว้
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21991
Medical
การชั่งน้ำหนักเด็กปกติและเด็กที่มีการขาดอาหารเป็นระยะ ๆ จะทำให้ทราบถึงอะไร
A. ความสูง B. พัฒนาการความสามารถ C. การเจริญเติบโตของเด็ก D. น้ำหนัก
คำตอบคือ C. เนื่องจาก เพราะการชั่งน้ำหนักเด็กปกติและเด็กที่มีการขาดอาหารเป็นระยะ ๆ จะทำให้ทราบถึงการเจริญเติบโตของเด็กได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังทำให้ทราบถึงวิธีการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหา ตลอดจนถึงครอบครัวเด็กด้วย เพราะเด็กที่ขาดอาหารมักจะมาจากครอบครัวที่ยากจน คือ จนทั้งเงินทอง จนความรู้ และจนโอกาสที่จะได้รับบริการต่าง ๆ ด้วย เมื่อมีการช่วยเหลือเด็กและช่วยเหลือครอบครัวเด็กที่มีปัญหา เพื่อให้ช่วยตัวเองให้ได้ การติดตามดูน้ำหนักเด็กก็จะเป็นเครื่องชี้อย่างดีถึงผลสำเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการช่วยเหลือนั้น ๆ ในเด็กวัยเรียน แนวความในการชั่งน้ำหนักเพื่อติดตามการเจริญเติบโตของเด็ก ควรจะได้นำมาใช้ เมื่อมีการชั่งน้ำหนักเด็กแล้ว ควรจะมีการแปลผลด้วยว่า เด็กเติบโตปกติหรือไม่ ไม่ควรสักแต่ชั่งน้ำหนักแล้วบันทึกไว้ โดยไม่มีการแปลผลแต่อย่างไร โดยทั่วไปแล้ว เด็กวัยเรียนจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 2 กิโลกรัม และมีความสูงเพิ่มปีละประมาณ 5 ซม. จนเมื่อใกล้จะเข้าวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว น้ำหนักจะเพิ่มปีละประมาณ 5-7 กิโลกรัม และความสูงก็จะเพิ่มปีละ 5-7 ซม. เช่นกัน จนเป็นหนุ่มสาวเต็มที่ จากนั้นจะไม่สูงเพิ่ม แต่น้ำหนักอาจจะเพิ่มได้อีกเรื่องของการชั่งน้ำหนักและการวัดความสูง นอกจากจะเป็นเครื่องชี้ถึงการเจริญเติบโตของแต่ละคนแล้ว ยังอาจจะนำมาใช้เป็นเครื่องชี้ภาวะสังคมของชุมชนได้ด้วย เช่น ชุมชนใดที่มีการพัฒนาดี ทรัพยากรมนุษย์ก็จะดีถ้วนทั่วหน้ากัน กล่าวคือ เด็กทุกคนจะเติบโตเป็นปกติ ไม่มีปัญหาการขาดอาหาร ถ้าชุมชนใดที่มีปัญหาสังคมอยู่ แม้จะมีการพัฒนาทางด้านวัตถุไปมากมายก็ตาม ก็จะมีปัญหาการขาดอาหารอยู่
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_775
Finance
ช่วยสรุปบทความ SSF กองไหนดี ซื้อได้เท่าไร? พร้อมโพยรวมสุดยอดกองทุนลดหย่อนภาษี
SSF สำหรับสายเสี่ยงต่ำ ถ้าคุณเป็นคนที่ซื้อ SSF เพราะต้องการลดหย่อนภาษีเป็นหลัก ไม่ได้แคร์มากมายว่าผลตอบแทนต้องโตเท่านู้นเท่านี้ นอกจากนั้นคุณยังเป็นคนที่กลัวขาดทุนด้วย ถ้าเป็นแบบนี้คุณจะเหมาะกับ SSF สายตราสารหนี้ครับ เพราะกองทุนตราสารหนี้เหล่านี้ค่อนข้างมีความผันผวนต่ำ สิ่งที่ต้องระวังคืออาจจะต้องดูเครดิตเรทติ้งดี ๆ เลือกกองตราสารหนี้ที่เป็น Investment Grade (IG) เป็นหลัก กองที่ผมชอบที่สุดคือกอง K-FIXEDPLUS-SSF เพราะมีสัดส่วนของเงินฝากประจำ พันธบัตรและตราสารหนี้รัฐบาล กระทรวงการคลังค้ำประกันสูงกว่ากองอื่น ๆ แบบมีนัย ซึ่งส่งผลให้ความเสี่ยงน้อยลงมาก (ค่าความเสี่ยงของกองทุนอยู่ในระดับ 4) นอกจากนั้นถ้าคุณกลัวมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่เอาความเสี่ยงเลย ตราสารหนี้ก็ยังรู้สึกว่าเสี่ยง งั้นผมขอแนะนำกองที่ลงทุนในตราสารเงิน KFCASHSSF ซึ่งลงทุนหลักในพันธบัตรรัฐบาลของธนาคารแห่งประเทศไทย 95.8% (ค่าความเสี่ยงของกองทุนอยู่ในระดับ 1 ปลอดภัยกว่านี้ไม่มีอีกแล้วจ้า SSF สำหรับสายลุย แต่ถ้าคุณเป็นสายผลตอบแทน ลดหย่อนภาษีแล้วก็คาดหวังผลตอบแทนด้วย แบบนี้เลือกได้หลากหลายเลยครับ ขั้นแรกคุณต้องดูก่อนว่าคุณอยากลงทุนในไทยหรือต่างประเทศ? ถ้าคุณเป็นคนที่เล่นหุ้น มีหุ้นไทยอยู่เยอะ ผมอยากแนะนำให้กระจายความเสี่ยงลงทุน SSF ที่ลงทุนในต่างประเทศครับ ลงทุนกองหุ้นต่างประเทศมีข้อดีคือได้ลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีในตลาดหุ้นไทย ซึ่งแต่ละบริษัทโหด ๆ ทั้งนั้น กองหุ้นต่างประเทศที่ผมชอบในแต่ละหมวดก็จะมี … K-CHINA-SSF กองนี้ลงทุนในจีน โดยมีทั้งหุ้น A-Share และ ADR ที่ Listed ในตลาดสหรัฐฯครับ ปีนี้หุ้นจีนลงมาค่อนข้างมาก แต่ผมคิดว่าอนาคตการเติบโตของจีนยังดีอยู่ ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนหุ้นจีนระยะยาวครับ ONE-UGG-ASSF กองนี้เน้นหุ้นเติบโต (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเทคโนโลยี) เช่น Tesla, Amazon, Tencent, Alibaba, Facebook และ Netflix ONE-DISC-ASSF กองนี้เน้นลงทุนในหุ้นเติบโตทั่วโลก ต่างกับ ONE-UGG-ASSF ตรงที่ตัวนี้เน้นหุ้น Size Mid-Small ซึ่งมีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต K-CHANGE-SSF กองนี้เน้นหุ้นที่เกาะกระแสการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ของโลกเช่น พลังงานสะอาด เทคโนโลยีการแพทย์ใหม่ ๆ ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ หุ้นที่กองทุนนี้ลงทุนก็เช่น Tesla, Moderna ที่ผลิตวัคซีน COVID-19 และ TSMC โรงงานผลิตชิปอยู่เบื้องหลังบริษัทใหญ่ ๆ เช่น Apple TEG-SSF สำหรับสายหุ้นไทย ถ้าอยากได้สไตล์ลงทุนหุ้นเติบโต Mid-Large Cap แบบ Active ผมขอไม่อธิบายลงลึกในกองทุนแต่ละกองนะครับ แต่เชื่อว่าข้อมูลตรงนี้น่าจะให้ไอเดียได้ระดับนึงสำหรับคนที่ต้องการซื้อ SSF เพื่อผลตอบแทนระยะยาว
SSF สำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีและเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ แนะนำให้เลือกกองทุน SSF สายตราสารหนี้ เช่น K-FIXEDPLUS-SSF ที่ลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้รัฐบาล ความผันผวนต่ำและมีความเสี่ยงน้อยลง (ระดับ 4) สำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยมากขึ้น สามารถเลือก KFCASHSSF ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของธนาคารแห่งประเทศไทย 95.8% โดยมีระดับความเสี่ยงที่ 1 SSF สำหรับผู้ลงทุนสายผลตอบแทนหลีกเลี่ยงความเสี่ยง มีหลากหลายตัวเลือก หากต้องการลงทุนในต่างประเทศ แนะนำกอง K-CHINA-SSF ที่ลงทุนในหุ้น A-Share และ ADR ของบริษัทจีน หรือ ONE-UGG-ASSF ที่เน้นหุ้นเติบโตในด้านเทคโนโลยี เช่น Tesla, Amazon, Tencent, Alibaba, Facebook และ Netflix สำหรับการลงทุนในหุ้นเติบโตทั่วโลก มี ONE-DISC-ASSF ที่เน้นหุ้น Size Mid-Small หรือ K-CHANGE-SSF ที่เน้นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มโลก เช่น พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีการแพทย์ใหม่ ๆ สำหรับการลงทุนในหุ้นไทย แนะนำ TEG-SSF ที่เน้นหุ้นไทย Mid-Large Cap แบบ Active สำหรับผู้ที่ต้องการสไตล์ลงทุนนี้
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_20133
Medical
ในเด็กทารกและเด็กวัยอนุบาล สัญญาณเตือนออทิสติกอะไรบ้างที่พ่อแม่ควรสังเกต
หน้าแรก บทความ สัญญาณเตือนออทิสติก สัญญาณเตือนออทิสติก พญ.ปรารถนา เจรียงประเสริฐ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ TweetShare+1E-mail สัญญาณเตือนออทิสติก เนื่องจากวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมาเป็น วันออทิสติกโลก หมอจึงอยากใช้โอกาสนี้ให้ความรู้เบื้องต้นกับผู้ปกครองทั้งหลายเกี่ยวกับโรคนี้ เพื่อให้ช่วยกันเฝ้าระวังบุตรหลานใกล้ตัวเพราะโรคออทิสติกนั้นในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด จากงานวิจัยพบว่าน่าจะเกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน เช่น ปัจจัยด้านพันธุกรรม และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น พ่อหรือแม่มีอายุมาก หรือมีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น ซึ่งโรคนี้จะทำให้โครงสร้าง หน้าที่ การทำงาน และสารเคมีในสมองผิดปกติ ส่งผลให้พัฒนาการของสมองเกิดความผิดปกติล่าช้าไป 3 ด้าน คือ สังคม ภาษา และพฤติกรรม โดยในเด็กบางคนตรวจพบความผิดปกติหลังจากอายุ 1 ½ - 2 ขวบ หมายถึง เด็กอาจสูญเสียทักษะบางอย่างที่เคยทำได้แล้ว เช่น จากที่เคยพูดได้คล่อง กลับหยุดพูดไป หรือภาษาท่าทางต่างๆ หายไป สาเหตุของโรคออทิสติก พ่อแม่หลายๆ คนที่สงสัยว่าลูกเป็นออทิสติกหรือไม่ มักคิดไปก่อนว่า “ลูกคงไม่เป็นหรอก แค่พูดช้าเฉยๆ เดี๋ยวก็พูดได้เอง รอดูไปก่อน” ซึ่งความคิดเช่นนี้อาจทำให้เด็กๆ หลายคนได้รับการวินิจฉัยล่าช้า ซึ่งส่งผลเสียต่อการรักษา ปัจจุบันพบว่ากลุ่มเด็กออทิสติกที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างรวดเร็วตั้งแต่ระยะแรก (Early Detection) และได้รับการรักษากระตุ้นพัฒนาการอย่างทันท่วงทีนั้น มีผลการรักษาที่ดีกว่า มีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้เร็วกว่ากลุ่มเด็กออทิสติกที่มารับการรักษาล่าช้า แต่อย่างไรก็ตาม อาจขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ระดับสติปัญญาของเด็ก หรือโรคที่พบร่วมอื่นๆ เป็นต้น วิธีการสังเกตอาการออทิสติกเบื้องต้น หากลูกๆ หลานๆ มีอาการเหล่านี้เพียงแค่ “บางข้อ” ผู้ปกครองควรรีบพามาประเมินเนื่องจากมีความเสี่ยง 1. สัญญาณเตือนออทิสติกในเด็กทารกและเด็กวัยอนุบาล อายุ 6 เดือน สบตาน้อย ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า หรือไม่ยิ้มตอบโต้ผู้ใหญ่ อายุ 9 เดือน ไม่ส่งเสียงอ้อแอ้ ไม่ยิ้ม อายุ 12 เดือน ไม่ชี้นิ้ว เอื้อมหยิบของ โบกมือลา พูดไม่เป็นภาษา ไม่หันตามเสียงเรียก อายุ 16 เดือน ไม่พูดคำที่มีความหมาย เช่น หมา อายุ 24 เดือน ไม่พูดคำที่มีความหมายหรือวลีสั้นๆ เช่น กินข้าว ไปเที่ยว จะเอา 2. สัญญาณเตือนออทิสติกในเด็กทุกวัย หลีกเลี่ยงการสบตา ชอบอยู่คนเดียวมากกว่าเข้ากลุ่มกับเพื่อน เด็กบางคนมักไปหลบตามห้องสมุด หลีกเลี่ยงการเข้ากิจกรรมที่มีเพื่อนเยอะๆ ไม่เข้าใจสีหน้า อารมณ์ และความรู้สึกของคนอื่น มีพัฒนาการทางภาษาล่าช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน เมื่อเทียบกับเพื่อนในชั้นเรียน การเรียงประโยคอาจสับสน ไม่เข้าใจคำสั่งง่ายๆ เป็นต้น พูดทวนประโยคซ้ำไปมาตามผู้ใหญ่ เช่น ผู้ปกครองถามว่า “ไปไหนมา” น้องตอบว่า “ไปไหนมา” หงุดหงิดมาก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลำดับกิจวัตรประจำวันเพียงเล็กน้อย เช่น ไม่ยอมใส่เสื้อผ้าหากไม่เรียงตามลำดับแบบเดิมที่เคยใส่ ต้องใส่เสื้อก่อนใส่กางเกงทุกครั้ง เป็นต้น มีความสนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งแบบหมกมุ่น ซ้ำๆ และจำกัด และมักคุยแต่เรื่องที่ตนเองสนใจเท่านั้น เช่น สนใจของหมุนๆ จ้องพัดลม จ้องล้อรถ สนใจรถยนต์ รู้รายละเอียดทุกยี่ห้อ เป็นต้น ทำพฤติกรรม ท่าทางซ้ำๆ สะบัดมือ หมุนตัว โยกตัว มีการรับรู้ด้านประสาทสัมผัสที่มากหรือน้อยเกินไป เช่น ไวต่อเสียง รสชาติ แสง มากเกินปกติ เป็นต้น เด็กๆ ที่มีอาการออทิสติกนั้นแม้ในปัจจุบันยังไม่มีหนทางรักษาให้หายได้ แต่ด้วยความรู้ทางการแพทย์ที่ล้ำหน้า การตรวจพบได้เร็วสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการอย่างทันท่วงที ช่วยให้เด็กๆ สามารถดูแลช่วยเหลือตัวเองได้ และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างมีคุณภาพและมีความสุข ค้นหาแพทย์และนักบำบัด โทรนัดหมายแพทย์ ติดต่อสอบถาม อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม โรคกังวลต่อการเข้าสังคม (Social Anxiety in Children & Adolescents) คุยเรื่องเพศ...ไม่ยากอย่างที่คิด
ด้านพัฒนาการทางสังคม อายุ 6 เดือน: สบตาน้อย ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า หรือไม่ยิ้มตอบโต้ผู้ใหญ่ อายุ 9 เดือน: ไม่ส่งเสียงอ้อแอ้ ไม่ยิ้ม อายุ 12 เดือน: ไม่ชี้นิ้ว เอื้อมหยิบของ ไม่โบกมือลา พูดไม่เป็นภาษา ไม่หันตามเสียงเรียก อายุ 16 เดือน: ไม่พูดคำที่มีความหมาย เช่น "หมา" อายุ 24 เดือน: ไม่พูดคำที่มีความหมายหรือวลีสั้นๆ เช่น "กินข้าว" "ไปเที่ยว" "จะเอา" ด้านพัฒนาการทางภาษา - พัฒนาการทางภาษาล่าช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน - เมื่อเทียบกับเพื่อนในชั้นเรียน การเรียงประโยคอาจสับสน - ไม่เข้าใจคำสั่งง่ายๆ - พูดทวนประโยคซ้ำไปมาตามผู้ใหญ่ เช่น ผู้ปกครองถามว่า "ไปไหนมา" น้องตอบว่า "ไปไหนมา" ด้านพฤติกรรม - หลีกเลี่ยงการสบตา - ชอบอยู่คนเดียวมากกว่าเข้ากลุ่มกับเพื่อน - เด็กบางคนมักไปหลบตามห้องสมุด หลีกเลี่ยงการเข้ากิจกรรมที่มีเพื่อนเยอะๆ - ไม่เข้าใจสีหน้า อารมณ์ และความรู้สึกของคนอื่น - หงุดหงิดมาก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลำดับกิจวัตรประจำวันเพียงเล็กน้อย เช่น ไม่ยอมใส่เสื้อผ้าหากไม่เรียงตามลำดับแบบเดิมที่เคยใส่ หมายเหตุ: สัญญาณเตือนเหล่านี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น เด็กบางคนอาจมีพัฒนาการที่แตกต่างกันไป หากผู้ปกครองกังวลว่าลูกอาจเป็นออทิสติก ควรพาไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_3579
Finance
นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย จะส่งผลต่อการลงทุนอย่างไร
null
นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย คาดว่าจะส่งผลต่อการลงทุนใน 3 ด้านหลักๆ ดังนี้ ด้านการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง นโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้จ่ายมากขึ้น และอาจทำให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ เพิ่มขึ้นตามมา ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงเหล่านี้ปรับตัวสูงขึ้น ด้านการลงทุนในธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อม นโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้ประชาชนใช้จ่ายเงินมากขึ้นในธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อม ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจเหล่านี้ เนื่องจากจะมีรายได้เพิ่มขึ้น และอาจทำให้มีกำไรมากขึ้น ส่งผลให้มูลค่ากิจการของธุรกิจเหล่านี้เพิ่มขึ้น และอาจดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น ด้านการลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชน นโยบายดังกล่าวจะส่งเสริมให้เกิดการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมากขึ้น เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการให้บริการกระเป๋าเงินดิจิทัล ดังนั้น การลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชนจึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของนโยบายดังกล่าวต่อการลงทุนจะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพเศรษฐกิจโดยรวม อัตราดอกเบี้ย และนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ตัวอย่างการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่อาจได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว หุ้นกลุ่มค้าปลีก หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม หุ้นกลุ่มการท่องเที่ยว ตัวอย่างการลงทุนในธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อมที่อาจได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจบริการ ธุรกิจการท่องเที่ยว ตัวอย่างการลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชน หุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับบล็อกเชน เช่น แพลตฟอร์มกระเป๋าเงินดิจิทัล แพลตฟอร์มสกุลเงินดิจิทัล หุ้นของบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการดำเนินธุรกิจ เช่น บริษัทที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการจัดเก็บข้อมูล บริษัทที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการทำธุรกรรม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20738
Medical
ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีโอกาสเกิดแผลอักเสบมากกว่าคนปกติหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: -ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อได้ยาก -ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักมีภาวะระบบประสาทเสื่อม ทำให้รู้สึกชาที่ปลายมือปลายเท้า ไม่รู้ตัวว่ามีแผลเกิดขึ้น -ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักมีภาวะหลอดเลือดเสื่อม ทำให้เลือดไปเลี้ยงแผลได้น้อย ส่งผลต่อการรักษาแผล หลักฐาน: -งานวิจัยจากวารสาร Diabetes Care พบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานมีโอกาสเกิดแผลเรื้อรังมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า -งานวิจัยจากวารสาร The Lancet พบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานมีโอกาสเกิดแผลติดเชื้อมากกว่าคนปกติถึง 3 เท่า -งานวิจัยจากวารสาร Journal of the American Medical Association พบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานมีโอกาสเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนจากแผลมากกว่าคนปกติถึง 4 เท่า ตัวอย่าง: -นายสมชาย อายุ 55 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวานมา 10 ปี วันหนึ่งนายสมชายเดินเหยียบเศษแก้วโดยไม่รู้สึกตัว เกิดเป็นแผลถลอกที่เท้า นายสมชายไม่ได้ทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี 导致แผลติดเชื้อ เกิดเป็นหนอง และลุกลามจนต้องตัดขา คำแนะนำ: -ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรดูแลรักษาสุขภาพให้ดี ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ -ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรตรวจเท้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูว่ามีแผลเกิดขึ้นหรือไม่ -ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี และรีบไปพบแพทย์ทันทีหากแผลมีอาการบวม แดง ร้อน หรือมีหนอง สรุป: -ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีโอกาสเกิดแผลอักเสบมากกว่าคนปกติอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น, -ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรดูแลรักษาสุขภาพและแผลอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_44130
Finance
นักลงทุนควรลงทุนในบิตคอยน์เพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องลงทุนในทองคำหรือไม่?
null
ไม่ควร เหตุผล: 1.ความเสี่ยง: บิตคอยน์มีความผันผวนสูง (Volatility) มากกว่าทองคำถึง 4.5 เท่า หมายความว่าราคาบิตคอยน์มีโอกาสขึ้นลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากกว่าทองคำมาก ตัวอย่างเช่น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บิตคอยน์ปรับตัวลดลง -2.5% หรือมากกว่า อย่างน้อย 1 ครั้งใน 4 สัปดาห์โดยเฉลี่ย เมื่อเทียบกับ 1 ครั้งใน 13 สัปดาห์โดยเฉลี่ยสำหรับทองคำ 2.ผลตอบแทน: แม้ว่าบิตคอยน์จะมีผลตอบแทนที่สูงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (ปี 2020-2022) บิตคอยน์ก็ยังมีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต 3.การกระจายความเสี่ยง: การลงทุนในทองคำและบิตคอยน์พร้อมกัน ช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงและลดผลกระทบจากความผันผวนของบิตคอยน์ ตัวอย่างเช่น จากการวิเคราะห์ของ World Gold Council พบว่า พอร์ตการลงทุนที่มีการจัดสรรเงินทุนไปสู่บิตคอยน์ในสัดส่วน 1 ถึง 5% ไปพร้อมๆ กับการจัดสรรเงินทุนไปสู่ทองในสัดส่วน 10% นั้นได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า เพราะนอกจากจะช่วย ‘เพิ่ม’ ผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-Adjusted Returns) ได้ราว 0.1% แล้วนั้น ยังทำให้ Maximum Drawdown ซึ่งเป็นการวัดระดับผลตอบแทนขาดทุนสูงสุดในอดีต เมื่อเทียบจากจุดที่เคยได้รับผลตอบแทนสูงที่สุด (Historical Peak) ลดลงเกือบ 2% เมื่อเทียบกับพอร์ตที่ไม่มีทองคำอีกด้วย สรุป: -การลงทุนในบิตคอยน์เพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องลงทุนในทองคำนั้นมีความเสี่ยงสูง -นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในทั้งบิตคอยน์และทองคำ -สัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมในบิตคอยน์และทองคำนั้นขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่นักลงทุนสามารถรับได้
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_44113
Finance
ผู้ประกอบการเริ่มปรับราคาสินค้าให้สูงขึ้น สะท้อนว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว แต่ยังมีผู้บริโภคบางกลุ่มที่รอซื้อสินค้าในราคาที่ถูกลง ในฐานะนักวิเคราะห์การเงิน คุณจะให้คำแนะนำแก่นักลงทุนอย่างไร เกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกในช่วงนี้
null
1. วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค: แบ่งกลุ่มผู้บริโภคตามกำลังซื้อและพฤติกรรมการซื้อ: กลุ่มที่พร้อมจ่าย, กลุ่มที่รอราคาถูกลง, กลุ่มที่ประหยัด วิเคราะห์ว่ากลุ่มผู้บริโภคแต่ละกลุ่มมีสัดส่วนเท่าใด และมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างไร ศึกษาว่าปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อของแต่ละกลุ่ม เช่น ราคาสินค้า โปรโมชั่น รายได้ ความมั่นใจ 2. วิเคราะห์กลยุทธ์ของผู้ประกอบการค้าปลีก: วิเคราะห์ว่าผู้ประกอบการแต่ละรายมีกลยุทธ์อย่างไรในการรับมือกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ศึกษาว่าผู้ประกอบการมีแผนปรับราคาสินค้าอย่างไร วิเคราะห์ว่าผู้ประกอบการมีกลยุทธ์ดึงดูดลูกค้ากลุ่มใด กลุ่มที่มีกำลังซื้อ กลุ่มที่รอราคาถูกลง หรือ กลุ่มที่ประหยัด 3. วิเคราะห์ผลประกอบการของบริษัทค้าปลีก: ศึกษาผลประกอบการที่ผ่านมาของบริษัทค้าปลีกแต่ละราย วิเคราะห์ว่าบริษัทมีแนวโน้มเติบโตอย่างไรในอนาคต เปรียบเทียบผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกแต่ละราย 4. เลือกหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่น่าลงทุน: เลือกบริษัทที่มีกลยุทธ์ phù hợp กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง เลือกบริษัทที่มีแผนปรับราคาสินค้า phù hợp กับสถานการณ์ เลือกบริษัทที่มีแผนดึงดูดลูกค้าที่มีกำลังซื้อ เลือกบริษัทที่มีผลประกอบการดีและมีแนวโน้มเติบโต 5. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกเพียงอย่างเดียว ควรกระจายเงินลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นๆ ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่มีสินค้าจำเป็น (必需品) เช่น อาหาร ยา เพราะผู้บริโภคจำเป็นต้องซื้อ regardless of ราคา ลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่มีกลยุทธ์ออนไลน์ที่ดี เพราะผู้บริโภคมีแนวโน้มซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ข้อควรระวัง: เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากหลายปัจจัย เช่น สงครามการค้า นโยบายการเงิน พฤติกรรมผู้บริโภคอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการค้าปลีกต้องปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภค สรุป: การลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกในช่วงนี้มีความเสี่ยงและโอกาสปะปนกัน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค กลยุทธ์ของผู้ประกอบการ ผลประกอบการ และกระจายความเสี่ยง
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_12991
Medical
สารทีโอโบรมีนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร
1. เครื่องดื่ม 2. ยาผง 3. ขนม 4. ยาทา
คำตอบได้แก่ 1. เพราะว่า สารทีโอโบรมีนมีรูปแบบการจัดจำหน่าย เป็นเครื่องดื่ม อาหารบำรุงสุขภาพ ที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลต หรือส่วนประกอบของโกโก้ ทีโอโบรมีนมีขนาดรับประทานอย่างไร ขนาดการบริโภคสารทีโอโบรมีนตรวจสอบได้จากฉลากอาหารหรือฉลากโภชนาการของผลิต ภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารทีโอโบรมีน อย่างไรก็ตามข้อมูลทางด้านอาหารระบุการใช้สารทีโอโบรมีนในรูปแบบของอาหารเสริม เช่น ให้บริโภคครั้งละ 500 มิลลิกรัมวันละ 1 - 2 ครั้ง หากลืมรับประทานควรทำอย่างไร การลืมรับประทานสารทีโอโบรมีนไม่มีผลต่อสุขภาพร่างกายแต่อย่างใด ด้วยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของอาหารและเครื่องดื่ม จึงไม่จำเป็นต้องมีการบริโภคเมื่อนึกขึ้นได้หรือเพื่อชดเชยมื้อที่ลืม ทีโอโบรมีนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร สารทีโอโบรมีนมีผล อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ผลข้างเคียงอาการข้างเคียง เช่น นอนไม่หลับ มือตัวสั่น กระสับกระส่าย วิตกกังวล ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมาก เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน มีข้อควรระวังการใช้ทีโอโบรมีนอย่างไร มีข้อควรระวังการใช้สารทีโอโบรมีน เช่น ไม่รับประทานในผู้แพ้สารนี้ เช่น เคยรับประทานแล้วขึ้นผื่นที่ผิวหนังหรือเกิดลมพิษ แน่นหน้าอก หรือหายใจลำบาก และหากรับประทานแล้วมีอาการแพ้ ต้องรีบไปพบแพทย์ไปโรงพยาบาลทันทีฉุกเฉิน
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_26817
Medical
อะไรคือปัจจัยสำคัญในการรักษาความดันโลหิตสูงด้วยยา?
null
จากบทความ "ลดความดันเลือดสูง โดยไม่ใช้ยา" โดย นพมานพ พิทักษ์ภากร ระบุว่า ปัจจัยสำคัญในการรักษาความดันโลหิตสูงด้วยยา มีดังนี้: 1. ความสม่ำเสมอของการรักษา: ผู้ป่วยต้องกินยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรหยุดยาเอง ถึงแม้จะรู้สึกดีขึ้น ควรทานยาในเวลาเดิมทุกวัน เพื่อรักษาระดับยาในเลือดให้คงที่ ควรไปตรวจวัดความดันโลหิตตามนัด เพื่อติดตามผลการรักษา 2. การเลือกยาที่เหมาะสม: แพทย์จะเลือกยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับ ระดับความดันโลหิต โรคประจำตัวอื่น ๆ ผลข้างเคียงของยา ค่าใช้จ่าย 3. การปรับขนาดยา: แพทย์อาจปรับขนาดยาตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับ ระดับความดันโลหิต ผลข้างเคียงของยา สุขภาพของผู้ป่วย 4. การติดตามผล: ผู้ป่วยควรไปตรวจวัดความดันโลหิตตามนัด เพื่อติดตามผลการรักษา แพทย์จะตรวจหาผลข้างเคียงของยา แพทย์อาจปรับขนาดยา หรือเปลี่ยนชนิดยาตามความเหมาะสม 5. การดูแลสุขภาพ: ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เช่น ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีเกลือน้อย เลิกสูบบุหรี่ เลิกดื่มแอลกอฮอล์ ทำจิตใจให้แจ่มใส ตัวอย่างผลข้างเคียงของยา: ยาลดความดันโลหิตบางชนิดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น เวียนหัว มึนงง อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ท้องเสีย ไอ การรักษาความดันโลหิตสูงด้วยยา มีประสิทธิภาพสูง แต่ผู้ป่วยต้องมีความรับผิดชอบในการรักษา ข้อควรระวัง: ไม่ควรหยุดยาเอง ไม่ควรซื้อยามาทานเอง ควรปรึกษาแพทย์หากมีผลข้างเคียง สรุป: ปัจจัยสำคัญในการรักษาความดันโลหิตสูงด้วยยา คือ ความสม่ำเสมอของการรักษา การเลือกยาที่เหมาะสม การปรับขนาดยา การติดตามผล การดูแลสุขภาพ คำแนะนำเพิ่มเติม: ผู้ป่วยควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ทาน ผู้ป่วยควรจดบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับยาที่ทาน ผู้ป่วยควรพกยาติดตัวเสมอ ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีโรคประจำตัวอื่น ๆ หรือทานยาอื่น ๆ อยู่
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_25105
Medical
จงสรุปเรื่อง "ความอร่อยและสุขภาพดี: รับประทานขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้พร้อมผักสด" ให้หน่อยสิคะ
ขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ จานนี้ได้อะไร มื้อนี้ได้อะไร ได้เคยนำเสนอคุณค่าโภชนาการของขนมจีนประเภทต่างๆ อาทิ ขนมจีนน้ำพริก ขนมจีนน้ำยา และขนมจีนน้ำเงี้ยว มาแล้ว ขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้มีความอร่อย มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารแบบชาวใต้คือ กลิ่นหอมและรสจัด ทั้งนี้เพราะว่าเครื่องแกงที่ใช้ทำน้ำยานั้น มีเครื่องเทศที่เพิ่มไปจากน้ำยาของขนมจีนน้ำยาแบบทั่วๆไป คือจะมีขมิ้น ข่า และผิวมะกรูด รวมทั้งพริกเม็ดเล็กที่จะให้ความเผ็ดมากกว่าอยู่ด้วย ในแง่โภชนาการ สิ่งที่เพิ่มเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คุณค่าโภชนาการเพิ่มขึ้นมากมาย เพียงแต่ทำให้รสชาติจัดขึ้นเท่านั้น จะมีข้อแตกต่างของขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้กับขนมจีนอื่นๆบ้างก็ตรงที่กินกับผักสดพื้นบ้านของชาวใต้ อาทิ ยอดกระถิน สะตอ ลูกเหลียง ถั่วงอกหัวโต รวมทั้งผักพื้นเมืองอื่นๆที่หาได้ในท้องถิ่นอีกหลายชนิด คุณค่าทางโภชนาการของขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ จัดว่ามีสัดส่วนของพลังงานที่ได้จากโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตที่ดี และมีพลังงานไม่มาก ปริมาณกรัม พลังงานกิโลแคลอรี โปรตีนกรัม ไขมัน กรัม คาร์โบไฮเดรต กรัม เถ้า กรัม๓๐๕ จากตารางจะเห็นว่าขนมจีน ๑ จาน มีปริมาณอาหารประมาณ ๓ ขีด หรือ ๓๐๕ กรัม ให้พลังงานเพียง ๒๕๖ กิโลแคลอรี ซึ่งอาหารจานเดียวทั่วๆไปจะให้พลังงานระหว่าง ๓๕๐-๕๐๐ กิโลแคลอรี ปริมาณโปรตีนซึงได้จากปลา มีอยู่ประมาณ ๑๒ กรัม คิดเป็นร้อยละ ๒๔ ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคประจำวัน ซึ่งเกือบจะเป็นปริมาณ ๑ ใน ๓ ของปริมาณโปรตีนที่ควรได้รับประจำวัน ส่วนไขมันในขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้จานนี้มีไขมันน้อยคือเพียง ๙๒ กรัม คิดเป็นร้อยละ ๑๔ ของปริมาณไขมันที่แนะนำให้บริโภคประจำวัน ข้อดีของอาหารประเภทขนมจีนน้ำยาคือการกินผักสด ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งวิตามิน แร่ธาตุ รวมทั้งที่สำคัญคือใยอาหาร เพราะจะทำให้ระบบขับถ่ายดี ช่วยป้องกันท้องผูก สำหรับผู้ที่ใช้แรงงานมาก การกินขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ ๒ จาน คงจะไม่ได้พลังงานมากจนเกินไป เพราะได้พลังงานประมาณ ๕๐๐ กิโลแคลอรีเท่านั้น ส่วนผู้ที่ต้องควบคุมน้ำหนักตัวควรกินเพียง ๑ จาน แต่สามารถกินผักสดเพิ่มได้ ทำให้อิ่มท้องมากขึ้นโดยที่แคลอรีที่ได้รับไม่เพิ่มมากนัก ขนมจีน-น้ำยาปักษ์ใต้ เครื่องปรุง - ปลาแดง ๑ กิโลกรัม - มะพร้าวขูด ๑ กิโลกรัม - ขมิ้นทุบ ๒ เซนติเมตร - กระเทียมทุบ ๑ หัว - หอมแดงบุบ ๒ หัว - ตะไคร้ทุบ ๒ ต้น - เกลือป่น ๒ ช้อนชา - ใบมะกรูด ๔ ใบ - ขนมจีนครึ่งกิโลกรัม เครื่องแกง - ตะไคร้ ๓ ต้น - ข่า ๗ แว่น - ขมิ้น ๒ เซนติเมตร - ผิวมะกรูด ๑๒ ลูก - พริกขี้หนูแห้ง ๔๐-๕๐ เม็ด - เกลือป่น ๑๒ ช้อนชา - พริกไทยเม็ด ๒ ช้อนโต๊ะ - กะปิ ๒ ช้อนโต๊ะ โขลกเครื่องแกงทั้งหมดให้ละเอียด วิธีทำ ๑ ล้างปลาให้สะอาด ควักไส้ทิ้ง ๒ คั้นมะพร้าวให้ได้กะทิ ๔-๕ ถ้วย แล้วแบ่งหัวกะทิไว้ ๑๒ ถ้วย ๓ เอาน้ำ ๓ ถ้วย ให้ท่วมปลา ตั้งไฟ พอเดือดใส่ปลาลงต้ม ใส่ขมิ้นทุบ กระเทียมบุบ หอมแดงบุบ ตะไคร้ทุบและเกลือต้มจนปลาสุก ตักปลาขึ้น แกะเอาแต่เนื้อปลา ๔ โขลกเนื้อปลาให้ละเอียด ๕ กรองน้ำต้มปลา เอาแต่น้ำตั้งไฟ ใส่กะทิลงผสม ใส่เครื่องแกงที่โขลก พอเดือดใส่ปลา ต้มจนน้ำข้นเข้ากันดี ใส่ใบมะกรูดฉีก ราดหน้าด้วยหัวกะทิ ปิดไฟ ยกลง ๖ เสิร์ฟพร้อมผักเหนาะ
ขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้เป็นอาหารท้องถิ่นชาวใต้ที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ มีกลิ่นหอมและรสจัด เนื่องจากในน้ำยามีเครื่องเทศเพิ่มเติม เช่น ขมิ้น ข่า และผิวมะกรูด รวมทั้งพริกเม็ดเล็ก ทำให้มีรสเผ็ดและหอมมากขึ้น จากด้านโภชนาการ, ขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้มีค่าโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่ดี ทำให้เป็นอาหารที่ให้พลังงานและสารอาหารต่างๆ อย่างดีต่อร่างกาย การรับประทานกับผักสดท้องถิ่น เช่น ยอดกระถิน สะตอ ลูกเหลียง ถั่วงอกหัวโต เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการได้มากขึ้น สำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก, การรับประทานขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ ๒ จาน คงจะไม่ได้พลังงานมากนัก เนื่องจากมีปริมาณแคลอรีประมาณ ๕๐๐ กิโลแคลอรีเท่านั้น แต่ยังสามารถเพิ่มผักสดเพื่อทำให้มีความอิ่มท้องมากขึ้น โดยที่แคลอรีไม่เพิ่มมาก ขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้มีข้อดีที่เน้นการบริโภคผักสด ซึ่งเสริมสร้างวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายดี และช่วยป้องกันท้องผูก สูตรทำน้ำยาปักษ์ใต้ประกอบด้วยปลาแดง, มะพร้าวขูด, ขมิ้นทุบ, กระเทียมทุบ, หอมแดงบุบ, ตะไคร้ทุบ, เกลือป่น, ใบมะกรูด, และขนมจีน และส่วนหนึ่งของเครื่องแกงที่ปรุงเตรียมมา และวิธีทำเน้นการใส่ปลาแดงลงในน้ำหล่อเพื่อทำน้ำสุกและใส่เครื่องแกงเพื่อเตรียมน้ำยาปักษ์ใต้ สุดท้ายเสิร์ฟพร้อมผักเหนาะ
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_12161
Medical
ยาเอสโมลอล (Esmolol) สามารถใช้รักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด Atrial fibrillation (AF) ได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: กลไกการออกฤทธิ์ของยาเอสโมลอล: ยาเอสโมลอลเป็นยาในกลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์ (Beta-blocker) ซึ่งออกฤทธิ์โดยการบล็อกตัวรับ Beta-adrenergic receptor ในหัวใจ ส่งผลให้หัวใจเต้นช้าลงและลดแรงบีบตัวของหัวใจ - ประสิทธิภาพในการรักษาภาวะ AF: การศึกษาทางคลินิกหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่ายาเอสโมลอลมี - ประสิทธิภาพในการรักษาภาวะ AF โดยสามารถควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน และลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง - ความปลอดภัย: ยาเอสโมลอลมีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยมักไม่รุนแรง เช่น วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ และอ่อนเพลีย ตัวอย่างการศึกษา: - การศึกษา AFFIRM: การศึกษาเปรียบเทียบยาเอสโมลอลกับยา Amiodarone ในการรักษาภาวะ AF เรื้อรัง ผลการศึกษาพบว่ายาเอสโมลอลมีประสิทธิภาพในการควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจได้เทียบเท่ากับยา Amiodarone แต่มีความปลอดภัยมากกว่า - การศึกษา RACE: การศึกษาเปรียบเทียบยาเอสโมลอลกับยา Atenolol ในการรักษาภาวะ AF เฉียบพลัน ผลการศึกษาพบว่ายาเอสโมลอลมีประสิทธิภาพในการควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจได้เร็วกว่ายา Atenolol ข้อควรระวัง: ยาเอสโมลอลไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นช้า หัวใจล้มเหลว หรือความดันโลหิตต่ำ ควรใช้ยาเอสโมลอลด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีโรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคเบาหวาน สรุป: ยาเอสโมลอลเป็นยาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการรักษาภาวะ AF แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาเอสโมลอลในผู้ป่วยที่มีภาวะ AF เฉียบพลันหรือเรื้อรัง
เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_3990
Finance
เขียนเรื่องสั้นในเรื่อง "เส้นทางสู่ความสำเร็จ กับกองทุนเด็ดสูตรกระจายลงทุนหุ้นทั่วโลก" ให้หน่อย
null
หัวข้อ : เปิดโผกองทุนเด็ด: สูตรสำเร็จกระจายลงทุนหุ้นทั่วโลก ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนของการลงทุน มีผู้เชี่ยวชาญที่เตรียมพร้อมที่จะแบ่งปันเคล็ดลับและกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้เพื่อนๆ และผู้ลงทุนทั่วไปสามารถเข้าถึงโอกาสในตลาดหุ้นโลกอย่างเที่ยงตรงและมั่นใจได้ ผมเองได้มีโอกาสได้รับความกรุณาจากนักลงทุนผู้เชี่ยวชาญในการสร้างกองทุนเด็ดของเขาขึ้นมา และนี่คือเรื่องราวที่มีการพัฒนาและสร้างความสำเร็จในการลงทุนหุ้นทั่วโลกในแบบของเขาเอง: การเตรียมตัวให้พร้อม: การลงทุนในตลาดหุ้นต่างๆ ต้องการความเตรียมพร้อมและการศึกษาในระยะยาว ผู้ลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีความเข้าใจลึกลงไปในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดและบริษัทที่ต้องการลงทุนอย่างถี่ถ้วน การดำเนินการตามกลยุทธ์ที่ชัดเจน: มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและมีความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุนหุ้น การจัดทำแผนธุรกิจและการวิเคราะห์ความเสี่ยงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ลงทุนมีความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจ การคัดกรองหุ้นที่ดี: การคัดกรองหุ้นที่มีศักยภาพและมีความเสี่ยงที่ต่ำเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุน การศึกษาข้อมูลการเงินและข้อมูลสถิติเกี่ยวกับบริษัทเป็นการเตรียมตัวที่จะทำให้ผู้ลงทุนสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนของพวกเขา การกระจายการลงทุน: การกระจายการลงทุนทั่วโลกช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น การลงทุนในตลาดที่แตกต่างกันทั่วโลกช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ การดูแลความติดต่อ: การเปิดโผกองทุนเด็ดไม่สมควรลืมถึงความสำคัญของการสื่อสารและความเข้าใจกับลูกค้า การเสนอคำแนะนำที่มั่นคงและตรงไปตรงมาจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์และบริการของกองทุน โลกของการลงทุนหุ้นอาจเต็มไปด้วยความซับซ้อนและความไม่แน่นอน แต่ผู้ลงทุนที่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและความพร้อมที่ดีสามารถเปิดโผกองทุนเด็ดและสร้างความสำเร็จในการลงทุนหุ้นทั่วโลกได้อย่างแน่นอน การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและการกระจายการลงทุนอย่างมีวิจารณญาณจะช่วยให้คุณมีโอกาสสูงในการรับผลตอบแทนที่สูงจากตลาดหุ้นโลกในระยะยาว.
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_11586
Medical
ยาต้านเศร้าคืออะไร
ก. ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เป็นกลุ่มย่อยของยาอีกกลุ่มหนึ่งในกลุ่มยาต้านจุลชีพ ข. ยาที่ช่วยปรับระดับสารสื่อประสาทในสมองของผู้ป่วยให้อยู่ในระดับปกติ จึงสามารถรักษาอาการซึมเศร้า รวมทั้งป้องกันการกลับเป็นซ้ำของอาการซึมเศร้าได้ ค. เป็นยาที่สามารถจำหน่ายได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ มีฤทธิ์แก้ปวดและลดไข้ ง. เป็นยาใช้สำหรับป้องกันและรักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ
ข้อที่ถูกต้องคือ ข. เนื่องจาก ยาต้านเศร้า หรือยารักษาโรคซึมเศร้า หรือยาโรคซึมเศร้าAntidepressant เป็นยาที่ช่วยปรับระดับสารสื่อประสาทในสมองของผู้ป่วยให้อยู่ในระดับปกติ จึงสามารถรักษาอาการซึมเศร้า รวมทั้งป้องกันการกลับเป็นซ้ำของอาการซึมเศร้าได้ แต่ยากลุ่มนี้ไม่ได้ออกฤทธิ์ในทันที ต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 8-12 สัปดาห์หลังใช้ยา ถึงจะเห็นผลการรักษาที่ดีขึ้น หลังจากผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้ว ยังคงต้องรับประทานยาต่อเนื่องอีกเป็นเวลานานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อลดโอกาสกลับมามีอาการซ้ำ แพทย์ผู้รักษาจะค่อยๆลดระดับยานี้ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดใช้ยานี้ในที่สุด เพราะการหยุดใช้ยานี้ในทันทีจะทำให้เกิดอาการถอนยา Withdrawal symtomps ได้ เช่น กระสับกระส่าย หงุดหงิด นอนไม่หลับ เป็นต้น ยาต้านเศร้ามีกี่กลุ่ม ยาต้านเศร้าแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆได้ดังนี้ ก. ยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อสารสื่อประสาท ซีโรโทนินSerotonin Selective serotonin reuptake inhibitors ย่อว่า SSRIs เช่นยา ซิตาโลแพรม Citalopram เอสซิตาโลแพรม Escitalopram ฟลูออกซีทีน Fluoxetine ฟลูว็อกซามีน Fluvoxamine พาร็อกซีทีน Paroxetine เซอร์ทราลีน Sertraline ข. ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งสารสื่อประสาทซีโรโทนิน และนอร์เอพิเนฟรินNorepinephrine Serotonin-norepinephrine reuptake inhibitors ย่อว่า SNRIs เช่นยา ดูล็อกซีทีน Duloxetine เวนลาฟาซีน Venlafaxine เดสเวนลาฟาซีน Desvenlafaxine ค. ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งสารสื่อประสาทนอร์เอพิเนฟรินและโดปามีนDopamine Norepinephrine and Dopamine Reuptake Inhibitors ย่อว่า NDRIs เช่นยา บูโพรพิออน Bupropion ง. ยากลุ่ม Tricyclic Antidepressants TCAs เช่นยา โคลมิพรามีน Clomipramine อิมิพรามีน Imipramine เดสิพรามีน Desipramine อะมิทริปไทลีน Amitriptyline นอร์ทริปไทลีน Nortriptyline
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry,เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_18436
Medical
ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ค่อนข้างซับซ้อน เนื่องจากอะไร
จิตวิทยาผู้ใหญ่ ตอนที่ 231 แอลกอฮอล์ 2 จิตวิทยาผู้ใหญ่ ตอนที่ 231 แอลกอฮอล์ 2 แอลกอฮอล์ Alcohol มิใช่สารกระตุ้น Stimulant แต่เป็นสารกดประสาท Depressant เอธิลแอลกอฮอล์ Ethyl alcohol เป็นยามีฤทธิ์ต่อจิตประสาท Psycho-active ซึ่งได้รับการจัดประเภท Classified เป็นสารกดประสาท กล่าวคือมันระงับกิจกรรมของระบบประสาทส่วนกลาง Central nervous system ในเบื้องต้น Initially แอลกอฮอล์ อาจดูเหมือนเป็นสารกระตุ้น เพราะมันสามารถลดการยับยั้ง Inhibition แต่ในเวลาต่อมา มันจะกดทับการสนองตอบ Response ทั้งทางร่างกาย Physiological และจิตใจ Psychological ผลกระทบของแอลกอฮอล์ขึ้นอยู่กับผู้ดื่ม ว่าเขาดื่มอย่างไร การดื่มเพียง 2 – 3 แก้ว ซึ่งมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดระหว่าง 0.01 – 0.03 BAC Blood alcohol content ก็สามารถเป็นสาเหตุของการสูญเสียการยับยั้ง หลังการดื่มมากขึ้น 0.03 – 0.06 BAC แอลกอฮอล์จะเข้าแทรกแซง Interfere ความสามารถของผู้ดื่มในการเข้าใจเหตุการณ์สำคัญรอบๆ ตัวผู้ดื่ม หลังการดื่มมากขึ้นไปอีก 0.06 – 0.1 BAC แอลกอฮอง์จะลดความสามารถ Impair อย่างรุนแรง Seriously ในการประสานความเคลื่อน Motor coordination ของร่างกาย อาทิ การขับรถ ความสามารถในการรับรู้ Cognitive การตัดสินใจ และการพูด Speech หลังการดื่มอย่างเมามาย 0.5 BAC ขึ้นไป แอลกอฮอล์อาจเป็นสาเหตุของการสิ้นสติ Coma หรือการการตาย ตัวอย่างเช่น ในการดื่มปฏิญาณในพิธีรับน้องใหม่ Fraternity pledge ครั้งหนึ่ง น้องใหม่คนหนึ่งตายหลังจาก 7 ชั่วโมงของการดื่มสุรา Binge อย่างต่อเนื่องถึง 24 แก้ว จนนำไปสู่ 0.58 BAC ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ค่อนข้างซับซ้อน Complex เนื่องจากแอลกอฮอล์ขัดขวาง Block ตัวรับประสาท Neural receptor และกระตุ้น Stimulate ตัวรับอื่นๆ อาทิ ตัวรับกาบา Gaba ในสมอง ซึ่งนำไปสู่การลดความกังวล Anxiety และสูญเสียการยับยั้ง นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังแทรกแซงตัวรับประสาทที่ชื่อ NMDA N-methyl-D-aspartate ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความลำบากในการรับรู้ ในปริมาณ Dose สูง 0.5 BAC แอลกอฮอล์จะระงับการหายใจ Respiratory หรือทำให้การหายใจติดขัด Vital breathing แล้วสะท้อนกลับ Reflex ในก้านสมอง Brain stem จนหยุดการหายใจ ซึ่งอธิบายว่าทำไมน้องใหม่ในพิธีปฏิญาณ จึงตายหลังจาก BAC ขึ้นสูงถึง 0.58
ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ค่อนข้างซับซ้อน เนื่องจากแอลกอฮอล์ขัดขวางตัวรับประสาท และกระตุ้นตัวรับอื่นๆ อาทิ ตัวรับกาบาในสมอง ซึ่งนำไปสู่การลดความกังวลและสูญเสียการยับยั้ง นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังแทรกแซงตัวรับประสาทที่ชื่อ NMDA (N-methyl-D-aspartate) ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความลำบากในการรับรู้ ในปริมาณสูง (0.5 BAC) แอลกอฮอล์จะระงับการหายใจ หรือทำให้การหายใจติดขัด แล้วสะท้อนกลับในก้านสมองจนหยุดการหายใจ
โภชนวิทยา
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_24344
Medical
การปล่อยวางสามารถช่วยรักษาโรคไมเกรนได้หรือไม่?
null
การปล่อยวาง อาจ ช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้ แต่มิใช่การรักษาให้หายขาด เหตุผล: สาเหตุของไมเกรน: ไมเกรนมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ร่วมทั้ง พันธุกรรม ฮอร์โมน สารเคมีในสมอง ปัจจัยทางอารมณ์ และสิ่งแวดล้อม ผลของการปล่อยวาง: การปล่อยวางสามารถช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล และความกดดัน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ อาจ กระตุ้นให้อาการไมเกรนกำเริบ การศึกษา: ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เพียงพอที่จะยืนยันว่า การปล่อยวางสามารถรักษาโรคไมเกรนได้ ตัวอย่าง: กรณีของผู้เขียนบทความ แสดงให้เห็นว่า การปล่อยวาง อาจ ช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้ แต่เธอยังคงต้องใช้ยาควบคู่ไปด้วย ข้อควรระวัง: การปล่อยวาง ไม่ใช่ วิธีรักษาโรคไมเกรนสำหรับทุกคน ผู้ป่วยไมเกรนควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุของโรค และรับการรักษาที่เหมาะสม การปล่อยวาง อาจ ช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้ แต่ ไม่ใช่ วิธีการรักษาให้หายขาด สรุป: การปล่อยวาง อาจ ช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้ แต่มิใช่การรักษาให้หายขาด ผู้ป่วยไมเกรนควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุของโรค และรับการรักษาที่เหมาะสม มีหลายวิธีที่สามารถช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้ เช่น การใช้ยา: ยาแก้ปวด ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาต้านการชัก การฝึกสติ (mindfulness) การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การฝังเข็ม การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น การกินวิตามินบี 2 และแมกนีเซียม
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_25174
Medical
ผักปลังมีสรรพคุณทางยาอย่างไรบ้าง?
null
ผักปลังมีสรรพคุณทางยา ดังนี้ 1. แก้ท้องผูก: ผักปลังมีเมือกมาก เมือกนี้ช่วยเคลือบผนังลำไส้ ทำให้ขับถ่ายสะดวก แก้อาการท้องผูก 2. แก้พิษร้อน: ผักปลังมีรสเย็น ช่วยขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการร้อนใน ทำให้เลือดเย็น 3. บำรุงร่างกาย: ผักปลังมีธาตุเหล็กและแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย 4. แก้กลาก เกลื้อน: ใบผักปลังมีสรรพคุณแก้กลาก เกลื้อน โดยนำใบมาตำพอกบริเวณที่เป็น 5. แก้มือเท้าด่าง แก้รังแค: รากผักปลังมีสรรพคุณแก้มือเท้าด่าง แก้รังแค โดยนำรากมาต้มน้ำแล้วชะโลมบริเวณที่เป็น 6. แก้พรรดึก: ต้นผักปลังมีสรรพคุณแก้พรรดึก โดยนำต้นมาต้มน้ำดื่ม 7. แก้อุจจาระแข็ง: ผักปลังมีเมือกมาก ช่วยให้อุจจาระนิ่ม ขับถ่ายง่าย แก้อาการอุจจาระแข็ง 8. ต้านมะเร็ง: ผักปลังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย ป้องกันโรคมะเร็ง 9. บำรุงสายตา: ผักปลังมีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคตา 10. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: ผักปลังมีวิตามินซีสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคหวัด นอกจากนี้ ผักปลังยังมีประโยชน์อื่นๆ ดังนี้: -ช่วยลดความดันโลหิต -ช่วยลดน้ำตาลในเลือด -ช่วยป้องกันโรคหัวใจ -ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน -ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน -ช่วยบำรุงผิวพรรณ วิธีใช้ผักปลังเป็นยา: -แก้ท้องผูก: นำยอดและใบผักปลังมาต้มน้ำดื่ม -แก้พิษร้อน: นำใบผักปลังมาต้มน้ำดื่ม -บำรุงร่างกาย: นำยอดและใบผักปลังมาต้มน้ำดื่ม หรือนำมาประกอบอาหาร -แก้กลาก เกลื้อน: นำใบผักปลังมาตำพอกบริเวณที่เป็น -แก้มือเท้าด่าง แก้รังแค: นำรากผักปลังมาต้มน้ำแล้วชะโลมบริเวณที่เป็น -แก้พรรดึก: นำต้นผักปลังมาต้มน้ำดื่ม -แก้อุจจาระแข็ง: นำยอดและใบผักปลังมาต้มน้ำดื่ม -ต้านมะเร็ง: นำยอดและใบผักปลังมาต้มน้ำดื่ม หรือนำมาประกอบอาหาร -บำรุงสายตา: นำยอดและใบผักปลังมาต้มน้ำดื่ม หรือนำมาประกอบอาหาร -เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: นำยอดและใบผักปลังมาต้มน้ำดื่ม หรือนำมาประกอบอาหาร ข้อควรระวัง: -ผู้ที่มีกระเพาะอาหารเย็นหรือหย่อนห้ามรับประทานผักปลัง -ผักปลังมีสารออกซาเลตสูง ผู้ที่มีโรคนิ่วในไตควรหลีกเลี่ยง สรุป: ผักปลังเป็นผักที่มีประโยชน์มากมาย มีสรรพคุณทางยา ช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้หลายชนิด นอกจากนี้ยังปลูกง่าย ดูแลง่าย เหมาะสำหรับปลูกไว้ทานเองในครัวเรือน
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_45761
Legal
นายจ้างมีหน้าที่ต้องยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 33 กำหนดให้นายจ้างเป็นผู้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม โดยหักเงินค่าจ้างของลูกจ้าง เพื่อนำส่งเป็นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมและจ่ายในส่วนของนายจ้าง ทั้งนี้ นายจ้างมีหน้าที่หักเงินสมทบนำส่งสำนักงานประกันสังคมภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้ ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดวิธีการส่งเงินสมทบและเงินเพิ่ม พ.ศ. 2561 มาตรา 4 กำหนดให้นายจ้างที่ส่งเงินสมทบและเงินเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) มติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบขยายเวลาให้นายจ้างที่ยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ออกไปอีก 7 วันทำการ จากปกติที่กำหนดให้นำส่งภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้ บทลงโทษ: กรณีไม่นำส่งเงินสมทบภายในเวลาที่กำหนด ต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสองต่อเดือนของจำนวนเงินสมทบที่นายจ้างยังมิได้นำส่ง กรณีส่งไม่ครบจำนวน ต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสองต่อเดือนของจำนวนเงินสมทบที่ยังขาดอยู่ สรุป: นายจ้างมีหน้าที่ต้องยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) กรณีไม่นำส่งเงินสมทบ หรือส่งไม่ครบจำนวน นายจ้างต้องจ่ายเงินเพิ่ม
กฎหมายประกันสังคม
Classification
cc-by-nc-4.0
Legal_45476
Legal
การป้องกันผู้รับเหมาทิ้งงาคืออย่างไร
null
– เลือกผู้รับเหมาที่ไว้วางใจได้ ไม่มีประวัติทิ้งงาน – อย่าเลือกผู้รับเหมาที่ราคาต่ำสุดเพียงอย่างเดียว หลาย ๆ กรณี การทิ้งงานเกิดจากที่ผู้รับเหมารับงานมาในราคาต่ำเกินจริงจนไม่สามารถทำได้ เมื่อเบิกเงินล่วงหน้าไปจำนวนหนึ่ง ทำงานไปนิดหน่อยก็ทิ้งงาน เพราะเห็นว่าขาดทุนแน่ ๆ ดังนั้น จึงควรเลือกผู้รับเหมาที่เสนอราคาเหมาะสม เป็นไปได้ และมีความน่าเชื่อถือ – อย่าจ่ายเงินล่วงหน้าหรือ Advance เยอะมาก โดยทั่วไปก็ควรอยู่ราวๆ ร้อยละ ๑๐ ของมูลค่างาน – กำหนดงวดการเบิกจ่ายค่าจ้างอย่างเหมาะสม ให้เนื้อหาของานที่ทำในแต่ละงวดเหมาะสมกับค่าจ้างที่ชำระด้วย โดยต้องคำนึงถึงเงินล่วงหน้าหรือ Advance ที่ชำระไปแล้วด้วย – เรียกหลักประกันการทำงาน ถ้าทำได้ แต่ในกรณีโครงการเล็ก ๆ เรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้ – คอยตรวจตราความคืบหน้าของงานเสมอ เพื่อที่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะได้รับทราบและไหวตัวทันแต่เนิ่น ๆ ไม่ชำระเงินไปจนเกินความคืบหน้าของงาน จนผู้รับเหมาทิ้งงานไป
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_26141
Medical
ช่วยสรุปบทความ ส่องเทศ มองไทย นโยบายป้องกันเด็กอ้วน
ผศดรสำอาง สืบสมาน การระบาดของโรคอ้วนที่แพร่กระจายไปทั่วโลกเปรียบเสมือนระเบิดเวลา เพราะความอ้วนก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบการทำงานของร่างกายที่เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของโรคเสื่อมสังขารก่อนวัยอันควร เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง หลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น องค์การอนามัยโลกประกาศให้ความอ้วนเป็นปัญหาสาธารณสุขของมวลมนุษยชาติ ปัจจุบันทั่วโลกมีประชากรที่จัดว่าอ้วนกว่าหนึ่งล้านล้านคน ในจำนวนนี้เป็นเด็กประมาณ 22 ล้านคน สาเหตุการเกิดโรคอ้วนมีความซับซ้อนเรื้อรังจากวัยเด็กถึงวัยผู้ใหญ่ ทั้งการรักษาที่อันตรายและยุ่งยาก ทำให้หลายฝ่ายหาหนทางป้องกันไม่ ให้มีน้ำหนักเกินมาตรฐานตั้งแต่เด็ก การป้องกันโรคอ้วนต้องอาศัยการเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวบุคคล ดังนั้นจำเป็นต้องอาศัยกลไก ในการจัดการ ให้มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม รวมถึงการดำเนินนโยบายและแนวปฏิบัติ เพื่อป้องกันโรคอ้วนที่มีประสิทธิภาพ นโยบายโรคอ้วนในเด็ก ทั่วโลกตระหนักถึงปัญหาโรคอ้วนในเด็ก ประเทศแคนาดาประกาศ บูรณาการยุทธศาสตร์การดำรงชีวิตสุขภาพ Healthy Living Strategy จัดลำดับความสำคัญของนโยบายโรคอ้วน มุ่งการป้องกันปัญหาโรคอ้วนในเด็ก เป็นเป้าหมายหลักที่จำเป็นอย่างยิ่ง สหรัฐอเมริกามีอัตราความ ชุกของโรคอ้วนมากที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้วและนับเป็นกรณีตัวอย่างที่มีรูปแบบวัฒนธรรมบริโภคนิยม ทั้งการดำรงชีวิตที่อาศัย เครื่องอำนวยความสะดวกและการกินอาหารที่ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ อัตราชุกของโรคอ้วนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อเมริกาเน้นกลยุทธ์เชิงป้องกัน โดยในแผน 10 ปี สาธารณสุขบริการเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรค อ้วน โดยกำหนดโครงการ Healthy People 2000 และปัจจุบันมีโครงการ ต่อเนื่อง คือ Healthy People 2010 โดยเน้นที่เป้าหมายการออกกำลังกาย สม่ำเสมอ และในส่วนของโภชนาการ เน้นวัตถุประสงค์ 3 อันดับแรกคือ เพิ่มปริมาณประชากรที่มีน้ำหนักปกติ BMI 19-25 ลดอัตราชุกของโรคอ้วนและน้ำหนักเกินในกลุ่มเด็กและเยาวชนให้ไม่เกินร้อยละ 5 เพิ่มสัดส่วนของโรงเรียนที่สอนด้านโภชนาการ เช่น สมดุลระหว่างการกินและการออกกำลังกาย กระแสโรคอ้วนได้กลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งธุรกิจคลินิกลดความอ้วน ยาลดความอ้วน การผ่าตัด ดูดไขมัน ตลอดจนธุรกิจอุปกรณ์การออกกำลังกาย เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทั้งเป็นการส่งเสริมทางอ้อมไม่ให้ตระหนักถึงปัญหาน้ำหนักเกินหรืออ้วนเท่าที่ควร เนื่องจากรูปแบบการโฆษณาธุรกิจดังกล่าว อังกฤษเสนอร่างนโยบาย Saving Lives Our Healthier Nation ในปี พศ2542 เพื่อแก้ปัญหาและยกระดับสุขภาพของประชากร โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ด้อยโอกาส มาตรการป้องกันโรคอ้วนในเด็ก เป็นเรื่องของการปรับปรุงด้านโภชนาการในโรงเรียน โดยมีการทบทวนนโยบายการเกษตร การปรับปรุงโภชนาการสำหรับหญิงให้นมบุตรและเด็ก การขจัดอาหารขาด คุณภาพ การลดปริมาณเกลือในอาหาร รัฐดำเนินการประชุมร่วมกับภาอุตสาหกรรมในการลดเกลือในผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของความดันเลือดสูง สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีความจริงจังในการแก้ปัญหาโรคอ้วน มีระบบประสานความร่วมมือระดับชาติคือ โครงการวิถีชีวิตสุขภาพ และมีโครงการ Trim and Fit TAF เริ่มเมื่อปี พศ2535 เพื่อลดจำนวน เด็กอ้วนในโรงเรียน หลังจากการดำเนินการมา 10 ปีกว่า โรคอ้วนในเด็กนักเรียนลดลงจากร้อยละ 14 เป็นร้อยละ 10 นับว่าเป็นผลสำเร็จของการดำเนินงานด้านสาธารณสุขในระดับที่น่าพอใจ
โรคอ้วนเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่มีผลกระทบต่อสุขภาพทั่วโลก มีผลต่อระบบการทำงานของร่างกายและเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง หลอดเลือดหัวใจ และมะเร็ง องค์การอนามัยโลกรายงานว่ามีกว่าหนึ่งล้านล้านคนทั่วโลกที่ถือว่าอ้วน โดยมีเด็กประมาณ 22 ล้านคน การจัดการและป้องกันโรคอ้วนเริ่มต้นจากการเปลี่ยนพฤติกรรมและสภาพแวดล้อม เนื่องจากการรักษาโรคนี้มีความซับซ้อนและยุ่งยาก การดำเนินนโยบายและแนวปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคอ้วนที่มีประสิทธิภาพ นโยบายโรคอ้วนในเด็กทั่วโลกมีความสำคัญ โครงการ Healthy Living Strategy ของแคนาดาเน้นการป้องกันโรคอ้วนในเด็ก เป้าหมายหลักในนโยบายนี้คือลดปัญหาโรคอ้วนในเด็ก สหรัฐอเมริกามีอัตราความชุกของโรคอ้วนสูงสุดในประเทศที่พัฒนาแล้ว และได้นำเสนอกลยุทธ์ป้องกันโรคอ้วน โดยเน้นการลดพฤติกรรมเสี่ยงผ่านบริการสาธารณสุขในช่วง 10 ปี อเมริกามุ่งเน้นการป้องกันโรคอ้วนโดยเน้นลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรค มีโครงการ Healthy People 2000 และ Healthy People 2010 มุ่งเน้นเป้าหมายเกี่ยวกับการออกกำลังกายและโภชนาการ เช่น เพิ่มประชากรที่มีน้ำหนักปกติ ลดอัตราชุกของโรคอ้วน และเพิ่มสัดส่วนของโรงเรียนที่สอนด้านโภชนาการ กระแสธุรกิจด้านโรคอ้วนมีการเติบโตขึ้น ด้วยการให้บริการคลินิกลดความอ้วน ยาลดความอ้วน การผ่าตัด และอุปกรณ์การออกกำลังกาย เรื่องนี้มีผลต่อธุรกิจและการโฆษณาในด้านนี้ อังกฤษได้เสนอนโยบาย Saving Lives Our Healthier Nation เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพในประชากร โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ด้อยโอกาส มาตรการป้องกันโรคอ้วนในเด็ก เน้นปรับปรุงโภชนาการในโรงเรียน ทบทวนนโยบายการเกษตร เพิ่มโปรแกรมสำหรับหญิงให้นมบุตรและเด็ก ขจัดอาหารขาด ลดปริมาณเกลือในอาหาร รัฐร่วมกับภาอุตสาหกรรมในการลดเกลือในผลิตภัณฑ์อาหาร สิงคโปร์มีโครงการ Trim and Fit TAF นโยบายแก้ปัญหาโรคอ้วน โรคอ้วนในนักเรียนลดลงจากร้อยละ 14 เป็นร้อยละ 10 หลังจากดำเนินการมา 10 ปี
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,สาธารณสุข (public health)
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_4060
Finance
กองทุนรวมทริกเกอร์ ฟันด์ เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: -กองทุนรวมทริกเกอร์ ฟันด์ มีการกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนและระยะเวลาที่ชัดเจน เหมาะกับนักลงทุนที่มีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน และสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง -กองทุนประเภทนี้ ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมด therefore นักลงทุนอาจขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ -กองทุนรวมทริกเกอร์ ฟันด์ มีค่าธรรมเนียมการจัดการที่สูงกว่ากองทุนรวมทั่วไป therefore นักลงทุนควรพิจารณาค่าธรรมเนียมนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน -กองทุนประเภทนี้ ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง therefore เหมาะกับนักลงทุนที่มีความเข้าใจในตราสารอ้างอิงและสามารถรับความเสี่ยงได้ -กองทุนรวมทริกเกอร์ ฟันด์ มีการปิดกองทุนเมื่อครบกำหนดระยะเวลา therefore นักลงทุนต้องเตรียมพร้อมสำหรับการขายคืนหน่วยลงทุน สรุป: กองทุนรวมทริกเกอร์ ฟันด์ เหมาะกับนักลงทุนที่มีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน เข้าใจในตราสารอ้างอิง และสามารถรับความเสี่ยงได้ คำถามเพิ่มเติม: -นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอะไรก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวมทริกเกอร์ ฟันด์ -อะไรคือความเสี่ยงหลักของกองทุนรวมทริกเกอร์ ฟันด์ -นักลงทุนประเภทใดที่เหมาะกับการลงทุนในกองทุนรวมทริกเกอร์ ฟันด์ -มีกองทุนรวมทริกเกอร์ ฟันด์ ประเภทใดบ้าง -ควรลงทุนในกองทุนรวมทริกเกอร์ ฟันด์ ในสัดส่วนเท่าใดของพอร์ตการลงทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Legal_49913
Legal
จากผลสำรวจของ TIJ ประชาชนมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับคดี "บอส อยู่วิทยา"
null
จากผลสำรวจของ TIJ ประชาชนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับคดี "บอส อยู่วิทยา" ดังนี้ 1. ประชาชนเชื่อว่ามีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองและกลุ่มนายทุน ประชาชนส่วนใหญ่ (89%) เชื่อว่ามีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองและกลุ่มนายทุนในคดีนี้ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ประชาชนมองว่าคดีนี้มีการใช้อิทธิพลและเงินตราเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหา 2. ประชาชนไม่พอใจกับสำนวนคดีที่ยืดเยื้อ ประชาชนไม่พอใจกับการที่สำนวนคดีนี้ยืดเยื้อออกไปอย่างไม่มีเหตุสมควรจนคดีหมดอายุความ ประชาชนมองว่าเป็นการเสียเวลาและทรัพยากรของ negara 3. ประชาชนคาดหวังให้มีการชี้แจงข้อเท็จจริงและดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง ประชาชนคาดหวังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างละเอียด สอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดี และดำเนินคดีหากพบว่ามีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม ประชาชนต้องการเห็นความยุติธรรมเกิดขึ้นในคดีนี้ 4. ประชาชนไม่แน่ใจว่าคดีนี้จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการยุติธรรม ประชาชนมีความคิดเห็นที่หลากหลายเกี่ยวกับผลลัพธ์ของคดีนี้ ประมาณ 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามคิดว่าคดีนี้อาจจะเป็นไปได้ที่จะผลักดันให้คนในกระบวนการยุติธรรมทำงานอย่างโปร่งใสขึ้น แต่ก็มีอีก 50% ที่ไม่แน่ใจหรือคิดว่าเป็นไปไม่ได้ บทสรุป ผลสำรวจของ TIJ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ประชาชนต้องการเห็นความยุติธรรมเกิดขึ้นในคดี "บอส อยู่วิทยา" และคาดหวังให้มีการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการยุติธรรมไทย ประเด็นเพิ่มเติม คดี "บอส อยู่วิทยา" กลายเป็นคดีที่โด่งดังและได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วประเทศ คดีนี้ถูกมองว่าเป็นตัวอย่างของปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย คดีนี้ยังจุดประเด็นเกี่ยวกับการปฏิรูประบบยุติธรรมไทย
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_10202
Medical
การบริจาคโลหิต ทำให้เกิดประโยชน์แก่สุขภาพของผู้บริจาคโลหิตอย่างไรบ้าง
สุขภาพดี ด้วยการบริจาคโลหิต โลหิต ประกอบ ด้วยส่วนน้ำเหลือง (พลาสมา) และ ส่วนเม็ดเลือด โดยมีไขกระดูก เป็นอวัยวะที่สร้างเม็ดเลือด ทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ เม็ดเลือดแดงซึ่งทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆ เม็ดเลือดขาวซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรค และเกล็ดเลือดซึ่งช่วยห้ามเลือดเวลามีเลือดออก เม็ดโลหิตแต่ละชนิดมีอายุการทำงาน คือ เม็ดเลือดแดง มีอายุ 120 วัน เม็ดเลือดขาว มีอายุ 13-20 วัน และเกล็ดเลือด มีอายุ 7-10 วัน ในช่วงเวลาดังกล่าวเม็ดเลือดจะค่อยๆเสื่อมสภาพลง และเมื่อหมดอายุจะถูกกำจัดออกไปโดยกลไกของร่างกาย ไขกระดูกจะสร้างเซลล์เม็ดเลือดชุดใหม่ที่มีสภาพดี ขึ้นมาทดแทนโดยไม่มีวันหมด ดังนั้นการบริจาคโลหิต ซึ่งนำเลือดออกจากร่างกายประมาณ 350-450 มิลลิลิตร จากทั้งหมดประมาณ 5 ลิตร จึงเป็นเพียงการนำโลหิตสำรองออกมา โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แก่ร่างกาย เพราะไขกระดูกสามารถสร้างโลหิตขึ้นมาทดแทน การบริจาคโลหิตนอกจากจะเป็นการทำบุญ ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ทำให้ผู้บริจาคมีจิตใจที่สดชื่นเบิกบานแล้ว ยังทำให้เกิดประโยชน์แก่สุขภาพของผู้บริจาคโลหิตหลายอย่างด้วยกัน เช่น ร่างกายได้สร้างเม็ดเลือดใหม่ ๆ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้ประสิทธิภาพกว่าเดิม ทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ เม็ดเลือดขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดเลือดซ่อมแซมรอยฉีกขาดของหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงของโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน มีการวิจัยพบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และ ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เฉียบพลันในเพศชายได้ การบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ธาตุเหล็กสะสมในร่างกายลดลง โดยธาตุเหล็กนี้อาจก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและอุดตันได้ ลดความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดแดงตีบ มีการวิจัยพบว่าการเจาะเลือดออกเป็นประจำ จะช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับน้ำตาล และ ทำให้สัดส่วนไขมันดีต่อไขมันไม่ดี ดีขึ้น ในคนที่มีกลุ่มอาการทางเมตาโบลิก ซึ่งจะมีความดันสูง น้ำตาลสูง และ ไขมันสูง ได้ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3 เดือน เช่น การวัดความดันโลหิต การตรวจภาวะโลหิตจาง ทำให้ทราบหมู่โลหิต ทั้งระบบ A B O และระบบ Rh ผู้ที่บริจาคโลหิตจำเป็นต้องปฎิบัติตัว โดยงดเว้นพฤติกรรมเสี่ยงต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี, ไวรัสตับอีกเสบ ซี, ซิฟิลิส และเอดส์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้บริจาคเอง และ เพื่อความปลอดภัยต่อผู้รับ นอกจากนี้ ผู้บริจาคจะได้รับการตรวจเชื้อเหล่านี้ทุกครั้ง เพราะโลหิตทุกยูนิตที่ได้รับ การบริจาคต้องผ่านกระบวนการคัดกรองเชื้อต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการ การที่ผู้บริจาคทราบว่าตนเองมีการติดเชื้อเหล่านี้จะมีประโยชน์มาก เพราะเชื้อทุกตัวมียารักษาได้ ได้รับการตรวจสารเคมีในโลหิต (บริการตรวจให้ปีละ 1 ครั้ง) แจ้งความจำนงค์ที่แพทย์ผู้ตรวจวัดความดันโลหิต ในวันทำการจันทร์-ศุกร์ เวลา 08:00 – 10:00 น. โดยต้องงดอาหารและน้ำหลัง 20:00 มาก่อน
การบริจาคโลหิต ทำให้เกิดประโยชน์แก่สุขภาพของผู้บริจาคโลหิต ดังนี้ - ร่างกายได้สร้างเม็ดเลือดใหม่ ๆ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้ประสิทธิภาพกว่าเดิม ทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ เม็ดเลือดขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดเลือดซ่อมแซมรอยฉีกขาดของหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น - ลดความเสี่ยงของโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน มีการวิจัยพบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และ ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เฉียบพลันในเพศชายได้ การบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ธาตุเหล็กสะสมในร่างกายลดลง โดยธาตุเหล็กอาจก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและอุดตันได้ - ลดความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดแดงตีบ มีการวิจัยพบว่าการเจาะเลือดออกเป็นประจำ จะช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับน้ำตาล และ ทำให้สัดส่วนไขมันดีต่อไขมันไม่ดี ดีขึ้น ในคนที่มีกลุ่มอาการทางเมตาโบลิก ซึ่งจะมีความดันสูง น้ำตาลสูง และ ไขมันสูง - ได้ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3 เดือน เช่น การวัดความดันโลหิต การตรวจภาวะโลหิตจาง - ทำให้ทราบหมู่โลหิต ทั้งระบบ A B O และระบบ Rh - ผู้ที่บริจาคโลหิตจำเป็นต้องปฎิบัติตัว โดยงดเว้นพฤติกรรมเสี่ยงต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี,​ ไวรัสตับอีกเสบ ซี, ​ซิฟิลิส และเอดส์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้บริจาคเอง และ เพื่อความปลอดภัยต่อผู้รับ นอกจากนี้ ผู้บริจาคจะได้รับการตรวจเชื้อเหล่านี้ทุกครั้ง เพราะโลหิตทุกยูนิตที่ได้รับ การบริจาคต้องผ่านกระบวนการคัดกรองเชื้อต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการ การที่ผู้บริจาคทราบว่าตนเองมีการติดเชื้อเหล่านี้จะมีประโยชน์มาก เพราะเชื้อทุกตัวมียารักษาได้ - ได้รับการตรวจสารเคมีในโลหิต (บริการตรวจให้ปีละ 1 ครั้ง) แจ้งความจำนงค์ที่แพทย์ผู้ตรวจวัดความดันโลหิต ในวันทำการจันทร์-ศุกร์ เวลา 08:00 – 10:00 น. โดยต้องงดอาหารและน้ำหลัง 20:00 มาก่อน
เวชศาสตร์การบริการโลหิต
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Legal_5937
Legal
จงสรุปบทความเรื่อง "ทำยังไงดีเมื่อมีอุบัติเหตุ" ให้หน่อยค่ะ
ทำอย่างไรดีถ้ามีอุบัติเหตุ….เรื่องราวที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ไม่ว่า มาด้วย ซึ่งความประมาท รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือบังเอิญ ทั้งหมดยังมาซึ่งความสูญเสียถึงทรัพย์สิน และในบางครั้งอาจจะหมายรวมถึงชีวิต แต่ในกรณีที่คุณจะต้องพบเจอกับตัวเองเคยคิดไหมว่าต้องทำอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องยากที่คุณจะจัดการอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ว่า จะถูกหรือผิด อุบัติเหตุสามารถเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่ทำความเข้าใจ และก่อนที่คุณจะออกถนนในฐานะมือใหม่ หรือขับรถเป็นประจำอยู่แล้ว ลองมารู้จัก 5 ขั้นตอนง่ายๆ รถชนปลอดภัยไม่ทะเลาะกันเป็นเรื่องใหญ่โตหรือเป็นคดีความ Facebook Twitter Line
อุบัติเหตุเป็นเรื่องราวที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ไม่ว่าจะด้วยความประมาท รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือบังเอิญ ทั้งหมดนี้ยังมาซึ่งความสูญเสียถึงทรัพย์สินและชีวิต แต่ในกรณีที่จะต้องพบเจอกับตัวเองเคยคิดไหมว่าต้องทำอย่างไร รถชนอย่างไร ไม่ให้หัวร้อน ด้วย 5 ขั้นตอนง่ายๆ 1.อย่างแรกให้ตั้งสติ หยุดรถ แล้วเปิดไฟฉุกเฉิน หรือจะทำเครื่องหมายให้ผู้ขับรถคันอื่นทราบ เพื่อป้องกันการเกิดอบัติเหตุซ้ำอีก 2. จากนั้นให้สำรวจความเสียหายของรถตนเองและรถคู่กรณี ถามคู่กรณีว่ารถเป็นอย่างไร ได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง 2.1.ในกรณีที่มีคนได้รับบาดเจ็บ ให้รีบช่วยเหลือทันที โดยโทรแจ้งไปที่เบอร์ 1669, โทรแจ้งบริษัทประกันภัยที่ตนเองใช้บริการ, แจ้งตำรวจที่เบอร์ 191 หรือโทรหาสายด่วน พ.ร.บ. ประกันภัยที่เบอร์ 1186 2.2. ตรวจสอบความเสียหายของรถ ดังนี้ - ไฟเตือนระบบรถยนต์ - รอยรั่วยางรถยนต์ - เสียงรถดังผิดปกติ - รอยบุบ รอยสีถลอก - แบตเตอรี่รถยนต์ - รถขับต่อได้หรือไม่ 3. สอบถามข้อมูลประกันภัยของคู่กรณี ถ้ามีประกันภัยรถยนต์ จะได้รับความคุ้มครองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ 4. ถ้าไม่มีประกันภัยรถยนต์ ให้เจรจาตกลงค่าเสียหาย ถ้าตกลงกันได้ ให้ลงชื่อทั้งสองฝ่ายไว้เป็นหลักฐานก่อนเคลื่อนย้ายรถ ถ้าตกลงกันไม่ได้ ให้โทรหาประกันภัย, แจ้งตำรวจที่เบอร์ 191, ถ่ายภาพอุบัติเหตุพร้อมคู่กรณี หรือหาพยาจากที่เกิดเหตุ 5. ถ้ารู้สึกบาดเจ็บ ให้รีบไปพบแพทย์
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_12400
Medical
โรคอัมพาตเหตุโพแทสเซียมต่ำ คืออะไร
A. โรคที่เกิดจากการกิน B. ไม่ทราบสาเหตุของโรค C. โรคที่ก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง คล้ายอัม พาต เป็นๆ หาย D. โรคที่เกิดจากกรรมพันธุ์
คำตอบได้แก่ C. เพราะว่า โรคอัมพาตเหตุโพแทสเซียมต่ำ คือ โรคที่ก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง คล้ายอัม พาต เป็นๆ หายๆ โดยอาการอ่อนแรงเกิดขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว รุนแรง จนเคลื่อนไหวแขนขาลำ บาก หรือเคลื่อนไหวไม่ได้ ต่อมาอาการก็หายได้เอง ถึงแม้จะไม่ได้รักษาใดๆ อาการอ่อนแรงนั้นจะเป็นลักษณะของแขนขา 2 ข้างอ่อนแรง โดยไม่มีอาการชา และไม่มีอาการปากเบี้ยว หรือหลับตาไม่สนิท เหมือนอาการของอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมอง ทั้งนี้อาการมักเกิดภาย หลังทานอาหารมื้อใหญ่ เช่น งานเลี้ยง ทานอาหารรสเค็มจัด หรือการทำงานหนัก อาการมักเกิดขึ้นหลังตื่นนอนตอนเช้า จะลุกขึ้นไม่ได้ แต่เมื่อนอนพักประมาณ 12-24 ชั่วโมง อาการก็ค่อยๆดีขึ้น หายเป็นปกติได้เอง โรคอัมพาตเหตุโพแทสเซียมต่ำนี้พบได้ประมาณ 1 รายต่อประชากร 100000 คน เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบยีนจีนเด่น Autosomal dominant ไม่ว่าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ ลูกก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ และพบบ่อยในวัยแรงงานถึงวัยกลางคน สาเหตุของความผิดปกติที่ทำให้เกิดโรคอัมพาตเหตุโพแทสเซียมในเลือดต่ำเกิดขึ้นในระดับเซลล์ที่เรียกว่า ไอออนแชนแนล Ion channel ซึ่งมีกลไกการแลกเปลี่ยนเกลือแร่โพ แทสเซียมระหว่างภายในและภายนอก เลือด เซลล์กล้ามเนื้อ เพื่อให้เกิดสมดุลของโพแทส เซียมในเลือด แต่เมื่อเกิดความผิดปกติที่กลไกนี้ จะส่งผลให้โพแทสเซียมในเลือดลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการอ่อนแรง แต่ในที่สุดร่างกายจะสามารถปรับตัวได้เอง
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Legal_46060
Legal
มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มีผลบังคับใช้วันใด
1. 16 มีนาคม 2566 2. 15 มีนาคม 2566 3. 18 มีนาคม 2566 4. 17 มีนาคม 2566
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 4. เพราะว่า มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มีผลบังคับใช้วันนี้ (17 มีนาคม 2566) ซึ่งปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีหลอกลวง ผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ทำให้เสียทรัพย์สินจำนวนมาก และมิจฉาชีพได้โอนทรัพย์สินที่ได้จากการทำความผิดผ่านบัญชีเงินฝากของคนอื่น ต่อไปเป็นทอด ๆ ผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ เช่น บัตร ATM บัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัญชีเงินอิล็กทรอนิกส์ (แอปพลิเคชันธุรกรรมทางการเงิน เช่น แอปพลิเคชันธนาคาร แอปพลิเคชันทรูมันนี่วอลเลต รวมถึงแอปพลิเคชันผู้ประกอบธุรกิจที่มีการชำระค่าบริการต่างๆ ) อย่างรวดเร็ว เพื่อปกปิดหรืออำพรางการทำความผิด อาชญากรรมทางเทคโนโลยี คือ การกระทำหรือพยายามกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อฉ้อโกง กรรโชก หรือรีดเอาทรัพย์ บุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือโดยประการที่น่าจะทำให้บุคคลอื่นเสียหาย หรือกระทำความผิดฐานฉ้อโกง กรรโชก หรือรีดเอาทรัพย์ โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ
กฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน,ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ,ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_18876
Medical
โรค 4S มีสาเหตุจากอะไร
อะไรเอ่ย SSSS ตอนที่ 2 อะไรเอ่ย SSSS ตอนที่ 2 โรค 4S มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus ซึ่งจะสร้างสารพิษแล้วปล่อยออกมา 2 ตัว คือ Epidermolytic toxins A และ B ทำให้ผิวเป็นตุ่มและหลุดลอก เหมือนกับการโดนน้ำร้อนลวก เป็นโรคที่พบยาก พบประมาณร้อยละ 0.056 ในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 6 ปี โดยร้อยละ 15-40 ของคนที่สุขภาพปกติจะเป็นพาหะของเชื้อ Staphylococcus aureus กล่าวคือ มีเชื้อนี้อยู่ที่ผิวหนัง แต่ไม่มีอาการติดเชื้อ เชื้อแบคทีเรียจะเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เปิด และยังสามารถเข้าสู่ร่างกายทางกระแสเลือด ทำให้เกิดปฏิกริยาต่อผิวหนังทั้งตัว และเนื่องจากเด็กทารกหรือเด็กเล็กยังมีไตและระบบภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ในการขจัดสารพิษออกจากร่างกาย จึงทำให้เด็กเหล่านี้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ นอกจากนี้ผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ ได้แก่ ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรืออยู่ระหว่างการรักษาตัวที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น เคมีบำบัด กินยากดภูมิ ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังหรือไตวาย โดยอาการเบื้องต้นของโรค 4S ที่แสดงถึงการติดเชื้อ ได้แก่ เป็นไข้ หงุดหงิด อ่อนเพลีย หนาวสั่น เบื่ออาหาร เยื่อบุตาอักเสบ Conjunctivitis และเมื่อมีสารพิษออกมา ก็อาจสังเกตได้ถึงลักษณะของ ผิวแดง ตุ่มพองแตกง่าย ผิวหนังลอกเป็นแผ่น ในผู้ใหญ่จะเกิดอาการได้ทุกที่ แต่ในเด็กส่วนใหญ่จะมีอาการทางผิวหนังบริเวณปาก ตา และหู โดยทารกจะเริ่มเป็นบริเวณที่ใส่ผ้าอ้อมและบริเวณสะดือก่อน ในขณะที่เด็กโตจะเริ่มเป็นที่บริเวณใบหน้า ผื่นจะกระจายตัวอย่างรวดเร็วไปยังบริเวณรอบปากและข้อพับที่ขา แขน ขาหนีบ และคอ หนังกำพร้า Epidermis จะลอกเหมือนแผลโดนไฟลวก ผิวหนังจะหลุดอย่างง่ายดายเมื่อใช้นิ้วมือถูเบาๆ Nikolsky sign
โรค 4S มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus ซึ่งจะสร้างสารพิษแล้วปล่อยออกมา 2 ตัว คือ Epidermolytic toxins A และ B ทำให้ผิวเป็นตุ่มและหลุดลอก เหมือนกับการโดนน้ำร้อนลวก เป็นโรคที่พบยาก พบประมาณร้อยละ 0.056 ในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 6 ปี
ผิวหนัง Dermatology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_4048
Finance
การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ NPLs ผ่าน NPLs Marketplace นั้น มีข้อจำกัดอะไรบ้าง และควรมีแนวทางในการจัดการอย่างไร?
null
ข้อจำกัด: 1.ความโปร่งใสของข้อมูล: ข้อมูล NPLs ที่นำมาลิสต์บน Marketplace จำเป็นต้องมีมาตรฐานเดียวกัน และเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน 2.ความซับซ้อนของกฎหมาย: กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ NPLs นั้นมีความซับซ้อน ผู้ซื้อ NPLs จำเป็นต้องมีความรู้และเข้าใจกฎหมายอย่างละเอียด 3.ความเสี่ยง: การลงทุนใน NPLs นั้นมีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ 4.โครงสร้างพื้นฐาน: NPLs Marketplace จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการซื้อขาย NPLs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5.ความพร้อมของผู้ซื้อ: จำเป็นต้องมีผู้ซื้อที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะรองรับ NPLs ที่มีจำนวนมาก แนวทางในการจัดการ: 1.การกำหนดมาตรฐานข้อมูล: หน่วยงานภาครัฐควรมีบทบาทในการกำหนดมาตรฐานข้อมูล NPLs ที่นำมาลิสต์บน Marketplace 2.การให้ความรู้: ควรมีการจัดอบรมและให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ NPLs แก่นักลงทุน 3.การพัฒนาระบบ: ควรมีการพัฒนาระบบ NPLs Marketplace ที่ใช้งานง่าย สะดวก และปลอดภัย 4.การส่งเสริม: ควรมีการส่งเสริมให้ผู้ลงทุนเข้ามาลงทุนใน NPLs 5.การพัฒนากลไก: ควรมีการพัฒนากลไกในการติดตามและประเมินผลการซื้อขาย NPLs ตัวอย่างแนวทางเพิ่มเติม: การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน: -เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความปลอดภัยในการซื้อขาย NPLs การใช้ AI: -AI สามารถช่วยวิเคราะห์ข้อมูล NPLs และประเมินความเสี่ยงของการลงทุน การร่วมมือ: -สถาบันการเงินควรมีการร่วมมือกันในการบริหารจัดการ NPLs สรุป: การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ NPLs ผ่าน NPLs Marketplace นั้น เป็นแนวทางที่มีศักยภาพ แต่ยังมีข้อจำกัดหลายประการ ภาครัฐ ธนาคาร และ AMC จำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อพัฒนาระบบ NPLs Marketplace ที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และปลอดภัย เพื่อดึงดูดนักลงทุนและช่วยแก้ปัญหา NPLs ในประเทศไทย
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Legal_49872
Legal
ทำไมแม่ของ รุ้ง ปนัสยา ถึงโดยหมายเรียก เมื่อปี2564 ?
ราษฎร: ตร.ออกหมายเรียกแม่ “รุ้ง ปนัสยา” แม้ติดโควิด-19 ราษฎร: ตร.ออกหมายเรียกแม่ “รุ้ง ปนัสยา” แม้ติดโควิด-19 19 พฤษภาคม 2021 ที่มาของภาพ, REUTERS ที่มาของภาพ, REUTERS ที่มาของภาพ, REUTERS คำบรรยายภาพ, รุ้งโผเข้าสวมกอดพี่สาวและแม่ทันทีที่ได้รีบการปล่อยตัวชั่วคราวจากทัณฑสถานหญิงกลางเมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2564 คำบรรยายภาพ, รุ้งโผเข้าสวมกอดพี่สาวและแม่ทันทีที่ได้รีบการปล่อยตัวชั่วคราวจากทัณฑสถานหญิงกลางเมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2564 พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงครามออกหมายเรียกมารดาของ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล นักศึกษาแกนนำกลุ่ม "ราษฎร" มารับทราบข้อกล่าวหาฐานฝ่าฝืนประกาศกรุงเทพมหานครและ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงครามออกหมายเรียกมารดาของ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล นักศึกษาแกนนำกลุ่ม "ราษฎร" มารับทราบข้อกล่าวหาฐานฝ่าฝืนประกาศกรุงเทพมหานครและ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 หมายเรียกดังกล่าวซึ่ง น.ส.ปนัสยาได้นำมาเผยแพร่ทางทวิตเตอร์วันนี้ (19 พ.ค.) ระบุว่าเมื่อวันที่ 28 เม.ย. ผู้ต้องหาได้ร่วมกันจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคโดยมีการรวมตัวกันเกิน 20 คนที่หน้าศาลฎีกา ถนนราชดำเนิน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ หมายเรียกดังกล่าวซึ่ง น.ส.ปนัสยาได้นำมาเผยแพร่ทางทวิตเตอร์วันนี้ (19 พ.ค.) ระบุว่าเมื่อวันที่ 28 เม.ย. ผู้ต้องหาได้ร่วมกันจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคโดยมีการรวมตัวกันเกิน 20 คนที่หน้าศาลฎีกา ถนนราชดำเนิน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ พนักงานสอบสวนระบุว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นการรวมตัวกันโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 25) ข้อ 2.5 และมาตรา 18 แห่ง พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 และระบุให้มารดาของ น.ส.ปนัสยา (ขอสงวนชื่อ) มาพบพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ในวันที่ 1 มิ.ย. 2564 เวลา 13.00 น. พนักงานสอบสวนระบุว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นการรวมตัวกันโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 25) ข้อ 2.5 และมาตรา 18 แห่ง พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 และระบุให้มารดาของ น.ส.ปนัสยา (ขอสงวนชื่อ) มาพบพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ในวันที่ 1 มิ.ย. 2564 เวลา 13.00 น. ราษฎร: ปล่อยตัวชั่วคราว รุ้ง-ปนัสยา ราชทัณฑ์ย้ายเพนกวินเข้า รพ.เรือนจำ ยืนยันอานนท์ติดโควิด ราษฎร: รุ้ง-ปนัสยา แจ้งติดเชื้อโควิด-19 ด้านราชทัณฑ์ยอมรับผู้ต้องขังกว่า 2 พันคนติดโควิดในเรือนจำ สาเหตุใดที่ทำให้โควิดระบาดหนักในเรือนจำ หลังมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งเกิน 10,000 ราย ราษฎร: ปล่อยตัวชั่วคราว รุ้ง-ปนัสยา ราชทัณฑ์ย้ายเพนกวินเข้า รพ.เรือนจำ ยืนยันอานนท์ติดโควิด ราษฎร: รุ้ง-ปนัสยา แจ้งติดเชื้อโควิด-19 ด้านราชทัณฑ์ยอมรับผู้ต้องขังกว่า 2 พันคนติดโควิดในเรือนจำ สาเหตุใดที่ทำให้โควิดระบาดหนักในเรือนจำ หลังมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งเกิน 10,000 ราย ราษฎร: ปล่อยตัวชั่วคราว รุ้ง-ปนัสยา ราชทัณฑ์ย้ายเพนกวินเข้า รพ.เรือนจำ ยืนยันอานนท์ติดโควิด ราษฎร: รุ้ง-ปนัสยา แจ้งติดเชื้อโควิด-19 ด้านราชทัณฑ์ยอมรับผู้ต้องขังกว่า 2 พันคนติดโควิดในเรือนจำ สาเหตุใดที่ทำให้โควิดระบาดหนักในเรือนจำ หลังมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งเกิน 10,000 ราย ทั้งนี้ในวันที่ 28 เม.ย. นักกิจกรรมกลุ่มหนึ่งได้จัดกิจกรรม "ยืน หยุด ขัง" เพื่อเรียกร้องสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอันเนื่องมาจากการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งในวันนั้นมีแม่ของนักกิจกรรมที่ถูกคุมขังไปร่วมยืนเรียกร้องให้ปล่อยลูก ๆ ด้วย ทั้งนี้ในวันที่ 28 เม.ย. นักกิจกรรมกลุ่มหนึ่งได้จัดกิจกรรม "ยืน หยุด ขัง" เพื่อเรียกร้องสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอันเนื่องมาจากการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งในวันนั้นมีแม่ของนักกิจกรรมที่ถูกคุมขังไปร่วมยืนเรียกร้องให้ปล่อยลูก ๆ ด้วย น.ส.ปนัสยาระบุในข้อความที่โพสต์ทางทวิตเตอร์ว่า "แม่รุ้งโดนหมายเรียกจาก สน.ชนะสงคราม เพราะแม่ไปยืนหยุดขัง ยืนแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวหนูและลูก ๆ คนอื่นออกมา ในการยืนมีการเว้นระยะห่าง ไม่มีการสัมผัสใกล้ชิดกับใครด้วย ตอนนี้แม่หนูไม่เข้าใจเลยว่าแม่ผิดอะไร แค่อยากให้ปล่อยลูก... หนูเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแม่" น.ส.ปนัสยาระบุในข้อความที่โพสต์ทางทวิตเตอร์ว่า "แม่รุ้งโดนหมายเรียกจาก สน.ชนะสงคราม เพราะแม่ไปยืนหยุดขัง ยืนแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวหนูและลูก ๆ คนอื่นออกมา ในการยืนมีการเว้นระยะห่าง ไม่มีการสัมผัสใกล้ชิดกับใครด้วย ตอนนี้แม่หนูไม่เข้าใจเลยว่าแม่ผิดอะไร แค่อยากให้ปล่อยลูก... หนูเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแม่" ที่มาของภาพ, THAI NEWS PIX ที่มาของภาพ, THAI NEWS PIX ที่มาของภาพ, THAI NEWS PIX คำบรรยายภาพ, แม่ของรุ้งร่วมกิจกรรมที่หน้าศาลฎีกา ถนนราชดำเนิน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. คำบรรยายภาพ, แม่ของรุ้งร่วมกิจกรรมที่หน้าศาลฎีกา ถนนราชดำเนิน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. น.ส.ปนัสยาถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีในข้อหาตามมาตรา 112 จากการชุมนุม "19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร" ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. และเพิ่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากทัณฑหญิงกลางเมื่อวันที่ 6 พ.ค. โดยมีแม่และพี่สาวของเธอไปรับกลับบ้านด้วยความดีใจ น.ส.ปนัสยาถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีในข้อหาตามมาตรา 112 จากการชุมนุม "19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร" ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. และเพิ่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากทัณฑหญิงกลางเมื่อวันที่ 6 พ.ค. โดยมีแม่และพี่สาวของเธอไปรับกลับบ้านด้วยความดีใจ แต่หลังจากนั้นราวหนึ่งสัปดาห์ น.ส.ปนัสยาเปิดเผยว่าเธอตรวจพบว่าติดโควิด-19 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน เธอก็แจ้งทางเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ว่าพ่อ แม่และพี่สาวก็ติดเชื้อด้วยเช่นกัน และอยู่ระหว่างการรักษาตัว แต่หลังจากนั้นราวหนึ่งสัปดาห์ น.ส.ปนัสยาเปิดเผยว่าเธอตรวจพบว่าติดโควิด-19 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน เธอก็แจ้งทางเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ว่าพ่อ แม่และพี่สาวก็ติดเชื้อด้วยเช่นกัน และอยู่ระหว่างการรักษาตัว พ.ต.อ. สนอง แสงมณี ผู้กำกับ สน.ชนะสงคราม กล่าวกับบีบีซีไทยว่าแม้ในหมายเรียกจะกำหนดให้ผู้ต้องสงสัยมาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 1 มิ.ย. แต่หากผู้ต้องหาติดโควิดหรือมีเหตุขัดข้อง ทนายก็สามารถประสานมาขอเลื่อนวันเข้าพบพนักงานสอบสวนได้ พ.ต.อ. สนอง แสงมณี ผู้กำกับ สน.ชนะสงคราม กล่าวกับบีบีซีไทยว่าแม้ในหมายเรียกจะกำหนดให้ผู้ต้องสงสัยมาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 1 มิ.ย. แต่หากผู้ต้องหาติดโควิดหรือมีเหตุขัดข้อง ทนายก็สามารถประสานมาขอเลื่อนวันเข้าพบพนักงานสอบสวนได้ ผกก. สน.ชนะสงครามบอกด้วยว่าการออกหมายเรียกมารดาของ น.ส.ปนัสยาในครั้งนี้เป็นการพิจารณาของคณะทำงานพิจารณาคดีของ สน.ชนะสงคราม ผกก. สน.ชนะสงครามบอกด้วยว่าการออกหมายเรียกมารดาของ น.ส.ปนัสยาในครั้งนี้เป็นการพิจารณาของคณะทำงานพิจารณาคดีของ สน.ชนะสงคราม
พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงครามออกหมายเรียกมารดาของ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล นักศึกษาแกนนำกลุ่ม "ราษฎร" มารับทราบข้อกล่าวหาฐานฝ่าฝืนประกาศกรุงเทพมหานครและ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 หมายเรียกดังกล่าวซึ่ง น.ส.ปนัสยาได้นำมาเผยแพร่ทางทวิตเตอร์วันนี้ (19 พ.ค.) ระบุว่าเมื่อวันที่ 28 เม.ย. ผู้ต้องหาได้ร่วมกันจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคโดยมีการรวมตัวกันเกิน 20 คนที่หน้าศาลฎีกา ถนนราชดำเนิน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ พนักงานสอบสวนระบุว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นการรวมตัวกันโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 25) ข้อ 2.5 และมาตรา 18 แห่ง พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 และระบุให้มารดาของ น.ส.ปนัสยา (ขอสงวนชื่อ) มาพบพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ในวันที่ 1 มิ.ย. 2564 เวลา 13.00 น. ทั้งนี้ในวันที่ 28 เม.ย. นักกิจกรรมกลุ่มหนึ่งได้จัดกิจกรรม "ยืน หยุด ขัง" เพื่อเรียกร้องสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอันเนื่องมาจากการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งในวันนั้นมีแม่ของนักกิจกรรมที่ถูกคุมขังไปร่วมยืนเรียกร้องให้ปล่อยลูก ๆ ด้วย
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายสิทธิมนุษยชน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_830
Finance
ช่วยสรุปบทความ Fundamental of money, พื้นฐานของเงินตราบอกอะไรเราได้
หากเราลองมองในภาพใหญ่ของตลาดการเงินขึ้นมาหน่อย เงินตราทั่วโลก พื้นฐานมันไม่มีอะไร ค่อยรองรับอยู่ หรือบางคนก็บอกว่ารองรับด้วยเศรษฐกิจประเทศนั้น ความจริงแล้วเมื่อแต่ละประเทศใช้เงินที่ไม่มีอะไรรองรับเหมือน ๆ กัน ดังนั้นมันไม่ได้มีค่าในตัวมันเอง แต่มีค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ในเชิงเปรียบเทียบต่างหาก ส่วนการมีค่าในประเทศเกิดจากแบงก์ชาติแต่ละประเทศ บังคับให้ใช้เงินของตัวเองในการแลกเปลี่ยนเท่านั้น ห้ามใช้อย่างอื่นแลกเปลี่ยน สิ่งที่ผมอยากจะสื่อก็คือ เงินตราเป็นสิ่งมายา ความจริงแล้วในระยะยาว มันจะเสื่อมค่าตลอดด้วยธรรมชาติของมัน แต่ละสกุลเงินเสื่อมค่าเร็วไม่เท่ากัน โดยประเทศไหนเศรษฐกิจอ่อนแอกว่า ค่าเงินก็จะเสื่อมเร็วกว่า เพราะพอเศรษฐกิจอ่อนแอ แบงก์ชาติจะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ ซึ่งมันคือการเพิ่มเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ เช่น การพิมพ์เงินหรือการลดดอกเบี้ย หรืออาจเป็นนโยบายการคลัง แต่ไม่ว่าจากวิธีไหน ปลายทางคือการเพิ่มเงินเข้าสู่ระบบ ดังนั้นพอระบบรวมมีเงินมากขึ้น เงินมันก็เสื่อมหรือที่เรียกกันว่าเงินเฟ้อนั่นแหละ ปัจจุบันเราเห็นค่าเงินทั่วโลกกำลังอ่อนค่ารุนแรงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ หรือก็คือเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบสกุลเงินอื่น ๆ มันเลยทำให้ค่าเงินบางประเทศอ่อนถึงขั้นพังไปเลยก็มี คืออ่อนจนเสียความเชื่อมั่นในระยะยาวแล้ว คนในประเทศหนีตายจากค่าเงินตัวเอง เช่น ลาว ศรีลังกา เป็นต้น ขนาดมหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษค่าเงินยังเสื่อมรุนแรงเช่นกัน พอค่าเงินประเทศนั้น ๆ เสื่อมค่าลงสิ่งที่จะตามมาก็คือข้าวของในประเทศนั้นจะแพงขึ้นตามการเสื่อมของสกุลเงิน ก็คือปัญหาเงินเฟ้อที่เราเห็นกันทุกวันนี้ แล้วในช่วงเวลาที่เงินเสื่อมแบบนี้ การเข้าซื้อทรัพย์สินมันก็ต้องดีสิ เพราะได้หนีออกจากค่าเงินที่กำลังเสื่อม แต่ด้วยความที่เศรษฐกิจมันไม่ดี สินทรัพย์ต่าง ๆ มันเลยโดนเทขายเช่นกัน เช่น พอคนไม่มีเงิน ก็จำเป็นต้องขายทรัพย์สินมาใช้หนี้ อะไรทำนองนี้ เป็นตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ
เงินตราทั่วโลกไม่มีค่าในตัวมันเอง แต่มีค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ในเชิงเปรียบเทียบ ค่าเงินลดลงตลอดเวลาเนื่องจากผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจ แต่ละสกุลเงินเสื่อมค่าเร็วไม่เท่ากัน โดยประเทศไหนเศรษฐกิจอ่อนแอกว่า ค่าเงินก็จะเสื่อมเร็วกว่า การเพิ่มเงินเข้าสู่ระบบ เช่น การพิมพ์เงิน ลดดอกเบี้ย หรือนโยบายการคลัง ดังนั้นพอระบบรวมมีเงินมากขึ้น เงินมันก็เสื่อมหรือเกิดเงินเฟ้อ ค่าเงินทั่วโลกกำลังอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ พอค่าเงินประเทศนั้น ๆ เสื่อมค่าลงสิ่งที่จะตามมาก็คือข้าวของในประเทศนั้นจะแพงขึ้นตามการเสื่อมของสกุลเงิน ปัญหาเงินเฟ้อจึงเกิดขึ้นในหลายประเทศ เศรษฐกิจที่ไม่ดีทำให้การเข้าซื้อทรัพย์สินกลายเป็นวิธีหนึ่งในการหนีค่าเงินที่ร่วงลง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_12836
Medical
ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ต้องใช้ยาโดซาโซซิน (Doxasosin) ควรแจ้งอะไรให้แพทย์ทราบก่อนเริ่มใช้ยา?
null
1. ประวัติการแพ้ยา: แจ้งแพทย์เกี่ยวกับ - ยา - อาหาร หรือ - สารอื่นๆ ที่แพ้ - เน้นย้ำประวัติการแพ้ยาที่รุนแรง เช่น อาการหายใจลำบาก บวมหน้า ลมพิษ แจ้งแพทย์หากเคยแพ้ยาดอกซาโซซิน (Doxasosin) หรือยาในกลุ่มแอลฟา-1 บล็อกเกอร์ (Alpha-1 blocker) ชนิดอื่นๆ 2. โรคประจำตัว: - แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวที่มีอยู่ เช่น โรคไต โรคตับ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคระบบภูมิคุ้มกัน โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคต่อมลูกหมากโต - แจ้งแพทย์หากเคยผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ - แจ้งแพทย์หากมีภาวะความดันโลหิตต่ำ - แจ้งแพทย์หากมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ - แจ้งแพทย์หากมีภาวะตาแห้ง ปากแห้ง 3. ยาที่ใช้ปัจจุบัน: - แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้ปัจจุบันทั้งหมด - แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ใช้ - แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้เพื่อรักษาโรคประจำตัว - แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการอื่นๆ เช่น ยาแก้ปวด ยาคลายกังวล 4. สถานะการตั้งครรภ์และให้นมบุตร: - แจ้งแพทย์หากกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร - ยาดอกซาโซซิน (Doxasosin) อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่ได้รับนมบุตร - แพทย์จะพิจารณาความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยา 5. ข้อมูลอื่นๆ: - แจ้งแพทย์เกี่ยวกับอาชีพที่ทำ - แจ้งแพทย์หากต้องขับขี่รถยนต์หรือทำงานกับเครื่องจักร - แจ้งแพทย์หากดื่มแอลกอฮอล์ - แจ้งแพทย์หากสูบบุหรี่ เหตุผลที่ควรแจ้งข้อมูลเหล่านี้แก่แพทย์: - ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยาดอกซาโซซิน (Doxasosin) - แพทย์อาจปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนยาให้เหมาะสม การแจ้งข้อมูลที่ครบถ้วนจะช่วยป้องกันผลข้างเคียงร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น ตัวอย่างผลข้างเคียงร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นหากไม่แจ้งข้อมูลสำคัญแก่แพทย์: - ความดันโลหิตต่ำจนหมดสติ - หัวใจเต้นผิดจังหวะ - ภาวะตาแห้ง ปากแห้ง รุนแรง - อาการแพ้ยา ข้อควรระวังเพิ่มเติม: - ผู้ป่วยควรอ่านเอกสารข้อมูลยา (Patient Information Leaflet) อย่างละเอียดก่อนใช้ยา - ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา - ผู้ป่วยควรเก็บยาในที่ปลอดภัย พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง - ผู้ป่วยควรทิ้งยาที่หมดอายุหรือไม่ใช้แล้วอย่างถูกวิธี
เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_44135
Finance
ทำไม ปี 2563 เป็นปีแห่งฝันร้ายทางเศรษฐกิจของคนไทยทุกคน
ปี 2563 เป็นปีแห่งฝันร้ายทางเศรษฐกิจของคนไทยทุกคน แม้ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ติดลบร้อยละ 6.1 จะดีกว่าที่ทุกสำนักคาด และดีกว่าที่คาดกันไว้ว่าอาจจะติดลบใกล้เคียงเลขสองหลักเมื่อช่วงกลางปีมาก แต่ก็เป็นการหดตัวที่รุนแรงที่สุดในรอบ 22 ปี รองจากการหดตัวร้อยละ 7.6 ในปี 2541 เท่านั้น ปี 2563 เป็นปีแห่งฝันร้ายทางเศรษฐกิจของคนไทยทุกคน แม้ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ติดลบร้อยละ 6.1 จะดีกว่าที่ทุกสำนักคาด และดีกว่าที่คาดกันไว้ว่าอาจจะติดลบใกล้เคียงเลขสองหลักเมื่อช่วงกลางปีมาก แต่ก็เป็นการหดตัวที่รุนแรงที่สุดในรอบ 22 ปี รองจากการหดตัวร้อยละ 7.6 ในปี 2541 เท่านั้น อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากขนาดของการหดตัวที่จะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจที่สภาพัฒน์เพิ่งแถลงไปเมื่อต้นสัปดาห์ก่อน มีข้อสังเกตที่น่าสนใจหลายประการ ซึ่งผมขอยกมาเล่าสู่กันฟัง 4 ประการ ดังนี้ อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากขนาดของการหดตัวที่จะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจที่สภาพัฒน์เพิ่งแถลงไปเมื่อต้นสัปดาห์ก่อน มีข้อสังเกตที่น่าสนใจหลายประการ ซึ่งผมขอยกมาเล่าสู่กันฟัง 4 ประการ ดังนี้ ประการแรก แม้อัตราการขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 จะยังติดลบ แต่อัตราการขยายตัวแบบไตรมาสต่อไตรมาส (Quarter-on-quarter growth: QoQ) ที่ปรับฤดูกาลแล้วในไตรมาส 4 เท่ากับร้อยละ 1.3 เป็นบวกติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง ชี้ถึงการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของเศรษฐกิจ และต่อให้อัตราการขยายตัวแบบ QoQ จะกลับมาติดลบจากผลพวงของการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ก็น่าจะเป็นเพียงแค่ในไตรมาสแรกของปีนี้ไตรมาสเดียว (ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะติดลบ เพราะดูสถานการณ์เริ่มดีขึ้น) ทำให้เศรษฐกิจปีนี้จะไม่เข้าเกณฑ์ถดถอยทางเทคนิค ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบ QoQ ต้องติดลบติดต่อกันสองไตรมาส ประการแรก และต่อให้อัตราการขยายตัวแบบ QoQ จะกลับมาติดลบจากผลพวงของการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ก็น่าจะเป็นเพียงแค่ในไตรมาสแรกของปีนี้ไตรมาสเดียว (ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะติดลบ เพราะดูสถานการณ์เริ่มดีขึ้น) ทำให้เศรษฐกิจปีนี้จะไม่เข้าเกณฑ์ถดถอยทางเทคนิค ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบ QoQ ต้องติดลบติดต่อกันสองไตรมาส ที่สำคัญ ขนาดของอัตราการขยายตัวแบบ QoQ ในไตรมาส 4 ที่ร้อยละ 1.3 นั้น สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอัตราการขยายตัวแบบ QoQ ในภาวะปกติที่ประมาณ 0.9 พอสมควร ทั้งๆ ที่โควิด-19 เริ่มระบาดระลอกใหม่ในช่วงท้ายไตรมาสแล้ว แสดงถึงแรงส่งของเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้าที่ค่อนข้างดี ถ้าไม่ได้เกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เศรษฐกิจปีที่แล้วน่าจะหดตัวในช่วงร้อยละ 5 เท่านั้น และเศรษฐกิจปีนี้ก็จะมีจุดตั้งต้นที่ดีกว่าในปัจจุบันมาก ทั้งๆ ที่โควิด-19 เริ่มระบาดระลอกใหม่ในช่วงท้ายไตรมาสแล้ว แสดงถึงแรงส่งของเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้าที่ค่อนข้างดี ประการที่สอง เศรษฐกิจไทยไม่ใช่เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากวิกฤตโควิด-19 ในปีที่แล้ว ประเทศในภูมิภาคที่โชคร้ายกว่าเรา คือ ฟิลิปปินส์ ที่เศรษฐกิจหดตัวถึงร้อยละ 9.5 ทำลายสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และอินเดียที่ตัวเลขทั้งปียังไม่ออก แต่ก็คาดกันว่าจะหดตัวในระดับใกล้เคียงกันกับฟิลิปปินส์ ประการที่สอง ประเทศในภูมิภาคที่โชคร้ายกว่าเรา คือ ฟิลิปปินส์ ที่เศรษฐกิจหดตัวถึงร้อยละ 9.5 ทำลายสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และอินเดียที่ตัวเลขทั้งปียังไม่ออก แต่ก็คาดกันว่าจะหดตัวในระดับใกล้เคียงกันกับฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ หลายประเทศที่มีอัตราการหดตัวน้อยกว่าเราก็ไม่ได้ดีกว่ามากนัก ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ (หดตัวร้อยละ 5.4 ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์สิงคโปร์), มาเลเชีย (หดตัวร้อยละ 5.6) หรือญี่ปุ่น (หดตัวร้อยละ 4.8) แต่ก็มีประเทศที่ดีกว่าพอสมควร เช่น อินโดนีเชีย (หดตัวร้อยละ 2.1), เกาหลีใต้ (หดตัวร้อยละ 1.0), จีน (ขยายตัวร้อยละ 2.3) และไต้หวัน (ขยายตัวร้อยละ 3.0) ซึ่งไต้หวันเป็นกรณีที่น่าทึ่งมาก เพราะอัตราการขยายตัวเท่ากับปี 2562 ที่ยังไม่มีโควิด-19 เลย เทียบกับจีนที่แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวเช่นกัน แต่เป็นอัตราการขยายตัวที่ลดลงอย่างมีนัยจากร้อยละ 6.1 ในปี 2562 นอกจากนี้ หลายประเทศที่มีอัตราการหดตัวน้อยกว่าเราก็ไม่ได้ดีกว่ามากนัก ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ (หดตัวร้อยละ 5.4 ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์สิงคโปร์), มาเลเชีย (หดตัวร้อยละ 5.6) หรือญี่ปุ่น (หดตัวร้อยละ 4.8) แต่ก็มีประเทศที่ดีกว่าพอสมควร เช่น อินโดนีเชีย (หดตัวร้อยละ 2.1), เกาหลีใต้ (หดตัวร้อยละ 1.0), จีน (ขยายตัวร้อยละ 2.3) และไต้หวัน (ขยายตัวร้อยละ 3.0) ซึ่งไต้หวันเป็นกรณีที่น่าทึ่งมาก เพราะอัตราการขยายตัวเท่ากับปี 2562 ที่ยังไม่มีโควิด-19 เลย เทียบกับจีนที่แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวเช่นกัน แต่เป็นอัตราการขยายตัวที่ลดลงอย่างมีนัยจากร้อยละ 6.1 ในปี 2562 ประการที่สาม การบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 4 ขยายตัวร้อยละ 0.9 จากปีก่อน หลังจากติดลบติดต่อกันสองไตรมาส แม้ตัวเลขนี้จะดูต่ำ แต่จริงๆแล้วต้องบอกว่าเป็นตัวเลขที่ดีมาก เพราะในทุกประเทศที่ผมหยิบยกมาข้างต้น ยกเว้นจีน มีอัตราการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่ติดลบ กระทั่งไต้หวันที่จีดีพีรวมขยายตัวดี การบริโภคภาคเอกชนยังหดตัวร้อยละ 1.1 ซึ่งอัตราการขยายตัวเป็นบวกของไทยนี้ไม่ควรเป็นที่กังขา เพราะดัชนีการบริโภคภาคเอกชนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดทำขึ้นเพื่อติดตามภาวะการบริโภคภาคเอกชนรายเดือนก็ขยายตัวเป็นบวกในไตรมาส 4 เช่นกัน ประการที่สาม เพราะในทุกประเทศที่ผมหยิบยกมาข้างต้น ยกเว้นจีน มีอัตราการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่ติดลบ กระทั่งไต้หวันที่จีดีพีรวมขยายตัวดี การบริโภคภาคเอกชนยังหดตัวร้อยละ 1.1 ซึ่งอัตราการขยายตัวเป็นบวกของไทยนี้ไม่ควรเป็นที่กังขา เพราะดัชนีการบริโภคภาคเอกชนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดทำขึ้นเพื่อติดตามภาวะการบริโภคภาคเอกชนรายเดือนก็ขยายตัวเป็นบวกในไตรมาส 4 เช่นกัน คำถามคือทำไมไทยถึงทำได้ดีกว่าคนอื่น ผมคิดว่าส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งช่วยเติมสภาพคล่องและสร้างความมั่นใจในการใช้จ่ายให้กับประชาชน มาตรการที่รัฐร่วมแชร์ค่าใช้จ่ายหลายมาตรการมีผลดีมาก สะท้อนจากไส้ในของตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนที่โตจากการใช้จ่ายในหมวดบริการและหมวดสินค้าไม่คงทน ซึ่งเป็นหมวดสินค้าที่ได้ประโยชน์จากมาตรการเหล่านี้ จึงเป็นที่น่ายินดีว่ารัฐบาลมีการต่ออายุมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกไปในช่วงที่โควิด-19 กลับมาระบาดรอบใหม่ ซึ่งจะทำให้การประคับประคองเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องในช่วงที่มีปัจจัยลบเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยเติมสภาพคล่องและสร้างความมั่นใจในการใช้จ่ายให้กับประชาชน มาตรการที่รัฐร่วมแชร์ค่าใช้จ่ายหลายมาตรการมีผลดีมาก สะท้อนจากไส้ในของตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนที่โตจากการใช้จ่ายในหมวดบริการและหมวดสินค้าไม่คงทน ซึ่งเป็นหมวดสินค้าที่ได้ประโยชน์จากมาตรการเหล่านี้ จึงเป็นที่น่ายินดีว่ารัฐบาลมีการต่ออายุมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกไปในช่วงที่โควิด-19 กลับมาระบาดรอบใหม่ ซึ่งจะทำให้การประคับประคองเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องในช่วงที่มีปัจจัยลบเพิ่มขึ้น
แม้ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ติดลบร้อยละ 6.1 จะดีกว่าที่ทุกสำนักคาด และดีกว่าที่คาดกันไว้ว่าอาจจะติดลบใกล้เคียงเลขสองหลักเมื่อช่วงกลางปีมาก แต่ก็เป็นการหดตัวที่รุนแรงที่สุดในรอบ 22 ปี รองจากการหดตัวร้อยละ 7.6 ในปี 2541 เท่านั้น ปี 2563 เป็นปีแห่งฝันร้ายทางเศรษฐกิจของคนไทยทุกคน แม้ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ติดลบร้อยละ 6.1 จะดีกว่าที่ทุกสำนักคาด และดีกว่าที่คาดกันไว้ว่าอาจจะติดลบใกล้เคียงเลขสองหลักเมื่อช่วงกลางปีมาก แต่ก็เป็นการหดตัวที่รุนแรงที่สุดในรอบ 22 ปี รองจากการหดตัวร้อยละ 7.6 ในปี 2541 เท่านั้น อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากขนาดของการหดตัวที่จะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจที่สภาพัฒน์เพิ่งแถลงไปเมื่อต้นสัปดาห์ก่อน มีข้อสังเกตที่น่าสนใจหลายประการ ซึ่งขอยกมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้ : 1. ประการแรก แม้อัตราการขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 จะยังติดลบ แต่อัตราการขยายตัวแบบไตรมาสต่อไตรมาส (Quarter-on-quarter growth: QoQ) ที่ปรับฤดูกาลแล้วในไตรมาส 4 เท่ากับร้อยละ 1.3 เป็นบวกติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง ชี้ถึงการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของเศรษฐกิจ และต่อให้อัตราการขยายตัวแบบ QoQ จะกลับมาติดลบจากผลพวงของการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ก็น่าจะเป็นเพียงแค่ในไตรมาสแรกของปีนี้ไตรมาสเดียว (ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะติดลบ เพราะดูสถานการณ์เริ่มดีขึ้น) - ทำให้เศรษฐกิจปีนี้จะไม่เข้าเกณฑ์ถดถอยทางเทคนิค ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบ QoQ ต้องติดลบติดต่อกันสองไตรมาส - ที่สำคัญ ขนาดของอัตราการขยายตัวแบบ QoQ ในไตรมาส 4 ที่ร้อยละ 1.3 นั้น สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอัตราการขยายตัวแบบ QoQ ในภาวะปกติที่ประมาณ 0.9 พอสมควร ทั้งๆ ที่โควิด-19 เริ่มระบาดระลอกใหม่ในช่วงท้ายไตรมาสแล้ว แสดงถึงแรงส่งของเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้าที่ค่อนข้างดี ถ้าไม่ได้เกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เศรษฐกิจปีที่แล้วน่าจะหดตัวในช่วงร้อยละ 5 เท่านั้น และเศรษฐกิจปีนี้ก็จะมีจุดตั้งต้นที่ดีกว่าในปัจจุบันมาก 2. ประการที่สอง ประเทศในภูมิภาคที่โชคร้ายกว่าเรา คือ ฟิลิปปินส์ ที่เศรษฐกิจหดตัวถึงร้อยละ 9.5 ทำลายสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และอินเดียที่ตัวเลขทั้งปียังไม่ออก แต่ก็คาดกันว่าจะหดตัวในระดับใกล้เคียงกันกับฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ หลายประเทศที่มีอัตราการหดตัวน้อยกว่าเราก็ไม่ได้ดีกว่ามากนัก ไม่ว่าจะเป็น - สิงคโปร์ (หดตัวร้อยละ 5.4 ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์สิงคโปร์) - มาเลเชีย (หดตัวร้อยละ 5.6) หรือญี่ปุ่น (หดตัวร้อยละ 4.8) แต่ก็มีประเทศที่ดีกว่าพอสมควร เช่น - อินโดนีเชีย (หดตัวร้อยละ 2.1) - เกาหลีใต้ (หดตัวร้อยละ 1.0) - จีน (ขยายตัวร้อยละ 2.3) - ไต้หวัน (ขยายตัวร้อยละ 3.0) ซึ่งไต้หวันเป็นกรณีที่น่าทึ่งมาก เพราะอัตราการขยายตัวเท่ากับปี 2562 ที่ยังไม่มีโควิด-19 เลย เทียบกับจีนที่แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวเช่นกัน แต่เป็นอัตราการขยายตัวที่ลดลงอย่างมีนัยจากร้อยละ 6.1 ในปี 2562 3. ประการที่สาม การบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 4 ขยายตัวร้อยละ 0.9 จากปีก่อน หลังจากติดลบติดต่อกันสองไตรมาส แม้ตัวเลขนี้จะดูต่ำ แต่จริงๆแล้วต้องบอกว่าเป็นตัวเลขที่ดีมาก
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Legal_46081
Legal
Q&A : โฆษณาเกินจริง ผิดกฎหมาย?
การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านการโฆษณา มาตรา 22 การโฆษณาจะต้องไม่ใช้ข้อความที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือใช้ข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าข้อความดังกล่าวนั้น จะเป็นข้อความที่เกี่ยวกับแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ หรือลักษณะของสินค้าหรือบริการ ตลอดจนการส่งมอบ การจัดหา หรือการใช้สินค้าหรือบริการ ข้อความต่อไปนี้ ถือว่าเป็นข้อความที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือเป็นข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมส่วนรวม (1) ข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง (2) ข้อความที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะกระทำโดยใช้หรืออ้างอิงรายงานทางวิชาการ สถิติ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันไม่เป็นความจริงหรือเกินความจริงหรือไม่ก็ตาม (3) ข้อความที่เป็นการสนับสนุนโดยตรงหรือโดยอ้อมให้มีการกระทำผิดกฎหมายหรือศีลธรรม หรือนำไปสู่ความเสื่อมเสียในวัฒนธรรมของชาติ (4) ข้อความที่จะทำให้เกิดความแตกแยกหรือเสื่อมเสียความสามัคคีในหมู่ประชาชน (5) ข้อความอย่างอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ข้อความที่ใช้ในการโฆษณาที่บุคคลทั่วไปสามารถรู้ได้ว่าเป็นข้อความที่ไม่อาจเป็นความจริงได้โดยแน่แท้ ไม่เป็นข้อความที่ต้องห้ามในการโฆษณาตาม (1) มาตรา 27 กรณีที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเห็นว่าการโฆษณาฝ่าฝืนมาตรา 22 ให้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจออกคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างดังต่อไปนี้ (1) ให้แก้ไขข้อความหรือวิธีการโฆษณา (2) ห้ามใช้ข้อความบางอย่างที่ปรากฏในการโฆษณา (3) ห้ามโฆษณาหรือห้ามใช้วิธีการนั้นโฆษณา (4) ให้โฆษณาเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดของผู้บริโภคที่อาจเกิดขึ้นแล้วตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณากำหนด ในการออกคำสั่งตาม (4) ให้คณะกรมการว่าด้วยการโฆษณากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการโดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้บริโภคประกอบกับความสุจริตใจในการกระทำของผู้โฆษณา * กรณีคณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีคำสั่งตาม (4) และผู้ประกอบธุรกิจไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง คณะกรรมการฯ อาจเข้าดำเนินการการแทนผู้ประกอบธุรกิจและให้ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ชดใช้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นนั้น โดยบังคับตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง มาตรา 28 กรณีที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีเหตุสงสัยว่า ข้อความใดที่ใช้ในการโฆษณาเป็นเท็จหรือเกินความจริงตามมาตรา 22 วรรคสอง (1) ให้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้โฆษณาพิสูจน์เพื่อแสดงความจริงได้ กรณีที่ผู้โฆษณาอ้างรายงานทางวิชาการ ผลการวิจัย สถิติ การรับรองของสถาบันหรือบุคคลอื่น หรือยืนยันข้อเท็จจริงในการโฆษณา ถ้าผู้โฆษณาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อความที่ใช้ในการโฆษณาเป็นความจริงตามที่กล่าวอ้าง ให้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจออกคำสั่งตามมาตรา 27 ได้ และให้ถือว่าผู้โฆษณารู้หรือควรได้รู้ว่าข้อความนั้นเป็นเท็จ
การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านการโฆษณา มาตรา 22 การโฆษณาจะต้องไม่ใช้ข้อความที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือใช้ข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมส่วนรวม ข้อความต่อไปนี้อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมส่วนรวม (1) ข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง (2) ข้อความที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ (3) ข้อความที่เป็นการสนับสนุนโดยตรงหรือโดยอ้อมให้มีการกระทำผิดกฎหมายหรือศีลธรรม (4) ข้อความที่จะทำให้เกิดความแตกแยกหรือเสื่อมเสียความสามัคคี (5) ข้อความอย่างอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ข้อความที่ใช้ในการโฆษณาที่บุคคลทั่วไปสามารถรู้ได้ว่าเป็นข้อความที่ไม่อาจเป็นความจริงได้ ไม่เป็นข้อความที่ต้องห้ามในการโฆษณาตาม (1) มาตรา 27 กรณีที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเห็นว่าการโฆษณาฝ่าฝืนมาตรา 22 ให้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจออกคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างดังต่อไปนี้ (1) ให้แก้ไขข้อความหรือวิธีการโฆษณา (2) ห้ามใช้ข้อความบางอย่างที่ปรากฏในการโฆษณา (3) ห้ามโฆษณาหรือห้ามใช้วิธีการนั้นโฆษณา (4) ให้โฆษณาเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดของผู้บริโภค ในการออกคำสั่งตาม (4) ให้คณะกรมการว่าด้วยการโฆษณากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการโดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้บริโภคประกอบกับความสุจริตใจในการกระทำของผู้โฆษณา หากผู้ประกอบธุรกิจไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง คณะกรรมการฯ อาจเข้าดำเนินการการแทนผู้ประกอบธุรกิจและให้ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ชดใช้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น มาตรา 28 กรณีที่คณะกรรมการมีเหตุสงสัยว่า ข้อความใดที่ใช้ในการโฆษณาเป็นเท็จหรือเกินความจริงตามมาตรา 22 วรรคสอง (1) ให้คณะกรรมการมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้โฆษณาพิสูจน์เพื่อแสดงความจริง กรณีที่ผู้โฆษณาอ้างรายงานทางวิชาการ ผลการวิจัย สถิติ การรับรองของสถาบันหรือบุคคลอื่น หรือยืนยันข้อเท็จจริงในการโฆษณา ถ้าผู้โฆษณาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อความที่ใช้ในการโฆษณาเป็นความจริง ให้คณะกรรมการออกคำสั่งตามมาตรา 27 ได้ และให้ถือว่าผู้โฆษณารู้หรือควรได้รู้ว่าข้อความนั้นเป็นเท็จ
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_12787
Medical
โซราฟีนิบ Sorafenib ใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็งไต มะเร็งตับ และมะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิดที่ไม่สามารถรักษาด้วยสารกัมมันตรังสีไอโอดีนน้ำแร่รังสีไอโอดีน ใช่หรือไม่
null
ใช่ ยาโซราฟีนิบSorafenib หรือ Sorafenib Tosylate ทางคลินนิกใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็งไต มะเร็งตับ และมะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิดที่ไม่สามารถรักษาด้วยสารกัมมันตรังสีไอโอดีนน้ำแร่รังสีไอโอดีน รูปแบบเภสัชภัณฑ์ของยาโซราฟีนิบเป็นแบบรับประทาน ซึ่งทำให้สะดวกในการใช้กับผู้ป่วย ตัวยาจะออกฤทธิ์จำเพาะกับเซลล์ที่มีการแบ่งตัวเร็วอย่างเซลล์มะเร็ง แต่เซลล์ปกติของร่างกายที่มีการแบ่งตัวได้เร็ว อย่างเช่น ผิวหนัง เซลล์เยื่อเมือกในกระเพาะอาหารและลำไส้จึงได้รับผลกระทบผลข้างเคียงอาการข้างเคียงจากยานี้ด้วยเช่นกัน โดยแสดงออกมาทางอาการข้างเคียงต่างๆ ตัวยาโซราฟีนิบ จะมีเวลาอยู่ในร่างกายได้นานประมาณ 25–48 ชั่วโมงก่อนที่จะถูกกำจัดออกไปกับอุจจาระและปัสสาวะ ระหว่างที่ได้รับยาโซราฟีนิบ แพทย์จะกำกับดูแลและเฝ้าระวังผลกระทบบางประการที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยดังต่อไปนี้ เช่น เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด หรือ อาการหัวใจล้มเหลว หากพบอาการดังกล่าว แพทย์จะหยุดหยุดใช้ยานี้ มีภาวะเลือดออกง่ายด้วยเกล็ดเลือดต่ำ ผู้ป่วยต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อ การบาดเจ็บและก่อให้เกิดแผลเปิดตามร่างกาย เกิดกลุ่มอาการ Stevens-Johnson syndrome หรือมีอาการผิวหนังตายในบางบริเวณของร่างกาย กรณีนี้แพทย์จะหยุดการใช้ยานี้ทันที เช่นกัน บางครั้งทางคลินิก พบว่ายาโซราฟีนิบอาจทำให้เกิด ภาวะกระเพาะอาหารทะลุ ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นระยะๆตามคำสั่งแพทย์ ด้วยยานี้สามารถทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ยาโซราฟีนิบสามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะตับอักเสบ ผู้ป่วยจึงต้องมารับการตรวจ สภาพตับ เช่น การตรวจเลือดดูค่าเอนไซม์การทำงานของตับในเลือดตามที่แพทย์นัดหมายทุกครั้ง ยานี้มีฤทธิ์กดการทำงานของฮอร์โมนต่อมใต้สมองที่ชื่อ TSH หรือ Thyroid-stimulating hormone ผู้ป่วยจึงมีความเสี่ยงต่อภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน แพทย์จึงจำเป็นต้องทำการตรวจระดับไทรอยด์ฮอร์โมนทุกเดือน อนึ่ง สัญญาณหรือลักษณะทางร่างกายที่ผู้ป่วยสามารถใช้เป็นตัวบ่งบอกถึงอันตรายจากการใช้ยาโซราฟีนิบ และต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที มีดังต่อไปนี้ เกิดอาการ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เจ็บปวดกราม-คอ-หลัง-แขนอย่างรุนแรง - มีไข้ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียสCelsiusขึ้นไป ร่วมกับมีอาการหนาวสั่น อาเจียนมากกว่า 4–5 ครั้งใน 24 ชั่วโมง มีอาการท้องเสีย 4–6 ครั้งต่อวัน พบเลือดในปัสสาวะปัสสาวะเป็นเลือด หรือ อุจจาระเป็นเลือด อ่อนเพลียมากจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองหรือขยับร่างกายไป-มาได้ ท้องผูกอย่างรุนแรงและการใช้ยาระบายยาแก้ท้องผูกที่แพทย์ให้มา ไม่เกิดประสิทธิผล มีอาการติดเชื้อ สังเกตได้จากไอ มีเสมหะ หรือเจ็บปวดขณะขับถ่ายปัสสาวะ ยาโซราฟีนิบเป็นยารักษามะเร็งที่มีจำหน่ายในบ้านเรา คณะกรรมการอาหารและยาได้ระบุให้ยาชนิดนี้เป็นยาควบคุมพิเศษ และเป็นยาอันตรายร้ายแรง โดยต้องใช้ยานี้ภายใต้คำสั่งแพทย์แต่ผู้เดียว ซึ่งเราจะพบเห็นการใช้ยานี้ได้ตามสถานพยาบาลภายใต้ยาชื่อการค้าว่า Nexavar โซราฟีนิบมีสรรพคุณคุณสมบัติอย่างไร ยาโซราฟีนิบมีสรรพคุณข้อบ่งใช้ เช่น ใช้รักษามะเร็งไต รักษามะเร็งตับที่ไม่สามารถรักษาโดยวิธีการผ่าตัด รักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิดที่ไม่สามารถใช้สารกัมมันตรังสีไอโอดีนยาน้ำแร่รังสีไอโอดีนรักษาได้ โซราฟีนิบมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร ตัวยาโซราฟีนิบมีกลไกการออกฤทธิ์ โซราฟีนิบมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร ยาโซราฟีนิบมีรูปแบบการจัดจำหน่าย เช่น ยาเม็ดชนิดรับประทานที่ประกอบด้วยตัวยา Sorafenib ขนาด 200 มิลลิกรัมเม็ด โซราฟีนิบมีขนาดรับประทานอย่างไร ยาโซราฟีนิบมีขนาดรับประทาน ดังนี้ ผู้ใหญ่ ขนาดและระยะเวลาในการใช้ยานี้ให้เป็นไปตามคำสั่งแพทย์แต่ผู้เดียว โดยรับประทานยานี้ขณะท้องว่าง และห้ามมิให้ผู้ป่วยปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง เด็ก ทางคลินิก ยังไม่มีข้อมูลด้านขนาดยาและความปลอดภัยในการใช้ยานี้กับเด็ก หมายเหตุ 1. การใช้ยานี้เพื่อรักษามะเร็งตับและมะเร็งไต แพทย์อาจปรับขนาดรับประทานโดยพิจารณาจากอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น โดยมีแนวทางดังนี้ หากพบอาการชาตามปลายนิ้วมือ-นิ้วเท้า เกิดความรู้สึกสัมผัสเพี้ยน ซึ่งไม่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน แพทย์จะไม่ปรับขนาดรับประทานแต่อย่างใด กรณีพบอาการมือบวม-เท้าบวมร่วมกับมีอาการปวด หากอาการไม่ดีขึ้น ภายใน 7 วัน แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาลดลง กรณีที่ปรับขนาดรับประทานลดลงแล้ว อาการดังกล่าวยังไม่ดีขึ้นภายในสัปดาห์ที่ 4 แพทย์จะสั่งหยุดการใช้ยานี้ กรณีเกิดแผลพุพองตามมือ-เท้า และแพทย์ปรับขนาดการใช้ยาลดลง อาการก็ยังไม่ดีขึ้น แพทย์จะสั่งหยุดการใช้ยานี้ 2. สำหรับการรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ แพทย์จะเริ่มใช้ขนาดยาที่สูงเพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง และจะปรับลดขนาดรับประทานลงมาเป็นลำดับตามดุลพินิจของแพทย์โดยดูจากการตอบสนองต่อยานี้ของผู้ป่วย เมื่อมีการสั่งยา ควรแจ้งแพทย์พยาบาล และเภสัชกรอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาโซราฟีนิบ ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์พยาบาล และเภสัชกร ดังนี้ ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยาใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัดหายใจขัดหายใจลำบาก มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยาใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาโซราฟีนิบอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กินที่ใช้อยู่ก่อน หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์มีครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร ผู้ป่วยต้องรับประทานยาโซราฟีนิบต่อเนื่องจึงจะเกิดประสิทธิผลของการรักษา กรณีลืมรับประทาน สามารถรับประทานยานี้ทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากรับประทานอาหารแล้วต้องเว้นระยะเวลาให้ห่าง 2 ชั่วโมงขึ้นไปแล้วจึงรับประทานยานี้ได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยานี้ในมื้อถัดไป ห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2เท่า ให้รับประทานยานี้ที่ขนาดปกติ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_40467
Finance
หนังสือชื่อ The Prosperous Retirement: Guide to the New Reality ของ Michael Stein เมื่อปี 1998 ได้แบ่งช่วงเวลาหลังเกษียณออกเป็น 3 ช่วงเรียกว่า Go-Go, Slow-Go และ No-Go ใช่หรือไม่
null
ใช่ หนังสือชื่อ The Prosperous Retirement: Guide to the New Reality ของ Michael Stein เมื่อปี 1998 ได้แบ่งช่วงเวลาหลังเกษียณออกเป็น 3 ช่วงเรียกว่า Go-Go, Slow-Go และ No-Go กองที่ 1 ใช้ในช่วง Go-Go ซึ่งเป็นช่วง 10 ปีแรกของชีวิตหลังเกษียณ ที่มีร่างกายสุขภาพแข็งแรง สามารถทำตามความฝันที่ยังไม่ได้ทำก่อนเกษียณ กองที่ 2 ใช้ในช่วง Slow-Go ซึ่งเป็นช่วง 10 ปีที่สองของชีวิตหลังเกษียณ ช่วงนี้สุขภาพร่างกายและจิตใจเริ่มเสื่อมถอยลง เริ่มใช้ชีวิตภายในบ้านมากกว่าช่วง Go-Go กองที่ 3 ใช้ในช่วง No-Go เป็นช่วง 10 ปีที่สามของชีวิตหลังเกษียณ เป็นช่วงที่สภาพร่างกายเสื่อมถอยถึงที่สุดและรอวันสิ้นอายุขัย ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณปีแรก เป็นตัวแปรที่มีความแตกต่างกันในแต่ละคน สมมติให้เป็น R ซึ่งไม่รวมค่ารักษาพยาบาล (ควรมีประกันสุขภาพรองรับ) และควรเตรียมเงินจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพด้วยประกันแบบบำนาญ ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณปีต่อ ๆ ไปจะลดลงปีละ 1% ทุกปี แต่ในทางการคำนวณจะใช้ 5% ทุก ๆ 5 ปี แปลว่า สมมติว่าอายุเกษียณ คือ 60 ปี ดังนั้น ช่วงอายุ 60 - 64 ปี จะต้องถอนเงินออกมาใช้ปีละ R บาท, ช่วงอายุ 65 - 69 ปี จะต้องถอนเงินออกมาปีละ 0.95R ลดลง 5% (หรือ 0.05) เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงอายุ 80 ปี ซึ่งจะลดลงเหลือ 0.80R และจะคงที่ไปจนครบ 10 ปีที่อายุ 89 ปี ในประเทศไทยเริ่มมีแนวคิดในการจัดการเงินหลังเกษียณ เรียกว่า กลยุทธ์การถอนเงินหลังเกษียณ โดยแบ่งเงินเกษียณออกเป็น 3 กองหรือ 3 ถัง แล้วสร้างเงื่อนไขเพื่อใช้เป็นกฎในการตัดสินใจ (Decision Rules) ว่าจะถอนเงินออกจากกองไหนก่อน กลยุทธ์การถอนเงินหลังเกษียณ Harold Evensky นักวางแผนการเงินชั้นนำของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดแบ่งเงินหลังเกษียณออกเป็น 3 กอง ตั้งแต่ปี 1985 แต่จะใช้การถอนเงินเพียง 2 กองเท่านั้น โดยกองที่ 1 คือ นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ฝากออมทรัพย์ ด้วยสัดส่วน 10 เท่าของอัตราการถอนเงินในปีแรก ส่วนเงินที่เหลือจะนำไปไว้ในกองที่ 2 ด้วยการนำไปลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น กองทุนรวมตราสารทุน กองทุนรวมดัชนีหุ้น เป็นต้น ตัวอย่างเช่น มีเงินเพื่อเกษียณ 10 ล้านบาท และคาดว่าจะใช้กฎ 4% แปลว่าต้องการถอนเงินในปีแรกด้วยอัตรา 4% (Initial Withdrawal Rate) เป็นจำนวนเงิน 400,000 บาท ดังนั้น เงินที่ต้องมีไว้ในกองที่ 1 เป็นจำนวน 10 เท่าของ 400,000 บาท คือ 4 ล้านบาท ส่วนเงินในกองที่ 2 มีจำนวน 6 ล้านบาท โดยมีกฎ (Decision Rules) ง่าย ๆ เพียง 3 ข้อ คือ ถอนเงินตอนต้นปีของทุกปี
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_42547
Finance
กลยุทธ์การลงทุนแบบ "VI" ของปุณยวีร์ จันทรขจร มีอะไรบ้าง?
null
กลยุทธ์การลงทุนแบบ "VI" ของปุณยวีร์ จันทรขจร ประกอบไปด้วยหลักการสำคัญดังนี้ 1. เน้นลงทุนระยะยาว: ปุณยวีร์ เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี ราคาถูก และถือยาว ไม่ค่อยซื้อขายหุ้นบ่อย เน้นติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นหลัก 2. ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนลงทุน: ปุณยวีร์ ใช้เวลาศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน วิเคราะห์งบการเงิน กลยุทธ์ธุรกิจ โอกาสในการเติบโต และความเสี่ยงต่างๆ 3. กระจายความเสี่ยง: ปุณยวีร์ ไม่ลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว แต่กระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายตัว เพื่อลดความเสี่ยง 4. ใจเย็น: ปุณยวีร์ ใจเย็นและไม่หวั่นไหวกับความผันผวนของตลาดหุ้น ยึดหลักการลงทุนระยะยาว ไม่รีบร้อน 5. เรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ: ปุณยวีร์ อ่านหนังสือและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนอยู่เสมอ เข้าร่วมสัมมนาและเรียนปริญญาโทบริหารธุรกิจ เพื่อพัฒนาทักษะการวิเคราะห์และตัดสินใจ 6. ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย: ปุณยวีร์ ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย เน้นการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ตัวอย่างผลงาน: ปุณยวีร์ ลงทุนในหุ้น TRUE มาเป็นเวลานาน ปัจจุบันราคาหุ้น TRUE เพิ่มขึ้น significantly แสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์การลงทุนแบบ VI ของเขาประสบความสำเร็จ ข้อดีของกลยุทธ์ VI: - เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีเวลาศึกษาข้อมูล - ลดความเสี่ยงจากการลงทุน - มีโอกาสได้ผลตอบแทนระยะยาว ข้อเสียของกลยุทธ์ VI: - ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล - ผลตอบแทนอาจจะไม่หวือหวา - ต้องอดทนต่อความผันผวนของตลาดหุ้น สรุป: กลยุทธ์การลงทุนแบบ VI ของปุณยวีร์ จันทรขจร เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีเวลาศึกษาข้อมูล ใจเย็น และต้องการลงทุนระยะยาว กลยุทธ์นี้มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่ต้องอดทนต่อความผันผวนของตลาดหุ้น
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_160
Finance
จงบอกสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นในช่วงต้นปี 2565
null
สาเหตุหลักที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นในช่วงต้นปี 2565 ในหลายๆ ประเทศ ไม่ได้เกิดมาจากฝั่งรายได้ที่สะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่เป็นฝั่งต้นทุนในการผลิต ขนส่ง โดยมีสาเหตุ ดังนี้ 1. กำลังการผลิตยังกลับมาไม่เต็มที่ ประกอบกับความต้องการสินค้าที่สูงขึ้นแบบทันทีทันใดหลังการเปิดเมือง ส่งผลให้ผลผลิตสินค้าต่างๆ ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงทำให้ราคาข้าวของทยอยปรับตัวสูงขึ้น 2. ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการเปิดเมือง ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งกำลังการผลิต และมีความต้องการใช้พลังงานสูงขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนปรับเพิ่มสูงขึ้นตาม โดยผู้ประกอบการที่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้ ก็มีการปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น และเป็นที่มาของอัตราเงินเฟ้อสูง 3. สถานการณ์รัสเซีย ยูเครน ประเทศรัสเซีย เป็นผู้ผลิตแก๊สธรรมชาติ โลหะมีค่า หรือ Soft Commodity อย่างน้ำมัน ในระดับสูงของโลก โดยรัสเซียมีสัดส่วนการผลิตน้ำมันอยู่ราว 10% ของโลก ดังนั้น มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียทำให้หลายประเทศจำเป็นต้องมองหากำลังการผลิตที่อื่นเพื่อชดเชยแหล่งน้ำมันของรัสเซียที่หายไป อย่างไรก็ตาม การหาแหล่งน้ำมันมาชดเชยนี้ ทำได้ยาก ทำให้ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง โดย 2 สาเหตุแรก เป็นสาเหตุเงินเฟ้อ​ในช่วงโควิด ไทยก็มีความเสี่ยงเกิด Stagflation อยู่แล้ว ยิ่งเกิดสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ทำให้ความเสี่ยงเริ่มสูงขึ้น และการควบคุมเงินเฟ้อด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียงลำพังนั้นยังไม่เพียงพอ​​​
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_22927
Medical
อะไรคือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งคลายทุกข์ได้?
null
บทความนี้แสดงให้เห็นหลักฐานหลายประการที่บ่งชี้ว่าการปฏิบัติธรรมช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งคลายทุกข์ได้ ดังนี้ 1. ประสบการณ์ของผู้เขียน: ผู้เขียนเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวของเธอในการต่อสู้กับโรคมะเร็งรังไข่ เธออธิบายว่าก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติธรรม เธอรู้สึกทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ เธอรู้สึกกลัว กังวล และสิ้นหวัง แต่หลังจากเริ่มปฏิบัติธรรม เธอสามารถคลายทุกข์และมีความสุขมากขึ้น เธอสามารถเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างสงบและเข้มแข็ง 2. การเปลี่ยนแปลงของสามีผู้เขียน: สามีของผู้เขียนรู้สึกเครียดและกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของเธอ เขาไม่รู้ว่าจะช่วยเธออย่างไร แต่หลังจากเห็นว่าผู้เขียนสามารถคลายทุกข์จากการปฏิบัติธรรม เขาก็เริ่มสนใจและอยากลองปฏิบัติธรรมบ้าง เขาเริ่มนั่งสมาธิและกำหนดรู้ตัว ซึ่งช่วยให้เขารู้สึกสบายใจและผ่อนคลายมากขึ้น 3. ประสบการณ์ของผู้ป่วยคนอื่น: ผู้เขียนเล่าถึงประสบการณ์ของเธอในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งคนอื่นให้คลายทุกข์จากการปฏิบัติธรรม เธอเล่าถึงตัวอย่างของผู้ป่วยชายที่รู้สึกสิ้นหวังและท้อแท้ แต่หลังจากได้ลองปฏิบัติธรรม เขาก็รู้สึกดีขึ้น เขาสามารถกินยาและลุกนั่งเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น เขารู้สึกขอบคุณผู้เขียนที่ช่วยให้เขามีความหวังอีกครั้ง 4. ผลการวิจัย: มีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนว่าการปฏิบัติธรรมสามารถช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล และความทุกข์ทรมานในผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ ตัวอย่างเช่น การวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เข้าร่วมโปรแกรมการปฏิบัติธรรมมีระดับความเครียดและความวิตกกังวลลดลง significantly compared to those who did not participate in the program. 5. กลไกการออกฤทธิ์: การปฏิบัติธรรมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งคลายทุกข์ได้หลายวิธี กลไกหลักๆ ประกอบด้วย: การลดความเครียด: การปฏิบัติธรรมช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมความคิดและอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยลดระดับความเครียดและความวิตกกังวล การเพิ่มสติ: การปฏิบัติธรรมช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจดจ่อกับปัจจุบันและปล่อยวางอดีตและอนาคต ซึ่งช่วยลดความทุกข์ทรมาน การพัฒนาความเมตตา: การปฏิบัติธรรมช่วยให้ผู้ป่วยสามารถพัฒนาความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งช่วยให้รู้สึกอบอุ่นใจและผ่อนคลาย สรุป: มีหลักฐานหลายประการที่แสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งคลายทุกข์ได้ การปฏิบัติธรรมสามารถช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล และความทุกข์ทรมาน และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างสงบและเข้มแข็ง หมายเหตุ: การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทางลัดในการรักษาโรคมะเร็ง แต่เป็นวิธีเสริมที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บได้ดีขึ้น ผู้ป่วยโรคมะเร็งควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมการปฏิบัติธรรม
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry,การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_17100
Medical
น้ำพุแห่งเยาว์วัย” (Fountain of Youth) เป็นความเชื่อว่าอย่างไร
จิตวิทยาในชีวิตประจำวัน - ภาคที่ 4 จิตวิทยาผู้สูงวัย ตอนที่ 22 น้ำพุแห่งเยาว์วัย จิตวิทยาในชีวิตประจำวัน - ภาคที่ 4 จิตวิทยาผู้สูงวัย ตอนที่ 22 น้ำพุแห่งเยาว์วัย น้ำพุแห่งเยาว์วัย Fountain of Youth เป็นความเชื่อว่า มีที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่มีอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดพิเศษ ซึ่งสามารถดำรงไว้ซึ่งความเยาว์วัยตลอดกาล Perpetual ตำนานปรัมปราในเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในทุกวัฒนธรรมตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาจนถึงปัจจุบัน ความเชื่อนี้ ยังเป็นหัวเรื่อง Theme ของความบันเทิงยอดนิยมในสมัยใหม่ อาทิ หนังสือเรื่อง ขอบฟ้าที่เลือนหาย The Lost Horizon และภาพยนตร์เรื่อง ตลุยจักรวาล ตอนการก่อกบฏ Star Trek Insurrection นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ จะมีคอลัมน์ประจำเกี่ยวกับอาหารและการออกกำลังกาย ที่ทำให้คนเราดูเยาว์วัยขึ้นและมีชีวิตอยู่ยาวนานขึ้น ผู้คนจำนวนมากหันมาสนใจสินค้าเสริมสวย Cosmetics ที่ช่วยให้ดูอ่อนเยาว์ ลบรอยเหี่ยวย่น ทำให้ผมขาวอันตรธานไป และกระชับส่วนของร่างกายที่เสื่อมลง แต่ในการขยายชีวิตให้ยาวนานขึ้น Prolong ได้หรือไม่นั้น ผลวิจัยแสดงว่า ขึ้นอยู่กับการเลือกวิถีชีวิต Life style ที่ถูกต้อง วิถีชีวิตดังกล่าวคือสิ่งที่ผู้คนจำนวนมากเกลียดชัง อันได้แก่ การออกกำลังกายมากขึ้น การลดการบริโภคอาหารและดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง และไม่สูบบุหรี่เลย ประมาณการกันว่า 35 ของการตายทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาในศตวรรษนี้มีสาเหตุมาจากความเกียจคร้าน Indolence การบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ และการสูบบุหรี่ ผลงานวิจัยที่สนับสนุนในเรื่องนี้ นำไปสู่การแนะนำให้เพิ่มระดับการออกกำลังกาย บริโภคอาหารอย่างชอบด้วยหตุผล Sensible และหยุดสูบบุหรี่ พร้อมด้วยการรณรงค์โครงการ ผู้คนที่มีสุขภาพแข็งแรง Healthy People ในสหรัฐอเมริกา และโครงการ อยู่อย่างสุขสบาย Live Well ในสหราชอาณาจักรอังกฤษ การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด Harvard พบว่า ศิษย์ก่าที่ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ มีความสัมพันธ์โดยตรงอย่างมีนัยสำคัญกับการมีชีวิตอยู่ยาวนาน Longevity แต่ความสัมพันธ์ดังกล่าว มิได้สอดคล้องเสมอไป Consistent ในทุกเงื่อนไข หรือสภาวะ Conditions ตัวอย่างเช่นการออกกำลังกายที่เผาผลาญพลังงาน 1000 ถึง 2000 กิโลจูล Kilojoule ต่อสัปดาห์ สามารถลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง Stroke และความเสี่ยงนี้จะลดลงได้อีก หากเพิ่มการออกกำลังกาย จนเผาผลาญพลังงาน 2000 ถึง 3000 กิโลจูลต่อสัปดาห์ แต่ถ้าออกกำลังกายเกินกว่านี้ จะไม่สามารถลดความเสี่ยงลงมากกว่านี้ แต่ผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งรายงานว่า ความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ Coronary ลดลงมาก เมื่อมีการออกกำลังกายอย่างหนัก Vigorous จนมีการเผาผลาญพลังงาน 4000 กิโลจูล ต่อสัปดาห์ โดยทั่วไป การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอตลอดสัปดาห์ ดูเหมือนจะเป็นวิธีดีที่สุดสำหรับการมีชีวิตอยู่ยาวนาน แต่การศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า พฤติกรรม นักรบสุดสัปดาห์ Week-end warrior ซึ่งเป็นการกำลังกายหักโหม Intense ในช่วงเวลาอันสั้น Brief เพียง 1 หรือ 2 คาบ ก็ได้ประโยชน์ Beneficial เช่นกัน หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆแอบแฝงอยู่
น้ำพุแห่งเยาว์วัย” (Fountain of Youth) เป็นความเชื่อว่า มีที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่มีอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดพิเศษ ซึ่งสามารถดำรงไว้ซึ่งความเยาว์วัยตลอดกาล ตำนานปรัมปราในเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในทุกวัฒนธรรมตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาจนถึงปัจจุบัน ความเชื่อนี้ ยังเป็นหัวเรื่องของความบันเทิงยอดนิยมในสมัยใหม่ อาทิ หนังสือเรื่อง “ขอบฟ้าที่เลือนหาย” (The Lost Horizon) และภาพยนตร์เรื่อง “ตะลุยจักรวาล ตอน การก่อกบฏ” (Star Trek : Insurrection) นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ จะมีคอลัมน์ประจำเกี่ยวกับอาหารและการออกกำลังกาย ที่ทำให้คนดูเยาว์วัยขึ้นและมีชีวิตอยู่ยาวนานขึ้น
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_23286
Medical
การออกกำลังกายด้วยจักรยานอยู่กับที่ เหมาะกับผู้ที่มีโรคข้อเข่าเสื่อมหรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อม เหตุผล: ข้อดี: 1. จักรยานอยู่กับที่ช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อเข่า 2. ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า 3. เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ควบคุมน้ำหนัก 4. ลดอาการปวดข้อเข่า ข้อเสีย: 1. ท่าทางการปั่นที่ไม่ถูกต้องอาจส่งผลต่อข้อเข่า 2. การปั่นจักรยานที่หนักเกินไปอาจทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น คำแนะนำ: 1. ปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดก่อนเริ่มใชชจักรยานอยู่กับที่ 2. ปรับระดับเบาะนั่งและแฮนด์ให้เหมาะกับสรีระ เริ่มต้นด้วยการปั่นเบาๆ และค่อยๆ เพิ่มความหนัก 3. หยุดพักทันทีหากรู้สึกเจ็บ เลือกจักรยานอยู่กับที่มีระบบปรับแรงต้านที่หลากหลาย 4. เลือกโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย ตัวอย่างผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมที่เหมาะกับการใช้จักรยานอยู่กับที่: - ผู้ป่วยที่มีอาการปวดข้อเข่าไม่มาก - ผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าอ่อนแรง - ผู้ป่วยที่ต้องการลดน้ำหนัก ตัวอย่างผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมที่ไม่เหมาะกับการใช้จักรยานอยู่กับที่: - ผู้ป่วยที่มีอาการปวดข้อเข่ารุนแรง - ผู้ป่วยที่มีข้อเข่าอักเสบ - ผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า สรุป: การออกกำลังกายด้วยจักรยานอยู่กับที่ เหมาะกับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมบางราย แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดก่อนเริ่มใช้ ปรับระดับเบาะนั่งและแฮนด์ให้เหมาะกับสรีระ เริ่มต้นด้วยการปั่นเบาๆ และค่อยๆ เพิ่มความหนัก หยุดพักทันทีหากรู้สึกเจ็บ เลือกจักรยานอยู่กับที่มีระบบปรับแรงต้านที่หลากหลาย และเลือกโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย หมายเหตุ: การออกกำลังกายด้วยจักรยานอยู่กับที่ ไม่ใช่วิธีรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม เป็นเพียงวิธีการเสริมในการรักษา ควรใช้วิธีการนี้ควบคู่กับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ
ออร์โธปิดิกส์ (ออร์โธปิดิกส์) - Orthopedics,เวชศาสตร์ฟื้นฟู
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_4045
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เหตุผลที่ผู้ประกอบการกลุ่มต้นน้ำและกลางน้ำ หรือผู้นำเข้า-ปลูก-สกัดกัญชง คาดว่าจะเห็นรายได้เข้ามาก่อน ซึ่งจะมีอำนาจต่อรองราคาสูงและมีความเสี่ยงด้านการแข่งขันต่ำกว่าผู้ประกอบการกลุ่มปลายน้ำ
null
เหตุผลที่ผู้ประกอบการกลุ่มต้นน้ำและกลางน้ำ หรือผู้นำเข้า-ปลูก-สกัดกัญชง คาดว่าจะเห็นรายได้เข้ามาก่อน ซึ่งจะมีอำนาจต่อรองราคาสูงและมีความเสี่ยงด้านการแข่งขันต่ำกว่าผู้ประกอบการกลุ่มปลายน้ำ มีอยู่ 3 ประการ โดยประการแรก คือ แนวโน้มผู้ประกอบการที่เข้ามาขออนุญาตทำธุรกิจฝั่งปลายน้ำจะสูงกว่าต้นน้ำในช่วงแรก ประการที่สอง คือ ขณะที่การนำเข้าสินค้าต้นน้ำจากต่างประเทศไม่สามารถทำได้ภายใน 5 ปี ด้วยมาตรการส่งเสริมพืชเกษตรในประเทศของภาครัฐ จึงมีความจำเป็นต้องพึ่งการปลูก-สกัดกัญชงจากภายในประเทศเท่านั้น และปรการสุดท้าย คือ ภาครัฐยังไม่มีนโยบายควบคุมราคากลางของกัญชง ทำให้ราคาเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาด และความเสี่ยงด้านการแข่งขันที่สูง บทเรียนจากย่อหน้านี้ สำหรับการเปิดตลาดกัญชงนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แม้ในประเทศไทยจะเพิ่งเกิดขึ้น แต่ในต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมามีการสนับสนุนให้ใช้กัญชงเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และมีการวิจัยพัฒนาอย่างถูกกฎหมายในหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ แคนาดา และบางประเทศในยุโรป แต่ก็มีนโยบายและการควบคุมที่แตกต่างกันไปตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูกไปจนถึงการออกมาเป็นผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ ตลาดกัญชงในต่างประเทศมีศักยภาพในการเติบโตสูง และมีความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเป็นการใช้งานทั้งทางการแพทย์และสำหรับสันทนาการ แต่สำหรับในประเทศไทย ทางภาครัฐกำลังทยอยออกกฎหมายที่เกี่ยวกับกัญชง ทั้งในการขออนุญาตปลูก การสกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชงมาใช้ภายนอก และการนำสารสกัด CBD มาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เครื่องดื่ม อาหาร และอาหารเสริม ในส่วนของผู้ประกอบการกัญชงนั้ นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มตามขั้นตอนการผลิต ได้แก่ 1. กลุ่มต้นน้ำ คือ กลุ่มผู้ประกอบการที่เอาเมล็ดมาเพาะปลูก ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน โดยต้องมีใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขในการปลูก และสามารถระบุผู้ซื้อผลผลิตเบื้องต้นได้ 2. กลุ่มกลางน้ำ คือ การนำเอาไปสกัดเป็นน้ำมันหรือเป็นสาร CBD โดยโรงสกัดจะต้องมีใบอนุญาตและมีมาตรฐาน GMP ตามผลิตภัณฑ์ตามกฎหมาย 3. กลุ่มปลายน้ำ คือ ผู้ประกอบการที่จะนำเอาสารสกัดมาผสมลงไปในผลิตภัณฑ์ สำหรับในภาคของการลงทุนในหุ้นไทยนั้นมองว่า ผู้ที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดในช่วงแรกคือผู้ประกอบการกลุ่มต้นน้ำและกลางน้ำ หรือผู้นำเข้า-ปลูก-สกัด ที่คาดว่าจะเห็นรายได้เข้ามาก่อน ซึ่งจะมีอำนาจต่อรองราคาสูงและมีความเสี่ยงด้านการแข่งขันต่ำกว่าผู้ประกอบการกลุ่มปลายน้ำด้วย 3 เหตุผลหลักๆ คือ 1. แนวโน้มผู้ประกอบการที่เข้ามาขออนุญาตทำธุรกิจฝั่งปลายน้ำสูงกว่าต้นน้ำในช่วงแรก 2. ขณะที่การนำเข้าสินค้าต้นน้ำจากต่างประเทศไม่สามารถทำได้ภายใน 5 ปี ด้วยมาตรการส่งเสริมพืชเกษตรในประเทศของภาครัฐ จึงมีความจำเป็นต้องพึ่งการปลูก-สกัดจากภายในประเทศเท่านั้น 3. ภาครัฐยังไม่มีนโยบายควบคุมราคากลางของกัญชง ทำให้ราคาเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาด ในขณะที่ผู้ประกอบการกลุ่มปลายน้ำจะต้องรอการปลูก-สกัดจากกลุ่มต้นน้ำและกลางน้ำที่จะใช้เวลาอย่างน้อย 4-6 เดือน ทั้งยังมีความเสี่ยงด้านการแข่งขันที่สูงอีกด้วย เนื่องจากมีผู้ประกอบการหลายรายที่สนใจผลิตภัณฑ์กัญชง แต่ในระยะยาวคาดว่าผู้ที่มีศักยภาพในการแข่งขันและมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตสินค้าเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้จะสามารถอยู่รอดในธุรกิจได้
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_4157
Finance
แพลตฟอร์ม MAAI by KTC มีศักยภาพที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจพันธมิตรหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ระบบสะสมคะแนน: MAAI by KTC นำเสนอระบบสะสมคะแนนแบบครบวงจร ช่วยให้ธุรกิจพันธมิตรสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่าได้ โดยลูกค้าสามารถสะสมคะแนนจากการใช้จ่าย แลกเป็นส่วนลด สินค้า หรือบริการต่างๆ การเข้าถึงกลุ่มลูกค้า: MAAI by KTC มีเครือข่ายพันธมิตรที่หลากหลาย ครอบคลุมธุรกิจหลายประเภท ช่วยให้ธุรกิจพันธมิตรสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพ การวิเคราะห์ข้อมูล: MAAI by KTC นำเสนอเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ช่วยให้ธุรกิจพันธมิตรเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า นำไปสู่การพัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงใจ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า การตลาดแบบเฉพาะบุคคล: MAAI by KTC ช่วยให้ธุรกิจพันธมิตรสามารถทำการตลาดแบบ Personalized นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน เพิ่มโอกาสในการขาย การลดต้นทุน: MAAI by KTC ช่วยให้ธุรกิจพันธมิตรสามารถลดต้นทุนในการทำการตลาด บริหารจัดการโปรโมชั่นต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มประสิทธิภาพ: MAAI by KTC ช่วยให้ธุรกิจพันธมิตรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน บริหารจัดการข้อมูลลูกค้า และติดตามผลการดำเนินงานต่างๆ ได้อย่างสะดวก ตัวอย่าง: ร้านอาหาร A เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ MAAI by KTC ลูกค้าสามารถสะสมคะแนนจากการทานอาหารที่ร้าน แลกเป็นส่วนลดหรืออาหารฟรี ช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่า ห้างสรรพสินค้า B เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ MAAI by KTC ลูกค้าสามารถสะสมคะแนนจากการช้อปปิ้ง แลกเป็นส่วนลดหรือสินค้าต่างๆ ช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาช้อปปิ้งที่ห้างฯ มากขึ้น บริษัทน้ำมัน C เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ MAAI by KTC ลูกค้าสามารถสะสมคะแนนจากการเติมน้ำมัน แลกเป็นส่วนลดหรือสินค้าต่างๆ ช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาเติมน้ำมันที่ปั๊มฯ มากขึ้น สรุป: แพลตฟอร์ม MAAI by KTC มีศักยภาพที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจพันธมิตร ด้วยระบบสะสมคะแนน การเข้าถึงกลุ่มลูกค้า การวิเคราะห์ข้อมูล การตลาดแบบ Personalized การลดต้นทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจเติบโต และประสบความสำเร็จ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_27674
Medical
อาการของภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ
null
ผู้ป่วยภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบมักมีอาการหรือรู้สึกถึงความผิดปกติภายหลังจากมีประจำเดือนครั้งแรก ซึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยส่วนใหญ่จะแสดงอาการหลักๆ ดังนี้ การตกไข่ผิดปกติ ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติและมีบุตรยาก ประจำเดือนมาไม่ปกติ เช่น ประจำเดือนไม่มาติดต่อกันนานหลายเดือน ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ประจำเดือนมานานและอาจมามากหรือน้อยผิดปกติ มีบุตรยาก เนื่องจากการตั้งครรภ์ต้องอาศัยการตกไข่ ซึ่งผู้ป่วย PCOS บางราย อาจมีภาวะไม่ตกไข่ในบางเดือน หรือบางรายอาจไม่ตกไข่เลย จึงส่งผลให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ยาก ระดับฮอร์โมนเพศชายสูงขึ้น ฮอร์โมนแอนโดรเจนที่สูงขึ้น ส่งผลต่อลักษณะทางกายภายของผู้ป่วย เช่น มีขนขึ้นตามหน้าและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มีสิวขึ้นมากผิดปกติ เสียงเปลี่ยน หรือเป็นโรคศีรษะล้านทางพันธุกรรม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นผิดปกติ เกิดความรู้สึกหดหู่ จากอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น การรักษาภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ การรักษาให้มีประจำเดือนมาสม่ำเสมอ โดยการให้รับประทานฮอร์โมนโปรเจสตนิ รับประทาน เป็นรอบๆ ต่อเดือน หรือให้รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ซึ่งจะได้รับประโยชน์ในการคุมกำเนิดร่วมด้วย และยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมบางกลุ่ม มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชายร่วมด้วย ทำให้ได้ประโยชน์ในการรักษาสิว หน้ามัน ขนดก ร่วมด้วย ตรวจหาความผิดปกติในการเกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และภาวะไขมันสูง การรักษาสำหรับผู้ที่ต้องการมีบุตร กลุ่มอาการนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้มีบุตรยาก เนื่องจากการตกไข่ไม่สม่ำเสมอ จึงควรได้รับการดูแลโดยแพทย์เฉพาะทางด้านภาวะมีบุตรยาก ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ควบคุมน้ำหนัก ควรหันมาออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกไขมันและแป้ง
นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11545
Medical
ไมโคฟีโนเลต โมฟีทิล (Mycophenolate mofetil) คืออะไร
null
ยาไมโคฟีโนเลต โมฟีทิล (Mycophenolate mofetil) หรือมีชื่อการค้าในประเทศไทยว่า เซลล์เซพท์ (Cellcept) เป็นยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคชนิดรับประทาน ผู้ป่วยได้รับยานี้เพื่อกดภูมิต้านทานของร่างกายสำหรับป้องกันปฏิกิริยาไม่ยอมรับอวัยวะที่เปลี่ยนถ่ายอย่างเฉียบพลันในผู้ป่วยที่เปลี่ยนหัวใจ, ไต หรือตับ โดยสูตรยาที่แนะนำสำหรับป้องกันภาวะปฏิเสธอวัยวะ คือ ไมโค ฟีโนเลต โมฟีทิลร่วมกับยาไซโคลสปอริน (Cyclosporine) และยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Cortico steroid) โดยให้ใช้ยานี้ภายใต้การดูแลของแพทย์รักษา และใช้ยานี้สำหรับการรักษาปฏิกิริยาไม่ยอมรับอวัยวะที่เปลี่ยนถ่ายที่รักษายากในผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายไต นอกจากนี้ ยังมีข้อบ่งใช้ยาอื่นๆ นอกเหนือการรับรองขององค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา เช่น ภาวะปฏิเสธอวัยวะ (Organ Transplant Rejection, ร่างกายปฏิเสธอวัยวะใหม่), Graft-Versus-Host disease (GVHD คือ ปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันฯที่เกิดขึ้นเมื่อผู้รับบริจาคอวัยวะ/Host ได้รับเซลล์เม็ดเลือดขาวจากผู้ให้/Donor จากนั้นร่างกายผู้รับเกิดปฏิกิริยาต่อต้านเม็ดเลือดขาวจากเนื้อเยื่อของผู้รับบริจาค ทำให้เนื้อเยื่อของผู้รับบริจาคถูกทำลาย), Proliferative lupus nephritis (อาการทางไตในผู้ป่วยโรคลูปัส), Nephrotic syndrome (กลุ่มอาการที่เกี่ยวกับการทำงานของไต โดยจะมีอาการบวม, โปรตีนรั่วในปัสสาวะมาก, มีระดับอัลบูมินในเลือดต่ำ และมีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง), Idiopathic thrombocytopenic purpura (โรคเกล็ดเลือดต่ำโดยไม่ทราบสาเหตุ), Atopic dermatitis (โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โดยผิวหนังเกิดการอักเสบเรื้อรังจากปฏิกิริยาภูมิแพ้)
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20027
Medical
วิธีการรับมือกับคนขี้โมโห เหวี่ยง วีน มีอะไรบ้าง
คนขี้โมโห เหวี่ยง วีน รับมือ คนขี้โมโห เหวี่ยง วีน หนึ่งฤทัย กล่ำเงิน พยาบาลวิชาชีพ RN โรงพยาบาลมนารมย์ การอยู่กับคนอารมณ์ไม่คงที่ เหวี่ยง วีนง่าย หรือไม่รู้ว่าอารมณ์จะดีตอนไหน จะร้ายตอนไหน ก็เหมือนกับการอยู่กับระเบิดเวลาที่เราไม่รู้ว่าโดนถอดสลักเมื่อไหร่ หลังระเบิดจบลงก็คงเหลือซากปรักหักพัง เช่นเดียวกับหลังระเบิดอารมณ์ก็คงระเบิดความสัมพันธ์ให้แย่ลงเช่นกัน จึงอยากแนะนำวิธีการรับมือกับระเบิดเวลานี้อย่างง่ายๆ ที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ 1. สติมาปัญญาเกิด กฎข้อแรกของการรับมือกับคนขี้เหวี่ยงขี้วีน คือ สติ บางครั้งที่การขาดสติและโต้ตอบเร็วเกินไป ก็ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่กว่าเดิม เพราะฉะนั้น การมีสติ ค่อยๆ คิดอย่างมีเหตุผล และระงับอารมณ์ของเราเองด้วย จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะยับยั้งระเบิดเวลาไม่ให้รุนแรงกว่าเดิม วิธีการง่ายๆ เช่น หายใจเข้า-ออกช้าๆ หรือนับ 1-100 2. แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร ความอยากเอาชนะ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำระเบิดเวลาระเบิดได้ทุกเมื่อ ในการโต้เถียงกัน หรือในสถานการณ์ขัดแย้ง บางครั้งเราอาจต้องถามตนเองว่าถ้าชนะแล้วเราได้อะไร ซึ่งหลายครั้งคำตอบ คือ ไม่ได้อะไรเลย และคนที่ต้องการเอาชนะ แค่อยากย้ำว่าตนเองยังสำคัญกับคุณอยู่รึเปล่า ถ้าอย่างนั้นคุณก็แค่ยอมแพ้บ้างเพื่อหยุดระเบิดเวลาไว้ก่อน ระลึกไว้เสมอว่า ไม่มีใครอยากถูกเกลียดหรือไม่สำคัญในสายตาของคนอื่น 3. ปลดปล่อยอดีตแล้วโฟกัสอนาคตในสถานการณ์อารมณ์คุกรุ่น ไม่รู้จะจัดการกับอารมณ์ของเขายังไง สิ่งแรกที่สมองคิด คือ การหาสาเหตุ ซึ่งบางครั้งสมองก็หลงทางคิดแต่เรื่องราวหรือการกระทำไม่ดีในอดีตของเขา ทำให้บางครั้งก็เผลอพูดในสิ่งที่คิด และยิ่งเป็นชนวนจุดระเบิดให้เร็วขึ้น เทคนิคง่ายๆ ที่แนะนำ คือ ปล่อยอดีตที่ไม่ดีทิ้งไป และโฟกัสที่อนาคต เช่น เขาเป็นเพื่อน เป็นครอบครัว เราอยากเห็นความสัมพันธ์ในอนาคตเป็นอย่างไร ถามเขากลับว่าเราควรจะทำอย่างไรให้สถานการณ์หรือความสัมพันธ์ดีขึ้น 4. กู้ระเบิดไม่ได้ ก็ปล่อยให้ระเบิดเสียเลยบางครั้งถ้าสถานการณ์ดำเนินถึงขีดสุด เราอาจต้องปล่อยให้เขาระบายอารมณ์ออกมาก่อน สิ่งที่เราสามารถทำได้ คือ รับฟังอย่างสงบ หรือถ้าคุยโทรศัพท์อยู่ พยายามไม่วางสายใส่เขา ที่สำคัญ คือ ไม่ตำหนิหรือพูดจาแง่ลบที่จะบั่นทอนความรู้สึก หลังระเบิดผ่านพ้นไปเราค่อยพูดคุยด้วยเหตุผล และทบทวนสถานการณ์ร่วมกัน ที่สำคัญนอกจากเราจะรับฟังเขา เราต้องบอกความรู้สึกของเราให้เขารับรู้ด้วย เมื่อนั้นคุณอาจได้รับคำขอโทษจากเขา และการปรับปรุงพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น คนขี้เหวี่ยงขี้วีน ไม่ใช่บุคคลไม่น่าคบหรือบุคคลที่ควรหลีกเลี่ยง แต่เราควรมีวิธีรับมือที่ถูกต้อง แค่นี้เราก็สามารถใช้ชีวิตกับระเบิดเวลาได้ โดยไม่ต้องคอยระแวงว่าจะระเบิดเมื่อไหร่ เทคนิคการจัดการความโกรธ 6 นิสัยที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อสุขภาพจิตที่ดี 7 เคล็ดลับสู่การทำงานอย่างมีความสุข ขับเคลื่อนชีวิต...ด้วยมิตรภาพภายใน เส้นทางแห่งความสุข
วิธีการรับมือกับคนขี้โมโห เหวี่ยง วีน ได้แก่ 1. สติมาปัญญาเกิด กฎข้อแรกของการรับมือกับคนขี้เหวี่ยงขี้วีน คือ สติ บางครั้งที่การขาดสติและโต้ตอบเร็วเกินไป ก็ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่กว่าเดิม เพราะฉะนั้น การมีสติ ค่อยๆ คิดอย่างมีเหตุผล และระงับอารมณ์เองด้วย จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะยับยั้งระเบิดเวลาไม่ให้รุนแรงกว่าเดิม วิธีการง่ายๆ เช่น หายใจเข้า-ออกช้าๆ หรือนับ 1-100 2. แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร ความอยากเอาชนะ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำระเบิดเวลาระเบิดได้ทุกเมื่อ ในการโต้เถียงกัน หรือในสถานการณ์ขัดแย้ง บางครั้งอาจต้องถามตนเองว่าถ้าชนะแล้วได้อะไร ซึ่งหลายครั้งคำตอบ คือ ไม่ได้อะไรเลย และคนที่ต้องการเอาชนะ แค่อยากย้ำว่าตนเองยังสำคัญอยู่รึเปล่า ถ้าอย่างนั้นก็แค่ยอมแพ้บ้างเพื่อหยุดระเบิดเวลาไว้ก่อน ระลึกไว้เสมอว่า ไม่มีใครอยากถูกเกลียดหรือไม่สำคัญในสายตาของคนอื่น 3. ปลดปล่อยอดีตแล้วโฟกัสอนาคต ในสถานการณ์อารมณ์คุกรุ่น ไม่รู้จะจัดการกับอารมณ์ของเขายังไง สิ่งแรกที่สมองคิด คือ การหาสาเหตุ ซึ่งบางครั้งสมองก็หลงทางคิดแต่เรื่องราวหรือการกระทำไม่ดีในอดีตของเขา ทำให้บางครั้งก็เผลอพูดในสิ่งที่คิด และยิ่งเป็นชนวนจุดระเบิดให้เร็วขึ้น เทคนิคง่ายๆ ที่แนะนำ คือ ปล่อยอดีตที่ไม่ดีทิ้งไป และโฟกัสที่อนาคต เช่น เขาเป็นเพื่อน เป็นครอบครัว อยากเห็นความสัมพันธ์ในอนาคตเป็นอย่างไร ถามเขากลับว่าควรจะทำอย่างไรให้สถานการณ์หรือความสัมพันธ์ดีขึ้น 4. กู้ระเบิดไม่ได้ ก็ปล่อยให้ระเบิดเสียเลย บางครั้งถ้าสถานการณ์ดำเนินถึงขีดสุด อาจต้องปล่อยให้เขาระบายอารมณ์ออกมาก่อน สิ่งที่สามารถทำได้ คือ รับฟังอย่างสงบ หรือถ้าคุยโทรศัพท์อยู่ พยายามไม่วางสายใส่เขา ที่สำคัญ คือ ไม่ตำหนิหรือพูดจาแง่ลบที่จะบั่นทอนความรู้สึก หลังระเบิดผ่านพ้นไปค่อยพูดคุยด้วยเหตุผล และทบทวนสถานการณ์ร่วมกัน ที่สำคัญนอกจากจะรับฟังเขา ต้องบอกความรู้สึกให้เขารับรู้ด้วย เมื่อนั้นอาจได้รับคำขอโทษจากเขา และการปรับปรุงพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_44125
Finance
สาเหตุหลักของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกสู่ชั้นบรรยากาศโลกคือ
a. ควันเสียจากรถยนต์ b. การเผาป่า c. การใช้แหล่งพลังงานเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมอย่างพลังงานน้ำมัน พลังงานถ่านหิน และพลังงานก๊าซธรรมชาติ d. ควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ c. เพราะว่า สำหรับสภาวะโลกร้อนอันเกิดจากการใช้แหล่งพลังงานเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมอย่างพลังงานน้ำมัน พลังงานถ่านหิน และพลังงานก๊าซธรรมชาตินั้น เป็นสาเหตุหลักของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกสู่ชั้นบรรยากาศโลก และนำไปสู่การเผชิญหน้ากับปัญหาด้านสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม ทำให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจากหลากหลายประเทศเริ่มมองหาทางออกที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ด้วยแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) จากแหล่งพลังงานแบบดั้งเดิมมาเป็นการใช้พลังงานรูปแบบใหม่จากแหล่งพลังงานที่แตกต่างออกไป เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น รวมถึงสนับสนุนให้สามารถเข้าถึงและมีการกระจายตัวของการใช้งานอย่างทั่วถึง ซึ่งนับว่าเป็นเทรนด์ที่ได้รับการตอบรับและการสนับสนุนในระดับสากล โดยในสหรัฐฯ นั้น ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่ได้มีการกลับเข้ามาร่วมข้อตกลง Paris Agreement ภายใต้ United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC) เพื่อที่จะจัดการกับปัญหาก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีการลงนามจาก 196 ประเทศ มาตั้งแต่ปี 2016 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ซึ่งก่อนหน้านี้ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศถอนตัวสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงนี้ และนำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวอเมริกันรวมถึงกลุ่มเรียกร้องด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ดี สำหรับในปัจจุบัน แผนคำสั่งตามนโยบายของไบเดนมีความมุ่งมั่นชัดเจนที่จะสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม และมีเป้าหมายที่จะบรรลุปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 รวมถึงมีการผลักดันแผนเศรษฐกิจมูลค่าที่ราว 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิวัติสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด เพราะสหรัฐฯ เองถือเป็นอีกหนึ่งในผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ และมีการขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานเชื้อเพลิงเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ในยุโรปได้มีแผนนโยบายที่เรียกว่า European Green Deal โดยสนับสนุนให้สหภาพยุโรปมีการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศ ผ่านแคมเปญและข้อบังคับต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมและจริงจังมากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักที่จะขับเคลื่อนให้ยุโรปเป็นสังคมไร้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใน 30 ปีข้างหน้า สำหรับในส่วนของเอเชียเองนั้น นำโดยประเทศจีนที่ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ได้แสดงจุดยืนและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนกว่า 65% ภายในปี 2030 และผลักดันเป้าหมายใหม่ในการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้ภายในประเทศให้ได้ในระยะยาว ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ได้มีการประเมินมูลค่าสำหรับเม็ดเงินที่จะไหลเข้าสู่ธุรกิจอันเกี่ยวข้องกับ Energy Transition ไว้สูงถึง 29 ล้านล้านดอลลาร์ ในกว่า 30 ปีข้างหน้า ซึ่งมาจากการสนับสนุนโดยแรงผลักดันจากผู้นำรัฐบาลและองค์กรต่างๆ ทั่วโลก ที่ต่างหันมาให้ความสนใจที่จะเข้ามาเป็นส่วนร่วมต่อการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน สำหรับในส่วนของตลาดการลงทุนเองก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าธุรกิจกลุ่มนี้น่าจะได้รับประโยชน์ในเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโอกาสต่อยอดการลงทุนไม่ได้จำกัดวงแคบอยู่ที่กลุ่มบริษัทผู้ผลิตพลังงานทางเลือกเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงผู้ผลิตอุปกรณ์จัดเก็บพลังงาน โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง และบริษัทที่มีการออกแบบซอฟต์แวร์เพื่อช่วยวิเคราะห์และพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูงสุด จึงเห็นได้ว่า สิ่งเหล่านี้ถือเป็นอีกหนึ่งเมกาเทรนด์ที่จะเข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลงโลกด้วยนวัตกรรมและพลังงานเพื่ออนาคตได้เป็นอย่างดี จากนี้ไปแนวคิดการเลือกใช้พลังงานสะอาดคงไม่ใช่เรื่องไกลตัวของทุกคนอีกต่อไป ซึ่งในปัจจุบันการเติบโตของอุตสาหกรรมกลุ่มนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้น (Early Stage) ดังนั้น จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่กำลังจับตาเทรนด์การเติบโตของธุรกิจกลุ่มนี้
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_27693
Medical
PRP เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ทุกกรณีหรือไม่? อธิบาย
null
ไม่ การรักษาด้วย PRP เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ดังนี้: - ผู้ที่มีภาวะผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata) - ผู้ที่มีผมบางจากพันธุกรรม (Androgenetic alopecia) - ผู้ที่มีผมเส้นเล็ก (Hair thinning) - ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูเส้นผมหลังจากการปลูกผม อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วย PRP ไม่เหมาะ กับผู้ที่มี: - โรคประจำตัว เช่น โรคเลือดจาง โรคมะเร็ง โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน - สตรีมีครรภ์ หรือให้นมบุตร - การติดเชื้อในกระแสเลือด - หนังศีรษะล้าน ไม่มีรากผมเหลืออยู่ เหตุผล ประสิทธิภาพของ PRP ขึ้นอยู่กับ จำนวนรากผมที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่มีโรคประจำตัว บางชนิด อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากการรักษา สตรีมีครรภ์ หรือให้นมบุตร ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยของการรักษา การติดเชื้อในกระแสเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน หนังศีรษะล้าน ไม่มีรากผมเหลืออยู่ PRP ไม่สามารถกระตุ้นการงอกของเส้นผมใหม่ได้ ทางเลือกอื่น ยา: ยา Minoxidil, Finasteride การรักษาด้วยเลเซอร์: เลเซอร์ Low Level Laser Therapy (LLLT) การปลูกผม: FUE, FUT สรุป PRP เป็นวิธีการรักษาผมร่วง ผมบาง ที่มีประสิทธิภาพ แต่ไม่เหมาะกับทุกคน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพหนังศีรษะ และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม ข้อควรระวัง ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีความเชี่ยวชาญ แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่รับประทาน และประวัติการแพ้ ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ผลข้างเคียง - อาการปวดศีรษะ - บวมแดงที่บริเวณหนังศีรษะ - อาการคัน ผลลัพธ์ - ผลลัพธ์จะปรากฏหลังจากการรักษา 3-6 เดือน - ผมจะหนาขึ้น แข็งแรงขึ้น - รากผมมีสุขภาพดี ค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับคลินิก แพทย์ และจำนวนครั้งในการรักษา
ผิวหนัง Dermatology,เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_42660
Finance
อะไรคือผลดีของการปิดจอหุ้นตามหลักการลงทุนแนวพื้นฐาน?
(ก) มีโอกาสซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำ (ข) มีโอกาสขายหุ้นได้ในราคาสูง (ค) ช่วยให้นักลงทุนมีจิตใจที่มั่นคง (ง) ทั้งหมดข้างต้น
ข้อที่ถูกต้องคือ (ค) ช่วยให้นักลงทุนมีจิตใจที่มั่นคง เนื่องจาก เหตุผล: บทความระบุว่าการปิดจอหุ้นช่วยให้นักลงทุนมีเวลาคิดเรื่องอื่นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะเหตุและผลของการลงทุน การปิดจอหุ้นช่วยให้นักลงทุนใจเย็น รอบคอบ มองภาพธุรกิจได้ดีขึ้น และความผันผวนของราคาหุ้นมีผลน้อยลง ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนมีจิตใจที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อราคาหุ้นที่ผันผวนในระยะสั้น ตัวอย่างเช่น นักลงทุนที่ใจเย็นและรอบคอบจะไม่รีบขายหุ้นเมื่อตลาดตกใจขายหุ้น ข้อควรระวัง: การปิดจอหุ้นไม่ได้ช่วยให้นักลงทุนซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำหรือขายหุ้นได้ในราคาสูงเสมอไป ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อราคาหุ้น เช่น ข่าวสาร สภาพเศรษฐกิจ ผลประกอบการของบริษัท นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น สรุป: การปิดจอหุ้นช่วยให้นักลงทุนมีจิตใจที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อราคาหุ้นที่ผันผวนในระยะสั้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนแนวพื้นฐาน คำอธิบายเพิ่มเติม: การปิดจอหุ้นช่วยให้นักลงทุนไม่ต้องติดตามราคาหุ้นทุกวัน ซึ่งช่วยลดความวิตกกังวลและความโลภ นักลงทุนสามารถมีเวลามากขึ้นในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน การตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นจะขึ้นอยู่กับเหตุผลและกลยุทธ์การลงทุน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_43828
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นโดยมีข้อคิดว่า...นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
null
ลุ้นระทึก! เกมพลิกในตลาดหุ้น ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมของตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ร่วงลงแตะจุดต่ำสุดที่ 1,518 จุด นักลงทุนต่างหวาดกลัว อนาคตดูมืดมน ราวกับไร้แสงสว่างปลายอุโมงค์ ณ โต๊ะทำงานในบริษัทหลักทรัพย์ บรรยากาศตึงเครียด พนักงานต่างจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ เสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ดังระงม "โอ้โห ดัชนีลงหนักมาก!" เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น "สงสัยเศรษฐกิจโลกถดถอยแน่ๆ เลย" อีกคนหนึ่งตอบ "สงสัยพอร์ตฉันจะแดงเถือกแล้ว" หญิงสาวคนหนึ่งบ่นพึมพำ ท่ามกลางความโกลาหล ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ ท่าทางสงบ สายตาจับจ้องไปที่หน้าจออย่างตั้งใจ เขากำลังวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด ชายหนุ่มคนนี้ชื่อ "ธันวา" เขาเป็นนักวิเคราะห์การลงทุนที่มีประสบการณ์ ธันวาไม่เชื่อว่าตลาดหุ้นจะร่วงลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขาเชื่อว่ายังมีโอกาสอยู่เสมอ เขาจึงใช้เวลาศึกษาข้อมูลอย่างหนัก หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลอยู่นาน ธันวาก็พบจุดเปลี่ยนสำคัญ เขาค้นพบว่าตลาดหุ้นกำลังอยู่ในช่วงขาลง แต่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว กลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้น Nasdaq เริ่มกลับมาคึกคัก ธันวาตัดสินใจ "ซื้อ" หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เขาเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวตาม Nasdaq "คุณธันวาครับ มั่นใจเหรอครับว่าซื้อตอนนี้?" พนักงานคนหนึ่งถามด้วยความกังวล "ผมมั่นใจครับ ตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในช่วงขาลงจริง แต่มีสัญญาณฟื้นตัวแล้ว กลุ่มเทคโนโลยีมีอนาคตสดใส ผมเชื่อว่าตลาดจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง" ธันวาตอบอย่างมั่นใจ เวลาผ่านไป 1 เดือน ตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัว ดัชนี SET ค่อยๆ ขยับขึ้น กลุ่มเทคโนโลยีพุ่งสูงขึ้น พนักงานที่เคยกังวล ต่างเริ่มยิ้มออก พอร์ตการลงทุนของพวกเขาเริ่มกลับมาเป็นสีเขียว ธันวาพิสูจน์ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงอยู่เสมอ แต่หากมีการวิเคราะห์อย่างละเอียด และกล้าตัดสินใจ ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_42643
Finance
อะไรคือปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนผลการดำเนินงานของ SAPPE ในปัจจุบันและอนาคต?
null
ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนผลการดำเนินงานของ SAPPE ในปัจจุบันและอนาคต มีดังนี้: 1. การเติบโตของตลาดเครื่องดื่ม Functional Drink: - ตลาดเครื่องดื่ม Functional Drink ในไทยมีขนาดใหญ่และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง - ผู้บริโภคมีความตระหนักรู้ด้านสุขภาพมากขึ้น - SAPPE เป็นผู้นำตลาดในหมวดหมู่นี้ - Beauti Drink เป็นสินค้าหลักของ SAPPE 2. กลยุทธ์การขยายตลาดต่างประเทศ: - SAPPE ส่งออกสินค้าไปกว่า 70 ประเทศทั่วโลก - Gumi Gumi / Mogu Mogu เป็นสินค้าหลักที่ส่งออก - ตลาดต่างประเทศมีศักยภาพการเติบโตสูง - SAPPE ต้องเผชิญกับคู่แข่ง Local 3. กลยุทธ์การสร้างแบรนด์: - SAPPE เน้นสร้างแบรนด์ผ่านช่องทาง Online - SAPPE มี Influencer Marketing - SAPPE เน้นสร้าง Brand Awareness 4. กลยุทธ์การกระจายสินค้า: - SAPPE มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุม - SAPPE มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวแทนจำหน่าย - SAPPE เน้นการเข้าถึงผู้บริโภค 5. ความสามารถในการทำกำไร: - SAPPE มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง - SAPPE มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่ำ - SAPPE มี ROE สูง - SAPPE มี D/E ต่ำ 6. ความเสี่ยง: - สินค้าของ SAPPE ลอกเลียนแบบได้ง่าย - ตลาด Functional Drink ในไทยมีการแข่งขันสูง - SAPPE ต้องเผชิญกับคู่แข่ง Local ในต่างประเทศ - ค่าเงินบาทผันผวน สรุป: SAPPE เป็นบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนผลการดำเนินงานของ SAPPE ในปัจจุบันและอนาคต คือ การเติบโตของตลาดเครื่องดื่ม Functional Drink กลยุทธ์การขยายตลาดต่างประเทศ กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ กลยุทธ์การกระจายสินค้า และความสามารถในการทำกำไร อย่างไรก็ตาม SAPPE ก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ เช่น สินค้าลอกเลียนแบบได้ง่าย การแข่งขันที่รุนแรง และค่าเงินบาทผันผวน
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_44188
Finance
ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นจีน
null
กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นจีนในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน: 1. การลงทุนแบบ Factor Investing: -เลือก Factor ที่เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน -ช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว: เน้น Factor Value -ช่วงเศรษฐกิจทรงตัว/ชะลอตัว: เน้น Factor Quality -ปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนตาม Factor แต่ละตัว (Factor Rotation) 2. กระจายความเสี่ยง: -ลงทุนในหุ้นหลายตัว หลายกลุ่มอุตสาหกรรม -ลงทุนในตลาดหุ้นอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย 3. ศึกษาข้อมูล: -ศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจจีน -ศึกษาข้อมูลบริษัทที่สนใจลงทุน 4. เลือกผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญ: -เลือกผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นจีน -เลือกผู้จัดการกองทุนที่มีผลงานดี 5. ลงทุนระยะยาว: -ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ควรลงทุนระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยง -เศรษฐกิจจีนมีศักยภาพเติบโตสูงในระยะยาว ปัจจัยที่ต้องพิจารณา: 1. ความเสี่ยง: ตลาดหุ้นจีนมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรมี Risk Appetite ที่เหมาะสม 2. ค่าเงิน: เงินหยวนมีความผันผวน นักลงทุนควรติดตามความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 3. กฎระเบียบ: รัฐบาลจีนมีกฎระเบียบควบคุมตลาดหุ้น นักลงทุนควรติดตามการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างกลยุทธ์: -ลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนจีนที่เน้น Factor Value -ลงทุนใน ETF ที่ติดตามดัชนี MSCI China A-Share -ลงทุนในหุ้นจีนรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี สรุป: การลงทุนในตลาดหุ้นจีนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม และลงทุนระยะยาว
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_17773
Medical
การจี้ก้อนเนื้องอกโดยการใช้เข็มให้ความร้อน มีข้อจำกัดในก้อนเนื้องอกที่อยู่ชิดติดกับหลอดเลือดหรือท่อน้ำดี เพราะเหตุใด
จี้มะเร็ง ตอนที่ 1 จี้มะเร็ง ตอนที่ 1 นพ.สมราช ธรรมธรวัฒน์ ภาควิชารังสีวิทยา โรงพยาบาลศิริราช ได้กล่าวว่า มะเร็งตับเป็นมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยเป็นอันดับต้นๆ โดยปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งตับมีได้หลายวิธี ขึ้นกับระยะของโรค และสภาพร่างกายของผู้ป่วยตามแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งตับในประเทศไทย กรณีที่ผู้ป่วยมีก้อนเนื้องอกมะเร็งตับที่สามารถผ่าตัดได้ แพทย์จะพิจารณาการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด หากไม่สามารถผ่าตัดได้ ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยวิธีการทางรังสีร่วมรักษา Interventional radiology ซึ่งได้แก่ การรักษาด้วยการจี้ก้อนเนื้องอก Tumor ablation และการให้ยาเคมีบำบัดผ่านทางสายสวนหลอดเลือด Transarterial chemoembolization TACE นพ.สมราช อธิบายถึงการจี้ก้อนเนื้องอก Tumor ablation ว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมกับการรักษาก้อนเนื้องอกขนาดน้อยกว่า 3 เซนติเมตร เป็นก้อนที่อยู่ในตำแหน่งที่ทำการผ่าตัดได้ยาก โดยการจี้เนื้องอกสามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ การใช้เข็มให้ความร้อน ซึ่งกลไกการสร้างความร้อนของแต่ละเครื่องมือนั้นแตกต่างกันไป ได้แก่ เข็มที่ผลิตความร้อนจากคลื่นวิทยุ Radiofrequency ablation RFA หรือเข็มที่ผลิตความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟ Microwave ablation เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันการจี้ก้อนเนื้องอกด้วยความร้อนนับเป็นการรักษาที่ได้มาตรฐาน มีประสิทธิภาพสูง และอยู่ในแนวทางการรักษาก้อนเนื้องอกมะเร็งตับขนาดเล็กที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ อย่างไรก็ตาม การจี้ก้อนเนื้องอกโดยการใช้เข็มให้ความร้อนมีข้อจำกัดในก้อนเนื้องอกที่อยู่ชิดติดกับหลอดเลือดหรือท่อน้ำดี เพราะความร้อนที่ใช้สามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บแก่หลอดเลือดหรือท่อน้ำดีได้ รวมทั้งอาจเกิดการพัดพาความร้อนออกจากก้อนเนื้องอกจากเลือดที่ไหลผ่านในหลอดเลือด Heat-sink effect ทำให้ก้อนเนื้องอกบริเวณที่อยู่ใกล้กับหลอดเลือดนั้นไม่ได้รับความร้อนที่สูงพอ ส่งผลให้มีโอกาสเกิดการเหลือรอดของก้อนเนื้องอก Residual tumor หรือกลับเป็นซ้ำ Recurrent tumor ได้ ดังนั้น จึงมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่เพื่อลดข้อจำกัดจากการจี้ก้อนเนื้องอกด้วยความร้อน คือ การจี้ก้อนเนื้องอกด้วยกระแสไฟฟ้าความต่างศักย์สูง Irreversible electroporation IRE หรือ มีดนาโน Nanoknife® ซึ่งเป็นการจี้ก้อนเนื้องอกโดยใช้เข็มอย่างน้อย 2 เล่มสอดเข้าไปในตำแหน่งของเนื้องอก ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าความต่างศักย์สูงถึง 3000 โวลต์ ไหลผ่านเซลล์เนื้องอก ส่งผลให้เกิดรูขนาดเล็ก Nanopores จำนวนมากที่เยื่อหุ้มเซลล์แบบถาวร ซึ่งจะทำให้เกิดการตายแบบธรรมชาติ Apoptosis โดยไม่เกิดความร้อนออกมาทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง จึงทำให้สามารถใช้ในการรักษาก้อนเนื้องอกที่อยู่ใกล้กับหลอดเลือดหรือท่อน้ำดีได้อย่างปลอดภัย นพ.สมราช ชี้แจงว่า ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว การรักษาด้วยมีดนาโนนี้จึงถูกนำมาใช้ในการรักษามะเร็งตับอ่อนซึ่งเป็นมะเร็งที่ทำการรักษาได้ยากด้วยการผ่าตัด โดยเฉพาะก้อนมะเร็งที่โอบล้อมหลอดเลือดในช่องท้อง
การจี้ก้อนเนื้องอกโดยการใช้เข็มให้ความร้อน มีข้อจำกัดในก้อนเนื้องอกที่อยู่ชิดติดกับหลอดเลือดหรือท่อน้ำดี เพราะความร้อนที่ใช้สามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บแก่หลอดเลือดหรือท่อน้ำดีได้ รวมทั้งอาจเกิดการพัดพาความร้อนออกจากก้อนเนื้องอกจากเลือดที่ไหลผ่านในหลอดเลือด ทำให้ก้อนเนื้องอกบริเวณที่อยู่ใกล้กับหลอดเลือดนั้นไม่ได้รับความร้อนที่สูงพอ ส่งผลให้มีโอกาสเกิดการเหลือรอดของก้อนเนื้องอก หรือกลับเป็นซ้ำได้
รังสีวิทยา (รังสีวิทยา) - Radiology,ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Legal_50024
Legal
นายตฤณ แก่นหิรัญ ชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า การแถลงข่าวของนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ยังคงเป็นเจ้าของกิจการใน หจก. บุรีเจริญคอนสตรัคชั่นและปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินนั้น เป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงคืออะไร
null
นายตฤณ แก่นหิรัญ ชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า การแถลงข่าวของนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ยังคงเป็นเจ้าของกิจการใน หจก. บุรีเจริญคอนสตรัคชั่นและปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินนั้น เป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงคือ นายปกรณ์วุฒิ ทราบดีว่า นายศักดิ์สยาม ได้จำหน่ายจ่ายโอนหุ้นใน หจก. บุรีเจริญคอนสตรัคชั่นและขาดจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ หจก. ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ.61 ปรากฎตามหนังสือรับรองและสำเนาคำร้องขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน ของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ลงวันที่ 6 ก.พ. 61 ซึ่งเป็นเอกสารที่นายปกรณ์วุฒิ นำส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตนเอง นายตฤณ กล่าวต่อว่า ดังนั้น หนี้จำนวน 38 ล้านบาท ที่ปรากฏในเอกสารงบการเงินของ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ประจำปี 2562 นั้น ย่อมหมายถึงบุคคลที่มีชื่อเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่นในขณะนั้นซึ่งไม่ใช่นายศักดิ์สยาม ดังนั้น นายศักดิ์สยาม จึงไม่มีหน้าที่ ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในหนี้เงินจำนวนดังกล่าวต่อ ป.ป.ช. แต่อย่างใด เนื่องจากในขณะที่นายปกรณ์วุฒิ แถลงข่าวนั้น นายปกรณ์วุฒิได้ยอมรับข้อเท็จจริงว่า สิ่งที่ตนได้แถลงข่าวนั้นเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของตนเท่านั้น จึงเป็นการยืนยันในข้อเท็จจริงที่ไม่มีอยู่จริงและขัดแย้งต่อพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดีทั้งของในศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. ส่วนหนี้จำนวน 38 ล้านที่นายปกรณ์วุฒิ อ้างนั้น นายตฤน ระบุว่า เป็นการคลาดเคลื่อน ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง เพราะเกิดขึ้นในปี 62 ซึ่งนายศักดิ์สยามไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ซึ้งในขณะนั้นหุ้นส่วนผู้จัดการของ หจก. ดังกล่าวมี 2 คน ซึ่งตนไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ เพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ส่วนจะเป็นหนี้ของใคร ต้องไปสอบถามกันเอาเอง
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ,กฎหมายว่าด้วยคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_24472
Medical
กรุณาสรุปบทความ พยาธิใบไม้ในตับกับคนอีสาน
พยาธิใบไม้ตับกับคนอีสาน พยาธิใบไม้ตับกับคนอีสาน พอเอ่ยถึงข้าวเหนียว ลาบ ส้มตำ น้ำตก เชื่อว่าเกือบทุกคนจะนึก แซ่บ ขึ้นมาในใจ พร้อมกับฝันว่าถ้ามีของจริงลอยมาอยู่ตรงหน้าตอนนี้เลยก็จะดี ก็คงจะต้องยกนิ้วให้พี่น้องชาวอีสานของเรา ที่มีสูตรอาหารที่ประทับใจคนไทยทั้งชาติ และปัจจุบันคงจะต้องรวมถึงคนต่างชาติด้วย นอกจากรสชาติที่ถึงใจแล้ว ความสะดวกไม่ซับซ้อนในการทำก็นับเป็นเสน่ห์ที่สำคัญของอาหารอีสาน ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ แจ่วป่น น้ำพริก หมก ปิ้ง จ่อม ลาบ หรือก้อย ล้วนแต่แซ่บๆ และทำได้ง่ายทันใจทั้งนั้น แต่ข่าวเศร้าที่แทรกขึ้นมาจากความแซ่บก็คือ ในปี พศ2528 ชาวอีสานเป็นมะเร็งตับสูงเป็นอันดับ 1 ของมะเร็งทั้งหมด โดยมะเร็งตับของชาวอีสานนั้นส่วนใหญ่จะเป็นมะเร็งท่อน้ำดีที่เกิดร่วมกับการเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ คนอีสานเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับถึง 76 ล้านคน จากคนอีสานทั้งหมด 17 ล้าน ทำไมพยาธิใบไม้ตับรุกรานชาวอีสานไปเกือบครึ่งภาค คำตอบที่คนอีสานรู้ซึ้งดี คือ อาหาร อาหารอะไรที่ทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ อาหารที่ทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ ก็คือ อาหารดิบๆ หรือดิบๆ สุกๆ ที่ทำจากปลาน้ำจืดที่มีตัวอ่อนของพยาธิ มักพบในปลาที่มีเกล็ดหรือปลาตระกูลปลาตะเพียนซึ่งมีทั่วไปตามแหล่งน้ำต่างๆ จากการตรวจตัวอ่อนพยาธิใบไม้ตับ 100 ตัว จะพบปลาที่มีพยาธิอยู่ในจำนวนที่ต่างกัน คือ ปลาสูตร พบ 75 ตัว ปลาปก 65 ตัว ปลาแม่สะแด้ง 51 ตัว ปลาตะเพียนทราย 22 ตัว ปลาซิว 10 ตัว ปลากะมัง 8 ตัว ปลาหน้าหมอง 4 ตัว ปลาตะเพียนขาว 3 ตัว ชนิดอาหารอีสานที่เมื่อกินแล้วมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ คือ ก้อยปลา ปลาสด ปลาส้ม ปลาจ่อม หม่ำปลา ปลาหมกไฟ ปลาปิ้ง ลาบปลา เนื่องจากอาหารเหล่านี้ทำกินดิบๆ สดๆ หรือสุกๆ ดิบๆ ซึ่งวิธีการทำอาหารดังกล่าว ไม่สามารถที่จะฆ่าพยาธิได้ ดูตารางที่ 1 ถึงแม้ชาวอีสานอาจคิดว่าการปรุงอาหารด้วยการใช้ของเปรี้ยว เช่น น้ำมะนาว มะขาม หมกรังมดแดง การใช้ของเค็ม น้ำปลา เกลือ น้ำปลาร้า แล้วถือว่า สุก แต่สุกลักษณะนี้ฆ่าพยาธิไม่ได้ หรือเมื่อปรุงแล้ว สีของเนื้อปลาเปลี่ยนสีก็ถือว่า สุก หรือการกินอาหารเหล่านี้ร่วมกับ เหล้า ก็ทำให้อาหารสุกได้ จากข้อเท็จจริงปรากฏว่า การใช้วิธีปรุงหรือกินดังกล่าวไม่สามารถฆ่าพยาธิได้ วิธีที่จะทำให้ สุก นั้น ต้องใช้ความร้อนเท่านั้นจึงจะสามารถฆ่าพยาธิได้ อาการของโรคพยาธิใบไม้ตับ อาการผิดปกติที่เกิดจากพยาธิใบไม้ตับ ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่จะพบอาการของโรคหลังจากพยาธิเข้าสู่ร่างกายระยะหนึ่ง เมื่อเริ่มมีอาการจะตรวจพบไข่พยาธิในอุจจาระ อาการเริ่มแรกหรือเล็กน้อย เช่น ท้องอืด แน่น จุกเสียด รู้สึกอึดอัดไม่สบาย หรือออกร้อนบริเวณชายโครงขวา หรือบริเวณยอดอก ซึ่งชาวอีสานมักเรียกอาการนี้ว่า ร้อนท้อง อาการปานกลาง คือ เบื่ออาหาร ท้องอืดมาก หรืออุจจาระร่วง ตับโต และกดเจ็บบริเวณตับ บริเวณชายโครงขวา อาการรุนแรง มักมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง มีไข้ต่ำๆ หรือไข้สูงจนมีอาการสั่นร่วมด้วย มักเกิดจากอาการแทรกซ้อน ได้แก่ ท่อทางเดินน้ำดีอุดตันเนื่องจากมีพยาธิมาก เกิดการอักเสบติดเชื้อที่ท่อทางเดินน้ำดี หรือถุงน้ำดี หรือเกิดเป็นฝีในตับ หรือมะเร็งท่อทางเดินน้ำดี หรือมะเร็งตับ ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งท่อทางเดินน้ำดี มะเร็งตับ จะมีอาการเบื่ออาหาร ผอมลง น้ำหนักลด ตับโต ตัวเหลือง ตาเหลือง คันตามตัว มีไข้ หนาวสั่น และเสียชีวิตในที่สุด กว่าร้อยละ 80 ของผู้ป่วยโรคนี้จะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 6 เดือนถึง 1 ปีครึ่ง การรักษา คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เพิ่งค้นพบเมื่อปี พศ2523 นี้เองว่า ยาพราซิควอนเทล praziquantel สามารถรักษาโรคพยาธิใบไม้ตับได้ โดยให้กินครั้งเดียวในขนาด 3-4 เม็ด ผู้ใหญ่ สำหรับอัตราการรักษาหายนั้นประมาณร้อยละ 91-95 อย่างไรก็ตาม เมื่อรักษาหายแล้ว ถ้ายังไม่เลิกกินปลาดิบที่มีพยาธิใบไม้ตับ เช่น อาหารประเภทก้อยปลา ส้มปลา ก็จะทำให้กลับมาเป็นได้อีกภายใน 1-2 ปีเท่านั้น ดังนั้นการรักษาให้หายขาดนั้นมีวิธีเดียว คือ ต้อง เลิกกินปลาดิบเลิอกกินปลาดิบ พิชิตพยาธิใบไม้ตับ บัญญัติ 4 ประการของการป้องกันตัวเองจากโรคพยาธิใบไม้ตับ คือ 1 สู้กับตัวเองที่จะไม่กินปลาดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ เช่น ก้อยปลาดิบ ส้มปลาดิบ หม่ำปลาดิบ เป็นต้น ถ้าจะกินให้ปรุงโดยให้ผ่านความร้อนให้สุกเสียก่อน 2 ถ่ายอุจจาระลงในส้วม อย่าถ่ายลงในน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง หรือที่ชื้นแฉะอย่างเด็ดขาด 3 หากเคยกินปลาดิบ ควรไปตรวจอุจจาระหาไข่พยาธิตามสถานบริการสาธารณสุข หากมีพยาธิให้รักษาด้วยยา และเลิกกินอาหารดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ เสีย 4 ร่วมกันบอกต่อๆ แก่ญาติ พี่น้อง ผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อนฝูง ให้เลิกกินปลาดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงจากโรคพยาธิใบไม้ตับ ทำไมจึงเลิกกินปลาดิบไม่ได้ การที่ชาวอีสานเลิกกินอาหารประเภทดิบๆ หรือสุกๆ ดิบๆ ไม่ได้นั้นเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น ชาวอีสานเชื่อว่าอาหารดิบๆ หรือสุกๆ ดิบๆนั้น จะมีรสชาติอร่อยกว่าอาหารที่สุกแล้ว และเป็นความชอบที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษปู่ย่าตายาย นอกจากนั้น มีความเชื่อว่ากินแล้วแข็งแรง ดังนั้นการกิน อาหารดิบ จึงมักแสดงถึงความเป็นลูกผู้ชาย มักกินร่วมกับเหล้า ตามความเชื่อว่าเหล้าจะทำให้อาหารสุก และฆ่าพยาธิได้ ชาวอีสานมีลักษณะการดำรงชีวิตแบบง่ายๆ กำหนดให้การทำอาหารต้องเป็นอาหารที่หาง่าย ปรุงสะดวก รวดเร็ว ราคาไม่แพง ง่ายต่อการเก็บรักษา และการปรุงให้มีรสจัดทำให้กินข้าวได้มาก ไม่เปลืองกับข้าว เป็นการประหยัดอีกด้วย อย่างเช่นอาหารที่เป็นปลาสดๆ จึงมักกินกันที่ริมหนองหรือกลางนา ในที่ที่หาวัตถุดิบในการปรุงได้ง่าย ไม่ต้องหาวัสดุทำเชื้อเพลิง เตา กระทะ หรืออื่นๆ เพื่อมาหุงต้มให้สุก อาหารดิบๆ บางอย่าง เช่น ก้อยปลา ส้มปลา เป็นอาหารพิเศษ ถือว่าเป็นอาหารที่มีเกียรติจึงทำเพื่อเลี้ยงรับรองแขก หรือทำในโอกาสงานพิเศษต่างๆ เช่น ในงานบุญหรือหลังเกี่ยวข้าวเสร็จ หรือมีการเฉลิมฉลองในหมู่บ้าน มาร่วมกันรณรงค์อีสานไม่กินปลาดิบ ขณะนี้องค์กรพัฒนาเอกชน และหน่วยงานรัฐบาลได้ร่วมกันรณรงค์ให้ชาวอีสานตระหนักถึงภยันตรายของพยาธิใบไม้ตับ และเปลี่ยนพฤติกรรมจากการกินปลาดิบ เป็นการกินปลาที่สุก เพื่อป้องกันพยาธิใบไม้ตับ ลุงชาลี มะระแสง ผู้นำชาวบ้านอำเภอหัวตะพาน จังหวัดอุบลราชธานี ได้ให้ทรรศนะไว้ว่า ผมคิดว่าการรณรงค์พยาธิใบไม้ตับในอีสาน เป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่ต้องทำ เฉพาะปีนี้ที่บ้านผมตายเพราะโรคพยาธิใบไม้ตับถึง 18 คนแล้ว ผมคิดว่า เป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศ ถ้าจะมีการรณรงค์ในเรื่องนี้ สำหรับผมนั้น ผมยินดีที่จะร่วมรณรงค์และเผยแพร่ในเรื่องนี้เพราะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนจริง ทั้งยังเป็นปัญหาที่รุนแรง เป็นฆาตกรฆ่ามนุษย์ในอีสานมามากต่อมากแล้ว ลูกหลานที่เกิดขึ้นมาใหม่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็สืบเนื่องจากกินปลาดิบ แล้วก็เป็นโรคนี้อย่างไม่รู้จบสิ้น จึงขอเชิญท่านผู้อ่านทั้งชาวอีสานหรือชาวภาคอื่นๆ ร่วมกันรณรงค์ให้ชาวอีสาน และไม่อีสาน เลิกกินปลาดิบ เพื่อจะได้รอดพ้นจากโรคพยาธิใบไม้ตับ
ในปี พ.ศ.2528 ชาวอีสานเป็นมะเร็งตับสูงเป็นอันดับ 1 ของมะเร็งทั้งหมด โดยมะเร็งตับของชาวอีสานนั้นส่วนใหญ่จะเป็นมะเร็งท่อน้ำดีที่เกิดร่วมกับการเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ เนื่องจากอาหารที่ทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ คืออาหารดิบๆ หรือดิบๆ สุกๆ ที่ทำจากปลาน้ำจืดที่มีตัวอ่อนของพยาธิ ซึ่งมักพบในปลาที่มีเกล็ดหรือปลาตระกูลปลาตะเพียนซึ่งมีทั่วไปตามแหล่งน้ำต่างๆ ชนิดอาหารอีสานที่เมื่อกินแล้วมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ คือ ก้อยปลา ปลาสด ปลาส้ม ปลาจ่อม หม่ำปลา ปลาหมกไฟ ปลาปิ้ง ลาบปลา เนื่องจากอาหารเหล่านี้ทำกินดิบๆ สดๆ หรือสุกๆ ดิบๆ ซึ่งวิธีการทำอาหารดังกล่าว ไม่สามารถฆ่าพยาธิได้ แม้การปรุงอาหารด้วยการใช้ของเปรี้ยว เช่น น้ำมะนาว มะขาม หมกรังมดแดง การใช้ของเค็ม น้ำปลา เกลือ น้ำปลาร้า แล้วถือว่าสุก แต่สุกลักษณะนี้ฆ่าพยาธิไม่ได้ หรือเมื่อปรุงแล้ว สีของเนื้อปลาเปลี่ยนสีก็ถือว่า สุก หรือการกินอาหารเหล่านี้ร่วมกับเหล้ ก็ทำให้อาหารสุกได้ ทว่าจากข้อเท็จจริงปรากฏว่า การใช้วิธีปรุงหรือกินดังกล่าวไม่สามารถฆ่าพยาธิได้ วิธีที่จะทำให้สุกจะต้องใช้ความร้อนเท่านั้นจึงจะสามารถฆ่าพยาธิได้ อาการของโรคพยาธิใบไม้ตับไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่จะพบอาการของโรคหลังจากพยาธิเข้าสู่ร่างกายระยะหนึ่ง ช่วงที่ตรวจพบไข่พยาธิในอุจจาระ อาการเริ่มแรกหรือเล็กน้อย เช่น ท้องอืด แน่น จุกเสียด รู้สึกอึดอัดไม่สบาย หรือออกร้อนบริเวณชายโครงขวา หรือบริเวณยอดอก ซึ่งชาวอีสานมักเรียกอาการนี้ว่า ร้อนท้อง อาการปานกลาง คือ เบื่ออาหาร ท้องอืดมาก หรืออุจจาระร่วง ตับโต และกดเจ็บบริเวณตับ บริเวณชายโครงขวา อาการรุนแรง มักมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง มีไข้ต่ำๆ หรือไข้สูงจนมีอาการสั่นร่วมด้วย มักเกิดจากอาการแทรกซ้อน ได้แก่ ท่อทางเดินน้ำดีอุดตันเนื่องจากมีพยาธิมาก เกิดการอักเสบติดเชื้อที่ท่อทางเดินน้ำดี หรือถุงน้ำดี หรือเกิดเป็นฝีในตับ หรือมะเร็งท่อทางเดินน้ำดี หรือมะเร็งตับ ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งท่อทางเดินน้ำดี มะเร็งตับ จะมีอาการเบื่ออาหาร ผอมลง น้ำหนักลด ตับโต ตัวเหลือง ตาเหลือง คันตามตัว มีไข้ หนาวสั่น และเสียชีวิตในที่สุด การรักษา ยาพราซิควอนเทล (praziquantel) สามารถรักษาโรคพยาธิใบไม้ตับได้ โดยให้กินครั้งเดียวในขนาด 3-4 เม็ด ผู้ใหญ่ สำหรับอัตราการรักษาหายนั้นประมาณร้อยละ 91-95 แต่เมื่อรักษาหายแล้ว หากยังไม่เลิกกินปลาดิบที่มีพยาธิใบไม้ตับ ก็จะทำให้กลับมาเป็นได้อีกภายใน 1-2 ปี การรักษาให้หายขาดนั้นมีวิธีเดียว คือ ต้อง เลิกกินปลาดิบเลิอกกินปลาดิบ โดยมีบัญญัติ 4 ประการของการป้องกันตัวเองจากโรคพยาธิใบไม้ตับ คือ 1) สู้กับตัวเองที่จะไม่กินปลาดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ ถ้าจะกินให้ปรุงโดยให้ผ่านความร้อนให้สุกเสียก่อน 2) ถ่ายอุจจาระลงในส้วม อย่าถ่ายลงในน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง หรือที่ชื้นแฉะอย่างเด็ดขาด 3) หากเคยกินปลาดิบ ควรไปตรวจอุจจาระหาไข่พยาธิตามสถานบริการสาธารณสุข หากมีพยาธิให้รักษาด้วยยา และเลิกกินอาหารดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ 4) บอกต่อๆ แก่ญาติ พี่น้อง ผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อนฝูง ให้เลิกกินปลาดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงโรคพยาธิใบไม้ตับ
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_193
Finance
ทางเลือกเพิ่มความมั่งคั่งในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น มีอะไรบ้าง
null
ทางเลือกเพิ่มความมั่งคั่งในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น สำหรับคนที่มีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาท หรือได้ดอกเบี้ยเงินฝากถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี มีทางเลือกในการนำเงินไปลงทุนเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งในแบบที่เสี่ยงต่ำ ลงทุนง่าย เข้าใจง่าย และพอจะรู้ผลตอบแทนที่จะได้รับก่อนลงทุนด้วย ขอแนะนำ - พันธบัตร/หุ้นกู้ ซึ่งเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ที่กำหนดระยะเวลาลงทุนแน่นอน โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย และมีโอกาสได้ดอกเบี้ยสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล รุ่นอายุ 5 ปี จ่ายดอกเบี้ยเฉลี่ย 3% ต่อปี โดยจะจ่ายดอกเบี้ยให้ทุก 3 เดือน ซึ่งดอกเบี้ยที่ได้รับจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% จะเห็นว่าดอกเบี้ยที่ได้รับสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากค่อนข้างมาก แถมจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ลงทุนถี่กว่าเงินฝาก และไม่มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย เนื่องจากเป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลจึงมีความมั่นคงและความน่าเชื่อถือสูงมาก แต่หากเป็นหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน ให้พิจารณาเลือกหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ BBB- ขึ้นไปซึ่งเป็นกลุ่มที่ลงทุนได้ และมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ ใครที่มีเงินก้อนและยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินในเร็วๆ นี้ ลองมองหาพันธบัตรหรือหุ้นกู้รุ่นอายุที่เหมาะกับระยะเวลาที่สามารถลงทุนได้จนครบกำหนด ก็จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนและความมั่งคั่งได้ หากใครสนใจพันธบัตรหรือหุ้นกู้ แต่หาซื้อยากหรือจองซื้อไม่ทัน ก็ยังมีทางเลือกในการลงทุนพันธบัตรหรือหุ้นกู้ผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือเก็บออมผ่านประกันชีวิตได้ - กองทุนตราสารหนี้ / กองทุน Term Fund เป็นการลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุนส่วนใหญ่เป็นเงินฝากและตราสารหนี้ในประเทศ โดยเฉพาะตราสารหนี้ของภาครัฐ อย่างตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรรัฐบาล ที่มีความน่าเชื่อถือสูงมาก รวมถึงหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีความน่าเชื่อถือในระดับที่ลงทุนได้ - ประกันชีวิต เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเก็บออมเงินที่ได้รับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากและได้ความคุ้มครองชีวิตด้วยในเวลาเดียวกัน โดยประกันชีวิตแบบที่เน้นเก็บออมเงินเพื่อให้มีเงินก้อนไว้ใช้ในอนาคต เช่น ประกันชีวิตเพื่อสะสมทรัพย์ หรือประกันชีวิตควบการลงทุน (เน้นเลือกการลงทุนแบบเสี่ยงต่ำ)
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_23713
Medical
สาร Capsaicin ที่พบในพริกขี้หนูมีประโยชน์ทางการแพทย์อย่างไร
null
สาร Capsaicin เป็นสารเคมีที่พบในพริกขี้หนู มีหน้าที่ทำให้พริกมีรสเผ็ดร้อน สารนี้มีประโยชน์ทางการแพทย์หลายประการ ดังนี้ 1. แก้ปวด Capsaicin สามารถบรรเทาอาการปวดได้ โดยเฉพาะอาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดข้อ ปวดหลัง ปวดเส้นประสาท สารนี้ทำงานโดยการยับยั้งสารสื่อประสาทที่ส่งสัญญาณความรู้สึกปวดไปยังสมอง 2. ลดการอักเสบ Capsaicin มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ สามารถลดอาการบวมแดงและอักเสบที่เกิดจากโรคข้ออักเสบ โรคสะเก็ดเงิน และโรคอื่น ๆ 3. รักษาโรคผิวหนัง Capsaicin ใช้รักษาโรคผิวหนังบางชนิด เช่น กลาก เริม งูสวัด สารนี้ช่วยลดอาการคันและระคายเคือง 4. กระตุ้นระบบย่อยอาหาร Capsaicin ช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยอาหาร เพิ่มการบีบตัวของลำไส้ และบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย 5. ต้านมะเร็ง งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่า Capsaicin อาจช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ สารนี้ทำงานโดยการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง 6. ลดน้ำหนัก Capsaicin อาจช่วยลดน้ำหนักได้ โดยการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและลดความอยากอาหาร อย่างไรก็ตาม การใช้ Capsaicin ทางการแพทย์ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ข้อควรระวัง Capsaicin อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง ตา และเยื่อเมือก ไม่ควรใช้ Capsaicin กับเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ Capsaicin ตัวอย่างการใช้ Capsaicin ทางการแพทย์ ยาครีม Capsaicin ใช้ทาเพื่อบรรเทาอาการปวดข้อ ปวดหลัง ปวดเส้นประสาท ยาแผ่นแปะ Capsaicin ใช้บรรเทาอาการปวดเรื้อรัง ยาสเปรย์ Capsaicin ใช้รักษาโรคผิวหนัง เช่น กลาก เริม งูสวัด ยาแคปซูล Capsaicin ใช้บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย สรุป สาร Capsaicin ที่พบในพริกขี้หนูมีประโยชน์ทางการแพทย์หลายประการ สามารถใช้บรรเทาอาการปวด ลดการอักเสบ รักษาโรคผิวหนัง กระตุ้นระบบย่อยอาหาร ต้านมะเร็ง และลดน้ำหนัก
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_23344
Medical
อาการคันเกิดขึ้นได้อย่างไร
null
คันเป็นความรู้สึกระคายเคืองที่ผิวหนัง ทำให้อยากเกา ความรู้สึกนี้เกิดจากการกระตุ้นปลายประสาทที่ส่วนต่อระหว่างชั้นนอกของผิวหนังกับผิวหนัง ที่ผิวหนังเองและส่วนเยื่อเมือกบริเวณขาหนีบ ใบหู และรูจมูก เป็นบริเวณที่รู้สึกคันมากกว่าบริเวณอื่นๆกลไกที่ทำให้เกิดอาการคันมีหลายอย่าง คือ 1. มีสิ่งกระตุ้นที่ประสาทส่วนปลายหรือส่วนกลาง การกระตุ้นที่ประสาทส่วนปลายนั้น เกิดได้จากสิ่งกระตุ้นทั้งภายนอกหรือภายในร่างกาย สิ่งกระตุ้นภายนอกร่างกายที่สำคัญๆก็มีอยู่ 4 ชนิด ได้แก่ - ตัวกระตุ้นทางกายภาพ เช่น แรงกดที่น้อยๆ หรือความดันลบ และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิหรือความชื้น - ตัวกระตุ้นทางไฟฟ้า มักเป็นสิ่งกระตุ้นที่ต่ำกว่าหรือน้อยกว่าที่จะทำให้รู้สึกเจ็บ - ตัวกระตุ้นทางเคมี เช่น ฮิสตามีน โปรตีเนส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ย่อยโปรตีนชนิดต่างๆ รวมทั้งพวกกรดหรือด่าง - พวกสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เช่น ตัวไรจากนกหรือไก่ หิด เหา สารสกัดจากพืช ยางต้นไม้ ขนสัตว์ชนิดต่างๆ หนามกระบองเพชร และใยแก้วที่ใช้ในอุตสาหกรรมบางชนิด เป็นต้น สิ่งกระตุ้นภายในร่างกายที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาโดยตรงต่อปลายประสาทที่ผิวหนัง ได้แก่ ฮิสตามีน เอนไซม์ที่ย่อยโปรตีน หรือยาบางชนิด วิตามินบีหนึ่ง และการที่อวัยวะขาดเลือดไปเลี้ยง นอกจากนี้ยังมีปฏิกิริยาที่หลอดเลือด โดยเฉพาะการขยายตัวของหลอดเลือดจากการอักเสบ หรืออาการคันที่ผิวหนังอันเนื่องมาจากโรคผิวหนังสิ่งกระตุ้นจากสมอง ได้แก่ ความกังวล ความตื่นเต้นตกใจ ความเครียด หรือการใช้ยาจำพวกมอร์ฟีน โคเคน เป็นต้น 2. มีสิ่งกระตุ้นที่ปลายประสาทรับความรู้สึกคันบริเวณที่ประสาทเส้นนี้หล่ออยู่ และทำให้อยากเกาขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่อดไม่ได้ ทนไม่ไหว ต้องเกา เมื่อได้เกาแล้วจะรู้สึกสบายหายคัน หากไม่ให้เกาจะมีอาการจมูกขยุกขยิก ริมฝีปากเม้ม ขาแขนถูกัน เป็นต้น
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,ผิวหนัง Dermatology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21103
Medical
ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีออกฤทธิ์อย่างไร ?
ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี ถาม ประสพสระบุรี ปัจจุบันมียารักษาโรคเอดส์หรือไม่ และยาที่ผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์กินอยู่นั้น คือยาอะไร ตอบ ภกดรวิรัตน์ ทองรอด โรคเอดส์เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งมีสาเหตุจากเชื้อไวรัสเอชไอวี HIV ซึ่งมีชื่อเต็มๆ ว่า human immunodeficiency virus หรือแปลความหมายเป็นไทยว่า ไวรัสที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์บกพร่องผิดปกติไม่สมบูรณ์ ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้กว่า 40 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 1 ของประชากรโลก ประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 1 หมื่นรายต่อปี และเสียชีวิตจากโรคนี้ปีละประมาณ 5000 ราย ปัจจุบัน โรคเอดส์เป็นโรคที่ยังไม่มียารักษา ส่วนยาที่กินกันนั้นเป็นเพียงแค่ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีเท่านั้น ยาที่ออกฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ ยาที่ยับยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase และยาที่ยับยั้งเอนไซม์โพรเทส ตัวอย่างยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase ได้แก่ Stavudine d4T Didanosine ddI Lamivudine 3TC Abacavir ABC Tenofovir TDF Nevirapine NVP Efavirenz EFV เป็นต้น ตัวอย่างยาอีกกลุ่มหนึ่งที่มีฤทธิ์ต่อเอนไซม์โพรเทส ได้แก่ Lopinavir LPV Ritonavir RTV Saquinavir SQV Indinavir IDV เป็นต้น นอกจากยาทั้ง 2 กลุ่มนี้แล้ว ปัจจุบันยังมียาใหม่อีกชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเกาะติดของไวรัสที่เยื่อหุ้มเซลล์ของทีลิมโฟไซต์คือ ยา Enfuvirtide ซึ่งมีในรูปแบบของยาฉีด และจะใช้เป็นตัวเลือกสุดท้าย กรณีที่มีการดื้อยาชนิดอื่นๆ แล้วเท่านั้น เนื่องจากยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีมีผลลดจำนวนเชื้อไวรัสให้น้อยลง พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 มากขึ้น ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น โอกาสที่จะติดเชื้อโรคฉวยโอกาสก็จะลดลง และสามารถดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ ปัจจุบันยังไม่มียาที่ทำให้หายขาด ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีที่เริ่มใช้ยาจึงต้องใช้ยาติดต่อกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อยับยั้งเชื้อ ควบคุมไม่ให้เชื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้น และจะต้องใช้ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีอย่างน้อย 3 ชนิด เพื่อให้เกิดผลดี ทั้งยังต้องกินยาตรงเวลาสม่ำเสมอทุกวัน มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาการดื้อยาได้ง่าย ดังนั้น ก่อนเริ่มใช้ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี ผู้ป่วยจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการใช้ยากลุ่มนี้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นวิธีใช้ จำนวนและขนาดของเม็ดยา เวลาที่ใช้ยา ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ และมีความพร้อมในการปฏิบัติตามการใช้ยาอย่างถูกต้อง ตรงเวลา และสม่ำเสมอ พร้อมทั้งจะต้องไปพบแพทย์ตามนัด เพื่อให้ยาได้ผลดี ประหยัด และปลอดภัยต่อผู้ติดเชื้อ ดังนี้ 1 การเริ่มใช้ยาต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด 2 ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ต้องมีค่าระดับเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำกว่า 200 หรือเมื่อผู้ป่วยเริ่มมีอาการอื่นๆ ผิดปกติ อันใดอันหนึ่งของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส 3 ผู้ใช้ยาควรมีความรู้และความเข้าใจเรื่องการใช้ยากลุ่มนี้อย่างชัดเจน และมีความพร้อมปฏิบัติตามการใช้ยาอย่างถูกต้อง ตรงเวลา สม่ำเสมอ และต่อเนื่อง 4 ต้องใช้ยาอย่างน้อย 3 ชนิดร่วมกัน ตามคำแนะนำของแพทย์ 5 ผู้ใช้ยาควรมีความรู้ถึงผลดีของการรักษา และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อเฝ้าระวัง สังเกต และดูแลตนเองขณะใช้ยา หรือไปพบแพทย์เมื่ออาการรุนแรงมากขึ้น จากการศึกษาพบว่า ถ้าผู้ป่วยใช้ยากลุ่มนี้ไม่ตรงตามเวลาตั้งแต่ร้อยละ 5 ขึ้นไป ก็อาจทำให้เกิดการดื้อยาขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรใช้ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีอย่างสม่ำเสมอและตรงเวลา เพื่อคงประสิทธิภาพที่ดีของยาต่อไป ไม่เกิดการดื้อยา ตัวอย่างเช่น การใช้ยาวันละ 2 ครั้ง โดยให้ห่างกัน 12 ชั่วโมง ถ้าใช้ยามื้อเช้ามื้อแรกเวลา 0800 น แปดโมงเช้า มื้อที่ 2 ก็ควรใช้เวลา 2000 น 2 ทุ่ม เป็นต้น อาการข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ไข้สูง ผื่นลมพิษ เยื่อบุตาอักเสบ เยื่อบุปากอักเสบ หายใจขัดหรือหอบ เป็นต้น ซึ่งยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีที่พบอาการข้างเคียงได้บ่อยที่สุดคือ เนวิราพิน Nevirapine NVP ซึ่งแก้ไขด้วยการเริ่มใช้ยาชนิดนี้ขนาดครึ่งหนึ่งของขนาดปกติเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ถ้าไม่เกิดปัญหาใดๆ ก็จะเพิ่มขนาดของยาให้เป็นขนาดปกติ นอกจากนี้ อาจพบอาการข้างเคียงอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด นอนไม่หลับ ฝันร้าย เป็นต้น อาการเหล่านี้มักเป็นในช่วงแรกของการใช้ยา และอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2 เดือน แต่ถ้ามีอาการซีด ตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ ชาปลายมือปลายเท้า นิ่วในไต น้ำตาลในเลือดสูง ไขมันกระจายตัวผิดปกติ ลงพุง ไขมันพอกที่ต้นคอ หน้าอก แต่หน้าตอบและแขนขาลีบ โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อที่เริ่มยาต้านฯ เมื่อ CD4 ต่ำมาก ก็ควรกลับไปปรึกษาแพทย์ ป้ายคำ ถามตอบปัญหาสุขภาพ คุยสุขภาพ ถามตอบปัญหาสุขภาพ ภกดรวิรัตน์ ทองรอด โรคเรื้อรัง รักษาไม่ได้ หรือ ไม่ได้รักษา เมื่อได้ชื่อว่าเป็น หมอ อาจมีหลายคนรู้สึกว่าเรามีหน้าที่รักษาผู้ป่วยให้หายจากภาวะหรือโรคที่กำลังเป็นอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีหลายครั้งที่เราไม่สามารถจะแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วให้หายได้ ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น 1 เป็นมานานแล้วหรือยัง-หากเป็นภาวะที่เป็นมานานแล้ว ย่อมทำให้เกิดความเสียหายไม่มากก็น้อย ทำให้ไม่สามารถกลับเป็นเหมือนเดิมได้ เช่น การเปรียบเทียบ acute glomerulonephritis กับ chronic glomerulonephritis เรามักจะพบว่ากรณีของ chronic glomerulonephritis นั้น สุดท้ายไม่สามารถแก้ไขภาวะการทำงานของไตให้กลับมาเหมือนเดิมได้ 2 เป็นรุนแรงหรือไม่-หากเป็นรุนแรงแม้จะเป็นมาไม่นาน ก็ทำให้เกิดความสูญเสียถาวรได้ เช่น acute liver failure หากเป็นไม่รุนแรง ผู้ป่วยจะกลับมามีหน้าที่การทำงานของตับเป็นปกติ แต่หากเป็นรุนแรงมาก ก็อาจลงท้ายไปเป็น ตับแข็งได้เลย หรือแม้แต่ต้องทำ liver transplant ก็เป็นได้ 3 Symptom VS concern ของผู้ป่วย-โรคใดมีอาการชัดเจนและผู้ป่วยสังเกตตนเองก็จะทำให้มาพบแพทย์เร็ว ในขณะที่ยังไม่เกิดความเสียหายมาก ทั้งนี้จะเห็นว่าทั้ง 3 ปัจจัยนี้มีความสอดคล้องกันพอสมควร กล่าวคือ โรคใดที่มีความรุนแรงมาก หมายถึงการเกิดความผิดปกติในร่างกายแบบฉับพลันทันที ร่างกายจะไม่มีเวลาในการปรับตัว ทำให้เกิดอาการมาก อาการรุนแรง และทำให้มาพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ ยกตัวอย่างได้ดังนี้ สมมติว่ามี สาร X ซึ่งเป็นสารที่มีเป็นพิษต่อไต อยู่ปริมาณ 1000 หน่วย กรณีที่ 1 ได้รับสาร X 1000 หน่วย เข้าทาง IV ทันที กรณีที่ 2 ได้รับสาร X 100 หน่วย 10 doses กรณีที่ 3 ได้รับสาร X 10 หน่วย 100 doses ในกรณีแรก ผู้ป่วยอาจมีปัญหาเรื่องปัสสาวะออกน้อย ตัวบวม เหนื่อยหอบ ตั้งแต่ 1-2 วันแรกหลังได้รับสาร ในกรณีสุดท้ายผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าได้รับสาร X แล้ว และอาจตรวจพบว่ามีความผิดปกติโดยบังเอิญ สามารถอธิบายเป็น diagram ได้ดังภาพ ในทางกลับกัน ร่างกายของมนุษย์ก็มีความสามารถที่จะปรับตัวในระดับหนึ่งขึ้นกับว่าเป็นความผิดปกติที่ใด มีการทำงานซับซ้อนหรือไม่ มีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองหรือไม่ เช่น ถ้าบาดเจ็บที่ผิวหนังอย่างรุนแรง ภายหลังก็จะมีผิวหนังขึ้นมาใหม่ อาจจะไม่ได้มีลักษณะสมบูรณ์เหมือนเดิม สีผิดไปบ้าง มีแผลเป็น มีความรู้สึกไวกว่าปกติแต่เนื่องจากไม่ได้มีหน้าที่ซับซ้อนใดๆ จึงไม่ทำให้เกิดความพิการ มากนัก เปรียบเทียบกับภาวะอัมพาต แม้จะเป็นภาวะที่เป็นฉับพลัน มักมีอาการนานไม่เกิน 1-2 วัน แต่เป็นความผิดปกติที่อวัยวะที่ทำงานซับซ้อนและไม่ สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ก็อาจนำมาสู่ความพิการได้ บางครั้งก็เป็นเหตุสุดวิสัย ในการที่จะตรวจหาผู้ป่วยตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เนื่องเพราะผู้ป่วยส่วนมากยังมีอาการไม่มาก และเมื่อตรวจพบแล้ว ก็อาจไม่สามารถทำให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติได้ เนื่องจากเกิด ความเสื่อมถาวรไปแล้ว นำมาสู่ภาวะเจ็บป่วยเรือรัง ความตั้งใจแรกของคนที่เป็นแพทย์คือ ต้องการดูแลให้คนไข้หายดี คนที่เป็นคนไข้ก็ ต้องการหายจากโรค แต่ความเป็นจริงก็คือ มีหลายภาวะที่แพทย์ไม่สามารถรักษาให้หายได้ เช่น ไตวาย ตับแข็ง หัวใจวายเรื้อรัง อัมพาต ปอดอุดกั้นเรื้อรัง เบาหวาน มะเร็ง บางโรคเราอาจช่วยแค่ชะลอไม่ให้เป็นเพิ่มขึ้นเร็วมากนัก หรือบางโรคเราอาจทำไม่ได้แม้แต่ชะลอ บางภาวะรู้ทั้งรู้ว่า เกิดจากอะไร จะต้องรักษาอย่างไร หลังจากรักษาเต็มที่แล้ว ก็อาจไม่สามารถช่วยชีวิตของคนไข้เอาไว้ได้ หลายครั้งจึงมีเหตุการณ์ที่ผู้ป่วยคนหนึ่ง ทราบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็ง แล้วพยายามหาหมอหลายแห่งเพื่อยืนยันว่าเป็นจริงหรือไม่ และมาพร้อมกับคำถามที่ว่า แล้วมันจะหายไหมครับ หมอ คำตอบของเราคือ ไม่หาย ซึ่งก็เป็นความจริง และเป็นความจริงที่ทำให้หมอบางคนรู้สึกหดหู่ และไม่อยากที่จะเผชิญกับคนไข้ที่อยู่ในภาวะดังกล่าว เนื่องเพราะรู้สึกว่าเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะชอบดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้หรือไม่ เราก็จะพบว่าโรคส่วนใหญ่ก็รักษาไม่หาย คำว่า ไม่หาย เฉยๆ ออกจะสั้นเกินไป สิ่งแรกที่จะต้องกระทำในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ คือการปรับ attitude ของเราเสียก่อน เราต้องยอมรับให้ได้เสียก่อนว่า เราไม่สามารถรักษาทุกโรคได้ และแม้จะทำเต็มที่แล้วก็อาจไม่จำเป็นต้องได้รับผลตามที่คาดหวัง ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ก็คือ ทำให้ดีที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่ต้องคาดหวังผลที่จะเกิดขึ้นมากเกินไปนัก ดังที่ว่า สุขภาพ ภาพแห่งความสุข เราควรเข้าใจว่า เราเป็น ผู้ดูแลสุขภาพ ดังนั้น เราจึงมีหน้าที่ดูแลให้ คนมี ภาพแห่งความสุข ดังนั้นแล้วแม้ว่าจะมีภาวะบางอย่างที่เราจะไม่มีทางรักษาได้ แต่เราก็ยังมีหน้าที่ ที่จะทำให้คนผู้หนึ่งยังมีภาพแห่งความสุขที่ดี แม้ว่า คนไข้เป็น โรคมะเร็งระยะสุดท้าย เราก็ยังมีหน้าที่ ที่จะทำให้ คนไข้คนนั้นมีความสุขอยู่ได้ ด้วยการดูแลทั่วไป ด้วยการบรรเทาอาการที่ผู้ป่วยมี ด้วยการให้ความใส่ใจ ด้วยการให้เกียรติ ด้วยการแสดงความเป็นห่วง ด้วยการให้กำลังใจ แม้ว่า โรคทางกายจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยา หรือการผ่าตัด แต่โชคดี ที่ความทุกข์ทางใจรักษาได้เสมอ เพียงแค่แพทย์ให้ความใส่ใจที่จะดูแลเท่านั้น เราจะได้ ไม่เป็นหมอที่เวลามองดูคนไข้ มอง เห็นแต่ ไข้ ไม่เห็น คน สมดุลของชีวิต หลายครั้งเราจะได้ดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่ รักษาไม่หาย และผู้ป่วยต้องอยู่กับภาวะนี้ไปตลอดชีวิต เช่น เบาหวาน โรคไต โรคตับ และผู้ป่วยมักจะสนใจแค่ว่า รักษาหายหรือไม่ แต่ความเป็นจริงก็คือ - ถ้ามีใครคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ได้ถึง 200 ปี คิดว่า การทำงานของตับ หัวใจ ไต ปอด จะเป็นอย่างไร จะยังดีอยู่หรือไม่ - การที่ไตวาย หรือ ตับแข็ง ไม่ใช่แค่ว่า เป็นหรือไม่เป็น คือ ไม่ใช่สีขาวกับสีดำ แต่ละคนมีความเสื่อมที่ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น ไตวาย ไม่ได้ แปลว่า การทำงานของไต เท่ากับ 0 - ดังนั้น แพทย์และผู้ป่วย ควรทำความเข้าใจว่าการเสื่อมที่เกิดขึ้น เป็นความเสื่อมที่เกิดขึ้นเร็วกว่าอวัยวะอื่นๆ ในเวลาอันควรเท่านั้น สุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องเป็นไตเสื่อม - ปกติแล้ว อวัยวะต่างๆ มีหน้าที่ไว้เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย เช่นกรณีของไต ก็มีหน้าที่รักษาสมดุลน้ำและเกลือแร่ หากการทำงานของไตปกติ คนก็จะไม่มีอาการบวมน้ำ และจะขับน้ำส่วนเกินออก แต่ก็ไม่ได้ไม่มีข้อจำกัด ดังเช่นที่เป็นข่าวว่ามี คน ดื่มน้ำมากจาก hyponatremia จนชักและเสียชีวิต ทั้งที่การทำงานของไตก็เป็นปกติ ดังนั้นแล้วอาการ ผิดปกติจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เสียสมดุล เท่านั้น - ในผู้ป่วยไตเสื่อม มีแนวโน้มที่จะเสียสมดุลได้มากกว่าคนที่ไตปกติ ดังนั้นหากคนไตเสื่อมคนหนึ่ง รู้จักที่จะปฏิบัติตัวให้ดี ว่าคนที่เป็นโรคไตควรปฏิบัติ ตนอย่างไร ทานอย่างไร อยู่อย่างไร คือสามารถเข้าใจ สมดุลใหม่ ของตนเองได้ ก็จะสามารถมีชีวิตใกล้เคียงปกติได้ เช่น ไตวาย มีแนวโน้มที่จะเกิดน้ำท่วมปอด แต่ผู้ป่วยไม่ได้ทานน้ำมากเกิน ชั่งน้ำหนัก monitor ทุกวัน ตวงปัสสาวะวัดเป็น ซีซี นับจำนวนน้ำที่ทานแต่ละวัน ไม่ทานเค็มรักษาระดับไม่ให้น้ำเข้ามากกว่าน้ำออก ก็จะไม่เกิดภาวะน้ำท่วมปอด คนไข้มักจะปล่อยให้การดูแลรักษาเป็นหน้าที่ ของแพทย์และยา แต่ความเป็นจริงก็คือ - มีหลายภาวะที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยยา แต่เป็นการปฏิบัติตัว เช่น ภาวะ hyperkalemia ในผู้ป่วยไตวาย ที่มักเกิดจาก potassium intake จากผลไม้มากเกินไป แม้จะมียาขับ potassium แต่ถ้าไม่หยุดทานผลไม้ให้น้อยลง ก็ไม่มีทางหายจากภาวะดังกล่าว ในทางกลับกัน ถ้าไม่ได้ทานผลไม้มาก ผู้ป่วยอาจไม่ต้องทานยาขับ potassium เลยก็เป็นได้ ดังนั้น เป็นแพทย์ ไม่ได้แปลว่าเป็นหมอที่ให้ยา และ ไม่ได้ให้ยา ไม่ได้แปลว่า ไม่ได้รักษา - ถ้าผู้ป่วยมีอายุยืนต่อจากนี้นานถึง 20 ปี แล้วมาพบแพทย์สม่ำเสมอ สมมติว่าปีละ 4-6 ครั้ง ครั้งหนึ่งพบแพทย์นาน ก็ประมาณ 15-30 นาที จากพบว่า รวมเวลา 20 ปี จะพบแพทย์ประมาณเท่ากับเวลา 1-3 วัน หมายความว่า ผู้ป่วยและญาติต้องดูแลตนเองเป็นเวลา 19 ปี กับอีก 362 วัน - ดังนั้น ผู้ป่วยทุกคน ควรมีความรู้ในภาวะที่ตนเองเป็น ให้มากกว่าหรือเท่ากับแพทย์ผู้ดูแล เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ภาวะที่ incurable นี้ กลับเป็นภาวะที่ท้าทาย มีรายละเอียดในการรักษาและต้องการคำแนะนำจากแพทย์มากกว่ากลุ่มโรคที่รักษาได้เสียอีก มีเรื่องเล่าจากสถานช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา ซึ่งทำหน้าที่คอยให้คำแนะนำช่วยเหลือว่าควรจะใช้ ชีวิตอย่างไรหากมองไม่เห็น หลังจากได้ให้คำแนะนำคนไข้ที่พิการทางสายตาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว มีคนไข้คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า เลิกเรียกผมว่าคนไข้เสียที ผมไม่ใช่คนไข้ตาบอด ผมเป็นแค่คนที่มองไม่เห็นแค่นั้นŽ ดังนั้นแม้ว่าเราอาจจะต้องดูแลผู้ป่วยซึ่งป่วย เป็นภาวะที่เราไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เราอาจจะปลดปล่อย คำว่า ไข้ ออกจากคำว่า คน ได้สำเร็จก็เป็นได้ ใครคือคนที่มีความสุข แม้ว่าเราจะเข้าใจถึง หลักการ ที่ได้กล่าวไปทั้งหมดในข้างต้นแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลคนไข้จริงๆ แล้ว จะเป็นไปตามที่คาดหวัง เราอาจจะต้องพบกับผู้ป่วยที่สิ้นหวังจนไม่รับ ฟังอะไร ไม่ทำตามข้อแนะนำ เราอาจจะต้องพบกับมีข้อจำกัดในการรับการรักษาที่ดีที่สุดทั้งในด้านการเงิน ในด้านครอบครัว ฯลฯ เราอาจจะพบกับภาวะที่ไม่สามารถหาสมดุลได้เนื่องเพราะเป็นโรคในระยะท้าย เมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว เราพึงต้องเข้าใจว่า การรักษาบางอย่างที่เราคิดว่าดีที่สุด อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยรายนั้น เช่น มีผู้ป่วยตับแข็งระยะสุดท้ายคนหนึ่งมีอาการแน่น ท้องจากภาวะน้ำในท้องมาก จึงได้ไปเจาะระบายน้ำในท้องออกที่ clinic และได้ทานยาขับปัสสาวะขนาดสูง เพื่อลดบวม หลังจากนั้นได้มารพตามแพทย์นัด แพทย์พบว่ามีค่าการทำงานไตที่แย่ลง ตรวจแล้วพบว่าน่าจะเกิดเนื่องมาจากการลดปริมาณน้ำออก จึงแนะนำว่าไม่ให้ไปเจาะระบายอีก และลดปริมาณของยาขับปัสสาวะลง หลังการนัดสองสัปดาห์ ผู้ป่วยมาตามนัดพบว่า ค่าการทำงานของไตกลับไปเป็นปกติ แต่น้ำในท้องกลับเพิ่มปริมาณมากเป็นเหมือนก่อนจะเจาะท้อง ผู้ป่วยบ่นว่ามีอาการแน่นท้อง แต่แพทย์ยืนยันที่จะให้ผู้ป่วยทานยาในขนาดเดิมและไม่ให้ไปเจาะท้องอีก พร้อมทั้งให้คำแนะนำ และบอกเหตุผลตามหลักการ หลังนัดมาอีก 1 เดือน พบว่า ผู้ป่วยไปรับยาขับปัสสาวะจาก clinic มาทานอีก และพบว่า อาการปวดท้องดีขึ้น แต่ค่าการทำงานไตก็กลับแย่ลง ครั้งนั้น แพทย์คนนั้นไม่ได้ห้ามไม่ไห้ทานยาขับปัสสาวะอีก แต่แนะนำให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงข้อดีข้อเสียอีกครั้ง พร้อมทั้งแนะนำวิธีปรับยาเองอย่างปลอดภัยให้กับผู้ป่วย โดยไม่ลืมที่จะยิ้มให้และให้กำลังใจ หลังจากนั้น ผู้ป่วยก็ยังมาตามนัด ไม่แน่นท้อง โดยที่มีค่าไตผิดปกติ ในระดับเท่าๆ เดิม แลกกับ รอยยิ้ม ชัยภัทร ชุณหรัศมิ์ พบ ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ยาที่ออกฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ ยาที่ยับยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase และยาที่ยับยั้งเอนไซม์โพรเทส ตัวอย่างยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase ได้แก่ Stavudine d4T Didanosine ddI Lamivudine 3TC Abacavir ABC Tenofovir TDF Nevirapine NVP Efavirenz EFV เป็นต้น ตัวอย่างยาอีกกลุ่มหนึ่งที่มีฤทธิ์ต่อเอนไซม์โพรเทส ได้แก่ Lopinavir LPV Ritonavir RTV Saquinavir SQV Indinavir IDV เป็นต้น นอกจากยาทั้ง 2 กลุ่มนี้แล้ว ปัจจุบันยังมียาใหม่อีกชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเกาะติดของไวรัสที่เยื่อหุ้มเซลล์ของทีลิมโฟไซต์คือ ยา Enfuvirtide ซึ่งมีในรูปแบบของยาฉีด และจะใช้เป็นตัวเลือกสุดท้าย กรณีที่มีการดื้อยาชนิดอื่นๆ แล้วเท่านั้น เนื่องจากยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีมีผลลดจำนวนเชื้อไวรัสให้น้อยลง พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 มากขึ้น ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น โอกาสที่จะติดเชื้อโรคฉวยโอกาสก็จะลดลง และสามารถดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ ปัจจุบันยังไม่มียาที่ทำให้หายขาด ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีที่เริ่มใช้ยาจึงต้องใช้ยาติดต่อกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อยับยั้งเชื้อ ควบคุมไม่ให้เชื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้น และจะต้องใช้ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีอย่างน้อย 3 ชนิด เพื่อให้เกิดผลดี ทั้งยังต้องกินยาตรงเวลาสม่ำเสมอทุกวัน มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาการดื้อยาได้ง่าย ดังนั้น ก่อนเริ่มใช้ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี ผู้ป่วยจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการใช้ยากลุ่มนี้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นวิธีใช้ จำนวนและขนาดของเม็ดยา เวลาที่ใช้ยา ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ และมีความพร้อมในการปฏิบัติตามการใช้ยาอย่างถูกต้อง ตรงเวลา และสม่ำเสมอ พร้อมทั้งจะต้องไปพบแพทย์ตามนัด เพื่อให้ยาได้ผลดี ประหยัด และปลอดภัยต่อผู้ติดเชื้อ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_12830
Medical
ยาไซโลโดซินสามารถใช้รักษาอาการปัสสาวะขัดในผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโตได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: กลไกการออกฤทธิ์: ยาไซโลโดซินเป็นยาในกลุ่มแอลฟา-บล็อกเกอร์ (Alpha-blocker) ออกฤทธิ์โดยคลายกล้ามเนื้อเรียบของต่อมลูกหมากและกล้ามเนื้อหูรูดคอกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้การถ่ายปัสสาวะคล่องตัวขึ้น การศึกษาทางคลินิก: มีการศึกษาทางคลินิกหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่ายาไซโลโดซินมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการปัสสาวะขัดในผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโต โดยสามารถบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ความปลอดภัย: ยาไซโลโดซินมีระดับความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงที่พบมักไม่รุนแรงและเกิดขึ้นชั่วคราว เช่น เวียนหัว มึนงง ความดันโลหิตต่ำ แนวทางการรักษา: ยาไซโลโดซินเป็นยาที่แพทย์นิยมใช้ในการรักษาอาการปัสสาวะขัดในผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโต มักใช้เป็นแนวทางการรักษาในระยะแรก ตัวอย่างงานวิจัย: -การศึกษาทางคลินิกแบบสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาไซโลโดซินกับยา Prazosin ในการรักษาผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโต ผลการศึกษาพบว่ายาไซโลโดซินมีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปัสสาวะขัดไม่ด้อยกว่ายา Prazosin และมีความปลอดภัยมากกว่า -การวิเคราะห์แบบอภิมาน (meta-analysis) ของการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับยาไซโลโดซินในการรักษาผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโต ผลการวิเคราะห์พบว่ายาไซโลโดซินมีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปัสสาวะขัด ปัสสาวะไม่สุด และความดันในกระเพาะปัสสาวะ สรุป: ยาไซโลโดซินสามารถใช้รักษาอาการปัสสาวะขัดในผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย หมายเหตุ: -การใช้ยาไซโลโดซินควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ -แพทย์จะพิจารณาขนาดยาและระยะเวลาการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย -ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และยาอื่นๆ ที่รับประทานอยู่ คำเตือน: -ยาไซโลโดซินห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำเฉียบพลัน -ยาไซโลโดซินอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ มึนงง ผู้ป่วยควรระมัดระวังในการขับขี่หรือทำงานเครื่องจักร
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_14612
Medical
ช่วยสรุปบทความ ปฏิบัติการในโรงพยาบาล - จากมุมมองของผู้บริหาร ให้ด้วย
ข้อผิดพลาดในการจ่ายยา ปฏิบัติการในโรงพยาบาล - จากมุมมองของผู้บริหาร ตอนที่ 48 ข้อผิดพลาดในการจ่ายยา นิยามของ ข้อผิดพลาดในการจ่ายยา Medication error ก็คือ เหตุการณ์ซึ่งป้องกันได้ ที่อาจเป็นสาเหตุหรือนำไปสู่การจ่ายยาที่ไม่เหมาะสม หรือเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย ในขณะที่ยายังอยู่ในการควบคุมของนักวิชาชีพดูแลสุขภาพ ผู้ป่วย หรือผู้บริโภค เหตุการณ์ดังกล่าว อาจสัมพันธ์กับการปฏิงานของนักวิชาชีพ ผลิตภัณฑ์ ยา ระเบียบวิธีปฏิบัติ และระบบ รวมถึงคำสั่งยาของแพทย์ การสื่อสารเรื่องใบสั่งแพทย์ ฉลากยา บรรจุภัณฑ์ยา และระบบชื่อ Nomenclature ยา การผสมยา การจ่ายยา การจัดขนจัดส่งยา Logistics การให้กินยา การให้การศึกษาเรื่องยา การติดตามผลยา และการใช้ยา ผู้ป่วยโรงพยาบาลจำนวนมาก มิได้บอกแพทย์เรื่องยาอื่นที่กินอยู่ และการแพ้ยาหรือปฏิกิริยาของยา Drug reaction ที่มีต่อยาบางตัว ทำให้เป็นการยากขึ้นสำหรับแพทย์ในการสั่งยาที่ถูกต้อง และหรือ ขนาด Dosage ของการกินยา รวมทั้งการเฝ้าระวังข้อห้ามใช้ Contraindication ในบางกรณี นอกจากนี้แพทย์อาจมีลายมือที่อ่านยาก ทำให้เภสัชกรจัดยาเกิดความสับสนในเรื่องยาที่มีชื่อคล้ายกัน ติดฉลากยาผิด หรือผู้ป่วยอาจมีชื่อเดียวกัน หรือคล้ายกัน และสภาพแวดล้อม ในห้องจ่ายยาที่มีเสียงรบกวน จนอาจทำให้ไขว้เขว ขาดสมาธิ แล้วนำไปสู่ข้อผิดพลาดในการจ่ายยา ในปี พ.ศ. 2547 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา Food and Drug Administration FDA สหรัฐอเมริกได้ออกกฎบังคับใช้รหัสแท่ง Bar code บนฉลากยา และผลิตภัณฑ์ชีววิทยา Biological products ในความพยายามที่จะลดข้อผิดพลาดในการจ่ายยา และต้นทุนการดูแลสุขภาพ ระบบนี้มีประสิทธิผลสูงในการช่วยแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลในการจ่ายยาที่ถูกต้องและขนาดที่ถูกต้อง ให้ผู้ป่วย FDA ทำหน้าที่ประจำในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาใหม่ แก่สถานพยาบาล แจ้งเรื่องความปลอดภัย และยาที่เรียกคืน Recall เพื่อปกป้องผู้ป่วยในขณะใช้ยาอยู่ โครงการปรับปรุงคุณภาพ Quality Improvement Program QIP สำหรับฝ่ายเภสัชกรรม มักกำหนดให้มีนโยบายและระเบียบวิธี Procedure สำหรับการเตรียมยาและจ่ายยา รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ให้ยาทางอื่นที่มิใช่ทางปาก Parenteral เภสัชกรรับผิดชอบในการพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการใช้ยาและสูตรยาทางอื่นดังกล่าวในโรงพยาบาล นอกจากนี้ เภสัชกรยังต้องค้นหาการใช้ยาผิด Misuse และนำเสนอมาตรการแก้ไขให้ถูกต้อง อาทิ การแยกแยะขนาดการใช้ยาตามแต่ละประเภท และการใช้ตามการวินิจฉัย ในอดีตมีการค้นหาว่า มีการใช้สเตียรอยด์ Steroid กับผู้ป่วยที่มีแผลเปื่อยจากการย่อยอาหาร Peptic ulcer ซึ่งเป็นข้อห้ามใช้ หรือไม่ ปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปที่สามารถเตือนการใช้ยาผิด และใช้ในกรณีที่ขัดแย้งกับข้อห้ามใช้ ผมขอเชิญชวนคุณผู้อ่านให้ 1 เขียนมาสอบถามเนื้อหาที่มีข้อสงสัย เพื่อความกระจ่างขึ้น 2 ชี้แนะข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือสิ่งขาดตกบกพร่อง เพื่อการแก้ไขให้ถูกต้อง 3 แสดงความคิดเห็นในแต่ละตอน ทั้งติและชม เพื่อการปรับปรุงให้ดีขึ้น และ 4 แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ของคุณผู้อ่าน เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชนร่วมกัน ครับ แหล่งข้อมูล - ประสบการณ์จากเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลประสานมิตร มูลนิธิ สมาคมปราบวัณโรคแห่งประเทศไทย และศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
ข้อผิดพลาดในการจ่ายยามีความหมายว่าเกิดเหตุการณ์ที่สามารถป้องกันได้ ซึ่งอาจเกิดการจ่ายยาที่ไม่เหมาะสมหรือเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย ที่ยังอยู่ในการควบคุมของนักวิชาชีพดูแลสุขภาพ หรือผู้ป่วย เหตุการณ์นี้อาจเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการของนักวิชาชีพ, ผลิตภัณฑ์ยา, ระเบียบวิธีปฏิบัติ และระบบ รวมถึงการสื่อสารในทุกขั้นตอน ซึ่งทั้งหมดนี้มีความเกี่ยวข้องกับการเฝ้าระวัง, การผสมยา, การจัดส่ง, การให้การศึกษา, การติดตามผล และการใช้ยา ข้อผิดพลาดทางการแพทย์ เช่น การไม่แจ้งแพทย์เรื่องยาที่กิน หรือปัญหาที่เกิดจากยา ทำให้เพิ่มความยากในการสั่งยาที่ถูกต้อง และการเขียนที่อ่านยาก จึงทำให้เกิดความสับสนในการจัดยา และสภาพแวดล้อมที่สร้างเสียงรบกวน ทำให้เกิดความสับสน ขาดสมาธิ และเสี่ยงต่อข้อผิดพลาดในการจ่ายยา FDA สหรัฐอเมริกาได้ใช้รหัสแท่ง (Bar code) บนฉลากยาเพื่อลดข้อผิดพลาดในการจ่ายยาและลดต้นทุนดูแลสุขภาพ ระบบนี้ช่วยให้นักวิชาชีพดูแลสุขภาพและผู้ป่วยจ่ายยาที่ถูกต้องและขนาดที่ถูกต้อง โครงการปรับปรุงคุณภาพสำหรับฝ่ายเภสัชกรรมมักมีนโยบายและระเบียบวิธีที่กำหนดการเตรียมและจ่ายยา รวมถึงการตรวจสอบความปลอดภัยของยาและการแจ้งเตือนเรื่องความปลอดภัยของยาที่ถูกเรียกคืน โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปมีการเตือนในกรณีการใช้ยาผิดหรือการขัดข้อห้ามใช้ ข้อผิดพลาดทางการแพทย์ เช่น การไม่แจ้งแพทย์เรื่องยาที่กิน หรือปัญหาที่เกิดจากยา เพิ่มความยากในการสั่งยาที่ถูกต้อง และความสับสนในการจัดยา และสภาพแวดล้อมที่สร้างเสียงรบกวน ทำให้เกิดความสับสน ขาดสมาธิ และเสี่ยงต่อข้อผิดพลาดในการจ่ายยา
เภสัชวิทยา Pharmacology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Legal_9802
Legal
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 มาตราใด บัญญัติว่า "ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 8,000 - 40,000 บาท" ระหว่าง มาตรา 276 หรือ มาตรา 276 วรรคที่ 4
null
มาตรา 276 เพราะในพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 มาตรา 276 บัญญัติว่า "ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 8,000 - 40,000 บาท" ส่วนในพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 มาตรา 276 วรรคที่ 4 บัญญัติว่า "ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำความผิดระหว่างคู่สมรส และคู่สมรสนั้นยังประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติแทนการลงโทษก็ได้ ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก และคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาต่อไป และประสงค์จะหย่า ให้คู่สมรสฝ่ายนั้นแจ้งให้ศาลทราบ และให้ศาลแจ้งพนักงานอัยการให้ดำเนินการฟ้องหย่าให้" สิ่งนี้เป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดการเรียกร้องในกว่า 100 ประเทศทั่วโลกได้มีการแก้ไขกฎหมายกำหนดให้การข่มขืนคู่สมรสเป็นอาชญากรรมแล้ว จากการที่ศาลสูงในรัฐเกรละพิพากษาว่าการข่มขืนโดยคู่สมรสเป็นเหตุผลที่หนักแน่นพอสำหรับการฟ้องหย่า เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2021
ประมวลกฎหมายอาญา,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับเพศ
Classification
cc-by-nc-4.0
Legal_46732
Legal
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๕๑/๒๕๕๑ บัญญัติว่าอย่างไร
null
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๕๑/๒๕๕๑ คดีเกิดขึ้นในเขตจังหวัดสตูลและผู้ร้อง ซึ่งเป็นอิสลามศาสนิกเริ่มต้นคดีอย่างไม่มีข้อพิพาท โดยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ตามพินัยกรรมของผู้ตายซึ่งเป็นอิสลามศาสนิก การที่ผู้คัดค้านที่ ๑ ยื่นคำคัดค้านมีผลให้คดีกลายเป็นคดีมีข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๑๘๘ (๔) โดยผู้ร้องและผู้คัดค้านมีฐานะเป็นคู่ความ เมื่อผู้คัดค้านที่ ๑ ซึ่งมีฐานะเสมือน จำเลยมิใช่อิสลามศาสนิก จึงไม่ต้องด้วยมาตรา ๓ ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้ กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. ๒๔๘๙ ถือไม่ได้ว่าเป็นคดีแพ่งเกี่ยวด้วยเรื่องครอบครัวและมรดกของอิสลามศาสนิกในเขตจังหวัด สตูล จึงต้องใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๖ บังคับแก่คดี ศาลชั้นต้นของจังหวัดทั้งสี่ที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาเรื่องครอบครัวหมายถึง ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและ วิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ กำหนดบทนิยามของคดีครอบครัวให้รวมถึงคดีแพ่งที่บังคับตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับครอบครัวด้วย เมื่อ พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. ๒๕๘๙ ในส่วนที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยชี้ขาดคดีแพ่งตามหลักกฎหมาย อิสลามเรื่องครอบครัวของอิสลามศาสนิกเป็นกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับครอบครัว จึงเป็นคดีครอบครัวซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว
คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21722
Medical
ต้อเนื้อมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำหลังผ่าตัดหรือไม่? ถ้ามี โอกาสอยู่ที่เท่าไหร่? และมีวิธีป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้อย่างไร?
null
ต้อเนื้อมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำหลังผ่าตัดได้จริง โดยโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำอยู่ที่ประมาณ 30% หมายความว่า จาก 10 คนที่ผ่าตัดลอกต้อเนื้อ จะมี 3 คนที่ต้อเนื้อกลับมาเป็นซ้ำ สาเหตุหลักที่ต้อเนื้อกลับมาเป็นซ้ำ การสัมผัสกับแสงแดด ฝุ่น ลม และความร้อน เป็นประจำหลังผ่าตัด อายุ คนวัยหนุ่มสาวมีโอกาสต้อเนื้อกลับมาเป็นซ้ำมากกว่าคนวัยแก่ ความหนาของต้อเนื้อ ต้อเนื้อที่หนามีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำมากกว่าต้อเนื้อบาง วิธีป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ สวมแว่นกันแดด เพื่อป้องกันแสงแดด ใส่แว่นตา เพื่อป้องกันฝุ่น ลม และความร้อน หยอดยาตามคำแนะนำของแพทย์ ยาหยอดตาบางชนิดสามารถช่วยป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของต้อเนื้อ ติดตามผลกับแพทย์ เพื่อตรวจดูว่าต้อเนื้อมีการกลับมาเป็นซ้ำหรือไม่ วิธีการรักษาต้อเนื้อที่กลับมาเป็นซ้ำ การผ่าตัดลอกต้อเนื้อ เช่นเดียวกับการรักษาต้อเนื้อครั้งแรก การใช้ยาหยอด เพื่อกัดต้อเนื้อให้หลุด แต่ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะอาจทำให้เยื่อตาส่วนอื่นเสียหายได้ การใช้รังสีเบต้า เพื่อทำลายต้อเนื้อ แต่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สรุป ต้อเนื้อมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำหลังผ่าตัดได้ แต่สามารถป้องกันได้ด้วยวิธีต่างๆ คำแนะนำเพิ่มเติม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม ควรดูแลสุขภาพตา หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด ฝุ่น ลม และความร้อน ควรติดตามผลกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
จักษุวิทยา (จักษุวิทยา) - Ophthalmology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11457
Medical
ยามิลเทโฟซีน (Miltefosine) สามารถใช้รักษาโรคติดเชื้อโปรโตซัว Leishmaniasis ได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ยามิลเทโฟซีนมีกลไกการออกฤทธิ์ที่สามารถฆ่าเซลล์ของเชื้อโปรโตซัว Leishmaniasis ได้ มีการศึกษาทางคลินิกหลายแห่งที่แสดงให้เห็นว่ายามิลเทโฟซีนมีประสิทธิภาพในการรักษาโรค Leishmaniasis องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้บรรจุยามิลเทโฟซีนไว้ในรายการยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรค Leishmaniasis ตัวอย่างงานวิจัย: การศึกษาทางคลินิกระดับ III เปรียบเทียบประสิทธิภาพของยามิลเทโฟซีนกับยา Amphotericin B ในการรักษาโรค Leishmaniasis ชนิดเกิดกับอวัยวะภายใน (Visceral Leishmaniasis) ในผู้ป่วยจำนวน 280 คน ผลการศึกษาพบว่ายามิลเทโฟซีนมีประสิทธิภาพในการรักษาโรค Leishmaniasis ไม่ด้อยกว่ายา Amphotericin B การศึกษาวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ เกี่ยวกับประสิทธิภาพของยามิลเทโฟซีนในการรักษาโรค Leishmaniasis ชนิดเกิดกับผิวหนัง (Cutaneous Leishmaniasis) ผลการศึกษาพบว่ายามิลเทโฟซีนมีประสิทธิภาพในการรักษาโรค Leishmaniasis ชนิดเกิดกับผิวหนัง โดยมีอัตราการรักษาหายอยู่ที่ 70-90% ข้อควรระวัง: ยามิลเทโฟซีนมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และความผิดปกติของการทำงานของตับ ยามิลเทโฟซีนไม่ควรใช้ในผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรใช้ยามิลเทโฟซีนภายใต้การดูแลของแพทย์ สรุป: ยามิลเทโฟซีนเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรค Leishmaniasis ทั้งชนิดเกิดกับอวัยวะภายในและชนิดเกิดกับผิวหนัง อย่างไรก็ตามควรใช้ด้วยความระมัดระวังและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_13734
Medical
แบคทีเรียคืออะไร
A. เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น Microorganism มีอยู่ทั่วไปในสิ่งแวดล้อม B. เป็นแบคทีเรียที่ย้อมติดสีม่วง ในการย้อมสีแกรม ซึ่งตรงข้ามกับแบคทีเรียแกรมลบที่ไม่ติดสีม่วงของคริสทัลไวโอเลต C. เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรงที่ผิวหนังชั้นลึก ตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ไปจนถึงชั้นเนื้อเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ D. เป็นแบคทีเรียที่ไม่สามารถรักษาสีคริสตัลไวโอเลตในการย้อมสีแบบแกรมได้
คำตอบคือ A. เนื่องจาก แบคทีเรีย Bacteria เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น Microorganism มีอยู่ทั่วไปในสิ่งแวดล้อม แบคทีเรียบางชนิดสามารถทำให้เกิดโรคในมนุษย์ได้ ในขณะเดียวกันก็มีแบคทีเรียบางชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง แบคทีเรียส่วนใหญ่สามารถอยู่เป็นอิสระนอกร่างกายมนุษย์ได้ มีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่จำเป็นจะต้องอาศัยอยู่ในเซลล์ของมนุษย์เพื่อการดำรงชีวิต แบคทีเรียมีรูปร่างอย่างไร การจะมองเห็นตัวแบคทีเรียนั้นต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงอย่างน้อย 400 ถึง 1000 เท่า รูปร่างของแบคทีเรียที่มองเห็นได้นั้นมีหลายรูปแบบเช่น รูปร่างกลมซึ่งเรียกว่า คอคคัส Coccus และ รูปร่างเป็นแท่งเรียกว่า บาซิลลัส Bacillus
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_12657
Medical
เด็กทารกแรกเกิด (อายุต่ำกว่า 1 เดือน) สามารถใช้ยาเจนตามัยซิน (Gentamicin) ทางหลอดเลือดดำ (Intravenous) เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือดได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ความปลอดภัย: ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยของยาเจนตามัยซินในเด็กทารกแรกเกิด การใช้ยานี้ในกลุ่มเด็กทารกแรกเกิดมีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงร้ายแรง เช่น ภาวะไตวายเฉียบพลัน และ ภาวะสูญเสียการได้ยินถาวร ประสิทธิภาพ: ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยาเจนตามัยซินในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือดของเด็กทารกแรกเกิด ยังมีจำกัด การศึกษาทางคลินิกส่วนใหญ่ในเรื่องนี้ มักทำในเด็กโตและผู้ใหญ่ ทางเลือกอื่น: มียาปฏิชีวนะอื่นๆ ที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่ายาเจนตามัยซิน สำหรับการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือดของเด็กทารกแรกเกิด เช่น ยาแอมพิซิลลิน (Ampicillin) และ ยาเซฟาโลสปอริน (Cephalosporin) การปรับขนาดยา: ยาเจนตามัยซินจำเป็นต้องมีการปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับเด็กทารกแรกเกิด แต่ละคน ซึ่งต้องอาศัยการคำนวณอย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การติดตามผล: เด็กทารกแรกเกิดที่ได้รับยาเจนตามัยซิน จำเป็นต้องได้รับการติดตามผลอย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การตรวจวัดระดับยาในเลือด การตรวจการทำงานของไต และ การตรวจการได้ยิน ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ยาเจนตามัยซินในเด็กทารกแรกเกิด โดยไม่ได้รับคำสั่งจากแพทย์ แพทย์จะต้องพิจารณาความเสี่ยงและประโยชน์ของยาอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะสั่งใช้ยาเจนตามัยซินในเด็กทารกแรกเกิด แพทย์จะต้องปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับเด็กทารกแรกเกิด แต่ละคน ผู้ปกครองควรสังเกตอาการข้างเคียงของยาในเด็กทารกอย่างใกล้ชิด หากพบอาการผิดปกติใดๆ ควรหยุดใช้ยาและปรึกษาแพทย์ทันที สรุป: ยาเจนตามัยซินไม่ควรใช้เป็นยาตัวแรกในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือดของเด็กทารกแรกเกิด ยาปฏิชีวนะอื่นๆ ที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า ควรเป็นยาที่ใช้ในการรักษาเป็นอันดับแรก คำแนะนำ: หากเด็กทารกแรกเกิดมี suspected การติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับคำแนะนำในการรักษาที่เหมาะสม
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_44081
Finance
โอกาสและความท้าทายในการสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนคืออะไร
null
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์ม (Platform Economy) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ผู้คนสามารถซื้อสินค้าและบริการที่หลากหลายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ผู้ประกอบการก็เริ่มเห็นประโยชน์ของแพลตฟอร์มดิจิทัลในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการผลิต การขาย และการขนส่ง บทความนี้มุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญ ดังนี้: ความหมายของเศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์ม โมเดลหมู่บ้านเถาเป่า (Taobao Villages) ในประเทศจีน ตัวอย่างของระบบนิเวศเศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์มที่ประสบความสำเร็จ องค์ประกอบสำคัญของเศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์ม บทบาทของภาครัฐในการสร้างเศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์มที่ดี เศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์มคืออะไร? เศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์ม หมายถึง ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขาย แรงงานและนายจ้าง เข้ามาพบกัน แพลตฟอร์มดิจิทัลมีหลากหลายประเภท เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์มตลาดแรงงาน แพลตฟอร์มการเงิน ฯลฯ แต่ละแพลตฟอร์มมีหน้าที่และบทบาทแตกต่างกัน แต่ทั้งหมดมีเป้าหมายร่วมกันคือ การสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน โมเดลหมู่บ้านเถาเป่า: ตัวอย่างความสำเร็จจากประเทศจีน หมู่บ้านเถาเป่า (Taobao Villages) หมายถึง หมู่บ้านชนบทในประเทศจีนที่ชาวบ้านใช้แพลตฟอร์ม Taobao และ Tmall ในการขายสินค้าและบริการ โมเดลนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก มีหมู่บ้านเถาเป่าเกิดขึ้นกว่า 3,202 แห่ง และมีผู้ประกอบการบนแพลตฟอร์มกว่า 660,000 ราย โมเดลนี้สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้เข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ มีรายได้เพิ่มขึ้น พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม องค์ประกอบสำคัญของเศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์ม เศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์มมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ดังนี้: - ผู้เล่น: หมายถึง ผู้ซื้อ ผู้ขาย แรงงาน นายจ้าง ฯลฯ ที่ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล - ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม: หมายถึง ผู้สร้างและดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล - ผู้ให้บริการสนับสนุน: หมายถึง ผู้ให้บริการด้านการเก็บและประมวลผลข้อมูล ผู้ให้บริการทางการเงินและการชำระเงิน ผู้ให้บริการขนส่ง ฯลฯ องค์ประกอบทั้ง 3 นี้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ บทบาทของภาครัฐ ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์มที่ดี ดังนี้: - ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: หมายถึง โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต และโครงสร้างพื้นฐานทางสถาบัน เช่น กฎหมายและกฎระเบียบ - พัฒนาทุนมนุษย์: หมายถึง การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงและใช้งานเทคโนโลยี สนับสนุนทักษะและองค์ความรู้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล - สร้างกฎระเบียบที่เอื้ออำนวย: หมายถึง กฎระเบียบที่ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม ปกป้อง
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_11857
Medical
แอนติเจนคืออะไร
1. รักษาอาการอักเสบของลำไส้ แก้ปวดท้อง แก้ท้องเสีย 2. รักษาและป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยอาจออกฤทธิ์ฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย 3. แก้ปวด ลดการหดเกร็งของลำไส้ ท่อน้ำดี กระเพาะปัสสาวะ มดลูก พร้อมทั้งมีฤทธิ์เป็นยาลดการอักเสบ 4. ตัวที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานโรค มาเกาะกับโปรตีนของเชื้อโรค
คำตอบได้แก่ 4. เนื่องจาก แอนติเจน คือตัวที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานโรค มาเกาะกับโปรตีนของเชื้อโรค เช่น วัคซีนฮิบ Heamophilus Influenzae Type B vaccine วัคซีนที่ผลิตจากสารพันธุกรรมของเชื้อโรค DNA ดีเอ็นเอ เช่น วัคซีนโรคเอดส์ หรือ วัณโรค กำลังอยู่ในการศึกษาทั้งสองโรค อนึ่ง การได้รับวัคซีน ไม่ได้หมายความว่าจะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคของวัคซีนนั้นๆได้ทุกคน ทั้งนี้ขึ้นกับร่างกายของผู้รับวัคซีน ความแข็งแรง ระบบภูมิคุ้มกันเดิม โรคประจำตัว นอกจากนี้ยังขึ้นกับ คุณภาพของวัคซีน ระยะเวลากระตุ้นด้วยวัคซีน การเก็บรักษาวัคซีน ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเก็บในตู้เย็นที่ควบคุมอุณหภูมิ 2 - 8 ๐C Celsiusเพื่อถนอมรักษาและมีอายุการใช้งานได้นาน การใช้วัคซีนในปัจจุบัน แพร่หลายไปในทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะเป็นทารกแรกเกิดไปจนกระทั่งคนชรา ถือได้ว่าวัคซีนเป็นของที่มีประโยชน์ช่วยป้องกันโรคและทำให้ชีวิตมนุษย์ยืนยาวขึ้น วัคซีนป้องกันโรคได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์ทราบว่าร่างกายมนุษย์มีระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค ระบบภูมิคุ้มกัน อยู่ในตัวเอง ภูมิคุ้มกันต้านทานของมนุษย์นอกจากจะทำ หน้าที่ป้องกันเชื้อโรคต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายแล้ว ยังสามารถจดจำเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้และจะทำการสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานหรือที่เรียกกันว่า สารภูมิต้านทาน
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_43980
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "วิกฤตพลังงานกับภาวะ Stagflation Fear" ให้หน่อยคะ
ในช่วงที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงประเด็นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องก๊าซธรรมชาติที่พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) และราคาน้ำมันดิบที่สูงสุดในรอบปี หรือแม้แต่ถ่านหินที่ขึ้นถึงประมาณ 240 ดอลลาร์ต่อตัน จากประมาณ 70 ดอลลาร์ต่อตันในปีที่แล้ว จนเกิดผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าในประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและอินเดีย บทความฉบับนี้จะมาหาคำตอบว่าวิกฤตนี้จะไปถึงไหน จะจบอย่างไร และมีผลต่อเศรษฐกิจโลกและไทยอย่างไร ในส่วนของสาเหตุของการปรับขึ้นของราคาโภคภัณฑ์ โดยหลักเป็นผลจากความแตกต่างของอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) โดยอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิดที่ดีขึ้น ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมา ทั้งในฝั่งซีกโลกตะวันตกและในฝั่งเอเชีย และทำให้ความต้องการพลังงานเริ่มกลับมา ขณะที่ภูมิอากาศในเอเชียที่คาดว่าจะหนาวเย็นต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการเชื้อเพลิงจะมีมากขึ้น ขณะที่ในฝั่งอุปทานพบว่า การผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยในฝั่งน้ำมันเป็นผลจากการที่ OPEC+ เพิ่มกำลังการผลิตน้อยเพียง 4 แสนบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ Saudi Aramco ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของซาอุดีอาระเบียเอง คาดว่าความต้องการในระยะสั้นเพิ่มขึ้น 5 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นผลจากการที่ผู้ผลิตน้ำมันทั้งหลายไม่ต้องการลงทุนเพิ่มเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต เนื่องจากทราบดีว่าในระยะต่อไปแล้วพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล อันได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และอื่นๆ จะถูกแทนที่ด้วยพลังงานสะอาดอย่างพลังงานไฟฟ้า โดยในสหรัฐฯ เองที่เคยมีการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากหินดินดาน (Shale Gas/Shale Oil) มีแท่นขุดเจาะน้ำมันดำเนินการอยู่เพียง 428 แท่น เมื่อเทียบกับปี 2018 ที่ราคาน้ำมันดิบเบรนต์อยู่ที่ระดับเดียวกันกับปัจจุบันที่ประมาณ 82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยในช่วงนี้มีแท่นขุดเจาะน้ำมันดำเนินการอยู่ประมาณ 1,100 แท่น ในปัจจุบัน ปัญหาวิกฤตพลังงานไม่ได้เกิดขึ้นเพียงที่ใดที่หนึ่ง แต่เกิดขึ้นทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและผู้บริโภค ในสหรัฐฯ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในปัจจุบันอยู่ที่ 3.3 ดอลลาร์ต่อแกลลอน เพิ่มขึ้นจาก 2.2 ดอลลาร์ต่อแกลลอนในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ราคาสินค้าต่างๆ ในซูเปอร์มาร์เก็ตเริ่มปรับเพิ่มขึ้น หรือมิฉะนั้นก็ขาดแคลน อันเป็นผลจากห่วงโซ่อุปทานและ/หรือต้นทุนขนส่งที่ปรับเพิ่มขึ้น ในยุโรปและอังกฤษกำลังเผชิญวิกฤตพลังงานซึ่งเป็นผลส่วนหนึ่งจากการลดการใช้คาร์บอน (Decarbonization) ทำให้การผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานแบบปกติ (เช่น ก๊าซธรรมชาติ) มีต้นทุนแพงขึ้นมาก ขณะที่พลังงานสะอาด (เช่น พลังงานลม) มีปัญหา โดยไม่ค่อยมีลมพัด ทำให้กังหันลมผลิตไฟฟ้าได้ค่อนข้างน้อย ส่งผลให้ราคาไฟฟ้าในเดือนตุลาคมปรับสูงขึ้นถึงกว่า 60% ในจีนและอินเดียกำลังเผชิญปัญหาจากการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า โดยในจีนวิกฤตพลังงานเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เพิ่มความเสี่ยงของความไม่มั่นคงทางสังคม และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก หลังจากรัฐบาลกว่า 20 มณฑลทางตอนเหนือ เช่น มณฑลกวางตุ้ง เหลียวหนิง จี๋หลิน และเฮยหลงเจียง ได้รับจดหมายจากรัฐบาลกลางว่ามีการใช้ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าเกินกว่าโควตาที่ประกาศไป มณฑลเหล่านั้นจึงถูกบังคับให้ปิดไฟสาธารณะในยามวิกาล ปิดไฟจราจรยามค่ำคืน และจำกัดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลากลางวัน ทำให้โรงงานบางแห่งที่มีการเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ต้องปิดการผลิตในเวลากลางคืน สำนักวิจัยต่างๆ คาดการณ์ว่าการตัดไฟมีแนวโน้มที่จะลดอัตราการเติบโตของจีนลง โดยสำนักวิจัยโกลด์แมน แซคส์ และโนมูระ ปรับลดประมาณการการขยายตัวทั้งปีลงมาอยู่ที่ประมาณ 7.7-7.8% จาก 8.2% ขณะที่โกลด์แมนปรับลดประมาณการเศรษฐกิจในปีหน้าลงเหลือ 5.5% ต่ำกว่าของ IMF ที่ประมาณการในช่วงกลางปีที่ 5.7% ขณะที่ในอินเดียก็กำลังเผชิญกับวิกฤตไฟฟ้าที่รุนแรง อันเป็นผลจากการขาดแคลนถ่านหินที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยตามรายงานของกระทรวงพลังงานของอินเดีย โรงไฟฟ้าพลังความร้อน (Thermal) กว่า 135 แห่ง มีปริมาณถ่านหินเหลือให้ผลิตไฟฟ้าเฉลี่ยเพียง 4 วัน ลดลงจาก 13 วัน ในต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่โรงไฟฟ้าของอินเดียได้ลดการนำเข้าถ่านหินในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากราคาในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ยังได้ส่งเสริมนโยบายการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจของอินเดีย เพื่อเป็นแนวทางในการฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ โดย 80% ของถ่านหินที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้ามาจากรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่ชื่อ ‘Coal India’ ซึ่งขาดประสิทธิภาพในการผลิตเพียงพอที่จะรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น การขาดแคลนทำให้ทางการกำลังตัดสินใจระหว่าง การดับไฟเป็นวงกว้าง การปรับราคาไฟฟ้าขึ้น การปล่อยให้โรงไฟฟ้าขาดทุน โดยในปัจจุบันโรงไฟฟ้าถ่านหินถือเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย (กว่า 66% ของกำลังการผลิตทั้งหมด เพิ่มจาก 62% ในปี 2019) ด้านการบริโภค อินเดียบริโภคไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 1.24 แสนล้านยูนิต จาก 1.06 แสนล้านยูนิต ในปี 2019 แต่ราคาถ่านหินจากอินโดนีเซีย ที่เป็นแหล่งนำเข้าถ่านหินใหญ่เพิ่มขึ้นจาก 60 ดอลลาร์ต่อตัน ในเดือนมีนาคม เป็น 240 ดอลลาร์ต่อตัน ในเดือนตุลาคม ทำให้อินโดนีเซียส่งออกน้อยลง เราวิเคราะห์ว่าปัญหาการผลิตที่ขาดแคลน ท่ามกลางความต้องการระดับสูงใน 2 ตลาดหลักของโลก จะทำให้ถ่านหินยังคงขาดแคลนในวงกว้าง โดยองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) คาดว่าความต้องการถ่านหินจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4.5% จากปี 2019 ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวขึ้นและฤดูหนาวที่คาดว่าจะรุนแรงในเอเชียเหนือ ทำให้ความต้องการถ่านหินซึ่งเป็นสินค้าทดแทนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งเรามองว่าเป็นไปได้ที่สถานการณ์วิกฤตพลังงานโดยรวมอาจลากยาวไปจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากการเพิ่มกำลังการผลิตยังไม่สามารถทำได้ง่าย ในขณะที่ความต้องการพลังงานในช่วงฤดูหนาวจะมีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อาจต้องจับตาในช่วงเดือนพฤศจิกายน ว่าฤดูหนาวที่คาดว่าจะรุนแรงในปีนี้จะเป็นไปตามที่พยากรณ์ไว้หรือไม่ ในส่วนของภาพเศรษฐกิจ เรามองว่าสถานการณ์เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจ รวมถึงเงินเฟ้อ ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ขณะที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น (หรือที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นภาวะ Stagflation) โดยในระดับโลก ตัวเลขเงินเฟ้อทั้งของผู้ผลิต (PPI) และผู้บริโภค (CPI) เป็นขาขึ้น ในสหรัฐฯ เงินเฟ้อรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุด เงินเฟ้อผู้บริโภคที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จับตา (Core PCE) ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 30 ปี และมีองค์ประกอบที่เพิ่มขึ้นอย่างถาวรมากขึ้น เช่น ค่าเช่าบ้านและค่าจ้าง ทำให้ Fed จะต้องส่งสัญญาณลดทอน QE เร็วและแรงขึ้น แต่เศรษฐกิจก็เริ่มส่งสัญญาณชะลอลง โดยภาพล่าสุด ได้แก่ การจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนกรกฎาคม ที่เพิ่มขึ้นต่ำที่สุดในรอบปี เพียง 1.94 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 5 แสนตำแหน่ง แต่เงินเฟ้อก็ยังพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เรามองว่า Fed น่าจะต้องส่งสัญญาณลดทอนมาตรการกระตุ้น เพราะหากต้องเลือกระหว่างเศรษฐกิจที่ชะลอลงบ้าง กับการคุมความคาดหวังเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เรามองว่า Fed น่าจะต้องเลือกอย่างหลัง ในจีน เรามองว่าเงินเฟ้อผู้ผลิตน่าจะยังมีต่อเนื่อง แต่ทางการก็จะคุมโดยเฉพาะเงินเฟ้อที่ส่งผ่านไปยังผู้บริโภค โดยจะปล่อยโภคภัณฑ์จากคลังสำรองทางการ (Strategic Reserve) ออกมาเพื่อลดแรงกดดันด้านต้นทุนการผลิต และช่วยประคองราคาไปได้บ้าง แต่เรามองว่าความเสี่ยงของจีนคือด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะวิกฤตกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะกระทบต่อภาคการผลิตและทำให้ความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัวในปีหน้ามีมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอื่นๆ โดยจากการทำ Sensitivity Analysis ของเรา หากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว 1% จะกระทบทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง 0.9% อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าภาครัฐน่าจะใช้นโยบายการเงินการคลัง เช่น การเพิ่มสภาพคล่อง การลดการกันสำรองธนาคารพาณิชย์ (RRR) และการเพิ่มการลงทุนภาครัฐ เพื่อช่วยไม่ให้ชะลอมาก ในไทย เราเริ่มเห็นสัญญาณการเริ่มต้นของสถานการณ์ Stagflation ในไทยแล้ว หลังจากเงินเฟ้อปรับตัวเป็นขาขึ้นกว่า 1.6% แต่เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว โดยปัจจุบัน ราคาน้ำมันสำเร็จรูปส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นเกินกว่า 30 บาทแล้ว ยกเว้นราคาน้ำมันดีเซลที่มีการใช้เงินจากกองทุนน้ำมันในการพยุงราคาไว้ ในขณะที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กบง.) มีมติให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) อนุมัติวงเงินจาก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท มาช่วยเหลือเป็นเวลา 4 เดือน เพื่อคงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มสำหรับถังขนาด 15 กิโลกรัม อยู่ที่ 318 บาทต่อถัง (ไม่รวมค่าขนส่ง) และจะใช้เงินกองทุนในการดูแลอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อคงราคาดีเซล B10 ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เราจับตาภาพใน 4 เดือนข้างหน้าว่า ราคาน้ำมันรวมถึงก๊าซธรรมชาติจะลงหรือไม่ มิฉะนั้นทางการอาจต้องมีการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพิ่มเติม ซึ่งจะกระทบต่อฐานะทางการคลัง อย่างไรก็ตาม หากทางการเลือกที่จะไม่พยุงราคาพลังงาน ต้นทุนภาคธุรกิจจะปรับเพิ่มขึ้นและทำให้เศรษฐกิจยิ่งชะลอลง (หรือสถานการณ์ Stagflation) ท่ามกลางสภาวะอุปสงค์ภายในประเทศ (Domestic Demand) ที่ยังอ่อนแอ ทั้งนี้ ในเดือนล่าสุด (กันยายน) ต้นทุนผู้ผลิต (PPI) ปรับเพิ่มขึ้นที่ 5.3% ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อยู่ที่ 1.7% กล่าวโดยสรุป วิกฤตโภคภัณฑ์รวมถึงพลังงานที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลทั้งจากปัจจัยชั่วคราวและเชิงโครงสร้าง กล่าวคือ อุปสงค์เริ่มกลับมาสูงขึ้นหลังจากการระบาดของโควิดบรรเทาลง ขณะที่ภูมิอากาศในเอเชียที่คาดว่าจะหนาวเย็นทำให้ความต้องการเชื้อเพลิงจะมีมากขึ้น การผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและไม่ทันต่อความต้องการในระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยพิเศษต่างๆ เช่น นโยบายการคุมเข้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจีน ที่ทำให้เหมืองต่างๆ ต้องลดการผลิตถ่านหินลง ปัญหาการขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ทำให้ไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ง่าย หรือแม้แต่สภาพคล่องที่มีอยู่มาก ทำให้การเก็งกำไรยังมีอยู่ต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่ภาวะ Stagflation Fear หรือเงินเฟ้อที่สูงขึ้นแต่เศรษฐกิจชะลอลง เรามองว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะคงอยู่ในระดับหนึ่งจนกว่า ปริมาณสต๊อกสำรองจะเพิ่มขึ้นจากการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อชดเชยความต้องการ ภูมิอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้น การลดทอน QE ของธนาคารกลางขนาดใหญ่ (เช่น Fed และ ECB) ที่จะลดกระแสการเก็งกำไรลง เราจึงเชื่อว่า Fed และ ECB จะส่งสัญญาณลดทอน QE เร็วและแรงกว่าคาด เพื่อคุมกระแสเก็งกำไรและความคาดหวังเงินเฟ้อของประชาชน ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ดีในระดับหนึ่ง Stagflation Fear มาแล้ว นักธุรกิจ นักลงทุน และผู้กำหนดนโยบาย โปรดระวัง
ในช่วงที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงประเด็นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องก๊าซธรรมชาติที่พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) และราคาน้ำมันดิบที่สูงสุดในรอบปี หรือแม้แต่ถ่านหินที่ขึ้นถึงประมาณ 240 ดอลลาร์ต่อตัน จากประมาณ 70 ดอลลาร์ต่อตันในปีที่แล้ว จนเกิดผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าในประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและอินเดีย บทความฉบับนี้จะมาหาคำตอบว่าวิกฤตนี้จะไปถึงไหน จะจบอย่างไร และมีผลต่อเศรษฐกิจโลกและไทยอย่างไร - ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา โดยมีการปรับขึ้นของราคาก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ และราคาถ่านหินเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเป็นจำนวนมาก. - สาเหตุของการปรับขึ้นของราคาโภคภัณฑ์เกิดจากความแตกต่างของอุปสงค์และอุปทาน, โดยที่อุปสงค์เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วโลก และอุปทานมีการผลิตที่เพิ่มขึ้นน้อย. - สภาพอุตสาหกรรมพลังงานเปลี่ยนแปลง, ที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตน้อย, และความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น. - ปัญหาวิกฤตพลังงานมีผลกระทบทั่วโลก โดยราคาน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น, สินค้าขาดแคลนหรือปรับราคาในซูเปอร์มาร์เก็ต. - ในจีนและอินเดีย, วิกฤตพลังงานส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้า, การลดการใช้คาร์บอน, และปัญหาการขาดแคลนถ่านหิน. - อินเดียมีปัญหาขาดแคลนทางพลังงานทำให้ต้องมีมาตรการการจำกัดการใช้ไฟฟ้า. - ทั่วโลกมีความไม่มั่นคงทางสังคมและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน. - สถานการณ์วิกฤตพลังงานทำให้ราคาถ่านหินสูงขึ้น, และความต้องการเพิ่มขึ้นทั่วโลก. - ยังไม่ชัดเจนว่าสถานการณ์วิกฤตพลังงานจะลากยาวไปถึงเมื่อไร, แต่มีการปรับลดการทำนายการขยายตัวของจีนและอินเดียในส่วนของเศรษฐกิจ. สถานการณ์เศรษฐกิจทำให้มีความกังวลเกี่ยวกับ Stagflation (ต่อเนื่องการตัดสินใจลดทอน QE, ความกังวลเงินเฟ้อ) และมีปัจจัยทั้งชั่วคราวและโครงสร้างที่ส่งผลให้เกิด Stagflation Fear หรือความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่สูงขึ้น การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันและสภาวะภูมิอากาศที่คาดว่าจะอุ่นขึ้นมีผลให้ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจต้องรับมือกับความขาดแคลนและความต้องการที่เพิ่มขึ้น สถานการณ์นี้อาจยังคงอยู่ในระดับหนึ่งไปจนกว่าสต๊อกสำรองน้ำมันจะเพิ่มขึ้น และปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อสถานการณ์นี้ เช่น การเปลี่ยนแปลงในนโยบายทางการเงิน หรือสภาพภูมิอากาศที่อุ่นขึ้น อีกทั้งการลดทอน QE ของ Fed และ ECB ที่อาจเกิดขึ้นเร็วขึ้นและแรงกว่าที่คาด ส่งผลให้เศรษฐกิจต้องรับมือกับสถานการณ์ Stagflation Fear ที่เกิดขึ้นในตลาด
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_40432
Finance
การลงทุนในหุ้นแบบไหนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดระหว่างการลงทุนทุกปีอย่างสม่ำเสมอ เก็บเงินรอจังหวะลงทุนหลังตลาดหุ้นตก 20% เก็บเงินรอจังหวะลงทุนหลังตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ หรือ รอจังหวะลงทุนหลังตลาดหุ้นขึ้นแล้ว 20% ?
ในระยะยาว ตลาดหุ้นจะมีปีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่าติดลบ และมีปีที่บวกเยอะๆ มากกว่าปีที่ติดลบเยอะๆ ยิ่งเก็บเงินรอลงทุนหลังตลาดหุ้นตกหรือหลังตลาดหุ้นเกิดวิกฤติมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสียโอกาสที่เงินจะเติบโตทบต้นไปมากเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างผลตอบแทนจากหุ้นระยะยาว คือ “การลงทุนในหุ้นอย่างสม่ำเสมอ” เพราะนอกจากจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่น่าประทับใจแล้ว ยังทำให้ “สบายใจ” ด้วย ไม่ต้องมานั่งคิด นั่งกังวล นั่งดูดัชนีตลาดหุ้นบ่อยๆ แต่ก็สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ จากสถิติการลงทุนในหุ้นไทย พบว่า... ถ้าซื้อหุ้นด้วยเงิน 10,000 บาทในปี 2518 จากนั้นถือมาเรื่อยๆ จนถึงปี 2563 (เป็นเวลา 46 ปี) จะได้ผลตอบแทนทบต้น 10.87% นั่นคือ เงิน 10,000 บาทจะกลายเป็น 1,151,120 บาท มีคำถามตามมาว่า มีหนทางที่ทำเงินได้มากกว่านี้หรือไม่ คำตอบคือ มี ขอแค่มีวินัย ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่หวั่นไหวต่อความผันผวนของตลาด มาเริ่มต้นด้วยการจำลองสถานการณ์ โดยให้มีเงินลงทุนเพิ่มปีละ 10,000 บาท และให้เลือกลงทุนเพิ่มได้ 4 แบบด้วยกัน ลงทุนเพิ่มเรื่อยๆ ทุกปี ปีละ 10,000 บาท เก็บเงินปีละ 10,000 บาทไปเรื่อยๆ และลงทุนเพิ่มหลังจากปีที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบเท่านั้น เก็บเงินปีละ 10,000 บาทไปเรื่อยๆ และลงทุนเพิ่มหลังจากปีที่ตลาดหุ้นตกลงมามากกว่า 20% เท่านั้น (ลงทุนหลังผ่านตลาดขาลง) เก็บเงินปีละ 10,000 บาทไปเรื่อยๆ และลงทุนเพิ่มหลังจากปีที่ตลาดหุ้นตกลงมามากกว่า 50% เท่านั้น (ลงทุนหลังผ่านวิกฤติ) การลงทุนทั้ง 4 แบบ ใช้เงินลงทุนเท่ากันที่ 440,000 บาท (เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2518) ต่างกันเพียงแค่ช่วงเวลาที่ใส่เงินลงทุนเข้าไป ถ้าดูเผินๆ แนวคิดที่ว่าเก็บเงินไปเรื่อยๆ แล้วรอลงทุนหลังตลาดหุ้นตกเยอะๆ น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี และยิ่งรอไปลงทุนหลังวิกฤติได้ น่าจะทำผลตอบแทนได้ดีที่สุด แต่ในความเป็นจริง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นตรงข้าม เพราะยิ่งรอตลาดหุ้นตกแล้วค่อยลงทุน ยิ่งได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าปกติ เมื่อลงทุนตามรูปแบบทั้ง 4 ไปจนครบ 46 ปี พบว่า แบบที่ 1 : มูลค่าเงินลงทุนจะกลายเป็น 9,711,321 บาท แบบที่ 2 : มูลค่าเงินลงทุนจะกลายเป็น 7,528,451 บาท แบบที่ 3 : มูลค่าเงินลงทุนจะกลายเป็น 5,719,465 บาท แบบที่ 4 : มูลค่าเงินลงทุนจะกลายเป็น 3,142,962 บาท แนวคิดของการลงทุนเพิ่ม ยิ่งเก็บเงินลงทุนรอนานเท่าไหร่ ผลตอบแทนยิ่งน้อยลง การเพิ่มเงินลงทุนเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอทุกๆ ปี เป็นวิธีสร้างผลตอบแทนที่สูงที่สุด ยิ่งพยายามจับจังหวะตลาดมากเท่าไหร่ ต่อให้ลงทุนได้หลังวิกฤติ ผลตอบแทนก็น้อยลง การออมเงินมาลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าวิธีไหนจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าลงทุนครั้งเดียวหลายเท่าตัว แม้ว่าจะเริ่มลงทุนได้ในปีที่ดีที่สุด แต่ผลตอบแทนระยะยาวก็ยังแพ้คนที่ลงทุนนานๆ ด้วยความสม่ำเสมออยู่ดี ไม่ว่าจะนำผลตอบแทนทั้ง 46 ปีมาเรียงลำดับอย่างไร และไม่ว่าจะเริ่มต้นลงทุนในปีที่ดีหรือปีที่แย่ ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม เพราะในระยะยาวแล้วตลาดหุ้นจะมีปีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่าติดลบ และมีปีที่บวกเยอะๆ มากกว่าปีที่ติดลบเยอะๆ ดังนั้น ยิ่งเก็บเงินรอลงทุนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสียโอกาสที่จะให้เงินได้เติบโตทบต้นไปมากเท่านั้น และในระยะยาวความแตกต่างตรงนี้จะทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับมีความแตกต่างกัน อย่างเช่นในช่วงเวลา 46 ปีที่ผ่านมา ถ้าลงทุนปีละ 10,000 บาททุกปี ผ่านไป 46 ปี จะมีเงินประมาณ 10 ล้านบาท ถ้ารอลงทุนหลังตลาดหุ้นตก 20% จะมีเงินประมาณ 6 ล้านบาท คิดเป็นเงินที่หายไปถึง 40% ถ้ารอลงทุนหลังตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ เช่น ตลาดตกลง 50% จะมีเงินประมาณ 3 ล้านบาท คิดเป็นเงินที่หายไปถึง 70% หมายความว่า... ต้นทุนของความสบายใจหรือความรู้สึกดีที่ได้มาจากการพยายามจับจังหวะการลงทุนนั้น คือ ความมั่งคั่งที่หายไป 40 – 70% หรือคิดเป็นเงินหายไป 4 – 7 ล้านบาท แต่ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่เยอะ เพราะลงทุนเพียงแค่ปีละ 10,000 บาทเท่านั้น สมมติถ้ามีเงินลงทุนได้ปีละ 100,000 บาท ความมั่งคั่งที่หายไปจะมากถึง 40 – 70 ล้านบาท จากสถิติของการลงทุนในหุ้นไทยตลอด 46 ปี สะท้อนให้เห็นว่า... ไม่สามารถจับจังหวะลงทุนหลังตลาดหุ้นตกหนักๆ ได้ทุกครั้ง หรือเมื่อรอจนตลาดตกและเริ่มขึ้นมาสักพักแล้วเริ่มลงทุน ยิ่งทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับน้อยถอยลงไปกว่าเดิม โดยสรุปแล้วในโลกของการลงทุน “ยิ่งพยายามเก็บเงิน รอจังหวะลงทุนมากเท่าไหร่ ยิ่งได้รับผลตอบแทนน้อยลงเท่านั้น” ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างผลตอบแทนจากหุ้นระยะยาว คือ “การลงทุนในหุ้นอย่างสม่ำเสมอ” ซึ่งนอกจากจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่น่าประทับใจแล้ว ยังทำให้ “สบายใจ” อีกด้วย เพราะไม่ต้องมานั่งคิด นั่งกังวล นั่งดูดัชนีตลาดหุ้นบ่อยๆ แต่ก็สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ สำหรับใครที่อยากลงทุนในหุ้นด้วยวิธีลงทุนสม่ำเสมอแบบ DCA แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร สามารถเรียนรู้พื้นฐานและเทคนิคการลงทุนแบบ DCA ตลอดจนวิธีคัดเลือกหุ้นดี น่าลงทุน ผ่าน e-Learning หลักสูตร “วางแผนลงทุนสม่ำเสมอด้วยหุ้นและกองทุน” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ แท็กที่เกี่ยวข้อง: วางแผนการเงิน วางแผนเกษียณ มือใหม่ลงทุน ลงทุนหุ้น หุ้น DCA Highlights ในระยะยาว ตลาดหุ้นจะมีปีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่าติดลบ และมีปีที่บวกเยอะๆ มากกว่าปีที่ติดลบเยอะๆ ยิ่งเก็บเงินรอลงทุนหลังตลาดหุ้นตกหรือหลังตลาดหุ้นเกิดวิกฤติมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสียโอกาสที่เงินจะเติบโตทบต้นไปมากเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างผลตอบแทนจากหุ้นระยะยาว คือ “การลงทุนในหุ้นอย่างสม่ำเสมอ” เพราะนอกจากจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่น่าประทับใจแล้ว ยังทำให้ “สบายใจ” ด้วย ไม่ต้องมานั่งคิด นั่งกังวล นั่งดูดัชนีตลาดหุ้นบ่อยๆ แต่ก็สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ Highlights Highlights ในระยะยาว ตลาดหุ้นจะมีปีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่าติดลบ และมีปีที่บวกเยอะๆ มากกว่าปีที่ติดลบเยอะๆ ยิ่งเก็บเงินรอลงทุนหลังตลาดหุ้นตกหรือหลังตลาดหุ้นเกิดวิกฤติมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสียโอกาสที่เงินจะเติบโตทบต้นไปมากเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างผลตอบแทนจากหุ้นระยะยาว คือ “การลงทุนในหุ้นอย่างสม่ำเสมอ” เพราะนอกจากจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่น่าประทับใจแล้ว ยังทำให้ “สบายใจ” ด้วย ไม่ต้องมานั่งคิด นั่งกังวล นั่งดูดัชนีตลาดหุ้นบ่อยๆ แต่ก็สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ ในระยะยาว ตลาดหุ้นจะมีปีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่าติดลบ และมีปีที่บวกเยอะๆ มากกว่าปีที่ติดลบเยอะๆ ยิ่งเก็บเงินรอลงทุนหลังตลาดหุ้นตกหรือหลังตลาดหุ้นเกิดวิกฤติมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสียโอกาสที่เงินจะเติบโตทบต้นไปมากเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างผลตอบแทนจากหุ้นระยะยาว คือ “การลงทุนในหุ้นอย่างสม่ำเสมอ” เพราะนอกจากจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่น่าประทับใจแล้ว ยังทำให้ “สบายใจ” ด้วย ไม่ต้องมานั่งคิด นั่งกังวล นั่งดูดัชนีตลาดหุ้นบ่อยๆ แต่ก็สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ จากสถิติการลงทุนในหุ้นไทย พบว่า... ถ้าซื้อหุ้นด้วยเงิน 10,000 บาทในปี 2518 จากนั้นถือมาเรื่อยๆ จนถึงปี 2563 (เป็นเวลา 46 ปี) จะได้ผลตอบแทนทบต้น 10.87% นั่นคือ เงิน 10,000 บาทจะกลายเป็น 1,151,120 บาท มีคำถามตามมาว่า มีหนทางที่ทำเงินได้มากกว่านี้หรือไม่ คำตอบคือ มี ขอแค่มีวินัย ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่หวั่นไหวต่อความผันผวนของตลาด มาเริ่มต้นด้วยการจำลองสถานการณ์ โดยให้มีเงินลงทุนเพิ่มปีละ 10,000 บาท และให้เลือกลงทุนเพิ่มได้ 4 แบบด้วยกัน ลงทุนเพิ่มเรื่อยๆ ทุกปี ปีละ 10,000 บาท เก็บเงินปีละ 10,000 บาทไปเรื่อยๆ และลงทุนเพิ่มหลังจากปีที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบเท่านั้น เก็บเงินปีละ 10,000 บาทไปเรื่อยๆ และลงทุนเพิ่มหลังจากปีที่ตลาดหุ้นตกลงมามากกว่า 20% เท่านั้น (ลงทุนหลังผ่านตลาดขาลง) เก็บเงินปีละ 10,000 บาทไปเรื่อยๆ และลงทุนเพิ่มหลังจากปีที่ตลาดหุ้นตกลงมามากกว่า 50% เท่านั้น (ลงทุนหลังผ่านวิกฤติ) การลงทุนทั้ง 4 แบบ ใช้เงินลงทุนเท่ากันที่ 440,000 บาท (เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2518) ต่างกันเพียงแค่ช่วงเวลาที่ใส่เงินลงทุนเข้าไป ถ้าดูเผินๆ แนวคิดที่ว่าเก็บเงินไปเรื่อยๆ แล้วรอลงทุนหลังตลาดหุ้นตกเยอะๆ น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี และยิ่งรอไปลงทุนหลังวิกฤติได้ น่าจะทำผลตอบแทนได้ดีที่สุด แต่ในความเป็นจริง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นตรงข้าม เพราะยิ่งรอตลาดหุ้นตกแล้วค่อยลงทุน ยิ่งได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าปกติ จากสถิติการลงทุนในหุ้นไทย พบว่า... ถ้าซื้อหุ้นด้วยเงิน 10,000 บาทในปี 2518 จากนั้นถือมาเรื่อยๆ จนถึงปี 2563 (เป็นเวลา 46 ปี) จะได้ผลตอบแทนทบต้น 10.87% นั่นคือ เงิน 10,000 บาทจะกลายเป็น 1,151,120 บาท มีคำถามตามมาว่า มีหนทางที่ทำเงินได้มากกว่านี้หรือไม่ คำตอบคือ มี ขอแค่มีวินัย ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่หวั่นไหวต่อความผันผวนของตลาด จากสถิติการลงทุนในหุ้นไทย พบว่า... ถ้าซื้อหุ้นด้วยเงิน 10,000 บาทในปี 2518 จากนั้นถือมาเรื่อยๆ จนถึงปี 2563 (เป็นเวลา 46 ปี) จะได้ผลตอบแทนทบต้น 10.87% นั่นคือ เงิน 10,000 บาทจะกลายเป็น 1,151,120 บาท มีคำถามตามมาว่า มีหนทางที่ทำเงินได้มากกว่านี้หรือไม่ คำตอบคือ มี ขอแค่มีวินัย ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่หวั่นไหวต่อความผันผวนของตลาด มาเริ่มต้นด้วยการจำลองสถานการณ์ โดยให้มีเงินลงทุนเพิ่มปีละ 10,000 บาท และให้เลือกลงทุนเพิ่มได้ 4 แบบด้วยกัน ลงทุนเพิ่มเรื่อยๆ ทุกปี ปีละ 10,000 บาท เก็บเงินปีละ 10,000 บาทไปเรื่อยๆ และลงทุนเพิ่มหลังจากปีที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบเท่านั้น เก็บเงินปีละ 10,000 บาทไปเรื่อยๆ และลงทุนเพิ่มหลังจากปีที่ตลาดหุ้นตกลงมามากกว่า 20% เท่านั้น (ลงทุนหลังผ่านตลาดขาลง) เก็บเงินปีละ 10,000 บาทไปเรื่อยๆ และลงทุนเพิ่มหลังจากปีที่ตลาดหุ้นตกลงมามากกว่า 50% เท่านั้น (ลงทุนหลังผ่านวิกฤติ) การลงทุนทั้ง 4 แบบ ใช้เงินลงทุนเท่ากันที่ 440,000 บาท (เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2518) ต่างกันเพียงแค่ช่วงเวลาที่ใส่เงินลงทุนเข้าไป ถ้าดูเผินๆ แนวคิดที่ว่าเก็บเงินไปเรื่อยๆ แล้วรอลงทุนหลังตลาดหุ้นตกเยอะๆ น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี และยิ่งรอไปลงทุนหลังวิกฤติได้ น่าจะทำผลตอบแทนได้ดีที่สุด แต่ในความเป็นจริง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นตรงข้าม เพราะยิ่งรอตลาดหุ้นตกแล้วค่อยลงทุน ยิ่งได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าปกติ เมื่อลงทุนตามรูปแบบทั้ง 4 ไปจนครบ 46 ปี พบว่า แบบที่ 1 : มูลค่าเงินลงทุนจะกลายเป็น 9,711,321 บาท แบบที่ 2 : มูลค่าเงินลงทุนจะกลายเป็น 7,528,451 บาท แบบที่ 3 : มูลค่าเงินลงทุนจะกลายเป็น 5,719,465 บาท แบบที่ 4 : มูลค่าเงินลงทุนจะกลายเป็น 3,142,962 บาท แนวคิดของการลงทุนเพิ่ม ยิ่งเก็บเงินลงทุนรอนานเท่าไหร่ ผลตอบแทนยิ่งน้อยลง การเพิ่มเงินลงทุนเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอทุกๆ ปี เป็นวิธีสร้างผลตอบแทนที่สูงที่สุด ยิ่งพยายามจับจังหวะตลาดมากเท่าไหร่ ต่อให้ลงทุนได้หลังวิกฤติ ผลตอบแทนก็น้อยลง การออมเงินมาลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าวิธีไหนจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าลงทุนครั้งเดียวหลายเท่าตัว แม้ว่าจะเริ่มลงทุนได้ในปีที่ดีที่สุด แต่ผลตอบแทนระยะยาวก็ยังแพ้คนที่ลงทุนนานๆ ด้วยความสม่ำเสมออยู่ดี ไม่ว่าจะนำผลตอบแทนทั้ง 46 ปีมาเรียงลำดับอย่างไร และไม่ว่าจะเริ่มต้นลงทุนในปีที่ดีหรือปีที่แย่ ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม เพราะในระยะยาวแล้วตลาดหุ้นจะมีปีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่าติดลบ และมีปีที่บวกเยอะๆ มากกว่าปีที่ติดลบเยอะๆ ดังนั้น ยิ่งเก็บเงินรอลงทุนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสียโอกาสที่จะให้เงินได้เติบโตทบต้นไปมากเท่านั้น และในระยะยาวความแตกต่างตรงนี้จะทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับมีความแตกต่างกัน อย่างเช่นในช่วงเวลา 46 ปีที่ผ่านมา ถ้าลงทุนปีละ 10,000 บาททุกปี ผ่านไป 46 ปี จะมีเงินประมาณ 10 ล้านบาท ถ้ารอลงทุนหลังตลาดหุ้นตก 20% จะมีเงินประมาณ 6 ล้านบาท คิดเป็นเงินที่หายไปถึง 40% ถ้ารอลงทุนหลังตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ เช่น ตลาดตกลง 50% จะมีเงินประมาณ 3 ล้านบาท คิดเป็นเงินที่หายไปถึง 70% หมายความว่า... ต้นทุนของความสบายใจหรือความรู้สึกดีที่ได้มาจากการพยายามจับจังหวะการลงทุนนั้น คือ ความมั่งคั่งที่หายไป 40 – 70% หรือคิดเป็นเงินหายไป 4 – 7 ล้านบาท แต่ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่เยอะ เพราะลงทุนเพียงแค่ปีละ 10,000 บาทเท่านั้น สมมติถ้ามีเงินลงทุนได้ปีละ 100,000 บาท ความมั่งคั่งที่หายไปจะมากถึง 40 – 70 ล้านบาท จากสถิติของการลงทุนในหุ้นไทยตลอด 46 ปี สะท้อนให้เห็นว่า... ไม่สามารถจับจังหวะลงทุนหลังตลาดหุ้นตกหนักๆ ได้ทุกครั้ง หรือเมื่อรอจนตลาดตกและเริ่มขึ้นมาสักพักแล้วเริ่มลงทุน ยิ่งทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับน้อยถอยลงไปกว่าเดิม โดยสรุปแล้วในโลกของการลงทุน “ยิ่งพยายามเก็บเงิน รอจังหวะลงทุนมากเท่าไหร่ ยิ่งได้รับผลตอบแทนน้อยลงเท่านั้น” ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างผลตอบแทนจากหุ้นระยะยาว คือ “การลงทุนในหุ้นอย่างสม่ำเสมอ” ซึ่งนอกจากจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่น่าประทับใจแล้ว ยังทำให้ “สบายใจ” อีกด้วย เพราะไม่ต้องมานั่งคิด นั่งกังวล นั่งดูดัชนีตลาดหุ้นบ่อยๆ แต่ก็สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ สำหรับใครที่อยากลงทุนในหุ้นด้วยวิธีลงทุนสม่ำเสมอแบบ DCA แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร สามารถเรียนรู้พื้นฐานและเทคนิคการลงทุนแบบ DCA ตลอดจนวิธีคัดเลือกหุ้นดี น่าลงทุน ผ่าน e-Learning หลักสูตร “วางแผนลงทุนสม่ำเสมอด้วยหุ้นและกองทุน” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ เมื่อลงทุนตามรูปแบบทั้ง 4 ไปจนครบ 46 ปี พบว่า แบบที่ 1 : มูลค่าเงินลงทุนจะกลายเป็น 9,711,321 บาท แบบที่ 2 : มูลค่าเงินลงทุนจะกลายเป็น 7,528,451 บาท แบบที่ 3 : มูลค่าเงินลงทุนจะกลายเป็น 5,719,465 บาท แบบที่ 4 : มูลค่าเงินลงทุนจะกลายเป็น 3,142,962 บาท แนวคิดของการลงทุนเพิ่ม แนวคิดของการลงทุนเพิ่ม ไม่ว่าจะนำผลตอบแทนทั้ง 46 ปีมาเรียงลำดับอย่างไร และไม่ว่าจะเริ่มต้นลงทุนในปีที่ดีหรือปีที่แย่ ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม เพราะในระยะยาวแล้วตลาดหุ้นจะมีปีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่าติดลบ และมีปีที่บวกเยอะๆ มากกว่าปีที่ติดลบเยอะๆ ดังนั้น ยิ่งเก็บเงินรอลงทุนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสียโอกาสที่จะให้เงินได้เติบโตทบต้นไปมากเท่านั้น และในระยะยาวความแตกต่างตรงนี้จะทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับมีความแตกต่างกัน อย่างเช่นในช่วงเวลา 46 ปีที่ผ่านมา ถ้าลงทุนปีละ 10,000 บาททุกปี ผ่านไป 46 ปี จะมีเงินประมาณ 10 ล้านบาท ถ้ารอลงทุนหลังตลาดหุ้นตก 20% จะมีเงินประมาณ 6 ล้านบาท คิดเป็นเงินที่หายไปถึง 40% ถ้ารอลงทุนหลังตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ เช่น ตลาดตกลง 50% จะมีเงินประมาณ 3 ล้านบาท คิดเป็นเงินที่หายไปถึง 70% หมายความว่า... ต้นทุนของความสบายใจหรือความรู้สึกดีที่ได้มาจากการพยายามจับจังหวะการลงทุนนั้น คือ ความมั่งคั่งที่หายไป 40 – 70% หรือคิดเป็นเงินหายไป 4 – 7 ล้านบาท แต่ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่เยอะ เพราะลงทุนเพียงแค่ปีละ 10,000 บาทเท่านั้น สมมติถ้ามีเงินลงทุนได้ปีละ 100,000 บาท ความมั่งคั่งที่หายไปจะมากถึง 40 – 70 ล้านบาท จากสถิติของการลงทุนในหุ้นไทยตลอด 46 ปี สะท้อนให้เห็นว่า... ไม่สามารถจับจังหวะลงทุนหลังตลาดหุ้นตกหนักๆ ได้ทุกครั้ง หรือเมื่อรอจนตลาดตกและเริ่มขึ้นมาสักพักแล้วเริ่มลงทุน ยิ่งทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับน้อยถอยลงไปกว่าเดิม โดยสรุปแล้วในโลกของการลงทุน “ยิ่งพยายามเก็บเงิน รอจังหวะลงทุนมากเท่าไหร่ ยิ่งได้รับผลตอบแทนน้อยลงเท่านั้น” ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างผลตอบแทนจากหุ้นระยะยาว คือ “การลงทุนในหุ้นอย่างสม่ำเสมอ” ซึ่งนอกจากจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่น่าประทับใจแล้ว ยังทำให้ “สบายใจ” อีกด้วย เพราะไม่ต้องมานั่งคิด นั่งกังวล นั่งดูดัชนีตลาดหุ้นบ่อยๆ แต่ก็สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ สำหรับใครที่อยากลงทุนในหุ้นด้วยวิธีลงทุนสม่ำเสมอแบบ DCA แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร สามารถเรียนรู้พื้นฐานและเทคนิคการลงทุนแบบ DCA ตลอดจนวิธีคัดเลือกหุ้นดี น่าลงทุน ผ่าน e-Learning หลักสูตร “วางแผนลงทุนสม่ำเสมอด้วยหุ้นและกองทุน” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ แท็กที่เกี่ยวข้อง: วางแผนการเงิน วางแผนเกษียณ มือใหม่ลงทุน ลงทุนหุ้น หุ้น DCA แท็กที่เกี่ยวข้อง: วางแผนการเงิน วางแผนเกษียณ มือใหม่ลงทุน ลงทุนหุ้น หุ้น DCA แท็กที่เกี่ยวข้อง: e-Learning น่าเรียน กิจกรรมน่าสนใจ 26 ไม่มีค่าธรรมเนียม ต.ค. 66 หมดหนี้มีออม @ บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด (HMT0001_รอบ 758) 26 ต.ค. 66 เวลา 11:00-13:30 น. บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เปิดรับสมัคร : 50 ที่นั่ง (ที่นั่งเต็ม) e-Learning น่าเรียน กิจกรรมน่าสนใจ 26 ไม่มีค่าธรรมเนียม ต.ค. 66 หมดหนี้มีออม @ บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด (HMT0001_รอบ 758) 26 ต.ค. 66 เวลา 11:00-13:30 น. บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เปิดรับสมัคร : 50 ที่นั่ง (ที่นั่งเต็ม) e-Learning น่าเรียน กิจกรรมน่าสนใจ 26 ไม่มีค่าธรรมเนียม ต.ค. 66 หมดหนี้มีออม @ บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด (HMT0001_รอบ 758) 26 ต.ค. 66 เวลา 11:00-13:30 น. บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เปิดรับสมัคร : 50 ที่นั่ง (ที่นั่งเต็ม) e-Learning น่าเรียน e-Learning น่าเรียน e-Learning น่าเรียน e-Learning น่าเรียน e-Learning กิจกรรมน่าสนใจ 26 ไม่มีค่าธรรมเนียม ต.ค. 66 หมดหนี้มีออม @ บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด (HMT0001_รอบ 758) 26 ต.ค. 66 เวลา 11:00-13:30 น. บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เปิดรับสมัคร : 50 ที่นั่ง (ที่นั่งเต็ม) กิจกรรมน่าสนใจ 26 ไม่มีค่าธรรมเนียม ต.ค. 66 หมดหนี้มีออม @ บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด (HMT0001_รอบ 758) 26 ต.ค. 66 เวลา 11:00-13:30 น. บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เปิดรับสมัคร : 50 ที่นั่ง (ที่นั่งเต็ม) กิจกรรมน่าสนใจ 26 ไม่มีค่าธรรมเนียม ต.ค. 66 หมดหนี้มีออม @ บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด (HMT0001_รอบ 758) 26 ต.ค. 66 เวลา 11:00-13:30 น. บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เปิดรับสมัคร : 50 ที่นั่ง (ที่นั่งเต็ม) กิจกรรมน่าสนใจ 26 ไม่มีค่าธรรมเนียม ต.ค. 66 หมดหนี้มีออม @ บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด (HMT0001_รอบ 758) 26 ต.ค. 66 เวลา 11:00-13:30 น. บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เปิดรับสมัคร : 50 ที่นั่ง (ที่นั่งเต็ม) 26 ไม่มีค่าธรรมเนียม ต.ค. 66 หมดหนี้มีออม @ บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด (HMT0001_รอบ 758) 26 ต.ค. 66 เวลา 11:00-13:30 น. บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เปิดรับสมัคร : 50 ที่นั่ง (ที่นั่งเต็ม) 26 ไม่มีค่าธรรมเนียม ต.ค. 66 หมดหนี้มีออม @ บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด (HMT0001_รอบ 758) 26 ต.ค. 66 เวลา 11:00-13:30 น. บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เปิดรับสมัคร : 50 ที่นั่ง (ที่นั่งเต็ม) 26 ไม่มีค่าธรรมเนียม ต.ค. 66 หมดหนี้มีออม @ บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด (HMT0001_รอบ 758) 26 ต.ค. 66 เวลา 11:00-13:30 น. บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เปิดรับสมัคร : 50 ที่นั่ง (ที่นั่งเต็ม) 26 ไม่มีค่าธรรมเนียม ต.ค. 66 หมดหนี้มีออม @ บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด (HMT0001_รอบ 758)
การลงทุนในหุ้นแบบ ลงทุนทุกปีอย่างสม่ำเสมอ ให้ผลตอบแทนดีที่สุด โดยผลตอบแทนจากการ เหตุผลที่การลงทุนทุกปีอย่างสม่ำเสมอให้ผลตอบแทนดีที่สุด มีดังนี้: การดึงประโยชน์จาก Dollar-Cost Averaging (DCA): กลยุทธ์การลงทุนนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาดผิด โดยเฉลี่ยราคาหุ้นที่ซื้อในช่วงเวลาต่างๆ กัน ในช่วงที่ตลาดหุ้นขาลง ซื้อหุ้นได้ด้วยเงินจำนวนเท่าเดิม แต่ได้หุ้นจำนวนมากกว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นขาขึ้น ซื้อหุ้นได้ด้วยเงินจำนวนเท่าเดิม แต่ได้หุ้นจำนวนน้อยกว่า การใช้ประโยชน์จาก Compound Interest (ดอกเบี้ยทบต้น): เงินลงทุนจะเติบโตทบต้นอย่างต่อเนื่องจากทั้งเงินต้นและผลตอบแทนที่ได้ ยิ่งลงทุนนาน เงินทบต้นจะยิ่งมีจำนวนมาก ส่งผลให้ผลตอบแทนทบต้นยิ่งสูงขึ้น การลดความกังวลและความเครียด: ไม่ต้องเสียเวลาติดตามตลาดหุ้น ลดความกังวลจากความผันผวนของราคาหุ้น ช่วยให้มีวินัยในการลงทุน อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกปีอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลก่อนลงทุน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัท เลือกบริษัทที่มีศักยภาพ เติบโตอย่างยั่งยืน และกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหลายๆ บริษัท ข้อดีเพิ่มเติมของการลงทุนทุกปีอย่างสม่ำเสมอ: เริ่มต้นลงทุนได้ง่าย: สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนน้อย สร้างวินัยการออม: ช่วยให้ออมเงินอย่างสม่ำเสมอ ปรับเปลี่ยนเงินลงทุนได้: สามารถเพิ่มหรือลดเงินลงทุนได้ตามความเหมาะสม ตัวอย่างการลงทุนทุกปีอย่างสม่ำเสมอ: ลงทุนกองทุนรวม: สะดวก เหมาะกับมือใหม่ ลงทุนหุ้นรายตัว: ต้องศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ก่อนลงทุน ลงทุนแบบ DCA: ลงทุนเป็นประจำทุกๆ เดือน สรุป: การลงทุนทุกปีอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีการลงทุนที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภท
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_10596
Medical
ช่วยสรุปบทความเกี่ยวกับเรื่อง "การทำทวารเทียม: ทางเลือกในการรักษาและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระบบทางเดินอาหาร" ให้หน่อยนะคะ
หัวข้อ web_haamor_tip286.txt ทวารเทียม ทวารใหม่ Ostomy กายวิภาคและสรีรวิทยาระบบทางเดินอาหาร Anatomy and physiology of alimen tary system ‘ทวาร โดยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง ช่อง หรือ หมายถึง รูขี้ หรือ รูเยี่ยว คำสุภาพ คือ ทวารหนัก ทวารเบา ทางการแพทย์ ‘ทวารเทียม หรือบางคนเรียกว่า ทวารใหม่ หมายถึง การผ่าตัดที่นำลำไส้เปิดออกสู่หน้าท้อง เพื่อเป็นทางออกของอุจจาระ การผ่าตัดทำทวารเทียมใช้เป็นการรักษาในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระได้ปกติทางทวารหนัก ทั้งนี้ อาจเป็นการผ่าตัดลำไส้เล็ก Ileostomy หรือลำไส้ใหญ่ Colostomy ก็ได้ เช่น การผ่าตัดรักษามะเร็งทวารหนัก หรือมะ เร็งลำไส้ใหญ่ส่วนที่ติดทวารหนัก หรือกรณีเกิดอุบัติต่อทวารหนัก เช่น ทะลุ นอกจากนั้นยังหมายรวมถึงการผ่าตัดทำทางออกของปัสสาวะออกทางหน้าท้อง Uros tomy กรณีมีโรคของกระเพาะปัสสาวะ เช่น การผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือ กรณีอุบัติเหตุกระเพาะปัสสาวะทะลุ เป็นต้น หัวข้อ web_haamor_tip286.txt ทวารเทียม ทวารใหม่ Ostomy กายวิภาคและสรีรวิทยาระบบทางเดินอาหาร Anatomy and physiology of alimen tary system ‘ทวาร โดยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง ช่อง หรือ หมายถึง รูขี้ หรือ รูเยี่ยว คำสุภาพ คือ ทวารหนัก ทวารเบา ทางการแพทย์ ‘ทวารเทียม หรือบางคนเรียกว่า ทวารใหม่ หมายถึง การผ่าตัดที่นำลำไส้เปิดออกสู่หน้าท้อง เพื่อเป็นทางออกของอุจจาระ การผ่าตัดทำทวารเทียมใช้เป็นการรักษาในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระได้ปกติทางทวารหนัก ทั้งนี้ อาจเป็นการผ่าตัดลำไส้เล็ก Ileostomy หรือลำไส้ใหญ่ Colostomy ก็ได้ เช่น การผ่าตัดรักษามะเร็งทวารหนัก หรือมะ เร็งลำไส้ใหญ่ส่วนที่ติดทวารหนัก หรือกรณีเกิดอุบัติต่อทวารหนัก เช่น ทะลุ นอกจากนั้นยังหมายรวมถึงการผ่าตัดทำทางออกของปัสสาวะออกทางหน้าท้อง Uros tomy กรณีมีโรคของกระเพาะปัสสาวะ เช่น การผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือ กรณีอุบัติเหตุกระเพาะปัสสาวะทะลุ เป็นต้น หัวข้อ web_haamor_tip286.txt ทวารเทียม ทวารใหม่ Ostomy กายวิภาคและสรีรวิทยาระบบทางเดินอาหาร Anatomy and physiology of alimen tary system ‘ทวาร โดยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง ช่อง หรือ หมายถึง รูขี้ หรือ รูเยี่ยว คำสุภาพ คือ ทวารหนัก ทวารเบา ทางการแพทย์ ‘ทวารเทียม หรือบางคนเรียกว่า ทวารใหม่ หมายถึง การผ่าตัดที่นำลำไส้เปิดออกสู่หน้าท้อง เพื่อเป็นทางออกของอุจจาระ การผ่าตัดทำทวารเทียมใช้เป็นการรักษาในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระได้ปกติทางทวารหนัก ทั้งนี้ อาจเป็นการผ่าตัดลำไส้เล็ก Ileostomy หรือลำไส้ใหญ่ Colostomy ก็ได้ เช่น การผ่าตัดรักษามะเร็งทวารหนัก หรือมะ เร็งลำไส้ใหญ่ส่วนที่ติดทวารหนัก หรือกรณีเกิดอุบัติต่อทวารหนัก เช่น ทะลุ นอกจากนั้นยังหมายรวมถึงการผ่าตัดทำทางออกของปัสสาวะออกทางหน้าท้อง Uros tomy กรณีมีโรคของกระเพาะปัสสาวะ เช่น การผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือ กรณีอุบัติเหตุกระเพาะปัสสาวะทะลุ เป็นต้น
ทวารเทียมหรือทวารใหม่ (Ostomy) เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ผ่านมาเพื่อให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการขับถ่ายหรือการผ่าตัดในระบบทางเดินอาหารสามารถมีชีวิตอย่างสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ การทำทวารเทียมเป็นทางเลือกสำคัญในการรักษาสำหรับบางกลุ่มของผู้ป่วยที่มีภาวะที่ทำให้ไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระได้ปกติผ่านทางทวารหนัก ข้อสำคัญที่ต้องทราบเกี่ยวกับทวารเทียมคือ การผ่าตัดเพื่อสร้างทวารเทียมนั้นสามารถทำในหลายๆ ส่วนของระบบทางเดินอาหาร เช่น การผ่าตัดที่ลำไส้เล็ก (Ileostomy) หรือลำไส้ใหญ่ (Colostomy) โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้อุจจาระสามารถถ่ายออกจากตัวผู้ป่วยได้ การทำทวารเทียมยังสามารถใช้ในการรักษาโรคร้ายแรงเช่น มะเร็งในระบบทางเดินอาหาร หรือในกรณีของอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารหรือปัสสาวะ นอกจากนี้ การทำทวารเทียมยังมีบทบาทในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เนื่องจากสามารถช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างสะดวกสบาย และป้องกันปัญหาที่เกี่ยวกับการควบคุมอุจจาระและปัสสาวะในชีวิตประจำวัน ดังนั้น การทำทวารเทียมมีความสำคัญอย่างมากในการรักษาและการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร โดยการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติอย่างมีคุณภาพและมีความสุขในแต่ละวัน
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_21603
Medical
ระบบประสาทประกอบด้วยสองส่วนคืออะไร
เส้นประสาท เส้นประสาท ระบบประสาทประกอบด้วยสองส่วน คือ ส่วนแรกเป็นศูนย์บัญชาการ ได้แก่ สมองและไขสันหลัง ส่วนหลังเป็นเส้นประสาทที่แผ่คลุมไปถึงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เปรียบเสมือนเครือข่ายแห่งการสื่อสาร ไขสันหลังเป็นส่วนที่อยู่ต่อออกมาจากสมองส่วนท้าย ไขสันหลังเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกัน ทอดยาวลงไปในรูของกระดูกสันหลัง แต่ละข้อของกระดูกสันหลังมีเส้นประสาทแยกออกไปยังแขนขา เป็นเส้นประสาทที่นำเอาคำสั่งจากสมองไปสั่งงานแก่กล้ามเนื้อ และในขณะเดียวกันก็รับเอาข่าวสารหรือความรู้สึกกลับเข้าสู่สมอง เซลล์ประสาทเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของระบบประสาท เซลล์ประสาทมีรูปร่างแปลกกว่าเซลล์ร่างกายอื่นๆ ที่เป็นรูปกลม เซลล์ประสาทเป็นเซลล์รูปร่างเหมือนดาว มีแฉกยื่นออกไปรอบตัว แฉกสั้นมีหลายอันเรียกว่า เดนไดรท์ มีแฉกยาว 1 อัน เรียก แอกซอน เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์มีเดนไดร์ทหลายอัน เดนไดร์ทสั้นและมักแตกแขนงออกจนดูคล้ายกับเป็นกิ่งไม้ที่อยู่รอบๆ เซลล์ ส่วนแอกซอนนั้นยาวและบาง ยื่นออกไปได้ไกลๆ แอกซอนของบางเซลล์ก็ยาวเพียงไม่กี่เซนติเมตร แต่ของบางเซลล์ก็ยาวมาก คือ ยาวตั้งแต่ไขสันหลังไปจนจรดปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า แอกซอนหลายๆ อันมารวมกันเป็นเส้นประสาท ดังนั้นเส้นประสาทก็คือ มัดของแอกซอนหรือเป็นส่วนหนึ่งของเซลล์ประสาทเท่านั้น ปลายของแอกซอนของแต่ละเซลล์ ประสาทจะแตกแขนงออกไปเชื่อมกับเดนไดรท์ของเซลล์ประสาทอื่น การผ่านสัญญาณในระบบประสาทจะถูกส่งออกทางแอกซอนของเซลล์ประสาทตัวที่หนึ่ง ผ่านจุดเชื่อม แล้วเข้าสู่เดนไดรท์ของเซลล์ประสาทตัวที่สอง เส้นประสาทกระจายไปทั่วร่างกาย เพื่อส่งและรับสัญญาณต่างๆ โดยมากเส้นประสาทมักจะอยู่คู่กันไปกับเส้นเลือด เส้นประสาทมี 2 ชนิด คือ เส้นประสาทสั่งงานเป็นเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณขาออกจากศูนย์ประสาทส่วนกลางไปยังกล้ามเนื้อและต่อมในร่างกาย เส้นประสาทชนิดนี้เป็นเส้นประสาทที่นำคำสั่งของสมองไปสั่งให้กล้ามเนื้อหดตัว เส้นประสาทอีกชนิดหนึ่ง คือ เส้นประสาทรับความรู้สึก เป็นส่วนที่รับสัญญาณเข้าไปยังศูนย์ประสาทส่วนกลางรับความรู้สึกจากปมประสาทใต้ผิวหนัง รับรู้ความเจ็บ ร้อน ความสั่นสะเทือน เป็นต้น แล้วรายงานผ่านไปให้สมองรับรู้ เพื่อสมองจะได้สั่งงานให้ร่างกายของเราตอบสนองต่อปฏิกิริยาที่มากระทบนั้นๆ ได้ถูกต้อง เส้นประสาททั้งสองชนิดนี้ ทำงานสอดคล้องประสานกัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณถูกเข็มแทงมือ ความรู้สึกเจ็บจะถูกรับรู้โดยประสาทรับความรู้สึกที่ปลายนิ้วมือ สัญญาณเจ็บที่ได้รับ จะถูกส่งผ่านเส้นประสาทรับความรู้สึก ที่มือผ่านไปยังแขน ไปยังเซลล์ประสาทรับความรู้สึกที่ไขสันหลัง สัญญาณจะถูกส่งผ่านไปยังเซลล์ประสาทสั่งงานในไขสั่นหลังทันที เซลล์สั่งงานก็จะสั่งให้กล้ามเนื้อที่แขนหดตัว เพื่อดึงมือออกมาจากเข็มอันนั้น ปฏิกิริยาทั้งหมดนี้ กินเวลาเพียงสายฟ้าแลบ เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่มีประโยชน์มาก เพราะจะป้องกันไม่ให้เราเป็นอันตราย คุณคงจะแปลกใจว่าเราดึงมือออกเสียก่อน ที่จะรู้ว่าอะไรมาแทงมือด้วยซ้ำไป เช่นเดียวกับการถูกไฟความร้อนก็จะทำให้เราหดมือกลับ ก่อนที่ไฟจะไหม้มือให้บาดเจ็บ ปฏิกิริยาทั้งหมดนี้เรียกว่า ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ เป็นปฏิกิริยาของระบบประสาทที่เกิดขึ้นในระดับไขสันหลังเท่านั้น ปฏิกิริยาสะท้อนกลับของเข่า ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง การเคาะเอ็นของกล้ามเนื้อหน้าขาใต้ลูกสะบ้า จะทำให้เข่าเหยียดออกหรือกระตุกแตะขึ้น ปฏิกิริยานี้เอง ที่แพทย์ใช้ในการตรวจ การทำงานของระบบประสาท ประสาทรับความรู้สึกในส่วนของร่างกายต่างๆ กัน จะมีความไวแตกต่างกันออกไป ที่มือปลายประสาทจะรับความรู้สึกไวกว่า ที่ต้นขาหรือที่ท้อง เราจะเจ็บเมื่อถูกเข็มแท่งมือ มากกว่าประสาทสัมผัสที่มือก็ไวกว่า ถ้าเราใช้มือคลำดินสอหรือยางลบ เราก็จะรู้ได้ทันที แต่ถ้าเราใช้หน้าท้องคลำแทน คงอีกนานกว่าเราจะรับรู้ สิ่งที่สัมผัสอยู่นั้นเป็นอะไรกันแน่ สำหรับความรับรู้ ระบบประสาทต้องการการทำงานที่อยู่ในระดับสูงกว่าระดับไขสันหลัง แค่ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ ไม่เพียงพอสำหรับการรับรู้ที่สูงกว่านั้น การจะคลำช้อนเป็นต้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่เราสัมผัสอยู่เป็นช้อน ปลายประสาทจากมือ จะส่งผ่านสัญญาณไปยังไขสันหลัง แต่แทนที่จะสะท้อนกลับออกมา สัญญาณจะถูกส่งไปยังไขสันหลัง ระดับที่อยู่สูงขึ้นไป ผ่านขึ้นสู่แมดัลล่าและเข้าสู่สมองใหญ่ในที่สุด เมื่อผ่านการกลั่นกรองแบบคอมพิวเตอร์แล้ว สมองก็จะบอกได้ว่านี่เป็นช้อน ทำด้วยโลหะ คันใหญ่ และใช้ตักข้าว ฯลฯ การเคลื่อนไหวของแขนขา การกะพริบตา อ้าปาก ล้วนถูกสมองบัญชาการทั้งนั้น สมองส่งคำสั่งมายังประสาทสั่งงาน สั่งให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นหดตัว กระทำกิริยา ตามที่ใจของเราต้องการ เป็นการทำงานของระบบประสาทที่เราจงใจ กระทำโดยรู้ตัว ยังมีระบบประสาทอีกระบบหนึ่ง เป็นระบบประสาทที่ทำงานโดยตัวของมันเอง อยู่นอกเหนือการควบคุมของจิตใจของเรา เราไม่สามารถบ่งการ การทำงานของระบบประสาทส่วนนี้ เช่นเดียวกับที่เราบ่งการให้มือ กำเข้าเป็นกำปั้น ถึงเราอยากจะบังคับมันแต่ก็ทำไม่ได้ ระบบประสาทดังกล่าว คือ ระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น การเต้นของหัวใจ การหลั่งของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเป็นต้น เราอยากจะทำให้หัวใจหยุดเต้นนั้นไม่ได้ หัวใจจะต้องเต้นอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำให้เรามีชีวิตอยู่ การทำงานของหัวใจ จะขึ้นอยู่กับสภาพของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เมื่อเราวิ่งหรือออกกำลังกาย ระบบประสาทอัตโนมัติจะสั่งงานให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายมากขึ้น ให้พอกับการเผาผลาญในร่างกายที่เกิดมากขึ้นกว่าปกติ การทำงานของระบบประสาทดังกล่าว ไม่ต้องรอให้ใครสั่ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ประสาทอัตโนมัติจะส่งสัญญาณเตือนระบบประสาทรับความรู้สึกว่าเราควรปัสสาวะได้แล้วเมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็ม ระบบประสาทอัตโนมัติยังทำให้กระเพาะอาหารหดตัว ทำให้เรารู้สึกหิวเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงจนไม่มีพลังงานพอสำหรับการทำงานของร่างกาย จะได้ขวนขวายหาอะไรกินเข้าไป
ส่วนแรกเป็นศูนย์บัญชาการ ได้แก่ สมองและไขสันหลัง ส่วนหลังเป็นเส้นประสาทที่แผ่คลุมไปถึงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เปรียบเสมือนเครือข่ายแห่งการสื่อสาร ไขสันหลังเป็นส่วนที่อยู่ต่อออกมาจากสมองส่วนท้าย ไขสันหลังเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกัน ทอดยาวลงไปในรูของกระดูกสันหลัง แต่ละข้อของกระดูกสันหลังมีเส้นประสาทแยกออกไปยังแขนขา เป็นเส้นประสาทที่นำเอาคำสั่งจากสมองไปสั่งงานแก่กล้ามเนื้อ และในขณะเดียวกันก็รับเอาข่าวสารหรือความรู้สึกกลับเข้าสู่สมอง เซลล์ประสาทเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของระบบประสาท เซลล์ประสาทมีรูปร่างแปลกกว่าเซลล์ร่างกายอื่นๆ ที่เป็นรูปกลม เซลล์ประสาทเป็นเซลล์รูปร่างเหมือนดาว มีแฉกยื่นออกไปรอบตัว แฉกสั้นมีหลายอันเรียกว่า เดนไดรท์ มีแฉกยาว 1 อัน เรียก แอกซอน เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์มีเดนไดร์ทหลายอัน เดนไดร์ทสั้นและมักแตกแขนงออกจนดูคล้ายกับเป็นกิ่งไม้ที่อยู่รอบๆ เซลล์ ส่วนแอกซอนนั้นยาวและบาง ยื่นออกไปได้ไกลๆ แอกซอนของบางเซลล์ก็ยาวเพียงไม่กี่เซนติเมตร แต่ของบางเซลล์ก็ยาวมาก คือ ยาวตั้งแต่ไขสันหลังไปจนจรดปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า แอกซอนหลายๆ อันมารวมกันเป็นเส้นประสาท ดังนั้นเส้นประสาทก็คือ มัดของแอกซอนหรือเป็นส่วนหนึ่งของเซลล์ประสาทเท่านั้น ปลายของแอกซอนของแต่ละเซลล์ ประสาทจะแตกแขนงออกไปเชื่อมกับเดนไดรท์ของเซลล์ประสาทอื่น การผ่านสัญญาณในระบบประสาทจะถูกส่งออกทางแอกซอนของเซลล์ประสาทตัวที่หนึ่ง ผ่านจุดเชื่อม แล้วเข้าสู่เดนไดรท์ของเซลล์ประสาทตัวที่สอง เส้นประสาทกระจายไปทั่วร่างกาย เพื่อส่งและรับสัญญาณต่างๆ โดยมากเส้นประสาทมักจะอยู่คู่กันไปกับเส้นเลือด เส้นประสาทมี 2 ชนิด คือ เส้นประสาทสั่งงานเป็นเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณขาออกจากศูนย์ประสาทส่วนกลางไปยังกล้ามเนื้อและต่อมในร่างกาย เส้นประสาทชนิดนี้เป็นเส้นประสาทที่นำคำสั่งของสมองไปสั่งให้กล้ามเนื้อหดตัว
Anatomy,Physiology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21059
Medical
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่อความปลอดภัยของอาหารอย่างไร?
null
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่อความปลอดภัยของอาหารในหลาย ๆ ด้าน ดังนี้ 1. การปนเปื้อนของสารพิษ: -อุณหภูมิที่สูงขึ้น กระตุ้นให้สาหร่ายบางชนิดผลิตสารพิษมากขึ้น สารพิษเหล่านี้สามารถสะสมในห่วงโซ่อาหาร ส่งผลต่อผู้บริโภคปลายทาง เช่น มนุษย์ -น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ปล่อยสารพิษที่สะสมอยู่มานาน (Persistent Organic Pollutants) ลงสู่แหล่งน้ำและดิน ส่งผลต่อพืชและสัตว์ที่ใช้เป็นอาหาร -สภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ทำให้เกิดการปนเปื้อนในอาหารได้ง่ายขึ้น 2. โรคติดต่อจากอาหาร: -อุณหภูมิที่สูงขึ้น ช่วยให้เชื้อจุลินทรีย์เติบโตและแพร่กระจายได้เร็วขึ้น เช่น เชื้อ Salmonella, E. coli, Listeria -ภาวะโลกร้อน ทำให้แมลงพาหะโรค เช่น ยุง เพิ่มจำนวนและขยายถิ่นที่อยู่ ส่งผลต่อการแพร่กระจายของโรคไข้มาลาเรีย โรคไข้เลือดออก 3. การขาดแคลนอาหาร: -ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้น ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร -การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่อระบบนิเวศน์ กระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์ ตัวอย่าง: -กรณีการปนเปื้อนสารเมลามีนในนมผงเด็กในประเทศจีน (ปี 2551) ส่งผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะของเด็ก -กรณีการกินหน่อไม้ปี๊บเป็นพิษ (ปี 2564) ทำให้ผู้ป่วยหลายร้อยคนได้รับพิษจากเชื้อ Clostridium botulinum แนวทางการแก้ไข: -พัฒนาระบบการตรวจสอบและควบคุมความปลอดภัยของอาหารให้มีประสิทธิภาพ -สนับสนุนการเกษตรแบบยั่งยืน เพื่อลดการใช้สารเคมีและปุ๋ย -รณรงค์ให้ความรู้แก่ผู้บริโภค เกี่ยวกับการเลือกซื้อและปรุงอาหารที่ปลอดภัย -สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการรักษาความปลอดภัยของอาหาร -การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของอาหาร ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนทั่วโลก ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหานี้
สาธารณสุข (public health),ภาควิชาระบาดวิทยา Epidemiology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_45526
Legal
กรณีบริษัทหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินเดือน พนักงานไว้มากเกินไป พนักงานสามารถขอคืนภาษีได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: กฎหมายภาษีอากร: มาตรา 47 แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ผู้เสียภาษีมีสิทธิได้รับเงินคืนภาษี กรณีที่ได้จ่ายภาษีไว้เกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด วิธีการ: พนักงานสามารถขอคืนภาษีได้โดยการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91) พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินเดือน (ใบ 50 ทวิ) กับสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ตนมีภูมิลำเนา ระยะเวลา: พนักงานสามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันสิ้นปีภาษี ตัวอย่าง: นาย A มีเงินเดือน 30,000 บาทต่อเดือน บริษัทหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินเดือน ไว้เดือนละ 1,500 บาท นาย A มีค่าลดหย่อนภาษี คู่สมรส 60,000 บาท และบุตร 30,000 บาท เมื่อสิ้นปีภาษี นาย A คำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พบว่าต้องเสียภาษีเพียง 500 บาท นาย A จึงสามารถยื่นขอคืนภาษี 1,500 บาท - 500 บาท = 1,000 บาท ข้อควรระวัง: พนักงานควรตรวจสอบใบ 50 ทวิ อย่างละเอียดว่าข้อมูลถูกต้องครบถ้วน พนักงานควรเก็บเอกสารหลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินเดือน ไว้เป็นหลักฐาน พนักงานควรยื่นขอคืนภาษีภายในระยะเวลาที่กำหนด สรุป: กรณีบริษัทหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินเดือน พนักงานไว้มากเกินไป พนักงานสามารถขอคืนภาษีได้ โดยต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91) พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินเดือน (ใบ 50 ทวิ) กับสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ตนมีภูมิลำเนา ภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันสิ้นปีภาษี
กฎหมายภาษี
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_2428
Finance
หนังสือ รวยได้ด้วยหุ้น โดยเซียนหุ้นอัจฉริยะ ใน Chapter 2 คือเรื่องอะไร
null
หนังสือ รวยได้ด้วยหุ้น โดยเซียนหุ้นอัจฉริยะ ใน Chapter 2 คือ เรื่องการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานบริษัท 1) สินทรัพย์ เท่ากัน ไม่ได้แปลว่ารวยเหมือนกัน คนที่มี D/E น้อยกว่าน่าจะปลอดภัยกว่า 2) รายได้โต 10% แต่กำไรสุทธิลดลงได้ ถ้าต้นทุนและค่าใช้จ่ายโตเร็วกว่า 3) ถ้าลูกหนี้การค้าโตเร็วกว่ายอดขาย แม้กำไรจะโตก็ต้องระวังให้มาก เพราะแปลว่าขายของไป ยังเก็บเงินไม่ได้ อาจต้องบันทึกเป็นหนี้สูญได้ 4) เจ้าหนี้การค้าเยอะ อาจจะดีก็ได้เพราะเป็นหนี้ที่ไม่ต้องแบบรับภาระดอกเบี้ย คือ สั่งวัตถุดิบมาก่อนแล้วค่อยจ่ายเงินในอนาคต 5) หุ้นค้าปลีกหลายตัว D/E > 1 เท่า ไม่ได้น่ากลัว เพราะเป็นเจ้าหนี้การค้าเยอะ และลูกหนี้การค้าแทบไม่มี เพราะรับเงินสดเป็นส่วนใหญ่ 6) ตัวเลขกำไรสุทธิ ควรใกล้เคียงกับตัวเลขกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เพราะถ้า NP เยอะ แต่ CFO ติดลบ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายปันผล ขายของยังเก็บเงินสดไม่ได้เลย 7) CFI ควรเป็นลบ เพราะแสดงถึงการลงทุน ถ้าเป็นบวก แสดงว่า มีการขายสินทรัพย์ถาวรออกไป คำถามคือ แล้วยอดขายจะโตได้จากอะไร ถ้าขายสินทรัพย์ที่ใช้ทำมาหากินออกไป 8. ) อย่าดูแต่ P/E ว่าต่ำอย่างเดียว ให้ดูความแน่นอนของรายได้ และความต่อเนื่องของกำไรด้วย คือ การดู PEG นั่นเอง โดยทั่วไปแล้ว PEG ต่ำ จะดีกว่า 9) ดู P/CFO เพื่อหาคุณภาพของกำไรว่าเก็บเงินสดได้ดีมั้ย ค่านี้ยิ่งต่ำยิ่งดี 10) ดู GPM อย่างเดียวไม่ได้ บางทีต้องดู Asset Turnover ด้วย (เอายอดขายมาหารสินทรัพย์) เช่น ร้านบุฟเฟต์อาหารนานาชาติ จะมี GPM สูงกว่า ร้านหมูกระทะ แต่จัดโต๊ะหลวม ๆ สบาย ๆ คนมากินต่อวันไม่เยอะแต่เก็บแพง ขณะที่ร้านหมูกระทะ โต๊ะตั้งติด ๆ กัน ลูกค้าแน่นร้าน คนลุกเข้าลุกออกตลอดเวลา ถึงแม้ GPM ต่ำกว่า แต่ AT สูงกว่ากันมาก
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_623
Finance
ปัจจุบันมีหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กว่ากี่ตัว
a. ปัจจุบันมีหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กว่า 700 ตัว b. ปัจจุบันมีหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กว่า 200 ตัว c. ปัจจุบันมีหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กว่า 400 ตัว d. ปัจจุบันมีหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กว่า 600 ตัว
คำตอบที่ถูกต้องคือ a. เพราะว่า ปัจจุบันมีหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กว่า 700 ตัว ซึ่งหุ้นทั้ง 700 ตัวนี้ก็อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจที่แตกต่างกันไป วันนี้ FinSpace จึงขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ “ดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจของ SET” กันว่าจะมีกลุ่มอุตสาหกรรมและธุรกิจอะไรบ้าง แต่ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกับความหมายของดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจกันสักหน่อย ดัชนีราคารายกลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group Index) เป็นดัชนีราคาหลักทรัพย์ที่ใช้สะท้อนการเคลื่อนไหวของหลักทรัพย์ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมเดียวกัน ดัชนีราคาหมวดธุรกิจ (Sector Index) เป็นดัชนีราคาหลักทรัพย์ที่ใช้สะท้อนการเคลื่อนไหวของหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐาน (Fundamental) เดียวกัน
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_13489
Medical
กระดูกคอเสื่อมเป็นโรคที่พบบ่อยในกลุ่มผู้ที่มีอายุเท่าไหร่
1. มากกว่า 40 ปีขึ้นไป 2. มากกว่า 30 ปีขึ้นไป 3. มากกว่า 20ปีขึ้นไป 4. มากกว่า 50 ปีขึ้นไป
ข้อที่ถูกต้องคือ 1. เนื่องจาก : กระดูกคอเสื่อม Cervical Spondylosis เป็นโรคที่พบบ่อยในกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นกลุ่มของโรคที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกคอกระดูกสันหลังคอDegenerative Diseases of the Cervical Spine โดยปกติแล้วกระดูกสันหลังส่วนคอของมนุษย์ประกอบไปด้วยกระดูกทั้งหมด 7 ชิ้นเรียงต่อกัน ระหว่างกระดูกสันหลังคอแต่ละชิ้นจะมีหมอนรองกระดูกคอCervical Discรองอยู่ นอกจากนี้ระหว่างกระดูกคอแต่ละชิ้นจะมีเส้นประสาทยื่นออกมาด้วย กระดูกและหมอนรองกระดูกคอช่วยให้การเคลื่อนไปไปในทิศทางต่างๆ เช่น การเอียง การก้ม การเงย ให้เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ แต่เมื่ออายุมากขึ้นระบบอวัยวะต่างๆในร่างกายเสื่อมสภาพลง หมอนรองกระดูกก็เช่นกันที่เสื่อมลง ไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ภายในได้เหมือนในช่วงที่ร่างกายสมบูรณ์ ส่งผลให้ความกว้างของช่องหว่างระหว่างกระดูกคอแต่ละชิ้นลดลง ส่งผลต่อเนื่องให้กระดูกคอมีการเสียดสีกันเมื่อมีการเคลื่อนไหวของคอ ข้อต่อที่เสียดสีกันมากๆและซ้ำๆนั้น จะค่อยๆเกิดการอักเสบ และอาจสร้างหินปูนเล็กๆขึ้นมา เพื่อรองรับและกระจายแรงที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหว ช่องว่างระหว่างกระดูกคอและหินปูนที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการรบกวนการทำงานของเส้นประสาท และเกิดอาการผิดปกติตามมา อาการของโรคกระดูกคอเสื่อมคืออะไร : อาการของโรคกระดูกคอเสื่อม สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1. กลุ่มอาการที่เกิดจากการเสื่อมของหมอนรองกระดูกและภาวะกระดูกคอเสื่อมโดยตรง Symptomatic Degeneration เช่น มีการปวดตามแนวของกระดูกสันหลังส่วนคอ Axial Neck Pain เนื่องจากมีพยาธิสภาพที่กระดูกคอหลายตำแหน่ง การเคลื่อนไหวคอเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก 2. กลุ่มอาการที่เกิดจากเส้นประสาทคอถูกกดทับ Cervical Radiculopathy อาการที่พบได้มีด้วยกันหลายอาการ เช่น ในระยะแรก อาจพบเพียงการปวดร้าวจากต้นคอลามลงไปที่แขนข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง เมื่ออาการรุนแรงขึ้น อาจจะพบว่ามีอาการชา และถ้าการกดทับรุนแรงมากขึ้นไปอีก อาจจะพบว่ามีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแขนร่วมด้วย 3. กลุ่มอาการของไขสันหลังบริเวณคอถูกกดทับ Cervical Myelopathy อาจจะพบอาการปวดไม่มาก แต่อาการเด่นชัด คือ ผู้ป่วยมักจะมีอาการอ่อนแรงของขา เดินได้ไม่มั่นคง หรือเซ ความตึงตัวของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆMuscle Toneผิดปกติ เช่น มีอาการเกร็งแข็งขึ้นเป็นลำชัดเจน
ออร์โธปิดิกส์ (ออร์โธปิดิกส์) - Orthopedics
Multiple choice
cc-by-nc-4.0